44 โทษของอทนิ นาทาน ผปู้ ระพฤตอิ ทนิ นาทาน ถอื เอาสงิ่ ของทเี่ จา้ ของไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยอาการแหง่ ขโมยหรอื ลกั ทรพั ย์ จะมโี ทษ มากหรอื น้อยตามคุณคา่ ของสงิ่ ของ คณุ ความดีของเจา้ ของ และความพยายามในการลักขโมย นอกจากนน้ั ผู้ลกั ทรพั ย์ย่อมได้รับกรรมวิบาก ๕ สถาน คอื ๑. ยอ่ มเกดิ ในนรก ๒. ยอ่ มเกดิ ในกำ�เนิดสัตว์เดยี รัจฉาน ๓. ยอ่ มเกิดในกำ�เนดิ เปรตวิสัย ๔. ยอ่ มเป็นผ้ยู ากจนเข็ญใจไร้ ท่ีพงึ ๕. โทษเบาท่ีสุด หากเกดิ เป็นมนษุ ย์ ทรัพย์ยอ่ มฉิบหาย ตัวอยา่ งโทษของอทินนาทาน เรอ่ื ง เวมานกิ เปรต พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาอยู่ ณ กรงุ สาวตั ถี หวั หน้าพ่อค้าชาวสาวตั ถคี นหนึง่ พาพอ่ ค้า ๗๐๐ คน ลอ่ งเรือไปค้าขายในดินแดนสวุ รรณภูมิ ระหว่างเดินทางเรอื ได้ถกู ลมพลัดหลงไปถึงวิมานทองซึ่งอยู่ กลางทะเล ภายในวมิ านทองนน้ั มเี ทพธดิ าแสนสวยอาศยั อยู่ หวั หนา้ พอ่ คา้ เหน็ เทพธดิ าจงึ ถามวา่ “นอ้ งรปู งาม ที่อยู่ในวิมานนี้เป็นใครกันหนอ ขอเชิญน้องออกมาข้างนอกเถิด พ่ีจะขอชมความงามของน้องให้เต็มตา” เทพธิดาตอบว่า “ดิฉันเป็นเวมานิกเปรตเพราะทำ�บุญไว้น้อยมาก แม้จะมีรูปสวย มีวิมาน แต่ดิฉันต้อง เปลอื ยกายไรอ้ าภรณ์ มเี พยี งเสน้ ผมปดิ บงั กายไวเ้ ทา่ นน้ั ดฉิ นั อายเหลอื เกนิ ทจี่ ะออกไปขา้ งนอก” หวั หนา้ พอ่ คา้ บอกวา่ “นอ้ งนางผมู้ รี ปู งาม พจี่ ะใหผ้ า้ เนอ้ื ดี นอ้ งจงนงุ่ ผา้ แลว้ ออกมาเถดิ ” เวมานกิ เปรตตอบวา่ “ทา่ นไมอ่ าจ ให้ผ้านั้นแก่ดิฉันด้วยมือท่านได้โดยตรง แต่ถ้าในหมู่พวกท่านมีอุบาสกสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอท่านจงให้ทานผ้านั้นแก่อุบาสกแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดิฉัน เม่ือนั้นดิฉันจึงจะได้ผ้านี้ตามปรารถนา” ในเรือนั้นมีอุบาสกผู้มีศีลคนหน่ึง หัวหน้าพ่อค้าจึงบอกให้เขาอาบนํ้าแล้ว ได้มอบผ้านุ่งผ้าห่มให้ และอุทิศ สว่ นกุศลไปให้เวมานกิ เปรต ทนั ใดนนั้ เวมานกิ เปรตก็มอี าภรณท์ ิพยส์ วมใส่ เดินยิ้มออกมาจากวมิ าน พรอ้ มทงั้ ได้อาหารทิพย์ด้วยจากการให้ทานของหัวหน้าพ่อค้าเพียงคร้ังเดียว พวกพ่อค้าอัศจรรย์ใจ เกิดความเคารพ ในอบุ าสกจึงพากนั เข้าไปไหว้ อบุ าสกคนน้นั จึงไดแ้ สดงธรรมให้พวกพ่อคา้ ฟงั ตามสมควร พวกพ่อค้าถามเวมานิกเปรตว่า ทำ�บุญกรรมอะไรไว้จึงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรตอยู่กลางทะเล เวมานกิ เปรตตอบวา่ ในพุทธกาลที่ลว่ งมาแลว้ ดิฉันเกิดในเมอื งพาราณสี อาศัยรูปรา่ งเลย้ี งชีพ ต่อมาวนั หนงึ่ มีผู้หญิงคนหน่ึงแกล้งเอายาบำ�รุงผมมาให้ แต่พอใช้แล้วผมกลับร่วงหมดศีรษะ ดิฉันอายจึงหนีออกไปอยู่ นอกเมือง เปลี่ยนอาชีพไปค้ันน้ํามันงาขาย พร้อมท้ังเปิดร้านขายสุรา วันหนึ่ง มีลูกค้ามาดื่มสุราแล้วเมา นอนหลบั สนทิ อยทู่ รี่ า้ น ดฉิ นั ฉวยโอกาสนน้ั ลกั ผา้ ทลี่ กู คา้ คนนนั้ นงุ่ ไวห้ ลวมๆ ดว้ ยกรรมนนั้ ดฉิ นั จงึ ไมม่ อี าภรณ์ สวมใส่ ต่อมาอีกวันหนึ่ง ดิฉันเห็นพระขีณาสพรูปหนึ่งเท่ียวบิณฑบาตอยู่ จึงนิมนต์ท่านเข้าไปในเรือนแล้ว ถวายแป้งเคีย่ วเจอื น้าํ มันงา ด้วยกศุ ลกรรมเพยี งเทา่ น้ี ดิฉันจงึ เกิดเป็นเทพธิดารูปงาม และไดว้ มิ านทอง ดฉิ นั แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
45 อยู่ในวิมานทองน้ีมาแล้วส้ินระยะเวลา ๑ พุทธันดร แต่ดิฉันก็เป็นทุกข์มาก เพราะอีก ๔ เดือนกุศลกรรม เหล่าน้ีจะหมดลง วิบากกรรมช่ัวอย่างอื่นของดิฉันจะนำ�ดิฉันไปหมกไหม้อยู่ในนรก ได้รับทุกข์ทรมาน แสนสาหัสเปน็ เวลายาวนาน อบุ าสกผมู้ ศี ลี จงึ กล่าวเตอื นสตเิ ทพธดิ าวา่ ดกู อ่ นแมเ่ ทพธดิ า เธอไดเ้ สอ้ื ผ้าอาภรณแ์ ละอาหารทพิ ย์ เพราะผลของทานท่ีพ่อค้าให้แก่เรา หากเธอให้ทานแก่พ่อค้าเหล่านี้บ้าง ผลทานก็จะเกิดแก่เธอ และ ยง่ิ หากเธอได้ถวายทานแดพ่ ระศาสดา ผลของทานก็จะยิ่งเกิดแกเ่ ธอมากยิ่งข้ึน เวมานกิ เปรตได้ฟงั แล้วกม็ ีใจยนิ ดี นำ�ข้าวและนํ้าอันเปน็ ทพิ ย์มาเลยี้ งพวกพ่อคา้ และฝากผา้ ทพิ ย์ คู่หนึ่งให้หัวหนา้ พ่อคา้ นำ�ไปถวายพระศาสดาด้วย พวกพ่อค้าเหล่าน้ันเดินทางต่อไป คร้ันกลับถึงกรุงสาวัตถี แล้วหัวหน้าพ่อค้าได้นำ�ผ้าทิพย์ของเธอไปถวายแด่พระศาสดาแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เวมานิกเปรต เม่ือ นางไดร้ บั ผลบุญนน้ั จงึ จตุ ไิ ปเกิดเปน็ เทพธดิ าในสวรรคช์ น้ั ดาวดึงส์ มีเทพธิดา ๑,๐๐๐ นางเปน็ บรวิ าร เรือ่ งเวมานกิ เปรตน้ี แสดงใหเ้ หน็ โทษของการลักขโมย ทำ�ใหเ้ กดิ ความขดั สน หมกไหม้อยใู่ นนรก ได้ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่มีเส้ือผ้าอาภรณ์และไม่มีอาหารรับประทาน และยังแสดงให้เห็นถึง อานสิ งส์ของการเสยี สละให้ทาน สง่ ผลใหพ้ น้ จากอบายไปเกดิ ในสวรรค์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร การประพฤตผิ ดิ ในกาม ความเสยี หายของกาเมสุมิจฉาจาร การประพฤติผิดในสามีภรรยาและบุคคลอันเป็นท่ีรักที่หวงแหนของคนอ่ืน ย่อมเป็นการทำ�ลาย ความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว เป็นการทำ�ลายสถาบันครอบครัว ทำ�ให้ขาดความเคารพนับถือ จนถึง ข้นั เปน็ ศตั รปู ระหตั ประหารซงึ่ กนั และกัน กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผดิ ในกาม หมายถึง การล่วงละเมิดทางเพศตอ่ บุคคลตอ้ งหา้ ม ๒ ประเภท คือ หญิงต้องห้ามและชายต้องห้าม หากผู้ใดประพฤติผิดกับหญิงหรือชายต้องห้าม ผู้น้ันชื่อว่า ประพฤติกาเมสมุ ิจฉาจาร ถ้าทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ตอ้ งหา้ มด้วยกัน ประพฤตผิ ดิ รว่ มกนั กช็ อ่ื ว่ากระท�ำ ผดิ ด้วยกัน ทั้งสองฝ่าย บุคคลท่ีเป็นหญิงแต่มีจิตใจเป็นชาย และบุคคลท่ีเป็นชายแต่มีจิตใจเป็นหญิง ก็อนุโลมในบุคคล ต้องห้ามตามข้อกาเมสมุ จิ ฉาจารนี้ หญิงต้องหา้ ม หญิงตอ้ งหา้ ม หมายถงึ บคุ คลต้องหา้ มสำ�หรับชาย มี ๓ ประเภทใหญ่ๆ คอื ๑. สสฺสามิกา หญิงมีสามี หมายถึง หญิงที่อยู่กินกับฝ่ายชายฉันภรรยาสามี ท้ังที่แต่งงานหรือ ไม่ได้แต่งงาน รวมถึงหญิงที่รับสิ่งของมีทรัพย์เป็นต้นของฝ่ายชายแล้วยอมอยู่กับฝ่ายชายน้ัน ตลอดถึง หญงิ ทฝี่ ่ายชายรับเลี้ยงดเู ปน็ ภรรยา จะได้จดทะเบยี นสมรสกนั ตามกฎหมายหรอื ไมก่ ต็ าม หญิงประเภทน้ี จะหมดภาวะท่ีเป็นหญิงต้องหา้ มก็ต่อเม่ือหยา่ ขาดจากสามีหรือสามีตายแล้ว แม้หญิงท่ีสามีถูกกักขัง เช่น ถูกจำ�คุก หากยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน ก็ถือว่าเป็นหญิงต้องห้าม หรือสามี ตอ้ งโทษจำ�คกุ ตลอดชีวติ หญงิ นั้นก็ยังอยู่ในฐานะต้องหา้ มตราบเท่าท่ีสามยี ังตอ้ งโทษอยู่ ชายใดประพฤตผิ ดิ ตอ่ หญิงมีสามี ถือวา่ ประพฤตกิ าเมสมุ จิ ฉาจาร แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นเอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
46 ๒. ญาติรกฺขิตา หญิงท่ีญาติรักษา หมายถึง หญิงท่ีมีญาติเป็นผู้ปกครอง ไม่เป็นอิสระแก่ตน เพราะอยู่ในการปกครองดูแลพิทักษ์รักษาของบิดามารดา ญาติพี่น้อง หรือวงศ์ตระกูล ชายใดประพฤติผิด ตอ่ หญงิ ที่ญาตริ ักษา ถอื วา่ ประพฤตกิ าเมสุมิจฉาจาร หญิงท่ีญาติรักษาน้ัน เม่ือรับของหมั้นจากฝ่ายชายและตกลงจะแต่งงานกัน นับแต่ รับของหมั้นแล้ว หญิงนั้นช่ือว่าอยู่ในการรักษาท้ังของญาติและของคู่หม้ัน จะพ้นจากการรักษาของคู่หม้ัน ก็ตอ่ เม่อื ไดค้ นื ของหมั้นหรอื บอกเลิกการหมนั้ นั้นแล้ว ๓. ธมมฺ รกฺขิตา หญิงที่ธรรมรกั ษา หมายถึง หญิงทมี่ ีศีลธรรม กฎหมาย หรือจารีตคมุ้ ครองรกั ษา มี ๒ ประเภท คือ หญิงผูเ้ ป็นเทือกเถาเหลา่ กอของตนและหญิงมขี อ้ หา้ ม หญงิ ตอ้ งหา้ มโดยพิสดาร มี ๒๐ ประเภท คือ ๑. มาตรุ กฺขติ า หญงิ ทีม่ ารดารกั ษา ๒. ปติ รุ กขฺ ิตา หญิงท่ีบิดารกั ษา ๓. มาตาปติ ุรกขฺ ติ า หญิงท่ีมารดาบิดารักษา ๔. ภาตรุ กขฺ ติ า หญงิ ทพี่ ช่ี ายนอ้ งชายรักษา ๕. ภคินีรกฺขติ า หญงิ ทพี่ ่ีสาวน้องสาวรักษา ๖. ญาติรกฺขิตา หญงิ ท่ญี าตริ กั ษา ๗. โคตฺตรกขฺ ติ า หญิงที่ชนท่มี สี กุลหรือแซ่รกั ษา ๘. ธมฺมรกขฺ ิตา หญิงท่ธี รรมรักษา ๙. สามริ กขฺ ติ า หญิงท่สี ามรี กั ษา ๑๐. สปริทณฺฑา หญงิ ทก่ี ฎหมายคุ้มครอง ๑๑. ธนกีตา หญงิ ท่ีชายซือ้ มาเป็นภรรยา ๑๒. ฉนทฺ วาสนิ ี หญงิ ที่อยู่กบั ชายด้วยความรักใคร่กันเอง ๑๓. โภควาสินี หญงิ ท่อี ยเู่ ป็นภรรยาชายดว้ ยโภคสมบตั ิ ๑๔. ปฏวาสนิ ี หญงิ เข็ญใจไดผ้ ้านงุ่ ผา้ หม่ แลว้ อยู่เปน็ ภรรยา ๑๕. โอทปตฺตกินี หญงิ ท่ชี ายขอเป็นภรรยาด้วยพธิ ีแตง่ งาน ๑๖. โอภตจมุ พฺ ตา หญงิ ทช่ี ายช่วยปลงภาระอนั หนกั ลงจากศีรษะแล้วอย่เู ป็นภรรยา ๑๗. ทาสภี รยิ า หญงิ คนใช้ท่เี ปน็ ภริยา ๑๘. กมมฺ การินีภริยา หญิงรับจ้างทำ�การงานที่เปน็ ภริยา ๑๙. ธชาหฏา หญิงเชลยท่ีเปน็ ภรยิ า ๒๐. มหุ ตุ ฺติกา หญิงที่ชายอย่ดู ว้ ยชว่ั คราว ถา้ ชายลว่ งในหญงิ ๒๐ จำ�พวกน้ี แม้จ�ำ พวกใดจำ�พวกหนงึ่ ถอื ว่าประพฤตกิ าเมสุมจิ ฉาจาร หญงิ ผเู้ ปน็ เทอื กเถาเหลา่ กอของตน เทอื กเถา หมายถงึ หญงิ ซง่ึ เปน็ ญาตผิ ใู้ หญ่ นบั ยอ้ นขน้ึ ไป ทางบรรพบรุ ุษ ๓ ชั้น คือ ยา่ ทวด ยายทวด ๑ ย่า ยาย ๑ มารดาของตน ๑ เหล่ากอ หมายถงึ หญิงผสู้ บื สันดาน แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันเอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
47 จากตน นับลงไป ๓ ชัน้ คอื ลกู ๑ หลาน ๑ เหลน ๑ ชายใดประพฤตผิ ิดต่อหญงิ ผู้เปน็ เทอื กเถาเหลา่ กอ ของตน ถือวา่ ประพฤตกิ าเมสุมิจฉาจาร หญงิ มีข้อหา้ ม มี ๒ ประเภท คือ ๑. หญิงประพฤติพรหมจรรย์ ไดแ้ ก่ ภิกษณุ ี สามเณรี สิกขมานา แมช่ ี และอบุ าสกิ าผรู้ ักษา ศีล ๘ หรอื อุโบสถศลี ๒. หญิงที่กฎหมายจารีตประเพณีรักษา ได้แก่ หญิงที่กฎหมายจารีตประเพณีห้ามมิให้ ล่วงละเมดิ เช่น หญิงท่ยี ังไมบ่ รรลนุ ติ ิภาวะ หญิงพกิ ารทพุ พลภาพ เปน็ ตน้ ชายต้องห้าม ชายตอ้ งห้าม หมายถงึ บุคคลตอ้ งหา้ มส�ำ หรับหญงิ มี ๒ ประเภท คอื ชายอื่นนอกจากสามี ของตนส�ำ หรบั หญิงทีม่ ีสามี และชายทีจ่ ารีตห้ามสำ�หรบั หญงิ ทว่ั ไป ๑. ชายอนื่ นอกจากสามีตน เป็นบุคคลตอ้ งห้ามส�ำ หรบั หญงิ ทม่ี ีสามี ๒. ชายทจ่ี ารตี หา้ ม ไดแ้ ก่ นกั บวชในศาสนาทห่ี า้ มเสพเมถนุ เชน่ พระภกิ ษุ สามเณร เปน็ ตน้ เป็นบุคคลต้องห้ามสำ�หรับหญิงท่ัวไป ท้ังที่มีสามีและไม่มีสามี หญิงใดประพฤติผิดต่อชายต้องห้าม ถือว่า ประพฤตกิ าเมสมุ ิจฉาจาร หากมคี วามยนิ ดพี ร้อมใจกันในการลว่ งประเวณี กผ็ ดิ ทงั้ สองฝา่ ย กาเมสุมิจฉาจารน้ี ผู้ใดประพฤติผิดต่อบุคคลต้องห้ามดังกล่าวมาท้ังหมด ถือว่ากระทำ�ผิด หากท้ังสองฝ่ายมีความยินดีพร้อมใจในการล่วงประเวณี ก็ถือว่ากระทำ�ผิดทั้งสองฝ่าย นอกจากการห้าม ประพฤติผดิ ประเวณีแล้ว ยังห้ามการกระทำ�ในสถานที่อันไม่สมควร เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดยี ์ เปน็ ต้น การผกู สมคั รรกั ใครฉ่ นั ชสู้ าว การเกย้ี วพาราสี การพดู แคะ การเลน่ หเู ลน่ ตา หรอื แมแ้ ตก่ ารใชส้ อื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ กับบคุ คลต้องหา้ มในเชงิ ชู้สาว กเ็ ปน็ เหตเุ บือ้ งต้นของกาเมสมุ ิจฉาจาร หลกั วินจิ ฉยั การประพฤตผิ ิดในกามท่ีสำ�เรจ็ เป็นกาเมสมุ จิ ฉาจาร ถึงความเปน็ อกศุ ลกรรมบถ มีองค์ ๔ คือ ๑. อคมนียวตฺถุ หญิงหรอื ชายนั้น เปน็ บคุ คลต้องหา้ ม ๒. ตสฺมึ เสวนจติ ตฺ ํ จติ คิดจะเสพ ๓. เสวนปปฺ โยโค พยายามเสพ ๔. มคเฺ คน มคคฺ ปฺปฏปิ ตตฺ ิอธวิ าสนํ อวยั วะเคร่อื งเสพจดถึงกนั โทษของกาเมสุมจิ ฉาจาร การประพฤติผิดในกามจะมีโทษมากหรือน้อย ตามคุณความดีของคนท่ีถูกล่วงละเมิด ความแรง ของกเิ ลสและความพยายาม นอกจากนัน้ ผ้ปู ระพฤตผิ ิดในกาม ย่อมไดร้ ับกรรมวิบาก ๕ สถาน คอื ๑. ยอ่ มเกิดในนรก ๒. ย่อมเกดิ ในกำ�เนิดสตั วเ์ ดียรัจฉาน ๓. ย่อมเกดิ ในก�ำ เนดิ เปรตวสิ ยั ๔. ยอ่ มเป็นผมู้ รี ่างกายทพุ พลภาพ ข้เี หร่ มากไปด้วยโรค ๕. โทษเบาท่สี ดุ หากเกดิ เป็นมนุษย์ ยอ่ มเปน็ ผูม้ ศี ตั รูรอบด้าน แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
48 ตวั อย่างโทษของกาเมสมุ จิ ฉาจาร เรอื่ ง นางกินรีเทวี ในอดีตกาล มีพระราชาพระองค์หน่ึง ทรงพระนามว่า กินนร เสวยราชย์อยู่ในเมืองพาราณสี มีพระรูปโฉมงามย่ิงนัก อำ�มาตย์หนึ่งพันนำ�หีบเคร่ืองหอมมาถวายทุกๆ วัน เม่ือประพรมเคร่ืองหอม ในพระราชนเิ วศนท์ วั่ แลว้ กผ็ า่ หบี ท�ำ เปน็ ไมฟ้ นื หอมหงุ พระกระยาหารถวาย พระเจา้ กนิ นรมปี โุ รหติ ผมู้ ปี ญั ญา หลกั แหลมคนหนึง่ ช่ือปัญจาลจัณฑะ มอี ายุเท่ากับพระองค์ กป็ ราสาทของพระเจ้ากนิ นรนั้นมตี น้ หวา้ ตน้ หน่ึง อยู่ในกำ�แพงวัง กิ่งหว้าทอดข้ามกำ�แพงออกไป บุรุษเปล้ียคนหนึ่ง รูปร่างอัปลักษณ์น่าเกลียด อาศัยอยู่ที่ รม่ ไมห้ ว้านน้ั อยมู่ าวนั หนง่ึ นางกนิ รเี ทวมี องออกไปตามชอ่ งหนา้ ตา่ ง เหน็ บรุ ษุ เปลยี้ นนั้ แลว้ กเ็ กดิ ความรกั ใคร่ ในเวลาราตรี ทรงบำ�เรอพระเจ้ากินนรให้ทรงยินดีด้วยกิเลสแล้วบรรทมหลับไป จึงค่อยๆ ลุกขึ้นจัดอาหาร อันประณีตมีรสอร่อยใส่ขันทองห่อไว้ที่ชายพกแล้วไต่เชือกลงทางหน้าต่าง ปีนขึ้นบนต้นหว้าไต่ลงมาตามกิ่ง เชิญบุรุษเปลี้ยให้กินอาหารแล้วทำ�การอันลามกกับบุรุษเปล้ียสำ�เร็จแล้ว ก็กลับขึ้นปราสาทตามทางเดิม ประพรมสรรี ะกายดว้ ยของหอมแลว้ กเ็ ขา้ ไปนอนกบั พระเจา้ กนิ นร ประพฤตลิ ามกอยา่ งนเี้ สมอมา พระเจา้ กนิ นร กม็ ิได้ทรงทราบ อยู่มาวันหน่ึง พระเจ้ากินนรเสด็จประทักษิณพระนคร เวลาเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษเปล้ียมีอาการน่ากรุณาอย่างยิ่ง จึงตรัสถามปุโรหิตว่า เห็นมนุษย์เปรตนั่นหรือไม่ คร้ันปุโรหิตรับพระราชโองการว่าเห็น พระเจ้าข้า จึงตรัสถามต่อไปว่า บุรุษที่มีรูปร่างน่าเกลียดอย่างน้ี จะมีหญิงคบหาด้วยอำ�นาจฉันทราคะบ้างหรือไม่ บุรุษเปล้ียได้ฟังพระราชดำ�รัสดังนั้นก็เกิดมานะขึ้นมาว่า พระเจ้าแผ่นดินพูดอะไรเช่นนี้ ชะรอยจะไม่รู้ว่าเทวีของพระองค์มาหาเรา คิดแล้วก็ประนมมือไหว้ต้นหว้า กลา่ ววาจาคอ่ ยๆ วา่ ขอเชญิ เทพยดา ซง่ึ เปน็ เจา้ สงิ อยทู่ ต่ี น้ หวา้ ฟงั เราเถดิ คนอนื่ ๆ นอกจากทา่ นแลว้ กไ็ มม่ ใี ครรู้ ปุโรหิตเห็นกิริยาของบุรุษเปลี้ยจึงคิดว่า พระอัครมเหสีของพระราชาคงได้ไต่ต้นหว้ามาทำ�ลามก กับบุรุษเปล้ียน้ีเป็นแน่แล้ว คิดแล้วจึงทูลถามว่า ในเวลาราตรี พระองค์ทรงสัมผัสสรีระกายแห่งพระเทวี เปน็ เชน่ ไรบา้ ง พระเจา้ กนิ นรตรสั ตอบวา่ สง่ิ อนื่ กไ็ มแ่ ลเหน็ เปน็ แตเ่ วลาเทยี่ งคนื สรรี ะกายของนางเยน็ ปโุ รหติ จึงทูลว่า ถ้ากระนั้นหญิงอื่นยกไว้ก่อนเถิด พระนางกินรีอัครมเหสีของพระองค์ได้ประพฤติกรรมอันลามก กับบุรุษเปลี้ยนี้ พระเจ้ากินนรตรัสว่า สหายพูดอะไรกัน นางกินรีสมบูรณ์ด้วยรูปร่างอันอุดมเห็นปานน้ัน จะมาร่วมอภิรมยก์ ับบรุ ษุ เปลยี้ อันน่าเกลียดอย่างย่งิ นไี้ ด้อยา่ งไร ปุโรหติ กราบทูลวา่ ถ้าอยา่ งนน้ั ขอพระองค์ จงสะกดรอยตามคอยจับดูเถิด พระเจ้ากินนรก็ทรงรับ ครั้นเสวยอาหารเย็นแล้ว ก็เข้าบรรทมกับนางกินรี ตัง้ พระหฤทยั คอยสะกดจับ พอถึงเวลาเคยบรรทมหลบั ตามปกติ กท็ รงแสร้งทำ�เหมอื นหลับไป ฝ่ายนางกนิ รี กล็ ุกข้ึนตามเคย พระเจ้ากินนรก็สะกดรอยตามไปยนื อยทู่ ่ีเงาตน้ หว้า วันนัน้ บรุ ุษเปลย้ี โกรธข่ตู ะคอกวา่ ท�ำ ไม ถึงมาช้า แล้วเอามือตบเข้าท่ีกกหูนางเทวี นางเทวีก็ร้องขอโทษว่า นายอย่าเพิ่งโกรธเลย ข้าพเจ้า รอให้พระราชาหลับจึงมาได้ ว่าแล้วก็ประพฤติปฏิบัติบุรุษเปลี้ยเหมือนหญิงบำ�เรอในเรือน เมื่อบุรุษเปล้ีย ตบหูนางกินรีน้ัน กุณฑลหน้าราชสีห์หลุดจากหูกระเด็นไปอยู่ใกล้พระบาทพระเจ้ากินนร พระเจ้ากินนร แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
49 จงึ เกบ็ เอาไปเปน็ พยาน ฝา่ ยนางกนิ รปี ระพฤตอิ นาจารกบั บรุ ษุ เปลยี้ นน้ั แลว้ กก็ ลบั ไป เรมิ่ จะนอนกบั พระราชาสามี พระเจา้ กนิ นรกท็ รงหา้ มเสยี พอรงุ่ ขน้ึ จงึ รบั สงั่ ใหค้ นไปบอกใหน้ างกนิ รเี ทวปี ระดบั เครอื่ งประดบั ทพี่ ระองคใ์ ห้ ท้ังหมดเข้ามาเฝ้า นางกินรีก็ส่ังให้ทูลว่า กุณฑลหน้าราชสีห์ส่งไปไว้ท่ีช่างทองเสียแล้ว นางก็มิได้มาเฝ้า คร้ันพระเจ้ากินนรรับสั่งให้หาอีก นางก็ประดับกุณฑลข้างเดียวเข้าไปเฝ้า พระเจ้ากินนรตรัสถามว่า กุณฑล ไปไหน นางก็ทลู ว่า สง่ ไปที่ช่างทอง พระเจ้ากินนรจึงรับส่งั ใหห้ าชา่ งทองมาแล้วตรัสถามว่า ทำ�ไมเจ้าจงึ ไม่ให้ กุณฑลแก่นางกนิ รี ชา่ งทองก็ทลู ว่า มไิ ดร้ บั เอาไว้เลย พระเจ้ากินนรก็ทรงพระพโิ รธตรสั วา่ เฮย้ นางจัณฑาล คนอยา่ งขา้ นแี้ หละจะเปน็ ชา่ งทองของเอง็ ละ ตรสั แลว้ กข็ ว้างกณุ ฑลลงไปตรงหน้านางกนิ รแี ลว้ หนั มาตรสั กบั ปโุ รหิตว่า สหายพดู จริงทีเดียว จงไปสง่ั ตัดหวั นางจณั ฑาลน้เี สีย ปุโรหิตได้พานางกนิ รไี ปซ่อนไว้ในที่แห่งหน่งึ ภายในพระราชวังนั้นแล้วกราบทูลพระเจ้ากินนรว่า ธรรมดาว่าหญิงทั้งหลายย่อมเป็นเช่นนี้ การกระทำ� อย่างน้ีเป็นปกติของหญิงท้ังหลาย ขอพระองค์จงงดโทษนางกินรีเสียเถิด พระเจ้ากินนรก็ทรงยกโทษให้ รบั สง่ั ใหไ้ ลไ่ ปเสยี จากพระราชนเิ วศน์ เมอ่ื ทรงขบั ไลจ่ ากต�ำ แหนง่ แลว้ กท็ รงตงั้ หญงิ อนื่ เปน็ อคั รมเหสี แลว้ รบั สง่ั ใหไ้ ล่บุรษุ เปล้ียออกไปเสยี จากทนี่ นั้ และทรงให้ตดั กิง่ ต้นหวา้ เสยี วจีกรรม ๔ วจีกรรม หมายถึง การกระทำ�ทางวาจา คือ การพูดออกมาเป็นถ้อยคำ� ทั้งทางดีและทางช่ัว วจกี รรมทางชวั่ มี ๔ อยา่ ง คอื มุสาวาท การพดู เทจ็ ปสิ ณุ วาจา การพูดส่อเสยี ด ผรุสวาจา การพูดค�ำ หยาบ และสมั ผัปปลาปะ การพดู เพ้อเจ้อ ๑. มสุ าวาท การพูดเท็จ ความเสียหายของมสุ าวาท ในพุทธศาสนสุภาษิต ได้กล่าวถึงลักษณะของคนชอบพูดเท็จไว้ว่า “นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มสุ าวาทสิ สฺ ชนตฺ โุ น แปลว่า ไม่มคี วามชั่วอะไรที่คนชอบพดู เทจ็ จะทำ�ไม่ได”้ เพราะคนชอบพดู เท็จ พดู โกหก หลอกลวงหรือพูดมีเลศนัยในแง่มุมต่างๆ น้ัน ได้ชื่อว่าทำ�ลายคุณธรรมในจิตใจของตนเอง และทำ�ลาย ประโยชน์ของผอู้ นื่ ในการพูดเท็จน้นั คนโกหกเปน็ ผู้เสยี หายร้ายแรงกว่า เพราะจะกลายเปน็ คนเหลาะแหละ ขาดความน่าเชอ่ื ถอื มุสาวาท การพูดเท็จ คือ การพูดมุ่งให้ผิดจากความเป็นจริง มี ๓ อย่าง คือ มุสา อนุโลมมุสา และปฏสิ สวะ มุสา แปลว่า เท็จ ได้แก่ โกหก หมายถึง การทำ�เท็จทุกอย่าง การแสดงความเท็จเพ่ือให้ผู้อ่ืน เข้าใจผดิ นั้น ทำ�ไดท้ งั้ ทางวาจาและทางกาย ดงั น้ี ทางวาจา คอื พูดออกมาเป็นค�ำ เทจ็ ตรงกบั ค�ำ วา่ โกหก ซึง่ เปน็ ทีเ่ ขา้ ใจกนั อยู่แล้ว ทางกาย คือ การแสดงกริ ิยาอาการที่เปน็ เทจ็ เชน่ การเขยี นจดหมายโกหก การเขยี นรายงานเท็จ การท�ำ หลกั ฐานปลอม การตพี ิมพข์ า่ วสารอันเปน็ เทจ็ การเผยแพรข่ ่าวสารทางสอื่ อิเลก็ ทรอนิกส์อนั เป็นเทจ็ แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
50 การทำ�เครื่องหมายปลอมให้คนอื่นหลงเช่ือ รวมถึงการใช้ใบ้ให้คนอ่ืนเข้าใจผิด เช่น สั่นศีรษะปฏิเสธ ในเรอ่ื งควรรบั หรือพยักหนา้ รับในเรื่องทค่ี วรปฏเิ สธ มสุ า มปี ระเภททจ่ี ะพงึ พรรณนาเปน็ ตัวอย่าง ดงั น้ี ปด ไดแ้ ก่ มสุ าตรงๆ โดยไมอ่ าศยั มลู เลย เชน่ ไมเ่ หน็ บอกว่าเหน็ ไมร่ บู้ อกวา่ รู้ ไมม่ บี อกวา่ มี เปน็ ตน้ สอ่ เสยี ด คือ พูดยุแยงเพอื่ ให้เขาแตกกัน หลอก คอื พูดเพ่ือจะโกงเขา พดู ให้เขาเชอื่ พูดให้เขาเสียของให้ตน ยอ คอื พดู เพอ่ื จะยกย่องเขา พูดใหเ้ ขาลืมตวั และหลงตวั ผิด กลับคำ� คือ พูดไว้แล้วแตต่ อนหลังไมย่ อมรบั ปฏิเสธวา่ ไม่ไดพ้ ูด ทนสาบาน ไดแ้ ก่ กริ ิยาทเ่ี สย่ี งสัตย์วา่ จะพดู ความจรงิ หรอื จะท�ำ ตามค�ำ สาบาน แตไ่ ม่ไดพ้ ูดหรอื ทำ�ตามนัน้ เชน่ พยานทนสาบานแล้วเบิกค�ำ เท็จ เปน็ ต้น ท�ำ เล่ห์กระเท่ห์ ไดแ้ ก่ กิริยาท่ีอวดอ้างความศักดิส์ ิทธิอ์ นั ไม่เป็นจริง เพ่อื ใหค้ นหลงเชือ่ นยิ มยกยอ่ ง และเป็นอุบายหาลาภแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน เชน่ อวดรู้วิชาคงกระพนั ว่าฟนั ไมเ่ ขา้ ยงิ ไม่ออก เปน็ ต้น มารยา ไดแ้ ก่ กริ ยิ าทแ่ี สดงอาการใหเ้ ขาเหน็ ผดิ จากทเ่ี ปน็ จรงิ เชน่ เปน็ คนทศุ ลี ท�ำ ทา่ ทางเครง่ ครดั ให้เขาเหน็ วา่ เป็นคนมีศลี ทำ�เลศ ได้แก่ พูดมุสาเล่นสำ�นวน พูดคลุมเครือให้ผู้ฟังเข้าใจผิด เช่น เห็นคนว่ิงหนีเขามา เม่อื ผ้ไู ล่ตดิ ตามมาถาม จึงยา้ ยไปยนื ท่ีอื่นแล้วพดู ว่าตัง้ แตม่ ายนื ที่นไี่ มเ่ ห็นใครเลย เสรมิ ความ ไดแ้ ก่ พดู มสุ าอาศยั มลู เดิม แตเ่ สรมิ ความใหม้ ากกว่าท่เี ปน็ จรงิ เชน่ โฆษณาสรรพคณุ สินค้าเกินความเปน็ จริง เป็นต้น อ�ำ ความ ไดแ้ ก่ พดู มสุ าอาศยั มลู เดมิ โดยตดั ขอ้ ความทไ่ี มป่ ระสงคจ์ ะใหร้ อู้ อกเสยี เพอื่ ใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจ เปน็ อยา่ งอื่น เช่น เรื่องมากพดู ใหเ้ หลือน้อยเพือ่ ปิดความบกพรอ่ ง บุคคลพูดด้วยวาจาหรือทำ�กิริยาแสดงท่าทางอย่างใดอย่างหน่ึง ผู้อ่ืนรู้แล้วเขาจะเช่ือหรือไม่เช่ือ ไมเ่ ปน็ ประมาณ บุคคลผูพ้ ูดหรอื แสดงอาการน้นั ไดช้ ่ือวา่ พดู มุสาในสิกขาบทน้ี อนโุ ลมมสุ า อนุโลมมุสา คือการพูดเรื่องไม่เป็นจริง แต่มิได้มีเจตนาจะทำ�ให้ผู้ฟังเข้าใจผิดหรือหลงเช่ือ เพยี งแต่พูดเพอื่ ให้เจ็บใจ มปี ระเภททจี่ ะพึงพรรณนาเปน็ ตัวอยา่ ง ดงั น้ี เสียดแทง ได้แก่ กิริยาท่ีพูดให้ผู้อื่นเจ็บใจ ด้วยอ้างเรื่องที่ไม่เป็นจริง เช่น ประชด คือการกล่าว แดกดันยกใหส้ งู กว่าพน้ื เพเดมิ ของเขา หรือ ดา่ คือการกลา่ วถ้อยคำ�หยาบชา้ เลวทรามกดให้ตา่ํ กวา่ พน้ื เพเดิม ของเขา สับปลับ ได้แก่ พูดกลับกรอกเชื่อไม่ได้ พูดด้วยความคะนองปาก แต่ผู้พูดไม่ได้จงใจจะให้คนอ่ืน เขา้ ใจผิด เชน่ รบั ปากแล้วไมท่ �ำ ตามทรี่ บั นัน้ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
51 อนุโลมมุสานี้ แม้จะมิได้เป็นมุสาคือคำ�เท็จโดยตรง แต่ก็นับเข้าในมุสา ไม่ควรพูด พูดแล้วมีโทษ ผู้นิยมความสุภาพแม้จะว่ากล่าวลูกหลานก็ไม่ควรใช้คำ�ด่าหรือคำ�เสียดแทง ควรใช้คำ�สุภาพ แสดงโทษผิด ให้รสู้ ึกตัวแลว้ ห้ามปรามมใิ หก้ ระท�ำ ต่อไป ปฏสิ สวะ ปฏิสสวะ ได้แก่ การรับคำ�ของคนอ่ืนด้วยความตั้งใจจะทำ�ตามที่รับคำ�น้ันไว้จริง แต่ภายหลัง เกิดกลับใจไม่ทำ�ตามท่ีรับคำ�น้ัน ท้ังท่ีตนพอจะทำ�ตามที่รับคำ�น้ันได้ มีประเภทท่ีจะพึงพรรณนาเป็นตัวอยา่ ง ดงั น้ี ผิดสัญญา หมายถึง การไม่ทำ�ตามที่ตกลงกันไว้ เช่น ตกลงกันว่าจะเลิกค้าส่ิงเสพติด แต่พอได้ โอกาสกก็ ลบั มาค้าอกี คืนคำ� หมายถึง การไม่ทำ�ตามที่รับปากไว้ เช่น รับปากจะให้ส่ิงของแล้วไม่ได้ให้ตามที่ได้รับปาก ไวน้ ัน้ ถอ้ ยค�ำ ทไ่ี ม่จดั เปน็ มสุ าวาท ถ้อยคำ�ที่ผู้พูดพูดตามความสำ�คัญของตน เรียกว่า ยถาสัญญา หรือตามวรรณกรรม ซึ่งเป็น คำ�พดู ไมจ่ รงิ แต่ไมม่ ีความประสงค์จะให้ผฟู้ งั เชือ่ ไมเ่ ขา้ ข่ายมสุ าวาท มปี ระเภทท่ีจะพงึ พรรณนาเป็นตวั อยา่ ง ดงั นี้ โวหาร ได้แก่ ถ้อยคำ�ท่ีใช้เป็นธรรมเนียม เพ่ือความไพเราะของภาษา เช่น การเขียนจดหมาย ทลี่ งทา้ ยวา่ ด้วยความเคารพอย่างสงู เป็นโวหารการเขียนตามแบบธรรมเนียมสารบรรณ ซ่งึ ในความเป็นจริง ผเู้ ขียนอาจไมไ่ ดเ้ คารพอย่างสงู หรืออาจไม่ได้มคี วามเคารพเชน่ นัน้ เลย นิยาย ได้แก่ เร่ืองที่แต่งข้ึน เร่ืองที่เล่ากันมา เรื่องที่นำ�มาอ้างเพ่ือเปรียบเทียบให้ได้ใจความ เป็นหลัก เช่น นิทาน ละคร ลิเก ซึ่งในท้องเรื่องน้ันอาจมีเนื้อหาท่ีไม่เป็นความจริง แต่ผู้แต่งไม่ได้ตั้งใจ ให้คนหลงเช่ือ เพียงแต่แตง่ แสดงเนอ้ื หาไปตามทอ้ งเรื่อง สำ�คัญผิด ได้แก่ คำ�พูดที่ผู้พูดสำ�คัญผิดวา่ เป็นอยา่ งนั้น ท้ังที่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น คือ ผู้พูด พูดไปตามความเข้าใจของตน เชน่ ผูพ้ ูดจำ�วันผิด จึงบอกผู้ถามไปตามวันทีจ่ �ำ ผดิ นั้น เป็นต้น พลั้ง ได้แก่ คำ�พูดท่ีพลาดไปโดยที่ไม่ได้ต้ังใจหรือไม่ทันคิด เช่น ผู้พูดต้ังใจจะพูดอย่างหนึ่ง แต่กลบั พลาดไปพดู เสยี อกี อย่างหนึง่ หลกั วินิจฉัย การพดู เทจ็ ทีส่ ำ�เรจ็ เป็นมุสาวาท ถึงความเป็นอกุศลกรรมบถ มีองค์ ๔ คอื ๑. อตถํ วตฺถุ เรอ่ื งไม่จริง ๒. วสิ ํวาทนจติ ตฺ ํ จิตคิดจะพูดใหผ้ ิด ๓. ตชฺโช วายาโม พยายามพูดออกไป ๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานนํ ผู้ฟงั เขา้ ใจเน้อื ความนั้น แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
52 คำ�อธบิ ายองคข์ องมสุ าวาท ดงั นี้ องคท์ ่ี ๑ เร่อื งไม่จริง คือ เรอื่ งที่พดู น้ันไมม่ ีความจรงิ ไมเ่ ป็นจรงิ เชน่ ฝนไมต่ ก แต่กลับพดู วา่ ฝนตก องคท์ ่ี ๒ จิตคดิ จะพดู ใหผ้ ิด คอื ผู้พดู จงใจจะพูดให้ผดิ จากความเป็นจรงิ องคท์ ่ี ๓ พยายามพูดออกไป คือ ผู้พูดได้พูดคำ�ไม่จริงน้ันๆ ออกไป หรือได้กระทำ�เท็จ ด้วยความจงใจ ซง่ึ มิใชเ่ ปน็ เพียงความคดิ ทอ่ี ยใู่ นใจ องค์ที่ ๔ ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความน้ัน คือ ผู้ฟังเข้าใจความหมายเหมือนอย่างที่ผู้พูดพูดออกไป สว่ นผู้ฟังจะเชอ่ื หรอื ไมน่ ัน้ ไมเ่ ปน็ ส�ำ คัญ โทษของมสุ าวาท ผู้ประพฤติมุสาวาทจะมีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับประโยชน์ที่จะถูกตัดรอน หมายความว่า ถ้าการพูดเท็จนั้นทำ�ให้เสียประโยชน์มากก็มีโทษมาก เช่น ชาวบ้านท่ีไม่ต้องการให้ของๆ ตน พูดออกไปวา่ ไม่มี ก็ยังมีโทษน้อย แต่ถ้าเป็นพยานเท็จ ก่อให้เกิดความเสียหายมาก ก็มีโทษมาก เป็นต้น ในอรรถกถา อฏั ฐกนบิ าต องั คุตตรนกิ าย ไดก้ ล่าวถึงกรรมวบิ ากของผปู้ ระพฤตมิ สุ าวาท ดงั นี้ ๑. ยอ่ มเกิดในนรก ๒. ย่อมเกดิ ในก�ำ เนดิ สัตว์เดียรจั ฉาน ๓. ย่อมเกิดในกำ�เนดิ เปรตวสิ ยั ๔. โทษเบาที่สดุ หากเกดิ เปน็ มนษุ ย์ จะถกู กลา่ วตู่อย่เู สมอ ตวั อย่างโทษของมสุ าวาท เรอ่ื ง กักการุชาดก ในอดีตกาล พระเจา้ พรหมทัต ครองราชสมบตั อิ ยใู่ นพระนครพาราณสี พระโพธิสัตวเ์ ป็นเทพบตุ ร ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในสมัยน้ัน พระนครพาราณสีได้จัดให้มีมหรสพเป็นการใหญ่ พวกนาค ครุฑ และ ภุมมัฏฐกเทวดา เป็นจำ�นวนมากก็พากันมาดูมหรสพ มีเทพบุตร ๔ องค์จากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์พากันมาดู การมหรสพ โดยได้ประดบั เทรดิ ซง่ึ ทำ�ด้วยดอกไม้ทพิ ย์ช่ือกกั การุ ซงึ่ เป็นผกั จ�ำ พวกบวบ ฟัก แฟง พื้นท่ีของพระนครประมาณ ๑๒ โยชน์ ได้หอมตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นดอกไม้ทิพย์นั้น มหาชน จึงได้เท่ียวค้นหาว่า ใครเป็นคนประดับดอกไม้เหล่าน้ี เทพบุตรเหล่านั้นรู้ว่ามหาชนกำ�ลังค้นหาตนเองอยู่ จงึ เหาะขน้ึ ทพ่ี ระลานหลวงยนื ปรากฏกายอยใู่ นอากาศดว้ ยเทวานภุ าพอนั ยง่ิ ใหญ่ ทง้ั มหาชน พระราชา เศรษฐี และอุปราช เป็นต้น ต่างก็มาชุมนุมกันถามเทพบุตรเหล่าน้ันจึงรู้ว่า เป็นเทพบุตรมาจากสวรรค์ช้ันดาวดึง เพ่อื ตอ้ งการดมู หรสพ และประดับด้วยเทริดดอกไม้ทิพย์ จึงรอ้ งขอเทริดดอกไมท้ พิ ย์นน้ั เทพบตุ รโพธสิ ตั วผ์ เู้ ปน็ หวั หนา้ บอกวา่ ดอกไมท้ พิ ยเ์ หลา่ นมี้ อี านภุ าพมาก เหมาะสมกบั เทวดาเทา่ นน้ั ไมเ่ หมาะสมกบั คนเลวทราม ไรป้ ญั ญา มอี ธั ยาศยั นอ้ มไปในทางตา่ํ ทราม เปน็ คนทศุ ลี ในมนษุ ยโลก แตก่ เ็ หมาะสม กับมนุษย์ผู้ประกอบด้วยคุณธรรม คือ ไม่ลักขโมยแม้กระท่ังเส้นหญ้า ไม่พูดเท็จแม้จะแลกด้วยชีวิต และ ได้ยศแลว้ ไม่มวั เมา ผนู้ นั้ แลย่อมควรประดับดอกฟักทพิ ย์ และเทพบุตรจะใหด้ อกไมท้ ิพยแ์ กบ่ คุ คลน้ัน แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศึกษา ชัน้ เอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
53 ปุโรหิตคนหน่ึงได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า แม้เราจะไม่มีคุณสมบัติเช่นน้ัน แต่เราจักกล่าวมุสาวาท เพอ่ื ให้ไดด้ อกไมเ้ หล่านี้มาประดับตน และมหาชนก็จะเขา้ ใจวา่ เรามีคุณสมบตั เิ ช่นนนั้ จรงิ ๆ จงึ ไดด้ อกไมท้ ิพย์ มาประดับ จึงอ้อนวอนขอดอกฟักทิพย์จากเทพบุตรองค์ท่ี ๑ มาประดับ และยังได้อ้อนวอนขอกะเทพบุตร องค์ท่ี ๒ เทพบุตรองคท์ ่ี ๒ กลา่ ววา่ ผู้ที่แสวงหาทรพั ยส์ มบตั ไิ ด้มาโดยบรสิ ทุ ธิ์ชอบธรรม ไมล่ อ่ ลวงเอาทรพั ย์ ผู้อื่น ได้โภคทรัพย์แล้วก็ไม่มัวเมา จึงจะเหมาะสมท่ีจะประดับดอกฟักทิพย์ ปุโรหิตน้ันก็บอกว่า ตนเอง มีคุณสมบัติเช่นนั้น จึงได้ดอกไม้ทิพย์มาประดับ และยังอ้อนวอนขอกะเทพบุตรองค์ที่ ๓ เทพบุตรองค์ท่ี ๓ จึงบอกว่า ผู้ท่ีมีจิตไม่จืดจางเร็วเหมือนย้อมด้วยขมิ้น และมีศรัทธาไม่คลายง่ายๆ ไม่บริโภคของดี แตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว แตย่ งั แบง่ ปนั ใหย้ าจกและบคุ คลทคี่ วรให้ จงึ จะเหมาะสมประดบั ดอกฟกั ทพิ ย์ ปโุ รหติ กบ็ อกวา่ ตนเองมีคณุ สมบัตเิ ช่นนั้น จึงได้ดอกไม้ทิพย์มาประดับ และยงั อ้อนวอนขอกะเทพบตุ รองคท์ ่ี ๔ อกี เทพบตุ ร องค์ท่ี ๔ จึงบอกว่า ผู้ท่ีไม่บริภาษด่าสัตบุรุษคนดี ผู้ประกอบด้วยคุณมีศีล เป็นต้น ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง พูดอย่างใดทำ�อย่างน้ัน ผู้นั้นแลย่อมควรซ่ึงดอกฟักทิพย์ ปุโรหิตก็บอกว่า ตนเองมีคุณสมบัติเช่นนั้น จึงได้ดอกไมท้ ิพยม์ าประดบั อีก เทพบตุ รทั้ง ๔ องค์ไดใ้ ห้เทรดิ ดอกไมท้ พิ ย์ท้ัง ๔ เทรดิ แก่ปุโรหิตนนั้ แล้วกพ็ ากนั กลบั ไปยงั เทวโลก ในเวลาทเี่ ทพบุตรเหล่านนั้ ไปแล้ว ทุกขเวทนาอันแรงกล้าเกดิ ขน้ึ ท่ศี รี ษะของปุโรหติ ศีรษะของเขาเป็นเหมอื น ถูกยอดเขาอันแหลมคมท่ิมแทง และเป็นเหมอื นถกู แผ่นเหลก็ บีบรดั ปโุ รหติ นั้นเสวยทุกขเวทนา นอนกลง้ิ ไปกลงิ้ มา รอ้ งลั่น เมอ่ื มหาชนซกั ถามวา่ เกิดอะไรข้ึน เขาจงึ ได้บอกว่า ตนไดโ้ กหกพวกเทพบตุ ร เพื่อใหไ้ ด้เทรดิ ดอกไมม้ าประดบั ความจรงิ ตนไม่มีคณุ สมบตั ิเหลา่ น้ันเลย แล้วขอร้องให้มหาชนช่วยดึงเทริดออกจากศีรษะของตน มหาชนช่วยกันดึงก็ไม่หลุดจากศีรษะ เหมือนเอา แผ่นเหล็กผูกรัดดอกไม้นน้ั ไว้ จงึ พากันหามเขากลบั บา้ น เขาตอ้ งเจ็บปวดรอ้ งลนั่ อยู่ในบ้านถึง ๗ วนั พระราชารับส่ังเรียกประชุมมุขอำ�มาตย์ว่าจะช่วยปุโรหิตผู้ทุศีลท่ีกำ�ลังจะตายได้อย่างไร พวกอำ�มาตยจ์ งึ กราบทลู ว่า ตอ้ งจดั มหรสพขึน้ อีกครงั้ เพื่อใหเ้ ทพบตุ รเหล่าน้นั กลับมาชม พระราชาจึงใหจ้ ัด มหรสพอกี เทพบตุ รทง้ั หลายกม็ าชมมหรสพอกี และไดป้ ระดบั เทรดิ ดอกไมท้ พิ ยส์ ง่ กลน่ิ หอมฟงุ้ ไปทวั่ พระนคร ปรากฏต่อหน้ามหาชน ณ พระลานหลวงเหมือนเดิม มหาชนได้หามปุโรหิตมาให้นอนหงายอยู่ข้างหน้า ของเทพบตุ รเหลา่ นัน้ ปโุ รหติ นนั้ ออ้ นวอนขอใหเ้ ทพบตุ รชว่ ยชวี ติ เขาดว้ ย เทพบตุ รกลา่ วต�ำ หนติ เิ ตยี นปโุ รหติ ในทา่ มกลาง มหาชนว่า ดอกไม้เหล่าน้ีไม่เหมาะสมกับท่านซ่ึงเป็นคนเลวทราม ไม่มีศีล มีบาป แต่ท่านได้อวดเก่งว่า จักหลอกลวงเทพบุตร น่าอนาถใจแท้ ท่านได้รับผลแห่งมุสาวาทของตนแล้ว เมื่อตำ�หนิแล้วก็ช่วยปลด เทรดิ ดอกไม้ออกจากศรี ษะปุโรหติ พรอ้ มทั้งไดใ้ หโ้ อวาทแก่มหาชนและไดก้ ลับไปยังสถานท่ีอย่ขู องตน ชาดกเร่ืองน้ี แสดงให้เห็นว่า คนช่ัวที่กล่าวมุสาวาท เพราะถูกความโลภครอบงำ�น้ันสามารถ จะกระทำ�ความชั่วอื่นๆ เพียงเพ่ือให้ได้ส่ิงท่ีตนต้องการ โดยไม่คำ�นึงว่าตนมีคุณธรรมเช่นนั้นหรือไม่ วิบากกรรมชั่วนั้นส่งผลทำ�ให้สิ่งท่ีเป็นคุณกลับกลายเป็นส่ิงที่เป็นโทษได้ ดังเช่น ดอกไม้ทิพย์กลับกลายเป็น ของคมแหลมท่มิ แทง และกลายเป็นแผน่ เหลก็ บบี รัดศีรษะของปุโรหติ กอ่ ให้เกดิ ทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
54 ๒. ปิสุณวาจา การพูดส่อเสยี ด ความเสยี หายของปิสุณวาจา การพูดส่อเสียดยุยงให้ผู้อื่นเกิดความแตกแยก ไม่ไว้วางใจซ่ึงกันและกัน ทำ�ให้สังคมแตกร้าว ขาดความสามัคคี เป็นการทำ�ลายประโยชน์สุขของหมู่คณะ สังคม และประเทศชาติ ย่ิงไปกว่าน้ัน ผลของ การพูดส่อเสยี ดท่ีท�ำ ใหส้ งฆแ์ ตกแยกกนั จดั เปน็ อนันตริยกรรม เปน็ กรรมหนกั ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ปิสณุ วาจา การพดู ส่อเสียด คอื การพูดยุยงใหผ้ ู้อื่นแตกแยกกนั โดยมคี วามประสงค์ ๒ ประการ คอื ๑. ใหท้ ้ังสองฝ่ายเขา้ ใจผิดกัน แตกสามคั คกี ัน ๒. ให้ผอู้ ืน่ รักตน และรังเกียจอกี ฝ่ายหนง่ึ หลักวนิ จิ ฉยั การพดู สอ่ เสียดทสี่ �ำ เรจ็ เปน็ ปสิ ุณวาจา ถงึ ความเป็นอกศุ ลกรรมบถ มีองค์ ๔ คือ ๑. ภินฺทิตพฺโพ ปโร คนอืน่ ทจี่ ะพงึ ถูกทำ�ลาย ๒. เภทปุเรกขฺ ารตา วา ปิยกมฺยตา วา มจี ติ คดิ จะพดู ให้แตกแยกกัน หรือพดู ประสงค์จะใหเ้ ขารักตน ๓. ตชฺโช วายาโม พยายามพดู ออกไป ๔. ตทตฺถวชิ านนํ ผู้ฟังเข้าใจเน้อื ความนั้น ถา้ ขาดองค์ใดองค์หนึง่ กรรมบถไม่ขาดและมีโทษเบาลงมา โทษของปสิ ณุ วาจา ปสิ ุณวาจาจะมโี ทษมากหรือนอ้ ย ขึน้ อยกู่ ับเหตดุ งั ตอ่ ไปนี้ ๑. คุณ ผถู้ ูกทำ�ใหแ้ ตกแยกมคี ุณมากกม็ ีโทษมาก ผถู้ ูกท�ำ ให้แตกแยกมคี ณุ น้อยกม็ ีโทษน้อย ๒. ความแตกแยก ถา้ พูดแล้วเขาแตกแยกกนั ก็มีโทษมาก ถ้าพดู แล้วเขาไม่แตกแยกกนั กม็ โี ทษนอ้ ย ๓. กเิ ลส ถ้าผู้พดู มกี ิเลสแรงกลา้ กม็ ีโทษมาก ถ้ามีกเิ ลสอ่อนก็มีโทษน้อย ในอรรถกถาอฏั ฐกนบิ าต องั คุตตรนกิ าย ได้กล่าวกรรมวบิ ากของผู้ประพฤตปิ ิสุณวาจา ดังน้ี ๑. ยอ่ มเกิดในนรก ๒. ย่อมเกดิ ในกำ�เนิดสตั วเ์ ดียรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในกำ�เนิดเปรตวสิ ยั ๔. โทษเบาทสี่ ดุ หากเกิดเปน็ มนษุ ย์ ยอ่ มทำ�ให้เกดิ ความแตกจากมิตร แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
55 ตัวอย่างโทษของปสิ ณุ วาจา เรอ่ื ง วัสสการพราหมณ์ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงครองแคว้นมคธมีราชคฤห์ เป็นเมืองหลวง ต้องการขยายอาณาจักร ไปยังแคว้นวัชชีอันมีพวกกษัตริย์ลิจฉวีปกครอง แต่พระองค์ทรงทราบว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุกองค์ล้วนทรงมั่น อยใู่ นธรรมท่เี รียกว่า “อปรหิ านิยธรรม ๗” คือ ธรรมอนั เป็นไปเพือ่ เหตแุ หง่ ความเจรญิ พระองค์จึงวางแผน ให้ วัสสการพราหมณ์ท่ีเป็นอำ�มาตย์คนสนิทไปเป็นไส้ศึก วัสสการพราหมณ์ยอมทนรับพระราชอาญา ด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสถึงแก่สลบ เมื่อถูกเนรเทศออกจากแคว้นมคธก็เดินทางมุ่งตรงไปเมืองเวสาลี กษัตริย์ลิจฉวีทรงตั้งให้เป็นครูสอนศิลปวิทยาแก่บรรดาราชกุมาร วัสสการพราหมณ์ปฏิบัติหน้าท่ีด้วย ความเต็มใจและเอาใจใส่จนเป็นทไี่ ว้ใจในหมกู่ ษัตริยล์ ิจฉวี หลงั จากนนั้ วสั สการพราหมณจ์ งึ ไดด้ �ำ เนนิ อบุ ายเพอ่ื ท�ำ ลายความพรอ้ มเพรยี งและความสามคั คกี นั ของกษัตริย์ลิจฉวี โดยวัสสการพรามหณ์คอยยุแหย่ส่งเสริมเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทให้บังเกิดขึ้นในหมู่ ราชกุมารอยู่เนืองนิตย์ จนกระท่ังราชกุมารทุกพระองค์ก็แตกสามัคคีเป็นเหตุให้วิวาทกัน ความแตกร้าว กล็ ามไปถงึ บรรดาพระราชบดิ าผซู้ ง่ึ เชอ่ื ถอ้ ยค�ำ โอรสของตน หลงั จากเวลาผา่ นไป ๓ ปี ความสามคั คกี ถ็ กู ท�ำ ลาย จนสน้ิ วสั สการพราหมณจ์ งึ ใหค้ นลอบไปกราบทลู พระเจา้ อชาตศตั รู พระเจา้ อชาตศตั รกู ก็ รธี าทพั สเู่ มอื งเวสาลี เมื่อพวกชาวเมืองเวสาลีตกใจกลัวภัย มุขมนตรีจึงได้ตีกลองให้บรรดากษัตริย์ลิจฉวีมาประชุมเพ่ือยกทัพ เขา้ ต่อสู้ขา้ ศึก แต่เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีไม่มีผู้ใดเขา้ ท่ีประชุมแม้แต่คนเดียว อีกทั้งประตูเมืองก็ไม่มีใครส่ังให้ปิด พระเจ้าอชาตศัตรจู ึงสามารถยึดครองเมืองเวสาลไี ดโ้ ดยงา่ ย ปิสุณวาจานี้ นอกจากเป็นโทษแก่ผู้พูดแล้ว ยังส่งผลให้ผู้รับฟังเกิดความแตกแยกจนถึงเสียบ้าน เสยี เมอื ง ดงั เชน่ กษตั รยิ ล์ ิจฉวีเสยี เมืองใหก้ บั พระเจา้ อชาตศัตรู เปน็ ตน้ ๓. ผรุสวาจา การพูดค�ำ หยาบ ความเสียหายของผรุสวาจา การพูดค�ำ หยาบหรอื ค�ำ ด่า ยอ่ มก่อใหเ้ กิดความเจบ็ ช้าํ นา้ํ ใจแกผ่ ้ฟู งั เปน็ เหตุให้ก่อเวรผูกพยาบาท ถึงข้ันประหัตประหารชีวิตกันได้ ทำ�ให้ผู้ฟังเกิดความท้อแท้ ขาดกำ�ลังใจ ส่งผลให้สูญเสียประโยชน์ ทจ่ี ะพึงได้รับ ผรุสวาจา ค�ำ ว่า ผรุสา หมายถงึ เจตนาแผไ่ ปเผาผลาญจิตของผฟู้ งั ผรสุ วาจา หมายถึง การพดู ท่ีมีเจตนามุ่งทำ�ลายแผ่ไปเผาผลาญจิตใจของผู้ฟัง เกิดจากความพยายามทางกายและทางวาจาอันเป็นเหตุ ท�ำ ลายไมตรขี องผู้อน่ื อกี นัยหนงึ่ ผรสุ วาจา แปลว่า ค�ำ หยาบ หมายถงึ คำ�ดา่ ค�ำ รุนแรง คำ�กระดา้ ง ผรสุ วาจานน้ั ขน้ึ อยกู่ บั เจตนาทมี่ งุ่ ประทษุ ร้ายและพดู ตอ่ หน้าจงึ จดั เปน็ อกศุ ลกรรมบถ สว่ นค�ำ ด่า ที่พูดด้วยเจตนาดี เหมือนบิดามารดา และครูอาจารย์ พูดดุด่า บุตรธิดา และศิษย์ เป็นต้น ไม่จัดเป็น ผรุสวาจา ไมถ่ งึ ความเปน็ อกศุ ลกรรมบถ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชัน้ เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
56 การพูดที่มีจิตอ่อนโยน แม้จะเป็นคำ�ด่า ก็ไม่ช่ือว่าเป็นผรุสวาจา ดังตัวอย่างเรื่อง ปากร้ายใจดี ความวา่ เดก็ คนหนง่ึ ไมเ่ ชอ่ื ค�ำ ของมารดาเขา้ ไปในปา่ มารดาเมอื่ ไมส่ ามารถจะหา้ มไดจ้ งึ พดู วา่ “ขอแมก่ ระบอื ดุ จงไล่ตามมนั ” ครน้ั เดก็ เขา้ ไปในป่า แม่กระบือไดป้ รากฏอยา่ งท่มี ารดาพูดไว้ เดก็ ได้ท�ำ สัจจกริ ยิ าว่า “มารดา ของข้าพูดเรื่องใดด้วยปาก ขอเรื่องนั้นจงอย่ามี มารดาคิดเร่ืองใดด้วยจิต ขอเร่ืองน้ัน จงมี” แม่กระบือ ได้หยุดอยเู่ หมือนถกู ผูกอยกู่ ับท่ี เรื่องน้ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ มารดาพดู อยา่ งนน้ั กจ็ ริง แตไ่ มม่ เี จตนาร้าย จึงไมเ่ ป็น ผรุสวาจา สว่ นการพดู ท่ีมจี ิตหยาบ มเี จตนาประสงคร์ า้ ย แมจ้ ะเปน็ ค�ำ พดู ทอี่ ่อนหวาน ก็ช่อื ว่าเป็นผรสุ วาจา เช่น คำ�พูดที่ประสงค์จะให้ฆ่าคนอื่น ด้วยคำ�ว่า “ท่านท้ังหลายจงให้คนนี้นอนเป็นสุขเถิด” คำ�พูดเช่นนี้ จัดเป็นผรสุ วาจาแท้ หลกั วินจิ ฉยั การพดู คำ�หยาบที่สำ�เร็จเป็นผรสุ วาจา ถึงความเป็นอกุศลกรรมบถ มีองค์ ๓ คือ ๑. อกโฺ กสติ พโฺ พ ปโร คนอ่ืนทจี่ ะต้องถูกด่า ๒. กปุ ิตจติ ตฺ ํ จิตโกรธ ๓. อกโฺ กสนา พดู ดา่ ออกไป บรรดาองค์ ๓ ประการนี้ คำ�ว่า จิตโกรธ ท่านมุ่งหมายถึงจิตโกรธด้วยความประสงค์ในการด่า ไม่ได้มุ่งหมายถึงจิตโกรธด้วยประสงค์จะให้ตาย เพราะเมื่อจิตโกรธด้วยความประสงค์จะให้ตาย ย่อมเป็น พยาบาท อกั โกสวตั ถุ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ได้กล่าวถึงเร่ืองสำ�หรับใช้ด่า เรียกว่า อักโกสวัตถุ มี ๑๐ อย่าง คอื เจ้าเปน็ โจร เป็นคนโง่ เปน็ คนหลง เปน็ อูฐ เป็นโค เป็นลา เป็นสตั ว์นรก เปน็ สตั วเ์ ดรัจฉาน เจ้าไม่มสี ุคติ เจ้าหวังแตท่ คุ ติ ดังเร่ืองพระนางมาคันทิยาใช้ให้คนไปด่าบริภาษพระพุทธเจ้าว่า คร้ังหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี พระนางมาคันทิยา ผู้เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทน ได้ผูกโกรธ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้จ้างชาวเมืองให้ไปด่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ชาวเมืองผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เล่ือมใส ในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนคร ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ อย่างว่า “เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นพาล เจ้าเป็นบ้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจา้ เปน็ สตั ว์เดยี รจั ฉาน สุคตขิ องเจา้ ไมม่ ี เจ้าหวงั ทคุ ตไิ ดอ้ ยา่ งเดยี ว” พระอานนท์ฟงั ค�ำ นน้ั แล้ว ไดก้ ราบทลู พระศาสดาให้เสด็จไปเมืองอืน่ พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ตรัสว่า “อานนท์ การท�ำ อย่างนี้ ไม่ควร อธกิ รณ์เกดิ ข้ึนในท่ีใด เมอ่ื อธิกรณ์นั้นสงบระงับแล้วในทีน่ น้ั แล จงึ ควรไปใน ทอ่ี นื่ ” และตรัสวา่ “อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างตวั กา้ วลงสู่สงคราม กก็ ารอดทนต่อลกู ศรอนั มาจาก ๔ ทศิ ย่อมเป็นภาระของช้างซึ่งก้าวลงสู่สงครามฉันใด ชื่อว่าการอดทนต่อถ้อยคำ�อันคนทุศีลเป็นอันมากกล่าวแล้ว กเ็ ป็นภาระของเราฉันนนั้ เหมือนกนั ” แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ช้ันเอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
57 พระผูม้ พี ระภาคเจ้าตรัสวา่ “อานนท์ เธออย่าคดิ ไปเลย พวกน้นั จกั ดา่ ไดไ้ ม่เกนิ ๗ วนั เร่อื งกจ็ ะ สงบไปเอง เพราะว่า อธิกรณท์ เ่ี กดิ ข้นึ แก่พระพุทธเจา้ ทัง้ หลาย ย่อมไม่เกนิ ๗ วัน” โทษของผรสุ วาจา ผรุสวาจาจะมโี ทษมากหรือนอ้ ย ขึน้ อยกู่ บั เหตุ ๓ ประการ คอื ๑. ผรสุ วาจานั้น ถงึ ความเปน็ กรรมบถ คือประกอบดว้ ยองค์ ๓ มีโทษมาก ไม่ครบองค์มโี ทษน้อย ๒. คนทถี่ กู ดา่ มีคุณธรรมมากมโี ทษมาก มีคณุ ธรรมน้อยมีโทษน้อย ๓. ผพู้ ดู มีกเิ ลสแรงกลา้ มโี ทษมาก มกี ิเลสอ่อนมโี ทษนอ้ ย ในอรรถกถา อฏั ฐกนิบาต องั คุตตรนกิ าย ไดก้ ล่าวกรรมวิบากของผูป้ ระพฤติผรุสวาจา ดงั น้ี ๑. ยอ่ มเกดิ ในนรก ๒. ย่อมเกิดในกำ�เนดิ สัตวเ์ ดียรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในก�ำ เนดิ เปรตวสิ ัย ๔. โทษเบาทส่ี ุด หากเกดิ เป็นมนุษย์ จะได้ฟังเสยี งทีไ่ ม่นา่ พอใจ ตวั อยา่ งโทษของผรสุ วาจา เรอื่ ง โคนันทวิ สิ าล ในสมยั ของพระเจ้าคนั ธาระ ครองเมอื งตักกสิลา แคว้นคนั ธาระ พระโพธิสตั วเ์ กิดเปน็ โค นามวา่ นันทิวิสาล เป็นโคมีรูปร่างสวยงาม มีพละกำ�ลังมาก มีพราหมณ์คนหน่ึงได้เล้ียงและรักโคน้ันเหมือนลูกชาย โคนน้ั คดิ จะตอบแทนบุญคณุ การเล้ียงดขู องพราหมณ์ ในวนั หน่งึ ได้พูดกะพราหมณ์วา่ “พ่อ จงไปท้าพนันกับโควินทกเศรษฐีว่า โคของเราสามารถลากเกวียนหน่ึงร้อยเล่มที่ผูกติดกัน ให้เคลอ่ื นไหวได้ พนนั ด้วยเงนิ หน่ึงพนั กหาปณะเถดิ ” พราหมณไ์ ดไ้ ปทบี่ า้ นเศรษฐแี ละตกลงกนั ตามนนั้ นดั เดมิ พนั กนั ในวนั รงุ่ ขน้ึ ในวนั เดมิ พนั พราหมณ์ ได้เทียมโคนันทิวิสาลเข้าที่เกวียนเล่มแรก เพ่ือลากเกวียนหน่ึงร้อยเล่มผูกติดกันซึ่งบรรทุกทราย กรวด และหนิ เต็มลำ� แลว้ ข้นึ ไปนง่ั บนเกวียน เงื้อปฏกั ขนึ้ พรอ้ มกบั ตวาดว่า “ไอ้โคโกง โคโง่ เจา้ จงลากเกวยี นไปเดยี๋ วนี”้ ฝา่ ยโคนนั ทวิ สิ าลเมือ่ ไดย้ นิ พราหมณพ์ ดู เชน่ นั้น กค็ ิดน้อยใจวา่ “พราหมณ์เรียกเราผู้ไมโ่ กงว่าโกง ผู้ไม่โง่ว่าโง่” จึงยืนน่ิงไม่เคลื่อนไหว โควินทกเศรษฐีจึงเรียกให้พราหมณ์นำ�เงินหนึ่งพันกหาปณะมาให้แล้ว กลบั บา้ นไป ฝา่ ยพราหมณผ์ ู้แพพ้ นนั เงนิ หนึง่ พนั กหาปณะ ปลดโคแล้วก็เขา้ ไปนอนเศร้าโศกเสยี ใจอยใู่ นบา้ น สว่ นโคนนั ทวิ สิ าลเหน็ พราหมณ์เศรา้ โศกเสยี ใจเช่นน้นั จึงเข้าไปปลอบและกล่าวว่า แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้นั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
58 “พ่อ ฉันอยู่ในเรือนของท่านตลอดมา เคยทำ�ภาชนะอะไรแตกไหม เคยเหยียบใครๆ เคยถ่าย อจุ จาระปสั สาวะในท่ีอนั ไม่ควรหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ทา่ นจงึ เรยี กเราว่า โคโกง โคโง่ ครั้งน้เี ป็นความผดิ ของ ท่านเอง ไม่ใช่ความผิดของฉัน บัดนี้ ขอให้ท่านไปเดิมพันกับโควินทกเศรษฐีใหม่ด้วยเงินสองพันกหาปณะ ขออยา่ งเดยี ว ท่านอย่าได้เรียกฉันวา่ โคโกง โคโง่ ท่านจะไดท้ รพั ย์ตามท่ที ่านปรารถนา ฉนั จะไมท่ �ำ ให้ทา่ น เศร้าเสียใจ” พราหมณไ์ ด้ทำ�ตามทโ่ี คนันทวิ สิ าลบอก ในวันเดิมพัน พราหมณ์จงึ พูดหวานว่า “นันทิวิสาลลกู รกั เจา้ จงลากเกวียนทัง้ รอ้ ยเลม่ นไี้ ปเถดิ ” โคนันทิวิสาลได้ลากเกวียนร้อยเล่มท่ีผูกติดกัน ด้วยการออกแรงลากเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทำ�ให้เกวียนเล่มสุดท้ายไปตั้งอยู่ที่เกวียนเล่มแรกอยู่ ทำ�ให้พราหมณ์ชนะพนันด้วยเงินสองพันกหาปณะ พระพุทธองคเ์ ม่อื น�ำ อดีตนทิ านมาสาธก แล้วตรัสวา่ “ภกิ ษุทั้งหลาย ชอ่ื วา่ คำ�หยาบ ไม่เป็นทชี่ อบใจของใครๆ แมก้ ระทง่ั สตั ว์เดยี รจั ฉาน” แลว้ ไดต้ รสั พระคาถาวา่ “บุคคลควรพูดแต่คำ�ท่ีน่าพอใจเท่าน้ัน ไม่ควรพูดคำ�ท่ีไม่น่าพอใจในกาลใดๆ เม่ือพราหมณ์พูด คำ�ทน่ี า่ พอใจ โคนันทวิ ิสาลไดล้ ากสัมภาระอนั หนกั ได้ ท้งั ยงั ท�ำ ให้พราหมณ์ผนู้ ั้นไดท้ รัพย์อกี ด้วย ส่วนตนเอง ก็เปน็ ผปู้ ล้มื ใจ เพราะการชว่ ยเหลอื นน้ั ด้วย” ๔. สมั ผปั ปลาปะ การพดู เพ้อเจ้อ ความเสียหายของสัมผัปปลาปะ คำ�พูดเพ้อเจ้อ เป็นคำ�พูดที่ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์แก่ทั้ง ๒ ฝ่าย คือท้ังผู้พูดและผู้ฟัง ทำ�ให้ เสียเวลาไปโดยเปลา่ ประโยชน์ ผู้พูดกไ็ มม่ ีใครเชื่อถือถ้อยค�ำ ผฟู้ งั กไ็ มไ่ ดป้ ระโยชน์อะไร สัมผัปปลาปะ หมายถึง อกุศลเจตนาที่พยายามแสดงออกทางกายและทางวาจา ให้ผู้อื่นรู้เรื่อง ท่ีมิใช่ประโยชน์ สัมผัปปลาปะ เป็นถ้อยคำ�ที่ไร้สาระ ปราศจากอรรถ ธรรม และวินัย ทำ�ให้คนอ่ืนหลงเชื่อว่า เป็นเร่ืองท่ีมีสาระ จัดเป็นอกุศลกรรมบถ ส่วนถ้อยคำ�ที่เป็นดิรัจฉานกถา ได้แก่เร่ืองราวที่ไม่ควรนำ�มาถก เถียงสนทนากัน เชน่ เรือ่ งการน�ำ นางสดี ามา และมหาภารตยุทธ์ เปน็ ต้น เพราะท�ำ ให้เกิดความฟงุ้ ซ่านและ เสียเวลา แมจ้ ะจัดอยู่ในประเภทสมั ผปั ปลาปะ แตก่ ็เป็นเพียงกรรมเท่านัน้ ไมเ่ ปน็ อกุศลกรรมบถ สัมผัปปลาปะต่างจากมุสาวาท คือ มุสาวาทน้ันผู้พูดมีเจตนามุ่งจะให้คนอ่ืนเช่ือในเร่ืองที่ไม่จริง วา่ จรงิ เรอ่ื งจรงิ วา่ ไมจ่ รงิ สว่ นสมั ผปั ปลาปะ ผพู้ ดู มเี จตนาทมี่ งุ่ ใหค้ นอน่ื เชอื่ ในเรอ่ื งทไ่ี รส้ าระวา่ เปน็ เรอื่ งทม่ี สี าระ การพดู ค�ำ หยาบทส่ี �ำ เรจ็ เปน็ ผรสุ วาจา ถึงความเปน็ อกศุ ลกรรมบถ มีองค์ ๓ คอื หลักวินิจฉัย การพดู เพ้อเจอ้ มีองค์ ๒ คอื ๑. นริ ตถฺ กกถาปุเรกขฺ ารตา ความเปน็ ผู้มีจิตมุ่งจะพดู เรือ่ งเพ้อเจอ้ ๒. ตถารูปิยกถากถนํ พูดเรอื่ งเชน่ น้นั ออกไป แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
59 การพูดเพ้อเจ้อน้ัน เมื่อผู้อื่นเช่ือถือเรื่องน้ันเป็นอกุศลกรรมบถ ถ้าผู้อื่นไม่เช่ือถือ ไม่เป็น อกศุ ลกรรมบถ โทษของสัมผัปปลาปะ สัมผปั ปลาปะจะมีโทษมากหรอื น้อย ขนึ้ อย่กู บั เหตุ ๓ ประการ คือ ๑. ผ้พู ูดมีอาเสวนะ คอื ความเสพคนุ้ ไดแ้ ก่ พูดบ่อยๆ จนชนิ ปาก มีโทษมาก มอี าเสวนะนอ้ ย มีโทษนอ้ ย ๒. ผู้ฟังเช่ือวา่ เปน็ เรื่องจรงิ มโี ทษมาก ถ้าไมเ่ ชื่อมโี ทษนอ้ ย ๓. ผู้พูดมกี เิ ลสแรงกล้า คอื พดู ดว้ ยอำ�นาจกิเลส มีโทษมาก มกี เิ ลสออ่ นมีโทษนอ้ ย ในอรรถกถา อฏั ฐกนบิ าต อังคุตตรนิกาย ไดก้ ลา่ วกรรมวบิ ากของผู้ประพฤติสัมผปั ปลาปะ ดังน้ี ๑. ย่อมเกิดในนรก ๒. ย่อมเกดิ ในกำ�เนิดสัตวเ์ ดียรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในก�ำ เนิดเปรตวสิ ยั ๔. โทษเบาท่ีสุด หากเกิดเป็นมนุษย์ ไมม่ ใี ครเช่อื ถือถ้อยคำ� ตัวอยา่ งโทษของสัมผัปปลาปะ เร่อื ง บุรษุ เปลีย้ ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี บุรุษเปลี้ยคนหน่ึง มีความชำ�นาญในศิลปะการดีดก้อนกรวด สามารถดีดก้อนกรวดใส่ใบไม้ทำ�เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ได้ บุรุษเปล้ียน้ัน ชอบมาน่ังใต้ต้นไทรย้อยใกล้ประตู พระนคร เป็นประจ�ำ พวกเดก็ ชาวบ้านพากันมาให้บรุ ษุ เปลยี้ ดดี ก้อนกรวดไปเจาะใบไทรท�ำ เปน็ รูปช้างรปู ม้า เปน็ ตน้ บุรุษเปล้ยี กท็ �ำ ตามความตอ้ งการของพวกเด็กๆ พวกเด็กๆ กต็ อบแทนดว้ ยของกนิ และของขบเคี้ยว เป็นต้น อยู่มาวันหน่ึง พระราชาเสด็จไปสู่พระราชอุทยาน เสดจ็ ไปถึงสถานที่น้นั พวกเด็กๆ ไดน้ ำ�บุรษุ เปล้ีย ไปหลบไวใ้ นระหว่างย่านไทรแล้วพากันหนีไป เม่อื พระราชาเสดจ็ เข้าไปสโู่ คนต้นไม้ในเวลาเท่ียงตรง เงาของ ช่องส่องต้องพระสรีระ พระองค์ฉงนพระทัย ทรงตรวจดูด้านบน ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปช้างรูปม้าเป็นต้น ที่ใบไม้ทั้งหลาย จงึ ตรสั ถามวา่ ใครทำ�ไว้ ทรงทราบวา่ บุรษุ เปลีย้ ท�ำ ไว้ จึงรบั ส่งั ใหน้ ำ�บุรุษเปล้ยี นน้ั มาเฝ้าแลว้ ตรสั วา่ “ปโุ รหติ ของเรา ปากกลา้ นกั เมอื่ เราพดู เพยี งนดิ หนอ่ ย กพ็ ดู มากเกนิ ไป ยอ่ มเบยี ดเบยี นเรา เจา้ สามารถ ดีดมูลแพะประมาณทะนานหนึ่งเข้าปากของปุโรหิตน้ันได้หรือไม่ บุรุษเปล้ียกราบทูลว่า “ได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงให้คนน�ำ มลู แพะมาแลว้ ประทับนัง่ ภายในม่านกับปโุ รหติ ข้าพระองคจ์ ักทำ�ตามพระประสงค”์ พระราชา ไดท้ รงรบั สง่ั ใหท้ �ำ อยา่ งนน้ั แลว้ บรุ ษุ เปลยี้ ใหเ้ จาะชอ่ งไวท้ ม่ี า่ น เมอ่ื ปโุ รหติ พดู กบั พระราชา พออา้ ปากก็ดดี มูลแพะไปทลี ะก้อนๆ ปุโรหิตกลนื มลู แพะทีเ่ ข้าปากแลว้ ก็พดู ตอ่ เมอื่ มลู แพะหมด บุรุษเปล้ยี จึงสั่นม่าน พระราชาทรงทราบจึงตรัสกับปุโรหิตว่า “อาจารย์ เราพูดกับท่าน จำ�คำ�พูดไม่ได้เลย ท่านแม้ กลืนกนิ มลู แพะประมาณทะนานหนึง่ แลว้ กย็ งั ไมห่ ยดุ พูด เพราะท่านพูดมากเกินไป” พราหมณ์ไดเ้ ป็นผูเ้ กอ้ ตั้งแต่น้ันมาก็ไม่กล้าอ้าปากเจรจากับพระราชาได้ พระราชารับสั่งให้เรียกบุรุษเปล้ียมาแล้ว ตรัสว่า “เราได้ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
60 ความสุขก็เพราะเจ้า” ทรงพอพระทัย จึงพระราชทานวัตถุส่ิงของให้จำ�นวนมาก พร้อมทั้งได้พระราชทาน บ้านสว่ ย ๔ ต�ำ บล ซง่ึ ตั้งอยูใ่ นทิศทงั้ ๔ แหง่ พระนคร แกบ่ รุ ุษเปลี้ย วจีกรรมแสดงออกได้ ๒ ทาง วจีกรรม ๔ อย่าง คือ มุสาวาท พูดเท็จ ปิสุณวาจา พูดส่อเสียด ผรุสวาจา พูดคำ�หยาบ และสมั ผัปปลาปะ พดู เพอ้ เจ้อ แสดงออกได้ ๒ ทาง คอื ๑. ทางกาย เรียกว่า กายประโยค หมายถึง การแสดงกิริยาท่าทางเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ความหมาย ของตน เป็นกิริยาที่กระทำ�ผ่านทางกาย เช่น โบกมือ ผงกศีรษะ เขียนหนังสือ เป็นต้น จัดเป็นวจีกรรม ท่เี ปน็ ไปทางกายทวาร ๒. ทางวาจา เรียกว่า วจปี ระโยค หมายถงึ การพดู ออกมาเป็นถอ้ ยค�ำ จัดเป็นวจีกรรมทเ่ี ป็นไป ทางวจีทวาร มโนกรรม ๓ มโนกรรม หมายถึง การกระทำ�ทางใจ คือ ทำ�กรรมด้วยการคิด ไม่ว่าจะคิดทำ�ช่ัวหรือคิดทำ�ดี มโนกรรมฝ่ายอกุศล คือ การคิดทำ�ช่ัว มี ๓ อย่าง ได้แก่ อภิชฌา การเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น พยาบาท การคดิ ปองร้ายผอู้ ่ืน และมิจฉาทฏิ ฐิ การเห็นผดิ จากคลองธรรม ๑. อภิชฌา การเพง่ เลง็ อยากไดข้ องผู้อน่ื ความเสยี หายของอภิชฌา การเพง่ เลง็ อยากไดข้ องผอู้ น่ื คอื การมเี จตนาเปน็ เหตใุ หล้ ะโมบ อยากไดข้ องผอู้ นื่ เปน็ สาเหตสุ �ำ คญั ที่นำ�ไปสู่อทินนาทาน มีการลักขโมย การปล้น เป็นต้น เป็นการทำ�ลายคุณธรรมภายในตน เช่น ทำ�ให้จิต ไม่ตัง้ มัน่ ไมเ่ ป็นสมาธิ เป็นต้น อภิชฌา แปลวา่ การเพง่ เลง็ อยากไดข้ องผู้อ่ืนมาเปน็ ของตน ด้วยเจตนาเป็นเหตุละโมบคดิ อยาก ได้ทรัพยข์ องผู้อนื่ มาเป็นของตน โดยองคธ์ รรม ไดแ้ ก่ โลภเจตสกิ โลภะ มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. ธมั มยิ โลภะ ความโลภอยากไดป้ ระกอบดว้ ยธรรม เมอื่ เกดิ ความอยากไดส้ งิ่ ตา่ งๆ กเ็ สาะแสวงหา มาโดยสจุ รติ ไม่ผดิ ศีลธรรม เชน่ การซื้อขาย แลกเปล่ยี น หรอื การขอ เป็นตน้ ๒. อธมั มยิ โลภะ ความอยากไดไ้ มป่ ระกอบดว้ ยธรรม เมอื่ เกดิ ความอยากได้ กค็ ดิ หาทางทจ่ี ะขโมย ฉอ้ โกง จี้ ปลน้ หรือใชก้ ลวธิ ตี ่างๆ เพอ่ื ทจ่ี ะใหไ้ ด้มาซง่ึ ส่ิงเหลา่ น้นั หลกั วนิ ิจฉัย การเพ่งเล็งอยากไดข้ องของผ้อู น่ื ท่สี ำ�เรจ็ เป็นอภชิ ฌา ถึงความเปน็ อกุศลกรรมบถ มีองค์ ๒ คอื ๑. ปรภณฺฑํ สิง่ ของของผูอ้ น่ื ๒. อตตฺ โน ปรฌิ ามนํ การน้อมมาเพอ่ื เปน็ ของตน แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชัน้ เอก วิชาวนิ ัย (กรรมบถ)
61 คำ�วา่ สิง่ ของของผู้อ่นื หมายถึง อวญิ ญาณกทรพั ย์ และสวญิ ญาณกทรพั ย์ ท่เี ปน็ สตั วเ์ ล้ียงตา่ งๆ รวมท้ังมนุษย์หญิงชายท่ีมีเจ้าของหรือคู่หมั้นคู่หมายที่จองตัวไว้แล้ว ส่วนคนอ่ืนนอกจากที่ไม่มีเจ้าของ หรือผจู้ องตวั ไมจ่ ัดว่าเป็นสง่ิ ของของผูอ้ ื่น คำ�ว่า “การน้อมมาเพื่อเป็นของของตน” ในฎีกาสังคีติสูตรกล่าวไว้ว่า “การน้อมมาเพื่อเป็นของ ของตน มีได้ด้วยจติ เทา่ น้นั ” อภิชฌา เจตนาเป็นเหตุละโมบ ในเม่ือเห็นส่ิงของของผู้อื่นแล้ว เพ่งเล็งโดยน้อมเข้ามาหาตนว่า ทำ�อย่างไรหนอ ของนี้จะพึงเป็นของเรา ช่ือว่าอภิชฌาท่ีถึงความเป็นอกุศลกรรมบถ แต่ถ้าเห็นสมบัติ ของคนอื่นแล้ว ไม่คิดเอามาเป็นของตน เพียงแต่ยินดีว่า ผู้ใช้สอยสมบัติเช่นน้ีมีบุญหนอ เราควรได้ใช้สอย สักชั่วคราว หรือว่าเราควรได้รับของเช่นน้ีบ้าง การคิดอย่างน้ีเป็นเพียงกรรมเท่าน้ัน ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ ดังคำ�ของพระอรรถกถาจารย์ท่ีว่า “แม้ความโลภจะเกิดข้ึนในสมบัติของผู้อื่นก็ยังไม่จัดเป็นอกุศลกรรมบถ ตลอดเวลาท่ียังไม่น้อมเขา้ มาเปน็ ของตนว่า ไฉนหนอของน้ีพงึ เปน็ ของเรา” โทษของอภิชฌา อภชิ ฌาจะมีโทษมากหรือนอ้ ย ขนึ้ อยู่กับเหตุ ๓ ประการ คอื ๑. สิง่ ของท่ีเพง่ เล็งมีค่ามากกม็ ีโทษมาก มีค่านอ้ ยก็มโี ทษนอ้ ย ๒. เจา้ ของส่ิงของมีคุณมากก็มีโทษมาก มีคณุ น้อยกม็ ีโทษนอ้ ย ๓. ผเู้ พง่ เลง็ มีกเิ ลสแรงกล้ากม็ โี ทษมาก มกี ิเลสอ่อนก็มีโทษนอ้ ย ตัวอยา่ งโทษของอภิชฌา เรอ่ื ง นายภัตตภติกะ มีเศรษฐีคนหนึ่ง ได้รับมรดกหลังจากบิดามารดาถึงแก่กรรม ผู้รักษาเรือนคลังของเศรษฐีน้ัน ไดเ้ ปดิ หอ้ งส�ำ หรบั เกบ็ ทรพั ยแ์ ลว้ แจง้ จ�ำ นวนทรพั ยใ์ หท้ ราบวา่ ทรพั ยข์ องบรรพบรุ ษุ มปี ู่ เปน็ ตน้ มจี �ำ นวนเทา่ นี้ ของบดิ าทา่ นมจี �ำ นวนเท่าน้ี เศรษฐดี ทู รพั ยเ์ หล่านน้ั แลว้ ถามวา่ ท�ำ ไมบรรพบรุ ษุ ของเราจงึ ไมเ่ อาทรพั ยเ์ หล่าน้ี ไปด้วย ผู้รักษาเรือนคลังบอกว่า เจ้านายไม่มีใครถือเอาทรัพย์ไปปรโลกได้หรอก สัตว์ท้ังหลายพาเอาไปได้ แต่บญุ กบั บาปที่ตนทำ�ไว้เท่านนั้ เศรษฐคี ดิ วา่ บรรพบรุ ษุ ของเราสะสมทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองเอาไวม้ ากมายมหาศาล ทส่ี ดุ กเ็ อาไวใ้ หค้ นอนื่ เพราะความโง่แท้ๆ ส่วนเราจะเอาทรัพย์สินเงินทองเหล่าน้ันไปให้หมด จึงส่ังให้สร้างคฤหาสน์หรูหรา ราคาแพง สร้างร้านสำ�หรับรับประทานอาหาร เพ่ือประกาศความรํ่ารวยให้ชาวเมืองได้เห็นการรับประทาน อาหารแตล่ ะมอ้ื ใชจ้ า่ ยทรพั ยม์ าก มที ง้ั อาหาร สาวงามคอยปรนนบิ ตั ขิ บั กลอ่ ม โดยเฉพาะวนั เพญ็ ไดจ้ า่ ยทรพั ย์ เปน็ จ�ำ นวนมาก เพอื่ เปน็ คา่ อาหาร จา้ งคนไปประกาศใหช้ าวเมอื งมาดกู ารรบั ประทานอาหารของตน ประชาชน ไดพ้ ากันมาดเู ปน็ จำ�นวนมาก ในทน่ี นั้ มคี นยากจน ๒ คนเปน็ เพอ่ื นกนั คนหนงึ่ อยใู่ นเมอื ง คนหนงึ่ อยนู่ อกเมอื ง มอี าชพี หาฟนื ขาย พอเศรษฐีเปิดภาชนะบรรจุอาหาร กลิ่นของอาหารหอมฟุ้งตลบไปท่ัว คนหาฟืนเกิดความอยากที่จะ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
62 รับประทานอาหารน้ันอดใจไว้ไม่อยู่ เพราะตั้งแต่เกิดมา อย่าว่าแต่ได้รับประทานเลยแม้แต่กล่ินอย่างนี้ กไ็ มเ่ คยไดร้ บั จงึ บอกแกเ่ พอื่ นวา่ เพอื่ นเอย๋ เราอยากกนิ อาหารนนั้ เหลอื เกนิ เพอื่ นจงึ ตอบวา่ อยา่ ปรารถนาเลยเพอื่ น เราทำ�งานตลอดชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ล้ิมรสอาหารอย่างน้ี เขาขอร้องว่า เพื่อนเอ๋ย ถ้าไม่ได้กินอาหารน้ี ต้องตายแน่ เมื่อไม่สามารถห้ามได้จึงตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า นายครับ ผมไหว้ท่าน ขออาหารในถาด ใหเ้ พอ่ื นผมกนิ สกั ค�ำ เถดิ เศรษฐตี อบวา่ ไมไ่ ด้ จงึ หนั มาถามเพอ่ื นวา่ ทา่ นไดย้ นิ เศรษฐพี ดู ไหม เขาตอบวา่ ไดย้ นิ แลว้ แต่ยังยืนยันว่าถ้าไม่ได้รับประทานอาหารนี้ต้องตายแน่ เพื่อนที่อยู่ในเมืองได้พูดกับเศรษฐีว่า ท่านขอรับ เพอ่ื นของผมบอกว่า ถา้ เขาไมไ่ ดอ้ าหารชวี ติ เขาตอ้ งตายแนน่ อน จงึ ขอรอ้ งเศรษฐวี ่า ขอใหท้ า่ นโปรดใหช้ วี ติ เขา ด้วยเถิด เศรษฐีตอบว่าอาหารนี้ราคาแพงมาก ถ้าทุกคนมาอ้างเหมือนเพื่อนของแกจะเอาที่ไหนมาให้ ถ้าเพื่อนของแกอยากกินอาหารจานนี้จริงๆ ต้องทำ�งานให้ฉัน ๓ ปี ในที่สุดชาวบ้านนอกคนน้ันก็ยอม ทิง้ ครอบครัวมาทำ�งานในบ้านเศรษฐี ๓ ปี เพ่ือแลกข้าวจานเดียว เรื่องน้แี สดงให้เห็นวา่ อภิชฌา ความเพง่ เลง็ อยากได้อยา่ งรนุ แรงเกิดข้ึนจากสงิ่ ลอ่ ใจภายนอกกไ็ ด้ ชาวบ้านท่ีอยู่นอกเมืองคนน้ันมีชีวิตอยู่ในโลกด้วยความอดอยากยากจนมานานแล้ว เม่ือไม่ได้เห็นความ หรูหราไม่ได้กล่ินอาหารดีก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เม่ือได้เห็นความหรูหราและได้กล่ินอาหารดีๆ ของเศรษฐี จนเกิดความอยากได้อย่างรุนแรง ถงึ กับเอาชีวิตเข้าไปแลก ๒. พยาบาท การคดิ ปองร้ายผู้อืน่ ความเสียหายของพยาบาท ผู้คิดปองร้ายผู้อื่น ช่ือว่าได้ทำ�ลายประโยชน์สุขให้พินาศไป เพราะมีจิตใจแค้นเคือง เกลียดชัง ผกู ใจเจ็บ มองโลกในแงร่ า้ ย หงุดหงิด ฉนุ เฉียว ไม่เหน็ อรรถ ไมเ่ หน็ ธรรม เปน็ เหตุนำ�ไปสู่การท�ำ ปาณาตบิ าต คือการทำ�ลายชวี ิตสัตว์ให้ตกล่วงไป พยาบาท หมายถึง ความคดิ ปองร้ายผูอ้ น่ื ใหไ้ ด้รบั ความพินาศโดยองค์ธรรม ได้แก่ โทสเจตสิก ความพยาบาทเกิดเพราะความคดิ ๑๐ ประการ คอื ๑. คดิ ว่าเขาไดท้ ำ�ความพินาศแกเ่ รา ๒. คดิ ว่าเขาก�ำ ลังท�ำ ความพนิ าศแกเ่ รา ๓. คดิ ว่าเขาจะทำ�ความพนิ าศแก่เรา ๔. คดิ ว่าเขาไดท้ �ำ ความพินาศแก่คนท่ีเรารักและพอใจ ๕. คดิ วา่ เขาก�ำ ลังทำ�ความพินาศแกค่ นทเ่ี รารกั และพอใจ ๖. คดิ ว่าเขาจะทำ�ความพนิ าศแกค่ นท่ีเรารักและพอใจ ๗. คิดวา่ เขาไดท้ �ำ ประโยชน์แกค่ นทีไ่ มเ่ ป็นท่รี กั ไม่เปน็ ท่ีพอใจของเรา ๘. คดิ วา่ เขากำ�ลังทำ�ประโยชนแ์ กค่ นทไี่ ม่เปน็ ท่ีรกั ไมเ่ ปน็ ท่ีพอใจของเรา ๙. คดิ ว่าเขาจะท�ำ ประโยชนแ์ กค่ นทีไ่ มเ่ ปน็ ทรี่ ักไม่เป็นทพ่ี อใจของเรา ๑๐. คดิ พยาบาทโดยไม่มีเหตผุ ล แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
63 ความคิดที่เป็นพยาบาทนี้ นอกจากจะทำ�ลายประโยชน์สุขของผู้อื่นแล้ว ยังทำ�ลายประโยชน์สุข ของตนด้วย ฉะน้ัน จึงควรมีเมตตากรุณา รักใคร่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพ่ือให้สังคมมนุษย์อยู่ร่วมกัน ยา่ งสนั ตสิ ขุ หลกั วนิ ิจฉยั การคดิ ปองรา้ ยผอู้ น่ื ท่ีส�ำ เรจ็ เป็นพยาบาท ถงึ ความเป็นอกุศลกรรมบถ มอี งค์ ๒ คอื ๑. ปรสตฺโต สตั ว์อ่นื ๒. ตสสฺ วนิ าสจินฺตา คดิ จะให้สัตว์น้ันถึงความพนิ าศ ความคดิ ปองรา้ ยของผมู้ งุ่ จะท�ำ รา้ ยชวี ติ ของสตั วอ์ น่ื วา่ ขอใหส้ ตั วเ์ หลา่ นจ้ี งพนิ าศ จงวบิ ตั ิ ท�ำ อยา่ งไร สตั วเ์ หลา่ นี้จงึ จะพินาศ วิบัติ ไมเ่ จริญรงุ่ เรอื ง มีชวี ิตอยู่ไดไ้ มน่ าน ดังนี้ จดั เปน็ อกศุ ลกรรมบถ ส่วนความโกรธ ท่ีไม่คิดร้ายผู้อื่นเป็นเพียงกรรมเท่าน้ัน ดังคำ�พระอรรถกถาจารย์ว่า แม้ความโกรธที่เกิดข้ึนเพราะมีสัตว์อ่ืน เป็นต้นเหตุ ไม่จัดเป็นอกุศลกรรมบถ ตราบใดทีย่ ังไม่คดิ ร้ายเขาวา่ ทำ�อยา่ งไรหนอผู้นี้จะพึงพนิ าศตายไปเสยี โทษของพยาบาท พยาบาทจะมีโทษมากหรอื น้อย ขึน้ อยกู่ ับเหตุ ๒ ประการ คอื ๑. ผทู้ ีถ่ กู ปองรา้ ยมคี ณุ มากกม็ โี ทษมาก มีคุณนอ้ ยกม็ โี ทษน้อย ๒. ผคู้ ิดรา้ ยมกี ิเลสรนุ แรงก็มโี ทษมาก มีกิเลสออ่ นกม็ โี ทษนอ้ ย ตัวอยา่ งโทษของพยาบาท เรือ่ ง อชครเปรต ดังได้สดับมา ในกาลแห่งพระพุทธเจา้ ทรงพระนามว่า กัสสปะ เศรษฐีช่ือวา่ สุมังคละ ปูพื้นด้วย แผน่ อิฐทองคำ� ให้สร้างวหิ ารในท่ปี ระมาณ ๒๐ อุสภะ และให้ทำ�การฉลองวิหารด้วยทรพั ยป์ ระมาณเทา่ นัน้ เหมือนกัน วันหนึ่ง ท่านเศรษฐีไปสู่สำ�นักพระศาสดาแต่เช้าตรู่ เห็นโจรคนหนึ่งนอนเอาผ้ากาสาวะคลุมร่าง ตลอดถึงศีรษะ ทั้งท่ีมีเท้าเป้ือนโคลน อยู่ในศาลาหลังหนึ่ง ใกล้ประตูพระนคร จึงกล่าวว่า “เจ้าคนนี้ มเี ท้าเปื้อนโคลน คงจกั เปน็ มนษุ ย์ทเ่ี ทีย่ วเตรใ่ นเวลากลางคนื แล้วมานอน” โจรเปิดหน้าเห็นเศรษฐีแล้วคิดในใจว่าเราจะทำ�กรรมให้สาสมกับท่ีเศรษฐีได้กล่าวว่าเรา ได้ผูก อาฆาตในเศรษฐีไว้ ไดเ้ ผานาของเศรษฐี ๗ ครั้ง ตดั เท้าโคทง้ั หลายในคอก ๗ คร้ัง เผาเรือน ๗ คร้งั ถึงอย่างน้ัน ก็ยังไม่หายแค้น จึงเข้าไปทำ�ความสนิทชิดเชื้อกับคนใช้ของเศรษฐีนั้นแล้วถามว่า “อะไรเป็นท่ีรักของเศรษฐี นายของทา่ น” ไดท้ ราบว่าพระคนั ธกุฎเี ปน็ ที่รักย่ิงของเศรษฐี จึงคดิ ว่าเราจะแกแ้ คน้ ให้หายแคน้ ดว้ ยการเผา พระคันธกุฎี เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาต จึงทุบหม้อนํ้าสำ�หรับดื่มและน้ําสำ�หรับใช้ ได้จุดไฟ ทพ่ี ระคนั ธกุฎแี ล้ว เศรษฐีได้ทราบว่าพระคันธกุฎีถูกไฟไหม้ จึงเดินทางมาถึงขณะที่พระคันธกุฎีถูกไฟไหม้แล้ว แลดูพระคันธกุฎีท่ีไฟไหม้แล้วก็มิได้มีความเสียใจเลย แต่ได้ปรบมือเป็นการใหญ่ ขณะน้ัน ประชาชนยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ ถามท่านเศรษฐีว่า “ทำ�ไม ท่านจึงปรบมือ เมื่อเห็นพระคันธกุฎีท่ีท่านสละทรัพย์จำ�นวนมาก สรา้ งไว้ถูกไฟไหม”้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
64 เศรษฐีตอบว่า “ข้าพเจ้าบริจาคทรัพย์ประมาณเท่าน้ี ได้ฝังทรัพย์ไว้ในพระศาสนาท่ีไม่สาธารณะ แกอ่ นั ตรายมไี ฟ เปน็ ตน้ ขา้ พเจา้ จงึ มใี จยนิ ดี ปรบมอื ดว้ ยคดิ วา่ จกั ไดส้ ละทรพั ยป์ ระมาณเทา่ น้ี สรา้ งพระคนั ธกฎุ ี ถวายพระศาสดาใหม่” ท่านเศรษฐี สละทรัพย์ประมาณเท่านั้น สร้างพระคันธกุฎีอีกได้ถวายแด่พระศาสดา ซ่ึงมีภิกษุ ๒ หม่ืนรูปเป็นบริวาร โจรเห็นกิริยาน้ันแล้วจึงคิดที่จะฆ่าเศรษฐี ได้ซ่อนกฤชไว้ในระหวา่ งผ้านุ่ง แม้เดินเตร่ อยใู่ นวหิ ารถงึ ๗ วนั กไ็ มไ่ ดโ้ อกาส ฝ่ายมหาเศรษฐี ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขสิ้น ๗ วัน ถวายบังคม พระศาสดาแลว้ กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ บรุ ษุ ผหู้ นง่ึ เผานาของขา้ พระองค์ ๗ ครง้ั ตดั เทา้ โคในคอก ๗ ครั้ง เผาเรือน ๗ คร้ัง บดั นี้ แมพ้ ระคนั ธกุฎี ก็จักเปน็ เจ้าคนน้ันแหละเผา ขา้ พระองค์ขอใหส้ ว่ นบญุ ในทานนี้ แกเ่ ขาก่อน” โจรได้ยินคำ�น้ัน ระทมทุกข์ว่า “เราทำ�กรรมหนักหนอ ถึงอย่างนั้น เศรษฐีนี้ก็มิได้มีแม้เพียง ความแค้นเคืองในตัวเราผู้ทำ�ผิด กลับให้ส่วนบุญในทานนี้แก่เราก่อน เราคิดประทุษร้ายในเศรษฐีนี้ ไม่สมควรเลย แม้เทวทัณฑ์พึงตกลงบนกระหม่อมของเราผู้ไม่ให้บุรุษเห็นปานนี้อดโทษให้” จึงไปหมอบลง ท่ีใกลเ้ ท้าของเศรษฐี ขอให้เศรษฐอี ดโทษให้ เศรษฐรี ะลกึ ถงึ ถอ้ ยค�ำ ทต่ี นเคยพดู ปรารภโจรนนั้ ไดแ้ ลว้ ใหโ้ จรอดโทษใหแ้ ลว้ กลา่ วยกโทษใหโ้ จรนนั้ ในกาลสิ้นอายุ โจรนัน้ ไดบ้ ังเกิดในอเวจี เสวยทกุ ขเวทนาส้นิ กาลนาน บัดนี้ ไดเ้ กิดเป็นอชครเปรต ถูกไฟไหม้ อยทู่ ี่เขาคชิ ฌกูฏ ด้วยวิบากแหง่ กรรมทีย่ งั เหลอื พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาคนพาล ทำ�กรรมอันลามกอยู่ย่อมไม่รู้ แต่ภายหลัง เร่าร้อนอยูเ่ พราะกรรมอันตนท�ำ แล้ว ยอ่ มเปน็ เช่นกับไฟไหม้ป่าด้วยตนของตนเอง” ความพยาบาทปองร้าย เป็นเหตุนำ�ทุกข์ภยันตรายมาสู่ตนและคนอื่นดังกล่าวมา ฉะนั้น จึงควร มีเมตตากรุณา รักใคร่ ช่วยเหลือซ่ึงกันและกันดีกว่า เพื่อให้โลกของเราอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และพ่ึงพา อาศยั กนั ไดต้ ่อไป ๓. มจิ ฉาทฏิ ฐิ การเหน็ ผดิ จากคลองธรรม ความเสียหายของมิจฉาทิฏฐิ บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมไม่เห็นอรรถ ไม่เห็นธรรม สามารถกระทำ�ความช่ัวได้ทุกอย่าง ถงึ ข้ันอนันตริยกรรม ซง่ึ เปน็ กรรมหนัก หา้ มสวรรค์ ห้ามนพิ พาน มิจฉาทฏิ ฐิ แปลว่า การเหน็ ผดิ จากคลองธรรม เชน่ เห็นว่าทำ�ดีไดช้ ว่ั ทำ�ช่วั ไดด้ ี บาปไม่มีบญุ ไม่มี มารดาบิดาไมม่ ี เป็นต้น เจตนาเป็นเหตุให้เห็นผิด เพราะไม่มีการถือเอาตามความเป็นจริง คัดค้านข้อประพฤติปฏิบัติ ของสตั บุรษุ ทงั้ หมด โดยนัยเปน็ ต้นวา่ ทานทใ่ี หแ้ ล้วไมม่ ีผล ชือ่ วา่ มิจฉาทิฏฐิ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้ันเอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
65 มิจฉาทฏิ ฐินี้มีหลายประเภท ท่านจัดไว้ ๒ ประเภทกม็ ี ๓ ประเภทก็มี ๖๒ ประเภทกม็ ี ดงั นี้ ทิฏฐิ ๒ ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเหน็ วา่ เทย่ี ง ความเหน็ วา่ มีอัตตาและโลกซงึ่ เทีย่ งแท้ยง่ั ยนื คงอยูต่ ลอดไป ๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ความเห็นว่ามีอตั ตาและโลกซง่ึ จกั พนิ าศขาดสูญหมดสิ้นไป ทฏิ ฐิ ๓ ๑. อกริ ยิ ทฏิ ฐิ ความเหน็ วา่ ไม่เป็นอันทำ� ๒. อเหตกุ ทิฏฐิ ความเหน็ ว่าไมม่ ีเหตุ ๓. นตั ถกิ ทิฏฐิ ความเหน็ ว่าไม่มี ทิฏฐิ ๖๒ มคี วามเห็นว่าขนั ธ์ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เปน็ ตัวตน เปน็ ต้น ในมโนทุจริตน้ีจะกล่าวเฉพาะทิฏฐิ ๓ ประการ ท่ีเรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นทิฏฐิท่ีมีโทษ ร้ายแรง เป็นมิจฉาทิฏฐิที่ด่ิงลงไปสูอ่ บาย ถงึ ความเป็นอกุศลกรรมบถ ส่วนมิจฉาทฏิ ฐิอยา่ งอื่นไม่ถงึ ความเปน็ อกุศลกรรมบถ นิยตมจิ ฉาทฏิ ฐิ ๓ ๑. อกิริยทิฏฐิ ความเหน็ วา่ ไม่เปน็ อนั ทำ� คือ เห็นวา่ กรรมทที่ ำ�แลว้ ไม่เป็นอนั ทำ� สกั ว่าเปน็ เพียง กิริยาเท่าน้ัน จะทำ�ความดีหรือความช่ัวก็ไม่เป็นอันทำ�ทั้งสิ้น หมายความว่า เม่ือคนทำ�บาป มีการฆ่าสัตว์ ลกั ทรัพย์ เป็นตน้ ก็ไม่จัดวา่ เปน็ การท�ำ บาป เมอ่ื คนให้ทาน รกั ษาศลี เปน็ ต้น ก็ไมจ่ ดั วา่ เป็นการท�ำ บญุ อกิริยทิฏฐิดังกล่าวมานี้ ผิดจากหลักพระพุทธศาสนาท่ีสอนว่า การกระทำ�ของบุคคลน้ัน เมอ่ื มีเจตนาจงใจทำ�กจ็ ดั เป็นกรรม การกระทำ�ช่ัวก็เปน็ กรรมชัว่ การกระทำ�ดีกเ็ ป็นกรรมดี ๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ คือ เห็นว่าเหตุแห่งความเศร้าหมอง ความบริสุทธ์ิของ สัตว์ท้ังหลายไม่มี สตั ว์ทั้งหลายเศร้าหมองเอง บริสุทธิเ์ อง ทุกขเ์ อง สุขเอง ไมม่ ีอ�ำ นาจ ก�ำ ลัง หรือเหตุอะไร ทจี่ ะท�ำ ใหส้ ตั วท์ ง้ั หลายเศรา้ หมองและบรสิ ทุ ธไิ์ ด้ หรอื เหน็ วา่ สตั วท์ งั้ หลายทก่ี �ำ ลงั ไดร้ บั ความล�ำ บากหรอื สบาย ไมไ่ ด้อาศัยอะไรเป็นเหตใุ ห้เกดิ ขึ้นเลย เป็นไปเองทั้งน้นั ๓. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือ เห็นว่าทำ�อะไรก็ตาม ผลท่ีพึงได้รับนั้นไม่มี ความเห็นผิด ชนิดนีจ้ ัดเป็นอุจเฉททฏิ ฐิด้วย คือ เหน็ ว่าสัตวท์ ั้งหลายตายแลว้ สญู ไม่มกี ารเกดิ อีก ในสามญั ผลสูตร แสดงนตั ถิกทิฏฐิไว้ ๑๐ ประการ คือ ๓.๑ นตถฺ ิ ทินนฺ ํ ทานท่ใี หแ้ ล้วไม่มผี ล ๓.๒ นตถฺ ิ ยฏิ ฐฺ ํ การบชู าไม่มีผล ๓.๓ นตฺถิ หตุ ํ การเชอ้ื เชิญตอ้ นรับไม่มีผล ๓.๔ นตฺถิ สกุ ตทกุ ฺกฏานํ กมมฺ านํ ผลํ วิปาโก ผลวิบากของกรรมดีและกรรมช่วั ไมม่ ี ๓.๕ นตฺถิ อยํ โลโก โลกนีไ้ ม่มี ๓.๖ นตฺถิ ปโร โลโก โลกหน้าไมม่ ี ๓.๗ นตฺถิ มาตา มารดาไมม่ ี แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นเอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
66 ๓.๘ นตฺถิ ปิตา บดิ าไมม่ ี ๓.๙ นตถฺ ิ สตฺตา โอปปาตกิ า สตั ว์ท่ีผดุ เกิดข้ึนเองไม่มี ๓.๑๐ นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคคฺ ตา สมฺมาปฏิปนนฺ า เย อิมญจฺ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติ สมณพราหมณ์ที่รู้แจ้งโลกน้ีโลกหน้า ที่สามารถช้ีแจงแนะนำ�ให้เข้าใจ ท่ถี งึ พรอ้ มดว้ ยความสามคั คีและปฏิบัตชิ อบไม่มี นยิ ตมิจฉาทิฏฐิทัง้ ๓ ประการนี้ อยา่ งใดอย่างหนึ่ง กล็ ้วนปฏิเสธกรรมและผลของกรรมทงั้ ส้นิ จัดเป็นอกุศลกรรมบถ บคุ คลทต่ี กอย่ใู นมิจฉาทิฏฐิ ๓ ประการนแี้ ล้ว พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นดังตอในวฏั ฏะ ใครๆ กถ็ อนข้ึนไมไ่ ด้ ไมม่ ีโอกาสไดบ้ รรลมุ รรค ผล นิพพาน กใ็ นทิฏฐิ ๓ อย่างเหล่าน้ี อกริ ิยทฏิ ฐิ ห้ามกรรม คือ ปฏเิ สธกรรม นัตถกิ ทิฏฐิ หา้ มวบิ าก คือ ปฏเิ สธผลของกรรม อเหตกุ ทฏิ ฐิ ห้ามท้ัง ๒ อย่าง คอื ปฏเิ สธทงั้ กรรมและผลของกรรม หลักวนิ จิ ฉัย มิจฉาทิฏฐิท่ถี งึ ความเป็นอกศุ ลกรรมบถ มีองค์ ๒ คอื ๑. วตถฺ ุโน คหติ าการวปิ รตี ตา เรอ่ื งท่ยี ดึ ถอื น้นั ผิดจากความเปน็ จรงิ ๒. ยถา ตํ คณหฺ าติ ตถาภาเวน ตสสฺ ปุ ฏฐฺ านํ มคี วามเหน็ ยดึ มนั่ ในเรอื่ งทผี่ ดิ จากความเปน็ จรงิ นนั้ วา่ ถูกต้อง ในอรรถกถาอฏั ฐสาลนิ กี ลา่ วไวว้ า่ “ในมจิ ฉาทฏิ ฐนิ น้ั กรรมบถยอ่ มขาดดว้ ยนตั ถกิ ทฏิ ฐิ อเหตกุ ทฏิ ฐิ และอกริ ยิ ทฏิ ฐเิ ทา่ น้นั หาขาดดว้ ยทฏิ ฐเิ หล่าอ่นื ไม่” มจิ ฉาทิฏฐิมีโทษมาก เพราะเหตุ ๒ ประการ คอื ๑. มอี าเสวนะมาก คอื มคี วามเสพคนุ้ มาก หมายถงึ ท�ำ มากหรอื ท�ำ บอ่ ยกม็ โี ทษมาก มอี าเสวนะนอ้ ย ก็มโี ทษน้อย ๒. มีนิยตมิจฉาทิฏฐิ คือ มีความยึดมั่นความเห็นผิดแบบฝังรากลึกก็มีโทษมาก มีมิจฉาทิฏฐิ นอกจากนกี้ ็มีโทษนอ้ ย นิยตมจิ ฉาทิฏฐิท้ัง ๓ นี้ เปน็ ความเหน็ ผิดทีส่ ่งผลให้เกิดในนริ ยภูมิหลังจากตายแล้วอยา่ งแนน่ อน บุคคลผ้เู ปน็ นยิ ตมิจฉาทฏิ ฐิ แม้พระพุทธองค์จะทรงโปรดอย่างไรก็ตาม กไ็ มอ่ าจใหส้ ำ�เร็จคณุ ธรรมใดๆ ได้ สำ�หรับกรรมทั้ง ๓ มีอภิชฌาเป็นต้นเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับวิญญัติท้ัง ๒ คือ กายทวารและวจีทวารแต่อย่างใด คงเกิดขึ้นเฉพาะในมโนทวารเท่าน้ัน ฉะน้ัน ท่านพระอนุรุทธาจารย์ จงึ แสดงว่า เมื่อเวน้ จากายวญิ ญตั แิ ละวจีวญิ ญตั แิ ลว้ ย่อมเกิดในมโนทวารเปน็ สว่ นมาก ตัวอย่างโทษของมจิ ฉาทฏิ ฐิ เร่อื ง ปูรณกัสสปะ เจา้ ลัทธผิ ู้ถืออกริ ิยทฏิ ฐิ ดงั ไดส้ ดบั มา ตระกลู หนง่ึ มที าส ๙๙ คน ทาสคนหนง่ึ เกดิ มากค็ รบ ๑๐๐ คนพอดี ดว้ ยเหตนุ นั้ พวก เจา้ นายจึงตัง้ ชือ่ เขาว่า “ปูรณะ” การงานทีน่ ายปรู ณะนั้นจะท�ำ ดี ทำ�ไมด่ ี ยังไมท่ ำ� หรือท�ำ แลว้ พวกเจ้านาย แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วิชาวนิ ัย (กรรมบถ)
67 จะไม่ว่ากล่าวเขาเลย เพราะถือว่าเขาเป็นทาสผู้เป็นมงคล เมื่อเป็นเช่นน้ีเขาคิดว่า เขาอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ อะไร จึงหลบหนีไป ตอ่ มาพวกโจรไดช้ งิ เอาผ้านุง่ ของเขาไป เขาไม่ร้จู ะปกปดิ รา่ งกายด้วยหญา้ และใบไม้ จึงเปลอื ยกาย เข้าไปสู่หมู่บ้านตำ�บลหน่ึง พวกชาวบ้านเห็นเขาแล้ว เข้าใจว่า “บุรุษนี้เป็นสมณะ เป็นพระอรหันต์ มคี วามมักนอ้ ย ไม่มบี คุ คลอ่ืนที่เป็นเช่นบรุ ุษนี้” จึงไดใ้ หข้ นมและขา้ วเปน็ ตน้ เขาคิดวา่ “ขนมและขา้ วเปน็ ตน้ นี้ เกดิ ขนึ้ เพราะความที่เราไม่นุง่ ผา้ ” ต้งั แตน่ ้นั มา เขาแมจ้ ะได้ผ้า กไ็ มน่ งุ่ ไดถ้ อื เพศเปลอื ยกายเชน่ นน้ั เปน็ การบวช พวกมนษุ ย์ ๕๐๐ คนพากนั บวชในส�ำ นกั ของเขา นายปรู ณะนนั้ ไดช้ ือ่ ตามโคตรว่า “กสั สปะ” เขาได้ต้ังตนเปน็ เจ้าลทั ธชิ ื่อว่า ปูรณกัสสปะ ยดึ ถอื อกริ ยิ ทิฏฐิซ่งึ มคี ำ�สอนว่า เมื่อบคุ คลท�ำ เองหรอื ใช้ให้ผู้อื่นทำ� ตัดเองหรือใช้ให้ผู้อ่ืนตัด เบียดเบียนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน เศร้าโศกเองหรือทำ�ให้ผู้อ่ืน เศร้าโศก ลำ�บากเองหรือทำ�ให้ผู้อ่ืนลำ�บาก ดิ้นรนเองหรือทำ�ผู้อื่นให้ด้ินรน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ งัดแงะ ปล้นสดมภ์ ปล้นบ้าน ดักอยู่ที่ทางเปล่ียว เป็นชู้กับภริยาของผู้อื่น พูดเท็จ เม่ือบุคคลกระทำ�อยู่อย่างนี้ บาปชื่อว่าไมเ่ ปน็ อนั ท�ำ สรปุ ว่า เจ้าลัทธปิ ูรณกสั สปะนั้น เป็นผมู้ วี าทะว่า ไมเ่ ปน็ อนั ท�ำ เร่อื ง มักขลโิ คสาล เจา้ ลทั ธผิ ู้ถืออเหตกุ ทฏิ ฐิ บุรุษอีกคนหน่ึง เป็นทาส เจ้านายใช้ให้แบกหม้อนาํ้ มันเดินไปบนพื้นที่เป็นโคลนแล้วกำ�ชับให้เขา ระวังอย่าให้ลื่น แต่เขาก็ล่ืนลงด้วยความประมาท ด้วยความกลัวเจ้านายจึงเร่ิมจะหนีไป เจ้านายจึงว่ิงไปฉุด ทชี่ ายผา้ เขาจงึ ทง้ิ ผ้านนั้ เสยี แลว้ เปลอื ยกายวง่ิ หนไี ป พวกชาวบา้ นเกดิ ความเลอื่ มใสในการถอื เพศเปลอื ยกาย ของเขา เช่นเดยี วกับเรื่อง ปูรณกสั สปะ นายมักขลินนั้ คนมักจะเรียกกนั วา่ “โคสาละ” เพราะเขาเกดิ ในคอกโค เจ้าลัทธิมักขลโิ คสาล ยึดถอื อเหตุกทฏิ ฐิซง่ึ มีค�ำ สอนวา่ ความเศรา้ หมองของสัตว์ทง้ั หลายไม่มีเหตุ ไม่มีปจั จยั สตั ว์ทง้ั หลายเศร้าหมองเอง บรสิ ุทธ์เิ อง สรปุ ว่า เจา้ ลทั ธิมักขลิโคสาล เป็นผมู้ ีวาทะวา่ ไมม่ ีเหตุ เรอื่ ง อชติ เกสกมั พล เจา้ ลัทธผิ ูถ้ ือนัตถิกทิฏฐิ บุรุษอีกคนหน่ึง มีชือ่ ว่า “อชิตะ” และคนมักจะเรยี กวา่ “เกสกัมพล” เพราะเขานุ่งหม่ ผ้ากัมพล ทที่ �ำ ดว้ ยผมมนษุ ย์ เจา้ ลทั ธอิ ชติ เกสกมั พลนนั้ ยดึ ถอื นตั ถกิ ทฏิ ฐซิ ง่ึ มคี �ำ สอนวา่ “ทานทใ่ี หแ้ ลว้ ไมม่ ผี ล การบชู า ที่บูชาแล้วไม่มีผล” สรุปว่า เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลน้ัน เป็นผู้มีวาทะว่า ไม่มีบ้าง ขาดศูนย์บ้าง โดยมีวาทะ ในเร่อื งความขาดศนู ย์ว่า “สตั วท์ งั้ หลาย หลังจากตายแล้วยอ่ มขาดศนู ย์ ยอ่ มหายไป ย่อมไมม่ อี กี ” เจ้าลัทธิท้ัง ๓ นี้ นอกจากทำ�ตนให้ฉิบหายแล้ว ยังทำ�หมู่ชนผู้กระทำ�ตามลัทธิของตนให้ฉิบหาย ไปด้วย เพราะลัทธิที่ตนยึดถือนั้นเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ส่งผลให้เกิดในนิรยภูมิหลังจากตายแล้วอย่างแน่นอน แมพ้ ระพุทธองค์จะทรงโปรดอย่างไรกต็ าม กไ็ ม่อาจให้สำ�เรจ็ คุณธรรมใด ๆ ได้ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชัน้ เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
68 มโนกรรมเปน็ ไปทางทวาร ๓ อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ นี้ เป็นมโนกรรมย่อมเป็นไปทางมโนทวารโดยมาก แมไ้ มม่ กี ารเคลอ่ื นไหวทางกาย ทางวาจา เพยี งแตค่ ดิ ในใจกส็ �ำ เรจ็ เปน็ อกศุ ลกรรมบถได้ แตบ่ างครง้ั อกศุ ลธรรม ท้ัง ๓ อย่างนี้ ย่อมเกิดขึ้นทางกายทวารและวจีทวารก็ได้ เช่น บางคนมีใจละโมบอยากได้ของคนอ่ืน จึงย่ืนมือไปหยิบของนัน้ มใี จโกรธแค้นหยิบมีดหยิบไม้เพ่อื ท�ำ ร้ายเขา หรอื มีความเหน็ ผิดไปไหว้กระบือ ๕ ขา เพอ่ื ขอเลข เป็นต้น กรรมน้ันของเขาจัดเปน็ มโนกรรม ส่วนทวารจัดเปน็ กายทวาร ถามว่าทำ�ไมถงึ ไม่จัดเปน็ กายกรรม แกว้ า่ เพราะตรงน้ี ท่านมงุ่ ถงึ อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทฏิ ฐิเป็นใหญ่ ไมไ่ ดม้ งุ่ เจตนาเป็นใหญ่ ถ้ามุง่ เจตนาท่เี ป็นเหตุกระท�ำ ทางกายก็จัดเปน็ กายกรรมได้ บางคนมีใจละโมบพูดออกมาว่า ทำ�อย่างไรหนอของสิ่งน้ันจะพึงเป็นของเรา มีใจโกรธแค้น พดู แชง่ ว่า ท�ำ อยา่ งไรหนอคนนจ้ี ะพงึ ตายเสยี ที มคี วามเหน็ ผดิ พดู ว่า ผลของกรรมดกี รรมชวั่ ไมม่ ี กรรมของเขา จัดเปน็ มโนกรรม สว่ นทวารจดั เปน็ วจที วาร บางคนไม่มีการกระทำ�ทางกายหรือพูดทางวาจา คิดละโมบอยากได้ คิดพยาบาทปองร้าย และเห็นผิดจากทำ�นองคลองธรรมอย่างเดียว กรรมของเขาจัดเป็นมโนกรรม แม้ทวารก็จัดเป็นมโนทวาร มโนกรรมทเี่ ปน็ อกุศลย่อมเกิดได้ทางทวารทัง้ ๓ ดงั พรรณนามาฉะนี้ฯ อยา่ งไรกต็ าม ในอกศุ ลกรรม ๑๐ อกศุ ลกรรมบถทคี่ ดิ ทางมโนทวารมคี วามส�ำ คญั กวา่ ทางกายทวาร และวจีทวาร เนื่องจากกายและวาจาสั่งให้ใจกระทำ�บาปไม่ได้ แต่ใจส่ังให้กายและวาจาทำ�บาปได้ สมดังที่ พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ ธรรมทงั้ หลายมใี จเปน็ ใหญ่ มใี จเปน็ ประธาน ส�ำ เรจ็ มาจากใจ ถา้ ใจคดิ ชว่ั แลว้ กจ็ ะกระท�ำ ชวั่ พดู ชวั่ ตามมา และในอกศุ ลกรรมทเ่ี กดิ จากมโนทวาร มจิ ฉาทฏิ ฐถิ อื วา่ รา้ ยแรงกวา่ อกศุ ลกรรมขอ้ อนื่ ๆ เพราะถา้ มคี วามเหน็ ผดิ แลว้ กจ็ ะเกดิ อกศุ ลกรรมบถขอ้ อน่ื ๆ ได้ ดงั นน้ั ควรจะระวงั อกศุ ลกรรมบถขอ้ มจิ ฉาทฏิ ฐนิ ใ้ี หม้ าก โทษของอกศุ ลกรรมบถ บคุ คลผ้ปู ระพฤติหรอื กระท�ำ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ อย่างน้ียอ่ มตกนรกเหมอื นกับถูกจบั เอาไปวางไว้ ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ในปฐมนิรยสัคคสูตร ปัญจมปัณณาสก์ ทสกนิบาต อังคุตตรนิกายว่า ดูก่อนภิกษุ ท้ังหลาย บคุ คลผ้ปู ระกอบดว้ ยธรรม ๑๐ ประการ ยอ่ มตกนรกเหมือนถกู จับเอาไปวางไว้ ธรรม ๑๐ ประการ คอื บุคคลบางคนในโลกนี้ ๑. เปน็ ผมู้ กั ฆา่ สตั ว์ มมี อื เปอ้ื นเลอื ด คดิ แตป่ ระหตั ประหาร ไมม่ คี วามเมตตากรณุ าตอ่ สตั วท์ งั้ ปวง ๒. มกั เป็นผ้ถู อื เอาสิง่ ของที่เจา้ ของไม่ไดใ้ ห้ ไมว่ ่าของนัน้ จะอยู่ในบ้านของเขาหรือทไี่ หนๆ ก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งนัน้ ดว้ ยจิตคิดขโมย ๓. เปน็ ผู้มักประพฤตผิ ดิ ในกาม ผดิ เพราะการนอกใจค่คู รองของตน ผดิ เพราะล่วงละเมดิ คู่ครอง ของผูอ้ ่นื หรอื ผิดเพราะล่วงละเมิดตอ่ บุคคลทีต่ นไม่มสี ิทธิ์จะท�ำ เชน่ น้ัน ๔. เป็นผู้มักกล่าวเท็จ คือ ไม่รู้บอกรู้ ไม่เห็นบอกว่าเห็น หรือรู้บอกว่าไม่รู้ เห็นบอกว่าไม่เห็น เป็นผู้กล่าวเท็จทง้ั ๆ ทร่ี ู้ เพราะเหตุแหง่ ตน เพราะเหตุแห่งบุคคลอ่นื หรอื เพราะเห็นแกอ่ ามิสสนิ จ้าง แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ช้นั เอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
69 ๕. เปน็ ผพู้ ดู ท�ำ ลายความสามคั คี ฟงั จากฝา่ ยนไี้ ปบอกฝา่ ยโนน้ หรอื ฟงั จากฝา่ ยโนน้ มาบอกฝา่ ยนี้ เพ่ือให้เขาแตกความสามัคคีกัน หรือเพ่ือจะทำ�ตนให้เป็นท่ีรักของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชอบความแตกแยกหรือ สง่ เสรมิ ให้คนแตกแยก ชอบตง้ั พรรคพวก พูดแต่ถ้อยค�ำ ทจ่ี ะทำ�ให้แบ่งพรรคแบง่ พวก ๖. เปน็ ผพู้ ูดวาจาท่ีแผ่ไปเผาผลาญจติ ใจของผฟู้ ัง เปน็ คำ�พดู บาดหู หยาบคาย เผด็ รอ้ น กระทบ กระเทยี บเปรียบเปรย ทำ�ให้ผู้ฟงั เกดิ ความโกรธและฟงุ้ ซ่าน ๗. เป็นผู้พูดทำ�ลายความสุขและประโยชน์ท่ีสัตบุรุษพึงได้รับ พูดคำ�ท่ีกำ�จัดทางแห่งประโยชน์ และความสขุ นนั้ ไมร่ ู้กาลเทศะพดู ปราศจากอรรถธรรมหรอื วนิ ยั อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ซึง่ เปน็ เครอ่ื งแสดงเหตผุ ล เพ่ือให้เข้าใจประโยชนใ์ นโลกนแี้ ละประโยชนใ์ นโลกหน้า ๘. เปน็ ผ้มู ากไปด้วยความละโมบ จอ้ งหาทางเอาของคนอ่นื มาเปน็ ของตน ๙. เปน็ ผมู้ ใี จพยาบาท มคี วามคดิ ประทษุ รา้ ยวา่ ขอสตั วเ์ หลา่ นจ้ี งถกู ฆา่ ถกู จองจ�ำ จงหายสาบสญู จงพนิ าศ จงอยา่ อยู่ในโลกน้ี ๑๐. เปน็ ผมู้ คี วามคดิ ผดิ มที ศั นะทว่ี ปิ รติ ว่าการใหท้ านไมม่ ผี ล การบชู าไมม่ ผี ล การเซน่ สรวงไมม่ ผี ล ผลวบิ ากของกรรมดแี ละกรรมช่ัวไมม่ ี โลกน้ไี ม่มี โลกหน้าไมม่ ี มารดาไม่มีคณุ บิดาไมม่ ีคุณ โอปปาติกสตั วไ์ ม่มี สมณพราหมณ์ ผปู้ ฏิบตั ชิ อบ รู้แจง้ เองแล้ว แสดงโลกนีแ้ ละโลกหน้าไดแ้ จม่ แจ้งไมม่ ี ดกู อ่ นภกิ ษุทงั้ หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหลา่ นี้ ยอ่ มตกนรก เหมอื นถกู จับ เอาไปวางไว้ พฤตกิ รรมทเี่ ปน็ บาป ๔ อยา่ ง บคุ คลผกู้ ระท�ำ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ ยอ่ มไดร้ บั ผลวบิ าก ท�ำ ใหไ้ ปตกนรกแนน่ อน แมผ้ ชู้ กั ชวน ผยู้ นิ ดี ผยู้ กย่องสรรเสรญิ อกศุ ลหรอื บคุ คลผู้ประพฤตอิ กศุ ลกรรมเหล่าน้ัน กล็ ว้ นท�ำ ใหไ้ ปตกนรกไดเ้ หมอื นกัน ดังนั้น ตามหลักธรรมคำ�สอนในพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงพฤติกรรมท่ีเป็นบาปนำ�ไปสู่นรก ๔ อย่าง ดังพระพุทธพจนใ์ นกรรมปถวรรค อังคตุ ตรนิกาย ความว่า ดูก่อนภิกษทุ งั้ หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๔ ประการ ยอ่ มตกนรก เหมอื นถกู เขาจบั เอาไปวางไว้ ธรรม ๔ ประการ คือ ๑. เปน็ ผทู้ ำ�เอง พดู เอง คดิ เอง ในอกุศลกรรมบถ ๒. เปน็ ผู้ชกั ชวนผู้อ่ืนใหท้ �ำ ให้พูด ให้คิด ในอกุศลกรรมบถ ๓. เปน็ ผู้ยินดกี ับบคุ คลผู้ทำ� ผพู้ ดู ผู้คิด ในอกศุ ลกรรมบถ ๔. เปน็ ผู้พดู สรรเสริญอกุศลกรรมบถ คนช่ัวย่งิ กวา่ คนชวั่ อนึ่ง บุคคลผู้ทำ� ผู้พูด ผู้คิด ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม อันเป็นอกุศลท้ัง ๑๐ น้ี ถึงแม้ว่าจะทำ�ให้ตกนรกก็จริง ถึงอย่างน้ัน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เป็นคนชั่วธรรมดาเท่านั้น แตบ่ างคนนอกจากท�ำ พดู และคดิ อกศุ ลดว้ ยตนเองแลว้ ยงั ชกั ชวนหรอื บบี บงั คบั ผอู้ น่ื ใหท้ �ำ ใหพ้ ดู ใหค้ ดิ อกศุ ล เหลา่ น้ันดว้ ย บคุ คลเช่นนี้พระพุทธองค์ตรสั วา่ เป็นคนชวั่ ย่งิ กว่าคนชว่ั ดังพระพทุ ธพจน์ในทสกรรมสูตรว่า แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
70 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆา่ สัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พดู ส่อเสยี ด พดู ค�ำ หยาบ พูดเพอ้ เจอ้ โลภอยากไดข้ องผอู้ ื่น คิดรา้ ยทำ�ลายผูอ้ น่ื เป็นมิจฉาทิฏฐิ ดกู อ่ นภกิ ษุ ทงั้ หลาย บคุ คลนีเ้ ราเรยี กวา่ คนชว่ั ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย แต่บุคคลบางคนในโลกนี้ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดสอ่ เสียด พูดคำ�หยาบ พูดเพอ้ เจอ้ โลภอยากไดข้ องผอู้ ่นื คดิ ร้ายท�ำ ลายผู้อน่ื เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐดิ ้วยตนเองแล้ว ยังชักชวนบุคคลอื่นให้ทำ� ให้พูด ให้คิดอย่างน้ันด้วย ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บุคคลนี้เราเรียกว่า คนช่ัว ย่งิ กวา่ คนช่ัว แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ช้นั เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๓ 71 ธรรมศึกษาชัน้ เอก สาระการเรยี นร้วู ิชาวนิ ยั เวลา..............ชั่วโมง เร่อื ง กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เขา้ ใจ และปฏบิ ตั ิตนตามหลักพระวนิ ัยบัญญตั ิของพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ รแู้ ละเข้าใจความหมายและอานสิ งส์ของกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๓. สาระสำ�คญั กศุ ลกรรมบถ หมายถงึ ทางแหง่ กศุ ลกรรม ทางทำ�ความดี หรอื กรรมดีท่เี ปน็ เหตุน�ำ สตั วไ์ ปสสู่ ุคติ กศุ ลกรรมบถนสี้ ่งผลใหเ้ กดิ ในปฏิสนธิกาล คอื ในภพหนา้ มี ๑๐ อย่าง จำ�แนกเปน็ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ และมโนกรรม ๓ ๔. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ๑. นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ ๒. นักเรยี นสามารถบอกอานสิ งสข์ องกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ได้ ๕. สาระการเรยี นรู้/เนือ้ หา ๑. ความหมายค�ำ ว่า “กศุ ลกรรมบถ ๑๐” ๒. แนวปฏบิ ัติตนตามกุศลกรรมบถ ๑๐ ๓. อานิสงสข์ องกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๖. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ขนั้ สบื ค้นและเชอื่ มโยง ๑. นักเรียนดูภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ เป็นภาพข่าวการทำ�ความดี การมอบรางวัลต่างๆ โดยครตู ั้งคำ�ถาม เพ่อื เป็นการนำ�เข้าสูบ่ ทเรยี น ข้ันฝกึ ๒. ครูน�ำ นักเรยี นร่วมกันอภปิ รายถึงภาพและข่าว เหตหุ รอื สาเหตุทีท่ �ำ ใหไ้ ด้รบั รางวัล ๓. รว่ มกนั อภปิ รายถึงความหมายของกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นองค์ความรู้ ๔. ร่วมกันอภิปรายถึงองคป์ ระกอบของกุศลกรรมบถ ๑๐ มีอะไรบ้าง ๕. แบง่ กลุม่ นักเรยี นออกเป็นกลุม่ กลุม่ ละ ๕ คน รว่ มกนั บอกแนวปฏบิ ัติ ตามกุศลกรรมบถ ๑๐ และอานิสงสข์ องกศุ ลกรรมบถ ๑๐ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันเอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
72 ๖. ใหน้ กั เรยี นออกมาน�ำ เสนอผลงานหน้าชน้ั เรียน โดยครคู อยเสนอแนะเพ่มิ เติมให้ถูกตอ้ ง ขัน้ ประยกุ ต์ ๗. ให้นกั เรยี นศกึ ษาใบความร้ทู ี่ ๓ เรือ่ งกศุ ลกรรมบถ ๑๐ และทำ�ใบกจิ กรรมท่ี ๕ และที่ ๖ ๘. สุ่มนกั เรยี นออกมานำ�เสนอผลงานหน้าช้นั เรยี นและอภปิ รายเพ่มิ เติม ๙. ตรวจใบกจิ กรรม อภิปราย ซักถาม สรปุ องค์ความรู้ ๑๐. นกั เรียนร่วมกันทำ�ใบกจิ กรรมที่ ๔ สง่ ครตู รวจใหค้ ะแนน ๗. ภาระงาน/ช้นิ งาน ท่ี ภาระงาน ช้นิ งาน ใบกิจกรรมท่ี ๔ ๑ ตอบค�ำ ถามเกีย่ วกบั กุศลกรรมบถ ๑๐ ใบกิจกรรมท่ี ๕ ๒ อภิปราย ระดมความคิด สรุปแนวปฏิบัติตนตามกุศลกรรม ๑๐ ใบกจิ กรรมที่ ๖ และอานสิ งส์ของกุศลกรรมบถ ๑๐ ๓ ทำ�ผังมโนทศั นเ์ กยี่ วกบั กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๘. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้ ๑. หนังสอื เรียนธรรมศึกษาชั้นเอก ๒. รปู ภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ ๓. ใบความรทู้ ่ี ๓ เรื่อง กุศลกรรมบถ ๑๐ ๔. ใบกจิ กรรมที่ ๔ ๕. ใบกิจกรรมที่ ๕ ๖. ใบกจิ กรรมที่ ๖ ๙. การวัดผลและประเมนิ ผล ส่งิ ท่ีตอ้ งการวดั วิธีวดั เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ ๑. สามารถอธิบายความหมาย - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผ่าน = ได้คะแนนตั้งแตร่ ้อยละ ๖๐ ขน้ึ ไป ของกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ได้ ผลงาน ไม่ผ่าน = ได้คะแนนตํ่ากวา่ ร้อยละ ๖๐ ๒. สามารถบอกอานสิ งสข์ อง - สังเกต - แบบสงั เกต ผ่าน = ได้คะแนนต้ังแต่รอ้ ยละ ๖๐ ขน้ึ ไป กุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ พฤติกรรม พฤติกรรม ไมผ่ ่าน = ได้คะแนนตาํ่ กวา่ ร้อยละ ๖๐ การปฏบิ ัติ กจิ กรรมกล่มุ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
ข้อ ที่ แบบประเมินผลงาน 73 ๓ คะแนน ใบกิจกรรมที่ ๔ ๑ คะแนน ๑ - ๑๐ ตอบค�ำ ถามถูกตอ้ ง ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ งและ ตรงประเดน็ ระดบั คะแนน ตรงประเด็นน้อย ๒ คะแนน ตอบค�ำ ถามถกู ต้อง ตรงประเดน็ สว่ นใหญ่ เกณฑ์ เกณฑก์ ารตดั สิน คะแนน ผ่าน ๑๘ - ๓๐ ไม่ผ่าน รอ้ ยละ ๐ - ๑๗ ๖๐ ข้นึ ไป ตา่ํ กวา่ ๖๐ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สินสามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกบั กล่มุ เป้าหมาย แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
74 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั กิ จิ กรรมกลุ่ม ขอ้ ท่ี รายก าร ระดบั คะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความรว่ มมือในการ ใหค้ วามร่วมมอื ในการ ใหค้ วามรว่ มมอื ในการ ให้ความรว่ มมอื ในการ ทำ�กจิ กรรม ทำ�กจิ กรรมทุกกิจกรรม ทำ�กจิ กรรมบางกิจกรรม ทำ�กิจกรรมบา้ ง ๒ การแสดง/การรบั ฟัง แสดงความคิดเหน็ และ แสดงความคดิ เหน็ และ แสดงความคิดเห็นและ ความคดิ เห็น รับฟงั ความคดิ เห็นของ รับฟงั ความคดิ เหน็ ของ รับฟงั ความคิดเหน็ ของ คนส่วนมากเปน็ ส�ำ คัญ คนอื่นบา้ ง คนอ่ืนนอ้ ย ๓ การต้ังใจ/การแก้ไข มคี วามต้ังใจและ มีความตั้งใจและ มคี วามตง้ั ใจและ ปัญหาในการทำ�งาน รว่ มแก้ไขปัญหาในการ ร่วมแก้ไขปัญหาในการ รว่ มแกไ้ ขปญั หาในการ ท�ำ งานกลมุ่ ดีมาก ทำ�งานกลุ่มดี ทำ�งานกลุ่มบา้ ง ๔ ความถกู ต้องของ สรุปเนื้อหาไดถ้ ูกตอ้ ง สรปุ เนอ้ื หาได้ถูกตอ้ ง สรปุ เนอื้ หาได้ถกู ต้อง เนื้อหา ตรงประเด็นและ ตรงประเดน็ ตรงประเดน็ บา้ ง ครบถว้ น ๕ วธิ ีการน�ำ เสนอ น�ำ เสนอผลงานได้อย่าง นำ�เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง น�ำ เสนอผลงาน ผลงาน ถกู ต้องตามข้ันตอน ถกู ตอ้ งตามขั้นตอน ตามข้นั ตอนได้บา้ ง นา่ สนใจ และเน้อื หา น่าสนใจ แต่ขาดเนอ้ื หา ครบถว้ น บางส่วน เกณฑก์ ารตัดสิน เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ขนึ้ ไป ๙ - ๑๕ ไมผ่ ่าน ตา่ํ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหต ุ เกณฑ์การตดั สนิ สามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชัน้ เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
75 ใบกิจกรรมท่ี ๔ เรอื่ ง กศุ ลกรรมบถ ๑๐ กลุ่มท.่ี ................... ๑. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๒. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ๓. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๔. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๕. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... จงตอบค�ำ ถามต่อไปน้ี (๓๐ คะแนน) ๑. กุศลกรรมบถ ๑๐ หมายถึง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒. “เวรย่อมระงบั ดว้ ยการไม่จองเวร” ขอ้ ความนี้สง่ เสรมิ ใหค้ นประพฤติปฏบิ ตั ิตามกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๓. ความปรองดองสมานฉันทข์ องคนในชาติจะเกดิ ข้นึ ได้ ถ้าทุกคนประพฤตติ ามกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๔. นายอ้วนขับรถแท็กซี่ไปส่งผู้โดยสารที่โรงแรมอโนมา หลังจากน้ันพบว่าผู้โดยสารลืมกระเป๋าเอกสาร จึงนำ�ไปแจ้งนายร้อยเวรท่ีสถานีตำ�รวจเพื่อประกาศให้เจ้าของมารับคืน การกระทำ�ของนายอ้วน สอดคลอ้ งกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๕. นายสีทะเลาะกับนายดี เพราะสุนัขของนายดีมาปัสสาวะที่ร้ัวหน้าบ้านถึงขั้นชกต่อยกัน จนนายดี ได้รบั บาดเจบ็ แตน่ ายดีก็ไม่คดิ เอาเรอื่ งกบั นายสี แมเ้ พอ่ื นบา้ นจะแนะนำ�ใหไ้ ปแจง้ ความที่สถานีตำ�รวจ เช่นน้ี ถอื ว่านายดีมีกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
76 ๖. การทค่ี นในสังคมชอบพดู เอาดใี ส่ตวั เอาช่วั ใส่ผอู้ ่ืน เพราะไม่ประพฤตกิ ุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๗. สงั คมไทยถือวา่ พอ่ แม่ ครูบาอาจารย์ คอื ผูม้ พี ระคุณ ความคดิ เช่นนสี้ อดคลอ้ งกับกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๘. นักเรียนทชี่ อบยกพวกตีกนั ควรแกด้ ้วยกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๙. คนที่ปรารถนา มรรค ผล นพิ พาน ควรปฏิบตั ิตนอยา่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๐. ผูท้ อ่ี ยากได้ทั้งทรัพยส์ มบัติและบรวิ ารสมบัติ จะต้องประพฤติกศุ ลกรรมบถอยา่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
77 ใบกิจกรรมท่ี ๕ เรอื่ ง อานสิ งส์ของกุศลกรรมบถ ๑๐ ๑. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๒. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ๓. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๔. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ๕. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... คำ�ส่งั ให้นักเรยี นอภิปราย ระดมความคดิ สรปุ อานิสงสข์ องกุศลกรรมบถ ๑๐ (๑๕ คะแนน) (ค�ำ ตอบอยใู่ นดุลยพนิ จิ ของผ้สู อน) ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
78 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๔ เรอื่ ง กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑. กศุ ลกรรมบถ ๑๐ หมายถึง ตอบ ทางแห่งกศุ ลกรรม ทางท�ำ ความดี หรือกรรมดที เ่ี ปน็ เหตนุ ำ�สัตว์ไปสูส่ ุคติ กศุ ลกรรมบถนสี้ ่งผล ให้เกดิ ในปฏสิ นธิกาล คือ ในภพหน้า มี ๑๐ อย่าง ๒. “เวรย่อมระงบั ดว้ ยการไม่จองเวร” ขอ้ ความน้สี ่งเสรมิ ใหค้ นประพฤตปิ ฏิบัตติ ามกุศลกรรมบถใด ตอบ อพยาบาท ๓. ความปรองดองสมานฉนั ท์ของคนในชาติจะเกดิ ข้นึ ได้ ถ้าทกุ คนประพฤตติ ามกุศลกรรมบถใด ตอบ เว้นจากการพูดส่อเสยี ด ๔. นายอ้วนขับรถแท็กซ่ีไปส่งผู้โดยสารที่โรงแรมอโนมา หลังจากน้ันพบว่าผู้โดยสารลืมกระเป๋าเอกสาร จึงนำ�ไปแจ้งนายร้อยเวรท่ีสถานีตำ�รวจเพ่ือประกาศให้เจ้าของมารับคืน การกระทำ�ของนายอ้วน สอดคลอ้ งกุศลกรรมบถใด ตอบ อนภชิ ฌา ๕. นายสีทะเลาะกับนายดี เพราะสุนัขของนายดีมาปัสสาวะที่ร้ัวหน้าบ้านถึงข้ันชกต่อยกัน จนนายดี ได้รบั บาดเจ็บ แตน่ ายดกี ไ็ ม่คดิ เอาเร่ืองกบั นายสี แมเ้ พือ่ นบ้านจะแนะน�ำ ใหไ้ ปแจง้ ความทสี่ ถานีตำ�รวจ เชน่ นี้ ถือว่านายดีมกี ศุ ลกรรมบถใด ตอบ อพยาบาท ๖. การทคี่ นในสังคมชอบพดู เอาดใี สต่ วั เอาชั่วใสผ่ ู้อ่นื เพราะไมป่ ระพฤตกิ ุศลกรรมบถใด ตอบ เวน้ จากการพดู สอ่ เสยี ด ๗. สงั คมไทยถือว่าพ่อแม่ ครบู าอาจารย์ คอื ผ้มู พี ระคุณ ความคิดเชน่ นี้สอดคล้องกบั กุศลกรรมบถใด ตอบ สัมมาทฏิ ฐิ ๘. นักเรยี นทีช่ อบยกพวกตีกนั ควรแก้ด้วยกศุ ลกรรมบถใด ตอบ ปาณาติปาตา เวรมณี ๙. คนที่ปรารถนา มรรค ผล นพิ พาน ควรปฏบิ ัติตนอย่างไร ตอบ ปฏบิ ตั ิตนตามหลักกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑๐. ผู้ทอ่ี ยากไดท้ ัง้ ทรัพยส์ มบัติและบรวิ ารสมบตั ิ จะต้องประพฤติกุศลกรรมบถอยา่ งไร ตอบ ต้องประพฤติด้วยตนเองและชกั ชวนใหผ้ ูอ้ ืน่ ประพฤติตามดว้ ย แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันเอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
79 ใบความรทู้ ่ี ๓ กุศลกรรมบถ ๑๐ กุศลกรรมบถ หมายถึง ทางแหง่ กุศลกรรม ทางท�ำ ความดี หรือกรรมดีทเ่ี ป็นเหตนุ �ำ สตั วไ์ ปสสู่ คุ ติ กศุ ลกรรมบถน้สี ่งผลใหเ้ กิดในปฏสิ นธกิ าล คอื ในภพหน้า มี ๑๐ อย่าง จำ�แนกเปน็ กายกรรม ๓ วจกี รรม ๔ และ มโนกรรม ๓ ดงั นี้ กายกรรม ๓ ได้แก่ เจตนางดเว้นจากการฆา่ สตั ว์ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี ๒. อทินฺนาทานา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการลักทรัพย์ ๓. กาเมสมุ จิ ฺฉาจารา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม วจกี รรม ๔ ไดแ้ ก่ ๑. มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพดู เท็จ ๒. ปสิ ุณวาจา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการพดู สอ่ เสียด ๓. ผรุสวาจา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพดู ค�ำ หยาบ ๔. สมผฺ ปปฺ ลาปา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการพูดเพอ้ เจ้อ มโนกรรม ๓ ไดแ้ ก่ ๑. อนภิชฺฌา การไมเ่ พง่ เล็งอยากไดข้ องคนอน่ื ๒. อพฺยาปาท การไมค่ ิดรา้ ยผ้อู น่ื ๓. สมฺมาทฎิ ฐฺ ิ การเห็นชอบตามคลองธรรม กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี ทรงแสดงไว้ในพระสูตรมากมาย เฉพาะในอังคุตตรนิกาย มอี ย่หู ลายสตู ร มชี อื่ เรยี กตา่ งๆ กันไป ดังน้ี สาธสุ ูตร เรียกช่อื วา่ สาธธุ รรม แปลว่า ธรรมดี อรยิ ธรรมสูตร เรียกชอื่ วา่ อรยิ ธรรม แปลวา่ ธรรมของอารยชน กศุ ลสตู ร เรยี กชื่อวา่ กศุ ลธรรม แปลวา่ ธรรมท่ที �ำ ลายความชวั่ อรรถสูตร เรยี กชอ่ื ว่า อรรถธรรม แปลว่า ธรรมท่ีมปี ระโยชน์ สาสวสูตร เรียกช่ือวา่ อนาสวธรรม แปลว่า ธรรมท่ไี ม่มกี เิ ลส วชั ชสตู ร เรียกชอ่ื ว่า อนวัชชธรรม แปลวา่ ธรรมท่ไี มม่ ีโทษ ตปนียสูตร เรียกช่ือว่า อตปนยี ธรรม แปลวา่ ธรรมทส่ี ร้างความร่มเยน็ อาจยคามิสตู ร เรยี กช่ือว่า อปจยคามธิ รรม แปลวา่ ธรรมทีไ่ ม่กอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ข์ ส่วนในสาเลยยกสูตร ปัญจมวรรค มูลปัณณาสก์ เรียกชื่อว่า ธรรมจริยสมจริยา แปลว่า การ ประพฤติท่ีเปน็ ธรรมและการประพฤตทิ ถี่ ูกตอ้ ง พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงผลดที ีพ่ ึงจะไดร้ บั จากการประพฤติ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันเอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
80 ธรรมจรยิ สมจริยาดงั น้ีว่า ใครจะปรารถนามนุษยส์ มบัติ สวรรค์สมบตั ิ พรหมสมบัติ มรรค ผล และนพิ พาน ก็จะสำ�เร็จตามปรารถนา ดังความในสาเลยยกสูตรว่า สัตว์บางพวกในโลกน้ี หลังจากตายจากโลกน้ีแล้ว ยอ่ มบังเกดิ ในสคุ ติโลกสวรรค์ เพราะเหตแุ หง่ ธรรมจรยิ สมจรยิ า ธรรมจรยิ สมจริยา เป็นไปในทางกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ และมโนกรรม ๓ ดังน้ี ธรรมจรยิ สมจรยิ าทางกายกรรม ๓ ๑. เป็นผู้ละปาณาติบาต เว้นขาดจากการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป เป็นผู้มีท่อนไม้และศัสตรา อนั วางแล้ว มคี วามละอายประกอบดว้ ยความเอน็ ดู เป็นผู้เก้ือกูลอนเุ คราะห์สัตว์ทุกจำ�พวก ๒. เป็นผู้ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน ขึ้นช่ือว่าทรัพย์ของผู้อื่น จะอยู่ในบ้าน หรอื อยใู่ นป่ากต็ าม ยอ่ มเปน็ ผไู้ มถ่ อื เอาทรัพย์นนั้ ทีเ่ จ้าของไมไ่ ด้ให้ด้วยจติ คดิ ขโมย ๓. เป็นผลู้ ะกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากกาเมสมุ จิ ฉาจาร ธรรมจริยสมจริยาทางวจีกรรม ๔ ๑. เป็นผู้ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท ไปในสภาก็ดี ในบริษัทก็ดี ในท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ในท่ามกลางเสนาก็ดี ในท่ามกลางแห่งราชตระกูลก็ดี ถูกอ้างเป็นพยาน ซักถาม แน่ะพ่อชาย ท่านจงมา ท่านรู้อย่างไร จงเบิกอย่างน้ัน บุคคลนั้นเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ หรือรู้อยู่ก็บอกว่า ข้าพเจ้ารู้ เมื่อไมเ่ หน็ กบ็ อกว่า ข้าพเจ้าไมเ่ หน็ หรือเหน็ กบ็ อกวา่ ขา้ พเจ้าเห็น ย่อมไมก่ ล่าวเทจ็ ทั้งท่รี ู้ เพราะเหตุแหง่ ตน เพราะเหตุแหง่ คนอน่ื หรือเพราะเหตุแหง่ อามิสสินจ้าง ๒. เปน็ ผลู้ ะค�ำ สอ่ เสยี ด เวน้ ขาดจากการกลา่ วสอ่ เสยี ด ฟงั ขา้ งนแี้ ลว้ ไมไ่ ปบอกขา้ งโนน้ เพอ่ื ท�ำ ลาย คนหมู่นี้ หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกคนหมู่น้ี เพื่อทำ�ลายคนหมู่โน้น เป็นผู้สมานคนทั้งที่แตกกันแล้ว หรือสนับสนุนหมู่คนท่ีสามัคคีกันอยู่แล้ว เป็นผู้มีความช่ืนชมยินดีในหมู่คนผู้สามัคคีกัน เป็นผู้กล่าววาจาท่ี ท�ำ ใหค้ นสามคั คกี นั ๓. เป็นผู้ละคำ�หยาบ เว้นขาดจากการกล่าวคำ�หยาบ เป็นผู้กล่าววาจาไม่มีโทษ เสนาะโสต เปน็ ทรี่ กั จับใจ เป็นคำ�สุภาพ เป็นท่ีชอบใจพอใจของคนจำ�นวนมาก ๔. เป็นผู้ละการกล่าวเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการกล่าวเพ้อเจ้อ พูดในเวลาที่ควรพูด พูดคำ�จริง พดู องิ อรรถ อิงธรรม องิ วินยั มีหลักฐาน มีท่อี ้างองิ ไม่พูดมาก พดู แต่คำ�ทมี่ ปี ระโยชน์ ธรรมจรยิ สมจรยิ าทางมโนกรรม ๓ ๑. เป็นผไู้ ม่เพ่งเล็ง ไมล่ ะโมบอยากได้ทรัพย์ของผอู้ ืน่ มาเปน็ ของตน ๒. เป็นผู้มีใจไม่พยาบาท ไม่คิดร้ายต่อผู้อ่ืน คิดแต่ในทางท่ีดีว่า ขอสัตว์ทั้งหลาย จงมีความสุข อยรู่ อดปลอดภยั เถดิ ๓. เป็นผู้มีความเห็นชอบ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานท่ีให้แล้วมีผล การบูชามีผล ผลวิบาก ของกรรมดีและกรรมชั่วมีจริง โลกน้ีมีจริง โลกหน้ามีจริง มารดามีบุญคุณ บิดามีบุญคุณ โอปปาติกะมีจริง สมณพราหมณผ์ ้รู แู้ จ้งโลกน้แี ละโลกหนา้ มีจรงิ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
81 ดกู อ่ นพราหมณ์และคฤหบดีทัง้ หลาย สตั วบ์ างพวกในโลกนี้ หลังจากตายไปแลว้ ยอ่ มเขา้ ถึงสุคติ โลกสวรรค์ เพราะประพฤติธรรมจรยิ สมจริยานี้ ดกู อ่ นพราหมณแ์ ละคฤหบดที งั้ หลาย ถา้ บคุ คลผปู้ ระพฤตธิ รรมและประพฤตทิ ถ่ี กู ตอ้ ง พงึ หวงั ไดว้ า่ หลังจากทเ่ี ราตายแลว้ พงึ ไดม้ นุษยส์ มบัติ สวรรคสมบัติ และนิพพานสมบตั ิ มนุษย์สมบัติ หมายถงึ เกิดเป็นกษัตรยิ ม์ หาศาลและพราหมณม์ หาศาล สวรรค์สมบัติ หมายถงึ เกดิ เป็นเทวดาตัง้ แต่ชน้ั จาตุมมหาราชถึงชนั้ เนวสัญญานาสญั ญายตนะ นิพพานสมบตั ิ หมายถงึ สมบัตคิ ือพระนพิ พาน อานสิ งสข์ องกศุ ลกรรมบถ ๑๐ กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี จดั วา่ เปน็ ศลี บคุ คลผรู้ กั ษาศลี ใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ บรบิ รู ณ์ ยอ่ มไดร้ บั อานสิ งส์ ๓ ประการ คือ มนษุ ยสมบตั ิ สวรรคสมบัติ และนพิ พานสมบตั ิ ดงั ค�ำ สรปุ ของศลี ดงั นี้ ๑. สีเลน สคุ ตึ ยนตฺ ิ คนท้งั หลายไปสูส่ คุ ติไดเ้ พราะศลี ๒. สีเลน โภคสมปฺ ทา คนท้งั หลายถึงพรอ้ มดว้ ยโภคทรพั ยไ์ ด้เพราะศลี ๓. สเี ลน นพิ พฺ ตุ ึ ยนตฺ ิ คนทั้งหลายบรรลนุ พิ พานไดเ้ พราะศลี ศีลเป็นเหตุให้ได้ไปสู่สุคติ เพราะผลของกุศลกรรมบถ ๑๐ โดยเป็นอุปนิสสยปัจจัยโดยตรง ใหไ้ ดเ้ กดิ เปน็ มนุษย์ ๑ กามาวจรสวรรค์ ๖ ช้นั และพรหมโลก ๒๐ ชัน้ อปุ นสิ ยั อุปนิสัย คือ ความประพฤติท่ีเคยชินเป็นพื้นมาในสันดาน หรือความดีท่ีเป็นพื้นฐานของจิต มี ๓ ประการ คือ ๑. ทานูปนิสัย อุปนิสัย คือ ทาน การเสียสละ คนผู้มีอุปนิสัยเช่นนี้ ย่อมกำ�จัดความโลภหรือ ทำ�ความโลภใหเ้ บาบางลงได้ ๒. สีลูปนิสัย อปุ นิสัย คือ ศีล การเว้นจากการเบียดเบยี นสตั ว์อนื่ คนผมู้ อี ุปนิสัยเชน่ นี้ ยอ่ มไม่มี การเบยี ดเบยี นสตั ว์อ่นื ๓. ภาวนปู นิสยั อุปนสิ ยั คือ ภาวนา การสงั่ สมความดี คนผ้มู ีอปุ นสิ ัยเชน่ นี้ ยอ่ มเพยี รพยายาม เพ่อื ทำ�ความดใี ห้สงู ย่ิงๆ ข้ึนไป กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี จัดเป็นศีล ดังน้ัน จึงเป็นสีลูปนิสัยท่ีจะช่วยสนับสนุนให้ได้บรรลุ สมาธิ ปญั ญา และวมิ ุตติ ตามพระบาลีว่า สลี ปรภิ าวิโต สมาธิ มหปผฺ โล โหติ มหานิสํโส แปลว่า สมาธิท่ถี กู บ่มด้วยศีล ย่อมมผี ลมาก มีอานิสงส์มาก อธิบายว่า บคุ คลผมู้ ศี ลี บรสิ ทุ ธิ์ เมื่อบำ�เพญ็ สมาธิ ย่อมสามารถทำ� ฌานให้เกิดได้ง่าย คร้ันได้ฌานแล้วตายไป ย่อมเกิดเป็นพรหม อย่างน้ีช่ือว่า กุศลกรรมบถ เป็นเหตุให้ได้ ไปเกิดในพรหมโลก ส่วนผู้ได้ฌานบางท่าน ทำ�ฌานให้เป็นบาทแห่งการเจริญวิปัสสนา ย่อมรู้แจ้งเห็นจริง ไดง้ ่าย ตามพระบาลีวา่ สมาธปิ รภิ าวติ า ปญฺญา มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า แปลวา่ ปญั ญาทถี่ กู บ่มดว้ ยสมาธิ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตของบุคคลผู้มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชัน้ เอก วิชาวนิ ัย (กรรมบถ)
82 ตามพระบาลวี ่า ปญญฺ าปริภาวติ ํ จิตตฺ ํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ เสยฺยถีทํ กามาสวา ภวาสวา อวชิ ฺชาสวา แปลว่า จิตท่ีถูกอบรมด้วยปัญญา ย่อมหลุดพ้นโดยชอบจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อย่างนี้ชื่อว่า กุศลกรรมบถ เปน็ เหตุใหไ้ ดบ้ รรลเุ จโตวมิ ตุ ตแิ ละปัญญาวมิ ุตติ สีลูปนิสัย คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ ที่สนับสนุนให้ได้บรรลุสมาธิ ปัญญา และวิมุตติ ดังกล่าวแล้ว เปรียบได้กับส่วนของต้นไม้ สีลูปนิสัยเป็นเสมือนรากไม้ สมาธิเป็นเสมือนลำ�ต้น ปัญญาเป็นเสมือนก่ิงก้าน และใบวิมตุ ติเป็นเสมอื นดอกและผลของตน้ ไม้ กุศลกรรมบถโดยอาการ ๕ กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั โดยอาการ ๕ คอื โดยธรรม โดยโกฏฐาสะ โดยอารมณ์ โดยเวทนา และโดยมลู ดงั นี้ ๑. โดยธรรม คือ โดยสภาวธรรม กุศลกรรมบถ ๗ ข้อแรก คือ กายกรรม ๓ และวจีกรรม ๔ เม่ือว่าโดยสภาวธรรม ได้แก่ เจตนาหรือวิรัติ หมายความวา่ ถา้ ไมต่ ั้งใจจะงดเว้น หรอื ไมม่ กี ารงดเวน้ ย่อมสำ�เรจ็ เป็นกุศลกรรมบถไม่ได้ มโนกรรม ๓ อย่าง คือ อนภิชฌา โดยสภาวธรรม ได้แก่ อโลภะ อพยาบาท โดยสภาวธรรม ได้แก่ อโทสะ สัมมาทฏิ ฐิ โดยสภาวธรรม ไดแ้ ก่ อโมหะที่ประกอบด้วยเจตนา ๒. โดยโกฏฐาสะ คือ โดยสว่ นแหง่ ธรรมตา่ งๆ กศุ ลกรรมบถ ๗ ข้อแรก คอื กายกรรม ๓ วจกี รรม ๔ เปน็ กรรมบถอยา่ งเดยี ว ไมเ่ ปน็ รากเหงา้ ของกุศลเหลา่ อน่ื ส่วนมโนกรรม ๓ อยา่ ง คอื อนภชิ ฌา อพยาบาท และสมั มาทฏิ ฐิ เปน็ ทง้ั กรรมบถ เป็นทง้ั รากเหงา้ ของกศุ ลอื่น เพราะทง้ั ๓ น้ี ก็คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ท่เี ป็นกุศลมูลนัน่ เอง ๓. โดยอารมณ์ คือ ส่ิงท่ีใจเข้าไปยึดแล้วเป็นเหตุให้งดเว้นจากอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ พระอรรถกถาจารย์ อธิบายว่า อารมณ์แห่งอกุศลกรรมบถ ๑๐ น่ันแหละ เป็นอารมณ์แห่งกุศลกรรมบถ ทัง้ ๑๐ ประการ เปรยี บเหมอื นนํา้ ท่ีสามารถทำ�ให้เรือลอยก็ได้ ทำ�ใหจ้ มลงกไ็ ด้ ๔. โดยเวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ และเฉยๆ พระอรรถกถาจารย์ อธิบายว่า ในขณะทำ�กุศล ทุกขเวทนา คือความเสียใจ ความไม่สบายใจ ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ในขณะประพฤติ กศุ ลกรรมบถจึงมีเพียงเวทนา ๒ คอื สขุ เวทนาและอเุ บกขาเวทนา ๕. โดยมลู คอื โดยกศุ ลมลู ๓ อยา่ ง ได้แก่ อโลภมูล ๑ อโทสมูล ๑ อโมหมลู ๑ กุศลกรรมบถ ๗ ขอ้ แรก คือ กายกรรม ๓ วจกี รรม ๔ ที่บุคคลประพฤตดิ ้วยปญั ญา มมี ูล ๓ คอื อโลภมูล อโทสมูล อโมหมลู ทป่ี ระพฤติโดยขาดปญั ญา มมี ูล ๒ คอื อโลภมูล อโทสมูล อนภิชฌาทีป่ ระพฤติดว้ ยปญั ญา มมี ลู ๒ คือ อโลภมลู อโมหมูล ทปี่ ระพฤตโิ ดยขาดปญั ญา มีมูลเดยี ว คอื อโลภมลู แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
83 อพยาบาททป่ี ระพฤติด้วยปัญญา มมี ลู ๒ คือ อโทสมลู อโมหมูล ท่ีประพฤติโดยขาดปัญญา มีมูลเดียว คือ อโทสมลู สัมมาทฏิ ฐิทป่ี ระพฤติดว้ ยปัญญา มีมูล ๒ คอื อโทสมลู อโมหมลู กรรมบถ ๒ อย่างนั้น กุศลกรรมบถ เรียกว่า สุจริต อกุศลกรรมบถ เรียกว่า ทุจริต ในสุจริต และทจุ รติ ทง้ั ๒ อยา่ งนน้ั ทจุ รติ บคุ คลไมค่ วรท�ำ เพราะเปน็ อกรณยี กจิ สจุ รติ บคุ คลควรท�ำ เพราะเปน็ กรณยี กจิ บุคคลเม่ือทำ�กรณียกิจ ย่อมไม่ถึงอาทีนพ คือ ไม่ได้รับโทษ มีการติเตียนตนเอง เป็นต้น เม่ือบุคคลทำ� อกรณยี กจิ ยอ่ มถงึ อาทนี พคอื ไดร้ บั โทษมกี ารตเิ ตยี นตนเองเปน็ ตน้ ดงั ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคตรสั ไวใ้ นอานนั ทสตู ร ทกุ นิบาต อังคุตตรนิกายว่า อานนท์ เรากลา่ วกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจรติ วา่ เป็นอกรณีกิจโดยสว่ นเดียว อานนท์ เมอ่ื บคุ คลท�ำ กายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ ทเี่ รากลา่ ววา่ เปน็ อกรณยี กจิ โดยสว่ นเดยี ว โทษดงั ตอ่ ไปนี้ อันผนู้ ้ันพงึ ไดร้ ับ คือ ๑. แม้ตนเอง ย่อมติเตยี นตนได้ ๒. ผู้ร้ใู ครค่ รวญแล้ว ยอ่ มติเตยี น ๓. ชือ่ เสียงอนั ชั่ว ย่อมกระฉ่อนไป ๔. ย่อมหลงทำ�กาลกิรยิ า คือตายโดยขาดสติ ๕. หลังจากตายแล้ว ยอ่ มเข้าถงึ อบาย ทุคติ วินิบาต นรก และตรัสว่า อานนท์ เรากล่าวกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ว่าเป็นกรณียกิจโดยส่วนเดียว อานนท์ เมอ่ื บคุ คลท�ำ กายสจุ รติ วจสี จุ รติ มโนสจุ รติ ทเ่ี รากลา่ ววา่ เปน็ กรณยี กจิ โดยสว่ นเดยี ว อานสิ งสด์ งั ตอ่ ไปน้ี อนั ผู้นนั้ พงึ ไดร้ ับ คือ ๑. แมต้ นเอง ยอ่ มตเิ ตียนตนไม่ได้ ๒. ผรู้ ใู้ ครค่ รวญแล้ว ยอ่ มสรรเสรญิ ๓. ชอ่ื เสยี งอนั ดี ย่อมขจรไป ๔. ย่อมไมห่ ลงท�ำ กาลกริ ยิ า คือตายอยา่ งมสี ติ ๕. หลังจากตายแล้ว ย่อมเขา้ ถึงสคุ ติโลกสวรรค์ ดังนั้น พุทธศาสนิกชนควรละเว้นอกุศลกรรมบถ ประพฤติแต่กุศลกรรมบถเท่าน้ัน สมกับ พระพุทธโอวาทท่ีทรงประทานไว้ให้เป็นหลักปฏิบัติอันสำ�คัญ คือ ไม่กระทำ�ความชั่วทั้งปวง ประกอบกุศล คือคุณงามความดีให้ถึงพร้อม และฝึกอบรมจิตให้สะอาดผ่องแผ้ว ย่อมได้ช่ือว่า เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี เปน็ ศาสนทายาททด่ี ี เปน็ ก�ำ ลงั ส�ำ คญั ในการเผยแผพ่ ระธรรมค�ำ สอน ซง่ึ จะท�ำ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนามคี วามมน่ั คง เจรญิ ร่งุ เรืองสืบไป แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
84 บทท่ี ๕ แบบทดสอบ แบบทดสอบธรรมศกึ ษา ช้นั เอก ประกอบดว้ ย - แบบทดสอบกอ่ นเรียน - เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น - แบบทดสอบหลังเรียน - เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชัน้ เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
85 แบบทดสอบก่อนเรยี นวชิ าวินยั (กรรมบถ) ธรรมศึกษา ช้นั เอก จำ�นวน ๕๐ ขอ้ ๕๐ คะแนน ค�ำชแี้ จง ให้นักเรียนเลอื กค�ำตอบท่ีถูกต้องทีส่ ุดเพียงค�ำตอบเดยี ว ๑. สัตวโ์ ลกมีท้ังสขุ และทกุ ข์ ด้วยอ�ำ นาจอะไร ก. บุญ ข. บาป ค. กรรม ง. เวร ๒. สิ่งใด พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั ว่าเปน็ กรรม ก. เจตนา ข. อารมณ์ ค. สงั ขาร ง. มูล ๓. การกระทำ�ทางใจ เรยี กวา่ อะไร ข. วจีกรรม ก. กายกรรม ง. ผลกรรม ค. มโนกรรม ๔. ทางแหง่ การทำ�ความดี เรียกว่าอะไร ข. อกศุ ลกรรมบถ ก. กุศลกรรมบถ ง. อกุศลมูล ค. กุศลมูล ๕. อกุศลกรรมบถขอ้ ใด เกดิ ทางกายทวารอย่างเดียว ก. ปาณาตบิ าต ข. อทนิ นาทาน ค. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ง. มสุ าวาท ๖. สุคติ เป็นภูมเิ กิดของสตั วจ์ �ำ พวกใด ข. เดยี รัจฉาน ก. มนุษย์ ง. อสรุ กาย ค. เปรต ๗. สิง่ ทใี่ จเข้าไปยึดแลว้ เป็นเหตใุ ห้ทำ�กรรม เรยี กว่าอะไร ก. อารมณ ์ ข. เวทนา ค. สญั ญา ง. เจตนา ๘. ขอ้ ใดเป็นมูลเหตใุ ห้กระทำ�กรรมช่วั ข. อกุศลมลู ก. กศุ ลมูล ง. อกศุ ลกรรม ค. กุศลกรรม แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
86 ๙. ความรสู้ ึกในอารมณ์ว่าเป็นสุขทุกข์ เรยี กว่าอะไร ก. เจตนา ข. เวทนา ค. อารมณ์ ง. สังขาร ๑๐. ข้อใดเป็นปาณาตบิ าตเกดิ ทางวจที วาร ข. สัง่ ใหฆ้ า่ ก. ฆา่ เอง ง. พยายามฆ่า ค. คดิ จะฆา่ ๑๑. ขอ้ ใดเปน็ อารมณ์แห่งปาณาติบาต ข. หนงั สอื ก. ดนิ สอ ง. สุนขั ค. ท่ีดิน ๑๒. กุศลกรรมบถข้อใด มุ่งสอนใหม้ ีไมตรจี ติ ต่อกัน ก. ไมฆ่ า่ สตั ว์ ข. ไม่ลกั ทรัพย์ ค. ไม่พูดเท็จ ง. ไมส่ อ่ เสยี ด ๑๓. คำ�วา่ ปาณะ ในปาณาติบาต โดยปรมตั ถ์ ได้แก่อะไร ก. จกั ขุนทรยี ์ ข. โสตนิ ทรยี ์ ค. ฆานนิ ทรยี ์ ง. ชวี ิตนิ ทรยี ์ ๑๔. ข้อใดเป็นผลกรรมของผูก้ ระทำ�ปาณาตบิ าต ก. โรคมาก ข. ยากจน ค. คนนินทา ง. ถกู ใสร่ ้าย ๑๕. จิตคดิ จะฆา่ เปน็ องคแ์ ห่งอกศุ ลกรรมบถขอ้ ใด ก. ปาณาตบิ าต ข. อทินนาทาน ค. ผรุสวาจา ง. พยาบาท ๑๖. ขอ้ ใดจดั เป็นการทำ�ความดที างกายทวาร ก. ไมโ่ ลภ ข. ไม่ปองรา้ ย ค. ไมล่ ัก ง. ไม่เหน็ ผิด ๑๗. ส่งั คนอ่ืนไปลักทรัพย์ เป็นการละเมิดอกุศลกรรมบถข้อใด ก. ปาณาติบาต ข. อทินนาทาน ค. กาเมสุมิจฉาจาร ง. มุสาวาท ๑๘. ผลกรรมของผู้กระท�ำ อทนิ นาทาน ตรงกับข้อใด ก. พกิ าร ข. ขดั สน ค. มีทรพั ย์ ง. คนนับถอื แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้นั เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
87 ๑๙. จิตคิดจะลกั เปน็ องคแ์ หง่ อกุศลกรรมบถข้อใด ก. ปาณาติบาต ข. อทินนาทาน ค. ผรุสวาจา ง. พยาบาท ๒๐. อทนิ นาทานมโี ทษมาก เพราะขโมยของบุคคลประเภทใด ก. มีคณุ ธรรม ข. มียศ ค. มที รัพย์ ง. มีบรวิ าร ๒๑. ขอ้ ใดไม่เป็นวตั ถแุ ห่งอทนิ นาทาน ข. ของทิ้ง ก. ของหวง ง. ของยมื ค. ของฝาก ๒๒. กาเมสมุ จิ ฉาจาร เกดิ ขึน้ ทางทวารใด ข. วจที วาร ก. กายทวาร ง. ถกู ทุกข้อ ค. มโนทวาร ๒๓. องค์แห่งกาเมสมุ ิจฉาจารทีใ่ ห้สำ�เร็จเป็นกรรมบถ คือขอ้ ใด ก. ลักมาได้ ข. จิตยนิ ดี ค. คนเข้าใจ ง. เรื่องไม่จรงิ ๒๔. สทารสนั โดษ หมายถงึ ความพงึ พอใจในเร่อื งใด ก. คูค่ ิด ข. คู่ครอง ค. คเู่ ท่ยี ว ง. คหู่ ู ๒๕. ปญั หาสงั คมดา้ นใด เกิดจากการละเมิดกาเมสมุ จิ ฉาจาร ก. ยาเสพติด ข. การพนนั ค. แตกสามัคค ี ง. ทางเพศ ๒๖. วจีกรรมข้อใดเรียกว่ามุสาวาท ข. พดู ค�ำ หยาบ ก. พดู เทจ็ ง. พูดเพอ้ เจ้อ ค. พูดส่อเสียด ๒๗. การพดู เพ่อื หกั ประโยชน์ผ้อู ่ืน ตรงกบั ขอ้ ใด ก. มสุ าวาท ข. ปสิ ุณวาจา ค. ผรสุ วาจา ง. สัมผัปปลาปะ ๒๘. องค์แหง่ มุสาวาทข้อใด ท�ำ ให้สำ�เร็จเปน็ อกศุ ลกรรมบถ ก. สตั วต์ าย ข. ลกั มาได้ ค. ใจยินด ี ง. คนอื่นเขา้ ใจ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
88 ๒๙. ค�ำ พดู ส่อเสียด กอ่ ใหเ้ กิดผลอย่างไร ข. หลงเชื่อ ก. เสยี ประโยชน ์ ง. เจบ็ ใจ ค. แตกแยก ๓๐. การพดู เอาดีใส่ตวั เอาชว่ั ใสผ่ ู้อน่ื ตรงกบั ข้อใด ก. พดู เท็จ ข. พดู สอ่ เสียด ค. พูดค�ำ หยาบ ง. พดู เพ้อเจอ้ ๓๑. เจตนาพูดค�ำ เชน่ ใด ชอ่ื ว่าผรสุ วาจา ข. คำ�หยาบ ก. ค�ำ เทจ็ ง. ค�ำ เพ้อเจอ้ ค. คำ�สอ่ เสียด ๓๒. ผรุสวาจามีโทษมาก เพราะดา่ คนเช่นใด ข. มีทรัพย์ ก. มคี วามร ู้ ง. มีคณุ ธรรม ค. มีอำ�นาจ ๓๓. เจตนาของผ้พู ดู ผรสุ วาจา ตรงกับขอ้ ใด ข. ให้แตกแยก ก. ให้เขา้ ใจผิด ง. ใหห้ ลงเช่อื ค. ใหเ้ จ็บใจ ๓๔. สมั ผัปปลาปะ คือการพดู เช่นไร ข. ยยุ ง ก. โกหก ง. ไรส้ าระ ค. หยาบ ๓๕. เจตนาเป็นเหตุละโมบ ตรงกับข้อใด ข. อภิชฌา ก. อนภชิ ฌา ง. มิจฉาทฏิ ฐิ ค. พยาบาท ๓๖. บุคคลเช่นไร เรียกว่าลแุ ก่อ�ำ นาจอภชิ ฌา ก. โลภมาก ข. พดู มาก ค. ร้ายมาก ง. คดิ มาก ๓๗. คดิ ให้ผู้อื่นประสบความพินาศ ตรงกบั ข้อใด ก. อภิชฌา ข. อนภิชฌา ค. พยาบาท ง. มิจฉาทฏิ ฐิ ๓๘. ข้อใดเพียงแค่คดิ กส็ ำ�เรจ็ เป็นกรรมบถได้ ข. มุสาวาท ก. อทนิ นาทาน ง. พยาบาท ค. ผรุสวาจา แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชนั้ เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
89 ๓๙. อกศุ ลกรรมบถข้อใดจดั เปน็ มโนกรรม ข. พูดเท็จ ก. ลักทรัพย ์ ง. ปองรา้ ย ค. พูดเพ้อเจอ้ ๔๐. อกุศลกรรมบถขอ้ ใด มีโทษมากทีส่ ดุ ข. พยาบาท ก. อภชิ ฌา ง. มสุ าวาท ค. มจิ ฉาทิฏฐิ ๔๑. อกศุ ลกรรมบถทางกาย ตรงกับขอ้ ใด ข. ทำ�ผิด ก. เหน็ ผดิ ง. คิดผิด ค. พูดผิด ๔๒. มิจฉาทิฏฐิโดยสภาวะ ได้แก่กิเลสใด ข. โทสะ ก. โลภะ ง. มานะ ค. โมหะ ๔๓. กรรมบถใดจัดเป็นวจกี รรมฝา่ ยกุศล ข. ไม่ละโมบ ก. ไมโ่ กหก ง. ไม่เห็นผดิ ค. ไม่ปองรา้ ย ๔๔. ผงู้ ดเว้นจากาการฆา่ สัตว์ จะไดร้ บั ผลเชน่ ไร ก. สขุ ภาพด ี ข. มีทรพั ย์ ค. คนเช่อื ถือ ง. มีปญั ญา ๔๕. ขอ้ ใดเปน็ การท�ำ ความดีทางกาย ข. ไมล่ ะโมบ ก. ไมข่ โมย ง. ไม่เห็นผดิ ค. ไมพ่ ยาบาท ๔๖. กศุ ลกรรมบถขอ้ ใด สรา้ งความไวว้ างใจในคคู่ รอง ก. ไม่โลภ ข. ไมผ่ ิดในกาม ค. ไม่ปองร้าย ง. ไมเ่ หน็ ผิด ๔๗. การพูดเพือ่ สมานฉันท์ ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกุศลกรรมบถข้อใด ก. เวน้ พดู เท็จ ข. เว้นพูดสอ่ เสยี ด ค. เว้นพดู คำ�หยาบ ง. เว้นพดู เพอ้ เจ้อ ๔๘. การพดู อย่างมีเหตผุ ล ควรงดเวน้ คำ�พูดเช่นไร ก. มุสาวาท ข. ผรสุ วาจา ค. ปิสุณวาจา ง. สมั ผปั ปลาปะ แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
90 ๔๙. ไม่คดิ อยากได้ของเขา จดั เปน็ มโนกรรมขอ้ ใด ก. อภชิ ฌา ข. อนภิชฌา ค. อพยาบาท ง. สัมมาทฏิ ฐิ ๕๐. การเหน็ วา่ ทานที่ให้แล้วมีผล จดั เปน็ ความเห็นใด ก. อกริ ิยทิฏฐิ ข. อเหตุกทฏิ ฐิ ค. มิจฉาทฏิ ฐ ิ ง. สมั มาทฏิ ฐิ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
91 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นวิชาวินัย (กรรมบถ) ธรรมศึกษา ชั้นเอก จำ�นวน ๕๐ ข้อ ๕๐ คะแนน ขอ้ ขอ้ ขอ้ ขอ้ ขอ้ ๑. ค ๑๑. ง ๒๑. ข ๓๑. ข ๔๑. ข ๒. ก ๑๒. ก ๒๒. ก ๓๒. ง ๔๒. ค ๓. ค ๑๓. ง ๒๓. ข ๓๓. ค ๔๓. ก ๔. ก ๑๔. ก ๒๔. ข ๓๔. ง ๔๔. ก ๕. ค ๑๕. ก ๒๕. ง ๓๕. ข ๔๕. ก ๖. ก ๑๖. ค ๒๖. ก ๓๖. ก ๔๖. ข ๗. ก ๑๗. ข ๒๗. ก ๓๗. ค ๔๗. ข ๘. ข ๑๘. ข ๒๘. ง ๓๘. ง ๔๘. ง ๙. ข ๑๙. ข ๒๙. ค ๓๙. ง ๔๙. ข ๑๐. ฃ ๒๐. ก ๓๐. ข ๔๐. ค ๕๐. ง แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั เอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
92 แบบทดสอบหลังเรยี นวิชาวินัย (กรรมบถ) ธรรมศึกษา ชัน้ เอก จำ�นวน ๕๐ ขอ้ ๕๐ คะแนน ค�ำช้แี จง ใหน้ กั เรียนเลือกค�ำตอบที่ถกู ตอ้ งทีส่ ุดเพียงค�ำตอบเดยี ว ๑. การเหน็ ว่าทานทใ่ี หแ้ ลว้ มผี ล จัดเปน็ ความเหน็ ใด ก. อกิริยทฏิ ฐ ิ ข. อเหตุกทฏิ ฐิ ค. มิจฉาทฏิ ฐิ ง. สมั มาทิฏฐิ ๒. ไม่คดิ อยากได้ของเขา จัดเป็นมโนกรรมข้อใด ก. อภชิ ฌา ข. อนภิชฌา ค. อพยาบาท ง. สมั มาทิฏฐิ ๓. การพูดอยา่ งมเี หตผุ ล ควรงดเวน้ คำ�พดู เชน่ ไร ก. มุสาวาท ข. ผรสุ วาจา ค. ปสิ ณุ วาจา ง. สัมผปั ปลาปะ ๔. การพูดเพื่อสมานฉันท์ ตอ้ งปฏบิ ัติตามกศุ ลกรรมบถข้อใด ก. เวน้ พดู เทจ็ ข. เว้นพูดสอ่ เสยี ด ค. เวน้ พูดค�ำ หยาบ ง. เวน้ พดู เพอ้ เจอ้ ๕. กุศลกรรมบถข้อใด สรา้ งความไวว้ างใจในคคู่ รอง ก. ไม่โลภ ข. ไมผ่ ิดในกาม ค. ไมป่ องร้าย ง. ไม่เห็นผิด ๖. ขอ้ ใดเป็นการทำ�ความดีทางกาย ข. ไมล่ ะโมบ ก. ไมข่ โมย ง. ไมเ่ ห็นผิด ค. ไม่พยาบาท ๗. ผูง้ ดเวน้ จากาการฆา่ สตั ว์ จะไดร้ ับผลเชน่ ไร ก. สขุ ภาพด ี ข. มีทรพั ย์ ค. คนเชือ่ ถือ ง. มีปญั ญา ๘. กรรมบถใดจัดเปน็ วจีกรรมฝ่ายกุศล ข. ไม่ละโมบ ก. ไม่โกหก ง. ไม่เหน็ ผดิ ค. ไมป่ องร้าย แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
93 ๙. มจิ ฉาทฏิ ฐโิ ดยสภาวะ ได้แก่กเิ ลสใด ข. โทสะ ก. โลภะ ง. มานะ ค. โมหะ ๑๐. อกุศลกรรมบถทางกาย ตรงกับข้อใด ข. ทำ�ผดิ ก. เหน็ ผดิ ง. คดิ ผิด ค. พดู ผิด ๑๑. อกุศลกรรมบถข้อใด มีโทษมากทส่ี ดุ ข. พยาบาท ก. อภิชฌา ง. มสุ าวาท ค. มจิ ฉาทฏิ ฐ ิ ๑๒. อกศุ ลกรรมบถขอ้ ใดจัดเปน็ มโนกรรม ข. พดู เทจ็ ก. ลกั ทรัพย ์ ง. ปองร้าย ค. พูดเพ้อเจอ้ ๑๓. ขอ้ ใดเพียงแค่คิดก็สำ�เร็จเป็นกรรมบถได้ ข. มสุ าวาท ก. อทนิ นาทาน ง. พยาบาท ค. ผรุสวาจา ๑๔. คดิ ใหผ้ ู้อ่นื ประสบความพินาศ ตรงกบั ข้อใด ก. อภิชฌา ข. อนภชิ ฌา ค. พยาบาท ง. มิจฉาทิฏฐิ ๑๕. บุคคลเช่นไร เรียกวา่ ลแุ ก่อำ�นาจอภชิ ฌา ก. โลภมาก ข. พดู มาก ค. ร้ายมาก ง. คดิ มาก ๑๖. เจตนาเป็นเหตลุ ะโมบ ตรงกบั ข้อใด ข. อภชิ ฌา ก. อนภชิ ฌา ง. มิจฉาทฏิ ฐิ ค. พยาบาท ๑๗. สัมผัปปลาปะ คอื การพดู เชน่ ไร ข. ยยุ ง ก. โกหก ง. ไร้สาระ ค. หยาบ ๑๘. เจตนาของผพู้ ูดผรุสวาจา ตรงกบั ข้อใด ข. ให้แตกแยก ก. ใหเ้ ข้าใจผดิ ง. ให้หลงเช่ือ ค. ให้เจบ็ ใจ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109