Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายวิชาศิลปศึกษา ทช21003

รายวิชาศิลปศึกษา ทช21003

Published by ครูนภัสสร, 2021-10-28 03:32:07

Description: ทช21003

Search

Read the Text Version

44 วตั ถุประสงค์ของห้องหรือสถานที ในการใชส้ ีตกแต่งภายใน ควรคาํ นึงถงึ วตั ถุประสงคข์ องห้องหรือสถานทีตกแต่ง เพือจะได้ ใชส้ ีได้อย่างเหมาะสม การใชส้ ีตกแต่งสถานทีต่าง ๆ ภายในบา้ น แบ่งออกเป็ นห้องต่างๆ ดงั นี ห้องรับแขก เป็นหอ้ งทีใชใ้ นการสนทนา หรือตอ้ นรับผมู้ าเยอื น ดงั นนั หอ้ งรับแขก ควรใช้ สีอบอุ่น เช่น สีครีม สีสม้ ออ่ น หรือสีเหลอื งออ่ น เพือกระตุน้ ใหเ้ บิกบาน ห้องอาหาร ควรมีสีทีดูสบายตา เพือเพิมรสชาติอาหาร อาจใชส้ ีทีกลมกลืน นุ่มนวล เพราะสีนุ่มนวลจะทาํ ใหเ้ กิดความสบายใจ ห้องครัว ควรใชส้ ีทีดูสะอาดตา และรักษาความสะอาดง่าย ห้องควรเป็ นห้องทีใชท้ าํ กิจกรรมจึงควรใชส้ ีกระตุน้ ใหเ้ กิดความสนใจในการทาํ กิจกรรม ห้องนอน เป็ นห้องทีพกั ผ่อน ควรใช้สีทีสบายตา อบอุ่น หรือนุ่มนวล แต่การใชใ้ น หอ้ งนอนควรคาํ นึงถึงผใู้ ชด้ ว้ ย ห้องนํา เป็ นหอ้ งทีใชท้ าํ กิจกรรมส่วนตวั และตอ้ งการความสบาย จึงควรใชส้ ีทีสบายตา เป็ นธรรมชาติ และสดชืน เช่น สีฟ้ า สีเขียว หรือสีขาว และควรเป็ นห้องทีทาํ ความสะอาดไดง้ ่าย ทิศทาง การใชส้ ีตกแต่งภายในควรคาํ นึงถึงทิศทางของหอ้ ง ห้องทีถกู แสงแดดส่องควรใชส้ ีอ่อน เพอื สะทอ้ นแสง ส่วนหอ้ งทีอยใู่ นทีมืด หรืออบั ควรใชส้ ีออ่ นเพอื ความสว่างเช่นกนั เพศและวยั เพศชายหรือหญิง จะใชส้ ีในการตกแต่งไมเ่ หมอื นกนั เพศชายจะใชส้ ีเขม้ กว่าเพศ หญิง เช่นสีเขียวเขม้ สีฟ้ า หรือเทา ส่วนเพศหญิงจะใช้สีทีอ่อน และนุ่มนวลกว่า เช่น สีครี ม สีเหลือง เป็นตน้ วยั ในแต่ละวยั จะใชส้ ีไมเ่ หมือนกนั เช่น หอ้ งเดก็ จะใชส้ ีอ่อนหวานนุ่มนวล หอ้ งผใู้ หญ่จะมี สีทีอบอุน่ หอ้ งผสู้ ูงอายจุ ะใชส้ ีทีนุ่มนวล ศิลปะไม่ไดเ้ กียวขอ้ งกบั การจดั ตกแต่งทีอยอู่ าศยั เพียงอยา่ งเดียว แต่ศิลปะยงั ช่วยจรรโลงใจ ใหส้ มาชิกในครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข หากตอ้ งการความสุขในครอบครัว ปัจจยั หนึงทีควร คาํ นึงถึงสิงนนั คือ “ศลิ ปะ”

45 เรืองที 12B คุณค่าของความซาบซึงของวฒั นธรรมของชาติ B13 ศิลปะไทย เป็นเอกลกั ษณ์ของชาติไทย ซึงคนไทยทงั ชาติต่างภาคภมู ใิ จอยา่ งยงิ ความงดงามทีสืบ 14B ทอดอนั ยาวนานมาตงั แต่อดีต บ่งบอกถึงวฒั นธรรมทีเกิดขึน โดยมพี ฒั นาการบนพนื ฐานของความเป็นไทย ลกั ษณะนิสัยทีอ่อนหวาน ละมุนละไม รักสวยรักงาม ทีมีมานานของสังคมไทย ทาํ ใหศ้ ิลปะไทยมีความ ประณีตอ่อนหวาน เป็ นความงามอย่างวิจิตรอลงั การทีทุกคนไดเ้ ห็นตอ้ ง ตืนตา ตืนใจ อยา่ งบอกไม่ถูก ลกั ษณะความงามนีจึงไดก้ ลายเป็ นความรู้สึกทางสุนทรียภาพโดยเฉพาะคนไทย เมือเราไดส้ ืบคน้ ความ เป็นมาของสงั คมไทย พบว่าวิถีชีวิตอยกู่ นั อย่างเรียบง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็ นเครืองยดึ เหนียวจิตใจ สงั คมไทยเป็นสงั คมเกษตรกรรมมาก่อน ดงั นนั ความผกู พนั ของจิตใจจึงอยทู่ ีธรรมชาติแม่นาํ และพืนดิน สิงหล่อหลอมเหล่านีจึงเกิดบูรณาการเป็ นความคิด ความเชือและประเพณีในทอ้ งถิน แลว้ ถ่ายทอดเป็ น วฒั นธรรมไทยอยา่ งงดงาม ทีสาํ คญั วฒั นธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิงอนั เป็นทียอมรับในสงั คม หนึง ๆ ให้คนในสังคมนันไดร้ ับรู้แลว้ ขยายไปในขอบเขตทีกวา้ งขึน ซึงส่วนใหญ่การสือสารทาง วฒั นธรรมนนั กระทาํ โดยผา่ นสญั ลกั ษณ์ และสญั ลกั ษณ์นีคือผลงานของมนุษยน์ นั เองทีเรียกวา่ ศิลปะไทย ปัจจุบนั คาํ ว่า \"ศิลปะไทย\" กาํ ลงั จะถกู ลืมเมืออิทธิพลทางเทคโนโลยสี มยั ใหม่เขา้ มาแทนทีสังคม เก่าของไทย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ โลกแห่งการสือสารไดก้ า้ วไปลาํ ยคุ มาก จนเกิดความแตกต่างอยา่ งเห็นไดช้ ดั เมือเปรียบเทียบกับสมยั อดีต โลกใหม่ยุคปัจจุบนั ทาํ ใหค้ นไทยมีความคิดห่างไกลตวั เองมากขึน และ อทิ ธิพลดงั กล่าวนีทาํ ใหค้ นไทยลืมตวั เราเองมากขึนจนกลายเป็ นสิงสบั สนอยกู่ บั สังคมใหม่อย่างไม่รู้ตวั มี ความว่นุ วายดว้ ยอาํ นาจแห่งวฒั นธรรมสือสารทีรีบเร่งรวดเร็วจนลมื ความเป็นเอกลกั ษณ์ของชาติ เมือเราหนั กลบั มามองตวั เราเองใหม่ ทาํ ใหด้ ูห่างไกลเกินกว่าจะกลบั มาเรียนรู้ว่า พืนฐานของชาติ บา้ นเมอื งเดิมเรานนั มีความเป็นมาหรือมวี ฒั นธรรมอยา่ งไร ความรู้สึกเช่นนี ทาํ ใหเ้ ราลมื มองอดีตตวั เอง การ มีวิถีชีวิตกบั สังคมปัจจุบันจาํ เป็ นตอ้ งดินรนต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ทีวิงไปขา้ งหน้าอย่างรวดเร็ว ถา้ เรามี ปัจจุบนั โดยไม่มอี ดีต เรากจ็ ะมอี นาคตทีคลอนแคลนไมม่ นั คง การดาํ เนินการนาํ เสนอแนวคิดในการจดั การ เรียนการสอนศิลปะในครังนี จึงเป็นเสมอื นการคน้ หาอดีต โดยเราชาวศลิ ปะตอ้ งการใหอ้ นุชนไดม้ องเห็นถึง ความสาํ คญั ของบรรพบุรุษผสู้ ร้างสรรคศ์ ิลปะไทย ใหเ้ ราทาํ หนา้ ทีสืบสานต่อไปในอนาคต ความเป็ นมาของศิลปะไทย ไทยเป็นชาติทีมีศิลปะและวฒั นธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมาชา้ นานแลว้ เริมตงั แต่ก่อนประวตั ิศาสตร์ ศิลปะไทยจะวิวฒั นาการและสืบเนืองเป็นตวั ของตวั เองใน ทีสุด เท่าทีเราทราบราว พ.ศ. จนถงึ พ.ศ. พระพทุ ธศาสนานาํ เขา้ มาโดยชาวอนิ เดีย ครังนนั แสดงใหเ้ ห็นอทิ ธิพลต่อรูปแบบของศิลปะไทยในทุก ๆ ดา้ นรวมทงั ภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดยกระจายเป็นกลมุ่ ศลิ ปะสมยั ต่าง ๆ เริมตงั แต่สมยั ทวาราวดี ศรีวชิ ยั ลพบุรี เมอื กลมุ่ คนไทยตงั ตวั

46 เป็นปึ กแผน่ แลว้ ศลิ ปะดงั กลา่ วจะตกทอดกลายเป็นศิลปะไทย ช่างไทยพยายามสร้างสรรคใ์ หม้ ี ลกั ษณะพเิ ศษกวา่ งานศลิ ปะของชาติอืน ๆ คือ จะมลี วดลายไทยเป็นเครืองตกแต่ง ซึงทาํ ใหล้ กั ษณะ ของศิลปะไทยมรี ูปแบบเฉพาะมคี วามอ่อนหวาน ละมุนละไม และไดส้ อดแทรกวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้สึกของคนไทยไวใ้ นงานอยา่ งลงตวั ดงั จะเห็นไดจ้ ากภาพฝาผนงั ตามวดั วาอารามต่าง ๆ ปราสาทราชวงั ตลอดจนเครืองประดบั และเครืองใชท้ วั ไป ประวตั ศิ ิลปะไทย ศิลปะไทยแบ่งไดเ้ ป็นยคุ ต่าง ๆ ดงั นี 1. แบบทวาราวดี ( ราว พ.ศ. 500 – 1200 ) 2. แบบศรีวชิ ยั (ราว พ.ศ. 1200 – 1700 ) 3. แบบลพบุรี (ราว พ.ศ. 1700 - 1800) 1. แบบทวาราวดี (ราว พ.ศ. 500 - 1200) เป็นฝีมอื ของชนชาติอนิ เดีย ซึงอพยพมาสู่สุวรรณภูมิ ศนู ยก์ ลางอยนู่ ครปฐม เป็นศิลปะ แบบอดุ มคติ รุ่นแรกเป็นฝีมอื ชาวอินเดีย แต่มาระยะหลงั เป็นฝีมอื ของชาวพืนเมืองโดยสอดใส่อุดม คติทางความงาม ตลอดจนลกั ษณะทางเชือชาติ ศิลปะทีสาํ คญั คือ 1.1 ประติมากรรม พระพทุ ธรูปแบบทวาราวดี สงั เกตไดช้ ดั เจนคือพระพุทธรูปนงั หอ้ ย พระบาทและยกพระหัตถข์ ึน โดยส่วนมากสลกั ดว้ ยหินปูน ภาพสลกั มากคือบริเวณพระปฐม เจดีย์ คือ ธรรมจกั รกบั กวางหมอบ 1.2 สถาปัตยกรรม ทีปรากฏหลกั ฐาน บริเวณนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี เป็นตน้ ไดแ้ ก่ สถปู ลกั ษณะเนินดิน ทาํ เป็นมะนาวผา่ ซีก หรือรูปบาตรควาํ อย่บู นฐาน สีเหลียม เช่น เจดียน์ ครปฐมองคเ์ ดิม 2. แบบศรีวชิ ัย (ราว พ.ศ. 1200 - 1700) เป็ นศิลปะแบบอินเดีย - ชวา ศูนยก์ ลางของศิลปะนีอย่ทู ีไชยา มีอาณาเขตของศิลปะ ศรีวชิ ยั เกาะสุมาตรา พวกศรีวิชยั เดิมเป็ นพวกทีอพยพมาจากอินเดียตอนใต้ แพร่เขา้ มาพร้อมกบั พระพทุ ธศาสนาลทั ธิมหายาน ไดส้ ร้างสิงมหศั จรรยข์ องโลกไวอ้ ย่างหนึงโดยสลกั เขาทงั ลกู ใหเ้ ป็ น เขาไกรลาศ คือ สถปู โบโรบูเดอร์

47 ศิลปกรรมในประเทศไทย คือ 1. ประติมากรรม ค้นพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ทําเป็ นสัมฤทธิทีไชยา โดยสมเด็จกรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ถือว่าเป็นศิลปะชนั เยยี มของแบบศรีวิชยั 2. สถาปัตยกรรม มีงานตกแต่งเขา้ มาปนอยใู่ นสถปู เช่นสถปู พระบรมธาตุไชยา สถปู วดั มหาธาตุ . แบบลพบุรี (ราว พ.ศ. 1700 - 1800) ศิลปะแบบนีคลา้ ยของขอม ศูนยก์ ลางอยทู่ ีเมืองลพบุรี ศาสนาพราหมณ์เขา้ มามี บทบาทตามความเชือ สร้างเทวสถานอนั ใหญ่โตแข็งแรงคงทนถาวร เช่น ปราสาทหินพนมรุ้ง นครวดั นบั เป็นสิงมหศั จรรยข์ องโลก

48 . ประติมากรรมสร้างพระพทุ ธรูป พระโพธิสตั ว์ พระพุทธรูปสมยั ลพบุรีเปลือย องคท์ ่อนบน พระพกั ตร์เกือบเป็นสีเหลยี ม มีฝีมือในการแกะลวดลายมาก 2. สถาปัตยกรรมสร้างพระปรางค์เป็ นเทวสถาน การก่อสร้างใชว้ สั ดุทีแข็งแรง ทนทาน ทีมอี ยตู่ ามทอ้ งถนิ เช่น ศิลาแลง หินทราย ศลิ ปะทีสาํ คญั ไดแ้ ก่ พระปรางคส์ ามยอดลพบุรี ความเป็นแว่นแควน้ ทีมศี นู ยก์ ลางการปกครองทีเด่นชดั กว่าทีเคยมีมาในอดีตแควน้ สุโขทยั ถอื กาํ เนิดขึนเมือราวตน้ พุทธศตวรรษที 19 ภายหลงั จากทีอิทธิพลของอาณาจกั รเขมรเสือม คลายลง ขอ้ ความในศิลาจารึกหลกั ที 2 (จารึกวดั ศรีชุม) กล่าวถึงกลุ่มคนไทยนาํ โดยพ่อขุนบาง กลางหาวเจา้ เมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจา้ เมืองราด ไดร้ ่วมมือกนั ขจดั อาํ นาจปกครองจาก “ขอมสมาดโขลญลาํ พง” จากนนั ไดช้ ่วยกนั ก่อร่างสร้างเมืองพร้อมกบั สถาปนาพ่อขุนบางกลางหาว ขึนเป็ นปฐมกษตั ริยป์ กครองสืบมา ศิลปะสุโขทยั เป็ นศิลปะทีเกิดจากการผสมผสานวฒั นธรรมที เจริญรุ่งเรืองก่อนหนา้ เช่น วฒั นธรรมเขมร พุกาม หริภุญไชย และวฒั นธรรมร่วมสมยั จากลา้ นนา ต่อมาในราวปลายพุทธศตวรรษที 20 ราชธานีสุโขทยั จึงตกอยใู่ ตอ้ าํ นาจของกรุงศรีอยธุ ยาราชธานี ทางภาคกลางทีสถาปนาขึนในราวปลายพุทธศตวรรษที 19 ศิลปะสุโขทยั มีพืนฐานอย่ทู ีความ เรี ยบง่าย อันเกิดจากแนวความคิดทางพุทธศาสนาลทั ธิเถรวาททีรับมาจากประเทศศรี ลงั กา ศลิ ปกรรมโดยเฉพาะงานดา้ นประติมากรรมทีสร้างขึนในสมยั นี ไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ มคี วามงดงาม

49 เป็ นศิลปกรรมแบบคลาสสิคของไทยทางตอนเหนือของแควน้ สุโขทยั ขึนไปเป็ น ทีตงั ของแควน้ ลา้ นนา ซึงพระยาเมง็ รายไดท้ รงสถาปนาขึนในปี พ.ศ. 1839 โดยมีเมืองเชียงใหม่เป็ น ราชธานี แควน้ ลา้ นนาบางช่วงเวลาตอ้ งตกอย่ภู ายใตอ้ าํ นาจทางการเมืองของแว่นแควน้ ใกลเ้ คียง จนกระทงั ในทีสุดจึงไดถ้ กู รวมเขา้ เป็นส่วนหนึงของราชอาณาจกั รสยาม เมือสมยั ตน้ รัตนโกสินทร์ ศลิ ปะลา้ นนา ในช่วงตน้ ๆ สืบทอดลกั ษณะทางศิลปกรรมจากหริภุญไชยผสมผสานกบั ศิลปะพุกาม จากประเทศพม่า ต่อมาจึงปรากฏอิทธิพลของศิลปะสุโขทยั พม่า รวมถึงศิลปะรัตนโกสินทร์ แต่กระนนั ลา้ นนาก็ยงั รักษาเอกลกั ษณ์แห่งงานช่างอนั ยาวนานของตนอยไู่ ด้ และมีพฒั นาการผ่าน มาถึงปัจจุบนั ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 1893 พืนทีภาคกลาง บริเวณสองฟากของลุ่ม แมน่ าํ เจา้ พระยา ปรากฏศลิ ปกรรมรูปแบบหนึงซึงมีลกั ษณะผสมผสานระหว่างศิลปะทวารวดี ศิลปะ เขมร และศลิ ปะสุโขทยั ก่อนทีจะสืบเนืองมาเป็ น ศิลปะอยุธยา เนืองจากกรุงศรีอยธุ ยาเป็ นราชธานี ของไทยอย่นู านถึง 417 ปี ศิลปกรรมทีสร้างขึนจึงมีความผิดแผกแตกต่างกนั ออกไปตามกระแส วฒั นธรรมทีผา่ นเขา้ มา โดยเฉพาะจากเขมรและสุโขทยั ก่อนจะพฒั นาไปจนมีรูปแบบทีเป็ นตวั ของ ตวั เอง งานประณีตศิลป์ ในสมยั นีถือได้ว่ามีความรุ่งเรืองสูงสุด หลงั จากราชธานีกรุงศรีอยธุ ยา ถึงคราวล่มสลาย เมือพ.ศ. 2310 ก็ถึงยุคกรุงธนบุรี เนืองจากในช่วงเวลา 15 ปี ของยุคนีไม่ปรากฏ

50 หลกั ฐานทางศิลปกรรมทีมีรูปแบบเฉพาะ จึงมกั ถกู รวมเขา้ กบั ราชธานีกรุงเทพฯ หรือทีเรียกว่า กรุงรัตนโกสินทร์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ในช่วงตน้ ๆ มลี กั ษณะเป็ นการสืบทอดงานแนวอุดมคติจาก อดีตราชธานีกรุงศรีอยธุ ยาอยา่ งเด่นชดั จากนนั ในช่วงตงั แต่รัชกาลที 4 เป็นตน้ มา อิทธิพลทางศลิ ปวฒั นธรรมจากตะวนั ตกไดเ้ ริมเขา้ มามีบทบาทเพมิ ขึนเรือย ๆ จนกระทงั กลายมาเป็ น ศลิ ปะแนวใหม่ทีเรียกวา่ “ศลิ ปกรรมร่วมสมยั ” ในปัจจุบนั ภาพโลหะปราสาท ภาพหอไตร

51 กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนทดลอง ฝึกเขียนลายไทย จากความรู้ทีไดศ้ กึ ษาจากเรืองที - มาประกอบ

52 กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนทดลอง วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ งานทศั นศลิ ป์ ไทย จากภาพประกอบ โดยใชห้ ลกั การ วจิ ารณข์ า้ งตน้ และความรู้ทีไดศ้ กึ ษาจากเรืองที - มาประกอบคาํ วจิ ารณ์ พระพุทธรูปศิลปะอยธุ ยา คาํ วจิ ารณ์ ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................

53 บทที 2 ดนตรีไทย สาระสําคญั ศึกษาเรียนรู้ เขา้ ใจ ถึงววิ ฒั นาการ ประวตั ิความเป็นมา และคุณค่าความงาม ของดนตรีไทย สามารถอธิบายความงาม และประวตั ิความเป็นมาของดนตรีไทยไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั อธิบายความหมาย ความสาํ คญั ความเป็นมา ของดนตรีไทย เขา้ ใจถึงตน้ กาํ เนิด ภูมปิ ัญญา และการอนุรักษด์ นตรีไทย ขอบข่ายเนือหา เรืองที ประวตั ิดนตรีไทย เรืองที เทคนิคและวิธีการเลน่ ของเครืองดนตรีไทย เรืองที คุณค่าความงามความไพเราะของเพลงและเครืองดนตรีไทย เรืองที ประวตั ิคณุ ค่าภมู ปิ ัญญาของดนตรีไทย

54 เรืองที ประวตั ิดนตรีไทย ดนตรีไทย ไดแ้ บบอยา่ งมาจากอินเดีย เนืองจาก อนิ เดียเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ ทีสาํ คญั แห่งหนึงของโลก อารยธรรมต่าง ๆ ของอินเดียไดเ้ ขา้ มามีอิทธิพล ต่อประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย อย่างมาก ทงั ในดา้ น ศาสนา ประเพณีความเชือ ตลอดจน ศิลปะ แขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะทางดา้ น ดนตรี ปรากฏรูปร่างลกั ษณะ เครืองดนตรี ของประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย เช่น จีน เขมร พม่า อนิ โดนิเซีย และ มาเลเซีย มลี กั ษณะ คลา้ ยคลึงกนั เป็ นส่วนมาก ทงั นีเนืองมาจาก ประเทศเหล่านัน ต่างก็ยดึ แบบฉบบั ดนตรี ของอินเดีย เป็นบรรทดั ฐาน รวมทงั ไทยเราดว้ ย เหตุผลสาํ คญั ทีท่านผรู้ ู้ได้ เสนอทศั นะนีก็คือ ลกั ษณะของ เครืองดนตรีไทย สามารถจาํ แนกเป็น 4 ประเภท คือ เครืองดีด เครืองสี เครืองตี เครืองเป่ า

55 การสนั นิษฐานเกียวกบั กาํ เนิดหรือทีมาของ ดนตรีไทย ตามแนวทศั นะขอ้ นี เป็ นทศั นะทีมี มาแต่เดิม นับตงั แต่ ไดม้ ีผสู้ นใจ และไดท้ าํ การคน้ ควา้ หาหลกั ฐานเกียวกบั เรืองนีขึน และนับว่า เป็ น ทศั นะต่าง ๆ ดงั นี 1. ไดร้ ับการนาํ มากลา่ วอา้ งกนั มาก บุคคลสาํ คญั ทีเป็นผเู้ สนอแนะแนวทางนีคือ สมเดจ็ พระ เจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวตั ิศาสตร์ไทย 2. สนั นิษฐานว่า ดนตรีไทย เกดิ จากความคิด และ สติปัญญา ของคนไทย เกิดขึนมาพร้อมกบั คนไทย ตงั แต่ สมยั ทียงั อยทู่ างตอนใต้ ของประเทศจีนแลว้ ทงั นีเนืองจาก ดนตรี เป็นมรดกของ มนุษยชาติ ทุกชาติทกุ ภาษาต่างก็มดี นตรีซึงเป็นเอกลกั ษณ์ ของตนดว้ ยกนั ทงั นนั ถึงแมว้ ่าในภายหลงั จะมกี ารรับเอาแบบอยา่ งดนตรีของตา่ งชาติเขา้ มากต็ าม แตก่ ็เป็นการนาํ เขา้ มาปรับปรุงเปลยี นแปลง ใหเ้ หมาะสม กบั ลกั ษณะและนิสยั ทางดนตรี ของคนในชาตินนั ๆ ไทยเราตงั แต่สมยั ทียงั อยทู่ างตอน ใตข้ องประเทศจีน กค็ งจะมี ดนตรีของเราเองเกิดขึนแลว้ ทงั นี จะสงั เกตเห็นไดว้ ่า เครืองดนตรี ดงั เดิมของไทย จะมีชือเรียกเป็นคาํ โดด ซึงเป็นลกั ษณะของคาํ ไทยแท้ เช่น เกราะ โกร่ง กรับ ฉาบ ฉิง ปี ขลยุ่ ฆอ้ ง กลอง เป็นตน้ ต่อมาเมอื ไทยได้ อพยพลงมาตงั ถนิ ฐานในแถบแหลมอินโดจีน จึงไดม้ าพบวฒั นธรรมแบบ อินเดีย โดยเฉพาะเครืองดนตรีอินเดีย ซึงชนชาติมอญ และ เขมร รับไวก้ ่อนทีไทยจะอพยพเขา้ มา ดว้ ยเหตุนีชนชาติไทยซึงมีนิสยั ทางดนตรีอยแู่ ลว้ จึงรับเอาวฒั นธรรมทางดนตรีแบบอินเดีย ผสมกบั แบบมอญและเขมร เขา้ มาผสมกบั ดนตรีทีมีมาแต่เดิมของตน จึงเกิดเครืองดนตรีเพิมขึนอีก ไดแ้ ก่ พิณ สงั ข์ ปี ไฉน บณั เฑาะว์ กระจบั ปี และจะเข้ เป็ นตน้ ต่อมาเมือไทยไดต้ งั ถินฐานอย่ใู นแหลม อนิ โดจีนอยา่ งมนั คงแลว้ ไดม้ กี ารติดต่อสมั พนั ธก์ บั ประเทศเพอื นบา้ นในแหลมอินโดจีน หรือแมแ้ ต่ กบั ประเทศทางตะวนั ตกบางประเทศทีเขา้ มา ติดต่อคา้ ขาย ทาํ ใหไ้ ทยรับเอาเครืองดนตรีบางอย่าง ของประเทศต่าง ๆ เหล่านันมาใช้ เล่นในวงดนตรีไทยดว้ ย เช่น กลองแขก ปี ชวา (อินโดนีเซีย) กลองมลายู (มาเลเซีย) เปิ งมาง ตะโพนมอญ ปี มอญ และฆอ้ งมอญ กลองยาวของพม่า ขิม มา้ ลอ่ ของจีน กลองมริกนั (กลองของชาวอเมริกนั ) เปี ยโน ออร์แกน และไวโอลีน ของประเทศทาง ตะวนั ตก เป็นตน้ ววิ ฒั นาการของวงดนตรีไทย นบั ตงั แต่ไทยไดม้ าตงั ถนิ ฐานในแหลมอินโดจีน และไดก้ ่อตงั อาณาจกั รไทยขึน จึงเป็นการ เริมตน้ ยุคแห่งประวตั ิศาสตร์ไทย ทีปรากฏหลกั ฐานเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร กล่าวคือ เมือไทยได้ สถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั ขึน และหลงั จากทีพอ่ ขุนรามคาํ แหงมหาราช ไดป้ ระดิษฐ์อกั ษรไทยขึน ใชแ้ ลว้ นับตงั แต่นันมาจึงปรากฏหลกั ฐานดา้ นดนตรีไทย ทีเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ทงั ในหลกั ศิลา จารึก หนงั สือวรรณคดี และเอกสารทางประวตั ิศาสตร์ ในแต่ละยคุ ซึงสามารถนาํ มาเป็นหลกั ฐานใน

56 การพจิ ารณา ถึงความเจริญและววิ ฒั นาการของ ดนตรีไทย ตงั แต่สมยั สุโขทยั เป็ นตน้ มา จนกระทงั เป็นแบบแผนดงั ปรากฏ ในปัจจุบนั พอสรุปไดด้ งั ต่อไปนี สมยั สุโขทัย มลี กั ษณะเป็นการขบั ลาํ นาํ และร้องเล่นกนั อยา่ งพนื เมือง เกียวกบั เครืองดนตรีไทย ในสมยั นี ปรากฏหลกั ฐานกลา่ วถึงไวใ้ นหนงั สือ ไตรภูมิพระร่วง ซึงเป็ นหนงั สือวรรณคดี ทีแต่งในสมยั นี ไดแ้ ก่ แตร สงั ข์ มโหระทึก ฆอ้ ง กลอง ฉิง แฉ่ง (ฉาบ) บณั เฑาะว์ พิณ ซอพุงตอ (สนั นิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปี ไฉน ระฆงั และกงั สดาล เป็นตน้ ลกั ษณะการผสม วงดนตรี ก็ปรากฏหลกั ฐานทงั ใน ศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง \"เสียงพาทย์ เสียงพิณ\" ซึงจากหลกั ฐานทีกล่าวนี สนั นิษฐานวา่ วงดนตรีไทย ในสมยั สุโขทยั มีดงั นี คือ 1. วงบรรเลงพณิ มีผบู้ รรเลง 1 คน ทาํ หนา้ ทีดีดพิณและขบั ร้องไปดว้ ย เป็นลกั ษณะของการ ขบั ลาํ นาํ 2. วงขบั ไม้ ประกอบดว้ ยผบู้ รรเลง 3 คน คือ คนขบั ลาํ นาํ 1 คน คนสีซอสามสาย คลอเสียง ร้อง 1 คน และคนไกวบณั เฑาะว์ ใหจ้ งั หวะ 1 คน 3. วงปี พาทย์ เป็นลกั ษณะของวงปี พาทยเ์ ครืองหา้ มี 2 ชนิด คือ 3.1 วงปี พาทยเ์ ครืองหา้ อย่างเบา ประกอบดว้ ยเครืองดนตรีชนิดเลก็ ๆ จาํ นวน 5 ชิน คือ 1. ปี 2. กลองชาตรี 3. ทบั (โทน) 4. ฆอ้ งคู่ 5. ฉิง ใชบ้ รรเลงประกอบการแสดง ละครชาตรี (เป็ นละครเก่าแก่ทีสุดของไทย) . วงปี พาทยเ์ ครืองหา้ อยา่ งหนกั ประกอบดว้ ย เครืองดนตรีจาํ นวน 5 ชิน คือ 1. ปี ใน 2. ฆอ้ งวง (ใหญ่) 3. ตะโพน 4. กลองทดั 5. ฉิง ใชบ้ รรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลง ประกอบ การแสดงมหรสพ ต่าง ๆ จะเห็นว่าวงปี พาทยเ์ ครืองห้า ในสมยั นียงั ไม่มีระนาดเอก 4. วงมโหรี เป็นลกั ษณะของวงดนตรีอกี แบบหนึงทีนาํ เอา วงบรรเลงพณิ กบั วงขบั ไม้ มา ผสมกนั เป็นลกั ษณะของวงมโหรีเครืองสี เพราะประกอบดว้ ยผบู้ รรเลง 4 คน คือ 1. คนขบั ลาํ นาํ และ ตีกรับพวงใหจ้ งั หวะ 2. คนสีซอสามสายคลอเสียงร้อง 3. คนดีดพิณ 4. คนตีทบั (โทน) ควบคุม จงั หวะ สมยั กรุงศรีอยธุ ยา ในสมยั นี ในกฎมณเฑียรบาล ซึงระบุชือ เครืองดนตรีไทยเพมิ ขึนจากทีเคยระบุไว้ ในหลกั ฐานสมยั สุโขทยั จึงน่าจะเป็นเครืองดนตรี ทีเพงิ เกิดในสมยั นี ไดแ้ ก่ กระจบั ปี ขล่ยุ จะเข้ และ รํามะนา นอกจากนีในกฎมณเฑียรบาลสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 - 2031) ปรากฏ ขอ้ หา้ มตอนหนึงวา่ \"...หา้ มร้องเพลงเรือ เป่ าขลุ่ย เป่ าปี สีซอ ดีดกระจบั ปี ดีดจะเข้ ตีโทนทบั ในเขต พระราชฐาน...\" ซึงแสดงว่าสมยั นี ดนตรีไทย เป็ นทีนิยมกนั มาก แมใ้ นเขตพระราชฐาน ก็มีคนไป ร้องเพลงและเล่นดนตรีกนั เป็นทีเอิกเกริกและเกินพอดี จนกระทงั พระมหากษตั ริยต์ อ้ งทรงออกกฎ

57 มณเฑียรบาล ดงั กล่าวขึนไวเ้ กียวกบั ลกั ษณะของวงดนตรีไทย ในสมยั นีมีการเปลียนแปลง และ พฒั นาขึนกวา่ ในสมยั สุโขทยั ดงั นี คือ 1. วงปี พาทย์ ในสมยั นีกย็ งั คงเป็นวงปี พาทยเ์ ครืองหา้ เช่นเดียวกบั ในสมยั สุโขทยั แต่มี ระนาดเอก เพมิ ขึน ดงั นนั วงปี พาทยเ์ ครืองหา้ ในสมยั นีประกอบดว้ ย เครืองดนตรี ดงั ต่อไปนี คือ 1.1 ระนาดเอก 1.2 ปี ใน 1.3 ฆอ้ งวง (ใหญ่) 1.4 กลองทดั ตะโพน 1.5 ฉิง 2. วงมโหรี ในสมยั นีพฒั นามาจาก วงมโหรีเครืองสี ในสมยั สุโขทยั เป็น วงมโหรีเครืองหก เพราะไดเ้ พมิ เครืองดนตรี เขา้ ไปอกี 2 ชิน คือ ขล่ยุ และ ราํ มะนา ทาํ ให้ วงมโหรี ในสมยั นีประกอบดว้ ย เครืองดนตรี จาํ นวน 6 ชิน คือ 2.1 ซอสามสาย 2.2 กระจบั ปี (แทนพิณ) 2.3 ทบั (โทน) 2.4 ราํ มะนา 2.5 ขลุ่ย 2.6 กรับพวง สมยั กรุงธนบุรี เนืองจากในสมยั นีเป็นช่วงระยะเวลาอนั สนั เพยี งแค่ 15 ปี และประกอบกบั เป็นสมยั แห่ง การก่อสร้างเมือง และการป้ องกนั ประเทศ วงดนตรีไทย ในสมยั นีจึงไม่ปรากฏหลกั ฐานไวว้ า่ ไดม้ ี การพฒั นาเปลียนแปลงขึน สนั นิษฐานว่า ยงั คงเป็นลกั ษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมยั กรุง ศรีอยธุ ยา สมยั กรุงรัตนโกสินทร์ ในสมยั นี เมือบา้ นเมืองไดผ้ า่ นพน้ จากภาวะศึกสงคราม และไดม้ ีการก่อสร้างเมอื งให้ มนั คงเป็นปึกแผน่ เกิดความสงบร่มเยน็ โดยทวั ไปแลว้ ศิลปวฒั นธรรมของชาติ กไ็ ดร้ ับการฟื นฟู ทะนุบาํ รุง และส่งเสริมใหเ้ จริญรุ่งเรืองขึน โดยเฉพาะทางดา้ นดนตรีไทย ในสมยั นีไดม้ กี ารพฒั นา เปลยี นแปลงเจริญขึนเป็นลาํ ดบั ดงั ต่อไปนี

58 รัชกาลที 1 ดนตรีไทยในสมยั นีส่วนใหญ่ ยงั คงมีลกั ษณะและรูปแบบตามทีมีมาตงั แต่ สมยั กรุงศรี อยธุ ยา ทีพฒั นาขึนบา้ งในสมยั นีกค็ ือ การเพมิ กลองทดั ขึนอกี 1 ลกู ในวงปี พาทย์ ซึงแต่เดิมมา มีแค่ 1 ลกู พอมาถึง สมยั รัชกาลที 1 วงปี พาทย์ มีกลองทดั 2 ลูก เสียงสูง (ตวั ผ)ู้ ลกู หนึง และ เสียงตาํ (ตวั เมีย) ลกู หนึง และการใช้ กลองทดั 2 ลกู ในวงปี พาทย์ ก็เป็นทีนิยมกนั มาจนกระทงั ปัจจุบนั นี รัชกาลที 2 อาจกล่าววา่ ในสมยั นี เป็นยคุ ทองของ ดนตรีไทย ยคุ หนึง ทงั นีเพราะ องค์พระมหากษตั ริย์ ทรงสนพระทยั ดนตรีไทย เป็นอยา่ งยงิ พระองคท์ รงพระปรีชาสามารถ ในทางดนตรีไทย ถงึ ขนาดที ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย ไดม้ ีซอค่พู ระหตั ถช์ ือว่า \"ซอสายฟ้ าฟาด\" ทงั พระองค์ได้ พระราช นิพนธเ์ พลงไทย ขึนเพลงหนึง เป็นเพลงทีไพเราะ และอมตะ มาจนบดั นีนันก็คือเพลง \"บุหลนั ลอย เลือน\" การพฒั นา เปลียนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมยั นีก็คือ ไดม้ ีการนาํ เอา วงปี พาทยม์ าบรรเลง ประกอบการขบั เสภา เป็ นครังแรก นอกจากนี ยงั มีกลองชนิดหนึงเกิดขึน โดยดดั แปลงจาก \"เปิ งมาง\" ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนีว่า \"สองหน้า\" ใชต้ ีกาํ กบั จงั หวะแทนเสียงตะโพน ในวงปี พาทย์ ประกอบการขับเสภา เนืองจากเห็นว่าตะโพนดงั เกินไป จนกระทงั กลบเสียงขบั กลองสองหนา้ นี ปัจจุบนั นิยมใชต้ ีกาํ กบั จงั หวะหนา้ ทบั ในวงปี พาทยไ์ มแ้ ข็ง รัชกาลที 3 วงปี พาทยไ์ ดพ้ ฒั นาขึนเป็นวงปี พาทยเ์ ครืองคู่ เพราะไดม้ ีการประดิษฐร์ ะนาดทุม้ มาคู่กบั ระนาดเอก และประดิษฐฆ์ อ้ งวงเลก็ มาค่กู บั ฆอ้ งวงใหญ่ รัชกาลที 4 วงปี พาทยไ์ ดพ้ ฒั นาขนึ เป็นวงปี พาทยเ์ ครืองใหญ่ เพราะไดม้ กี ารประดิษฐ์ เครืองดนตรี เพมิ ขึนอีก 2 ชนิด เลียนแบบ ระนาดเอก และระนาดทุม้ โดยใชโ้ ลหะทาํ ลกู ระนาด และทาํ รางระนาด ใหแ้ ตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุม้ (ไม)้ เรียกว่า ระนาดเอกเหลก็ และระนาดทุม้ เหลก็ นาํ มาบรรเลงเพมิ ในวงปี พาทยเ์ ครืองคู่ ทาํ ให้ ขนาดของวงปี พาทยข์ ยายใหญ่ขึนจึงเรียกว่า วงปี พาทย์ เครืองใหญ่ อนึงในสมยั นี วงการดนตรีไทย นิยมการร้องเพลงส่งใหด้ นตรีรับ หรือทีเรียกวา่ \"การร้องส่ง\" กนั มากจนกระทงั การขบั เสภาซึงเคยนิยมกนั มาก่อนค่อย ๆ หายไป และการร้องส่งก็ เป็นแนวทางใหม้ ีผคู้ ดิ แต่งขยายเพลง 2 ชนั ของเดิมใหเ้ ป็นเพลง 3 ชนั และตดั ลง เป็นชนั เดียว จนกระทงั กลายเป็นเพลงเถาในทีสุด (นบั วา่ เพลงเถาเกิดขนึ มากมายในสมยั นี) นอกจากนี วงเครืองสาย กเ็ กิดขึนในสมยั รัชกาลนีเช่นกนั

59 รัชกาลที 5 ไดม้ ีการปรับปรุงวงปี พาทยข์ ึนใหม่ชนิดหนึง ซึงต่อมาเรียกว่า \"วงปี พาทยด์ ึกดาํ บรรพ\"์ โดยสมเดจ็ กรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ สาํ หรับใชบ้ รรเลงประกอบการแสดง \"ละครดึกดาํ บรรพ\"์ ซึงเป็น ละครทีเพงิ ปรับปรุงขึนในสมยั รัชกาลนีเช่นกนั หลกั การปรับปรุงของท่านก็โดยการตดั เครือง ดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลม หรือดงั เกินไปออก คงไวแ้ ต่เครืองดนตรีทีมีเสียงทุม้ นุ่มนวล กบั เพิม เครืองดนตรีบางอยา่ งเขา้ มาใหม่ เครืองดนตรี ในวงปี พาทยด์ ึกดาํ บรรพ์ จึงประกอบดว้ ยระนาดเอก ฆอ้ งวงใหญ่ ระนาดทุม้ ระนาดทุม้ เหลก็ ขลุ่ย ซออู้ ฆอ้ งหุ่ย (ฆอ้ ง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และ เครืองกาํ กบั จงั หวะ รัชกาลที 6 ได้มีการปรับปรุงวงปี พาทยข์ ึนมาอีกชนิดหนึง โดยนาํ วงดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี พาทยข์ องไทย ต่อมาเรียกวงดนตรีผสมนีว่า \"วงปี พาทยม์ อญ\" โดยหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็ นผปู้ รับปรุงขึน วงปี พาทยม์ อญดงั กล่าวนี ก็มีทังวงปี พาทยม์ อญเครืองห้า เครืองคู่ และเครืองใหญ่ เช่นเดียวกบั วงปี พาทยข์ องไทย และกลายเป็ นทีนิยมใชบ้ รรเลงประโคม ในงานศพ มาจนกระทงั บดั นี นอกจากนียงั ไดม้ ีการนาํ เครืองดนตรีของต่างชาติ เขา้ มาบรรเลงผสม กบั วงดนตรีไทย บางชนิดก็นาํ มาดดั แปลงเป็นเครืองดนตรีของไทย ทาํ ให้รูปแบบของ วงดนตรีไทย เปลยี นแปลงพฒั นา ดงั นี คือ 1. การนาํ เครืองดนตรีของชวา หรืออนิ โดนีเซีย คือ \"องั กะลงุ \" มาเผยแพร่ในเมืองไทย เป็นครังแรก โดยหลวงประดิษฐไ์ พเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทงั นีโดยนาํ มาดดั แปลง ปรับปรุงขึนใหม่ ให้มีเสียงครบ 7 เสียง (เดิมมี 5 เสียง) ปรับปรุงวิธีการเล่น โดยถือเขย่าคนละ 2 เสียง ทาํ ใหเ้ ครือง ดนตรีชนิดนี กลายเป็นเครืองดนตรีไทยอีกอยา่ งหนึง เพราะคนไทยสามารถทาํ องั กะลุงไดเ้ อง อีกทงั วิธีการบรรเลงก็เป็นแบบเฉพาะของเรา แตกต่างไปจากของชวาโดยสินเชิง 2. การนาํ เครืองดนตรีของต่างชาติเขา้ มาบรรเลงผสมในวงเครืองสาย ไดแ้ ก่ ขิมของจีน และออร์แกนของฝรัง ทาํ ใหว้ งเครืองสายพฒั นารูปแบบของวงไปอกี ลกั ษณะหนึง คือ \"วงเครืองสาย ผสม\" รัชกาลที 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ไดท้ รงสนพระทยั ทางดา้ น ดนตรีไทย มากเช่นกนั พระองคไ์ ดพ้ ระราชนิพนธ์ เพลงไทยทีไพเราะไวถ้ ึง 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคลืนกระทบฝัง 3 ชนั เพลงเขมรลอยองค์ (เถา) และเพลงราตรีประดบั ดาว (เถา) พระองคแ์ ละพระราชินีไดโ้ ปรดให้ ครูดนตรีเขา้ ไปถวายการสอนดนตรีในวงั แต่เป็ นทีน่าเสียดาย ทีระยะเวลาแห่งการครองราชยข์ อง พระองค์ไม่นาน เนืองมาจากมีการเปลียนแปลงการปกครอง และพระองคท์ รงสละราชบัลลงั ก์ หลงั จากนนั ได้ 2 ปี มฉิ ะนนั แลว้ ดนตรีไทย ก็คงจะเจริญรุ่งเรืองมากในสมยั แห่งพระองค์ อย่างไรก็

60 ตามดนตรีไทยในสมยั รัชกาลนี นบั ว่าไดพ้ ฒั นารูปแบบ และลกั ษณะ มาจนกระทงั สมบรู ณ์ เป็นแบบ แผนดงั เช่นในปัจจุบนั นีแลว้ ในสมยั สมบูรณาญาสิทธิราชมีผนู้ ิยมดนตรีไทยกนั มาก และมีผมู้ ีฝี มือ ทางดนตรี ตลอดจน มีความคิดปรับปรุ งเปลียนแปลง ให้พัฒนาก้าวหน้ามาตามลําดับ พระมหากษตั ริย์ เจา้ นาย ตลอดจนขุนนางผใู้ หญ่ ไดใ้ หค้ วามอุปถมั ภ์ และทาํ นุบาํ รุงดนตรีไทย ในวงั ต่าง ๆ มกั จะมีวงดนตรีประจาํ วงั เช่น วงวงั บูรพา วงวงั บางขุนพรหม วงวงั บางคอแหลม และวงวงั ปลายเนิน เป็นตน้ แต่ละวงต่างก็ขวนขวายหาครูดนตรี และนกั ดนตรีทีมีฝี มือเขา้ มาประจาํ วง มีการ ฝึกซอ้ มกนั อยเู่ นืองนิจ บางครังกม็ ีการประกวดประชนั กนั จึงทาํ ใหด้ นตรีไทยเจริญเฟื องฟมู าก ต่อมา ภายหลงั การเปลียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นตน้ มา ดนตรีไทยเริมซบเซาลง อาจกล่าวไดว้ ่า เป็ นสมยั หวั เลียวหัวต่อ ที ดนตรีไทย เกือบจะถึงจุดจบ เนืองจากรัฐบาลในสมยั หนึงมีนโยบายที เรียกวา่ \"รัฐนิยม\" ซึงนโยบายนี มีผลกระทบต่อ ดนตรีไทย ดว้ ย กล่าวคือมีการหา้ มบรรเลง ดนตรี ไทย เพราะเห็นวา่ ไมส่ อดคลอ้ งกบั การพฒั นาประเทศ ให้ทดั เทียมกบั อารยประเทศ ใครจะจดั ให้มี การบรรเลง ดนตรีไทย ตอ้ งขออนุญาต จากทางราชการก่อน อีกทงั นักดนตรีไทยก็จะตอ้ งมีบตั รนกั ดนตรีทีทางราชการออกให้ จนกระทงั ต่อมาอีกหลายปี เมอื ไดม้ ี การสงั ยกเลกิ \"รัฐนิยม\" ดงั กล่าวเสีย แต่ถึงกระนันก็ตาม ดนตรีไทยก็ไม่รุ่งเรืองเท่าแต่ก่อน ยงั ลม้ ลุกคลุกคลาน มาจนกระทงั บดั นี เนืองจากวถิ ีชีวิต และสงั คมไทยเปลียนแปลงไปจากเดิม วฒั นธรรมทางดนตรีของต่างชาติ ไดเ้ ขา้ มามี บทบาทในชีวิตประจาํ วนั ของคนไทยเป็ นอนั มาก ดนตรีทีเราไดย้ ินไดฟ้ ัง และไดเ้ ห็นกนั ทางวิทยุ โทรทศั น์ หรือทีบรรเลงตามงานต่าง ๆ โดยมากก็เป็นดนตรีของต่างชาติ หาใช่ \"เสียงพาทย์ เสียงพิณ\" ดงั แต่ก่อนไม่ ถึงแมว้ ่าจะเป็ นทีน่ายนิ ดีทีเราไดม้ ีโอกาสฟังดนตรีนานาชาตินานาชนิด แต่ถา้ ดนตรี ไทย ถกู ทอดทิง และไม่มใี ครรู้จกั คุณค่า ก็นบั วา่ เสียดายทีจะตอ้ งสูญเสียสิงทีดีงาม ซึงเป็ นเอกลกั ษณ์ ของชาติอยา่ งหนึงไป ดงั นนั จึงควรทีคนไทยทุกคนจะไดต้ ระหนกั ถึงคุณค่าของ ดนตรีไทย และ ช่วยกนั ทะนุบาํ รุงส่งเสริม และรักษาไว้ เพือเป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติสืบต่อไป ในยคุ รัตนโกสินทร์จดั ว่าเป็นยคุ ทองยคุ หนึงของวงการดนตรีไทยเลยทีเดียว โดยเริมจาก สมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ มกี ารประพนั ธเ์ พลง \"ทางกรอ\" ขึนเป็นครังแรก ซึงเป็นการพฒั นาการ ประพนั ธเ์ พลงจากเดิมซึงมเี พยี งเพลงทางเก็บวงดนตรีในยคุ สมยั นีเริมมกี ารแบ่งออกเป็นสาม ประเภท ไดแ้ ก่ วงเครืองสาย ซึงประกอบดว้ ยเครืองดนตรีทีมสี ายทงั หลาย เช่น ซอ จะเข้ เป็นตน้ วงปี พาทย์ ประกอบดว้ ยเครืองตีเป็นส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ ระนาด ฆอ้ ง และปี เป็นตน้ วงมโหรี เป็นการรวมกนั ของวงเครืองสายและวงปี พาทย์ แต่ตดั ปี ออกเพราะเสียงดงั กลบเสียงเครืองสายอืนหมด

61 ดนตรีไทยส่วนใหญ่ทีมีพฒั นาการมาอยา่ งรวดเร็วลว้ นมาจากความนิยมของเจา้ นายใน ราชสาํ นักความนิยมเหล่านีแพร่ไปจนถึงขุนนางและผดู้ ีมีเงินทงั หลาย ต่างเห็นว่าการมีวงดนตรี ประจาํ ตวั ถือว่าเป็นสิงเชิดหนา้ ชูตา จึงมีการสรรหานกั ดนตรีฝีมอื ดีมาเล่นในวงของตนเอง เกิดมกี าร ประกวดประชนั และการแข่งขนั กนั พฒั นาฝี มือขึน โดยเฉพาะสมยั รัชกาลที 5 - 7 จดั ว่าเป็ นยุคที วงการดนตรีไทยถงึ จุดรุ่งเรืองสุด สมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ มีความนิยมในการเล่นและการฟังวง เครืองสายและมโหรีกนั มาก เพราะมคี วามนิมนวล เหมาะแก่การฟังขณะรับแขก รับประทานอาหาร หรือกล่อมเขา้ นอน เจา้ นายและขา้ ราชการผใู้ หญ่ต่างมีความสนใจเล่นเครืองสายกนั มาก อาทิเช่น พระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลที 2 ทรงพระปรีชาสามารถดา้ นซอสามสาย ทรงมีซอคู่พระหัตถช์ ือ ซอสายฟ้ า ฟาด ทรงโปรดซอสามสายมาก ถงึ กบั มพี ระบรมราชโองการใหอ้ อก \"ตราภูมิคุม้ หา้ ม\" ให้แก่เจา้ ของ สวนทีมีตน้ มะพร้าวซอ (มะพร้าวทีกะลาสามารถนาํ ไปทาํ ซอได้ ปัจจุบนั นีหายากมากและมีราคาแพงมาก กะลาราคาลกู ละ 400 - 300,000 บาท) ซึงจะเป็ นการยกเวน้ ไม่ใหเ้ กบ็ ภาษีแก่ผมู้ มี ะพร้าวซอนอกจากนี พระองคย์ งั พระราชนิพนธเ์ พลงไทยชือ บุหลนั ลอยเลือน ซึงมที ีมาจากพระสุบินนิมติ ของพระองคเ์ องดว้ ย ต่อมาในยคุ หลงั เริมมีการนิยมฟังการขบั เสภา ใน ยคุ นันคือเรืองขุนช้างขุนแผน แรก ๆ ก็ขับเสภาเดียว ๆ หลงั ๆ มา ก็เริมมีการนาํ เอาดนตรี \"ปี พาทย\"์ เขา้ มาร่วมในการขบั เสภาดว้ ย เพือใหน้ กั ขบั เสภาไดพ้ กั เสียงเป็นระยะ หนกั เขา้ คงเห็นกนั ว่า ปี พาทยน์ ่าฟังกว่าจึงไมฟ่ ังเสภาเลย ตดั นกั ขบั เสภาออกเหลอื แต่วงปี พาทย์ ความนิยมในวงปี พาทยจ์ งึ มมี ากขึน และเขา้ มาแทนทีวงมโหรีและเครืองสาย ในยุคสมยั นันเจ้านายและข้าราชการผูใ้ หญ่ต่างเห็นกันว่าการมีวงปี พาทยช์ ันดีเป็ นของ ประดบั บารมีชนั เยยี ม จึงไดม้ ีการหานกั ดนตรีจากทวั ทุกสารทิศมาอย่ใู นวงของตนเอง และมีการ นาํ เอาวงดนตรีมาประกวดประชนั กนั อยา่ งทีเราไดด้ ใู นภาพยนตร์เรือง \"โหมโรง\" ในสมยั รัชกาลที 6 มีการกาํ หนดราชทินนามของนกั ดนตรีทีรับราชการในราชสาํ นักเป็ นจาํ นวนมาก โดยแต่ละชือก็ตงั ให้คลอ้ งจองกนั อยา่ งไพเราะ ไดแ้ ก่ ประสานดุริยศพั ท์ ประดบั ดุริยกิจ ประดิษฐ์ไพเราะ เสนาะ ดุริยางค์ สาํ อางดนตรี ศรีวาทิต สิทธิวาทิน พิณบรรเลงราช พาทยบ์ รรเลงรมย์ ประสมสงั คีต ประณีต วรศพั ท์ คนธรรพวาที ดนตรีบรรเลง เพลงไพเราะ เพราะสาํ เนียง เสียงเสนาะกรรณ สรรเพลงสรวง พวงสาํ เนียงร้อย สร้อยสาํ เนียงสนธ์ วิมลเร้าใจ พิไรรมยา วีณาประจินต์ วีนินประณีต สงั คีตศพั ท์ เสนาะ สงั เคราะห์ศพั ท์สอางค์ ดุริยางค์เจนจงั หวะ ดุริยะเจนใจ ประไพเพลงประสม ประคมเพลง ประสาน ชาญเชิงระนาด ฉลาดฆอ้ งวง บรรจงทุม้ เลิศ บรรเจิดปี เสนาะ ไพเราะเสียงซอ คลอขลุ่ม คล่อง ว่องจะเขร้ ับ ขบั คาํ หวาน ตนั ตริการเจนจิต ตนั ตริกิจปรีชา นารถประสาทศพั ท์ คนธรรพ ประสิทธิสาร พดู ถึงหนังเรืองโหมโรงแลว้ จะพลาดการพูดถึงนักดนตรีสําคญั ท่านหนึงแห่งกรุง รัตนโกสินทร์ไปเป็นไมไ่ ด้ ท่านกค็ ือ หลวงประดิษฐไ์ พเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) เพราะชีวประวตั ิของ ท่านเป็ นแรงบนั ดาลใจให้ผสู้ ร้างสร้างหนังเรืองนีขึนมา หลวงประดิษฐ์ไพเราะเป็ นนักดนตรีทีมี ความสามารถทงั ปี พาทยแ์ ละเครืองสาย เป็ นผปู้ ระพนั ธ์เพลงไทยหลายเพลง เช่น แสนคาํ นึง นก

62 เขาขะแมร์ ลาวเสียงเทียน ฯลฯ ชือเพลงเหลา่ นีอาจจะไมค่ ุน้ หูนกั แต่หาไดล้ องฟังแลว้ จะจาํ ไดท้ นั ที เพราะนกั ดนตรีสากลรุ่นหลงั มกั นาํ ทาํ นองเพลงเหล่านีมาประพนั ธ์เป็ นเพลงไทยสากล นอกจากนี ท่านยงั เป็ นผูป้ ระดิษฐ์เครื องดนตรี \"องั กะลุง\" โดยดดั แปลงมาจากเครืองดนตรีพืนบา้ นของ อินโดนีเซียอกี ดว้ ย

63 หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มีคาํ กล่าวว่ายคุ ทองของดนตรีไทยหมดไปพร้อมกบั ยุคของท่านหลวงประดิษฐ์ไพเราะ คาํ กล่าวนีเห็นจะไมไ่ กลเกินจริง เพราะในยคุ หลงั การเปลยี นแปลงการปกครอง ในช่วงสงครามโลกครังที สอง รัฐบาลไทยในยคุ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไดม้ นี โยบายสร้างชาติใหเ้ ป็ นอารยะ โดยตอ้ งการ ส่งเสริมให้ดนตรีไทยมีแบบแผน เป็ นอนั หนึงอนั เดียวกนั และดูทดั เทียมชาติตะวนั ตก จึงไดม้ ีการ ควบคุมใหน้ กั ดนตรีและศลิ ปะพนื บา้ นอืนๆ ตอ้ งมีการสอบใบอนุญาตเล่นดนตรีเพือประกนั มาตรฐาน ให้เป็ นระบบเดียวกนั มีการออกข้อบงั คับให้ต้องเล่นดนตรี บนเกา้ อี ห้ามนังเล่นกับพืน ฯลฯ ซึงในทางปฏิบัติแลว้ เกิดปัญหามาก เนืองจากการเล่นดนตรี ไทยเกิดจากการสังสมรูปแบบ แนวทางการเลน่ แต่ละสายตระกลู แต่ละครูไม่เหมือนกนั ไม่อาจถือไดว้ ่าใครผดิ ใครถกู อีกทงั ขอ้ ห้าม หลายอยา่ งกข็ ดั ต่อวิถชี ีวติ โดยเฉพาะบตั รอนุญาตเล่นดนตรี ทาํ ใหผ้ ทู้ ีไม่ใช่นกั ดนตรีอาชีพเดือดร้อน มากจากการทีไม่สามารถเล่นดนตรียามว่างไดเ้ หมือนเคย ประกอบกบั แนวคิดของคนรุ่นใหม่ทีสนใจ วฒั นธรรมต่างชาติมากกว่า โดยมองวา่ การเล่นดนตรีไทยเป็ นสิงลา้ สมยั และตอ้ งห้ามเหตุการณ์นีท่าน หลวงประดิษฐไ์ พเราะไม่พอใจมาก แต่ไม่สามารถแสดงออกได้ ทาํ ไดเ้ พียงประพนั ธ์เพลง ชือ \"แสน คาํ นึง เถา\" ซึงมีท่วงทาํ นองส่วนสามชนั แสดงถึงความอดั อนั ตนั ใจ พร้อมเนือร้องเป็ นเนือหาต่อว่า รัฐบาลในยคุ นนั เกียวกบั การควบคุมศิลปะ แต่ผใู้ กลช้ ิดของท่านเกรงว่าท่านจะไดร้ ับอนั ตรายจากการ โจมตีรัฐบาล จึงไดท้ าํ ลายตน้ ฉบบั เนือร้อง และประพนั ธเ์ นือร้องขึนใหมเ่ ป็นเพลงรักแทน

64 และไมม่ ใี ครทราบถงึ เนือหาตน้ ฉบบั เนือร้องเดิมอีกเลย จริงๆแลว้ มีคนเขา้ ใจผดิ กนั เยอะ วา่ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงครามละเลยศิลปะวฒั นธรรมของชาติ พยายามกีดกนั ดนตรีไทย แต่แทท้ ีจริง แลว้ ท่านจอมพลฯ เป็นผทู้ ีมีความรักและสนใจในดนตรีไทยในระดบั หนึง เคยปรากฏวา่ ท่านนิยมฟัง ดนตรีไทย และเคยบริจาคเงินส่วนตวั จาํ นวนมากเพือดนตรีไทยดว้ ย เจตนารมณ์ของการควบคุมดนตรี ไทยของท่านจึงมที ีมาจากเจตนาดีทีตอ้ งการใหด้ นตรีไทยมรี ะบบระเบียบแบบแผนเทียบเท่าของ ตะวนั ตก แต่ผลกลบั เป็นไปในทิศทางตรงกนั ขา้ ม ดนตรีไทยกลบั ถึงจุดตกตาํ จนถึงทุกวนั นี แมจ้ ะมี การพยายามใหป้ ระชาชนเขา้ ถงึ ดนตรีไทยแลว้ ดนตรีไทยยงั กลบั เป็นเพียงดนตรีทีใชใ้ นพธิ ี เป็นเรือง ของแบบแผน เป็นของเฉพาะกลุ่ม ไมส่ ามารถเขา้ ใจได้ ไม่สามารถเขา้ ถึงได้ จริงๆแลว้ ทุกคนสามารถ เขา้ ถึงและซึมซาบความไพเราะของดนตรีไทยได้ เท่า ๆ กบั ทีเราสามารถซึมซาบความไพเราะของเพลง ไทยสากลทีเราฟังกนั อยทู่ ุกวนั

65 เรืองที เทคนิคและวิธีการเล่นของเครืองดนตรีไทย การเทยี บเสียงซออู้ ใชข้ ล่ยุ เพียงออเป่ าเสียง ซอล โดยปิ ดมอื บนและนิวคาํ เป่ าลมกลางๆ จะไดเ้ สียง ซอล เพอื เทียบเสียงสายเอก ส่วนสายทุม้ ใหป้ ิ ดมอื ล่างหมด จนถึงนิวกอ้ ย เป่ าลมเบา ก็จะไดเ้ สียง โด ตาม ตอ้ งการ เพือเทียบเสียงสายทุม้ ใหต้ รงกบั เสียงนนั การนงั สีซอ นงั ขดั สมาธิบนพนื หากเป็นสตรีใหน้ งั พบั เพียบขาขวาทบั ขาซา้ ย วางกะโหลกซอไวบ้ นขาพบั ดา้ นซา้ ย มอื ซา้ ยจบั คนั ซอใหต้ รงกบั ทีมีเชือกรัดอก ใหต้ าํ กว่าเชือกรัดอกประมาณ 1 นิว ส่วนมอื ขวา จบั คนั สี โดยแบ่งคนั สีออกเป็น 5 ส่วน แลว้ จบั ตรง 3 ส่วนใหค้ นั สีพาดไปบนนิวชี และนิวกลางใน ลกั ษณะหงายมือ ส่วนนิวหวั แม่มือ ใชก้ าํ กบั คนั สีโดยกดลงบนนิวชี นิวนางและนิวกอ้ ยใหง้ อติดกนั เพอื ทาํ หนา้ ทีดนั คนั ชกั ออกเมือจะสีสายเอก และ ดึงเขา้ เมือจะสีสายทุม้ การสีซอ วางคนั สีใหช้ ิดดา้ นใน ใหอ้ ยใู่ นลกั ษณะเตรียมชกั ออก แลว้ ลากคนั สีออกชา้ ๆ ดว้ ยการใชว้ ธิ ีสี ออก ลากคนั สีใหส้ ุด แลว้ เปลยี นเป็นสีเขา้ ในสายเดียวกนั ทาํ เรือยไปจนกวา่ จะคล่อง พอคล่องดีแลว้ ใหเ้ ปลยี นมาเป็นสีสายเอก โดยดนั นิวนางกบั นิวกอ้ ยออกไปเลก็ นอ้ ย ซอจะเปลยี นเป็นเสียง ซอล ทนั ที ดงั นีคนั สี ออก เขา้ ออก เขา้ เสียง โด โด ซอล ซอล ฝึกเรือยไปจนเกิดความชาํ นาญ ข้อควรระวงั ตอ้ งวางซอใหต้ รง โดยใชม้ ือซา้ ยจบั ซอใหพ้ อเหมาะ อยา่ ใหแ้ น่นเกินไป อยา่ ใหห้ ลวม จนเกินไป ขอ้ มอื ทีจบั ซอตอ้ งทอดลงไปใหพ้ อดี ขณะนงั สียดื อกพอสมควร อยา่ ใหห้ ลงั โก่งได้ มอื ที คีบซอใหอ้ อกกาํ ลงั พอสมควรอยา่ ใหซ้ อพลิกไปมา การเทยี บเสียงซอด้วง ใชข้ ลยุ่ เพียงออเป่ าเสียง ซอล โดยการปิ ดมอื บน และ นิวคาํ เป่ าลมกลางๆ กจ็ ะไดเ้ สียง ซอล ขึนสายทุม้ ของซอดว้ ง ใหต้ รงกบั เสียงซอลนี ต่อไปเป็นเสียงสายเอก ใชข้ ลุ่ยเป่ าเสียง เร โดยปิ ดนิว ต่อไปอกี 3 นิว เป่ าดว้ ยลมแรง กจ็ ะได้ เสียง เร ขึนสายเอกใหต้ รงกบั เสียง เร นี

66 การนังสีซอ นงั พบั เพยี บบนพนื จบั คนั ซอดว้ ยมือซา้ ย ใหไ้ ดก้ ึงกลางตาํ กวา่ รดั อกลงมาเลก็ นอ้ ย ใหซ้ อเอน ออกจากตวั นิดหน่อย คนั ซออยใู่ นองุ้ มอื ซา้ ย ตวั กระบอกซอวางไวบ้ นขา ใหต้ วั กระบอกซออยใู่ น ตาํ แหน่งขอ้ พบั ติดกบั ลาํ ตวั มอื ขวาจบั คนั สีดว้ ยการแบ่งคนั สีใหไ้ ด้ 5 ส่วน แลว้ จึงจบั ส่วนที 3 ขา้ ง ทา้ ย ใหค้ นั สีพาดไปบนมอื นิวชี นิวกลางเป็นส่วนรับคนั สี ใชน้ ิวหวั แม่มอื กดกระชบั ไว้ นิวนางกบั นิวกอ้ ยงอไวส้ ่วนใน ซึงจะเป็นประโยชนใ์ นการดนั คนั สีออกมาหาสายเอก และ ดึงเขา้ เมือตอ้ งการสี สายทุม้ การสีซอ วางคนั สีไวด้ า้ นใน ใหอ้ ยใู่ นลกั ษณะเตรียมชกั ออก ค่อย ๆ ลากคนั สีออกใหเ้ กิดเสียง ซอล จน สุดคนั ชกั แลว้ เปลยี นเป็นสีเขา้ ในสายเดียวกนั (ทาํ เรือยไปจนกว่าจะคล่อง) พอซอ้ มสายในคล่องดี แลว้ จึงเปลียนมาสีสายเอกซึงเป็นเสียง เร โดยการใชน้ ิวนางกบั นิวกอ้ ยมือขวา ดนั คนั สีออก ปฏบิ ตั ิ จนคลอ่ งฝึกสลบั ใหเ้ กิดเสียงดงั นี คนั สี ออก เขา้ ออก เขา้ เสียง ซอล ซอล เร เร ข้อควรระวงั ตอ้ งวางซอใหต้ รง โดยใชข้ อ้ มือซา้ ยควบคุม อยา่ ใหซ้ อบิดไปมา

67 เครืองดดี จะเข้ เป็นเครืองดนตรีประเภทดีด มี 3 สาย เขา้ ใจว่าไดป้ รับปรุงแกไ้ ขมาจากพณิ นาํ มาวางดีดกบั พนื เพือความสะดวก จะเขไ้ ดน้ าํ เขา้ ร่วมบรรเลงอยใู่ นวงมโหรีคู่กบั กระจบั ปี ในสมยั รัชกาลที 2 แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ มีผนู้ ิยมเล่นจะเขก้ นั มาก ตวั จะเขท้ าํ เป็ น สองตอน คือตอนหัวและตอนหางตอนหัว เป็นกระพุง้ ใหญ่ ทาํ ดว้ ยไมแ้ ก่นขนุน ท่อนหวั และท่อนหางขุดเป็นโพรงตลอด ปิ ดใตท้ อ้ งดว้ ยแผน่ ไม้ มีเทา้ รองตอนหวั 4 เทา้ และตอนปลายอกี 1 เทา้ ทาํ หลงั นูนตรงกลาง ให้สองขา้ งลาดลง โยงสายจาก ตอนหวั ไปทางตอนหางเป็น 3 สาย มีลกู บิดประจาํ สายละ 1 อนั สาย 1 ใชเ้ ส้นลวดทองเหลือง อีก 2 สายใชเ้ สน้ เอน็ มีหยอ่ งรับสายอยตู่ รงปลายหาง ก่อนจะถึงลูกบิด ระหว่างตวั จะเขม้ ีแป้ นไมเ้ รียกว่า “นม” รองรับสายติดไวบ้ นหลงั จะเข้ รวมทงั สิน 11 อนั เพือไวเ้ ป็ นทีสาํ หรับนิวกดนมแต่ละอนั สูง เรียงลาํ ดบั ขึนไป เวลาบรรเลง ใชด้ ีดดว้ ยไมด้ ีดกลมปลายแหลมทาํ ดว้ ยงาชา้ งหรือกระดูกสตั ว์ เคียน ดว้ ย เสน้ ดา้ ยสาํ หรับพนั ติดกบั ปลายนิวชีขา้ งขวาของผดู้ ีด และใชน้ ิวหวั แม่มือ กบั นิวกลางช่วยจบั ให้ มีกาํ ลงั เวลาแกว่งมอื ส่ายไปมา ใหส้ มั พนั ธ์ กบั มือขา้ งซา้ ยขณะกดสายดว้ ย

68 ซึง เป็นเครืองดนตรีชนิดดีด มี 4 สาย เช่นเดียวกบั กระจบั ปี แต่มขี นาดเลก็ กวา่ กะโหลกมี รูปร่างกลม ทงั กะโหลกและคนั ทวน ใชไ้ มเ้ นือแขง็ ชินเดียวควา้ น ตอนทีเป็นกะโหลกใหเ้ ป็นโพรง ตดั แผน่ ไมใ้ หก้ ลม แลว้ เจาะรูตรงกลางทาํ เป็นฝาปิ ดดา้ นหนา้ เพืออมุ้ เสียงใหก้ งั วาน คนั ทวนนาํ เป็น เหลยี มแบนตอนหนา้ เพอื ติดตะพานหรือนมรับนิว จาํ นวน 9 อนั ตอนปลายคนั ทวนทาํ เป็นรูปโคง้ และขดุ ใหเ้ ป็นร่อง เจาะรูสอดลกู บิดขา้ งละ 2 อนั รวมเป็น 4 อนั สอดเขา้ ไปในร่อง สาํ หรับขึนสาย 4 สาย สายของซึงใชส้ ายลวดขนาดเลก็ 2 สาย และ สายใหญ่ 2 สาย ซึงเป็นเครืองดีดทีชาวไทยทาง ภาคเหนือนิยมนาํ มา เล่นร่วมกบั ปี ซอ และ สะลอ้ พณิ เปี ยะ พิณเปี ยะ หรือ พิณเพียะ เป็นเครืองดนตรีพนื เมืองลา้ นนาชนิดหนึง เป็นเครืองดนตรีประเภท ดีด มีคนั ทวน ตอนปลายคนั ทวนทาํ ดว้ ยเหลก็ รูปหวั ชา้ งทองเหลอื ง สาํ หรับใชเ้ ป็นทีพาดสาย ใชส้ าย ทองเหลอื งเป็นพืน สายทองเหลอื งนีจะพาดผา่ นสลกั ตรงกะลาแลว้ ต่อไปผกู กบั สลกั ตรงดา้ นซา้ ย สายของพณิ เปี ยะมีทงั 2 สายและ 4 สาย กะโหลกของพิณเปี ยะทาํ ดว้ ยเปลือกนาํ เตา้ ตดั ครึงหรือ กะลามะพร้าว ก็ได้ เวลาดีด ใชก้ ะโหลกประกบติดกบั หนา้ อก ขยบั เปิ ด ปิ ดใหเ้ กดิ เสียงตามตอ้ งการ ในสมยั ก่อนชาวเหนือมกั จะใชพ้ ณิ เปี ยะดีดคลอกบั การขบั ลาํ นาํ ในขณะทีไปเกียวสาว

69 เครืองสี ซอด้วง เป็นซอสองสาย กะโหลกของซอดว้ งนนั แต่เดิมใชก้ ระบอกไมไ้ ผ่ กะโหลกของซอดว้ งนี ใน ปัจจุบนั ใชไ้ มจ้ ริง หรือ งาชา้ งทาํ ก็ได้ แต่ทนี ิยมวา่ เสียงดีนนั กะโหลกซอดว้ งตอ้ งทาํ ดว้ ยไมล้ าํ เจียก ส่วนหนา้ ซอนิยมใชห้ นงั งูเหลือมขึง เพราะทาํ ใหเ้ กิดเสียงแกว้ เกดิ ความไพเราะอยา่ งยงิ ลกั ษณะของ ซอดว้ ง มีรูปร่างเหมอื นกบั ซอของจีนทีเรียกวา่ “ฮู – ฉิน “ (Huchin) ทุกอยา่ ง เหตุทีเรียกวา่ ซอดว้ ง ก็ เพราะมีรูปร่างคลา้ ยเครืองดกั สตั ว์ กระบอก ไมไ้ ผเ่ หมอื นกนั ซออู้ เป็นซอสองสาย ตวั กะโหลกทาํ ดว้ ยกะลามะพร้าว คนั ทวนซออนู้ ี ยาวประมาณ 79 ซม. ใชส้ าย ซอสองสายผกู ปลายทวนใตก้ ะโหลก แลว้ พาดผา่ นหนา้ ซอ ขึนไปผกู ไวก้ บั ลกู บิดสองอนั โดยเจาะรู คนั ทวนดา้ นบน แลว้ สอดลกู บิดใหท้ ะลผุ า่ นคนั ทวนออกมา และใชเ้ ชือกผกู รังกบั ทวนตรงกลางเป็น รัดอก เพอื ใหส้ ายซอตึง และสาํ หรับเป็นทีกดสายใตร้ ัดอกเวลาสี ส่วนคนั สีของซออนู้ นั ทาํ ดว้ ย ไมจ้ ริง ใชข้ นหางมา้ ตรงหนา้ ซอใชผ้ า้ มว้ นกลมๆ เพอื ทาํ หนา้ ทีเป็นหมอนหนุนสายใหพ้ น้ หนา้ ซอ ดา้ นหลงั ของซออมู้ ีรูปร่างคลา้ ยๆกบั ซอของจีนทีเรียกวา่ ฮู – ฮู้ ( Hu-hu ) เหตุทีเรียกว่า ซออู้ ก็เพราะ เรียกตามเสียงทีไดย้ นิ นนั เอง

70 สะล้อ สะล้อเป็นเครืองดนตรีพนื เมืองลา้ นนาชนิดหนึง เป็นประเภทเครืองสีซึงมีทงั 2 สาย และ 3 สาย คนั ชกั สาํ หรับสีจะอยขู่ า้ งนอกเหมอื นคนั ชกั ซอสามสาย สะลอ้ เรียกอกี อยา่ งหนึงวา่ ทร้อ หรือ ซะลอ้ ใชไ้ มแ้ ผน่ บางๆปิ ดปากกะลาทาํ หลกั ทีหวั สาํ หรับพาดทองเหลอื ง ดา้ นหลงั กะโหลกเจาะเป็น รูปลวดลายต่างๆส่วนดา้ นล่างของกะโหลก เจาะทะลุลง ขา้ งล่าง เพือสอดคนั ทวนทีทาํ ดว้ ยไมช้ ิงชนั ตรงกลางคนั ทวนมรี ัดอกทาํ ดว้ ยหวายปลายคนั ทวน ดา้ นบนเจาะรูสาํ หรับสอดลกู บิด ซึงมี 2 หรือ 3 อนั สาํ หรับขึงสายซอ จากปลายลกู บิดลงมาถงึ ดา้ นกลางของกะโหลกมีหยอ่ งสาํ หรับ หนุนสาย สะลอ้ เพือใหเ้ กิดเสียงเวลาสี คนั ชกั สะลอ้ ทาํ ดว้ ยไมด้ ดั เป็นรูป โคง้ ขึงดว้ ยหางมา้ หรือพลาสติก เวลาสีใชย้ างสนถทู าํ ให้เกิดเสียงได้ สะลอ้ ใชบ้ รรเลงประกอบการแสดงหรือบรรเลงร่วมกบั บทร้อง และทาํ นองเพลงไดท้ ุกชนิดเช่น เขา้ กบั ปี ในวงช่างซอ เขา้ กบั ซึงในวงพืนเมอื ง หรือใชเ้ ดียวคลอร้อง กไ็ ด้ ซอสามสาย ซอสามสาย ปรากฏหลกั ฐานจากจดหมายเหตุ ลาลแู บร์ ทีบนั ทึกไวว้ า่ “….ชาวสยามมีเครือง ดุริยางคเ์ ลก็ ๆ น่าเกลยี ดมาก มสี ามสายเรียกว่า “ซอ” ….” ซึงชีใหเ้ ห็นวา่ ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาหรือ ก่อนนนั มซี อสามสายและนิยมเลน่ กนั ยคุ ตน้ ของกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั รัชกาลที 2 พระองคท์ ่านยงั โปรดทรงซอสามสายเป็นอยา่ งยงิ จึงทาํ ให้ พระองคท์ ่านไดป้ ระดิษฐค์ ิดสร้างซอสามสายไดด้ ว้ ยความประณีต งดงาม และเป็นแบบอยา่ งมา จนถงึ ปัจจุบนั นี ส่วนต่างๆของซอสามสายมชี ือเรียกดงั นี (1) ทวนบน เป็นส่วนบนสุดของคนั ซอ ควา้ นดา้ นในใหเ้ ป็นโพรงโดยตลอด ดา้ นบนสุดมี รูปร่างเป็นทรงเทริดดา้ นหนา้ ตรงปลายทวนตอนล่าง ทวนบนนีทาํ หนา้ ทีคลา้ ยๆกบั ท่ออากาศ (Air column) ใหเ้ สียงทีเกิดจากกะโหลกเป็นความถีของเสียง แลว้ ลอดผา่ นออกมา ทางทวนบนนีได้ (2) ทวนล่าง ทาํ เป็นรูปทรงกระบอก และประดษิ ฐล์ วดลายสวยงาม และเรียกทวนล่างนีว่า ทวนเงิน ทวนทอง ทวนมกุ ทวนลงยา เป็นตน้ ทวนลา่ ง ทาํ หนา้ ทีเป็นตาํ แหน่งสาํ หรับกดนิว ลงบน สายในตาํ แหน่งต่างๆ (3) พรมบน คือส่วนทีต่อจากทวนลา่ งลงมา ส่วนบนกลึงเป็นลกู แกว้ ส่วนตอนลา่ งทาํ เป็นรูป ปากชา้ งเพอื ประกบกบั กะโหลกซอ (4) พรมล่าง ส่วนทีประกบกบั กะโหลกซอทาํ เป็นรูปปากชา้ ง เช่นเดียวกบั ส่วนล่างของ พรมบน ตรงกลางของพรมลา่ งเจาะรูดา้ นบนเพอื ใชส้ าํ หรับเป็นทีร้อย”หนวดพราหมณ์” เพือคลอ้ ง กบั สายซอทงั สามสายและเหนียวรังใหต้ ึง ตรงส่วนปลายสุดของพรมลา่ งกลงึ เป็น “เกลียวเจดียย์ อด (5) ถ่วงหนา้ ควบคุมความถขี องเสียง ทาํ ใหม้ เี สียงนุ่มนวลไพเราะ น่าฟังยงิ ขึน

71 (6 ) หยอ่ ง ทาํ ดว้ ยไมไ่ ผ่ แกะใหเ้ ป็นลกั ษณะคู้ปลายทงั สองของหยอ่ งควา้ นเป็นเบา้ ขนมครก เพอื ทาํ ใหเ้ สียง ทีเกิดขึนส่งผา่ นไปยงั หนา้ ซอมีความกงั วานมากยงิ ขึน (7) คนั สี (คนั ชกั ) คนั สีของซอสามสาย ประกอบดว้ ยไมแ้ ละหางมา้ คนั สีนนั เหลาเป็นรูปคนั ศร โดยมากนิยมใชไ้ มแ้ กว้ เพราะเป็นไมเ้ นือแขง็ และมีลวดลายงดงาม เครืองตี ระนาดเอก ววิ ฒั นาการมาจากกรับ ลกู ระนาดทาํ ดว้ ยไมไ้ ผบ่ ง หรือไมแ้ ก่น โดยนาํ มาเหลาใหไ้ ดต้ ามขนาด ทีตอ้ งการ แลว้ ทาํ รางเพอื อมุ้ เสยงเป็นรูปคลา้ ยลาํ เรือ ใหห้ วั และทา้ ยโคง้ ขึน เรียกวา่ รางระนาด แผน่ ไมท้ ีปิ ดหวั ทา้ ยรางระนาดเราเรียกวา่ “โขน” ระนาดเอกในปัจจุบนั มีจาํ นวน 21 ลกู มีความยาว ประมาณ 120 ซม. มเี ทา้ รอง รางเป็นเทา้ เดียว รูปคลา้ ยกบั พานแวน่ ฟ้ า ระนาดทุ้ม เป็นเครืองดนตรีทีสร้างขึนมาในรัชกาลที 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการสร้างเลียนแบบ ระนาดเอก รางระนาดทุม้ นนั ประดิษฐใ์ หม้ ีรูปร่างคลา้ ยหีบไม้ แต่เวา้ ตรงกลางใหโ้ คง้ โขนปิดหวั ทา้ ย เพือ เป็นทีแขวนผนื ระนาดนนั ถา้ หากวดั จากโขนดา้ นหนึงไปยงั โขนอกี ดา้ นหนึง รางระนาดทุม้ จะมี ขนาดยาวประมาณ 124 ซม. ปาก รางกวา้ งประมาณ 22 ซม. มเี ทา้ เตียๆรองไว้ 4 มมุ ราง ระนาดเอกเหลก็ หรือระนาดทอง ระนาดเอกเหลก็ เป็นเครืองดนตรีทีประดิษฐข์ นึ ในรัชกาลที 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เดิม ลกู ระนาดทาํ ดว้ ยทองเหลือง จึงเรียกกนั ว่าระนาดทอง ระนาดเอกเหลก็ มขี นาด 23.5 ซม. กวา้ ง ประมาณ 5 ซม. ลดหลนั

72 ขึนไปจนถงึ ลกู ยอดทีมีขนาด 19 ซม. กวา้ งประมาณ 4 ซม. รางของระนาดเอกเหลก็ นนั ทาํ เป็นรูป สีเหลียม มีเทา้ รองรับไวท้ งั 4 ดา้ น ระนาดทุ้มเหลก็ ระนาดทุม้ เหลก็ เป็นเครืองดนตรีทีพระบาทสมเด็จพระปิ นเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในรัชกาลที 4 มี พระราชดาํ ริใหส้ ร้างขึน ระนาดทุม้ เหลก็ มจี าํ นวน 16 หรือ 17 ลกู ตวั รางระนาดยาวประมาณ 1 เมตร ปากราง กวา้ งประมาณ 20 ซม. มีเทา้ รองติดลกู ลอ้ 4 เทา้ เพอื ใหเ้ คลอื นทีไปมาไดส้ ะดวก ตวั รางสูง จากพนื ถึงขอบบนประมาณ 26 ซม. ระนาด ทุกชนิดทีกล่าวมานนั จะใชไ้ มต้ ี 2 อนั สาํ หรับระนาดเอก ทาํ ไมต้ ีเป็น 2 ชนิด ชนิดหนึงทาํ หวั ไมต้ ีใหแ้ ขง็ เมือตีจะมีเสียงดงั เกรียวกราว เมอื นาํ เขา้ ผสมวงจะ เรียกวา่ “วงปี พาทยไ์ มแ้ ขง็ ” อกี ชนิดหนึง ซึงเกิดขนึ ในสมยั รัชกาลที 5 ประดิษฐไ์ มต้ ีใหอ้ ่อนนุ่ม เมอื ตี จะเกิด เสียงนุ่มนวล เวลานาํ ระนาดเอกทีใชไ้ มต้ ีชนิดนีมาผสมวง จะเรียกว่า “วงปี พาทยไ์ มน้ วม” ลกั ษณะไม้ตรี ะนาดมดี ังนี (1) ไมแ้ ข็ง ปลายไมร้ ะนาด พอกดว้ ยผา้ ชุบนาํ รักจนแขง็ (2) ไมน้ วม ปลายไมร้ ะนาด ใชผ้ า้ พนั แลว้ ถกั ดว้ ยดา้ ยจนนุ่ม (3) ไมต้ ีระนาดทุม้ ปลายไมร้ ะนาด ใชผ้ า้ พนั พอกใหโ้ ต และนุ่ม เพือตีใหเ้ กิดเสียงทุม้ (4) ไมต้ ีระนาดเหลก็ ปลายไมต้ ีทาํ ดว้ ยแผน่ หนงั ดิบ ตดั เป็นวงกลมเจาะรูตรงกลาง แลว้ เอา ไมเ้ ป็นดา้ มสาํ หรับถือมีขนาดใหญ่กวา่ ไมต้ ีระนาดเอกธรรมดา (5) ไมต้ ีระนาดทุม้ เหลก็ ทาํ ลกั ษณะเดียวกบั ไมต้ ีฆอ้ งวง แต่ปลายไมพ้ นั ดว้ ยหนงั ดิบ เพอื ให้ แข็งเวลาตี จะเกิดเสียงได้

73 เครืองเป่ า ขล่ยุ ทาํ ดว้ ยไมไ้ ผป่ ลอ้ งยาวๆ ไวข้ อ้ ทางปลายแต่เจาะขอ้ ทะลุ ยา่ งไฟใหแ้ หง้ แลว้ ตบแต่งผวิ ให้ ไหม้ เกรียมเป็นลวดลายสวยงาม ดา้ นหนา้ เจาะรูกลม ๆ เรียงแถวกนั 7 รู สาํ หรับนิวปิ ดเปิ ดเสียง ขลุ่ยไมม่ ี ลนิ เหมือนปี แต่เขาใชไ้ มอ้ ุดเตม็ ปลอ้ ง แลว้ ปาดดา้ นลา่ งใหม้ ีช่อง ไมอ้ ุดนีเรียกวา่ “ดาก” ทาํ ดว้ ย ไมส้ กั ดา้ นหลงั ใตด้ ากลงมา เจาะรูเป็นรูปสีเหลียมผนื ผา้ แต่ปาดตอนลา่ งเป็นทางเฉียงไม่เจาะ ทะลุ ตรงเหมือนรูดา้ นหนา้ รูทีเป็นรูปสีเหลยี มผนื ผา้ นี เรียกว่า“รูปากนกแกว้ ” ใตร้ ูปากนกแกว้ ลงมา เจาะรูอกี 1 รู เรียกวา่ “รูนิวคาํ ” เหนือรูนิวคาํ ดา้ น หลงั และเหนือรูบนของรูดา้ นหนา้ ทงั เจด็ รู แต่อยู่ ทางดา้ นขวา เจาะรูอกี รูหนึงเรียกว่า “รูเยอื ” เพราะแต่ก่อนจะใชเ้ ยอื ไมไ้ ผป่ ิ ดรูนีต่อมากไ็ มค่ ่อยไดใ้ ช้ ตรงปลายเลาขล่ยุ จะเจาะรูใหซ้ า้ ยขวา ตรงกนั เพือร้อยเชือก เรียกว่า “รูร้อยเชือก” ดงั นนั จะสงั เกตว่า ขลยุ่ 1 เลา จะมรี ูทงั สิน 14 รู ขล่ยุ มที งั หมด 3 ชนดิ คอื (1) ขล่ยุ หลีบ มีขนาดเลก็ (2) ขลุ่ยเพยี งออ มขี นาดกลาง (3) ขลุ่ยอู้ มขี นาดใหญ่ ต่อมามผี สู้ ร้างขลยุ่ กรวดขึนมาอีกชนิดหนึง มเี สียงสูงกวา่ ขลุย่ เพยี งออ 1 เสียง ขลุ่ยกรวดใชก้ บั วงเครืองสายผสมทีนาํ เอาเครืองดนตรีฝรัง มาเลน่ ร่วมวง

74 ปี ปี เป็นเครืองดนตรีไทยแท้ ๆ ทาํ ดว้ ยไมจ้ ริง กลึงใหเ้ ป็นรูปบานหวั บานทา้ ย ตรงกลางป่ อง เจาะภายในใหก้ ลวงตลอดเลา ทางหวั ของปี เป็นช่องรูเลก็ ส่วนทาง ปลายของปี ปากรูใหญ่ใชช้ นั หรือ วสั ดุอยา่ งอนื มาหลอ่ เสริมขึนอีกราวขา้ งละ ครึงซม. ส่วนหวั เรียก “ทวนบน” ส่วนทา้ ยเรียก”ทวน ล่าง” ตอนกลางของปี เจาะรูนิวสาํ หรับเปลียนเสียงลงมาจาํ นวน 6 รู รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เจาะรูลา่ งอกี 2 รู ตรงกลางของเลาปี กลงึ ขวนั เป็นเกลยี วคู่ไวเ้ ป็นจาํ นวน 14 คู่ เพอื ความสวยงามและ กนั ลนื อกี ดว้ ย ตรงทวนบนนนั ใส่ลนิ ปี ทีทาํ ดว้ ย ใบตาลซอ้ นกนั 4 ชนั ตดั ใหก้ ลมแลว้ นาํ ไปผกู ติดกบั ท่อลมเลก็ ๆที เรียกว่า “กาํ พวด” กาํ พวดนีทาํ ดว้ ยทองเหลอื ง เงิน นาค หรือโลหะอยา่ งอนื วิธีผกู เชือก เพือ ใหใ้ บตาลติดกบั กาํ พวดนนั ใชว้ ิธีผกู ทีเรียกว่า “ผกู ตะกรุดเบด็ ” ส่วนของกาํ พวดทีจะตอ้ งสอดเขา้ ไปเลาปี นนั เขาใชถ้ กั หรือเคียน ดว้ ยเสน้ ดา้ ย สอดเขา้ ไปในเลาปี ใหพ้ อมดิ ทีพนั ดา้ ยจะทาํ ใหเ้ กิดความ แน่นกระชบั ยงิ ขึน ปี ของไทยจดั ได้เป็ น 3 ชนดิ ดังนี (1) ปี นอก มขี นาดเลก็ เป็นปี ทีใชก้ นั มาแต่เดิม (2) ปี กลาง มีขนาดกลาง สาํ หรับเล่นประกอบการแสดงหนงั ใหญ่ มสี าํ เนียงเสียงอยรู่ ะหว่าง ปี นอก กบั ปี ใน (3) ปี ใน มขี นาดใหญ่ เป็นปี ทีพระอภยั มณีใชส้ าํ หรับเป่ าใหน้ างผเี สือสมทุ ร

75 วงเครืองสาย วงดนตรีไทยประเภทหนึงซึงเครืองดนตรีส่วนใหญ่ในวงจะประกอบดว้ ยเครืองดนตรีที ใชส้ ายเป็นตน้ กาํ เนิดของเสียงดนตรี เช่น ซอดว้ ง ซออู้ จะเข้ แมว้ า่ เครืองดนตรีทนี าํ มาบรรเลงนนั จะ มีวธิ ีบรรเลงแตกต่างกนั เช่น สี ดีด หรือตี ก็ตาม จึงเรียกวงดนตรีประเภทนีวา่ \"วงเครืองสาย\" วงเครืองสายอาจมีเครืองดนตรีประเภทเครืองเป่ า เช่น ขลยุ่ หรือเครืองกาํ กบั จงั หวะ เช่น ฉิง กลอง บรรเลงดว้ ยก็ถือว่าอยใู่ นวงเครืองสายเช่นกนั เพราะมเี ป็นจาํ นวนนอ้ ยทีนาํ เขา้ มาร่วม บรรเลงดว้ ยเพือช่วยเพมิ รสในการบรรเลงดว้ ยเพอื ใหน้ ่าฟังมากยงิ ขึน วงเครืองสายเกิดขึนในสมยั อยธุ ยา ซึงมีเครืองสี คือ ซอ เครืองดีด คือ จะเข้ และกระจบั ปี ผสมในวง ปัจจุบนั วงเครืองสายมี 4 แบบ คือ 1. วงเครืองสายไทยเครอื งเดยี ว เป็นวงเครืองสายทีมเี ครืองดนตรีผสมเพียงอยา่ งละ 1 ชิน เรียกอกี อยา่ งหนึงว่า วงเครืองสายไทยวงเลก็ เครืองดนตรีทีผสมอยใู่ นวงเครืองสายไทยเครืองเดียวนี นบั ว่าเป็นสิงสาํ คญั และถือเป็นหลกั ของวงเครืองสายไทยทจี ะขาดสิงหนึงสิงใดเสียไม่ได้ เพราะแต่ ละสิงลว้ นดาํ เนินทาํ นองและมหี นา้ ทีต่าง ๆ กนั เมอื ผสมเป็นวงขนึ แลว้ เสียงและหนา้ ทีของเครือง ดนตรีแต่ละอยา่ งก็จะประสมประสานกนั เป็นอนั ดี เครืองดนตรีทีผสมอยใู่ นวงเครืองสายไทยเครือง เดียวซึงถือเป็นหลกั คือ 1. ซอดว้ ง เป็นเครืองสีทีมรี ะดบั เสียงสูงและกระแสเสียงดงั มีหนา้ ทีดาํ เนินทาํ นอง เพลง เป็นผนู้ าํ วง และเป็นหลกั ในการดาํ เนินทาํ นอง 2. ซออู้ เป็นเครืองสีทีมีระดบั เสียงทุม้ มีหนา้ ทีดาํ เนินทาํ นองหยอกลอ้ ยวั เยา้ กระตุน้ ใหเ้ กิดความครึกครืนสนุกสนานในจาํ พวกดาํ เนินทาํ นองเพลง 3. จะเข้เป็นเครืองดีดดาํ เนินทาํ นองเพลงเช่นเดียวกบั ซอดว้ ง แต่มวี ธิ ีการบรรเลง แตกต่างออกไป

76 4. ขลยุ่ เพียงออซึงเป็นขลยุ่ ขนาดกลาง เป็นเครืองเป่ าดาํ เนินทาํ นองโดยสอดแทรก ดว้ ยเสียงโหยหวนบา้ ง เก็บบา้ ง ตามโอกาส 5. โทนและรํามะนา เป็นเครืองตีทีขึงหนงั หนา้ เดียว และทงั 2 อยา่ งจะตอ้ งตีใหส้ อด สลบั รับกนั สนิทสนมผสมกลมกลืนเป็นทาํ นองเดียวกนั มีหนา้ ทีควบคุมจงั หวะหนา้ ทบั บอกรสและ สาํ เนียงเพลงในภาษาต่าง ๆ และกระตุน้ เร่งเร้าใหเ้ กิดความสนุกสนาน 6. ฉิง เป็นเครืองตี มีหนา้ ทีควบคุมจงั หวะยอ่ ยใหก้ ารบรรเลงดาํ เนินจงั หวะไปโดย สมาํ เสมอ หรือชา้ เร็วตามความเหมาะสมเครืองดนตรีในวงเครืองสายไทยเครืองเดียวอาจเพมิ เครืองที จะทาํ ใหเ้ กิดความไพเราะเหมาะสมไดอ้ ีก เช่น กรับและฉาบเลก็ สาํ หรับตีหยอกลอ้ ยวั เยา้ ในจาํ พวก กาํ กบั จงั หวะ โหมง่ สาํ หรับช่วยควบคุมจงั หวะใหญ่ 2. วงเครืองสายไทยเครอื งคู่ คาํ วา่ เครืองคู่ ยอ่ มมคี วามหมายชดั เจนแลว้ ว่าเป็นอยา่ งละ 2 ชิน แต่สาํ หรับการผสมวงดนตรีจะตอ้ งพิจารณาใคร่ครวญถึงเสียงของเครืองดนตรีทีจะผสมกนั นนั วา่ จะบงั เกิดความไพเราะหรือไมอ่ กี ดว้ ย เพราะฉะนนั วงเครืองสายไทยเครืองคู่จึงเพมิ เครืองดนตรีใน วงเครืองสายไทยเครืองเดียวขึนเป็น 2 ชิน แต่เพยี งบางชนิด คือ 1. ซอดว้ ง 2 คนั แต่ทาํ หนา้ ทีผนู้ าํ วงเพยี งคนั เดียว อีกคนั หนึงเป็นเพียงผชู้ ่วย 2. ซออู้ 2 คนั ถา้ สีเหมือนกนั ไดก้ ใ็ หด้ าํ เนินทาํ นองอยา่ งเดียวกนั แต่ถา้ สีเหมือนกนั ไมไ่ ด้ ก็ใหค้ นั หนึงหยอกลอ้ ห่าง ๆ อกี คนั หนึงหยอกลอ้ ยวั เยา้ อยา่ งถี หรือจะผลดั กนั เป็นบางวรรคบางตอน กไ็ ด้ 3. จะเข้ 2 ตวั ดาํ เนินทาํ นองแบบเดียวกนั 4. ขลยุ่ 2 เลา เลาหนึงเป็นขลยุ่ เพียงอออยา่ งในวงเครืองสายไทยเครืองเดียว ส่วนเลาทีเพมิ ขึนเป็นขลยุ่ หลีบซึงมีขนาดเลก็ กว่าขล่ยุ เพียงออ และมเี สียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 3 เสียง มีหนา้ ทีดาํ เนินทาํ นองหลบหลีกปลกี ทางออกไป ซึงเป็นการยวั เยา้ ไปในกระบวนเสียงสูงสาํ หรับ โทน รํามะนา และฉิง ไม่เพิมจาํ นวน ส่วนฉาบเลก็ และโหม่ง ถา้ จะใชก้ ็คงมีจาํ นวนอยา่ งละ 1 ชินเท่า เดิมตงั แต่โบราณมา วงเครืองสายไทยมีอยา่ งมากก็เพียงเครืองคู่ดงั กลา่ วแลว้ เท่านนั ในสมยั หลงั ไดม้ ี ผคู้ ิดผสมวงเป็น วงเครืองสายไทยวงใหญ่ ขึน โดยเพมิ เครืองบรรเลงจาํ พวกดาํ เนินทาํ นอง เช่น ซอดว้ ง ซออู้ และขล่ยุ ขึนเป็นอยา่ งละ 3 ชินบา้ ง 4 ชินบา้ ง การจะผสมเครืองดนตรีชนิดใดเขา้ มาใน วงนนั ยอ่ มกระทาํ ได้ ถา้ หากเครืองดนตรีนนั มีเสียงเหมาะสมกลมกลนื กบั เครืองอนื ๆ แต่จะเพมิ เติม ในส่วนเครืองกาํ กบั จงั หวะ เช่น โทน ราํ มะนา ฉิง ฉาบ และโหม่ง ไมไ่ ด้ ไดแ้ ต่เปลียนเป็นอยา่ งอนื ไป เช่น ใชก้ ลองแขกแทนโทน ราํ มะนา

77 3. วงเครืองสายผสม เป็นวงเครืองสายทีนาํ เอาเครืองดนตรีต่างชาติเขา้ มาร่วมบรรเลงกบั เครืองสายไทย การเรียกชือวงเครืองสายผสมนนั นิยมเรียกตามชือของเครืองดนตรีต่างชาติทนี าํ เขา้ มาร่วมบรรเลงในวง เช่น นาํ เอาขิมมาร่วมบรรเลงกบั ซอดว้ ง ซออู้ ขลุ่ย และเครืองกาํ กบั จงั หวะต่าง ๆ แทนจะเข้ กเ็ รียกว่า \"วงเครืองสายผสมขิม\" หรือนาํ เอาออร์แกนหรือไวโอลนิ มาร่วมบรรเลงดว้ ยก็ เรียกว่า \"วงเครืองสายผสมออร์แกน\" หรือ \"วงเครืองสายผสมไวโอลนิ \" เครืองดนตรีต่างชาติทีนิยม นาํ มาบรรเลงเป็นวงเครืองสายผสมนนั มมี ากมายหลายชนิด เช่น ขิม ไวโอลิน ออร์แกน เปี ยโน หีบเพลงชกั แอคคอร์เดียน 4. วงเครืองสายปี ชวา คือ วงเครืองสายไทยทงั วงบรรเลงประสมกบั วงกลองแขก โดยไมใ่ ชโ้ ทนและราํ มะนา และใชข้ ลยุ่ หลีบแทนขลุ่ยเพียงออกเพือใหเ้ สียงเขา้ กบั ปี ชวาไดด้ ี เดิมเรียกวา่ วงกลองแขกเครืองใหญ่ วงเครืองสายปี ชวา นีเกิดขนึ ในปลายรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั การบรรเลงเครืองสายปี ชวานนั นกั ดนตรีจะตอ้ งมีไหวพริบและความเชียวชาญในการ บรรเลงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฉิงกาํ กบั จงั หวะจะตอ้ งเป็นคนทีมีสมาธิดีทีสุดจึงจะบรรเลงไดอ้ ยา่ ง ไพเราะ เพลงทีวงเครืองสายปี ชวานิยมใชบ้ รรเลงเป็นเพลงโหมโรง ไดแ้ ก่ เพลงเรืองชมสมทุ ร เพลง โฉลก เพลงเกาะ เพลงระกาํ เพลงสะระหม่า แลว้ ออกเพลงแปลง เพลงออกภาษา แลว้ กลบั มาออก เพลงแปลงอีกครังหนึง วงมโหรี วงดนตรีไทยประเภทหนึงซึงประกอบดว้ ยเครืองดนตรีผสมทงั ดีด สี ตี เป่ า เป็นวงดนตรีทีใช้ บรรเลงเพือขบั กลอ่ ม ไมน่ ิยมบรรเลงในการแสดงใด ๆ

78 วงมโหรีมี 5 แบบ คอื 1. วงมโหรีเครืองสี เป็นวงมโหรีทีรวมเอาการบรรเลงพณิ และการขบั ไม้ ซึงมีมาแต่โบราณ เขา้ ดว้ ยกนั เกิดขนึ ครังแรกในสมยั อยธุ ยา มเี ครืองดนตรี 4 ชิน คือ 1.1 ทบั (ปัจจุบนั เรียกว่า โทน) เป็นเครืองควบคุมจงั หวะ 1.2 ซอสามสาย 1.3 กระจบั ปี 1.4 กรับพวง (ผขู้ บั ร้องเป็นผตู้ ีกรับพวง) วงมโหรีเครืองสีนีเดิมผชู้ ายเป็นผบู้ รรเลง ต่อมาเมอื นิยมฟังมโหรีกนั แพร่หลาย ผมู้ บี รรดาศกั ดิจึงนิยมใหผ้ หู้ ญิงฝึกหดั บรรเลงบา้ งและไดร้ ับความนิยมสืบต่อมา 2. วงมโหรีเครืองหก คือ วงมโหรีเครืองสีซึงเพมิ เครืองดนตรีอกี 2 อยา่ ง คือ รํามะนา สาํ หรับตีกาํ กบั จงั หวะคู่กบั ทบั และขลุย่ (ปัจจุบนั เรียกวา่ ขล่ยุ เพยี งออ) สาํ หรับเป่ า ดาํ เนินทาํ นอง และเปลียนใชฉ้ ิงแทนกรับพวง นบั เป็นการบรรเลงทีมีเครืองดนตรีครบทงั ดีด สี ตี และเป่ า เกิดขึนใน ตอนปลายสมยั อยธุ ยา 3. วงมโหรีเครืองเดียว หรือ มโหรีเครืองเลก็ คือ วงมโหรีทีไดเ้ พมิ เครืองดนตรีและ เปลียนแปลงมาโดยลาํ ดบั ตงั แต่สมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ครังแรกเพมิ ระนาดเอกและฆอ้ งวง (ภายหลงั เรียกวา่ ฆอ้ งกลางหรือฆอ้ งมโหรี) (ดู ฆอ้ งมโหรี ประกอบ) ต่อมาจึงไดเ้ พมิ ซอดว้ งและ ซออู้ ส่วนกระจบั ปี นนั เปลียนเป็นใชจ้ ะเขแ้ ทน เนืองจากเวลาบรรเลงจะเขว้ างราบไปกบั พนื ซึงต่าง กบั กระจบั ปี ทีตอ้ งตงั ดีด ทงั นมทีใชร้ องรับสายและบงั คบั เสียงก็เรียงลาํ ดบั มีระยะเหมาะสมกวา่ กระจบั ปี เวลาบรรเลงจึงทาํ ใหใ้ ชน้ ิวดีดไดส้ ะดวกและแคลว่ คล่องกว่า นอกจากนีจะเขย้ งั สามารถ ทาํ เสียงไดด้ งั และทาํ เสียงไดม้ ากกวา่ กระจบั ปี ปัจจุบนั วงมโหรีเครืองเดยี วประกอบด้วยเครอื งดนตรีดงั นี 1. ซอสามสาย 1 คนั ทาํ หนา้ ทีคลอเสียงผขู้ บั ร้อง และบรรเลงดาํ เนินทาํ นองร่วมในวง 2. ซอดว้ ง 1 คนั ดาํ เนินทาํ นองโดยเกบ็ บา้ ง หวานบา้ ง 3. ซออู้ 1 คนั ดาํ เนินทาํ นองเป็นเชิงหยอกลอ้ ยวั เยา้ ไปกบั ทาํ นองเพลง 4. จะเข้ 1 ตวั ดาํ เนินทาํ นองโดยเกบ็ บา้ ง รัวบา้ ง และเวน้ ห่างบา้ ง 5. ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ดาํ เนินทาํ นองเกบ็ บา้ ง โหยหวนบา้ ง 6. ระนาดเอก 1 ราง ดาํ เนินทาํ นองเกบ็ บา้ ง กรอบา้ ง ทาํ หนา้ ทีเป็นผนู้ าํ วง 7. ฆอ้ งวง (เรียกว่า ฆอ้ งกลางหรือฆอ้ งมโหรี) 1 วง ดาํ เนินทาํ นองเนือเพลงเป็นหลกั ของวง 8. โทน 1 ลกู ราํ มะนา 1 ลกู ตีสอดสลบั กนั ควบคุมจงั หวะหนา้ ทบั 9. ฉิง 1 คู่ ควบคุมจงั หวะยอ่ ย แบ่งใหร้ ู้จงั หวะหนกั เบา

79 4. วงมโหรีเครืองคู่ คือ วงมโหรีเครืองเดียวทีไดเ้ พมิ ระนาดทุม้ และฆอ้ งวงเลก็ เขา้ ในวง ทงั นี เนืองดว้ ยในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนงั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั วงปี พาทยไ์ ดเ้ พมิ ระนาดทุม้ และฆอ้ งวงเลก็ รวมเรียกวา่ วงปี พาทยเ์ ครืองคู่ วงมโหรีจึงเพมิ เครืองดนตรีดงั กลา่ วบา้ ง นอกจากนนั ยงั เพมิ ซอดว้ ง และซออขู้ ึนเป็นอยา่ งละ 2 คนั เพมิ จะเขเ้ ป็น 2 ตวั ขลุ่ยนนั เดิมมแี ต่ขลุ่ยเพยี งออ จึงเพมิ ขล่ยุ หลบี อีก 1 เลา ส่วนซอสามสายก็เพิมซอสามสายหลบี อีก 1 คนั และเพมิ ฉาบเลก็ อีก1 คู่ดว้ ย ปัจจบุ ันวงมโหรีเครืองค่ปู ระกอบด้วยเครืองดนตรีดังนี . ซอสามสาย 1 คนั หนา้ ทีเหมือนในวงมโหรีเครืองเดียว . ซอสามสายหลีบ 1 คนั บรรเลงร่วมกบั เครืองดาํ เนินทาํ นองอืน ๆ . ซอดว้ ง 2 คนั หนา้ ทีเหมือนในวงมโหรีเครืองเดียว . ซออู้ 2 คนั หนา้ ทีเหมอื นในวงมโหรีเครืองเดียว . จะเข้ 2 ตวั หนา้ ทีเหมอื นในวงมโหรีเครืองเดียว . ขลยุ่ เพียงออ 1 เลา หนา้ ทีเหมือนในวงมโหรีเครืองเดียว . ขลยุ่ หลีบ 1 เลา ดาํ เนินทาํ นองเกบ็ บา้ ง โหยหวนบา้ ง สอดแทรกทาํ นองเลน่ ลอ้ ไปทางเสียงสูง . ระนาดเอก 1 ราง หนา้ ทีเหมอื นในวงมโหรีเครืองเดยี ว . ระนาดทุม้ 1 ราง ดาํ เนินทาํ นองเป็นเชิงหยอกลอ้ ยวั เยา้ ใหเ้ กิดอารมณ์ครึกครืน . ฆอ้ งวง 1 วง หนา้ ทีเหมอื นในวงมโหรีเครืองเดียว . ฆอ้ งวงเลก็ 1 วง ดาํ เนินทาํ นองเก็บถี ๆ บา้ ง สะบดั บา้ ง สอดแทรกทาํ นองไปทางเสียงสูง . โทน 1 ลกู ราํ มะนา 1 ลกู หนา้ ทีเหมือนในวงมโหรีเครืองเดียว . ฉิง 1 คู่ หนา้ ทีเหมอื นในวงมโหรีเครืองเดียว . ฉาบเลก็ 1 คู่

80 วงปี พาทย์ เป็นวงดนตรีไทยประเภทหนึงทีประกอบดว้ ยเครืองเป่ า คือ ปี ผสมกบั เครืองตี ไดแ้ ก่ ระนาดและฆอ้ งวงชนิดต่าง ๆ เป็นหลกั และยงั มีเครืองกาํ กบั จงั หวะ เช่น ฉิง ฉาบ กรับ โหม่ง ตะโพน กลองทดั กลองแขก และกลองสองหนา้ ปี พาทยน์ ีบางสมยั เรียกวา่ \"พิณพาทย\"์ วงปี พาทยม์ ี แบบ คือ . วงปี พาทย์เครืองห้า เป็นวงปี พาทยท์ ีเป็นวงหลกั มีจาํ นวนเครืองดนตรีนอ้ ยชินทีสุด ดงั นี ปี ใน 1 เลา ระนาดเอก 1 ราง ฆอ้ งวงใหญ่ 1 วง กลองทดั 2 ลกู ตะโพน 1 ลกู ฉิง 1 คู่ ในบางกรณีอาจใชฉ้ าบ กรับ โหมง่ ดว้ ย . วงปี พาทย์เครืองคู่ เป็นวงปี พาทยท์ ีประกอบดว้ ยเครืองทาํ ทาํ นองเป็นคู่เนืองดว้ ย ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดม้ ผี คู้ ดิ เครืองดนตรีเพมิ ขึนอกี 2 อยา่ ง คือ ระนาด ทุม้ กบั ฆอ้ งวงเลก็ และนาํ เอาปี นอกซึงใชใ้ นการบรรเลงปี พาทยส์ าํ หรับการแสดงหนงั ใหญ่สมยั โบราณมารวมเขา้ กบั วงปี พาทยเ์ ครืองหา้ ทีมอี ยเู่ ดิม วงปี พาทย์เครืองค่มู เี ครืองดนตรีดงั นี ปี 1 คู่ คือ ปี ในและปี นอก ระนาด 1 คู่ คือ ระนาดเอกและระนาดทุม้

81 ฆอ้ งวง 1 คู่ คือ ฆอ้ งวงใหญ่และฆอ้ งวงเลก็ กลองทดั 1 คู่ ตะโพน 1 ลกู ฉิง 1 คู่ ฉาบเลก็ 1 คู่ ฉาบใหญ่ 1 คู่ โหม่ง 1 ใบ กลองสองหนา้ 1 ลกู (บางทีใชก้ ลองแขก 1 คู่ แทน) ในบางกรณีอาจใชก้ รับดว้ ย . วงปี พาทย์เครืองใหญ่ คือ วงปี พาทยเ์ ครืองค่ทู ีเพมิ ระนาดเอกเหลก็ กบั ระนาด ทุม้ เหลก็ ซึงพระบาทสมเด็จพระปิ นเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประดิษฐข์ ึน กลายเป็นวงปี พาทยท์ ีมรี ะนาด 4 ราง โดยตงั ระนาดเอกเหลก็ ทีริมดา้ นขวามอื และตงั ระนาดทุม้ เหลก็ ทีริมดา้ นซา้ ยมอื ซึงนกั ดนตรี นิยมเรียกกนั ว่า \"เพมิ หวั ทา้ ย\" วงปี พาทยเ์ ครืองใหญ่ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั บางวงกเ็ พมิ กลองทดั รวมเป็น 3 ใบบา้ ง 4 ใบบา้ ง ส่วนฉาบใหญ่นาํ มาใชใ้ นวงปี พาทยใ์ นรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั วงปี พาทยท์ งั เครืองหา้ เครืองคู่ และเครืองใหญ่ ถา้ มกี าร บรรเลงเพลงภาษาจะใชเ้ ครืองดนตรีกาํ กบั จงั หวะของภาษานนั ๆ ดว้ ย เช่น ภาษาเขมร ใช้ โทน ภาษาจีน ใช้ กลองจีน กลองต๊อก แต๋ว ภาษาฝรัง ใช้ กลองมริกนั (อเมริกนั ) หรือกลองแตร็ก (side drum, snare drum) ภาษาพมา่ ใช้ กลองยาว ภาษามอญ ใช้ ตะโพน เปิ งมาง 4. วงปี พาทย์นางหงส์ คือ วงปี พาทยธ์ รรมดาซึงใชบ้ รรเลงทวั ไป แต่เมือนาํ มาใชป้ ระโคม ในงานศพ จะนาํ วงบวั ลอยซึงประกอบดว้ ยปี ชวา 1 เลา กลองมลายู 1 คู่ และเหมง่ 1 ใบ ทีใชป้ ระโคม ในงานศพเขา้ มาผสม (ดู วงบวั ลอย ประกอบ) โดยตดั ปี ใน ตะโพน และกลองทดั ออก ใชป้ ี ชวาแทน ปี ใน ใชก้ ลองมลายแู ทนตะโพนและกลองทดั ส่วนเหม่งนนั มเี สียงไมเ่ หมาะกบั วงปี พาทยจ์ ึงไม่ นาํ มาใช้ ใชแ้ ต่โหม่งซึงมีอยเู่ ดิม เรียกว่า \"วงปี พาทยน์ างหงส\"์ วงปี พาทยน์ างหงสใ์ ชบ้ รรเลงเฉพาะ ในงานศพมาแต่โบราณก่อนวงปีพาทยม์ อญ สาเหตุทีเรียกว่าปี พาทยน์ างหงส์ กเ็ พราะใชเ้ พลงเรือง นางหงส์ 2 ชนั เป็นหลกั สาํ คญั ในการบรรเลง นอกจากนียงั มีววิ ฒั นาการไปใชบ้ รรเลงเพลงภาษาต่าง ๆ เรียกว่า \"ออกภาษา\" ดว้ ย

82 . วงปี พาทย์มอญ ประกอบดว้ ยเครืองดนตรีทีไดอ้ ิทธิพลมาจากมอญ เช่น ฆอ้ งมอญ ปี มอญ ตะโพนมอญ และเปิ งมางคอก ปัจจุบนั วงปี พาทยม์ อญมี 3 ขนาด ไดแ้ ก่ 5.1 วงปี พาทยม์ อญเครืองหา้ ประกอบดว้ ยปี มอญ ระนาดเอก ฆอ้ งมอญ ตะโพนมอญ เปิ งมางคอก และเครืองกาํ กบั จงั หวะ ไดแ้ ก่ ฉิง ฉาบ โหม่ง 5.2 วงปี พาทยม์ อญเครืองคู่ มลี กั ษณะเดียวกบั วงปี พาทยม์ อญเครืองหา้ แต่เพมิ ระนาดทุม้ และฆอ้ งมอญวงเลก็ 5.3 วงปี พาทยม์ อญเครืองใหญ่ มลี กั ษณะเดียวกบั วงปี พาทยม์ อญเครืองคู่ แต่เพมิ ระนาด เอกเหลก็ และระนาดทุม้ เหลก็ วงปี พาทยม์ อญนนั ทจี ริงแลว้ ใชบ้ รรเลงในโอกาสต่าง ๆ ไดท้ งั งานมงคล เช่น งานฉลอง พระแกว้ มรกตในสมยั ธนบุรี และงานอวมงคล เช่น งานศพ แต่ต่อมานิยมบรรเลงในงานศพ เนืองจาก ท่วงทาํ นองเพลงมอญมีลีลาโศกเศร้า โหยหวน ซึงเหมาะกบั บรรยากาศของงาน จนบางท่านนึกวา่ ปี พาทยม์ อญใชบ้ รรเลงเฉพาะในงานศพเท่านนั

83 เรืองที คุณค่าความงามความไพเราะของเพลงและเครืองดนตรีไทย มนุษยไ์ ดส้ ร้างสรรคด์ นตรีขึนจากภูมิปัญญาและจินตนาการ เพือนาํ มาปรุงแต่งความ สมบรู ณ์ในจิตใจ ซึงมีผลต่อร่างกาย อารมณ์ และสงั คม ดงั นนั ดนตรีจึงมีคุณค่าและความงามทงั ใน ระดบั บุคคล กล่มุ ชน รวมไปถึงระดบั ประเทศ ดนตรีไทยเป็ นศิลปะทีบ่งบอกถึงความเป็ นชาติ คุณค่า และความงามของดนตรีไทย สามารถพจิ ารณาไดจ้ ากบทเพลงทีนักประพนั ธ์เพลงประพนั ธข์ ึน มีท่วงทาํ นองตามโครงสร้างของ ระบบเสียงเนือร้องทีร้อยเรียงกนั อย่างสละสลวย มีนักดนตรีทาํ หนา้ ทีถ่ายทอดบทเพลง โดยใช้ ระบบวิธีบรรเลงเครืองดนตรีทีมคี วามหลากหลาย มีวธิ ีขบั ร้องทีกลมกลนื กนั และมเี ครืองดนตรีซึงมี รูปแบบเฉพาะสวยงามไดส้ ดั ส่วน คณุ ค่าและความงามทปี รากฏอย่ใู นกจิ กรรมทางสังคมไทย ปรากฏอยใู่ นสงั คมไทย ดงั นี 1) คุณค่าและความงามของดนตรีไทยทีเกยี วกับพระราชพิธี ดนตรีทีเกียวกบั พระราชพิธี เช่น วงปี พาทย์ ใชบ้ รรเลงในงานทีพระมหากษตั ริยเ์ สด็จทรงบาํ เพ็ญพระราชกุศลวงกลองแขก ใช้ บรรเลงในกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค เช่นเดียวกบั การแห่เรือทีมีศิลปิ นเห่ในกระบวนพยุหยา ตราทางชลมารค วงขบั ไมใ้ ชบ้ รรเลงในพระราชพธิ ีขึนพระอขู่ องพระราชโอรสและพระราชธิดา การ ประโคมวงปี พาทยน์ างหงส์ในงานพระเมรุ เป็นตน้ 2) คณุ ค่าและความงามของดนตรีไทยทเี กยี วกบั ศาสนา ดนตรีทีเกียวกบั ศาสนา โดยเฉพาะ ศาสนาทีเป็ นมลู ฐานให้เกิดประเพณีต่างๆ ของไทยมาตงั แต่อดีต คือศาสนาพราหมณ์และพระพุธ ศาสนา ดนตรีทีเกียวขอ้ งกบั ศาสนาพราหมณ์ส่วนใหญ่มีบทบาทในงานพระราชพิธี สาํ หรับงานที เกียวขอ้ งกบั พระพุธศาสนา ทงั งานมงคลและงานอวมงคลนบั จากอดีตจนถึงปัจจุบนั 3) คุณค่าและความงามของดนตรีไทยทีเกียวกบั กจิ กรรมทัวไป กิจกรรมทวั ไป เช่น งาน มงคลสมรส งานฉลองความสาํ เร็จของบุคคล เป็ นตน้ หรือเมือมีการจดั เลียงต่างๆ นิยมจดั ให้มีวง ดนตรีไทยมาบรรเลง เช่น วงมโหรี วงเครืองสาย เป็ นตน้ สําหรับงานมงงคลสมรสทีมีการแห่ ขนั หมาก นิยมใชว้ งกลองยาวและวงแตรวงบรรเลงนาํ คณุ ค่าและตามงามของดนตรีไทยทแี สดงออกถึงวฒั นธรรมของไทย จาํ แนกได้ 2 ดา้ น คือ 1) ด้านรูปธรรม เครืองดนตรีไทยมีทงั เครืองดีด เครืองสี เครืองตี และเครืองเป่ า เครือง ดนตรีเหลา่ นีครูดนตรีในอดีตไดใ้ ชห้ ลกั การในการเลอื กเครืองดนตรีใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกนั เพอื ประสมเป็ นวงดนตรี 2) ด้านนามธรรม รสของเพลงทีเป็นผลมาจากทาํ นองเพลงไทย ทีเกิดจการบรรเลง จน ก่อใหเ้ กิดอารมณ์และความรู้สึกวา่ เพลงนนั มคี วามเสนาะ ไพเราะ สนุกสนาน เพลดิ เพลนิ อารมณ์ โศกเศร้า

84 การเข้าถึงคุณค่าและความงามของดนตรไี ทย การเขา้ ถงึ สุนทรียรสในดนตรีไทย ยอ่ มทาํ ใหพ้ บ คุณค่าและความงามของดนตรีไทย สิงนีมีส่วนสาํ คญั ทีทาํ ใหค้ นไทยเกดิ ความรู้สึกผกู พนั การเขา้ ถึง คุณค่าและความงามของดนตรีไทยสามารถทาํ ไดโ้ ดย 1) การศกึ ษาและทาํ ความเขา้ ใจเรืองราวและ เนือหาสาระต่างๆ ของดนตรีไทย 2) การฟังเพลงไทยดว้ ยความตงั ใจ สัญลกั ษณ์ของดนตรีไทย ดนตรีไทยมเี อกลกั ษณ์พิจารณาได้ ประการคือ 1.วสั ดุทีสร้าง เครืองดนตรีของทุก ๆ ชาติในยคุ เริมแรกก็มกั จะใชว้ สั ดุทีมีอยใู่ นถินของตนมาสรรค์สร้างขึน แลว้ จึงค่อยวิวฒั นาการต่อไป สมยั โบราญทาํ ดว้ ยไมไ้ ผ่ ไมเ้ นือแขง็ หนงั และกระดกู สตั ว์ เช่น ซอดว้ ง ส่วนกระบอกซอดว้ งจึงทาํ ดว้ ยงาชา้ งซึงเป็นสิงทีสวยงามมาก ซออู้ ซอสามสาย กะโหลกนันทาํ ดว้ ย กะลามะพร้าว ระนาดของไทยทาํ ดว้ ยไมไ้ ผ่ซึงมีเสียงไพเราะนุ่มนวลกว่าทาํ ด้วยไมเ้ นือแข็งมาก ส่วนกลอง ตวั กลองทาํ ดว้ ยไมเ้ นือแข็งและขึงหนา้ ดว้ ยหนงั สัตว์ เฉพาะกลองทีขึงหนงั สองหน้าตรึง ดว้ ยหมุดทีเราเรียกกนั วา่ “กลองทดั ” นนั จีนไดเ้ อาอยา่ งไปใชแ้ ลว้ เรียกชือว่า “น่านตงั ก๊”ู ซึงแปลว่า “กลองของชาวใต”้ ส่วนฆอ้ งทงั ฆอ้ งโหมง่ ฆอ้ งวงทาํ ดว้ ยทองเหลอื ง 2.รูปร่างลกั ษณะ ในการสร้างสรรคส์ ิงต่างๆ รูปร่างลกั ษณะทีจะเห็นวา่ งดงามนนั ยอ่ มเป็นไปตามจิตใจ นิสยั และ สญั ชาตญาณทีเห็นงามของชาตินนั ๆ ชนชาติไทยป็ นผทู้ ีมีจิตใจและนิสยั อ่อนโยน มีเมตตากรุณายมิ แยม้ แจ่มใส ศิลปะต่างๆของไทยจึงมกั จะเป็นรูปทีเป็นเสน้ โคง้ ออ่ นชอ้ ย ทีจะหกั มมุ องศานนั นอ้ ย ทีสุด และทุกๆสิงมกั จะเป็นปลายเรียวแหลม ขอให้พิจารณาดูศิลปะต่างๆของไทยเพือเปรียบเทียบ เช่น บา้ นไทย จวั และปันลมออ่ นชอ้ ยจนถึง ปลายเรียวแหลม ช่อฟ้ าใบระกาของปราสาทราชวงั และ โบสถว์ ิหารลว้ นแต่ออ่ นชอ้ ยน่าชมสมส่วน ลายไทยซึงเตม็ ไปดว้ ย กระหนกต่างๆ กระหนกทุกตวั จะ เป็นเสน้ โคง้ อ่อนสลวยและสะบดั สะบิง จนถงึ ปลายแหลม เครืองแต่งตวั ละครรําเป็ นละครของไทย แท้ มีมงกุฎและชฎาเรียวและยอดแหลม อนิ ทรธนูทีประดบั บ่าก็โคง้ และปลายแหลม ท่ารําของละคร แขนและมอื เมอื จะงอหรือจะเหยยี ดลว้ นเป็นเสน้ โคง้ ตลอดจนปลายนิวมือ ซึงอ่อนชอ้ ยน่าดูมาก ทีนีมาดูลกั ษณะรูปร่างของเครืองดนตรีไทย โทน ระนาดเอก ระนาดทุม้ ส่วนสดั เป็นเสน้ โคง้ และมีปลายแหลมทงั นนั โขนของฆอ้ งวงใหญ่และฆอ้ งเลก็ โอนสลวยขึนไป คลา้ ยหลงั คาบา้ นไทย ส่วนโขนของคนั ซอดว้ งทีเรียกวา่ “ทวนบน” กโ็ คง้ ออ่ นขนึ ไปจนปลายคลา้ ยกบั โขนเรือพระราชพิธี ของไทยโบราณนีคือรูปลกั ษณะของดนตรีไทย 3. เสียงของดนตรีไทย เครืองดนตรีไทยทีสร้างขึนมีเจตนาใหไ้ พเราะ ซึงเป็ นไปตามลกั ษณะนิสัย ของชนชาติไทย เสียงซอ เสียงขล่ยุ เสียงปี เสียงฆอ้ ง และเสียงพิณ ลว้ นเป็นสิงที มีเสียงนุ่มนวล มีกงั วานไพเราะอยา่ ง อ่อนหวาน

85 เรืองที ประวัติคุณค่าภูมิปัญญาของดนตรีไทย ดนตรีไทย เป็นศลิ ปะชนั สูงแขนงหนึงซึงอยคู่ ่กู บั คนไทยมาตลอดประวตั ิศาสตร์ และถือ วา่ เป็นมรดกทางวฒั นธรรมอนั ทรงคุณค่าทีสืบทอดกนั มาจนถงึ ทุกวนั นี เนืองจากดนตรีไทยไมม่ กี าร บนั ทึกเป็นตวั โน๊ต การเรียนดนตรีไทยจึงตอ้ งเรียนดว้ ยการ \"จาํ \" เท่านนั ถึงแมว้ ่าดนตรีไทยจะไม่ ใชต้ วั โน๊ตสาํ หรับบรรเลง แต่ดนตรีไทยกม็ โี นต๊ เหมอื นดนตรีสากลทวั ไป เพยี งแต่ดนตรีไทยมแี ต่คีย์ เมเจอร์เท่านนั คือ คีย์ หรือ Am เพราะดนตรีไทยไมม่ ีชาร์ปหรือแฟลต ประโยชน์ของดนตรีไทย 1. เป็นเครืองมือทีสามารถตอบสนองความตอ้ งการในการประเทืองอารมณ์กระตุน้ ความรู้สึกของเราอยา่ งมาก 2. ทาํ ใหม้ นุษยอ์ ยอู่ ยา่ งมีอารมณ์ ความรู้สึก มเี ครืองมือประเทืองจิตใจ มีความ ละเอียดออ่ นและเกิดความสุขความสนุกสนาน 3. ทาํ ใหโ้ ลกมคี วามสดใส มสี ีสนั 4. ทาํ ใหค้ นฟังรู้สึกผอ่ นคลาย จิตใจเบิกบาน คุณค่าในดนตรีทีเป็ นมรดกทางวฒั นธรรม และภูมปิ ัญญาไทย . วฒั นธรรมทางดนตรีพนื บา้ นภาคกลาง ดนตรีพนื บา้ นภาคกลางส่วนใหญ่ ประกอบดว้ ยเครืองดนตรีประเภทตี และเป่ าเรียกรวมเป็นเครืองตีเป่ า ซึงถอื เป็นเครืองประโคมดงั เดิม ทีเก่าแก่ทีสุดและพฒั นาจนกลายเป็นวงปี พาทยใ์ นปัจจุบนั แต่เดิมวงปี พาทยน์ นั ใชป้ ี และกลองเป็น หลกั ต่อมาใชร้ ะนาดและฆอ้ งวงและเพมิ เครืองดนตรีใหม้ ีจาํ นวนมากเพือใหเ้ สียงดงั ขึน การบรรเลง วงปี พาทยไ์ มน่ ิยมบรรเลงเพือประกอบการละเลน่ ต่างๆ แตน่ ิยมบรรเลงในพิธีกรรม การแสดง และการประกวดประชนั เพอื ใหเ้ ป็นทียอมรับของคนในสงั คม เพลงบรรเลงของวงปี พาทย์ ประกอบดว้ ยเพลงโหมโรง เพลงหนา้ พาทย์ เพลงเรือง เพลงหางเครือง และเพลงภาษา เพลงบรรเลง ทงั ประเภทเป็นการบรรเลงทีเป็นแบบแผน ไมว่ ่าจะบรรเลงเดียวหรือหมู่ ลว้ นแต่ใชแ้ บบแผนนี ทงั สินเพอื เป็นการอวดฝีมือ ของนกั ดนตรีนนั เอง ดนตรีพนื บา้ นภาคกลางถอื เป็นการถา่ ยเทระหว่าง วฒั นธรรมราษฎร์กบั วฒั นธรรมหลวง ซึงเป็นการผสมผสานจนเกดิ เป็นเอกลกั ษณ์ของวงดนตรี พนื บา้ นภาคกลางทีต่างจากภาคอนื ๆ . วฒั นธรรมทางดนตรีพนื บา้ นภาคเหนือ เครืองดนตรีพนื บา้ นภาคเหนือยคุ แรกส่วน ใหญ่จะเป็นเครืองดนตรีประเภทตี แต่เดิมเรียกวา่ ท่อนไมก้ ลวง ต่อมาจึงมีการนาํ หนงั มาหุม้ จน กลายเป็นกลอง และไดพ้ ฒั นาเป็นเครืองดีดและสี ซึงเกิดการประดษิ ฐธ์ นูเพือเป็นเครืองมอื ทีใชใ้ น

86 การล่าสตั ว์ โดยการดีดสายหนงั ใหล้ กู ดอกปักลงไปในสิงต่างๆ ตามทีตอ้ งการ มนุษยจ์ ึงเกิดการ เลยี นแบบเสียงของการดีดสายหนงั จนเกดิ เป็นเครืองดนตรี เช่น พิณเพยี ะ สะลอ้ ซึง ซอชนิดต่างๆ เป็นตน้ จากนนั มนุษยไ์ ดป้ ระดิษฐเ์ ครืองเป่ าขึน เช่น ขลุย่ และปี ซึงเกิดจากการฟังเสียงกระแสลมที พดั ผา่ นปากปลอ่ งคหู าถาํ หรือเสียงลมกระทบทิวไผต่ น้ ไมต้ ่างๆเป็นตน้ . วฒั นธรรมทางดนตรีพนื บา้ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ วฒั นธรรมทางดนตรีพนื บา้ น ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือแบ่งออกเป็น กลุ่ม ดงั นี - ดนตรีกล่มุ วฒั นธรรมหมอลาํ เป็นคนกลุ่มใหญ่ทีสุดในภาคอีสาน มกี ารขบั ร้องและ เป่ าแคนประกอบ พณิ เป็นเครืองดนตรีทีไดร้ ับความนิยมรองลงมา จนกระทงั ปัจจุบนั นิยมเลน่ โปงลางกนั อยา่ งแพร่หลายมากยงิ ขึน - ดนตรีกลุม่ วฒั นธรรมกนั ตรึม เป็นดนตรีขบั ร้องทีเรียกว่า เจรียง ซึงเป็นเครืองดนตรี ของชาวสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ - ดนตรีกลุ่มวฒั นธรรมโคราช เพลงโคราช เป็นการแสดงเช่นเดียวกบั ลเิ กของภาค กลาง ซึงเป็นการขบั ร้องโตต้ อบกนั ระหว่างหมอเพลงชายกบั หมอเพลงหญิง . วฒั นธรรมทางดนตรีพนื บา้ นภาคใต้ วฒั นธรรมทางดนตรีพนื บา้ นภาคใต้ ไดแ้ ก่ - วฒั นธรรมทางดนตรีทีเกียวกบั สิงศกั ดิสิทธิ ความเชือเรืองภตู ผปี ี ศาจ อาํ นาจเรน้ ลบั เพอื ใหเ้ กิดคุณประโยชน์อยา่ งใดอยา่ งหนึง ไดแ้ ก่ การเลน่ มะตือรีในหมชู่ าวไทยมสุ ลิมและการเล่นตะ ครึมในหมชู่ าวไทยพทุ ธ เป็นตน้ - วฒั นธรรมทางดนตรีทีเกียวขอ้ งกบั ประเพณี ในบนั ปลายของชีวติ เมือถึงแกก่ รรมก็ อาศยั เครืองดนตรีเป็นเครืองไปสู่สุคติ ดงั จะเห็นจากการเลน่ กาหลอในงานศพเพอื ออ้ นวอนเทพเจา้ ใหน้ าํ ร่างของผเู้ สียชีวติ ไปสู่ภพภมู ิทีดี - วฒั นธรรมทางดนตรีทีเกียวขอ้ งกบั การดาํ รงชีวิต ชาวพนื เมอื งภาคใตน้ ิยมประโคม โพนเป็นสญั ญาณบอกกลา่ วแก่ชาวบา้ น เพือใหช้ าวบา้ นทราบวา่ ทีวดั มกี ารทาํ เรือพระสาํ หรับใชช้ กั ลากในเทศการชกั พระ - วฒั นธรรมทางดนตรีทีเกียวขอ้ งกบั การเสริมสร้างความสามคั คี เช่น กรือโตะ๊ และ บานอ ชาวบา้ นจะร่วมกนั ทาํ ขนึ มาเพือใชเ้ ลน่ สนุกร่วมกนั และใชแ้ ข่งขนั กบั หม่บู า้ นอืน เป็นตน้

87 กจิ กรรม . ใหผ้ เู้ รียนอธิบายลกั ษณะของดนตรีไทย เป็นขอ้ ๆ ตามทีเรียนมา . ใหผ้ เู้ รียนศึกษาดนตรีไทยในทอ้ งถนิ ของผเู้ รียน แลว้ จดบนั ทึกไว้ จากนนั นาํ มาอภิปราย ในชนั เรียน . ใหผ้ เู้ รียนลองหดั เลน่ ดนตรีไทยจากผรู้ ู้แลว้ นาํ มาเลน่ ใหช้ มในชนั เรียน . ผเู้ รียนมีแนวความคดิ ในการอนุรักษด์ นตรีไทยในทอ้ งถนิ ของผเู้ รียนอยา่ งไรบา้ งให้ ผเู้ รียนบนั ทึกเป็นรายงานและนาํ แสดงแลกเปลียนความคิดเห็นกนั ในชนั เรียน

88 บทที นาฏศิลป์ ไทย สาระสําคญั . ความหมายและความเป็นมาของนาฏศลิ ป์ ไทย 2. นาฏศิลป์ ไทยประเภทต่าง ๆ . คุณค่าและการอนุรกั ษน์ าฏศลิ ป์ ไทย ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั . อธิบายประวตั ิความเป็นมาของการแสดงนาฏศิลป์ ไทยประเภทต่าง ๆ ได้ 2. มีความรู้เกียวกบั พนื ฐานความงามของนาฏศิลป์ ไทยและแสดงออกไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง . แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก ต่อการแสดงนาฏศลิ ป์ ไทยได้ . เขา้ ใจเห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ ไทยและบอกแนวทางการอนุรักษน์ าฏศิลป์ ไทยได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที . ความเป็นมาของนาฏศิลป์ ไทย เรืองที 2. ประวตั ินาฏศิลป์ ไทย เรืองที . ประเภทของนาฏศลิ ป์ ไทย เรืองที . นาฏยศพั ท์ เรืองที . ราํ วงมาตรฐาน เรืองที . การอนุรักษน์ าฏศลิ ป์ ไทย

89 เรืองที ความเป็ นมาของนาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ คือ ศลิ ปะการร้องราํ ทาํ เพลง ทีมนุษยเ์ ป็นผสู้ ร้างสรรค์ โดยประดิษฐข์ ึนอยา่ ง ประณีตและมีแบบแผน ใหค้ วามรู้ ความบนั เทิง ซึงเป็นพืนฐานสาํ คญั ทีแสดงใหเ้ ห็นถึงวฒั นธรรม ความรุ่งเรือง ของชาติไดเ้ ป็นอยา่ งดี ความเป็ นมาของนาฏศิลป์ นาฏศิลป์ หรือศลิ ปะแห่งการแสดงละครฟ้ อนรํานนั มคี วามเป็นมาทีสาํ คญั ประการคือ .เกิดจากการทีมนุษยต์ อ้ งการแสดงอารมณ์ทีเกิดขึนตามธรรมชาติ ใหป้ รากฏออกมาโดยมี จุดประสงคเ์ พือการสือความหมายเป็นสาํ คญั เริมตงั แต่ . มนุษยแ์ สดงอารมณต์ ามธรรมชาติออกมาตรง ๆ เช่น การเสียใจกร็ ้องไห้ ดีใจก็ ปรบมอื หรือส่งเสียงหวั เราะ . มนุษยใ์ ชก้ ริยาอาการเป็นการสือความหมายใหช้ ดั เจนขนึ กลายเป็นภาษาท่า เช่น กวกั มือเขา้ มาหาตวั เอง . มีการประดิษฐค์ ิดท่าทางใหม้ ีลีลาทีวจิ ิตรบรรจงขึน จนกลายเป็นท่วงทีลีลาการ ฟ้ อนรําทีงดงามมลี กั ษณะทีเรียกวา่ “นาฏยภาษา”หรือ “ภาษานาฏศลิ ป์ ” ทีสามารถสือความหมาย ดว้ ยศลิ ปะแห่งการแสดงท่าทางทีงดงาม . เกิดจากการทีมนุษยต์ อ้ งการเอาชนะธรรมชาติดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ ทีนาํ ไปสู่การปฏบิ ตั ิเพือบชู า สิงทีตนเคารพตามลทั ธิศาสนาของตน ต่อมาจึงเกดิ เป็นความเชือในเรืองเทพเจา้ ซึงถือวา่ เป็นสิง ศกั ดิสิทธิทีเคารพบูชา โดยจะเริมจากวงิ วอนอธิษฐาน จนมกี ารประดิษฐเ์ ครืองดนตรี ดีด สี ตี เป่ า ต่าง ๆ การเลน่ ดนตรี การร้องและการรํา จึงเกิดขนึ เพอื ใหเ้ ทพเจา้ เกิดความพอใจมากยงิ ขึน . เกิดจากการเล่นเลยี นแบบของมนุษย์ ซึงเป็นการเรียนรู้ในขนั ตน้ ของมนุษย์ ไปสู่การ สร้างสรรคศ์ ลิ ปะแบบต่าง ๆ นาฏศลิ ป์ ก็เช่นกนั จะเห็นว่ามนุษยน์ ิยมเลียนแบบสิงต่าง ๆ ทงั จากมนุษย์ เองสงั เกตจาก เดก็ ๆ ชอบแสดงบทบาทสมมตุ ิเป็นพ่อเป็นแมใ่ นเวลาเลน่ กนั เช่น การเลน่ ตุก๊ ตา การ เลน่ หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง หรือเลยี นแบบจากธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มต่าง ๆ ทาํ ใหเ้ กิดการเล่น เช่น การ เลน่ งกู ินหาง การแสดงระบาํ มา้ ระบาํ กาสร ระบาํ นกยงู ( ทรงศกั ดิ ปรางคว์ ฒั นากุล : ม.ป.ป. ) . เกิดจากการทีมนุษยค์ ิดประดิษฐห์ าเครืองบนั เทิงใจ หลงั จากการหยดุ พกั จากภารกิจ ประจาํ วนั เริมแรกอาจเป็นการเลา่ นิทาน นิยาย มกี ารนาํ เอาดนตรีและการแสดงท่าทางต่าง ๆ ประกอบเป็นการร่ายรําจนถงึ การแสดงเป็นเรืองราว

90 การแสดงโขน ตอน พระรามตามกวาง

91 เรืองที ประวัตินาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ ไทย คือ ศิลปะแห่งการร่ายราํ ทีเป็นเอกลกั ษณ์ของไทย จากการสืบคน้ ประวตั ิความ เป็นมาของนาฏศลิ ป์ ไทย เป็นเรืองทีเกียวขอ้ งและสมั พนั ธก์ บั ประวตั ิศาสตร์ไทย และวฒั นธรรมไทย จากหลกั ฐานทียนื ยนั วา่ นาฏศิลป์ มมี าชา้ นาน เช่นการสืบคน้ ในหลกั ศิลาจารึกหลกั ที สมยั กรุง สุโขทยั พบขอ้ ความว่า “ระบาํ ราํ เตน้ เล่นทุกวนั ” แสดงใหเ้ ห็นวา่ อยา่ งนอ้ ยทีสุด นาฏศลิ ป์ ไทย มอี ายุ ไม่นอ้ ยกว่ายคุ สุโขทยั ขึนไป สรุปทีมาของนาฏศลิ ป์ ไทยได้ดงั นี .จากการละเล่นของชาวบา้ นในทอ้ งถนิ ซึงเป็นกิจกรรมเพอื ความบนั เทิงและความรืนเริง ของชาวบา้ น ภายหลงั จากฤดกู าลเก็บเกียวขา้ วแลว้ ซึงไมเ่ พียงเฉพาะนาฏศลิ ป์ ไทยเท่านนั ทีมีประวตั ิ เช่นนี แต่นาฏศลิ ป์ ทวั โลกกม็ กี าํ เนิดจากการเล่นพนื เมืองหรือการละเล่นในทอ้ งถนิ เมือเกิด การละเลน่ ในทอ้ งถนิ การขบั ร้องโตต้ อบกนั ระหวา่ งฝ่ ายหญิงและฝ่ ายชาย กเ็ กิดพ่อเพลงและแม่ เพลงขึน จึงเกิดแม่แบบหรือวธิ ีการทีพฒั นาสืบเนืองต่อ ๆ กนั ไป . จากการพฒั นาการร้องราํ ในทอ้ งถนิ สู่นาฏศิลป์ ในวงั หลวง เมือเขา้ สู่วงั หลวงก็มกี ารพฒั นา รูปแบบใหง้ ดงามยงิ ขึน มหี ลกั การ และระเบียบแบบแผน ประกอบกบั พระมหากษตั ริยไ์ ทย ยคุ สุโขทยั อยธุ ยา และรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นกวีและนกั ประพนั ธ์ ดงั นนั นาฏศิลป์ รวมทงั การดนตรี ไทย จึงมีลกั ษณะงดงามและประณีต เพราะผแู้ สดงกาํ ลงั แสดงต่อหนา้ พระทีนงั และต่อหนา้ พระมหากษตั ริยผ์ ทู้ ีมคี วามสามารถในเชิงกวี ดนตรี และนาฏศิลป์ เช่นกนั อาจกล่าวไดว้ ่ากษตั ริยแ์ ทบ ทุกพระองคท์ รงเปี ยมลน้ ดว้ ยความสามารถดา้ นกวี ศิลปะอยา่ งแทจ้ ริง บางองคม์ คี วามสามารถดา้ น ดนตรีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะยคุ รัตนโกสินทร์ พระมหากษตั ริยไ์ ทยไดแ้ สดงใหโ้ ลกไดป้ ระจกั ษถ์ งึ ความสามารถดา้ นนี กวแี ละศลิ ปะ เช่น รัชกาลที รัชกาลที และพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภมู ิ พลอดุลยเดช ทรงพระปรีชาสามารถดา้ นดนตรีจนเป็นทียอมรับของวงการดนตรีทวั โลก

92 การแสดงชุดเจา้ เงาะรจนา การแสดงโขน

93 เอกลักษณ์ของนาฏศิลป์ ไทย . มที ่าราํ ออ่ นชอ้ ย งดงาม และแสดงอารมณ์ ตามลกั ษณะทีแทจ้ ริงของคนไทย ตลอดจนใช้ ลีลาการเคลือนไหวทีดูสอดคลอ้ งกนั . เครืองแต่งกายจะแตกต่างกบั ชาติอืน ๆ มแี บบอยา่ งของตนโดยเฉพาะ ขนาดยดื หยนุ่ ได้ ตามสมควร เครืองแต่งกายบางประเภท เช่นเครืองแต่งกายยนื เครือง การสวมใส่จะใชต้ รึงดว้ ยดา้ ย แทนทีจะเยบ็ สาํ เร็จรูป เป็นตน้ . มเี ครืองประกอบจงั หวะหรือดนตรีประกอบการแสดง ซึงอาจมแี ต่ทาํ นองหรือมบี ทร้อง ผสมอยู่ . ถา้ มคี าํ ร้องหรือบทร้องจะเป็นคาํ ประพนั ธ์ ส่วนมากแลว้ มีลกั ษณะเป็นกลอนแปด สามารถนาํ ไปร้องเพลงชนั เดียว หรือสองชนั ไดท้ ุกเพลง คาํ ร้องนีทาํ ใหผ้ สู้ อนหรือผรู้ ํากาํ หนดท่ารํา ไปตามบทร้อง เครืองแต่งกายพระ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook