Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้ ใบงาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

ใบความรู้ ใบงาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

Published by ครูนภัสสร, 2020-09-14 05:24:31

Description: ใบความรู้ ใบงาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

Search

Read the Text Version

ตวั อยา่ งเช่นถา้ รฐั บาลใชจ้ า่ ยงบประมาณแผ่นดินสร้างถนน 1 สายใชเ้ งนิ 20,000 ลา้ นบาทการใชจ้ า่ ยของ รฐั บาลผ่านบรษิ ัทธุรกจิ ท่ีรบั เหมากอ่ สรา้ งถนนทำให้มกี ารจา้ งงานมากข้นึ ซื้อวสั ดุก่อสร้างมากขึน้ ทำให้ ประชาชนที่เกี่ยวข้องมรี ายได้มากขึ้นเม่ือมรี ายได้มากข้นึ กจ็ ะมีอำนาจซื้อสนิ ค้าและบรกิ ารมากขึ้นคือจะมีอปุ สงค์ตอ่ สินคา้ บริการมากขึ้น ระบบเศรษฐกจิ ในประเทศไทย ระบบเศรษฐกิจ กอ่ นท่ีจะเรียนรถู้ ึงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเราควรเขา้ ใจถงึ ความหมายของระบบเศรษฐกจิ กันก่อน ระบบเศรษฐกจิ คือกลมุ่ หรือหนว่ ยธรุ กจิ ท่ีรวมตวั กันดำเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ โดยอยู่ภายใต้ รูปแบบของการปกครองจารีตประเพณสี งั คมและวฒั นธรรมของแต่ละประเทศเพ่ือกำหนดว่าจะผลิตอะไร ปริมาณมากนอ้ ยเท่าใดและใช้วธิ ีการผลิตอย่างไรเพอื่ ตอบสนองความต้องการของหน่วยครวั เรือนหรอื กลมุ่ ผบู้ ริโภคหรือประชาชนนน่ั เอง ระบบเศรษฐกจิ ของแตล่ ะประเทศในโลกมีความแตกตา่ งกนั ทัง้ นีข้ ึน้ อยู่กบั รปู แบบการปกครองและ จารีตประเพณีโดยทวั่ ไปแลว้ แต่ละประเทศได้มกี ารพัฒนาระบบเศรษฐกจิ แบบต่างๆขึน้ เพือ่ แก้ไขข้อบกพร่อง ของระบบเดมิ ที่มีอย่ดู ังนนั้ จะเหน็ ว่าในปัจจุบนั จะมรี ะบบเศรษฐกจิ อยู่ 3 แบบคือระบบเศรษฐกจิ แบบเสรี นิยมระบบเศรษฐกจิ แบบสังคมนยิ มและระบบเศรษฐกิจแบบผสม ระบบเศรษฐกจิ แบบเสรีนยิ มหมายถึงระบบเศรษฐกจิ ท่ีเอกชนหรอื ประชาชนท่ัวไปมีเสรีภาพใน การตดั สนิ ใจทำกจิ กรรมตา่ งๆทางเศรษฐกจิ มที ้งั การผลิตการบรโิ ภคการซอื้ ขายแลกเปลี่ยนการประกอบ อาชีพการจดั ต้ังองค์การทางเศรษฐกิจรวมท้งั การเป็นเจา้ ของทรัพย์สินโดยรฐั บาลจะไม่เขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง ระบบเศรษฐกจิ แบบสังคมนยิ มหมายถงึ ระบบเศรษฐกจิ ที่รฐั บาลจะเปน็ ผู้กำหนดและวางแผนใน การทำกจิ กรรมทางเศรษฐกิจโดยรฐั บาลเปน็ ผูต้ ดั สินใจในการดำเนนิ เศรษฐกจิ ท้งั หมดเอกชนไมม่ เี สรภี าพใน การตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกจิ แบบผสมหมายถงึ ระบบเศรษฐกจิ แบบผสมน้ีเกิดข้นึ เน่ืองจากปัญหาและ ขอ้ บกพร่องของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและแบบสงั คมนิยมโดยจะมีทั้งการใช้กลไกราคาเปน็ การ กำหนดและการวางแผนมาจากรฐั บาลสว่ นกลางกลา่ วคอื มีท้งั สว่ นทป่ี ล่อยให้ประชาชนตดั สินใจดำเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจเองและสว่ นทีร่ ัฐบาลพรอ้ มท้ังเจ้าหน้าทเ่ี ข้าไปควบคุมและวางแผนการทำกิจกรรม ต่างๆทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในยุคปจั จุบันมีแนวโน้มจะเข้าสูร่ ะบบเศรษฐกจิ แบบผสมมากข้ึนจะ เห็นได้จากการท่ีรัฐบาลได้ให้โอกาสประชาชนมีเสรีภาพทำกจิ กรรมทางธุรกิจได้มากขึน้ โดยอาศยั กลไกราคา

เป็นเครือ่ งมือในการตัดสินใจแตก่ จิ กรรมทางธรุ กจิ ในบางลักษณะก็ยังมีความจำเปน็ ตอ้ งใช้วธิ ีการควบคมุ หรือดำเนนิ การโดยรฐั เชน่ กิจการไฟฟ้าประปาโทรศพั ท์ถนนเป็นตน้ อย่างไรกต็ ามระบบเศรษฐกจิ ของประเทศไทยนับตัง้ แตส่ มัยกรุงสุโขทยั (พ.ศ. 1800 - 1892) ซง่ึ เปน็ ระบบเศรษฐกจิ แบบเสรีนิยมมกี ารส่งเสรมิ ให้มกี ารคา้ โดยเสรแี ละกวา้ งขวางพอมาถึงสมยั กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310) จะเป็นระบบเศรษฐกจิ แบบศักดินาทำการเกษตรเป็นพื้นฐานประชาชนทำการผลิต แบบพอยงั ชีพรายไดห้ ลักของรฐั บาลมาจากสว่ ยและภาษีอากรและเร่ิมเปล่ียนแปลงเปน็ ระบบเศรษฐกิจแบบ ผสมในสมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2325 - 2398) โดยลกั ษณะระบบเศรษฐกจิ จะเป็นแบบก้ำกึ่งกัน ระหวา่ งเศรษฐกจิ แบบพอยังชีพและเศรษฐกจิ แบบตลาดกล่าวคอื มีการทำการเกษตรเพ่ือบริโภคเองและทำ เกษตรเพ่ือการคา้ แต่การทำเพ่ือการค้าจะเป็นลำดับรองนอกจากการทำการเกษตรแลว้ ในสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ นี้ยังได้เริ่มมกี ารอุตสาหกรรมขน้ั ตน้ เกิดข้นึ ด้วยเช่นอตุ สาหกรรมเหมืองแรแ่ ละนำ้ ตาล ทรายเปน็ ต้น ตอ่ จากน้ันหลงั ชว่ งการเปลีย่ นแปลงการปกครองระหว่างพ.ศ. 2475 - 2504 ระบบเศรษฐกิจไทย เปล่ียนแปลงไปมากเนื่องจากประเทศไทยไดเ้ ปดิ การค้าเสรีกันประเทศตะวันตกตามข้อตกลงใน “สนธสิ ญั ญา เบาว์ร่งิ ” เปน็ ผลใหพ้ ลงั การผลิตไม่พฒั นาและไมส่ ามารถจะแขง่ ขันกบั คู่แข่งทางการคา้ ท้งั หลายไดผ้ ลผลิตท่ี พอจะกา้ วหน้าและมีคุณภาพสูงกถ็ กู จำกัดด้วยนายทนุ ต่างชาตแิ ละนายทนุ เหลา่ นั้นสามารถควบคุม เศรษฐกิจไทยไดน้ อกจากน้ีภายหลงั จากสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 (พ.ศ. 2488) สิ้นสุดลงประเทศไทยตอ้ งประสบ กับปญั หาทางเศรษฐกจิ หลายประการเช่นปญั หาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคปญั หาเงนิ เฟ้อปัญหาการ ขาดแคลนเงินตราต่างประเทศและปัญหาจากการทต่ี ้องปฏิบตั ติ ามข้อตกลงตามสญั ญาสมบรู ณแ์ บบกับ ประเทศอังกฤษดังนน้ั ในชว่ งน้ีประเทศไทยได้มีการแก้ปัญหาโดยได้มีการออกกฎหมายควบคมุ ราคาสนิ คา้ หา้ มกักตุนสนิ ค้าให้ใช้ของทีผ่ ลิตข้นึ ในประเทศมีการเปดิ ธนาคารของคนไทยเพ่มิ มากขนึ้ และให้ธนาคารเป็น แหลง่ เงนิ ทุนไปทำธุรกจิ รัฐบาลจอมพลป. พบิ ูลสงครามไดใ้ ชน้ โยบายเศรษฐกิจชาตินิยมและการขยายตัวของ

ทนุ นยิ มโดยรฐั เชน่ รฐั เขา้ มาส่งเสริมใหม้ ีการประกอบการอุตสาหกรรมพาณิชยกรรมสาธารณูปโภคฯลฯ ส่งเสริมให้คนไทยมีบทบาททางเศรษฐกจิ มากข้ึนเช่นมกี ารสงวนอาชีพบางประเภทให้คนไทยสว่ นด้าน อตุ สาหกรรมรฐั บาลก็จะเข้าไปดำเนนิ การเอง นบั ตง้ั แตพ่ .ศ. 2504 เปน็ ต้นมาระบบเศรษฐกจิ ของไทยเปล่ียนแปลงมากอันเนื่องมาจากการ เจริญเติบโตทางด้านประชากรและปัญหาด้านทรพั ยากรซง่ึ มีจำกดั โดยรัฐบาลซ่งึ เป็นตัวแทนของสงั คมต้อง เข้ามาทำหน้าท่เี ปน็ ผจู้ ัดทำเพื่อแก้ไขปัญหาตา่ งๆในชว่ งนเี้ องจึงทำใหป้ ระเทศไทยให้ความสำคัญในการวาง แผนการพฒั นาเศรษฐกจิ โดยรฐั บาลและประชาชนรว่ มกนั ดำเนนิ การซึง่ อาจกล่าวได้ว่าระบบเศรษฐกิจไทย ได้เขา้ สู่ระบบเศรษฐกจิ แบบผสมโดยมกี ารวางแผนการพฒั นาเศรษฐกิจและได้เริม่ จัดทำเป็นแผนพฒั นา เศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติขึ้นโดยเรมิ่ ต้งั แต่ฉบับที่ 1 เมือ่ พ.ศ. 2504 มาจนถึงปัจจุบนั คือฉบบั ที่ 10 ซ่ึงมี กำหนดวาระของแผนดงั น้ี (1) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติฉบับท่ี 1 พ.ศ. 2504 - 2509 (2) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2510 - 2514 (3) แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตฉิ บับที่ 3 พ.ศ. 2515 – 2519 (4) แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติฉบับที่ 4 พ.ศ. 2520 - 2524 (5) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตฉิ บับท่ี 5 พ.ศ. 2525 – 2529 (6) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 6 พ.ศ. 2530 - 2534 (7) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาตฉบับท่ี 7 พ.ศ. 2535- 2539 (8) แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาตฉิ บับที่ 8 พ.ศ. 2540 – 2544 (9) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาตฉิ บับที่ 9 พ.ศ. 2545 - 2549 (10) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตฉิ บับที่ 10 พ.ศ. 2550 - 2554 ปญั หาเศรษฐกิจของไทย ประเทศไทยไดช้ อื่ วา่ เปน็ ประเทศที่กำลงั พฒั นา (Developing country) เหมือนกับประเทศตา่ งๆ ในแถบเอเชยี อีกหลายประเทศท้งั นีเ้ นื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกจิ หลายประการท่ีสำคัญ 1.ความแตกต่างของรายได้ผลจากการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศในอดีตที่ผา่ นมามกี ารขยายตวั ทางเศรษฐกจิ เปน็ ไปในลกั ษณะท่ขี าดความสมดลุ ระหวา่ งประชาชนในเมอื งกับ ชนบทยงั ผลให้เกดิ ปัญหาความแตกต่างทางรายได้อย่างเหน็ ได้ชัดประชาชนในชนบทยงั ยากจนมากกวา่ 10 ลา้ นคนหรอื ประมาณร้อยละ 90 ของประชาชนในชนบทจากการสำรวจพบว่าผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมี รายได้ต่ำกวา่ ผู้ที่ประกอบอาชีพอตุ สาหกรรม 6 เทา่ ตวั พาณิชยกรรมเกือบ 10 เทา่ ตัวและด้านบริการกวา่ 4 เท่าตัวอีกท้งั ยงั ตำ่ กว่ารายได้เฉลี่ยของประชาชนในชาติด้วยความแตกตา่ งของรายไดผ้ ู้ประกอบอาชีพดา้ น ตา่ งๆยงั คงปรากฏอยู่ในปัจจบุ ันประชาชนที่มรี ายได้เฉล่ยี ต่ำสุดของประเทศอยใู่ นภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ

2. สนิ ค้าขั้นปฐมเป็นสนิ ค้าพื้นฐานของคนไทยอันไดแ้ กส่ ินค้าด้านการเกษตรเปน็ สินค้าผลติ ผลจาก การทำนาทำไรท่ ำสวนเลี้ยงสตั ว์และการประมงลักษณะสนิ คา้ เกษตรไทยในปจั จบุ นั ราคาผลผลิตตกต่ำเปน็ สาเหตุใหเ้ กษตรกรมรี ายได้น้อยรายได้ไม่ค่อยจะพอกับรายจา่ ยถา้ เป็นเกษตรกรรายย่อยมักจะประสบปญั หา เกีย่ วกบั ราคาผลผลิตเสมอ อยา่ งไรก็ตามสนิ ค้าผลผลิตขน้ั ปฐมของคนไทยถ้าพจิ ารณาในภาพรวมของประเทศสนิ ค้าประเภทน้ียงั เปน็ สนิ ค้าสง่ ออกทส่ี ำคัญของประเทศและทำรายได้ใหก้ ับประเทศปลี ะมากๆ 3. การตลาดเปน็ กลไกทท่ี ำให้ผ้ซู อื้ และผ้ขู ายมาพบกนั และเกิดมีการแลกเปลย่ี นกันในกระบวนการ แลกเปลี่ยนนัน้ ตลาดต้องทำหน้าที่เก่ียวกบั การจดั ซื้อสินคา้ การเก็บรักษาสนิ ค้าการขายสินค้าและบริการการ จำหน่ายมาตรฐานสนิ ค้าการขนส่งการยอมรับความเส่ียงภัยและการเงนิ ลกั ษณะทางการตลาดของไทยมที ั้งเปน็ ตลาดแบบผูกขาดและตลาดแบบก่ึงแข่งขันก่ึงผูกขาดท่ีว่าลักษณะ ทางการตลาดของไทยมที งั้ เป็นตลาดแบบผูกขาดและตลาดแบบกึ่งแขง่ ขนั กง่ึ ผูกขาดทีว่ า่ เป็นตลาดแบบ ผกู ขาดน้นั เปน็ ตลาดทม่ี ีผซู้ ้ือและผู้ขายเพียงรายเดยี วเชน่ การผลติ บหุ รีข่ องโรงงานยาสบู ลักษณะของตลาด แบบน้ีผขู้ ายเป็นผ้กู ำหนดราคาสนิ คา้ แต่เพยี งผูเ้ ดียวโดยไม่ต้องระมดั ระวงั วา่ จะมีผแู้ ข่งขันสำหรับลกั ษณะ ของตลาดอีกแบบหน่งึ ทเ่ี ปน็ กึ่งแข่งขนั กึ่งผูกขาดนนั้ เป็นลักษณะของผลผลิตทีม่ าจากผผู้ ลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่ รายเชน่ บรษิ ัทผผู้ ลติ เคร่ืองดื่มบริษทั ผผู้ ลิตสุราบริษัทผู้ผลติ เหล่านจี้ ะมผี ้ผู ลิตน้อยรายและมีการแข่งขันกนั ใน การทจ่ี ะขายสินค้าของตนแต่จะรวมตัวกันเพ่ือข้นึ ราคาสินคา้ หรอื กำหนดราคาสินค้าได้ง่าย ตลาดสินค้าไทยอีกอย่างหนึ่งเปน็ ตลาดสนิ ค้าทม่ี ผี ซู้ ื้อและผขู้ ายจำนวนมากซึ่งตลาดเหล่าน้ีมอี ย่ทู ว่ั ไปทุก จังหวดั อำเภอตำบลและหมูบ่ ้านการตลาดของไทยยงั มีปัญหาสนิ ค้าสว่ นใหญ่ตกอยใู่ นกลุ่มบุคคลเพยี งไมก่ ่ี กลุ่มการท่ีมีกลุ่มผลประโยชนเ์ หลา่ น้ีขึ้นถา้ เปน็ กลุ่มท่ีมีคุณธรรมก็จะกระจายรายได้โดยกำหนดราคาท่ี เหมาะสมไมค่ ิดกำไรมากแต่ถ้ากลุ่มบุคคลเหล่านีเ้ ปน็ บคุ คลทเี่ หน็ แก่ได้กลุ่มเหลา่ น้ีก็จะรวมกันบีบผผู้ ลิตให้ ขายผลผลติ ในราคาต่ำซง่ึ สร้างความเดือดรอ้ นให้แกป่ ระชาชนนอกจากนน้ั การกำหนดราคาสนิ ค้าของ เมืองไทยเรายังไม่มีมาตรฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งสนิ ค้าด้านการเกษตร 4. การขาดดุลการค้าและดลุ การชำระเงนิ คำว่าดุลการคา้ หมายถึงรายรับรายจ่ายจากการค้า ระหวา่ งประเทศดุลการคา้ เป็นเพยี งส่วนหนึง่ ของดลุ การชำระเงินเท่าน้ันเพราะดลุ การชำระเงินหมายถงึ รายงานท่ีแสดงถงึ ยอดรายได้ - รายจ่ายท่ปี ระเทศไดร้ ับหรือรายจา่ ยให้แก่ต่างประเทศในระยะเวลา 1 ปี ฉะนัน้ ประเทศอาจมีดลุ การค้าขาดดลุ แต่มีดลุ การชำระเงนิ เกนิ ดลุ ก็ไดส้ ำหรบั ดุลการคา้ ของประเทศไทย ในชว่ งทม่ี ีการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ีจะขาดดุลการคา้ กับบางประเทศเพราะจะต้องเสยี ค่าใช้จ่ายในการสงั่ ซือ้ เคร่อื งจักร 5. การวา่ งงานการวา่ งงานย่อมมผี ลกระทบต่อเศรษฐกจิ สังคมและรวมถึงการเมืองดว้ ยผลกระทบ ทางเศรษฐกิจเช่นกอ่ ให้เกดิ ความยากจนเป็นผลกระทบถึงปัญหาครอบครัวปญั หาอาชญากรรมฯลฯและมผี ล

ถึงการฝักใฝ่ในลทั ธิเศรษฐกจิ และลทั ธกิ ารเมืองทำใหเ้ กิดปัญหาผ้กู ่อการร้ายได้ในทางเศรษฐศาสตร์มี การศกึ ษาและกำหนดไวว้ า่ ถ้าประเทศใดมีอัตราการว่างงานเกิน 4% ของจำนวนแรงงานทง้ั หมดแล้วจะมี ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศน้นั อย่างรุนแรงอย่างไรก็ตามถึงแม้อัตราการวา่ งงานจะไม่ถึง 4% ดังกลา่ วกส็ ามารถทำใหเ้ กดิ ปัญหาสังคมขน้ึ ได้ 6. การเงนิ และการชำระหน้ีการกำหนดและควบคมุ ปริมาณเงนิ ใหพ้ อดกี ับความต้องการและความ จำเป็นในการหมนุ เวียนของระบบเศรษฐกิจเป็นส่งิ จำเปน็ ที่รฐั บาลจะต้องกำหนดเป็นนโยบายไวเ้ พราะถ้า ปริมาณเงินท่ีใชห้ มนุ เวยี นในระบบเศรษฐกจิ มีมากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไปเมื่อเปรียบเทยี บกับปริมาณสนิ ค้า หรือบรกิ ารรฐั บาลจะต้องเขา้ ไปแกไ้ ขโดยมอบหมายใหธ้ นาคารแหง่ ประเทศไทยเปน็ ผู้ควบคุมปริมาณเงินทำ ได้ 3 ทางคอื 1. การนำหลักทรพั ย์ออกขายสู่ตลาดถ้ารัฐบาลตอ้ งการเก็บเงินกข็ ายหลักทรพั ย์รัฐบาลถ้าเงินในมือ ฝืดลงรัฐบาลกร็ ีบซือ้ หลักทรัพยก์ ลบั มาอีกซึ่งจะเปน็ การปลอ่ ยเงนิ ไปส่ปู ระชาชนเพื่อใหเ้ กิดเงนิ หมนุ เวยี น 2. การเพม่ิ หรือลดอตั รารับชว่ งซ้อื ลดต๋วั เงินทำให้ธนาคารพาณิชยก์ ยู้ ืมเงนิ จากธนาคารแห่งประเทศ ไทยเพม่ิ ขนึ้ หรือลดลงด้วยวธิ ใี ห้เงนิ สดในท้องตลาดลดลงหรือถา้ ใหเ้ งินสดในท้องตลาดมหี มุนเวยี นคล่องตัวก็ ตอ้ งกู้เงินจากธนาคารกลางเพ่ิมข้นึ เงินสดในมอื ประชาชนจะมีมากขน้ึ 3. การเพิ่มหรือลดอัตราเงนิ สดสำรองตามกฎหมายเมื่อพิจารณาฐานะการคลงั ของรัฐบาล ปงี บประมาณ 2540 - 2541 เป็นชว่ งทเี่ ศรษฐกิจของประเทศตกต่ำมากจะพบว่าสถานภาพเงนิ คงคลงั ยงั ไมม่ ี ความม่ันคงรฐั บาลต้องประหยดั และจะต้องก้เู งนิ จากต่างประเทศมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณซึง่ ปจั จบุ ันประเทศไทยเป็นหน้ีต่างประเทศจำนวนมากรฐั บาลต้องตั้งงบประมาณชดใชห้ นีส้ ินปลี ะนบั เป็นหม่ืน ลา้ นบาทซึ่งยงั ผลให้งบประมาณท่ีจะนำมาใชใ้ นงานพฒั นามีน้อยมาก 7. เงนิ เฟอ้ (Inflation) เงินเฟ้อหมายถึงภาวะทีร่ าคาของสินคา้ สูงขน้ึ หรอื หมายถงึ ภาวะที่คา่ ของเงนิ ลดลงสงิ่ ท่ีจะทำให้เหน็ ชดั ถงึ ภาวะเงนิ เฟ้อคือดัชนผี ู้บริโภคเงินเฟ้อมี 2 ประเภทคอื 1. เงนิ เฟ้ออยา่ งออ่ นคือภาวะท่ีราคาของสนิ ค้าและบริการสูงขน้ึ เรือ่ ยๆในอัตราเลก็ นอ้ ยราวปีละ 2.3 % และไม่เกิน 5 % 2. เงนิ เฟ้ออยา่ งรุนแรงคือภาวะท่รี าคาสินค้าเพมิ่ ข้นึ อยา่ งรวดเรว็ ดชั นรี าคาจะสูงข้นึ กวา่ รอ้ ยละ 10 ตอ่ ปี การที่เกดิ ภาวะเงนิ เฟอ้ นั้นย่อมจะทำให้เกิดผลกระทบกระเทือนดังนค้ี ือ 1. ทำให้เกิดผลเสียหายแก่การพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมของชาติ 2. ทำใหเ้ กิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกจิ เพราะคา่ ของเงินลดลง 3. เจา้ หน้ที ั่วไปจะเสยี ประโยชนจ์ ากมูลคา่ หน้ที ่เี ปล่ียนแปลงคือ

4. ผู้มรี ายไดจ้ ากค่าจ้างเงินเดือนและผู้มีรายได้คงท่ีอน่ื ๆจะเดอื ดรอ้ นจากการครองชพี เพราะรายได้ ไมท่ นั กบั รายจา่ ย 5. รฐั บาลประสบปัญหามากขึ้นในการบรหิ ารประเทศเพราะรฐั บาลต้องกู้เงินมากข้นึ รฐั บาลตอ้ งหา เงินมาใชใ้ หพ้ อกับอตั ราการเฟ้อของเงินทำให้เงนิ ทุนสำรองท่ีเป็นเงนิ ตราต่างประเทศลดลง ผลจากการทร่ี ัฐบาลกำหนดให้คา่ เงนิ บาทลอยตวั เมื่อเดอื นกรกฎาคม 2540 ทำให้สินค้ามรี าคาสงู ข้ึนค่าของ เงินบาทลดลงทำให้เกิดเงินเฟ้อปจั จบุ ันเงนิ เฟอ้ เริ่มลดลง การเกดิ เงินเฟ้อมิไดม้ แี ต่ผลเสียอยา่ งเดยี วยังมีประโยชน์อยู่บ้างกลา่ วคือ 1. เปน็ ผลดแี กล่ ูกหน้ีลกู หนจี้ ะใช้เงินลดลงเม่ือเปรยี บเทยี บกับภาวะเงินปจั จบุ ัน 2. เกษตรกรมีรายไดเ้ พ่ิมขนึ้ เพราะเมือ่ เกิดเงินเฟ้อราคาผลผลิตทางการเกษตรจะมรี าคาสงู ขึ้น 3. ผปู้ ระกอบธรุ กจิ การคา้ จะไดร้ บั ผลประโยชนเ์ นือ่ งจากเงินเฟ้อจะชว่ ยสง่ เสรมิ การลงทุนการค้า ทั่วๆไปให้ขยายตัวมากข้นึ

ใบงานที่ 7 เร่อื งเศรษฐศาสตร์ จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1.เศรษฐศาสตร์หมายถงึ ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ................................................................................................................. ......................................................... ............................................................................................................................. ............................................. 2.เศรษฐศาสตรม์ หภาคหมายถงึ ...................................................................................................................................... .................................... ...................................................................................... .................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ........................................................................................................................................ .................................. 3.เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค(Micro Economics) หมายถึง .......................................................................................................... ................................................................ ................................................................................................. ......................................................................... ................................................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................ .............................................................. 4.เงนิ เฟอ้ (Inflation) เงินเฟ้อหมายถงึ ................................................................................................................................................. ......................... .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ................................................................................................................................................... .......................

ใบความรู้ที่ 8 เรอื่ งการเมอื งการปกครองท่ีใช้ อยู่ในปจั จุบนั ของประเทศไทย เรือ่ งการเมอื งการปกครองที่ใชอ้ ยใู่ นปัจจุบันของประเทศไทย ประเทศไทยได้ยึดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมี รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินมาตั้งแต่พุทธศักราช 2475 จนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2550 เป็นแนวทางสำคญั ตลอดมา 1.การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การปกครองในระบอบประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุดหรือแบ่งการปกครอง ของประชาชนโดยประชาชนและเพือ่ ประชาชนอันมีพระมหากษัตรยิ ์เปน็ ประมุขและทรงอยใู่ ตร้ ัฐธรรมนญู หลกั การสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป้าหมายของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเพื่อจัด ระเบียบการอยู่ร่วมกันของผู้คนในลักษณะท่ี เออ้ื อำนวยประโยชนต์ อ่ ประชาชนทุกคนในรัฐให้ความคุม้ ครองสิทธิและเสรีภาพอย่างเสมอภาคและยุติธรรม มีหลกั การสำคญั ดังน้ี 1. มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศซึ่งได้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง สถาบนั การเมอื งการปกครองและประชาชนรวมถงึ สทิ ธเิ สรภี าพและหนา้ ทีข่ องประชาชนทุกคน 2. มีอำนาจสูงสุดในการปกครองคืออำนาจอธิปไตยประกอบด้วยอำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการในระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศและการใช้ อำนาจต้องเปน็ ไปตามรัฐธรรมนูญทีก่ ำหนด 3. การปกครองระบอบประชาธิปไตยให้ถือว่าเสียงข้างมากหรือเหตุผลของคนส่วนใหญ่เป็นมติท่ี ต้องยอมรับ 4. มีความเสมอภาคโดยประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในทุกๆด้านเพราะทุกคนอยู่ภายใต้การ ปกครองของรฐั ธรรมนญู ฉบับเดยี วกนั รูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบ่งอำนาจในการบริหารประเทศออกเป็น 3 ส่วนรวม เรียกวา่ “อำนาจอธปิ ไตย” ประกอบด้วย 1. อำนาจนิตบิ ัญญัติพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้พระราชอำนาจนิตบิ ัญญัติผ่านทางรัฐสภาซ่ึงเป็น อำนาจที่ใชใ้ นการตรากฎหมายควบคมุ การบริหาราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหารและกำหนดนโยบายให้ฝ่าย บริหารปฏิบัติสถาบันทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับอำนาจนิติบัญญัติได้แก่รัฐสภาประกอบด้วยสภา

ผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาและให้ถือว่ารัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศและเป็นผู้รักษา ผลประโยชนข์ องประชาชน 2. อำนาจบริหารพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้พระราชอำนาจบริหารผ่านทางรัฐบาลหรือ คณะรฐั มนตรมี ีหน้าท่ีในการวางนโยบายกำหนดเป้าหมายดำเนนิ กจิ การต่างๆของรัฐเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของประชาชนดว้ ยเหตนุ อี้ ำนาจบรหิ ารจงึ มีความสำคญั ต่อระบบการปกครองของรฐั 3. อำนาจตุลาการพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นผู้ใช้พระราชอำนาจตลุ าการฝ่ายทางศาลมอี ำนาจหน้าที่ รักษาความยุติธรรมตามที่กฎหมายกำหนดรักษาเสรีภาพของบุคคลป้องกันและแก้ไขมิให้บุคคลล่วงล้ำ เสรีภาพต่อกันตลอดจนคอยควบคมุ มิให้เจ้าหนา้ ที่ของรฐั ใชอ้ ำนาจเกนิ ขอบเขต การกำหนดใหม้ กี ารแยกใช้อำนาจอธปิ ไตย 3 ส่วนและมีสถาบนั รัฐสภารฐั บาลและศาลคอยรับผิดชอบเฉพาะ ส่วนทง้ั น้เี ปน็ ไปตามหลักการประชาธิปไตยที่ไมต่ ้องการให้มีการรวบอำนาจแต่ต้องให้มีการถ่วงดุลอำนาจซึ่ง กันและกันเป็นการป้องกันมิให้เกิดการใช้อำนาจแบบเผด็จการยกตัวอย่างเช่นถ้าให้คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจ นิติบัญญัติและอำนาจบริหารคณะรัฐมนตรีก็อาจจะออกกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของ ประชาชนและเพอ่ื นำกฎหมายนนั้ มาบังคับใช้ก็จะไมเ่ กิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายโดยเฉพาะประชาชนดังน้ันการ บรหิ ารประเทศไทยท้งั 3 สถาบันจึงเปน็ หลกั ประกันการคานอำนาจซ่ึงกนั และกันและประการสำคญั เป็นการ ป้องกันการใช้อำนาจเผดจ็ การ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งรฐั บาลกบั ประชาชนในระบอบประชาธปิ ไตย ดังได้กล่าวแล้วว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดมีสิทธิเสรีภาพและหน้าท่ี ตามกฎหมายกำหนดที่สำคัญคือประชาชนเลือผู้แทนราษฎรซึ่งสังกัดพรรคการเมืองและรัฐบาลมาจาก ผู้แทนราษฎรตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญดังนั้นรัฐบาลกับประชาชนจึงมีความเกี่ยวพันกัน ตลอดเวลากล่าวคือรฐั บาลกม็ ีหนา้ ทอ่ี อกกฎหมายบริหารประเทศตามเจตนารมณ์ของประชาชนจึงต้องอาศัย ความสัมพนั ธ์กับประชาชนอย่างใกลช้ ดิ เช่นคอยสำรวจตรวจสอบปัญหาและความต้องการของประชาชนอยู่ เสมอและต้องปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเสมอภาคกันทุกคนขณะเดียวกันประชาชนกต็ ้องประพฤตปิ ฏิบัตติ น ต่อบ้านเมืองตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญเหมือนกันจึงอาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐบาลกับประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นไปในลักษณะการปกครองที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกั นและ กนั การใชอ้ ำนาจอธิปไตยของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนสามารถใช้ อำนาจอธปิ ไตยของตนได้ 2 วธิ ีคอื 1. โดยทางตรงหมายถึงการใช้อำนาจอธปิ ไตยด้วยตนเองโดยตรงจะใช้ไดก้ ับรัฐเลก็ ๆท่มี ีประชากรไม่ มาก

2. โดยทางอ้อมหมายถึงการใช้อำนาจอธิปไตยโดยผ่านผู้แทนของประชาชนเนื่องจากจำนวนของ ประชากรในประเทศมีมากไม่สามารถให้ทุกคนใช้อำนาจอธิปไตยได้ด้วยตนเองจึงต้องมีการเลือกผู้แทนของ ประชาชนไปใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประชาชนปัจจุบันมีหลายประเทศทั่วโลกที่ใช้วิธีนี้รวม ท้ัง ประเทศไทยด้วย ข้อดขี องการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 1. ประชาชนมสี ิทธเิ สรีภาพในการดำรงชวี ิตในทุกๆดา้ นทั้งการเมอื งการปกครองการประกอบอาชีพ สิทธใิ นท่ดี ินครอบครองทรัพยส์ นิ การนบั ถอื ศาสนาและอน่ื ๆโดยไม่ละเมดิ กฎหมาย 2. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะร่ำรวยยากจนร่างกาย สมบูรณ์หรือพกิ ารเพราะทกุ คนต้องปฏบิ ตั ิตามกฎหมายเชน่ เดียวกัน 3. ประชาชนมีความกระตือรือร้นในการประกอบอาชีพเพราะสามารถประกอบอาชีพตามความ ตอ้ งการของตนทำให้เศรษฐกจิ ของประเทศสามารถพฒั นาไปสคู่ วามเจริญได้ 4. รัฐบาลไม่สามารถผูกขาดอำนาจได้เน่ืองจากประชาชนเป็นผู้คัดเลอื กรัฐบาลและหากไม่พอใจยงั สามารถถอดถอนรฐั บาลได้ดงั นัน้ รฐั บาลจึงต้องมีความสามารถในการบรหิ ารราชการแผน่ ดินและมีจริยธรรม ในการทำงาน 5. มีความรุนแรงระหว่างประชาชนและรฐั บาลในระดบั น้อยเนื่องจากกฎหมายใหอ้ ำนาจประชาชน ในการคัดเลือกรัฐบาลและการชุมนุมเรียกร้องโดยสันติวิธีมีการเจรจาอย่างมีเหตุผลอีกทั้งมีหน่วยงานท่ี รองรับกรณีพิพาทระหว่างรัฐและเอกชนเชน่ ศาลปกครองเป็นตน้ 6. ในกรณที มี่ ปี ัญหาต้องแก้ไขจะต้องให้ความสำคญั กับเสียงส่วนใหญ่และเคารพเสียงส่วนน้อย

2. รฐั ธรรมนูญของไทย รัฐธรรมนูญหมายถึงกฎหมายสูงสดุ ในการปกครองประเทศที่ออกโดยฝ่ายนิตบิ ัญญัตคิ ือรัฐสภาซ่ึงมี บทบัญญัติกำหนดหลักการสำคญั ต่างๆเช่นรูปแบบการปกครองการใช้อำนาจอธิปไตยความสมั พันธ์ระหว่าง สถาบนั การปกครองตลอดจนสิทธเิ สรภี าพและหน้าทข่ี องประชาชน ความสำคัญของรัฐธรรมนญู รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักท่ีสำคัญที่สุดมีรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่เรียกว่าอำนาจ อธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์เป็นประมุขปกครองในระบบรัฐสภาการบริหารประเทศหรือการออกกฎหมาย ย่อมต้องดำเนินการภายในกรอบของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดถ้าขัดแย้งกับ รฐั ธรรมนูญยอ่ มไมม่ ีผลบงั คบั ใช้ ประเภทของรัฐธรรมนญู 1. รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนดังเช่น รฐั ธรรมนญู ของประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา 2. รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ครบถ้วนในเอกสารฉบับเดียวและไม่ได้บัญญัติไว้ในรูปของกฎหมายเช่นขนบธรรมเนียมประเพณีในการ ปกครองตา่ งๆประเทศอังกฤษเป็นประเทศหนง่ึ ทมี่ รี ัฐธรรมนญู ประเภทนี้ วิวัฒนาการรฐั ธรรมนญู ของประเทศไทย นับตั้งแต่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้ งแต่ พุทธศักราช 2475 มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจนถงึ ปัจจบุ นั มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขและประเทศใช้รัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญการปกครองแล้วรวม 18 ฉบับทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในประเทศในแต่ละยุคสมัยอย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญที่มีม าทุก

ฉบบั มหี ลกั การสำคัญเหมือนกันคอื ยึดม่ันการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริยเ์ ป็นประมุข และแต่ละฉบับจะสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบและวิธีการของการปกครองของประเทศเป็นอย่างดีสำหรับ รัฐธรรมนูญของไทยที่ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ฉบับท่ี 18 โดยรัฐธรรมนญู ฉบับนไี้ ด้ยึดตามแนวทางและแกไ้ ขจุดอ่อนของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพอ่ื ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญนี้รวม 4 ประการคือ 1. คมุ้ ครองสง่ เสรมิ ขยายสิทธิและเสรภี าพของประชาชนอย่างเต็มที่ 2. ลดการผูกขาดอำนาจรัฐและเพ่ิมอำนาจประชาชน 3. การเมืองมคี วามโปร่งใสมีคณุ ธรรมและจริยธรรม 4. องค์กรตรวจสอบมคี วามอสิ ระเขม้ แข็งและทำงานอย่างมปี ระสิทธภิ าพ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ประกาศใชเ้ ม่ือวันท่ี 24 สงิ หาคม 2550 ประกอบด้วย หมวดตา่ งๆดังน้ี หมวดท่ี 1 บททัว่ ไปมาตรา 1 - 7 หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์มาตรา 8 - 25 หมวดท่ี 3 สทิ ธแิ ละเสรภี าพของชนชาวไทยมาตรา 26 - 69 หมวดท่ี 4 หน้าทีข่ องชนชาวไทยมาตรา 70 - 74 หมวดที่ 5 แนวนโยบายพืน้ ฐานแหง่ รัฐมาตรา 75 - 87 หมวดที่ 6 รัฐสภามาตรา 87 - 162 หมวดท่ี 7 การมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งโดยตรงของประชาชนมาตรา 163 - 165 หมวดท่ี 8 การเงินการคลงั และงบประมาณมาตรา 166 - 170 หมวดท่ี 9 คณะรัฐมนตรีมาตรา 171 - 196 หมวดที่ 10 ศาลมาตรา 197 - 228 หมวดที่ 11 องคก์ รตามรัฐธรรมนูญมาตรา 229 - 258 หมวดที่ 12 การตรวจสอบการใชอ้ ำนาจรัฐมาตรา 259 - 278 หมวดท่ี 13 จรยิ ธรรมของผดู้ ำรงตำแหนง่ ทางการเมอื งและเจา้ หนา้ ที่ของรัฐมาตรา 279 - 280 หมวดที่ 14 การปกครองส่วนท้องถนิ่ มาตรา 281 - 290 หมวดท่ี 15 การแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ รัฐธรรมนูญมาตรา 291 บทเฉพาะกาลมาตรา 292 – 309 3.กฎหมายและหนา้ ท่ขี องพลเมอื ง

กฎหมายคือข้อบังคับทั้งหลายของรัฐหรอื ประเทศที่ใชบ้ ังคับความประพฤติของบุคคลซึง่ ผู้ใดจะฝ่า ฝืนไม่ปฏิบัติตามจะต้องมีความผิดและต้องถูกลงโทษกฎหมายจึงมีความสำคัญตอ่ บทบาทของทุกๆสังคมทัง้ ในดา้ นใหค้ วามคุ้มครองและถูกลงโทษตามเหตุการณ์ ความสำคญั ของกฎหมายแยกได้เป็น 2 ประการหลักคือ 1. กฎหมายเปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือบริหารประเทศโดยตรงเช่นกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็น หลกั เกณฑส์ ำคัญในการวางรูปแบบโครงสร้างและกลไกการบรหิ ารงานและกฎหมายปกครองเปน็ กฎหมายท่ี จัดระเบียบการปกครองประเทศหรือการบรหิ ารรัฐเปน็ ตน้ 2. กฎหมายเป็นเครื่องมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมให้สมาชิกในสังคมสามารถอยู่ ร่วมกันได้ด้วยความสงบสุขเช่นกฎหมายอาญากฎหมายแรงงานกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเป็นต้นซ่ึง กฎหมายเหลา่ นีน้ อกจากจะมุ่งเนน้ ให้ประโยชน์สุขแก่ประชาชนแล้วยังป้องกันการกระทำท่ีเป็นผลร้ายมิให้มี การรังแกเอาเปรียบซึ่งกันและกันผู้ที่ก่อให้เกิดผลภยั กระทำการไม่ดีถอื ว่ากระทำตนไม่ถูกตอ้ งตามกฎหมาย ต้องถกู ลงโทษเพ่อื มิใหผ้ อู้ ืน่ เอาเยี่ยงอยา่ งและเพ่อื ความสงบสุขของคนส่วนใหญใ่ นสังคม กฎหมายเป็นข้อบังคับที่ประชาชนต้องปฏิบัติตามผู้ใดจะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามไม่ได้กฎหมายจึงมี ความ เกี่ยวข้องกับการดำเนินชวี ิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตายดังนั้นประชาชนจงึ มีความจำเป็นต้องรู้และเข้าใจถงึ ประโยชนข์ องกฎหมายดังน้ี 1. ได้รจู้ กั ระวังตนไมพ่ ลาดพลง้ั กระทำความผิดอันเน่อื งมาจากไม่รู้กฎหมาย 2. ร้จู ักการปอ้ งกนั ไมใ่ หผ้ ู้อืน่ เอาเปรียบและถูกโกงโดยไม่รู้กฎหมาย 3. เห็นประโยชน์ในการประกอบอาชีพเพราะหากมีความรู้ในหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ ประกอบอาชีพของตนย่อมจะป้องกนั ความผดิ พลาดอนั เนอื่ งมาจากความไมร่ กู้ ฎหมายได้ 4. เป็นประโยชน์ในทางการเมืองการปกครองเช่นเมื่อประชาชนรู้ในสิทธิหน้าที่ตลอดจนปฏิบัติตน ตามหน้าทอ่ี ย่างครบถ้วนก็จะทำใหส้ ังคมสงบสุขปราศจากความเดือดร้อนบ้านเมืองกจ็ ะสงบสุขด้วย ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ ประมขุ มีรฐั ธรรมนูญเป็นกฎหมาย สูงสุดของประเทศหน้าทีท่ ี่สำคัญของประชาชนทุกคนคอื ต้องประพฤติปฏิบัตติ นให้ถูกต้องตามข้อบงั คบั ของ กฎหมายและต้องมีความเคารพยำเกรงต่อกฎหมายหลีกเลี่ยงการกระทำที่ละเมิดข้อบังคับของกฎหมาย เพอ่ื ให้สงั คมไทยเป็นสังคมที่ปกครองโดยกฎหมายอย่างแทจ้ ริงดงั นั้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึง มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของประชาชนชาวไทยและตระหนักถึงคุณค่าของประชาธิปไตยซึ่ง กล่าวโดย สรุปได้ดังนี้

ประชาชนชาวไทยทุกคนเป็นสมาชิกในสังคมประชาธปิ ไตยจงึ ต้องมคี ุณลักษณะประจำตัวและพึงปฏบิ ัติในสิ่ง ตอ่ ไปนี้ 1. คิดและปฏิบตั ิดว้ ยความเป็นประชาธิปไตย 2. ตระหนักว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วยการมีส่วนร่วมในกิจการต่างๆและเมื่อมีปัญหาควร ชว่ ยกนั แกไ้ ขด้วยการใชเ้ หตุผลและยอมฟังความคิดเหน็ ของผ้อู ืน่ 3. เป็นผู้นำและผู้ตามทีด่ ีของสงั คมตามบทบาทและหน้าทขี่ องตน 4. ยดึ มัน่ ในวัฒนธรรมจารตี ประเพณแี ละพัฒนาตนเองและสงั คมอยูเ่ สมอ คณุ คา่ ของประชาธปิ ไตย 1. คุณค่าทางการเมืองการปกครองเช่นประชาชนสามารถเลือกบุคคลทีเ่ ป็นตัวแทนปกครองตัวเอง ไดด้ ว้ ยการใชส้ ทิ ธิลงคะแนนเสยี งเลือกผู้แทนราษฎร 2. คุณค่าทางเศรษฐกิจเช่นมีสิทธิเสรีภาพในการซื้อขายจากการผลิตการบริการโดยได้รับการ คุม้ ครองจากรัฐอยา่ งเปน็ ธรรม 3. คุณค่าทางสงั คมเชน่ ไดร้ ับความคุม้ ครองจากรฐั ทง้ั ชวี ิตและทรัพยส์ ินภายใต้กฎหมายเทา่ เทียมกนั การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นลักษณะการปกครองเพื่อความสงบสุขของประชาชนโดยแท้จริงการ ดำเนินชีวิตของบุคคลจะเป็นไปอย่างสงบสุขได้นั้นต้องมีความเข้าใจตระหนักถึงความสำ คัญและเห็นคุณค่า ของประชาธปิ ไตยเป็นแนวทางดำเนินชวี ิตประจำวนั

ใบงานท่ี 8 เรอ่ื งการเมอื งการปกครอง จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. อำนาจอธปิ ไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนสามารถใช้ อำนาจอธปิ ไตยของตนได้ 2 วธิ คี ือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ข้อดขี องการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบความรู้ เรอื่ งที่ 5 การพดู แสดงความคดิ เหน็ และแสดงความต้องการในสถานการณ์ตา่ ง ๆ เรื่องที่ 1. ฉันควรใส่ชุดไหนดีสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับ (Which dress should I wear to the welcome party?) เสอื้ ผ้าเครื่องแตง่ กายเป็นปัจจัยหน่ึงท่จี ำเป็นสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะการแต่งกายไปในงานเลีย้ งต่าง ๆ ให้ เหมาะสมกับโอกาสและสถานทีส่ ำนวนทใ่ี ชส้ อบถามเก่ียวกับความคิดเหน็ ไดแ้ ก่ What do you think about...................? (คณุ คดิ อยา่ งไรเกยี่ วกับ ................... ) Do you have any idea about………………..? (คณุ มคี วามคดิ เห็นเกี่ยวกบั .....................หรอื ไม่) Do you agree that…………………..? (คุณเห็นด้วยกับ........................หรอื ไม)่ สำนวนทใี่ ช้ตอบ ไดแ้ ก่ In my opinion,……………. ในความคิดเห็นของฉนั In my point of view,………. I think so. ฉันเห็นดว้ ย I agree with you. I don't think so. ฉนั ไมเ่ หน็ ด้วย I disagree. I have no idea. ฉนั ไมม่ คี วามเห็น สดุ าไดร้ ับเชญิ ไปงานเลีย้ งตอ้ นรับของบริษัท ในบทสนทนาสดุ าไดป้ รกึ ษากับมาลเี พ่ือนรัก เพอ่ื ขอความเห็นวา่ ควรจะสวมใส่ชุดไหนไปงานดังกลา่ วดี Situation 1 Suda : I have nothing to wear to the welcome party. Malee : Oh Dear, that's not true. You have a lot of dresses. How about your black dress? Suda : That long black dress? It's too elegant. I want to wear something casual. What do you think about the pretty yellow dress? Malee : That's a good idea. It's nice.

Suda : So, you think I should wear the yellow dress? Malee : I think so. You will look very attractive. อีกตัวอย่างหน่งึ คือ สดุ าสนทนากับมาลเี กีย่ วกับการพักอาศัย สุดาสอบถามมาลีวา่ เธอชอบอยู่ใน เมอื งหรืออย่ชู านเมอื ง มาลไี ด้แสดงความคดิ เห็นวา่ เธอชอบอยู่ชานเมอื งมากกว่าอยู่ในเมือง ต่อไปน้ี คือบท สนทนาระหวา่ งสุดาและมาลี Situation 2 Suda : Where do you like to live in the city or in the rural? Malee : In my opinion, I like to live in the rural because there is no traffic jams and the weather is good for our health. Suda : I think so. เร่ืองที่ 2 เดนิ ซ้อื ของ (Shopping) การใช้ชีวิตประจำวันของคนเราต้องเกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอยไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องด่ืม เสือ้ ผ้า และของใช้ ตลอดจนยารักษาโรค สถานทที่ ี่คนนิยมไปจับจ่ายซื้อของ ได้แก่ รา้ นค้าสะดวกซ้ือ (a convenience store) และห้างสรรพสินค้า (a department store) เมื่อมีลูกค้าเข้าไปในร้าน พนักงานจะ สอบถามความต้องการของลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกในการจับจ่ายซ้ือของได้เรว็ ข้นึ

สำนวนทใี่ ช้ถาม เมื่อใหบ้ ริการ เชน่ What can I do for you? ฉนั จะช่วยอะไรคุณไดบ้ า้ ง What are you looking for? คณุ กำลงั มองหาอะไรอยู่ Can I help you? ฉันจะช่วยคุณไดไ้ หม May I help you? Do you need some help? คุณต้องการความช่วยเหลอื รึ เปลา่ If you need anything, please tell me. ถ้าตอ้ งการอะไรโปรดบอก If you need anything, please let me know. นะครบั /ค่ะ ในกรณที ีพ่ ดู ใหส้ ุภาพจะใช้กริยารปู would หรือ could สำนวนท่ีใช้ตอบ เช่น I'm looking for ..................... ฉันกำลังหา............................อยู่ I want.................. ฉนั ต้องการ................................ Certainly. I want............... แนน่ อน ฉันต้องการ.................. Yes, of course. I'm looking for ................ แน่นอน ฉันกำลงั มองหา........... Situation 1 At the Department Store Salesgirl : Hello. What can I do for you? Malee : Hello. I'm looking for a jacket. Salesgirl : How about this one? Malee : What size is it? Salesgirl : It's a large size. Malee : Can I try?

Salesgirl : Sure. Malee : It's a little bit large. Salesgirl : This is a medium size. Malee : Medium size will do. I will take the black one. How much is it? Salesgirl : Twenty-five dollars Malee : Here's the money. Salesgirl : Please wait for a moment. ……….. Here's your jacket and change. Malee : Thank you. Salesgirl : You're welcome. เร่ืองที่ 3 การให้บริการดา้ นตา่ ง ๆ (Various Services) สถานตี ำรวจเป็นสถานท่ีทจ่ี ะใหบ้ รกิ ารในดา้ นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สนิ ของ ประชาชน เชน่ ปัญหาเกยี่ วกบั การประสบอบุ ตั ิเหตุ การถูกเอารดั เอาเปรยี บเรอ่ื งค่าจา้ ง ของหาย เป็นต้น สถานทูตเป็น สถานที่สำหรบั ติดต่อและใหบ้ ริการแก่ผทู้ เี่ ดนิ ทางไปในประเทศนัน้ ๆ ลองมาดูสถานการณ์การทำหนังสอื เดินทาง (Passport) สูญหายระหวา่ งการเดินทางไปตา่ งประเทศของสดุ าว่าจะแกป้ ัญหาอยา่ งไร Situation 1 At the police station Suda : Malee, I lost my passport. What can I do? Malee : You should go to the police station to inform about this matter. Policeman : Good morning, Madame. Are there anything I can do for you? Suda : Good morning, Sir. I lost my passport at the bus terminal. Policeman : When did it happen? Suda : It was yesterday night about 10 o'clock. Policeman : What's your name? Suda : I'm Suda Boonma.

Policeman : Let me see your I.D. card, please. Suda : Here it is. Policeman : Where do you stay? Suda : I stay in King Street near the central market. Policeman : Here's police record. You should bring this record to the embassy to reissue your passport. Suda : Thank you very much, goodbye. Policeman : You're welcome. หลงั จากสดุ าไปแจ้งความว่า Passport สญู หาย และตำรวจไดบ้ ันทึกข้อความรับแจ้ง ของหายไว้เปน็ หลกั ฐานแลว้ และได้แนะนำให้สดุ านำบันทกึ แจ้งความไปทีส่ ถานทูตเพื่อขอทำหนงั สอื เดินทางใหม่ หลงั จาก นั้นสุดาจึงได้เดนิ ทางไปทส่ี ถานทูต Situation 5 At the post office. Suda : Hi, Malee. What are you doing today? Malee : Hi, Suda. I'm going to the post office. Last night I wrote a letter to my family. Suda : Oh! I would like to send a parcel and buy stamps, too. Malee : Let's go. ...................................................... Teller : What can I do for you madam? Malee : I would like to send this letter to Thailand. How much will I pay for a stamp? Teller : Two U.S. dollars. Here it is. Malee : Thank you. Teller : You're welcome. การใช้ภาษาในการนำเสนอใหบ้ รกิ ารและการตอบรบั จะมีภาษาและสำนวนท่ีมักใช้ ดงั น้ี 1. ผูใ้ ห้บรกิ ารมักจะเสนอใหบ้ รกิ าร โดยใชส้ ำนวนดงั นี้

May I help you? Can I help you? What can I do for you? If you need anything, please tell me. If you want something, let me know. 2. ผู้รับบรกิ ารโดยใชส้ ำนวนดงั น้ี Yes, please. Yes, of course. Sure. Of course. Certainly. I need …………. . I want …………. .

ใบงานที่ 9 เรื่องที่ 5 การพูดแสดงความคิดเหน็ และแสดงความต้องการในสถานการณ์ต่างๆ Exercise 1 Read the conversation, then answer the questions. Interviewer : Excuse me. I'm doing a survey about mobile phones. Can I ask you a few questions? Preecha : Yes, of course. Interviewer : How often do you use your mobile phone? Preecha : All the time, I enjoy talking with my friend. Interviewer : And do you use any other options on your phone? Like SMS or ….. Preecha : Oh! I often sent SMS. It's cheaper. And sometimes I take photos and send them to my friends. Interviewer : Anything else? Preecha : Oh yes! My parents often call me on mobile phone when I'm out at night. They like to know if I'm safe. Interviewer : Do you have any problems with your phone? Preecha : Yes. The large bill at the end of the month. 1. Who is the interviewer? ____________________________________________________ 2. What is the interview about? ____________________________________________________ 3. How often does Preecha use his mobile phone? ____________________________________________________ 4. What options does he use? ____________________________________________________ 5. What are problems of Preecha for using the mobile phone? ____________________________________________________

Exercise 2 Read the conversation, then answer the questions. Waiter : Could I help you, Madame Siriporn : Yes, please. I'm hungry. What is your advice? Waiter : Today specials are hot curry with fish ball, fried rice with garlic pork sausages and super fried noodle with seafood gravy. What would you like, Madame Siriporn : Um… Fried rice with garlic pork sausages, please. Will I have a small Tomyamkung as well. Waiter : Certainly, Madam. And what would you like for drink, soft drink or coffee or Chinese tea? Siriporn : I prefer cold water. Waiter : Is that all, Madame? Siriporn : Correct. Waiter : All right. I'll read your list again. One fried rice with garlic pork sausages, a small Tomyamkung and cold water, right. Siriporn : Correct. Waiter : I'll serve you just a minute. 1. Where is Siriporn? ________________________________________________________ 2. What are special for today? ________________________________________________________ 3. What does Siriporn order? ________________________________________________________ 4. What does she take for drink? ________________________________________________________ 5. How long does it take for her meal to be served? ________________________________________________________

Exercise 3 Read the conversation, then answer the questions. Suda : Excuse me, do you know where the police station is? Woman : Sorry, I don’t. I’m not from this city. Suda : Thanks anyway. Man : Can I help you, Miss? Suda : Oh, yes. Can you tell me how to get to the police station? Man : Walk up this road about two blocks. When you get to Saint Bernard road, turn right. It’s beside the post office. Suda : O.K. Go up this street and turn right at Saint Bernard road. It’s next to the post office. Man : That’s correct. Suda : Thank you very much. Man : No problem. 1. Who wants to go to the police station? ________________________________________________________ 2. Can the woman show her the way to the police station? Why? ________________________________________________________ 3. Who can tell her the way? ________________________________________________________ 4. Where is the police station? ________________________________________________________ 5. How can we go to the police station? ________________________________________________________

ใบความรทู้ ่ี 10 เรอื่ งประโยคคำถามการใช้ Who, When, Where, Why, What, Whom, How ประโยคคำถาม (Question sentence) เปน็ ประโยคที่ใชถ้ ามเพื่อต้องการคำตอบจาก ผูท้ เี่ รา สนทนาดว้ ย ประโยคคำถามมี 4 ชนิด คือ (1) ประโยคคำถามท่ีข้นึ ตน้ ดว้ ยกริยาช่วย (Yes-no question) เป็นประโยคท่ตี อ้ งการคำตอบ ว่า yes (ใช่) หรือ no (ไมใ่ ช่) เทา่ น้นั ประโยคคำถามประเภทน้ีตอ้ งขึ้นต้นประโยคด้วยกริยาชว่ ย (Yes-no question) เป็นประโยคทีต่ ้องการคำตอบวา่ yes (ใช่) หรอื no (ไมใ่ ช่) เท่าน้นั ประโยคคำถามประเภทนี้ ตอ้ งขน้ึ ตน้ ประโยคดว้ ยกรยิ าช่วยการทาประโยคคำถามแบบ Yes-no question น้ี ทาจากประโยคบอกเลา่ ธรรมดา (Affirmative sentence) โดยเอากรยิ าช่วย (Helping Verb) มาไว้ข้างหนา้ ได้แก่ Verb to be, will, have ถา้ ประโยคใดไมม่ ีกริยาชว่ ยใหใ้ ช้ Verb to do โดยกระจายรูปกรยิ าชว่ ยใหถ้ ูกต้องตามประธาน และทำกรยิ าแท้ให้อยู่ในรูปเดิมทีไ่ มต่ ้องเตมิ s หรือ es แล้วลงท้ายประโยคดว้ ยเครื่องหมายคำถาม (question mark) ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม She is your teacher. Is she your teacher? (เธอเป็นครูของคุณ) (เธอเปน็ ครูของคุณใช่ไหม) He likes you. Does he like you? (เขาชอบคณุ ) (เขาชอบคุณหรือเปล่า) They buy air ticket. Do they buy air ticket? (เขาซื้อต๋วั เคร่ืองบิน) (เขาซ้ือตัว๋ เคร่ืองบนิ ใช้ไหม) (2) ประโยคท่ีขน้ึ ต้นดว้ ยคาท่เี ป็นคำถาม (Question word question) คือ ประโยคท่ีขึ้นต้น ดว้ ยคำท่เี ป็นคำถาม ไดแ้ ก่ what (อะไร), when (เม่ือไหร่), where (ท่ไี หน), who (ใคร), whom (ถึง, แก่ ใคร), whose (ของใคร), which (อันไหน/สิง่ ไหน), why (ทาไม), how (อย่างไร) ในการต้งั คำถามดว้ ยคำเหล่านี้ สว่ นใหญจ่ ะตอ้ งตามด้วยกริยาช่วย ยกเว้น who ตามด้วยกรยิ าแท้ และ whose ตามด้วยคำนาม สว่ น which ตามดว้ ยคำนามทเ่ี ป็นกรรมหรือกริยาชว่ ย ขอให้ศึกษารายละเอยี ด การใช้คาทีเ่ ปน็ คำถาม (Question word question) แต่ละตัว ดังต่อไปนี้

1. What อ่านวา่ วอท แปลวา่ อะไร ใช้ถามเกยี่ วกบั คน สัตว์ สิ่งของ เชน่ ประโยค ตอบแบบสน้ั (Short form) ตอบแบบยาว (Long form) What is in the cage? A bird. A bird is in the cage. (อะไรอยใู่ นกรง) (นกตวั หนึง่ ) I am reading a newspaper. A newspaper. What are you reading? (หนังสือพิมพ์ฉบบั หนึ่ง) He is a doctor. (คณุ กำลังอ่านอะไรอยู่) A doctor. What is your father? (หมอคนหนงึ่ ) (พ่อของคุณเป็น อาชีพอะไร) 2. Where อา่ นว่า แวรฺ แปลว่า ทไี่ หน ใช้ถามสถานที่ เช่น ประโยค ตอบแบบสัน้ ตอบแบบยาว (Long form) (Short form) I live in Phuket. Where do you live? In Phuket. I will go to the market. (คุณอาศัยอยู่ที่ใด) (ในจังหวดั ภเู ก็ต) The dog is under the tree. Where will you go? To the market. (คณุ จะไปไหน) (ไปตลาด) Where is the dog? Under the tree. (ใตต้ น้ ไม้) (สนุ ัขอย่ทู ่ีไหน) 3. When อา่ นว่า เวน แปลวา่ เม่อื ไร ใช้ถามเก่ยี วกบั เวลา เชน่ ประโยค ตอบแบบส้ัน ตอบแบบยาว (Long form) (Short form) I will go home at four o’clock. When will you go home? At four o’clock. My uncle will visits to next (คุณจะกลบั บา้ นเมอ่ื ไร) (ส่โี มง) year. When will your uncle Next year next year. Visit to you ? (ลุงของคณุ มาเย่ียมคณุ เมื่อไร) (ปีหนา้ )

4. Who อ่านว่า ฮู แปลว่า ใคร ใช้ถามบคุ คล เชน่ ประโยค ตอบแบบส้ัน ตอบแบบยาว (Short form) (Long form) Who is that man? George Smith. That man is George Smith. (ผู้ชายคนนัน้ เปน็ ใคร) (จอร์จ สมธิ ) Who wants to go home now? Boonchu and Chalerm. Boonchu and Chalerm want (ใครอยากจะกลบั บา้ นตอนน้ีบา้ ง) (บญุ ชแู ละเฉลิม) to go home. 5. Why อ่านวา่ วาย แปลว่า ทำไม ใชถ้ ามเม่ือต้องการถามถงึ เหตผุ ล เช่น ประโยค ตอบแบบส้นั ตอบแบบยาว (Long form) (Short form) I go to the book store to buy a book. Why do you go to the book To buy a book. I am late Because the traffic store? (ซ้ือหนงั สือ) is heavy. (คณุ ไปร้านหนงั สือทำไม) Because the traffic is Why are you late? heavy. (ทำไมคุณมาสาย) (เพราะรถติด) 6. Which อา่ นว่า วิซ แปลว่า ตวั ไหน อันไหน หรือเปน็ การไถถ่ ามให้เลอื กอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เช่น ประโยค ตอบแบบสนั้ ตอบแบบยาว (Short form) (Long form) Which work do you prefer a A teacher. I prefer a teacher. teacher or a soldier? (คณุ ชอบทำงานอะไร ครหู รือทหาร) (คร)ู Which school do you go? Satri Phuket School. I go to Satri Phuket School. (โรงเรียนสตรภี เู กต็ ) (คณุ จะไปโรงเรียนไหน)

7. How อ่านวา่ ฮาว แปลว่า อยา่ งไร ใชใ้ นความหมายทตี่ า่ งกัน ดงั น้ี How ใชถ้ ามลักษณะอาการ วิธีการคมนาคม การใชเ้ คร่ืองมือตา่ ง ๆ เช่น ประโยค ตอบแบบสนั้ ตอบแบบยาว (Short form) (Long form) How do you go to Suan By bus. I go to Suan by bus. Chatuchak? (น่ังรถโดยสารประจำทางไป) (คณุ จะไปสวนจตุจกั รอย่างไร) Very nice. She is very nice. How is Wasana? (ดมี าก) (วาสนาเป็นอย่างไรบา้ ง) Fine, thank you. And you? I am fine, thank you. How are you? (สบายดี ขอบคณุ แล้วคุณหละ) (คณุ เป็นอย่างไรบา้ ง) How long ใช้ถามเกย่ี วกับระยะเวลาว่านานเทา่ ใด เช่น ประโยค ตอบแบบสน้ั ตอบแบบยาว (Short form) (Long form) How long does it take from About half an hour by taxi. It’s half an hour by taxi. Sanamloang to Victory (ประมาณคร่งึ ชวั่ โมงโดยรถ Monument? รบั จา้ ง) (จากสนามหลวงไปอนสุ าวรีย์ชัย สมรภมู ใิ ช้เวลานานเทา่ ไร) How often ใชถ้ ามเกย่ี วกบั ความถี่ เช่น ตอบแบบสนั้ ตอบแบบยาว ประโยค (Short form) (Long form) Once a week. He sees her once a week. How often does he see her? (สปั ดาหล์ ะครงั้ ) (เขามาหาเธอบ่อยเพยี งไร)

How many ใช้ถามจำนวนมากน้อยเท่าใด (คำนามนบั ได้) เช่น ประโยค ตอบแบบสนั้ ตอบแบบยาว (Long form) (Short form) I read two books. How many books do you read? Two books. ตอบแบบยาว (Long form) (คณุ อา่ นหนังสือมากเทา่ ไร) (สองเลม่ ) It is about 850 Kilometers. How far ใช้ถามระยะทางวา่ ไกลเทา่ ไร เชน่ ตอบแบบยาว (Long form) ประโยค ตอบแบบส้นั I am twenty years old. (Short form) ตอบแบบยาว How far is it from here to About 850 Kilometers. (Long form) Bangkok? (ประมาณ 850 กโิ ลเมตร) It is very good. จากท่นี ี่ไปกรุงเทพฯ ไกลแค่ไหน) How old ใช้ถามอายุ เช่น ประโยค ตอบแบบสั้น (Short form) How old are you ? Twenty years old. (คณุ อายุเท่าไหร่ อะไร) (ยีส่ บิ ปี) How about ใช้ถามความคิดเหน็ เกยี่ วกบั สิง่ ตา่ ง ๆ เชน่ ประโยค ตอบแบบสนั้ (Short form) How about the cinema ? Very good (ภาพยนตร์เปน็ อย่างไรบ้าง) (ดมี าก) How high ใช้ถามความสงู ของส่ิงของท่ีมคี วามสูงมากๆ เช่น อาคาร ภเู ขา เชน่ ประโยค ตอบแบบสั้น ตอบแบบยาว (Long form) (Short form) It is fifty feet high. I am six feet tall. How high is that building? Fifty feet. (อาคารหลงั นัน้ สงู เทา่ ไร) (สงู 50 ฟตุ ) How tall are you? Six feet. (คณุ สูงเท่าไร) (สูง 6 ฟตุ )

การตงั้ คำถาม ขอใหน้ ักศึกษาสังเกตว่าการใช้ Question words มาตัง้ เป็นประโยคคำถามนั้น Question words จะอยู่ขา้ งหน้าประโยค ตามด้วยกริยาชว่ ย ประธาน กริยาแท้ กรรมและสว่ นขยาย ตามโครงสร้างประโยค ดังนี้ Example (ตัวอย่าง) How do you go to Suan Chatuchak? Where do you live? When will you go home? Who is that man? What are you reading? Why do you go to the book store? Question words บางคำสามารถตามดว้ ยกรยิ าแท้ (Verb) ไดเ้ ลย หากคำถามนนั้ ถามถงึ ประธาน (Subject) ของประโยค ซงึ่ มโี ครงสรา้ งดงั นี้ Example (ตวั อยา่ ง) What is - in the case? Who wants to go home now? What ในคำถามแรกถามถึงประธานของประโยคซึ่งเปน็ สัตว์ จงึ ใช้คำวา่ What สว่ น Who ใชถ้ าม สำหรบั คนเท่านัน้ สำหรับคำว่า Which เปน็ คำถามเกยี่ วกบั ลักษณะใหเ้ ลือกตอบ แปลว่าอันไหน ตัวไหน จึง ตอ้ งตามด้วยคำนามหรือสรรพนามเสมอ แล้วตามดว้ ยกริยาช่วย ประธาน กรยิ าแท้ กรรมและสว่ นขยาย มี โครงสร้างดังน้ี Example (ตัวอยา่ ง) Which work do you prefer, a teacher or a soldier? Which school do you go? Which one do you like? Which one does he want? ส่วนคำวา่ How สามารถตามตัวดว้ ยคาคุณศัพท์ (Adjective) เพือ่ ถามลักษณะต่างๆ ได้ มี โครงสร้างดงั นี้ Example (ตัวอยา่ ง) How long does it take from Sanamluang to Victory Monument?

How often does he see her? How far is it from here to Bangkok? How old are you? How high is that building? ถ้าถามถงึ จำนวนหรือปริมาณจะใช้ How many สำหรบั สิง่ ทนี่ บั ได้ และ How much สำหรับสง่ิ ท่ี นับไมไ่ ด้ เช่น How many boys are there in this village? (ในหมู่บา้ นนี้มีเด็กผู้ชายก่ีคน) How much sugar do you want? (คณุ ตอ้ งการนำ้ ตาลเทา่ ไร) How much coffee does he drink everyday? (เขาดม่ื กาแฟมากเท่าใดใน 1 วัน) How many birds are there in that case? (ในกรงน้ันมีนกกตี่ วั ) สำหรบั การถามราคาจะใชค้ ำถามวา่ How much does it cost? เสมอ

ใบงาน เรอื่ งประโยคคำถามการใช้ Who, When, Where, Why, What, Whom, How Choose the best answer. 1. If you want to ask about your friend's health. You say “_____________” a. Where do you live? b. How do you do? c. What do you do? d. How about you? 2. You accidentally step on someone's foot. You blame yourself “____________” a. How clumsy of me! b. It's not my fault. c. I'm sorry. d. Thank you. 3. Suda would like to buy a computer notebook. The shopkeeper say “________” a. May I help you? b. Where are you going? c. What are you doing here? d. What would you like to do? 4. Suda : Could you show me how to get to the post office? Malee : “_____________” a. Yes, I can. b. Yes, I do. c. Yes, I should. d. Yes, I would. 5. A tourist is visiting Bangkok for the first time and she wants to go to the Grand Palace. She asks a policeman, “_____________” a. I want to go to the Grand Palace. Please take me there. b. Could you tell me where I go to the Grand Palace? c. Could you tell me how to get to the Grand Palace? d. Give me the map of the Grand Palace.

6. Suda has got grade A in English. What will you say? a. Cheers. b. I wish you luck. c. Don't worry about it. d. How clever you are! 7. When will you say, \"Merry Christmas and a Happy New Year.\" a. On your birthday. b. On Christmas day. c. On New Year's day. d. On Christmas and New Year's day. 8. What is the population of this town? The answer will be about, “_____________” . a. the number of people b. famous men and women c. history and geography d. masses of buildings 9. The apartment has been vacant for over a week. What will you do? a. Make a notice for the apartment to rent. b. Tell all of my friends. c. Have it repaired. d. Leave it like that. 10. The robber climbed up and went into the opened window and stole his money. What should he do? He should “_____________” . a. do nothing b. tell his friend c. inform the police d. blame his neighbor

ใบความรู้ เรื่องประโยคปฏิเสธและคำกริยา ประโยคคำสัง่ และประโยคอุทาน ประโยคปฏเิ สธ (Negative Sentence) คือประโยคบอกเลา่ ที่มีคำหรือวลีที่มคี วามหมายในเชงิ ปฏิเสธอยใู่ นประโยค ซึง่ จะเป็นคำกรยิ าวิเศษณ์ (Adverb) เชน่ not, never, hardly, scarcely, rarely เป็นตน้ หรือคำสรรพนามแสดงการปฏิเสธ เชน่ no one, nobody, none, no, nothing เปน็ ต้น (ตัวอยา่ ง) Nobody told me to go there on Sunday. (ไม่มใี ครบอกให้ฉันไปท่ีนั่นในวนั อาทิตย์) I don't want to attend the class today. (ฉันไมอ่ ยากไปเรียนวนั น้ีเลย) This subject is not difficult for us. (วชิ าน้ีไมย่ ากเลย) Nothing is worrying, you will pass the examination. (ไม่ต้องหว่ ง คุณคงจะสอบผ่าน) วธิ ีการทำประโยคบอกเล่าให้เปน็ ประโยคปฏิเสธ ทำได้ 2 แบบ คอื 1. เตมิ คาวา่ not ไปข้างหลังกริยาช่วย (Helping or Auxiliary Verb) ในประโยค บอกเลา่ (Affirmative Sentence) (ตวั อย่าง) I will not go to school tomorrow. (พรุ่งนี้ฉนั จะไม่ไปโรงเรยี น) She doesn’t like cats. (เธอไมช่ อบแมว) สงั เกตวิธีการทำประโยคบอกเล่าใหเ้ ปน็ ประโยคปฏเิ สธ จะใช้หลกั เดียวกันกับวธิ ีทำประโยคบอกเลา่ ใหเ้ ปน็ ประโยคคำถาม คอื ถ้าประโยคใดมีกริยาช่วยอยู่ใหเ้ ติมคาวา่ “not” (ไม)่ เข้าไปหลังกริยาชว่ ย แต่ถา้ ประโยคใดไม่มีกรยิ าช่วยใหเ้ ติม “Verb to do” ไปหน้ากริยาแท้ หรือกรยิ าหลัก โดยกระจายใหถ้ ูกบุรุษ เพศ พจน์และกาล ประโยคปฏเิ สธ กรยิ าช่วยทแี่ สดงการปฏิเสธสามารถใช้ในรูปย่อได้ คือ do not don't does not doesn't have not haven't has not hasn't am not 'm not is not isn't are not aren't shall not shan't will not won't

cannot can't กริยาชว่ ย “can”(สามารถ) เมอื่ เติมคำวา่ \"not\" เขา้ ไปจะเขียนติดกันเป็น cannot คำกรยิ าชว่ ยตวั ใดทำหนา้ ทเ่ี ปน็ กรยิ าแท้ เชน่ have (กนิ ,ม)ี do (ทา) เวลาทำเปน็ ประโยคปฏเิ สธ ต้องใช้กริยาช่วย Verb to do เชน่ เดยี วกนั ประโยคคำสง่ั (Imperative or Order sentence) เป็นประโยคทบ่ี อกให้ทำหรอื ขอร้องให้ทำ ตามที่ผูน้ ้นั บอก ซง่ึ ผทู้ ่รี บั คำสั่งคือ ผู้ที่คนส่งั พูดด้วย ซ่ึงคนท่ีจะสงั่ จะเป็นบรุ ุษ ท่ี 1 คือ ผูพ้ ูด (I หรอื we) สว่ นคนท่ีถกู สัง่ จะเป็นบุรษุ ที่ 2 (You) เมือ่ เป็นประโยคคำสั่งจะตัด ประธาน (You) ออก ประโยคคำส่งั ต้อง ข้ึนตน้ ดว้ ยคำกริยาช่องที่ 1 เสมอ ซงึ่ อาจจะเป็นรปู บอกเลา่ หรอื ปฏเิ สธก็ได้ (ตวั อยา่ ง) Don't walk on the loan! หา้ มเดินในสนาม Enter your personal code. ใสร่ หัสส่วนตวั ของท่าน Sit down here! น่ังตรงน้ี Follow me! ตามฉนั มา วธิ กี ารทำประโยคคำส่งั Verb + Object + Complement (กริยา) (กรรม) (ส่วนขยาย) ประโยคคำสง่ั จะเป็นประโยคทส่ี รรพนามบุรุษที่ 2 (You) เป็นประธานและอยู่ในรปู ปัจจุบนั กาลธรรมดา (Present Simple Tense) เสมอ เพราะการท่ีจะส่ังหรือขอรอ้ งให้ใครทำ อะไรจะพูดหรือบอกให้ทำหรือไม่ ทำในขณะท่ีพูดนั้น การทำประโยคคำส่ังจะมาจากประโยคบอกเลา่ (Affirmative Sentence) โดยตัด ประธานออก

ตวั อยา่ ง ประโยคบอกเล่า ประโยคคำสง่ั (Affirmative Sentence) (Imperative or Order sentence) You follow me. Follow me. (คุณตามฉันมา) (ตามฉนั มา) You sit down here. Sit down here. (คุณนัง่ ลงตรงนี้) (นง่ั ลงตรงน้ี) You don't walk on the lawn. Don't walk on the lawn. (คุณไม่เดนิ บนสนามหญ้า) (อย่าเดนิ บนสนามหญ้า) You turn a little bit left. Turn a little bit left. (คณุ เขยบิ ไปทางซ้ายอีกสักนิด) (เขยบิ ไปทางซ้ายอีกสักนิด) ประโยคอทุ าน (Exclamatory sentence) คือประโยคที่ใช้แสดงความร้สู กึ และ อารมณ์ เชน่ เสียใจ ดี ใจ เป็นตน้ ใช้ไดท้ งั้ ประโยคเต็มรูปและลดรปู 1. ประโยคอุทานเตม็ รูป จะข้ึนต้นด้วยคาทเ่ี ปน็ คำถาม (Question word) how (อยา่ งไร) และ what (อะไร) ถ้า ขึน้ ต้นดว้ ย How จะตามด้วยคำคณุ ศพั ท์ (Adjective) หรือคำกรยิ า วเิ ศษณ์ (Adverb) แลว้ ตามด้วยประธาน (Subject) และกรยิ า (Verb) ซง่ึ อาจจะมีส่วนขยาย (Complement) ด้วยกไ็ ด้ ส่วนประโยคท่ขี น้ึ ตน้ ดว้ ย What จะ ตามด้วยนามวลี (Noun phrase) แล้ว ตามด้วยประธาน (Subject) และกริยา (Verb) How + Adjective + Subject + Verb + Complement (คำคณุ ศพั ท์) (ประธาน) (กริยา) (ส่วนขยาย) Adverb (คำกรยิ าวิเศษณ์) What + Noun phrase + Subject + Verb (นามวลี) (ประธาน) (กรยิ า) เชน่ How beautiful she is! เธอช่างสวยอะไรเชน่ น้ี How fluently he can speak English! เขาชา่ งพูดภาษาอังกฤษคล่องอะไรเช่นนี้ What a healthy man he is! เขาช่างเป็นคนแขง็ แรงอะไรเชน่ น้ี What a wonderful girl she is! เธอชา่ งเปน็ เด็กมหัศจรรย์อะไรอย่างน้ี 2.ประโยคอุทานลดรูป เปน็ ประโยคทีต่ ัดประธาน (Subject) และกรยิ า (Verb) รวมทั้งส่วนขยาย (Complement) ออก เช่น How beautiful! สวยจรงิ ๆ How fluently! พูดคลอ่ งจริงๆ What a healthy man! ชา่ งเปน็ คนทแี่ ขง็ แรงจรงิ ๆ What a wonderful girl! ช่างเปน็ เด็กมหัศจรรยอ์ ะไรเชน่ นี้

ใบงาน เร่ืองประโยคปฏิเสธและคำกรยิ า ประโยคคำสง่ั และประโยคอทุ าน Exercise 1 Change these sentences into question (Q) and negative (N) sentences. 1. I'll meet you tonight. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 2. He planted flowers of different kinds. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 3. She kepts her secret very well. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 4. They sang and played the guitar. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 5. He borrowed books from the library. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 6. She can speak English. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 7. The World Trade building had collapsed. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 8. The boy is sneezing. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ 9. He works hard everyday. Q : ___________________________________________________

N : ___________________________________________________ 10. Pom must invite Toom to her party. Q : ___________________________________________________ N : ___________________________________________________ Exercise 2 Make imperative sentence from these words. 1. work/harder ___________________________________________________ 2. not close/the door ___________________________________________________ 3. read/loudly ___________________________________________________ 4. not smoke/in this room ___________________________________________________ 5. shut/the window ___________________________________________________ 6. visit/your parent ___________________________________________________ 7. do/your homework ___________________________________________________ 8. give/me/that pencil ___________________________________________________ 9. cook/Thai salad ___________________________________________________ 10. turn/the light/off

Exercise 3 Make explanative sentences by the words given. 1. you/clever ___________________________________________________ 2. she/intelligent ___________________________________________________ 3. he/talkative ___________________________________________________ 4. we/wise ___________________________________________________ 5. you/lazy ___________________________________________________ 6. it/fearful ___________________________________________________ 7. they/funny ___________________________________________________ 8. I/lovely ___________________________________________________ 9. he/happy ___________________________________________________ 10. she/nice ___________________________________________________

ใบความรู้ เรอ่ื งท่ี 1 การทักทายและการแนะนำตนเอง (Greeting and Introducing Yourself) วชิ า ภาษาอังกฤษในชีวติ ประจำวนั ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ………………………………………. เมื่อคนพบกันครั้งแรก การแนะนำตนเองให้บุคคลอื่นรู้จักเป็นสิ่งสำคัญและจาเป็นก่อนจะสนทนาพูดคุย กันในเร่ืองอนื่ ๆ ซึ่งการแนะนำตนเองและผอู้ น่ื ในภาษาองั กฤษ มีสำนวนท่ีใช้กัน ดงั น้ี 1. การแนะนำตนเอง (Introducing Yourself) ในการแนะนำตนเองให้ผู้อื่นรจู้ ัก จะเริ่มต้นดว้ ยการ กลา่ วทกั ทายและแนะนำตนเองด้วยสำนวนตา่ ง ๆ ดงั น้ี Hello. My name is (ชือ่ ของผู้พดู ) . (สำหรับผทู้ ี่อยู่ในสถานะเดยี วกัน เชน่ เปน็ นักศกึ ษาดว้ ยกัน เปน็ ต้น) Hi. I'm (ชื่อของผ้พู ูด). (สำหรบั ผู้ท่อี ยูใ่ นวัยเดยี วกัน) Good morning. My name is (ชื่อของผู้พดู ). สวสั ดฉี นั /ผม/ดฉิ ันชอ่ื ____ Good morning. I'm (ช่ือของผู้พดู ). (สำหรับการพูดคยุ อย่างเป็นทางการ) หากตอ้ งการบอกชือ่ เลน่ ใหท้ ราบดว้ ยก็อาจพูดว่า Hello. My name is (ช่ือของผู้พูด) and my nickname is (ช่อื เลน่ ของผู้พูด). เมอ่ื กลา่ วแนะนำตวั แลว้ คู่สนทนาจะตอบวา่ It's nice to meet you. Nice to meet you. ยนิ ดที ีไ่ ดจ้ จู้ ักคุณ I'm glad to meet you. I'm glad to see you. Situation 1 Suda : Hi. I'm suda. What's your name? Malee : Hi. My name is Malee. Suda : Nice to meet you. Malee : Nice to meet you, too.

Situation 2 Wichai : Hello. I'm Wichai, my nickname is Chai. Mana : Hello. My name is Mana and my nickname is Na. Wichai : I'm glad to meet you. Mana : I'm glad to meet you, too. [พมิ พค์ าอา้ งองิ จากเอกสาร หรอื บทสรุป 2. การแนะนำผู้อื่น (Introducing Others) ในสภาพความเปน็ จขรองิ ขงจอดงุ สทงั ่นี ค่ามสกนาใรจพคบณุ ปสะสาังมสารรรถคจ์รดั ะหวา่ ง กลุ่มเพ่ือนหรอื บุคคลที่ทำงานในทีเ่ ดยี วกนั ต้องเกิดขึ้นอย่ตู ลอดเวลา การแตนาะแนหำนบง่ ุคกคลล่อองข่ืนอ้ใหค้รว้จูาักมกไดนั ทจ้ งึกุ เทป่ใี็นนเรื่อง ปกตทิ ่เี กิดขนึ้ อยู่เสมอในสงั คมชาวตะวนั ตกถือเปน็ ธรรมเนียมปฏิบตั ิ วา่ หาเอกกจะสพารดู คใหุยใร้ ชะแห้ ทวา่็บงบ'เคคุ รคอ่ื ลงทมไ่ี ือมกร่ ู้จลักอ่ จงะต้อง ได้รบั การแนะนำใหร้ ูจ้ กั กันเสียกอ่ น ขอ้ ความ' เพ่ือเปล่ียนแปลงการ ยกตวั อย่างเชน่ สุดาต้องการแนะนำให้มาลีรู้จักกบั สวุ ัฒน์ สดุ าต้องกลา่ วแจนดัะนรูปำแดบังบนข้ี องกลอ่ งขอ้ ความของคา Suda : Malee, this is Suwat. Suwat, this is Malee. (มาอลา้ นีงอี่คิงือทค่ีดณุ งึ สมวุ าฒั ] น์ คุณสุวัฒน์นี่คือคุณ มาลี) นอกจากน้ี ยงั มีสำนวนท่สี ามารถใชก้ ลา่ วแนะนำใหบ้ ุคคลรู้จักอกี เช่น Suwat, I'd like to introduce you Miss Malee. (สุวฒั น์ ผมขอแนะนำให้คณุ รู้จกั คุณมาลี) Suwat, let me introduce Miss Malee to you. (สวุ ฒั น์ ผมขออนญุ าตแนะนำให้คุณรจู้ ักกบั คณุ มาลี) Suwat, this is my friend, Miss Malee. (สวุ ัฒน์ นี่คือเพ่ือนของผม คุณมาลี) เมื่อมีการแนะนำใหบ้ ุคคลหน่ึงรจู้ กั กบั อีกบุคคลหนึง่ ผู้ทไี่ ด้รบั การแนะนำจะทักทายกลับวา่ เมือ่ มีการแนะนำใหบ้ ุคคลหนึ่งรู้จักกับอกี บุคคลหนง่ึ ผทู้ ีไ่ ด้รบั การแนะนำจะทักทายกลับวา่ How do you do? Nice to meet you. สวสั ดี ยินดีท่ไี ด้รจู้ ัก Glad to meet you. และคูส่ นทนาก็จะกลา่ ววา่ How do you do? Nice to meet you, too. สวสั ดียนิ ดีทไ่ี ดร้ ู้จักเช่นกัน Glad to meet you.

Situation 1 Suda : Suwat, I'd like to introduce you my friend, Miss Malee. Suwat : How do you do, Miss Malee? Malee : How do you do, Mr.Suwat? Situation 2 Wichai : Mana, this is Malee, my friend. Mana : How do you do, Miss Malee? Malee : How do you do, Mr. Mana?

ใบงาน เรื่อง การทกั ทายและการแนะนำตนเอง (Greeting and Introducing Yourself) วชิ า ภาษาอังกฤษในชีวติ ประจำวนั ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น ใหผ้ ู้เรยี นทำแบบฝกึ หัดต่อไปน้ี Exercise Fill in the blank with correct expression. 1. Busaba : Suree, this is Dara. Suree : Nice to meet you. Dara : ____________________________ 2. Ta : Took,________________________ Took : Hello, Tik. Tik : Hi, Took. 3. Pom : Pook, this is Pom. Pook : ____________________________ Pom : Nice to meet you too. 4. Mr.Joe : Mr.John, _____________________ Mr.John : How do you do? Mrs.Roger : How do you do? 5. Miss Agner : Mrs. Johnson, may I introduce you Mr. Anderson. Mrs. Johnson : _______________________________________ Mr. Anderson : _______________________________________

ใบความร้ทู ่ี 13 รายวิชาการเงนิ เพือ่ ชวี ิต 2 สค22016 เรื่อง ความหมายของเงนิ ปัจจัยที่ช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้การดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมมีความสมบูรณ์พร้อม ก็คือ “เงิน” เพราะตามความหมายทางเศรษฐศาสตร์ เงินหมายถึง สิ่งที่สังคมยอมรับสำหรับใช้เป็นสื่อกลางใน แลกเปล่ยี นสนิ ค้าและบรกิ าร ใช้ในการชำระหนห้ี รืออ่ืนๆตามตอ้ งการ และมีมลู คา่ ค่อนขา้ งคงที่ หนา้ ที่และความสำคัญของเงิน เงิน หมายถึง สิ่งที่ผู้คนในสังคมได้สมมุติขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ดังนั้นเงินจึงเป็นสง่ิ กระตุ้นให้เกิดการผลิตและช่วยขับเคลื่อนสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังผู้บริโภค และเงินยังสามารถทำหน้าที่ซึ่งมี ความสำคัญทางเศรษฐกจิ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. ทำหน้าท่ีเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน อำนวยความสะดวกให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและ บริการกันภายในสังคม และทำใหม้ ีการขยายตวั ในการซ้ือขายซงึ่ มผี ลต่อการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ 2. เป็นมาตรฐานในการใชว้ ดั มลู ค่า หรือใชเ้ ปน็ เคร่ืองมือวัดมลู ค่าของสง่ิ ของและบริการตา่ งๆ โดย การ เทียบคา่ สิง่ ของและงานบริการออกมาเป็นหนว่ ยเงินตรา ตวั อย่างเชน่ แอปเปิลผลละ 10 บาท เนอ้ื หมู กก.ละ 120 บาท คา่ แรงข้นั ต่ำวันละ 300 บาท เปน็ ตน้ 3. เป็นมาตรฐานการชำระหนี้ภายหน้า เช่น สามารถใช้เงินชำระหนี้สินที่มีต่อกัน ซึ่งเป็นการอำนวย ความสะดวกให้แกล่ ูกหนแี้ ละเจา้ หน้ี 4. เปน็ เครอื่ งรกั ษามลู คา่ เนอ่ื งจากเงนิ เป็นสนิ ทรพั ย์รูปแบบหนึ่งทมี่ ีสภาพคล่อง และคนส่วนใหญ่ นิยม สะสมไว้เป็นสมบัติ สามารถนำออกมาใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการทุกชนิดได้ตามที่เราต้องการ แต่มีข้อด้อย อย่างหนึ่งคือ ไม่เกิดดอกผลให้กับเจ้าของทรัพย์ ซึ่งแตกต่างจากหุ้น และพันธบัตรที่สามารถเกิดดอกผลให้กับ เจา้ ของทรัพยไ์ ด้ สรปุ เงนิ ไม่เพียงสามารถซ้ือขายแลกเปลี่ยนสนิ คา้ และบริการได้ทกุ ชนิดเท่าน้ัน แตเ่ งนิ ยังเป็นทรัพย์ท่ีมี มูลค่าทำให้ผู้ที่ปรารถนาที่จะได้มาซึ่งทรัพย์สิน ความมั่นคงทางการเงิน และมีฐานะเป็นที่ยอมรับในสังคมหรือ ต้องการแสวงหาอำนาจ ใช้เงินแสวงหาสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้กับตนเอง นอกจากนั้นเงินยังมีบทบาทสำคัญในการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค และทำให้เกิดการพัฒนาในทุก ๆ ดา้ น ความสำคัญของเงนิ เงิน หมายถึง วัตถุหรือเอกสารใด ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในการแลกเปลี่ยนกับสินค้าและ บริการ และใชช้ ำระหน้ใี นประเทศหนง่ึ ๆ หรือในบรบิ ทสงั คมเศรษฐกจิ หน่งึ ๆ ได้ตามกฎหมาย หนา้ ทหี่ ลักของเงิน จำแนกไดว้ า่ เปน็ สอื่ กลางการแลกเปล่ยี น เปน็ หน่วยวดั มลู ค่า เป็นเครื่องเกบ็ รักษามลู ค่า และ บางครงั้ ในอดตี เป็น

มาตรฐานการชำระหนภี้ ายหน้า วตั ถุหรอื เอกสารท่ีตรวจสอบได้และปลอดภยั ใด ๆ ซ่ึงสามารถทำหน้าทีเ่ หล่านี้ล้วน เป็นเงินทงั้ สิ้น เงินถือกำเนิดขึ้นเป็นเงินที่เป็นสิ่งของ (commodity money) แต่ระบบเงินร่วมสมัยแทบทั้งหมดเป็น แบบเงินกระดาษ (fiat money) เงินกระดาษนั้นปราศจากมูลค่าใชส้ อยแท้จริงเฉกเช่นสินค้าทางกายภาพ และค่า ของเงินกระดาษมาจากการประกาศของรัฐบาลให้เป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย นั่นคือ เงินนั้นจะต้อง ไดร้ บั การยอมรบั ใหเ้ ปน็ รปู แบบการแลกเปลี่ยนภายในอาณาเขตของประเทศ กบั “หนส้ี ินทัง้ หมด ท้งั หน้ีสาธารณะ และเอกชน” เงินตราไทย เงินตราที่ใช้ในประเทศไทย ปัจจบุ ันมี 2 ชนิด คอื ธนบตั รและเหรยี ญกษาปณ์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ธนบตั ร ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานทีท่ าหนา้ ที่บริหารจดั การธนบตั รภายในประเทศทุกขัน้ ตอน เรมิ่ ต้ังแต่การผลิต นาธนบัตรใหม่ออกใช้หมุนเวียนและทาลายธนบัตรเก่า รวมทัง้ ประเมินความต้องการใช้ธนบัตรใหม่ ในแต่ละปีว่าควรจะผลิตธนบัตรชนิดราคาใดออกมาจานวนมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ใช้ จ่ายของประชาชน ในประเทศ ซึ่งในแต่ละปีปริมาณการผลิตธนบัตรจะผันแปรไปตามความต้องการใช้ธนบัตร ท่ี เพมิ่ ขน้ึ หรอื ลดลงตามภาวะเศรษฐกจิ ของประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้มีสิทธิ์พิมพ์และออกใช้ธนบัตรในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โดย ปฏิบัติตามที่พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 กาหนดไว้ว่าการนาธนบัตรออกใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สามารถทาได้ 2 กรณี คือ 1. แลกเปลี่ยนทันทีกับธนบัตรที่ออกใช้หมุนเวียนอยู่แล้วในมูลค่าที่เท่ากัน เช่น ธนบัตรชนิดราคา 1000 บาท 10 ฉบับ มลู ค่า 10,000 บาท แลกเปลี่ยนกบั ธนบัตรใหม่ชนิดราคาเดียวกันหรือชนิดราคาอืน่ ในมูลค่าที่ เทา่ กัน อาทิ ธนบตั รชนิดราคา 500 บาท จานวน 20 ฉบบั 2. แลกเปลี่ยนทันทีกับสินทรัพย์ที่กฎหมายกาหนดให้เป็นทุนสารองเงินตรา ในมูลค่าที่เท่ากัน เช่น นาทองคามูลค่า 100 ล้านบาทมาเขา้ บญั ชีทนุ สารองเงินตรา แลกเปลี่ยนกับธนบตั รเพือ่ นาออกใชม้ ูลค่า 100 ล้าน บาทเทา่ กัน ทำไมธนบตั รจึงมีคา่ การที่ธนบัตรได้รับความเชื่อถือและมีมูลค่าตามราคาที่ระบุไว้ได้นั้น เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ ต้องนาสินทรัพย์ เชน่ ทองคา เงนิ ตราตา่ งประเทศ หลักทรัพยต์ ่างประเทศ มาแลกเปล่ยี นเท่ากบั จานวนมูลค่าของ ธนบัตรที่จะนาออกใช้ ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวจะโอนเข้าไว้ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา โดยธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดแู ลรกั ษาบัญชี และมสี านกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดินตรวจสอบเป็นประจาทุกปี ดังน้นั จึงมั่นใจได้ว่าธนบัตร ทกุ ฉบบั มีมลู คา่ ตามราคาทต่ี ราไว้อยา่ งแทจ้ ริง

ธนบตั รท่ใี ช้หมุนเวยี นในปัจจุบนั นับจากปี พ.ศ. 2445 ที่เริ่มนาธนบัตรแบบแรกออกใช้ จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมี ธนบัตรออกใช้หมุนเวียนรวมจานวน 16 แบบ โดยธนบัตรแบบปัจจุบัน คือ ธนบัตรแบบสิบหก1 มี 5 ชนิดราคา ได้แก่ 20 บาท 50 บาท 100 บาท 500 บาท และ 1000 บาท

ใบงานท่ี 13 จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. เงนิ หมายถึง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ 2. เงินมีความสำคัญอยา่ งไรบา้ ง จงอธบิ าย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ 3. หนา้ ทข่ี องเงินมกี ี่ข้อ อะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………......... 4. เงนิ มีก่ีประเภท อะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….........

ใบความร้ทู ี่ 14 ภาวะเงินเฟ้อ ภาวะเงนิ เฟอ้ (องั กฤษ: inflation) หมายถงึ การท่ีระดบั ราคาสินค้าหรือบริการในระยะเวลาหน่ึงสูงข้ึน เร่ือย ๆ อย่างตอ่ เน่อื ง เม่อื ราคาสินค้าสูงขึ้น เงินตราหน่งึ หน่วยจึงสามารถซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ดังนั้นจึงอาจมองได้ ว่าภาวะเงินเฟ้อเป็นการสะท้อนถึงอำนาจการซื้อที่ลดลงต่อหนึ่งหน่วยเงินตรา หรือปริมาณการสูญเสียมูลค่าที่ แท้จริงของตวั กลางท่ีใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าในเศรษฐกิจ วธิ ีวดั ค่าความเฟ้อของราคาสินค้าทำโดยการหาอัตรา เงินเฟ้อ ซึ่งจะคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงประจำปีของดรรชนีราคาโดยมีหน่วยเป็นอัตราร้อยละ เงินเฟ้อเป็น ภาวะตรงข้ามกบั ภาวะเงนิ ฝืด ภาวะเงินเฟ้อมีผลต่อเศรษฐกิจทั้งบวกและลบ ผลเสียที่เกี่ยวข้องกับภาวะเงินเฟ้อรวมถึงการเพิ่มของ ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการไม่ใช้เงินและการทำให้ผู้บริโภคกักตุนสินค้าเน่ื องจากประเมินว่าราคาจะเพิ่มขึ้นใน อนาคต (หากอตั ราเงนิ เฟ้อเพมิ่ อย่างรวดเร็ว) ผลเชงิ บวกของอตั ราเงินเฟ้อมดี งั น:ี้ โดยหลกั การภาวะเงนิ เฟ้อช่วยสรา้ งแรงจูงใจให้ทุกคนใช้จา่ ยและลงทุนเน่อื งจากภาวะเงนิ เฟ้อทำให้เงิน ท่ีเกบ็ ไว้มมี ูลค่านอ้ ยลงเรื่อย ๆ การเพม่ิ การใชจ้ ่ายและลงทุนถือเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกจิ แต่ในขณะเดียวกัน การกระตุ้นในลักษณะนี้อาจส่งผลให้ทรัพยากรไม่ถกู นำไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ภาวะเงินเฟอ้ ชว่ ยลดภาระหนีท้ ่ี แท้จริงของทั้งภาครัฐและเอกชน ตัวอย่างเช่นการทำสัญญาเงินกู้ซึ่งมีอัตราเบี้ยคงที่ ภาวะเงินเฟ้อทำให้ค่าแร ง เพมิ่ ข้ึนในขณะที่รายจา่ ยต่อเดอื นเพื่อใช้หนยี้ ังคงเดิม ดงั น้นั ลกู หนจ้ี ึงมีเงนิ เหลือตอ่ เดือนมากข้ึนว่าเดมิ ภาวะเงินเฟ้อ ช่วยรักษาอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางให้มากกว่าศูนย์ ดังนั้นธนาคารกลางจึงสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเวลา จำเป็นเพือ่ ท่ีจะกระตุ้นเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อช่วยลดอัตราการวา่ งงานในกรณีที่การว่างงานมีสาเหตุมาจากความหนืดของอัตราค่าจา้ ง ยกตัวอย่างเช่น หลายครั้งในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยอุปสงค์การจ้างแรงงานจะลดลงแต่ค่าจ้างที่เป็นตัวเงินยัง เท่าเดิม เหตุการณ์นี้ทำให้อุปสงค์และอุปทานไม่สามารถเข้าถึงจุดสมดุลได้ (เนื่องผู้จ้างไม่ต้องการแรงงานแต่ จำนวนของผู้ต้องการงานมีเท่าเดิมเพราะเงนิ เดือนเทา่ เดิม) ผลจึงทำให้เกิดการว่างงาน การลดมูลค่าที่แท้จรงิ ของ ค่าจ้างซึ่งเกิดจากภาวะเงินเฟ้อทำให้ผู้จ้างสามารถจ้างคนงานเพิ่มได้ดังนั้นจึงถือเป็นการลดอัตราการว่างงานนัก เศรษฐศาสตร์โดยทั่วไปเชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อที่มีอัตราสูงและภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวดเกิดจากการขยาย ตัวของปริมาณ เงินที่มากเกินไป อย่างไรก็ดีการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเสมอไป เช่น ในกรณี กับดักสภาพคล่องที่การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบโดยธนาคารกลางไม่ทำให้เกิดการล ดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร พาณชิ ยเ์ นอ่ื งจากมคี วามกงั วลวา่ จะเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เชน่ ภาวะเงินฝืด อุปสงค์มวลรวมทีไ่ มเ่ พียงพอหรือ

สงคราม คนจึงเก็บเงินไม่ใช้จ่ายหรือกู้เพื่อลงทุน มุมมองว่าปัจจัยใดทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อต่ำถึงปานกลางยัง แตกต่างกันอยู่มาก ภาวะเงินเฟอ้ ต่ำจนถึงปานกลางอาจเกิดจากความผันผวนของอุปสงคท์ ี่แท้จรงิ ในตัวสนิ ค้าและ บรกิ าร หรอื อาจเกิดจากการเปล่ียนแปลงของปรมิ าณสินค้าเช่นการแคลนสินค้า[9] อย่างไรก็ตามฉันทามติของการ เกดิ ภาวะเงินเฟอ้ ในระยะยาวเกิดจากการขยายตวั ของปรมิ าณเงินทเ่ี รว็ กวา่ อัตราการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในปจั จบุ นั นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นชอบกบั การมีอัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำและคงที่ อัตราเงินเฟ้อ ที่ต่ำ (แทนที่จะเป็นศูนย์หรือติดลบ) จะช่วยลดความรุนแรงของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจด้วยการช่วยให้ ตลาดแรงงานสามารถปรบั ตัวไดเ้ รว็ ขึน้ (จากการลดมูลค่าทีแ่ ท้จริงของค่าจ้าง) และลดความเสย่ี งของการเกิดกับดัก สภาพคลอ่ งซึ่งทำใหน้ โยบายการเงินไม่สามารถรักษาเสถยี รภาพทางเศรษฐกิจได้ ธนาคารกลางมหี น้าท่ีรักษาอัตรา เงินเฟ้อให้ต่ำและมีเสถียรภาพโดยผ่านนโยบายการเงิน ไม่ว่าจะด้วยการตั้งค่าของอัตราดอกเบี้ย การซื้อขาย หลกั ทรัพยใ์ นตลาดเปิด หรือการต้งั คา่ เงินสำรองข้ันต่ำทธ่ี นาคารพาณชิ ยพ์ ึงมี ภาวะเงินเฟ้อในประวตั ิศาสตร์ อตั ราเงินเฟอ้ ประจำปีของอเมริกาตง้ั แต่ปคี .ศ. 1666 ถงึ 2019 การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเกิดขึ้นในสังคมทุกยุคทุกสมัย จะแตกต่างก็เพียงชนิด ของเงินที่ใช้ (เช่น ธนบัตร เปลือกหอย หรือ อัญมณี) ยกตัวอย่างสมัยที่ยังมีการใช้เหรียญทองคำแทนเงิน รัฐบาล สามารถนำเหรียญทองมาเจือจางด้วยโลหะอื่นๆเช่น เงิน ทองแดง หรือ ตะกั่ว แล้วนำกลับไปใช้ในระบบที่มูลค่า หน้าเหรียญเท่าเดิม การเพิ่มเหรียญให้มากขึ้นโดยใช้ปริมาณทองคำเท่าเดิมถือเป็นการทำกำไรซึ่งในทาง เศรษฐศาสตร์เรียกว่า การออกหนี้ (หรือเงิน) โดยไม่มีต้นทุน (หรือลดต้นทุน) เมื่อปริมาณเหรียญในระบบเพิ่มขึ้น มูลค่าที่แท้จริงของเหรียญแต่ละเหรียญจึงลดลง ผู้บริโภคจึงต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ าและการ บรกิ ารในปริมาณเทา่ เดิม ราชวงศ์ซ่งของจีนเป็นผู้ริเริ่มการตีพิมพ์เงินกระดาษหรือธนบัตรและถือเป็นเงินตราที่บังคับให้ ประชาชนใช้โดยท่ีรัฐบาลไม่ต้องถือทุนสำรองครั้งแรกของโลก[19] ในช่วงราชวงศ์หยวนของมองโกลรัฐบาลใช้เงนิ อยา่ งมากมายไปกับการศกึ สงคราม จึงจัดให้มีการพมิ พธ์ นบตั รอย่างมากมายและทำใหเ้ กดิ ภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาเงิน เฟ้อทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดผู้คนหยุดใช้ธนบัตรเนื่องจากเห็นว่าเป็นเพียง \"กระดาษไร้ค่า\" รัฐบาลใน สมัยราชวงศ์หมิงตอนต้นเกรงกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับราชวงศ์หยวน จึงอนุญาตให้ใช้เงินที่ทำจากเหรียญทองแดง เทา่ นัน้ และไมม่ อี อกเงนิ กระดาษจนกระทัง่ ปีค.ศ. 1375 หลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการนำทองหรือแร่เงินเข้าสู่ระบบมากขึ้นเรื่อยๆสามารถทำ ใหเ้ กิดภาวะเงินเฟ้อได้เช่นเดียวกนั ตั้งแต่ช่วงครง่ึ หลังของศตวรรษที่ 15 จนถงึ ครง่ึ แรกของศควรรษท่ี 17 ประเทศ ยุโรปตะวันตกได้เผชิญกับวงจรเงินเฟ้อครั้งสำคัญซึ่งเรียกว่า การปฏิวัติทางราคา โดยที่สินค้ามีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ประมาณหกเท่าภายในเวลา 150 ปี สาเหตุหลักมาจากการหลั่งไหลของแร่เงินและทองจากโลกใหม่เข้าสู่สเปนใน สมยั ราชวงศฮ์ ับส์บรู ก์ อย่างรวดเร็ว แร่เงนิ ได้กระจายเขา้ สยู่ ุโรปซึ่งขาดแคลนตัวกลางในการแลกเปล่ียนสินค้าส่งผล

ให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างกว้างขวาง ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของประชากรในยุโรปหลังการระบาดครั้งใหญ่ของโรค กาฬโรคถอื เป็นสว่ นเสริมใหม้ ีการขยบั ข้ึนของราคาสินคา้ เช่นเดยี วกัน ในช่วงศตวรรษที่ 18 หลายประเทศนำระบบเงินกระดาษที่รัฐบาลไม่ต้องถือทุนสำรองมาใช้ จึงทำให้ เกดิ สกุลเงนิ ตา่ งๆข้ึนมากมาย นบั ต้ังแตส่ มยั นั้นการเพิ่มข้ึนของการใช้เงนิ กระดาษสง่ ผลใหเ้ กิดภาวะเงินเฟ้อย่ิงยวด หลายครั้งในหลายประเทศ และในแต่ละครั้งมีความรุนแรงมากกว่าในสมัยที่ยังใช้เงินที่ทำจากแร่โลหะ ภาวะเงิน เฟ้อยิง่ ยวดในสาธารณรัฐไวมาร์ของเยอรมนเี ป็นถือเปน็ ตวั อย่างทนี่ ่าสนใจ ในช่วงศตวรรษที่ 19 นักเศรษฐศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการขึ้นลงของราคาสินค้ามีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงมูลค่าพื้นฐานหรือค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้า (2) การเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าโภค ภณั ฑซ์ ่งึ กค็ อื แรโ่ ลหะท่ีเก่ยี วขอ้ งกับสกุลเงินนั้น ๆ เช่น ทองคำ หรอื เงนิ และ (3) \"การลดค่าของสกุลเงิน\" ซงึ่ ข้นึ อยู่ กับอัตราส่วนของปริมาณเงินตรากับปริมาณของโลหะสำรองที่เงินตราน้ันๆสามารถนำไปแลกได้ หลังจากมีการใช้ บตั รธนาคาร (ซงึ่ ออกโดยธนาคารพาณิชย)์ อยา่ งแพร่หลายในชว่ งสงครามกลางเมืองอเมริกา คำวา่ \"ภาวะเงนิ เฟ้อ\" จึงเริ่มมีความหมายตรงกับการลดค่าของสกุลเงิน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของบัตรธนาคารไดแ้ ซงปริมาณของโลหะท่ี บัตรธนาคารนั้น ๆ สามารถทำไปแลกได้ ในสมัยนั้น \"ภาวะเงินเฟ้อ\" จึงหมายถึงการลดค่าของสกุลเงินแทนที่จะ หมายถงึ การเพ่ิมข้นึ ของราคาสินคา้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook