แผนการจดั การเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 จัดทาโดย นางสาวนวรัตน์ สขุ สอน ครอู าสาสมคั ร ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอพระนครศรอี ยุธยา
แผนการจัดการเรียนรู้แบบพบกลมุ่ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ เรอ่ื ง ปฐมนิเทศนกั ศกึ ษา มาตรฐานการเรยี นรู้ 1. ร้แู ละเขา้ หลกั สตู ร/วิธี/การ จดั กิจกรรมการเรียนการสอน การทากจิ กรรมกพช. 2. อธิบายกระบวนการเรียนรู้ ตามหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551จุดเนน้ นโยบายของสถานศกึ ษา 1.สาระสาคัญ 1.1 เตรยี มความพร้อม ใหก้ บั ผเู้ รียนกอ่ นเปดิ ภาคเรยี น 1.2 ชี้แจงให้ผู้เรยี นเขา้ รบั การปฐมนเิ ทศ 1.3 ให้ความรเู้ รอื่ ง ความสาคัญในวันสาคัญต่าง ๆ 2.ผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั 2.1 นักศึกษาเข้าใจรูปแบบการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ 2.2 นกั ศึกษาเข้าใจกจิ กรรมการเรยี นรู้ของ กศน. 3.เนอ้ื หารายวิชา 3.1 ปฐมนเิ ทศสถานศกึ ษา 3.2 ชี้แจงหลักสูตร วธิ ีการจดั การเรียนรแู้ บบบูรณาการ กศน. 3.3 ชีแ้ จงการเรยี นรู้กระบวนการเรียนรู้ตามหลกั สตู ร กศน. 3.4 พบกลุ่ม/การวัดผล/ เปาู หมาย 3.5 การจดั การเรยี นร้แู บบบูรณาการ 3.6 โครงการจุดเน้นตามนโยบาย 3.7 วิเคราะห์เนื้อหาสาระรายวิชา 4.กระบวนการเรยี นรู้ ข้ันที่ 1 กาหนดสภาพปัญหา ชแ้ี จงกาหนดข้อตกลง ในการเรียนรูร้ ่วมกบั ผู้เรยี น ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ผู้เรียนใชท้ ักษะการเรยี นรู้ ศึกษา ดว้ ยตนเอง จากคู่มอื นกั ศกึ ษาและแหลง่ เรียนรู้ 2. ให้ผู้เรยี นช่วยกันวเิ คราะหเ์ นือ้ หาความยากง่ายของหลกั สูตรท่จี ะเรยี นในเทอมน้ี เพือ่ กาหนดแผนการเรยี นรู้ในคร้งั ต่อไปใหก้ ับผู้เรียน ขัน้ ที่ 3 ประเมินผลการเรียนรู้ ให้นักศกึ ษาออกมาเสนอความคดิ เหน็ ในสง่ิ ท่ีได้เรียนรู้ไปในรายวิชาต่างๆ ขั้นที่ 4 มอบหมายงานในสัปดาหต์ อ่ ไป-บันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ (คร/ู ผเู้ รยี น) 5.สอื่ และอุปกรณ์ 5.1 คู่มือนกั ศกึ ษา 5.2 แบบ กรต. 6.การวัดผลประเมินผล การนาเสนอหน้าชน้ั เรียน
แผนการจดั การเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ ความหมาย ความสาคญั ของการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง รหสั วิชา ทร21001 รายวชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 เร่อื ง การเรียนรดู้ ้วยตนเอง ระยะเวลา 6 ชัว่ โมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรคู้ วามเขา้ ใจตระหนกั ถงึ ความสาคัญ ความหมาย เก่ยี วกบั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง สามารถนามา ปรบั ใช้ในการดารงชวี ติ 2.ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง บอกความหมาย ตระหนกั และเห็นความสาคญั ของการเรียนรดู้ ้วยตนเอง 3.สาระสาคญั มีความรคู้ วามเข้าใจตระหนักถึงความสาคญั ความหมาย เก่ียวกบั การเรยี นรู้ด้วยตนเอง สามารถนามา ปรบั ใชใ้ นการดารงชวี ติ 4.สาระการเรยี นร/ู้ เน้อื หา 1. ความหมาย ความสาคญั ของการเรียนร้ดู ้วยตนเอง 2. การกาหนดเปาู หมายและการวางแผนการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 3. ทกั ษะพ้นื ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแก้ปญั หา และเทคนิคในการเรียนร้ดู ้วย ตนเอง 4. ปัจจัยท่ที าให้การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองประสบความสาเร็จ 5. การวางแผนการเรียนรู้ และ การประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 6. การฝึกทกั ษะวางแผนการเรยี นรแู้ ละการประเมินผลการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การวจิ ารณ์ 5.จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. บอกความหมาย ตระหนกั และเหน็ ความสาคญั ของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 2. มีทกั ษะพ้ืนฐานทางการศกึ ษาหาความรู้ ทกั ษะการแก้ปญั หา และเทคนิคในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 3. อธิบายปัจจัยที่ทาใหก้ ารเรียนรูด้ ว้ ยตนเองประสบความสาเรจ็ 4. สามารถวางแผนการเรียนรู้และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองได้ 6.กระบวนการจดั การเรียนรู้ ONIE MODEL ขั้นท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1.1 ครวู ัดระดบั ความพรอ้ มการเรียนรู้ด้วยตนเองของผเู้ รียนแตล่ ะคน โดยใช้แบบประเมินตนเอง กอ่ นเรียน ครูอธบิ ายวธิ กี ารตอบแบบประเมินตนเอง และการวเิ คราะห์สรุปผลการประเมิน
(ตวั อย่างแบบประเมิน) รายการคาถาม ความคิดเหน็ มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย ทสี่ ุด กลาง ทส่ี ดุ 1. ข้าพเจ้าต้องการเรยี นร้อู ยู่เสมอตราบชัว่ ชวี ติ 2. ข้าพเจ้าทราบดวี ่าข้าพเจ้าตอ้ งการเรียนอะไร 3. เมอื่ ประสบกับบางสิง่ บางอยา่ งที่ไมเ่ ขา้ ใจ ขา้ พเจ้าจะหลีกเลยี่ งไป จากสง่ิ น้นั 4. ถา้ ขา้ พเจ้าตอ้ งการเรยี นร้สู ิ่งใด ข้าพเจา้ จะหาทางเรยี นรใู้ ห้ได้ 5. ข้าพเจ้ารกั ทจี่ ะเรยี นร้อู ยเู่ สมอ 6. ข้าพเจา้ ตอ้ งการใชเ้ วลาพอสมควรในการเรมิ่ ศกึ ษาเรือ่ งใหม่ ๆ 7. ในชน้ั เรียนขา้ พเจา้ หวังทจี่ ะให้ผ้สู อนบอกผูเ้ รียนท้งั หมดอย่าง ชัดเจนวา่ ต้องทาอะไรบา้ งอยู่ตลอดเวลา ตารางการวิเคราะห์ผลการประเมิน รอยคะแนน ผลรวม คะแนน ระดบั ความ 1 คิดเห็น 3 มาก / 2 ทส่ี ุด 1 มาก /// - ปาน // กลาง น้อย / น้อย ท่สี ุด จากผลรวมคะแนนตามตารางการวิเคราะห์ ผลการประเมินข้างต้น ผ้เู รียนคงทราบแล้ววา่ ทา่ นมีระดบั ความพร้อมของการเรียนรู้ด้วยตนเอง อยใู่ นระดบั มาก .
1.2 ครูตรวจสอบผ้เู รยี นทม่ี คี วามพรอ้ มในแต่ละระดับ โดยการใหย้ กมือ เช่น ระดับดมี าก มจี านวนก่คี น เปน็ ต้น จากนัน้ ครูแนะนาเพมิ่ เตมิ กรณที มี่ ีความพร้อมต่ากว่าระดับปานกลาง ผูเ้ รียนควรขยันมากขึ้น เพราะการศกึ ษา กศน. มีความจาเปน็ ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสว่ นใหญ่ ข้ันท่ี 2. แสวงหาขอ้ มลู และจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้(N : New ways of learning) ครูมอบหมายให้ผู้เรียนศกึ ษาใบความรู้เร่ือง “การเรียนรู้ด้วยตนเอง” เพอ่ื นาไปใช้ในกจิ กรรม “การเรียนรู้ดว้ ยตนเองนน้ั สาคญั ไฉน” (เป็นกิจกรรมขั้นที่ 3) ขั้นที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 3.1. ครูแบง่ กลุ่มผู้เรยี นโดยใชว้ ิธีการนับเลข เช่น นบั 1 ถงึ 10 แลว้ จดั ให้คนท่ีนับเลข เดียวกนั อย่นู กลมุ่ เดยี วกัน (สามารถปรับเปล่ียนไดต้ ามจานวนผู้เรียน) 3.2. ตวั แทนกลมุ่ ออกมารบั ใบงานเรอ่ื ง “การเรียนรูด้ ้วยตนเองน้ัน สาคัญไฉน” และวัสดุ อุปกรณ์สาหรบั การทากิจกรรม ประกอบดว้ ย กระดาษบรู๊ฟ ปากกาเคมี กระดาษหนา้ สอง 3.3. ครชู แ้ี จงรายละเอยี ดการทากจิ กรรม “การเรยี นรดู้ ้วยตนเองนนั้ สาคัญไฉน” ดังนี้ 3.1.1 ให้ผเู้ รียนแตล่ ะคนเขียนความสาคญั ของการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองลงในกระดาษ หนา้ สอง (เขยี นไดม้ ากกวา่ 1 ขอ้ ) 3.1.2 ตัวแทนกลุ่มอ่านความสาคัญแตล่ ะข้อใหส้ มาชิกในกล่มุ ฟงั 3.1.3 แตล่ ะกลุ่มเขยี นความสาคญั ของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองลงในกระดาษบรฟู๊ (กรณีที่มีขอ้ ซ้ากันหรือคล้ายกัน ให้ตดั ออก) 3.1.4 แตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการระดมความคิดเรอื่ งการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองนัน้ สาคญั ไฉน กลมุ่ ละ 15-20 นาที 3.1.5 ผเู้ รยี นทุกคน สรุปองค์ความรู้ท่ีได้รับจากการทากิจกรรม “การเรยี นรู้ด้วย ตนเองนั้น สาคัญไฉน” ลงในใบงาน “การเรยี นรู้ด้วยตนเองนั้น สาคญั ไฉน” เป็นรายบุคคล ขัน้ ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 4.1. สงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรม 4.2. ใบงาน 7. แผนการจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ค้นควา้ หาความรูเ้ พ่ิมเติมดงั น้ี 1.ศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหา และเทคนคิ ในการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง 2. อธิบายปจั จัยท่ที าให้การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองประสบความสาเรจ็ 3. สามารถวางแผนการเรยี นรู้และการประเมินผลการเรียนร้ดู ว้ ยตนเองได้ 8. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 สบื คน้ ใน Internet 8.2 หนงั สอื แบบเรยี นรายวชิ า ทร21001 รายวิชา ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้ 8.4 สอ่ื สิง่ พมิ พ์ 9. กระบวนการวัดผลประเมินผล 9.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผล 9.1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่
9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผ้เู รียนรายบคุ คล 9.2 เครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝกึ หัด . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลมุ่ 9.2.4 การสงั เกตพฤตกิ รรมการมสี ว่ นรวม
ชื่อ.................................................................ร..ห. ัสนักศึกษา........................................ม...ต้น ใบงาน วิชาทกั ษะการเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอื่ งการเรียนรดู้ ้วยตนเอง 1.ความหมายของการเรยี นรู้ด้วยตนเอง หมายถงึ ............................................................................................................................................................................ ................................................................................... ......................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................. ......................................................................................................................................................... .................. 2.ความสาคญั ของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง แบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น คอื 1......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ 2.......................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................ 3.เทคนคิ ท่ีนิยมใชใ้ นการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง คือ 1………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………….…………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.ห้องสมดุ ประชาชนทุกประเภท มวี ตั ถปุ ระสงค์สาคัญ คอื .............................................................................. .............................................................................................. ........................................................................................................................................................................... 5.ปัจจัยภายในในการเรยี นรดู้ ้วยตนเองของผเู้ รยี น มี4 ขอ้ คอื ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6.ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีคณุ ลกั ษณะ8 ประการ คอื .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................... ................ ...................................................................................................................................................................... ................................................................. ........................................................................................................ ..................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 7.ปัจจยั ภายนอกในการเรยี นรู้ด้วยตนเองของผเู้ รยี น มี3 ขอ้ คอื ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจดั การเรยี นรู้ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ สามารถวางแผนการเรยี นรู้ และการประเมนิ ผลการใช้แหลง่ เรยี นรู้ รหสั วิชา ทร21001 รายวิชา ทกั ษะการเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง การใช้แหล่งเรียนรู้ ระยะเวลา 6 ชัว่ โมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ อธบิ ายความหมาย ความสาคญั ของการใช้แหลง่ เรียนรู้ 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวัง สามารถวางแผนการเรียนรู้และการประเมินผลการใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ 3.สาระสาคญั อธบิ ายและสามารถวางแผนการเรียนรแู้ ละการประเมินผลการใช้แหลง่ เรยี นรู้ 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนอ้ื หา 1.ความหมาย ความสาคัญ ของการใช้หอ้ งสมดุ อาเภอ 2.การเขา้ ถึงสารสนเทศของหอ้ งสมดุ ประชาชน 3.แหลง่ เรียนรู้ หอสมุดแห่งชาติ หอสมดุ วิทยาลยั /มหาวิทยาลยั หอ้ งสมดุ เฉพาะ ห้องสมุดโรงเรยี น พพิ ิธภัณฑ์ อุทยานแห่งชาติ แหลง่ เรียนรสู้ าคญั อน่ื ๆ ในประเทศ 4.การใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ การเข้าถงึ ขอ้ มูลสารสนเทศที่ตอ้ งการและสนใจ 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1 อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ ของการใช้หอ้ งสมุดอาเภอ 2 อธบิ ายการเขา้ ถงึ สารสนเทศของห้องสมุดประชาชน 3 อธิบายแหล่งเรียนรู้ หอสมดุ แห่งชาติ หอสมุดวิทยาลัย/มหาวทิ ยาลยั ห้องสมดุ เฉพาะหอ้ งสมุด โรงเรียน พิพิธภัณฑ์ อทุ ยานแห่งชาติ แหลง่ เรยี นร้สู าคญั อ่นื ๆ ในประเทศ 4 อธบิ ายและปฏิบัตกิ ารใชอ้ ินเทอร์เนต็ และการเขา้ ถงึ ขอ้ มูลสารสนเทศที่ตอ้ งการและสนใจ 6.กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ONIE MODEL ขน้ั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1.1. ครอู ธิบายความหมาย ความสาคัญและสรปุ ร่วมกับผเู้ รยี นเรอ่ื งแหลง่ เรยี นรปู้ ระเภทตา่ งๆ 1.2. ครใู ห้ผูเ้ รยี นทาแบบประเมนิ ตนเองก่อนเรยี น 1.3. ครแู จกใบความรู้ “ การใช้อินเทอรเ์ น็ต” และใหผ้ เู้ รียนทาใบงาน เร่อื งความแตกต่าง ระหวา่ งหอ้ งสมุดกบั แหลง่ เรียนรู้ผา่ นาเคยรอือนิ ขเ่ทอร์เน็ต และบอกข้อดขี ้อเสยี ของอนิ เทอร์เน็ตนาเสนอหน้าชั้นเรียน 1.4. ให้ครแู ละผูเ้ รียนสืบค้นข้อมูลจากอินเทอรเ์ นต็ ในหวั ขอ้ ท่ีสนใจ สรุปเปน็ รายงานส่งครู พรอ้ มทัง้ เขียนเสน้ ทางการสืบค้น ข้ันท่ี 2. แสวงหาข้อมลู และจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้(N : New ways of learning) 2.1. ใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาค้นคว้าเกยี่ วกับความหมายและความสาคัญของแหลง่ เรยี นรูจ้ ากหนงั สอื เรียน ระดบั มัธยมศึกษา 2.2. ให้ผู้เรยี นบอกถงึ ความแตกตา่ งระหว่างห้องสมุด กับอินเทอร์เน็ต
2.3. ให้ผเู้ รยี นบอกถงึ ความสาคัญของอนิ เทอรเ์ นต็ ว่ามคี วามสาคัญกับตวั ผู้เรียนในด้านใดบ้าง และ สามารถนาไปใชป้ ระโยชนส์ าหรับชมุ ชนของตนเองได้อยา่ งไร ข้ันท่ี 3 การปฏบิ ัติและการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (I : Implementation) 3,1. ครูสรปุ ความคิดรวบยอดกับผเู้ รยี นเก่ยี วกบั เนอ้ื หา การจดั การแหล่งเรยี นรู้ 3.2.ครแู ละผูเ้ รียนรว่ มกนั ประเมนิ ความรู้ ความเขา้ ใจและทกั ษะการนาไปใช้ตามเกณฑ์ทกี่ าหนดไว้ 3.3. ใหผ้ ูเ้ รยี นศึกษาค้นควา้ เรื่องศาสนสถานเพ่ิมเตมิ จากอนิ เทอรเ์ นต็ 3.4. ใหผ้ ู้เรยี นแตล่ ะคนไปสารวจวดั โบสถ์ และมัสยดิ ท่อี ย่ใู นชุมชน ตาบล เขยี นประวัติ ความเป็นมาความสาคญั สงิ่ ทจ่ี ะเรียนรู้ไดจ้ ากวัดโบสถ์และมัสยิดจดั ทาเป็นรายงานสง่ ครู ข้ันที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 4.1. สังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรม 4.2. ใบงาน 7. แผนการจดั การเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรเู้ พมิ่ เติมดังน้ี 1 อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ ของการใช้หอ้ งสมุดอาเภอ 2 อธบิ ายการเขา้ ถงึ สารสนเทศของห้องสมุดประชาชน 3 อธบิ ายแหล่งเรียนรู้ หอสมุดแห่งชาติ หอสมดุ วิทยาลัย/มหาวทิ ยาลยั ห้องสมดุ เฉพาะ หอ้ งสมดุ โรงเรียน พิพิธภัณฑ์ อทุ ยานแหง่ ชาติ แหลง่ เรียนรสู้ าคัญอ่ืน ๆ ในประเทศ 4 อธบิ ายและปฏิบัตกิ ารใชอ้ นิ เทอร์เนต็ และการเข้าถงึ ขอ้ มลู สารสนเทศทีต่ อ้ งการและสนใจ 8. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 สืบค้นใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรยี นรายวชิ า ทร21001 รายวิชาทักษะการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือส่งิ พมิ พ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผล 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ 9.1.2 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานของผู้เรียนรายบุคคล 9.2 เครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล . 9.2.1 แบบฝึกหัด . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกล่มุ 9.2.4 การสงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นรวม
ชอื่ ........................... .....................................ร..หัสนักศึกษา........................................ม...ต้น ใบงาน วิชาทกั ษะการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ืองการใช้แหล่งเรียนรู้ 1.สถานทใี่ ดทจี่ ดั ว่าเป็นแหลง่ เรยี นรู้ บอกมา6 สถานที่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.อินเทอร์เนต็ คอื อะไร ......................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................... ................................................. 3.ความสาคัญของอนิ เทอร์เนต คือ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.หอ้ งสมดุ เฉพาะ หมายถึง .................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... 5.พพิ ธิ ภณั ฑ์ แบง่ ออกเป็น 6 ประเภท คอื .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... .
แผนการจดั การเรียนรู้ ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ อธบิ ายความหมาย ความสาคญั หลักการ กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุ่มเพือ่ ต่อ ยอดความรู้ การพฒั นาขอบข่ายความรูข้ องกลุ่ม และการจัดทาสารสนเทศเผยแพรค่ วามรู้ รหสั วชิ า ทร21001 รายวิชา ทักษะการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 เรือ่ ง การจดั การความรู้ ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ ยอด อธิบายความหมาย ความสาคญั หลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลมุ่ เพื่อต่อ ความรู้ การพัฒนาขอบขา่ ยความรู้ของกลุ่ม และการจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 2.ผลการเรยี นรูท้ ่ีคาดหวงั สามารถความหมาย ความสาคญั หลกั การ กระบวนการจัดการความรู้ การรวมกลุ่มเพอ่ื ตอ่ ยอด ความรู้ การพฒั นาขอบขา่ ยความรขู้ องกลมุ่ และการจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 3.สาระสาคัญ ความหมาย ความสาคัญ หลักการ กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกล่มุ เพื่อตอ่ ยอด ความรู้ การ พฒั นาขอบข่ายความรขู้ องกลุ่ม และการจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนือ้ หา ความหมาย ความสาคัญ หลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุ่มเพอื่ ตอ่ ยอดความรู้ การ พฒั นาขอบข่ายความรู้ของกลมุ่ และการจัดทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1 อธิบายความหมาย ความสาคญั ของการพัฒนาขอบขา่ ยความรขู้ องกลุ่ม และการจัดทาสารสนเทศ เผยแพร่ความรู้ 2 อธบิ ายหลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ ของการพฒั นาขอบขา่ ยความรขู้ องกลมุ่ และการจัดทา สารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 3 อธบิ ายการรวมกลุม่ เพอ่ื ต่อยอดความรู้ การพฒั นาขอบข่ายความร้ขู องกลุม่ และการจัดทา สารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ขัน้ ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1. ครูและผู้เรยี นร่วมกันกาหนดสภาพความจาเป็นทตี่ ้องเรยี นร้ใู นเร่ืองตอ่ ไปน้ี 1.1 ความหมาย ความสาคญั 1.2 หลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ 1.3 การรวมกล่มุ เพือ่ ตอ่ ยอดความรู้ 1.4 การจัดทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 2. ครแู ละผเู้ รยี นทาความเขา้ ใจสภาพปญั หาความตอ้ งการในการเรียนรใู้ หผ้ ู้เรยี นซกั ถาม แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ เช่ือมโยงความรู้ใหม่ 3. ครใู หผ้ ้เู รียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น
ขน้ั ท่ี 2. แสวงหาข้อมลู และจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 2.1 ครูและผู้เรยี นร่วมแสดงความคดิ เห็นเรื่อง ความหมายของการจัดการเรียนรู้ ประเภทของ ความรู้ ความสาคัญของการจดั การเรียนรู้ หลักการของการจดั การความรู้ - ครูยกตวั อย่างรปู แบบและกระบวน การจดั การความรู้การรวมกลุ่มเพ่อื ต่อยอดความรู้ การจัดทาสารสนเทศเผยแพร่ โดยศึกษาเพม่ิ เติมจากใบความรู้ ประเภทความรซู้ ึง่ แบ่งได้เป็น 2 คือ - ครูยกตัวอยา่ งรูปแบบและกระบวน การจัดการความรู้การรวมกลมุ่ เพอื่ ต่อยอดความรู้ การจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ โดยศกึ ษาเพ่ิมเติมจากใบความรู้โมเดลปลาทูและโมเดลปลาตะเพยี น รูปแบบการจัดการความรูต้ าม “โมเดลปลาท”ู โมเดลปลาตะเพยี น รูปแบบการจัดการความรูต้ าม “ปลาตะเพยี น” 2.2 ครูแบง่ กลมุ่ ผู้เรยี นเป็น 2 กลมุ่ และมอบหมายใหอ้ ธบิ ายรปู แบบและกระบวนการจัดการเรียนรู้ การรวมกลุ่มเพอ่ื ต่อยอดความรู้ การจัดทาสารสนเทศเผยแพร่ความรูห้ ัวข้อประชาคมอาเซยี นและเศรษฐกิจ พอเพียงโดยใช้โมเดลปลาทูและปลาตะเพียนลงกระดาษบรู๊ฟ
ข้ันที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 3.1 ผ้เู รยี นเปรียบเทียบความร้เู ด่นชดั และความรูฝ้ ังลึกลงบนกระดาษ 3.2 ผเู้ รยี น 2 กลุ่มนาเสนอ กระบวนการจดั การเรียนรู้ การรวมกลุ่มเพ่ือต่อยอดความรู้ การจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ความรหู้ วั ขอ้ ประชาคมอาเซียนและเศรษฐกิจพอเพยี งโดยใช้โมเดลปลาทูและปลา ตะเพยี นโดยเขียนลงกระดาษบรูฟ๊ 3.3 ครแู ละผเู้ รยี นสรุปเน้ือหาทน่ี าเสนอร่วมกนั ขนั้ ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรม 2. ใบงาน 7. แผนการจดั การเรียนรู้ด้วยตนเอง คน้ ควา้ หาความรเู้ พ่ิมเติมดงั นี้ 1 อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ ของการพัฒนาขอบข่ายความร้ขู องกลุ่ม และการจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ ความรู้ 2 อธิบายหลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ ของการพัฒนาขอบขา่ ยความรู้ของกลุ่ม และการ จัดทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 3 อธิบายการรวมกลุม่ เพ่อื อตย่ อดความรู้ การพฒั นาขอบข่ายความร้ขู องกลุ่มและการจัดทาสารสนเทศ เผยแพร่ความรู้ 8. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สบื คน้ ใน Internet 8.2 หนังสอื แบบเรยี นรายวิชา ทร21001 รายวิชา ทกั ษะการเรียนรู้ ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 สือ่ สง่ิ พมิ พ์ 9. กระบวนการวัดผลประเมินผล 9.1 วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล 9.1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานของผ้เู รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวัดและประเมินผล . 9.2.1 แบบฝกึ หัด 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลมุ่ 9.2.4 การสงั เกตพฤตกิ รรมการมสี ว่ นรวม
ชอ่ื .................................................................รหสั นักศึกษา........................................ม...ต้น ใบงาน วิชาทักษะการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 เรอ่ื งการจดั การความรู้ 1.อธบิ ายความหมายของ “การจดั การความร”ู้ .................................................................. ....................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 2.อธบิ ายความสาคัญของ “การจัดการความร”ู้ ..................................................................................................... .................................................................. ...................................................................................................................................................................... ........... .......................................................................................................................................................... ..................................................................................................................... ............................................... 3.อธบิ ายหลักการของ “การจดั การความร”ู้ ..................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ................................................ .......................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 4.ยกตวั อย่างอาชพี ท่ีตนเองทาอยู่ และอธิบายกระบวนการ/ขั้นตอนการจัดการความรู้ด้วยตนเอง ว่ามกี ่ี ขัน้ ตอน อะไรบ้าง ...................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................... .
แผนการจัดการเรยี นรู้ ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ มีทกั ษะพนื้ ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทักษะการแกป้ ญั หา และเทคนคิ ในกระบวนการ คิดเปน็ รหสั วิชา ทร21001 รายวิชา ทักษะการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 4 เรอ่ื ง การคดิ เป็น ระยะเวลา 6 ชว่ั โมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ มีทกั ษะพนื้ ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ญั หา และเทคนคิ ในกระบวนการคดิ เปน็ 2.ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวงั บอกความหมาย ความสาคัญ กระบวนการคดิ การแกป้ ัญหาอยา่ งคนคดิ เป็น 3.สาระสาคญั มที ักษะพน้ื ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหา และเทคนิคในกระบวนการคดิ เปน็ 4.สาระการเรยี นร/ู้ เน้อื หา 1. ความเช่อื พ้นื ฐานทางการศกึ ษาผูใ้ หญ่/การศึกษานอกระบบ 5 ประการโดยสรุป 2. ปรัชญาคิดเปน็ 2.1 ความหมาย ความสาคัญ 2.2 ศัพท์เฉพาะ 2.3 การเช่ือมโยงความเชอื่ พนื้ ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่/กศน.สูป่ รัชญาคดิ เปน็ 3. กระบวนการคิดการแกป้ ัญหาอยา่ งคนคิดเปน็ ในรายละเอียดพร้อมตัวอยา่ งการนาไปใชใ้ นวถิ กี าร ดาเนนิ ชวี ติ จรงิ 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธบิ ายไดถ้ ึง ความเช่ือพนื้ ฐานทางการศกึ ษาผูใ้ หญ่/กศน.และเชอ่ื มโยงมาส่กู ระบวนการคิดเปน็ 2. อธิบายลักษณะของข้อมูลวิชาการวชิ าการ ตนเองและสังคมส่งิ แวดลอ้ ม รวมทั้งการเปรียบเทยี บ เพ่ือใหเ้ หน็ ความแตกต่างของขอ้ มูลท้งั 3 ประการ 3. อธบิ ายถงึ การฝกึ ปฏบิ ัติการคิดเป็นจากกรณีตวั อย่างถึงกระบวนการคิดการแก้ปัญหาอยา่ งคนคิด เป็น 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ขนั้ ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) ครแู บง่ กลุ่มผเู้ รียนออกเป็น 2 – 3 กลุ่มย่อย ให้ผเู้ รียนเลือกประธานกลมุ่ และเลขานุการกลุ่ม เพ่ือเปน็ ผนู้ าอภปิ รายและผูจ้ ดบันทึกผลการอภปิ รายของกลมุ่ และนาผลการอภปิ รายของกลุม่ เสนอต่อท่ีประชุม กลุม่ ใหญ่ ครูนาเสนอกรณีตวั อย่างพรอ้ มประเด็นอภิปรายให้ผ้เู รียนทุกกลมุ่ ย่อย อภิปรายถกแถลงเพ่อื หาคาตอบ ตามประเด็นทก่ี าหนดให้ครูติดตามสงั เกตเหตุผลของกลุ่ม หากข้อมูลยงั ไมเ่ พยี งพอครอู าจชแ้ี นะใหอ้ ภิปรายเพ่มิ เตมิ ในส่วนของข้อมูลทยี่ งั ขาดอยู่ได้ เลขานุการกลมุ่ ซ่ึงอาจะมไี ด้ 1 – 2 คน บนั ทกึ ผลการพิจารณาหาคาตอบตาม ประเด็นทกี่ าหนดใหเ้ ป็นคาตอบสน้ั ๆ เพียงใหไ้ ด้ใจความ แลว้ นาคาตอบนน้ั ๆ ไปรายงานในทีป่ ระชุมกล่มุ ใหญ่
ข้ันท่ี 2. แสวงหาขอ้ มูลและจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 2.1 ครแู ละผเู้ รยี นร่วมกนั เสนอกรณตี วั อย่าง การตัดสินใจดว้ ยกระบวนการคิดเปน็ และ รว่ มกนั รวบรวมขอ้ มลู ทง้ั 3 ดา้ น บนั ทกึ ลงไว้ในแบบฟอรม์ จาแนกข้อมลู จากนน้ั ใหช้ ว่ ยกนั ฝกึ การวิเคราะห์และ สังเคราะหข์ ้อมลู กาหนดทางเลือกในการตดั สนิ ใจ 2 – 3 ทางเลือกทเ่ี หมาะสมและเป็นไปได้ แล้วเลือก 1 ทางเลือก ในการตดั สินใจ ใหเ้ หตุผลประกอบการตดั สนิ ใจลงในแบบฟอรม์ ที่กาหนด 2.2 ครูกับผเู้ รยี นศึกษากรณีตวั อยา่ ง เร่อื ง “สู้ไหม” แล้วร่วมกันถกแถลงอภิปรายถงึ เหตผุ ลท่ี ใช้ในการตดั สินใจแก้ปญั หาวิกฤติตามประเด็นท่ีกาหนดให้ ครแู ละผ้เู รยี นรว่ มกันบันทึกข้อมลู ลงในแบบบนั ทกึ หรอื ฝึกปฏบิ ัตกิ ารจาแนกขอ้ มูลท้ัง 3 ด้านท่ีจะนามาใช้ประกอบการคิด การตัดสนิ ใจ 2.3 ครูกบั ผู้เรียนศกึ ษากรณีตัวอยา่ งเร่อื ง “เหตุเกดิ ท่โี นนหมากมุ่น” แล้วครกู ับผูเ้ รียนร่วมกนั ถกแถลงถึงเหตผุ ลท่ใี ชใ้ นการตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาวกิ ฤตติ ามประเดน็ ทีก่ าหนดให้ ครแู ละผู้เรยี นรว่ มกันบันทกึ ข้อมูลลงในแบบบันทกึ เพอื่ ฝกึ ปฏบิ ตั ิการจาแนกขอ้ มูลทัง้ 3 ดา้ น ทจ่ี ะนามาใชป้ ระกอบการคิด การตดั สินใจ แก้ปญั หา 2.4 ให้ครูและผ้เู รยี นร่วมกนั เสนอกรณตี ัวอย่าง การตดั สนิ ใจด้วยกระบวนการคดิ เป็น และ ร่วมกันรวบรวมข้อมูลท้งั 3 ดา้ น บนั ทึกลงไว้ในแบบฟอร์มจาแนกขอ้ มลู จากนั้นให้ช่วยกนั ฝกึ การวเิ คราะห์และ สงั เคราะห์ข้อมูล กาหนดทางเลอื กในการตัดสินใจ 2 – 3 ทางเลือกท่ีเหมาะสมและเปน็ ไปได้ แลว้ เลือก 1 ทางเลอื กในการตดั สินใจ ใหเ้ หตผุ ลประกอบการตดั สินใจลงในแบบฟอร์มที่กาหนด ขน้ั ที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) ครูสรุปให้ผเู้ รยี นเข้าใจวา่ การคิดการแกป้ ัญหาต่าง ๆ ผ้แู กป้ ัญหาจะมีการนาข้อมลู มา ประกอบการคดิ อย่างน้อย 3 ประการ เสมอ คือ ข้อมูลวิชาการ ขอ้ มลู ตนเอง และขอ้ มูลสังคมสง่ิ แวดล้อม อาจมีคนคดิ ถงึ ข้อมูลดา้ นอื่น ๆ อีกก็ได้ แต่จะมีขอ้ มูลหลกั ยืนยัน 3 ประการเสมอ การคดิ แก้ปญั หานน้ั จงึ จะ รอบคอบและพอใจ ถา้ ยงั ไม่พอใจกต็ อ้ งกลบั ไปคิดถึงปญั หาและข้อมูลท่นี ามาคดิ แกไ้ ข พยายามคดิ หาขอ้ มูล เพิม่ เติมแต่ละด้านให้มากข้ึน จนพอเพียงที่จะใช้แกป้ ญั หาจนพอใจกถ็ อื วา่ การคดิ การแกป้ ัญหาน้ันเสร็จส้ิน ด้วยดี ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล 2. การสงั เกตจากการนาเสนอ 3. การซักถามผเู้ รียน 4. ใบงาน 7. แผนการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ค้นควา้ หาความรเู้ พิ่มเติมดังน้ี 1. อธิบายความหมาย ความสาคัญ ของกระบวนการคิดเปน็ 2. อธิบายการมที ักษะพืน้ ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทักษะการแกป้ ัญหา และเทคนคิ ใน กระบวนการคิดเปน็ 8. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สบื ค้นใน Internet 8.2 หนงั สอื แบบเรยี นรายวิชา ทร21001 รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้
8.4 ส่ือสิ่งพมิ พ์ 9. กระบวนการวัดผลประเมนิ ผล 9.1 วิธีการวัดและประเมนิ ผล . 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกล่มุ 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผู้เรียนรายบคุ คล 9.2 เครือ่ งมือวัดและประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลมุ่ 9.2.4 การสงั เกตพฤตกิ รรมการมีส่วนรวม
ช่อื .................................................................ร..ห. ัสนกั ศึกษา........................................ม...ตน้ ใบงาน วิชาทกั ษะการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 4 เรอื่ งการคดิ เปน็ ใบงานท่ี 1 “สไู้ หม” ผมตกใจสะด้งุ ตนื่ ขึ้นเมื่อเกิดเสยี งเอะอะ พอลืมตาขึน้ มา เห็นทกุ คนยืนกันเกือบหมดรถ “ทกุ คนน่ังลง อยนู่ ่งิ ๆ อยา่ เคลือ่ นไหวไม่งนั ยิงตายหมด” เสียงตวาดล่ันออกมาจากปากของเจ้าชายหน้าเหีย้ ม คอสน้ั ท่ียืนอยู่ หนา้ รถ กาลงั ใช้ปืนจ่ออยทู่ ค่ี อของคนขับผมรู้ทนั ทวี า่ รถทัวรท์ ี่ผมโดยสารคนั นีถ้ ูกเล่นงานโดยเจ้าพวกวายร้าย แน่ หนั ไปดดู ้านหลัง เห็นไอ้วายรา้ ยอกี คนหนง่ึ ถอื ปนื จังก้าอยู่ ผมใช้มืออนั สนั่ เทาล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง คลา .38 เห่าไฟของผมซง่ึ ซอ้ื ออกมาจากรา้ นเม่อื บา่ ยนี้เอง นกึ ในใจวา่ “โธเ่ พ่ิงซ้ือเอามายงั ไม่ทนั ยงิ เลย เพยี งใส่ ลูกเตม็ เท่าน้ันเองกจ็ ะถกู คนอ่นื เอาไปเสียแล้ว”เสยี งเจ้าตาพองหน้ารถตะโกนขบู่ อกคนขบั รถ “หยดุ รถเดีย๋ วน้ี มงึ อยากตายโหงหรือไง” ผมนกึ ในใจว่า เด๋ียวพอรถหยดุ มนั คงต้องให้เราลงจากรถแล้วกวาดกนั เกลย้ี งตัว แต่ผม ตอ้ งแปลกใจแทนท่รี ถจะหยดุ มันกลับย่ิงเรว็ ข้นึ ทกุ ที ทุกที ยิง่ ไปกว่านนั้ รถกลับส่ายไปมาเสียด้วย ไอพ้ วกมหา โจรเซไปเซมา แตเ่ จ้าตาพอยังไม่ลดละ แมจ้ ะเซออกไปมนั ก็กลบั ว่งิ ไปยืนประชิดคนขับอกี พร้อมตะโกนอยู่ ตลอดเวลา “หยดุ โว้ย หยดุ ไอน้ ่ี กูลงไปไดล้ ะมึง จะเหยียบใหค้ าสน้ ทเี ดยี ว” รถคงตะบงึ ไปตอ่ คนขับบ้าเลือด เสียแล้ว ผมไม่แน่ใจวา่ เขาคิดอย่างไร ขณะนัน้ ผมกวาดสายตาเห็นผู้ชายทน่ี ง่ั ถัดไปทางมา้ นง่ั ด้านซ้าย เป็น ตารวจยศจ่ากาลงั จ้องเขมง็ ไปท่ไี อว้ ายร้ายและถดั ไปอีกเปน็ ชายผมสั้นเกรียนอกี 2 คน ใส่กางเกงสกี ากี และสี ขม้ี ้า ผมเขา้ ใจว่าคงจะเป็นตารวจหรอื ทหารแน่ กาลังเอามอื ลว้ ง กระเป๋ากางเกงอยู่ทัง้ สองคนบรรยากาศตอน นนั้ ชา่ งเครยี ดจรงิ ๆ ไหนจะกลวั ปลน้ ถกู ยิง ไหนจะกลวั รถคว่า ทกุ คนเกรง็ ไปหมด ทุกสง่ิ ทกุ อยา่ งถงึ จดุ วิกฤต แล้ว ประเดน็ : นศ.จะสู้หรอื จะยอม เพราะอะไร ................................................................................. ........................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ใบงานที่ 2 “เหตุเกดิ ท่โี นนหมากมุ่น” ผมสบิ ตรีมั่น มีเขยี น ประจาอยู่ ร.พัน 11 ขณะน้ปี ฏบิ ตั กิ ารอยู่ทอี่ รญั ประเทศ คนื น้นั ผมกบั เพือ่ นอยู่ หมวดลาดตระเวน เราจะตอ้ งแบง่ กนั ออกลาดตระเวนเปน็ หมู่ ๆ ในขณะท่เี รารออยูใ่ นบังเกอร์ บางคนก็นัง่ บาง คนกเ็ อนนอน ... คยุ กันอย่างกระซบิ กระซาบ เสยี งปนื ดงั อยเู่ ป็นจงั หวะไมไ่ กลนกั เราจะตอ้ งออกลาดตระเวน ตรวจดูวา่ พวกข้าศึกท่ชี ายแดนจะรกุ ล้าเขา้ มาหรือไม่ เราไม่เคยนึกดอกครับวา่ ทหารญวนกับเขมรเสรีที่กาลงั ต่อสกู่ ันนัน้ จะรกุ ล้าเขา้ มาในเขตของเราแมเ้ ขากาลงั รบติดพนั กนั อยู่ พอได้เวลาหม่ขู องเราต้องออกไปลาดตระเวน เดอื นก็มืด คนั นาทีเ่ ราเหยยี บย่ามานั้น เราเหน็ เปน็ เสน้ ดา ๆ ยดื ยาว... ขา้ งหน้าคอื หมู่บ้านโนนหมากมุ่น เราเดนิ อย่างแนใ่ จว่า จะไมม่ อี ะไรเกิดขึน้ เพราะเราไม่ได้อยู่ท่ีเส้นกัน้ เขตแดน ทนั ใดนั้นเองเสยี งปืนดงั ข้ึน จากข้างซา้ ย จากขา้ งขวา ดเู หมอื นจะมาทั้งสามดา้ น อะไรกนั นี่ เกดิ อะไรข้ึนทบี่ ้านโนนาหมากมุ่น... เราจะ ทาอยา่ งไร ผมคดิ ว่าเสียงปนื มาจากปนื หลายกระบอกจานวนมากกวา่ ปนื เราหลายเท่านัก ผมกระโดดลงในปลัก ควายขา้ งทาง ลูกนอ้ งของผมก็กระโดดตาม ทกุ คนคิดถึงตวั เองกอ่ น หลบกระสุนเอาตวั รอด มือผมกุมปืนไว้ ผม
จะทาอย่างไร สงั่ สู้รึ อาจจะตายหมด ถอยรึ ไมไ่ ด้ ไมไ่ ด้ เราจะถอยไมร่ อด มนั มืดจนไมร่ วู้ า่ เราตกอยู่ใน สถานการณ์อย่างไร เพ่อื นผมล่ะ ผมเปน็ หัวหน้าหมู่ตอ้ งรับผดิ ชอบลกู นอ้ งของผมดว้ ย เราทกุ คนมีปนื คนละ กระบอก มกี ระสนุ จากัด จะสู้ หรือจะถอย ค่ายทหารอยู่ไมห่ า่ งไกลนักช่วยผมทีเถอะครับ ผมต้องรบั ผิดชอบต่อ หนา้ ทลี่ าดตระเวน ผมต้องรบั ผดิ ชอบชีวิตลกู นอ้ งผมทุกคน ผมจะทาอยา่ งไร โปรดช่วยผมตัดสินใจว่า ผมจะส่ัง สหู้ รอื สั่งถอย เพราะอะไร ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................ ................................................................................................................................................... ใบงานที่ 3 “ส้มกับหนุ่ม” นักศกึ ษา กศน. เป็นคนอยู่ในวยั ร่นุ วยั ทางานประกอบอาชีพ เพ่อื เลย้ี งตนเองและครอบครัวเปน็ ส่วน ใหญ่ เป็นคนในวยั ทีจ่ ะต้องพบกับปญั หาท่ตี อ้ งแกไ้ ขอยตู่ ลอดเวลา ย่งิ ในปจั จุบันเทคโนโลยีกา้ วหน้าและ หลงั่ ไหลเขา้ มาอย่างไม่มวี ันหยดุ ยัง้ มีท้ังเรือ่ งดี เจรญิ กา้ วหน้า สะดวกสบาย เปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นา คณุ ภาพชวี ิต แตใ่ นเวลาเดียวกนั กก็ ่อใหเ้ กิดความเดอื ดรอ้ นไมป่ ลอดภยั ต่อชวี ิตและทรพั ยส์ ิน ทาให้ครอบครวั แตกแยกไม่มคี วามสุข การศกึ ษาเลา่ เรยี นท่ลี อกเรียนจากตา่ งประเทศทั้งวชิ าการและวฒั นธรรมท่แี ตกตา่ งโดย ไมม่ ีการปรับให้สอดคล้องกบั ความเป็นไทย ทาให้ยิ่งเรียน ย่ิงมีปญั หาชวี ิตและสงั คม สม้ เปน็ นกั ศึกษา กศน. ทางานเปน็ พนกั งานตอ้ นรบั ของห้างสรรพสนิ คา้ แห่งหนึง่ รู้จักกบั หนุม่ โดยการใช้วธิ ีแชททางอนิ เทอร์เนต็ หนุ่ม ทางานเป็นพนักงานขายในบริษทั หนมุ่ เป็นคนรูปหล่อ เจ้าชู้ มหี ญงิ สาวมาสนใจหลายคน แตห่ น่มุ ก็มีทา่ ทีชอบ ส้มเปน็ พเิ ศษกวา่ คนอนื่ คอยมารบั ส่งสรา้ งความสนิทสนมกับสม้ เป็นพิเศษ แต่กย็ งั ไมเ่ ลิกราจากสาว ๆ คนอ่นื มีไมตรใี ห้เหน็ อย่เู สมอ ทัง้ หนุ่มและส้มคบหากนั มาหลายปี เป็นทีร่ ูเ้ หน็ ของเพื่อน ๆ ทัง้ หนมุ่ และสม้ ในระยะ หลงั ๆ น้ี มชี ายหนุ่มจากท่ีทางานของส้มมีฐานะการงานดีมาชอบสม้ อีกคน ถึงส้มจะไม่ชอบเทา่ หนุ่ม แต่พอใจ ในความรกั เดียวใจเดียวของเขาอย่มู าก เขาไม่ใชค่ นรปู งามแตเ่ ป็นคนนิสัยดี ร้จู ักเกบ็ หอมรอบริบ เป็นทีร่ ักและ ไว้วางใจของเพอ่ื น ๆ ทกุ คน วนั หนง่ึ หน่มุ มาขอสม้ แต่งงาน สม้ มคี วามรสู้ กึ ลังเลวา่ จะยอมรับหนมุ่ หรือไม่ ถ้าท่านเป็นส้ม ทา่ นจะตดั สนิ ใจอยา่ งไร จะยอมรบั แต่งงานกบั หน่มุ หรอื ไม่ เพราะอะไร ใหท้ า่ นระบุ ขอ้ มลู ท้ัง 3 ประการที่หลากหลายและพอเพยี งประกอบการตัดสนิ ใจของทา่ นลงในแบบฟอรม์ ทกี่ าหนด แยกแยะให้เห็นทง้ั ข้อมลู เชิงปริมาณและคุณภาพและหากต้องหาข้อมูลเพ่ิมเตมิ ใหร้ ะบุใหช้ ดั เจนด้วย ขอ้ มูลทางวชิ าการ ข้อมลู เก่ยี วกับตนเอง ข้อมูลเกยี่ วกับสงั คมสง่ิ แวดลอ้ ม
แผนการจดั การเรียนรู้ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ อธิบายความหมาย ความสาคญั การวจิ ยั ในการเขียนโครงการวจิ ัยอย่างงา่ ย รหัสวิชา ทร21001 รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 เรอ่ื ง การวิจยั อยา่ งง่าย ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ อธบิ ายความหมาย ความสาคญั การวิจยั ในการเขยี นโครงการวจิ ยั อยา่ งงา่ ย 2. ผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง บอกความหมาย ความสาคัญการวจิ ยั อยา่ งง่าย กระบวนการและขนั้ ตอนของการดาเนนิ งาน ในการ เขยี นโครงการวจิ ัยอยา่ งงา่ ยๆ 3.สาระสาคญั อธิบายความสาคัญการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย กระบวนการและข้ันตอนของการดาเนินงาน 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนอ้ื หา 1. ความหมาย ความสาคัญการวิจยั อยา่ งง่าย กระบวนการและขัน้ ตอนของการดาเนนิ งาน 2. ฝึกทกั ษะ สถติ งิ า่ ยๆ เพ่อื การวิจยั เครอ่ื งมือการวจิ ัย 3. ฝกึ ทกั ษะในการเขียนโครงการวจิ ัยอยา่ งง่ายๆ 5.จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายความหมาย ความสาคญั การวจิ ยั อย่างง่าย กระบวนการและขนั้ ตอนของการดาเนินงานได้ 2. มีทกั ษะในการใช้สถติ งิ ่ายๆ เพือ่ การวจิ ยั และจดั ทาเคร่อื งมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3. มีทักษะในการเขียนโครงการวิจัยอยา่ งง่ายๆ 6.กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ONIE MODEL ข้ันท่ี 1. กาหนดสภาพปญั หา (O : Orientation) 1.1 ครูใหผ้ เู้ รียนทาแบบประเมนิ ตนเองกอ่ นเรียน ( ใชเ้ วลา 15 นาที ) 1.2 ครอู ธบิ ายและสรปุ ร่วมกบั ผเู้ รยี นนยิ ามความหมายของคาวา่ วิจัยตามความเข้าใจของตนเอง พร้อมออกนาเสนอพรอ้ มสรปุ 1.3 ครแู จกใบความรู้ “ ความสาคัญและประโยชน์ของการทาวิจยั อยา่ งงา่ ย ” 1.4 ครูแจกใบความรู้ “ ขั้นตอนการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ย ” และอธบิ ายให้ผู้เรยี นทาใบงาน เรอื่ ง เขียนปญั หาท่ีต้องการแกไ้ ขมากท่ีสดุ มา 1 ปัญหา พร้อมแนวทางในการแก้ปญั หา และการกาหนดชื่อหวั ขอ้ เรอื่ ง วิจัยจากปัญหาของแตล่ ะคน 1.5 ครูแจกใบความรู้ เรอื่ ง เคร่อื งมอื เกบ็ รวบรวมข้อมลู การทาวิจัยอย่างงา่ ย และเร่อื งสถิติ พ้นื ฐานเพ่อื การวิจัยพร้อมอธบิ าย และแจกใบงานให้ผเู้ รียน 1.6 ครูแจกใบความรู้ เร่ือง การเขียนโครงการวิจัยอยา่ งงา่ ย และแจกใบงานใหผ้ ้เู รียน ฝึก เขียนโครงการวิจยั อยา่ งง่าย และ “ เขยี นรายงานการวจิ ยั และเผยแพร่งานวิจยั ” ขั้นที่ 2. แสวงหาขอ้ มูลและจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้(N : New ways of learning) 2.1 ให้ผูเ้ รยี นระดมสมองหัวข“อ้ นกั วิจัยต้องมคี ณุ สมบตั อิ ยา่ ง”ไรตามความเข้าใจของผู้เรียน
2.2 ให้ผเู้ รียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน แตล่ ะกล่มุ ไปศกึ ษาการเขียนโครงการวิจัยท่สี นใจ แลว้ สรุปใหค้ รอบคลุมหวั ข้อการเขียนโครงการวิจัยอยา่ งง่าย 6 หวั ขอ้ ข้างต้น ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยุกตใ์ ช้ (I : Implementation) 3.1 ผเู้ รยี นฝกึ ทักษะในการเขยี นโครงการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย ๆ 3.2 ครูสรุปความคิดรวบยอดกับผเู้ รียนเกย่ี วกบั เนอื้ หา การวิจยั อย่างงา่ ย 3.3 ครแู ละผู้เรียนร่วมกนั ประเมินความรู้ ความเข้าใจและทักษะการนาไปใชต้ ามเกณฑ์ท่ี กาหนดไว้ ข้ันที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 4.1 สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรร 4.2 ใบงาน 7. แผนการจดั การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง คน้ ควา้ หาความรเู้ พม่ิ เติมดงั น้ี 1. อธิบายความหมาย ความสาคญั การวิจัยอยา่ งง่าย กระบวนการและขนั้ ตอนของการ ดาเนินงาน 2. อธิบายการใช้สถิตงิ ่ายๆ เพื่อการวจิ ัยและจัดทาเครอื่ งมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3. อธบิ ายการทักษะในการเขยี นโครงการวจิ ัยอยา่ งงา่ ยๆ 8. สือ่ /แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 สืบค้นใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรยี นรายวิชา ทร21001 รายวิชา ทักษะการเรยี นรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้ 8.4 สอ่ื สิ่งพิมพ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วิธกี ารวัดและประเมินผล 9.1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ 9.1.2 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานของผเู้ รียนรายบคุ คล 9.2 เครือ่ งมอื วัดและประเมินผล . 9.2.1 แบบฝกึ หดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสังเกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นรวม
ช่ือ.................................................................รหัสนกั ศึกษา........................................ม...ตน้ ใบงาน วิชาทักษะการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เรอ่ื งการวจิ ยั อยา่ งง่าย ให้นกั ศึกษาศกึ ษาจากตาราและทางอนิ เตอร์เนตเกย่ี วกบั เรื่องการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย และตอบคาถาม ตอ่ ไปนี้ 1. การวจิ ยั หมายถงึ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การวจิ ัย มคี วามสาคญั อย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. องคป์ ระกอบในการวจิ ยั มหี วั ข้ออะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. สถติ งิ า่ ย ๆ ที่ใชเ้ พอื่ การวจิ ัย มอี ะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 5. เคร่อื งมือการวิจัยที่นยิ มใชม้ าก ได้แก่ (1)…………………………………………………………….………………………….………………………………………………. (2)………………………………………………………………………………………………………………………………………… (3)………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. จงบอกวิธกี ารเผยแพรง่ านวิจัยมา 3 วิธี …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ประโยชน์ของการวิจัย ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………..
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนตน้ สาระการเรยี นรู้ อธบิ ายและสามารถวางแผนการเรยี นรแู้ ละและศักยภาพของพนื้ ทต่ี นเอง รหัสวิชา ทร21001 รายวชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เร่อื ง ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละศักยภาพหลกั ระยะเวลา 6 ช่วั โมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ อธิบายและสามารถวางแผนการเรยี นรแู้ ละและศักยภาพของพื้นที่ตนเอง 2.ผลการเรยี นรู้ทีค่ าดหวงั สามารถวางแผนการเรยี นรู้และศกั ยภาพของพ้ืนท่ีตนเอง และเขา้ ถงึ และการเลือกใช้ศกั ยภาพหลัก ของพ้นื ที่ได้ 3.สาระสาคญั อธิบาย ความหมาย ความสาคญั และสามารถวางแผนการเรยี นรู้และศักยภาพของพนื้ ทตี่ นเอง 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนอื้ หา 1. ความหมาย ความสาคัญ ของการเรยี นร้แู ละศักยภาพของพ้นื ท่ี 2. ทกั ษะการเรียนรพู้ น้ื ฐาน และเทคนคิ วถิ ที างศกึ ษาหาความรู้ 3. การเข้าถงึ และการเลอื กใช้ศกั ยภาพหลกั ของพืน้ ที่ 5.จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายบอกความหมาย ตระหนัก และความสาคัญของการเรยี นรูแ้ ละศักยภาพหลกั ของพ้ืนที่ 2. มีทักษะการเรียนรพู้ น้ื ฐานและเทคนคิ วธิ ีในการแสวงหาความรู้ 3. สามารถบอกอาชพี ในกลุ่มอาชีพใหม่ ไดแ้ ก่ กล่มุ อาชีพดา้ นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณชิ ยกรรม ความคิดสรา้ งสรรค์ การบรหิ ารจัดการและการบริการ 4. สามารถบอกและยกตวั อย่างทกั ษะการเรียนรู้เพอ่ื พฒั นาศักยภาพ 5 กลุ่มอาชีพใหม่ 6.กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ONIE MODEL ขน้ั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1.1 ครกู ล่าวนาและอธิบายความหมายความสาคัญของทกั ษะการเรียนรแู้ ละศกั ยภาพของ พน้ื ท่ีในการพฒั นาอาชีพ 1.2 ครแู ละผเู้ รยี นรว่ มกันกาหนดความจาเป็นกรอบเนอ้ื หาและความจาเป็นทต่ี ้องเรียนรใู้ น เรอื่ งอาชีพใหม่ 1.2.1 การเกษตรกรรม 1.2.2 อตุ สาหกรรม 1.2.3 พาณชิ ยกรรม 1.2.4 ความคิดสร้างสรรค์ 1.2.5 บรหิ ารจัดการและการบริการ 1.3 ครแู ละผู้เรียนรว่ มกันวางแผนการเรียนรู้ ข้นั ท่ี 2. แสวงหาขอ้ มลู และจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้(N : New ways of learning)
2.1 ครแู ละผู้เรยี นร่วมกันกาหนดความจาเปน็ กรอบเน้อื หาและความจาเปน็ ตอ้ งเรียนรใู้ น เร่ืองอาชีพใหม่ 2.1.1 การเกษตรกรรม 2.1.2 อุตสาหกรรม 2.1.3 พาณชิ ยกรรม 2.1.4 ความคิดสร้างสรรค์ 2.1.5 บริหารจัดการและการบริการ 2.2 ครูและผูเ้ รียนร่วมกันวางแผนการเรยี นรู้ ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัติและการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 3.1 ครูแจกใบความรู้และใบงานเรื่อง การวเิ คราะหศ์ ักยลภกั ขาพองหพื้นทโี่ ดยเทคนSิคWOT 3.2 ครูให้ผูเ้ รียนเขียนโครงการอาชีพและนาเสนอ 3.3 ครแู ละผ้เู รียนรว่ มกันสรุป แลกเปล่ยี นความคิดเหน็ ข้ันที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 4.1 สังเกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรม 4.2 ใบงาน 7. แผนการจัดการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ค้นควา้ หาความรเู้ พิ่มเติมดงั น้ี 1. ความสาคัญของการเรยี นรแู้ ละศกั ยภาพหลักของพ้ืนที่ 2. วางแผนการเรยี นรูแ้ ละศกั ยภาพหลกั ของพนื้ ที่ 8. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สบื ค้นใน Internet 8.2 หนังสือแบบเรยี นรายวิชา ทร21001 รายวชิ า ทกั ษะการเรียนรู้ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้ 8.4 สือ่ ส่งิ พิมพ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ 9.1.2 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานของผู้เรียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมอื วดั และประเมนิ ผล . 9.2.1 แบบฝึกหัด . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกล่มุ 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมสี ว่ นรวม
ช่อื .................................................................ร..ห. สั นกั ศกึ ษา........................................ม...ตน้ ใบงาน วชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 6 เรอ่ื งทกั ษะการเรียนรแู้ ละศกั ยภาพหลัก 1.ใหน้ ักศึกษาบอกความหมาย ความสาคัญของศกั ยภาพหลักของพืน้ ทีใ่ นการพฒั นาอาชพี ความหมาย………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ความสาคัญ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.กระทรวงศกึ ษาธิการ ได้กาหนดยุทธศาสตรก์ ารพฒั นา5 ศกั ยภาพของพืน้ ทใี่ น 5 กลุ่มอาชพี ใหม่ คือ อะไรบ้าง และแต่ละศักยภาพมีความหมายอย่างไร 1………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3.ศกั ยภาพหลกั ของพื้นท่ี หมายถงึ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.การวเิ คราะห์ หมายถงึ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.กลมุ่ อาชีพใหมม่ ี 5 กลุม่ อะไรบา้ ง 1………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มีทกั ษะในการสรปุ ความ จบั ประเดน็ สาคัญของเรื่องทีฟ่ ังและดู รหัสวชิ า พท21001 รายวชิ า ภาษาไทย หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 เรือ่ ง การฟัง การดู ระยะเวลา 6 ช่วั โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มที กั ษะในการสรปุ ความ จบั ประเด็นสาคญั ของเร่ืองทีฟ่ ังและดู 2.ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวัง บอกความหมาย และเห็นความสาคัญของการสรุปความ จับประเดน็ สาคัญของเร่อื งท่ีฟัง และดู 3.สาระสาคญั 1. สรปุ ความ จบั ประเด็นสาคญั ของเรือ่ งที่ฟงั และดู 2. วิเคราะห์ความเช่อื ถอื จากการฟงั และดูสื่อโฆษณาและขา่ วสารประจาวนั อย่างมีเหตผุ ล 3. วเิ คราะห์ วิจารณก์ ารใช้น้าเสียงกริ ิยาท่าทาง ถอ้ ยคาของผู้พูดอย่างมีเหตผุ ล 4. ปฏบิ ตั ิตนเป็นผมู้ มี ารยาทในการฟงั และดู 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนอ้ื หา 1.สรปุ ความ จับประเดน็ สาคัญของเรอ่ื งทีฟ่ ัง และดู 2. หลกั การจบั ใจความสาคญั ของเรื่องท่ีฟงั และดู 3. การวเิ คราะห์ วิจารณข์ ้อเทจ็ จรงิ ขอ้ คดิ เห็น และสรปุ ความ 4. การมมี ารยาทในการฟัง และดู 5.จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ สรปุ ความ ในการจับประเดน็ สาคญั ของเรอ่ื งท่ฟี งั และดู 2. อธบิ ายหลักการจับใจความสาคญั ของเรือ่ งที่ฟงั และดู 3. อธิบายการวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ ขอ้ เท็จจริง ข้อคดิ เหน็ และสรุปความ 4. อธิบายการมีมารยาทในการฟัง และดู 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปญั หา (O : Orientation) 1. ครูกล่าวทักทายผเู้ รยี น และซกั ถามผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลเกย่ี วกบั การสภาพปญั หาหรอื เรือ่ ง เกิดขน้ึ ในชมุ ชน หรือในสงั คมปัจจบุ ันทีไ่ ดร้ ับรจู้ ากส่อื ต่างๆ ทค่ี ิดวา่ มีความสาคัญ 2. ผูเ้ รยี นเลา่ เรื่องราวตา่ ง ๆท่นี า่ สนใจทีไ่ ดพ้ บเห็นและแสดงความคิดเหน็ ในเรอื่ งราวทไี่ ดเ้ ลา่ ออกมาใหค้ รูและเพ่อื นไดร้ บั ฟัง (ฝึกทกั ษะการคิด) ขัน้ ท่ี 2. แสวงหาขอ้ มลู และจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้(N : New ways of learning) 1. ครูให้ผเู้ รยี นได้แสดงความคดิ เหน็ ถงึ การท่ีได้รับฟังจากเพ่อื นรว่ มกลุ่มทลี ะคน ตามความ คดิ เหน็ ของผ้เู รยี นและมีหลกั การหรือวิธกี ารอย่างไรในการที่จะรบั ฟงั หรอื ดเู รื่องราวตา่ งๆแลว้ และสรปุ ไดว้ า่ เรื่องราวน้ันเป็นเรือ่ งจริง เท็จ ดี หรอื ไมด่ ีอย่างไร 2. ครูให้ผเู้ รยี นไดจ้ ับกลุ่ม ๆ ละ 5-7 คน จากนน้ั แจกใบงาน เร่ืองการฟงั ดู
3. ผ้เู รียนได้แบง่ กลมุ่ ตามเงอื่ นไขของครู จากนั้นรบั ใบงานเรื่องการฟัง ดู มาศึกษาและปฏิบัติ ตามใบงาน 4. ผ้เู รยี นแตล่ ะกลุ่มไดน้ าเสนอผลงานตามใบงานเรอ่ื งฟัง ดู ขั้นท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปประยุกตใ์ ช้ (I : Implementation) ครูและผูเ้ รยี นร่วมกนั สรปุ ประเด็นเนอ้ื หาสาระรว่ มกนั โดยการรว่ มกันวิเคราะหเ์ รอ่ื งราวของ ข่าวทนี่ กั ศึกษาต่างสถาบนั ตีกัน ขัน้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล 2. การสังเกตจากการนาเสนอ 3. การซกั ถามผเู้ รยี น 4. ใบงาน 7. แผนการจดั การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ค้นควา้ หาความรเู้ พ่มิ เติมดังนี้ 1. สรปุ ความ จับประเดน็ สาคญั ของเรื่องที่ฟังและ ดู 2. หลกั การจบั ใจความสาคัญของเร่ืองทฟ่ี งั และดู 3. การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ คดิ เหน็ และสรุปความ 4. การมีมารยาทในการฟงั และดู 8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 สืบค้นใน Internet 8.2 หนงั สอื แบบเรยี นรายวชิ า พท21001 รายวชิ าภาษาไทย ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือสง่ิ พิมพ์ 9. กระบวนการวัดผลประเมินผล 9.1 วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ 9.1.2 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานของผเู้ รยี นรายบคุ คล 9.2 เคร่ืองมอื วัดและประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหัด . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกล่มุ 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมีสว่ นรวม
ชอื่ .................................................................ร.หัสนักศึกษา........................................ม...ตน้ ใบงาน วิชาภาษาไทย หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 1 เร่ืองการฟัง การดู ให้นักศึกษาเปิดฟัง เรอ่ื งโคโรนา่ ไวรสั (covid - 19) ทางลิงคน์ ี้ https://youtu.be/2VISntl0pBU พร้อมสรปุ ความ จับประเด็นสาคญั ของเรอื่ งทีฟ่ ัง และดู เร่ืองโคโรน่าไวรัส (covid - 19) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ พูดนาเสนอความรู้ ความคดิ เห็น สรา้ งความเข้าใจ โนม้ น้าวใจ ปฏิเสธ เจรจาตอ่ รองดว้ ย ภาษา กริ ยิ าทา่ ทางท่สี ุภาพ รหสั วชิ า พท21001 รายวชิ า ภาษาไทย หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 เรื่อง การพดู ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ พดู นาเสนอความรู้ ความคิดเห็น สรา้ งความเขา้ ใจโนม้ น้าวใจ ปฏเิ สธ เจรจาต่อรองด้วยภาษา กริ ยิ า ท่าทางที่สุภาพ 2.ผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวัง บอกความหมาย และความสาคญั ของการพูดนาเสนอความรู้ ความคิดเห็น สร้างความเขา้ ใจ โนม้ น้าวใจ ปฏเิ สธ เจรจาต่อรองด้วยภาษา กิริยาท่าทางที่สภุ าพ 3.สาระสาคัญ 1. พดู นาเสนอความรู้ ความคิดเห็น สรา้ งความเข้าใจโนม้ น้าวใจ ปฏิเสธเจรจาต่อรองด้วยภาษา กิริยา ทา่ ทางท่สี ภุ าพ 2. ปฏิบตั ิตนเปน็ ผมู้ ีมารยาทในการพูด 4.สาระการเรยี นร/ู้ เน้อื หา 1. สรุปความ จบั ประเด็นสาคญั ของเรือ่ งที่พูดได้ 2. การพูดนาเสนอความรู้ ความคดิ เห็น และการพดู ในโอกาสตา่ งๆ เช่น - พดู แนะนาตนเอง - พดู กลา่ วตอ้ นรับ - พูดกลา่ วขอบคณุ - พดู โน้มนา้ วใจ - พดู ปฏเิ สธ - พูดเจรจาต่อรอง - พูดแสดงความคิดเหน็ 3. การมมี ารยาทในการพดู 5.จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคญั สรปุ ความ จบั ประเดน็ สาคญั ของเร่ืองทพี่ ดู ได้ 2. อธบิ ายการพดู นาเสนอความรู้ ความคดิ เห็น และการพูดในโอกาสต่างๆ 3. อธบิ ายการมีมารยาทในการพูด 6.กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1.ครูซักถามผเู้ รียนถงึ การวฒั นธรรมการพูดคุยกันของวัยรนุ่ และบุคคลทั่วไปในยคุ IT และให้ ผ้เู รยี นได้แสดงความคิดเหน็ ถึงประเดน็ ปัญหาทไี่ ดพ้ ดู คยุ กนั ว่ามผี ลกระทบสังคมไทยและขนบธรรมเนยี มความ เปน็ ไทยอย่างไร
2.ครูพูดเชื่อมโยงจากประเดน็ ปัญหาทีไ่ ดพ้ ดู คยุ กนั ถึงความสาคญั ที่จาเป็นจะต้องมีการ เรียนรู้เกย่ี วกับการพดู ประเภทตา่ งๆ ที่ทุกคนต้องใชใ้ นชีวิตประจาวันไมว่ ่าจะเปน็ ภาษาไทยเองและภาษาต่างประเทศ ที่ควรศกึ ษาเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 2. แสวงหาขอ้ มูลและจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้(N : New ways of learning) 1. ครใู ห้ผู้เรยี นศึกษาเร่อื งการพูดขอภงทปตรา่ะงเ ๆ และมารยาทในการพูดจากตาราเรียนและส่ือ 2. ผู้เรยี นศกึ ษารปู แบบการพูดจาสอ่ื วดี ที ัศน์ 3. ผูเ้ รยี นจบั สลากเพื่อแสดงบทบาทสมมตเิ ก่ียวกับการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ 4. ครูส่มุ เลือกผู้เรียนเพ่ือแสดงบทบาทสมมตุ ิหนา้ ช้ันเรยี น ผู้เรียนออกมาแสดงบทบาทสมมตุ ิ ตามหัวข้อท่ีจับฉลากไดห้ นา้ ช้ันเรียน ขน้ั ท่ี 3 การปฏิบัติและการนาไปประยุกตใ์ ช้ (I : Implementation) 1. ครูและผู้เรียนร่วมกนั สรปุ เน้อื หาสาระร่วมกนั และครเู พิ่มเติมส่วนทขี่ าดหายไปในประเด็น ดังกลา่ วท่ไี ดเ้ รยี นรมู้ า 2. ครูอธิบายถงึ แนวทางในการศกึ ษาเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองในครง้ั ต่อไปและใบงาน เรอื่ งมารยาทท่ีดีในการพดู ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1.สงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล 2.การสังเกตจากการนาเสนอ 3.การซักถามผเู้ รียน 4.ใบงาน 7. แผนการจัดการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมดังนี้ 1.การพดู นาเสนอความรู้ ความคิดเห็น และการพดู ในโอกาสตา่ งๆ เชน่ - พูดแนะนาตนเอง - พูดกลา่ วตอ้ นรบั - พดู กลา่ วขอบคุณ - พดู โนม้ น้าวใจ - พดู ปฏิเสธ - พดู เจรจาตอ่ รอง - พดู แสดงความคดิ เห็น 2. การมีมารยาทในการพดู 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนังสือแบบเรยี นรายวชิ า พท21001 รายวิชา ภาษาไทย ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่อื สง่ิ พิมพ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล 9.1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผ้เู รยี นรายบคุ คล 9.2 เครอื่ งมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝกึ หดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลมุ่ 9.2.4 การสังเกตพฤติกรรมการมสี ่วนรวม
ช่อื .................................................................ร..ห. สั นกั ศกึ ษา........................................ม.ต้น ใบงาน วชิ าภาษาไทย หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 เรอื่ งการพดู ใหน้ กั ศึกษาอธิบายความหมายการพดู ประเภทต่างๆ และมารยาทในการพดู ว่าควรใชค้ าพูดอยา่ งไร 1. การพดู แนะนาตนเอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การกลา่ วต้อนรบั ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การกล่าวขอบคุณ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การพดู โนม้ น้าวใจคน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การพดู ปฏเิ สธ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 7. การพูดแสดงความคดิ เหน็ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจดั การเรยี นรู้ ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ สาระการเรยี นรู้ เลือกใช้ภาษาในการนาเสนอตามรปู แบบของงานเขียนประเภทรอ้ ยแก้วและร้อยกรองได้ อยา่ งสร้างสรรค์ รหสั วิชา พท21001 รายวชิ า ภาษาไทย หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 เรอื่ ง การเขียน ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ การเลือกใช้ภาษาในการนาเสนอตามรปู แบบของงานเขียนประเภทรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรองไดอ้ ยา่ ง สร้างสรรค์ 2.ผลการเรยี นรู้ทีค่ าดหวัง บอกความหมาย และความสาคญั ของการเลอื กใชภ้ าษาในการนาเสนอตามรปู แบบของงานเขียน ประเภทร้อยแกว้ และรอ้ ยกรองได้อยา่ งสรา้ งสรรค์ 3.สาระสาคัญ 1.เลือกใช้ภาษาในการนาเสนอตามรูปแบบของงานเขียนประเภทรอ้ ยแก้วและร้อยกรองได้อยา่ ง สรา้ งสรรค์ 2. ใช้แผนภาพความคดิ จดั ลาดบั ความคิดกอ่ นการเขยี น 3. แตง่ บทร้อยกรอง ประเภทกลอนสี่ กลอนสุภาพ 4. เขียนบทรอ้ ยแกว้ ประเภทประวัตติ นเอง อธิบายความ ย่อความ ข่าว 5. เขียนรายงานการคน้ ควา้ สามารถอา้ งอิงแหล่งความรู้ไดถ้ กู ตอ้ ง 6. กรอกแบบรายการตา่ งๆ 7. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผู้มีมารยาทในการเขียน และมกี ารจดบนั ทึกอยา่ งสมา่ เสมอ 4.สาระการเรียนร/ู้ เน้ือหา 1. หลักการเขียน การใชภ้ าษาในการเขียน 2. หลักการเขยี นแผนภาพความคิด 3. หลกั การเขียนเพื่อการสอื่ สารประเภทต่างๆ เช่น การเขยี นเรยี งความ ยอ่ ความ เขยี นช้ีแจง เขยี นแสดงความคดิ เห็น คาขวญั คาคม คาโฆษณา เขียนรายงานการคน้ คว้า การกรอกแบบพิมพแ์ ละ ใบสมคั รงาน 4. การปฏบิ ัติตนเป็นผูม้ ี มารยาทในการเขยี น และมนี สิ ยั รักการเขียน 5.จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายหลกั การเขยี น การใช้ภาษาในการเขียน 2. อธบิ ายหลักการเขียนแผนภาพความคดิ 3. อธบิ ายหลกั การเขยี นเพ่ือการส่ือสารประเภทตา่ งๆ เช่น การเขยี นเรยี งความ ย่อความ เขยี นชแ้ี จง เขียนแสดงความคดิ เห็น คาขวัญ คาคม คาโฆษณา เขียนรายงานการคน้ ควา้ การกรอกแบบพิมพ์และใบสมคั ร งาน 4. อธิบายการปฏิบัตติ นเปน็ ผมู้ ี มารยาทในการเขยี น และมนี ิสัยรกั การเขยี น
6.กระบวนการจดั การเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปญั หา (O : Orientation) 1.ครูพดู ว่ามีคนบอกครูว่าสมองของคนเรานนั้ กเ็ หมือนต้นไม้ ถ้าเราไมข่ ยนั ที่จะรดิ ใบเหมือนตน้ เราก็จะไมม่ ีการงอกงามขน้ึ เม่ือไมม่ ีการงอกขึ้นมาใหม่ สมองเรากไ็ มเ่ กิดการพฒั นา ดงั นน้ั ถ้าเราใชใ้ น เวลาการเรยี นรอู้ า่ นหนังสือ กท็ าให้เราริดกง่ิ ก้านสมองเราตลอดเวลา เรากส็ ามารถฉลาดได้ คณุ วิรษา เกรซ บอกวา่ สมองคนเราน้นั จาทุกอย่างเป็นสี ดังนนั้ ถ้าเราอยากจาได้ เราต้องฟัง คิดและจดในรปู ของ แผนความคิด 2.ครูถามผูเ้ รยี นวา่ ร้จู กั แผนภาพความคิดหรอื ไม่แลว้ แลกเปล่ยี นเรียนรรู้ ะหวา่ งเพ่ือนในกลมุ่ ขั้นที่ 2. แสวงหาขอ้ มลู และจัดกิจกรรมการเรียนรู้(N : New ways of learning) 1.ครูอธบิ ายความหมาย หลักการเขียนภาษาไทย การเขยี นและหลักการเขียนภาพความคิด 2.ครใู ห้ผเู้ รยี นเขียนแผนภาพความคิดเก่ียวกบั การเขียนยอ่ ความ การเขียนเรยี งความ ฯลฯ ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (I : Implementation) ครสู มุ่ ตัวอยา่ งเลือกผู้เรยี นนาเสนอผลงานแผนภาพความคดิ และสรุปผลการนาเสนอให้ ขอ้ เสนอแนะ ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล 2. การสงั เกตจากการนาเสนอ 3. การซักถามผู้เรยี น 4. ใบงาน 7. แผนการจดั การเรียนรู้ด้วยตนเอง คน้ คว้าหาความรู้เพ่มิ เตมิ ดงั น้ี 1.หลักการเขียน การใชภ้ าษาในการเขียน 2. หลักการเขียนแผนภาพความคิด 3. หลักการเขยี นเพ่อื การสอ่ื สารประเภทตา่ งๆ 4. การปฏบิ ัตติ นเป็นผมู้ ี มารยาทในการเขียน และมนี สิ ยั รกั การเขียน 8. สือ่ /แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนังสอื แบบเรียนรายวิชา พท21001 รายวชิ า ภาษาไทย ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือสง่ิ พมิ พ์ 9. กระบวนการวัดผลประเมินผล 9.1 วธิ กี ารวดั และประเมินผล 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกล่มุ 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผู้เรยี นรายบุคคล 9.2 เครื่องมอื วัดและประเมนิ ผล . 9.2.1 แบบฝกึ หดั . 9.2.2 ใบงาน
9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤตกิ รรมการมสี ่วนรวม
ช่ือ.................................................................ร..ห. สั นกั ศึกษา........................................ม...ต้น ใบงาน วชิ าภาษาไทย หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 เรอ่ื งการเขยี น ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายหลักการเขียนเพอ่ื การสื่อสารประเภทต่างๆและมารยาทในการเขยี นว่าควรเขียนอยา่ งไร 1. การเขียนเรียงความ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเขียนย่อความ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การเขียนแสดงความคดิ เห็น ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การเขยี นคาขวัญ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การเขยี นคาโฆษณา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจดั การเรียนรู้ ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ เลือกใชภ้ าษาในการนาเสนอหลกั การเขยี นเพือ่ สอ่ื สารประเภทต่าง ๆ รหสั วิชา พท21001 รายวชิ า ภาษาไทย หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 4 เร่อื ง การเขยี น ระยะเวลา 6 ชัว่ โมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ การเลอื กใชภ้ าษาในการนาเสนอหลกั การเขยี นเพ่อื สือ่ สารประเภทตา่ ง ๆ 2.ผลการเรยี นรู้ที่คาดหวงั บอกความหมาย และความสาคญั ของการเลอื กใชภ้ าษาในการนาเสนอหลักการเขียนเพอื่ สอ่ื สาร ประเภทต่าง ๆ 3.สาระสาคัญ 1.เลือกใช้ภาษาในการนาเสนอตามรปู แบบของงานเขียนประเภทรอ้ ยแก้วและร้อยกรองได้อยา่ ง สรา้ งสรรค์ 2. ใชแ้ ผนภาพความคิด จดั ลาดบั ความคดิ ก่อนการเขียน 3. เขียนสานวนโวหารแบบต่างๆ 4. เขยี นรายงานการค้นควา้ สามารถอา้ งอิงแหลง่ ความรู้ไดถ้ กู ต้อง 5. ปฏิบัติตนเป็นผมู้ ีมารยาทในการเขียนอย่างสมา่ เสมอ 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนือ้ หา 1. หลักการเขียน การใชภ้ าษาในการเขียน 2. หลักการเขยี นแผนภาพความคิด 3. หลักการเขียนเพอ่ื การส่ือสารประเภทต่างๆ เช่น เขียนสานวนโวหารแบบต่างๆ บรรยายโวหาร พรรณาโวหาร เทศนาโวหาร สาธกโวหาร และอปุ มาโวหาร 4. การปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผ้มู ี มารยาทในการเขยี น และมนี สิ ัยรกั การเขียน 5.จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธิบายหลกั การเขยี น การใชภ้ าษาในการเขียน 2. หลักการเขียนเพอ่ื การส่อื สารประเภทตา่ งๆ เช่น เขียนสานวนโวหารแบบตา่ งๆ บรรยายโวหาร พรรณาโวหาร เทศนาโวหาร สาธกโวหาร และอุปมาโวหาร 4. อธบิ ายการปฏิบตั ิตนเปน็ ผู้มมี ารยาทในการเขยี น 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ขนั้ ท่ี 1. กาหนดสภาพปญั หา (O : Orientation) ครใู ช้บัตรคาทีม่ ที ้งั คา วลี และประโยคใหผ้ เู้ รียนแยกประเภท เมือ่ แยกประเภทแล้ว ให้ครนู าบตั ร คาท่เี ป็นประโยคถามผู้เรยี นว่าบัตรคาน้ันเป็นประโยคประเภทใด และครเู ชื่อมโยงให้เห็นถึงความสาคญั ท่ีต้อง เรียนรูเ้ รือ่ งชนดิ ของประโยค เพ่ือใช้ในการเขยี นสานวนโวหารแบบต่างๆ
ข้ันที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกิจกรรมการเรียนรู้(N : New ways of learning) 1.ครมู อบหมายใหผ้ ูเ้ รยี นศึกษาใบความรเู้ ร่ืองชนดิ ของประโยค และเรื่องการเขียนสานวนโวหาร แบบตา่ งๆ 2.ผูเ้ รียนถามปัญหาและข้อสงสัย 3.ครูตอบข้อสงสัยและอธิบายเพิ่มเตมิ ข้ันท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (I : Implementation) ครใู หผ้ เู้ รยี นปฏบิ ตั ติ ามใบงาน โดยเขียนสานวนโวหารแบบต่างๆดงั กลา่ ว พรอ้ มแยกให้เหน็ ความ ชัดเจนและอธบิ ายว่าสานวนโวหารแบบต่างๆมกี ารเขียนที่แตกตา่ งกันอย่างไร ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล 2. การสงั เกตจากการนาเสนอ 3. การซักถามผ้เู รยี น 4. ใบงาน 7. แผนการจัดการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ค้นควา้ หาความร้เู พม่ิ เตมิ ดังนี้ 1. หลกั การเขยี น การใช้ภาษาในการเขยี น 2. หลักการเขียนเขยี นสานวนโวหารแบบตา่ งๆ 3. หลักการเขยี นเพื่อการสอื่ สารประเภทต่างๆ 4. การปฏิบตั ติ นเป็นผมู้ ี มารยาทในการเขียน และมนี สิ ยั รักการเขยี น 8. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 สืบค้นใน Internet 8.2 หนังสือแบบเรียนรายวชิ า พท21001 รายวชิ า ภาษาไทย ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่อื สิ่งพมิ พ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล 9.1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 9.1.2 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานของผู้เรยี นรายบคุ คล 9.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝกึ หดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม และการสงั เกตพฤติกรรมการมสี ว่ นรวม
ชอื่ .................................................................ร..ห. สั นักศกึ ษา........................................ม...ต้น ใบงาน วชิ าภาษาไทย หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 เรือ่ งการเขียน ใหน้ กั ศึกษาอธิบายหลักการเขยี นเพือ่ การส่ือสารประเภทต่างๆและมารยาทในการเขียนวา่ ควรเขยี นอย่างไร 1. การเขยี นบรรยายโวหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเขียนพรรณาโวหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การเขียนเทศนาโวหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การเขียนสาธกโวหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การเขียนอุปมาโวหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจดั การเรยี นรู้ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ สาระการเรียนรู้ ความเป็นมา ความหมาย หลกั การของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รหสั วชิ า ทช 21001 รายวิชา เศรษฐกิจพอเพยี ง หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 เร่ือง ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ ความเป็นมา ความหมาย หลักการของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2.ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวัง บอกความเปน็ มา ความหมาย หลกั การของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3.สาระสาคัญ อธิบายความเปน็ มา ความหมาย หลักการของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนอ้ื หา 1.อธบิ ายความเป็นมา ความหมาย หลักการของปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. การแสวงหาความรู้ของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 5.จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความเปน็ มา ความหมาย หลกั การของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. อธบิ ายการแสวงหาความรขู้ องปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง - ความหมาย ความสาคญั ของการแสวงหาความรู้ - แหลง่ ความร้แู ละวธิ กี ารแสวงหาความรู้ 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ขั้นที่ 1. กาหนดสภาพปญั หา (O : Orientation) 1.ครอู ธบิ ายรายละเอยี ดสาระสาคญั และผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวงั ในรายวชิ า ทช21001 เศรษฐกจิ พอเพยี ง พร้อมทั้งแจกเอกสารใบความรูท้ ี่ 1 ใหผ้ ูเ้ รยี นทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั เน้อื หาสาระ ของรายวิชานี้ โดยใช้เวลา 15 นาที 2.ครูตง้ั คาถามชวนคดิ ใหก้ บั ผ้เู รียน ไดแ้ ลกเปลยี่ นเรียนรดู้ ว้ ยคาถาม “เศรษฐกิจพอเพียงมี ประโยชน์ ตอ่ การดารงชวี ติ อย่างไร?” โดยผูเ้ รยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ และคดิ คาตอบจากนนั้ ครูเชอื่ มโยง เข้าสูเ่ นือ้ หาความเป็นมาของหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความสาคัญและจาเปน็ ต่อการดาเนินชวี ติ โดยกลา่ วถึงวา่ เศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ ปรัชญาทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ทรงมพี ระราชดาริชแ้ี นะแนว ทางการดาเนินชวี ติ เพือ่ แกไ้ ขใหร้ อดพน้ วกิ ฤตทางด้านเศรษฐกิจ และสามารถดารงชวี ติ อยูไ่ ด้อย่างมนั่ คงและ ย่ังยนื หลักการของเศรษฐกิจพอเพยี งตงั้ อยู่บนพนื้ ฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคานึงถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตุผล การสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ท่ีดี ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และ คณุ ธรรมประกอบการวางแผนการตดั สนิ ใจและการกระทา สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ในการดาเนินชีวติ ได้ 3.ครแู บ่งกลุ่มผ้เู รยี นกลมุ่ ละ 3 คน ใหศ้ ึกษาคน้ คว้า“ความหมายและความเปน็ มาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง” จากหนงั สอื แบบเรยี นวชิ า ทช21001 เศรษฐกิจพอเพยี ง ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น และตอบคาถามจากใบงานท่ี 1 เร่ือง เศรษฐกิจพอเพยี ง คอื อะไร
ขัน้ ที่ 2. แสวงหาข้อมลู และจัดกจิ กรรมการเรียนรู้(N : New ways of learning) 1.ครใู หผ้ เู้ รยี นดูวดี ีทศั นเ์ ก่ยี วกบั เศรษฐ์กิจพอเพียง เรือ่ ง พอเพี ยง..ตามรอยพอ่ สารคดโี ทรทัศน์ ขบั เคล่อื นเศรษฐกจิ พอเพยี ง ผลิตโดยโครงการสนับสนุนการขบั เคลอื่ นเศรษฐกจิ พอเพยี งดา้ นการศึกษาและ เยาวชน สานักงานทรัพยส์ ินสว่ นพระมหากษัตรยิ ์ เป็นเวลา 20 นาที 2.ครชู ักชวนผ้เู รยี นพดู คยุ ถึงเรอ่ื งราวจากการชมวีดที ศั น์ โดยยกตัวอยา่ งบา งช่วงบ้างตอนของวีดี ทัศนม์ ากลา่ วถงึ อาทิเช่น “เศรษฐกจิ พอเพยี งเป็นเสมือนรากฐานของชวี ิต รากฐานความม่นั คงของแผ่นดิน เปรยี บเสมือนเสาเขม็ ทถี่ ูกตอกรองรบั บ้านเรอื นตวั อาคารไวน้ ัน่ เอง ส่งิ ก่อสร้างจะม่นั คงไดก้ อ็ ยู่ทเี่ สาเขม็ แตค่ น สว่ นมากมองไมเ่ ห็นเสาเขม็ และลมื เสาเข็มเสียด้วยซา้ ไป..”(พระราชดารัส จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั : 4 ธันวาคม 2542) 3.ครใู หผ้ เู้ รยี นสรปุ ความรทู้ ีไ่ ดร้ ับจากการชมวีดที ศั นเ์ กี่ยวกับเศรษฐกจิ พอเพียง เรอ่ื ง พอเพยี ง ... ตามรอยพอ่ โดยเขยี นเป็นเรยี งความลงบนกระดาษทค่ี รแู จกให้ ข้ันท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (I : Implementation) 1.ครใู ห้ผเู้ รยี นทาใบงานเร่ือง เพ่ือนบ้าน ...พอเพยี ง โดยให้ผเู้ รยี นยกตัวอย่างเพือ่ นบา้ นหรือบคุ คล ทผ่ี ู้เรยี นรูจ้ กั ทนี่ าหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั จากน้ันตอบคาถามตาม หัวขอ้ ท่คี รู กาหนดให้ดงั น้ี 1.1 ชือ่ ..............นามสกลุ .............ท่ีอยู่.........................(ของเพ่ือนบ้าน....พอเพียง) 1.2 วธิ ปี ฏบิ ตั ติ นในการดาเนินชวี ติ แบบพอเพยี งของเพื่อนบา้ น....พอเพยี งเป็นอยา่ งไร 1.3 ผู้เรยี นคิดวา่ การดาเนนิ ชวี ิตตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพี ยงของเพ่ือนบ้าน ...พอเพยี ง สามารถนามาปรบั ใชก้ ับตนเองได้อย่างไรบา้ ง 2.ครจู ับฉลากหากลุ่มผู้โชคดอี อกมาเล่าถงึ เพ่ือนหรอื บุคคลท่ตี นเองกลา่ วถงึ 3.ครพู ร้อมผ้เู รยี นสรปุ เนื้อหารว่ มกนั พรอ้ มให้ทุกคนนาผลงานไปติดไว้ที่บอรท์ หน้าห้องเรียน ขั้นท่ี 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล 2. การสงั เกตจากการนาเสนอ 3. การซกั ถามผู้เรยี น 4. ใบงาน 7. แผนการจัดการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง ค้นควา้ หาความรเู้ พมิ่ เติมดงั น้ี 1.อธบิ ายความเป็นมา ความหมาย หลักการของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. การแสวงหาความรู้ของปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 8. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สบื ค้นใน Internet 8.2 หนังสือแบบเรียนรายวชิ า ทช 21001 รายวิชาเศรษฐกิจพอเพยี ง ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น 8.3 ใบความรู้ 8.4 สอื่ ส่งิ พมิ พ์
9. กระบวนการวัดผลประเมนิ ผล 9.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผล 9.1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 9.1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานของผู้เรียนรายบคุ คล 9.2 เคร่อื งมอื วัดและประเมนิ ผล . 9.2.1 แบบฝกึ หดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นรวม
ช่ือ................................................................ร..หัสนักศกึ ษา........................................ม...ตน้ ใบงาน วชิ าเศรษฐกจิ พอเพยี ง หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. เศรษฐกิจพอเพยี งมคี วามเป็นมาอยา่ งไร ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ...................................................................................... ...................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................. 2. ใหอ้ ธิบายความหมายของ “ความพอเพียง” ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ 3. ให้ยกตัวอย่างหลักการปฏบิ ัตติ นตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมา 5 ขอ้ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ...........................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ การวางแผนประกอบอาชพี ตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง รหสั วชิ า ทช 21001 รายวชิ า เศรษฐกิจพอเพยี ง หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง การวางแผนประกอบอาชีพแบบพอเพียง ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ การวางแผนประกอบอาชพี ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2.ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวัง สามารถบอกการวางแผนประกอบอาชีพ ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3.สาระสาคญั 1.สามารถนาความรจู้ ากการเรยี นไปใชใ้ นการวางแผนประกอปบรอชั าญชีพาขตอามงเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. ผเู้ รียนสามารถทาโครงงานประกอบอาชีพตามแผนงานทว่ี างไวไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม 3. ผ้เู รียนสามารถทาโครงงานประกอบอาชีพตามแผนงานทวี่ างไวไ้ ดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสม 4.สาระการเรยี นร/ู้ เนื้อหา 1.การวางแผนประกอบอาชีพ ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2.โครงการวางแผนการเรยี นรู้/การประกอบอาชพี โดยใชก้ ระบวนการ 3 ห่วง 2 เงอ่ื นไข 5.จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายการวางแผนประกอบอาชพี ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2. อธิบายโครงการวางแผนการเ/รกียานรปรู้ระกออบาชพี โดยใช้กระบวนก3ารห่วง 2 เงอ่ื นไข 6.กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ONIE MODEL ขัน้ ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1. ครรู ว่ มกบั ผูเ้ รียนพดู คยุ ในเร่อื งการประกอบอาชีพต่างๆทง้ั อาชพี หลกั และอาชพี เสริมทมี่ ีอยู่ใน ชุมชนว่ามอี ะไรบา้ งสมุ่ ตวั อยา่ งใหผ้ เู้ รียนเล่าประสบการณ์การประกอบอาชพี ของตัวเองที่ คดิ ว่าเขาประสบ ความสาเร็จและอาชีพทเ่ี ขาทาแล้วขาดทุนหรอื ไมป่ ระสบผลสาเรจ็ (30 นาท)ี 2. ครูและผเู้ รยี นสรปุ เร่ือง การประกอบอาชพี ในชุมชนตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง ใน รปู แบบ “ตน้ ไม้พอเพยี ง ” โดยจดั ทาเปน็ ต้นไม้อาชพี จากกระดาษ โดยแบง่ เป็น 5 ต้น ไดแ้ ก่ ตน้ ไม้ พอเพยี ง (เกษตรกรรม),ต้นไม้พอเพยี ง(ค้าขาย),ตน้ ไมพ้ อเพยี ง(รับจา้ ง),ตน้ ไมพ้ อเพียง(รบั ราชการ),ต้นไม้พอเพยี ง(ธรุ กจิ ส่วนตวั ) ให้ผเู้ รียนแบง่ กลมุ่ 5 กลุ่ม จากนนั้ ใหแ้ ต่ละกลุ่มตัดกระดาษคาตอบเป็นรูปใบไม้และเขยี นคาตอบตาม คาถามท่ีครกู าหนดให้ ดังนี้ 2.1 กลุ่มอาชพี ของผเู้ รียนมปี ระโยชน์และมีความสาคญั อยา่ งไร 2.2 กลุ่มอาชีพของผูเ้ รยี นมคี ุณธรรมในการประกอบอาชพี อย่างไร 2.3 ปัญหาของการประกอบอาชีพนนั้ มีอยา่ งไร 3. ประเมินโดยการให้ผเู้ รียนใหค้ ะแนนกันเองโดยมเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนนคือ ความสวยงามของต้นไม้ และการนาเสนอหนา้ สนใจ โดยให้แตล่ ะคนมกี ระดาษกาวสเี หลือง(ใหค้ ะแนนความสวยงามกับสีแดง (ให้คะแนน การนาเสนอ) จากนน้ั ใหน้ าไปแปะยังตน้ ไมท้ ผี่ ูเ้ รียนประทบั ใจจบกิจกรรมนบั คะแนนจากกระดาษที่แปะบนต้นไม้ ของแตล่ ะกลุ่ม กลุม่ ใดไดร้ ับคะแนนสงู ท่ีสดุ ไดร้ บั ของรางวัล
4. ครแู ละผเู้ รยี นรว่ มกันสรุปคุณธรรมในการประกอบอาชพี ของแต่ละกลุ่ม วา่ สอดคล้องกบั หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง อยา่ งไร ครูให้ผ้เู รยี นศกึ ษาใบความรูเ้ รื่องคุณธรรม 11 ประการ คือขยัน ประหยดั ซ่ือสตั ย์ มีวินยั สะอาด สามคั คี มนี า้ ใจ ประชาธปิ ไตย กตญั ญู เศรษฐกิจพอเพียง แลว้ ให้จัดกลุม่ วา่ แต่ละ อาชพี อยู่ในคุณธรรมขอ้ ใด นามาวางแผนในการประกอบอาชพี ไดอ้ ย่างเหมาะสม ครูมอบใบความรู้ โมเดล 3 หว่ ง 2 เงอื่ นไขตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ทางสายกลาง ความ พอประมาณ มีเหตผุ ล มภี มู คิ ้มุ กนั เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคณุ ธรรม (รอบคอบ รอบรู้ ระมดั ระวงั ) (ซอื่ สตั ย์สจุ ริต ขยนั อดทนแบง่ ปัน) ชีวติ เศรษฐกิจ สงั คม สงิ่ แวดล้อม สมดลุ มน่ั คง และยงั่ ยืน
ใบความรแู้ นวทางในการวางแผนประกอบอาชีพมเี กณฑแ์ ละแนวทางดงั น้ี 1. ตอ้ งรจู้ ักข้อมูลตนเองว่ามีความชอบความถนดั ความสามารถดา้ นใด 2. ต้องศกึ ษารายละเอียดของอาชพี ที่เลอื ก 3. พจิ ารณาองค์ประกอบอ่นื ทเ่ี ก่ียวขอ้ งเช่น ทาเลที่ต้งั การผลิต การจาหน่าย การบรกิ าร สภาพแวดล้อม เพ่อื นร่วมงาน เงินทนุ และแหลง่ เงินทนุ เพอื่ ใช้ในการวางแผนการทางานเพ่อื ให้ได้ทางเลอื กทด่ี ี ทสี่ ดุ มคี วามเหมาะสมกบั ตนเอง การวางแผนการประกอบอาชีพทีเ่ ป็นไปตามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตวั อยา่ งการวางแผนทาการเกษตรผสมผสาน เนน้ การมอี ยูม่ กี นิ ก่อนขายเป็นรายได้ตามปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ทาอะไร (งานท่ตี อ้ งทา) ทาทาไม (ทราบจุดมุ่งหมาย)ทาทไ่ี หน (สถานท่จี ัด) ทาเมื่อไหร่(กาหนดเวลาเรม่ิ ต้นและส้ินสุด )ทาอย่างไร(วิธกี ารท่ีจะทา) ใครเป็นผูท้ า(ผ้รู บั ผิดชอบ)และทารว่ มกบั ใคร(ผู้รว่ มทางาน)เพ่อื ใหว้ ตั ถปุ ระสงค์ ความพอประมาณ ทาอะไรปลกู พชื ผสมผสานตามเกษตรทฤษฏีใหมแ่ ทนการปลูกยางพาราอยา่ งเดียว ปลูกผักพนื้ บา้ น ไม้ ผลทกุ อยา่ ง ปลกู ปาุ ยางนา ประดู่ และเล้ยี งสัตว์ พชื ผัก ขิ่ง ข่า ตระไคร้ พริก จนถงึ ไม้ผลมะมว่ ง มะขาม ละมดุ อยา่ งละ 20 ต้น 10 ตน้ 5 ตน้ และปลูกสวนปุารกั ษาส่งิ แวดลอ้ ม บนพ้นื ที่ 10 ไร่ พน้ื ท่ีเหมาะสม มีทนุ มี ความรู้ มที นุ มีแรงงาน รู้ช่วงเวลาดาเนินการเมื่อไหร่ กาหนดเวลาได้ ความมีเหตผุ ล ทาไมการปลกู พืชหลายชนดิ ทต่ี ลาดต้องการไมต่ อ้ งเสยี เงนิ ซื้อจากตลาดทุกอยา่ งมีกิน มใี ช้ เหลอื ขาย ได้ เช่น ผักสวนครัว ผลไม้ ใช้ป๋ยุ ธรรมชาติ มีเงินออม มีผลตอบแทนคุ้มทุน ใช้ทรพั ยากรอยา่ งค้มุ คา่ เห็น ช่องทางในการประกอบอาชีพ (หนงั สือเรยี นวชิ าเศรษฐกจิ พอเพียง ม.ต้นบริษทั ไผม่ ิดีเดยี ) การมีภูมิคุ้มกันในตวั ทีด่ ี ใครทา ผ้ตู ัดสนิ ใจเลือกอาชีพและครอบครัวมีความมงุ่ มั่น ขยันและอดทน ทา่ มกลางความไม่เช่อื ม่ันของคนอน่ื มงี าน มีเงนิ มีอาชพี มีความมน่ั คงในชวี ิตใช้แรงงานในครอบครวั ครอบครวั อบอุ่น จาก คณุ ลกั ษณะ ท้ัง 3 ประการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะต้องมีเงอ่ื นไข 2 ประการ คอื เงื่อนไขความรู้ ทาอยา่ งไร ผูต้ ัดสินใจเร่ืองอาชพี ร้วู ิธวี างแผนในการประกอบอาชีพ มคี วามรูใ้ นการปลกู พืช สร้างความ สมดุลของพืชแต่ละชนิด รคู้ วามตอ้ งการของตลาด ทาบัญชีรับ จา่ ย วิเคราะห์ ความต้องการของตลาดทข่ี ยาย ผลผลติ ของตนได้ เงอ่ื นไขคณุ ภาพและคณุ ธรรม ทาอยา่ งไรมีความซื่อสตั ย์ สุจริต ไมผ่ ดิ กฎหมาย และไมขัดศลี ธรรม ไมท่ าลายส่งิ แวดล้อม มี จรรยาบรรณในการประกอบอาชพี ข้นั ที่ 2. แสวงหาขอ้ มลู และจดั กจิ กรรมการเรียนรู้(N : New ways of learning) 1.ชมมิวสกิ วดี ีโอเพลงล้นเกลา้ เผ่าไทย ของ สายณั สัญญาและ เพลง ยาใจคนจน ของไมค์ ภริ มย์พร 2.ครแู ละผเู้ รยี นสรปุ เน้ือหาจากการชม วดี โี อ เพลงล้นเกล้าเผา่ ไทย ของ สายณั สัญญา จากมิวสิก เพลง ยาใจคนจน ตามหัวข้อดงั นี้ ใครเปน็ รอ้ ง เนื้อหาเก่ยี วกับอะไร มคี ุ ณธรรมดา้ นไหนบ้าง สามารถนาไป เป็นแนวทางในการดาเนินชวี ติ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงได้อยา่ งไร ข้ันที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (I : Implementation)
1.นกั เรียนแบ่งกลุม่ รว่ มกันวางแผนสิ่งท่ีสามารถนาไปปรับใชใ้ นชีวิตประจาวนั ด้วยกระบวนการ คิด กจิ กรรม 2. นกั เรยี นศกึ ษาค้นควา้ ความสาคญั ของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งที่มีตอ่ สงั คมไทย พร้อมกบั ยกตวั อย่าง(Model)เศรษฐกิจทท่ี าให้คนไทยและสังคมไทยมั่นคง และผลเสยี ของความไม่พอเพยี งในสังคม(จาก หนงั สือพิมพ์ โทรทัศน์ ข่าวเศรษฐกจิ ข่าวปญั หาทางสังคมสรปุ องค์ความรู้ Mind Mapping เปน็ รายกลมุ่ นาเสนอผลงาน ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1.สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล 2.การสังเกตจากการนาเสนอ 3.การซักถามผู้เรยี น 4.ใบงาน 7. แผนการจดั การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง คน้ ควา้ หาความร้เู พิ่มเตมิ ดังนี้ 1.การวางแผนประกอบอาชีพ ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 2.โครงการวางแผนการเรยี นรู้/การประกอบอาชพี โดยใชก้ ระบวนการ 3 ห่วง 2 เงอ่ื นไข 8. ส่ือ/แหลง่ การเรียนรู้ 8.1 สบื คน้ ใน Internet 8.2 หนังสือแบบเรยี นรายวชิ า ทช 21001 รายวชิ าเศรษฐกิจพอเพยี ง ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 สือ่ สง่ิ พิมพ์ 9. กระบวนการวัดผลประเมนิ ผล 9.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล 9.1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผู้เรียนรายบคุ คล 9.2 เครอื่ งมือวดั และประเมนิ ผล . 9.2.1 แบบฝกึ หัด . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกล่มุ 9.2.4 การสงั เกตพฤตกิ รรมการมสี ่วนรวม
ช่ือ.................................................................ร..ห. ัสนักศกึ ษา........................................ม...ตน้ ใบงาน วิชาเศรษฐกิจพอเพียง หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรื่อง การวางแผนประกอบอาชพี แบบพอเพียง 1. ให้นกั ศึกษาอธิบาย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง มีอะไรบา้ ง และแตล่ ะห่วง แต่ ละเงอ่ื นไขมคี วามหมายอย่างไร ............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ 2. .ให้นกั ศึกษาสมมติเหตกุ ารณ์วางแผนประกอบอาชพี ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง มา 1 เหตุการณ์ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................. ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรยี นรู้ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรยี นรู้ สถานการณพ์ ลังงานไฟฟูาของประเทศไทย และแหล่งทีม่ า รหสั วชิ า พว 22002 รายวชิ า การใชไ้ ฟฟาู ในชวี ิตประจาวัน 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 เรื่อง สถานการณ์พลังงานไฟฟาู ของประเทศไทย และแหล่งท่มี า ระยะเวลา 6 ช่วั โมง 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะ และเหน็ คณุ ค่าเกยี่ วกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยีสิ่งมชี วี ิต ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถ่นิ และประเทศ สาร แรง พลงั งานกระบวนการ เปลี่ยนแปลงของโลกและดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์ และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการดาเนนิ ชวี ติ 2.ผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวงั นักศกึ ษาสามารถบอกสถานการณ์พลังงานไฟฟาู ของประเทศไทย และประเทศใน อาเซยี นได้อย่าง ถูกตอ้ ง 3.สาระสาคัญ พลงั งานไฟฟาู เป็นพลงั งานรปู แบบหน่ึงที่ก่อให้เกดิ พลังงานอ่นื ๆ ได้ เชน่ ความรอ้ น และแสงสว่าง เปน็ ต้น จึงเป็นเหตใุ หพ้ ลงั งานไฟฟาู กลายเปน็ ส่งิ จาเป็นตอ่ การดาเนินชวี ติ ประจาวันของมนษุ ยใ์ นปัจจบุ นั จาก อดตี จนถึงปัจจุบนั ประเทศไทยมีแนวโน้มการใช้พลงั งานไฟฟูา เพ่ิมมากขึ้นอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยเชอ้ื เพลงิ ทใ่ี ช้ใน การผลติ ไฟฟูาไดม้ าจากทัง้ แหลง่ เชอ้ื เพลิงภายในประเทศและภายนอกประเทศ รวมถงึ ซ้อื ไฟฟูาจาก ต่างประเทศ ดังนั้นเพ่อื ให้มพี ลงั งานไฟฟาู ใชอ้ ยา่ งเพียงพอทงั้ ในปจั จุบนั และอนาคต หน่วยงานท่เี ก่ยี วข้องด้าน พลังงานไฟฟูา ในประเทศไทยจงึ ตอ้ งมกี ารวางแผนเพอ่ื ความมนั่ คงทางพลังงานไฟฟูาต่อไป 4.สาระการเรียนร/ู้ เนอ้ื หา 1.บอกการกาเนดิ ของไฟฟูา 2.บอกสัดสว่ นเชือ้ เพลิงทใ่ี ช้ในการผลติ ไฟฟาู ของประเทศไทย 3. ตระหนักถงึ สถานการณข์ องเชอ้ื เพลงิ ท่ใี ช้ในการผลติ ไฟฟูาของประเทศไทย 4. วเิ คราะหส์ ถานการณ์พลงั งานไฟฟาู ของประเทศไทย 5.จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.นกั ศึกษาสามารถบอกแหล่งพลงั งานทีใ่ ช้ในการผลติ พลงั งานไฟฟูาไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง 2. นกั ศกึ ษาสามารถบอกขอ้ ดี ข้อจากดั ของเชอ้ื เพลงิ และพลังงานทใ่ี ชใ้ นการผลติ ไฟฟาู ได้อยา่ งถูกตอ้ ง 3. นกั ศกึ ษาสามารถบอกผลกระทบและการจดั การสงิ่ แวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 6.กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ONIE MODEL ขั้นที่ 1. กาหนดสภาพปญั หา (O : Orientation) - ครูสอบถามความรูเ้ กี่ยวกบั เชอ้ื เพลิงท่สี ามารถผลิดกระแสไฟฟูาได้ ขัน้ ที่ 2. แสวงหาขอ้ มูลและจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ครมู อบหมายใหผ้ เู้ รยี นไปศกึ ษาเกย่ี วกับเรือ่ งดังนี้ 1.การกาเนิดและแหล่งท่ีมาของไฟฟาู 2.ขอ้ ดี ข้อจากดั ของเชือ้ เพลงิ และพลงั งานท่ใี ช้ในการผลิตไฟฟาู ได้อย่างถูกตอ้ ง
Search