Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาธรรมวิภาคธ.ศ.โท

วิชาธรรมวิภาคธ.ศ.โท

Published by suttasilo, 2021-07-09 14:10:14

Description: วิชาธรรมวิภาคธรรมศึกษาโท

Keywords: วิชาธรรมวิภาค,ธรรมศึกษาโท

Search

Read the Text Version

๓๒ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªéѹâ·

¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªé¹Ñâ· ๓๓ วชิ า ธรรมวภิ าค ทกุ ะ หมวด ๒ อริยบคุ คล ๒ (บคุ คลทบ่ี รรลธุ รรมวเิ ศษ) ๑. พระเสขะ พระผ้ยู ังต้องศึกษา ไดแ้ กพ่ ระอริยบคุ คลทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ รรลอุ รหัตตผลมี ๗ จาํ พวก คือ พระโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล พระสกทาคามิมรรค สกทาคามิผล พระอนาคามมิ รรค อนาคามผิ ล พระอหตั ตมรรค ทา่ นเหลา่ น้ีทไ่ี ดช้ ื่อวา่ “เสขะ” เพราะยงั ตอ้ งปฏิบตั ใิ หบ้ รรลุมรรคผลเบ้ืองสูงข้นึ ไป คือศึกษาในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขาและอธิปัญญาสิกขาตอ่ ไป เพอื่ ให้บรรลุมรรคผลเบ้ืองสูงข้นึ ไปจนถึงอรหัตผล อนั เป็นภมู ิ ธรรมของ พระอเสขะ ๒. พระอเสขะ พระผู้ไม่ต้องศึกษา คอื ทา่ นไดบ้ รรลุอรหตั ตผลแลว้ ไม่ตอ้ งศึกษาตอ่ อกี เพราะไดศ้ กึ ษาเสร็จ สิ้นพร้อมท้งั ละสงั โยชน์ ๑๐ ไดด้ ว้ ย ดงั น้นั จึงไดน้ ามวา่ อเสขะ กมั มฏั ฐาน ๒ (อบุ ายฝกึ จติ วธิ อี บรมจติ ) ๑. สมถกรรมฐาน คือกรรมฐานฝึ กจิตใจให้ผ่องใส ไมม่ คี วามเศร้าหมองหรือขนุ่ มวั ท่ตี ดิ ขอ้ งอยใู่ นใจ เรียกวา่ ปราศจากนิวรณ์ จิตที่ปราศจากนิวรณ์แลว้ น้ียอ่ มต้งั มน่ั เป็นสมาธิแน่วแน่อยใู่ นอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึง จนถึง ข้นั ไดฌ้ านในระดบั ต่าง ๆ คือ ระดบั ท่กี าํ หนดรูปธรรมเป็นอารมณ์ เรียกว่า รูปฌาน มี ๔ ข้นั และระดบั ทก่ี าํ หนด รูปธรรมเป็นอารมณ์ เรียกว่า อรูปฌาน มี ๔ ข้นั เหมอื นกนั รวมเรียกว่า สมาบตั ิ ๘ สมถกรรมฐานน้ีมอี ารมณ์ ๔๐ อยา่ ง คือ กสิณ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑ จตุธาตุววตั ถาน ๑ อปั ปมญั ญา ๔ และอรูปกรรมฐาน ๔ อารมณ์ กรรมฐานเหล่าน้ียงั แบง่ บญั ญตั กิ รรมฐาน ๒๘ และ ปรมตั ถกร รมฐาน ๑๒ ๒. วิปัสสนากรรมฐาน คือกรรมฐานเป็ นอบุ ายให้เกดิ ปัญญา รู้เท่าทนั สภาวธรรมท้งั หลายท่เี กิดข้นึ ตาม เป็นจริง จนสามารถถอนความหลงผิดท่หี ลงยดึ ในสิ่งท้งั หลายเสี9ยได้ จนยกจิตของตนเองข้นึ สู่ไตรลกั ษณ์ เพอื่ มุ่ง ถึงจุดสูงสุด คือ วมิ ุตติ (ความหลดุ พน้ ทแี่ ทจ้ ริง) สมถะและวปิ ัสสนา ท้งั ๒ น้ี มีผลม่งุ หมายต่างกนั คือ สมถะ มีผลมุง่ ให้ไดฌ้ าน วิปัสสนา มผี ลมงุ่ ใหไ้ ด้ ญาณ      

๓๔ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒª¹Ñéâ· กาม ๒ (ความใคร่, ความตอ้ งการสง่ิ ที่ตอ้ งประสงค)์ ๑. กิเลสกาม กิเลสกามเป็นเหตใุ คร่ หมายถึงกิเลสท่ีทาํ ใหน้ รชนหลงใหลไปทางอนั จะหมกมนุ่ อยดู่ ว้ ย ความเร่าร้อนของไฟกิเลส หาทางทจี่ ะสลดั ออกจากภพไดย้ าก เพราะกิเลสทาํ ใหห้ ลงระเริงติดอยใู่ นสิ่งยว่ั ยวนตาม แรงของกิเลสน้นั ๆ มรี าคะ โลภะ อิจฉา (ความอยากได)้ เป็นตน้ ๒. วตั ถุกาม วสั ดุอนั น่าใคร่ หมายถึงวตั ถุอนั เป็นทีต่ ้งั แห่งความกาํ หนดั มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ อนั เป็นท่ีพอใจ เครื่องประดบั เครื่องนุ่งห่ม เหล่าน้ีเป็นตน้ ท่ีชื่อวา่ เป็นกาม เพราะเป็นอารมณ์ ของตณั หา บคุ คลเมอื่ หลงยดึ ถือสิ่งเหล่าน้ีแลว้ กย็ อ่ มทาํ ให้ตวั เองหลงใหลมวั เมา เพลดิ เพลนิ อยไู่ มร่ ู้จกั หาทางหลุด พน้ ออกไปจากภพได้ เพราะเหตุแห่งความปรารถนา ทิฏฐิ ๒ (ความเหน็ , ทฤษฎี) ๑. สัสสตทฏิ ฐิ ความเห็นว่าเท่ยี ง หมายถึงความเห็นที่บญั ญตั วิ า่ อตั ตาและโลกเทีย่ งแทย้ งั่ ยนื คอื ไมแ่ ปร ผนั เปลยี่ นแปลงไปเป็นอยา่ งไรก็อยอู่ ยา่ งน้นั หาทส่ี ุดมไิ ดถ้ งึ แมร้ ่างกายจะเสื่อมสลายไปก็ตาม ส่วนดวงชีพ หรือ เจตภตู หรือ มนสั (ใจ) ยงั เป็นธรรมชาตไิ มส่ ูญสิ้น ยอ่ มสามารถถอื ปฏสิ นธิในกาํ เนิดอืน่ ตอ่ ไปไดอ้ กี ส่วนมตทิ าง พระพุทธศาสนา ไดป้ ฏิเสธอตั ตาวา่ ไมเ่ ทีย่ งแทถ้ าวร แต่ยอมรบั การเวียนว่ายตายเกิดของสภาวธรรมดว้ ยอาํ นาจแห่ง เหตุปัจจยั และยอมรบั ความสูญสิ้นของสภาวธรรมเหล่าน้นั เหมือนกนั เม่ือขาดเหตปุ ัจจยั ๒. อุจเฉททฏิ ฐิ ความเห็นวา่ ขาดสูญ หมายถึงความว่ามนุษยแ์ ละสัตวจ์ ตุ ิจากอตั ภาพน้ีแลว้ ขาดสูญหมด ไม่ สามารถถอื ปฏิสนธิในกาํ เนิดอ่ืน หรือภพอนื่ ตอ่ ไปไดอ้ กี ทิฏฐิท้งั ๒ น้ีเป็นความเห็นผดิ ทีข่ ดั แยง้ กนั เอง พร้อมท้งั ขดั ตอ่ ความเห็นในทางพระพุทธศาสนาดว้ ยเพราะ พระพุทธศาสนาไดแ้ สดงความเห็นไวว้ ่า “สิ่งใดสิ่งหน่ึงมีความเกิดขึน้ เป็นธรรมดา สิ่งนน้ั ทัง้ มวลล้วนมคี วามดับ เป็ นธรรมดา” เทสนา ๒ (การชแี้ จง, การแสดงธรรมสงั่ สอน) ๑. ปุคคลาธฏิ ฐาน มบี คุ คลเป็นทต่ี ้งั หมายถึง การแสดงธรรมโดยยกบคุ คลข้ึนเป็นตวั อยา่ ง เพอื่ ใหผ้ ฟู้ ังเห็น ภาพพจนเ์ พ่อื ความเขา้ ใจง่าย เช่น พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเร่ืองการใหท้ าน พระองคท์ รงยกเรื่องพระ เวสสนั ดรชาดกมาเลา่ ให้ผฟู้ ัง ๆ เป็นตน้ ๒. ธัมมาธิฏฐาน มธี รรมเป็นทต่ี ้งั หมายถงึ การแสดงธรรมลว้ นๆ โดยยกหวั ขอ้ ธรรมข้ึนแสดงเป็ นขอ้ ๆแลว้ อธิบายไปตามหัวขอ้ ธรรมน้นั ๆ เช่น แสดงธรรมเร่ือง ปฏจิ จสมุปบาท เป็นตน้ เทศนาท้งั ๒ น้ีมีลกั ษณะการแสดงที่แตกตา่ งกนั ปุคคลาธิฏฐาน เป็นการแสดงธรรมในพระสูตร ส่วนธมั มาธิฏฐาน จะเป็นการแสดงธรรมในอภธิ รรม           

¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒª¹éÑâ· ๓๕ นพิ พาน ๒ (การดบั กเิ ลศและกองทกุ ข)์ ๑. สอปุ าทเิ สสนพิ พาน ดบั กิเลสยงั มีเบญจขนั ธเ์ หลือ หมายถึง พระอริยะผลู้ ะกิเลสไดส้ ิ้นเชิงดว้ ยการบรรลุ อรหัตตผล เป็นพระอรหนั ต์ ท่ียงั มีชีพอยู่ ๒. อนุปาทเิ สสนพิ พาน ดบั กิเลสไม่มีเบญจขนั ธ์เหลอื (ขนั ธปรินิพพาน) หมายถึงพระอรหนั ตท์ ่สี ิ้นชีพแลว้ กิเลสาสวะไม่มแี ลว้ กรรมท่ที า่ นทาํ มาก่อนจะบรรลุก็ตามให้ผลไมไ่ ดแ้ ลว้ นิพพานน้ี เป็นโลกตุ รธรรม และเป็นจดุ หมายสูงสุดในพระพทุ ธศาสนาอกี ดว้ ย บูชา ๒ (การแสดงความเคารพต่อบคุ คลหรือสิ่งท่นี บั ถือด้วยเคร่ืองสักการะ) ๑. อามสิ บชู า บูชาดว้ ยอามสิ คือ สิ่งของ หมายถึงการใหส้ ิ่งของมี, ดอกไม,้ ของหอม, อาหาร และวตั ถุ อื่นๆ ให้แก่คนทต่ี นเคารพนบั ถือแตใ่ นที่น้ี ท่านหมายเอาการถวายแกพ่ ระพทุ ธเจา้ และพระสงฆส์ าวก ๒. ปฏบิ ตั ิบชู า บชู าดว้ ยปฏบิ ตั ิตาม หมายถงึ การปฏิบตั ิตามคาํ สอนของท่านไมล่ ว่ งละเมดิ ขอ้ ท่ที า่ นบญั ญตั ิ ไว้ การประพฤติปฏบิ ตั เิ ช่นน้ี พระพทุ ธองคท์ รงสรรเสริญ เพราะสามารถดาํ รงพระศาสนาไวไ้ ด้ การบูชาท้งั ๒ น้ี อามิสบชู าแมจ้ ะมมี ากเทา่ ไร เช่น พระเจดียเ์ ป็นหมน่ื เป็นแสน มอี ารามทง่ั ประเทศ ถา้ ศา นิกชนไมป่ ฏิบตั ิตามธรรมท่ีพระศาสดาส่งั สอนศาสนาก็ยอ่ มไม่ยนื ยงไปได้ แตถ่ า้ ศาสนิกชนปฏิบตั ิตามธรรมทพ่ี ระ ศาสดาส่งั สอน แมจ้ ะไม่มากนกั ก็สามารถดาํ รงศาสนาไวไ้ ด้ ดงั น้นั พระพทุ ธเจา้ จึงไมส่ รรเสริญอามิสบูชา แตท่ รง สรรเสริญปฏิบตั บิ ูชาแทน ปาพจน์ ๒ (คำเปน็ ประธาน คอื พระพทุ ธพจน)์ ๑. ธรรม ไดแ้ ก่ คาํ สอนทมี่ ุ่งขดั เกลาจริตของบคุ คลใหม้ ีความประณีตยง่ิ ข้นึ ธรรมน้ีมีอยกู่ ่อนแลว้ แต่ พระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบแลว้ นาํ มาแจกแจง แยกแยะ แลว้ สอนให้เวไนยสตั วป์ ฏิบตั ติ าม ธรรมน้ีไมใ่ ช่บทบญั ญตั ิทีจ่ ะ ไปลงโทษแก่ผลู้ ว่ งละเมดิ แต่ว่าเมื่อบุคคลปฏิบตั ติ ามหรือลว่ งละเมิดกจ็ ะไดผ้ ลดว้ ยตนเอง ๒. วินัย ไดแ้ ก่ ขอ้ บญั ญตั ิที่พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิไว้ และอภิสมาจารถอื มารยาทท่ีควรประพฤติ ทรงวาง ไวเ้ พ่อื ควบคมุ การประพฤติปฏิบตั ิของพุทธบริษทั ให้ดาํ เนินไปในทางทถ่ี ูกตอ้ ง วมิ ตุ ติ ๒ (ความหลดุ พน้ จากกเิ ลส) ๑. เจโตวิมุตติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยอาํ นาจใจ หมายถงึ ความทจ่ี ิตหลดุ พน้ จากอาํ นาจของกิเลสดว้ ยการฝึกจิต เรียกวา่ “สมถกรรมฐาน” ๒. ปัญญาวมิ ตุ ติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยอาํ นาจแห่งปัญญา หมายถงึ ความหลดุ พน้ จากกิเลสดว้ ยการใชป้ ัญญา พิจารณาดว้ ยการปฏิบตั วิ ิปัสสนากรรมฐาน สงั ขาร ๒ (สภาพทปี่ จั จยั ปรงุ แตง่ ขน้ึ ) ๑. อปุ าทนิ นกสังขาร สงั ขารมใี จครอง ไดแ้ ก่สิ่งมชี ีวิตท้งั หลาย สังขารมีใจครองสามารถเคล่ือนไหวไป ไหนมาไหนไดต้ ามตอ้ งการ

๓๖ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªéѹⷠ๒. อนุปาทนิ นกสังขาร สงั ขารไมม่ ใี จครอง ไดแ้ ก่ส่ิงไม่มชี ีวิตท้งั หลาย เช่น กรวด หิน ดิน ทราย บา้ นเรือน ตลอดถงึ รถ เรือ ยานพาหนะต่างๆ เป็นตน้ สมาธิ ๒ (การทำจติ ใจใหส้ งบแนว่ แนไ่ มฟ่ งุ้ ซา่ น) ๑. อปุ จารสมาธิ สมาธิแบบเฉียดๆ ไดแ้ ก่การทาํ จิตให้สงบชว่ั ขณะหน่ึงอาจเป็น ๓นาที ๕นาที ๒. อัปปานาสมาธิ สมาธิกนั แน่วแน่ ไดแ้ กจ่ ิตทต่ี ้งั มน่ั สนิทแลว้ เป็นสมาธิฌาน สขุ ๒ (ความสบายกายสบายใจ) ๑. กายกิ สุข สุขทางกาย ไดแ้ ก่การที่ร่างกายของคนเราไมม่ คี วามทกุ ข์ ไมม่ โี รค ไมม่ ภี ยั เบยี ดเบียน ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ จิตทป่ี ระสบกบั อารมณ์ทนี่ ่าปรารถนา ทาํ ให้เกิดความสบายใจ แช่มชื่นใจ ปฏสิ นั ถาร ๒ (การตอ้ นรบั การทกั ทายปราศยั ) ๑. อามสิ ปฏิสันถาร ปฏิสันถารดว้ ยอามสิ ไดแ้ กก่ ารตอ้ นรับดว้ ยส่ิงของ เช่น ใหน้ ้าํ ด่ืม หรือแมก้ ระทงั่ การ ใหท้ ่พี กั อาศยั การใหข้ า้ วปลาอาหาร เป็นตน้ โดยสมควรแกฐ่ านะของแขกผูม้ าเยอื น ๒. ธมั มปฏสิ ันถาร ปฏสิ นั ถารโดยธรรม ไดแ้ กก่ ารกล่าวแนะนาํ แขกในทางท่ดี ี เพื่อให้เขาไดถ้ อื เอาไป ปฏิบตั ิ หรือไดแ้ กก่ ารตอ้ นรบั โดยความสมควรแก่ฐานะของแขกผมู้ า วา่ ใครควรจะลุกข้ึนยนื รบั ใครควรจะไหว้ เป็ นตน้ ปรเิ ยสนา ๒ (การแสวงหา) ๑. อริยปรเิ ยสนา แสวงหาอยา่ งประเสริฐ หมายถงึ การประกอบอาชีพเล้ียงชีวิตถกู ตอ้ งตามกฎหมายและ ศีลธรรม ไม่สร้างความเดือดร้อนใหแ้ ก่ตนเองและผอู้ ่ืน อีกความหมายหน่ึง หมายถึงการแสวงหาธรรมเคร่ืองดบั กิเลสและกองทกุ ข์ ๒. อนริยปริเยสนา แสวงหาอยา่ งไมป่ ระเสริฐ หมายถึง การประกอบอาชีพเล้ียงชีวติ ในทางผิดกฎหมาย ผดิ ศีลธรรม สร้างความเดือดร้อนใหแ้ กต่ นเองและผูอ้ ืน่ ตรงขา้ มกบั อริยปริเยสนา อน่ึง สมั มาอาชีวะ เป็นอริยปริเยสนา มจิ ฉาอาชีวะ เป็นอนริยปริเยสนา ติกะ หมวด ๓ อกศุ ลวติ ก ๓ (ความตรกึ ทเ่ี ปน็ อกศุ ล) ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม หมายถึงการนึกถึงรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐพั พะ อนั น่าใคร่ น่า ปรารถนา น่าพอใจ ดว้ ยความคิดทีไ่ ม่ถกู ตอ้ งทางศีลธรรม ๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท หมายถงึ ความตรึกนึกดว้ ยความอาํ นาจแห่งความพยาบาท ซ่ึง อาจจะเกิดมาจากความไม่พอใจ หรือการกระทบกระทงั่ กนั บางอยา่ งแลว้ ใจยงั เก็บเร่ืองน้นั ไวอ้ ยู่ ๓. วหิ งิ สาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน หมายถงึ ความนึกคดิ ในทางกอ่ ความเดือดรอ้ นให้เกิดแก่ผอู้ ่ืน ตอ้ งการจะเห็นความวิบตั ิ ความเดือดร้อนของคนอืน่ สัตวอ์ น่ื

¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªÑé¹â· ๓๗ อกศุ ลวติ ก ๓ น้ี - กามวิตก มรี าคะ และโลภะ เป็ นมลู - พยาบาทวิตก มโี ทสะ เป็ นมูล - วหิ ิงสาวติ ก มโี มหะ เป็ นมูล กศุ ลวติ ก ๓ (ความนกึ คดิ ทดี่ งี าม) ๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม หมายถึง ความนึกคดิ ในทางสงบ ไม่คิดในกามารมณ์ อนั เป็น เคร่ืองปรนเปรอ หรือสนองความอยากของตน คิดหาทางออกจากตณั หา ๒. อพยาบาทวติ ก ความนึกคดิ ทีป่ ราศจากความพยาบาท หมายถงึ ความนึกตดิ ทีป่ ระกอบดว้ ยเมตตา คดิ ปรารถนาใหค้ นอน่ื มคี วามสุข ไมเ่ พง่ มองผอู้ น่ื ในแง่ร้าย ๓. อวิหิงสาวติ ก ความนึกคดิ ในทางไมเ่ บียดเบยี น หมายถงึ ความนึกคดิ ที่ประกอบดว้ ยกรุณาปรารถนาให้ คนอน่ื พน้ จากความทุกขท์ ี่เขากาํ ลงั ไดร้ บั ไมค่ ดิ ร้ายหรือมงุ่ ทาํ ลายเขา อคั คิ ๓ (ไฟคอื กเิ ลส) ๑. ราคคั คิ ไฟคือราคะ ไดแ้ ก่ ความรู้สึกนึกกาํ หนด รักใคร่ ยนิ ดีในกามคณุ มี รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ มคี วามมุง่ หมายปรารถนาท่ีจะไดข้ องเหลา่ น้นั มาเป็นของ ๆ ตน ถา้ ไม่ไดก้ ก็ ระเสือกกระสนแสวงหา ทาํ ใหเ้ ดือดร้อนต่าง ๆ นานา เปรียบเสมอื นไฟแผดเผาอยภู่ ายใน ๒. โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ไดแ้ ก่ ความเดือดพล่านของอารมณ์ ซ่ึงเกิดข้ึนขณะประสบอารมณไ์ มน่ ่าปรารถนา เกิดความโกรธ อาฆาต พยาบาท เป็นตน้ เมือ่ ไฟกองน้ีเกิดข้นึ ในสนั ดานแลว้ ทาํ ใหเ้ กิดการวิวาทประทษุ ร้ายกนั และกนั จนถงึ กบั บาดเจบ็ ลม้ ตายได้ เป็นตน้ ๓. โมหคั คิ ไฟคือโมหะ ไดแ้ ก่ ความหลงมวั เมา ความไม่รู้ ความไม่เขา้ ใจ ไมร่ ู้วา่ อะไรเป็นบญุ อะไรเป็น บาป เป็นคุณเป็นโทษ ไฟกองน้ีเปรียบเหมอื นไฟสุมแกลบฉะน้นั อตั ถะ ๓ (ประโยชน์) ๑. ทิฏฐธมั มิกัตถะ ประโยชน์ในภพนี้ ไดแ้ ก่ ประโยชนท์ บ่ี ุคคลจะพงึ ไดร้ ับในปัจจุบนั ท่ีรู้จกั กนั ง่ายๆ คือ ความสุข เช่น ความสุขจากการมที รัพย์ ความสุขจากการมสี ามี-ภรรยาทดี่ ี เป็นตน้ น้ีเรียกว่า ประโยชน์ใน ปัจจุบนั ๒. สัมปรายกิ ตั ถะ ประโยชน์ในภพหน้า ไดแ้ ก่ ประโยชน์ที่เราจะไดร้ ับหลงั จากตายไปแลว้ ถา้ เราทาํ ดี ภายหนา้ ก็จะไดร้ ับผลท่ดี ี ถา้ ทาํ ชวั่ ภายหนา้ ก็จะไดร้ ับผลไมด่ ี ๓. ปรมัตถะ ประโยชน์คือพระนิพพาน ไดแ้ ก่ การดบั กิเลสมี ราคะ โทสะ โมหะ เป็นตน้ อนั เป็นเหตุ ให้เกิดความร้อนใจท้งั ปวง การหลดุ พน้ จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวฏั น้ี อธปิ เตยยะ ๓ (ความเปน็ ใหญ่)

๓๘ ¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··èÕò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒªÑé¹â· ๑. อตั ตาธปิ เตยยะ ความมีตนเป็ นใหญ่ หมายถงึ การจะทาํ อะไร ๆ กป็ รารภตนเองเป็นใหญ่ ปรารภตน เป็นทต่ี ้งั เช่น เห็นว่าตนเองขดั สนในชาตนิ ้ีก็เลยทาํ บญุ เพ่อื จะให้ไดป้ ระสบสุขในภพหนา้ ๒. โลกธปิ เตยยะ ความมีโลกเป็ นใหญ่ หมายถงึ การกระทาํ ทปี่ รารภโลกเป็นใหญ่ (ทาํ ตามอยา่ งคนพวก มาก) เช่น เราไมอ่ ยากจะทาํ บญุ แต่เห็นชนส่วนมากหรือเพ่อื นร่วมงานเขาพากนั ทาํ หมด คร้ันจะไม่ทาํ ก็เกรงเขาติ เตยี น บางทีเรียกวา่ ประชาธิปไตย การถอื เอาความคดิ คนส่วนมากเป็นเกณฑถ์ ึงแมจ้ ะเป็นการกระทาํ ทไ่ี มด่ ี ๓. ธมั มาธิปเตยยะ ความมธี รรมเป็ นใหญ่ หมายถึง การกระทาํ ท่ีถอื ธรรมเป็นหลกั ถือความถกู ตอ้ ง ทาํ เพือ่ ให้คนอน่ื มีความสุข ถงึ แมจ้ ะไม่ไดร้ ับการยกยอ่ งสรรเสริญ อภสิ งั ขาร ๓ (สภาพทปี่ รงุ แตง่ ผลแหง่ การกระทำของสตั ว)์ ๑. ปญุ ญาภสิ ังขาร อภสิ ังขารคือบุญ หมายถงึ สภาวะของความดีท่ีปรุงแตง่ ชีวิตสัตวใ์ ห้ดี เพราะกรรม อนั เป็นฝ่ ายอกศุ ล อนั ไดแ้ กก่ ุศลเจตนาฝ่ายกามาวจร ๓ และฝ่ ายรูปาวจร ๕ ๒. อปุญญาภสิ ังขาร อภิสังขารคือบาป หมายถงึ สภาวะของความชวั่ ทป่ี รุงแตง่ ใหส้ ัตวเ์ ลว ไดแ้ ก่ อกุศลเจตนาอนั เป็นฝ่ายกามาวจรท้งั ๑๒ ทาํ ให้สัตวเ์ ป็นไปตามแรงกรรมท่ีตนไดก้ ระทาํ ไวก้ อ่ ไวใ้ นอดีต เช่น ทาํ ให้เกิดในตระกลู ขดั สน ไม่หลอ่ ไม่สวย เป็นตน้ ๓. อเนญชาภสิ ังขาร อภสิ ังขารคือเนญชา หมายถงึ ภาวะทีม่ น่ั คงไม่หวนั่ ไหว ไดแ้ ก่ กุศลเจตนาทีเ่ ป็นอรู ปาวจร ๔ ไปจนถงึ อรูปฌาน ๔ อาสวะ ๓ (สงิ่ ทหี่ มกั หมมอยใู่ นสนั ดานสตั ว)์ ๑. กามาสวะ อาสวะเป็ นเหตุอยากได้ ไดแ้ ก่ ความใคร่ในรูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ที่ใจตนกาํ หนด วา่ น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ ๒. ภวาสวะ อาสวะเป็ นเหตุอยากเป็ น ไดแ้ ก่ ความช่ืนชมยินดีในความมคี วามเป็นต่าง ๆ ท่ตี นกาํ หนดว่า น่ายินดี น่าปรารถนา เช่น ตอ้ งการอยากเป็นเศรษฐี ตอ้ งการอยากมกี ารงานสูง ๆ ๓. อวชิ ชาสวะ อาสวะคือความเขลา ไดแ้ ก่ ความไมร่ ู้ตามความเป็นจริงของสิ่งเหล่าน้นั ๆ วา่ เป็นอยา่ งไร เช่น คนไม่เขา้ ใจหลกั สมดุลธรรมชาตทิ ค่ี น พืช สัตว์ ตอ้ งพ่ึงพาอาศยั กนั เมื่อไม่เขา้ ใจกย็ อ่ มจาํ ทาํ ลายธรรมชาติ กรรม ๓ (การกระทำทปี่ ระกอบดว้ ยเจตนา) ๑. กายกรรม การกระทําทางกาย ถา้ เป็นกรรมดีกเ็ ป็นกายสุจริต เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลกั ทรัพย์ ถา้ เป็น กรรมชวั่ กเ็ ป็นกายทุจริต เช่น ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ เป็นตน้ ๒. วจีกรรม การกระทําทางวาจา ถา้ เป็นกรรมดีกเ็ ป็นวจีสุจริต เช่น ไมพ่ ดู เท็จ ไม่พูดคาํ หยาบ เป็นตน้ แตถ่ า้ เป็นกรรมชวั่ กเ็ ป็นวจีทุจริต เช่น พดู เทจ็ พูดคาํ หยาบ เป็นตน้ ๓. มโนกรรม การกระทาํ ทางใจ ถา้ เป็นกรรมฝ่ ายดีกเ็ ป็นมโนสุจริต เช่น ไมโ่ ลภอยากไดข้ องคนอนื่ ไม่ พยาบาทปองร้ายคนอื่น ถา้ เป็นกรรมชวั่ ก็เป็นมโนทุจริต เช่นโลภอยากไดข้ องของคนอ่ืน พยาบาทคนอืน่ เป็นตน้

¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»Ã¨Ôà©··èÕò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒª¹éÑâ· ๓๙ ทวาร ๓ (ชอ่ งทางทท่ี ำกรรม) ๑. กายทวาร ทวารคือกาย ไดแ้ ก่ กายเป็นท่ตี ้งั แห่งการกระทาํ คือการกระทาํ เป็นกายทวาร ผลเป็น กายกรรม เป็นไดท้ ้งั ดีและชวั่ ๒. วจีทวาร ทวารคือวาจา ไดแ้ ก่ การกลา่ วดว้ ยวาจา จดั เป็นวจีทวาร คาํ พดู ทีอ่ อกมาจดั เป็นวจีกรรม เป็นไดท้ ้งั ฝ่ ายดี ฝ่ายชวั่ ๓. มโนทวาร ทวารคือใจ ไดแ้ ก่ จิตทค่ี ิดรําพงึ ถึงสิ่งท่ตี นปรารถนา เป็นมโนทวาร ผลที่คดิ เป็นมโนกรรม เป็นไดท้ ้งั ฝ่ ายดี ฝ่ายชวั่ ตณั หา ๓ (ความทะยานอยาก) ๑. กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม ไดแ้ ก่ อยากไดอ้ ารมณ์อนั น่ารักใคร่ น่าปรารถนา ตอ้ งการ พวั พนั อยใู่ นกามารมณ์ ๒. ภวตณั หา ความทะยานอยากในภพ ไดแ้ ก่ การอยากเป็นนน่ั อยากเป็นน่ี หรือไม่ตอ้ งการพลดั พราก จากภพหรือสถานท่ีอยขู่ องตน รวมถึงความตอ้ งการเป็นคนมอี าํ นาจ มชี ่ือเสียง มฐี านะดี เป็นตน้ ๓. วิภวตณั หา ความทะยานอยากในการไปจากภพ ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการพน้ จากความเป็นอยจู่ ากความเป็น ตวั ตนอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง อยากดบั สูญให้หมด ทิฏฐิ ๓ (ความเหน็ , ทฤษฏ)ี ๑. อกริ ิยทฏิ ฐิ ความเหน็ ว่าไม่เป็ นอนั ทาํ หมายถึง ความเห็นว่าการกระทาํ แลว้ ไมช่ ่ือว่าทาํ เช่น เห็นวา่ ทาน ทใี่ หไ้ ปแลว้ ไมเ่ ป็นผล ผลวบิ ากของกรรมท่สี ตั วท์ าํ แลว้ ไม่มี เป็นตน้ ๒. อเหตกุ ทฏิ ฐิ ความเห็นว่าหาเหตุมไิ ด้ หมายถึง การเห็นว่าสรรพส่ิงไมม่ ีเหตุปัจจยั ทิฏฐิน้ีแสดงว่าสิ่งท่ี เกิดข้นึ ในชีวติ ของคน ๆ น้นั ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทกุ ข์ เป็นตน้ ลว้ นเกิดข้ึนมาเองโดยไมม่ ีเหตปุ ัจจยั ๓. นตั ถกิ ทิฏฐิ ความเหน็ ว่าไม่มี หมายถึง ความเห็นท่ปี ฏิเสธทุกอยา่ ง โดยสรุปว่า บญุ บาปไมม่ ี โลกหนา้ ไมม่ ี สตั วท์ ้งั หลายสิ้นสุดลงที่ความตาย เป็นตน้ ทิฏฐิท้งั ๓ อยา่ งน้ีเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความเห็นขดั แยง้ กบั ทางพระพุทธศาสนา ปาฏหิ ารยิ ์ ๓ (การกระทำทใ่ี หบ้ งั เกดิ ผลเปน็ อศั จรรย์) ๑. อทิ ธิปาฏหิ าริย์ แสดงฤทธ์เิ ป็ นอศั จรรย์ หมายถงึ การแสดงท่พี น้ วิสัยของสามญั ชนธรรมดา เช่น หาย ตวั ได้ ดาํ ดินได้ เหาะได้ เป็นตน้ ๒. อาเทศนาปาฏหิ าริย์ ทายใจเป็ นอัศจรรย์ หมายถงึ การทายใจของคนอ่ืนไดถ้ กู ตอ้ ง ไม่ว่าเขาจะคิดไป อยา่ งไร จะดีหรือเลว ญาณท่ีทาํ ให้รู้ใจผอู้ ่ืนน้ี คือ เจโตปริยญาณ ๓. อนุสาสนปี าฏิหาริย์ คําสอนเป็ นอัศจรรย์ หมายถึง คาํ สอนที่เป็นจริง สอนให้เห็นผลจริง คนผนู้ าํ ไป ปฏิบตั สิ ามารถทาํ ให้ไดผ้ ลสมจริงไดโ้ ดยไมเ่ ลือกเวลา สถานที่ ผปู้ ฏิบตั จิ ะรู้ไดด้ ว้ ยตวั เอง คาํ สอนท้งั ๓ น้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสริญอนุสสาสนีปาฏหิ าริย์ เพราะอาจสามารถดาํ รงศาสนาไวไ้ ด้

๔๐ ¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªéѹⷠปฏิ ก ๓ (คมั ภรี ท์ ร่ี วบรวมคำสอนทางพระพทุ ธศาสนา) ๑. พระวนิ ัยปิ ฎก หมวดพระวนิ ยั ไดแ้ กก่ ารประมวลเอาพทุ ธบญั ญตั ิระเบียบแบบแผนท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรง บญั ญตั ไิ ว้ ให้พุทธบริษทั ปฏบิ ตั ิตาม เพ่อื ความเป็นระเบยี บเรียบร้อยในหม่คู ณะ แบ่งเป็น ๒ หมวด ๕ คมั ภรี ์มี พระไตรปิ ฎก ๘ เล่ม ๒. พระสุตตันตปิ ฎก หมวดพระสูตร ไดแ้ ก่หมวดที่ประมวลเอาพระธรรมเทศนา หรือ คาํ บรรยายธรรม และเรื่องราวตา่ ง ๆ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงไวเ้ ขา้ เป็นหมวดหมู่มี ๕ นิกาย มีพระไตรปิ ฎก ๒๕ เล่ม ๓. พระอภธิ รรมปิ ฎก หมวดอภธิ รรม ไดแ้ ก่การประมวลหลกั ธรรมและคาํ อธิบายลว้ น ๆ ทา่ นเนน้ หนกั ใน เร่ืองปรมตั ถธรรม อนั ไดแ้ ก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มี ๗ คมั ภีร์ พระไตรปิ ฎก ๑๒ เลม่ พทุ ธจรยิ า ๓ (จรยิ าวตั รของพระพทุ ธเจา้ ) ๑. โลกัตถจริยา ทรงประพฤติเพ่ือเป็ นประโยชน์แก่โลก หมายถงึ การทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงอาศยั พระมหา กรุณาธิคณุ เสดจ็ ไปโปรดชาวโลกดว้ ยการนาํ เอาคาํ สอนไปประกาศช้ีแจงแสดง เพอ่ื ให้เป็นประโยชน์สุขแก่มหาชน ในแควน้ ต่างๆ เป็นตน้ มา และทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาไวเ้ พ่ือประโยชน์แก่มหาชนภายหลงั ดว้ ย ๒. ญาตัตถจริยา ทรงประพฤตเิ พอื่ เป็ นประโยชน์แก่พระญาติ ไดแ้ ก่ การท่พี ระพุทธเจา้ เสด็จไปโปรด พระบดิ า และเสดจ็ ไปหา้ มพระญาติทีว่ ิวาทแยง่ น้าํ กนั เป็นตน้ ๓. พทุ ธัตถจริยา ทรงประพฤตเิ พอ่ื เป็ นประโยชน์ในฐานะเป็ นพระพุทธเจ้า ไดแ้ ก่ การท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสตั วใ์ ห้รู้ตามธรรมท่ีพระองคไ์ ดต้ รัสรู้ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั เพ่ือบริหารหม่สู าวกเพอื่ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ยง่ั ยืนมาตราบทุกวนั น้ี เป็นตน้ โลก ๓ (โลกคอื หมสู่ ตั ว์, สตั วโ์ ลก) ๑. มนุษย์โลก โลกทเ่ี ราอาศัยอย่นู ี้ ไดแ้ ก่ โลกท่ีเป็นผืนแผ่นดินอนั เป็นท่ีอยอู่ าศยั ของมนุษยห์ รือสัตว์ ๒. เทวโลก สวรรค์ช้ันกามาวจร ๖ ช้ัน ไดแ้ ก่ ท่อี ยขู่ องเทพยดา๖ ช้นั ซ่ึงยงั เพลิดเพลนิ อยใู่ นกามคณุ ๓. พรหมโลก สวรรค์ช้ันรูปพรหม ๑๖ ช้ัน ไดแ้ ก่ ทอี่ ยขู่ องพรหม ๆ น้นั เกิดข้นึ ดว้ ยกาํ ลงั ฌาน สงั ขตลกั ษณะ ๓ (ลักษณะของสงิ่ ทม่ี ปี จั จยั ปรงุ แตง่ ) ๑. ความเกดิ ขนึ้ ปรากฏ (อุปปา ปัญญายต)ิ ๒. ความดับสลายปรากฏ (วโย ปัญญายติ) ๓. เมื่อต้งั อยู่ความแปรปรวนปรากฏ (ฐิตสั มิ อญั ญตั ตงั ปัญญายต)ิ        สกิ ขา ๓ (ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะตอ้ งศกึ ษา)

¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··Õèò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒªé¹Ñâ· ๔๑ ๑. อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลอันยง่ิ หมายถึง การปฏิบตั ิสาํ หรับฝึกไมใ่ ห้ฝ่ าฝืนในขอ้ บญั ญตั แิ มเ้ ล็กนอ้ ยไมใ่ ห้ ด่างพร้อย ๒. อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตอันยิง่ หมายถึง การฝึกปรืออบรมจิตใจของคนเองดว้ ยระบบของสมถกรรม ฐาน ทาํ จิตให้สงบจากกามารมณ์ ๓. อธปิ ัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญาอันย่ิง หมายถงึ การปฏบิ ตั สิ าํ หรับอบรมปัญญาใหเ้ กิดความรู้แจง้ อยา่ ง สูง คือ ให้รู้ถึงความเกิด ความดบั วา่ น้ีทกุ ข์ น้ีเหตุทาํ ให้เกิดทกุ ข์ น้ีคือความดบั ทุกข์ น้ีเป็นทางปฏิบตั เิ พอ่ื ให้ดบั ทกุ ขแ์ ละให้รู้ว่า น้ีคืออาสวะ ฯลฯ น้ีคือขอ้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ ึงความดบั อาสวะ จตกุ กะ หมวด ๔ อบาย ๔ (สถานทอี่ นั ปราศจากความเจรญิ ) ๑. นิริยะ (นรก) หมายถงึ ภูมหิ รือสถานทเี่ สวยทุกขข์ องคนหรือสตั วผ์ ูท้ าํ บาป เม่อื ตายไปแลว้ กไ็ ปเกิดใน ทน่ี ้นั และแลว้ กไ็ ดร้ บั ทุกขเวทนาต่าง ๆ ตามแตก่ รรมทค่ี นไดท้ าํ ไว้ ๒. ตริ ัจฉาน (กําเนดิ สัตว์ดริ ัจฉาน) หมายถึง สตั วด์ ิรจั ฉานทเ่ี ราพบอยทู่ ุกวนั น้ีเอง เช่น ชา้ ง มา้ ววั ควาย เป็นตน้ ไดช้ ื่อวา่ เป็นอบาย คอื หาความเจริญไม่ได้ ไม่สามารถพฒั นาใหม้ คี วามกา้ วหนา้ บรรพบุรุษเคยเป็นอยู่ อยา่ งไร กเ็ ป็นอยอู่ ยา่ งน้นั ไม่เปลีย่ นแปลง หรือถา้ เปลยี่ นแปลงก็เปลย่ี นแปลงเล็กนอ้ ย ๓. ปิ ตตวิ สิ ัย (ภูมแิ ห่งเปรต) หมายถึง สถานเป็นทอ่ี ยอู่ าศยั ของสตั วจ์ าํ พวกหน่ึงที่ว่ากนั ว่ามีรูปร่างพกิ ล ต่าง ๆ เช่น ตวั สูงโยง่ ยาวเท่าตน้ ตาล มปี ากเทา่ รูเขม็ กินแต่เลือดและหนองเป็นอาหาร เป็นตน้ ๔. อสุรกาย (พวกอสูร) หมายถึง สตั วท์ ี่เกิดในอบายภูมพิ วกหน่ึง ชอบเท่ียวหลอกหลอนคนคกู่ บั เปรต แตเ่ ปรตไม่เหมือนอสุรกาย(ผี) เป็นแต่คนไปพบเอง อปั ปมญั ญา ๔ (ธรรมทแ่ี ผไ่ ปไมม่ ปี ระมาณ) ๑. เมตตา ความรักใคร่ ไดแ้ ก่ ปรารถนาจะให้คนอนื่ มคี วามสุข แผ่ไมตรีจิตคิดจะใหส้ ัตวท์ ้งั ปวงเป็นสุข ทว่ั หนา้ สม่าํ เสมอกนั หมดโดยไมจ่ าํ กดั ขอบเขต ผูเ้ จริญยอ่ มกาํ จดั ความพยาบาทเสียได้ ๒. กรุณา ความสงสาร ไดแ้ ก่ ความคดิ ทจ่ี ะช่วยให้คนอน่ื พน้ ทุกขภ์ ยั พบิ ตั ิต่าง ๆ ที่เขากาํ ลงั ประสบอยู่ ผู้ เจริญยอ่ มกาํ จดั วิหิงสาเสียได้ ๓. มทุ ิตา ความพลอยยินดี ไดแ้ ก่ เมอ่ื ผูอ้ นื่ ไดด้ ีกม็ คี วามสุขแช่มชื่นเบิกบานใจดว้ ย ผเู้ จริญยอ่ มกาํ จดั อคติ และริษยาเสียได้ ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไดแ้ ก่ การมีใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปดว้ ยความชอบหรือความชงั ในเมือ่ ไม่ สามารถจะช่วยเหลือได้ โดยพิจารณาเป็นกลางว่าเขามกี รรมเป็นของตนเอง เม่ือทาํ ดงั น้ีจิตก็จะสงบ ผูเ้ จริญยอ่ ม กาํ จดั ปฏิฆะเสียได้ พรหมวหิ าร ๔ แผไ่ ปจาํ เพาะเจาะจง แตอ่ ปั ปมญั ญา ๔ แผ่ไปไม่มีประมาณ ไมจ่ าํ กดั ว่าเป็นใคร

๔๒ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒªÑé¹â· อปุ าทาน ๔ (ความถอื มน่ั ดว้ ยอำนาจกเิ ลส) ๑. กามปุ าทาน ความยึดมนั่ ในกาม ไดแ้ ก่ การเขา้ ไปยึดมน่ั ถอื มน่ั ในกาม คอื ส่ิงทีต่ นคดิ วา่ น่าปรารถนา น่า พอใจ หมกม่นุ อยวู่ า่ นน่ั ของเรา จึงเป็นเหตใุ หเ้ กิดการหึงหวงกนั ข้ึน เป็นตน้ ๒. ทิฏ�ุปาทาน ความถือมัน่ ทิฏฐิ ไดแ้ ก่ การยึดมนั่ ถือมน่ั ในลทั ธิหรือหลกั คาํ สอนต่างๆ ของฝ่ ายตน โดย เห็นผูอ้ น่ื ผดิ หมดเม่อื เขา้ ใจกนั ไม่ได้ จึงกอ่ ให้เกิดสงครามระหว่างศาสนา หรือลทั ธิตา่ งกนั ข้ึน เช่น สงครามใน เลบานอน หรือแมศ้ าสนาเดียวกนั ก็ฆ่ากนั ได้ เพราะความเห็นขดั แยง้ กนั ๓. สีลพั พตปุ าทาน ถือมน่ั ศีลพรต ไดแ้ ก่ การยดึ ถือเอาสิ่งท่ตี นประพฤติปฏิบตั อิ ยา่ งงมงายวา่ ขลงั วา่ ศกั ด์ิสิทธ์ิ มิไดเ้ ป็นดว้ ยความรู้ความเขา้ ใจดว้ ยตามหลกั เหตผุ ล ๔. อัตตวาทปุ าทาน ถือมั่นวาทะว่าตน ไดแ้ ก่ ความสาํ คญั หมายว่า น้ีคอื เรา น้ีของเรา นน่ั ของเรา จน เป็นเหตุใหแ้ บ่งแยกเป็นพรรคเป็นพวกข้ึน จนถึงกบั ยดึ ถือว่าตวั ตนท่เี ทยี่ งแทอ้ ยู่ โอฆะ ๔ (กเิ ลสดจุ นำ้ ทว่ มใจสตั ว)์ ๑. กาโมฆะ โอฆะคือกาม หมายเอาวตั ถกุ ามและกิเลสกามทจ่ี ะทาํ ใหค้ นหลงยดึ ตดิ อยกู่ บั ความเพลดิ เพลนิ ๒. ภโวฆะ โอฆะคือภพ หมายเอากิเลสที่หมกั หมมอยใู่ นสันดานสตั ว์ ทาํ ใหอ้ ยากเป็น อยากมี ๓. ทฏิ โฐฆะ โอฆะคือทิฏฐิ หมายเอามจิ ฉาทิฏฐิท่ีทว่ มทบั ใจสตั ว์ ทาํ ให้ยึดถือในสิ่งที่ผิด ๔. อวชิ โชฆะ โอฆะคืออวิชชา หมายเอาความไม่รู้ทว่ั ไป คือไมร่ ู้วิชชา ๔ หรือวิชชา ๖ ทกั ขณิ าวสิ ทุ ธิ ๔ (ความบรสิ ทุ ธแิ์ หง่ ทักษณิ า (ของทท่ี ำบญุ )) ๑. ผูใ้ ห้เป็นผูถ้ ือศลี มีกลั ยาณธรรม แต่ผูร้ บั ทศุ ีล มีบาปธรรม มีผลเพยี งก่ึงเดียว เหมือนหวา่ นพืชพนั ธุ์ดีลง ในนาทข่ี าดป๋ ุย ๒. ผูใ้ ห้เป็นทศุ ีล มบี าปธรรม แต่ผรู้ ับเป็นผูม้ ีศลี กลั ยาณธรรม มผี ลเพียงก่ึงเดียวเช่นกนั เหมือนพชื ไมด่ ี หวา่ นลงในนาดี ๓. ท้งั ๒ ฝ่ายไมม่ ศี ีล มีบาปธรรม หวงั ผลไดน้ อ้ ย เหมอื นหวา่ นพืชชนิดเลวลงในนาท่ขี าดป๋ ยุ ๔. ท้งั ๒ ฝ่ายต่างกส็ มบูรณด์ ว้ ยศลี และกลั ยาณธรรม มีผลมาก เหมือนหวา่ นพืชพนั ธุด์ ีลงในนาทีอ่ ดุ ม ดว้ ยป๋ ุยฉะน้นั บรษิ ทั ๔ (พทุ ธศาสนกิ ชน) ๑. ภิกษบุ ริษัท คือ ชายทบี่ วชเป็นพระในพทุ ธศาสนา ถือศลี ๒๒๗ ขอ้ ๒. ภิกษณุ ีบริษทั คือ หญิงทบ่ี วชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ถือศีล ๓๑๑ ขอ้ (ในปัจจุบนั ไมม่ แี ลว้ ) ๓. อบุ าสกบริษัท คอื คฤหัสถผ์ ชู้ ายที่นบั ถือพระพุทธศาสนาอยา่ งมนั่ คง ถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ๔. อบุ าสิกาบริษัท คือ คฤหัสถผ์ ูห้ ญงิ ทีน่ บั ถอื พระพุทธศาสนาอยา่ งมนั่ คง ถือศีล ๕ หรือศลี ๘

¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··Õèò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒª¹éÑâ· ๔๓ บคุ คล ๔ (ประเภทของบคุ คล) ๑. อุคฆฏติ ัญ�ู หมายถงึ ผมู้ ไี หวพริบปฏภิ าณดี สามารถฟังธรรมทีเ่ ขาแสดงเพยี งเลก็ นอ้ ยกเ็ ขา้ ใจและ บรรลไุ ดเ้ ปรียบเหมอื นดอกบวั ท่พี น้ น้าํ แลว้ พอไดร้ บั แสงอาทิตยก์ บ็ านไดเ้ ลย ๒. วปิ จิตัญ�ู หมายถงึ ผูร้ ู้ต่อเมอื่ ขยายความแลว้ เปรียบเหมอื นดอกบวั ท่ีอยเู่ สมอน้าํ อกี ๒-๓ วนั ก็บานได้ ๓. เนยยะ หมายถงึ ผพู้ อจะแนะนาํ ได้ คอื มปี ัญญาคอ่ นขา้ งนอ้ ย ถา้ สอบบ่อย ๆ กจ็ ะสามารถเขา้ ใจได้ เปรียบเหมือนดอกบวั ทย่ี งั อยใู่ นน้าํ อกี ไมน่ านกจ็ ะข้ึนพน้ น้าํ แลว้ ๔. ปทปรมะ หมายถึง ผมู้ ปี ัญญานอ้ ยมาก ฟงั แลว้ ก็สักแต่วา่ ฟัง ไมส่ ามารถจะเขา้ ใจความได้ เปรียบ เหมือนดอกบวั ท่ยี งั อยใู่ นตม มีแตจ่ ะเป็นอาหารของปลาและเต่า ปฏปิ ทา ๔ (แนวทางปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความหลดุ พน้ ) ๑. ทกุ ขาปฏปิ ทา ทันธาภญิ ญา ปฏิบตั ลิ าํ บาก ท้งั รู้ไดช้ า้ หมายถึง ผูป้ ฏิบตั ทิ ่มี กี ิเลสมาก แต่มอี นิ ทรียอ์ ่อน ๒. ทุกขาปฏาิ ขปิ ปาภญิ ญา ปฏิบตั ลิ าํ บาก แต่รู้ไดเ้ ร็ว หมายถึง ผปู้ ฏบิ ตั ทิ มี่ กี ิเลสมาก แต่มอี นิ ทรียแ์ ก่กลา้ ๓. สุขาปฏปิ ทา ทันธาภิญญา ปฏิบตั ิสบาย แต่รู้ไดช้ า้ หมายถึง ผูป้ ฏิบตั ทิ มี่ กี ิเลสนอ้ ยแตม่ ีอนิ ทรียอ์ ่อน ๔. สุขาปฏปิ ทา ขิปปาภิญญา ปฏบิ ตั สิ บาย และรู้ไดเ้ ร็ว หมายถงึ ผูป้ ฏบิ ตั ทิ มี่ กี ิเลสนอ้ ยและมีอนิ ทรียแ์ ก่ กลา้ โยนิ ๔ (กำเนดิ , แบบหรอื ชนดิ ของการเกดิ ) ๑. ชลาพชุ ะ ไดแ้ ก่ สตั วท์ ่ถี ือปฏิสนธิและเจริญเติบโต เม่ือถึงกาํ หนดก็คลอดออกจากครรภม์ ารดา เช่น มนุษยแ์ ละสัตวด์ ิรจั ฉานบางประเภท ๒. อณั ฑชะ ไดแ้ ก่ สัตวท์ อ่ี อกไข่มาเป็นฟองกอ่ นแลว้ จึงฟักออกมาเป็นตวั ภายหลงั เช่น เป็ด ไก่ นก เป็น ตน้ ๓. สังเสทชะ ไดแ้ ก่ สัตวท์ เ่ี กิดในของเน่าเปื่ อย ซากสตั วเ์ น่า เช่น หนอน เช้ือโรค เป็นตน้ ๔. โอปปาตกิ ะ ไดแ้ ก่ สตั วท์ เ่ี กิดข้นึ มาเป็นตวั เลย เม่ือตายก็ไมท่ อดทิง้ สรีระไว้ เช่น เทวดา สตั วน์ รก พรหม เปรตบางพวก เป็นตน้ วบิ ตั ิ ๔ (ความผิดพลาด, ความเสยี หาย) ๑. สีลวิบตั ิ ความวิบตั ิแห่งศลี ไดแ้ ก่ ผูม้ ีศีลวิบตั ิ มีการยอ่ หยอ่ นไมป่ ระพฤติปฏบิ ตั ติ ามหลกั ของศลี ๒. อาจารวบิ ัติ ความวิบตั แิ ห่งมารยาท ไดแ้ ก่ ความเสียหายทางความประพฤติจรรยามารยาทไมด่ ี หรือไม่เหมาะสมแก่ภาวะของตน ๓. ทิฏฐิวิบตั ิ ความวบิ ตั แิ ห่งทฏิ ฐิ ไดแ้ ก่ ความเห็นทีค่ ลาดเคลื่อนไปจากความเดิม คอื มคี วามเห็นท่ี ขดั แยง้ ต่อความเป็นจริง เช่น เห็นวา่ การทาํ บญุ ไม่ไดบ้ ญุ เป็นตน้ ๔. อาชีววิบัติ ความวิบตั แิ ห่งอาชีวะ ไดแ้ ก่ การหาเล้ียงชีพในทางทผี่ ดิ เรียกวา่ มิจฉาชีพ ปญั จกะ หมวด ๕

๔๔ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉҪѹéâ· อนปุ พุ พกี ถา ๕ (เรอื่ งทก่ี ลา่ วไปตามลำดบั ) ๑. ทานกถา กลา่ วถงึ ทาน ก่อนท่ีพระพทุ ธเจา้ จะสอบธรรมแก่ผูท้ ีม่ อี ปุ นิสยั ที่พอจะบรรลธุ รรมได้ พระพุทธเจา้ จะสอนเรื่องการเสียสละเสียกอ่ น เพ่ือใหเ้ ขาละความเห็นแก่ตวั ความตระหน่ีเสียกอ่ น จึงจะสอนอยา่ ง อ่นื ๒. สีลกถา กล่าวถึงศีล ในลาํ ดบั ต่อจากทานกถา ก็ทรงแสดงคณุ ค่าของศีลเพื่อให้บุคคลตระหนกั ที่จะ ควบคมุ กาย วาจา ของตนใหป้ ระพฤติปฏบิ ตั เิ รียบร้อย ไมส่ ร้างความเดือดร้อนให้กบั ตนและคนอน่ื ๓. สัคคกถา กลา่ วถึงสวรรค์ จากน้นั ก็ทรงแสดงผลดีงามที่เกิดข้นึ จากการใหท้ านและรักษาศีล ๔. กามาทนี วกถา กล่าวถงึ โทษแห่งกาม จากน้นั กท็ รงแสดงถงึ ส่วนเสีย ขอ้ เสียของกาม พร้อมท้งั ผลร้ายที่ จะมมี าแตก่ าม อนั มนุษยไ์ ม่ควรหลงไหลหมกมนุ่ มวั เมา จนถึงรู้จกั พยายามถอนตนออกจากกามเสีย ๕. เนกขัมมานสิ ังสกถา กลา่ วถึงอานิสงฆข์ องการออกจากกาม คอื การกลา่ วสรรเสริญผลดีของการไม่ หมกมุ่นเพลิดเพลนิ อยใู่ นกามและให้มีฉนั ทะในการท่จี ะแสวงหาความดีงามความสงบสุขทด่ี ีกวา่ น้นั กามคณุ ๕ (สว่ นทน่ี า่ ปรารถนา, นา่ ใคร)่ ๑. รูป ของทปี่ รากฏแก่สายตา อนั เป็นรูปร่างลกั ษณะที่สวยงาม อนั เป็นสิ่งทนี่ ่าปรารถนา ๒. เสียง ส่ิงท่ไี ดย้ ินดว้ ยหู อนั เป็นทีน่ ่าใคร่ เช่น เสียงเพราะของสตรี เสียงเพลง เสียงดนตรี เป็นตน้ ๓. กลนิ่ ส่ิงท่ีรู้ไดด้ ว้ ยจมกู เช่น กลิน่ หอมของแป้ง กล่นิ น้าํ หอม เป็นตน้ ๔. รส ส่ิงที่รู้ไดด้ ว้ ยลิน้ เช่น เปร้ียว หวาน มนั เค็ม เป็นตน้ ๕. โผฏฐัพพะ สิ่งทม่ี าถูกตอ้ งกาย คือ สิ่งท่นี ุ่ม ร้อน เยน็ อ่อน แข็ง เป็นตน้ ท้งั ๕ อยา่ งน้ี ส่วนทป่ี รารถนา น่าใคร่ น่าพอใจเทา่ น้นั จึงจดั เป็นกามคุณ มจั ฉรยิ ะ ๕ (ความตระหน)ี่ ๑. อาวาสมจั ฉริยะ ตระหน่ีที่อยู่ ไดแ้ ก่ ความหวงไม่ใหบ้ ุคคลมาอยใู่ นบา้ นของคน หรือในประเทศของ ตน ๒. กุลมัจฉริยะ ตระหนี่ตระกลู ไดแ้ ก่ การหวงตระกลู ถอื ว่าตระกลู ของตนดีกวา่ คนอน่ื ๓. ลาภมัจฉริยะ ตระหน่ีลาภ ไดแ้ ก่ คนที่หวงไม่ยนิ ดีทจ่ี ะอนุเคราะห์บุคคลอืน่ ดว้ ยวตั ถขุ องตน ๔. วัณณมจั ฉริยะ ตระหน่ีวรรณะ ไดแ้ ก่ คนทห่ี วงไมต่ อ้ งการใหค้ นอื่นมีชื่อเสียงเท่าเทยี มตนเป็ นตน้ ๕. ธมั มมัจฉริยะ ตระหน่ีธรรม ไดแ้ ก่ หวงวิชาความรู้ที่ตนมี ไมส่ อนให้ผอู้ ่นื รู้ตามดว้ ย ความตระหน่ี ๕ อยา่ งน้ี ท่านจดั เป็นมลทิน เมื่อมีอยใู่ นผใู้ ดยอ่ มทาํ ให้ผนู้ ้นั มวั หมอง วญิ ญาณ ๕ (ความรทู้ เ่ี กิดขนึ้ เมอื่ อายตนะภายในและภายนอกกระทบกนั ) ๑. เมือ่ เห็นรูปดว้ ยตา เกิดความรู้ข้นึ เรียกว่า จักขุวญิ ญาณ

¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»Ã¨Ôà©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉҪѹéâ· ๔๕ ๒. เม่อื ไดย้ ินเสียงดว้ ยหู เกิดความรู้ข้นึ เรียกว่า โสตวิญญาณ ๓. เมอ่ื สูดดมกลนิ่ ดว้ ยจมกู จะเป็นกลน่ิ หอม กลนิ่ เหมน็ ก็ตาม ความรู้น้นั เรียกวา่ ฆานวญิ ญาณ ๔. เม่อื ล้ินไดส้ มั ผสั กบั รสชาติอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เกิดความรู้ข้ึน เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ ๕. เมื่อกายไปกระทบกบั เยน็ ร้อน อ่อน แขง็ ตา่ ง ๆ เกิดความรู้น้นั ข้นึ มา เรียกวา่ กายวิญญาณ วมิ ตุ ติ ๕ (ความหลุดพน้ ) ๑. วิกขมั ภนวมิ ุตติ พน้ ดว้ ยการขม่ ไว้ คือ ความพน้ จากกิเลสของท่านผบู้ าํ เพญ็ ฌาน ยอ่ มสามารถขม่ นิวรณ์ ไวไ้ ด้ ไม่ให้ฟ้งุ ซ่านในจิต แต่เมือ่ ออกจากฌานแลว้ นิวรณ์กส็ ามารถครอบงาํ จิตไดด้ งั เดิม ทา่ นเปรียบเหมือนหิน ทบั หญา้ เมื่อเอาหินออกแลว้ หญา้ ก็กลบั งอกข้ึนไดด้ งั เดิม ๒. ตทงั ควมิ ุตติ พน้ ไดด้ ว้ ยการสะกดไว้ คือ การทาํ จิตของตนใหห้ ลุดพน้ จากอาํ นาจของกิเลสไดช้ วั่ คราว เช่น มเี ร่ืองชวนให้โกรธ แต่พิจารณาเห็นโทษของความโกรธ การทะเลาะวิวาทกนั แลว้ ห้ามใจไมใ่ ห้ทาํ ตามความ โกรธท่ีเกิดข้ึน ๓. สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ พนั ไดเ้ ด็ดขาด คอื ความพน้ จากกิเลสไดเ้ ดด็ ขาดสิ้นเชิง ดว้ ยโลกตุ ตรมรรค ๔. ปฏปิ ัสสัทธวิ ิมุตติ พนั ดว้ ยสงบระงบั คอื การหลุดพนั ดว้ ยโลกตุ ตรผล กิเลสเป็นอนั สงบระงบั หมดแลว้ ๕. นสิ สรณวมิ ุตติ พนั ดว้ ยสลดั ออกได้ คอื การหลุดพนั ดว้ ยการดบั กิเลสเสร็จสิ้นเชิง ไดแ้ ก่ การดาํ รงอยู่ ในพระนิพพานนนั่ เอง ปหานะ ๕, วมิ ุตติ ๕, วเิ วก ๕, วริ าคะ๕ และโวสสัคคะ๕ ท้งั หมดน้ีมคี วามหมายอยา่ งเดียวกนั เวทนา ๕ (การเสวยอารมณ์) ๑. ความสุข หมายเอา ความสบายทางกาย ๒. ความทกุ ข์ หมายเอา ความไมส่ บายกาย ความเจ็บปวดทางกาย ๓. โสมนสั ความแช่มช่ืน หมายเอา ความสบายใจ ความสุขใจ ๔. โทมนัส ความเสียใจ หมายเอา ความทุกขท์ างใจ ๕. อุเบกขา ไดแ้ ก่ ความรู้สึกเฉย ๆ ไม่แสดงออกมาในรูปของความดีใจ เสียใจ สทุ ธาวาส ๕ (ภพทอี่ ยขู่ องทา่ นผบู้ รสิ ทุ ธ)์ิ หมายถงึ ภพของทา่ นผเู้ ป็นพระอนาคามจี ะไปเกิด มี ๕ คือ ๑. อวิหา ภพของท่านผไู้ ม่ละฐานะของตน ไดแ้ ก่ ภพท่ีผูม้ ศี รัทธาแก่กลา้ จะไปเกิดในภพน้ี ๒. อตปั ปา ภพของทา่ นผูไ้ ม่ทาํ ความเดือดรอ้ นให้ใคร ไดแ้ ก่ ภพที่เป็นทีอยขู่ องผูม้ ีวริ ิยะแก่กลา้ ๓. สุทสั สา ภพของท่านผงู้ ดงามน่าทศั นา ไดแ้ ก่ ภพที่เป็นอยขู่ องผูม้ สี ติแก่กลา้ ๔. สุทสั สี ภพของท่านผปู้ รากฏเห็นชดั เจน ไดแ้ ก่ ภพทเ่ี ป็นทีอ่ ยขู่ องผูม้ ีสมาธิแกก่ ลา้ ๕. อกนิฏฐา ภพของท่านผูไ้ มน่ อ้ ยกว่าภพอืน่ ไดแ้ ก่ ภพของผูท้ ่ีมปี ัญญาแกก่ ลา้

๔๖ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒª¹éÑâ· สงั วร ๕ (ความสำรวม) ๑. สีลสังวร สาํ รวมระวงั ในศลี ไดแ้ ก่ การสาํ รวมทางการกระทาํ การพดู การคิด อนั จะเป็นเหตใุ ห้เกิด ความเสียหายข้ึนได้ โดยการปฏิบตั ิตามกฎระเบียบ(ศีล) เช่น ศลี ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศลี ๒๒๗ และกฎหมาย บา้ นเมอื งน้นั ๆ ๒. สตสิ ังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยสติ ไดแ้ ก่ การสาํ รวมดว้ ยอินทรีย์ มีจกั ษุ เป็นตน้ ระวงั มใิ หอ้ กศุ ลธรรม เกิดข้นึ ครอบงาํ ได้ หรือคอยระวงั กอ่ นแตจ่ ะทาํ พูด คดิ และขณะทาํ เป็นตน้ ๓. ญาณสังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยญาณ ไดแ้ ก่ การสาํ รวมดว้ ยปัญญาในเวลา ทาํ พูด คิด ให้รู้จกั ว่าสิ่งที่ ทาํ ลงไปน้นั เป็นความผิดหรือถกู แลว้ ยดึ เอาแตท่ างดี ทางถูกตอ้ งตอ่ ไป ๔. ขันติสังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยขนั ติ ไดแ้ ก่ การอดทนตอ่ ความหนาว ความร้อน ความหิวกระหาย หรือ อดทนต่อถอ้ ยคาํ หยาบ คาํ ด่า และอดทนตอ่ ทกุ ขเวทนาตา่ ง ๆ ในเมอ่ื ประสบเขา้ ๕. วิริยสังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยความเพียร ไดแ้ ก่ การเพียรพยายามขบั ไล่ กาํ จดั อกุศลวติ ก ที่เกิดข้ึนและ ให้หมดไป เป็นตน้ หรือเพยี รละมิจฉาชีพ การเล้ียงชีวติ ในทางท่ผี ดิ ธรรมขนั ธ์ ๕ (หมวดธรรม รวบรวมหวั ขอ้ ธรรมทมี่ ลี กั ษณะเหมอื นกนั เขา้ มาไวใ้ นหมวดเดยี วกนั ) ๑. สีลขันธ์ หมวดศลี ไดแ้ ก่ การประมวลเอาหมวดธรรมทีม่ ลี กั ษณะเป็นศลี เขา้ มารวมไวใ้ นหมวดเดียว เช่น อปจายนมยั ปาติโมกขสงั วร กายสุจริต สัมมวาจา สัมมากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ เป็นตน้ ๒. สมาธขิ นั ธ์ หมวดสมาธิ ไดแ้ ก่ การรวบรวมเอาธรรมอนั เป็นไปในลกั ษณะเดียวกนั กบั สมาธิ อนั จะพึง สงเคราะห์เขา้ หมวดกนั ได้ เช่น ชาคริยานุโยค กายคตาสติ สัมมาสติ สมั มาสมาธิ เป็นตน้ ๓. ปัญญาขันธ์ หมวดปัญญา ไดแ้ ก่ การรวบรวมธรรมอนั เป็นไปในลกั ษณะเดียวกนั กบั ปัญญา อนั จะ พึงสงเคราะห์เขา้ หมวดกนั ได้ เช่น ธมั มวิจยะ วิมงั สา ปฏสิ ัมภทิ า สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั ปะ เป็นตน้ ๔. วมิ ตุ ตขิ ันธ์ หมวดวิมุตติ ไดแ้ ก่ การประมวลเอาธรรมทีม่ ลี กั ษณะเป็นความหลุดพน้ เช่น ปทานะ วริ าคะ วิโมกข์ วิสุทธิ นิโรธ นิพพาน เป็นตน้ ๕. วมิ ตุ ตญิ าณวทิ ัสสนาขนั ธ์ หมวดวิมุตตญิ าณทสั สนะ ไดแ้ ก่ การประมวลเอาธรรมเกี่ยวกบั การเห็นใน วมิ ุตติเขา้ ดว้ ยกนั เช่น ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ เป็นตน้

¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉҪѹéâ· ๔๗ ฉกั กะ หมวด ๖ อภญิ ญา ๖ (ความรอู้ ยา่ งยงิ่ ยวด หรอื ความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการเจรญิ กรรมฐาน) ๑. อิทธวิ ิธี แสดงฤทธ์ิได้ หมายถึง แสดงอทิ ธิปาฏหิ าริยต์ ่างๆ ได้ เช่น เหาะได้ หายตวั ได้ เป็นตน้ ๒. ทิพพโสต หูทพิ ย์ หมายถงึ สามารถจะฟังเสียงทอ่ี ยใู่ กล้ ๆ ได้ เมอ่ื กาํ หนดจะฟัง ๓. เจโตปริยญาณ รู้จกั ใจผอู้ ่ืน หมายถงึ กาํ หนดรู้จกั ใจของคนอนื่ วา่ คิดอยา่ งไรได้ ๔. ปพุ เพนวิ าสานุสสติญาณ ระลกึ ชาติได้ หมายถงึ สามารถระลึกถึงชาติหนหลงั ๆ ได้ ๕. ทิพพจกั ขุ ตาทิพย์ หมายถึง สามารถมองเห็นการณต์ า่ ง ๆ ทเี่ กิดในสถานทแ่ี ห่งหน่ึงและมองเห็นสัตว์ ท้งั หลายทีเ่ ป็นไปตามกรรม ท่ีตนเองทาํ ไว้ ๖. อาสวกั ขยญาณ รู้จกั ทาํ อาสวะใหส้ ิ้นไป หมายถึง สามารถทาํ ให้กิเลส ตณั หาสิ้นไปจากสนั ดานของ ตนได้ ซ่ึงทาํ ให้บรรลุอรหัตตผล สิ้นกิเลสนิพพาน อภญิ ญาน้ี ๕ อยา่ งแรกเป็นเพียงโลกียะสามารถจะเส่ือมได้ ถา้ ผูน้ ้นั มจี ิตตกไปในทางอกศุ ล ส่วนขอ้ ๖ เป็นโลกุตตรธรรมไมม่ ที างเสื่อมได้ อภิฐาน ๖ (คอื กรรมทห่ี นกั ยงิ่ กวา่ กรรมอน่ื ๆ) ๑. มาตุฆาต ฆา่ มารดา หมายถึง บคุ คลท่สี ามารถฆา่ มารดาของคน ซ่ึงถอื เป็นผูใ้ ห้ชีวิตและใหท้ ุกสิ่งทกุ อยา่ ง ชื่อวา่ เป็นการทาํ กรรมอนั หนกั (อนนั ตริยกรรม) มที คุ ตเิ ป็นทห่ี วงั ๒. ปิ ตุฆาต ฆา่ บิดา เหมอื นขอ้ ที่ ๑ ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหนั ต์ หมายถึง คนทฆ่ี า่ พระอรหนั ตผ์ ซู้ ่ึงมีจิตใจบริสุทธ์ิ ไม่ไดค้ ดิ ร้ายต่อใคร และเป็นท่นี บั ถือของคนทว่ั ไป ผทู้ ่ีฆ่าบุคคลเช่นน้ีก็ถือวา่ เป็นกรรมอนั หนกั ย่ิง ๔. โลหติ ปุ บาท ทาํ ร้ายพระพุทธเจา้ เพียงแต่ทาํ ให้พระโลหิตห้อข้ึน หมายถงึ ผูท้ ่ที าํ ร้ายพระพุทธเจา้ ซ่ึงถือ ว่ามีพระคณุ อนั ย่งิ ใหญ่ กถ็ อื วา่ เป็นกรรมอนั หนกั ๕. สังฆเภท ยยุ งสงฆใ์ หแ้ ตกกนั หมายถึง ยุยงสงฆแ์ ยกจากกนั เป็นพรรคเป็นพวก คอื ฝ่ ายละ ๔ รูปข้ึน ไป กถ็ อื ว่าเป็นกรรมอนั หนกั ๖. อัญญสัตถุทเทส ถอื ศาสนาอนื่ หมายถงึ พระภิกษุสามเณรที่หันเหไปนบั ถือศาสนาอืน่ ท้งั ทีบ่ วชอยู่ จรติ ๖ (ความประพฤติ, อปุ นสิ ยั , พนื้ เพของจติ ใจ) ๑. ราคจริต มีราคะเป็นปกติ คือ เป็นพฤตกิ รรมของผูท้ ร่ี ักสวยรักงาม ตดิ อยใู่ นอารมณ์ท่ีสวยงาม ใชอ้ สุ ภะ ๑๐ และกายคตาสติแก้ ๒. โทสจริต มโี ทสะเป็นปกติ คอื ผูท้ ม่ี ีโทสะเกิดข้ึนเสมอ ๆ ใจร้อนหงดุ หงดิ งา่ ย แกด้ ว้ ยการเจริญ พรหมวหิ ารและกสิณ โดยเฉพาะวรรณกสิณ

๔๘ ¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»ÃÔ¨ à©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒª¹Ñéâ· ๓. โมหจริต มโี มหะเป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผูท้ ่หี ลงไปในทางอวิชชา คอื การไมร่ ู้อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อุบายที่จะกาํ จดั คือ เจริญอานาปานสติ และจาํ ตอ้ งหมน่ั ศึกษาในทกุ แงท่ จ่ี ะเพม่ิ ความรู้ ๔. สัทธาจริต มีศรทั ธาเป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผูท้ มี่ ีความเชื่ออยา่ งแน่นแฟ้น ยากท่ีจถุ อนความยึดถือน้นั ออกได้ ตอ้ งแกด้ ว้ ยอนุสสติ ๖ ๕. วติ ักกจริต มีวิตกเป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผูท้ ป่ี ระพฤตหิ นกั ไปในทางนึกคิดจบั จด ฟ้งุ ซ่าน คดิ เกินความ จาํ เป็นเกินพอดี ตอ้ งแกด้ ว้ ยการสะกดอารมณ์ เช่น เพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติกมั มฏั ฐาน ๖. พทุ ธิจริต มีความรู้เป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผูท้ ่ีประพฤติหนกั ไปในทางใชค้ วามคิด การพจิ ารณา ตอ้ งแนะนาํ ใหค้ ดิ ในทางที่ถูก ธรรมคุณ ๖ (คอื คุณของพระธรรม) ๑. สวากขาโต ภควตา ธมั โม พระธรรมท่พี ระผมู้ ีพระภาคตรสั ไวด้ ีแลว้ เป็นคาํ สอนท่สี มบรู ณด์ ว้ ยอรรถ และพยญั ชนะ มีความงามท้งั เบ้ืองตน้ ทา่ มกลางและทสี่ ุด ๒. สันทิฏฐิโก หมายความวา่ การจะทาํ อะไรก็แลว้ แต่ คนท่ที าํ ดว้ ยตวั เองนน่ั แหละถึงจะรู้เป็นยงั ไง เหมอื นกบั เราบริโภค ของทม่ี รี สขม คนท่ีกินก็รู้เองว่ามีรสเป็นเช่นไร ๓. อกาลโิ ก ไมข่ ้นึ อยกู่ บั กาล หมายถึง พระธรรมไมล่ า้ สมยั บคุ คลจะนาํ มาประพฤตเิ มอื่ ไรกไ็ ดไ้ ม่ จาํ เป็นตอ้ งรอวา่ ตอ้ งทาํ วนั ไหน ปี ไหน หรือตอ้ งทาํ ตอนแก่ ๔. เอหปิ ัสสิโก ควรเรียกใหม้ าดู หมายถึง พระธรรมที่แสดงไวน้ ้นั สามารถทีจ่ ะใหพ้ ิสูจน์ไดท้ ุกเวลาและ นาํ ไปประพฤติ ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ๕. โอปนยิโก ควรนอ้ มเขา้ ใส่คน หมายถึง ควรนอ้ มกาย ใจของคนเขา้ ไปหาในสิ่งที่ดีงาม ท่เี ป็นมงคลแก่ ชีวิต ๖. ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วิญ�หู ิติ วญิ �ชู นพงึ รู้ไดเ้ ฉพาะตน หมายถึง ผูท้ ปี่ ระพฤติปฏบิ ตั ิตามจนถึงทสี่ ุด แลว้ ยอ่ มรู้ไดด้ ว้ ยตวั เอง คนอื่นจะรู้ดว้ ยไมไ่ ด้ สวรรค์ ๖ (สวรรคช์ น้ั กามาวจร คอื ชน้ั ทมี่ กี ารเกยี่ วขอ้ งดว้ ยกามารมณอ์ ยู่) ๑. ช้ันจาตมุ มหาราชิกา เป็นสวรรคช์ ้นั ทตี่ ่าํ ทส่ี ุดในบรรดาสวรรค์ ๖ ช้นั น้นั ซ่ึงมีทา้ วมหาราชท้งั ๔ เป็น ผูด้ ูแลและปกครอง คอื ท้าวธตรฐ ท้าววริ ุฬหก ท้าววิรูปกั ข์ ท้าวกเุ วร ๒. ช้ันดาวดึงส์ เป็นท่อี ยขู่ องเทพบตุ ร ๓๓ ตน ซ่ึงมีทา้ วสกั กะหรือพระอินทร์ปกครอง ในช้ันน้ีมีพวก เทวดากบั พวกอสูร ส่วนใหญ่จะทาํ การต่อสู้กนั ตลอดระหว่างเทวดากบั อสูร ผลที่สุดอสูรกพ็ ่ายแพจ้ ึงถกู ขบั ไล่ ๓. ช้ันยามา เป็นทอี่ ยขู่ องเทวดามีทา้ วสุยามปกครองช้นั น้ีอยู่ ๔. ช้ันดสุ ิต เป็นท่ีอยขู่ องเทพผปู้ ราศจากทกุ ข์ อนั มที า้ วสันดุสิตเป็นผปู้ กครอง และสวรรคช์ ้นั น้ียงั เป็นที่ อุบตั ขิ องพระโพธิสัตวแ์ ละพระพุทธมารดาดว้ ย

¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒªé¹Ñâ· ๔๙ ๕. ช้ันนมิ มานรดี เป็นทอี่ ยขู่ องเทพมีทา้ วสุนิมนิมติ เป็นผูป้ กครอง เทวดาช้นั น้ีเม่ือตอ้ งการส่ิงไรก็เนรมิต เอาส่ิงน้นั ตามปรารถนา ๖. ช้ันปรนิมมติ วสวตั ตี เป็นทอ่ี ยขู่ องเทพมีทา้ วนิมมติ วสวตั ตีปกครอง เทวดาท่อี าศยั อยใู่ นช้นั น้ีเสวย สมบตั ทิ เ่ี ทวดาอน่ื เนรมิตให้ สตั ตกะ หมวด ๗ อนสุ ยั หรอื สงั โยชน์ ๗ (กเิ ลสทน่ี อนเนอ่ื งอยใู่ นสนั ดาน เปน็ กเิ ลสอยา่ งละเอยี ด) ๑. กามราคะ ความกาํ หนดั ในราคะ ไดแ้ ก่ ส่ิงทม่ี าปรุงแต่งจิต ให้กาํ หนดั รักใคร่พอใจในวตั ถุกาม ๒. ปฏฆิ ะ ความขดั ใจ ไดแ้ ก่ ความหงดุ หงิด ไมพ่ อใจ ขดั เคอื งใจ ดว้ ยอาํ นาจโทสะ ๓. ทฏิ ฐิ ความเห็น ไดแ้ ก่ ความเห็นผิดเช่น เห็นวา่ ทาํ ดีไมไ่ ดด้ ี มารดา บดิ าไม่มีคณุ เป็นตน้ ๔. วจิ ิกจิ ฉา ความลงั เล ไดแ้ ก่ การท่จี ะลงมอื ทาํ กิจการอะไรกไ็ มก่ ลา้ ทาํ เพราะกลวั จะไม่ดีบา้ ง กลวั จะ ผิดบา้ ง เลยไมก่ ลา้ ตดั สินใจอะไรแน่นอน ๕. มานะ ความถอื ตวั ไดแ้ ก่ ความคดิ ที่เยอ่ หย่งิ ถอื ตวั เห็นวา่ ตวั เองเหนือกว่าผูอ้ ืน่ ท้งั หมด ๖. ภวราคะ ความอยากได้ อยากเป็น ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการในวตั ถสุ ิ่งของตา่ ง ๆ ตอ้ งการความมอี าํ นาจ ตอ้ งการเป็นใหญ่ ๗. อวชิ ชา ความไมร่ ู้จริง ไดแ้ ก่ ความไมร่ ู้แจง้ เห็นจริงในการทาํ ลายกิเลสตณั หา กิเลสแตล่ ะอยา่ งจะมีอาํ นาจไปคนละทาง แต่ละอยา่ งจะทาํ ให้หลงไปทางน้นั ๆ เหมอื นกบั พาหนะท่นี าํ โรคมาสู่เราไดห้ ลายทาง เช่น ยงุ ลายนาํ เช้ือไขเ้ ลือดออกมา เป็นตน้ พระอรหัตตมรรคข้ึนไปเท่าน้นั ทีล่ ะอนุสัยได้ ท้งั หมด วญิ ญาณฐติ ิ ๗ (ภมู เิ ปน็ ทตี่ งั้ แหง่ วญิ ญาณ) ๑. สตั วบ์ างพวก มกี ายต่างกนั มสี ัญญาต่างกนั เช่นพวกมนุษย์ เทพบางพวก วินิปาติกะบางพวก ๒. สตั วบ์ างพวก มีกายต่างกนั มีสญั ญาอยา่ งเดียวกนั เช่น พวกเทพจาํ พวกพรหมผูเ้ กิดในภมู ปิ ฐมฌาน ๓. สตั วบ์ างพวก มกี ายอยา่ งเดียวกนั มีสัญญาต่างกนั เช่น พวกเทพอาภสั สร ๔. สัตวบ์ างพวก มกี ายอยา่ งเดียวกนั มีสัญญาอยา่ งเดียวกนั เช่น พวกเทพสุภกิณหะ ๕. สัตวบ์ างพวก ผูเ้ ขา้ ถึงช้นั อากาสานญั จายตนะ ๖. สตั วบ์ างพวก ผเู้ ขา้ ถงึ ช้นั วญิ ญานญั จายตนะ ๗. สัตวบ์ างพวก ผเู้ ขา้ ถึงช้นั อากิญจญั ญายตนะ วสิ ทุ ธิ ๗ คอื ความบรสิ ทุ ธิ์ ความหมดจด ๑. สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล คอื การรักษาศีลของตนให้หมดจด ตามสมควรแก่ฐานะของตน ๒. จติ ตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต คือ จิตท่ีเขา้ ถึงความบริสุทธ์ิจากนิวรณ์ท้งั ๕ ๓. ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งทฏิ ฐิ คือ ความรู้ ความเห็นตามความเป็นจริง รู้จกั แยกแยะถกู ผิด

๕๐ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»Ã¨Ôà©··èÕò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒª¹éÑâ· ๔. กงั ขาวิตรวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องขา้ มพน้ ความสงสยั คือความรู้ท่สี ามารถกาํ หนดรู้ เหตเุ กิดและเหตดุ บั แห่งนามรูปได้ จนเป็นเหตุใหส้ ิ้นความสงสัยในนามรูป ตรงกบั คาํ ว่า ธรรมฐิติญาณ หรือ ยถาภตู ญาณ หรือสัมมาทสั สนะ ๕. มัคคามคั คญาณทสั สนะวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเคร่ืองเห็นว่าทางและมิใช่ทาง คือ ความรู้ที่ สืบทอดมาจากการเจริญวิปัสสนา ดว้ ยการพจิ ารณาใหเ้ ห็นความเกิดข้ึนและความเลอื่ มไปแห่งสงั ขารท้งั หลายเห็น ว่าวิปัสสนูปกิเลสมิใช่ทาง ส่วนวปิ ัสสนานนั่ แลเป็นทางที่ถูกตอ้ ง จึงเตรียมทจ่ี ะประคองจิตไวใ้ นวิถนี ้นั ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณอนั รู้เห็นทางดาํ เนิน คอื ประกอบความเพียรใน วิปัสสนาญาณท้งั หลาย เร่ิมต้งั แต่อทุ ยพั พยยานุปัสสนาญาณทพ่ี น้ จากอปุ กิเลส ดาํ เนินเขา้ สู่วถิ ที างน้นั เป็นตน้ ไป จนถงึ สัจจานุโลมกิ ญาณ หรือ อนุโลมญาณอนั เป็นท่สี ุดแห่งวปิ ัสสนา ต่อแต่น้ีเกิดโคตรภูตญาณคน่ั ระหวา่ งวสิ ุทธิ ขอ้ น้ีกบั ขอ้ สุดทา้ ย เป็นหัวต่อแห่งความเป็นปุถุชน กบั ความเป็นอริยบุคคล โดยสรุปวิสุทธิขอ้ น้ีกค็ ือ วปิ ัสสนาญาณ ๗. ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ คอื ความรู้ในอริยมรรค ๔ หรือ มรรคญาณอนั เกิด จากโคตรภูตญาณ เป็นตน้ ไป เมือ่ มรรคเกิดข้ึนแลว้ ผลจิตแต่ละอยา่ งยอ่ มเกิดข้ึนในลาํ ดบั ถดั ไปจากมรรคญาณน้นั ๆ ความเป็นพระอริยบุคคลยอ่ มเกิดเพราะวิสุทธิขอ้ น้ี เป็นอนั บรรลทุ ห่ี มายสูงสุดแห่งไตรสิกขา วสิ ุทธิ ๗ ขอ้ น้ีมผี ลต้งั แต่ขอ้ แรกสืบกนั เร่ือย ๆ จนถึงขอ้ สุดทา้ ย จึงทาํ ให้ผูป้ ฏบิ ตั ิบรรลนุ ิพพานได้ อฏั ฐกะ หมวด ๘ อรยิ บคุ คล ๘ (ผบู้ รรลธุ รรมวเิ ศษ ตง้ั แตโ่ สดาปตั ตมิ รรคขนึ้ ไป) ๑. โสดาปัตตมิ รรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นโสดาปัตตมิ รรค ๒. โสดาปัตตผิ ล พระผตู้ ้งั อยใู่ นโสดาปัตติผล (ละสังโยชน์ ๓ ประการ คอื สกั กายทฎิ ฐิ, วจิ ิกิจฉา, สีลพั พตปรามาส) ๓. สกทาคามมิ รรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นสกทาคามมิ รรค ๔. สกทาคามิผล พระผูต้ ้งั อยใู่ นสกทาคามิผล (ละสังโยชน์ ๓ ประการได้ และทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเ้ บาบางลงดว้ ย) ๕. อนาคามมิ รรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นอนาคามิมรรค ๖. พระอนาคามผิ ล พระผตู้ ้งั อยใู่ นอนาคามผิ ล (มีศลี สมาธิบริบูรณ์ และละสังโยชน์ไดอ้ ีก ๒ คอื กามราคะและปฏิฆะ) ๗. อรหัตตมรรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นอรหัตตมรรค ๘.พระอรหตั ตผล พระผตู้ ้งั อยใู่ นอรหตั ตผล (พระอรหันต์ มศี ีล สมาธิ ปัญญา บริบูรณ์ ละสังโยชนท์ ้งั ๑๐ ประการได)้ อวชิ ชา ๘ (ความไมร่ แู้ จง้ , ความไมร่ จู้ รงิ ) ๑. ความไม่เขา้ ใจเรื่องทกุ ข์ คอื ไม่เขา้ ใจในความเกิด แก่ เจบ็ ตาย ว่ามาจากสาเหตุอะไร

¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»Ã¨Ôà©··èÕò ¸ ÃÃÁÈÖ¡ ÉÒªÑé¹â· ๕๑ ๒. ความไมร่ ู้ในเหตุทที่ าํ ให้เกิดทกุ ข์ คือไมเ่ ขา้ ใจในสาเหตุของทกุ ขท์ ่ีเกิดจากตณั หา และอุปาทาน ๓. ความไมร่ ู้ในความดบั ทกุ ข์ คอื ไม่รู้วา่ เม่ือเหตุแห่งทุกขค์ อื ตณั หาดบั ไป ความทกุ ขจ์ ึงดบั ไป ๔. ความไม่รู้ในขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ คอื ไมร่ ู้วา่ จะดบั ทุกขด์ ว้ ยวธิ ีไหน เพราะไม่เขา้ ใจในมรรค ๕. ไม่รู้จกั อดีต คือ ไม่รู้จกั สาเหตทุ ี่ทาํ ให้เกิดผลในปัจจบุ นั เช่น คนตดั ไมท้ าํ ลายป่ าจนหมด ซ่ึงเป็นสาเหตุ ให้เกิดภยั พิบตั ิตา่ งๆ ตามมา เช่นฝนแลง้ เป็นตน้ คนไมร่ ู้สาเหตุก็เชื่อวา่ เป็นเพราะเทพเจา้ ลงโทษ ซ่ึงเป็นความเช่ือที่ ไร้สาระ ๖. ไม่รู้จกั อนาคต คอื ไม่รู้วา่ ส่ิงทีต่ นเองทาํ ไปขณะน้ี จะเป็นผลกระทบตอ่ ลกู หลานในภายหนา้ อยา่ งไรบา้ ง ๗. ไมร่ ู้จกั ท้งั ในอดีตและในอนาคต คือไมร่ ู้ไม่เขา้ ใจถงึ เหตุและผลอนั เป็นมาจากอดีตจนส่งผลไปถงึ อนาคต ๘. ไม่รู้จกั ปฎิจจสุปบาท คือไม่เขา้ ถึงหมู่ธรรมหรือกลมุ่ ธรรม ทีเ่ กิดข้ึนโดยเป็นปัจจยั ของกนั และกนั เช่น ไม่รู้ว่าส่ิงน้ีมไี ด้ กเ็ พราะสิ่งน้ีเป็นปัจจยั เพราะเหตนุ ้นั สภาวธรรมท่ีเกิดข้นึ โดยเป็นปัจจยั ของกนั และกนั จึงเรียกช่ือ วา่ ปฏิจจสมปุ บาท อวิชชา ๘ น้นั จะดบั ไปไดก้ ต็ อ้ งอาศยั การปฏิบตั ติ ามมรรคมีองค์ ๘ ประการใหต้ ่อเน่ืองกนั . วชิ ชา ๘ (ความรแู้ จง้ , ความรวู้ เิ ศษ) ๑. วปิ ัสสนาญาณ ไดแ้ ก่ ความรู้ทน่ี บั เขา้ ในวปิ ัสสนา คอื ปัญญาทพี่ ิจารณาเห็นสงั ขาร คอื นามรูปโดยเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทกุ ข์ และเป็นอนตั ตา เป็นตน้ ๒. มโนมยิทธิ ฤทธ์ิทางใจ ไดแ้ ก่ สามารถนิรมติ กายอืน่ ออกจากกายน้ีไดเ้ พียงแต่นึกเท่าน้นั เปรียบเหมือน ชกั ดาบออกจากฝัก คิดส่ิงใด กส็ ามารถสาํ เร็จไดต้ ามความคิดทกุ ประการ ๓. อิทธิวิธิ แสดงฤทธ์ิได้ เช่น แสดงตนให้เป็นหลายคนได้ หายตวั ได้ ดาํ ดินได้ เป็นตน้ ๔. ทพิ พโสต มหี ูทพิ ย์ คอื สามารถท่จี ะฟังเสียงไดท้ ้งั ไกลและใกล้ ซ่ึงสามญั ชนไม่สามารถไดย้ ิน ๕. เจโตปริยญาณ รู้จกั กาํ หนดใจผอู้ ่ืน คือ สามารถทจ่ี ะทายใจผอู้ ่ืนไดว้ ่าคดิ ยงั ไง ๖. ปุพเพนิวาสานุสสตญิ าณ ระลึกชาตใิ นหนหลงั ได้ คอื สามารถระลกึ ไดว้ า่ ในชาตทิ ่ีผ่านมาตนเป็นใคร ๗. ทิพพจกั ษุ ตาทพิ ย์ คอื สามารถมองไดใ้ นทไ่ี กลเมือ่ กาํ หนดจะมอง หรือมองกรรมของสตั ว์ ๘. อาสวกั ขยญาณ ญาณท่ีทาํ ให้สิ้นอาสวะ คือ ความรู้ในอริยสจั ๔ ท่สี ามารถทาํ ใหส้ ิ้นอาสวะได.้ วชิ ชาท้งั ๘ น้ี ๗ ประการเบ้อื งตน้ เป็นฝ่ ายโลกิยะ ส่วนขอ้ ที่ ๘ เป็นโลกุตตระ. สมาบตั ิ ๘ การบรรลธุ รรมช้นั สูง ธรรมวิเศษทีค่ วรเขา้ ถงึ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ๑. ปฐมฌาน ๑. อากาสานญั จายตนะ ๒. ทตุ ยิ ะฌาน ๒. วิญญาณัญจายตะ ๓. ตตยิ ฌาน ๓. อากิญจญั ยายตนะ ๔. จตตุ ถฌาน ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ

๕๒ ¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒª¹éÑâ· นวกะ หมวด ๙ พทุ ธคณุ ๙ (คณุ ความดีของพระพทุ ธเจา้ ) ๑. อรหํ เป็นพระอรหนั ต์ หมายถึง พระองคเ์ ป็นผบู้ ริสุทธ์ิ ปราศจากกิเลส เป็นผคู้ วรแกก่ ารสง่ั สอนผูอ้ ืน่ ควรแก่การไดร้ บั ความเคารพบูชา ๒. สมฺมาสมพฺ ุทโฺ ธ เป็นผตู้ รสั รู้เองโดยชอบ หมายถึง ตรสั รู้อริยสัจไดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผูถ้ งึ พร้อมดว้ ยวิชชาและจรณะ หมายถงึ เป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ยวิชชาความรู้และ จรณะความประพฤติ ๔. สุคโต เป็นเสดจ็ ไปดีแลว้ หมายถงึ พระองคท์ รงดาํ เนินพุทธจริยาใหเ้ กิดผลประโยชน์แก่สรรสัตวด์ ว้ ยดี และแมป้ รินิพพานแลว้ กไ็ ดป้ ระดิษฐานพระพทุ ธศาสนาไวเ้ ป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา ๕. โลกวทิ ู เป็นผรู้ ู้แจง้ โลก หมายถึง ทรงทราบสภาวะอนั เป็นความจริงของสิ่งท้งั ปวง ๖. อนุตตฺ โร ปุริสทมมฺ สารถิ เป็นสารถฝี ึกบรุ ุษ ไม่มีใครยิ่งกวา่ หมายถึง เป็นผูฝ้ ึกคนอน่ื ไดด้ ีเยย่ี ม ไมม่ ผี ใู้ ด เทยี บเทา่ ไมว่ า่ ผูน้ ้นั จะเป็นใคร สอนต้งั แตม่ หาโจร คนสามญั เจา้ ลทั ธิศาสนา จนถงึ กษตั ริย์ ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย หมายถึง ทรงเป็นครูสอนท้งั เทวดาและ มนุษยใ์ หบ้ รรลุคณุ ธรรม ๘. พทุ ฺโธ เป็นผูต้ ืน่ และเบิกบานแลว้ หมายถงึ ทรงเป็นผตู้ น่ื จากการปฏบิ ตั ทิ ่ีนบั ถือกนั มาแบบผิดๆ ๙. ภควา ทรงเป็นผูม้ ีโชค หมายถงึ ไม่ว่าพระองคจ์ ะทาํ อะไรก็ตาม ลว้ นแต่ประสบผลสาํ เร็จทุกประการ เช่น ทรงหวงั โพธิญาณก็สาํ เร็จ แมถ้ ึงมผี ูค้ ิดร้ายก็ไม่อาจทาํ อนั ตรายได.้ พระพุทธคณุ ท้งั ๙ ประการน้ี เรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่า นวารหาทคิ ณุ . มานะ ๙ (ความถอื ตวั ) ๑. เป็นผเู้ ลิศกวา่ เขา สาํ คญั ตวั ว่าเลิศกวา่ เขา ๒. เป็นผเู้ ลศิ กวา่ เขา สาํ คญั ตวั ว่าเสมอเขา ๓. เป็นผเู้ ลศิ กว่าเขา สาํ คญั ตวั ว่าเลวกวา่ เขา ๔. เป็นผเู้ สมอเขา สาํ คญั ตวั ว่าเลิศกวา่ เขา ๕. เป็นผเู้ สมอเขา สาํ คญั ตวั ว่าเสมอเขา ๖. เป็นผเู้ สมอเขา สาํ คญั ตวั วา่ เลวกว่าเขา ๗. เป็นผเู้ ลวกวา่ เขา สาํ คญั ตวั วา่ เลิศกวา่ เขา ๘. เป็นผเู้ ลวกวา่ เขา สาํ คญั ตวั ว่าเสมอเขา

¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªÑé¹â· ๕๓ ๙. เป็นผเู้ ลวกว่าเขา สาํ คญั ตวั ว่าเลวกว่าเขา ขอ้ ๑, ๔,๗ มีความหมายถงึ ลกั ษณะของผมู้ ีความทะนงตวั ว่า ตนเองน้ีไมม่ ใี ครเสมอเหมือน ขอ้ ๒,๕,๘ เป็นเหตใุ หต้ ตี นเสมอคนอนื่ และเป็นการยกตนขม่ ท่าน พร้อมท้งั สร้างความตกต่าํ ใหต้ วั เอง ขอ้ ๓,๖,๙ เป็นลกั ษณะของบคุ คลทถี่ ่อมตวั หรือคนดูถกู ตวั เอง ทาํ ให้ขาดความเชื่อมนั่ ในตวั เอง. โลกุตตรธรรม ๙ (สภาวธรรมพน้ จากโลก) ๑. โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ๓. สกทาคามมิ รรค สกทาคามผิ ล ๕. อนาคามมิ รรค อนาคามผิ ล ๗. อรหัตตมรรค อรหัตตผล วปิ สั สนาญาณ ๙ (ญาณในวปิ สั สนา) ๑. อทุ ยัพพยานุปสั สนาญาณ ญาณอนั ตามเห็นความเกิดและความดบั หมายถึงมคี วามรู้พจิ ารณาเห็นการ เกิดข้นึ และความดบั ไปของขนั ธ์ ๕ และพจิ ารณาเห็นไปจนถงึ ว่า สิ่งท้งั หลายก็มกี ารเกิดการดบั ไปดว้ ยทุกอยา่ ง ๒. ภงั คานุปัสสณาญาณ ญาณอนั ตามเห็นความดบั หมายถึงรู้เห็นชดั ซ่ึงความไมเ่ ทยี่ งแทข้ องสภาวธรรมท้งั ปวงว่าตอ้ งมี เส่ือมสลายไปทุกอยา่ ง ๓. ภยตปู ัสสนาญาณ ญาณอนั มองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลวั หมายถงึ ไดพ้ จิ ารณาเห็นวา่ สงั ขาร ท้งั หลายท้งั ปวงที่มปี รากฏข้นึ ลว้ นแต่มีการแตกสลายไปในท่สี ุดท้งั น้นั ไม่มสี ิ่งใดยงั่ ยืนถาวรไดเ้ ลย เมอ่ื รู้อยา่ งน้ีจึง เกิดความกลวั ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอนั คาํ นึงถึงการเห็นโทษ หมายถึง เม่อื พิจารณาเห็นสภาวะความเป็นไป ของสังขารดงั ขอ้ ๓ น้นั แลว้ กเ็ ห็นโทษของการเกิดอกี ซ่ึงมีความทกุ ขร์ ่ําไป ไมร่ ู้สร่าง ๕. นพิ พิทานุปสั สนาญาณ ญาณอนั คาํ นึงเห็นความหน่าย คอื เม่ือพจิ ารณาเห็นว่า สงั ขารเป็นโทษน้นั แลว้ ก็ เกิดความเบอ่ื หน่าย ไม่ยนิ ดีเพลิดเพลินอีกตอ่ ไป ๖. มญุ จิตุกมั ยตาญาณ ญาณอนั คาํ นึงดว้ ยใคร่จะพน้ ไปเสีย หมายถงึ เม่ือเห็นความเป็นไปของสังขารดงั ที่ กล่าวแลว้ จึงหาทางทจ่ี ะพน้ ไปเสีย จึงกาํ หนดหาอบุ ายทีจ่ ะทาํ ตนใหพ้ น้ ไป ดว้ ยการพจิ ารณาดว้ ยหลกั ไตรลกั ษณ์ ๗. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอนั เป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสงั ขาร คือ เมอื่ ไดพ้ จิ ารณาสังขารโดยละเอียด แลว้ ก็ไดค้ วามจริงวา่ ธรรมดาของสังขารยอ่ มเป็นเช่นน้นั เอง จึงวางใจเป็นกลาง ไมย่ ินดียินร้ายแลว้ มงุ่ ปฏิบตั ไิ ปสู่ พระนิพพาน เพราะเห็นว่านิพพานน้นั เป็นทีส่ งบ ๘. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ ญาณอนั เป็นไปโดยอนุโลมแกก่ ารหยง่ั รู้อริยสจั หมายถึง เมื่อไม่ ใฝ่ ใจยดึ ตดิ ในสังขารท้งั หลายแลว้ ญาณยอ่ มพจิ ารณามงุ่ ตรงไปหานิพพาน วปิ ัสสนาญาณเหลา่ น้ี จะมเี หตุตอ่ เนื่องถึงกนั ไปต้งั แต่ตน้ จนถงึ สุดทา้ ยตามลาํ ดบั คอื คร้งั แรกไดเ้ ห็นเหตคุ อื ความเกิดและดบั ของสังขาร ตอ่ ไปก็เห็นความสลาย - เกิดความกลวั - เห็นโทษ - แลว้ เบื่อ หน่าย - ใคร่อยากจะพน้ - หาทางพน้ - ปลงใจได้ - แลว้ หยง่ั รู้อริยสัจ.

๕๔ ¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªÑé¹â· สงั ฆคณุ ๙ (คุณของพระสงฆ)์ ๑. สุปฏิปันโน เป็นผูป้ ฏิบตั ิดีแลว้ คอื ปฏิบตั ติ ามหลกั มชั ฌิมาปฏิปทาและปฏิบตั ิตามคาํ สอนของ พระพุทธเจา้ ๒. อุชุปฏปิ ันโน เป็นผปู้ ฏิบตั ติ รง คอื ไม่หลอกผอู้ ่ืนเล้ียงชีพ ไม่มีมายาสาไถย ๓. ญายปฏิปันโน เป็นผูป้ ฏิบตั ิถูกทาง คือ ปฏิบตั เิ พื่อความรู้ในธรรม เพอ่ื ออกจากทุกข์ ๔. สามีจิปฏปิ ันโน เป็นผูป้ ฏิบตั ิสมควร คือปฏิบตั ิชอบน่านบั ถือ สมควรแกส่ ามีจิกรรม ของมหาชนทวั่ ไป (๔ ขอ้ ขา้ งตน้ น้ีจดั เป็น อตั ตหิตคุณ คือเป็นขอ้ ปฏิบตั ิดีทีจ่ ะทาํ ให้ผูป้ ฏบิ ตั ิไดร้ ับผล) ๕. อาหุเนยโย เป็นผคู้ วรแกก่ ารคาํ นบั คอื ทา่ นเป็นผคู้ วรจะไดร้ ับการสักการะต่างๆ ท่ีเขานาํ มาถวาย ๖. ปาหุเนยโย เป็นผคู้ วรแก่การตอ้ นรบั คือ เป็นผคู้ วรแก่การตอ้ นรับ เพราะท่านปฏบิ ตั ดิ ีงาม ๗. ทกั ขเิ ณยโย เป็นผูค้ วรแกข่ องทาํ บญุ คือ สมควรท่ีจะไดร้ ับของท่ีเขานาํ มาถวาย ๘. อญั ชลีกรณีโย เป็นผคู้ วรแกก่ ารทาํ อญั ชลี คือ ทา่ นเป็นผมู้ ีคณุ ธรรมสูง ทาํ ให้ผกู้ ราบไหวม้ ีความสุขใจ ๙. อนุตตรัง ปญุ ญกั เขตตงั โลกัสสะ เป็นเน้ือนาบญุ ของโลก คอื คนท่ีทาํ บุญกบั ทา่ นจะมีผลมาก. (๕ ขอ้ หลงั น้ีเป็นผลสืบเนื่องมาจาก๔ ขอ้ ขา้ งตน้ เพราะเมือ่ ๔ ขอ้ ตน้ บริสุทธ์ิ ทา่ นจึงจะไดผ้ ลเหล่าน้ีมา) ทสกะ หมวด ๑๐ บารมี ๑๐ (คุณความดีทไ่ี ด้บาํ เพ็ญมาอย่างย่ิงยวด เพ่อื จดุ หมายสูงสุด) ๑. ทานบารมี หมายถึง การให้เสียสละวตั ถุ ส่ิงของ เฉลีย่ แบง่ ปันคนอน่ื เพ่ือกาํ จดั ความตระหน่ีถี่เหนียวให้ หมดไปจากใจ (พระพทุ ธเจา้ ทาํ ในชาติ เป็นพระเวสสันดร) ๒. ศีลบารมี หมายถงึ การรกั ษากายวาจาให้เรียบร้อย มคี วามประพฤติดีงามถูกตอ้ งตามระเบียบวินยั ไม่ เบียดเบียนผอู้ ่นื ไดร้ ับความเดือดร้อน (ทาํ ในชาติ เป็นภูริทตั ต์ ) ๓. เนกขมั มบารมี หมายถึง การออกบวช การพรากตนออกจากกาม คอื ความหมกมุ่นในกามารมณ์ต่าง ๆ (ทาํ ในชาติ เป็นเตมีย)์ ๔. ปัญญาบารมี หมายถึง ความรอบรู้เขา้ ใจสภาวะของสิ่งท้งั หลายตามความเป็นจริง พร้อมท้งั คณุ และโทษ (ทาํ ในชาติ เป็นมโหสถ) ๕. วิริยบารมี หมายถงึ ความเพียรพยายามบากบน่ั ไม่ทอ้ ถอย ไมเ่ กรงกลวั ตอ่ อุปสรรคใดๆ เม่ือต้งั ใจแลว้ ไม่เสร็จไม่เลิก (ทาํ ในชาติ เป็นมหาชนก) ๖. ขันตบิ ารมี หมายถึง อดทนต่อความลาํ บากตรากตราํ อดทนตอ่ คาํ กลา่ วเสียดสี คาํ ตเิ ตยี นต่างๆ (ทาํ ใน ชาติ เป็นจนั ทรกมุ าร) ๗. สัจจบารมี หมายถงึ มีความสัตยจ์ ริง เมอ่ื พดู แลว้ ตอ้ งทาํ จริง ๆ จริงใจตอ่ ส่ิงทไี่ ดล้ น่ั วาจาไวแ้ ลว้ รักษา คาํ พดู แมต้ วั จะตายกย็ อม (ทาํ ในชาติ เป็นวิทูรย)์

¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»ÃÔ¨ à©··èÕò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªéѹⷠ๕๕ ๘. อธษิ ฐานบารมี หมายถึง ความต้งั ใจมนั่ ในสจั จาอธิษฐาน ทาํ ตามจุดหมาย ของตนที่ไดว้ างเอาไว้ (ทาํ ใน ชาติ เป็นเนมริ าช) ๙. เมตตาบารมี หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาดีต่อเพ่ือนร่วมโลกท้งั หมด ขอใหเ้ ขามีความสุข กายสบาย ใจทุกตวั ตน (ทาํ ในชาติ เป็นสุวรรณสาม) ๑๐. อเุ บกขาบารมี หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง สม่าํ เสมอ ไม่เอนเอียงไปดว้ ย ความรัก ความหลง ความ ชงั ความโกรธ ความกลวั (ทาํ ในชาติ เป็นนารทะ) บารมี ๑๐ มี ๓ ระดบั (บารมี, อปุ บารม,ี และปรมตั ถบารม)ี สัมมัตตะ ๑๐ ความเป็นของถกู ตอ้ งดีงาม ๑. สัมมาทฎิ ฐิ ความเห็นชอบ ไดแ้ ก่ การเห็นอริยสัจ ๔ ประการ ๒. สัมมาสังกปั ปะ ความดาํ ริชอบ ไดแ้ ก่ คดิ ไปในทางดี ๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ ไดแ้ ก่ เวน้ จากวจีทจุ ริต ๔ อยา่ ง มกี ารพดู เทจ็ เป็นตน้ ๔. สัมมากมั มนั ตะ ทาํ การงานชอบ ไดแ้ ก่ การละเวน้ จากกายทจุ ริต ๓ มกี ารฆา่ สัตว์ เป็นตน้ ๕. สัมมาอาชีวะ เล้ยี งชีวติ ชอบ ไดแ้ ก่ ละการเล้ียงชีวิตในทางผดิ กฎหมาย ผดิ ศีลธรรม ๖. สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ ไดแ้ ก่ พยายามไม่ให้อกศุ ลเกิดข้นึ ในจิตใจของตน ๗. สัมมาสติ ระลกึ ชอบ ไดแ้ ก่ ระลกึ ถึงแต่ความดี ที่ทาํ ใหจ้ ิตใจตวั เองผอ่ งใสอยเู่ สมอ ๘. สัมมาสมาธิ ความต้งั ใจชอบ ไดแ้ ก่ การต้งั ใจบาํ เพญ็ เพียร ตามหลกั สมถกรรมฐาน ๙. สัมมาญาณ ความรู้ทีช่ อบ ไดแ้ ก่ สจั จญาณ, กจิ จญาณ, กตญาณ หรือรู้ว่าอะไรถกู อะไรผดิ ๑๐. สัมมาวมิ ุตติ ความหลดุ พน้ ชอบ ไดแ้ ก่ การเป็นพระอรหนั ต์ หมดกิเลสาสวะ. สงั โยชน์ ๑๐ (กเิ ลสอนั ผกู มดั ใจสตั วไ์ วก้ บั ทกุ ข)์ ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นทเ่ี ป็นเหตุให้ถอื ตวั ไดแ้ ก่ เห็นวา่ อตั ภาพร่างกายน้ีเป็นตวั ตน เป็นตวั กู ๒. วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลสงสยั ไม่แน่ใจ ไดแ้ ก่ ไมแ่ น่ใจวา่ จะเช่ือศาสนาไหนดี จะเชื่อคาํ สอนของใครดี ลงั เลอยู่ ไม่รู้ว่าจะเอาศาสนาไหน มวั แต่สงสัยอยู่ เลยหาที่พ่งึ ทางใจไม่ได้ ๓. สีลพั พตปรามาส ความถอื มนั่ ศีลพรตโดยสกั วา่ ทาํ ตาม ๆ กนั ไปอยา่ งงมงาย ไดแ้ ก่ การออ้ นวอนขอพร พระเจา้ ที่ทาํ สืบๆ กนั มา โดยที่ไมร่ ู้เลยวา่ พระเจา้ เป็นใครมาจากไหน เป็นตน้ ๔. กามราคะ ติดในรสของกาม ไดแ้ ก่ การยึดติดส่ิงของท่ีเห็นว่าสวยงาม เสียงไพเราะ เป็นตน้ ๕. ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทง่ั ทางจิต ไดแ้ ก่ ความหงดุ หงดิ ความขดั เคอื งภายในใจ สังโยชน์ ๕ ขอ้ น้ีเป็นกิเลสเบ้ืองต่าํ มีช่ือเรียกวา่ โอรัมภาคยิ สังโยชน์ ใน ๕ ขอ้ น้ี ขอ้ ๑, ๒ และ ๓ พระ โสดาบนั ตดั ได้ ขอ้ ที่ ๔ และ ๕ พระสกทาคามี ทาํ ใหเ้ บาบางลงได้ แต่พระอนาคามสี ามารถตดั ได้ ๖. รูปราคะ ความตดิ ใจในรูปธรรม ไดแ้ ก่ ความติดในรูปธรรมอนั ประณีตที่มีไดด้ ว้ ยอารมณแ์ ห่งรูปฌาน ๗. อรูปราคะ ความตดิ ใจในอารมณ์อรูปธรรม ไดแ้ ก่ ความติดใจในอรูปฌาน หรือตดิ ใจในอรูปภพ

๕๖ ¸ ÃÃÁÇÀÔÒ¤»Ã¨Ôà©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒª¹éÑâ· ๘. มานะ ความถอื ตวั ไดแ้ ก่ มานะท้งั ๙ อยา่ ง ๙. อทุ ธจั จะ ความฟ้งุ ซ่าน ไดแ้ ก่ ความคิดไปเรื่อย ๆหาสาระมิได้ เป็นการสร้างวิมานในอากาศ ๑๐. อวิชชา ความไมร่ ู้ ไดแ้ ก่ ความไม่รู้ในอริยสจั ๔ ถอื เป็นอนั สาํ คญั ทีส่ ุดในสังโยชน์ ๑๐ สังโยชนข์ อ้ ท่ี ๖, ๗, ๘, ๙ และ ๑๐ จดั เป็นกิเลสเบ้อื งสูง มชี ่ือเรียกวา่ อุทธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๆ น้ีพระ อรหันตส์ ามารถตดั ไดโ้ ดยสิ้นเชิง. ทวาทสกะ หมวด ๑๒ กรรม ๑๒ การกระทาํ ทีป่ ระกอบดว้ ยเจตนา ดีกต็ ามชวั่ กต็ ามในทีน่ ้ีหมายเอากรรมแต่ละประเภททใ่ี หผ้ ลต่างกนั หมวดที่ ๑ ให้ผลตามกาลเวลา ๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม กรรมที่ให้ผลในชาติน้ี ๒. อปุ ัชชเวทนียกรรม กรรมทใี่ หผ้ ลในชาติหน้า ๓. อปราปรเวทนยี กรรม กรรมท่ใี ห้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ๔. อโหสิกรรม กรรมทเี่ ลิกใหผ้ ลแลว้ ไมม่ ผี ลอกี หมวดที่ ๒ ให้ผลตามกิจ คือ ตามหนา้ ทีข่ องตนๆ ๕. ชนกกรรม กรรมแตง่ ให้เกิด กรรมทีเ่ ป็นตวั นาํ ไปเกิด ๖. อปุ ัตถกรรม กรรมที่มาสนบั สนนุ ซ้าํ เตมิ ตอ่ จากชนกกรรม ๗. อปุ ปี ฬกกรรม กรรมบบี ค้นั ตดั ผลดีท่ีพอจะไดเ้ สีย ๘. อปุ ปฆาตกรรม กรรมตดั รอนใหเ้ สียผลประโยชน์ เช่น เป็นลกู เศรษฐี มปี ัญญาดี แตอ่ ายสุ ้นั หมวดที่ ๓ กรรมใหผ้ ลตามลาํ ดบั คอื ความหนกั เบาของกรรมน้นั ๙. ครุกรรม กรรมที่ใหผ้ ลหนกั ท่สี ุด ไดแ้ ก่ อนนั ตริยกรรม ๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม กรรมที่ทาํ มามากให้ผลรองลงมาจากครุกรรม ๑๑. อาสันนกรรม กรรมที่ทาํ เมอ่ื จวนเจียนเวลาจะตาย ยงั ติดตาติดใจใหม่ ๆ อยู่ ๑๒. กตัตตากรรม กรรมทท่ี าํ เพียงสกั วา่ ทาํ เพราะไมม่ ีเจตนาหรือมีนอ้ ย เช่น เราเดินทางเหยียบมดดาํ มด แดง ตายโดยไม่รู้ตวั เมื่อไม่มกี รรมอน่ื ให้ผลจริงๆ กรรมน้ีก็จะให้ผล. เตรสกะ หมวด ๑๓ ธุดงค์ ๑๓ (ข้อปฏิบตั ปิ ระพฤตวิ ตั รที่ผู้สมคั รใจสมาทานประพฤติ เพื่อเป็ นอบุ ายขัดเกลากเิ ลส) หมวดท่ี ๑ เก่ียวกบั จีวร ๑. บังสุกูลกิ งั คะ ผถู้ ือผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร คอื การไม่ยอมรับจีวรที่เขาถวาย ชอบเทยี่ วแสวงหาเอาผา้ บงั สุกลุ คือ เศษผา้ ผา้ ห่อศพ ทา่ นจะไปเก็บเอามาซกั แลว้ เยบ็ ทาํ เป็นจีวร คาํ สมาทานวา่ ดงั น้ี “คหปตจิ วี รํ

¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»ÃÔ¨ à©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒªÑé¹â· ๕๗ ปฏิกขฺ ิปามิ, ปสุกลู ิกงฺคํ สมาทิยามิ” ๒. เตจีวริกงั คะ ผูถ้ อื เพียงไตรจีวรเป็นวตั ร คอื การใช้ผา้ ไตรจีวรของตน ๓ ผนื เทา่ น้นั มีคาํ สมาทานว่า “จตตุ ฺตถจีวรํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, เตจวี รีกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ หมวดที่ ๒ เก่ียวกบั บิณฑบาต ๓. ปิ ณฑปาตกิ ังคะ ผูถ้ ือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวตั ร คอื การไม่ยอมรบั กิจนิมนตไ์ ปฉนั ตามบา้ นฉนั เฉพาะ อาหารบิณฑบาตเทา่ น้นั สมาทานวา่ “อติเรกลาภํ ปฏกิ ฺขามิ ปิ ณฑฺ ปาตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ ๔. สปาทานจาริกังคะ ผูถ้ อื การบณิ ฑบาตไปตามลาํ ดบั บา้ นเป็นวตั ร คอื การไม่เทยี่ วบณิ ฑบาตไปท่โี นน้ บา้ งทน่ี ้ีบา้ งตามชอบใจ มีคาํ สมาทานวา่ “โลลปุ ฺปจารํ ปฏกิ ขฺ ิปาม,ิ สปทานจาริกงคฺ ํ สมาทิยาม”ิ ๕. เอกาสนกิ งั คะ ถือการนั่งฉันคร้ังเดยี วเป็ นวัตร คือฉันวนั ละคร้ัง ถา้ ไดล้ กุ จากอาสนะแลว้ จะไมฉ่ นั อกี มี คาํ สมาทานว่า “นานาสนโภชนํ ปฎิกขฺ ปิ าม,ิ เอกาสนกงคฺ ํ สมาทิยามิ” ๖. ปัตตปิ ณฑิกังคะ ถือการฉนั ในบาตรเป็นวตั ร คอื มอี าหารหวานคาวกเ็ อาใส่ในบาตรแลว้ ก็ฉันไมต่ อ้ งใส่ ถว้ ยจานให้ยาก มีคาํ สมาทานวา่ “ทตุ ยิ ภาชนํ ปฏกิ ขฺ ิปาม,ิ ปตตฺ ปิ ณฺฑกิ งฺคํ สมาทยิ าม”ิ ๗. ขลปัจฉาภตั ตกิ ังคะ ถือการไมร่ ับภตั ทเ่ี ขานาํ มาถวายภายหลงั คือ เมอื่ ต้งั ใจจะลงมือฉันแลว้ เมอื่ มคี นเอา อาหารมาเพ่มิ อกี จะไม่รบั มคี าํ สมาทานวา่ “อตริ ิตตฺ โภชนํ ปฎกิ ฺขปิ าม,ิ ขลฺปจฺฉาภตตฺ กิ งฺคํ สมาทยิ าม”ิ หมวดที่ ๓ เกี่ยวเสนาสนะ ๘. อารัญญกิ ังคะ ถอื การอยปู่ ่ าเป็นวตั ร คือ การอยใู่ นป่ าห่างจากบา้ น ๒๕ เสน้ มคี าํ สมาทานว่า “คามนฺต เสนาสนํ ปฏิกฺขปิ าม,ิ การญญกิ งคฺ ํ สมาทิยามิ” ๙. รุกขมลู กิ ังคะ ถอื การอยโู่ คนตน้ ไมเ้ ป็นวตั ร คือ ฝนจะตก แดดจะออก กข็ ออยโู่ คนตน้ ไมไ้ มเ่ ขา้ ไปอยใู่ น กฎุ ิวหิ าร มีคาํ สมาทานวา่ “ฉนนํ ปฎกิ ฺขิปามิ,รุกขฺ มลู ิกํ สมาทิยามิ” ๑๐. อัพโภกาสิกงั คะ ถอื การอยทู่ ี่แจง้ เป็นวตั ร คือการไมเ่ ขา้ ร่มไมช้ ายคาท่มี มุ บงั มีคาํ สมาทานวา่ “ฉนฺน�ฺจ รุกฺขมลู �จฺ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, อพโภกาสิกงคฺ ํ สมาทยิ ามิ” ๑๑. โสสานกิ งั คะ ถอื การอยปู่ ่ าชา้ เป็นวตั ร คือ อยเู่ ฉพาะในป่ าชา้ ไม่อยทู่ ่ีอื่น มคี าํ สมาทานวา่ “อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ, โสสานกิ งฺคํ สมาทยิ าม”ิ ๑๒. ยถาสันถตกิ ังคะ ถือการอยใู่ นเสนาสนะแลว้ แต่เขาจะจดั ให้ คือเขาจดั ให้อยดู่ ีกอ็ ยู่ จดั ให้ไม่ดีก็อยอู่ ยา่ ง น้นั ไม่วา่ แลว้ แต่คนจดั มีคาํ สมาทานวา่ “เสนาสนโลลปุ ปฺ ํ ปฏิกขฺ ปิ าม,ิ ยถาสนฺถติ กงคฺ ํ สมาทยิ ามิ” หมวดท่ี ๔ เก่ียวกบั ความเพยี ร ๑๓. เนสัชชิกงั คะ ผถู้ ือการนง่ั เป็นวตั ร คอื ไมน่ อนเลย อยดู่ ว้ ยการยนื เดิน นงั่ ๓ อิริยาบถน้ีเทา่ น้นั มคี าํ สมาทานวา่ “เสยฺยํ ปฏิกขฺ ิปามิ, เนสชฺชิกงคฺ ํ สมาทิยาม”ิ ธุดงควตั รน้ี มสี ่วนช่วยให้เกิดความมกั นอ้ ยสันโดษยินดีทีส่ งดั ช่วยเพิ่มพนู อริยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วมิ ตุ ติ วมิ ุตตญิ าณทสั สนะ ให้สูงข้นึ . ปณั ณรสกะ หมวด ๑๕ จรณะ ๑๕ (ข้อปฏิบตั อิ ันเป็ นทางให้บรรลถุ ึงวชิ ชา หรือ พระนพิ พาน)

๕๘ ¸ ÃÃÁÇÔÀÒ¤»Ã¨Ôà©··Õèò ¸ ÃÃÁÈ¡ÖÉÒª¹éÑâ· ๑. สีลสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยศลี คอื ความประพฤติถกู ตอ้ งดีงาม มมี ารยาทเรียบร้อย ๒. อินทริยสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยอนิ ทรีย์ คือ การสาํ รวม ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ไมใ่ ห้เกิดความกาํ หนดั ขดั เคืองลมุ่ หลงมวั เมาในอนิ ทรียเ์ หล่าน้นั ๓. โภชเนมัตตัญ�ตุ า รู้จกั พอดีในการบริโภคอาหาร คอื ไมท่ านมากเกินไป ไม่นอ้ ยเกินไป บริโภคพอใหม้ ี กาํ ลงั ในการประกอบการงาน และปฏิบตั ิธรรมได้ ๔. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรของผตู้ ่นื อยู่ คอื ไม่เห็นแกน่ อนมากเกินไป ไม่ยอมให้ความง่วงนอน เขา้ ครอบงาํ ๕. สัทธา ความเชื่อ คือ เชื่อความมีอยขู่ องกรรม เช่ือผลของกรรม ๖. หริ ิ ความละอายแก่ใจ คอื ละอายในการทาํ บาปท้งั ในทแี่ จง้ ท้งั ในท่ลี บั ท้งั ทเี่ ป็นวจีทจุ ริต มโนทจุ ริต และกายทจุ ริต ๗. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อบาป ความกลวั ต่อการกระทาํ ชว่ั ทุกอยา่ ง ๘. พาหุสัจจะ ความเป็นผไู้ ดฟ้ ังมาก คือไดร้ ับการศกึ ษามามาก ไดย้ ินไดฟ้ ังมามาก ทรงจาํ พจิ ารณาและ แทงตลอดถึงปัญหาดว้ ยปัญญาของตนเองได้ ๙. วิริยะ ความเพยี ร คือ ความขยนั หมน่ั เพียรท้งั ทเ่ี ป็นไปทางกายและทางจิต เพยี รละบาปอกุศล เพยี รทาํ กศุ ล ๑๐. สติ ความระลึกได้ คือ สามารถระลกึ ถงึ เรื่องที่ทาํ คาํ พดู ท้งั ในขณะกอ่ นทาํ หลงั ทาํ กอ่ นพดู หลงั พูด ๑๑. ปัญญา ความรอบรู้ คือ ความรอบรู้ในกองสงั ขารตามความเป็นจริง รู้เหตุปัจจยั แห่งความเกิดดบั ของ สงั ขาร สามารถทาํ ลายกิเลส ทาํ ใหต้ นหลุดพน้ จากทุกขไ์ ด้ ๑๒. ปฐมญาน มีองค์ ๕ คือ วติ ก วจิ าร ปิ ติ สุข เอกคั คตา ๑๓. ทุตยิ ฌาน มอี งค์ ๓ คอื ปิ ติ สุข เอกคั คตา ๑๔. ตตยิ ฌาน มอี งค์ ๒ คอื อุเบกขา เอกคั คตา ๑๕. จตตุ ถฌาน มีองค์ ๒ คือ อเุ บกขา เอกคั คตา จรณะท้งั ๑๕ ประการน้ี ในบาลที ่านว่าเป็นเสขปฏปิ ทา คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิอนั เป็นทางดาํ เนินของพระเสขะ.                   


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook