Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.เอก-พุทธประวัติ

แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.เอก-พุทธประวัติ

Published by suttasilo, 2021-06-28 10:56:22

Description: แนวทางจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษาเอกวิชาพุทธประวัติ

Keywords: แนวทางจัดการเรียนรู้,ธรรมศึกษาเอก,วิชาพุทธประวัติ

Search

Read the Text Version

แนวทางการจัดการเรยี นรู ธรรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาพทุ ธานุพุทธประวตั ิ สํานกั สง เสรมิ กิจการการศึกษา สาํ นักงานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร

แนวทางการจดั การเรียนรู้ ธรรมศกึ ษา ชนั้ เอก วิชาพทุ ธานุพุทธประวตั ิ สำนกั สง่ เสริมกิจการการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชนั้ เอก วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิ พ.ศ. ๒๕๕๘ ปที ีพ่ ิมพ์ ๑๐๐ เลม่ จ ำนวนพมิ พ ์ ลขิ สทิ ธ ิ์ สำนกั ส่งเสรมิ กจิ การการศกึ ษา สำนกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พิมพท์ ่ ี โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั ๗๙ ถนนงามวงศว์ าน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรงุ เทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑ นายโชคดี ออสวุ รรณ ผพู้ ิมพ์ผโู้ ฆษณา

คำนำ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษา ระหว่างสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการ การอดุ มศกึ ษา และสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจหลกั พทุ ธธรรม ที่ถูกต้อง มีความรู้คู่คุณธรรม เสริมสร้างศีลธรรม เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้เรียน ห่างไกลอบายมขุ สิ่งเสพตดิ ส่งิ ผิดกฎหมาย และนำไปสคู่ วามสงบเรยี บร้อยของสงั คม เพ่ือให้เกิดการขับเคล่ือนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัด การเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดเป็นรูปธรรม อันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในสถานศึกษา อย่างยั่งยืน กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัดทำแนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี โท เอก เพ่อื ใหน้ ักเรียน นิสิต นกั ศึกษา มคี วามรูค้ วามเข้าใจเก่ียวกับวิชาธรรม วชิ าพทุ ธ และวชิ าวนิ ัย กระทรวงศึกษาธิการหวังเป็นอย่างย่ิงว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี โท เอก จะเป็นแนวทางการเรียนการสอนให้กับคณะครู อาจารย์ นำไปสอนได้ตามหลักสูตร เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และขอขอบคณุ คณะผจู้ ดั ซง่ึ ประกอบดว้ ย สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครปฐม เขต ๒ สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต ๓ และโรงเรยี นวดั ราชบพธิ ทม่ี คี วามมงุ่ มนั่ ตงั้ ใจ พฒั นาเอกสารชดุ นอี้ ยา่ งเต็มความสามารถจนบรรลวุ ัตถุประสงค์ (รองศาสตราจารยก์ ำจร ตตยิ กว)ี ปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ



สารบัญ หน้า ๑ ๓ เรือ่ ง ๑๐ คำนำ ๑๖ บทท่ี ๑ ประวตั นิ ักธรรม ธรรมศึกษา ๑๗ บทท่ี ๒ เทคนิควธิ สี อนของพระพทุ ธเจา้ ๕๔ บทท่ี ๓ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ และสาระการเรยี นรู้ ๙๗ บทท่ี ๔ แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑ ๑๓๖ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒ ๑๕๔ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๓ ๑๕๕ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๔ ๑๖๐ บทที่ ๕ แบบทดสอบ ๑๖๑ แบบทดสอบก่อนเรยี น ๑๖๖ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน ๑๖๗ แบบทดสอบหลังเรยี น ๑๖๙ เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น ๑๗๐ ภาคผนวก บรรณานุกรม คณะผ้จู ัดทำ

แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าพทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ

บทที่ ๑ ประวตั ินกั ธรรม ธรรมศึกษา การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือท่ีเรียกกันว่า นักธรรม เกิดข้ึนตามพระดำริ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นการศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทย เพื่อให้ภิกษุสามเณรผู้เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาพระธรรมวินัยได้สะดวก และทั่วถงึ อนั จะเป็นพน้ื ฐานนำไปสสู่ ัมมาปฏบิ ตั ิ ตลอดจนเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาให้กวา้ งไกลออกไป การศึกษาพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณมา นิยมศึกษาเป็นภาษาบาล ี ท่ีเรียกว่าการศึกษาพระปริยัติธรรม ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีเรียนรู้ได้ยากสำหรับภิกษุสามเณรทั่วไป จึงปรากฏว่า ภิกษุสามเณรที่มีความรู้ในพระธรรมวินัยอย่างทั่วถึงมีจำนวนน้อย เป็นเหตุให้สังฆมณฑลขาดแคลน พระภิกษุผู้มีความรู้ความสามารถท่ีจะช่วยกิจการพระศาสนาทั้งในด้านการศึกษา การปกครอง และ การแนะนำสง่ั สอนประชาชน ดังนั้น สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส จึงได้ทรง พระดำริวิธีการเล่าเรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทยขึ้น สำหรับสอนภิกษุสามเณรวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นคร้ังแรก นับแต่ทรงรับหน้าท่ีปกครองวัดบวรนิเวศวิหาร เม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา โดยทรง กำหนดหลักสูตรการสอนให้ภิกษุสามเณรได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาท้ังด้านหลักธรรม พุทธประวัติ และพระวินัย ตลอดถึงหดั แต่งแกก้ ระทธู้ รรม เมื่อทรงเห็นว่า การเรียนการสอนพระธรรมวินัยเป็นภาษาไทยดังน้ีได้ผล ทำให้ภิกษุ สามเณรมีความรู้กว้างขวางขึ้น เพราะเรียนรู้ได้ไม่ยาก จึงทรงดำริท่ีจะขยายแนวทางน้ีไปยังภิกษุ สามเณรทั่วไปด้วย ประกอบกับใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ประเทศไทยเร่ิมมีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ซึ่งภิกษุทั้งหมดจะได้รับการยกเว้น ส่วนสามเณรจะยกเว้นให้เฉพาะสามเณรผู้รู้ธรรม ทางราชการได้ ขอใหค้ ณะสงฆช์ ว่ ยกำหนดเกณฑข์ องสามเณรผรู้ ธู้ รรม สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณ วโรรส จึงทรงกำหนดหลักสูตรองค์สามเณรรู้ธรรมข้ึน ต่อมาได้ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์สามเณร ร้ธู รรมนัน้ เปน็ “องคน์ กั ธรรม” สำหรับภกิ ษุสามเณรชนั้ นวกะ (คือผบู้ วชใหม)่ ท่ัวไป ได้รับพระบรม ราชานุมตั ิ เมื่อวนั ที่ ๒๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และโปรดใหจ้ ดั การสอบในสว่ นกลางข้นึ เป็นครั้งแรก ในเดอื นตลุ าคมปเี ดยี วกนั โดยใชว้ ดั บวรนเิ วศวหิ าร วดั มหาธาตุ และวดั เบญจมบพติ ร เปน็ สถานทสี่ อบ การสอบครง้ั แรกนี้ ๓ วิชา คอื ธรรมวภิ าคในนวโกวาท แต่งความแก้กระทธู้ รรม และแปลภาษามคธ เฉพาะทอ้ งนทิ านในอรรถกถาธรรมบท พ.ศ. ๒๔๕๕ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมให้เหมาะสมสำหรับภิกษุสามเณร ทวั่ ไปจะเรยี นรไู้ ดก้ วา้ งขวางยงิ่ ขนึ้ โดยแบง่ หลกั สตู รเปน็ ๒ อยา่ ง คอื อยา่ งสามญั เรยี นวชิ าธรรมวภิ าค พุทธประวัติ และเรียงความแก้กระทู้ธรรม และอย่างวิสามัญ เพิ่มแปลอรรถกถาธรรมบท มีแก้อรรถบาลีไวยากรณ์และสมั พันธ์ และวนิ ยั บญั ญตั ิที่ตอ้ งสอบทง้ั ผู้ท่ีเรยี นอยา่ งสามญั และวสิ ามัญ แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ช้ันเอก วิชาพุทธานุพทุ ธประวัติ

พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมอีกคร้ังหนึ่ง โดยเพ่ิมหลักธรรมหมวด คิหิปฏิบัติเข้าในส่วนของธรรมวิภาคด้วย เพ่ือให้เป็นประโยชน์ในการครองชีวิตฆราวาส หากภิกษุ สามเณรรูปนั้น ๆ มีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกไปด้วยเหตุใดเหตุหน่ึง เรียกว่า นักธรรมชั้นตรี การศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั แบบใหมน่ ไี้ ดร้ บั ความนยิ มจากหมภู่ กิ ษสุ ามเณรอยา่ งกวา้ งขวางและแพรห่ ลาย ไปอยา่ งรวดเรว็ เพยี ง ๒ ปแี รก กม็ ภี กิ ษสุ ามเณรสมคั รเขา้ สอบสนามหลวงเกอื บพนั รปู เมอื่ ทรงเหน็ วา่ การศึกษานักธรรมอำนวยคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและภิกษุสามเณรท่ัวไป ในเวลาต่อมาจึงทรง พระดำริขยายการศึกษานักธรรมให้ทั่วถึงแก่ภิกษุทุกระดับ คือ ทรงต้ังหลักสูตรนักธรรมชั้นโท สำหรับภิกษุช้นั มัชฌิมะ คอื มพี รรษาเกิน ๕ แตไ่ ม่ถงึ ๑๐ และนกั ธรรมชัน้ เอก สำหรับภิกษชุ ้นั เถระ คอื มีพรรษา ๑๐ ขึ้นไป ดังทีเ่ ปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาข้นั พื้นฐานของคณะสงฆ์สบื มาตราบถึงทุกวนั น้ ี ตอ่ มาพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ วดั ราชบพธิ - สถิตมหาสีมาราม ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ การศึกษานักธรรมมิได้เปน็ ประโยชน์ต่อภกิ ษุสามเณรเทา่ นั้น แม้ผู้ที่ยังครองฆราวาสวิสัยก็จะได้รับประโยชน์จากการศึกษานักธรรมด้วย โดยเฉพาะสำหรับเหล่า ขา้ ราชการครู จงึ ทรงตง้ั หลกั สตู รนกั ธรรมสำหรบั ฆราวาสข้นึ เรยี กว่า “ธรรมศึกษา” มคี รบทัง้ ๓ ชน้ั คือ ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ซึ่งมีเน้ือหาเช่นเดียวกันกับหลักสูตรนักธรรมภิกษุสามเณร เว้นแต ่ วินัยบัญญัติท่ีทรงกำหนดใช้เบญจศีล เบญจธรรม และอุโบสถศีลแทน ได้เปิดสอบธรรมศึกษาช้ันตรี ครั้งแรกเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๒ และเปิดสอบครบทุกช้ันในเวลาต่อมา มีฆราวาสทั้งหญิงและชายเข้าสอบ เป็นจำนวนมาก นับเปน็ การส่งเสรมิ การศึกษาพระพุทธศาสนาให้กวา้ งขวางย่งิ ข้นึ ปัจจบุ นั การศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรมแผนกธรรมนี้ มีสมเดจ็ พระวนั รตั (จุนท์ พฺรหฺมคตุ ฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เน้นการพัฒนาศาสนทายาทให้มีคุณภาพสามารถ ดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วยดี ท้ังถือว่าเป็นกิจการของคณะสงฆ์ส่วนหนึ่งท่ีสำคัญย่ิงในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมาต้ังแตค่ รั้งอดีตจนถึงปัจจบุ ัน แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้ันเอก วชิ าพุทธานพุ ทุ ธประวัติ

บทท่ี ๒ เทคนคิ วิธีสอนของพระพุทธเจ้า ๑. การทำนามธรรมให้เป็นรปู ธรรม ทำของยากให้งา่ ย ธรรมะเปน็ เร่อื งนามธรรมท่ีมเี นือ้ หาลกึ ซึ้ง ยากทีจ่ ะเข้าใจ ยิง่ เป็น ธรรมะระดับสูงสุดก็ยิ่งลึกล้ำคัมภีรภาพยิ่งขึ้น...ความสำเร็จแห่งภารกิจการส่ังสอนประชาชนส่วนหน่ึง เพราะพระองคท์ รงใช้เทคนคิ วิธกี ารทำของยากใหง้ า่ ย เชน่ ๑.๑ การใช้อุปมาอุปไมย วิธีน้ีเป็นวิธีทรงใช้บ่อยที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะทำให้ผู้ฟัง มองเห็นภาพและเข้าใจง่ายโดยไม่ตอ้ งเสียเวลาอธิบายความให้ยดื ยาว ๑.๒ ยกนิทานประกอบ เปน็ เทคนคิ หรือกลวธิ ีหนง่ึ ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงใช้บ่อย ๑.๓ ใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอน เทคนิควิธีสอนด้วยการกระทำของยากให้ง่าย หรอื ทำนามธรรมใหเ้ ป็นรูปธรรม นอกจากใชอ้ ุปมาอปุ ไมยและเล่านิทานประกอบแล้ว ยงั มอี กี วิธหี นงึ่ อันเปน็ วิธีท่พี ระพุทธองคท์ รงใช้มากพอ ๆ กบั สองวิธีขา้ งต้น คือ การใชส้ ่อื อุปกรณ์หรือใชส้ ่ือการสอน ๒. ทำตนเป็นตัวอย่าง ในแง่ของการสอนอาจแบง่ ออกเป็น ๒ อยา่ ง คอื ๒.๑ ทำใหด้ ูหรือสาธิตใหด้ ู ๒.๒ ปฏิบตั ใิ หด้ ูเปน็ ตวั อยา่ ง ๓. ใชถ้ ้อยคำเหมาะสม การสอนท่ีจะประสบผลสำเร็จ ผู้สอนจะต้องรู้จักใช้คำ ต้องให้ผู้ฟังรู้สึกว่าผู้พูด พูดด้วยเมตตาจิต มใิ ช่พูดดว้ ยความมุง่ รา้ ย ๔. เลือกสอนเป็นรายบุคคล ผู้สอนต้องรู้ว่าคนฟังน้ันต่างภูมิหลัง ต่างความสนใจ ต่างระดับสติปัญญาการเรียนรู้ เพราะฉะนั้นการเลือกสอนเป็นรายบุคคลจะช่วยให้การสอนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ถ้าทำได ้ ก็ควรใชว้ ิธีนี้ แม้จะสอนเปน็ กลุม่ ก็ต้องเอาใจใสน่ กั เรียนทีม่ ปี ัญหาเปน็ รายบคุ คลใหไ้ ด้ ๕. รจู้ กั จงั หวะและโอกาส ดคู วามพรอ้ มของผเู้ รยี น รจู้ กั คอยจงั หวะอนั เหมาะสม ถา้ ผเู้ รยี นไมพ่ รอ้ มกเ็ หนอื่ ยเปลา่ ๖. ยดื หยนุ่ ในการใช้เทคนคิ วธิ ี เทคนคิ วธิ บี างอยา่ งใชไ้ ดผ้ ลในวนั นี้ ตอ่ ไปวนั ขา้ งหนา้ อาจใชไ้ มไ่ ดก้ ไ็ ด้ จงึ ควรยดื หยนุ่ วธิ กี าร ๗. การเสริมแรง มีคำพูดสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า “ทรงชมคนที่ควรชม ตำหนิคนท่ีควรตำหนิ” การชมเป็นการยอมรับความสามารถหรือให้กำลังใจให้ทำอย่างน้ันยิ่ง ๆ ขึ้นไป การตำหนิเป็นการ ตักเตอื นมใิ ห้ประพฤตเิ ชน่ นน้ั อีกตอ่ ไป แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าพทุ ธานุพุทธประวตั ิ

หลักสำคัญทีค่ รูผ้สู อนควรทราบ หลักสำคัญคือหลกั การใหญ่ ๆ ของการสอนไม่วา่ จะสอนเรอ่ื งอะไรกม็ อี ยู่ ๓ หลัก คือ ๑. หลักเกี่ยวกับเนอ้ื หาที่สอน ๒. หลกั เกยี่ วกับตวั ผูเ้ รียน ๓. หลกั เกยี่ วกับตัวผู้สอน ก. หลักเก่ียวกบั เนือ้ หาท่สี อน คนจะสอนคนอ่ืนต้องรู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาสอนเขาเสยี ก่อน ไม่ใช่คิดแต่วิธีการสอน วา่ จะสอนอยา่ งไร ตอ้ งคดิ กอ่ นวา่ จะเอาอะไรไปสอนเขา พระพทุ ธเจา้ แนะนำวา่ ผสู้ อนตอ้ งคำนงึ เสมอวา่ ต้องสอนสิง่ ที่รู้เหน็ หรือเขา้ ใจงา่ ยไปหาสิ่งที่เข้าใจยาก ๑. สอนเนอื้ หาทีล่ มุ่ ลึกลงไปตามลำดับ ๒. สอนดว้ ยของจริง ๓. สอนตรงตามเน้ือหา ๔. สอนมีเหตุผล ๕. สอนเท่าท่จี ำเปน็ ตอ้ งร ู้ ๖. สอนส่ิงทีม่ ีความหมายและเป็นประโยชนแ์ ก่ผเู้ รียน ข. หลกั เกีย่ วกับตัวผ้เู รยี น ๑. พระพุทธองค์จะทรงสอนใคร ทรงดูบุคคลผู้รับการสอนหรือผู้เรียนก่อนว่า บคุ คลน้ัน ๆ เป็นคนประเภทใด มีพ้ืนความรู้ความเข้าใจหรอื ความพร้อมแค่ไหน และควรจะสอนอะไร แคไ่ หน ๒. นอกจากดูความแตกต่างของผ้เู รยี นแล้ว ยังตอ้ งดูความพรอ้ มของผ้เู รียนดว้ ย ๓. สอนใหผ้ ูเ้ รียนทำดว้ ยตนเอง ๔. ผเู้ รียนจะตอ้ งมีบทบาทร่วมดว้ ย ๕. ครูต้องเอาใจใส่ผู้เรยี นทม่ี ีปัญหาเป็นพเิ ศษ ค. หลกั เกีย่ วกบั ตวั ผ้สู อน ๑. สร้างความสนใจในการสอนคนนั้น (การนำเขา้ สูบ่ ทเรียน) ๒. สร้างบรรยากาศในการเรยี นการสอนให้ปลอดโปร่ง ๓. มุ่งสอนเนอ้ื หา มงุ่ ใหผ้ ู้ฟงั เกดิ ความรูค้ วามเข้าใจและเปลย่ี นพฤติกรรมในทางทีด่ ี ๔. ตัง้ ใจสอน สอนโดยเคารพ ถอื วา่ งานสอนเปน็ งานสำคัญ ๕. ใชภ้ าษาเหมาะสม ผสู้ อนคนอน่ื ควรมคี วามสามารถในการสอื่ สาร ใชค้ ำพดู ทถี่ กู ตอ้ ง และเหมาะสมกบั บคุ คลและสถานการณ์ หลกั การสอนแนวพุทธวธิ ี พระพทุ ธเจา้ นน้ั ทรงเปน็ พระบรมครู ยอดครขู องผสู้ อน พระองคท์ รงมหี ลกั การในการสอน มากมายหลายหลกั การ เรยี กว่า “หลัก ๔ ส” คอื แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วิชาพุทธานุพทุ ธประวัติ

๑. สันทสั สนา อธบิ ายให้เหน็ ชดั แจ้ง เหมือนจูงมือใหม้ าดูดว้ ยตา ๒. สมาทปนา ชกั จงู ใหเ้ หน็ จรงิ เหน็ จงั ตาม ชวนใหค้ ลอ้ ยตาม จนยอมรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ ๓. สมุตเตชนา เร้าใจ เกิดความกล้าหาญ มีกำลังใจ ม่ันใจว่าทำได้ไม่หวั่นไหว ต่ออปุ สรรคทีม่ มี า ๔. สัมปหงั สนา มวี ธิ สี อนทชี่ ว่ ยใหผ้ ฟู้ งั รา่ เรงิ เบกิ บาน ฟงั ไมเ่ บอ่ื เปยี่ มลน้ ไปดว้ ยความหวงั สรปุ หลกั การท่ัวไปของการสอน คอื แจ่มแจ้ง-จงู ใจ-หาญกล้า-รา่ เริง หลักการสอนพุทธวธิ แี บบสนทนา (สากจั ฉาหรือธรรมสากัจฉา) เป็นวิธีท่ีทรงใช้บ่อยท่ีสุด พระองค์ชอบใช้วิธีน้ีอาจเป็นด้วยว่าผู้ฟังได้มีโอกาสแสดง ความคิดเห็น ทำให้การเรียนการสอนสนุกไม่รู้สึกว่าตนกำลัง “เรียน” หรือกำลัง “ถูกสอน” แตจ่ ะรูส้ ึกว่าตนกำลังสนทนาปราศรัยกับพระพทุ ธองค์อย่างสนุกสนาน หลกั การสอนพทุ ธวิธแี บบตอบปัญหา (ปจุ ฉา-วสิ ัชนา) ผถู้ ามปัญหาอาจถามด้วยจุดประสงคห์ ลายอยา่ ง เช่น ๑. บางคนถามเพอื่ ต้องการคำตอบในเรื่องทสี่ งสัยมานาน ๒. บางคนถามเพือ่ ลองภมู วิ า่ คนตอบรู้หรอื ไม ่ ๓. บางคนถามเพื่อข่มหรอื ปราบใหผ้ ู้ตอบอับอาย ๔. บางคนถามเพอ่ื เทียบเคียงกบั ความเช่อื หรอื คำสอนในลทั ธศิ าสนาของตน พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่า การตอบปัญหาใด ๆ ต้องดูลักษณะของปัญหาและเลือกวิธีตอบ ใหถ้ กู ต้องเหมาะสม พระองคจ์ ำแนกประเภทของปญั หาไว้ ๔ ประการ คอื ๑. ปัญหาบางอยา่ งตอ้ งตอบตรงไปตรงมา ๒. ปัญหาบางอยา่ งต้องย้อนถามก่อนจงึ ตอบ ๓. ปัญหาบางอย่างตอ้ งแยกความตอบ ๔. ปญั หาบางอยา่ งต้องตัดบทไปเลยไมต่ อบ วธิ คี ดิ แบบอริยสจั ๔/คดิ แบบแกป้ ญั หา เป็นการคิดแบบแก้ปัญหาเรียกว่า “วิธีแห่งความดับทุกข์” จัดเป็นวิธีคิดแบบหลัก อย่างหนึ่งเป็นวิธีคิดตามเหตุและผลหรือเป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไข และทำการท่ีต้นเหตุ จดั เป็น ๒ คู่ คือ คทู่ ่ี ๑ ทุกขเ์ ปน็ ผล เป็นตัวปญั หา เปน็ สถานการณ์ทป่ี ระสบซ่งึ ไมต่ ้องการ สมุทัยเปน็ เหตุ เปน็ ท่ีมาของปัญหา เป็นจดุ ทีจ่ ะต้องกำจัดหรือแก้ไขจึงจะพ้นจาก ปัญหาได ้ คทู่ ่ี ๒ นโิ รธเป็นผล เป็นภาวะสน้ิ ปัญหา เปน็ จุดหมายซ่ึงต้องการจะเขา้ ถึง มรรคเปน็ เหตุ เป็นวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติที่ต้องกระทำในการแก้ไขสาเหตุ เพ่ือ บรรลจุ ดุ หมาย คอื ภาวะสิ้นปัญหาอันได้แกค่ วามดับทุกข ์ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั เอก วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวัติ

กระบวนการจัดการเรียนรแู้ บบพทุ ธวิธี ๙ อยา่ ง ๑. การจดั กิจกรรมการเรยี นรพู้ ุทธวิธแี บบอุปมาอปุ ไมย (การเปรียบเทียบ) ข้นั สืบค้นและข้ันเชื่อมโยง - เปรยี บเทยี บนามธรรมกบั รปู ธรรมใหผ้ เู้ รยี นเหน็ ชดั เจน ครผู สู้ อนและผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ ม - ความแตกตา่ งระหว่างส่ิงทีเ่ ป็นนามธรรมกบั รปู ธรรม ขั้นฝกึ - ยกตัวอย่างส่งิ ท่เี ป็นนามธรรมกบั รปู ธรรม - ผเู้ รยี นแตล่ ะรปู หรอื แตล่ ะกลมุ่ รว่ มอภปิ รายหรอื นำเสนอสง่ิ ทเ่ี ปน็ นามธรรมกบั รปู ธรรม - หาข้อสรุปเก่ยี วกบั เนือ้ หาที่เปน็ นามธรรม-รูปธรรม ข้นั ประยกุ ต์ - คน้ ควา้ สง่ิ ทเ่ี ปน็ นามธรรมกบั รปู ธรรมในเนอื้ หาอน่ื ๆ นอกเหนอื จากเนอ้ื หาทกี่ ำหนดให ้ ๒. การจัดกจิ กรรมการเรียนรพู้ ุทธวิธีแบบปจุ ฉา-วสิ ัชนา (การถาม-ตอบ) ข้นั สบื คน้ และขั้นเชือ่ มโยง - การทำหน้าท่เี ป็นผ้ถู าม-ตอบท่ีถูกต้องเหมาะสมแกก่ าลเทศะ - วิธีถาม-ตอบ (ตอบทันทีเมื่อมีผู้ถาม ตอบแบบมีเงื่อนไข ย้อนถามผู้ถามก่อน แลว้ จึงตอบ น่งิ เสียไม่ตอบ เป็นต้น) ขัน้ ฝกึ - ตวั อย่างการถาม-ตอบ - ถาม-ตอบแบบคนต่อคน ถาม-ตอบแบบกลุ่มต่อกลุ่ม ถาม-ตอบแบบกลุ่มต่อคน เป็นต้น - หาข้อสรุปเนอ้ื หาท่ีเกี่ยวกับการถาม-ตอบ ขนั้ ประยกุ ต์ - ค้นคว้าเพม่ิ เตมิ นอกเหนอื จากเนอื้ หาท่กี ำหนดไว้ในแผนจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ๓. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้พทุ ธวิธแี บบธรรมสากจั ฉา (การสนทนา) ขน้ั สบื คน้ และขน้ั เชื่อมโยง - ครผู ู้สอนเสนอสถานการณท์ ี่เป็นปญั หาหรอื จำลองสถานการณ์ ขน้ั ฝึก - ผู้เรียน/ครูผู้สอน-อภิปรายในประเด็นท่ีเป็นปัญหา หัวข้อ หรือสถานการณ์ ตามเนอ้ื หาท่กี ำหนด - หาขอ้ สรปุ ในประเดน็ ทเ่ี ปน็ ปญั หา หวั ขอ้ หรอื สถานการณจ์ ากการสนทนาอภปิ ราย ขั้นประยุกต ์ - ศกึ ษาเพิม่ เติมการสนทนา-อภิปรายของบคุ คล กลุ่มคน ละคร องคก์ ร เป็นต้น แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชั้นเอก วิชาพุทธานพุ ุทธประวัติ

๔. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอริยสัจ ๔ (กำหนดปัญหา ต้ังสมมุติฐาน ทดลอง วิเคราะห์ สรุป) ขนั้ สืบคน้ (ทุกข)์ - กำหนดปัญหา ทีม่ าของปญั หา การเกิดปัญหา (ตามเนื้อหาที่กำหนด) ขน้ั เชือ่ มโยง (สมทุ ัย) - ตัง้ สมมุตฐิ าน การอนุมาน การคาดคะเน ความน่าจะเปน็ ปัจจยั เสยี่ ง ขัน้ ฝกึ (นโิ รธ) - ทดลอง เกบ็ ขอ้ มูล - วเิ คราะห์ สรุปผล ขั้นประยุกต์ (มรรค) - การนำไปประยกุ ตใ์ ช้กบั สิ่งอื่น ๆ นอกเหนอื จากเน้ือหาท่เี รียนรู ้ ๕. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบไตรสิกขา (ระเบียบวินัย จิตใจแน่วแน่ แก้ปัญหาถูกต้อง) ขน้ั สบื คน้ (ศลี ) - สรา้ งความมรี ะเบยี บวนิ ยั ความมศี รทั ธา ความตระหนกั ความเรา้ ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี น พรอ้ มท่จี ะเรียน ขั้นเชอ่ื มโยง (สมาธ)ิ - ให้ผู้เรียนรวมพลังจิต ความคิดอันแน่วแน่ในการตั้งใจฟัง ตั้งใจดู ตั้งใจจดจำ และเหน็ ความสำคญั ต่อเนื้อหาทีจ่ ะนำเสนอ ข้ันฝึก (ปญั ญา) - ใช้สมาธิ จิตใจอนั แน่วแนท่ ำความเข้าใจกับปัญหา - ค้นหาสาเหตุท่มี าท่ไี ปของปญั หา - แก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องและถูกวิธ ี ขั้นประยกุ ต์ (ปัญญา) - ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ เกิดปญั ญา และมีมโนทัศน์ในเรอ่ื งนนั้ ๆ ถูกต้อง ๖. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรพู้ ทุ ธวธิ แี บบพหสู ตู (ฟงั มาก ๆ เขยี นมาก ๆ ถามมาก ๆ คดิ วิเคราะหม์ าก ๆ) ขน้ั สืบค้นและข้ันเชื่อมโยง (การสร้างศรัทธา) - การจดั บรรยายในการนำเขา้ สูบ่ ทเรียน - การสรา้ งแรงจูงใจในการนำเขา้ สบู่ ทเรียน - บคุ ลกิ ภาพ ตลอดถงึ การวางตัวที่เหมาะสมของผสู้ อน - การสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างผู้เรยี นกบั ผู้สอน แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชั้นเอก วิชาพทุ ธานุพทุ ธประวัติ

ข้ันฝกึ (การฝึกทกั ษะ) - กจิ กรรมกล่มุ /รายบคุ คล - การปฏบิ ัติ/การนำเสนอ/การแสดงออก - ฝึกการเขียน การฟงั การถาม และการคดิ วิเคราะห์ ขั้นประยกุ ต ์ - การประเมนิ ตนเอง - การประเมนิ ของกลั ยาณมติ ร - การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเตมิ และการนำไปประยุกต์ใช ้ ๗. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรพู้ ทุ ธวธิ แี บบโยนโิ สมนสกิ าร (การทำไวใ้ นใจโดยแยบคาย การใชค้ วามคิดอย่างถูกวิธี) แบบท่ี ๑ ข้นั สืบคน้ และขั้นเชื่อมโยง - ผู้เรียนร้จู ักคดิ คิดเป็น คดิ อยา่ งมีระบบ - ผู้เรยี นรู้จกั มอง รจู้ ักพจิ ารณา ไตรต่ รอง วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ขนั้ ฝึก - ฝกึ การคิดหาเหตผุ ล - ฝึกการสืบค้นถงึ ตน้ เคา้ - ฝึกการสบื สาวใหต้ ลอดสาย - ฝกึ การแยกแยะส่ิงน้ัน ๆ ปัญหานั้น ๆ ตามสภาวะแห่งเหตแุ ละปัจจัย ขั้นประยุกต์ - ผู้เรียนนำการใชค้ วามคดิ อยา่ งถกู วธิ ไี ปประยกุ ตใ์ ช้กับเหตุการณป์ ัจจบุ ัน ๘. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบโยนิโสมนสิการ (สร้างศรัทธาและวิธีคิด ใหก้ บั ผู้เรียน) แบบท่ี ๒ ข้นั สบื ค้นและขน้ั เชอื่ มโยง - ครผู สู้ อนสรา้ งเจตคตทิ ่ีดีตอ่ ผเู้ รียน - ครูผ้สู อนเสนอปญั หาทเ่ี ป็นสาระสำคัญ หัวเร่อื ง - ครูผสู้ อนแนะแหลง่ วิทยาการ แหลง่ ขอ้ มูล ขน้ั ฝกึ - ผู้เรียนฝึกการรวบรวมขอ้ มลู - ครูผู้สอนจัดกิจกรรมให้เกิดกระบวนการคิดแก่ผู้เรียน เช่น คิดสืบค้นต้นเค้า คดิ สืบสาวตลอดสาย คิดสืบคน้ ตน้ ปลาย และคดิ โยงสายสมั พันธ์ แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาพทุ ธานุพทุ ธประวัติ

- ฝกึ การสรุปประเดน็ เปรียบเทยี บ ประเมินคา่ โดยวธิ อี ภปิ ราย ทดลอง ทดสอบ - ดำเนินการเลอื กและตดั สินใจ - กิจกรรมฝกึ ปฏบิ ัตเิ พ่อื พิสจู น์ผลการเลือกและตดั สนิ ใจ ขัน้ ประยุกต์ - สังเกตวิธีการปฏิบัติ ตรวจสอบ ปรบั ปรุง - อภิปรายและสอบถาม - สรปุ บทเรยี นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ - วดั และประเมนิ ผลตามสภาพจริง ๙. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอิทธิบาท ๔ (พอใจในสิ่งที่เรียนรู้ พากเพยี รตอ่ สง่ิ ทเี่ รยี นรเู้ สมอ มงุ่ มนั่ และเอาใจใสต่ อ่ สง่ิ ทเี่ รยี นรู้ คดิ วเิ คราะห์ ไตรต่ รอง กอ่ นนำไปใช)้ ขน้ั สบื คน้ (ฉนั ทะ) - สรา้ งความพอใจและความสำคัญต่อสิ่งทเ่ี รียนรู้ และสง่ิ ท่ไี ด้รับ ขั้นเช่อื มโยง (วิริยะ) - ฟังให้หมด จดใหม้ าก ปากตอ้ งไว ใจตอ้ งคดิ (หวั ใจบณั ฑติ สุ จิ ปุ ล)ิ ข้ันฝกึ (จิตตะ) - ม่งุ ม่นั โดยฝึกฟังมาก ๆ ฝกึ คิดมาก ๆ ฝกึ ถามมาก ๆ และฝึกเขียนมาก ๆ ขน้ั ประยกุ ต์ (วิมงั สา) - พจิ ารณา ไตรต่ รอง แยกแยะ อธบิ าย นำเสนอ และประยุกต์ใช้ การนิยามศัพทข์ นั้ ตอน/กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูพ้ ุทธวธิ ี สบื คน้ หมายถึง สบื สาวเร่ืองราว ค้นคว้าใหไ้ ด้เรื่อง เชอื่ มโยง หมายถึง ทำให้ติดเปน็ เน้อื เดียวกนั ทำใหป้ ระสานกนั ฝึก หมายถงึ ทำ เช่น บอก แสดง หรือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จนเป็นนสิ ยั หรือมคี วามชำนาญ ประยกุ ต ์ หมายถึง นำความรู้ในวิทยาการต่าง ๆ มาปรบั ใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ช้ันเอก วิชาพุทธานพุ ทุ ธประวัติ

10 บทที่ ๓ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ และสาระการเรียนร ู้ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๑ รู้ และเข้าใจ หลักธรรมของพระพุทธศาสนา มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่นและ ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรม เพื่ออยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสันตสิ ุข มาตรฐาน ธศ ๒ รแู้ ละเขา้ ใจพทุ ธประวตั ิ ความสำคญั ของพระพทุ ธศาสนา ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนทดี่ ี และธำรงรักษาพระพุทธศาสนา มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏิบตั ิตนตามหลกั พระวินยั บัญญตั ิของพระพทุ ธศาสนา แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชนั้ เอก วชิ าพทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ

11 มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ และสาระการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๖ รแู้ ละเขา้ ใจพทุ ธประวตั ิ ความสำคญั ของพระพทุ ธศาสนา ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชน ที่ดี และธำรงรักษาพระพุทธศาสนา ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ ธศ เอก ๑. รแู้ ละเข้าใจพุทธประวัติชาติกถา ชาติกถา - จตุ ิลงสูพ่ ระครรภ ์ บรรพชา และเสวยวิมตุ ติสขุ - ประวัตชิ มพทู วปี และประชาชน (สตั ตมหาสถาน) - ความเชื่อของคนในยคุ นน้ั - การสร้างเมอื งกบิลพสั ด์ุ และตัง้ ศากยวงศ์ - ลำดับพระวงศ ์ - พระมารดาทรงพระสบุ นิ นิมิต - พระโพธิสตั วป์ ระสตู ิ - มหาปรุ ิสลักษณะ ๓๒ - อนุพยญั ชนะ ๘๐ - อาสภิวาจา ดำรสั อย่างอาจหาญ - สหชาติ สง่ิ ทีอ่ ุบัตใิ นวนั เดยี วกับพระโพธสิ ัตว์ - ขนานพระนาม - พราหมณ์ ๘ คน ทำนายพระลกั ษณะ - พระนางสิรมิ หามายาทิวงคต - พระราชพิธวี ัปปมงคล - ทรงอภเิ ษกสมรส บรรพชา - ประพาสอทุ ยาน - ราหลุ ประสตู ิ - กีสาโคตรมชี มโฉม - มูลเหตใุ ห้เสร็จออกบรรพชา - เสร็จหอ้ งพระนางพิมพา - เสรจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ์ - ทรงทดลองปฏิบตั ติ ามลทั ธิตา่ ง ๆ - อุปมา ๓ ขอ้ - ทรงบำเพ็ญทุกรกริ ยิ า ๓ วาระ - ปัจจวคั คยี อ์ อกบวชตาม แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าพทุ ธานุพุทธประวตั ิ

12 ชัน้ ผลการเรียนร้ ู สาระการเรยี นร ู้ ธศ เอก - นางสชุ าดาถวายขา้ วมธปุ ายาส ๒. รู้และเข้าใจพุทธประวัติตัง้ แต ่ - พระสุบินนิมติ การประกาศพระศาสนา - ทรงลอยถาด ทรงบำเพญ็ พทุ ธกิจ - เสร็จสูต่ น้ พระศรมี หาโพธ ิ์ ศิษยพ์ ราหมณพ์ าวรี ๑๖ คน - ทรงผจญวสวัตตีมาร และประทานการบวชดว้ ยวิธี - บำเพญ็ เพียรทางใจและตรัสรู้ ญตั ตจิ ตุตถกรรมวาจา เสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ (สัตตมหาสถาน) การประกาศพระศาสนา - เสรจ็ โปรดฤษีปัญจวัคคีย์ - ทรงแสดงปฐมเทศนา - โกณฑัญญะไดด้ วงตาเห็นธรรม - ทรงประทานการบวชดว้ ยวธิ เี อหิภกิ ขุ อุปสัมปทา - ทรงแสดงอนัตตลกั ขณสูตร - โปรดยสกุลบุตร - ปฐมอบุ าสกอุบาสกิ าในพระพทุ ธศาสนา - สหายพระยสะ ๕๔ คนออกบวช - สง่ พระสาวก ๖๐ องค์ ไปประกาศพระศาสนา - ประทานอปุ สมบทแกภ่ ัททวัคคีย์ - โปรดชฎิล ๓ พี่นอ้ งและบรวิ าร - ทรงแสดงอาทติ ตปริยายสูตร - โปรดพระเจา้ พมิ พสิ าร - ความปรารถนาของพระเจา้ พิมพิสาร - ทรงรบั สวนเวฬุวนั เปน็ อารามสงฆ ์ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชัน้ เอก วชิ าพทุ ธานพุ ุทธประวตั ิ

ชัน้ ผลการเรียนร ู้ 13 ธศ เอก สาระการเรียนร ู้ ทรงบำเพ็ญพุทธกจิ - พระอคั รสาวกทงั้ สอง - พระสารบี ุตร - พระมหาโมคคลั ลานะ - พระเถระทูลลานพิ พาน ศษิ ย์พราหมณพ์ าวรี ๑๖ คน - ทรงแก้ปญั หามาณพ - ปญั หาอชิตมาณพ - ปัญหาตสิ สเมตเตยมาณพ - ปัญหาปณุ ณกมาณพ - ปัญหาเมตตคูมาณพ - ปัญหาโธตกมาณพ - ปญั หาอุปสวี มาณพ - ปญั หานนั ทมาณพ - ปญั หาเหมกมาณพ - ปญั หาโตเทยยมาณพ - ปัญหากปั ปมาณพ - ปัญหาชตุกัณณีมาณพ - ปัญหาภทั ราวุธมาณพ - ปัญหาอุทยมาณพ - ปญั หาโปสาลมาณพ - ปัญหาโมฆราชมาณพ - ปัญหาปงิ คยิ มาณพ - มาณพ ๑๖ คน ทูลขออุปสมบท ประทานการบวชดว้ ยวธิ ญี ตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา - ประวตั พิ ระราธะ - โปรดพระปุณณมนั ตานีบุตร แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าพุทธานพุ ทุ ธประวัติ

14 ช้ัน ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนร ู้ ธศ เอก ๓. รูแ้ ละเขา้ ใจพทุ ธประวัตติ ้งั แต่ เสดจ็ เมืองกบลิ พัสด์ุ - แสดงธรรมโปรดพระพทุ ธบดิ า เสดจ็ เมอื งกบิลพสั ด์ุ เจา้ ศากยะ - พระเจา้ สุทโธทนะบรรจุนาคามิผล ออกบวช โปรดพระพทุ ธมารดา - เสด็จประสาทพระนางยโสธรา พระสาวกและภกิ ษณุ ี - นนั ทกุมารออกบวช - รบั ส่งั ใหบ้ วชราหลุ กมุ ารเปน็ สามเณร - พระเจา้ สทุ โธทนะทูลขอพรการบวชกุลบุตร - พุทธบิดาทรงประชวรและบรรลพุ ระอรหนั ต ์ - ถวายพระเพลิงพระบรมศพ - อนาถปิณฑกิ ะสร้างวดั ถวาย เจ้าศากยะออกบวช - มูลเหตุใหอ้ นรุ ทุ ธะออกบวช - พระเทวทัตทำอนันตริยกรรม - แผ่นดินสูบพระเทวทัต - ทรงแสดงพระมหาปุรสิ วิตก ๘ ขอ้ - พระอนุรทุ ธะสรรเสริญสติปฏั ฐาน ๔ - พระอานนทท์ ลู ขอพร ๘ ประการ โ ปรดพระพทุ ธมารดา - ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย ์ - แสดงยมกปฏหิ าริยบ์ นตน้ มะมว่ ง - เสรจ็ จำพรรษาในดาวดงึ สโ์ ปรดพระพทุ ธมารดา - แสดงพระอภิธรรมปฎิ ก - เสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส ์ - รบั ผ้าคู่ของพระนางโคตม ี โปรดพระสาวก - โปรดพระโสณโกฬิวสิ ะ - โปรดพระรัฏฐบาล - พระรฏั ฐบาลแสดงธรรมุทเทศ ๔ ประการ ภิกษุณ ี - การออกบวชของพระปฐมสาวกิ า - ทรงอนุญาตครุธรรมปฏคิ คหณอปุ สมั ปทา - ทรงแสดงเหตทุ ่ีไมย่ อมใหส้ ตรบี วช - พระนางพิมพาออกบวช แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันเอก วชิ าพุทธานุพทุ ธประวัติ

15 ชั้น ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนร ู้ ๔. รูแ้ ละเขา้ ใจพทุ ธประวัติ เสดจ็ ดบั ขันธปรนิ ิพพาน - ทรงปรารภธรรม เสด็จดบั ขันธปรินพิ พาน - ทรงทำนิมิตโอภาส - ปลงอายสุ งั ขาร - บิณฑบาตคร้ังสดุ ท้าย - ทรงรับผา้ สงิ ควิ รรณ - ผลแหง่ บิณฑบาตทาน - ทรงปรารภสักการบชู า - สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล - โปรดสภุ ทั ทปริพาชก - โปรดให้ลงพรหมทัณฑ์ - ประทานปัจฉมิ โอวาท - พระบรมศพไมเ่ คลอ่ื นท ่ี - พระนางมัลลิกาถวายสักการะ - ถวายพระเพลิงไม่ตดิ - แจกพระบรมสารีรกิ ธาต ุ - พระเขีย้ วแกว้ ประดษิ ฐานอยู่เทวโลก - อนั ตรธาน ๕ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าพุทธานพุ ทุ ธประวตั ิ

16 บทท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ธรรมศึกษาช้ันเอก ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนร้ ู จำนวน ๔ แผน ดงั น ้ี แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑ พุทธประวัติตงั้ แต่ชาตกิ ถา บรรพชา และเสวยวิมุตตสิ ขุ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒ ประกาศพระศาสนา ทรงบำเพญ็ พทุ ธกจิ ศษิ ยพ์ ราหมณพ์ าวร ี ๑๖ คน และประทานการบวช ดว้ ยวธิ ญี ตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี ๓ พุทธประวัติตั้งแต่เสด็จเมืองกบิลพัสด์ุ เจ้าศากยะออกบวช โปรดพระพุทธมารดา พระสาวก และภิกษณุ ี แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ ๔ พุทธประวัติ เสด็จดับขันธปรินิพพาน แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชนั้ เอก วิชาพุทธานพุ ทุ ธประวัติ

17 แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑ ธรรมศึกษาชัน้ เอก สาระการเรียนรวู้ ชิ าพุทธานุพทุ ธประวัต ิ เร่อื ง พทุ ธประวัตติ ้งั แตช่ าติกถา บรรพชา และเสวยวมิ ุตติสขุ เวลา.........................ชว่ั โมง .............................................................................................................................................................. ๑. มาตรฐานการเรยี นรู ้ มาตรฐาน ธศ ๒ รู้และเข้าใจพุทธประวัติ ความสำคัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตน เปน็ พุทธศาสนิกชนที่ดี และธำรงรักษาพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ รแู้ ละเขา้ ใจ พทุ ธประวตั ติ ้งั แต่ชาตกิ ถา บรรพชา และเสวยวมิ ตุ ตสิ ุข (สตั ตมหาสถาน) ๓. สาระสำคญั พระพุทธเจ้าทรงถือกำเนิดจากพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ กรุงกบิลพัสด์ุ และ พระนางสริ มิ หามายา เสดจ็ ออกบรรพชา และเสวยวิมตุ ติสุข ๔. จุดประสงคก์ ารเรยี นร ู้ ๑. นักเรยี นสามารถสรุปพุทธประวตั ิต้งั แต่จุตลิ งสพู่ ระครรภจ์ นถงึ ทรงอภิเษกสมรสได ้ ๒. นกั เรยี นสามารถสรปุ พทุ ธประวตั ติ งั้ แตบ่ รรพชาจนถงึ เสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ (สตั ตมหาสถาน) ได ้ ๕. สาระการเรยี นรู/้ เนอ้ื หา ชาตกิ ถา - จตุ ิลงสพู่ ระครรภ์ - ประวตั ิชมพทู วปี และประชาชน - ความเชอื่ ของคนในยคุ นนั้ - การสร้างเมอื งกบลิ พสั ด์แุ ละต้ังศากยวงศ ์ - ลำดบั พระวงศ์ - พระมารดาทรงพระสุบินนิมติ - พระโพธิสัตวป์ ระสูต ิ - มหาปุรสิ ลักษณะ ๓๒ - อนพุ ยญั ชนะ ๘๐ - อาสภิวาจา ดำรัสอยา่ งอาจหาญ - สหชาติ ส่งิ ท่อี บุ ตั ิในวันเดยี วกับพระโพธิสัตว ์ - ขนานพระนาม - พราหมณ์ ๘ คน ทำนายพระลักษณะ - พระนางสริ มิ หามายาทิวงคต - พระราชพธิ วี ปั ปมงคล - ทรงอภเิ ษกสมรส บรรพชา - ประพาสอุทยาน - ราหุลประสูติ - กสี าโคตมชี มโฉม - มลู เหตใุ ห้เสรจ็ ออกบรรพชา - เสรจ็ ห้องพระนางพมิ พา - เสรจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ ์ - ทรงทดลองปฏบิ ตั ิตามลทั ธติ ่าง ๆ - อุปมา ๓ ข้อ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วิชาพุทธานุพทุ ธประวตั ิ

18 - ทรงบำเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ๓ วาระ - ปญั จวคั คีย์ออกบวชตาม - นางสุชาดาถวายข้าวมธปุ ายาส - พระสุบนิ นมิ ติ - ทรงลอยถาด - เสร็จสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ ์ - ทรงผจญวสวตั ตีมาร - บำเพญ็ เพียรทางใจและตรสั ร ู้ เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข (สตั ตมหาสถาน) - สหมั บดพี รหมอาราธนา ๖. กระบวนการจดั การเรียนร ู้ ข้ันสืบค้นและเชื่อมโยง ๑. นักเรียนดูภาพเกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้า และสนทนา แสดงความคิดเห็น โดยครู ให้นกั เรียนตอบคำถาม เพือ่ เช่ือมโยงไปสู่การเรียนร้ ู - ชมพทู วีปอย่ทู ่ไี หน - เมืองกบลิ พัสด์แุ ละศากยวงศ์ เกี่ยวขอ้ งกนั อยา่ งไร - พระโพธิสตั ว์ หมายถงึ ใคร ฯลฯ ขนั้ ฝกึ ๒. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน ให้แต่ละกลุ่มศึกษาใบความรู้ท่ี ๑ เรอ่ื ง ชาตกิ ถา ๓. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มตั้งคำถามและตอบคำถาม กลุ่มละ ๕ ข้อ ส่งตัวแทนนำเสนอ หน้าช้ันเรียนโดยถามทีละข้อ กลุ่มใดตอบถูกมากที่สุดเป็นผู้ชนะ และช่วยกันตอบคำถามใน ใบกจิ กรรมท่ี ๑ นำเสนอผลงานหน้าชนั้ เรยี น ครตู รวจสอบความถกู ตอ้ ง แล้วนำไปตดิ ท่ปี ้ายนเิ ทศ ขน้ั ประยกุ ต์ ๔. นักเรียนกลุ่มเดิมศึกษาใบความรู้ท่ี ๒ เรื่อง พุทธประวัติต้ังแต่บรรพชาจนถึง เสวยวมิ ุตตสิ ุข (สตั ตมหาสถาน) แล้วส่งใหต้ รวจ และช่ืนชมผลงานกลมุ่ นกั เรยี นที่ทำไดถ้ ูกต้องที่สุด ๕. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปองค์ความรู้จากบทเรียน โดยสุ่มถามนักเรียนบางคน เพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจอีกคร้งั ๖. นกั เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน และตรวจใหค้ ะแนน แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชั้นเอก วชิ าพทุ ธานพุ ุทธประวัติ

19 ๗. ภาระงาน/ชิน้ งาน ชิน้ งาน ใบกจิ กรรมท่ี ๑ ท ี่ ภาระงาน ๑ ตอบคำถามพุทธประวตั ิเกย่ี วกับชาติกถา ๒ ตอบคำถามพุทธประวตั ติ งั้ แต่บรรพชาจนถึงเสวยวมิ ุตติสขุ (สัตตมหาสถาน) ใบกจิ กรรมท่ี ๒ ๘. ส่อื /แหล่งการเรียนร ู้ ๑. ใบความรู้ที่ ๑ เร่อื ง ชาติกถา ๒. ใบความรทู้ ี่ ๒ เร่อื ง พทุ ธประวตั ติ ง้ั แต่บรรพชาจนถึงเสวยวิมุตตสิ ุข (สตั ตมหาสถาน) ๓. ใบกิจกรรมท่ี ๑ ๔. ใบกจิ กรรมท่ี ๒ ๕. แบบทดสอบหลังเรยี น ๙. การวัดผลและประเมินผล สิ่งทต่ี อ้ งการวัด วธิ ีวดั เครือ่ งมอื วัด เกณฑ์การประเมนิ ๑. สามารถสรปุ พทุ ธประวตั ิ - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผา่ น = ไดค้ ะแนนต้ังแตร่ ้อยละ ต้ังแต่จุติลงสู่พระครรภ์ ๖๐ ขนึ้ ไป จนถงึ ทรงอภเิ ษกสมรสได ้ ไม่ผา่ น = ไดค้ ะแนนตำ่ กว่า ร้อยละ ๖๐ ๒. สามารถสรปุ พทุ ธประวตั ิ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผา่ น = ไดค้ ะแนนตง้ั แต่รอ้ ยละ ตัง้ แตบ่ รรพชาจนถงึ ผลงาน ๖๐ ข้ึนไป เสวยวิมตุ ตสิ ขุ ไมผ่ ่าน = ไดค้ ะแนนต่ำกวา่ (สตั ตมหาสถาน) ได้ ร้อยละ ๖๐ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้นั เอก วิชาพุทธานุพทุ ธประวตั ิ

20 แบบประเมนิ ผลงาน ใบกจิ กรรมที่ ๑ ขอ้ ท่ ี ๓ คะแนน ๑-๕ ตอบคำถามถกู ตอ้ ง ระดบั คะแนน ๑ คะแนน ๒ คะแนน ตอบคำถามได้ถูกตอ้ ง ตรงประเดน็ ตอบคำถามได้ถูกต้อง ตรงประเด็นนอ้ ย ตรงประเด็นเปน็ ส่วนใหญ ่ เกณฑก์ ารตดั สนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ขน้ึ ไป ๙-๑๕ ไม่ผ่าน ต่ำกว่า ๖๐ ๐–๘ หมายเหตุ เกณฑ์การตัดสนิ สามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลุ่มเป้าหมาย ข้อท ี่ ๓ คะแนน แบบประเมินผลงาน ๑ คะแนน ๑-๑๐ ตอบคำถามถูกต้อง ใบกิจกรรมที่ ๒ ตอบคำถามได้ถกู ตอ้ ง ตรงประเดน็ น้อย ตรงประเดน็ ระดับคะแนน ๒ คะแนน ตอบคำถามไดถ้ ูกต้อง ตรงประเดน็ เป็นส่วนใหญ่ เกณฑก์ ารตัดสนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ขน้ึ ไป ๑๘-๓๐ ไม่ผา่ น ต่ำกวา่ ๖๐ ๐–๑๗ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรับใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ เอก วิชาพุทธานุพทุ ธประวัติ

21 แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู ้ แบบทดสอบหลงั เรียน เกณฑก์ ารประเมิน ตอบถกู ได้ ๑ คะแนน ตอบผิดได้ ๐ คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คะแนน เกณฑ ์ รอ้ ยละ ๑๑-๑๘ ผา่ น ๖๐ ขนึ้ ไป ๐–๑๐ ไมผ่ า่ น ตำ่ กวา่ ๖๐ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั เอก วิชาพทุ ธานพุ ุทธประวตั ิ

22 ใบกิจกรรมท่ี ๑ ชาติกถา กลุม่ ที่.................................. ๑. ………………………......……ประธาน ๒. ………………………......……รองประธาน ๓. ………………………......……สมาชกิ ๔. ………………………......……สมาชกิ ๕. ………………………......……สมาชกิ ๖. ………………………......……เลขานกุ าร คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามตอ่ ไปน้ี จำนวน ๕ ขอ้ (๑๕ คะแนน) ๑. ปญั จมหาวโิ ลกนะ มคี วามหมายวา่ อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๒. พระพทุ ธเจ้าประกอบด้วยสมั ปทาคุณอะไรบา้ ง แต่ละขอ้ มีความหมายว่าอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๓. ชาวชมพทู วีปนบั ถอื ศาสนาอะไร และคติธรรมศาสนาน้นั เปน็ อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๔. ความเหน็ ของผนู้ บั ถอื ศาสนาในชมพทู วปี แยกเปน็ กป่ี ระเภท อะไรบา้ ง ตา่ งกนั อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๕. อุบายท่ีเจา้ ชายสทิ ธตั ถจะออกไปจากทกุ ข์นน้ั คอื อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ เอก วิชาพุทธานพุ ุทธประวตั ิ

23 เฉลยใบกิจกรรมท่ี ๑ ชาตกิ ถา ๑. ปญั จมหาวิโลกนะ มีความหมายวา่ อะไร ตอบ ปัญจมหาวิโลกนะ คือ การที่พิจารณาเลือกความเหมาะสม ๕ อย่าง ของพระโพธ์สิ ตั ว์ก่อนลงมาอบุ ตั ใิ นมนษุ ยโลก เพ่อื ตรัสรูเ้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า คอื ๑. กาล ๒. ทวีป ๓. ประเทศ ๔. ตระกูล ๕. มารดา ๒. พระพุทธเจ้าประกอบดว้ ยสัมปทาคณุ อะไรบ้าง แตล่ ะขอ้ มคี วามหมายว่าอยา่ งไร ตอบ ประกอบด้วยสัมปทาคณุ ๓ ประการ คือ ๑. เหตุสัมปทา ได้แก่ พระมหากรุณาสมาโยค และพระอุตสาหะในการ บำเพ็ญบารมีเพ่ือสัมมาสมั โพธญิ าณ ๒. ผลสมั ปทา คอื การสำเรจ็ แหง่ รูปกาย อานุภาพปหานะ การละกเิ ลส และ ญาณท่ีหยงั่ รู้ประจักษช์ ัด ๓. สัตตูปการสัมปทา คือ การทรงบำเพ็ญอุปการะแก่สัตว์ด้วยโยคะ และ อาสยะอันบรสิ ทุ ธ์ ิ ๓. ชาวชมพูทวปี นบั ถอื ศาสนาอะไร และคติธรรมศาสนาน้ันเปน็ อยา่ งไร ตอบ ประชาชนส่วนมากนับถือศาสนาพราหมณ์เป็นพื้นฯ และคติแห่งศาสนา พราหมณน์ ้นั ถือวา่ โลกธาตแุ ละสิ่งทง้ั ปวง พระอิศวรเปน็ เจา้ ทรงสรา้ งขึน้ และถือวา่ ธาตทุ ้ังปวง มี ดิน นำ้ ลม ไฟ เป็นตน้ ล้วนมเี ทวดาประจำอยูท่ ้ังสิ้น ๔. ความเห็นของผู้นับถือศาสนาในชมพูทวีป แยกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง ต่างกัน อย่างไร ตอบ ความเห็นของผู้ถือศาสนาพราหมณ์นั้น เมื่อกล่าวโดยความคงมี ๒ ประเภท คอื พวกหนึ่งเหน็ วา่ ตายแลว้ เกิด อกี พวกหนึง่ ถือวา่ ตายแลว้ ศนู ย ์ ๕. อบุ ายท่ีเจา้ ชายสทิ ธัตถะจะออกไปจากทุกข์นนั้ คอื อะไร ตอบ อบุ ายทเี่ จา้ ชายสิทธตั ถะจะออกไปจากทกุ ข์ คอื การบรรพชา แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั เอก วชิ าพุทธานพุ ทุ ธประวตั ิ

24 ใบกจิ กรรมที่ ๒ พทุ ธประวตั ิตั้งแตบ่ รรพชา จนถงึ เสวยวิมตุ ตสิ ุข (สัตตมหาสถาน) กล่มุ ท่.ี ................................. ๑. ………………………......……ประธาน ๒. ………………………......……รองประธาน ๓. ………………………......……สมาชกิ ๔. ………………………......……สมาชิก ๕. ………………………......……สมาชิก ๖. ………………………......……เลขานุการ คำชแี้ จง ให้นกั เรียนตอบคำถามต่อไปน้ี จำนวน ๑๐ ข้อ (๓๐ คะแนน) ๑. อุปมา ๓ ข้อ ที่พระองค์ทรงพิจารณาเห็นโทษของการประพฤติกามสุขัลลิกานุโยค น้ันคืออะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๒. ธัมมจักกปั ปวตั ตนสูตร มีความหมายวา่ อยา่ งไร ทางสุดโตง่ ๒ สาย ท่ปี รากฏในธรรม น้ีคอื อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๓. จงอธิบายความหมายของคำว่า “สหชาติเดียวกันกับพระพุทธเจ้า” หมายความ ว่าอยา่ งไร และมอี ะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๔. ลักษณะท้ัง ๒ ที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นในมชั ฌิมยามแหง่ ราตรตี รสั รู้ คืออะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชั้นเอก วิชาพทุ ธานุพุทธประวัติ

25 ๕. พระอุทานทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงเปลง่ ในปัจฉิมยาม มคี วามวา่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๖. ท่วี า่ “ดวงตาเห็นธรรม” นน้ั เป็นธรรมอะไร มใี จความวา่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๗. จงบอกชอ่ื พระสาวกทีไ่ ด้ดวงตาเหน็ ธรรม ๓ ทา่ น และได้จากใคร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๘. ทรงทำอายุสงั ขาราธษิ ฐาน หมายถงึ อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๙. หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ใต้ร่มโพธ์ิ ทรงพิจารณาธรรมอะไร มคี วามหมายว่าอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๑๐. ในมรรคมีองค์ ๘ ทำไมพระพุทธเจา้ จึงทรงแสดงปัญญาไวก้ อ่ นศลี และสมาธิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันเอก วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวัติ

26 เฉลยใบกิจกรรมที่ ๒ พทุ ธประวัตติ ้ังแต่บรรพชาจนถึงเสวยวิมตุ ตสิ ุข (สัตตมหาสถาน) ๑. อุปมา ๓ ข้อ ท่ีพระองค์ทรงพิจารณาเห็นโทษของการประพฤติกามสุขัลลิกานุโยค นน้ั คอื อะไร ตอบ อปุ มา ๓ ขอ้ ทพ่ี ระองคท์ รงพจิ ารณาเหน็ โทษของการประพฤตกิ ามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค นัน้ คือ ๑. สมณะเปรียบเหมอื นไมส้ ดทแ่ี ชน่ ำ้ ๒. สมณะเปรยี บเหมอื นไมส้ ดที่มยี าง ๓. สมณะเปรียบเหมือนไมแ้ ห้ง ๒. ธัมมจักกปั ปวัตตนสูตร มคี วามหมายว่าอย่างไร ทางสุดโตง่ ๒ สาย ที่ปรากฏในธรรม น้คี อื อะไร ตอบ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีความหมายว่า สูตร ว่าด้วยการหมุนพระธรรม (การประกาศธรรม) ทางสุดโต่ง ๒ สาย คือ กามสุขัลลกิ านุโยคและอตั ตกิลมถานโุ ยค ๓. จงอธิบายความหมายของคำว่า “สหชาติเดียวกันกับพระพุทธเจ้า” หมายความว่า อยา่ งไร และมอี ะไรบา้ ง ตอบ “สหชาติเดียวกันกับพระพุทธเจ้า” หมายความว่า บุคคลท่ีเกิดในวันเดียวกัน กบั พระพทุ ธเจา้ ไดแ้ ก่ พระนางพมิ พา พระอานนท์ กาฬทุ ายี นายฉนั นะ มา้ กณั ฐกะ ตน้ พระศรมี หาโพธิ์ ขุมทองทั้งส่ีมมุ เมอื ง ๔. ลกั ษณะท้ัง ๒ ทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงเห็นในมชั ฌมิ ยามแหง่ ราตรีตรสั รู้ คืออะไรบา้ ง ตอบ ลักษณะทัง้ ๒ ทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงเหน็ ในมัชฌิมยามแห่งราตรตี รัสรู้ คอื ๑. ปจั จตั ตลกั ษณะ ได้แก่ การกำหนดโดยความเป็นกอง ๒. สามัญญลักษณะ ได้แก่ การกำหนดโดยความเป็นสภาพเสมอกัน คือ ความเป็นของไมเ่ ท่ยี ง ๕. พระอุทานทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงเปลง่ ในปจั ฉิมยาม มคี วามว่าอยา่ งไร ตอบ พระอุทานท่ีพระพุทธเจ้าทรงเปล่งในปัจฉิมยามมีความว่า เม่ือใดธรรม ท้ังหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือ ชรา พยาธิ มรณะเสยี ได้ ดจุ พระอาทิตยอ์ ุทยั ขึ้นกำจัดมืดทำอากาศให้สวา่ ง ฉะน้นั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นเอก วิชาพทุ ธานพุ ุทธประวตั ิ

27 ๖. ทวี่ ่า ดวงตาเหน็ ธรรม นัน้ เป็นธรรมอะไร มใี จความว่าอยา่ งไร ตอบ ท่ีว่า ดวงตาเห็นธรรม นั้น เป็นธรรม เห็นเกิดและดับ มีใจความว่า สิ่งใด สิ่งหน่งึ มคี วามเกิดขึน้ เปน็ ธรรมดาส่งิ น้นั ทัง้ หมด มคี วามดบั เป็นธรรมดา ๗. จงบอกชื่อพระสาวกทไ่ี ด้ดวงตาเห็นธรรม ๓ ท่าน และได้จากใคร ตอบ พระสาวกท่ไี ดด้ วงตาเหน็ ธรรม ๓ ท่าน ได้แก ่ ๑. พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ได้ดวงตาเหน็ ธรรมจากพระบรมศาสดา ๒. พระสารีบตุ ร ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมจากพระอสั สชิ ๓. พระมหาโมคคัลลานะ ไดด้ วงตาเห็นธรรมจากพระสารีบุตร ๘. ทรงทำอายสุ งั ขาราธษิ ฐาน หมายถงึ อะไร ตอบ ทรงทำอายุสังขาราธิษฐาน หมายถึง ทรงตั้งพระหฤทัยจักอยู่แสดงธรรม สั่งสอนแก่มหาชน และต้ังพุทธปณิธานใคร่จะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่าพุทธบริษัทจักต้ังม่ันและ ได้ประกาศพระศาสนาใหแ้ พร่หลาย ประดษิ ฐานให้มั่นคงถาวรแก่นกิ รทกุ หมเู่ หลา่ ๙. หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ร่มโพธ์ิ ทรงพิจารณาธรรมอะไร มคี วามหมายว่าอย่างไร ตอบ หลงั จากตรสั รแู้ ลว้ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยใู่ ตร้ ม่ โพธิ์ ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาท มคี วามหมายวา่ ธรรมท้ังหลายอาศยั กัน และกนั เกิดข้นึ ๑๐. ในมรรคมอี งค์ ๘ ทำไมพระพุทธเจา้ จงึ ทรงแสดงปัญญาไว้ก่อนศีลและสมาธ ิ ตอบ ในมรรคมีองค์ ๘ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงปัญญาไว้ก่อนศีลและสมาธิ เพราะเหตุที่ว่า หากไม่ทรงแสดงปัญญาก่อนแล้ว แม้ศีลและสมาธิก็อาจปฏิบัติผิดทางได้เพราะ ขาดปัญญา ฉะนนั้ พระบรมศาสดาจงึ ทรงแสดงปญั ญาก่อนศลี และสมาธิ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าพุทธานพุ ุทธประวัติ

28 แบบทดสอบหลงั เรยี น ผลการเรยี นรทู้ ี่ ๑ รู้และเขา้ ใจพุทธประวตั ิตง้ั แต่ชาตกิ ถา บรรพชา และเสวยวมิ ุตติสขุ (สัตตมหาสถาน) จำนวน ๑๘ ข้อ คะแนน ๑๘ คะแนน คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนเลือกคำตอบทีถ่ ูกต้องทส่ี ุดเพียงขอ้ เดยี ว ๑. พระพทุ ธเจา้ เสด็จอบุ ัตขิ ึน้ ในโลก เพอื่ อะไร ก. เป็นศาสดาสร้างสันติภาพ ข. เปน็ ศาสดาคมุ้ ครองโลก ค. เปน็ ศาสดาสร้างโลก ง. เป็นศาสดาสอนเวไนยสตั ว์ ๒. ความเชือ่ ถือข้อใดแสดงความเป็นผู้มีมานะถอื ตวั ของชาวชมพูทวปี ก. โลกเท่ยี ง ข. โลกมที ่ีสดุ ค. แบง่ ชัน้ วรรณะ ง. ตายแลว้ เกิด ๓. ชมพทู วปี แบ่งออกเป็นกแี่ คว้นใหญ ่ ก. ๑๔ แคว้น ข. ๑๕ แควน้ ค. ๑๖ แควน้ ง. ๑๗ แคว้น ๔. ใครประกอบด้วยลักษณะแหง่ เบญจกลั ยาณี ก. พระนางมายา ข. พระนางพมิ พา ค. พระนางกญั จนา ง. พระนางอมติ า ๕. เมื่ออสิตดาบสไหวพ้ ระสทิ ธัตถกุมาร ราชสกุลไดท้ ำอย่างไร ก. หมดศรัทธา ข. เกดิ ศรทั ธา ค. มอบโอรสเป็นบริวาร ง. ยอมเปน็ ทาส ๖. พราหมณ์ช่อื อะไรทำนายเจ้าชายสิทธตั ถะวา่ ต้องออกบวชแนน่ อน ก. รามะ ข. อยญั ญะ ค. โกณฑญั ญะ ง. สทุ ตั ตะ ๗. เจ้าชายสทิ ธตั ถะมีนอ้ งชายรว่ มพระราชบิดาคือใคร ก. พระอนรุ ทุ ธะ ข. พระภัททยิ ะ ค. พระอานนท ์ ง. พระนนั ทะ ๘. เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงหาอุบายแก้ความเมา ๓ ประการด้วยวิธใี ด ก. ทรงศึกษาไตรเพท ข. ประทับในปราสาท ค. เสด็จออกบรรพชา ง. เสด็จออกไปประพาสปา่ ๙. ในวันทพี่ ระมหาบรุ ษุ เสดจ็ ออกผนวช มใี ครห้ามปราม ก. พระราชบดิ า ข. พระนางพิมพา ค. นายฉนั นะ ง. พญาวสวตั ดมี าร แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชนั้ เอก วิชาพุทธานุพุทธประวตั ิ

29 ๑๐. การบำเพ็ญทุกรกิรยิ าในวาระท่ี ๓ พระมหาบรุ ษุ ทรงทำอยา่ งไร ก. กดพระทนต์ ข. กดพระตาลุ ค. กลนั้ ลมหายใจ ง. อดพระกระยาหาร ๑๑. ขอ้ ใดไม่ใชท่ ศบารมที ีพ่ ระมหาบรุ ษุ ทรงใช้ผจญมาร ก. ทาน ข. ศีล ค. สมาธ ิ ง. ปัญญา ๑๒. ญาณใดเป็นเหตุใหร้ กู้ ารตายและเกิดของสตั ว์ทั้งหลายได ้ ก. จตุ ูปปาตญาณ ข. ทพิ พจักข ุ ค. ปพุ เพนิวาสานสุ สตญิ าณ ง. อาสวกั ขยญาณ ๑๓. หลงั จากตรัสร้แู ลว้ พระพทุ ธเจา้ ทรงพจิ ารณาปฏิจจสมุปทานที่รม่ ไม้ใด ก. พระศรมี หาโพธิ ข. ตน้ ราชายตะนะ ค. ต้นอชปาบนโิ ครธ ง. ตน้ มุจลนิ ท ์ ๑๔. ขณะเสวยวิมุตตสิ ุขทรี่ ัตนฆรเจดียพ์ ระพทุ ธเจ้าทรงพิจารณาอะไร ก. พระสูตร ข. พระวินัย ค. พระอภิธรรม ง. เวไนยสัตว์ ๑๕. ขณะท่ีพระพุทธเจ้าประทบั ใตต้ น้ ราชายตนะ ทรงพบใคร ก. พราหมณห์ ุหุกชาต ิ ข. ตปสุ สะภลั ลิกะ ค. พระยามจุ ลินท ์ ง. ยสกุลบุตร ๑๖. ผู้ทีเ่ ขา้ ใจธรรมได้เมื่อผอู้ น่ื อธิบายความ เปรียบกบั ดอกบัวเหลา่ ใด ก. บัวพน้ นำ้ ข. บัวเสมอน้ำ ค. บวั ไม่พน้ น้ำ ง. บวั ในตม ๑๗. มัชฌิมาปฏปิ ทา มีความหมายตรงกับข้อใด ก. ทรมานตน ข. ทางสายกลาง ค. ทสี่ ุดโตง่ ง. ทส่ี ุดแหง่ ทกุ ข ์ ๑๘. ขอ้ ใดไมใ่ ชบ่ ารมี ๑๐ ทพี่ ระพุทธเจา้ ใช้ตอ่ สู้กับกิเลสมาร ก. ทาน ข. ศีล ค. สมาธ ิ ง. ปัญญา แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชน้ั เอก วิชาพทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ

30 เฉลยแบบทดสอบ ผลการเรยี นรทู้ ่ี ๑ รแู้ ละเขา้ ใจพทุ ธประวตั ติ ง้ั แตช่ าตกิ ถา บรรพชา และเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ (สัตตมหาสถาน) ขอ้ ข้อ ง ๑ ง ๑๐ ค ๒ ค ๑๑ ก ๓ ค ๑๒ ก ๔ ก ๑๓ ค ๕ ค ๑๔ ข ๖ ค ๑๕ ข ๗ ง ๑๖ ข ๘ ค ๑๗ ค ๙ ง ๑๘ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ เอก วชิ าพุทธานุพุทธประวัติ

31 ใบความรู้ท่ี ๑ ชาตกิ ถา ปริเฉทที่ ๑ ชาตกิ ถา จตุ ลิ งสู่พระครรภ ์ พระประวตั ขิ องพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผทู้ รงพระกรณุ าโปรดสตั วใ์ หพ้ น้ ทกุ ขท์ รงพระนามวา่ สิทธัตถะ หมายถึง ผู้มีความต้องการสำเร็จ ไม่มีผู้ใดจะเสมอเหมือนพระองค์ใน ๓ ภพ เป็นท่ีเคารพ บูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงพระคุณอย่างประเสริฐ ตรัสรู้ธรรมวิเศษพระองค์เป็น ผู้สั่งสอนช้ีทางพระนิพพาน ก่อนจะเสดจ็ อุบัตมิ าเพือ่ โปรดมนษุ ยโลกท้ังหลายน้ันมเี รอื่ งราวดงั ตอ่ ไปน ้ี พระบรมโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญบารมีท้ัง ๓๐ ประการ บริบูรณ์ในชาติท่ีเป็นพระเวสสันดร ครั้นทิวงคตแล้ว ได้อุบัติเป็นสันดุสิตเทวราช เสวยทิพยสมบัติอยู่ในดุสิตเทวโลก บรรลุถึงกาลแก่กล้า แหง่ พระบารมีเพือ่ ทีจ่ ะสำเร็จพระโพธิญาณแล้ว จึงเป็นเหตใุ หเ้ กดิ ปญั จบุพนมิ ิต เหตทุ ีท่ ำให้เทวดา จตุ จิ ากเทวโลก ๕ ประการ คอื ๑. ทิพยบปุ ผาท่ีประดบั พระวรกายเห่ยี วแห้ง ๒. ทพิ ยภูษาท่ีทรงเศรา้ หมอง ๓. พระเสโท (เหง่ือ) บังเกดิ ไหลออกทางชอ่ งพระกจั ฉะ (รกั แร)้ ๔. พระสรรี ะมีอาการเศรา้ หมองปรากฏ ๕. มพี ระทยั กระสนั เป็นทกุ ขเ์ บื่อหนา่ ยเทวโลก เมื่อปัญจบุพนิมิตปรากฏดังน้ี เทวดาท้ังหลายก็รู้ประจักษ์ว่า สันดุสิตเทวราชองค์นี้ คือ องค์พระสัพพัญญูโพธสิ ตั วใ์ นอนาคตกาลแนน่ อน จงึ พากันกราบทลู อาราธนาเพ่ือใหจ้ ุติลงมาบงั เกิดใน มนษุ ยโลก ลำดับนั้น พระบรมโพธิสัตว์ ยังมิได้รับอาราธนาของเหล่าเทวดา แต่ทรงพิจารณา ปญั จมหาวิโลกนะ ๕ ประการ คือ ๑. กาล พระพทุ ธเจ้าจะอบุ ัติขนึ้ ในโลก เฉพาะในกาลท่ีมนษุ ย์มีอายรุ ะหว่าง ๑๐๐ ปี ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ๒. ทวปี ในทวีปทัง้ ๔ จะอบุ ตั ิขึน้ เฉพาะในชมพทู วีปเท่าน้นั ๓. ประเทศ จะอุบัตขิ ึ้นเฉพาะในมัชฌิมประเทศเท่านั้น ๔. สกุล ในระหว่างสกุลกษัตริย์กับสกุลพราหมณ์ในกาลใด ชาวโลกยกย่องสกุลใด วา่ สงู สดุ กจ็ ะอบุ ตั ใิ นสกุลนัน้ ๕. มารดา ธรรมดาสตรีที่จะเป็นพุทธมารดานั้น ต้ังแต่เกิดมารักษาเบญจศีลเป็นประจำ และบำเพ็ญบารมมี าถงึ แสนกัป แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ เอก วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิ

32 ก่อนท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก ท้าวมหาพรหมท้ังหลายในชั้นสุทธาวาส ทั้ง ๕ คอื อวิหา อตัปปา สทุ ัสสา สุทัสสี และอกนิษฐา ลงมาเท่ียวโฆษณาทวั่ หมนื่ โลกธาตุ อันเป็นเหตุ แห่งพุทธโกลาหลว่า ต่อไปน้ีอีกแสนปี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะบังเกิดข้ึนในโลก ถ้าผู้ใดปรารถนา จะพบเหน็ จงบำเพญ็ ทาน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา และบำเพญ็ กศุ ลตา่ ง ๆ ใหถ้ งึ พรอ้ มกพ็ ทุ ธโกลาหลนน้ั เปน็ โกลาหลขอ้ หน่งึ ในโกลาหลท้งั ๕ เหตุทีท่ ำให้พรหมโลกเกิดโกลาหล คือ ๑. พุทธโกลาหล เกิดก่อนพระพุทธเจา้ อบุ ัติ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ๒. กปั ปโกลาหล เกดิ ก่อนกปั พนิ าศ ๑๐,๐๐๐ ปี ๓. จักกวตั ติโกลาหล เกิดก่อนพระเจา้ จักรพรรดอิ ุบัติ ๑๐๐ ปี ๔. มงคลโกลาหล เกิดก่อนพระพทุ ธองค์แสดงมงคล ๑๒ ป ี ๕. โมเนยยโกลาหล เกดิ กอ่ นคนทลู ถามถึงโมเนยยปฏิบตั ิ ๗ ป ี ครั้นทรงพิจารณาเห็นบริบูรณ์ จึงรับอาราธนาแล้วจุติลงมาปฏิสนธิในพระครรภ ์ แห่งพระนางสิริมหามายาเทวี อคั รมเหสีแหง่ พระเจา้ สทุ โธทนะ ในกรงุ กบลิ พัสดม์ุ หานคร ประวัติชมพทู วีปและประชาชน ชมพทู วปี หรอื ดนิ แดนประเทศอนิ เดยี ในปจั จบุ นั ซงึ่ ตง้ั อยใู่ นทศิ พายพั (ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ) ของประเทศไทย เป็นประเทศท่ีเจริญสมบูรณ์กว่าประเทศอื่น ๆ มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครอง อาณาเขตเป็นสัดส่วน ไม่ได้รวมอยู่ในความปกครองอันเดียวกัน เช่น แคว้นโกศลและแคว้นมคธ เปน็ ตน้ ล้วนเปน็ เอกราชด้วยกันทงั้ สิน้ ชมพทู วีปน้นั แบง่ เรียกชอ่ื เปน็ ๒ ส่วน ส่วนทต่ี ้งั อยูใ่ นทา่ มกลาง เรียกว่า มัชฌมิ ประเทศ หรือมัธยมประเทศ ส่วนท่ีตั้งอยู่ภายนอกขอบเขต เรียกว่า ปัจจันตประเทศ กำหนดที่เรียกว่า มัชฌิมประเทศ ความเชอ่ื ของคนในยุคนัน้ มัชฌิมประเทศหรือเขตท่ามกลางน้ัน เป็นท่ีนิยมของคนในครั้งน้ัน เพราะเป็นท่ามกลาง เป็นที่ต้ังแห่งพระนครใหญ่ ๆ และเป็นท่ีชุมนุมแห่งนักปราชญ์ผู้มีความรู้ คนในชมพูทวีปน้ันนับถือ ศาสนาพราหมณ์เป็นพน้ื เป็นคนมที ฏิ ฐมิ านะแรงกล้า รังเกยี จกนั ด้วยเชอื้ ชาติและโคตรเป็นอยา่ งยิง่ ส่วนทิฏฐิ คือ ความเห็นของคนเหล่านั้น ที่ปรารภความตาย ความเกิด และสุขทุกข์ กเ็ ปน็ ตา่ ง ๆ กัน แต่ยน่ ลงกค็ งเป็น ๒ อย่าง คือ กลุ่มทเี่ ชอื่ ถอื ศาสนาพราหมณ์ และคนบางกลุม่ ถอื ว่า ตายแล้วเกิด บางกลุ่มที่ไม่ถืออย่างนั้นก็ถือว่าตายแล้วสูญ ในกลุ่มท่ีมีความเห็นต่างกัน เป็น ๒ อย่างนั้น กลุ่มที่เห็นว่าตายแล้วเกิด บางกลุ่มเห็นว่าเกิดแล้วเป็นอะไร ก็เป็นอยู่อย่างน้ัน ไม่จุติแปรผันต่อไป บางกลุ่มเห็นว่าเกิดแล้วจุติแปรผันได้ต่อไป ส่วนมานะ คือ ความถือตัวของคน เหล่าน้ันแรงกลา้ เป็นอย่างยิง่ คนเหล่าน้ันถือหมแู่ ละชาติโคตรของตน ๆ ในหมู่คนที่เขานิยมว่าสงู เช่น หมู่อริยกะ ก็รังเกียจคนในหมู่ที่เขาไม่นิยม เช่น หมู่มิลักขะ แม้ในหมู่เดียวกัน คนมีชาติสูง เช่น กษัตริย์และพราหมณ์ ก็รังเกียจคนมีชาติต่ำ เช่น จัณฑาล ศูทร ปุกกุสะ แม้ในหมู่ที่มีชาติเดียวกัน แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชนั้ เอก วชิ าพทุ ธานุพุทธประวัติ

33 คนมีโคตรท่ีเขานับถือ เช่น โคตมโคตร ก็รังเกียจคนมีโคตรท่ีเขาไม่นับถือ เช่น ภารทวาชโคตร โกสยิ โคตร มานะความถอื ตัวของคนเหลา่ น้นั เป็นอยา่ งนี ้ การสรา้ งเมอื งกบิลพสั ดุ์และตง้ั ศากยวงศ์ พระเจ้าโอกกากราช ดำรงราชสมบัติในพระมหานครแห่งหน่ึง พระองค์มีพระราชบุตร ๔ พระองค์ พระราชบุตรี ๕ พระองค์ ซึ่งประสูติจากพระครรภ์พระมเหสีท่ีเป็นพระราชภคิน ี ของพระองค์ คร้ันพระมเหสีนั้นทิวงคตแล้ว พระเจ้าโอกกากราชได้พระมเหสีใหม่ พระมเหสีใหม่นั้น ประสูติพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง พระเจ้าโอกกากราชทรงพระปราโมทย์พล้ังพระราชทานพร ให้พระนางเลือกสิ่งที่ต้องประสงค์ พระนางจึงทูลขอราชสมบัติให้แก่พระโอรสของพระองค์ พระเจ้าโอกกากราชตรสั ห้าม หากจะไม่พระราชทานกจ็ ะเสยี สตั ย์ จึงตรัสสง่ั พระราชบุตร ๔ พระองค์ ซ่ึงประสูติจากพระครรภ์พระมเหสีเก่าให้พาพระภคินีซ่ึงร่วมพระมารดาเดียวกัน ๕ พระองค์นั้น ไปสรา้ งพระนครอยใู่ หม่ พระราชบตุ รทงั้ ๔ พระองคน์ น้ั กถ็ วายบงั คมลาพาพระภคนิ ี ๕ พระองคน์ น้ั ยกจตุรงคเสนาออกจากพระนคร ไปสร้างพระนครใกล้เขาหิมวันต์ ซ่ึงเป็นภายในมัชฌิมประเทศ ในทอี่ ยู่แหง่ กบิลดาบส จึงใหน้ ามพระนครท่ีสร้างใหม่ ให้ตอ้ งกับท่ีอยขู่ องกบิลดาบสน้นั ว่า กบลิ พัสด์ ุ ลำดับพระวงศ์ ครั้นการสถาปนาพระนครเสร็จแล้ว อำมาตย์ทั้งหลายปรึกษากันคิดจะทำอาวาหะ วิวาหะแก่พระราชบุตรทั้ง ๔ แต่พระองค์ทรงเกรงว่า ถ้าจะทำอาวาหะ วิวาหะด้วยสตรีอ่ืน จากพระภคินีของพระองค์ พระโอรสพระธิดาที่ประสูติในภายหลังจะไม่บริสุทธ์ิ ทางฝ่ายพระมารดา จะมพี ระชาตเิ จอื คละกนั จงึ แสดงพระอธั ยาศยั ใครจ่ ะทำอาวาหะ ววิ าหะดว้ ยพระภคนิ ขี องพระองคเ์ อง อำมาตยท์ ้ังหลายก็อนุมตั ิตาม พระราชบตุ รทง้ั ๔ นน้ั จึงทรงทำอาวาหะ ววิ าหะกับพระภคินเี ปน็ คู่ ๆ ตั้งศากยวงศ์สืบมา เว้นไว้แต่พระเชฏฐภคินีพระองค์เดียว ภายหลังมีพระหฤทัยปฏิพัทธ์กับพระเจ้า เมืองเทวทหะ ไดท้ ำอาวาหะวิวาหะ ดว้ ยกนั แล้ว ต้งั โกลิยวงศส์ ืบมา กษัตริยส์ องพระวงศ์นนั้ จงึ นับวา่ เป็นพระญาติเกี่ยวกันตั้งแต่กาลน้ัน กษัตริย์ในวงศ์ศากยะ ได้เป็นใหญ่ปกครองสักกชนบท ดำรงวงศ์ สืบมาโดยลำดับ จนถึงพระเจ้าชยเสนะ พระองค์มีพระราชบุตร พระราชบุตรีท่ีปรากฏพระนาม ๒ พระองค์ คือ พระราชบตุ ร มพี ระนามวา่ สหี หนุ พระราชบุตรี มีพระนามวา่ ยโสธรา ครั้นพระเจา้ ชยเสนะทิวงคตแล้ว สีหหนุราชกุมารได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ พระเจ้าสีหหนุมีพระมเหสี พระนามว่า กัญจนา ซ่ึงเป็นพระกนิฏฐภคินีของพระเจ้าอัญชนะในเมืองเทวทหะ มีพระราชบุตร พระราชบตุ รปี ระสตู แิ ต่พระมเหสนี ้ันรวม ๗ พระองค์ คอื พระราชบตุ ร ๕ พระองค์ ไดแ้ ก่ สุทโธทนะ สกุ โกทนะ อมโิ ตทนะ โธโตธนะ และฆนโิ ตทนะ พระราชบุตรี ๒ พระองค์ ไดแ้ ก่ ปมิตา และอมติ า ส่วนพระนางยโสธรา ซ่ึงเป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าชยเสนะนั้น ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้า อญั ชนะในเมอื งเทวทหะ มพี ระราชบุตร พระราชบตุ รีรวม ๔ พระองค์ คือ พระราชบตุ ร ๒ พระองค์ ไดแ้ ก่ สปุ ปพุทธะ และทัณฑปาณิ พระราชบตุ รี ๒ พระองค์ ได้แก่ มายา และปชาบดี (อีกอย่างหน่งึ เรยี ก โคตมี) แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาพุทธานพุ ทุ ธประวตั ิ

34 เมื่อสุทโธทนราชกุมารมีพระชนมายุเจริญวัย ควรจะมีพระมเหสีได้แล้ว พระเจ้าสีหหน ุ จึงได้ส่งพราหมณ์ ๘ คน ไปสู่ขอพระนางสิริมหามายา พระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะกับพระนาง ยโสธราแหง่ เมอื งเทวทหะ ผเู้ ปน็ เบญจกลั ยาณี ประกอบดว้ ย ความงาม ๕ ประการ คอื ๑. เกสกลั ยาณงั ผมงาม ๒. ฉวิกลั ยาณงั ผิวงาม ๓. มังสกัลยาณัง เนอื้ งาม ๔. อัฏฐิกัลยาณงั ฟนั งาม ๕. วยกัลยาณงั วัยงาม พระเจ้าอัญชนะก็ทรงยกให้เพ่ืออภิเษกสมรสกับพระเจ้าสุทโธทนะ ครั้นได้ศุภวารฤกษ ์ เจ้าเมืองทั้ง ๒ ก็ได้ทำอาวาหะ วิวาหะมงคลแก่พระราชบุตรและพระราชบุตรีท่ีเมืองเทวทหะแล้ว เสด็จกลับมาอยู่เมืองกบลิ พัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะไดค้ รองราชสมบัตสิ ืบมา พระมารดาทรงพระสบุ นิ นมิ ติ หลังจากอภิเษกสมรสแล้วพระนางสิริมหามายากำลังบรรทมอยู่ ได้ทรงพระสุบินนิมิต แปลกประหลาดอย่างหน่ึงว่า มีดวงดาวลอยเด่นเปล่งปลั่งอยู่กลางเวหาดวงหน่ึง มีรัศมี ๖ อย่าง ดจุ ไขม่ กุ สดี อกกหุ ลาบ ณ เบอ้ื งบนรศั มอี นั วจิ ติ รนน้ั ปรากฏวา่ มชี า้ งเผอื กเชอื กหนง่ึ มงี า ๖ งา นนั้ คอ่ ย ๆ เล่ือนเคล่ือนจากอากาศต่ำมาทุกทีก็ยุรยาตรเข้าสู่พระครรภ์เบื้องขวาของพระนางเม่ือพระนาง ต่ืนบรรทม ให้เกิดความปรีดาปราโมทย์อย่างเหลือล้นพอดวงอาทิตย์อุทัยไขแสงขึ้นรัศมีแจ่มจรัส รุ่งโรจน์ไปคร่ึงหน่ึงของพิภพ พระราชเทวีจึงกราบทูลพระสุบินนิมิตให้พระราชสวามีทรงทราบ พระเจ้าสุทโธทนะจึงตรัสให้หาพราหมณ์โหราจารย์มาทำนาย ได้รับคำพยากรณ์ว่า พระราชโอรส ในพระครรภน์ นั้ จะเปน็ อคั รบรุ ษุ มอี านภุ าพมาก ถา้ ดำรงอยใู่ นฆราวาสวสิ ยั จะไดเ้ ปน็ พระบรมจกั รพรรด์ิ ถา้ ออกบรรพชาจะได้ตรัสรู้เปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ แน่แท้ พระโพธิสตั ว์ประสตู ิ ครั้นถึงเวลาพระโพธิสัตว์จะเสด็จสมภพเกิดนิมิตดังน้ี คือ เวลาบ่ายแห่งวันประสูติ พระนางสิริมหามายาเสด็จประพาสพระอุทยาน ประทับอยู่ภายใต้ต้นสาละ มีกิ่งสาขาอุดมดกด่ืน ไปด้วยใบอันสดใสและดอกอันมีกล่ินหอม เมื่อจวนจะถึงกาลประสูติ ก็น้อมก่ิงสาขานั้นมาปกป้อง เหนือพระนาง ท่ีพื้นธรณีมีบุปผชาติงอกข้ึนรองรับ ธาราอันใสดุจแก้วเจียระไนหล่ังออกมา เพื่อสระสรงในท่ีสุด พระนางก็ประสูติพระโอรส ซึ่งประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยญั ชนะ ๘๐ ประการ มหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ มหาปุริสลักษณะ หมายถึง ลักษณะของมหาบุรุษ ได้แก่ ลักษณะของผู้มีบุญญาธิการ เกดิ จากการรกั ษาศลี และสงั่ สมบารมมี าช้านาน มี ๓๒ ประการ คือ ๑. พระบาทประดษิ ฐานตงั้ ลงดว้ ยดี เมอ่ื ทรงเหยยี บพระบาท ทรงจรดพน้ื ดว้ ยฝา่ พระบาท ทกุ สว่ นเสมอกนั เมอ่ื ทรงยกพระบาทขนึ้ กเ็ สมอกนั ๒. ใตฝ้ า่ พระบาททงั้ สองมีลายจกั ร ประกอบด้วย มงคล ๑๐๘ ประการ ๓. ส้นพระบาทยาว พระบาทแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ปลายพระบาทสองส่วน ลำพระชงฆ์ (แขง้ ) ต้ังในสว่ นท่สี ามและสี่ ส้นพระบาทนัน้ สีแดงงาม แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้นั เอก วิชาพุทธานุพทุ ธประวัติ

35 ๔. นวิ้ พระหัตถ์ และนว้ิ พระบาทกลมงามเรียวยาวเสมอกัน ๕. ฝ่าพระหตั ถ์ และฝ่าพระบาทออ่ นนุม่ เป็นนิตย์ ๖. ฝ่าพระหัตถ์ และฝา่ พระบาทมีลายดงั ตาขา่ ย ๗. หลังพระบาทนูนดุจสงั ขค์ วำ่ และมีขอ้ พระบาทอยู่เบอื้ งบน ๘. พระชงฆเ์ รียวดงั แขง้ เน้ือทราย ๙. ขณะประทับยืนพระวรกายต้ังตรงพระหัตถ์ยาวจรดพระชานุโดยไม่ต้องน้อมพระ วรกายลง ๑๐. พระคุยหะเร้นอยใู่ นฝัก คอื องคก์ ำเนดิ หดเรน้ เขา้ ขา้ งใน ๑๑. พระวรรณะ เหลืองงามดงั ทองคำ ๑๒. พระฉวีวรรณละเอยี ด ธลุ ลี ะอองมติ ิดต้องพระวรกายได้ ๑๓. พระโลมชาติ (ขน) มีขุมละเสน้ ๆ ๑๔. พระโลมชาติ มสี เี ขยี วสนทิ ขดเปน็ ทกั ษณิ าวฏั (เวยี นขวา) ๓ รอบ และมปี ลายชอ้ นขนึ้ ๑๕. พระวรกายตรงดุจกายพรหม สง่างาม สมบรู ณ์ สมสว่ น ๑๖. พระมงั สะ (เนอื้ ) เต็มในที่ ๗ แห่ง ได้แก่ หลังพระหัตถ์ทัง้ สอง หลังพระบาททงั้ สอง พระอังสา (บ่า) ทง้ั สอง ลำพระศอ (คอ) มิได้เห็นเสน้ ปรากฏออกมาภายนอก ๑๗. พระวรกายสว่ นหน้าสมส่วนบรบิ รู ณ์สง่างามดุจราชสหี ์ ๑๘. พระปฤษฎางค์ (หลงั ) เต็มเสมอกันตั้งแตบ่ ้นั พระองค์ (เอว) ข้ึนไปถงึ ตน้ พระศอ (คอ) ๑๙. พระวรกายกบั วาของพระองค์เทา่ กันเหมอื นมณฑลตน้ นิโครธ ๒๐. ลำพระศอกลมเสมอกัน ๒๑. เส้นประสาทสำหรบั รบั รสอาหารดีเลิศ ๒๒. พระหนุ (คาง) ดจุ คางราชสหี ์ ๒๓. พระทนตม์ ี ๔๐ ซ่ี เบ้อื งบน ๒๐ ซ่ี เบอ้ื งล่าง ๒๐ ซ ี่ ๒๔. พระทนตเ์ รยี งเรยี บเสมอกนั ๒๕. พระทนต์สนทิ กันดี มิไดห้ า่ ง ๒๖. พระทาฐะ (เขีย้ ว) ทงั้ ๔ ซี่ ขาวงามบรสิ ทุ ธ ์ิ ๒๗. พระชิวหาออ่ น กวา้ ง ยาวกว่าชนทงั้ ปวง ๒๘. พระสรุ เสยี งก้องกงั วาล ดจุ เสียงท้าวมหาพรหม และไพเราะดจุ เสียงนกการเวก ๒๙. พระเนตรเขยี วสนทิ ๓๐. ดวงพระเนตรสดใสดงั ตาโค ๓๑. พระอณุ าโลมสขี าวนวลเหมือนปยุ ฝ้าย บังเกดิ ระหวา่ งพระโขนง (คว้ิ ) ๓๒. พระเศียรกลมงาม พระพักตรม์ ีอุณหิส คือ ลกั ษณะเหมือนมีกรอบหน้า แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชัน้ เอก วชิ าพุทธานุพุทธประวตั ิ

36 อนพุ ยญั ชนะ ๘๐ อนุพยัญชนะ หมายถึง ลักษณะข้อปลีกย่อย หรือส่วนประกอบเสริมของพระมหาบุรุษ ลกั ษณะมี ๘๐ ประการ คือ ๑. มีน้ิวพระหัตถ์และนวิ้ พระบาทเหลอื งงาม ๒. น้วิ พระหัตถ์และนว้ิ พระบาทเรียวออกไปโดยลำดบั แต่ต้นจนปลาย ๓. นิว้ พระหัตถแ์ ละนวิ้ พระบาทกลมดจุ นายช่างกลงึ ไว้อย่างดี ๔. พระนขา ท้งั ๒๐ มสี ีแดง ๕. พระนขา ท้ัง ๒๐ นัน้ งอนงามช้อนข้นึ เบอื้ งบนมิไดค้ ้อมลงเบอื้ งตำ่ ๖. พระนขาเกลี้ยงกลมสนิทมไิ ดเ้ ปน็ ริว้ รอย ๗. ขอ้ พระหตั ถ์และข้อพระบาทซอ่ นอย่ใู นพระมังสะมิได้สงู ขน้ึ ออกมาภายนอก ๘. พระบาททงั้ สองเสมอกนั มไิ ดเ้ ล็กหรือใหญก่ ว่ากนั ๙. พระดำเนนิ งามดจุ การเดนิ แหง่ ช้าง ๑๐. พระดำเนนิ งามดจุ การเดนิ แห่งสหี ราช ๑๑. พระดำเนนิ งามดุจการเดนิ แห่งหงส ์ ๑๒. พระดำเนนิ งามดจุ การเดนิ แหง่ โคอุสภราช ๑๓. ขณะยนื จะยา่ งพระบาทนนั้ ยกพระบาทเบอื้ งขวายา่ งไปกอ่ นพระกายเยอ้ื งไปเบอ้ื งขวากอ่ น ๑๔. พระชานมุ ณฑลเกล้ยี งกลมงามบริบรู ณม์ ิได้เหน็ อฐั ิสะบา้ ปรากฏออกมาภายนอก ๑๕. มกี ิรยิ าของบรุ ุษบรบิ รู ณ์ คือ มไิ ด้มกี ริ ยิ ามารยาทคล้ายสตรี ๑๖. พระนาภีมิไดบ้ กพร่อง กลมงามมไิ ดผ้ ดิ ปกตใิ นท่ใี ดท่ีหนง่ึ ๑๗. พระอุทรมสี ัณฐานอันลกึ ๑๘. ภายในพระอทุ รมีรอยเวียนเป็นทกั ขิณาวัฏ ๑๙. ลำพระเพลาท้งั สองกลมงามดจุ ลำสุวรรณกทั ทล ี ๒๐. ลำพระกรทง้ั สองงามดุจงวงแห่งชา้ งเอราวณั ๒๑. พระองั คาพยพใหญ่น้อยทัง้ ปวงจำแนกเป็นอนั ดี คอื งามพรอ้ มทุกสง่ิ หาท่ตี ำหนมิ ไิ ด ้ ๒๒. พระมงั สะทค่ี วรจะหนาก็หนา ทค่ี วรจะบางก็บางท่วั ท้งั พระวรกาย ๒๓. พระมังสะมไิ ด้เหีย่ วย่นในทใ่ี ดทีห่ นึ่ง ๒๔. พระวรกายทั้งปวงปราศจากต่อม ไฝ ปาน และมลู แมลงวนั ๒๕. พระวรกายงามบริสุทธิ์ เสมอกันท้งั ส่วนบนและส่วนลา่ ง ๒๖. พระวรกายงามบริสุทธ์ิ ปราศจากมลทินท้งั ปวง ๒๗. ทรงพระกำลงั มาก เทา่ กับกำลงั ชา้ งพนั โกฏ ิ ๒๘. มพี ระนาสกิ โดง่ ๒๙. สัณฐานพระนาสกิ งามแฉล้ม แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั เอก วิชาพุทธานุพุทธประวตั ิ

37 ๓๐. มพี ระโอษฐท์ ้งั สองส่วนเสมอกนั มีสีแดงงามดุจผลตำลงึ สุก ๓๑. พระทนต์บรสิ ทุ ธ์ปิ ราศจากมูลมลทิน ๓๒. พระทนต์ขาวดุจดังสสี งั ข ์ ๓๓. พระทนต์เกลยี้ งสนทิ มิได้เป็นรวิ้ รอย ๓๔. พระอนิ ทรยี ์ท้งั ๕ งามบริสทุ ธ์ ิ ๓๕. พระเข้ียวทั้ง ๔ กลมบรบิ ูรณ์ ๓๖. ดวงพระพกั ตร์มสี ัณฐานยาวสวย ๓๗. พระปรางทัง้ สองดเู ปล่งงามเสมอกนั ๓๘. กระพ้งุ พระปรางท้ังสองเตม็ บริบูรณ์ ๓๙. ลายพระหัตถม์ ีรอยอันลึก ๔๐. ลายพระหตั ถ์มีรอยอนั ยาว ๔๑. ลายพระหัตถม์ ีรอยตรง ๔๒. ลายพระหัตถ์มรี อยสีแดงสดใส ๔๓. รัศมีพระวรกายเป็นปรมิ ณฑลโดยรอบ ๔๔. กระบอกพระเนตรกวา้ งและยาวงามสมกัน ๔๕. ดวงพระเนตร ประกอบดว้ ย ประสาททง้ั ๕ ผ่องใสบริสุทธิ์ ๔๖. ปลายเสน้ พระโลมชาตทิ ง้ั หลายเหยยี ดตรง ๔๗. พระชวิ หามสี ณั ฐานงาม ๔๘. พระชวิ หาอ่อนมไิ ดก้ ระด้าง มีสแี ดงเข้ม ๔๙. พระกรรณทั้งสองมสี ณั ฐานยาวดจุ กลีบปทมุ ชาติ ๕๐. ช่องพระกรรณมสี ณั ฐานกลมงาม ๕๑. พระเส้นเอ็นท้ังปวงเปน็ ระเบียบสละสลวย ๕๒. แถวพระเส้นเอ็นท้งั หลายซ่อนอยใู่ นพระมังสะมไิ ดน้ ูนขน้ึ ๕๓. พระเศยี รมสี ัณฐานงามเหมอื นฉตั รแกว้ ๕๔. ปริมณฑลพระนลาฎโดยกว้างยาวสมกนั ๕๕. พระนลาฎมีสัณฐานงาม ๕๖. พระโขนงมีสณั ฐานงาม ดุจคนั ธนูทีโ่ ก่งไว ้ ๕๗. พระโลมชาตทิ พี่ ระโขนงมเี ส้นละเอยี ด ๕๘. เสน้ พระโลมชาติทพ่ี ระโขนงลม้ ราบไปทางเดยี วกัน ๕๙. พระโขนงใหญ ่ ๖๐. พระโขนงยาวสดุ หางพระเนตร ๖๑. ผิวพระมังสะละเอยี ดทั่วท้ังพระวรกาย แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั เอก วิชาพทุ ธานุพทุ ธประวัติ

38 ๖๒. พระวรกายร่งุ เรอื งไปด้วยสิริ ๖๓. พระวรกายไม่มัวหมองผอ่ งใสอยเู่ ป็นนิตย ์ ๖๔. พระวรกายสดชื่นดุจดวงดอกปทมุ ชาต ิ ๖๕. พระวรกายมสี ัมผัสออ่ นนมุ่ สนิทไมก่ ระดา้ ง ๖๖. กลิ่นพระวรกายหอมฟุ้งดุจกล่นิ กฤษณา ๖๗. พระโลมชาตมิ เี ส้นเสมอกัน ๖๘. พระโลมชาติมีเส้นละเอยี ด ๖๙. ลมอสั สาสะปสั สาสะเดนิ ละเอยี ด ๗๐. พระโอษฐ์มีสณั ฐานงามดุจแยม้ ๗๑. กล่นิ พระโอษฐ์หอมดจุ กลิ่นอุบล ๗๒. พระเกศาดำเป็นแสง ๗๓. กลิน่ พระเกศาหอมฟุ้งขจรตลบ ๗๔. กลิน่ พระเกศาหอมดุจกลน่ิ โกมล ๗๕. พระเกศาทุกเส้นมีสัณฐานกลมสลวย ๗๖. พระเกศาดำสนิท ๗๗. พระเกศามีเสน้ ละเอียด ๗๘. เส้นพระเกศาไมย่ ุง่ เหยงิ ๗๙. เส้นพระเกศาเวียนเป็นทกั ขิณาวัฏ ๘๐. พระเกตมุ าลาเปน็ ระเบียบขึ้น ณ สว่ นบนพระเศยี รฯ อาสภวิ าจา ดำรัสอย่างอาจหาญ พระบรมโพธิสัตว์ เม่ือประสูติแล้วทรงทอดพระเนตรทิศท้ัง ๑๐ มิทรงเห็นผู้ใดจะเสมอ เหมือนพระองค์ จึงบ่ายพระพักตร์สู่ทิศอุดร เสด็จดำเนินไป ๗ ก้าว ทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจเสียง ทา้ วมหาพรหมว่า “อคฺโคหมฺสมิ โลกสฺส เชฏโฺ หมสฺมิ โลกสฺส เสฏโฺ หมสฺ มิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาต ิ นตถฺ ทิ านิ ปนุ พภฺ โว แปลวา่ เราเปน็ ผเู้ ลศิ แหง่ โลก เราเปน็ ผเู้ จรญิ แหง่ โลก เราเปน็ ผปู้ ระเสรฐิ แหง่ โลก ชาติน้ีเป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ไป ไม่มีการเกิดอีก ดังนี้” ขณะนั้น หม่ืนโลกธาตุก็หวั่นไหวเกิดโอภาส สว่างไปทวั่ ธรรมดาว่า พระบรมโพธิสัตว์ พอประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดาแล้วเปล่งสีหนาท วาจาไดน้ ้ัน มอี ยู่ ๓ ชาติ คือ ๑ ชาติท่ีอุบตั ิเป็นพระมโหสถ ๒ ชาติทอี่ บุ ตั ิเป็นพระเวสสนั ดร ๓ ชาติ สุดท้ายท่ีอุบัติเป็นสิทธัตถกุมารนี้ พระอาสภิวาจานี้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ ๑. แจ่มใส ๒. ชัดถ้อยชัดคำ ๓. หวานกล่อมใจ ๔. เสนาะโสต ๕. หยดย้อย ๖. ไม่เครือ ไม่พร่า ไม่แหบ ๗. ซึง้ ๘. มีเสยี งกงั วาน แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั เอก วชิ าพทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ

39 สหชาติ สิ่งท่อี ุบัติในวนั เดียวกับพระโพธสิ ตั ว ์ ในวันท่ีพระบรมโพธิสัตว์ประสูติ มีสหชาติที่บังเกิดข้ึนในวันเดียวกัน ๗ ส่ิง คือ ๑. พระนางพิมพา ๒. พระอานนท์ ๓. กาฬุทายีอำมาตย์ ๔. นายฉันนะ ๕. ม้ากัณฐกะ ๖. ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ๗. ขมุ ทองทั้งสม่ี ุมเมอื ง พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวการประสูติ จึงตรัสสั่งให้เชิญเสด็จกลับพระราชวัง ฝ่ายอสิตดาบส เรียกอีกชื่อหน่ึงว่า กาฬเทวิลดาบส ผู้มีความผู้คุ้นเคยและเป็นที่นับถือของราชสกุล อาศัยอยู่เชิงเขาหิมวันต์ ได้ทราบข่าวจึงเข้าไปเย่ียม พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงเชิญให้เข้าไปนั่ง ณ อาสนะ อภิวาท สนทนาตามสมควรแลว้ ทรงอมุ้ พระราชโอรสออกมา เพ่ือจะใหน้ มัสการพระดาบส พระดาบสเห็นพระราชโอรสนั้นมีพระลักษณะต้องตามตำรับมหาบุรุษลักษณะพยากรณ์ศาสตร ์ จึงทำนายลักษณะของพระมหาบรุ ษุ เปน็ ๒ อยา่ งว่า ถ้าดำรงในฆราวาสวสิ ยั จกั เป็นพระเจา้ จักรพรรดิ ราชปราบปรามชนะทวั่ ปฐพี มมี หาสมุทร ๔ เปน็ ขอบเขต ถา้ ออกบรรพชา ประพฤตพิ รตพรหมจรรย์ จักเป็นศาสดาเอกในโลก ครั้นเห็นอัศจรรย์อย่างนั้นแล้ว เกิดความเคารพนับถือในพระราชโอรส เปน็ อยา่ งมาก จงึ ลกุ ขน้ึ กราบลงทพ่ี ระบาททงั้ สองของพระราชโอรสดว้ ยศรี ษะของตน พระเจา้ สทุ โธทนะ ทอดพระเนตรเห็นดังน้ัน จึงยกพระหัตถ์ขึ้นอภิวันทนาการ ฝ่ายพระดาบสถวายพระพรลากลับไป ท่ีอยู่แห่งตนและดำริว่า อาตมามีชีวิตอยู่ไม่ทันท่ีจะได้เห็นพระราชกุมารนี้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูเจ้า แน่ นาลกะผู้เป็นหลานจะได้ทันเห็น จึงตรงไปยังบ้านน้องสาวแล้วเรียกนาลกะผู้เป็นหลานมา บอก เนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วแนะนำให้บวชอยู่คอยท่าตั้งแต่วันน้ัน ฝ่ายนาลกะ ผู้ได้สั่งสมกุศล บารมมี าเป็นอันมากก็เชอ่ื คำของลุง ปลงผมโกนหนวดนุ่งหม่ ผ้ากาสาวพัสตร์ อธิษฐานเพศบรรพชาวา่ ท่านผู้ใดเป็นอุดมบุคคลในโลก ข้าพเจ้าขอบรรพชาเฉพาะสำนักท่านผู้นั้น แล้วบ่ายหน้าไปยังทิศ อันเป็นท่ีสถิตแห่งพระบรมโพธิสัตว์ ถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วสะพายบาตร ออกจากเคหสถาน ไปเจริญสมณธรรมยังปา่ หิมพานต์ ฝ่ายราชสกุลเห็นดาบสซ่ึงเป็นที่นับถือของตนกราบท่ีพระบาทของพระราชโอรส แสดงความนับถือและไดฟ้ ังพยากรณ์อย่างนัน้ กม็ จี ติ นบั ถอื ในพระราชโอรสนนั้ ยง่ิ นัก ยอมถวายโอรส ของตน ๆ เป็นบริวาร ตระกูลละคน ส่วนพระเจ้าสุทโธทนะ ก็พระราชทานบริหารจัดพระพ่ีเล้ียง นางนมคอยระวงั รกั ษาพระราชโอรสเปน็ นติ ย์ ขนานพระนาม เมื่อประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระญาติวงศ์และเสนามาตย์ พร้อมกัน เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาฉันโภชนาหารแล้ว ทำมงคลขนานพระนามว่า “สิทธัตถ ราชกุมาร” แปลว่า สิ่งท่ีต้องการจะสำเร็จตามปรารถนา แต่ประชุมชนมักเรียกตามพระโคตรว่า โคตมะ อกี ประการหนง่ึ พระบรมโพธสิ ตั ว์ มพี ระรศั มโี อภาสจากพระสรรี กาย เหตนุ นั้ พราหมณท์ ง้ั หลาย จงึ ถวายพระนามว่า อังคีรสราชกมุ าร แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั เอก วชิ าพุทธานุพทุ ธประวัติ

40 พราหมณ์ ๘ คน ทำนายพระลักษณะ พราหมณาจารย์ ๑๐๘ คน ทส่ี ำเร็จไตรเวท คอื ๑ ฤคเวท ๒ สามเวท ๓ ยชรุ เวท บริโภค โภชนาหารแลว้ ได้คดั เลือกพราหมณท์ ่มี คี วามร้เู ก่ียวกบั ทำนายลกั ษณะ ๘ คน คือ ๑. รามพราหมณ์ ๒. ลักษณพราหมณ์ ๓. ยัญญพราหมณ์ ๔. ธุรพราหมณ์ ๕. โภชนพราหมณ์ ๖. สุทัตตพราหมณ์ ๗. สยามพราหมณ์ และ ๘. โกณฑญั ญพราหมณ์ เมอื่ พราหมณท์ ัง้ ๗ คนแรก ไดเ้ หน็ มหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ กับอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ของพระโพธิสัตว์แล้ว ได้ยกน้ิวมือชูขึ้น ๒ นิ้ว ทูลทำนายว่า พระราชกุมานี้ มีคติเป็น ๒ คือ ถ้าดำรงเพศฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรด ิ ถ้าเสดจ็ ขอออกผนวชจะได้ตรัสรูเ้ ปน็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า ส่วนโกณฑัญญพราหมณ์ ผู้มีอายุน้อยกว่าพราหมณ์ท้ังหมด เมื่อพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว จึงยกชูนิ้วมือขึ้นเพียงนิ้วเดียว โดยทำนายว่า พระราชกุมารจะสถิตอยู่ฆราวาสวิสัยหามิได้ จะทรง ออกบรรพชาตรัสรเู้ ปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแนแ่ ท้ พระนางสริ มิ หามายาทวิ งคต ฝ่ายพระนางสิริมหามายาเทวี เม่ือประสูติพระโอรสได้ ๗ วัน ทิวงคตไปบังเกิดใน ดุสิตเทวโลก พระเจ้าสุทโธทนะจึงจัดพระพี่เล้ียงนางนมมาให้คอยอภิบาลบำรุงรักษาและทรงมอบ พระราชกุมารน้นั ใหพ้ ระนางปชาบดโี คตมี ซ่ึงเป็นพระน้านาง ภายหลงั พระเจา้ สุทโธทนะทรงอภเิ ษก สมรสกับพระนางปชาบดีโคตมี มีพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง พระนามว่า นันทกุมาร มีพระราชบุตรี พระองค์หนง่ึ พระนามวา่ รปู นนั ทา เมื่อสิทธัตถกุมารทรงพระเจริญข้ึนโดยลำดับ มีพระชนมายุได้ ๗ ปี พระราชบิดาโปรด ให้ขุดสระโบกขรณีในพระราชนิเวศน์ ๓ สระ ปลูกอุบลบัวเขียวสระหน่ึง ปลูกปทุมบัวหลวงสระหนึ่ง ปลูกบุณฑริกบัวขาวสระหน่ึงแล้ว ตกแต่งให้เป็นที่เล่นสำราญพระหฤทัยและจัดเคร่ืองทรง คือ จันทร์สำหรับทา ผ้าโพกพระเศียร ฉลองพระองค์ ผ้าทรงสะพัก พระภูษาล้วนเป็นของมาแต่ แว่นแควน้ กาสี มีคนคอยอภิบาลกนั้ เศวตฉัตร (พระกลดขาวซง่ึ นบั วา่ เปน็ ของสูง) ทัง้ กลางวันกลางคืน เพ่ือจะมิให้เย็นร้อนธุลีละอองแดดน้ำค้างมาถูกต้องพระกายได้ ครั้นพระราชกุมารมีพระชนม์เจริญ ควรจะศกึ ษาศลิ ปศาสตรว์ ทิ ยาได้ พระราชบดิ าจงึ ทรงพาไปมอบไวใ้ นสำนกั ครวู ศิ วามติ ร พระราชกมุ าร ทรงเรยี นไดว้ ่องไวจนสิน้ ความรอู้ าจารย ์ พระราชพธิ วี ัปปมงคล สมัยหน่ึง ในวันทำพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะ ตรัสให้ประดับตกแต่ง พระนคร พระองค์มีหมู่อมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดีแวดล้อม เสด็จสู่สถานที่กระทำการแรกนาขวัญ ตรัสใหเ้ ชิญพระโพธสิ ัตว์เสด็จไป ณ ที่น้นั ดว้ ย และให้ประทบั อยภู่ ายใต้ตน้ หว้าตน้ หน่ึง ส่วนพระองค์ พร้อมด้วยมุขมนตรี ทรงแรกนาขวัญด้วยพระองค์เอง ขณะน้ันพวกพ่ีเลี้ยงนางนมท้ังหลายละทิ้ง พระโพธิสัตว์ไว้แต่ลำพังพระองค์เดียว ชวนกันมาดูการแรกนาขวัญพระโพธิสัตว์ก็เสด็จลุกขึ้น ขัดบัลลังก์น่ังสมาธิ เจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ทำปฐมฌานให้เกิดข้ึนเวลานั้นเป็นเวลาบ่าย แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าพทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ

41 เงารม่ ไมท้ งั้ หลายกช็ ายไปตามตะวนั ทงั้ สนิ้ แตเ่ งาไมห้ วา้ นนั้ ปรากฏเปน็ ปรมิ ณฑลตรงอยดู่ จุ เวลาเทยี่ งวนั พ่ีเล้ยี งนางนมทง้ั หลายกลบั มาเหน็ ปรากฏการณ์เชน่ นน้ั จึงไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะใหท้ รงทราบ พระองค์รีบเสด็จมาทอดพระเนตรเห็นความมหัศจรรย์เช่นน้ัน ก็ยกหัตถ์นมัสการและดำรัสว่า กาลเมื่อประสูติใหม่ ๆ ใคร่จะให้ถวายนมัสการพระดาบสกลับกระทำปาฏิหาริย์ข้ึนไปยืนบนชฎา เราก็ประณตไหว้เป็นครง้ั แรกและครั้งนี้กอ็ ัญชลเี ปน็ คำรบสองแล้วใหเ้ ชิญเสด็จกลบั พระนคร ทรงอภิเษกสมรส เมื่อพระราชกุมารทรงพระเจริญวัย มีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ควรมีพระเทวีได้แล้ว พระราชบิดาจึงตรัสส่ังให้สร้างปราสาท ๓ หลัง เพ่ือเป็นท่ีเสด็จอยู่แห่งพระราชโอรสใน ๓ ฤดู คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน ตกแต่งปราสาท ๓ หลังน้ัน ตามสมควรเป็นท่ีสบายในฤดูน้ัน ๆ แล้ว ส่งทูตเชญิ พระราชสาส์นไปขอพระนางยโสธรา (บางแห่งเรียกนางพมิ พา) ซ่งึ เป็นพระราชบตุ รีพระเจา้ สุปปพุทธะในกรุงเทวทหะ อันประสูติแต่พระนางอมิตา ซึ่งเป็นพระกนิฏฐภคินีของพระองค์ มาอภิเษกเป็นพระเทวี สิทธัตถราชกุมารน้ันเสด็จอยู่บนปราสาททั้ง ๓ น้ัน ตามฤดูกาลบำเรอ ด้วยดนตรีผู้ประโคมดนตรีมีแต่สตรีล้วน ไม่มีบุรุษเจือปน เสวยสุขสมบัติทั้งกลางวันกลางคืนจนม ี พระชนมายไุ ด้ ๒๙ พรรษา แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาพุทธานพุ ทุ ธประวตั ิ

42 ใบความรู้ที่ ๒ พทุ ธวตั ติ ้ังแต่ บรรพชาจนถึงเสวยวิมุตตสิ ขุ (สตั ตมหาสถาน) ปรเิ ฉทท่ี ๒ บรรพชา ประพาสอทุ ยาน สิทธัตถราชกุมาร บริบูรณ์ด้วยสุขตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนทรงพระเจริญวัย เป็นพระราชโอรสผู้สุขุมาลชาติ (ผู้ละเอียดอ่อน) ท้ังพระราชบิดาและพระราชวงศ์ ได้ทรงฟัง คำทำนายของอสิตดาบสว่าท่านผู้มีลักษณะเห็นปานนี้ มีคติเป็น ๒ อย่าง คือ ถ้าอยู่ครองราชสมบัติ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ปราบปรามชำนะทั่วปฐพีมณฑล ถ้าออกบรรพชาจักเป็นศาสดาเอกในโลก ไม่มีศาสดาอ่ืนจะยิ่งกว่า พระเจ้าสุทโธทนะ จึงทรงดำริท่ีจะให้สิทธัตถกุมารอยู่ครองราชสมบัติ มากกว่าทจี่ ะยอมใหบ้ รรพชา จึงต้องคดิ รักษาผกู พันใหเ้ พลดิ เพลินอยู่ในกามสุขอย่างนี้ พระมหาบรุ ษุ เสดจ็ ประพาสพระราชอุทยานถึง ๓ วาระ ไดพ้ บคนแก่ชรา คนเจ็บป่วย และคนตาย ซึ่งเทวดาเนรมิต ในระหว่างทางก็เกิดความสังเวชสลดใจว่า ตัวเรานี้ก็ไม่สามารถจะพ้นเสียจากสภาพเหล่านี้ไปได ้ กเ็ สดจ็ กลบั พระราชวงั ยงั มทิ นั ถงึ พระราชอทุ ยาน ในวาระท่ี ๔ ทอดพระเนตรเหน็ บรรพชติ ทรงดำรวิ า่ การประพฤตเิ ปน็ สมณเพศเป็นบญุ พิธีอนั ประเสริฐ ควรท่ีอาตมาจะถือเอาอุดมเพศอยา่ งนี้ ก็มีพระทัย พอใจในบรรพชาในเวลานนั้ เสด็จออกไปถงึ พระอุทยาน ทรงสำราญอย่ทู ้งั วัน พอเวลาเยน็ กเ็ สดจ็ กลับ ราหลุ ประสตู ิ ในขณะนน้ั ราชบรุ ษุ ไดน้ ำขา่ วไปกราบทลู วา่ บดั นี้ พระนางพมิ พาเทวี ประสตู พิ ระโอรสแลว้ พระมหาบุรุษได้ทรงทราบจึงออกพระโอษฐ์ตรัสว่า “ราหุลํ ชาตํ พนฺธนํ ชาตํ บ่วงเกิดแล้ว เครอื่ งพันธนาการเกิดแลว้ แก่เรา” จำเดมิ แต่นัน้ พระกุมารจึงได้พระนามว่า ราหุล กีสาโคตมชี มโฉม ขณะเสด็จกลับพระราชนิเวศน์นั้น นางขัตติยกัญญาองค์หนึ่ง พระนามว่า กีสาโคตมี เสดจ็ เยยี่ มสหี บญั ชร ไดท้ อดพระเนตรเหน็ พระมหาบรุ ษุ กท็ รงปตี โิ สมนสั จงึ ตรสั ชมวา่ พระราชกมุ ารนี้ เป็นบุตรของพระราชมารดาบิดาพระองค์ใด พระราชมารดาบิดาพระองค์น้ัน ก็อาจดับเสียได้ซ่ึง หฤทัยทุกข์ อนึ่ง ถ้าว่าเป็นภัสดาของนารีใด นารีนั้นก็อาจดับเสียได้ซ่ึงหฤทัยทุกข์ พระโพธิสัตว์ ทรงสดับถึงความดับทุกข์ ทรงพอพระทัยในการแสวงหาความดับทุกข์ จึงเปล้ืองสร้อยพระศอ อันประดับด้วยแก้วมุกดามีราคาถึงแสนกหาปณะส่งให้ราชบุรุษนำไปถวายเพ่ือบูชาจริยคุณของ พระนาง พระนางกีสาโคตรมีมีสำคัญว่าพระสิทธัตถกุมารมีพระทัยปฏิพัทธ์เสน่หา จึงได้มอบ สรอ้ ยพระศอให้ก็เกดิ โสมนัสยินดเี ปน็ อยา่ งยง่ิ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั เอก วิชาพทุ ธานพุ ุทธประวัติ

43 มลู เหตุใหเ้ สดจ็ ออกบรรพชา วันหน่ึง สิทธัตถราชกุมาร ทรงรำพึงว่า หมู่ชนที่เกิดมาแล้วต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา ทุกคนไม่มีใครไม่ล่วงความแก่ ความเจ็บความตายไปได้ แม้เป็นอย่างน้ัน เพราะโทษท่ีไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของนักปราชญ์ เม่ือได้เห็นผู้อ่ืนแก่ เจ็บ ตายก็เบ่ือหน่าย เกลียดชัง ไม่คิดถึงตัวว่าจะต้องแก่ เจ็บ ตายเหมือนอย่างนั้นบ้าง เมาอยู่ในวัย ในความไม่มีโรค และในชีวิต เหมอื นหนง่ึ เปน็ คนจะไมต่ อ้ งแก่ เจบ็ ตาย มวั ขวนขวายแต่ในของทมี่ ีความแก่ เจ็บ ตายเหมือนกับตน ไมค่ ดิ หาอบุ ายทจ่ี ะใหพ้ น้ จากความแก่ ความเจบ็ ความตายเลย ถงึ เรากเ็ ปน็ เชน่ นน้ั ขอ้ นเี้ ปน็ การไมส่ มควร แก่เราเลย เมื่อเราได้รู้เห็นอย่างนี้แล้ว ควรท่ีจะแสวงหาอุบายท่ีจะให้พ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตายน้ี เมอ่ื ทรงดำรอิ ยา่ งน้ี กท็ รงบรรเทาความเมา ๓ ประการ และความเพลดิ เพลนิ ในกามสมบตั ิ เสียได้ ทรงดำรติ อ่ ไปวา่ ธรรมดาสภาพทง้ั ปวง ย่อมมีของแก้กัน เชน่ มรี ้อนแลว้ กม็ เี ยน็ แก้ มมี ดื แล้วก็ มีสว่างแก้ บางทีจะมีอุบายที่จะแก้ทุกข์ ๓ อย่างน้ีได้บ้างกระมัง ก็แต่ว่าการที่จะแสวงหาอุบาย แก้ทุกข์ ๓ อย่างนั้น เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง เรายังอยู่ในเพศฆราวาสเห็นจะแสวงหาไม่ได ้ เพราะฆราวาสนี้เป็นท่ีคับแคบนัก และเป็นที่ต้ังแห่งอารมณ์อันทำใจให้เศร้าหมองเป็นที่คับแคบนัก และเป็นท่ีต้ังแห่งอารมณ์อันทำใจให้เศร้าหมองเพราะเป็นที่กำหนัดรักใคร่ในอารมณ์ซึ่งเป็นท่ีต้ังแต่ ความกำหนัดรักใคร่ ขัดเคืองในอารมณ์ซึ่งเป็นที่ต้ังแห่งความขัดเคือง หลงเพลิดเพลินในอารมณ ์ ซง่ึ เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความหลง ดจุ เปน็ ทางทมี่ าแหง่ ธลุ ี บรรพชา คอื การบวชเวน้ จากกจิ การของคนมเี หยา้ เรอื น ประพฤติตนเป็นนักบวชเป็นช่องว่างพอที่จะแสวงหาอุบายน้ันได้ ทรงพระดำริอย่างน้ีแล้ว ก็มี พระอัธยาศยั นอ้ มไปในบรรพชา ไมย่ ินดใี นฆราวาสสมบตั ิต้งั แต่นนั้ มา เสดจ็ หอ้ งพระนางพมิ พา วนั นน้ั พระบรมโพธสิ ตั ว์ มพี ระทยั ยนิ ดยี ง่ิ นกั ในการบรรพชา ปราศจากอาลยั ในเบญจกามคณุ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มิได้ยินดีในการฟ้อนรำขับประโคมแห่งนางบำเรอท้ังหลาย ก็หย่ังลงสู่ความหลับประมาณครู่หน่ึง เม่ือตื่นบรรทมได้ทอดพระเนตรอาการวิปริตแห่งนางบำเรอ ท้งั หลายขณะหลับ มีพระทยั สังเวชยง่ิ นัก เชน่ เดียวกบั เหน็ ซากศพเกลื่อนกลาดในปา่ ชา้ ภพทัง้ ๓ คอื กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ปรากฏดุจเรือนที่ถูกไฟไหม้ จึงตรัสแก่นายฉันนะว่า นี่แนะฉันนะ เราจะออกบวชในคืนนี้ เจ้าจงไปผูกม้าให้เราตัวหนึ่งโดยเร็ว แล้วจึงเสด็จไปยังห้องพิมพาราชเทว ี ด้วยพระประสงค์จะทอดพระเนตรพระพักตร์ของพระราหุลกุมาร แต่พระนางพิมพาทอดพระกาย เหนือเศียรพระโอรส โดยมิรู้ว่าพระองค์ทรงประทับยืนเหยียบบนธรณีพระทวาร ดำริว่า ถ้าเราจะยก พระหัตถ์พมิ พา อุม้ องค์โอรส พระนางก็จะตื่น กจ็ ะเปน็ อนั ตรายตอ่ บรรพชา อยา่ เลย ตอ่ เม่อื ไดส้ ำเรจ็ พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงจะกลับมาทัศนาจึงเสด็จลงจากปราสาท เสด็จข้ึนม้ากัณฐกะ มีนายฉนั นะตามเสด็จออกจากพระนคร แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชัน้ เอก วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวัติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook