Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore sins_nursing_manual_2558_03

sins_nursing_manual_2558_03

Published by taeyeonmoon247, 2023-06-27 03:25:11

Description: sins_nursing_manual_2558_03

Search

Read the Text Version

ค่มู อื การพยาบาล ผูป้ ว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผา่ ตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผ่าตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตดั นางโสมพันธ์ เจอื แกว้ นางสาวศริ าณี เครือสวัสด์ิ งานการพยาบาลผา่ ตดั ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศริ ริ าชพยาบาล มหาวิทยาลยั มหดิ ล พ.ศ. 2557

ก ข คำนำ คู่มือการพยาบาลผู้ป่วยโรคไตวายที่มารับการผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผ่าตัดและระยะตรวจติดตามผลหลังผ่าตัด จัดทาข้ึนเพ่ือเป็นแนวทางสาหรับ พยาบาลท่ีปฏิบัติงานในหน่วยตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ และติดตามผล สยามินทร์ 1 ที่หมุนเวียนมา ปฏิบัติงาน ในคลินิกตรวจรักษาด้วยเคร่ืองมือพิเศษฯโรคหลอดเลือด รวมถึงนักศึกษาพยาบาล และ ทีมสุขภาพท่ีเกี่ยวข้อง ในการให้การดูแลผู้ป่วยโรคไตวายท่ีมารับการผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาว เพ่ือฟอกเลือด เพื่อให้การพยาบาลมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐาน ปลอดภัย เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ผู้ป่วยได้รับบริการท่ีดีมีคุณภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด เนื้อหาของคู่มือพยาบาลประกอบด้วย ความรู้เร่ืองโรค สาเหตุการเกิดโรค อาการแสดง แนวทางการรักษา การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการทาผ่าตัด และแนวทาง ในการดูแลผู้ป่วยภายหลังผ่าตัด โดยผู้จัดทาได้รวบรวมรายละเอียด วิธีการปฏิบัติการพยาบาล จากแหล่งข้อมูลต่างๆ และจากประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยมาสร้างเป็นคู่มือการพยาบาล ผู้จัดทา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือการพยาบาลฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์แก่บุคลากร เพ่ือนาไปใช้ในเป็นแนว ทางการปฏิบัติ ในการดูแล และให้คาแนะนาผู้ป่วยโรคไตวายท่ีมารับการผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาว เพ่อื ฟอกเลือดได้ คู่มือฉบับน้ีสาเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก ศ.นพ.ประมุข มุทิรางกูร หัวหน้าสาขาศัลยศาสตร์ หลอดเลือด ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผศ.นพ.คามิน ชินศักดิ์ชัย อาจารย์ประจาสาขาศัลยศาสตร์หลอดเลือด ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผศ.ดร.วันเพ็ญ ภิญโญภาสกุล อาจารย์ประจาภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คุณดารณี พิพัฒนกุลชัย หัวหน้างานการพยาบาลผ่าตัด ที่ได้กรุณาตรวจสอบ เน้ือหา และเสนอแนะ ส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ ในการจัดทาคู่มือปฎิบัติการพยาบาลเล่มนี้ให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน รวมทั้งคุณราตรี ฉิมฉลอง หน่วยงานวิจัยและสารสนเทศ ที่ได้กรุณาตรวจสอบเนื้อหาและให้ความ ชว่ ยเหลืออยา่ งดยี ิ่งตลอดการจัดทาคู่มือ จงึ ขอขอบพระคุณเปน็ อย่างสงู ไว้ ณ โอกาสน้ี โสมพนั ธ์ เจอื แกว้ ศริ าณี เครอื สวสั ดิ์ ผจู้ ัดทา ธันวาคม 2557 คู่มอื การพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลังผ่าตดั

ข สำรบญั หน้ำ ก คำนำ ข สำรบญั ง สำรบัญภำพ ฉ สำรบญั ตำรำง บทที่ 1 บทนำ 1 2 ความเปน็ มาและความสาคัญ 3 วัตถุประสงค์ 3 ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ บั 3 ขอบเขต นยิ ามศพั ท์ 5 9 บทท่ี 2 ควำมร้ทู ั่วไปเกี่ยวกบั โรคไต 10 กายวิภาคและสรรี วิทยาของไต 11 การวัดประสิทธภิ าพการทางานของไต 11 ภาวะไตวาย 11 ภาวะไตวายเฉยี บพลัน 13  พยาธสิ รีรวทิ ยา 14  สาเหตุและปัจจยั เสี่ยง 14  อาการแสดง 14  แนวทางการดูแลรกั ษาผู้ปว่ ยภาวะไตวายเฉียบพลัน 15 โรคไตเร้ือรงั 15  พยาธิสรรี วทิ ยา 16  สาเหตแุ ละปัจจยั เส่ยี ง 20  ระยะของโรคและอาการแสดง 24  ผลกระทบจากภาวะไตวายและการเปลยี่ นแปลงทางพยาธิสภาพ 26  แนวทางการดูแลรักษาผูป้ ว่ ยโรคไตวายเร้อื รงั  การรักษาด้วยการบาบัดทดแทนไต  การเตรียมช่องทางสาหรับฟอกเลือด คู่มอื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายที่มารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตดั

ค สำรบญั หนำ้ 29 ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกบั การใสส่ ายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด 30  ขอ้ บง่ ช้ีในการใสส่ ายสวนระยะยาว 31  วัสดทุ ่นี ยิ มนามาทาสายสวนเพอ่ื ฟอกเลือด 33  ตาแหนง่ การใส่สายสวนระยะยาว 34  กายวภิ าคของหลอดเลือดดาทใ่ี ช่ใสส่ ายสวนระยะยาว 37  การระงับความร้สู ึกสาหรบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาว 38  การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพือ่ การฟอกเลอื ด 40  ภาวะแทรกซ้อนในระยะตรวจติดตามผลหลังผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาว 44  แนวทางการดูแลสายสวนระยะยาวภายหลังการทาผ่าตัด บทที่ 3 กำรพยำบำลผู้ป่วยโรคไตวำยท่มี ำรับกำรทำผ่ำตัดใส่สำยสวนระยะยำวเพื่อฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผ่ำตัด และ ระยะตรวจติดตำมผลหลังผ่ำตดั การพยาบาลผูป้ ว่ ยระยะเตรียมกอ่ นผ่าตัด 47  การประเมนิ ผู้ปว่ ยระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัด 47  การเตรยี มผู้ปว่ ยกอ่ นผา่ ตัด 49  การวนิ ิจฉยั และวางแผนการพยาบาลระยะเตรยี มก่อนผา่ ตดั 50  การประเมินผลการพยาบาล 54 การพยาบาลผู้ป่วยระยะตรวจติดตามผลหลังผ่าตัด 54  การประเมนิ ผู้ปว่ ยระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผา่ ตัด 54  การประเมินบาดแผลหลังผา่ ตัด 55  การวนิ จิ ฉยั และวางแผนการพยาบาลระยะตรวจติดตามผลหลงั ผา่ ตัด 59  การประเมินผลการพยาบาล 69 บทท่ี 4 กรณีศึกษำ 71 บทท่ี 5 ปัญหำ อปุ สรรค และ แนวทำงกำรแกไ้ ขปญั หำ 90 บรรณำนุกรม 97 ภำคผนวก เอกสาร ก) เรอื่ ง การฟอกเลอื ดด้วยเคร่ืองไตเทยี ม 106 เอกสาร ข) เรื่อง การควบคุมอาหารในผู้ป่วยไตวายเรื้อรงั 116 หนงั สอื เรยี นเชิญผทู้ รงคณุ วุฒติ รวจสอบเนื้อหำคู่มือ 124 คู่มอื การพยาบาลผ้ปู ว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตดั

สำรบญั ภำพ ง ภาพที่ 1 กายวิภาคของไต ข ภาพท่ี 2 การทางานของหน่วยกรองในไต ภาพที่ 3 กระบวนการสร้างนา้ ปัสสาวะ หนำ้ ภาพที่ 4 แถบตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 4 ภาพท่ี 5 Kidney Transplant 6 ภาพท่ี 6 Peritoneal dialysis (PD) 7 ภาพท่ี 7 วงจรการฟอกเลือดด้วยเครือ่ งไตเทียม 9 ภาพที่ 8 สายสวนฟอกเลอื ดชนิดชัว่ คราว 23 ภาพท่ี 9 สายสวนฟอกเลือดชนิดระยะยาว 24 ภาพท่ี 10 brachio-cephalic AV fistula 24 ภาพท่ี 11 brachio-cephalic AV graft 25 ภาพที่ 12 ตัวอย่างสายสวนระยะยาวชนิดตา่ งๆสาหรบั ผปู้ ่วย 26 ภาพที่ 13 สายสวน Mahurkar dual lumen catheter 27 ภาพที่ 14 สายสวน Hemo flow catheter 27 ภาพท่ี 15 สายสวน Bioflex Tesio 28 ภาพท่ี 16 สายสวน ASH-Split cath III 30 ภาพท่ี 17 ตาแหนง่ การใสส่ ายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด 30 ภาพที่ 18 กายวิภาคหลอดเลอื ดดาท่ีคอ 31 ภาพที่ 19 กายวภิ าคหลอดเลอื ดดาบรเิ วณขาหนบี 31 ภาพที่ 20 cervical cutdown incision 32 ภาพท่ี 21 เทคนิคการใสส่ ายสวนระยะยาวโดยใช้ลวดนาทาง 34 ภาพท่ี 22 set ทาแผล 35 ภาพท่ี 23 บาดแผลภายหลังผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลือด 37 ภาพที่ 24 เทคนิคการแกะพลาสเตอรป์ ิดแผล 39 ภาพท่ี 25 เทคนิคการกดรีดเพ่อื ประเมินแผลผา่ ตัด 55 56 56 57 คมู่ ือการพยาบาลผ้ปู ว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจติดตามผลหลงั ผา่ ตัด

สำรบญั ภำพ จ ภาพท่ี 26 การเชด็ ทาความสะอาดแผลผา่ ตดั ข ภาพที่ 27 การรอง gauze กอ่ นปิดแผล ภาพที่ 28 การปิด gauze บริเวณแผลผ่าตดั หนำ้ ภาพที่ 29 เทคนิคการปิดพลาสเตอร์เพื่อเก็บสาย 57 58 58 59 คมู่ ือการพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายที่มารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลังผ่าตัด

สำรบญั ตำรำง ฉ ตารางท่ี 1 ตารางแสดงระดบั ความรนุ แรงของโรคไตวายเรือ้ รังระยะต่างๆ ข หน้ำ 15 คมู่ อื การพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผ่าตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจติดตามผลหลงั ผ่าตดั

บทที่1 1 บทนำ บทท1่ี บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคัญ โรคไตวำยเป็นปัญหำทำงสำธำรณสุขท่ีสำคัญท่ัวโลก จำกข้อมูลสำนักงำนคณะกรรมกำร พัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติปี 2555 ในประเทศไทยพบสถิติผู้ป่วยโรคไตมีอัตรำ กำรเสียชีวิตคิดเป็นอัตรำส่วน 24.4 ต่อประชำกร 100,000 คน1 โดยพบว่ำมีคนไทยป่วยเป็นโรคไต เร้ือรังร้อยละ 17.5 ของประชำกรหรือประมำณ 8 ล้ำนคน2 เป็นผู้ป่วยโรคไตวำย 2 แสนคน และ มีอัตรำเพ่ิมข้ึนปีละกว่ำ 7,800 คน รัฐต้องสูญเสียทรัพยำกรจำนวนมำกในกำรดูแลรักษำผู้ป่วยกลุ่มน้ี ประมำณค่ำใชจ้ ่ำยในกำรรักษำเฉลย่ี รำยละ 250,000 บำทต่อปี 3 ผู้ป่วยท่ีไม่ได้รับกำรรักษำพยำบำล ที่ถูกต้องมักเกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงเสียชีวิตได้ แนวทำงกำรรักษำคือกำรบำบัดทดแทนไต ได้แก่ กำรผ่ำตัดปลูกถ่ำยไต กำรล้ำงไตผ่ำนช่องท้อง หรือกำรฟอกเลือดด้วยเคร่ืองไตเทียม ซึ่งข้อมูลจำก สมำคมโรคไตแห่งประเทศไทย ประจำปี 2553 - 2555 พบว่ำผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ำยท่ีต้องรักษำด้วย กำรบำบดั ทดแทนไตมีจำนวน เพ่ิมสูงขึ้นรวม 40,845, 47,987 และ 58,385 รำยตำมลำดับ และเป็น กลุ่มผู้ป่วยที่ไดร้ ับกำรฟอกเลือดผ่ำนเคร่ืองไตเทียมจำนวน 30,449 , 34,895 และ 40,505 รำย2,4 ใน ปัจจุบันกำรบำบัดทดแทนไต วิธีท่ีได้รับควำมนิยมมำกท่ีสุดคือ กำรฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เนื่องจำกสำมำรถขจัดของเสียออกจำกร่ำงกำยได้อย่ำงรวดเร็ว ไม่รบกวนกำรดำเนินชีวิตในสังคม ของผ้ปู ว่ ยมำกนกั และทำให้ผู้ปว่ ยมีคุณภำพชวี ิตทีด่ ีข้นึ 5,6 หน่วยตรวจด้วยเคร่ืองมือพิเศษและติดตำมผลกำรรักษำ สยำมินทร์ชั้น 1 งำนกำรพยำบำล ผ่ำตัด ฝ่ำยกำรพยำบำล โรงพยำบำลศิริรำช ได้ให้บริกำรตรวจวินิจฉัยและรักษำโรคเฉพำะทำง แก่ผู้ป่วย ประกอบด้วยคลินิกเฉพำะโรค คือ คลินิกตรวจโรคหัวใจ คลินิกตรวจศัลยกรรมตกแต่ง คลินิกตรวจรักษำด้วยเครื่องมือพิเศษฯโรค หู คอ จมูก คลินิกตรวจรักษำโรคตำด้วยเคร่ืองเลเซอร์ และ คลินิกตรวจรักษำด้วยเครื่องมือพิเศษฯโรคหลอดเลือด โดยมีพยำบำลหมุนเวียนกันมำปฏิบัติ หน้ำท่ีในหน่วยดังกล่ำว สำหรับคลินิกตรวจรักษำด้วยเครื่องมือพิเศษฯ โรคหลอดเลือด ให้บริกำร ตรวจรักษำทัง้ ในระยะเตรยี มผปู้ ่วย ก่อนผ่ำตัดเพ่ือกำรบำบัดทดแทนไตโดยกำรฟอกเลือด รวมถึงกำร ตรวจและตดิ ตำมผลภำยหลงั กำรผำ่ ตัด จำกสถติ ปิ ี 2554 - 2556 มีผู้ป่วยโรคไตวำยมำรับบริกำรตรวจ รกั ษำทง้ั สนิ้ 2,001, 2,105 และ 2,506 รำยตำมลำดบั 7 เป็นผู้ป่วยทมี่ ำเขำ้ รับกำรผ่ำตดั เพ่ือเตรียมฟอก เลือด 734, 564 และ 503 รำยตำมลำดับ8 พบว่ำผู้ป่วยท่ีได้รับกำรวำงแผนผ่ำตัดมักเกิดควำมกลัว วิตกกังวลเกยี่ วกบั กำรผ่ำตดั และกำรสูญเสียภำพลกั ษณ์หลังผ่ำตัด4 พบภำวะแทรกซ้อนที่อำจเกิดขึ้น คมู่ อื กำรพยำบำลผู้ปว่ ยโรคไตวำยทีม่ ำรบั กำรผำ่ ตัดใส่สำยสวนระยะยำวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผำ่ ตดั และระยะตรวจติดตำมผลหลงั ผำ่ ตดั

บทท่ี1 2 บทนำ ทั้งจำกภำวะโรคของผู้ป่วย และจำกกำรปฏิบัติตัวของผู้ป่วยภำยหลังกำรผ่ำตัด รวมถึงพบปัญหำด้ำน เศรษฐสถำนะตำมมำในผู้ป่วยที่มีกำรผ่ำตัดซ้ำ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถ้ำได้รับกำรประเมิน และวำงแผนดูแล ตั้งแตแ่ รกรบั จะสำมำรถลดภำวะแทรกซ้อน อตั รำกำรตำย และ ค่ำใชจ้ ่ำยในกำรรักษำพยำบำลได9้ พยำบำลประจำคลินิกตรวจรักษำด้วยเครื่องมือพิเศษฯ โรคหลอดเลือด จึงมีบทบำทสำคัญใน กำรให้กำรพยำบำล ให้กำรดูแล ให้ควำมรู้ ให้คำแนะนำ เพื่อส่งเสริมกำรดูแลสุขภำพของผู้ป่วย เริม่ ต้งั แตป่ ระเมนิ สภำวะร่ำงกำย จิตใจ จิตวิญญำณ และ สังคม ร่วมวำงแผนกำรดูแลตนเองท้ังก่อน และหลังผ่ำตัด รวมท้ังประเมินภำวะแทรกซ้อน และควำมเร่งด่วน ในกำรให้กำรดูแลรักษำกรณี ผู้ป่วยฉุกเฉินเพ่ือป้องกันผลกระทบท่ีจะเกิดต่อผู้ป่วยโดยตรง นำมำซ่ึงกำรผ่ำตัดซ้ำ หรือกำรติดเช้ือ ที่อำจเป็นอันตรำยถึงชีวิต กำรจัดทำแนวทำงปฏิบัติพยำบำลในกำรดูแลผู้ป่วยจึงเป็นส่ิงจำเป็น เพอ่ื เพ่มิ คุณภำพ และประสทิ ธิภำพในกำรดูแลผปู้ ่วย ผู้จัดทำจึงได้จัดทำคู่มือกำรพยำบำลผู้ป่วยโรคไตวำยที่มำรับกำรผ่ำตัดใส่สำยสวน ระยะยำว เพื่อฟอกเลอื ดในระยะเตรียมกอ่ นผ่ำตัดและระยะตรวจติดตำมผลหลังผ่ำตัด เพ่ือใช้เป็นแนวทำงในกำร ปฎิบิติกำรพยำบำลให้กับพยำบำลในหน่วยตรวจด้วยเคร่ืองมือพิเศษและติดตำมผล สยำมินทร์ช้ัน 1 ทห่ี มนุ เวียนกันเข้ำมำปฏิบัติงำนในคลินิกดังกล่ำว สำมำรถให้กำรดูแลผู้ป่วยโรคไตวำยท่ีมำรับบริกำร ที่คลินิกตรวจรักษำด้วยเคร่ืองมือพิเศษฯ โรคหลอดเลือด ได้ตำมมำตรฐำนกำรพยำบำล เป็นไปใน แนวทำงเดียวกันอย่ำงมีประสิทธิภำพ ผู้ป่วยได้รับบริกำรที่ดีมีคุณภำพ ปลอดภัย และเกิดประโยชน์ สงู สดุ กบั ผ้ปู ่วย วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือให้พยำบำลทรำบถึงโรค และแนวทำงในกำรดูแลรักษำผู้ป่วยโรคไตวำย ที่มำรับ กำรผำ่ ตดั ใส่สำยสวนระยะยำวเพ่อื กำรฟอกเลอื ด 2. เพ่ือให้พยำบำลสำมำรถวำงแผนกำรดูแลผปู้ ่วยโรคไตวำยที่มำรับกำรผ่ำตัดใส่สำยสวนระยะยำว เพอ่ื กำรฟอกเลอื ด ท้งั ในระยะเตรยี มกอ่ นผ่ำตดั และระยะตรวจตดิ ตำมผลหลงั ผ่ำตัดได้อยำ่ งเหมำะสม 3. เพื่อเป็นแนวทำงในกำรปฎิบัติกำรพยำบำลในกำรดูแลผู้ป่วยโรคไตวำยที่มำรับกำรผ่ำตัด ใสส่ ำยสวนระยะยำวเพือ่ กำรฟอกเลอื ด คมู่ ือกำรพยำบำลผ้ปู ว่ ยโรคไตวำยท่ีมำรบั กำรผำ่ ตดั ใส่สำยสวนระยะยำวเพอื่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผำ่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตำมผลหลังผ่ำตัด

บทท่ี1 3 บทนำ ประโยชนท์ คี่ ำดว่ำจะไดร้ บั 1. พยำบำลมคี วำมรู้ควำมเข้ำใจเกีย่ วกบั กำรดูแลผูป้ ่วยโรคไตวำยท่มี ำรับกำรผ่ำตัดใส่ สำยสวนระยะยำวเพื่อฟอกเลือด ท้งั ในระยะเตรียมก่อนผ่ำตัด และระยะตรวจตดิ ตำมผลหลงั ผำ่ ตดั 2. พยำบำลมีแนวปฏิบัติที่เป็นมำตรฐำนในกำรดูแลผู้ป่วยโรคไตวำยที่มำรับกำรเตรียมผ่ำตัด ใส่สำยสวนระยะยำวเพอ่ื กำรฟอกเลือดเปน็ ไปในแนวทำงเดียวกัน 3. ผ้ปู ว่ ยโรคไตวำยทีม่ ำรับบริกำรไดร้ ับกำรดูแลทม่ี ีประสทิ ธิภำพ ปลอดภัยจำกภำวะแทรกซ้อน และมีคุณภำพชีวติ ทด่ี ี ขอบเขต คู่มือฉบับนี้ จัดทำขึ้นสำหรับพยำบำลในหน่วยตรวจด้วยเคร่ืองมือพิเศษและติดตำม ผลกำรรักษำ สยำมนิ ทร์ช้นั 1 รวมทงั้ นกั ศึกษำพยำบำล และทีมสุขภำพที่เก่ียวข้อง เพื่อเป็นแนวทำง ในกำรดูแลผู้ป่วยโรคไตวำยท่ีมีกำรเตรียมทำผ่ำตัดใส่สำยสวนระยะยำวเพ่ือกำรฟอกเลือด ที่มำรับ บริกำรตรวจรักษำแบบผู้ป่วยนอก ต้ังแต่กำรมำตรวจคร้ังแรกเพื่อวำงแผนผ่ำตัด กำรนัดผ่ำตัด และ กำรดแู ลตรวจตดิ ตำมผลภำยหลังผำ่ ตัด นิยำมศัพท์ ภำวะไตวำย 10 หมำยถงึ ภำวะทผี่ ปู้ ่วยมกี ำรสูญเสียหน้ำท่ีของไตทำให้ร่ำงกำยไม่สำมำรถขับน้ำ ของเสียออกจำกเลือด และไม่สำมำรถรักษำควำมสมดุล น้ำ กรด ด่ำง อิเล็กโทรไลต์ของน้ำท่ีอยู่ นอกเซลล์ กำรสูญเสียหน้ำท่ีในกำรขับของเสียออกทำให้เกิดกำรค่ังของของเสีย ได้แก่ ยูเรีย ครีตินิน ฮอรโ์ มนพำรำธัยรอยด์ โซเดียม โปตัสเซียม น้ำ และกรดจำกกำรเผำผลำญ รวมท้ังกำรทำหน้ำท่ีในกำร ผลติ ฮอร์โมนลดลง กำรบำบัดทดแทนไต 11 หมำยถึง กระบวนกำรกำรรักษำเพ่ือทดแทนไต ท่ีไม่สำมำรถทำงำน ได้เองอย่ำงเพียงพอ เพ่ือช่วยให้มีกำรขจัดของเสียท่ีค่ังอยู่ในร่ำงกำย ขจัดน้ำส่วนเกินจำกร่ำงกำย รักษำสมดุลน้ำและเกลือแร่ต่ำงๆ รักษำภำวะแทรกซ้อน และผลข้ำงเคียงท่ีเกิดจำกภำวะไตวำยเร้ือรัง เพือ่ ชว่ ยใหผ้ ปู้ ่วยสำมำรถมชี วี ติ อยูร่ อดได้ และมีคุณภำพชีวิตทีด่ ี คูม่ ือกำรพยำบำลผปู้ ว่ ยโรคไตวำยทมี่ ำรบั กำรผ่ำตัดใสส่ ำยสวนระยะยำวเพือ่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มก่อนผำ่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตำมผลหลังผ่ำตัด

บทท่ี1 4 บทนำ กำรฟอกเลือดด้วยเคร่ืองไตเทียม 10,12 หมำยถึง ขบวนกำรนำเลือดของผู้ป่วยที่ประกอบด้วย น้ำ และ สำรต่ำงๆท่ีละลำยอยู่ เช่น ยูเรีย ครีตินิน เป็นต้น ผ่ำนเข้ำเคร่ืองไตเทียม โดยผ่ำนตัวกรอง (hemodialyzer) เพื่อแลกเปลี่ยนน้ำ และสำรอ่ืนๆท่ีอยู่ในเลือดกับน้ำยำ โดยวิธีกำรแพร่กระจำย เลือดที่ผ่ำนกำรกรองจะถูกกำจัดของเสียก่อนกลับเข้ำสู่เครื่องไตเทียม และเข้ำสู่ร่ำงกำย ช่วยให้ ร่ำงกำยมสี มดลุ น้ำ อิเลก็ โทรไลต์ และระดับควำมดันโลหิตเปน็ ปกติ กำรใสส่ ำยสวนชนิดระยะยำวเพื่อฟอกเลือด 13 หมำยถึง กำรใส่สำยสวนชนิดระยะยำวเข้ำไป ในหลอดเลอื ดดำใหญ่เพอื่ ใช้เป็นช่องทำงในกำรฟอกเลือด คู่มอื กำรพยำบำลผ้ปู ว่ ยโรคไตวำยทีม่ ำรบั กำรผำ่ ตัดใส่สำยสวนระยะยำวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผำ่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตำมผลหลังผำ่ ตดั

บทที่ 2 5 ความรทู้ ่ัวไปเกีย่ วกับโรคไตวาย บทที่ 2 ความรู้ทว่ั ไปเก่ยี วกับโรคไตวาย กายวิภาคและสรรี วิทยาของไต10,14,15 ระบบขบั ถ่ายปสั สาวะประกอบด้วยไตจานวน 1 คู่ หลอดไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ ไตเป็นอวัยวะหลักของระบบ อยู่นอกช่องท้องด้านหลังติดกับกระดูกสันหลัง รูปร่างคล้ายเมล็ดถ่ัว มีน้าหนักท้ังสองข้างรวมกันประมาณ 300 กรัมหรือประมาณร้อยละ 0.4 ของน้าหนักตัว ในผู้ชาย มีน้าหนักประมาณข้างละ 125 - 170 กรัม ในผู้หญิงมีน้าหนักประมาณข้างละ 115 - 155 กรัม ไตด้านขวาตง้ั อย่รู ะดับกระดกู ซ่โี ครงที่ 12 ดา้ นซ้ายอยูร่ ะหวา่ งกระดูกซโ่ี ครงที่ 11 และ 12 หน้าที่ของไตที่สาคัญคือ การรักษาสมดุลของน้าและสารต่างๆ ในร่างกายให้คงท่ีตลอดเวลา (homeostasis) โดยอาศัยกระบวนการทางานของหนว่ ยไต 3 กระบวนการ คอื กระบวนการการกรอง ของโกลเมอรลู ัส (glomerular filtration) กระบวนการดูดกลับสาร และน้า (tubular reabsorption) กระบวนการหล่ังสาร (tubular secretion) ผลสุดท้ายจะขับถ่ายสาร (renal excretion) ที่ร่างกาย ไม่ตอ้ งการ ภาพที่ 1 กายวิภาคของไต คู่มอื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผา่ ตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลงั ผ่าตัด

บทที่ 2 6 ความรทู้ ัว่ ไปเก่ียวกับโรคไตวาย เปลือกนอกของไตเรียกว่า แคปซูลของไต (renal capsule) ประกอบด้วยเส้นใย (collagen fiber) ซึ่งยดื หดไดน้ ้อย ส่วนนอกของไตเรยี กว่าคอร์เทกซ์ (cortex) มีสีน้าตาลปนแดง ประกอบด้วยส่วนท่ีขดไปมา ของหลอดไต (renal tubules) ประกอบด้วยหลอดไตส่วนต้นและส่วนปลาย (proximal และ distal tubules) ปะปนอยู่กับโกลเมอรูลัส (glomerulus) ส่วนในของไตเรียกว่าเมดัลลา (medulla) มองเห็นเป็นกลุ่มคล้ายรูปพัด แต่ละกลุ่มเรียกว่า พีรามิด (pyramid) แต่ละพีรามิด ประกอบด้วย หลอดไตสว่ นโคง้ กลบั (Henle’s loop) หน่วยไต หนว่ ยไต (nephron) เป็นส่วนท่ีทาหน้าท่ี (function unit) ของไต ไตแตล่ ะขา้ งประกอบด้วย หนว่ ยไตประมาณ 1-1.5 ลา้ นหน่วย หน่วยไตประกอบดว้ ย 1. แคปซลู ของไต renal corpuscle เปน็ ส่วนต้นของหน่วยไต เหน็ เป็นกระเปาะพองประกอบด้วย 1.1. แคปซลู ของโบวแมน (bowman’s capsule) เป็นส่วนต้นของหลอดไต ภายในประกอบด้วย แขนงหลอดเลือดฝอยมากมาย 1.2. โกลเมอรูลัส (glomerulus) เป็นกลุ่มของหลอดเลือดฝอยในแคปซูลของโบวแมน ซึ่งแยก แขนงมาจากหลอดเลือดแดงเล็กขาเข้า (afferent arteriole) แล้วกลับมารวมกันเป็นหลอดเลือดแดง เล็กขาออก (efferent arteriole) โกลเมอรูลัสประกอบด้วยช้ันของเซลล์ 3 ช้ัน ช้ันแรกเป็นเซลล์บุผิว หลอดเลือดฝอย ช้ันกลางเป็นเนื้อเย่ือฐานของโกลเมอรูลัส และเน้ือเย่ือฐานของโบวแมน ช้ันนอกสุด เป็นเซลลบ์ ุผิวแคปซูลของโบวแมน 2. หลอดไตส่วนต้น (proximal tubule) เป็นส่วนที่ต่อมาจากแคปซูลของโบวแมน มีลักษณะคดเคี้ยว ทาหน้าท่ีดูดกลับ สารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน กลูโคส โปแตสเซียม น้า โซเดียม คลอไรด์ ฟอสเฟส ไบคาร์บอเนต และสารอินทรีย์อื่นๆจะถูกดูดกลับเข้าหลอดเลือดในบริเวณนี้เกือบหมด และขับ ไฮโดรเจน 3. หลอดไตสว่ นโคง้ กลบั (Henle’s loop) เป็นทอ่ เล็ก ๆ ที่ตอ่ จากหลอดไตส่วนต้นทอดโค้งเป็นห่วง แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ทอดลง (descending loop) และส่วนท่ีวกขึ้น (ascending loop) ส่วนนี้จะ ดูดกลับสารต่างๆ ได้แก่ น้า โซเดียม คลอไรด์ และยูเรีย การดูดกลับน้าขึ้นอยู่กับแรงดันออสโมลาลิต้ี ระหว่างภายใน และภายนอกหลอดไต ส่วนที่วกข้ึนจะไม่ให้น้าผ่านออก จะดูดกลับน้าจนกว่าจะมี ออสโมลาลติ ้เี ท่ากับใน interstitial fluid หลอดไตสว่ นนี้จะดูดกลับสารต่างๆได้แก่ น้า โซเดียม คลอไรด์ และยูเรีย คมู่ ือการพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผา่ ตดั ใสส่ ายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตัด

บทท่ี 2 7 ความร้ทู ่ัวไปเกีย่ วกับโรคไตวาย 4. หลอดไตส่วนปลาย (distal tubule) จะมีเซลล์ท่ีมีลักษณะเบียดแน่น สัมผัสกับหลอดเลือดแดงเล็ก ขาเขา้ ทาหนา้ ทใี่ นการหลง่ั เรนนิ หลอดไตส่วนนี้มกี ารดูดกลับน้าไดด้ ี เนื่องจากมีการตอบสนองต่อฤทธิ์ ของฮอร์โมนแอนตไี ดยูรติ คิ (antidiuretic hormone: ADH) หลอดไตส่วนนี้สามารถดูดกลับ และหลั่ง โปแตสเซียมไดม้ าก 5. หลอดไตรวม (collecting tubule) เป็นส่วนปลายของหลอดไต สามารถดูดกลับสารหลายชนิด เช่น โซเดียมโปแตสเซียม คลอไรด์ ยูเรีย รวมท้ังน้า เพ่ือช่วยควบคุมปริมาตรสารน้าและสามารถ หลั่งสารทชี่ ว่ ยในการรกั ษาสมดลุ กรดดา่ งของรา่ งกาย ภาพที่ 2 การทางานของหนว่ ยกรองในไต16 การทางานของไตอาศยั กระบวนการพืน้ ฐานทีส่ าคัญ 3 ขัน้ ตอน คอื 10,14,15 1. การกรองชนิดอลั ตราผา่ นโกลเมอรูลสั (glomerular ultrafiltration) เป็นข้ันตอนแรกของการผลิตปัสสาวะ มีการกรองสารน้าออกจากพลาสมาบริเวณโกลเมอรูลัส ลงไปสู่แคปซูลของโบวแมน สารน้าที่กรองได้มักมีความเข้มข้นของตัวละลายต่างๆ และออสโมลาลิตี้ เท่ากับพลาสมา แต่มีความแตกต่างกันที่ตัวละลายประจุลบ เนื่องจากโปรตีนท่ีมีประจุลบจะผ่านออก ได้น้อย หรือไม่ได้เลย ทาให้อิเล็กโทรไลต์ท่ีมีประจุลบถูกกรองออกมาได้มากกว่า เพื่อปรับสมดุลของ ประจุสารน้าและพลาสม่าท่ีกรองได้ ส่วนหลอดเลือดแดงเล็กขาออกจะมีความเข้มข้นของโปรตีน มากขน้ึ ปกตใิ นปัสสาวะจะมีโปรตนี ออกมาประมาณ 40-80 มก.และมอี ลั บมู นิ ประมาณ 10 มก. คมู่ ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจติดตามผลหลงั ผ่าตัด

บทท่ี 2 8 ความรู้ทว่ั ไปเกย่ี วกบั โรคไตวาย อัตราการกรองของโกลเมอรูลัส (glomerular filtration rate: GFR ) สามารถวัดได้จากปริมาตร ของสารน้า ที่ผ่านกระบวนการกรองออกมาจากไตทั้งสองข้างในหนึ่งหน่วยเวลา อัตราการกรองของ แต่ละบุคคลแตกต่างกัน แต่มักคงที่ในบุคคลน้ันๆ ผู้ชายมีค่าเฉล่ียประมาณ 110 - 140 มล/นาที/พ้ืนท่ีผิว 1.73 เมตร2 ผู้หญิงประมาณ 95 - 125 มล/นาที/พื้นท่ีผิว 1.73 เมตร2 โดยท่ีร้อยละ 99 ของสารน้า ท่ีกรองออกมาจะถูกดูดกลับเข้าไปในระบบไหลเวียนได้ใหม่ อัตราการกรองจะเปลี่ยนแปลงตามอายุ และพ้นื ท่ผี วิ ของร่างกาย 2. การดูดกลับของสารโดยหลอดไตฝอย (tubular reabsorption) เป็นกระบวนการดูดกลับสารบางตัวท่ีเป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้แก่ กลูโคส โซเดียม น้า ซง่ึ ส่วนใหญจ่ ะเกดิ ขึ้นท่หี ลอดไตส่วนตน้ มากทสี่ ุด 3. การคัดหล่งั สารโดยหลอดไตฝอย (tubular secretion) เป็นกระบวนการขนถ่ายสารจากเลือด เข้าไปยังหลอดไต ขบวนการนี้เป็นการเลือกขับสาร เฉพาะบางตัวเท่าน้ัน โดยขับสารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือถ้ามีมากจะเป็นโทษ ได้แก่ ไฮโดรเจนออิ อน ยเู รต ครตี นิ ิน ภาพท่ี 3 กระบวนการสร้างน้าปสั สาวะ17 คมู่ ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผา่ ตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลังผา่ ตัด

บทที่ 2 9 ความร้ทู ั่วไปเกย่ี วกับโรคไตวาย การวดั ประสิทธภิ าพการทางานของไต10,15 สามารถวัดไดห้ ลายวิธดี ังน้ี 1. การวดั ค่าซีรัมครีตนิ ิน (serum creatinine ) นิยมใช้บ่อยที่สุดทางคลินิกเน่ืองจากสามารถทาได้ง่าย แต่มีความไวค่อนข้างต่ากว่าวิธีวัดอัตรา การกรองของไต (glomerular filtration rate: GFR) ครีตินินเป็นผลจากเมตาบอลิสึมของครีเอติน (creatine) ในกล้ามเน้ือ ถูกขับออกทางไตเป็นส่วนใหญ่ เมื่อไตทางานบกพร่อง อัตราการกรองของไต จะลดลง ทาให้อัตราการขับครีตินินออกทางปัสสาวะลดลง มีผลให้ปริมาณครีตินินในเลือดสูงขึ้น คา่ ปกตใิ นผูช้ ายจะเท่ากบั 0.8 - 1.3 มก./ดล. ในผหู้ ญงิ จะเท่ากับ 0.6 - 1.0 มก./ดล. ถ้าค่าครีตินินใน เลอื ดเพิม่ เป็น 2 มก./ดล. คา่ อัตราการกรองของไตมักเหลือเพียงร้อยละ 40 - 50 ของค่าปกติ และเมื่อ ค่าครีตินินในเลือดเพ่ิมเป็น 3 และ 4 มก./ดล. อัตราการกรองของไตจะเหลือเพียงร้อยละ 20 - 30 และรอ้ ยละ 15 - 20 ตามลาดบั เมอ่ื ค่าครีตนิ ินในเลือดเพม่ิ ขึ้นเป็น 10 มก./ดล. อตั ราการกรองของไต มักเหลอื เพยี งประมาณรอ้ ยละ 1 - 2 ของคา่ ปกตเิ ทา่ นน้ั 2. การวดั ค่าอัตราการกรองของไต (glomerular filtration rate: GFR) อัตราการกรองของไตเปน็ ดรรชนีแสดงสมรรถภาพการทางานของไตทง้ั ระบบ ค่าอัตราการกรอง ของไตสูงแสดงว่าไตทางานดี วิธีที่นิยมใช้วัดมี 2 วิธีคือ การวัดโดยกัมมันตภาพรังสี และ วิธีหา ค่าเคลียแรนซ์ คานวนได้จาก การเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง วัดปริมาณปัสสาวะ ร่วมกับตรวจหาค่าซีรัม ครตี ินิน ค่าเคลยี แรนซ์ครีตินิน (clearance creatinine: CCr) คือ ปริมาตรของพลาสม่า ท่ีต้องใช้เพ่ือ กาจัดเอาครตี นิ นิ ออกให้หมดอย่างสมบูรณภ์ ายในหนึง่ หนว่ ยเวลา มีหนว่ ยเป็น มล./นาที สูตรการหาค่า เคลยี แรนซ์ครีตนิ ิน มีดงั น้ี CCr= ค่าครีตนิ นิ ในปสั สาวะ (มก./ดล.) x ปริมาณปัสสาวะ (มล/นาท)ี ค่าครีตินินในเลอื ด (มก./ดล.) หรืออาจคานวณโดยใช้สูตรของ Cockroft และ Gault equation โดยปรับมาตรฐานด้วย ค่าตอ่ พืน้ ทผี่ ิวกาย 1.73 เมตร2 (adjusted CCr) ดงั น้ี CCr = (140-อาย(ุ ปี) ) xนา้ หนักตวั (กโิ ลกรมั ) x 0.85 ในผหู้ ญงิ ค่าครีตินนิ ในเลือด (มก./ดล.) x 72 Adjusted CCr = CCr x 1.73 ค่มู ือการพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผา่ ตดั ใสส่ ายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตดั

บทที่ 2 10 ความรทู้ ั่วไปเกีย่ วกบั โรคไตวาย 3. การตรวจโปรตนี ในปัสสาวะ เป็นการตรวจโปรตีนในปัสสาวะอย่างง่ายโดยการจุ่มแถบตรวจในปัสสาวะ ผลการตรวจ จะข้ึนอยกู่ ับความเข้มขน้ ของปสั สาวะทีน่ ามาตรวจ ถ้าเจือจางมากจะให้ผลลบ วัดโดยการเก็บปัสสาวะ 24 ชวั่ โมง จะได้ค่าผลตรวจท่แี นน่ อนยิ่งขนึ้ ภาพที่ 4 แถบตรวจโปรตนี ในปัสสาวะ18 ภาวะไตวาย (renal failure)10,12,15 ภาวะไตวายเป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีการสูญเสียหน้าที่ของไต ไม่สามารถรักษาความสมดุลของ น้า กรด ดา่ ง อเิ ลก็ โทรไลตข์ องน้าทีอ่ ยนู่ อกเซลล์ (extracellular fluid) รวมทั้งการทาหน้าท่ีในการผลิต ฮอรโ์ มนลดลง สญู เสยี หน้าท่ใี นการขับของเสียออกทาใหเ้ กิดการค่ังของของเสีย ได้แก่ ยูเรีย ครีตินิน ฮอร์โมนพาราธัยรอยด์ โซเดียม โปตัสเซียม น้า และกรดจากการเผาผลาญ เป็นต้น ในทางปฏิบัตินิยมวัด จากค่าการคั่งของของเสียจากการตรวจหาปริมาณครีตินิน (serum creatinine: Cr) และยูเรียไนโตรเจน (blood urea nitrogen: BUN) ในเลอื ด ในภาวะท่ีไตสูญเสียการทางานอย่างทันทีทันใด เรียกว่า ภาวะไตวายเฉียบพลัน ส่วนภาวะที่มี การเสือ่ มของไตตดิ ตอ่ กันนานกวา่ 3 เดอื น เรียกวา่ ภาวะไตวายเร้อื รงั ในปี 2002 national kidney foundation กาหนดให้ใช้คาว่า โรคไตเรื้อรังแทนคาว่า ภาวะ ไตวายเรื้อรัง โดยกาหนดแนวปฏิบัติทางคลินิคในการแบ่งระยะของโรคไตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทาให้มีการ จัดการในการดแู ลผปู้ ่วยทกุ ระยะอยา่ งเหมาะสม ชะลอความเส่อื มสภาพของไต และเพ่ิมผลลัพธ์ในการ ดูแลผูป้ ่วยไดด้ ยี ิ่งขนึ้ 19 คู่มอื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตดั

บทท่ี 2 11 ความรู้ทวั่ ไปเกยี่ วกับโรคไตวาย ภาวะไตวายเฉียบพลนั (acute renal failure: ARF)10,12,19,20 ภาวะไตวายเฉียบพลัน หมายถึง ภาวะที่การทางานของไตเส่ือมลงอย่างรวดเร็ว สูญเสียหน้าท่ี การทางานของไตอย่างทันทีทันใด ในระยะเวลาสั้นและมีความรุนแรง มีการลดลงของอัตราการกรอง ของไต ทาให้มีการค่ังของของเสีย เกิดความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ และกรดด่าง ส่งผลกระทบ ต่ออวัยวะสาคัญ และอาจทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยโรค และการรักษาพยาบาล อยา่ งรวดเรว็ และถูกตอ้ ง พยาธสิ รีรวิทยา (pathophysiology) 10,12,19,20 สาเหตุของการเกิดโรคไตวายเฉียบพลันนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานว่าเกิดจาก การท่ีท่อไตไม่สามารถเก็บกักโซเดียมได้อย่างปกติ เน่ืองจากโซเดียมเป็นตัวกระตุ้นการเกิดระบบ เรนนิน-แองจิโอเทนซิน-อัลโดสเตอโรน มีผลทาให้มีการลดการไหลเวียนกลับของเลือดบริเวณไต ร่างกายจึงเพ่ิมการหลั่งวาโซเพรสซิน ทาให้เซลล์บวม ยับย้ังการสังเคราะห์โพรสทาแกลนดิน และ กระตุ้นระบบ เรนนิน-แองจิโอเทนซินให้หล่ังมากข้ึน ทาให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ซึ่งมีผลลด การไหลเวียนของเลือดบริเวณไตด้วย อัตราการกรองที่ท่อไตจึงลดลง และทาให้มีปัสสาวะน้อยกว่า ปกติ การลดอัตราการไหลเวียนเลือดทไี่ ต นาไปสู่การลดการส่งออกซเิ จนไปยงั ท่อไตส่วนต้น ดังนั้นจึง มีผลทาให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อและกลุ่มเซลล์ เกิดการเปล่ียนแปลงที่เมมเบรนของหลอดเลือด ท่ีท่อไต การหดเกร็งของหลอดเลือดบริเวณไตทาให้ลดอัตราการกรองของไต หรืออาจเกิดการอุดตัน ในทอ่ ไตจากเซลล์และเศษเซลล์ ทาใหค้ วามดันในทอ่ ไตเพมิ่ ขน้ึ เปน็ ผลให้ไตถูกทาลาย สาเหตแุ ละปจั จัยเสี่ยง (etiology and risk factors) 10,12,19,20 ภาวะไตวายเฉยี บพลนั สามารถจาแนกสาเหตุ แบง่ เป็น 3 กล่มุ ดังน้ี 1. สาเหตุท่ีเกดิ กอ่ นไต (pre-renal failure) พบรอ้ ยละ 40-80 2. สาเหตทุ เ่ี กดิ ภายในไต (intrinsic renal failure) พบรอ้ ยละ 10-50 3. สาเหตุท่เี กิดหลังไต (post-renal failure) พบร้อยละ 10 คมู่ ือการพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผ่าตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตดั

บทท่ี 2 12 ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกับโรคไตวาย สาเหตทุ เี่ กดิ กอ่ นไต (pre-renal failure) คือ กลุ่มอาการท่ีมีการลดลงของเลือดท่ีไปเลี้ยงไต ทาให้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าท่ีของไต แตไ่ มไ่ ด้เกดิ จากพยาธิสภาพท่ีไต ไดแ้ ก่ การเสียเลือด แผลไฟไหม้ ภาวะช็อค การติดเช้ือ หัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจตาย หลอดเลือดที่ไตอุดตัน ภาวะขาดน้าจากท้องร่วง อาเจียน หรือปัสสาวะมีน้าตาลมาก ผิดปกติ โดยปกติไตได้รับเลือดร้อยละ 20 - 25 ของปริมาณเลือดท่ีออกจากหัวใจหน่ึงนาที (cardiac output) ทาให้มีปริมาณอัตราการกรองของไตมีจานวนมาก เพ่ือช่วยในการขับถ่ายของเสียจากการ เผาผลาญของร่างกาย ควบคุมสมดุลของน้า และอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย ในภาวะที่ไตได้รับเลือดไปเลี้ยง น้อยกว่าร้อยละ 20 ของปริมาณเลือดท่ีออกจากหัวใจในหนึ่งนาที จะทาให้เน้ือไตขาดเลือด (renal ischemia) สาเหตทุ เ่ี กิดภายในไต (intrinsic renal failure) คือ กลุ่มอาการที่มีพยาธิสภาพเริ่มต้นที่ เน้ือไต โกลเมอรูลัส หลอดไต หรือเส้นเลือดมีการ เปลี่ยนแปลงของเน้ือเยื่อ สาเหตุท่ีพบบ่อยที่สุดคือการเน่าตายของหลอดไตอย่างเฉียบพลัน (acute tubular necrosis) พบได้ถึงร้อยละ 70 เกิดจากไตขาดเลือดไปเลี้ยง สาเหตุจากโรค เช่น การอักเสบของไตหรือกรวยไตจากเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส นิ่วกดเบียดเน้ือไต มาลาเรีย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือ ได้รับยาหรือสารที่มีพิษต่อเนื้อไต ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ เช่น ampicillin, sulfonamides ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น aspirin, indomethacin สารทึบรังสีที่ใช้ ในการใส่สายสวนเพอื่ ตรวจการทางานของหัวใจ สารตะกั่วหรือปรอท เปน็ ต้น สาเหตุหลังไต (post-renal failure) คือ กลุ่มอาการท่ีมีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะตั้งแต่กรวยไตถึงท่อปัสสาวะ โดยไม่มีพยาธิ สภาพเรม่ิ ตน้ ท่ีเนอ้ื ไต อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ เน้ืองอกต่อมลูกหมากโต นิ่วในไต นิ่วในท่อไต นิว่ ในกระเพาะปัสสาวะ เกดิ ลม่ิ เลอื ด หรือการตดิ เช้ือ มะเร็งปากมดลูก เป็นตน้ คมู่ อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลงั ผ่าตดั

บทท่ี 2 13 ความรทู้ วั่ ไปเก่ยี วกับโรคไตวาย อาการแสดง(clinical manifestation) 10,12,19,20 อาการแสดงของภาวะไตวายเฉยี บพลนั มีระยะการดาเนนิ ของพยาธิสภาพ 4 ระยะดังนี้ 1. ระยะเริ่มแรก (initial phase) ร่างกายยังสามารถปรับตัวโดยหลั่งสารท่ีทาให้หลอดเลือด หดตัว เพอื่ ใหเ้ ลอื ดไปเล้ียงอวยั วะที่สาคญั เชน่ สมอง หวั ใจ ทาให้เลอื ดทไี่ ปเลย้ี งไตลดลง 2. ระยะที่มีปัสสาวะออกน้อย (oliguric phase) หรือไม่มีน้าปัสสาวะออกจากร่างกาย เน่ืองจากไต เริ่มมกี ารทางานที่บกพร่อง ระยะน้เี ร่มิ ต้งั แต่ 1 วัน ถึง 2 สัปดาห์ อาการปัสสาวะออกน้อยยาวนานเท่าไร อาการของโรคก็ย่ิงแย่ลงเท่าน้ัน ในระยะนี้ไตไม่สามารถขับของเสียออกได้ ทาให้ระดับของครีตินิน และยูเรียไนโตรเจนเพมิ่ สูงขึ้น มีการคั่งของ น้า และเกลือแร่ในกระแสเลือด เช่น โปตัสเซียม ฟอสเฟส แมกนีเซียม กรดยูริก และไฮโดรเจนอิออน ระยะนี้ต้องระมัดระวังการได้รับสารเหล่าน้ีเพิ่มในร่างกาย เช่น การให้สารน้า ซ่ึงอาจจะทาให้เกิดการบวม น้าท่วมปอด หัวใจล้มเหลว จึงควรควบคุมการให้น้า จากัดอาหารท่ีมีโปรตีนสูงเนื่องจากจะทาให้กรดเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด เกิดภาวะเลือดเป็นกรด เกิด ภาวะโปตัสเซียมในเลือดสูง (hyperkalemia) ทาให้เกิดอาการเป็นพิษของโปตัสเซียมซ่ึงมีผลต่อ กล้ามเน้ือหัวใจ ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดปกติหรือหยุดเต้นได้ การเปล่ียนแปลงมีอาการและอาการแสดง ดงั นี้  ระดับโปตสั เซียมสูงเกิน 6.5 มิลลิโมล/ลติ ร คล่ืนไฟฟ้าหวั ใจจะมี T-wave สูง  ระดับโปตัสเซียม 6.5 - 7.5 มิลลิโมล/ลิตร หัวใจเต้นช้าลง QRS complex กว้างข้ึน P-R interval จะยาวข้ึน P-wave ต่าลงจนในที่สุดหายไป กลายเป็น complete heart block  ระดับโปตัสเซียมสูงกว่า 7.5 - 8 มิลลิโมล/ลิตร ทาให้ R-wave ลดลงจนในท่ีสุดเกิด QRS และ T-wave เปลี่ยนเป็นฟันเลื่อยจนเกิด ventricular fibrillation และเกิดภาวะ หวั ใจหยดุ เตน้ อาการแสดงของภาวะยูรีเมียจะเริ่มชัดเจนในสัปดาห์ท่ีสอง ทาให้มีอาการแสดงในระบบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ ภาวะท่ีมีโปตัสเซียมในเลือดสูง อาการคล่ืนไส้ อาเจียน บวม ( pulmonary edema) อาการซึม จนถึงอาการชกั และหมดสติ 3. ระยะปัสสาวะออกมาก (diuretic phase)ปัสสาวะอาจจะออกถึงวันละ 1,000 - 2,000 มล. ซึ่งอาจนาไปสภู่ าวะขาดน้า ร้อยละ 25 จะตายจากภาวะไตวายเฉยี บพลนั ในระยะนี้ 4. ระยะฟืน้ สภาพ (recovery phase) เปน็ ระยะทห่ี น้าทีข่ องไตค่อยๆฟื้นสภาพอย่างช้าๆ อาจใช้ เวลาฟน้ื สภาพร้อยละ 70 - 80 ภายในเวลาระยะ 1 ปี ในบางรายอาจมีการเสียหน้าทีบ่ างสว่ นอย่างถาวร คู่มือการพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผา่ ตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตัด

บทท่ี 2 14 ความรู้ทั่วไปเกยี่ วกบั โรคไตวาย แนวทางการดแู ลรักษาผู้ปว่ ยภาวะไตวายเฉียบพลนั 19,20 การรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือการป้องกัน และจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้นตามพยาธิสภาพ และ สาเหตุของการเกิด ป้องกันกระบวนการต่างๆท่ีก่อให้เกิดภาวะน้ี เป้าหมายคือการรักษาปริมาณ น้า และอิเล็คโทรไลต์ให้สมดุล เพื่อคงปริมาณเลือดให้ไปเลี้ยงไตได้อย่างพอเพียง ป้องกันภาวะวิกฤติ ที่อาจเกดิ ในผูป้ ว่ ยไตวายเฉียบพลัน การรักษาทร่ี วดเร็วและถกู ตอ้ งสามารถทาให้ไตกลับสู่สภาพปกติได้ แตถ่ า้ ผปู้ ว่ ยมีปริมาณน้าในระบบไหลเวียนมากเกินไป หรือมีภาวะของเสียค่ังในกระแสเลือด (uremia) มีภาวะโปตัสเซียมในเลือดสูง ภาวะเลือดเป็นกรดอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนแปลงการทางานของ ระบบประสาทสว่ นกลาง หรอื มเี ยื่อหมุ้ หัวใจอักเสบ จะรักษาภาวะดังกลา่ วโดยการรกั ษาด้วยการบาบัด ทดแทนไต โรคไตเรอ้ื รัง (chronic kidney disease : CKD)10,12,15,19-21 โรคไตเร้ือรัง หมายถึง ภาวะท่ีมีความผิดปกติทางโครงสร้างหรือการทาหน้าท่ีของไตอย่างใด อย่างหน่ึงติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน เช่น การมีน่ิว หรือถุงน้าท่ีไต การมีโปรตีน หรือเม็ดเลือดแดง ในปัสสาวะ โดยท่ีอัตราการกรองของไตอาจปกติหรือผิดปกติก็ได้ รวมถึงการตรวจพบอัตราการกรอง ของไตต่ากว่า 60 มล./นาที/พ้ีนท่ีผิวกาย 1.73 เมตร2 ติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะมีความผิดปกติ ทางโครงสรา้ งหรอื การทาหน้าท่ขี องไตกต็ าม12,20 โรคไตเร้ือรังเปน็ ภาวะท่ไี ตมกี ารเส่ือมหน้าท่ลี งเร่ือยๆ ซึ่งการเสื่อมน้ีไม่สามารถแก้ไขให้กลับฟ้ืน คืนสู่สภาวะปกติ จนถึงจุดที่ระบบสมดุลของร่างกายไม่สามารถปรับได้ อาการจะค่อยเป็นค่อยไป โดยยังไม่ปรากฎอาการในระยะแรก และจะเรมิ่ แสดงอาการเม่อื เขา้ สู่ระยะไตวาย พยาธิสรีรวทิ ยา (pathophysiology) 10,12,15,19-21 เกิดจากการเส่ือมของไต และการถูกทาลายของหน่วยไต มีผลให้อัตราการกรองทั้งหมดลดลง และการขบั ถ่ายของเสยี ลดลง ปรมิ าณครีตนิ ิน และ ยูเรียไนโตรเจน ในเลือดสูงขึ้น หน่วยไตที่เหลืออยู่ จะเจริญมากผิดปกติเพื่อกรองของเสียท่ีมีมากขึ้น ผลท่ีเกิดทาให้ไตเสียความสามารถในการปรับ ความเข้มข้นปัสสาวะ ปัสสาวะถูกขับออกไปอย่างต่อเน่ือง หน่วยไตไม่สามารถดูดกลับเกลือแร่ต่างๆ ได้ ทาให้สูญเสยี เกลือแร่ออกจากรา่ งกาย จากการท่ีไตถูกทาลายมากข้ึน และการเส่ือมหน้าท่ีของหน่วยไต ทาให้อัตราการกรองของไต ลดลง รา่ งกายจงึ ไมส่ ามารถขจัดนา้ เกลอื ของเสียต่างๆ ผ่านไตได้ เมื่ออัตราการกรองของไตน้อยกว่า 10-20 มล./นาที ส่งผลให้เกิดการค่ังของยูเรียในร่างกายเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้น เม่ือเขา้ สูร่ ะยะดังกลา่ วผูป้ ่วยจึงควรไดร้ บั การรักษาด้วยการบาบดั ทดแทนไต ค่มู ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผา่ ตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลงั ผา่ ตัด

บทท่ี 2 15 ความรูท้ วั่ ไปเก่ยี วกับโรคไตวาย สาเหตุและปจั จัยเสย่ี ง (etiology and risk factors) 10,12,15,19-21 โรคไตเร้ือรังเกิดได้จากความผิดปกติใดก็ตาม ท่ีมีการทาลายเน้ือไต ทาให้มีการสูญเสียหน้าท่ี ของไตอย่างถาวร ซึ่งมักค่อยเป็นค่อยไป สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคเบาหวาน รองลงมาคือโรค ความดนั โลหิตสงู ส่วนสาเหตุอืน่ ไดแ้ ก่ โรคหลอดเลือดฝอยในไตอักเสบเรื้อรัง (glomerrulonephritis) ความผดิ ปกตขิ องไต และ ระบบทางเดินปสั สาวะต้งั แต่กาเนดิ โรคพันธุกรรมตา่ งๆ เช่น โรคลปู ัส ภาวะอดุ กนั้ ในทางเดนิ ปสั สาวะ รวมทงั้ ไตอักเสบเรอื้ รงั จากการติดเชื้อ ระยะของโรคและอาการแสดง (clinical manifestation)12,19 ระยะของไตเร้อื รังแบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับการทางานของไต โดยใช้ค่าอัตราการกรอง ของไตเป็นตวั กาหนดดังนี้ ระยะท่ี 1 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 90 มล./นาที/พ้ีนที่ผิวกาย 1.73 เมตร2 หมายถึง การมคี วามผิดปกติของไต แต่ค่าอตั ราการกรองของไตยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรืออาจต่าลงเล็กน้อย ในระยะน้ี ยงั ไม่พบอาการแสดงที่ผดิ ปกติ แตบ่ างรายอาจตรวจพบโปรตนี ในปัสสาวะได้ ระยะท่ี 2 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 60 - 89 มล./นาที/พ้ีนท่ีผิวกาย 1.73 เมตร2 หมายถงึ การมีความผดิ ปกตขิ องไต เมอ่ื คา่ อตั ราการกรองของไตลดลงเล็กน้อยโดยท่ัวไปผู้ป่วยจะยังคง มีอาการปกติ ความดันโลหิตอาจเร่ิมสูงข้ึนในระยะนี้ จะเริ่มพบความผิดปกติในผลการตรวจ ทางหอ้ งปฏิบตั กิ ารต่างๆ ระยะท่ี 3 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 30 - 59 มล./นาที/พ้ีนท่ีผิวกาย 1.73 เมตร2 หมายถึง การมคี วามผดิ ปกตขิ องไต ค่าอัตราการกรองของไตลดลงปานกลาง มักยังไม่แสดงอาการผิดปกติ โดยสว่ นใหญพ่ บภาวะความดันโลหติ สงู และอาจตรวจพบภาวะซีด แคลเซียมในเลือดต่า และฟอสเฟต ในเลือดสูงไดใ้ นระยะนี้ ซ่ึงตอ้ งมีการเฝ้าระวงั และใหก้ ารรกั ษาภาวะแทรกซอ้ นทีอ่ าจเกดิ ขนึ้ ระยะท่ี 4 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตมากกว่า 15 - 29 มล./นาที/พ้ีนที่ผิวกาย 1.73 เมตร2 หมายถึง การมีความผิดปกติของไต และค่าอัตราการกรองของไตลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยมักมีอาการ ออ่ นเพลีย ไมม่ แี รง เบือ่ อาหาร บวม ความจาแย่ลง ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆผิดปกติ พบภาวะ กรดจากการเผาผลาญ (metabolic acidosis) และไขมันในเลือดผิดปกติ (dislipidemia) ควรมีการ เตรียมพร้อมเพอ่ื ให้การบาบัดรักษาทดแทนไตต่อไป คู่มอื การพยาบาลผ้ปู ว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผา่ ตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลังผา่ ตัด

บทที่ 2 16 ความรู้ทั่วไปเก่ยี วกับโรคไตวาย ระยะที่ 5 ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มล./นาที/พ้ีนที่ผิวกาย 1.73 เมตร2 ซ่งึ ถือวา่ เปน็ ระยะไตวาย ทาให้มีความผิดปกติเกือบทุกระบบของร่างกาย ร่างกายเสียสมดุล น้า และ อิเล็กโตรไลต์ ผู้ป่วยมีอาการยูรีเมีย เช่น อ่อนเพลีย เบ่ืออาหาร ผิวแห้ง คัน คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก เปน็ ตะครวิ นอนไมห่ ลับ อาจเกดิ ภาวะหวั ใจวายเน่ืองจากน้าเกิน และภาวะความดันโลหิตสูงได้ ผู้ป่วย จาเป็นต้องได้รบั การบาบดั ทดแทนไต โดยเฉพาะในรายทม่ี อี าการยูรีเมยี ตารางท่ี 1 แสดงระดับความรุนแรงของโรคไตวายเร้ือรงั ระยะต่างๆ22 ระยะของโรคไตวายเรื้อรงั ระยะ ข้อบง่ ช้ี อตั ราการกรองของไต (GFR) มล./นาท/ี พ้นื ที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม. ระยะท1ี่ มีการทาลายไตเกิดขึ้นแต่อตั ราการกรองยังอยู่ในเกณฑ์ ปกติ มากกว่าหรือเทา่ กับ 90 ระยะท2ี่ มกี ารทาลายไตรว่ มกับอตั ราการกรองลดลงเลก็ น้อย อยู่ในช่วง 60-89 ระยะท3ี่ มีการลดลงของอัตราการกรองของไตปานกลาง อยู่ในช่วง30-59 ระยะท4่ี มกี ารลดลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง อยใู่ นช่วง 15-29 ระยะท5่ี มีภาวะไตวายเร้ือรังระยะสดุ ท้าย น้อยกวา่ 15 หรือต้องฟอกเลอื ด ผลกระทบจากภาวะไตวายและการเปลย่ี นแปลงทางพยาธสิ ภาพ12,13,20,21,23 1. การเปล่ยี นแปลงทางเมตาบอลคิ (metabolic alteration) ไดแ้ ก่ 1.1 ยูเรียและครีตินิน ผู้ป่วยจะมีระดับของยูเรียไนโตรเจน และครีตินิน ในกระแสเลือดสูง เม่ืออัตราการกรองของไตเหลือน้อยกว่าร้อยละ 40 การค่ังค้างของยูเรีย จะทาให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจยี น ทอ้ งเดนิ ซีด เลอื ดออกในลาไส้ ยเู รียท่ีคัง่ ค้างมากจะซมึ ออกมาตามผิวหนังเมื่อแห้งแล้วจะเป็น ขี้เกลือ (uremic frost) ยูเรียท่ีดูดซึมในลาไส้จะถูกเปลี่ยนเป็นแอมโมเนีย และถูกดูดกลับเข้าสู่ กระแสเลือด ทาให้ลมหายใจมกี ลิน่ เหมอื นปัสสาวะ (uremic odor) การรับรสของล้ินเสีย เกิดแผลใน ลาไส้ และกระพุ้งแก้ม ถ้าหน่วยไตถูกทาลายไปร้อยละ 75 ระดับของครีตินินในเลือดจะเพิ่มข้ึนเป็น 4 เทา่ ผปู้ ่วยจะมอี าการของโรคไตปรากฏ ค่มู ือการพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผ่าตดั ใสส่ ายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตดั

บทท่ี 2 17 ความร้ทู ่วั ไปเกี่ยวกับโรคไตวาย 1.2 โซเดียม ในระยะแรกๆผู้ป่วยมักมีโซเดียมในเลือดต่า เน่ืองจากมีภาวะปัสสาวะออกมาก อาเจียนหรือท้องเสีย ภาวะโซเดียมในเลือดต่าทาให้เกิดอาการ เช่น ความดันโลหิตต่า ซึม อ่อนแรง กระตุก และหมดสติ การขาดโซเดียมทาให้การไหลเวียนเลือดท่ีไปเล้ียงไตลดลง ไตจะเส่ือมมากยิ่งขึ้น ในระยะท้ายๆ ความสามารถในการขับโซเดียมออกจากร่างกายลดลง เกิดการค่ังของโซเดียม ทาให้ เพมิ่ จานวนนา้ และเลอื ด ความดันโลหิตสูง อาจทาให้หัวใจวาย และน้าท่วมปอด เมื่อหัวใจวายเลือดจะ ไปเลยี้ งไตลดลงอกี ทาให้ไตเสือ่ มมากย่ิงขนึ้ 1.3 โปตัสเซียม ระดับโปตัสเซียมจะสูงได้ในผู้ป่วยท่ีมีอัตราการกรองของไตลดลงต่ากว่า 10-15 มล./นาที หรือมีปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 500 มล. ส่งผลให้การขับโปตัสเซียมออกทางปัสสาวะ ลดลง อาการแสดงของระดับโปตัสเซียมในเลือดสูง ได้แก่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชีพจรช้า กล้ามเน้ือ ออ่ นแรงโดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ถ้ารนุ แรงอาจมีอนั ตรายถึงชีวิต 1.4 แคลเซียมและฟอสเฟต เมื่ออัตราการกรองของไตลดต่าลงกว่า 30-50 มล./นาที จะทา ใหม้ กี ารกรองฟอสเฟตออกจากไตลดลง เกิดการค่ังของฟอสเฟตในเลือดส่งผลให้ระดับแคลเซียมลดลง อาการแสดงที่สาคัญของระดับแคลเซยี มในเลือดตา่ คือ อาการทางระบบประสาทและกล้ามเน้ือ ได้แก่ อาการชา ชกั ความดันโลหติ ตา่ หัวใจเต้นผดิ ปกติ 1.5 แมกนเี ซียม ผู้ปว่ ยอาจมีภาวะแมกนีเซียมต่าจากการไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ ท้องเสีย หรอื ได้รับยาขับปัสสาวะ ถ้าอัตราการกรองของไตลดลงต่ากว่า 30 มล./นาทีแมกนีเซียมในเลือดจะ สูงข้ึน เมื่อสูงกว่า 4 มิลลิโมล/ลิตร ผู้ป่วยจะมีอาการ ซึม อ่อนเพลีย ตัวแดง ความดันโลหิตต่า แมกนีเซียมสูงมากกว่า 15 มิลลิโมล/ลิตร ผู้ป่วยจะมีอาการไม่รู้สึกตัว หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น อาการแสดงที่มีระดับแมกนีเซียมในเลือดสูงจะมีอาการเด่นชัดมากขึ้นเม่ือเกิดระดับของแคลเซียม ในเลือดต่าร่วมดว้ ย 2. การเปล่ียนแปลงภาวะสมดุลกรด-ด่าง จากขบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ทาให้เกิด ไฮโดรเจนอิออน ไตทาหน้าที่ในการขับไฮโดรเจนอิออนออกจากร่างกายทางปัสสาวะในรูปของ แอมโมเนียประมาณร้อยละ 60 การขับออกจะลดลงเม่ืออัตราการกรองลดลงเหลือ 20 มล. /นาที เกดิ การสรา้ งแอมโมเนยี โดยหลอดไตส่วนต้นลดลง เนือ่ งจากจานวนหนว่ ยไตนอ้ ยลง การกรองฟอสเฟต ผ่านได้น้อยลงในระยะหลังของโรค มีการร่ัวของไบคาร์บอเนตที่หลอดไตส่วนต้น การขับไฮโดรเจน อิออนลดลง ทาให้เกิด ภาวะกระดูกกร่อน ภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ในรายที่มีอาการมากจะมีอาการ หายใจหอบลึก หายใจเร็วลึก (kussmaul respiration) ซมึ และหมดสติในทสี่ ุด คู่มอื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผ่าตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตดั

บทท่ี 2 18 ความรทู้ ่วั ไปเกยี่ วกับโรคไตวาย 3. การเปล่ียนแปลงของปริมาณน้าในร่างกาย ผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายจะพบว่ามีอาการของ การขาดน้า หรือภาวะน้าเกิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเส่ือมหน้าที่ของไตและระยะเวลาที่เป็น ในระยะ เริ่มแรกท่ีไตสูญเสียหน้าท่ีในการทาให้ปัสสาวะเข้มข้น ผู้ป่วยจะมีปัสสาวะมาก แต่เมื่อผู้ป่วยมีอัตรา การกรองของไตลดเหลอื 4-5 มล./นาที จะมีภาวะน้าเกนิ ซง่ึ เป็นปญั หาทีพ่ บได้บ่อย 4. การเปล่ียนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยท่ีมีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจมากกว่าคนปกติ 10 - 30 เท่า ความผิดปกติทางระบบหัวใจและ หลอดเลือด ได้แก่ ความดนั โลหิตสงู ไขมันในเลือดสูง หวั ใจล้มเหลว เยื่อหุ้มหวั ใจอกั เสบ 5. การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ ปัญหาในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยไตวาย เร้ือรังได้แก่ ภาวะน้าท่วมปอด การติดเชื้อในปอด เยื่อหุ้มปอดอักเสบ และ น้าในช่องเยื่อหุ้มปอด มีอาการหายใจหอบลึกจากภาวะเลือดเป็นกรด ลมหายใจมีกล่ินยูเรีย ผู้ป่วยจะมีเสมหะเหนียวข้น กลไกการไอลดลง ร่วมกับระบบภูมิคุ้มกันลดลง ทาให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อในปอด และ เสยี ชวี ิตได้เร็วข้ึน 6. การเปล่ียนแปลงของระบบเลือด เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยาหลายประการ ได้แก่ ภาวะซีดหรือโลหิตจาง เลือดออกง่ายกลไกการเกิดล่ิมเลือดผิดปกติการทางานของเม็ดเลือดขาว ผดิ ปกติ 6.1 ภาวะโลหิตจาง ในผ้ปู ว่ ยโรคไตเรือ้ รงั สาเหตุเกิดจาก 6.1.1 มีการสร้างอีริโธปอยอิติน (erythropoietin) ลดลง ทาให้การผลิตเม็ดเลือดแดง นอ้ ยลง 6.1.2 ภาวะต่อมพาราไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากไป (secondary hyperparathyroidism) หรอื มีการขาดสารอาหารบางชนดิ ไดแ้ ก่ เหลก็ โฟเลต และวิตามนิ บี 12 ทเี่ กดิ จากภาวะทพุ โภชนาการ 6.1.3 เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ เน่ืองจากภาวะยูรีเมีย การขาดเหล็กและโฟลิค หรือ มีการสูญเสียเลือด เช่น เลือดออกจากระบบทางเดินอาหาร มีแผลในกระเพาะอาหาร การรักษาด้วย การฟอกเลือดด้วยเคร่อื งไตเทยี ม 6.2 ภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากเกล็ดเลือดมีประสิทธิภาพในการทางานลดลง ปริมาณ เกลด็ เลือดนอ้ ยลงจากภาวะยูรีเมีย ทาให้เลอื ดแข็งตวั ชา้ สง่ ผลใหเ้ ลอื ดออกง่าย 6.3 ภาวะต้านทานโรคต่า พบมีเม็ดเลือดขาวลดลง ค่าลิมโฟซัยท์ท้ังชนิด ที บี เซลล์ ลดลง โมโนซยั ทท์ างานลดลง สิง่ เหล่านี้ทาให้ผปู้ ่วยมภี มู ิต้านทานลดลง คูม่ ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตัด

บทที่ 2 19 ความร้ทู ่ัวไปเกย่ี วกับโรคไตวาย 7. การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหาร เกิดการเปล่ียนแปลงตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก เริ่มแรก จะมีอาการ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ล้ินมีรสเฝ่ือน ท้องผูก มีการหล่ังกรดในกระเพาะ อาหารเพ่ิมขึ้น ทาให้เกิดการอกั เสบของกระเพาะอาหาร และมแี ผลในลาไส้ 8. การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท พบความผิดปกติในระบบประสาทส่วนกลาง ส่วนปลาย และระบบประสาทอัตโนมัติ ความผิดปกติในระบบประสาทส่วนกลางได้แก่ สมองส่วนต่างๆทางาน ผิดปกติ เชน่ ไม่มสี มาธิ เฉ่ือยชา พดู ช้า หลงลมื ง่าย ระดบั ความร้สู กึ ตวั ผดิ ปกติ หงุดหงิดง่าย ซึมลง ชัก และหมดสติ ความผิดปกติในระบบประสาทส่วนปลาย และระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่ ความผิดปกติของประสาทส่วนปลายมีอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตะคริว ต่อมเหง่ือทางานลดลง ปวดแสบปวดรอ้ นตามปลายประสาท มอี าการขยบั เท้าตลอดเวลา มกี ารเดนิ เท้าห่างทาให้การทรงตัวไมด่ ี 9. การเปล่ียนแปลงของระบบผิวหนัง จะมีลักษณะของผิวหนังคือ ผิวสีเหลืองปนเทา ซีด เกดิ จากภาวะโลหิตจาง และมีสารยูโรโครม (urochrome) และมีเกลือยูเรีย (uremic frost) เกาะที่ผิวหนัง มีการลดลงของต่อมเหงื่อ และต่อมน้ามันทาให้ไม่มีการขับเหงื่อ ผิวหนังแห้ง มีแคลเซียมฟอสเฟตท่ี ผวิ หนงั ทาให้มีอาการคนั รว่ มกบั มคี วามผิดปกติเกยี่ วกบั การแขง็ ตัวของเลือด ทาให้ผู้ป่วยเกิดจ้าเลือด ได้ง่าย มีอาการบวม และนาไปสู่การติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมีเล็บ และเส้นผมเปราะบาง และฉีกขาดง่าย บนเล็บจะมีแถบสีแดงปรากฏข้ึน (Muehrcke’s line) หรือมีลักษณะเล็บสองสี โดยบริเวณโคนเล็บเปน็ สขี าวปลายเลบ็ เป็นสนี ้าตาล (half-and-half nail) 10. การเปลี่ยนแปลงของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ พบอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจาก การมฟี อสฟอรัสสงู และ แคลเซยี มตา่ มีการเปลย่ี นแปลงของกระดูก (renal osteodystrophy) ทาให้ มีการสลายแคลเซียมจากกระดูกเกิดภาวะกระดูกผุหรือกระดูกพรุน แคลเซียมที่สลายเกิดการรวมตัวเป็น แคลเซียมฟอสเฟต มักไปเกาะตามอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ผิวหนัง ตา หลอดเลือด หัวใจ ปอด ข้อต่อ กระดูก ทาให้เกิดเกิดอาการเจ็บปวดตามขอ้ 11. การเปลีย่ นแปลงของระบบตอ่ มไร้ท่อ มีอาการและอาการแสดงของต่อมไร้ท่อทางานผิดปกติ ในต่อมไทรอยด์ มีผลทาให้เด็กมีการเจริญเติบโตช้า คอพอก อวัยวะเพศเจริญได้ไม่เต็มท่ี มีการหลั่ง ฮอร์โมนพาราไทรอยดม์ ากขน้ึ ทาให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่า สง่ ผลให้เกิดกระดูกผุ หรอื กระดูกพรุน คมู่ อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผา่ ตัด

บทที่ 2 20 ความรู้ท่ัวไปเกีย่ วกับโรคไตวาย 12. การเปล่ียนแปลงของระบบสืบพันธุ์ ในเพศชายพบการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ใน เพศหญิงมีการเปล่ียนแปลงของประจาเดือน และน้าหล่อล่ืนในช่องคลอดลดลง มาจากหลายสาเหตุ จากระดับของยูเรียที่สูงขึ้น ภาวะความผิดปกติของระบบประสาท สรีรวิทยา รวมทั้งความผิดปกติ ดา้ นฮอร์โมน ปัญหาทางด้านจิตใจ ภาวะซดี ความดนั โลหติ สูง ยาทไี่ ดร้ ับ และภาวะทพุ โภชนาการ 13. การเปลี่ยนแปลงของดวงตา ผู้ป่วยมักมีตาแดง ตามัว เกิดเนื่องจากมีแคลเซียมไปเกาะ ที่เย่ือบุตา หรือที่กระจกตา เกิดการระคายเคือง อาจพบการเปลี่ยนแปลงของเรตินาจากโรค ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน การทางานของกล้ามเน้ือตาผิดปกติจากการเปลี่ยนแปลงของระบบ ประสาท อาจพบความพกิ ารของตาร่วมดว้ ย 14. การเปลี่ยนแปลงทางจิตสังคม มักเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพ หรือภาวะ เครียด พบในผู้ป่วยโรคเรื้อรังท่ีต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต รู้สึกไร้อานาจจากการควบคุมโรคไม่ได้ ผู้ป่วยต้องทนทุกข์กับการเปล่ียนแปลงทางบทบาทหน้าท่ี สูญเสียภาพลักษณ์ อาชีพการงาน วิถีชีวิต ท่เี ปล่ยี นไป และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกจิ จากคา่ ใชจ้ ่ายท่ีเพิ่มขึ้นจากภาวะสุขภาพ ซึ่งอาจนาไปสู่ ปญั หาทางการงานและความสัมพนั ธใ์ นสังคมได้ 20,24 แนวทางการดแู ลรกั ษาผ้ปู ว่ ยโรคไตเร้ือรัง10,12,20,25 การรกั ษาโรคไตเรือ้ รงั ประกอบดว้ ยหลักการใหญ่ๆ 3 ประการ คอื 1. รักษาตน้ เหตทุ ่ีทาใหเ้ กิดโรคไต 2. รักษาภาวะท่ีทาให้หน้าที่ของไตเสียเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน เช่น ความดันโลหิตสูงที่เกิด ภายหลังภาวะไตวาย ความไม่สมดุลของสารน้าและอิเล็กโทรไลต์ หรือภาวะแทรกซ้อน เช่น เกิดจาก การติดเชื้อ หรอื ภาวะแทรกซอ้ นจากการใช้ยาชนิดต่างๆ 3. ชะลอการเสอ่ื มอย่างรวดเรว็ ของไต (progressive) ในผู้ปว่ ยโรคไตเรื้อรงั การชะลอความเสื่อมของไตเป็นสิง่ สาคญั เพื่อชะลอความก้าวหน้าของโรค ไม่ใหเ้ ข้าสูร่ ะยะไตวาย ปอ้ งกนั และรักษาภาวะแทรกซอ้ นท่ีอาจเกิดข้ึน โดยจาเป็นต้องการรักษาสาเหตุ ที่ทาให้เกิดโรคไตเร้ือรัง ค้นหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุน้ันเท่าที่ทาได้ เช่น การควบคุมระดับน้าตาล ในผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมความดันโลหิต ให้ยารักษาภาวะติดเช้ือ หยุดยาท่ีส่งเสริมให้ภาวะของโรค เปน็ มากยิ่งขึน้ หรือ ผ่าตดั รักษาอาการอุดตันของทางเดนิ ปสั สาวะ เปน็ ตน้ คู่มือการพยาบาลผ้ปู ว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจติดตามผลหลงั ผา่ ตัด

บทที่ 2 21 ความรู้ท่ัวไปเกย่ี วกบั โรคไตวาย แนวทางในการดูแลรักษาผูป้ ว่ ยกลุม่ นี้ ได้แก่  การควบคมุ ความดนั โลหติ ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยสาคัญ ท่ีทาให้ไตเสื่อมสมรรถภาพลงอย่างรวดเร็ว ดังน้ันการ ควบคมุ ความดันโลหิตจึงนบั เป็นสิ่งสาคัญท่ีสดุ ในการช่วยชะลอการเส่อื มของไต โดยท่ัวไปผู้ป่วยโรคไต เร้ือรังควรได้รับการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ คือ ถ้าผู้ป่วยที่มีโปรตีนในปัสสาวะน้อยกว่า +1 ควรให้ความดันโลหิตสูงไม่เกิน 130/85 มม.ปรอท ถ้ามีโปรตีนในปัสสาวะตั้งแต่ +1ขึ้นไป ควรให้ ความดันโลหิตสูงไม่เกิน 125/75 มม.ปรอท โดยผู้ป่วยมักได้รับยาลดความดันโลหิต ในกลุ่มต่อต้าน เอ็นไซม์กระตุ้นการสลายแองจิโอเทนซิน (angiotensin converting enzyme inhibitor : ACEI) เช่น enalapril และยาขับปัสสาวะ เพื่อควบคุมความดันโลหิต และชะลอการเสื่อมของไต ทั้งนี้ผู้ป่วย ควรได้รับการประเมินความดันโลหิต วัดค่าระดับครีตินิน และค่าระดับโปแตสเซียมในเลือดเป็นระยะ และควบคมุ อาหารเคม็ เพอื่ ช่วยใหย้ ากลุ่ม ACEI ออกฤทธ์ิไดด้ ขี ึ้น  การควบคุมสมดุลนา้ ผู้ป่วยมักมีภาวะน้าเกิน และมักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว น้าท่วมปอด การดูแลจาเป็นต้องประเมิน ให้ความรู้ และติดตามภาวะสมดุลน้าของผู้ป่วย ผู้ป่วย บางรายอาจมีภาวะขาดน้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การให้น้าทดแทนต้องทาอย่างระมัดระวัง และคอยประเมินภาวะหัวใจลม้ เหลวดว้ ย  การควบคุมอิเล็กโทรไลต์ ท่ีสาคัญคือภาวะโปแตสเซียมในเลือดสูง ซ่ึงเกิดข้ึนได้บ่อย เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ต้องระมัดระวัง เปน็ พิเศษ โดยเฉพาะในผปู้ ว่ ยทม่ี ีปสั สาวะออกน้อย ในรายที่มีระดับโปแตสเซียมในเลือดสูงมากจะทาให้ หัวใจทางานผดิ ปกติ รักษาโดยให้ kayexalate, NaHCO3, กลูโคส และ อินซูลิน หรือพิจารณาทาการ ฟอกเลอื ดด้วยเคร่ืองไตเทียม เพื่อขจัดโปแตสเซียมออกจากร่างกาย ในรายท่ีมีภาวะแคลเซียมในเลือด ต่า และฟอสเฟตในเลือดสูงอาจรักษาโดยให้แคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซียมอะซิเตต เพื่อให้ยาจับกับ ฟอสฟอรัสในลาไส้ ทาใหเ้ พมิ่ ระดับแคลเซยี ม และลดระดับฟอสฟอรัสให้เป็นปกติ คูม่ อื การพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตัด

บทท่ี 2 22 ความร้ทู ่ัวไปเกยี่ วกับโรคไตวาย  การควบคมุ สมดลุ กรด - ดา่ ง เนื่องจากภาวะเลือดเป็นกรด จะช่วยเร่งให้ไตเส่ือมสภาพเร็วข้ึน ผู้ป่วยควรได้รับยาโซดามินท์ (sodium bicarbonate) ในรูปรับประทาน หรือทางหลอดเลือดดาเพื่อรักษาระดับไบคาร์บอเนตใน กระแสเลอื ดไมใ่ หต้ ่ากว่า 23 มิลลิอิควิวาเลนท์/ลิตร  การควบคุมอาหาร ผู้ป่วยควรได้รับอาหารที่เพียงพอเหมาะสมกับระยะของโรค ปริมาณอาหารที่ได้รับควรให้ พลังงานประมาณ 30-45 กิโลแคลอร่ี/กก./วัน โดยร้อยละ 60 ของพลังงาน ควรมาจากอาหาร ประเภทแป้งและน้าตาล อีกร้อยละ 30 มาจากไขมัน ถ้าผู้ป่วยได้รับอาหารท่ีให้พลังงานน้อยเกินไป จะทาให้มีการสลายกล้ามเน้ือเพ่ือนาพลังงานมาใช้ เกิดการค่ังของของเสียเพ่ิมมากขึ้น อาหารท่ี เหมาะสมกับผู้ป่วยควรเป็นอาหารที่มีโปรตีน โปแตสเซียม โซเดียม และฟอสเฟตต่า หลีกเลี่ยงการ รับประทาน ไข่แดง เนื้อสัตว์ นม เมล็ดพืชต่างๆ เนื่องจากมีปริมาณฟอสเฟตสูง การรับประทาน อาหารที่มีฟอสเฟตต่า หรือรับประทานสารจับฟอสเฟต เช่น Calcium carbonate, Calcium acetate จะช่วยลดการดูดซึมฟอสเฟตในลาไส้ ลดอัตราการเส่ือมของไต ลดความรุนแรงของโปรตีนท่ีร่ัวทาง ปสั สาวะ ภาวะไขมันในเลือดสูง หลีกเล่ียงอาหารท่ีมีไขมันสัตว์ หรือกะทิมาก ควบคุมปริมาณ คลอเรสเตอรอลไม่ควรให้ เกิน 300 มก./วนั ควบคุมอาหารกลุ่มโปรตีน โดยการรับประทานอาหารที่มี โปรตีนต่า เน่ืองจากอาหารที่มีโปรตีนต่าจะช่วยลดการทางานของไต ลดการกรอง ในโกลเมอรูลัส ลดปริมาณการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และลดระดับฮอร์โมนพาราธัยรอยด์ ในเลือด ซ่ึงมีผลทาให้ ไตเส่อื มช้าลง การรับประทานอาหารโปรตีนต่าต้ังแต่ระยะเริ่มต้นของ โรคไตเร้ือรัง สามารถชะลอการ เสื่อมของไตและช่วยลดการสะสมของเสียในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มี โรคเบาหวานร่วมด้วย12  การปอ้ งกันและรักษาตามอาการตา่ งๆ ผู้ปว่ ยควรได้รับการรักษาตามอาการ เช่น ในภาวะซีด ผู้ป่วยควรได้รับสารอาหารที่ช่วยในการ สรา้ งเสริมเมด็ เลือดแดง เชน่ ธาตุเหลก็ กรดโฟลิคและยาฉีดกระตุ้นไขกระดูกเพ่ิมการสร้างเม็ดเลือดแดง (epoetinalfa) ได้รบั วติ ามินเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน B1, B2, B6 และ B12 ได้รับยาลดการหลั่งกรด เพอ่ื ปอ้ งกันภาวะเลอื ดออกในทางเดินอาหาร เปน็ ต้น ค่มู อื การพยาบาลผ้ปู ว่ ยโรคไตวายทีม่ ารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจติดตามผลหลงั ผา่ ตัด

บทท่ี 2 23 ความรทู้ ่วั ไปเก่ียวกบั โรคไตวาย  การปรับเปล่ียนพฤติกรรม ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับความรู้ และคาแนะนา ให้ความช่วยเหลือเพื่อปรับเปล่ียนพฤติกรรม โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ชะลอความเสื่อมของไต ป้องกันภาวะแทรกซ้อนท่ีอาจเกิดขึ้น สามารถดารงชีวิตได้ อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีอายุยืนยาวขึ้น เช่น งดการสูบบุหรี่ งดการด่ืมสุรา และเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ ลดนา้ หนัก ออกกาลังกาย รวมทัง้ ปรบั พฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหาร ดังท่ีกลา่ วไปแลว้ ข้างตน้  การระมัดระวงั ปญั หาจากเมตาบอลิซึมของยา (drug metabolism) ผปู้ ว่ ยโรคไตเร้ือรงั มกั ได้รับยาหลายชนิดร่วมกันเพ่ือรักษาโรค และประคับประคองอาการต่างๆ ควรหลีกเล่ียงการใช้ยาท่ีมีผลต่อการทางานของไต การมีพยาธิสภาพที่ไตทาให้มีผลต่อการดูดซึม การเผาผลาญ การแพร่กระจาย และการขับยาออกจากร่างกาย ทาให้มีโอกาสได้รับพิษจากยามากข้ึน การประเมนิ คา่ ระดับครตี ินนิ ในเลอื ด และคา่ เคลียแรนซ์ครีตินินเป็นสิ่งสาคัญ เพ่ือนามาปรับขนาดของ ยาท่ีเหมาะสม ผู้ป่วยเบาหวานและได้รับอินซูลินเม่ือ เข้าสู่ระยะท่ี 3 และ 4 ของโรคไตเรื้อรัง จาเป็นต้องพิจารณาปรับปริมาณอินซูลินลดลงตามความเหมาะสม เน่ืองจากร้อยละ 30 ของอินซูลิน ที่ได้รับจะถูกขับออกทางไต เมื่อไตเส่ือมหน้าที่ ความสามารถในการขับอินซูลินก็ลดลงด้วย จึงมีระดับ อินซูลินคงค้างในกระแสเลือด ดังนั้นการตระหนักถึงความสาคัญของการบริหารยา และคอยติดตาม ประเมนิ ผลของยา พรอ้ มท้งั ให้ความรู้แก่ผูป้ ว่ ยอย่างเหมาะสม จะชว่ ยเพมิ่ ประสิทธิภาพการดูแลรักษา ผู้ป่วยในกลมุ่ นใี้ ห้ดียง่ิ ขึ้น เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะที่ 5 ซ่ึงเป็นระยะไตวาย (kidney failure) ผู้ป่วยจะมีความผิดปกติเกือบ ทุกระบบของร่างกาย ร่างกายจะเสียสมดุลน้าและอิเล็กโตรไลต์ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะของเสียคั่ง ในกระแสเลือด จึงจาเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการบาบัดทดแทนไตเพ่ือทดแทนการทางานของไต ทส่ี ูญเสียไป คมู่ อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผ่าตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผา่ ตัด

บทที่ 2 24 ความรูท้ วั่ ไปเก่ยี วกบั โรคไตวาย การรกั ษาดว้ ยการบาบัดทดแทนไต (renal replacement therapy)10,12,21,26-28 ปัจจบุ นั การรักษาบาบัดทดแทนไตสามารถแบ่งได้เปน็ 3 ประเภทดงั น้ี 1. การปลูกถา่ ยไต (kidney transplantation: KT) คือการนาไตใหม่มาปลูกถ่ายไว้ที่ผนังหน้าท้องของผู้ป่วย เพื่อทาหน้าท่ีแทนไตเก่าท่ีเสื่อมสภาพ อาจได้รบั การบริจาคจากญาตสิ ายตรง คู่สมรส หรือจากผู้เสียชีวิต ปัจจุบันการปลูกถ่ายไตเป็นการรักษา บาบัดทดแทนไตทด่ี ที ี่สุด26-28 มีอัตราการรอดชีวติ สงู สดุ เมื่อเทียบกบั วธิ กี ารอน่ื 10 ภาพท่ี 5 Kidney Transplant29 2. การลา้ งไตทางชอ่ งท้อง (peritoneal dialysis : PD) คือการขจัดของเสียออกจากร่างกายโดยการใส่น้ายาเข้าไปในช่องท้องท้ิงไว้ 4-6 ชั่วโมง ต่อรอบ น้ายาจะทาการกรองของเสียออกจากเลือดผ่านเย่ือบุช่องท้องก่อนปล่อยน้ายาจากช่องท้อง เพ่ือนาไปท้ิง โดยมีรอบการล้างไตทางช่องท้อง 4 รอบต่อวัน เป็นวิธีการบาบัดทดแทนไตท่ีใช้อย่าง แพรห่ ลาย เทคนคิ การทาคอ่ นข้างง่าย สามารถดงึ นา้ ออกจากร่างกายได้มาก คมู่ ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายทีม่ ารบั การผา่ ตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผา่ ตดั

บทที่ 2 25 ความรทู้ ่วั ไปเกีย่ วกบั โรคไตวาย ภาพที่ 6 Peritoneal dialysis (PD)30 3. การฟอกเลอื ดดว้ ยเครือ่ งไตเทยี ม (hemodialysis) คือ ขบวนการนาเลือดของผู้ป่วยเข้าสู่เครื่องไตเทียม โดยเลือดที่ออกจากผู้ป่วยจะผ่านตัวกรอง (hemodialyzer) เพ่อื แลกเปลี่ยนน้าสารตา่ งๆทล่ี ะลายอยูใ่ นเลอื ดและน้ายาดว้ ยกระบวนการออสโมสิส และอัลตร้าฟิลเตรชั่น ใช้เวลา 4-5 ช่ัวโมงต่อรอบ ก่อนนาเลือดที่ได้รับการฟอกแล้วกลับเข้าสู่ร่างกาย โดยไปรับบรกิ ารท่สี ถานรักษาพยาบาล 2-3 คร้ังต่อสัปดาห์ เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถ ขจัดของเสียออกจากร่างกายได้ในระยะเวลาอันสั้น และแก้ไขภาวะความเป็นกรดของเลือดได้อย่าง รวดเร็ว ภาพท่ี 7 วงจรการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม31 คมู่ อื การพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผา่ ตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตัด

บทท่ี 2 26 ความรู้ท่วั ไปเก่ียวกับโรคไตวาย ปัจจุบันการรักษาไตวายท้ังชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังที่นิยมมากที่สุด คือ การฟอกเลือดด้วย เคร่ืองไตเทียม (hemodialysis)32 การผ่าตัดช่องทางสาหรับการฟอกเลือดถือว่าเป็นขั้นตอนสาคัญใน การรักษาชีวติ ผู้ปว่ ย33 ซง่ึ สามารถเตรียมชอ่ งทางไดห้ ลายช่องทางตามความเหมาะสมดังน้ี การเตรียมชอ่ งทางสาหรับการฟอกเลือด (vascular access)13,32-38 การผ่าตัดเตรียมช่องทางสาหรับการฟอกเลือด หมายถึง การผ่าตัดทาช่องทางในการ นาเลือดออกจากตวั ผู้ป่วยเข้าสู่เคร่ืองไตเทียม สามารถแบ่งตามการใช้งานได้ 2 ชนิด คือ ชนิดชั่วคราว (temporary vascular access) และชนดิ ระยะยาว (long term or permanent vascular access) 1. ชนดิ ชัว่ คราว (temporary vascular access) เป็นการใส่สายสวนเพ่ือฟอกเลือดเข้าไปในหลอดเลือดดาใหญ่เพื่อใช้เป็น ช่องทางในการ นาเลือดออกจากตัวผู้ป่วยเข้าสู่เครื่องไตเทียม ไม่มีผลต่อระบบหัวใจ (ไม่เกิด high-output heart failure) สาหรับใช้งานช่ัวคราวในกรณีทต่ี อ้ งการทาการฟอกเลือดเร่งด่วน เช่น ภาวะไตวายเฉียบพลัน หรือภาวะไตวายเร้ือรังท่ีกาลังรอให้เส้นฟอกเลือดชนิดถาวรสามารถใช้งานได้ ปัจจุบันที่ใช้ใน โรงพยาบาลศิริราช คือ สายสวนชั่วคราวเพื่อฟอกเลือด (non- cuffed venous catheter) และสาย สวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด (tunneled cuffed venous catheter)  สายสวนชว่ั คราวเพือ่ ฟอกเลอื ด (non-cuffed venous catheter) ใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือในผู้ป่วยไตวายเฉียบพลัน ระยะเวลาในการใช้ไม่ควรเกิน 3 สัปดาห์19 เน่ืองจากมีโอกาสติดเช้ือจากรูเปิดข้างสาย (exitsite infection) สูง13,33,38 กรณีจาเป็น สามารถคาสายสวนฟอกเลือดได้ถ้าไม่มีการติดเช้ือหรือเกิดการอุดตันแต่ไม่ควรใส่สายสวนฟอกเลือด ชนดิ ชัว่ คราวเกนิ 2 เดือน32 ถ้าใชน้ านกว่าน้ันจาเป็นตอ้ งเปลยี่ นเปน็ สายสวนฟอกเลอื ดชนิดระยะยาว ภาพท่ี 8 สายสวนฟอกเลอื ดชนดิ ช่ัวคราว คมู่ อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตดั

บทที่ 2 27 ความรู้ทว่ั ไปเกย่ี วกบั โรคไตวาย  สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลอื ด (tunneled cuffed venous catheter) ใช้ในผู้ป่วยไตวายซ่ึงจาเป็นต้องได้รับการฟอกเลือดในระยะยาว สายชนิดนี้ส่วนท่ีอยู่ใน ร่างกายผู้ป่วยจะมีปลอกหุ้มสายสวน (dacron cuff) ใช้ยึดสายสวนกับเนื้อเย่ือชั้นใต้ผิวหนังรอบๆ สายสวน เพื่อลดการติดเช้ือจากรูเปิดข้างสาย (exit site infection) สามารถคาสายสวนได้นานกว่า 24 เดอื น ถา้ ไมม่ ีการตดิ เช้ือ หรอื เกดิ การอดุ ตนั 28,34,35 และใชฟ้ อกเลือดไดท้ นั ทีภายหลังการใสส่ ายสวน ภาพท่ี 9 สายสวนฟอกเลือดชนดิ ระยะยาว 2. ชนดิ ถาวร (long term or permanent vascular access) 28,32,34,37,38 เป็นการผ่าตัดเชื่อมระหว่างหลอดเลือดแดง และหลอดเลือดดาเป็นช่องทางสาหรับแทงเข็ม เพื่อนาเลือดออกจากตัวผู้ป่วยเข้าสู่เคร่ืองไตเทียมใช้ในการฟอกเลือดระยะยาว ควรเลือกผ่าตัดแขน ข้างท่ีไม่ถนัด (nondominant arm) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทางาน หรือช่วยเหลือตนเองได้ ในขณะ ฟอกเลือด ตาแหน่งควรอยู่ส่วนปลาย (distal) ท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ เพื่อเก็บส่วนต้นของหลอดเลือด (proximal site) ไว้ใช้ภายหลัง แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือการผ่าตัดเช่ือมหลอดเลือดดากับหลอดเลือดแดง บริเวณใกล้เคียงกันใต้ผิวหนัง (arteriovenous fistula : AVF) และการผ่าตัดเช่ือมหลอดเลือดดากับ หลอดเลือดแดงโดยใชห้ ลอดเลือดเทยี มเปน็ ตัวเช่ือม (arteriovenous graft : AV - GRAFT) คู่มือการพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลังผ่าตดั

บทท่ี 2 28 ความรทู้ ่วั ไปเกีย่ วกบั โรคไตวาย  การผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดดากับหลอดเลือดแดงบริเวณใกล้เคียงกันใต้ผิวหนัง (arteriovenous fistula : AVF) 28,32,34,37,38 เป็นการผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดดากับหลอดเลือดแดงบริเวณใกล้เคียงกันใต้ผิวหนัง ภายหลังผา่ ตัด 2-3 เดือน หลอดเลือดดาจะมีขนาดโต และผนังหนาข้ึน ใช้เป็นช่องทางในการแทงเข็ม เพื่อฟอกเลือด เป็นทางเลือกอันดับแรก และเป็นวิธีท่ีนิยมท่ีสุดในการทาผ่าตัดช่องทางสาหรับ การฟอกเลอื ด มีอายุการใชง้ านทน่ี าน มีปญั หาและภาวะแทรกซ้อนน้อยทส่ี ดุ และมอี ตั ราการตดิ เชื้อตา่ ภาพท่ี 10 brachio-cephalic AV fistula  การผา่ ตดั เชอ่ื มหลอดเลอื ดดากับหลอดเลือดแดงโดยใช้หลอดเลือดเทียมเป็นตัวเช่ือม (arteriovenous graft : AV - GRAFT) เป็นการผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดดากับหลอดเลือดแดงโดยใช้หลอดเลือดเทียมเป็นตัว เชอื่ มต่อ (conduit) ใชใ้ นกรณที ไี่ มม่ หี ลอดเลอื ดเหมาะสมที่จะทาการผ่าตัด นิยมผ่าตดั ทีแ่ ขนก่อนเนอื่ งจาก ทีข่ ามอี ัตราการติดเช้ือที่สงู 28 หลงั ผ่าตัดต้องรอประมาณ 2 สปั ดาห์ จึงสามารถแทงเขม็ ผา่ นหลอดเลอื ดเทยี ม เพื่อฟอกเลือดได้ 28,32,38 แต่การผ่าตัดชนิดนี้มีอายุการใช้งานที่จากัด เนื่องจากมีข้อจากัดในความ เส่ือมสภาพของหลอดเลอื ดเทียม ภาพท่ี 11 brachio-cephalic AV graft คู่มอื การพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผา่ ตัด

บทที่ 2 29 ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกับโรคไตวาย สาหรับคมู่ อื ฉบับน้ี ผจู้ ดั ทาจะกล่าวถึงเนือ้ หาเฉพาะการใส่สายสวนหลอดเลือดดาชนิดระยะยาว เพ่อื ฟอกเลือด เน่ืองจากเปน็ หตั ถการท่ีผู้ป่วยไตวายมารับบรกิ ารเตรยี มกอ่ นผ่าตดั และตรวจติดตามผล หลงั ผา่ ตัดเปน็ สว่ นใหญ่ ในคลินกิ ตรวจรักษาดว้ ยเครื่องมือพิเศษฯ โรคหลอดเลือด ความรู้ท่วั ไปเกยี่ วกบั การใสส่ ายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัด และ ระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตดั ปจั จุบันการรกั ษาโรคไตวายท้ังชนิดเฉียบพลนั และ ชนดิ เร้ือรังที่นิยมมากที่สุดคือการฟอกเลือด ในผู้ปว่ ยไตวายเฉียบพลนั นิยมผ่าตัดโดยใช้เป็นช่องทางชนิดชั่วคราว (temporary vascular access) เน่ืองจากเป็นหัตถการที่ไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาน้อย สามารถใช้งานได้เลยหลังผ่าตัด ไม่มีผลต่อระบบหัวใจ (ไม่เกิด high - output heart failure) แต่ถ้าผู้ป่วยมีความจาเป็นต้องใช้ในการฟอกเลือดระยะยาว มากกว่า 3 สัปดาห์และมีข้อจากัดในการผ่าตัดทาช่องทางเพื่อฟอกเลือดชนิดถาวร จะเลือกใช้เป็นสายสวน ฟอกเลือดระยะยาว (tunneled cuffed venous catheter)19 หรือเรียกอีกอย่างว่า perm cath (permanent catherter) หลักการพิจารณาเลือกตาแหน่งในการผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลือด ควรจะอยู่ ตรงข้ามกับด้านที่จะวางแผนทาผ่าตัดช่องทางเพื่อฟอกเลือดชนิดถาวร เพราะมีโอกาสเกิดการอุดตัน หรือตีบแคบของหลอดเลือดดา ในด้านที่ใส่สายสวนระยะยาวได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการผ่าตัดของ แขนขา้ งนัน้ การผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลือด สามารถผ่าตัดใส่สายสวนได้หลายตาแหน่ง ตามความเหมาะสมและความเรง่ ดว่ นของผู้ปว่ ย13,32,34,36-38 ภาพท่ี 12 ตวั อย่างสายสวนระยะยาวชนดิ ต่างๆสาหรบั ผู้ป่วย คู่มอื การพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผ่าตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตัด

บทที่ 2 30 ความรู้ท่วั ไปเก่ยี วกับโรคไตวาย ข้อบ่งช้ีในการใส่สายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลอื ด13,33,35-38 1. ใช้ในผู้ป่วยที่เป็นไตวายเฉียบพลันที่จาเป็นต้องได้รับการฟอกเลือด เช่น ผู้ป่วยท่ีได้รับ อบุ ัตเิ หตุทาให้เกิดภาวะไตวายเฉยี บพลนั และ รอเวลาที่ไตอาจกลับมาทางานได้ตามปกติ 2. ใช้ในผู้ป่วยท่ีเป็นไตวายเร้ือรังระยะสุดท้าย ท่ีมีอาการของภาวะยูรีเมียที่จาเป็นต้องได้รับ การฟอกเลอื ดแบบเร่งดว่ น 3. ใช้ในผู้ป่วยที่รอใช้งานหลอดเลือดจากการผ่าตัดเช่ือมหลอดเลือดดากับหลอดเลือดแดง บริเวณใกล้เคียงกันใต้ผิวหนัง หรือทาผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดดากับหลอดเลือดแดงโดยใช้หลอดเลือด เทียม เนือ่ งจากหลอดเลอื ดยังไม่พร้อมใช้งานแต่จาเป็นต้องได้รบั การฟอกเลือด 4. ใช้ในผู้ป่วยท่ีมีข้อห้ามในการล้างไตทางช่องท้องเช่นเคยผ่าตัดช่องท้องมาหลายคร้ัง หรือ มกี ารตดิ เช้ือในช่องทอ้ ง 5. ใช้ในผู้ป่วยท่ีมีปัญหาหลอดเลือดแดงแข็งอย่างรุนแรง (severe arteriosclerosis) หรือมีปัญหา แขนขาขาดเลือดอย่างรุนแรง (severe limb ischemia) จึงไม่สามารถทาผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดดากับ หลอดเลือดแดงเพอ่ื ใชใ้ นการฟอกเลือด 6. ใชใ้ นผูป้ ่วยทต่ี อ้ งการฟอกใช้ฟอกเลือดช่ัวคราว เพ่ือพักตาแหน่งช่องทางถาวรท่ีใช้ฟอกเลือด เน่ืองจากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น มีการติดเชื้อท่ีหลอดเลือดเทียม หรือมีอาการ บวม ช้า เป็นจ้ารอบๆ หลอดเลือด 7. ใช้ในผู้ป่วยท่ีกลัวเข็ม (needle phobia) เพราะการฟอกเลือดภายหลังการผ่าตัดเช่ือม หลอดเลือด ตอ้ งมีการแทงเขม็ 2 เข็ม ขณะฟอกเลือด เพอื่ เป็นช่องทางในการฟอกเลือดตอ่ คร้ัง 8. ใช้ในผู้ป่วยท่ีไม่มีตาแหน่งเหมาะสมในการผ่าตัดทาเส้นฟอกเลือด เช่น ผ่านการผ่าตัด หลอดเลือดหลายคร้ังจนไม่มตี าแหนง่ เหมาะสม 9. ใชใ้ นผปู้ ว่ ยท่มี โี รคหัวใจร่วม ที่เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย (congestive heart failure) ไม่สามารถ ทนต่อการเพ่ิมของอัตราการไหลกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจ (venous return) ที่เพ่ิมข้ึน จากการผ่าตัด ผา่ ตัดเชื่อมหลอดเลอื ดดากบั หลอดเลอื ดแดงได้ คมู่ ือการพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผ่าตดั ใสส่ ายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตดั

บทที่ 2 31 ความรทู้ ่ัวไปเกยี่ วกับโรคไตวาย วสั ดุท่นี ยิ มนามาทาสายสวนเพือ่ ฟอกเลอื ด37 1. ซิลิโคน (silicone) คุณสมบัติเข้ากับเน้ือเย่ือของมนุษย์ได้ดี มีความอ่อนตัวสูงโอกาสเกิด ล่ิมเลือดในสายสวนน้อย สามารถคาสายสวนไว้ในหลอดเลือดดาได้นานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี เช่น สายสวน Hickman ข้อเสียคือ มีราคาแพง กรอบแข็ง และหักง่ายเมื่อถูกน้ายาฆ่าเช้ือท่ีมีส่วนผสม ของสารไอโอดีนเชน่ povidine หรอื betadine 2. โพลียูเรเทน (polyurethane) เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติท่ีสามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของมนุษย์ได้ดีมี ความอ่อนตัว และยืดหยุ่นได้มากเม่ืออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย (thermoplastic properties) ราคา ปานกลาง โอกาสฉีกขาดนอ้ ย ใช้ทาสายสวนสาหรับการฟอกเลือด ท้ังชนิด สายสวนช่ัวคราวและสายสวน ระยะยาว เชน่ Mahurkar dual lumen catheter, Hemo Flow catheter ภาพที 13 สายสวน Mahurkar dual lumen catheter ภาพที 14 สายสวน Hemo flow catheter คมู่ ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผา่ ตดั ใสส่ ายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตัด

บทท่ี 2 32 ความร้ทู ่ัวไปเก่ียวกบั โรคไตวาย ในระยะหลงั เริ่มมกี ารพฒั นาวสั ดทุ ี่ใชท้ าสายสวนเพอื่ ให้มีคุณสมบัตทิ ด่ี ีกวา่ เดิม โดยการผสมของ โพลียูเรเทนที่มีน้าหนักโมเลกุลท่ีแตกต่างกันเข้าด้วยกันเช่น tecothane ทาให้มีคุณสมบัติท่ีดีมากข้ึน สามารถคาไวใ้ นสายเลือดดาได้นานหลายเดือน หรืออาจเป็นปเี หมอื นสายสวนท่ีทาจากซิลิโคน ในขณะ ท่จี ะมีคุณสมบตั ทิ ี่แข็งทาใหใ้ ส่ได้ค่อนข้างงา่ ยแตเ่ มื่อเขา้ ไปอยู่ในรา่ งกายในสายเลือดแล้วจะมีความอ่อน ตวั มาก ได้แก่ สายสวน Bioflex Tesio ภาพที่ 15 สายสวน Bioflex Tesio 3. โพลีเอทลิ นี (polyethylene) ค่อนข้างแข็งเหมาะใช้สาหรับทาสายสวนชนิดใช้ช่ัวคราวสามารถ หลอ่ ทาใหป้ ลายเรยี วเล็กใส่ผา่ นลวดนาได้ง่าย แตม่ ีข้อเสยี คือ เช่ือมต่อกับวัสดุชนิดอื่นยาก ผนังท่อหนา และยังหักงอได้งา่ ย เชน่ สายสวน Shaldon 4. คาร์โบเทน (carbothane) เป็นโพลีเมอร์ท่ีผสมกันระหว่างโพลียูเรเทนกับโพลีคาร์บอเนตซ่ึงมี คุณสมบัติครบถ้วนของโพลียูเรเทน แต่มีความทนทานและยืดหยุ่นดีข้ึน สามารถทาให้บางได้มากขึ้น และยังทนต่อน้ายาฆ่าเช้ือท่ีมีส่วนผสมของไอโอดีน แอลกอฮอล์และเปอร์ออกไซด์ได้ดี สายสวนที่ทา จากคารโ์ บเทนไดแ้ ก่ ASH-Split cath และ Hemosplit ภาพท่ี 16 สายสวน ASH-Split cath ค่มู อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจติดตามผลหลังผ่าตดั

บทท่ี 2 33 ความรูท้ ั่วไปเกย่ี วกบั โรคไตวาย ตาแหน่งการใสส่ ายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลือด26,35,37 หลอดเลือดดาท่ใี ช้ในการใส่สายสวนเพ่ือการฟอกเลือดทใ่ี ช้อยู่ประจามี 2 ตาแหนง่ คอื 1. หลอดเลอื ดดาบรเิ วณคอและกระดกู ไหปลารา้ หลอดเลอื ดดาทค่ี อใช้ในการใสส่ ายสวนเพื่อฟอกเลือดไดแ้ ก่ 1.1. หลอดเลอื ดดา internal jugular 1.2. หลอดเลือดดา external jugular 1.3. หลอดเลอื ดดา subclavian 2. หลอดเลือดดาบริเวณขาหนบี หลอดเลือดดาที่ขาหนีบที่ใช้ในการใสส่ ายสวนเพื่อฟอกเลอื ดได้แก่ 2.1. หลอดเลอื ดดา femoral 2.2. หลอดเลอื ดดา saphenous internal jugular Subclavian vein vein Femoral vein ภาพที่ 17 ตาแหนง่ การใส่สายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลือด คมู่ อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทมี่ ารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตัด

บทที่ 2 34 ความรู้ทวั่ ไปเกยี่ วกับโรคไตวาย กายวิภาคของหลอดเลือดดาที่ใชใ้ ส่สายสวนเพื่อฟอกเลอื ด26,35,37 หลอดเลือดดา internal jugular เร่ิมต้นจากด้านหลังของ jugular foramen ที่ฐานกะโหลก รับเลือดจากสมอง ใบหน้า และคอ โดยวิ่งลงมาคู่ขนานกับหลอดเลือดแดงcarotid และเส้นประสาท vagus อยู่ข้างกระดูก atlas ความสมั พันธข์ องหลอดเลอื ดดา internal jagular เมอ่ื เทียบกับหลอดเลือดแดง carotid ที่ระดับของ jagular foramen จะอยหู่ ลังและข้างต่อหลอดเลือดแดง internal carotid แต่เม่ือวงิ่ ลงมาข้างล่าง จะ วิ่งวนรอบหลอดเลอื ดแดง carotid แล้วจะมาอย่ดู ้านหน้า และคอ่ นไปทางด้านข้างของหลอดเลือดแดง common carotid หลอดเลือดดาinternal jugular วิ่งอยู่ในร่องแยกระหว่าง sternal head และ clavicular head และ ว่ิงเอียงมาอยู่ด้านหลัง clavicular head ถ้าเป็นข้างขวาแล้วจะพาดผ่าน หลอดเลือดแดง subclavian ส่วนแรกก่อนท่ีมารวมกับหลอดเลือดดา subclavian กลายเป็นหลอด เลอื ดดา brachiocephalic หลอดเลือดดา internal jugular ด้านซ้ายจะมีลักษณะพิเศษ คือ มี thoracic duct ทอดตัว ดา้ นหลงั ท่ีระดับกระดูกคอท่ี 7 และเทเข้าบริเวณรอยต่อระหวา่ งหลอดเลือดดา internal jugular และ subclavian หลอดเลือดดา external jugular เป็นหลอดเลือดที่อยู่ตื้นมาก และอยู่ด้านข้างของคอโดยเร่ิมจาก angle ของกระดูกกรามล่าง (mandible) ทอดข้ามกล้ามเนื้อ sternocleidomastoid ลงมาท่ีบริเวณก่ึงกลางของกระดูกไหปลาร้า ในขณะที่ว่ิงมาถึง subclavian triangle จะทะลุผ่าน investing layer ของ deep cervical fascia ซ่ึงสูงกว่าจุดก่ึงกลางของกระดูกไหปลาร้าประมาณ 1 น้ิวมือ (finger breadth) เทเข้าหลอดเลือดดา subclavian เม่ือผู้ป่วยนอนราบมักจะเห็นหลอดเลือดดาน้ีโป่งพองข้ึนซ่ึงพบว่าหลอดเลือดดาเม่ือ มาถงึ บริเวณน้อี าจมลี ักษณะคดเค้ียวซึ่งบางครั้งทามุมตั้งฉากกับหลอดเลือดดา subclavian ทาให้ยาก ตอ่ การใสส่ ายสวนระยะยาว คูม่ ือการพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผา่ ตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผ่าตดั

บทท่ี 2 35 ความรูท้ ่วั ไปเกีย่ วกับโรคไตวาย หลอดเลือดดา subclavian หลอดเลือดดา subclavian จะอยใู่ ต้ส่วนของ sternal end ของกระดูกไหปลาร้า และอยู่บน กระดูกซ่ีโครงท่ี 1 โดยเร่ิมต้นจากขอบนอกของกระดูกซี่โครงซี่ที่ 1 ต่อมาจากหลอดเลือดดา axillary จะรวมกบั หลอดเลือดดา internal jugular ที่บริเวณขอบในของกล้ามเน้ือ scaleneus anterior และ เทเข้าหลอดเลือดดา brachiocephalic หรือ innominate ด้านหน้าของหลอดเลือดดา subclavian จะเป็นกระดูกไหปลาร้าและกล้ามเน้ือ subclavius ด้านหลังจะเป็นกล้ามเน้ือ scaleneus anterior หลอดเลอื ดแดง subclavian และเส้นประสาท phrenic บริเวณรอยต่อของหลอดเลือดดา subclavian ด้านซ้ายและหลอดเลือดดา internal jugular ด้านซ้ายจะมี thoracic duct มาเทเขา้ ทาใหก้ ารแทงหลอดเลอื ดดา subclavian ด้านซ้ายมีโอกาสเกิด ภาวะแทรกซ้อนโดยแทงถูก thoracic duct ได้ ภาพท่ี 18 กายวิภาคหลอดเลอื ดดาที่คอ39 หลอดเลอื ดดา femoral หลอดเลือดดา femoral เป็นหลอดเลือดดาทต่ี อ่ มาจากหลอดเลือดดา popliteal ที่ข้อพับเข่า โดยมีจุดเริ่มต้นจาก adductor canal รับเลือดมาจากหลอดเลือดดา great saphenous และ หลอด เลือดดา deep femoral โดย หลอดเลือดดา deep femoral จะว่ิงมารวมกับหลอดเลือดดา superficial femoral เป็นหลอดเลือดดา common femoral เมือ่ วิ่งมาถงึ inguinal ligament จะว่ิง ลอดไปด้านใต้เทเข้าหลอดเลือดดา external iliac โดยหลอดเลือดดา femoral จะอยู่ค่อนข้างต้ืน และอยู่ด้านในต่อหลอดเลือดแดง femoral ซ่ึงสามารถคลาชีพจรได้บริเวณก่ึงกลางของขาหนีบ (mid inguinal ligament) คมู่ ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผา่ ตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจติดตามผลหลงั ผา่ ตดั

บทที่ 2 36 ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกับโรคไตวาย หลอดเลอื ดดา saphenous หลอดเลือดดา Saphenous ที่บริเวณต้นขาจะอยู่ด้านในโค้งไปด้านหลังของต้นขาและโค้ง กลบั มาบรเิ วณตน้ ขาใกล้กับขาหนบี เทเข้าหลอดเลอื ดดา femoral ภาพที่ 19 กายวภิ าคหลอดเลือดดาบรเิ วณขาหนีบ40 หลอดเลือดดา internal jugular เป็นตาแหน่งแรกที่เลือกใสส่ ายสวนเพ่ือฟอกเลือด เนื่องจาก หลอดเลอื ดอยูต่ ้นื และมีขนาดใหญ่ โอกาสทีจ่ ะเกดิ ภาวะแทรกซ้อนในการเกิดลมรั่วในช่องเย่ือหุ้มปอด น้อยกว่า การแทงหลอดเลือดดา subclavian41 มักเลือกใส่สายสวนที่ด้านขวาก่อนเพราะหลอดเลือด ตรงเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา ส่วนหลอดเลือดดา internal jugular ด้านซ้ายจะใส่ยากกว่า และมีโอกาส เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการแทงถูก thoracic duct การใส่สายสวนในหลอดเลือดดา subclavian ในระยะยาวอาจเกิดภาวะหลอดเลือดดาตีบ ส่วนการใส่สายสวนในหลอดเลือดดา femeral เส่ียงต่อการติดเช้ือได้ง่าย26,32,34,41-46 และมีโอกาสเกิดล่ิมเลือดอุดตัดในหลอดเลือดดาช้ันลึก (deep vein thrombosis) สูงถงึ รอ้ ยละ 2141,46 คู่มือการพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายที่มารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพื่อฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตดั

บทที่ 2 37 ความรทู้ วั่ ไปเกยี่ วกับโรคไตวาย การระงบั ความรสู้ กึ สาหรับการผา่ ตดั ใสส่ ายสวนระยะยาว (Anesthetic management)19,23,45 การ ระ งับ คว าม รู้สึ กส าห รับ การ ผ่ า ตัด ใส่ ส า ยส ว น ระ ยะ ยาว เพ่ื อฟ อก เลื อด เป็ นสิ่ งส าคั ญ ซึ่งศัลยแพทย์จะประเมินจากสภาวะของผู้ป่วย เพ่ือใช้วางแผนและเตรียมผู้ป่วยตั้งแต่ระยะก่อนผ่าตัด สาหรับผปู้ ว่ ยท่งี ดน้า และ อาหารมาอย่างดี จะสามารถเลือกวธิ ีระงับความรู้สึกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ และความพร้อมในขณะนั้น การเลือกวิธีระงับความรู้สึกในผู้ป่วยผ่าตัดฉุกเฉินมักจะ หลีกเลี่ยงการดมยาสลบ และการใส่ท่อหายใจ เพื่อลดปัญหาของการสาลักอาหารลงปอดขณะได้ ยาสลบ การต้องช่วยหายใจและการใส่เคร่ืองช่วยหายใจหลังผ่าตัด ศัลยแพทย์จึงนิยมใช้การ ฉดี ยาชาเฉพาะท่ี โดยมีทมี วิสญั ญชี ว่ ยเฝา้ ระวังผปู้ ่วยขณะผา่ ตัด การระงับความรู้สกึ สาหรับการผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลือด มีดังน้ี 1. general anesthesia (GA) การระงับความรู้สึกทั่วตัว สามารถทาได้หลายวิธี ต้ังแต่ การบริหารยาระงับความรู้สึก ผ่านหลอดเลือดดา (total intravenous anesthesia : TIVA) การระงับความรู้สึกทั่วตัวผ่านหน้ากาก (GA -mask) ซ่งึ ทุกวธิ ีผูป้ ่วยต้องได้รับการประเมินร่างกายก่อนผ่าตัด งดอาหาร และน้านานอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง แต่มีข้อเสียคือ ภายหลังได้รับการระงับความรู้สึกวิธีนี้ ผู้ป่วยมักไม่ต่ืนดี และ กระสบั กระส่าย ไมร่ ว่ มมือ รวมถงึ อาจมอี าการคลืน่ ไส้ อาเจียนมากกว่าวิธีอ่ืน นิยมเลือกใช้กับผู้ป่วยที่ ค่อนข้างแข็งแรง โดยให้วิสัญญีแพทย์หรือ วิสัญญีพยาบาล เฝ้าระวังสัญญาณชีพขณะผ่าตัด ได้แก่ ความดันโลหติ ชีพจร ระดบั ออกซเิ จนในกระแสเลือด และคลน่ื ไฟฟา้ หวั ใจ 2. monitored anesthesia care (MAC) เป็นการดูแลผู้ป่วยแบบ “local standby” อาจมีการใช้ยากลุ่มท่ีทาให้ง่วง และระงับปวดทาง หลอดเลือดดา โดยใช้ยาตามสภาวะผู้ป่วย ร่วมกับดูการตอบสนองของผู้ป่วยต่อยาอย่างใกล้ชิดเพื่อ ช่วยใหผ้ ูป้ ่วยสงบ ศลั ยแพทยจ์ ะบริหารยาชาเฉพาะท่ีเปน็ หลกั ฉีด หรือฉีดยากลมุ่ ที่ทาให้ง่วงร่วมกับการ ใช้ยาชาเฉพาะท่ี โดยมีอุปกรณ์เฝ้าระวังสัญญาณชีพ ได้แก่ ความดันโลหิต ชีพจร ระดับออกซิเจนใน กระแสเลือด คล่ืนไฟฟ้าหัวใจ วิสัญญีแพทย์จะประเมินระดับการรู้สติ การหายใจ เตรียมพร้อมท่ีจะ ช่วยชีวิตผู้ป่วย (CPR) เตรียมอุปกรณ์การใส่ท่อหายใจและพร้อมช่วยการหายใจ เหมาะกับผู้ป่วยที่ คอ่ นขา้ งวกิ ฤต ที่งดอาหารและน้าดีพอควร และไมม่ เี วลาจะแก้ไขภาวะผิดปกติต่างๆได้เต็มที่ก่อนการผ่าตัด คู่มือการพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายทีม่ ารบั การผ่าตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตัด

บทที่ 2 38 ความรู้ทวั่ ไปเก่ียวกับโรคไตวาย 3. Local anesthesis เป็นการผ่าตัดโดยการฉีดยาชาเฉพาะท่ี ผปู้ ว่ ยไม่ต้องงดน้าและอาหารกอ่ นผ่าตัด เหมาะสาหรับ ผปู้ ว่ ยทร่ี สู้ ึกตวั ดแี ละใหค้ วามรว่ มมอื ในการรกั ษา เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย47 ผู้ป่วยควรได้รับการประเมิน สภาพรา่ งกาย พดู คุยทาความเขา้ ใจและเตรยี มความพรอ้ มก่อนผา่ ตดั วธิ ีการใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่อื การฟอกเลอื ด37 สามารถจาแนกได้ 2 วธิ ี ดังนี้ 1. การใสส่ ายสวนระยะยาวเข้าหลอดเลือดดว้ ยวธิ ีผ่าตดั (open cannulation or cutdown method) 2. การแทงเขม็ ผ่านผวิ หนังเข้าสู่หลอดเลือดดาโดยตรง (percutaneous cannulation) การใสส่ ายสวนระยะยาวเข้าหลอดเลือดด้วยวิธีผ่าตดั (open cannulation หรือ cutdown method) หมายถึงการผ่าตัดเปิดแผลเข้าไปหาหลอดเลือดดา ตาแหน่งท่ีนิยมในการใส่สายสวนด้วยวิธี cutdown ได้แก่ หลอดเลือดดา External jugular เน่ืองจากหลอดเลือดจะอยู่ต้ืน สามารถมองเห็นได้ ชดั เจน แผลผ่าตัดจะอยเู่ หนอื กระดูกไหปลารา้ ประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร ภาพที่ 20 cervical cutdown incision48 ค่มู ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายท่มี ารบั การผ่าตดั ใส่สายสวนระยะยาวเพอื่ ฟอกเลอื ด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตัด

บทที่ 2 39 ความรู้ทว่ั ไปเก่ยี วกับโรคไตวาย การแทงเข็มผ่านผิวหนังเขา้ สหู่ ลอดเลือดดาโดยตรง (percutaneous cannulation) สามารถแบ่งออกได้ 2เทคนิค ดังน้ี คือ 1.1. ultrasound guided technique คือ อาศัย ultrasound เป็นเคร่ืองมือในการค้นหา หลอดเลือดกอ่ นแทงเขม็ 1.2. blind technique หรือ percutaneous cannulation เป็นการแทงเข็มผ่านผิวหนังโดย อาศัยการสังเกตตาแหน่งทางกายวิภาค อาศัยความรู้ความแม่นยาด้านกายวิภาค และ ประสบการณ์ ของผู้แทงเป็นสาคัญ ปัจจุบันในโรงพยาบาลศิริราช นิยมใส่สายสวนโดยเทคนิคใช้ลวดนาทาง (catheter-over-guidewire) หรือเรียกว่า Seldinger’ technique เป็นการใส่สายสวนระยะยาวโดย การแทงเข็มผ่านผิวหนังและใส่ขดลวดเป็นตัวนาก่อนใส่สายสวนเข้าสู่หลอดเลือดดา ซ่ึงคิดค้นโดย Dr. Seldinger นักรังสีแพทย์ในปี ค.ศ. 195249 เป็นวิธีท่ีช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดความชอกช้าต่อหลอดเลือด อวยั วะข้างเคียง และลดการเกดิ ภาวะเลอื ดออกมากขณะใสส่ ายสวนเพื่อฟอกเลือดได้35 1.ใสล่ วดนาทางผา่ นเข็ม 2. ถอดเข็มออก ท่แี ทงเขา้ ในหลอดเลือดดา คา้ งลวดนาไว้ในหลอดเลือดดา 3. ใสส่ ายสวนเพื่อฟอกเลือดผ่านลวดนาทาง 4.ถอดลวดนาทางออก เขา้ สูหลอดเลือดดา โดยค้างสายสวนเพ่อื ฟอกเลอื ด ผา่ นขดลวดนา ไว้ในหลอดเลอื ดดา ภาพท่ี 21 เทคนิคการใส่สายสวนระยะยาวโดยใชล้ วดนาทาง คูม่ อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายท่ีมารบั การผ่าตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตดั

บทที่ 2 40 ความรูท้ ่ัวไปเกีย่ วกับโรคไตวาย ภาวะแทรกซ้อนในระยะตรวจติดตามผลหลังใส่สายสวนระยะยาวเพ่อื ฟอกเลือด (late complications) 34-38,50,51,52 ภาวะแทรกซ้อนสามารถพบได้ในจากการใส่สายสวนชนิดช่ัวคราว ร้อยละ 30-50 และสายสวน ชนดิ ระยะยาวร้อยละ 20-3037  ภาวะติดเชอื้ ผ่านทางสายสวน (catheter-related infection)35,50 เป็นปญั หาสาคัญทท่ี าใหเ้ กดิ ภาวะแทรกซอ้ นและอตั ราการตายสูง53,54,55 เพ่ิมค่าใช้จ่ายในระบบ สุขภาพในการดูแลผู้ป่วย56-59 กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่ ใส่สายสวนไว้เป็นระยะเวลานาน ผู้ป่วยสูงอายุ เป็นโรคเบาหวาน มีภาวะทุพโภชนาการ มีภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายแข็งตัว (peripheral atherosclerosis) ได้รับธาตุเหล็กเกินระดับท่ีร่างกายต้องการ (iron overload) 60,61 เชื้อท่ีพบได้บ่อยคือกลุ่ม grampositive ได้แก่ staphylococcus aureus, staphylococcus epidermidis และ enterococci61 กลุ่ม gram negative ได้แก่ pseudomonas species, klebsiellapneumonia, E-coli และ Enterobacter species และกลมุ่ fungal infection ไดแ้ ก่ candida species59 อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ staphylococcus aureus ในกระแสเลอื ดทีส่ มั พนั ธก์ ับการใส่ สายสวนสาหรับฟอกเลือด เฉล่ียสูงถึงร้อยละ 20 และอย่างน้อยร้อยละ 8 เป็นผลจากเชื้อก่อโรคน้ี โดยตรง62 ภาวะติดเช้อื ผ่านทางสายสวน สามารถแบง่ ได้ 3 ชนดิ ดงั น้ี38  ตดิ เชือ้ ในกระแสเลือด (catheter - related blood stream infection) สามารถวนิ ิจฉัย โดยการเพาะเชือ้ จากเลือดคนละที่ของรา่ งกายในเวลาทตี่ ่างกนั  ติดเชื้อบริเวณรูเปิดของสาย (exit site infection) สามารถวินิจฉัย โดยพบว่ามีอาการ บวม แดง เจ็บ และมีหนอง บริเวณท่ีสายแทง ผา่ นเขา้ ผิวหนงั  ตดิ เชือ้ บรเิ วณที่ฝังสายสวนใต้ผิวหนงั (tunnel infection) สามารถวินิจฉัย โดยพบว่ามีอาการ ปวด บวม ตามแนวยาวของสายสวนท่ีอย่ใู ตผ้ ิวหนัง การรักษา ให้ยาปฏิชีวนะแบบ broad spectrum เพื่อคลุมเชื้อโรคท้ัง gram positive และ gram negative รอจนได้ผลการเพาะเช้ือแล้วให้ปรับยาตามเช้ือโรค ร่วมกับนาเอาสายสวนน้ันออก จากร่างกายโดยเร็ว คมู่ อื การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคไตวายทีม่ ารบั การผ่าตดั ใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลอื ด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตดั

บทที่ 2 41 ความร้ทู ่วั ไปเกยี่ วกับโรคไตวาย ในกรณีท่ีมีการติดเชื้อในกระแสเลือด และผู้ป่วยมีความจาเป็นต้องเก็บสายสวน ควรทาการ ประเมินผูป้ ว่ ยก่อนวา่ ผู้ป่วยรา่ งกายแขง็ แรงและไม่มีอาการตดิ เช้ือรุนแรง จึงสามารถให้การรักษาโดย การให้ยาฆ่าเชื้อผ่านทางสายสวนแต่ถ้าอาการหรืออาการแสดงของการติดเช้ือไม่ดีข้ึนภายใน 24 - 48 ชวั่ โมง ควรพิจารณาเอาสายสวนนนั้ ออก  ภาวะสายสวนอดุ ตันบางส่วน (partial catheter occlusion) มักเกิดจากการมีไฟบริน หรือล่ิมเลือด อุดอยู่ที่ปลายสายสวน ทาให้ไล่เลือดกลับได้ แต่ไมส่ ามารถดูดเลอื ดออกมาได้ ซ่ึงสามารถทาการแกไ้ ขโดย  สวนลา้ งสายสวนดว้ ย heparinized saline เพือ่ ลดการอุดตนั ของสายสวน  ฉดี ยาละลายล่ิมเลือด (thrombolytic agent) เช่น urokinase เข้าไปหล่อในสายประมาณ 2-3 ช่ัวโมง เพ่ือสลายไฟบรินท่ีห่อหุ้มหรืออุดอยู่รอบสาย หลังจากน้ันดูดออกแล้วสวนล้างด้วย heparinized saline37  เปล่ียนสายสวนเส้นใหม่ โดยผ่าตัดใช้ขดลวดนาทางร้อยผ่านสายสวนเดิม นาสายเดิม ออก จากน้นั ใช้บอลลนู ถา่ งขยาย (balloon angioplasty) มาทาการถ่างขยายหลอดเลือดให้เปิดกว้าง ขึ้น แลว้ ใส่สายใหมท่ ดแทน63-64 หลักการฟอกเลือดที่มีประสิทธิภาพตาม KDOQI guidelines แนะนาว่า ควรมีอัตราการไหล ของเลือดจากสายสวนเข้าสู่เครื่องฟอกเลือด (blood flow rate : BFR) มากกว่า 300 ml/min กรณี อัตราการไหลของเลือดเข้าสู่เคร่ืองฟอกเลือดน้อยกว่า 300 ml/min อาจมีสาเหตุที่ทาให้การทางาน ของสายสวนระยะยาวเสียหน้าทีไ่ ป ควรประเมนิ หาสาเหตุและแนวทางแก้ไข65  ภาวะหลอดเลือดดาส่วนกลางอดุ ตัน (central venous thrombosis) เม่ือผู้ป่วยเกิดการอุดตันของหลอดเลือดดาส่วนกลาง จะแสดงอาการผิดปกติ ได้แก่ มีอาการ แขน คอ และหนา้ บวมตึง รู้สึกหนกั ๆ หน่วงๆ ทแ่ี ขน หลอดเลอื ดขนาดเล็กใต้ช้ันผิวหนังโป่งขยาย ปัจจัยเส่ียงของการเกิดหลอดเลือดดาใหญ่อุดตัน ได้แก่ ชนิดของสารน้าที่ให้ผ่านทางสาย ระยะเวลาการใส่สาย การติดเช้ือ การแข็งตัวของเลือดไวกว่าปกติ ขนาดและชนิดของสายสวนระยะ ยาวท่ใี ส่ และตาแหน่งของปลายสายทอี่ ยใู่ นหลอดเลือด คูม่ ือการพยาบาลผู้ปว่ ยโรคไตวายทม่ี ารบั การผา่ ตัดใสส่ ายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลือด ในระยะเตรียมกอ่ นผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตดั

บทที่ 2 42 ความรู้ท่วั ไปเกี่ยวกับโรคไตวาย การวินิจฉัย ถ้าผู้ป่วยมีอาการของภาวะอุดตันของหลอดเลือดดาส่วนกลาง สามารถวินิจฉัยได้ โดยการตรวจ duplex ultrasonography แต่ในหลอดเลือดดาบางตาแหน่งอาจมีข้อจากัดไม่สามารถ ตรวจได้ เช่น ในหลอดเลือดดา subclavian, innominate และ superior vena cava ซึ่งจะทาการ วินิจฉัยดว้ ยการทา venography การรักษา แนะนาให้ยกแขน หรืออวัยวะที่มีอาการสูงกว่าระดับหัวใจจะช่วยลดอาการบวมได้ การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant agent) อาจช่วยได้บ้าง แต่การรักษาท่ีดีที่สุดคือ นาสายสวนออก ยกเว้นในผู้ป่วยบางรายท่ียังมีความจาเป็นท่ีต้องเก็บสายสวนไว้จะให้การรักษา เพมิ่ เตมิ โดยให้ยาละลายล่ิมเลือด (thrombolytic agent)  ภาวะหลอดเลอื ดดาอุดตันในชนั้ ลกึ (deep vein thrombosis) มโี อกาสเกิดสูงในผู้ป่วยที่ได้รับการใส่สายสวนระยะยาวบริเวณขาหนีบ (femeral vein) 46,66 จงึ ควรเฝ้าระวงั และสังเกตขาด้านท่ใี ส่สายสวน พบอาการแสดงคือ ขาบวม ปวด คลาดูร้อน หรือคลา ได้หลอดเลือดเป็นลาแข็ง เนื่องจากมีการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือดดา และเห็นการเปลี่ยนสีที่ ผวิ หนงั เริม่ จากสีแดง และเปลี่ยนเป็นสีคล้าควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะการเกิดภาวะหลอดเลือด ดาอดุ ตันในช้นั ลึก เสย่ี งต่อการเกดิ ภาวะเกดิ ลิม่ เลอื ดลอยไปอดุ ตันท่ีปอด (pulmonary embolism) การรกั ษา โดยการใหย้ าต้านการแข็งตัวของเลือด มที ้ังชนิดฉีด และชนิดรับประทาน ปัจจุบัน นิยมให้ยาฉีดเฮพารินโมเลกุลต่า (low molecular weight heparin-LMWH) ซึ่งให้ผลการรักษาและ มคี วามปลอดภยั เทยี บเท่ากบั การให้ยาเฮพารนิ ในสารละลายทางหลอดเลือด67 ส่วนชนิดรับประทานที่ ใช้แพร่หลาย คือ ยาวาร์ฟาริน โดยแพทย์จะนัดตรวจติดตามผลโดยการเจาะเลือดตรวจหาระดับ INR (international normalized ratio) เพ่อื ใช้ปรบั ขนาดยา ในระหวา่ งใหก้ ารรักษาผู้ป่วย  ภาวะเกิดลิม่ เลือดอุดตนั ทปี่ อด (pulmonary embolism) เป็นภาวะท่ีเกิดขึ้นจากการมีลิ่มเลือดลอยตามกระแสเลือด ไปอุดในตาแหน่งหลอดเลือดที่ปอด (venous thromboembolism : VTE) ผู้ป่วยจะแสดงอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย การวนิ ิจฉยั ภาวะนี้ ทาไดโ้ ดยการสง่ ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือด (computed tomogram angiography) หรอื การถ่ายภาพรังสหี ลอดเลือดพูลโมนารีย์ (pulmonary arteriography) การรกั ษา โดยนาสายสวนน้ันออกไป และอาจพจิ ารณาใหก้ ารรักษาดว้ ยยาละลายลมิ่ เลือด คมู่ อื การพยาบาลผูป้ ว่ ยโรคไตวายที่มารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลือด ในระยะเตรยี มกอ่ นผา่ ตัดและระยะตรวจตดิ ตามผลหลังผา่ ตดั

บทที่ 2 43 ความรทู้ ั่วไปเกีย่ วกับโรคไตวาย  ภาวะสายสวนเลอ่ื นหลุด (catheter migration) เป็นภาวะที่ปลายสายสวนสามารถเล่ือนไปอยู่ในตาแหน่งอื่นที่ไม่ใช่รอยต่อระหว่างหลอดเลือด ดา superior vena cava และหวั ใจห้องบนขวา มีอาการแสดงได้แก่ มีอาการปวดบริเวณ หัวไหล่ คอ ศีรษะ หรือตามแนวหลอดเลือดดาในบริเวณดังกล่าว เน่ืองจากเกิดการระคายเคืองของหลอดเลือดดา บริเวณ คอ หัวไหล่ และศีรษะ จากปลายสายสวน ซ่ึงจะทาให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดบริเวณ ดังกล่าวตามมา การรักษา ทาได้โดยการขยับและปรับตาแหน่งปลายสายสวนใหม่ โดยใช้ลวดนาทาง และ เครอ่ื งเอกซเรย์ fluoroscopy ชว่ ยในการขยบั ปลายสาย ใหอ้ ยู่ระหว่างหลอดเลือดดา superior vena cava และหัวใจหอ้ งบนขวา  ภาวะตบี แคบของหลอดเลอื ดดาสว่ นกลาง (central venous stenosis) ภาวะตีบแคบของหลอดเลือดดาส่วนกลาง สาเหตุเกิดจากเซลล์บุผนังหลอดเลือด (veneous endothelium) ได้รับบาดเจ็บจากปลายสายสวนไปครูดทาให้เกิดเป็นแผล เกิดเป็นพังผืดของผนัง หลอดเลือด (fibrosis) ร่วมกับการฟอกเลือดจะทาให้เกิดกระแสเลือดไหลวน (turbulence flow) ใน หลอดเลอื ดดา กระตุ้นให้เกดิ การหนาตัวของผนังหลอดเลือดทาให้หลอดเลือดตีบแคบลง พบในผู้ป่วย ทีไ่ ดร้ บั การผ่าตัดใส่สายสวนผ่านทางหลอดเลือดดา subclavian กว่าร้อยละ 5037 ด้วยเหตุนี้หากผู้ป่วย มีความจาเป็นต้องผ่าตัดใส่สายสวนระยะยาวเพ่ือฟอกเลือด ควรพิจารณาใช้หลอดเลือดดา internal jugular โดยหลีกเลี่ยงการใส่สายสวนระยะยาวเพือ่ ฟอกเลือดทางหลอดเลือดดา subclavian ยกเว้น ในกรณีทจี่ าเปน็ การรักษา โดยการทาผ่าตัดใช้บอลลูนถ่างขยาย (balloon angioplasty) อาจร่วมกับ การใสข่ ดลวดถ่างขยาย (stent) หรือการผ่าตัดทาทางเบยี่ งหลอดเลือดดา (bypass)68 คู่มือการพยาบาลผ้ปู ว่ ยโรคไตวายที่มารบั การผา่ ตัดใส่สายสวนระยะยาวเพอ่ื ฟอกเลือด ในระยะเตรยี มก่อนผา่ ตดั และระยะตรวจตดิ ตามผลหลงั ผ่าตัด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook