Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือทั่วไป-คู่มือการดูแลและพัฒนาการเด็กเล็ก วัย 6 ถึง 12 ปี

หนังสือทั่วไป-คู่มือการดูแลและพัฒนาการเด็กเล็ก วัย 6 ถึง 12 ปี

Description: หนังสือทั่วไป-คู่มือการดูแลและพัฒนาการเด็กเล็ก วัย 6 ถึง 12 ปี

Search

Read the Text Version

คูม ือสําหรับพอ แม เพือ่ เผยแพรความรดู านการดแู ลและพัฒนาเดก็ ตอน เด็กวยั เรยี น 6-12 ป 1

คมู่ อื สำ� หรับพอ่ แม่ เพ่ือเผยแพร่ความรู้ดา้ นการดแู ลและพัฒนาเดก็ ตอน เด็กวัยเรียน 6-12 ปี ทมี บรรณาธกิ าร ชัชวาลานนท์ อุฬารตินนท์ พ.ท.หญิงโสรยา เอมเปรมศิลป์ พญ.ศิริรตั น ์ ปยิ ะศิลป์ พญ.สุธาทพิ ย ์ ศ.คลนิ ิก พญ.วินัดดา คณะอนุกรรมการ Child Health Supervision รศ.พญ.ประสบศรี อ้งึ ถาวร พญ.วันด ี นิงสานนท์ พญ.จริยา ทะรกั ษา ผศ.พญ.อิสราภา ชน่ื สวุ รรณ ศ.คลนิ ิก พญ.วินดั ดา ปยิ ะศลิ ป์ พญ.นยั นา ณีศะนันท์ รศ.พญ.จนั ทฑ์ ติ า พฤกษานานนท์ ผศ.พญ.อดิศรส์ ดุ า เฟ่ืองฟู รศ.นพ.อดศิ กั ดิ ์ ผลิตผลการพมิ พ์ รศ.พญ.บญุ ย่ิง มานะบริบรู ณ์ รศ.นพ.พงษศ์ กั ด์ิ น้อยพยคั ฆ์ เอมเปรมศลิ ป์ ผศ. (พเิ ศษ) นพ.เทอดพงศ์ เต็มภาคย์ พญ.สุธาทิพย์ ปรู านิธิ พญ.ปองทอง ISBN จดั พมิ พ์โดย ราชวทิ ยาลัยกุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย สมาคมกุมารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย ช้นั 9 อาคารเฉลิมพระบารมี ๕๐ ปี เลขที่ 2 ซอยศนู ย์วิจัย ถนนเพชรบุรตี ัดใหม่ เขตหว้ ยขวาง กรุงเทพฯ10310 โทร. 0-2716-6200-1 โทรสาร 0-2716-6202 E-mail: [email protected] http: //www.thaipediatrics.org ลิขสทิ ธิข์ องราชวทิ ยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย การผลิตและลอกเลยี นแบบของหนังสือเล่มนี้ ไมว่ า่ รปู แบบใดท้ังส้ิน ต้องได้รับอนญุ าตเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรจากราชวิทยาลัยกุมารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย ข้อมลู ทางบรรณานกุ รมของส�ำนกั หอสมุดแหง่ ชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data 2

สารจากประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ แห่งประเทศไทย ดว้ ยเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารทล่ี ำ�้ สมยั ในปจั จบุ นั ทำ� ใหพ้ อ่ แมม่ อื ใหมส่ ามารถรบั รขู้ อ้ มลู ขา่ วสารตา่ ง ๆ จากส่ือต่าง ๆ ทางมอื ถือไดอ้ ย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน ขอ้ มลู เหลา่ นี้อาจจะไมไ่ ด้รบั การกล่ันกรอง ซึ่งเมื่อน�ำไปใช้ในการเลยี้ งลูกอาจจะไมเ่ หมาะสมกับลูกของตนเอง หนงั สอื เลม่ นไี้ ดร้ วบรวมความรแู้ ละหลกั เกณฑใ์ นการเลยี้ งลกู ในวยั ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหพ้ อ่ แมไ่ ดร้ บั มอื กับอารมณ์และพัฒนาการของลูกในแต่ละวัย ทั้งน้ีเพ่ือความเหมาะสมแก่ลูกในวัยนั้น อีกท้ังการวาง แนวทางแกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ท่ีอาจจะเกดิ ขึ้น หนงั สอื เลม่ นจี้ งึ ใหห้ ลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ ในการเลย้ี งลกู ทค่ี รบถว้ นแตก่ ารเลยี้ งลกู ยงั ตอ้ งอาศยั ความ รัก ความใกลช้ ิด ความเอาใจใส่ และความต่อเนอื่ งต้ังแตเ่ ล็กจนโต เพือ่ ทจ่ี ะได้ผู้ใหญค่ นหนึ่งทีส่ มบูรณ์ ทกุ ๆ ดา้ นในยคุ 4G น้ี (ศาสตราจารยน์ ายแพทยพ์ ภิ พ จิรภญิ โญ) ประธานราชวทิ ยาลยั กมุ ารแพทย์แหง่ ประเทศไทย นายกสมาคมกมุ ารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย 3

บทนำ� ใครๆก็มักพูดวา่ เด็ก คอื อนาคตของชาติ แต่คนท่มี คี วามรทู้ ี่แทจ้ รงิ ในการพฒั นาเดก็ จนท�ำให้ เดก็ เตบิ โตไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ พฒั นาความรคู้ วามสามารถ จนทำ� ประประโยชนต์ อ่ ตนเองและผอู้ น่ื ไดก้ ลบั มไี มม่ าก สงั คมในปจั จบุ นั พบปญั หาเดก็ ไทยมปี รมิ าณสงู ขนึ้ ชดั เจน ทงั้ ๆทป่ี รมิ าณเดก็ ไทยมปี รมิ าณลดลง และสาเหตุหลักมาจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม หน้าท่ีหลักของกุมารแพทย์นอกจากให้การรักษาดูแล ขณะเจ็บป่วยแล้ว กุมารแพทย์พึงต้องให้ค�ำแนะน�ำครอบครัวในแต่ละช่วงวัยเพื่อเป็นหลักในการเลี้ยงดู พัฒนาเดก็ เราให้เติบโตอยา่ งถกู ทิศทาง เปน็ กำ� ลังส�ำคญั ของครอบครัว เป็นคนดีของสงั คมและประเทศ ชาตติ อ่ ไป แตข่ ณะเดยี วกนั พอ่ แมซ่ งึ่ เปน็ ผทู้ ม่ี คี วามสำ� คญั อยา่ งสงู ตอ่ การสง่ เสรมิ เลยี้ งดู พฒั นาเดก็ รอบดา้ น และใหโ้ อกาสมีประสบการณช์ ีวติ ในด้านตา่ งๆตลอดช่วง 15 ปแี รกของชวี ติ จำ� เปน็ ต้องค้นคว้าหาความ รู้เพื่อนำ� ไปใช้ในการเล้ยี งดแู ละพฒั นาเด็กต่อไป ในการทำ� งานนี้ ตอ้ งขอขอบคณุ ทมี บรรณาธกิ ารทกุ ชว่ งวยั ทกุ ทา่ นทเี่ สยี สละเวลาอนั มคี า่ รวบรวม ความรู้ท่ีทันสมัย ข้อมูลส�ำคัญ เรียบเรียงจนผู้ที่ต้ังใจอ่านจะเข้าใจได้ง่าย ท้ังนี้เพ่ือประโยชน์ที่มีต่อเด็ก ต่อพ่อแม่ ต่อผู้ท่ีท�ำงานเก่ียวข้องกับเด็กทุกภาคส่วน ท่ีส�ำคัญ คือ ประโยชน์ที่จะมีต่อสังคม และต่อ ประเทศชาตขิ องเรา (ศ.คลินกิ พญ.วินดั ดา ปยิ ะศิลป)์ ประธานวชิ าการ ราชวทิ ยาลัยกุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย 4

สารบัญ หนา้ สารจากประธานราชวทิ ยาลัยกุมารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย 3 บทนำ� 4 บทที่ 1 ความส�ำคัญของชว่ งวยั เรียน 7 กำ� หนดการดแู ลสุขภาพเดก็ ไทยโดยราชวทิ ยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2557 9 ตอนท่ี 2 การเจริญเตบิ โต พฒั นาการ และการตรวจประเมนิ 10 รา่ งกาย 10 จิตใจและการเข้าสังคม 10 อารมณ์ 12 จรยิ ธรรม 12 ตารางสำ� รวจพัฒนาการและทักษะการเรยี นร้ ู 15 ตารางการตรวจคดั กรองทจี่ ำ� เปน็ 16 ตอนที่ 3 การดแู ลสง่ เสรมิ สุขภาพและปอ้ งกันโรค 20 อาหาร 20 การออกก�ำลงั กายและการเลน่ 21 สุขภาพช่องปากและฟนั 22 ความปลอดภยั ส�ำหรับเด็กวยั เรียน 6-12 ปี 23 การป้องกนั พฤติกรรมเสีย่ งตา่ งๆ 24 สื่อทวี ีและเกม 27 วคั ซีน 28 ตารางฉีดวคั ซนี มาตรฐานราชวิทยาลยั กุมารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย พ.ศ.2560 29 กราฟน�้ำหนกั ความยาว สว่ นสงู ของเดก็ หญิง/ชายไทยอายุแรกเกดิ -5 ปชี ดุ ใหม่ 32 5

ตอนที่ 4 เทคนิคการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรใู้ นเดก็ วยั เรยี น 34 ทักษะของเดก็ ในศตวรรษท่ี 21 34 การสร้างความสัมพนั ธ์ทด่ี ี 35 การส่งเสรมิ ทักษะที่ส�ำคญั 37 การสรา้ งเสริมพฤติกรรมทีพ่ งึ ประสงค ์ 40 การสรา้ งความภาคภูมใิ จและมั่นใจในตัวเอง 42 ตอนท่ี 5 ปญั หาทพี่ บบ่อยในเดก็ วยั เรยี น การช่วยเหลือและปอ้ งกัน 43 ปญั หาการเรยี น 43 โรคสมาธิสนั้ 44 ภาวะบกพร่องในทักษะการเรยี น 45 ปญั หาพฤติกรรม 48 ก้าวร้าว แกลง้ เพื่อน 48 ล้อเลียน 49 โกหก 50 ขโมย 51 ติดเกม 52 การปรบั ตวั ยาก ไมม่ เี พอ่ื น 53 วิตกกังวล 54 ไมย่ อมไปโรงเรยี น 54 ปสั สาวะรดทน่ี อน 56 เอกสารอา้ งอิง 57 6

ความส�ำคญั ของช่วงวัยอนบุ าล 3-6 ปี บทท่ี 1 ความส�ำคญั ของช่วงวยั เรียน 6-12 ปี เดก็ วัยเรยี นชว่ งอายุ 6-12 ปี ถือเปน็ ทรพั ยากรท่สี �ำคญั และมคี า่ ย่งิ สำ� หรบั ประเทศ และเป็นช่วง ท่ีเด็กเรียนรู้ได้ทุกด้าน ความสามารถที่เพ่ิมข้ึนทุกอย่างจะกระตุ้นการท�ำงานและพัฒนาการของสมอง ชว่ งนเี้ ปน็ ชว่ งทเี่ ดก็ ใชเ้ วลาอยใู่ นโรงเรยี นเปน็ สว่ นใหญ่ ตอ้ งปรบั ตวั ทง้ั ดา้ นการเรยี น กฎระเบยี บและปรบั ตัวให้เข้ากับครูและเพ่ือน เด็กจะพัฒนาความสามารถอย่างรวดเร็วท้ังร่างกาย จิตใจ ความคิด การใช้ ภาษาและการแก้ปญั หา โดยนำ� ความรูท้ ี่ไดม้ าปรับใช้ จนมีความมัน่ ใจในตนเอง มพี ้ืนอารมณม์ ่นั คง และ สามารถด�ำเนินชีวิตในโรงเรียนได้อย่างมีความสุขและสบายใจ แต่ถ้าพัฒนาการในวัยนี้หยุดชะงักหรือมี ปัญหาทีไ่ ม่ได้รบั การช่วยเหลือ จะสง่ ผลต่อการเข้าระยะวยั รุน่ และกลายเปน็ ปญั หาสะสมเรื้อรงั ตอ่ ไปใน อนาคต ปัจจุบนั สภาพโครงสรา้ งของครอบครัวและสังคมไทย แนวทางการด�ำรงชีวิตรวมถงึ วิวัฒนาการ และความเจริญในด้านตา่ งๆ ไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อสขุ ภาพ พัฒนาการและ การเรียนรขู้ องเด็กวยั เรียนท้ังเชงิ บวกและเชงิ ลบ สขุ ภาวะของเดก็ วัยเรียนในปจั จบุ นั มดี ังนี้ คอื 1. จำ� นวนประชากรกลมุ่ นมี้ แี นวโนม้ ลดลง พอ่ แมป่ จั จบุ นั ใหเ้ วลาในการเลยี้ งดู อบรมสง่ั สอน และฝึกฝนทักษะทจ่ี ำ� เปน็ ให้ลูกๆ นอ้ ยลง ส่วนใหญ่ละทิ้งใหด้ ทู ีวี เล่นเกมหรือสอื่ ออนไลนเ์ ป็นเวลา นานและขาดการกำ� กบั ดแู ลทเ่ี หมาะสม มคี รอบครวั จำ� นวนนอ้ ยทสี่ ง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ออกกำ� ลงั กายหรอื เลน่ กีฬากลางแจ้งเป็นประจำ� เด็กใชเ้ วลาดโู ทรทัศน์เฉลีย่ วนั ละ 2.8 ช่วั โมง มกี ิจกรรมรว่ มกนั ในครอบครวั ลดลงชัดเจน ผู้เลี้ยงดูหลักของเด็กส่วนใหญจ่ บชัน้ ประถมศึกษา พอ่ แมย่ กหนา้ ทเ่ี รอ่ื งการเรียนให้กบั ครู เด็กวัยเรียนเกือบครึ่งหนึ่งถูกผู้ใหญ่กระท�ำรุนแรงทางวาจา หน่ึงในส่ีเคยถูกกระท�ำรุนแรงทางร่างกาย ส่งผลให้เด็กวยั เรียนหน่ึงในสามมีพฤติกรรมใชค้ วามรุนแรงในเวลาตอ่ มา 2. พบปัญหาโภชนาการท้ังเกินและขาด พบเด็กอ้วนเพ่ิมข้ึนชัดเจนโดยเฉพาะในเขตเมือง 1 ใน 10 ของเด็กเปน็ โรคอว้ น มคี วามเส่ียงตอ่ เบาหวานประเภท 2 เด็กอว้ นมีปัญหาหยดุ หายใจเวลานอน กระดูกและข้อผิดรูป นอกจากนร้ี ้อยละ 7 ของเดก็ วยั เรียนไทยยงั มภี าวะเตย้ี กว่าเกณฑ์ ซ่ึงภาวะตัวเต้ีย มสี ว่ นสัมพันธ์กับระดับเชาวป์ ญั ญาที่ต่�ำกว่าเมอื่ เทียบกับเด็กทีม่ สี ่วนสูงตามเกณฑ์ 7

ความสำ� คญั ของช่วงวยั อนบุ าล 3-6 ปี 3. เจ็บป่วยต�่ำ การเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลมักเกิดจากโรคติดเชื้อของระบบหายใจ โรค ไขเ้ ลอื ดออก อบุ ตั เิ หตแุ ละสารพษิ และโรคของระบบทางเดนิ อาหาร พบโรคภมู แิ พเ้ พมิ่ ขน้ึ (ประมาณ 1 ใน 10 เปน็ โรคหอบหดื และโรคผวิ หนงั เปน็ ผนื่ จากภมู แิ พ้ 2 ใน 10 เปน็ โรคจมกู และตาอกั เสบจากภมู แิ พ)้ รอ้ ยละ 7 เปน็ คอพอกจากขาดสารไอโอดนี รอ้ ยละ 20.5 มโี ลหติ จาง คาดว่าร้อยละ 4 เปน็ โลหิตจางจากการ ขาดธาตุเหลก็ ทงั้ การขาดสารไอโอดนี และโลหติ จางจากการขาดธาตเุ หล็กทำ� ใหเ้ สยี่ งตอ่ สตปิ ญั ญาพรอ่ ง บ่นั ทอนศักยภาพการเรียนรขู้ องเดก็ ซึง่ ปญั หาการขาดธาตเุ หล็กและขาดสารไอโอดีนสามารถป้องกนั ได้ 4. พบภาวะการมองเห็นผิดปกติ รอ้ ยละ 6.6 ในเดก็ วยั เรยี น ร้อยละ 4 จำ� เปน็ ต้องใส่แว่น การ ไดย้ นิ บกพร่องพบได้รอ้ ยละ 6.1 ซ่งึ ทั้งสองภาวะเปน็ ปจั จยั ขัดขวางตอ่ การเรยี นรู้ 5. สขุ ภาพชอ่ งปากและฟนั ไมด่ ี พบวา่ เดก็ วยั ประถมศกึ ษามฟี นั ผถุ าวรมากถงึ รอ้ ยละ 52.3 รอ้ ยละ 6.3 เคยขาดเรยี นเพราะปวดฟันและขาดเรียนเฉลี่ย 1.3 วันตอ่ ปี 6. พบปญั หาการเรียนเพ่ิมขึ้น รอ้ ยละ 4.1 มรี ะดับเชาวนป์ ญั ญาต่ำ� กว่าปกติ (IQ <70) บางพ้นื ที่ พบสูงถึงร้อยละ 43.3 เป็นโรคสมาธิสั้นร้อยละ 2.4-8 มีความบกพร่องในทักษะการเรียน (Learning disorders: LD) รอ้ ยละ 6-9.95 หากเด็กไมไ่ ด้รบั การช่วยเหลอื ทเ่ี หมาะสมจะส่งผลใหม้ ีปญั หาการเรียน ในระยะยาว 7. พบปญั หาพฤตกิ รรมและอารมณเ์ พมิ่ ขนึ้ พบปญั หาสขุ ภาพจติ รอ้ ยละ 37.6 มแี นวโนม้ ทจี่ ะพบ ภาวะจติ ใจจากการเผชญิ อนั ตรายรนุ แรงเพมิ่ ขนึ้ (posttraumatic stress disorder) เชน่ ที่ 3 เดอื นหลงั ภัยพิบัติดา้ นการเมือง เดอื นพฤษภาคม ปี 2553 พบแนวโนม้ ทจี่ ะมีปัญหาจิตใจรอ้ ยละ 30 ในนักเรยี น เขตสวนลมุ เดก็ วัยเรียนร้อยละ 0.9 สบู บหุ ร่แี ละรอ้ ยละ 5.0 ดื่มเครอ่ื งด่ืมที่มีแอลกอฮอล์ หนึง่ ในสามไม่ สวมหมวกนิรภัยขณะขี่รถจักรยานยนต์ หนง่ึ ในหา้ ไม่คาดเข็มขดั นริ ภัยขณะขบั รถยนต์ 8

ความส�ำคญั ของชว่ งวัยอนบุ าล 3-6 ปี ก�ำหนดการดูแลสขุ ภาพเด็กไทย มาตรฐานราชวทิ ยาลัยกมุ ารแพทย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2557 9

การเจริญเตบิ โต พัฒนาการและการตรวจประเมนิ บทที่ 2 การเจรญิ เติบโต พฒั นาการและการตรวจประเมิน รา่ งกาย เด็กจะใช้กล้ามเน้ือมัดใหญ่ได้ดี เช่น เตะบอลได้มั่นคง ชอบการเคล่ือนไหว เรียนรู้และพัฒนา ผา่ นการเลน่ เช่น เลน่ ไล่จับ ว่ายน�้ำ บาสเกตบอล ปิงปอง หมากฮอส เปน็ ต้น ใช้มือและนวิ้ เคล่ือนไหว ได้ ละเอียดอ่อนมากขึ้น ท�ำให้วาดรูปเรขาคณิต วาดรูปคน เล่นระนาด ตีปิงปองหรือแบดมินตันได้ ซง่ึ เปน็ การประสานการทำ� งานระหวา่ งมอื ตา และการเคลอ่ื นไหวของรา่ งกายไปพรอ้ มกนั ซงึ่ จะเปน็ การ สง่ เสริมใหเ้ ด็กกระฉบั กระเฉง หูไว ตาไว สมาธิดี ประสาทตา่ งๆท�ำงานไดค้ ล่อง เมอื่ เขา้ ชว่ งปลายของวยั เรยี นเขา้ ใกลว้ ยั รนุ่ ในชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 รา่ งกายจะเปลยี่ นแปลงมาก เด็กหญิงจะมีการเติบโตเร็วกว่าเด็กชาย จากการท�ำงานของฮอร์โมนประจ�ำเพศ กล้ามเน้ือมัดใหญ่และ เลก็ และการเคล่ือนไหว จะมกี ารพัฒนาอยา่ งสมบูรณ์ การสง่ เสรมิ ใหร้ า่ งกายหลายสว่ นทำ� งานคลอ่ งแคลว่ ประสานกนั ตอ้ งอาศยั การฝกึ ฝนผา่ นการทำ� กจิ กรรมทั้งงานบา้ นและการเลน่ กฬี าอยา่ งตอ่ เนอ่ื งและสม�ำ่ เสมอ สภาพแวดลอ้ มทมี่ งุ่ เนน้ ความสะดวกสบาย สง่ เสรมิ การเลน่ เกม ดโู ทรทศั น์ นอนในหอ้ งปรบั อากาศ จะหลอ่ หลอมใหเ้ ดก็ ตดิ กบั ความสบาย ความสนกุ เหลา่ นอี้ าจไปขดั ขวางการพฒั นาดา้ นกลา้ มเนอื้ มดั ใหญ่ มัดเล็กตามท่ีกล่าวมา จิตใจและการเข้าสงั คม การทเี่ ดก็ จะอยรู่ ่วมกบั ผู้อืน่ ในสงั คมได้ดี จะตอ้ งมาจากรากฐานครอบครัวทีม่ ีความรกั เออื้ อาทร และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ความรู้สึกว่ามีคนรัก ห่วงใยและมีผู้ท่ีจะอยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือในยามท่ี ต้องการหรือเมอื่ ประสบกบั ปัญหา ชืน่ ชมยนิ ดเี มอื่ เด็กทำ� ได้ ประสบการณ์ท่ดี จี ะชว่ ยใหเ้ ด็กรู้สกึ ตนเองมี คณุ คา่ ภมู ใิ จและเชอื่ มั่นตนเอง รวมถึงมจี ติ ใจท่ีมัน่ คงและมองผอู้ ืน่ ดีตามมา 10

การเจริญเติบโต พฒั นาการและการตรวจประเมนิ พ่อแม่และครูต้องฝึกเด็กวัยเรียนให้รับผิดชอบ ทั้งงานของตนเองและงานส่วนรวม โดยให้เด็ก ชว่ ยตัวเองมากท่สี ดุ รบั ผดิ ชอบขา้ วของของตนเอง ซ่ึงจะเป็นการสรา้ งวนิ ยั บงั คับตวั เองให้อยูใ่ นกตกิ า ตอ้ งฝกึ บรหิ ารจัดการเวลา หัดแก้ปัญหางา่ ยๆให้กับตัวเองมาตั้งแตย่ ังเล็ก ฝึกฝนให้เดก็ ช่วยงานสว่ นรวม เช่น จดั โต๊ะอาหาร กวาดบา้ น ถบู า้ น ลา้ งถว้ ยชาม เกบ็ โต๊ะกินข้าว นอกจากจะพฒั นาความรบั ผดิ ชอบ ความชา่ งสงั เกต ความละเอยี ดรอบคอบแลว้ ยงั ฝกึ ความมนี ำ�้ ใจเผอ่ื แผ่ ชว่ ยเหลือผอู้ ่นื การท่ีเด็กได้ทำ� งานร่วมกบั ผูใ้ หญ่ จะทำ� ใหเ้ ด็กซมึ ซับการกระทำ� วิธีคดิ ค่านยิ ม ทศั นะคติ และเปน็ การถ่ายทอดเทคนคิ ตลอดจนธ�ำรงไว้ซง่ึ วฒั นธรรมจากคนรนุ่ หนึ่งสอู่ ีกรนุ่ หน่ึงโดยไม่รู้ตัว ความสามารถในการเลน่ ได้หลายอยา่ ง ทำ� กิจกรรมไดห้ ลายแบบ จะเป็นรากฐานในการทเ่ี ด็กจะ เข้าไปร่วมงานกับเพ่ือนทั้งในช่วงเวลาเรียนและเวลาพักผ่อน การที่พ่อแม่แบ่งเวลาท�ำกิจกรรมร่วมกับ ลกู สม่ำ� เสมอจะส่งผลทำ� ใหเ้ ดก็ พร้อมท่จี ะไปท�ำกจิ กรรมรว่ มกับเพ่อื นเช่นกนั วยั น้ี จงึ เปน็ ชว่ งสำ� คญั ในการฝกึ เขา้ สงั คมอยา่ งแทจ้ รงิ นอกจากจะฝกึ ใหเ้ ลน่ และทำ� กจิ กรรมแลว้ การฝกึ ฝนจิตใจใหเ้ ข้าใจคนอนื่ การโอนออ่ นผอ่ นตาม การรักษากตกิ า ความมนี ำ้� ใจเป็นนักกฬี า การเสีย สละ เปน็ ตน้ จะเปน็ สิง่ ทส่ี ง่ เสริมการสรา้ งมิตรภาพระยะยาว 11

การเจริญเตบิ โต พัฒนาการและการตรวจประเมิน อารมณ ์ ฝึกให้เด็กรู้จักและเข้าใจอารมณ์ของตนเอง หัดควบคุมอารมณ์ หัดให้แสดงอารมณ์อย่างเหมาะ สมเพ่ือเป็นพื้นฐานการแกป้ ญั หา ชมเมือ่ ท�ำได้และให้กำ� ลังใจเมือ่ เด็กยังทำ� ไม่ได้ ซง่ึ จะเป็นทักษะสำ� คญั ในการใช้ชวี ิตอย่างมคี วามสุข ช้ีให้เด็กเห็นความแตกต่างของแต่ละบุคคล หัดมองข้ามความไม่ถูกใจ หัดมองข้อดี ข้อเสียของ ตนเองและของคนอ่ืน เรียนรู้จักการแสดงออกที่เหมาะสมเมื่อได้รับชัยชนะ แต่ก็เรียนรู้จักการพ่ายแพ้ ความผิดหวัง การท�ำใจและร้จู ักหาทางขจัดความรสู้ กึ ผิดหวัง ไม่ให้มมี ากหรือนานเกนิ ไป หัดให้ก�ำลงั ใจ ตนเองและเปดิ โอกาสใหต้ นเองไดล้ องทำ� ใหมอ่ กี ครงั้ ทงั้ หมดทก่ี ลา่ วจะเปน็ การสรา้ งทกั ษะพนื้ ฐานในการ ควบคมุ อารมณ์ เมอ่ื ควบคมุ อารมณไ์ ด้ กจ็ ะใชส้ มองไตรต่ รองหาวธิ กี ารแกป้ ญั หาไดเ้ หมาะสมและซบั ซอ้ น ไดเ้ พม่ิ ขนึ้ การฝึกเด็กให้ปรับตัวได้ทันการเปลี่ยนแปลงน้ัน พ่อแม่และครูต้องหมั่นทบทวนวิธีการท่ีตนเอง ใช้ว่าเหมาะสม ทนั ต่อเวลา ปัญหา และทนั ต่อความเปล่ียนแปลงในสังคมหรอื ไม่ นอกจากน้ีควรเป็นต้น แบบที่ดีในการปรับตวั รับการเปล่ยี นแปลง จรยิ ธรรม ถา้ ฝกึ ใหเ้ ด็กคิดดี ทำ� ดี พูดดี ตอ้ งฝกึ ตั้งแต่เลก็ จะท�ำใหป้ ัญหาตา่ งๆลดลงมาก การเปิดโอกาสให้ เดก็ ไดเ้ จรญิ เตบิ โตในทๆี่ เงยี บ สงบใกลช้ ดิ กบั ธรรมชาติ ใหเ้ วลาเดก็ ไดใ้ ชส้ มาธไิ ตรต่ รองตนเองมากพอ มอง ตนเองด้านดี เห็นตัวเองท�ำส่ิงทดี่ ๆี ฟงั ตวั เองพูดเรอื่ งดีๆบ่อยๆ จะเปน็ การสรา้ งรากฐานด้านจรยิ ธรรมที่ สำ� คญั ชว่ งวยั อนบุ าล 3-5 ปแี ละชว่ งวยั ประถมศกึ ษาตอนตน้ จะเปน็ ชว่ งทส่ี ามารถสอนในสง่ิ ทดี่ งี ามผา่ น การเลา่ นทิ าน เลา่ ถงึ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ รอบตวั เกยี่ วกบั ความเสยี สละ ความเออื้ อาทร การแบง่ ปนั นำ�้ ใจ การชว่ ยเหลอื ผอู้ นื่ และผลเสยี ของการเหน็ แกต่ วั ความมกั งา่ ย ความเยอ่ หยง่ิ ความเอาแตใ่ จ เปน็ ตน้ และ เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดท้ �ำในสงิ่ ทีด่ งี ามแกผ่ ู้อืน่ โดยหยิบยกความดีน้นั ข้ึนมา เพื่อเป็นตัวอย่างใหเ้ ดก็ เห็นวา่ การคิดดี พูดดี และท�ำดีนน้ั ท�ำไดไ้ มย่ าก ท�ำได้ทุกวัน ทุกเวลา 12

การเจรญิ เตบิ โต พัฒนาการและการตรวจประเมิน พฒั นาการทางจริยธรรมของเดก็ จงึ ข้นึ อยู่กับประสบการณท์ ่เี ด็กได้รับจากคนทง้ั ในและนอกบ้าน โดยส่วนหน่ึงลอกเลียนแบบมาจากพ่อแม่ คุณครู ความเชื่อเรื่องผิดถูกจะได้รับการปรับเปลี่ยนขัดเกลา จนมีลักษณะทย่ี ดื หยุ่นมากขน้ึ เดก็ จะรู้จกั ตนเอง รจู้ กั และเข้าใจมมุ มองของผู้อนื่ รวมทง้ั สามารถเข้าใจ บรบิ ทของเหตกุ ารณค์ อื เรอื่ งเดยี วกนั แตต่ า่ งสถานการณก์ อ็ าจตดั สนิ ถกู ผดิ แตกตา่ งกนั ออกไปกไ็ ด้ จนคดิ ดี พดู ดี ทำ� ดีเป็นอัตโนมัติ การก�ำหนดกฎเกณฑก์ ติกาจึงส�ำคัญ เชน่ กติกาของการเลน่ กติกาของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันท้ังที่ บา้ นและทโี่ รงเรยี น จงึ เปน็ สง่ิ สำ� คญั ในการฝกึ ใหเ้ ดก็ วางตวั อยา่ งเปน็ อสิ ระภายใตก้ รอบของสงั คม เรยี นรู้ วา่ ควรเลน่ อยา่ งไรและจะทำ� อยา่ งไรจงึ จะเขา้ กบั คนอน่ื ได้ กฎเกณฑค์ อื อะไร ตอ้ งหดั เจรจาตอ่ รองเพอ่ื ให้ ไดใ้ นสิง่ ทตี่ วั เองคิดวา่ ถกู ตอ้ งแตอ่ าจไม่ถูกใจบางคน หลกั การทวี่ า่ สง่ิ ทด่ี ี คนดที ำ� ไดง้ า่ ย แตค่ นชวั่ ทำ� ไดย้ าก เชน่ เดยี วกบั สง่ิ ชว่ั รา้ ยทคี่ นชว่ั ทำ� งา่ ย แตค่ น ดที �ำยาก ดงั น้นั การฝกึ สอนและเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ได้คดิ ดี พดู ดี ทำ� ดี จนกลายเปน็ นสิ ัย จะเป็นรากฐานที่ สำ� คญั ถงึ แมเ้ มอ่ื เตบิ โตจนเขา้ วยั รนุ่ ซง่ึ กลมุ่ เพอ่ื นมบี ทบาทสำ� คญั อยา่ งมากในชวี ติ แตร่ ากฐานทพี่ อ่ แมค่ ณุ ครสู รา้ งไวจ้ ะชว่ ยทำ� ใหว้ ยั รนุ่ ตดั สนิ ใจเลอื กเสน้ ทางทเ่ี หมาะสม ดงี ามตอ่ ไปได้ การเปน็ ตน้ แบบทดี่ งี ามของ พอ่ แมแ่ ละครจู งึ มคี วามสำ� คญั อยา่ งมากในการสรา้ งจรยิ ธรรมใหเ้ กดิ ขนึ้ ในตวั เดก็ ๆ พอ่ แมแ่ ละครทู ม่ี ที า่ ที แข็งกรา้ วและไม่ยดื หยุน่ อาจท�ำใหเ้ ด็กเกิดการตอ่ ต้าน และไปขัดขวางการพฒั นาจริยธรรมจากระยะตน้ ไปสรู่ ะยะตอ่ ๆไปได้ การตรวจประเมนิ เด็กวัยเรียนควรได้รับการตรวจประเมินทุกปีเพ่ือติดตามการเจริญเติบโตเพื่อดูว่าร่างกายเติบโต สมสว่ นหรอื ไม่ (กราฟการเจรญิ เตบิ โตศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดใ้ นภาคผนวก) รวมถงึ ประเมนิ พฒั นาการและการ เรยี นรู้ อยา่ งนอ้ ยตดิ ตามปเี วน้ ปที อ่ี ายุ 6, 8 และ 10 ปี (ในกรณที เ่ี ดก็ มพี ฒั นาการสมวยั ปกตแิ ละแขง็ แรงดี มาตลอด) รายละเอยี ดการตรวจประเมนิ ตามตารางตอ่ ไปนี้ อา้ งองิ ตามมาตรฐานราชวทิ ยาลยั กมุ ารแพทย์ แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2557 (เอกสารในภาคผนวก) 13

การเจรญิ เติบโต พฒั นาการและการตรวจประเมิน ตารางประเมนิ เด็กวัยเรียนโดยคุณครพู ยาบาลหรือครอู นามยั การตรวจคดั กรอง วธิ ตี รวจ สรปุ ผล ตรวจสุขภาพ ตรวจสขุ ภาพท่วั ไป ชั่งน้�ำหนกั วดั สว่ นสูง วดั ความดนั โลหติ ตรวจสายตา ตรวจการมองเห็น ใช้ Snellen chart / E-chart ตรวจการได้ยนิ และ ตรวจการได้ยินอย่างง่ายโดยใชน้ ้วิ มอื ถกู ันห่างประมาณ 1 นิว้ / ประเมินการสือ่ สาร ประเมนิ การเล่าเรือ่ งและการสื่อสาร พฒั นาการของ ประเมินความถนัด การจบั ดินสอและคุณภาพการเขยี นหนงั สอื กล้ามเน้ือมดั เลก็ การเรยี นและ สังเกตพฤติกรรมเส่ียง เช่น ปัญหาการเรียน ก้าวรา้ ว ซน สมาธิ พฤตกิ รรม สั้น แยกตัว ไม่มเี พือ่ น ปรบั ตวั ยาก หรอื วติ กกงั วล ตรวจสุขภาพ ตรวจปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันผุ ในชอ่ งปาก ตรวจคัดกรองภาวะ เดก็ ควรไดร้ บั การคดั กรองภาวะโลหิตจางในชว่ งชน้ั ป.1 โลหติ จาง 1 คร้ัง (ในกรณีท่อี ายุ 3-6 ปียังไมเ่ คยไดร้ บั การตรวจมากอ่ น) ตรวจการไดร้ ับวคั ซนี ตามสมุดบนั ทกึ สุขภาพแมแ่ ละเด็ก 14

การเจริญเตบิ โต พัฒนาการและการตรวจประเมนิ ตารางสำ� รวจพัฒนาการและทกั ษะการเรยี นรู้ในเด็กวัยเรียน 6-12 ปี อายุ การทรงตวั และการ การใชต้ าและมอื การส่อื ความ การเข้าสังคม เคลอื่ นไหวรา่ งกาย หมายและภาษา 6 ปี เดนิ บนสน้ เทา้ เดนิ ตอ่ เทา้ วาดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียก รู้ซ้ายขวา นับ 30 ถอยหลัง ช่วยงานบ้าน ผูกเชือก ถอยหลังโดยใช้ 2 มือรับ ปูน และส่ีเหลี่ยมท่ีมีเส้น ได้ อธิบายความหมายของ รองเทา้ เลน่ อยใู่ นกตกิ า ลูกบอลท่ีโยนมา ทแยงมุมได้ เขียนหนังสือ ค�ำ บอกความแตกต่างของ กระโดดไกลได้ 1.2 เมตร ง่ายๆได้ ของ 2 ส่ิง 7 ปี กระโดดขอเดียวได้หลาย วาดรูปคน 12 ส่วน ต่อ บอกวันในสัปดาห์ เปรียบ รับผิดชอบงานบ้าน ครั้งตอ่ กัน บนั ได 10 ชน้ิ เขยี นหนงั สอื เทยี บขนาดใหญเ่ ลก็ แกป้ ญั หา ที่ท�ำเป็นประจ�ำ เล่น เดินถือของหลายช้ินได้ ได้ ง่ายๆได้ บวกลบเลขง่ายๆได้ เป็นกลุ่ม ท�ำตามค�ำ เรมิ่ ขี่จกั รยาน 2 ลอ้ บอกเวลาก่อนหลัง และพูด สั่งเพื่อหลีกเลี่ยงการ โต้ตอบไดช้ ัดเจน ลงโทษ 8 ปี ทรงตัวได้ดี เขียนหนังสือถูกต้อง วาด บอก วันเดือนปี ได้ ฟังเรื่อง มเี พอ่ื นสนทิ ยอมรบั กฎ ขจี่ ักรยาน 2 ล้อได้ดี รูปกากะบาด ได้เข้าใจเนื้อหาเด่นๆ เปรียบ เกณฑ์กตกิ าของผ้ใู หญ่ เทยี บและเขา้ ใจเรอื่ งปรมิ าตร 9 ปี ยนื ขาเดียวปดิ ตา วาดรปู ทรงกระบอก เขยี น บอกเดอื นถอยหลงั ไดอ้ า่ นและ รู้ว่าอะไรควรไม่ควรใน 15 วนิ าที หนังสือตัวบรรจงได้ถูก คิดเลขในใจ บวกลบเลขหลาย สถานการณต์ ่างกนั ต้อง ชนั้ คูณช้นั เดยี ว 10-12 รับลกู บอลมอื เดยี ว ว า ด รู ป ท ร ง ส่ี เ ห ล่ี ย ม คณู หารได้ พูดตวั เลขตามได้ 6 วางตัวจนเป็นท่ียอมรับ ปี กระโดดไกล ลกู บาศก์ หลกั พดู ตวั เลขถอยหลงั ได้ 4-5 ของกลุ่มได้ วางตน 1.5-1.6 เมตร หลัก รู้จัดเศษส่วน เขียนเล่า เหมาะสมกับกาละ เรอื่ งสน้ั ๆได้ แก้ ปญั หาเปน็ ขนั้ เทศะ เร่มิ ยอมรับความ ตอน แก้โจทย์ได้ 2 ชัน้ คิดเห็นท่ีแตกต่างจาก ของตนเองได้ ดดั แปลงมาจากตารางพฒั นาการทางกาย ภาษาและสงั คมในเด็กปกติ นิตยา คชภักดี รววิ รรณ รุ่งไพรวรรณ, 2552 15









การดูแลสง่ เสรมิ สุขภาพและป้องกันโรค บทท่ี 3 การดูแลสง่ เสริมสุขภาพและปอ้ งกันโรค อาหาร เด็กวัยเรียนเป็นวัยที่ร่างกายยังมีการเจริญเติบโตทั้งขนาดและโครงสร้าง การส่งเสริมให้เด็กได้ รบั อาหารและโภชนาการทเ่ี หมาะสมในชว่ งนี้ เดก็ จะสามารถเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการไดเ้ ตม็ ศกั ยภาพ ตามพันธกุ รรม เด็กวยั เรียนมีการเปลยี่ นแปลงทงั้ ทางรา่ งกาย อารมณ์ และสังคม ซึง่ มีผลต่อพฤติกรรม การบรโิ ภคอาหารของเดก็ เดก็ วยั นบ้ี างสว่ นยงั มปี ญั หาดา้ นการกนิ และขาดสารอาหารทจ่ี ำ� เปน็ จะทำ� ให้ ร่างกายอ่อนแอ มภี มู ติ า้ นทานโรคตำ่� เจบ็ ป่วยบ่อย เฉื่อยชา เหมอ่ ลอย การเรียนรชู้ า้ กว่าปกติ ความจ�ำ ไม่ดี ผลสัมฤทธ์ิในการเรียนต่�ำ สมรรถภาพ ในการท�ำกิจกรรมและเล่นกีฬาต่�ำ ในขณะเดียวกันปัญหา โภชนาการเกินและโรคอ้วนก็ทวีความรุนแรงเพิ่มข้ึนเป็นล�ำดับ ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้เด็กวัยเรียนได้ กนิ อาหารถกู หลกั โภชนาการ ทงั้ ปรมิ าณและสดั สว่ นทพี่ อเหมาะกบั ความตอ้ งการของรา่ งกาย รวมทง้ั สง่ เสรมิ ใหเ้ ลน่ กฬี าหรอื ออกกำ� ลงั กายเปน็ ประจำ� และพกั ผอ่ นอยา่ งพอเพยี ง การทเ่ี ดก็ มภี าวะโภชนาการทด่ี ี คือ มีน้�ำหนักและส่วนสงู ปกตติ ามเพศและเกณฑ์อายุ นอกจากจะสง่ เสริมการเจริญเตบิ โตและสขุ ภาพท่ี ดใี หแ้ กเ่ ดก็ ในปจั จบุ นั แลว้ ยงั ชว่ ยปอ้ งกนั การเกดิ โรคเรอื้ รงั ในวยั ผใู้ หญ่ ไดแ้ ก่ ภาวะไขมนั สงู ในเลอื ด โรค หวั ใจขาดเลอื ด โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหติ สงู และโรคกระดูกพรุน อาหารของเด็กวัยน้คี วรไดค้ รบท้งั 5 หมู่ และกนิ หลากหลาย รับประทานอาหารให้ครบ 3 มอ้ื ความตอ้ งการโปรตีนของเดก็ วัยเรยี นจะมากกวา่ ผใู้ หญ่ 1 เท่าตัว โดยเฉพาะในระยะก่อนเข้าสวู่ ัยรุ่น ท่ี มีการเจรญิ เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ เด็กวัยน้ตี ้องลดไขมันจากสัตว์ แลว้ เพมิ่ ไขมันจากน�้ำมันพืช เพ่อื ปอ้ งกนั มใิ หข้ าดกรดไขมนั ทจี่ ำ� เปน็ แกร่ ่างกาย รวมท้ังดมื่ นมรสจืดหรือนมพรอ่ งมนั เนยวันละ 2-3 กล่อง เพ่อื ให้ รา่ งกายไดร้ บั แคลเซยี มเพยี งพอตอ่ การสรา้ งกระดกู และฟนั หลกี เลยี่ งเครอื่ งดมื่ รสหวาน ชาหรอื กาแฟ ผกั ใบเขียวและผลไม้จำ� เป็นส�ำหรบั เด็กวัยนม้ี าก เพราะจะท�ำให้ได้รบั วติ ามนิ และเกลือแรเ่ พียงพอ และชว่ ย ในการขับถา่ ย สำ� หรับเดก็ ที่มีน�ำ้ หนักเกินหรอื เปน็ โรคอว้ น ไมค่ วรอดอาหาร โดยเฉพาะม้อื เช้า เพราะจะ ท�ำใหร้ า่ งกายขาดสารอาหารทีจ่ ำ� เปน็ ต่อการเจริญเติบโต ผลการเรยี นต�่ำลง แนะน�ำใหก้ นิ ครบ 3 ม้อื แต่ ลดปรมิ าณอาหารในแตล่ ะมอื้ ลงโดยเฉพาะมื้อเย็น อาจเพ่มิ ปรมิ าณผัก เพ่อื ให้รสู้ ึกอ่มิ เรว็ หลีกเลีย่ งการ กนิ อาหารประเภททอด และอาหารที่มไี ขมันมาก เชน่ หนังสตั ว์ หมูสามช้ัน หมูยอ กุนเชยี ง ปาท่องโก๋ 20

การดูแลส่งเสรมิ สขุ ภาพและปอ้ งกันโรค เปลย่ี นเป็นเลอื กอาหารประเภทน่งึ ต้ม อบ และตุ๋น แทน รวมทั้งลดเงนิ คา่ ขนม หลกี เลย่ี งการกนิ รสเคม็ และหวานจดั รวมทง้ั ผลไมร้ สหวานจดั และสนับสนุนการทำ� กจิ กรรมท่ีออกก�ำลังกายเพิม่ ข้ึน การออกกำ� ลงั กายและการเล่น การเคลื่อนไหวออกแรง/ออกก�ำลังกายเป็นการส่งเสริมพัฒนาการของระบบประสาทและกล้าม เนื้อทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ส่งผลตอ่ การเจริญเติบโตและการพฒั นาความสามารถรอบด้านทั้งทางรา่ งกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา วยั นีจ้ ะเล่นกฬี าได้แทบทกุ ชนดิ เลน่ เปน็ ทีมได้ เข้าใจกฎกติกา รู้หนา้ ท่ขี องตัวเอง ในขณะเลน่ กฬี าชนดิ นนั้ ๆ การออกกำ� ลงั กายสมำ�่ เสมอจะทำ� ใหร้ า่ งกายแขง็ แรง อารมณเ์ บกิ บาน เชอื่ มน่ั ตนเอง และกลา้ แสดงออก ข้อแนะน�ำการออกก�ำลังกายสำ� หรับเด็กวยั ประถมศกึ ษา 1. ควรจดั เวลาเพื่อใหเ้ ด็กออกกำ� ลงั กาย อยา่ งน้อย 30 ถึง 60 นาทีต่อเนอื่ งอยา่ งน้อย 3 คร้ังต่อ สปั ดาห์ เพือ่ พฒั นากลา้ มเน้ือใหส้ มบูรณแ์ ข็งแรง เพ่ิมความสูง โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงซงึ่ เขา้ สูว่ ัยรุ่นเรว็ ประมาณอายุ 10 ปี จะมีช่วงสูงต่อไปได้หลังมปี ระจ�ำเดอื นไม่เกิน 2 ปี 2. กิจกรรมในแตล่ ะวันควรจะเร่ิมจากระดบั เบา ปานกลางและหนักตามล�ำดับ 3. จัดสถานที่ท่ีบ้านหรือพาไปท�ำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้ออกก�ำลังกายแบบแอโรบิกเช่น เล่นกฬี า ว่ิง กระโดดเชือก ตีแบดมนิ ตนั หรอื ว่ายน้ำ� ฯลฯ 4. สนามท่เี ล่นควรมขี นาดใหญ่ สภาพแวดล้อมดี โลง่ แจง้ อากาศถ่ายเทดี ข้อควรระวัง 1. สภาพแวดล้อมท่ีคับแคบ ขาดอากาศท่ีบริสุทธิ์ หรือพ้ืนสนามท่ีมีเนินหรือหลุม อาจจะเป็น สาเหตุของการบาดเจบ็ ของกลา้ มเนอ้ื และกระดกู ได้ 2. ควรเฝ้าระวงั เร่อื งของการบาดเจ็บ ภาวะรา่ งกายขาดน้ำ� เหน่ือยลา้ เพราะเด็กจะไม่หยุดเลน่ สญู เสยี เหง่ือไปมาก จงึ ควรใหเ้ ดก็ ไดด้ ่ืมน้�ำอย่างเพียงพอ 3. โปรแกรมการฝึก การออกก�ำลังกายที่จะเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกระดูก และ ใหร้ ะบบกลา้ มเนอ้ื มคี วามแขง็ แรง ไดแ้ ก่ การโหนบารเ์ ดยี่ ว วา่ ยนำ้� และยกนำ�้ หนกั ขนาดนอ้ ย ไมค่ วร ใหม้ กี ารฝกึ เพอ่ื เพม่ิ ความเขง็ แรงของกลา้ มเนอื้ ในรปู แบบการเพมิ่ ขนาดใหญข่ องกลา้ มเนอื้ ซง่ึ รปู แบบการ ฝึกจะหนัก บาดเจ็บตอ่ ระบบกล้ามเนอื้ เอน็ กระดูกและขอ้ ได้ง่าย ดงั นนั้ การฝึกเพอื่ เพม่ิ ขนาดของกลา้ ม เนอ้ื จึงเป็นข้อหา้ มในเดก็ 21

การดูแลส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การดแู ลสุขภาพชอ่ งปากและฟนั การสง่ เสรมิ ใหบ้ ตุ รหลานมสี ขุ ภาพฟนั ดไี มใ่ ชเ่ รอื่ งยาก สงิ่ ทค่ี วรทำ� คอื การเลอื กรบั ประทานอาหาร ทมี่ ปี ระโยชน์ ออ่ นหวาน ดแู ลสขุ ภาพชอ่ งปากเปน็ ประจำ� เดก็ วยั ประถมศกึ ษาเปน็ วยั ทมี ฟี นั ถาวรเรม่ิ ขนึ้ ถา้ ไม่ระวงั รักษาจะทำ� ให้เหงอื กอักเสบและฟันผไุ ด้ง่าย การดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาดถือเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานต่อตนเองของเด็ก การแปรง ฟันเป็นวิธีการป้องกันฟันผุและโรคในช่องปากดีที่สุด ง่ายที่สุด เคล็ดลับการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อช่วย ป้องกนั ฟนั ผุ คอื การแปรงฟนั สตู ร 2 2 2 2 คร้ัง = แปรงฟันสม่�ำเสมอวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เน้นก่อนนอน เพ่ือให้ ฟลูออไรด์อยู่ในช่องปากเพยี งพอตลอดทง้ั คืน 2 นาที = แปรงฟันให้สะอาดท่วั ทัง้ ปากทกุ ซ่ี ทกุ ดา้ น นานอยา่ งนอ้ ย 2 นาทีเพื่อใหฟ้ ลอู อไรด์ท�ำ ปฏกิ ริ ิยากบั ฟนั ในเวลานานพอเพียง 2 ชั่วโมง = ภายหลังการแปรงฟันไม่รับประทานอาหารหรือด่ืมน�้ำเป็นเวลา 2 ชั่วโมง เพื่อให้ ฟลอู อไรดจ์ ากยาสฟี นั ทำ� ปฏกิ ริ ยิ าในปากโดยไมถ่ กู ชะลา้ งออกจากปากเรว็ เกนิ ไปและใชน้ ำ�้ บว้ นปากภาย หลังการแปรงฟนั ขนาดองุ้ มือก็พอ พอ่ แมค่ วรพาเดก็ ไปพบทันตแพทย์เปน็ ระยะๆ อย่างน้อย ปลี ะ 1 ครั้ง 22

การดแู ลสง่ เสรมิ สขุ ภาพและปอ้ งกันโรค ความปลอดภัยส�ำหรบั เด็กวัยเรยี น 6-12 ปี เดก็ อายุ 6-8 ปีเสยี ชวี ิตจากอบุ ตั เิ หตแุ ละความรุนแรงปีละ 204-254 ราย คดิ เปน็ อัตราการตาย 19-24คนตอ่ เด็กหนง่ึ แสนคน เด็กอายุ 9-12 ปีเสยี ชีวติ ปลี ะ 159-173 ราย คิดเป็นอัตราการตาย 15-16 คนตอ่ เด็กหนึง่ แสนคน เกนิ ครง่ึ (รอ้ ยละ45-57) ของสาเหตกุ ารตายเกดิ จากการจมนำ้� ตาย จากการเลน่ นำ�้ วา่ ยนำ้� ตกน้�ำ โดยเกดิ เหตุที่บริเวณแมน่ ้ำ� ลำ� คลอง อา่ งเก็บน�ำ้ หนอง บงึ ฝาย หรือเขอ่ื นเป็นตน้ รองลงมาคือตายจาก อบุ ตั ิเหตุจราจร (รอ้ ยละ 17-22) การตายจากสาเหตุอื่น เช่น ไฟฟ้าดดู การขาดอากาศหายใจจากการผูกคอหรือถกู บีบรดั คอตาย ปนื วตั ถรุ ะเบดิ ภยั ธรรมชาติ ไฟไหม้ และพลดั ตกจากทส่ี งู นอกจากนม้ี รี ายงานการถกู ทำ� รา้ ยดว้ ยของแขง็ ของมีคม และอาวุธปนื ภัยพบิ ตั นิ ำ้� ท่วม ฟา้ ผา่ พลัดตกจากต้นไม้ เสยี ชวี ิตในไร่นา เช่น รถเกี่ยวขา้ วทับ การถูกก�ำแพงและเสาไฟฟา้ ทบั และเสยี ชวี ติ จากยาฆา่ แมลงหรือกำ� จัดวัชชพืช ยาฆ่าหอยเชอร่ี 23

การดูแลสง่ เสรมิ สุขภาพและป้องกนั โรค แนวทางจัดการความปลอดภัย หลักการที่ 1. จดั สภาพแวดลอ้ มใหป้ ลอดภัยทง้ั ภายในบ้าน นอกบา้ น และการเดินทาง 1. ทพี่ ักอาศยั มปี ระตู หนา้ ต่างท่ีแขง็ แรง สามารถปอ้ งกันการบกุ รุกจากบคุ คลภายนอกได้ 2. เลอื กใช้และจัดวางเฟอร์นเิ จอร์ใหเ้ หมาะสม เช่น ตดิ ต้งั ตู้ ชน้ั วางของ ชั้นวางทวี ี รว้ั บา้ น ทีม่ ี ความมัน่ คงไม่ลม้ ง่าย เพือ่ ป้องกันการลม้ คว่�ำเมือ่ เดก็ เข็น ดนั หรือปีนป่าย 3. แยกเกบ็ หรือจัดวางสิง่ ของที่อาจกอ่ อันตรายให้มิดชดิ เช่น ปืน ยา ยาฆ่าแมลง สารกัดกร่อน มิให้เดก็ เขา้ ถึงได้ 4. ไมใ่ ห้ เล่นของเล่นอนั ตราย เช่น ของเล่นมคี ม ปืนอัดลม พลุ ดอกไมไ้ ฟ 5. เรียกร้องและให้ความร่วมมือกับชุมชนในการจัดพ้ืนท่ีเล่นนอกบ้านท่ีปลอดภัยให้เด็ก เช่น สนามเดก็ เลน่ ทไ่ี มต่ ดิ ถนน มรี ว้ั ปดิ กน้ั เพอ่ื ไมใ่ หเ้ ดก็ ถกู รถชนหรอื ตกไปในแหลง่ นำ�้ ตดิ ตง้ั เครอ่ื งเลน่ สนาม เสาฟตุ บอล แป้นบาสอยา่ งถกู วิธี มน่ั คง ไม่ลม้ ง่าย เปน็ ต้น 6. จัดให้มผี ้ดู แู ลเด็กในชมุ ชน (อาสาสมัครพัฒนาเด็ก) ในช่วงเวลาที่เดก็ อยูใ่ นชุมชนเช่นชว่ งเยน็ วนั หยุด หรอื ชว่ งปิดการศึกษา 7. จัดให้เด็กเดินทางด้วยความปลอดภัย เช่น จัดรถโรงเรียน ใช้หมวกนิรภัยในการโดยสารรถ จกั รยานยนต์ ใชท้ น่ี งั่ นริ ภัยใหเ้ หมาะสมตามอายุ เป็นตน้ หลกั การที่ 2. การเฝ้าดูแล ปกปอ้ งคุ้มครองเดก็ โดยผู้ดูแล 1. อย่าประมาท โดยจัดให้เด็กอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ติดตามสอดส่องเร่ืองความปลอดภัยของเด็ก เป็นระยะ รู้ว่าเด็กอยู่ตรงไหน ก�ำลังท�ำอะไรในขณะนั้น ไม่ปล่อยให้เด็กอยู่กับคนแปลกหน้าตามล�ำพัง โดยเฉพาะบคุ คลอนั ตรายเช่นบุคคลเสพยาเสพติด บุคคลท่ีมีปญั หาทางดา้ นอารมณ์ บุคคลทเ่ี สพติดทาง เพศ หรือเมาสุรา เป็นต้น 2. ก�ำหนดกฎระเบยี บความปลอดภัย แจง้ ใหเ้ ด็กรแู้ ละ ใหท้ �ำตามอยา่ งเครง่ ครัด สม�่ำเสมอ โดย เฉพาะกฎของการท�ำร้ายร่างกาย ไม่ปล่อยให้เด็กตีกัน หรือรังแกกันในระหว่างเด็ก และ ไม่ให้ผู้อ่ืนมา สมั ผสั รา่ งกายเด็กในสว่ นทคี่ วรปกป้อง เช่น ปาก หนา้ อก ก้น และอวยั วะเพศ เปน็ ตน้ 3. ไม่วานหรือจ้างวานให้เด็กซื้อหรือเสพเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ บุหร่ี ยานอนหลับ ของมึนเมา และสิ่งเสพตดิ ทกุ ชนดิ 4. ในกรณีที่เด็กต้องใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องมือต่างๆ ผู้ดูแลต้องพิจารณาว่าเป็นเคร่ืองมือ ที่มีกลไกการท�ำงานไม่ซับซ้อนหรือมีอันตราย ก่อนอนุญาตให้เด็กใช้ผู้ดูแลต้องสอน สาธิตการใช้ และ ควบคมุ ดูแลให้เดก็ ทำ� ได้ทลี ะขนั้ ตอน 24

การดแู ลสง่ เสรมิ สุขภาพและปอ้ งกันโรค 5. ไม่ส่งเสริมให้เด็กขับขี่รถจักรยานยนต์ รถยนต์และฝึกให้ใช้อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยเป็น ประจ�ำ เชน่ ใช้หมวก นริ ภัยจักรยานยนต์ โดยทำ� ใหเ้ ห็นเป็นตวั อย่าง 6. ผดู้ แู ลรวู้ ธิ ีการปฐมพยาบาลเบอื้ งตน้ การปฏบิ ัตกิ ารกชู้ พี ข้ันพืน้ ฐาน (การเปา่ ปาก นวดหัวใจ และการตบหลงั กดหนา้ อก หรอื กดทอ้ งเพอ่ื กำ� จดั สง่ิ แปลกปลอมออกจากหลอดลม) และการปอ้ งกนั การ บาดเจ็บในเดก็ 7. ผดู้ แู ลเดก็ รวู้ ธิ กี ารสอ่ื สารกบั หนว่ ยฉกุ เฉนิ ทางการแพทย์ (1669) ศนู ยพ์ ษิ วทิ ยา (022011083) รวมท้ังรวู้ ิธกี ารส่งต่อเดก็ ในภาวะฉกุ เฉินไปยังสถานพยาบาลใกลเ้ คยี ง หลกั การที่ 3. สอนเด็กใหห้ ลีกเลยี่ งจดุ อันตราย ปฏบิ ัตติ ามกฎแห่งความปลอดภยั และมที ักษะชีวติ เพอ่ื ความปลอดภัย 1. ใหเ้ ดก็ มสี ว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั จดุ เสย่ี ง และสถานการณอ์ นั ตราย สามารถ ค้นหาจดุ เสย่ี งได้เองรวมทง้ั ร่วมแกไ้ ขความเส่ียงและกำ� หนดกฎแห่งความปลอดภัยร่วมกนั เช่น ไม่ขบั ขี่ จักรยานยนต์ ไม่ขี่จักรยานบนถนนทม่ี รี ถพลุกพล่าน ไม่เล่นบนถนน ไมว่ ่ายน�้ำในแม่น�้ำไหลเชี่ยว ไม่เล่น ปนื วัตถรุ ะเบิด ไมเ่ ล่นรนุ แรง ไม่เลน่ ไฟ ไมป่ นี ป่ายท่สี งู ไมร่ ับของหรือไปกบั คนแปลกหน้า ขออนญุ าต เมือ่ ตอ้ งการออกนอกบรเิ วณทีป่ ลอดภยั 2. ใหเ้ ด็กมสี ่วนร่วมในการแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั บคุ คลอนั ตราย เชน่ เพื่อนเกเร บคุ คลเสพ ยาเสพตดิ บคุ คลทม่ี ปี ญั หาทางดา้ นอารมณ์ บคุ คลทเี่ สพตดิ ทางเพศ หรอื เมาสรุ า เปน็ ตน้ และรจู้ กั ปอ้ งกนั ตนเองจากภยั ตา่ งๆ โดยเฉพาะภัยคุกคามทางเพศ เชน่ ไม่แตง่ กายลอ่ แหลม ไมเ่ ดนิ ทางในยามวกิ าลโดย ลำ� พัง 3. สร้างความไว้วางใจ พูดคุย และให้เล่าเรื่องเมื่อมีผู้อ่ืนมากระท�ำหรือปฏิบัติโดยมิชอบ เช่น สัมผัสรา่ งกายในสว่ นที่ควรปกป้องโดยเฉพาะหน้าอก กน้ และอวยั วะเพศ เป็นตน้ 4. ฝกึ สอนใหเ้ ดก็ รจู้ กั การปฏเิ สธ ไมย่ อมทำ� ตามแมจ้ ะเปน็ คนใกลช้ ดิ เมอื่ ไมม่ นั่ ใจวา่ สงิ่ ทถ่ี กู ชกั ชวน ใหป้ ฏบิ ตั นิ นั้ จะนำ� ไปสอู่ นั ตรายหรอื ไม่ ฝกึ ใหม้ ที กั ษะการจดั การความขดั แยง้ อยา่ งเหมาะสมหลายรปู แบบ โดยไม่ใชค้ วามรุนแรง เชน่ เช่น รับฟังความคดิ เหน็ ยอมรบั ผดิ ปรบั ปรงุ ตวั เปน็ ตน้ 5. ฝึกใหห้ ลกี เลย่ี งหรือขอความช่วยเหลอื เมื่อถกู คุกคามรกุ เร้าทางร่างกายหรือทางเพศ 6. ฝกึ ใหค้ มุ อารมณ์ คมุ ตนเองหรอื หดั ระบายออกทางเพศอยา่ งเหมาะสม เชน่ การออกกำ� ลงั กาย เลน่ ดนตรี ศิลปะ ไม่ยุง่ เกยี่ วกบั ส่อื ลามก วางตวั เหมาะสมกบั คนแปลกหนา้ 7. เดก็ ต้องได้รบั การสอนและฝกึ ทกั ษะเพ่ือใหเ้ กิดความปลอดภยั เช่น ฝึกหดั ว่ายนำ้� ใหเ้ ป็น การ ข้ึนเรอื การช่วยคนตกนำ�้ การข่ีจักรยาน การใชห้ มวกนริ ภัย เขม็ ขดั นริ ภัย การใช้เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เครอ่ื ง มอื งานบ้าน หรืองานอืน่ ๆ ทเี่ ด็กต้องปฏิบตั ิ 25

การดูแลสง่ เสรมิ สุขภาพและป้องกันโรค 8. เดก็ ตอ้ งไดร้ บั ความรู้ สอนทกั ษะการปอ้ งกนั อนั ตรายและการหนจี ากภยั ธรรมชาตทิ พ่ี บไดบ้ อ่ ย ในเขตชุมชน เชน่ น�ำ้ ท่วม ไฟไหม้ คลืน่ ยักษ์สึนามิ เป็นต้น โดยฝกึ ใหห้ ดั หนไี ฟ การตะโกน ขอความช่วย เหลือจากผ้ใู หญ่ รจู้ กั ใช้โทรศัพทห์ มายเลขฉุกเฉิน (191, 1669) เปน็ ต้น 9. ส�ำหรับเดก็ โตต้องไดร้ ับการสอนวิธีการปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น การปฏบิ ัติการกชู้ ีพขั้นพื้นฐาน (การเป่าปาก นวดหวั ใจ การกดท้องเพ่ือก�ำจดั ส่ิงแปลกปลอมออกจากหลอดลม) 26

การดูแลส่งเสรมิ สุขภาพและปอ้ งกนั โรค พฤติกรรมเสีย่ ง พอ่ แมค่ วรศึกษาพัฒนาการตามวัยของลูก และปรบั วิธีการเลีย้ งดูให้เหมาะสมกับวัย ควรมีเวลาที่ มคี ณุ ภาพและเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดพ้ ดู คยุ เลา่ ประสบการณท์ โี่ รงเรยี นหรอื เหตกุ ารณต์ า่ งๆอยา่ งสมำ�่ เสมอ การเล่าเรื่องของเด็กท�ำให้พ่อแม่ได้รับรู้ถึงแนวคิด การกระท�ำและพฤติกรรมต่างๆของลูกและเพื่อนๆ กรณีทพ่ี บความเสยี่ งเรอ่ื งใดๆ ก็ตาม เช่น บหุ ร่ี การใชค้ วามรุนแรง ตดิ เกม หรือเร่อื งเพศ เป็นต้น พอ่ แม่ ควรพยายามเข้าใจและเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดแ้ สดงความคดิ เห็นของตนเองก่อนอย่าด่วนตัดสนิ ถกู ผิด ควร รับฟังและหาแนวทางหรือท�ำข้อตกลงร่วมกันเวลาท่ีต้องการแก้ปัญหาต่างๆ สัมพันธภาพท่ีดีของพ่อแม่ กบั ลูกเปน็ คุณสมบตั ิทีส่ ำ� คัญท่ีจะปกป้องเด็กวัยเรียนจากพฤตกิ รรมเสยี่ งตา่ งๆ สง่ิ ตอ่ ไปนี้ ในวยั เรยี นตอนปลาย ถา้ เดก็ มปี ญั หาเกนิ กวา่ 2 ขอ้ ถอื วา่ มพี ฤตกิ รรมเสย่ี งทพ่ี อ่ แมค่ วร นำ� เด็กไปพบกุมารแพทย์เพอ่ื ค้นหาสาเหตุและแก้ไขปัญหา H – Home, Health เช่น มีปญั หาที่บา้ น มีความรนุ แรงในบ้าน หรอื ปญั หาสขุ ภาพ E – Education มีปัญหาการเรียน A – Acitivities เชน่ ติดเกม หนีโรงเรียน หนีเที่ยว ใช้เงินมาก D – Drug ลองสบู บหุ รี่ เกี่ยวข้องกับยาเสพติด S – Sex มพี ฤติกรรมบง่ ช้ีไปสนใจเร่อื งเพศ S – Safety หา้ ว ก้าวรา้ ว ท�ำพฤตกิ รรมเส่ยี งต่ออนั ตราย ส่ือ อินเทอร์เนต็ และเกม พอ่ แม่ควรรจู้ ักการใชส้ ่อื หรืออนิ เทอรเ์ น็ตและเกม ศึกษาท้งั ประโยชนแ์ ละผลกระทบดา้ นลบท่มี ี ตอ่ เด็ก ควรอนุญาตใหเ้ ด็กช่วงวยั ประถมศกึ ษาหรอื อายุมากกวา่ 6 ปขี ้นึ ไปได้ใช้อนิ เทอรเ์ น็ตภายใต้การ ก�ำกบั ดแู ล แตไ่ ม่อนุญาตใหเ้ ล่นในห้องส่วนตวั ทป่ี ดิ มิดชดิ มีการก�ำหนดกติกาชดั เจนโดยอนุญาตใหเ้ ล่น ไดไ้ มเ่ กนิ วนั ละ 1 ชว่ั โมงในวนั ธรรมดา และ ไมเ่ กนิ 2 ชว่ั โมงในวันหยดุ โดยใหเ้ ลน่ หลงั จากที่ทำ� การบา้ น หรอื กจิ วตั รประจำ� เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ และไมอ่ นญุ าตใหเ้ ลน่ ในระหวา่ งทำ� กจิ กรรมอน่ื ๆ เชน่ รบั ประทาน อาหาร หรอื ระหว่างเดินบนถนน ควรสนับสนุนให้เด็กท�ำกิจกรรมที่มีการเคล่ือนไหว ออกก�ำลังกาย มากกว่าปล่อยให้เด็กใช้ อนิ เทอร์เนต็ เพราะถา้ เด็กรสู้ ึกเหงา เบือ่ ไมม่ ีกจิ กรรมท�ำ เดก็ มโี อกาสสงู ทจ่ี ะตดิ ส่ือ อนิ เทอรเ์ น็ตและ เกมออนไลน์ 27

การดแู ลสง่ เสริมสขุ ภาพและป้องกนั โรค วัคซนี ในช่วงวัยประถมศึกษาน้ี ก�ำหนดการให้วัคซีนจะห่างกว่าในระยะ 4-5 ปีแรกของชีวิต ท�ำให้ ผู้ปกครองอาจละเลยความส�ำคัญของวัคซีนในวัยน้ีไปได้ การทบทวนวัคซีนท่ีจ�ำเป็นต้องได้รับให้ครบ ในช่วง 5 ปีแรกน้ัน ถือเป็นส่ิงส�ำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กที่จะต้องใช้ชีวิตภายนอกบ้าน มากขึ้น หากได้รับวัคซีนไม่ครบตามก�ำหนด ก็สามารถพามารับวัคซีนต่อจากครั้งสุดท้ายได้ โดยไม่ต้อง ตง้ั ตน้ ใหม่ นอกจากนย้ี งั มวี คั ซนี เสรมิ ทสี่ ามารถรบั ไดใ้ นวยั น้ี และวคั ซนี ทจ่ี ำ� เปน็ ตอ้ งกระตนุ้ อกี ดว้ ย วคั ซนี พื้นฐานทจี่ �ำเปน็ และวคั ซีนเสรมิ ทเี่ ดก็ ควรได้รับจนถึงอายุ 6-12 ปี มีดงั น้ี 28

การดูแลส่งเสริมสขุ ภาพและปอ้ งกันโรค วัคซนี ทเี่ ดก็ ไทยควรไดร้ ับในชว่ งวัยตา่ งๆ (อา้ งองิ ตามตารางการใหว้ คั ซนี ในเดก็ ปกตแิ นะนำ� โดยสมาคมโรคตดิ เชอ้ื ในเดก็ แหง่ ประเทศไทย 2560) วัคซีน จำ� นวนครงั้ ทคี่ วรไดร้ บั ทั้งหมด ชว่ งอายุท่คี วรไดร้ ับวัคซนี แตล่ ะคร้งั บซี ีจี ป้องกันวณั โรค 1 ครง้ั แรกเกดิ ตบั อักเสบบี ฉีด 3 ครั้ง 0, 1-2, 6 เดือน คอตบี ไอกรน บาดทะยัก ฉีด 5 ครั้ง 2, 4, 6, 18เดอื น , 4-6 ปี โปลโิ อ กนิ หรอื ฉดี 5 ครั้ง 2, 4, 6, 18เดือน , 4-6 ปี หดั หดั เยอรมัน คางทมู ฉีด 2 คร้ัง 9-12 เดือน, 2 ปี 6 เดอื น ไขส้ มองอักเสบ เจอี ฉีด 2 ครั้ง ชนดิ เช้อื มชี วี ติ : 9-12 เดอื นและเขม็ ที่ 2 ตอน 3-12 เดอื น ต่อมา ไขห้ วัดใหญ่* ทุกปี ตงั้ แต่อายุ 6 เดอื นขึน้ ไป หากรบั ครง้ั แรกทอ่ี ายตุ ่ำ� กวา่ 9 ปี ให้รบั 2 เข็ม หา่ งกัน 1 เดอื น หลังจากน้ันปีละ 1 เข็ม อสี ุกอใี ส* ฉดี 2 ครั้ง 1 ปี , 4-6 ปี ตบั อักเสบ เอ* ฉีด 2 ครั้ง 1 ปี , เขม็ ท่ี 2 อีก 6-12 เดอื น หลงั จากเข็มแรก เอชพีวี* ฉดี 3 ครั้ง เขม็ แรกทีอ่ ายุ 9-26 ปี, เขม็ ท่ี 2 และ 3 หา่ งจากเข็มแรก 1-2 เดอื น และ 6 เดือน *วคั ซนี เสรมิ เปน็ วคั ซนี ทอี่ ยนู่ อกแผนการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั โรคของกระทรวงสาธารณสขุ ผปู้ กครองตอ้ งเสยี ค่าใช้จ่ายเอง วคั ซนี ทค่ี วรใหใ้ นเดก็ วยั น้ี ไดแ้ ก่ วคั ซนี ทยี่ งั ไดร้ บั ไมค่ รบตามตาราง และวคั ซนี ปอ้ งกนั ไขห้ วดั ใหญ่ นอกจากนนั้ วคั ซนี ทค่ี วรฉดี ในชว่ งวยั รนุ่ (อายุ 10-12 ป)ี ไดแ้ ก่ วคั ซนี เอชพวี ี ปอ้ งกนั มะเรง็ ปากมดลกู และ หดู หงอนไก่ และวคั ซนี ปอ้ งกนั คอตบี ไอกรน บาดทะยกั เข็มกระตุน้ ซ่งึ จะกล่าวถึงในรายละเอยี ดตอ่ ไป ในกรณที พ่ี บวา่ เดก็ ทมี่ อี ายุมากกว่า 6 ปี ทเ่ี คยได้รับวัคซีนแตย่ งั ไม่ครบถว้ นตามตาราง ผ้ปู กครอง ควรรบี พาไปพบแพทย์เพ่อื รบั ต่อให้ครบ มีดงั นี้ 1. วัคซีนป้องกนั โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยกั โปลโิ อ โรคคอตีบจะท�ำใหค้ ออักเสบรนุ แรงและ อาจเสยี ชวี ติ ได้ โดยจะตดิ เชอื้ แพรม่ าจากลำ� คอของผปู้ ว่ ยหรอื ผทู้ เ่ี ปน็ พาหะ สำ� หรบั บาดทะยกั นนั้ พบเชอื้ โรคได้ทว่ั ไปในสง่ิ แวดล้อม ฝุน่ ดิน เม่อื ปนเป้ือนแผล ท�ำให้เกดิ พิษต่อระบบประสาท และหยดุ หายใจได้ สว่ นไอกรนแมว้ า่ จะไมก่ อ่ อาการรนุ แรงในเดก็ โต แตส่ ามารถแพรใ่ หเ้ ดก็ เลก็ ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ อาการไอรนุ แรง จนเสียชีวิตได้ เช้ือไวรัสโปลิโอนั้นท�ำให้เกิดกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตและกล้ามเน้ือลีบได้ แม้จะไม่พบใน ประเทศไทยหลายปีแล้ว แตย่ งั มกี ารระบาดในหลายประเทศแถบเอเชีย จงึ จำ� เปน็ ต้องมีภมู คิ ุ้มกนั ให้ท่วั ถงึ วัคซีนนี้มปี ระสิทธิภาพสงู แตต่ ้องได้รบั การกระตนุ้ เป็นระยะใหค้ รบ 5 คร้งั 29

การดูแลสง่ เสริมสุขภาพและปอ้ งกนั โรค 2. วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคตบั อกั เสบบี โรคตบั อกั เสบบี สามารถตดิ ตอ่ กนั ไดท้ างเพศสมั พนั ธ์ เลอื ด หรอื การใชข้ องมคี มรว่ มกบั ผทู้ เี่ ปน็ พาหะ ผทู้ ตี่ ดิ เชอื้ นมี้ โี อกาสเปน็ โรคตบั อกั เสบเรอื้ รงั ตบั แขง็ หรอื มะเรง็ ตบั ได้ วัคซีนมีประสทิ ธภิ าพสูง เม่อื ให้ครบ 3 คร้ังแล้วไมต่ ้องฉีดซ้�ำอกี 3. วัคซนี ป้องกันโรคหัด หัดเยอรมนั คางทมู โรคหดั ยงั พบมีการระบาดอยู่ในปจั จุบัน เมือ่ เปน็ แลว้ อาจมภี าวะแทรกซอ้ นทางปอดและสมองได้ สำ� หรบั หดั เยอรมนั หากตดิ เชอื้ ในหญงิ ตงั้ ครรภ์ อาจกอ่ ให้เกดิ ความพกิ ารแตก่ ำ� เนดิ ในทารกได้ ส่วนคางทมู นนั้ ทำ� ให้เกิดตอ่ มน้�ำลายอักเสบ เมอ่ื เปน็ แลว้ อาจมี ภาวะแทรกซ้อนเชน่ อณั ฑะอักเสบ กล้ามเนือ้ หัวใจอกั เสบ และเยอ่ื หุม้ สมองหรือสมองอกั เสบได้ ทุกคน จ�ำเปน็ ตอ้ งได้วัคซนี น้ีอย่างน้อย 2 ครั้ง 4. วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ เจอี ประเทศไทยพบโรคไข้สมองอักเสบ จากเชื้อไวรัส เจอไี ดบ้ อ่ ย และมอี ตั ราการเสยี ชวี ติ สงู หากไดร้ บั วคั ซนี ไมค่ รบระดบั ภมู คิ มุ้ กนั จะไมเ่ พยี งพอในการปอ้ งกนั โรค หากเคยไดร้ ับชนิดเช้อื ตายตอ้ งได้รบั ครบ 3 ครงั้ ถา้ เป็นชนดิ เช้ือมีชวี ติ ต้องครบ 2 ครง้ั 5. วคั ซนี ป้องกนั โรคไขห้ วดั ใหญ่ เดก็ สามารถติดโรคไขห้ วัดใหญไ่ ด้งา่ ย เนือ่ งจากคลุกคลกี นั ใน โรงเรียน นอกจากนั้นเด็กยังเป็นส่วนส�ำคัญในการแพร่เชื้อให้แก่ชุมชน ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ท่ีอายุ มากกว่า 50 ปขี ึ้นไป เดก็ อายุต่ำ� กวา่ 5 ปี คนทม่ี โี รคประจำ� ตวั เชน่ โรคหอบหดื โรคปอดเรือ้ รงั โรคหัวใจ ภูมิคุม้ กันตำ�่ รวมท้งั หญงิ ต้งั ครรภ์ เมอื่ เป็นไข้หวดั ใหญ่ อาจเกดิ ภาวะแทรกซ้อนท่อี ันตราย เชน่ ภาวะ ปอดบวมอย่างรุนแรงได้ เน่ืองจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปี จึงควรฉีดวัคซีน นี้ทุกปี วัคซีนน้ีฉีดได้ตลอดปีแต่ควรฉีดก่อนฤดูฝนหรือฤดูหนาว คือเดือนพฤษภาคม หรือเดือนตุลาคม เนอื่ งจากมีการระบาดสงู สดุ การฉีดวคั ซีนครัง้ แรกในเด็กอายุต่�ำกว่า 9 ปี ควรได้รับการกระตุน้ เขม็ ที่ 2 ภายในเวลา 1 เดือน 6. วัคซนี ปอ้ งกนั โรคอสี กุ อใี ส เป็นวคั ซีนทีม่ ีประสิทธิภาพดี หลังได้รับวัคซนี ครบ 2 ครง้ั โอกาส เกดิ โรคนอ้ ยมาก แตอ่ าจมบี างรายยงั เปน็ โรคอสี กุ อใี สได้ แตอ่ าการของโรคจะรนุ แรงนอ้ ยกวา่ การตดิ เชอื้ โดยธรรมชาติ นอกจากนโ้ี อกาสเกดิ โรคงสู วดั ซง่ึ เกดิ จากเชอื้ เดยี วกนั กบั อสี กุ อใี สกล็ ดนอ้ ยลงดว้ ย ผทู้ เ่ี คย เปน็ โรคอีสุกอใี สแลว้ ไม่ต้องรบั วัคซีนอกี เดก็ ทยี่ งั ไม่เคยเป็นอสี ุกอีใส ควรรับวัคซีนน้ี 7. วัคซนี ปอ้ งกันโรคไวรสั ตับอกั เสบเอ โรคไวรสั ตับอักเสบเอ ตดิ ต่อกนั ทางรบั ประทานอาหาร และน้�ำท่มี ีเชอ้ื ไวรัสปนเปอ้ื น ท�ำใหเ้ กิดอาการตบั อกั เสบ ตวั เหลอื ง ตาเหลอื ง และตบั วายได้ เดก็ ในวยั เรยี นรบั ประทานอาหารนอกบา้ น กม็ คี วามเสย่ี งตอ่ การเกดิ โรคน้ี และอาจมอี าการตบั วายได้ จงึ ควรสรา้ ง ภูมิค้มุ กนั ต่อโรคน้ี เดก็ ควรไดร้ ับวัคซนี ครบ 2 ครง้ั 30

การดแู ลสง่ เสริมสุขภาพและป้องกันโรค วัคซนี ทีค่ วรให้ฉีดเมือ่ เริ่มเข้าสวู่ ยั ร่นุ ช่วงอายุ 10-12 ปี 1. วคั ซนี เอชพวี ี ไวรัสเอชพวี ี หรอื แปปปโิ ลมา เป็นสาเหตุสำ� คัญในการกอ่ โรคมะเรง็ ปากมดลูก และหดู หงอนไกบ่ รเิ วณอวยั วะเพศ และทางเดนิ หายใจโดยเฉพาะกลอ่ งเสยี งในเดก็ วคั ซนี ทม่ี ใี นทอ้ งตลาด ในปจั จบุ นั มี 2 ชนิดคือชนดิ ทีค่ รอบคลุมไวรสั สายพนั ธท์ุ ่ีกอ่ มะเร็งปากมดลูกและหดู หงอนไก่ และชนดิ ท่ี ครอบคลุมไวรสั สายพันธ์ทก่ี อ่ มะเรง็ ปากมดลกู อยา่ งเดียว วัคซนี จะมีประสทิ ธภิ าพสงู สดุ เมือ่ ฉดี ในผทู้ ่ไี ม่ เคยมเี พศสัมพนั ธม์ าก่อน เดก็ วยั รุ่นควรได้รับวคั ซีนนี้กอ่ นถงึ ชว่ งวยั ทจ่ี ะมเี พศสมั พันธ์ 2. วคั ซีนปอ้ งกันโรคคอตีบ บาดทะยกั (ไอกรน) เข็มกระตุ้น เนอื่ งจากวคั ซนี ป้องกันโรคคอตบี บาดทะยัก ไอกรน ที่ไดร้ บั มาในวัยเดก็ เลก็ นั้น จะให้ภูมคิ มุ้ กนั โรคได้ดีนานประมาณ 10 ปี ดงั นนั้ เพอ่ื ให้ มีภูมคิ ุม้ กันต่อเนอ่ื ง จงึ ควรกระตุ้นที่อายุ 10-12 ปี เด็กควรได้รบั การฉีด Td (วัคซนี ปอ้ งกนั โรคคอตบี บาดทะยัก) หรือ Tdap (วคั ซีนป้องกนั โรคคอตีบ บาดทะยักและไอกรนแบบไรเ้ ซลล)์ ไม่ว่าจะเคยได้ รับ Tdap มาก่อนตอนอายุ 4-6 ปี หรือไม่ก็ตาม หลงั จากน้ันควรรบั วคั ซนี ปอ้ งกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ทกุ 10 ปี 31

การดูแลส่งเสริมสขุ ภาพและป้องกันโรค กำ� หนดการดแู ลการฉีดวัคซีนเด็กไทย โดยสมาคมโรคตดิ เชือ้ ในเด็กแห่งประเทศไทย 2560 ราชวทิ ยาลยั กุมารแพทย์แหง่ ประเทศไทย 32

การดูแลสง่ เสรมิ สขุ ภาพและป้องกันโรค 33

เทคนิคการสง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรียนรู้ บทท่ี 4 เทคนิคการสง่ เสริมพฒั นาการและการเรียนรู้ ทกั ษะของเด็กในศตวรรษท่ี 21 เดก็ ในยคุ ปจั จบุ นั เปน็ เดก็ ในศตวรรษที่ 21 ทเี่ กดิ มาพรอ้ มเทคโนโลยที ท่ี นั สมยั ชวี ติ มคี วามสะดวก รวดเร็ว สามารถเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ลักษณะของสังคมโลกที่เปล่ียนไป ท�ำให้ลักษณะของเด็กยุคนี้แตกต่างจากเด็กยุคก่อน รวมท้ังการเรียนรู้ก็มีความแตกต่างไป เด็กในยุค ปัจจุบนั ต้องเนน้ การมคี วามคดิ ริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ เรียนรู้วธิ ีการในการหาขอ้ มลู แทนการรอรับข้อมูลอย่าง ในอดีต รวมท้ัง ตอ้ งพัฒนาทกั ษะทีจ่ �ำเป็นสำ� หรบั การใช้ชีวติ ในยุคปัจจบุ ัน ได้มีการรวมตัวก่อตั้งเป็นเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 (Partnership for 21st Century Skills) หรอื เรียกย่อๆวา่ เครือขา่ ย P21 และได้มกี ารสรุปทกั ษะที่ เดก็ ในศตวรรษ 21 ตอ้ งมี 3R และ 4C 3R คือ ทักษะดา้ นการอ่าน (READING) การเขยี น (WRITING) , การคำ� นวณ (ARITHMETIC) 4C คือ การคดิ วิเคราะห์ (Critical thinking) การสือ่ สาร (Communication skill) การรว่ มมอื (Collaboration) ความคดิ สรา้ งสรรค์ (Creativity) ดังนั้นการอบรม เลย้ี งดู และพัฒนาเดก็ จงึ ควรสอดคลอ้ งกับเปา้ หมายในการพฒั นาเด็กใหท้ นั ยคุ ทันสมยั นอกจากทักษะ 3R และ 4C ดังท่กี ล่าวมาแล้ว ยังมคี ุณลักษณะที่จ�ำเป็นอีก 6 ประการ ทจ่ี ะ ท�ำให้ประสบความสำ� เรจ็ ดังตอ่ ไปน้ี คือ 1. ความเปน็ ผ้นู ำ� (Leadership) 2. ความสามารถในการปรบั ตวั ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มทเี่ ปลยี่ นแปลงไป มคี วามยดื หยนุ่ (Adaptability) 3. ความอดทน พยายามในการทำ� สงิ่ ตา่ งๆใหส้ ำ� เรจ็ ลลุ ว่ งตามเปา้ หมายของตนเอง (Persistence/grit) 34

เทคนคิ การสง่ เสรมิ พัฒนาการและการเรียนรู้ 4. การรเิ ริ่มท�ำส่งิ ตา่ งด้วยตนเอง (Initiative) 5. ความอยากร้อู ยากเหน็ (Curiosity) 6. ความตระหนกั ดา้ นสังคมและวัฒนธรรมท่แี ตกตา่ ง (social and culture awareness) อย่างไรกต็ ามการอบรม เลยี้ งดูเด็กพน้ื ฐาน ยงั ไม่ไดม้ อี ะไรแตกตา่ งไปจากเดิม เพยี งแตผ่ ้ปู กครอง ควรเน้นเสรมิ ทักษะทก่ี ล่าวมาเพิม่ เตมิ และพึงระลกึ ไว้เสมอว่า การพฒั นาเด็กในยคุ ปัจจบุ ันนี้ ไม่ควรม่งุ เน้นแต่ด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ควรเน้นการพัฒนารอบด้าน เพื่อให้เด็กสามารถอยู่ในสังคมได้ อย่างมคี วามสุข และเปน็ บคุ คลท่ีประสบความส�ำเร็จไดใ้ นศตวรรษที่ 21 การสรา้ งความสัมพันธท์ ด่ี ี ความสัมพันธท์ ด่ี ี ยอ่ มน�ำไปสคู่ วามรัก ความเห็นอกเหน็ ใจ มีน�้ำใจต่อกนั อดทนซง่ึ กันและกันได้ มากข้นึ น�ำไปสคู่ วามร่วมมอื ของเดก็ ในการอบรมเล้ียงดูมากขึ้น เด็กไม่ต่อต้าน มีความยินดีทจ่ี ะร่วมมอื ในการฝึกส่งิ ตา่ งๆ และโอนออ่ นผ่อนตามผปู้ กครองได้ง่ายขึ้น ความสมั พนั ธท์ ีด่ ี เกิดขึน้ ได้จากการ มคี วามรกั เปน็ พน้ื ฐาน ผ้ปู กครองเข้าใจในตัวเด็ก มีการรับฟงั กนั ซง่ึ และกนั เปดิ โอกาสใหไ้ ดแ้ ลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ แมว้ า่ เปน็ เดก็ กบั ผใู้ หญก่ ต็ าม ในขณะทผ่ี ปู้ กครอง ยงั มอี ำ� นาจสงู สดุ สดุ ทา้ ย ในการตดั สนิ เรอื่ งราวตา่ งๆ และยงั หนกั แนน่ อยใู่ นกฎกตกิ าระเบยี บวนิ ยั ของบา้ น ในบา้ นตอ้ งมกี ารสรา้ งบรรยากาศทเ่ี ปน็ มติ รตอ่ กนั ใชเ้ วลาทำ� กจิ กรรมดๆี และมคี วามสขุ รว่ มกนั เพอื่ เสรมิ สรา้ งความใกล้ชดิ สนิทสนม อนั จะนำ� ไปสู่ความสมั พันธท์ ่ีดตี ่อกัน 35

เทคนิคการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ความสมั พนั ธท์ ดี่ กี บั เพอื่ น เกดิ ไดจ้ ากการ มคี วามชอบ ความสนใจคลา้ ยๆกนั รว่ มทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ด้วยกนั โดยตอ้ งอาศัยทักษะทางสังคมท่ดี ี ไดแ้ ก่ ทักษะการสอื่ สารทดี่ ี การต้ังใจฟงั ผู้อื่น เขา้ ใจภาษากาย ของเพอื่ น รไู้ ด้ว่าเพือ่ นรสู้ ึกอยา่ งไร มีทกั ษะในการแก้ไขปัญหา เมื่อเกดิ ความขดั แยง้ หลกั การในการสร้างสมั พนั ธภาพทด่ี ี 1. ใหเ้ กยี รตซิ ึ่งกนั และกัน ระหว่างเพอ่ื นกับเพ่อื น หรอื แมจ้ ะเป็นผ้ใู หญก่ บั เดก็ กต็ าม 2. ใส่ใจและรบั รู้ความรูส้ กึ ซึง่ กันและกัน และตอบสนองต่อกนั ดว้ ยเหตุผล ไมใ่ ชอ้ ารมณ์ 3. ปรบั ตัวเขา้ หากนั รบั ฟงั จรงิ ใจ พยายามท�ำความเขา้ ใจกนั ให้โอกาส และให้อภยั 4. หาเวลาคณุ ภาพ ท�ำกจิ กรรมรว่ มกนั เพอื่ สรา้ งสมั พันธภาพทด่ี ี โดยอาจเป็น กิจกรรมตา่ งๆใน บา้ น เช่น ช่วยกนั ปลกู ตน้ ไม้ การออกกำ� ลงั กายนอกบา้ นด้วยกัน หรอื กจิ กรรมในโอกาสพิเศษ เชน่ การ ไปเทีย่ ว 5. ผู้ใหญ่ต้องมีความเช่ือม่ันว่า เด็กทุกคนต้องการเป็นเด็กดี หากมีปัญหาเกิดข้ึนต้องพยายาม สอบถาม ท�ำความเขา้ ใจเด็กกอ่ นเป็นอันดบั แรก ทักษะการสื่อสาร การสอ่ื สารทดี่ เี ปน็ สงิ่ สำ� คญั ในการสรา้ งสมั พนั ธภาพทดี่ กี บั คนรอบขา้ ง ชว่ ยลดความขดั แยง้ ทำ� ให้ เกิดความร่วมมือของเด็กกับผปู้ กครองได้ดมี ากข้ึน เทคนิคการส่อื สารเบอ้ื งตน้ ที่ผปู้ กครองควรใชก้ บั เด็ก ในชีวติ ประจำ� วนั คอื 1. การฟงั อย่างตั้งใจ เด็กจะรบั รูไ้ ด้ จากการท่ีผ้ใู หญม่ องหน้า สบตา มกี ารซกั ถามขอ้ สงสยั สรุป ประเด็นเป็นระยะ 2. การพดู ต้องสังเกตสหี น้า ท่าทาง แววตา เดก็ เพอื่ ประกอบการรบั รแู้ ละอารมณข์ องเดก็ 3. การพูดกับเด็ก ต้องตรงไปตรงมา ชัดเจน กระชับ ไม่พูดซ้�ำๆ จนเป็นลักษณะของการบ่น พดู สงิ่ ใดตอ้ งท�ำตามทพ่ี ูด ท�ำให้เดก็ เกิดความไวเ้ น้อื เช่ือใจต่อผใู้ หญ่ 4. หากมเี รอ่ื งทเี่ หน็ ไมต่ รงกนั ตอ้ งเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ รบั ฟงั เหตผุ ล ไมต่ ดั บท ไม่ขดั ขวางการอธิบายของเด็ก 5. มกี ารชน่ื ชม รู้จกั ใช้คำ� พดู ขอบคณุ ขอโทษ โดยพอ่ แมเ่ องสามารถเป็นตน้ แบบในการสอ่ื สาร แก่เด็กได้ 36

เทคนคิ การสง่ เสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ การสง่ เสริมทกั ษะส�ำคญั เด็กวัยเรียน เป็นวัยที่เด็กสามารถท�ำส่ิงต่างๆได้ด้วยตัวเองได้ดีมากย่ิงข้ึน พ่ึงผู้ใหญ่น้อยลง แยกจากพ่อแม่มากข้ึน เข้าสู่สังคมภายนอกมากขึ้น เป็นวัยส�ำคัญในการเร่ิมสร้างความมั่นใจในตัวเอง ผ่านการชน่ื ชมและการยอมรับจากคนรอบขา้ ง เป็นวยั ทต่ี ้องฝึกใหเ้ ดก็ มีความมุมานะอตุ สาหะ เดก็ เร่ิมมี ความสนใจและอยากลองกิจกรรมหลากหลาย เชน่ ฝึกเล่นกฬี า ดนตรี เป็นตน้ ผปู้ กครองควรเอาใจใส่ และสนับสนนุ ท้ังดา้ นการเรยี น และกิจกรรมนอกจากการเรียนทีเ่ ดก็ สนใจ ทักษะพ้ืนฐานของเดก็ วยั เรียน 1. ทักษะการด�ำรงชีวิตประจ�ำวัน ได้แก่ ฝึกเรียนรู้การเดินทาง ท�ำหรือหาอาหารเอง ซื้อของ ทำ� งานบา้ น การเกบ็ ออม เป็นตน้ 2. ทักษะการเป็นคนดี ได้แก่ การออ่ นน้อมถ่อมตน มนี ำ�้ ใจตอ่ ผูอ้ ่นื เห็นอกเหน็ ใจผอู้ ่ืน ใหอ้ ภยั รูจ้ กั อดทนอดกล้นั 3. ทกั ษะการเอาตวั รอด ไดแ้ ก่ ความระมดั ระวงั ตวั เอง เขา้ ใจคนและรเู้ ทา่ ทนั ความคดิ ทไี่ มด่ ขี อง คนบางคน ร้จู ักปฏเิ สธส่งิ ทไ่ี ม่เหมาะสม ไมพ่ าตนเองไปอยใู่ นสถานการณ์หรอื สถานที่ทไี่ มป่ ลอดภัย 4. ทกั ษะสงั คม ไดแ้ ก่ การสอ่ื สารชดั เจน เขา้ ใจความรสู้ กึ ของผอู้ นื่ ควบคมุ อารมณ์ แสดงออกได้ เหมาะสม สามารถเจรจาตอ่ รองและจดั การ ปญั หาเมอื่ เกดิ ความขดั แยง้ ไดด้ ี รจู้ กั กาลเทศะ มคี วามมน่ั ใจ ในตนเอง ไม่ละเมิดสทิ ธผิ ู้อนื่ ในขณะทจ่ี ะตอ้ งไม่ยอมใหค้ นอื่นละเมิดสิทธิของตัวเอง 37

เทคนิคการสง่ เสรมิ พัฒนาการและการเรียนรู้ 5. ทกั ษะการเรียนรู้ ได้แก่ รจู้ กั คดิ วิเคราะห์ มีความคดิ รวบยอดไดด้ ี มสี มาธดิ ี ฟงั และจับใจ ความไดด้ ี เปน็ คนชา่ งสงสัย ชา่ งคิด มีความอยากร้อู ยากเหน็ กระตอื รือรน้ ในการเรียน รู้วิธคี น้ หาขอ้ มูล จากแหล่ง ต่างๆ ด้วยตนเอง มวี ินยั และความรบั ผดิ ชอบ รา่ งกายสมบรู ณ์ แขง็ แรง กล้ามเนือ้ แข็งแรงโดย เฉพาะกลา้ มเนอื้ มอื แนวทางการฝกึ ทักษะพ้นื ฐาน 1. ใหเ้ ดก็ ช่วยเหลอื ตัวเองตามวยั ให้มากที่สุด ค่อยๆลดการ ชว่ ยเหลือลง เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดท้ �ำ สง่ิ ต่างๆด้วยตนเองให้มากทส่ี ุด 2. ผู้ปกครองเป็นตน้ แบบในการทำ� ความดี ด้านตา่ งๆ เช่น การมีน�้ำใจ เห็นใจคนอ่นื การควบคุม อารมณ์ตนเอง เปน็ ต้น 3. เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดเ้ ผชญิ กบั สถานการณท์ ยี่ ากลำ� บากบา้ ง โดยใหเ้ ดก็ ฝกึ คดิ วเิ คราะห์ วางแผน แก้ปญั หาเอง ภายใตก้ ารควบคมุ ดูแลของพอ่ แม่ 4. เดก็ ต้องฝกึ การอยใู่ นสังคมกับคนอ่นื นอกบ้าน เชน่ การเลน่ กับเพอ่ื น การไปคา่ ย 5. ใหเ้ ด็กแกป้ ญั หาต่างๆด้วยตัวเอง ไม่รบี บอกใหท้ ำ� หรือรีบแกป้ ัญหาให้ 6. ฝกึ ความมรี ะเบียบวนิ ยั ในชีวิตประจำ� วัน เช่น การเก็บของให้เป็นระเบยี บ ทำ� กิจวตั รประจ�ำ วนั ใหต้ รงเวลา 7. ท�ำกจิ กรรมทีห่ ลากหลาย นอกเหนือจากการเรยี นวชิ าการ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กไดฝ้ ึก ทกั ษะทห่ี ลากหลาย เชน่ ทกั ษะสงั คม กลา้ มเนอื้ สมาธิ และมอี ารมณท์ เี่ ปน็ สขุ ในขณะทที่ ำ� กจิ กรรมตา่ งๆ 38

เทคนคิ การสง่ เสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ฝึกความรับผิดชอบ การฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบในงานต่างๆน้ัน การที่เด็กได้เคลื่อนไหวจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ ฝกึ การวางแผนการทำ� งานอยา่ งเปน็ ระบบ การมนี ำ�้ ใจแกผ่ อู้ น่ื ภาคภมู ใิ จในตวั เอง มคี วามเชอ่ื มนั่ ในความ สามารถของตวั เอง สง่ ผลใหป้ ระสบความส�ำเร็จในอนาคต แนวทางการฝึกมดี ังต่อไปนี้ 1. ฝกึ ให้เดก็ รบั ผดิ ชอบตวั เอง เช่น การท�ำกิจวตั รประจ�ำวนั ดว้ ยตวั เอง การจดั ตารางสอน หรอื เตรียมส่งิ ของท่ีไปโรงเรยี นเอง โดยในระยะตน้ ผ้ปู กครองชว่ ยกำ� กับดแู ล เมื่อสามารถทำ� ได้ก็แสดงความ ชนื่ ชมเพอ่ื เปน็ แรงเสรมิ ทางบวก ใหท้ ำ� สงิ่ นนั้ ๆตอ่ ไป เมอื่ เดก็ ทำ� ไดด้ แี ลว้ ผปู้ กครองตอ้ งคอ่ ยๆลดการชว่ ย เหลอื ลง 2. ฝึกให้เด็กรบั ผิดชอบงานสว่ นรวม เชน่ ชว่ ยงานบ้านงา่ ยๆ ตามวยั 3. ความรับผิดชอบด้านการเรียน ควรเริ่มจากการสร้างให้เด็กเห็นความส�ำคัญของการรับผิด ชอบตอ่ การเรียน โดยไม่ไดเ้ น้นวา่ ต้องเรยี นเก่ง แตเ่ นน้ ท่พี ฤติกรรม เชน่ จดการบ้านให้ครบ ท�ำการบ้าน ใหเ้ สรจ็ สง่ งานใหท้ ันกำ� หนด 4. สรา้ งความตระหนัก เห็นคณุ ค่าตอ่ สง่ิ ท่ที ำ� ไม่ได้ท�ำเพียงเพราะถูกบังคับให้ทำ� เด็กจะร่วมมือ ในการรบั ผดิ ชอบงานตวั เองมากขน้ึ เชน่ “ทกุ คนมนี ำ�้ เยน็ ๆกนิ เพราะหนรู บั ผดิ ชอบกรอกนำ�้ สมำ�่ เสมอ แม่ ดีใจและภมู ใิ จจริงๆ” 5. มกี ารชนื่ ชม เมอ่ื เดก็ รบั ผดิ ชอบสง่ิ ตา่ งๆไดด้ ี ในขณะเดยี วกนั ตอ้ งตงั้ กฎ กตกิ าชดั เจน หากเดก็ ขาดความรบั ผิดชอบ รวมทงั้ ผู้ปกครองตอ้ งหนักแนน่ สม�่ำเสมอ กำ� กบั ให้เปน็ ไปตามกติกา เชน่ การหัก คา่ ขนม ลดเวลาเลน่ ลง เป็นตน้ การฝึกความมุ่งม่นั มุมานะ พยายาม 1. เปิดโอกาสให้เดก็ ได้ท�ำกิจกรรมหลากหลาย และพัฒนาความสามารถทเี่ ดก็ สนใจและถนดั 2. ฝกึ ให้เด็กตง้ั เปา้ หมายดว้ ยตนเอง เพื่อให้มีแรงจงู ใจของตนเองไมใ่ ชข่ องพ่อแม่ มีอสิ ระในการ เลอื กและตดั สนิ ใจ เปา้ หมายอาจเปน็ เรอ่ื งเลก็ ๆนอ้ ยๆ ใหเ้ ดก็ มงุ่ มน่ั และทำ� ใหส้ ำ� เรจ็ ในชว่ งตน้ ฝกึ ตง้ั เปา้ หมายระยะสัน้ เช่น เปน็ สัปดาห์ เม่ือบรรลุเป้าหมายใหบ้ ันทึกความก้าวหนา้ แลว้ ตั้งเปา้ หมายต่อไป 3. ฝกึ วางแผนการทำ� งานดว้ ยตวั เอง จดั เวลาในการทำ� กจิ วตั รประจำ� วนั ทำ� ตารางเวลา จดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั ว่าควรทำ� ส่งิ ใดก่อน โดยมีผู้ปกครองคอยให้ค�ำแนะน�ำ 4. ฝกึ ให้ขวนขวายหาสง่ิ ตา่ งๆดว้ ยตนเอง ไมไ่ ด้ทกุ อย่างงา่ ยเกินไป เชน่ การเกบ็ เงนิ เพ่อื ซอื้ ของ ท่อี ยากได้ นอกจากเกดิ ความมุมานะ ยงั สร้างความภาคภมู ใิ จตัวเองไดอ้ ีกด้วย 39

เทคนิคการส่งเสริมพฒั นาการและการเรยี นรู้ 5. งานที่ใหเ้ ดก็ ทำ� ตอ้ งไม่ยากเกินความสามารถ แตก่ ็ไมง่ ่ายจนเกินไป จงึ จะเกดิ การพัฒนา บาง ครง้ั เดก็ อาจทอ้ แท้ อยากเลกิ พอ่ แมค่ วร ใหก้ ำ� ลงั ใจ กระตนุ้ ใหต้ อ่ สู้ และสดุ ทา้ ยเมอ่ื ทำ� สำ� เรจ็ เดก็ จะเรยี น รู้และมีความพยายามมากยิ่งขึ้น ในบางคร้ังอาจล้มเหลวบ้างเด็กก็จะพยายามในครั้งต่อไป แต่หากงาน ยากเกินไป ทำ� อะไรก็ไม่ประสบความสำ� เรจ็ เดก็ จะกลายเป็นเดก็ ที่ท้อแท้ ขาดความเชื่อมนั่ จึงไมม่ ีความ พยายามอกี ตอ่ ไป 6. ผู้ปกครองคอยใหก้ ำ� ลงั ใจ โดยเฉพาะเมื่อเดก็ เริ่มทอ้ แท้ แสดงความเชื่อมนั่ ในตัวเด็ก ไม่ใช้ค�ำ พดู ดา้ นลบเพ่ือสรา้ งแรงกดดันใหพ้ ยายาม ไม่เปรยี บเทยี บกบั คนอื่น ในบางครัง้ ท่ลี ้มเหลว พ่อแมก่ ็ควร ช่ืนชมในความพยายามและความมุ่งมน่ั การสร้างเสรมิ พฤตกิ รรมที่พึงประสงค์ การรกั ษาระเบียบวนิ ยั และ กฎ กตกิ า ในแตล่ ะครอบครัว ย่อมมกี ฎ กติกา เพ่ือสร้างให้เกดิ ระเบยี บภายในบ้าน และเกดิ วินยั ในตัวเดก็ เชน่ ตอ้ งเอาเสอ้ื ผา้ ใสต่ ะกรา้ ทกุ ครงั้ โดยสว่ นใหญม่ กั ไมไ่ ดม้ กี ารพดู คยุ ตกลงกนั อยา่ งชดั เจนดว้ ยวาจา แต่ เปน็ สิง่ ท่ที กุ คนในบา้ นรับรกู้ นั เอง ผ่านการกำ� กบั ดแู ลของพอ่ แม่ เช่น แม่จะบอกวา่ ถอดเสอื้ ผ้าออกแล้ว เอาไปใสต่ ะกรา้ ดว้ ยนะลกู รวมทง้ั ทำ� ใหด้ เู ปน็ ตน้ แบบ เดก็ กเ็ รยี นรไู้ ปโดยปรยิ าย ดงั นน้ั พอ่ แมจ่ งึ มบี ทบาท ส�ำคญั ในการฝึกให้เด็กมรี ะเบยี บวินัย แต่ในบางเร่ืองอาจต้องพูดคุยกันอย่างชัดเจน เช่น ห้ามใช้ก�ำลัง ท�ำร้ายร่างกายกัน ห้ามพูดค�ำ หยาบ สามารถเลน่ คอมพวิ เตอรไ์ ด้วันละ 1 ชัว่ โมง เป็นตน้ 40

เทคนิคการส่งเสรมิ พัฒนาการและการเรยี นรู้ เม่อื มีกฎ กตกิ า แลว้ สิ่งสำ� คญั ทส่ี ดุ คอื การกำ� กับดแู ลใหเ้ ด็กทำ� ตาม กตกิ าทีต่ กลงอยา่ งสมำ�่ เสมอ โดยต้องคยุ กบั เดก็ ต้งั แตต่ ้น เกี่ยวกบั บทลงโทษหากไมท่ �ำตามกติกา โดยการลงโทษ มีหลายรูปแบบ เช่น การ ตัดสทิ ธิ์ตา่ งๆ การงดเล่นเกม เป็นตน้ การยบั ย้ังพฤตกิ รรมที่ไมเ่ หมาะสม การรกั ษากตกิ าใหม้ นั่ คงเปน็ เรอื่ งสำ� คญั เอาจรงิ กบั สงิ่ ทต่ี กลงกนั เขม้ แขง็ ในการทำ� ในสงิ่ ทถี่ กู ตอ้ ง ผใู้ หญท่ กุ คนตอ้ งมกี ารปรบั พฤตกิ รรมไปในทศิ ทางเดยี วกนั สมำ�่ เสมอ ไมใ่ จออ่ น หากมกี ารละเมดิ ขอ้ ตกลง วิธีการเตอื นเดก็ ควรท�ำดงั นี้ 1. เอาจรงิ ทนั ทเี พอื่ หยดุ พฤตกิ รรมทเ่ี ปน็ ปญั หา อยา่ ปลอ่ ยทง้ิ ไวน้ าน เพราะการไมแ่ กไ้ ขอาจทำ� ให้ เด็กมองว่าผูใ้ หญ่ยอมรบั พฤติกรรมนนั้ 2. รบั ฟงั ความคดิ เหน็ จบั ประเด็นทไี่ ม่พอใจ ใหเ้ ด็กรบั รูว้ ่าผ้ใู หญเ่ ขา้ ใจความคดิ และความรูส้ ึก 3. ทบทวนกตกิ า ขอ้ ตกลง ถา้ มอี ยแู่ ลว้ ใหจ้ ดั การตามทต่ี กลง ไมต่ อ่ รอง ผดั ผอ่ น ใชท้ า่ ทางนมุ่ นวล แตจ่ ริงจัง สอดคล้องกบั ขอ้ ตกลงทว่ี างไว้ กรณที ไ่ี ม่มีการตกลงกันลว่ งหน้า ให้ใชก้ ฎตามมาตรฐานสงั คม เช่น ไมล่ ะเมดิ ผูอ้ ่ืน ไมล่ ะเมดิ ตนเอง ไม่ทำ� ลายของหรือใชจ้ า่ ยฟุ่มเฟอื ยเกนิ เหตุ 4. การลงโทษ ควรสรปุ สนั้ ๆกอ่ นการลงโทษ วา่ เกดิ อะไรขนึ้ เหตใุ ดจงึ มกี ารลงโทษ ใหเ้ ดก็ ทบทวน ตนเอง ถา้ ส�ำนกึ ผดิ ได้ควรแสดงความชน่ื ชมเด็กที่รู้จกั ได้คิด หรือชมทีเ่ ด็กยอมเปดิ เผยความจริงไมโ่ กหก ปดิ บัง ชวนให้เด็กคดิ วา่ ถา้ จะไมใ่ หเ้ กดิ เรอื่ งนั้นข้ึนอกี ควรท�ำอย่างไร ปอ้ งกันได้อย่างไร และคาดหวงั ในทางทดี่ ีว่าเขาน่าจะทำ� ได้ การฝึกใหเ้ ด็กคดิ ทบทวนตนเองและวางแผนเก่ยี วกับตนเอง สดุ ทา้ ยเด็กจะ น�ำพาชวี ติ ตนเองไดม้ ากขนึ้ เตือนตัวเองเปน็ และพง่ึ พาพ่อแมน่ ้อยลง 5. ในกรณที เี่ ดก็ อยากปรบั เปลย่ี นกฎเกณฑก์ ตกิ ากย็ งั มโี อกาสทำ� ได้ แตต่ อ้ งตกลงกนั กอ่ น เทา่ กบั เปดิ ชอ่ งทางการเจรจาใหเ้ ดก็ มสี ว่ นรว่ มในการกำ� หนดกตกิ า ซงึ่ เดก็ จะรว่ มมอื เพมิ่ ขนึ้ เทา่ กบั ฝกึ ใหเ้ ขาเปน็ ตวั ของตัวเอง สร้างระเบียบวินัยจากภายในตวั เองได้ 41

เทคนิคการส่งเสริมพัฒนาการและการเรยี นรู้ การสร้างความภาคภูมใิ จและมนั่ ใจในตัวเอง ความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอในการฝึกฝนลูกให้ประสบความส�ำเร็จ การท่ีเด็กช่วยตัวเองและผู้ อื่นได้ มีความสามารถหลายอยา่ ง จะท�ำใหเ้ ด็กวัยนีร้ ู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ เกิดความม่ันใจ และถา้ ความรู้ ความสามารถเหล่านถ้ี กู นำ� มาใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ้ังตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น จะย่ิงท�ำใหเ้ ด็กรูส้ ึกวา่ ตนเอง มคี ณุ คา่ และมีความหมาย เป็นคนสำ� คัญคนหนง่ึ ท้งั ในบ้านและนอกบ้าน สง่ ผลทำ� ใหเ้ ด็กชอบตวั เองและ จะพยายามท�ำตัวเองให้ดีข้ึน เห็นความมุ่งมั่นชัดเจนข้ึน อยากเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวเพ่ิมขึ้นและเติบโต เป็นวัยรุน่ ทดี่ ีต่อไป พอ่ แมเ่ ปน็ ผสู้ ะทอ้ นสง่ิ ดแี ละสง่ิ ไมด่ ใี นการแสดงออกของเดก็ ใหเ้ ดก็ ไดย้ นิ เมอ่ื คนรอบตวั พดู ถงึ ตวั เองบอ่ ยๆไม่วา่ ด้านดีหรือไมด่ ี สดุ ท้ายเด็กจะเชอ่ื วา่ เขาเป็นคนอย่างน้ันจริงๆ การฝกึ ฝน จึงควรเนน้ จดุ ดี ให้มากกว่าการบอกจดุ ดอ้ ย เพ่ือให้มกี ารพัฒนาต่อได้ เดก็ ไมต่ อ้ งการคนมาตอกยำ้� วา่ ผดิ พลาดอยา่ งไร แตต่ อ้ งการชนี้ ำ� วา่ จะทำ� อยา่ งไรจงึ จะทำ� ไดถ้ กู ตอ้ ง หรอื ดขี นึ้ กวา่ เดมิ พอ่ แมแ่ ละผเู้ ลยี้ งดคู วรหลกี เลยี่ งการใชค้ ำ� พดู ทร่ี นุ แรง เพราะจะทำ� ใหเ้ ดก็ เสยี ความรสู้ กึ รู้สึกว่าตวั เองไม่มีคุณคา่ อยา่ ต�ำหนทิ ตี่ วั เด็ก แตเ่ นน้ พฤติกรรมทีเ่ ดก็ ท�ำแล้วคุณไม่ชอบ การให้ก�ำลังใจ การใช้ค�ำพูดเชิงบวกจะช่วยให้เด็กวัยนี้ยอมรับได้และยอมท�ำตามมากกว่าการใช้ คำ� พดู เชงิ ลบ หรอื ค�ำพดู รุนแรง ไม่ว่าผลของการฝึกฝนจะเปน็ อย่างไรในวันน้ี อย่าลืมแสดงใหเ้ ดก็ เหน็ วา่ “คุณเชื่อมั่นว่าวันหนึง่ เขาจะท�ำได้แนน่ อน” 42

ปญั หาท่ีพบบ่อย และแนวทางชว่ ยเหลือ บทท่ี 5 ปญั หาทพ่ี บบอ่ ย และแนวทางชว่ ยเหลือ ปัญหาการเรียน ปญั หาการเรยี น เปน็ ปญั หาทผี่ ปู้ กครองและครพู าเดก็ มาพบแพทยบ์ อ่ ย ปญั หาการเรยี นทำ� ใหเ้ ดก็ ขาดความเชอื่ ม่นั รสู้ กึ วา่ ตนเองท�ำอะไรดีไม่ได้ ไมม่ ีความสุข หลายครั้งกอ็ าจถกู ผ้ใู หญร่ อบตัวดุวา่ ผลที่ ตามมา คอื ขาดแรงจูงใจในการเรยี น ไมอ่ ยากเรยี นรู้ เพราะร้สู กึ วา่ ตัวเองไม่ได้เร่อื ง งานวิจยั มากมายพบ วา่ ความลม้ เหลวในการเรยี นเปน็ สาเหตสุ ำ� คญั ของการเกดิ ปญั หาพฤตกิ รรมและอารมณใ์ นเดก็ และวยั รนุ่ การทเ่ี ดก็ คนหนึ่งจะสามารถเรยี นหนงั สือไดด้ นี ้ัน ประกอบด้วย 1. ร่างกายแขง็ แรง มีความพร้อมทางรา่ งกาย อวัยวะรับสมั ผัสทำ� งานได้ดี คอื ตาดี หูดี และเส้น ประสาทจากตา หู ไปสมองปกติ ไม่มีความบกพร่องของประสาทสมั ผัส 2. สมองสามารถรับรู้ข้อมูลได้ดี โดยมีการท�ำงานประสานกันดี ไม่สับสน แยกข้อมูลที่เข้ามา พร้อมกันออกจากกนั ได้ เชน่ แยกเสียงครู ออกจากเสยี งรบกวนอนื่ ๆได้ รวมท้ังต้องมีสมาธทิ ดี่ ี ซ่งึ หาก เดก็ มคี วามยากลำ� บากในการจดั ระเบยี บ การเลอื กสรรขอ้ มลู อาจเปน็ จากโรคสมาธสิ น้ั หรอื Attention Deficit - Hyperactivity Disorder (ADHD) 3. สตปิ ัญญาที่ดี ไมม่ ภี าวะสตปิ ญั ญาบกพรอ่ ง สามารถประมวลข้อมลู มีกระบวนการคิด การ สรา้ งความทรงจำ� และวเิ คราะหไ์ ดด้ ี 4. สมองสามารถแปลผลข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือ ผสมค�ำ และท�ำความเข้าใจความหมายได้ คือ สมองที่เก่ียวข้องกับการอ่าน เขียน ท�ำงานได้ดี ซ่ึงหากเด็กมีความบกพร่องในจุดน้ี อาจเกิดจากภาวะ บกพรอ่ งในทักษะการเรียน (Specific Learning Disorder) 5. กล้ามเน้ือท่ีสามารถท�ำงานตามท่ีสมองส่ังการได้ เช่น เขียนหนังสือได้ กล้ามเน้ือมือท�ำงาน คล่องแคลว่ 6. มแี รงจูงใจ อยากเรยี น สนุกกับการเรยี นรู้ คือ มีอารมณท์ ีด่ ี ไม่มีภาวะซมึ เศรา้ วิตกกงั วล หรอื ปญั หาทางอารมณอ์ ่ืน 43

ปญั หาทพี่ บบ่อย และแนวทางช่วยเหลอื สง่ิ สำ� คญั ในการดแู ลเดก็ ทม่ี ปี ญั หาการเรยี น คอื การทำ� ความเขา้ ใจสาเหตุ เพอ่ื วางแผนในการชว่ ยเหลอื ตอ่ ไป ถงึ แมว้ า่ จะไมส่ ามารถทำ� ใหเ้ ดก็ ทกุ คนกลายเปน็ เดก็ เรยี นเกง่ ได้ แตส่ ามารถทำ� ใหเ้ ดก็ เขา้ ใจปญั หาทต่ี วั เองเป็น มีความสุขสนุกกับการเรยี นรู้ มปี ระสบการณ์ของความสำ� เรจ็ และมีความภูมใิ จในตวั เองได้ โรคสมาธสิ ้ัน (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) กล่มุ ความผิดปกตขิ องพฤตกิ รรม โดย ลักษณะอาการ จะแบง่ เป็นกลุ่มอาการหลักๆคือ • อาการขาดสมาธิ เช่น วอกแวกง่าย ใจลอย ทำ� งานไม่เสร็จ งานไมเ่ รียบรอ้ ยไมไ่ ดย้ นิ เวลาคน พูดด้วย ขล้ี มื ของหาย • อาการหนุ หนั พลันแลน่ วูว่ าม อดทนนอ้ ย ท�ำอะไรไมค่ ิด พูดโพลง่ พดู แทรก • อาการซน อยู่ไม่นิ่ง นั่งน่งิ ไม่ได้ ต้องยุกยกิ เล่นเสียงดัง พูดมาก เกดิ อุบตั เิ หตบุ ่อย เดก็ บางคนอาจจะไมม่ อี าการครบท้ัง 3 ดา้ น แต่ควรเริ่มเหน็ อาการตง้ั แต่ก่อน อายุ 12 ปี และ มี อาการในหลายๆ สถานการณ์ เช่น ท้งั ท่ีบา้ น ในหอ้ งเรยี น สนามเดก็ เล่น และ อาการมีผลกระทบกับเดก็ ทำ� ใหเ้ กิดปญั หาในการเรยี น การเข้าสังคม การท่ีเราเห็นว่าเด็กด้ือและซนมาก อยู่ไม่น่ิงเลย ท่ีบ้าน แต่ที่ขณะท่ีอยู่โรงเรียนกลาย เป็นเด็ก เรียบร้อย เช่ือฟังคุณครู กรณีน้ีอาจไม่ใช่โรคสมาธิสั้น เพราะยังมีสาเหตุอ่ืนอีกหลายอย่างที่ท�ำให้เด็กมี อาการคล้ายไมม่ ีสมาธิ ซน เช่น ไมส่ บายกาย เหน่อื ย หิว ไม่สบายใจ หงดุ หงดิ กังวล และสาเหตทุ ีพ่ บได้ บอ่ ยคอื การเลย้ี งดแู บบทตี่ ามใจ ไมไ่ ดฝ้ กึ ระเบยี บวนิ ยั ความรบั ผดิ ชอบ หรอื การรจู้ กั อดทน รอคอย รวม 44

ปญั หาท่ีพบบอ่ ย และแนวทางช่วยเหลือ ทั้งสภาพแวดล้อมในบ้านท่ีไมเ่ หมาะกบั การเรียนรู้ ขาดความสงบ มีส่งิ กระตุ้น ดึงความสนใจ เช่น เสียง โทรทัศน์ หรือของเล่นทีม่ ากเกนิ ไป ดังน้ัน ถ้าเริ่มสังเกตเห็นเด็กมีสมาธิไม่ดี เบ้ืองต้นผู้ปกครองสามารถช่วยได้ โดยการจัดสภาพ แวดลอ้ มใหส้ งบ มรี ะเบยี บ ลดตวั กระตนุ้ ภายนอก และ การฝกึ วนิ ยั ความอดทน ใหเ้ ดก็ รบั ผดิ ชอบกจิ วตั ร ประจ�ำวนั หน้าทต่ี ่างๆของตนเองให้ได้ เม่อื ไดฝ้ กึ ปรบั ส่งิ ต่างๆ แลว้ ไม่ได้ผล สามารถพาเดก็ มาพบแพทย์ เพอ่ื หาสาเหตุอืน่ ๆตอ่ ไป ภาวะบกพร่องในทักษะการเรยี น (Specific Learning Disorder) คือ กลุ่มโรคท่ีมีความบกพรอ่ งในกระบวนการเรยี นรู้ มสี าเหตมุ าจากสมองทำ� งานบกพรอ่ ง โดย เปน็ ได้ต้งั แต่การวิเคราะห์ แปลความขอ้ มลู ไปจนถงึ การสงั่ การออกมา ท�ำใหม้ ปี ญั หาในทักษะการเรยี น รูเ้ ฉพาะดา้ น คอื ทกั ษะในการอา่ นหนังสือ การเขยี น การคำ� นวณ ภาวะนพี้ บไดร้ อ้ ยละ 3-6 ของเด็กวัย เรียน ซึง่ เปน็ ความผิดปกติท่ตี ดิ ตวั มาแต่ก�ำเนิด แตจ่ ะเร่มิ เห็นอาการเมอื่ เขา้ ประถม แพทย์จะวินิจฉัยภาวะน้ี เมื่อเด็กมีความสามารถด้านการเรียน ต่�ำกว่าเด็กอ่ืนท่ีมีสติปัญญาเท่า กัน อย่างนอ้ ย 2 ช้นั เรียน จะพบวา่ เด็กกลุ่มน้ีฉลาดเทา่ เด็กอื่น เวลาคยุ เล่น ทำ� กิจกรรมต่างๆจะท�ำได้ดี แต่กลับเรียนได้ไม่ดี โดยที่ไม่ใช่สาเหตุจากสติปัญญาบกพร่อง ภาวะนี้ส่งผลให้เด็กเรียนรู้ในระบบการ ศึกษาปกตไิ ดล้ �ำบาก ทำ� ใหเ้ ด็กคับข้องใจ คดิ ว่าตวั เองโง่ ถูกผูใ้ หญด่ ุ ตำ� หนิบอ่ ย อาการแสดงภาวะบกพรอ่ งในทักษะการเรียน พบได้ 3 กลุ่ม • ปญั หาในการอา่ นหนงั สอื อา่ นไมอ่ อกหรอื อา่ นไดบ้ า้ งแตค่ วามสามารถในการอา่ นตำ�่ กวา่ เดก็ ที่ฉลาดเทา่ กนั อย่างนอ้ ย 2 ชน้ั เรียน สะกดตัวไมถ่ กู อา่ นชา้ ตกหล่น อา่ นเพ่มิ ค�ำ อา่ นสลบั ตวั พยญั ชนะ ผสมค�ำไมไ่ ด้ แยกคำ� ไม่ถกู อ่านแลว้ จบั ใจความไมไ่ ด้ • ปัญหาในการเขียนหนังสอื เขยี นหนงั สอื ไมไ่ ดท้ ั้งท่รี วู้ ่าจะเขียนอะไร เขยี นแลว้ เอาพยัญชนะ มารวมกันแต่อ่านไม่ได้ เขียนพยัญชนะสลับกนั ขนาดของตัวอกั ษรไมเ่ ท่ากัน เขยี นไมต่ รงบรรทัด ไมเ่ วน้ ช่องไฟ • ปัญหาในการคิดค�ำนวณ ค�ำนวณไม่ได้เลยหรือทำ� ได้แต่สบั สนกบั ตัวเลข ไมเ่ ขา้ ใจสญั ลกั ษณ์ ไม่เข้าใจคา่ ของตวั เลข เขยี นเลขสลบั กัน ท�ำบวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้ ตโี จทยป์ ญั หาไมเ่ ป็น อยา่ งไรก็ตาม สาเหตขุ องการเรยี นหนงั สอื ไม่ดี มอี ีกหลายสาเหตุ ก่อนการวินจิ ฉัย เดก็ จึงควรได้ รบั การตรวจประเมนิ ทางจติ วทิ ยา ระดบั สตปิ ญั ญา และ ความสามารถทกั ษะทางการเรยี นอยา่ งละเอยี ด เพ่ือชว่ ยในการวางแผนการศกึ ษาเฉพาะราย แก้ปัญหาขอ้ บกพรอ่ งในกระบวนการเรยี นรู้ตอ่ ไป 45

ปัญหาทีพ่ บบ่อย และแนวทางช่วยเหลือ การจดั สิ่งแวดลอ้ มให้เหมาะกบั การเรยี นรูแ้ ละการชว่ ยเหลือท่บี า้ น สงิ่ แวดลอ้ มทส่ี งบ ผอ่ นคลาย ไมม่ สี ง่ิ กระตนุ้ จากภายนอกมากเกนิ ไป มบี รรยากาศทด่ี ี เดก็ จะรสู้ กึ สนกุ มคี วามสขุ กับการเรียน และ เกิดแรงจูงใจในการตัง้ ใจท�ำงานให้ดีข้นึ ต่อไปอีกดว้ ย ส่งิ แวดลอ้ ม จดั สงิ่ แวดล้อมในบ้านให้มรี ะเบยี บ ไม่รกรงุ รงั จัดสถานท่ที สี่ งบและไม่มสี ิง่ รบกวน สมาธิหรือดึงความสนใจ เชน่ ของเลน่ ในขณะทที่ �ำการบา้ นหรอื อา่ นหนังสอื มกี ารก�ำหนดเวลาสำ� หรบั กจิ วัตรประจำ� วนั ใหช้ ัดเจน ไม่ใหด้ โู ทรทศั น์ หรือ เล่นเกมนานเกินไป อาจเขียนออกมาเปน็ ตารางเวลา เพราะเด็กๆมักจะลืมว่าเวลาไหนควรท�ำอะไร และ ผู้ใหญ่เองก็มักจะเบื่อ หงุดหงิด ที่ต้องพูดเรื่องเดิม ซ�้ำๆบอ่ ยๆ เวลาสง่ั งาน แบง่ งานทมี่ ากหรอื ทเ่ี ดก็ เบอื่ ใหท้ ำ� ทลี ะนอ้ ย และชว่ ยกำ� กบั ดแู ลใหท้ ำ� จนเสรจ็ เปน็ การ ช่วยใหเ้ ดก็ มีก�ำลังใจในการท�ำงาน รูส้ กึ ประสบความสำ� เร็จได้ ไมท่ ้อไปเสยี กอ่ น และประสบการณค์ วาม รสู้ กึ ท่ีเกิดขนึ้ จากการทำ� อะไรส�ำเร็จน้ี จะยอ้ นกลบั มาเป็นก�ำลังใจให้เดก็ เม่ือตอ้ งท�ำงานช้นิ ตอ่ ไป เมอ่ื ตอ้ งตกั เตอื น หรอื ทำ� โทษ หลกี เลย่ี งการพดู บน่ หรอื ตำ� หนิ ควรใชว้ ธิ พี ดู เตอื นใหร้ ตู้ วั หรอื เบน ความสนใจให้เด็กได้ท�ำกิจกรรมอื่นแทน หากเด็กยังไม่หยุดอาจแยกให้อยู่ในมุมสงบตามล�ำพังชั่วคราว (Time out) การลงโทษควรทำ� ดว้ ยวธิ ที ไี่ มร่ นุ แรง และเปน็ ไปตามทเ่ี คยตกลงกนั ไวก้ อ่ นลว่ งหนา้ เชน่ การ ตดั เวลาดโู ทรทศั น์ เลน่ เกม ตดั ขนมทช่ี อบ และพอ่ แมค่ วรเปน็ ตวั อยา่ งทดี่ แี ละชว่ ยฝกึ ความมวี นิ ยั อดทน รอคอย บรหิ ารเวลาและจดั ระเบยี บ ในการทำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆ เพราะเดก็ เรยี นรจู้ ากสง่ิ ทเี่ หน็ จากสง่ิ ทเี่ รา ท�ำ มากกว่า สิง่ ท่ีเราสอน เปิดโอกาสเดก็ ได้ใชพ้ ลงั งานในทางทีด่ ี และมปี ระโยชน์ เช่น การเลน่ กฬี า การชว่ ยเหลอื งานบ้าน ซงึ่ ในชว่ งเรมิ่ ตน้ อาจจะดยู าก ถา้ เดก็ ไมเ่ คยถกู ฝกึ ใหช้ ว่ ยเหลอื งานในบา้ นมากอ่ น การใชเ้ ทคนคิ การใหแ้ รง เสรมิ ทางบวก เชน่ การสะสมดาวหรอื แตม้ คะแนน กเ็ ปน็ อกี เทคนคิ ทใ่ี ชไ้ ดผ้ ลดี เพราะ การทเี่ ดก็ สามารถ มองเหน็ ความสำ� เรจ็ และสงิ่ ดๆี ในตวั เอง เปน็ ปจั จยั สำ� คญั ในการทำ� ใหเ้ ดก็ มกี ำ� ลงั ใจในการทำ� สง่ิ ทด่ี ตี อ่ ไป 46

ปัญหาทพี่ บบ่อย และแนวทางชว่ ยเหลือ การชว่ ยเหลือที่โรงเรยี น 1. หาสาเหตุและรกั ษาท่ีสาเหตุหลกั 2. สรา้ งแรงจงู ใจในการเรยี น เช่น • ให้เด็กรู้สึกวา่ เปน็ ท่ีรักของครแู ละเพ่อื น และให้เด็กมีสว่ นรว่ มในการเรียนรู้ • จัดประสบการณ์เรียนรู้หลากหลาย ใชแ้ บบบรู ณาการ มีวิธีน�ำสูบ่ ทเรียน ใช้กจิ กรรมหลาก หลาย สอบถามความเขา้ ใจเปน็ ระยะ • สรา้ งบรรยากาศในหอ้ งใหด้ ี เรยี นใหส้ นกุ สรา้ งความรสู้ กึ อยากเรยี น สง่ เสรมิ ใหอ้ ยากรแู้ ละรู้ วา่ จะเอาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ จรงิ อยา่ งไร นำ� ปญั หาหรอื เหตกุ ารณใ์ นชวี ติ จรงิ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ การเรยี นรมู้ าน�ำสูก่ ารเรียน • ใช้อารมณ์ขนั เร่อื งตลกท่ีเก่ยี วข้อง สรปุ ขอ้ คดิ ประทบั ใจจากการเรยี นรู้ • ลดความเครยี ดในการเรยี นทไี่ มจ่ ำ� เปน็ ครไู มเ่ ปน็ กนั เอง ครดู ุ ทำ� โทษมากเกนิ ไป ใชเ้ วลาในการ บน่ ดเุ ด็กที่ไม่ไดอ้ ยูใ่ นห้อง ท�ำโทษกลุ่ม ไมไ่ ดส้ อน สอนไมเ่ ขา้ ใจ สอนเรว็ เกินไป ให้งานเยอะ การบ้านเยอะ 3. จดั สงิ่ แวดลอ้ มใหเ้ หมาะสม ยดึ หลกั การทว่ี า่ การเรยี นรเู้ กดิ ขน้ึ ไดท้ กุ ที่ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งอยภู่ ายใน หอ้ งเรยี น เชน่ จดั ทน่ี ง่ั ใหม่ แบบวงกลม วงกลมซอ้ นกนั กลมุ่ ยอ่ ยหลายกลมุ่ หรอื ไมม่ กี ลมุ่ หรอื เรยี นนอก หอ้ งเรยี น เช่น ใต้ตน้ ไม้ สวนหย่อม ห้องประชุม หอ้ งฝกึ สมาธิ หรอื เรยี นนอกโรงเรยี น เช่น เรียนในวัด สวนสาธารณะ หอศิลป์ พพิ ธิ ภณั ฑ์ ศูนย์เยาวชน โรงพยาบาล เป็นตน้ 4. ปรับเปลีย่ นบรรยากาศ ภายในหอ้ งเรยี น 5. ใชว้ ธิ ีการสอนหลายแบบ ให้สนกุ ประทับใจ จบั ค่ทู ำ� งาน แผนทีค่ วามคดิ (Mind Map) ระดม สมอง (Brain Storming) จดั ระบบความคดิ ฝกึ ใหเ้ ขยี น บนั ทกึ คดิ วเิ คราะหด์ ว้ ยตวั เอง ฝกึ ใหเ้ ดก็ สงั เคราะห์ คดิ หาค�ำตอบทห่ี ลากหลาย มกี ารทดลองพสิ จู น์สงิ่ ทค่ี ดิ หรือเรยี นรู้ กลา้ ท้าทายการสอนของครู 47

ปัญหาทพี่ บบ่อย และแนวทางชว่ ยเหลือ ปญั หาพฤติกรรมในเด็กวยั เรียน การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมในเด็กวัยเรียนนั้น จะมุ่งเน้นการค้นหาสาเหตุ แก้ไขท่ีสาเหตุ ลด พฤติกรรมทีม่ ปี ญั หา พร้อมๆกับสรา้ งพฤติกรรมทีด่ ี ตดิ ตาม ตรวจสอบ ให้ก�ำลังใจเปน็ ระยะ โดยรักษา สัมพันธภาพที่ดกี บั เด็ก ก้าวรา้ ว แกล้งเพ่ือน เป็นปัญหาที่พบบ่อยในนักเรียน มักมีสาเหตุมาจากการที่มีพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดตามใจมากหรือ ใช้วิธกี ารกา้ วรา้ ว เป็นโรคสมาธสิ ั้น หรอื เกดิ จากความเครียดหรือซึมเศร้า วธิ ีการช่วยเหลอื 1. ก�ำหนดกติกาให้ชดั เจน 2. เอาจรงิ กบั กฎเกณฑ์ ไม่ปลอ่ ยให้มกี ารละเมดิ กนั 3. ใช้เทคนิค “ขอเวลานอก” เมื่อเด็กละเมดิ คนอื่น 4. “แจ้งข้อหา” อยา่ งรวบรัด 5. ฟังเหตกุ ารณ์รอบดา้ นอย่างสงบ เปิดโอกาสใหพ้ ดู พอควร แต่อยา่ ใหแ้ กต้ ัวเกนิ ไป 6. ตัดสนิ ด้วยความสงบ ตามขอ้ ตกลงของการจดั การเมอื่ มกี ารละเมดิ กนั 7. ใช้หลักการลงโทษที่ไมก่ ้าวรา้ วรนุ แรง เช่น การตดั รางวัล บำ� เพญ็ ประโยชน์ ออกก�ำลังกาย 8. ชวนคดิ หาวธิ กี ารแกไ้ ขปญั หาใหมๆ่ เชน่ เวลาเพอ่ื นลอ้ เลยี น จะมที างออกอน่ื ๆอยา่ งไรอกี เชน่ ฟ้องครู บอกเพ่อื นตรงๆ ให้เพ่อื นช่วย ไม่สนใจ เปล่ียนความคิดใหม่ เพ่ือนลอ้ เทา่ กับเพ่ือนสนใจ อยาก เล่นดว้ ย ลอ้ กลับ ชวนเพอ่ื นเล่นอย่างอน่ื ทำ� ใหเ้ พือ่ นรกั เสียเลย ขู่กลับ 9. หากจิ กรรมเบนความสนใจ 10. ใช้กิจกรรมท่ีระบายความโกรธ ความก้าวร้าว เช่น เตะฟุตบอล ชกกระสอบทราย ปั้น เคร่อื งป้ันดินเผา แกะสลกั แตก่ ิจกรรมน้นั ต้องมกี ตกิ าควบคุม 11. ใหท้ �ำงานที่เป็นประโยชน์ ให้เป็นทยี่ อมรับของพ่นี ้อง เพอ่ื น และครู 48

ปญั หาทพี่ บบ่อย และแนวทางช่วยเหลอื ล้อเลยี น สาเหตุมกั เกิดจากการเรียนรู้จากทางบา้ น จากกลุ่มเพอ่ื น ขาดความสุข มปี มดอ้ ยของตนเอง ขาด ทกั ษะในการเข้าสงั คม การให้ความชว่ ยเหลือ 1. หยดุ พฤตกิ รรมการแกล้งเพ่อื น ลอ้ เลียนเพ่ือน ทันที 2. อธิบายให้เด็กท้ังห้องรู้ว่า กฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันข้อแรก คือ ไม่ท�ำให้คนอื่นเดือดร้อน ข้อสอง คือ ทำ� ให้คนอ่นื พอใจ ครูจะไม่ยอมให้มกี ารแกล้ง หรอื ล้อเลยี นกัน 3. ฝึกทักษะสังคมดา้ นบวก รจู้ กั การให้ การขอบคุณ การชกั ชวนกันเล่นกนั ดีๆ การเร่ิมตน้ การ เลน่ การมีเพือ่ น การขอให้เพอื่ นชว่ ยเหลอื ปกปอ้ งกนั 4. ฝึกทักษะเด็กในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การป้องกันตนเองไม่ใหถ้ ูกลอ้ เลยี น หรอื ถูกรังแก 5. ฝึกให้เพือ่ นช่วยกันปกปอ้ งคนท่ถี กู รงั แก เตือนเพ่ือนทช่ี อบแกล้งหรือล้อคนอ่ืน ชวนเพอ่ื นให้ เลน่ กันดๆี ชว่ ยรายงานครเู มอื่ มกี ารละเมิดกนั ไมย่ อมใหม้ ีพฤติกรรมนเ้ี กดิ ขนึ้ ในหอ้ ง ดว้ ยการชว่ ยกนั ไม่ น่ิงดดู าย ใหเ้ พื่อนรู้จักการช่วยเหลือกันเสมอ 6. ขอเวลานอก (timeout) เมอื่ ไมส่ ามารถควบคุมตนเองได้ 7. แนะนำ� การเล่นกันดีๆ กจิ กรรมท่ที �ำดว้ ยกนั แลว้ พอใจด้วยกนั ทุกฝ่าย 8. รบี แยกเด็กทเี่ ริม่ ท�ำท่าจะละเมดิ คนอื่น ไม่ควรรอใหเ้ กิดเหตกุ ารณ์ข้นึ 9. ชมเด็กเม่อื เดก็ เลน่ กนั ดีๆ และหลีกเลย่ี งการลอ้ เลยี นเดก็ หรอื แซวเด็ก 49

ปญั หาทพี่ บบ่อย และแนวทางช่วยเหลือ โกหก การพูดโกหก มีได้หลายแบบ ตง้ั แตพ่ ูดตรงขา้ มความจรงิ เกินความจรงิ แต่งเรอื่ ง หรอื โยนความ ผิดให้คนอ่ืน แต่ไม่ว่าจะเป็น การพูดโกหกแบบใด ความรู้สึก ท่ีอยู่ในใจใต้พฤติกรรมการโกหกน้ัน คือ ความกลวั เด็กหลายๆคนโกหก เพ่อื ปกป้องตนเองจากการถูกลงโทษ เพราะเคยเรียนร้มู าวา่ การปดิ บงั ความผดิ ไว้จะท�ำให้ปลอดภยั ในครอบครวั หรือโรงเรียนทก่ี วดขนั เขม้ งวดและมีการลงโทษรุนแรงไมว่ ่า ทางร่างกายหรือวาจา จึงมักพบเด็กท่ีต้องใช้การพูดปดเพื่อปกป้องตัวเองและเอาตัวรอด เด็กอาจเคยมี ประสบการณ์การถูกลงโทษหรือเห็นคนอื่นถูกลงโทษ มาก่อน ท�ำให้ไม่กล้าพูดความจริง กลัวว่าครูจะ เกลียด กลวั พ่อแมด่ ่าวา่ กลัวความรูส้ ึกวา่ ตนเองไรค้ ่า ไมไ่ ดเ้ รือ่ ง เดก็ บางคนพดู โกหกหรือเล่าเร่อื งเกนิ ความจรงิ เพือ่ ให้ตนเองได้รบั การยอมรบั เปน็ ที่สนใจในหม่เู พ่ือนฝูง เพราะเดก็ อาจจะร้สู ึกว่าตนเองไมม่ ี อะไรดี ไม่พอใจในสงิ่ ทมี่ ี ภมู ใิ จในสง่ิ ท่ีเปน็ อยู่ จงึ สร้างเรอ่ื งโกหก เพ่ือให้คนสนใจชน่ื ชม มองให้ทะลไุ ปใต้ พฤติกรรม เราอาจจะเห็นเด็กท่ีกำ� ลัง เหงา เบื่อ อยากมเี พ่อื น กลวั ว้าเหว่ อยากไดร้ ับความรักและการ ยอมรับอยู่ วิธกี ารชว่ ยเหลอื 1. ใชท้ า่ ทีเปน็ มิตร เป็นกลาง ยอมรับเมื่อเดก็ ทำ� ผิด 2. ไมเ่ ปดิ โอกาสให้เด็กโกหก ไม่ควรถามว่า “เธอทำ� หรอื เปลา่ ” 3. ฝึกให้เดก็ กลา้ พูด กลา้ บอก กลา้ ปรกึ ษา เวลามีปัญหาอปุ สรรค ต้องการอะไร สามารถบอก ความตอ้ งการ ความไม่สบายใจออกมาได้ รบั ฟงั เวลาเดก็ บอก ควรท�ำความเขา้ ใจ ไม่ควรสอนหรอื ดเุ ดก็ ทนั ที ชักชวนให้เด็กคดิ ทางออกดว้ ยตัวเอง ก่อนจะช้แี นะ 4. งดการลงโทษ ดดุ ่าว่ากล่าวรนุ แรง หรอื ใหเ้ ด็กได้อาย เช่น ท�ำต่อหน้าเพือ่ นหรอื ตอ่ เด็กอน่ื ๆ ไม่ควรประจานเดก็ 5. เมอ่ื มปี ญั หาเกิดขึ้น อย่าโวยวาย ตโี พยตีพาย ท�ำเร่อื งเลก็ ให้เป็นเรื่องใหญม่ ากเกินไป จนเดก็ กลวั มาก เวลามีปญั หาจะไม่กล้าบอก 6. ชมเชยเม่ือเด็กเปิดเผยความจริง แม้ว่าจะเป็นเรื่องท่ีเด็กท�ำผิด อย่าเพิ่งโกรธหรือรีบส่ังสอน เขาทันที ควรสอบถามลงลกึ ต่อไปวา่ อะไรท�ำใหเ้ ขาทำ� เช่นนน้ั ถา้ ทำ� ใหม่ได้จะท�ำอย่างไร อย่ามองพฤติกรรมต่างๆ แต่เพียงผิวเผินและตอบสนองแต่พฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่าน้ัน อย่าตราหน้า เด็กว่าข้ีโกหก เพราะจะท�ำให้เด็กเกิดภาพลักษณ์ท่ีไม่ดีต่อตนเอง รู้สึกโกรธรู้สึกแย่และหมดก�ำลังใจท่ีจะ แก้ไขเปล่ียนแปลงตนเอง มองเห็นสิ่งดีๆในตัวเด็กและแสดงความเชื่อม่ัน ว่าเด็กสามารถท�ำสิ่งท่ีดีได้ แม้ดู ภายนอกอาจดเู หมอื นมี พฤตกิ รรมไม่ดี แต่ไมไ่ ดห้ มายความว่า เป็นเด็กไม่ดี การแก้ไขการโกหกเปน็ แค่การ แก้ท่ีปลายทาง สิง่ สำ� คัญคอื การสร้างเด็กท่มี วี นิ ยั อดทน รจู้ ักยบั ย้ังชัง่ ใจทีจ่ ะไม่กระทำ� ผิด มีความพอใจใน สิ่งทม่ี ี ภูมใิ จในสิง่ ท่เี ป็นและร้จู กั เห็นอกเหน็ ใจผู้อนื่ ซ่งึ เป็นสงิ่ ท่คี วรบ่มเพาะตง้ั แต่เยาว์วัย จากในครอบครัว 50