Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายวิชาศิลปศึกษา ทช21003

รายวิชาศิลปศึกษา ทช21003

Published by ครูนภัสสร, 2021-10-28 03:32:07

Description: ทช21003

Search

Read the Text Version

94 เครืองแตง่ กายนาง

95 เรืองที ประเภทของนาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ ไทย เป็นศลิ ปะทีรวมศิลปะทุกแขนงเขา้ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ โขน ละคร รํา ระบาํ และ การเลน่ พนื เมือง .โขน เป็นศลิ ปะของการรํา การเตน้ แสดงเป็นเรืองราว โดยมีศิลปะหลายรูปแบบผสมผสานกนั ลกั ษณะการแสดงโขนมีหลายชนิด ไดแ้ ก่ โขนกลางแปลง โขนนงั ราว โขนโรงใน โขนหนา้ จอ และ โขนฉาก ซึงโขนแต่ละชนิดมีลกั ษณะทีเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั สิงสาํ คญั ทีประกอบการแสดงโขน คือ บททีใชป้ ระกอบการแสดงจากเรืองรามเกียรติ การแต่งกายมหี วั โขน สาํ หรับสวมใส่เวลาแสดง เพือบอกลกั ษณะสาํ คญั ตวั ละครมกี ารพากย์ เจรจา ขบั ร้อง และดนตรีบรรเลงดว้ ยวงปี พาทย์ ยดึ ระเบียบแบบแผนในการแสดงอยา่ งเคร่งครัด การแสดงโขน ตอน ยกรบ

96 ประวตั คิ วามเป็ นมาของโขน โขน เป็นการแสดง ทีกล่าวกนั ว่า ไดร้ ับอทิ ธิพลการแสดงมาจากการละเลน่ ของไทยหลาย แบบ นาํ มาผสมผสานกนั จนเกิดการแสดงทีเรียกวา่ โขน ดงั จะไดก้ ลา่ วดงั ต่อไปนี . การแสดงชกั นาคดึกดาํ บรรพ์ ซึงเป็นการแสดงตาํ นานของพระนารายณ์ตอนกวนนาํ อมฤต โดยแบ่งผแู้ สดงออกเป็น ฝ่ าย คือ ฝ่ ายอสูร กบั ฝ่ ายเทวดา และวานร โดยอสูรจะเป็นผชู้ กั อยดู่ า้ นหวั ส่วนเทวดาและวานร ชกั อยดู่ า้ นลา่ ง ใชพ้ ญานาคเป็นเชือก เขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง การแสดง แนวคิดนีเชือว่าเป็นตน้ เหตุใหม้ ีการพฒั นาแบ่งผแู้ สดง เครืองแต่งกาย และนาํ แบบอยา่ งมาเป็น รูปแบบการแสดงโขน ไดแ้ ก่การแต่งกาย เทวดา ยกั ษ์ ลิง . กระบี กระบอง เป็นการแสดงศิลปะการต่อสูป้ ้ องกนั ตวั ดว้ ยยทุ ธวธิ ี เป็นศลิ ปะทีชาวไทย ทุกคนตอ้ งเรียนรู้และป้ องกนั ตนเอง และประเทศชาติ กระบวนท่าต่าง ๆ นนั เชือว่า โขนคงรับมาใน ท่าทางของการต่อสูข้ องตวั แสดง . หนงั ใหญ่ เป็นมหรสพของไทยในอดีต ใชห้ นงั ววั ฉลเุ ป็นภาพตวั ละครต่าง ๆ เวลาแสดง จะใหแ้ สงส่องตวั หนงั เกิดเงาทีงดงามบนจอผา้ ขาว จุดเด่นของหนงั ใหญ่ คือ การเตน้ ของผเู้ ชิดตวั หนงั ไปตามจงั หวะของดนตรี เรียกว่า หนา้ พาทย์ และบทเจรจา ดงั นนั โขน น่าจะไดร้ ับอทิ ธิพลการ พากย์ และเจรจา จากการแสดงหนงั ใหญ่ เรืองทีแสดง จะใชว้ รรณคดีทีไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากอนิ เดียคอื รามเกียรติ วรี กษตั ริยช์ าว อารยนั คือพระราม ทีเป็นตวั เอกของเรือง หนงั ใหญ่

97 ประเภทของโขน โขน เป็นศิลปะการแสดงทีมีการพฒั นา และเปลยี นแปลงไปตามสภาพทางสงั คม ขนบธรรมเนียมประเพณี ทาํ ใหเ้ กิดรูปแบบของโขน หลายรูปแบบ ซึงสามารถแบ่งประเภทตาม ลกั ษณะองคป์ ระกอบของการแสดง ดงั นี . โขนกลางแปลง เป็นโขนทีแสดงกลางสนาม ใชธ้ รรมชาติ เป็นฉากประกอบ นิยมแสดง ตอนทีมกี ารทาํ ศกึ สงคราม เพราะจะตอ้ งใชต้ วั แสดงเป็นจาํ นวนมาก และตอ้ งการแสดงถึงการเตน้ ของโขน การเคลอื นทพั ของทงั สองฝ่ าย การต่อสู้ ระหวา่ งฝ่ ายพระราม พระลกั ษณ์ พลวานร กบั ฝ่ าย ยกั ษ์ ไดแ้ ก่ทศกณั ฑ์ ภาพโขนกลางแปลง

98 . โขนโรงนอก หรือโขนนงั ราว เป็นโขนทีมีวิวฒั นาการมาจากโขนกลางแปลง หาก เปลยี นสถานทีแสดงบนโรง มรี าวไมไ้ ผข่ นาดใหญ่อยดู่ า้ นหลงั สาํ หรับตวั โขน นงั แสดง รูปแบบของ การแสดงดาํ เนินเรืองดว้ ยการพากยแ์ ละเจรจา โขนโรงนอกหรือโขนนงั ราว 1.3 โขนโรงใน เป็นการนาํ เอารูปแบบการแสดงโขนโรงนอก มาผสมผสานกบั การแสดง ละครใน ทีมีการขบั ร้อง และการร่ายราํ ของผแู้ สดง ดาํ เนินเรืองดว้ ยการพากย์ เจรจา มกี ารขบั ร้อง ประกอบท่ารํา เพลงระบาํ ผสมผสานอยดู่ ว้ ย ภาพโขนโรงใน

99 1.4 โขนหน้าจอ ไดแ้ ก่ โขนทีใชจ้ อหนงั ใหญ่เป็นฉากประกอบการแสดง กลา่ วคือ มจี อหนงั ใหญ่เป็นฉาก ทีดา้ นซา้ ยขวาเขียนรูปปราสาท และพลบั พลาไวท้ งั สองขา้ ง ตวั แสดงจะออกแสดง ดา้ นหนา้ ของจอหนงั ดาํ เนินดว้ ยการพากย์ เจรจา ขบั ร้อง รวมทงั มกี ารจดั ระบาํ ฟ้ อนประกอบดว้ ย โขนหนา้ จอ . . โขนฉาก เป็นรูปแบบโขนทีพฒั นาเป็นลาํ ดบั สุดทา้ ย กลา่ วคือเป็นการแสดงในโรง มีการ จดั ทาํ ฉาก เปลียนไปตามเรืองราวทกี าํ ลงั แสดง ดาํ เนินเรืองดว้ ยการพากย์ เจรจา และขบั ร้อง ร่ายราํ ประกอบคาํ ร้องมรี ะบาํ ฟ้ อนประกอบ . ละคร คือ การแสดงทีเล่นเป็นเรืองราว มงุ่ หมายก่อใหเ้ กิดความบนั เทิงใจ สนุกสนาน เพลดิ เพลิน หรือเร้าอารมณ์ ความรู้สึกของผดู้ ู ตามเรืองราวนนั ๆ ขณะเดียวกนั ผดู้ กู ็จะไดแ้ นวคิด คติธรรมและปรัชญา จากการละครนนั

100 ประเภทของละครไทย ละครไทยเป็นละครทีมีพฒั นาการมาเป็นลาํ ดบั ตงั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยาจนถงึ ปัจจุบนั ดงั นนั ละครไทยจึงมรี ูปแบบตา่ ง ๆ ซึงแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ได้ ประเภทดงั ต่อไปนี ละครราํ ละครร้อง ละครพดู ละครรํา เป็นศิลปะการแสดงของไทยทีประกอบดว้ ยท่ารํา ดนตรีบรรเลง และบทขบั ร้องดาํ เนินเรือง มผี แู้ สดงเป็นตวั พระ ตวั นาง และตวั ประกอบแต่งองคท์ รงเครืองตามบท งดงามระยบั ตา ท่าราํ ตาม บทร้องประสานทาํ นองดนตรีบรรเลง จงั หวะชา้ เร็ว เร้าอารมณ์ ใหเ้ กิดความรู้สึกตามบทละครทงั คึกคกั สนุกสนาน หรือโศกเศร้า ตวั ละครสือความหมายบอกกลา่ วตามอารมณ์ดว้ ยภาษาท่า โดยมผี ู้ ขบั ร้อง คือผเู้ ลา่ เรืองดว้ ยทาํ นองเพลงตามบทละคร ซึงเป็นคาํ ประพนั ธ์ ประเภทคาํ กลอน บทละคร มี การบรรยายความวา่ ตวั ละครเป็นใคร อยทู่ ีไหน กาํ ลงั ทาํ หรือคิดสิงใด และมีทาํ นอง เพลงร้อง เพลง หนา้ พาทย์ ประกอบท่าราํ บรรจุไวใ้ นบทกลอน ตามรูปแบบศิลปะการแสดงละครราํ ดนตรีใชว้ งปี พาทยบ์ รรเลงประกอบการแสดง ละครรําแบ่งการแสดงออกเป็น ชนิดคือ ละครนอก ละครใน ละครดึกดาํ บรรพ์ ละคร พนั ทาง ละครเสภา และละครชาตรีเครืองใหญ่ ภาพละครในเรืองอิเหนา

101 ละครชาตรีเรืองมโนราห์ ละครนอกเรืองสังขท์ อง

102 . รําและระบํา เป็นการแสดงชุดเบด็ เตลด็ มีหลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ราํ หนา้ พาทย์ การรําบท การ ราํ เดียว การรําหมู่ ระบาํ มาตรฐาน ระบาํ ทีปรับปรุงขึนใหม่ รําหรือ ระบาํ ส่วนใหญ่ จะเนน้ ในเรือง สวยงาม ความพร้อมเพรียง ถา้ เป็นการแสดงหมมู่ าก ตลอดทงั ใชร้ ะยะเวลาการแสดงสนั ๆ ชมแลว้ ไมเ่ กิดความเบือหน่าย ราํ สีนวล ฉุยฉายพราหมณ์

103 . การละเล่นพนื เมอื ง การละเล่นพืนเมอื งเป็นการละเล่นในทอ้ งถนิ ทีสืบทอดกนั มาเป็นเวลานาน แบ่งออกเป็น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน แต่ละภาคจะมีลกั ษณะเฉพาะในการแสดง ทงั นีขึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายประการไดแ้ ก่สภาพภมู ศิ าสตร์ ประเพณี ศาสนา ความเชือและค่านิยม ทาํ ใหเ้ กิดรูปแบบ การละเล่นพืนเมอื งขึนหลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ รูปแบบการแสดงทีเป็นเรืองราวของการร้องเพลง เช่น เพลงเกียวขา้ ว เพลงบอก เพลงซอ หรือรูปแบบการแสดง เช่น ฟ้ อนเทียน เซิงกระหยงั ระบาํ ตารีกีปัส ซึงแต่ละรูปแบบนีจะมที งั แบบอนุรักษป์ รับปรุงและพฒั นา เพอื ใหด้ าํ รงอยสู่ ืบไป ภาพฟ้ อนเทยี น

104 เรืองที นาฏยศัพท์ นาฏยศพั ท์ หมายถงึ ศพั ทเ์ ฉพาะในทางนาฏศลิ ป์ ซึงเป็นภาษาทีใชเ้ ป็นสญั ลกั ษณ์และสือ ความหมายกนั ในวงการนาฏศิลป์ ไทย นาฏยศพั ท์ แบ่งออกเป็น หมวด คือ 1. หมวดนามศพั ท์ หมายถึง ท่ารําสือต่างๆ ทีบอกอาการของท่านนั ๆ - วง เช่น วงบน วงกลาง - จีบ เช่น จีบหงาย จีบควาํ จีบหลงั - ท่าเทา้ เช่น ยกเทา้ ประเทา้ กระดก . หมวดกิริศพั ท์ คือ ศพั ทท์ ีใชใ้ นการปฏบิ ตั ิอาการกริ ิยา แบ่งออกเป็นศพั ทเ์ สริมและ ศพั ทเ์ สือม - ศพั ทเ์ สริม หมายถงึ ศพั ทท์ ีใชเ้ สริมท่วงทีใหถ้ กู ตอ้ งงดงาม เช่น ทรงตวั ส่งมือ เจียง ลกั คอ กดไหล่ ถบี เข่า เป็นตน้ - ศพั ทเ์ สือม หมายถงึ ศพั ทท์ ีใชเ้ รียกท่ารําทีไม่ถกู ระดบั มาตรฐาน เพอื ใหผ้ รู้ ํารู้ตวั และ ตอ้ งแกไ้ ขท่วงทีของตนใหเ้ ขา้ สู่ระดบั เชน่ วงลา้ วงตกั วงลน้ ราํ เลือย ราํ ลน เป็นตน้ . หมวดนาฏยศพั ทเ์ บ็ดเตลด็ คือ ศพั ทท์ ีนอกเหนือจากนามศพั ท์ กิริยาศพั ท์ ซึงจดั ไวเ้ ป็น หมวดเบ็ดเตลด็ มีดงั นี เหลยี ม หมายถงึ ระยะเข่าทงั สองขา้ งแบะออก กวา้ ง แคบ มากนอ้ ยสุดแต่จะเป็นท่าของ พระ หรือนาง ยกั ษ์ ลิง เหลยี มทีกวา้ งทีสุด คือเหลยี มยกั ษ์ เดนิ มอื หมายถงึ อาการเคลอื นไหวของแขนและมือ เพือเชือมท่า แม่ท่า หมายถงึ ท่าราํ ตามแบบมาตรฐาน เช่น แม่บท ขึนท่า หมายถึง ท่าทีประดษิ ฐใ์ หส้ วยงาม แบ่งออกเป็น ก. ขึนท่าใหญ่ มอี ยู่ ท่า คือ (1) ท่าพระสีหนา้ แสดงความหมายเจริญรุ่งเรือง เป็นใหญ่ (2) ท่านภาพร แสดงความหมายเช่นเดียวกบั พรหมสีหนา้ (3) ท่าเฉิดฉิน แสดงความหมายเกียวกบั ความงาม (4) ท่าพสิ มยั เรียงหมอน มีความหมายเป็นเกยี รติยศ

105 ข. ขึนท่าน้อย มีอยหู่ ลายท่าต่างกนั คือ (1) ท่ามือหนึงตงั วงบวั บาน อกี มอื หนึงจีบหลงั (2) ท่ายอดตอ้ งตอ้ งลม (3) ท่าผาลาเพียงไหล่ (4) ท่ามอื หนึงตงั วงบน อีกมอื หนึงตงั วงกลาง เหมอื นท่าบงั สุริยา (5) ท่าเมขลาแปลง คือมือขา้ งทีหงายไมต่ อ้ งทาํ นิวลอ่ แกว้ พระใหญ่ – พระนอ้ ย หมายถงึ ตวั แสดงทีมบี ทสาํ คญั พอๆ กนั พระใหญ่ หมายถงึ พระเอก เช่น อเิ หนา พระราม ส่วนพระนอ้ ย มบี ทบาทเป็นรอง เช่น สงั คามาระตา พระลกั ษณ์ นายโรง หมายถึง พระเอก เป็นศพั ทเ์ ฉพาะละครรํา ยนื เครือง หมายถงึ แต่งเครืองละครราํ ครบเครือง นางกษตั ริย์ บุคลิกท่วงทีเรียบร้อย สง่ามที ีท่าเป็นผดู้ ี นางตลาด ท่วงทีวอ่ งไว สะบดั สะบิงไม่เรียบร้อย เช่น นางยกั ษ์ นางแมว เป็นตน้ ทา่ “เฉิดฉิน” นาฏยศพั ท์ มอื ขวาตงั “วงบวั บาน” มอื ซ้ายตงั ”วงหนา้ ” เทา้ ซ้าย “กระดกหลงั ”

106 ภาษาท่า หมายถึง การแสดงกิริยาท่าทางเพือสือความหมายแทนคาํ พดู ส่วนมากใชใ้ น การแสดงนาฏศลิ ป์ และการแสดงละครต่างๆ ภาษาท่าแบ่งเป็น ประเภท ดงั นี 1. ท่าทางทีใชแ้ ทนคาํ พดู เช่น ไป มา เรียก ปฏิเสธ 2. ท่าทางทีใชแ้ ทนอารมณ์ภายใน เช่น รัก โกรธ ดีใจ เสียใจ 3. ท่าแสดงกิริยาอาการหรืออิริยาบถ เช่น ยนื เดิน นงั การร่ายรําท่าต่างๆ นาํ มาประกอบบทร้องเพลงดนตรี โดยมงุ่ ถงึ ความสง่างามของลีลาท่าราํ และจาํ เป็นตอ้ งอาศยั ความงามทางศิลปะเขา้ ชว่ ย วธิ ีการใชท้ ่าทางประกอบบทเรียน บทพากย์ และ เพลงดนตรีพนั ทางนาฏศิลป์ เรียกว่า การตีบท หรือการราํ บท

107 เรืองที รําวงมาตรฐาน ประวตั ริ ําวงมาตรฐาน ราํ วงมาตรฐาน เป็นการแสดงมาจากราํ โทน เป็นการละเลน่ พืนบา้ นอยา่ งหนึงของชาวไทยที บ่งบอกถึงความสนุกสนาน ซึงแต่เดิมราํ โทนกเ็ ลน่ กนั เป็นวง จึงเรียกว่า “ราํ วง” แต่เดิมไมม่ ีคาํ วา่ “มาตรฐาน” จะเรียกกนั ว่ารําวงเท่านนั ต่อมาราวสงครามโลกครังที ไดม้ กี ารปรับปรุงการเลน่ รํา โทนใหง้ ดงามตามแบบของกรมศลิ ปากร ทงั การร้อง และการร่ายรําใหม้ ีความงดงามเป็นแบบฉบบั กลางๆ ทีจะร้องเล่นไดท้ วั ไปในทกุ ภาค และเปลยี นจากการเรียกว่า ราํ โทน เป็นราํ วง เพราะประการ ทีหนึง เครืองดนตรีทีใชม้ มี ากกวา่ ฉิง กรับ และโทน เพอื เพมิ ความสนุกสนาน และความไพเราะให้ ถกู หลกั ทงั ไทยและสากล ประการทีสอง แต่เดิมรําโทนกเ็ ล่นกนั เป็นวงการเปลียนจากรําโทนเป็นราํ วง กย็ งั คงรูปลกั ษณ์เดิมไวส้ ่วนทีพฒั นาคือท่าราํ จดั ใหเ้ ป็นท่ารําไทยพนื ฐานอยา่ งง่ายๆ สู่โลกสากล เรียนรู้ง่าย เป็นเร็ว สนุก และเป็นแบบฉบบั ของไทยโดยแท้ ทางดา้ นเนือร้องไดพ้ ฒั นาในทาํ นอง สร้างสรรค์ รําวงทีพฒั นาแลว้ นีเรียกว่า ราํ วงมาตรฐาน เนือเพลงในรําวงมาตรฐานมีทงั หมด เพลง แต่ละเพลงจะบอกท่าราํ (จากแม่บท) ไวใ้ หพ้ ร้อมปฏบิ ตั ิ ชือเพลงรําวงมาตรฐานและท่ารํา ท่ารํา ชือเพลง 1. สอดสร้อยมาลา 1. งามแสงเดือน 2. ชกั แป้ งผดั หนา้ 2. ชาวไทย 3. ราํ ส่าย 3. รํามาซิมารํา 4. สอดสร้อยมาลาแปลง 4. คืนเดือนหงาย 5. แขกเตา้ เขา้ รัง 5. ดวงจนั ทร์วนั เพญ็ เพลงรําวงมาตรฐาน . เพลงงานแสงเดือน รําท่า สอดสร้อยมาลา งามแสงเดือนมาเยอื นส่องหลา้ งามใบหนา้ เมอื อยวู่ งรํา ( เทียว) เราเล่นเพือสนุก เปลอื งทุกขว์ ายระกาํ ขอใหเ้ ลน่ ฟ้ อนราํ เพือสามคั คี เอย.

108 2. เพลงชาวไทย รําท่า ชักแป้ งผดั หน้า ชาวไทยเจา้ เอ๋ย ขออยา่ ละเลยในการทาํ หนา้ ที การทีเราไดเ้ ล่นสนุก เปลอื งทุกขส์ บายอยา่ งนี เพราะชาติเราไดเ้ สรี มเี อกราชสมบูรณ์ เราจึงควรช่วยชาติ ใหเ้ ก่งกาจเจิดจาํ รูญ เพือความสุขเพมิ พนู ของชาวไทยเรา เอย. . เพลงรําซิมารํา รําท่า รําส่าย เริงระบาํ กนั ใหส้ นุก ราํ มาซิมาราํ ไม่ละไมท่ ิงจะเกิดเขญ็ ขกุ ตามเชิงเช่นเพอื ใหส้ ร่างทุกข์ ยามงานเราทาํ งานจริงจริง เล่นสนุกอยา่ งวฒั นธรรม ถึงยามว่างเราจึงราํ เล่น ใหง้ ามใหเ้ รียบจึงจะคมขาํ ตามเยยี มอยา่ งตามยคุ มาเล่นระบาํ ของไทยเรา เอย. เล่นอะไรใหม้ รี ะเบียบ มาซิมาเจา้ เอ๋ยมาฟ้ อนราํ . เพลงคนื เดือนหงาย รําท่า สอดสร้อยมาลาแปลง ยามกลางคืนเดือนหงาย เยน็ พระพายโบกพลวิ ปลิวมา เยน็ อะไรก็ไม่เยน็ จิต เท่าเยน็ ผกู มิตรไม่เบือระอา เยน็ ร่มธงไทยปกไทยทวั หลา้ เยน็ ยงิ นาํ ฟ้ ามาประพรม เอย. ชือเพลง ท่ารํา 6. ดอกไมข้ องชาติ 6. ราํ ยวั 7. หญิงไทยใจงาม 7. พรหมสีหนา้ , ยงู ฟ้ อนหาง 8. ดวงจนั ทร์ขวญั ฟ้ า 8. ชา้ งประสานงา, จนั ทร์ทรงกลดแปลง 9. ยอดชายใจหาญ 9. (หญิง) ชะนีร่ายไม้ (ชาย) จ่อเพลิงกาฬ 10. บูชานกั รบ 10. เทียวแรก (หญิง) ขดั จางนาง (ชาย) จนั ทร์ทรงกลด เทียวสอง (หญิง) ลอ่ แกว้ (ชาย) ขอแกว้

109 ลกั ษณะท่ารําแบบต่างของรําวงมาตรฐาน ท่าสอดสร้อยมาลา ทา่ ชกั แป้ งผดั หนา้

110 ทา่ นกแขกเตา้ เขา้ รัง

111 เรืองที การอนุรักษ์นาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ ไทย เป็นผลผลิตทางวฒั นธรรมทีเป็นรูปธรรม ซึงนบั เป็นมรดกทางวฒั นธรรมที บรรพบุรุษของเราไดส้ ร้างและสงั สมภมู ปิ ัญญามาแต่โบราณ เป็นสิงทีแสดงถงึ เอกลกั ษณข์ องชาติ ซึง แสดงใหเ้ ห็นถึงความเป็นอารยประเทศของชาติไทยทีมคี วามเป็นเอกราชมาชา้ นาน นานาประเทศใน โลกต่างชืนชมนาฏศลิ ป์ ไทยในความงดงามวิจิตรบรรจง เป็นศลิ ปะทีมคี ุณค่าควรแก่การอนุรักษแ์ ละ สืบทอด แนวทางในการอนุรักษ์นาฏศิลป์ ไทย 1. การอนุรักษร์ ูปแบบ หมายถึง การรักษาใหค้ งรูปดงั เดิม เช่น เพลงพนื บา้ นกต็ อ้ งรักษา ขนั ตอนการร้อง ทาํ นอง การแต่งกาย ท่ารํา ฯลฯ หรือหากจะผลติ ขึนใหม่ก็ใหร้ ักษารูปแบบเดิมไว้ 2. การอนุรกั ษเ์ นือหา หมายถึง การรักษาในดา้ นเนือหาประโยชน์คุณค่าดว้ ยวธิ ีการผลติ การรวบรวมขอ้ มลู เพอื การศึกษา เช่น เอกสาร และสือสารสนเทศต่างๆ การอนุรกั ษท์ งั แบบนี หากไม่มกี ารสืบทอดและส่งเสริม ก็คงไวป้ ระโยชน์ในทีนี จะขอนาํ เสนอแนวทางในการส่งเสริมเพืออนุรักษน์ าฏศลิ ป์ ไทย ดงั นี 1. จดั การศกึ ษาเฉพาะทาง ส่งเสริมใหม้ ีสถาบนั การศกึ ษาดา้ นนาฏศิลป์ จดั การเรียนการสอน เพือสืบทอดงานศลิ ปะดา้ นนาฏศิลป์ เช่น วิทยาลยั นาฏศิลป์ สถาบนั เอกชน องคก์ รของรัฐบางแห่ง ฯลฯ 2. จดั การเรียนการสอนในขนั พนื ฐาน โดยนาํ วชิ านาฏศิลป์ จดั เขา้ ในหลกั สูตรและเขา้ สู่ ระบบการเรียนการสอนทุกระดบั ตามระบบทคี วรจะใหเ้ ยาวชนไดร้ ับรู้เป็นขนั ตอนตงั แต่อนุบาล ประถม มธั ยมศกึ ษา และอดุ มศกึ ษา ตลอดจนสถาบนั การศกึ ษาทกุ ระดบั จดั รวบรวมขอ้ มลู ต่างๆ เพอื ประโยชน์ต่อการศึกษาคน้ ควา้ และบริการแก่ชุมชนไดด้ ว้ ย 3. มีการประชาสมั พนั ธใ์ นรูปแบบสือโฆษณาต่างๆ ทงั วทิ ยุ โทรทศั น์ และหนงั สือพมิ พ์ โดยนาํ ศิลปวฒั นธรรมดา้ นนาฏศลิ ป์ เขา้ มาเกียวขอ้ งเพอื เป็นการสร้างบทบาทของความเป็นไทยให้ เป็ นทีรู้จกั 4. จดั เผยแพร่ ศลิ ปวฒั นธรรม ในรูปแบบการแสดงนาฏศลิ ป์ แก่หน่วยงานรัฐและเอกชน โดยทวั ไปทงั ภายในประเทศและต่างประเทศ 5. ส่งเสริมและปลกู ฝังมรดกทางศลิ ปวฒั นธรรมภายในครอบครัว ใหร้ ู้ซึงถงึ ความเป็นไทย และอนุรักษร์ กั ษาเอกลกั ษณ์ไทย

112 กจิ กรรมที ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั บอกทีมาและประเภทของนาฏศิลป์ ไทยได้ คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปนี 1. นาฏศลิ ป์ ไทยเกิดขึนจากเหตุใด 2. นาฏศลิ ป์ ไทยมกี ีประเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย 3. ใหผ้ เู้ รียนเขียนชือการแสดงรําและระบาํ ของนาฏศลิ ป์ ไทยทีเคยชมใหม้ ากทีสุด 4. ใหผ้ เู้ รียนหาภาพและประวตั ิการแสดงเกียวกบั นาฏศิลป์ ไทย กจิ กรรมที ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. บอกความหมายของนาฏยศพั ทไ์ ด้ 2. เขา้ ใจสุนทรียะของการแสดงนาฏศิลป์ ไทยตามหลกั การใชภ้ าษาท่า คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปนี 1. อธิบายความหมายของนาฏศพั ท์ พร้อมยกตวั อยา่ งพอสงั เขป 2. อธิบายความหมายของภาษาท่าในนาฏศลิ ป์ ไทย 3. แบ่งกลุ่มคิดภาษาท่า กล่มุ ละ ประโยค ออกมาแสดงภาษาท่าทีคิดไวท้ ีละกลมุ่ โดยให้ กล่มุ อนื เป็นผทู้ ายวา่ ภาษาท่านนั ๆ หมายถงึ อะไร กจิ กรรมที ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. แสดงความรู้สึก ความคิดเห็นไดอ้ ยา่ งมเี หตุผลและสร้างสรรค์ 2. รับฟังความคิดเห็นของผอู้ นื และนาํ ไปปรับใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีเหตุผล คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนบอกชือการแสดงนาฏศลิ ป์ ไทยทีเคยชม แลว้ แสดงความคิดเห็น 1. เรืองทีชม 2. เนือเรือง 3. ตวั แสดง 4. ฉาก 5. ความเหมาะสมของการแสดง

113 กจิ กรรมที ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. บอกประวตั ิความเป็นมาของรําวงมาตรฐานได้ 2. แสดงรําวงมาตรฐานไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม คาํ ชีแจง 1. จงอธิบายประวตั ิความเป็นมาของรําวงมาตรฐาน 2. รําวงมาตรฐานนาํ ไปแสดงในโอกาสใดบา้ ง จงอธิบาย 3. ใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลมุ่ ฝึกการแสดงรําวงมาตรฐาน กลมุ่ ละ เพลง แสดงใหเ้ พอื นดทู ีละ กลุ่ม กจิ กรรมที ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั รู้คุณค่าของนาฏศลิ ป์ ไทยและแนวทางอนุรักษน์ าฏศิลป์ ไทย คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปนี 1. ถา้ หากไม่มนี าฏศลิ ป์ ไทย ประเทศไทยจะเป็นอยา่ งไร 2. ผเู้ รียนมแี นวทางการอนุรกั ษน์ าฏศิลป์ ไทยอยา่ งไรบา้ ง

114 บทที นาฏศิลป์ ไทยกบั การประกอบอาชีพ นาฏศิลป์ ไทยเป็ นการแสดงศิลปะทีเป็ นเอกลกั ษณ์ของไทย เป็ นเรืองทีมีความเกียวข้อง สมั พนั ธก์ บั ประวตั ิศาสตร์ไทย วฒั นธรรมไทย เป็ นการละเล่นเพือความบนั เทิง รืนเริงของชาวบา้ น ภายหลงั ฤดเู ก็บเกียว นาฏศิลป์ ไทยมหี ลายประเภท เช่น โขน ละคร รํา การละเล่นพืนเมอื ง เป็นตน้ สาํ หรับแนวทางในการประกอบอาชีพนาฏศลิ ป์ ไทยนนั ไดแ้ ก่ อาชีพการละเลน่ พืนเมอื งของ แต่ละภาค ดงั นี 1. อาชีพการแสดงหนงั ตะลงุ 2. อาชีพการแสดงลเิ ก 3. อาชีพการแสดงหมอลาํ ผเู้ รียนสนใจทีจะศึกษาแนวทางการประกอบอาชีพดา้ นนีต้องมีความสนใจ และมีความ เชือมนั ในตวั เอง พร้อมทีจะเรียนรู้สิงต่างๆ เกียวกบั อาชีพดงั กล่าว คณุ สมบตั ขิ องอาชีพนกั แสดงทีดี ในการแสดงบทบาทต่างๆ นักแสดงตอ้ งมีความรับผิดชอบ มีการซอ้ มบทบาททีตอ้ งแสดง โดยการศกึ ษาเนือเรือง และบททีไดร้ ับมอบหมายให้แสดง แสดงบทตลก บททีเคร่งเครียด โดยการ ใชถ้ อ้ ยคาํ หรือกิริยาท่าทาง แสดงประกอบ อาจร้องเพลง เตน้ ราํ หรือฟ้ อนราํ อาจชาํ นาญในการแสดง บทบาทอยา่ งใดอยา่ งหนึง หรือการแสดงประเภทใดประเภทหนึงและอาจมีชือเรียกตามบทบาทหรือ ประเภทของการแสดง คุณลกั ษณะของผ้ปู ระกอบอาชีพการแสดง 1. มคี วามถนดั ทางศลิ ปะการแสดง 2. มีสุนทรียะ สนใจสิงสวยงาม ดนตรี วรรณกรรม 3. มอี ารมณ์ออ่ นไหว 4. มีจินตนาการสูง มคี วามคิดสร้างสรรค์ และไมล่ อกเลยี นแบบใคร โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ เป็นนกั แสดง โอกาสกา้ วหนา้ ขึนอยกู่ บั ความสามารถของผแู้ สดง และความนิยมของผชู้ ม ทงั นีอยทู่ ีการพฒั นาตนเองและการใฝ่ หาความรู้ของผทู้ ีจะประกอบอาชีพ

115 1. อาชีพการแสดงหนังตะลงุ หนังตะลุง คือ ศลิ ปะการแสดงประจาํ ทอ้ งถนิ อยา่ งหนึงของภาคใต้ เป็นการเลา่ เรืองราวทีผกู ร้อยเป็นนิยาย ดาํ เนินเรืองดว้ ยบทร้อยกรองทีขบั ร้องเป็ นลาํ เนียงทอ้ งถิน หรือทีเรียกกนั ว่าการ “ว่า บท” มบี ทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใชก้ ารแสดงเงาบนจอผา้ เป็ นสิงดึงดูดสายตาของผชู้ ม ซึงการ ว่าบท การสนทนา และการแสดงเงานี นายหนงั ตะลงุ เป็นคนแสดงเองทงั หมด หนงั ตะลงุ เป็นมหรสพทีนิยมแพร่หลายอยา่ งยงิ มาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในยคุ สมยั ก่อนที ไม่มีไฟฟ้ าใชก้ นั ทัวถึงทุกหมู่บา้ นอย่างในปัจจุบัน หนังตะลุงแสดงไดท้ ังในงานบุญและงานศพ ดงั นนั งานวดั งานศพ หรืองานเฉลมิ ฉลองทีสาํ คญั จึงมกั มหี นงั ตะลงุ มาแสดงใหช้ มดว้ ยเสมอ ปัจจุบนั โครงการศิลปิ นแห่งชาติ สาํ นักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ ไดส้ ่งเสริม ใหม้ ีการอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงหนังตะลุงให้แก่อนุชนรุ่นหลงั เพือรักษามรดกทาง วฒั นธรรมอนั ทรงคุณค่านีใหค้ งอยสู่ ืบไป ประวตั คิ วามเป็ นมาของหนังตะลงุ นกั วิชาการหลายท่านเชือว่า มหรสพการแสดงเงาจาํ พวกหนงั ตะลุง เป็ นวฒั นธรรมเก่าแก่ ของมนุษยชาติ ปรากฏแพร่หลายมาทงั ในแถบประเทศยโุ รป และเอเชีย โดยมหี ลกั ฐานปรากฏว่า เมือ ครังพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์มหาราชมชี ยั ชนะเหมือนอยี ปิ ต์ ไดจ้ ดั ใหม้ กี ารแสดงหนัง (หรือการละเล่น ทีคลา้ ยกนั ) เพอื เฉลิมฉลองชยั ชนะและประกาศเกียรติคุณของพระองค์ และเชือว่ามหรสพการแสดง เงานีมแี พร่หลายในประเทศอยี ปิ ตม์ าแต่ก่อนพุทธกาล ในประเทศอินเดียพวกพราหมณ์แสดงหนงั ที เรียกกนั ว่า ฉายานาฏกะ เรืองมหากาพยร์ ามายณะ เพือบูชาเทพเจา้ และสดุดีวีรบุรุษ ส่วนในประเทศ จีนมกี ารแสดงหนงั สดุดีคุณธรรมความดีของสนมเอกแห่งจกั รพรรดิยวนตี (พ.ศ. – ) ในสมยั ต่อมา การแสดงหนังได้แพร่หลายเขา้ สู่ในเอเชียอาคเนย์ เขมร พม่า ชวา มาเลเซีย และประเทศไทย คาดกนั วา่ หนงั ใหญ่คงเกิดขึนก่อนหนังตะลุง และประเทศแถบนีคงจะไดแ้ บบมา จากอนิ เดีย เพราะยงั มอี ทิ ธิพลของพราหมณ์หลงเหลืออยมู่ าก เรายงั เคารพนบั ถือฤาษี พระอิศวร พระ นารายณ์ และพระพรหม ยิงเรืองรามเกียรติ ยงิ ถือว่าเป็ นเรืองขลงั และศกั ดิสิทธิ หนังใหญ่จึงแสดง เฉพาะเรืองรามเกียรติ เริมแรกคงไมม่ ีจอ คนเชิดหนงั ใหญ่จึงแสดงท่าทางประกอบการเชิดไปดว้ ย

116 เครืองดนตรีหนังตะลุง เครืองดนตรีหนงั ตะลุงในอดีต มคี วามเรียบง่าย ชาวบา้ นในทอ้ งถนิ ประดิษฐ์ขึนไดเ้ อง มีทบั กลอง โหม่ง ฉิง เป็นสาํ คญั ส่วนปี เกิดขึนภายหลงั แต่ก็ยงั เป็นเครืองดนตรีทีชาวบา้ นประดิษฐไ์ ดเ้ อง จนเมือมีวฒั นธรรมภายนอกเขา้ มา หนังตะลุงบางคณะจึงนาํ เครืองดนตรีใหม่ๆ เขา้ มาเสริม เช่น กลองชุด กีตา้ ร์ ไวโอลิน ออร์แกน เมือเครืองดนตรีมากขึน จาํ นวนคนในคณะก็มากขึน ตน้ ทุนจึง สูงขึน ทาํ ใหต้ อ้ งเรียกค่าราด (ค่าจา้ งแสดง) แพงขึน แต่หนงั ตะลุงหลายคณะก็ยงั รักษาเอกลกั ษณ์ เอาไว้ เครืองดนตรีสําคญั ของหนงั ตะลงุ มดี งั ต่อไปนี ทบั ของหนงั ตะลงุ เป็นเครืองกาํ กบั จงั หวะและท่วงทาํ นองทีสาํ คญั ทีสุด ผบู้ รรเลงดนตรีชิน อนื ๆ ตอ้ งคอยฟังและยกั ยา้ ยจงั หวะตามเพลงทบั นกั ดนตรีทีสามารถตีทบั ไดเ้ รียกวา่ “มอื ทบั ” เป็ นคาํ ยกยอ่ งว่าเป็นคนเลน่ ทบั มือฉมงั รูปหนังตะลุง ตวั ตลกหนงั ตะลงุ ตวั ตลกหนังตะลุง เป็ นตวั ละครทีมีความสาํ คญั อย่างยิง และเป็ นตวั ละครที “ขาดไม่ได้” สาํ หรับการแสดงหนงั ตะลงุ บทตลกคือเสน่ห์หรือสีสนั ทีนายหนงั จะสร้างความประทบั ใจให้กบั คน ดู เมือการแสดงจบลง สิงทีผูช้ มจาํ ได้ และยงั เก็บไปเล่าต่อก็คือบทตลก นายหนังตะลุงคนใดที สามารถสร้างตวั ตลกไดม้ ชี ีวติ ชีวาและน่าประทบั ใจ สามารถทาํ ให้ผชู้ มนาํ บทตลกนันไปเล่าขานต่อ

117 ไดไ้ ม่รู้จบ ก็ถือว่าเป็ นนายหนังทีประสบความสาํ เร็จในอาชีพโดยแทจ้ ริง ตวั ตลกหนังตะลุงมีชือ ดงั ต่อไปนี 1. อา้ ยเท่ง 2. อา้ ยหนูนุย้ 3. นายยอดทอง 4. นายสีแกว้ 5. อา้ ยสะหมอ้ ขันตอนการแสดงหนังตะลุง หนงั ตะลงุ ทุกคณะจะนิยมเล่นเป็นแบบเดียวกนั โดยมีการลาํ ดบั การเล่น ดงั นี 1. ตงั เครืองเบิกโรง เป็นการทาํ พธิ ีเอาฤกษ์ ขอทีตงั โรงและปัดเป่ าเสนียดจญั ไร เริมโดยเมือ คณะหนงั ขึนโรงแลว้ นายหนงั จะตีกลองนาํ เอาฤกษ์ ลกู ค่บู รรเลงเพลงเชิด ชนั นีเรียกว่าตงั เครือง 2. โหมโรง การโหมโรงเป็ นการบรรเลงดนตรีลว้ นๆ เพือเรียกคนดู และให้นายหนังได้ เตรียมพร้อม การบรรเลงเพลงโหมโรงเดิมทีเล่ากนั ว่าใช้ “เพลงทบั ” คือใชท้ บั เป็ นตวั ยืนและเดิน จงั หวะทาํ นองต่างๆ กนั ไป 3. ออกลิงหวั คาํ เป็นธรรมเนียมการเล่นหนังตะลุงสมยั ก่อน ปัจจุบนั เลิกเล่นแลว้ เขา้ ใจว่า ไดร้ ับอทิ ธิพลจากหนงั ใหญ่ เพราะรูปทีใชส้ ่วนใหญ่เป็ นรูปจบั มีฤาษีอย่กู ลาง ลิงขาวกบั ลิงดาํ อย่คู น ละขา้ ง แต่รูปทีแยกเป็นรูปเดียวๆ รูป แบบเดียวกบั ของหนงั ตะลุงกม็ ี 4. ออกฤาษี เป็ นการเล่นเพือคารวะครู และปัดเป่ าเสนียดจญั ไร โดยขออาํ นาจจากพระ พรหม พระอิศวร พระนารายณ์ และเทวะอืนๆ และบางหนงั ยงั ขออาํ นาจจากพระรัตนตรัยดว้ ย 5. ออกรูปฉะ หรือรูปจบั คาํ ว่า “ฉะ” คือสู้รบ ออกรูปฉะเป็ นการออกรูปจากพระรามกับ ทศกณั ฐใ์ ห้ต่อสู้กนั วิธีเล่นใชท้ าํ นองพากยค์ ลา้ ยหนงั ใหญ่ การเล่นชุดนีหนังตะลุงเลิกเล่นไปนาน แลว้ 6. ออกรูปปรายหนา้ บท รูปปรายหนา้ บท เป็ นรูปผชู้ ายถือดอกบวั บา้ ง ธงชาติบา้ ง ถือเป็ น ตวั แทนของนายหนงั ใชเ้ ล่นเพือไหวค้ รู ไหวส้ ิงศกั ดิสิทธิและผทู้ ีหนงั เคารพหนงั ถอื ทงั หมดตลอดทงั ใชร้ ้องกลอน ฝากเนือฝากตวั กบั ผชู้ ม 7. ออกรูปบอกเรือง รูปบอกเรืองเป็ นรูปตลก หนงั ส่วนใหญ่ใชร้ ูปขวญั เมืองเล่นเพือเป็ น ตวั แทนของนายหนัง ไม่มีการร้อง กลอน มีแต่พดู จุดประสงคข์ องการออกรูปนีเพือบอกกล่าวกบั ผชู้ มถึงเรืองนิยายทีหนงั จะหยบิ ยกขึนแสดง 8. เกียวจอ เป็นการร้องกลอนสนั ๆ ก่อนตงั นามเมอื งเพอื ใหเ้ ป็นคติสอนใจแก่ผชู้ ม หรือเป็ น กลอนพรรณนา ธรรมชาติและความในใจ กลอนทีร้องนีหนงั จะแต่งไวก้ ่อน และถือว่ามีความคมคาย

118 9. ตงั นามเมือง หรือตงั เมอื ง เป็นการออกรูปกษตั ริย์ โดยสมมติขึนเป็ นเมืองๆ หนึงจากนัน จึงดาํ เนินเหตุการณ์ไปตามเรืองทีกาํ หนดไว้ วตั ถุประสงค์การเล่นหนังตะลงุ จากทีกล่าวมา เป็ นขนบนิยมในการเล่นหนังเพือความบันเทิงโดยทวั ๆ ไป แต่หากเล่น ประกอบพิธีกรรม จะมขี นบนิยมเพมิ ขึน การเล่นเพือประกอบพิธีกรรมมี อย่าง คือ เล่นแกเ้ หมรย และเลน่ ในพิธีครอบมือ การเล่นแกเ้ หมรยเป็ นการเล่นเพือบวงสรวง ครูหมอหนงั หรือสิงศกั ดิสิทธิ ตามพนั ธะทีบนบานไว้ หนงั ตะลุงทีจะเล่นแกเ้ หมรยไดต้ อ้ งรอบรู้ในพิธีกรรมอยา่ งดี และผา่ นพิธี ครอบมือถกู ตอ้ งแลว้ การเลน่ แกเ้ หมรยจะตอ้ งดฤู กษย์ ามใหเ้ หมาะ เจา้ ภาพตอ้ งเตรียมเครืองบวงสรวง ไวใ้ หค้ รบถว้ นตามทีบนบานไว้ ขนบนิยมในการเล่นทวั ๆไปแบบเดียวกบั เล่นเพือความบนั เทิง แต่ เสริมการแกบ้ นเขา้ ไปในช่วงออกรูปปรายหนา้ บท โดยกล่าวขบั ร้องเชิญครูหมอหรือสิงศกั ดิสิทธิมา รับเครืองบวงสรวง ยกเรืองรามเกียรติตอนใดตอนหนึงทีพอจะแกเ้ คลด็ วา่ ตดั เหมรยไดข้ ึนแสดง เช่น ตอนเจา้ บุตรเจา้ ลบ เป็ นต้น จบแลว้ ชุมนุมรูปต่างๆมีฤาษีเจา้ เมือง พระ นาง ตวั ตลก ฯลฯ โดยปัก รวมกนั หนา้ จอเป็นทาํ นองว่าไดร้ ่วมรู้เห็นเป็นพยานว่าเจา้ ภาพไดแ้ กเ้ หมรยแลว้ แลว้ นายหนงั ใชม้ ีด ตดั ห่อเหมรยขวา้ งออกนอกโรง เรียกวา่ “ตดั เหมรย” เป็นเสร็จพิธี ส่วนการครอบมือเป็ นพิธีทีจดั ขึน เพือยอมรับนบั ถือครูหนงั แต่ครังบุรพกาล ซึงเรียกว่า “ครูตน้ ” มพี ระอณุ รุทธไชยเถร พระพิราบหนา้ ทอง ตาหนุย้ ตาหนกั ทอง ตาเพชร เป็นตน้

119 ตวั อย่างผ้ทู ปี ระสบความสําเร็จในอาชีพการแสดงหนงั ตะลุง นายหนงั พร้อมนอ้ ย นายหนงั พร้อมน้อย ตะลุงสากล เป็ นนายหนังผูห้ นึงทีไดร้ ับความนิยมจากประชาชนทีมี ความชืนชอบการแสดงหนงั ตะลงุ ของนายหนงั พร้อมนอ้ ย ตะลงุ สากล เนืองจากมคี ุณลกั ษณะในการ แสดงหนงั ตะลงุ หลายๆ ดา้ นรวมกนั เช่น 1. มเี สียงเพราะนาํ เสียงในการขบั บทกลอนทีมีเสียงดงั ฟังชดั 2.มีความรอบรู้ทงั ทางโลกและทางธรรม 3. มีการนาํ เหตุการณ์บา้ นเมอื งในปัจจุบนั มาทาํ การแสดงเขา้ กบั วรรณกรรม 4. สอดแทรกมุขตลก นายหนงั พร้อมนอ้ ย ตะลงุ สากล มคี ุณลกั ษณะในเรืองของเสียงนายหนงั พร้อมน้อย ตะลุงสากล เป็ น นายหนงั ทีมนี าํ เสียงทีสามารถแสดงหนังตะลุงติดต่อกนั หลายชวั โมงโดยเสียงไม่แหบและสามารถ เลียนเสียงตวั หนงั แต่ละตวั ทีเอกลกั ษณ์ของนาํ เสียงแตกต่างกนั ออกไปไดอ้ ยา่ งเหมาะสม สามารถ ถา่ ยทอดใหผ้ ชู้ มไดร้ ับรู้ถงึ บทบาทของนายหนงั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี วรรณกรรมทีแสดงหนงั พร้อมนอ้ ย ตะลุงสากล มีการนาํ คติสอนใจมาสอดแทรกในเนือหา การแสดงสอนใหผ้ ชู้ มไดร้ ับรู้ถึงคาํ สอนในทางโลกและทางธรรม วรรณกรรมทีแสดงเขา้ กบั ยคุ สมยั โดยการนาํ เหตุการณ์ในทอ้ งถิน เหตุการณ์การเมืองการปกครองมาดดั แปลงในการแสดงเพือเป็ น สือกลางใหช้ าวบา้ นผชู้ มทราบถึงเหตุการณ์บา้ นเมืองในปัจจุบนั เรืองมุขตลกหนังพร้อมนอ้ ย ตะลุง สากลมวี ธิ ีการแสดงโดยนาํ มาสอดแทรกในเรืองทาํ ใหก้ ารแสดงหนงั ตะลุงเป็ นเรืองสือบนั เทิงใหก้ บั ชาวบา้ นในทอ้ งถนิ ไดม้ ีความสนุกมีส่วนร่วมไปกบั การแสดงหนงั ตะลงุ หนงั พร้อมนอ้ ย ตะลุงสากลยงั มลี ุกค่ทู ีมีความสามารถบรรเลงประกอบการแสดงหนงั ตะลุง รวมถึงความทนั สมยั ในเรืองดนตรีทีนาํ มาบรรเลงกบั ดนตรีพืนบา้ น ทาํ ใหไ้ ดร้ ับความนิยมจากผชู้ ม ทุกวยั การนาํ ดนตรีสากลเขา้ มาใชป้ ระกอบการแสดงหนังตะลุงของคณะหนังพร้อมน้อย มีการ สร้างสรรค์โดยนําเพลงไทยเดิมมาบรรเลงกบั ดนตรีสากล ส่วนเพลงตามสมยั นิยมสามารถนํามา บรรเลงกบั การแสดงหนงั ตะลงุ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและลงตวั สิงทีขาดไม่ไดน้ อกเหนือจากองคป์ ระกอบความสามารถของนายหนงั ในการแสดงหนัง ตะลงุ นายหนงั ตะลงุ ควรนาํ องคป์ ระกอบการแสดงหนงั ตะลงุ และความสามารถจากการแสดงหนงั

120 ตะลุงและความสามารถจากการแสดงไปช่วยเหลือสงั คม โดยนายหนงั พร้อมน้อย ตะลุงสากล กล่าววา่ การแสดงหนงั ตะลงุ ทีตนประสบความสาํ เร็จไดม้ ากจากการยอมรับจากประชาชน เราควรจะ ทาํ อะไรเพอื ประโยชน์ให้กบั สงั คมบา้ ง หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล จึงนาํ เงินทีไดจ้ ากการแสดงหนงั ตะลงุ ไปช่วยเหลือชุมชน หรือบางครังเปิ ดการแสดงหนังตะลุงเพือหาเงินสมทบไปพฒั นาหมู่บา้ น โรงเรียน วดั สถานทีราชการ ใหม้ คี วามสะดวกยงิ ขึน คณุ สมบัตพิ เิ ศษของผ้ทู ีจะแสดงหนงั ตะลงุ จะตอ้ งเป็นคนเสียงดีและเสียงดงั ทาํ เสียงไดห้ ลายเสียง เปลยี นเสียงตามบทบาทของตวั ละคร ทีพากยไ์ ดฉ้ บั พลนั และเป็นธรรมชาติ พากยย์ กั ษเ์ สียงตอ้ งหา้ วอยา่ งยกั ษ์ พากยน์ างเสียงตอ้ งนุ่มหวาน อยา่ งนาง พากยต์ วั ตลกตวั ใดเสียงตอ้ งเป็นอยา่ งตวั ตลกตวั นนั เรียกภาษาหนงั ตะลุงว่า “กินรูป” เสียง ทีชวนฟังตอ้ งแจ่มใสกงั วานกลมกลืนกับเสียงโหม่งเรียกว่า “เสียงเข้าโหม่ง” และสามารถรักษา คุณภาพของเสียงไดต้ ลอดเวลา การแสดงตังแต่ประมาณ ทุ่ม จนสว่าง ตอ้ งรอบรู้ในศิลป์ และ ศาสตร์ต่างๆ อย่างกวา้ งขวาง ทังคดีโลกและคดีธรรม เพือแสดงหนังให้ไดท้ งั ความบนั เทิงและ สารประโยชน์ มีอรรถรส สามารถดึงดูดผชู้ มใหช้ วนติดตาม .อาชีพการแสดงลเิ ก ลเิ ก เกิดขึนในสมยั รัชกาลที คาํ วา่ ลิเก ในภาษามลายู แปลวา่ ขบั ร้อง เดิมเป็ นการสวดบูชา พระในศาสนาอสิ ลาม สวดเพลงแขกเขา้ กบั จงั หวะรํามะนา พวกแขกเจา้ เซ็นไดส้ วดถวายตวั เป็ นครัง แรกในการบาํ เพญ็ พระราชกศุ ล เมือ พ.ศ. ต่อมาคิดสวดแผลงเป็นลาํ นาํ ต่างๆ ร้องเป็นเพลงต่าง

121 ภาษา และทําตัวหนังเชิด โดยเอารํามะนาเป็ นจอก็มี ลิเกจึงกลายเป็ นการเล่นขึน ต่อมามี ผคู้ ิดเลน่ ลิเกอยา่ งละคร คือเริมร้องเพลงแขก แลว้ ต่อไปเลน่ อยา่ งละครราํ และใชป้ ี พาทยอ์ ยา่ งละคร ลเิ กมี 4 แบบ คอื ลเิ กบันตน เริมดว้ ยร้องเพลงบนั ตนเป็นภาษามลายู ต่อมาก็แทรกคาํ ไทยเขา้ ไปบา้ ง ดนตรีก็ ใชร้ ํามะนา จากนันก็แสดงเป็ นชุดๆ ต่างภาษา เช่น แขก ลาว มอญ พม่า ตอ้ งเริมดว้ ยชุดแขกเสมอ ผแู้ สดงแต่งตวั เป็นชาติต่างๆ ร้องเอง พวกตีราํ มะนาเป็นลกู คู่ มกี ารร้องเพลงบนั ตนแทรกระหว่างการ แสดงแต่ละชุด ลิเกลูกบท คือ การแสดงผสมกบั การขับร้องและบรรเลงเพลงลูกบท ร้องและรําไปตาม กระบวนเพลง ใช้ปี พาทยป์ ระกอบแทนรํามะนา แต่งกายตามทีนิยมในสมยั นันๆ แต่สีฉูดฉาด ผแู้ สดงเป็นชายลว้ น เมือแสดงหมดแต่ละชุด ปี พาทยจ์ ะบรรเลงเพลง 3 ชนั ทีเป็ นแม่บทขึนอีก และ ออกลกู หมดเป็นภาษาต่างๆ ชุดอนื ๆ ต่อไปใหม่ ลเิ กทรงเครือง เป็ นการผสมผสาน ระหว่างลิเกบนั ตนและลิเกลกู บท มีท่ารําเป็ นแบบแผน แต่งตวั คลา้ ยละครรํา แสดงเป็นเรืองยาวๆ อยา่ งละคร เริมดว้ ยโหมโรงและบรรเลงเพลงภาษาต่างๆ เรียกว่า \"ออกภาษา\" หรือ \"ออกสิบสองภาษา\" เพลงสุดทา้ ยเป็ นเพลงแขก พอปี พาทยห์ ยดุ พวกตี ราํ มะนาก็ร้องเพลงบนั ตน แลว้ แสดงชุดแขก เป็นการคาํ นับครู ใชป้ ี พาทยร์ ับ ต่อจากนันก็แสดงตาม เนือเรือง ลิเกทีแสดงในปัจจุบนั เป็นลเิ กทรงเครือง ลเิ กป่ า เป็นศลิ ปะการแสดงทีเคยไดร้ ับความนิยมอยา่ งกวา้ งขวางในจงั หวดั สุราษฎร์ธานีและ จงั หวดั ทางภาคใตท้ วั ๆ ไป แต่ในปัจจุบนั ลเิ กป่ ามีเหลืออยนู่ ้อยมาก ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่เล่าว่า เดิมลิเกป่ าจะมี แสดง ใหด้ ูทุกงาน ไม่วา่ จะเป็นบวชนาค งานวดั หรืองานศพ ลิเกป่ ามีเครืองดนตรีประกอบการแสดง 3 อยา่ ง คือ กลองรํามะนา 1-2 ใบ ฉิง 1 คู่ กรับ 1 คู่ บางคณะอาจจะมีโหม่ง และทบั ดว้ ย ลิเกป่ ามีนายโรงเช่นเดียวกบั หนังตะลุง และมโนราห์ สาํ หรับ การแสดงก็คลา้ ยกบั โรงมโนราห์ ผแู้ สดงลเิ กป่ า คณะหนึงมีประมาณ 6-8 คน ถา้ รวมลกู คู่ดว้ ยก็จะมี จาํ นวนคนพอ ๆ กบั มโนราห์หนึงคณะ การแสดงจะเริมดว้ ยการโหมโรง \"เกรินวง\" ต่อจากเกรินวง แขกขาวกับแขกแดงจะออกมาเต้นและร้องประกอบ โดยลูกคู่จะรับไปดว้ ย หลังจากนันจะมี ผอู้ อกมาบอกเรือง แลว้ ก็จะเริมแสดง วิธีการแสดง เดินเรืองรวดเร็ว ตลกขบขัน เริมดว้ ยโหมโรง 3 ลา จบแลว้ บรรเลงเพลง สาธุการ ให้ผแู้ สดงไหวค้ รู แลว้ จึงออกแขก บอกเรืองทีจะแสดง สมยั ก่อนมีการรําถวายมือหรือ รําเบิกโรง แลว้ จึงดาํ เนินเรือง ต่อมาการรําถวายมือก็เลิกไป ออกแขกแลว้ ก็จบั เรืองทนั ที การร่ายรํา นอ้ ยลงไปจนเกือบไมเ่ หลอื เลย คงมเี พียงบางคณะทียงั ยดึ ศลิ ปะการราํ อยู่ ผ้แู สดง เดิมใชผ้ ชู้ ายลว้ น ต่อมาแสดงชายจริงหญิงแทน้ ัน ผแู้ สดงตอ้ งมีปฏิภาณในการร้อง และเจรจา ดาํ เนินเรืองโดยไม่มีการบอกบทเลย หัวหน้าคณะจะเล่าใหฟ้ ังก่อนเท่านนั นอกจากนี

122 การเจรจาตอ้ งดัดเสียงให้ผิดปกติ ซึงเป็ นเอกลกั ษณ์ ของลิเก แต่ตวั สามญั ชนและตวั ตลกพดู เสียง ธรรมดา เพลงและดนตรี ดาํ เนินเรืองใชเ้ พลงหงส์ทองชนั เดียว แต่ดดั แปลงใหด้ น้ ไดเ้ นือความมาก ๆ แลว้ จึงรับดว้ ยปี พาทย์ แต่ถา้ เล่นเรืองต่างภาษา ก็ใชเ้ พลงทีมีสาํ เนียงภาษานนั ๆ ตามทอ้ งเรือง แต่ดน้ ให้คลา้ ยหงส์ทอง ต่อมานายดอกดิน เสือสง่า ได้ดดั แปลงเพลงมอญครวญของลิเกบนั ตนทีใชก้ บั บทโศก มาเป็นเพลงแสดงความรักดว้ ย เรืองทีแสดง นิยมใชเ้ รืองละครนอก ละครใน และเรืองพงศาวดารจีน มอญ ญวน เช่น สามก๊ก ราชาธิราช การแต่งกาย แต่งตวั ดว้ ยเครืองประดบั สวยงาม เลียนแบบเครืองทรงกษตั ริย์ จึงเรียกว่า ลิเก ทรงเครือง \"สมยั ของแพง\" ก็ลดเครืองแต่งกายทีแพรวพราวลงไป แต่บางคณะก็ยงั รักษาแบบแผนเดิม ไว้โดยตวั นายโรงยงั แตง่ เลียนแบบเครืองทรงของกษตั ริยใ์ นส่วนทีมิใช่เครืองตน้ เช่น นุ่งผา้ ยกทอง สวม เสือเขม้ ขาบหรือเยยี รบบั แขนใหญ่ถงึ ขอ้ มือ คาดเข็มขดั นอกเสือ ประดบั เครืองราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ แต่ดดั แปลงเสียใหม่ เช่น เครืองสวมศีรษะ เครืองประดบั หนา้ อก สายสะพาย เครืองประดบั ไหล่ ตวั นางนุ่งจีบยกทอง สวมเสือแขนกระบอกยาว ห่มสไบปักแพรวพราว สวมกระบงั หน้าต่อยอดมงกุฎ ที แปลกกวา่ การแสดงอนื ๆ คือสวมถงุ เทา้ ยาวสีขาวแทนการผดั ฝ่ นุ อยา่ งละคร แต่ไมส่ วมรองเทา้ สถานทีแสดง ลานวดั ตลาด สนามกวา้ งๆ โดยปลกู เพิงสูงระดบั ตา ดา้ นหน้าเป็ นทีแสดง ดา้ นหลงั เป็นทีพกั ทีแต่งตวั คุณสมบตั ขิ องผ้ทู ีจะแสดงลเิ ก - มีใจรักในการแสดงและฝึกฝนใหช้ าํ นาญ - มกี ารร้องและราํ ทีดีและสวยงามเพราะเป็นจุดเด่นของลิเกไทย - ผสมผสานศลิ ปวฒั นธรรมไทยไดอ้ ยา่ งงดงาม น่าชม - ตรงต่อเวลา และมคี วามรับผดิ ชอบในอาชีพ สามารถทาํ งานกบั ส่วนรวมให้ เพราะคณะ ลิเกจะมีผแู้ สดงจาํ นวนมาก ผ้ทู ีประสบความสําเร็จจากอาชีพการแสดงลเิ ก คุณพนม พึงอาํ นาจ อายุ 40 ปี ลเิ กคณะ พนมพึงอาํ นาจ ทีอยู่ 121/1 อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั เพชรบุรี ลิเกคณะพนมพึงอาํ นาจ เริมมีการแสดงมาแลว้ ตงั แต่สมยั บรรพบุรุษโดยคุณพ่อคุณแม่ของ คุณพนมไดแ้ สดงลิเกมาก่อนแลว้ และเขาไดเ้ ริมเล่นตอนอายุ 26 ปี ซึงอดีตไดเ้ คยทาํ งานธนาคารแลว้ ลาออกมาเลน่ ลเิ ก เพราะชอบศลิ ปวฒั นธรรมของไทยและไดต้ งั คณะลิเกขึนเป็ นของตนเองเพือเป็ น การสืบสานต่อจากคุณพ่อคุณแม่ การแสดงลิเกจะถือว่าเป็ นเรืองทีง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยากแต่ถา้ มีใจรัก ในสิงทีเราทาํ นันก็จะถือว่าเป็ นความถนัดและง่ายสาํ หรับตวั เราเอง และมีพืนฐานต้นแบบของ การแสดงลเิ กนีมาจากคุณพ่อ คณะมผี รู้ ่วมแสดงทงั หมดประมาณ 27 คน จะมีอายตุ งั แต่ 17 ปี ซึงจะอยู่ ในวยั เรียน แลว้ กอ็ ายุ 20 ปี ทีมากสุด 60 ปี การแสดงแต่ละเรืองจะมีหลายบทบาททีแตกต่างกนั

123 ออกไปกจ็ ะดูว่าใครเหมาะสมกบั บทบาทไหน ส่วนใหญ่จะแสดงลเิ กกนั เป็นอาชีพหลกั การแสดงจะ มีอยตู่ ลอดทุกเดือนอยา่ งต่อเนืองและมีการแสดงมากในช่วงออกพรรษาตระเวนแสดงผลงานทงั ปี การ แสดงไดร้ ับเงินมากทีสุด คือ 60,000 บาท การแสดงเรืองหนึงจะใชเ้ วลา 4 ชวั โมง เวลาทีแสดงจะเป็ น ช่วงกลางคืนเวลาสามทุ่มถึงตีหนึง เสน่ห์ของลิเกอยทู่ ีเนือเรือง การแต่งตวั สาํ คญั ทีสุดคือศิลปะการ ร้อง การรําซึงจะเป็ นจุดเด่นของลิเกไทยเป็ นการผสมผสานของศิลปวฒั นธรรมไทยทาํ ให้มีความ งดงามน่าชม ความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ ฝึ กการแสดงในบทร้อง – บทรํา ให้มีความชาํ นาญและพฒั นาไปในสิงทีดี และมีความ รับผดิ ชอบจนเป็นทียอมรับของผชู้ มทวั ไป สามารถประสบความสาํ เร็จได้ 2. อาชีพการแสดงหมอลาํ คาํ ว่า \"ลาํ \" มีความหมายสองอยา่ ง อยา่ งหนึงเป็นชือของเรือง อีกอย่างหนึงเป็ นชือของ การ ขบั ร้องหรือการลาํ ทีเป็นชือของเรืองไดแ้ ก่เรืองต่าง ๆ เช่น เรืองนกจอกนอ้ ย เรือง ทา้ วกาํ กาดาํ เรือง ขลู นู างอวั เป็นตน้ เรืองเหลา่ นีโบราณแต่งไวเ้ ป็ นกลอน แทนทีจะเรียกว่า เรืองก็เรียกว่าลาํ กลอนที เอามาจากหนงั สือลาํ เรียกวา่ กลอนลาํ อกี อยา่ งหนึงหมายถึงการขบั ร้อง หรือการลาํ การนาํ เอาเรืองในวรรณคดีอีสานมา ขบั ร้อง หรือมาลาํ เรียกว่า ลาํ ผทู้ ีมีความชาํ นาญในการขบั ร้องวรรณคดีอีสาน โดยการท่องจาํ เอากลอน มาขบั ร้อง หรือผทู้ ีชาํ นาญในการเล่านิทานเรืองนนั เรืองนี หลายๆ เรืองเรียกว่า \"หมอลาํ \"

124 ววิ ฒั นาการของหมอลาํ ความเจริญกา้ วหนา้ ของหมอลาํ กค็ งเหมือนกบั ความเจริญกา้ วหนา้ ของสิงอืน ๆ เริมแรกคงเกิด จากผเู้ฒ่าผแู้ ก่เล่านิทาน นิทานทีนาํ มาเลา่ เกียวกบั จารีตประเพณีและศีลธรรม โดยเรียกลกู หลานใหม้ า ชุมนุมกนั ทีแรกนงั เล่า เมือลกู หลานมาฟังกนั มากจะนงั เล่าไมเ่ หมาะ ตอ้ งยนื ขึนเล่า เรืองทีนาํ มาเลา่ ตอ้ งเป็นเรืองทีมีในวรรณคดี เช่น เรืองกาฬเกษ สินชยั เป็นตน้ ผเู้ ล่าเพยี งแต่เล่า ไม่ออกท่าออกทางก็ ไม่สนุก ผเู้ ลา่ จึงจาํ เป็นตอ้ งยกไมย้ กมือแสดงท่าทางเป็น พระเอก นางเอก เป็นนกั รบ เป็นตน้ เพียงแต่เลา่ อยา่ งเดียวไมส่ นุก จึงจาํ เป็นตอ้ งใชส้ าํ เนียงสนั ยาว ใชเ้ สียงสูงตาํ ประกอบ และ หาเครืองดนตรีประกอบ เช่น ซุง ซอ ปี แคน เพือใหเ้ กิดความสนุกครึกครืน ผแู้ สดง มีเพยี งแต่ผชู้ าย อยา่ งเดียวดูไม่มีรสชาติเผด็ มนั จึงจาํ เป็นตอ้ งหาผหู้ ญิงมาแสดงประกอบ เมือผหู้ ญิงมาแสดงประกอบจึง เป็นการลาํ แบบสมบูรณ์ เมอื ผหู้ ญิงเขา้ มาเกียวขอ้ งเรืองต่าง ๆ กต็ ามมา เช่น เรืองเกียวพาราสี เรืองชิงดีชิง เด่น ยาด (แยง่ ) ชยู้ าดผวั กนั เรืองโจทย์ เรืองแก้ เรืองประชนั ขนั ทา้ เรืองตลกโปกฮากต็ ามมา จึงเป็นการลาํ สมบรู ณ์แบบ จากการทีมหี มอลาํ ชายเพยี งคนเดียวค่อย ๆ พฒั นาต่อมาจนมีหมอลาํ ฝ่ ายหญิง มีเครืองดนตรี ประกอบจงั หวะเพอื ความสนุกสนาน จนกระทงั เพมิ ผแู้ สดงใหม้ ีจาํ นวนเท่ากบั ตวั ละครทีมีในเรืองมี พระเอก นางเอก ตวั โกง ตวั ตลก เสนา ครบถว้ น ซึงพอจะแบ่งยคุ ของววิ ฒั นาการไดด้ งั นี ลาํ โบราณ เป็นการเล่าทานของผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ใหล้ กู หลานฟัง ไม่มีท่าทางและดนตรีประกอบ ลูกค่หู รือลาํ กลอน เป็นการลาํ ทีมหี มอลาํ ชายหญิงสองคนลาํ สลบั กนั มเี ครืองดนตรีประกอบ คือ แคน การลาํ มีทงั ลาํ เรืองนิทานโบราณคดีอีสาน เรียกว่า ลาํ เรืองต่อกลอน ลาํ ทวย (ทายโจทย)์ ปัญหา ซึงผลู้ าํ จะตอ้ งมี ปฏิภาณไหวพริบทีดี สามารถตอบโต้ ยกเหตุผลมาหักลา้ งฝ่ ายตรงขา้ มได้ ต่อมามกี ารเพมิ ผลู้ าํ ขึนอกี หนึงคน อาจเป็นชายหรือหญิง ก็ได้ การลาํ จะเปลียนเป็นเรือง ชิงรักหกั สวาท ยาดชยู้ าดผวั เรียกว่า ลาํ ชิงชู้ ลาํ หมู่ เป็นการลาํ ทีมีผแู้ สดงเพมิ มากขึน จนเกือบจะครบตามจาํ นวนตวั ละครทีมีในเรือง มี เครืองดนตรีประกอบเพมิ ขึน เช่น พณิ (ซุง หรือ ซึง) กลอง การลาํ จะมี 2 แนวทาง คือ ลาํ เวียง จะเป็ น การลาํ แบบลาํ กลอน หมอลาํ แสดง เป็นตวั ละครตามบทบาทในเรือง การดาํ เนินเรืองค่อนขา้ งชา้ แต่ก็ ไดอ้ รรถรสของละครพืนบา้ น หมอลาํ ไดใ้ ชพ้ รสวรรค์ของตวั เองในการลาํ ทงั ทางดา้ นเสียงร้อง ปฏภิ าณไหวพริบ และความจาํ เป็ นทีนิยมในหมู่ผสู้ ูงอายุ ต่อมาเมือดนตรีลูกทุ่งมีอิทธิพลมากขึนจึง เกิดวิวฒั นาการของลาํ หมอู่ ีกครังหนึง กลายเป็ น ลาํ เพลิน ซึงจะมีจงั หวะทีเร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลาํ เรืองในช่วงหัวคาํ จะมีการนําเอารูปแบบของ วงดนตรีลกู ทุ่งมาใชเ้ รียกคนดู กล่าวคือ จะมีนกั ร้อง (หมอลาํ ) มาร้อง เพลงลกู ทุ่งทีกาํ ลงั ฮิตในขณะนนั มีหางเครืองเตน้ ประกอบ นาํ เอาเครือง ดนตรีสมยั ใหม่มาประยกุ ต์ใช้ เช่น กีตาร์ คียบ์ อร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนาํ มา ผสมผสานเขา้ กบั เครืองดนตรีเดิมไดแ้ ก่ พิณ แคน ทาํ ให้ได้รสชาติของดนตรีทีแปลกออกไป ยุค

125 นับว่า หมอลาํ เฟื องฟูมากทีสุด คณะหมอลาํ ดัง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวดั ขอนแก่น มหาสารคาม อุบลราชธานี ลาํ ซิง หลงั จากทีหมอลาํ คู่และหมอลาํ เพลนิ ค่อย ๆ เสือมความนิยมลงไป อนั เนืองมาจากการ กา้ วเขา้ มาของเทคโนโลยีวิทยโุ ทรทศั น์ ทาํ ใหด้ นตรีสตริงเขา้ มาแทรกในวิถีชีวิตของผคู้ นอีสาน ความนิยมของการชมหมอลาํ ค่อนขา้ งจะลดลงอยา่ งเห็นไดช้ ดั จนเกิดความวิตกกงั วลกนั มากในกลุม่ นกั อนุรักษศ์ ิลปวฒั นธรรมพืนบา้ น แต่แลว้ มนตข์ ลงั ของหมอลาํ ก็ไดก้ ลบั มาอีกครัง ดว้ ยรูปแบบที สะเทือนวงการดว้ ยการแสดงทีเรียกวา่ ลาํ ซิง ซึงเป็นวิวฒั นาการของลาํ คู่ (เพราะใชห้ มอลาํ 2-3 คน) ใชเ้ ครืองดนตรีสากลเขา้ ร่วมให้จงั หวะเหมือนลาํ เพลิน มีหางเครืองเหมือนดนตรีลกู ทุ่ง กลอนลาํ สนุกสนานมีจังหวะอนั เร้าใจ ทําให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกระทังระบาดไปสู่ การแสดงพนื บา้ นอืนใหต้ อ้ งประยกุ ตป์ รับตวั เช่น เพลงโคราชกลายมาเป็ นเพลงโคราชซิง กนั ตรึม ก็กลายเป็ นกนั ตรึมร็อค หนังปราโมทยั (หนงั ตะลุงอีสาน) กลายเป็ นปราโมทยั ซิง ถึงกบั มีการจดั ประกวดแข่งขนั บนั ทึกเทปโทรทศั น์จาํ หน่ายกนั อยา่ งแพร่หลาย จนถึงกบั มีบางท่านถึงกบั กล่าวว่า \"หมอลาํ ไม่มวี นั ตาย จากลมหายใจชาวอีสาน\" กลอนลาํ แบบต่างๆ กลอนทีนาํ มาเสนอ ณ ทีนีมหี ลายกลอนทีมีคาํ หยาบโลนจาํ นวนมาก บางท่านอาจจะทาํ ใจ ยอมรับไม่ไดก้ ต็ อ้ งกราบขออภยั เพราะผจู้ ดั ทาํ มีเจตนาทีจะเผยแพร่ไวเ้ พอื เป็นการสืบสาน วฒั นธรรม ประเพณี มิไดม้ ีเจตนาทีจะเสนอใหเ้ ป็นเรืองลามกอนาจาร ตอ้ งยอมรับอยา่ งหนึงว่า นีคือวถิ ชี ีวิตของ คนอีสาน กลอนลาํ ทงั หลายทงั ปวงผลู้ าํ มีเจตนาจะทาํ ใหเ้ กิดความสนุกสนาน ตลกโปกฮาเป็นทีตงั ท่านทีอยใู่ นทอ้ งถนิ อนื ๆ ขอไดเ้ ขา้ ใจในเจตนาดว้ ยครับ สนใจในกลอนลาํ หวั ขอ้ ใดคลิกทีหวั ขอ้ นนั เพอื เขา้ ชมไดค้ รับ กลอนทีนาํ มาร้องมาลาํ มมี ากมายหลายอยา่ ง จนไม่สามารถจะกล่าวนบั หรือแยกแยะไดห้ มด แต่เมอื ยอ่ รวมลงแลว้ จะมอี ยสู่ องประเภท คือ กลอนสนั และกลอนยาว กลอนสนั คือ คาํ กลอนทีสนั ๆ สาํ หรับเวลามีงานเลก็ ๆ นอ้ ยๆ เช่น งานทาํ บุญบา้ น หรืองาน ประจาํ ปี เช่น งานบุญเดือนหกเป็นตน้ กลอนสนั มดี งั ต่อไปนี 1. กลอนขึนลาํ 2. กลอนลงลาํ 3. กลอนลาํ เหมิดคืน 4. กลอนโตน้ 5. กลอนติง 6. กลอนต่ง 7. กลอนอศั จรรย์ 8. กลอนสอย

126 9. กลอนหนงั สือเจียง 10. กลอนเตย้ หรือผญา 11. ลาํ สีฟันดอน 12. ลาํ สนั เรืองติดเสน่ห์ กลอนยาว คือ กลอนสาํ หรับใชล้ าํ ในงานการกศุ ล งานมหรสพต่างๆ กลอนยาวนีใชเ้ วลาลาํ เป็นชวั โมงบา้ ง ครึงชวั โมงบา้ ง หรือแลว้ แต่กรณี ถา้ ลาํ คนเดียวเช่น ลาํ พนื หรือ ลาํ เรือง ตอ้ งใชเ้ วลา ลาํ เป็นวนั ๆ คืนๆ ทงั นีแลว้ แต่เรืองทีจะลาํ สนั หรือยาวแค่ไหน แบ่งออกเป็นหลายชนิดดงั นี 1. กลอนประวตั ิศาสตร์ 2. กลอนลาํ พนื หรือลาํ เรือง 3. กลอนเซิง 4. กลอนสอ้ ง 5. กลอนเพอะ 6. กลอนลอ่ งของ 7. กลอนเวา้ สาว 8. กลอนฟ้ อนแบบต่างๆ อปุ กรณ์วธิ ีการแสดง ประกอบดว้ ยผแู้ สดงและผบู้ รรเลงดนตรีคือ หมอแคน แบ่งประเภทหมอ ลาํ ดงั นี 1. หมอลาํ พนื ประกอบดว้ ยหมอลาํ 1 คน หมอแคน 1 คน 2. หมอลาํ กลอน ประกอบดว้ ย หมอลาํ 2-3 คน และหมอแคน 1-2 คน 3. หมอลาํ เรืองต่อกลอน ประกอบดว้ ยหมอลาํ หลายคน เรียก หมอลาํ หมู่ ดนตรีประกอบ คือ แคน พิณ ฉิง กลอง และเครืองดนตรีสากล 4. หมอลาํ เพลิน ประกอบดว้ ยหมอลาํ หลายคนและผบู้ รรเลงดนตรีหลายคน สถานทีแสดง เป็นมหรสพทีใชใ้ นงานเทศกาล งานบวช งานกฐิน งานวนั เกิด งานศพ ฯลฯ เป็ น มหรสพทีประชาชนชาวอีสานในอดีตนิยมชมชืนมาก

127 ผ้ปู ระสบความสําเร็จจากอาชีพการแสดงหมอลาํ หมอแป้ น หรือ น.พ.สุชาติ ทองแป้ น อายรุ แพทย์ วยั 36 ปี เขาสามารถใชช้ ีวติ อยตู่ รงกึงกลาง ระหวา่ งการเป็น \"หมอรักษาคน\" และ \"หมอลาํ \" ไดล้ งตวั อะไรทีทาํ ใหน้ ายแพทยค์ นหนึงเลือกทีจะมี ชีวติ สองขวั บนเสน้ ทางคู่ขนานระหวา่ งความฝันกบั ความเป็นจริง \"หมอแป้ น\" เป็นแพทยป์ ระจาํ โรงพยาบาลมหาสารคาม ผทู้ ีทุ่มเทใหก้ บั การรักษาผปู้ ่ วยดว้ ย หวั ใจเกินร้อย เขายงั ไดร้ ับการยอมรับจากบุคลากรทุกระดบั ชนั ของโรงพยาบาล ว่าเป็ นหมอทีมาก ดว้ ยประสิทธิภาพในการเยยี วยารักษา เอาใจใส่ผปู้ ่ วย และนิสยั ใจคอกโ็ อบออ้ มอารี หมอแป้ น เล่าว่า โดยส่วนตวั ผมชอบหมอลาํ มาตงั แต่เด็ก แลว้ จาํ ไดว้ ่าตอนทีเรียนหมออยู่ ปี 4 ทีคณะมีหมอลาํ เขามาเปิ ดสอนใหห้ ดั ร้องหดั ลาํ ผมก็อยากจะไปเรียน เพราะชอบมาตงั นานแลว้ ก็ไปบอกพ่อกบั แม่ แต่เขาก็ไม่ให้เรียน บอกว่าอย่าเลย ผมเลยไม่ไดไ้ ปสมคั ร แต่ตอนนันก็จะไปดู หมอลาํ ตลอด ดูจนถึง 6 โมงเชา้ เกือบทุกวนั เลย แต่ไมใ่ หเ้ สียการเรียน ถงึ กลบั มาเชา้ เราก็ไปเขา้ เรียน ต่อได้ ไม่มีผลกระทบอะไร เพราะเราแบ่งเวลาเป็น และทีลาํ หมอลาํ ไดก้ ็ไมไ่ ดไ้ ปเรียนทีไหน อาศยั จาํ เอา ดคู นนนั คนนีแลว้ กจ็ าํ ต่อมาประมาณปี 2547 ก็เริมชกั ชวนเพือนๆ ในโรงพยาบาลตงั วงหมอลาํ ขึนมา ชือว่า \"บา้ นร่มเยน็ \" ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 30 คน มีทังแพทย์ พยาบาล เจา้ หน้าที โภชนาการ แม่บา้ น ผปู้ ่ วย ฯลฯ ซึงช่วงแรกเป็ นเงินของตวั เอง ต่อมาก็เป็ นเงินกองทุนบา้ นร่มเยน็ เอาไวซ้ ือเครืองสาํ อาง วิชาชีพ \"หมอลาํ \" เป็นการแสดงพนื บา้ น ทีหล่อเลยี ง จิตวญิ ญาณของชาวอีสาน ที ดูไปแลว้ ศาสตร์ทงั 2 นัน ไม่น่าจะโคจรมาพบกนั ได้ ทาํ ให้หนา้ ทีเป็ นหมอรักษาคนไข้ กบั การแสดง ความเพลิดเพลินใหค้ นดมู ีความสุข ความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ ฝึกการแสดงใหม้ คี วามชาํ นาญ และพฒั นาไปในสิงทีดี มีความรับผิดชอบ จนเป็ นทียอมรับ ของผชู้ มทวั ไป สามารถประสบความสาํ เร็จได้

128 สถานทีสําหรับศึกษาหมอลาํ โรงเรียนสอนหมอลาํ กลอน ลาํ ซิง (ศิลปะการแสดงพืนบา้ น) ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ วทิ ยาลยั นาฏศิลปร้อยเอด็ สาํ หรับผทู้ ีสนใจเรียนศลิ ปะการแสดง หมอลาํ กลอน แคนเตา้ เดียว หรือลาํ ซิง การเรียนลาํ เรียนตงั แต่ก่อนฟ้ อน พนื ฐานต่างๆ ส่วนลาํ กลอนเรียน 5 ยก ลาํ ซิง 3-4 ยก กจิ กรรมท้ายบท ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั บอกลกั ษณะทีมาและประเภทของอาชีพนาฏศลิ ป์ ไทยได้ คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปนี 1. อธิบายขนั ตอนของอาชีพการแสดงหนงั ตะลงุ 2. อธิบายขนั ตอนของอาชีพการแสดงลิเก 3. อธิบายขนั ตอนของอาชีพการแสดงหมอลาํ

129 คณะผู้จัดทํา ทีปรึกษา 1. นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. 2. ดร.ชยั ยศ อมิ สุวรรณ์ รองเลขาธิการ กศน. 3. นายวชั รินทร์ จาํ ปี รองเลขาธิการ กศน. 4. ดร.ทองอยู่ แกว้ ไทรฮะ ทีปรึกษาดา้ นการพฒั นาหลกั สูตร กศน. 5. นางรักขณา ตณั ฑวุฑโฒ ผอู้ าํ นวยการกลุ่มพฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน ผ้เู ขียนและเรียบเรียง . นายจาํ นง วนั วชิ ยั ขา้ ราชการบาํ นาญ . นางสรัญณ์อร พฒั นไพศาล กศน. เฉลมิ พระเกีรยติ จ.บุรีรัมย์ . นายชยั ยนั ต์ มณีสะอาด สถาบนั กศน. ภาคใต้ . นายสฤษดิชยั ศริ ิพร สถาบนั กศน. ภาคตะวนั ออก . นางช่อทิพย์ ศริ ิพร สถาบนั กศน. ภาคตะวนั ออก . นายสุรพงษ์ มนั มะโน กล่มุ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน ผ้บู รรณาธกิ าร และพฒั นาปรับปรุง . นายจาํ นง วนั วชิ ยั ขา้ ราชการบาํ นาญ . นางสรัญณ์อร พฒั นไพศาล กศน. เฉลิมพระเกีรยติ จ.บุรีรัมย์ . นายชยั ยนั ต์ มณีสะอาด สถาบนั กศน. ภาคใต้ . นายสฤษดิชยั ศริ ิพร สถาบนั กศน. ภาคตะวนั ออก . นางช่อทิพย์ ศริ ิพร สถาบนั กศน. ภาคตะวนั ออก . นายสุรพงษ์ มนั มะโน กล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน . นายววิ ฒั นไ์ ชย จนั ทนส์ ุคนธ์ ขา้ ราชการบาํ นาญ คณะทาํ งาน . นายสุรพงษ์ มนั มะโน กล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน . นายศภุ โชค ศรีรัตนศลิ ป์ กลมุ่ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน . นางสาววรรณพร ปัทมานนท์ กล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน 4. นางสาวศริญญา กลุ ประดษิ ฐ์ กลุ่มพฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน . นางสาวเพชรินทร์ เหลอื งจิตวฒั นา กล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน

130 ผ้พู มิ พ์ต้นฉบบั คะเนสม กลมุ่ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน .นางสาวปิ ยวดี เหลอื งจิตวฒั นา กลมุ่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน . นางสาวเพชรินทร์ กววี งษพ์ พิ ฒั น์ กลุม่ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน . นางสาวกรวรรณ ธรรมธิษา กลุ่มพฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน . นางสาวชาลินี บา้ นชี กลมุ่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน . นางสาวอลิศรา ศรีรัตนศิลป์ กลมุ่ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน ผ้อู อกแบบปก นายศุภโชค

131 ผ้พู ฒั นาและปรับปรุงครังที คณะทปี รึกษา บุญเรือง เลขาธิการ กศน. อมิ สุวรรณ์ รองเลขาธิการ กศน. นายประเสริฐ จาํ ปี รองเลขาธิการ กศน. นายชยั ยศ จนั ทร์โอกลุ ผเู้ ชียวชาญเฉพาะดา้ นพฒั นาสือการเรียนการสอน นายวชั รินทร์ ผาตินินนาท ผเู้ ชียวชาญเฉพาะดา้ นการเผยแพร่ทางการศกึ ษา นางวทั นี ธรรมวธิ ีกลุ หวั หนา้ หน่วยศกึ ษานิเทศก์ นางชุลีพร งามเขตต์ ผอู้ าํ นวยการศกึ ษานอกโรงเรียน นางอญั ชลี นางศุทธินี ผ้พู ฒั นาและปรับปรุงครังที นายสุรพงษ์ มนั มะโน กลุ่มพฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน กลมุ่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน นายศุภโชค ศรีรัตนศลิ ป์ กล่มุ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน กลมุ่ พฒั นาการศึกษานอกโรงเรียน นายกิตติพงศ์ จนั ทวงศ์ กลุม่ พฒั นาการศกึ ษานอกโรงเรียน นางสาวผณินทร์ แซ่องึ นางสาวเพชรินทร์ เหลืองจิตวฒั นา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook