แนวทางการจดั การเรยี นรู ธรรมศกึ ษา ช้นั ตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม) สํานกั สงเสริมกจิ การการศกึ ษา สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
แนวทางการจดั การเรียนรู้ ธรรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม) สำ�นักส่งเสรมิ กิจการการศึกษา ส�ำ นักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ช้นั ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม) ปีที่พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ จ�ำ นวนพมิ พ ์ ๑๐๐ เล่ม ลขิ สิทธ์ิ สำ�นักส่งเสริมกิจการการศึกษา สำ�นักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ พิมพท์ ี่ โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำ กดั ๗๙ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑ นายโชคดี ออสุวรรณ ผู้พมิ พผ์ ู้โฆษณา
คำ�น�ำ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษาระหว่าง สำ�นักงานแม่กองธรรมสนามหลวง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำ�นักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพื้นฐาน สำ�นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำ�นักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำ�นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจหลักพุทธธรรมที่ถูกต้อง มีความรู้ คู่คณุ ธรรม เสริมสรา้ งศีลธรรม เปน็ พลเมืองดีมีคุณภาพ สรา้ งภูมคิ ุ้มกนั ให้ผู้เรียนหา่ งไกลอบายมุข สง่ิ เสพติด สิ่งผิดกฎหมาย และนำ�ไปสคู่ วามสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คม เพอื่ ใหเ้ กดิ การขบั เคลอื่ นการด�ำ เนนิ งานตามบนั ทกึ ขอ้ ตกลงความรว่ มมอื ในการจดั การเรยี นการสอน ธรรมศึกษาในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดเป็นรูปธรรม อันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและ พัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในสถานศึกษาอย่างยั่งยืน กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัด ท�ำ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั ตรี โท เอก เพ่ือใหน้ กั เรยี น นิสิต นกั ศึกษา มคี วามรคู้ วามเข้าใจ เกี่ยวกบั วิชาธรรม วชิ าพทุ ธ และวิชาวนิ ยั กระทรวงศึกษาธิการหวังเป็นอย่างย่ิงว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันตรี โท เอก จะเป็นแนวทางการเรียนการสอนให้กับคณะครู อาจารย์ นำ�ไปสอนได้ตามหลักสูตร เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำ�วัน และขอขอบคุณคณะผู้จัด ซ่ึงประกอบด้วย ส�ำ นกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศึกษานครปฐม เขต ๒ ส�ำ นกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมนครราชสีมา เขต ๓ และโรงเรียนวัดราชบพิธ ท่ีมีความมุ่งม่ันตั้งใจพัฒนาเอกสารชุดน้ีอย่างเต็มความสามารถจนบรรลุ วตั ถุประสงค์ (รองศาสตราจารย์กำ�จร ตติยกว)ี ปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร
สารบญั หน้า เรื่อง ๑ ๓ ค�ำ นำ� ๑๐ บทท่ี ๑ ประวัตนิ กั ธรรม ธรรมศกึ ษา ๑๒ บทท่ี ๒ เทคนคิ วธิ ีสอนของพระพทุ ธเจ้า ๑๓ บทที่ ๓ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ ๓๒ บทที่ ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ ๖๗ แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ ๑ ๙๑ แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ ๒ ๙๒ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๓ ๙๘ บทที่ ๕ แบบทดสอบ ๙๙ แบบทดสอบกอ่ นเรียน ๑๐๕ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน ๑๐๗ แบบทดสอบหลังเรียน ๑๐๘ เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น ๑๐๙ ภาคผนวก บรรณานกุ รม คณะผู้จดั ทำ�
1 บทที่ ๑ ประวตั นิ ักธรรม ธรรมศึกษา การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือที่เรียกกันว่า นักธรรม เกิดขึ้นตามพระดำ�ริของ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นการศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยในภาษาไทย เพ่ือให้ภิกษุ สามเณรผู้เป็นกำ�ลังสำ�คัญของพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาพระธรรมวินัยได้สะดวกและทั่วถึง อันจะเป็น พน้ื ฐานน�ำ ไปสูส่ ัมมาปฏบิ ัติ ตลอดจนเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาให้กวา้ งไกลออกไป การศึกษาพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณมา นิยมศึกษาเป็นภาษาบาลีที่เรียกว่า การศึกษาพระปริยัติธรรม ซ่ึงเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ยากสำ�หรับภิกษุสามเณรท่ัวไป จึงปรากฏว่าภิกษุสามเณร ท่ีมีความรู้ในพระธรรมวินัยอย่างท่ัวถึงมีจำ�นวนน้อย เป็นเหตุให้สังฆมณฑลขาดแคลนพระภิกษุผู้มีความรู้ ความสามารถทจี่ ะชว่ ยกจิ การพระศาสนาทงั้ ในดา้ นการศกึ ษา การปกครอง และการแนะน�ำ สงั่ สอนประชาชน ดงั น้ัน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จงึ ไดท้ รงพระดำ�รวิ ธิ ีการเลา่ เรียนพระธรรมวนิ ยั ในภาษาไทยขึ้น สำ�หรับสอนพระภิกษุสามเณรวัดบวรนิเวศวิหารเป็นคร้ังแรก นับแต่ทรงรับหน้าที่ปกครอง วัดบวรนิเวศวหิ าร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา โดยทรงกำ�หนดหลักสตู รการสอนใหภ้ กิ ษสุ ามเณรไดเ้ รยี นรู้ พระพทุ ธศาสนาทั้งด้านหลักธรรม พทุ ธประวตั ิ และพระวินยั ตลอดถงึ หัดแตง่ เรยี งความแก้กระทู้ธรรม เม่ือทรงเห็นว่า การเรียนการสอนพระธรรมวินัยเป็นภาษาไทยดังน้ีได้ผล ทำ�ให้ภิกษุสามเณร มีความรู้กว้างขวางขึ้น เพราะเรียนรู้ได้ไม่ยาก จึงทรงดำ�ริท่ีจะขยายแนวทางนี้ไปยังภิกษุสามเณรท่ัวไปด้วย ประกอบกบั ใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ประเทศไทยเรมิ่ มพี ระราชบญั ญตั เิ กณฑท์ หาร ซงึ่ ภกิ ษทุ ง้ั หมดจะไดร้ บั การยกเวน้ สว่ นสามเณรจะยกเวน้ ใหเ้ ฉพาะสามเณรผรู้ ธู้ รรม ทางราชการไดข้ อใหค้ ณะสงฆช์ ว่ ยก�ำ หนดเกณฑข์ องสามเณร ผรู้ ธู้ รรม สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส จงึ ทรงก�ำ หนดหลกั สตู รองคส์ ามเณรรธู้ รรมขน้ึ ต่อมาได้ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์สามเณรรู้ธรรมนั้นเป็น “องค์นักธรรม” สำ�หรับภิกษุสามเณรช้ันนวกะ (คือผู้บวชใหม่) ท่ัวไป ได้รบั พระบรมราชานมุ ัติ เม่อื วันที่ ๒๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และโปรดให้จดั การสอบ ในสว่ นกลางขน้ึ เปน็ ครง้ั แรกในเดอื นตลุ าคมปเี ดยี วกนั โดยใชว้ ดั บวรนเิ วศวหิ าร วดั มหาธาตุ และวดั เบญจมบพติ ร เป็นสถานที่สอบ การสอบครั้งแรกนี้ ๓ วชิ า คอื ธรรมวภิ าคในนวโกวาท แตง่ เรียงความแก้กระทู้ธรรม และ แปลภาษามคธเฉพาะทอ้ งนิทานในอรรถกถาธรรมบท พ.ศ. ๒๔๕๕ ทรงปรับปรงุ หลกั สตู รองค์นักธรรมใหเ้ หมาะสมส�ำ หรบั ภิกษุสามเณรทวั่ ไปจะเรียนรู้ ได้กว้างขวางย่ิงขึน้ โดยแบง่ หลกั สตู รเปน็ ๒ อย่าง คอื อยา่ งสามญั เรียนวิชาธรรมวภิ าค พุทธประวตั ิ และ เรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม และอยา่ งวสิ ามญั เพม่ิ แปลอรรถกถาธรรมบท มแี กอ้ รรถบาลไี วยากรณแ์ ละสมั พนั ธ์ และวินยั บัญญัติทต่ี อ้ งสอบทั้งผทู้ ี่เรยี นอย่างสามัญและวสิ ามัญ พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมอีกคร้ังหนึ่ง โดยเพิ่มหลักธรรมหมวดคิหิปฏิบัติ เขา้ ในสว่ นของธรรมวิภาคดว้ ย เพ่อื ใหเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นการครองชีวิตฆราวาส หากพระภกิ ษสุ ามเณรรูปน้นั ๆ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
2 มีความจำ�เป็นต้องลาสิกขาออกไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เรียกว่า นักธรรมช้ันตรี การศึกษาพระธรรมวินัย แบบใหมน่ ี้ ไดร้ บั ความนยิ มจากหมภู่ กิ ษสุ ามเณรอยา่ งกวา้ งขวางและแพรห่ ลายไปอยา่ งรวดเรว็ เพยี ง ๒ ปแี รก กม็ ภี กิ ษสุ ามเณรสมคั รเขา้ สอบสนามหลวงเกอื บพนั รปู เมอ่ื ทรงเหน็ วา่ การศกึ ษานกั ธรรมอ�ำ นวยคณุ ประโยชน์ แก่พระศาสนาและภิกษุสามเณรทั่วไป ในเวลาต่อมาจึงทรงพระดำ�ริขยายการศึกษานักธรรมให้ทั่วถึงแก่ ภิกษุทกุ ระดบั คือ ทรงต้ังหลักสูตรนกั ธรรมช้ันโท สำ�หรับภกิ ษุช้ันมัชฌมิ ะ คอื มีพรรษาเกิน ๕ แตไ่ มถ่ ึง ๑๐ และนักธรรมชัน้ เอก สำ�หรบั ภกิ ษุชั้นเถระ คือมีพรรษา ๑๐ ข้ึนไป ดังทเ่ี ปน็ หลกั สตู รการศึกษาขั้นพ้ืนฐานของ คณะสงฆส์ ืบมาตราบถึงทุกวนั นี้ ต่อมาพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธ สถติ มหาสีมาราม ทรงพิจารณาเห็นวา่ การศกึ ษานักธรรมมิได้เปน็ ประโยชน์ตอ่ ภกิ ษสุ ามเณรเทา่ น้ัน แมผ้ ูท้ ี่ ยังครองฆราวาสวิสัยก็จะได้รับประโยชน์จากการศึกษานักธรรมด้วย โดยเฉพาะสำ�หรับเหล่าข้าราชการครู จึงทรงต้ังหลักสูตรนักธรรมสำ�หรับฆราวาสขึ้น เรียกว่า “ธรรมศึกษา” มีครบท้ัง ๓ ช้ัน คือ ช้ันตรี ช้ันโท ชนั้ เอก ซง่ึ มเี นอ้ื หาเชน่ เดยี วกนั กบั หลกั สตู รนกั ธรรมภกิ ษสุ ามเณร เวน้ แตว่ นิ ยั บญั ญตั ทิ ที่ รงก�ำ หนดใชเ้ บญจศลี เบญจธรรม และอุโบสถศีลแทน ได้เปิดสอบธรรมศึกษาชั้นตรีครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ และเปิดสอบ ครบทุกชั้นในเวลาต่อมา มีฆราวาสทั้งหญิงและชายเข้าสอบเป็นจำ�นวนมาก นับเป็นการส่งเสริมการศึกษา พระพทุ ธศาสนาให้กวา้ งขวางย่งิ ข้นึ ปัจจุบันการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมน้ี มีสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เน้นการพัฒนาศาสนทายาทให้มีคุณภาพสามารถดำ�รง พระศาสนาไว้ได้ด้วยดี ท้ังถือว่าเป็นกิจการของคณะสงฆ์ส่วนหน่ึงที่สำ�คัญย่ิงในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศไทยมาตง้ั แต่ครั้งอดีตจนถงึ ปัจจบุ นั แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชน้ั ตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
3 บทท่ี ๒ เทคนิควธิ ีสอนของพระพทุ ธเจ้า ๑. การทำ�นามธรรมใหเ้ ปน็ รูปธรรม ท�ำของยากให้ง่าย ธรรมะเปน็ เรือ่ งนามธรรมทม่ี ีเนือ้ หาลกึ ซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ ย่งิ เปน็ ธรรมะระดับ สูงสุดก็ย่ิงลึกล�้ำคัมภีรภาพยิ่งข้ึน....ความส�ำเร็จแห่งภารกิจการส่ังสอนประชาชนส่วนหน่ึง เพราะพระองค์ ทรงใช้เทคนคิ วิธีการท�ำของยากใหง้ า่ ย เชน่ ๑.๑ การใช้อุปมาอุปไมย วิธีนี้เป็นวิธีทรงใช้บ่อยที่สุดวิธีหน่ึง เพราะทำ�ให้ผู้ฟังมองเห็นภาพ และเข้าใจงา่ ยโดยไม่ต้องเสยี เวลาอธบิ ายความใหย้ ืดยาว ๑.๒ ยกนิทานประกอบ เปน็ เทคนิคหรอื กลวิธีหนง่ึ ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงใชบ้ ่อย ๑.๓ ใช้อปุ กรณห์ รอื สอ่ื การสอน เทคนคิ วธิ สี อนดว้ ยการกระท�ำ ของยากใหง้ า่ ย หรอื ท�ำ นามธรรม ใหเ้ ป็นรูปธรรม นอกจากใช้อุปมาอุปไมยและเลา่ นทิ านประกอบแลว้ ยงั มอี ีกวธิ ีหนง่ึ อนั เป็นวิธีทีพ่ ระพทุ ธองค์ ทรงใช้มากพอ ๆ กับสองวิธีขา้ งต้น คอื การใชส้ ือ่ อปุ กรณ์หรอื ใชส้ ื่อการสอน ๒. ทำ�ตนเป็นตัวอยา่ ง ในแงข่ องการสอนอาจแบง่ ออกเปน็ ๒ อย่าง คือ ๒.๑ ทำ�ใหด้ หู รือสาธติ ใหด้ ู ๒.๒ ปฏิบัติให้ดเู ป็นตัวอย่าง ๓. ใช้ถอ้ ยคำ�เหมาะสม การสอนท่ีจะประสบผลสำ�เร็จ ผู้สอนจะต้องรู้จักใช้คำ� ต้องให้ผู้ฟังรู้สึกว่าผู้พูดพูดด้วยเมตตาจิต มใิ ช่พูดด้วยความมงุ่ ร้าย ๔. เลือกสอนเปน็ รายบคุ คล ผู้สอนต้องรู้ว่าคนฟังน้ันต่างภูมิหลัง ต่างความสนใจ ต่างระดับสติปัญญาการเรียนรู้ เพราะ ฉะน้ันการเลือกสอนเป็นรายบุคคลจะช่วยให้การสอนประสบความสำ�เร็จเป็นอย่างดี ถ้าทำ�ได้ก็ควรใช้วิธีน้ี แม้จะสอนเป็นกลมุ่ กต็ ้องเอาใจใสน่ กั เรยี นท่ีมีปัญหาเปน็ รายบุคคลใหไ้ ด้ ๕. ร้จู ักจงั หวะและโอกาส ดูความพรอ้ มของผูเ้ รียน รูจ้ กั คอยจงั หวะอนั เหมาะสม ถ้าผู้เรยี นไมพ่ ร้อมกเ็ หนอื่ ยเปลา่ ๖. ยดื หยนุ่ ในการใช้เทคนิควิธี เทคนิควธิ บี างอยา่ งใชไ้ ดผ้ ลในวันน้ี ตอ่ ไปวันขา้ งหนา้ อาจใชไ้ ม่ได้กไ็ ด้ จงึ ควรยดื หย่นุ วธิ ีการ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
4 ๗. การเสริมแรง มีค�ำ พูดสรรเสรญิ พระพทุ ธเจ้าวา่ “ทรงชมคนท่คี วรชม ต�ำ หนคิ นทค่ี วรตำ�หนิ” การชมเป็นการ ยอมรับความสามารถหรือให้กำ�ลังใจให้ทำ�อย่างนั้นยิ่ง ๆ ข้ึนไป การตำ�หนิเป็นการตักเตือนมิให้ประพฤติ เชน่ นนั้ อกี ต่อไป หลักส�ำ คัญทค่ี รผู ูส้ อนควรทราบ หลกั สำ�คญั คอื หลักการใหญ่ ๆ ของการสอนไม่ว่าจะสอนเร่อื งอะไรกม็ ีอยู่ ๓ หลัก คอื ๑. หลักเกี่ยวกับเนอื้ หาท่ีสอน ๒. หลักเก่ียวกบั ตัวผเู้ รียน ๓. หลกั เกย่ี วกับตวั ผ้สู อน ก. หลกั เกี่ยวกบั เนอื้ หาทส่ี อน คนจะสอนคนอน่ื ตอ้ งรวู้ า่ จะเอาเรอื่ งอะไรมาสอนเขาเสยี กอ่ น ไมใ่ ชค่ ดิ แตว่ ธิ กี ารสอนวา่ จะสอน อยา่ งไร ตอ้ งคดิ กอ่ นวา่ จะเอาอะไรไปสอนเขา พระพทุ ธเจา้ แนะน�ำ วา่ ผสู้ อนตอ้ งค�ำ นงึ เสมอวา่ ตอ้ งสอนสง่ิ ทรี่ เู้ หน็ หรือเขา้ ใจงา่ ยไปหาส่ิงทีเ่ ขา้ ใจยาก ๑. สอนเน้ือหาทีล่ มุ่ ลึกลงไปตามลำ�ดบั ๒. สอนด้วยของจรงิ ๓. สอนตรงตามเนอื้ หา ๔. สอนมเี หตผุ ล ๕. สอนเท่าทจี่ �ำ เปน็ ตอ้ งรู้ ๖. สอนสิง่ ท่มี คี วามหมายและเปน็ ประโยชน์แก่ผ้เู รยี น ข. หลกั เก่ียวกบั ตัวผเู้ รียน ๑. พระพทุ ธองคจ์ ะทรงสอนใคร ทรงดบู คุ คลผรู้ บั การสอนหรอื ผเู้ รยี นกอ่ นวา่ บคุ คลนน้ั ๆ เปน็ คนประเภทใด มพี น้ื ความรคู้ วามเข้าใจหรอื ความพรอ้ มแค่ไหน และควรจะสอนอะไรแค่ไหน ๒. นอกจากดูความแตกต่างของผู้เรียนแลว้ ยงั ต้องดูความพรอ้ มของผเู้ รยี นดว้ ย ๓. สอนให้ผเู้ รยี นท�ำ ดว้ ยตนเอง ๔. ผเู้ รียนจะต้องมบี ทบาทรว่ มดว้ ย ๕. ครูตอ้ งเอาใจใส่ผ้เู รียนทม่ี ีปญั หาเปน็ พิเศษ ค. หลักเกี่ยวกบั ตวั การสอน ๑. สร้างความสนใจในการสอนคนน้ัน (การน�ำ เขา้ สู่บทเรียน) ๒. สร้างบรรยากาศในการเรยี นการสอนให้ปลอดโปร่ง ๓. มุง่ สอนเนอื้ หา มงุ่ ใหผ้ ูฟ้ ังเกิดความร้คู วามเขา้ ใจและเปลี่ยนพฤติกรรมในทางทดี่ ี ๔. ต้งั ใจสอน สอนโดยเคารพ ถอื วา่ งานสอนเปน็ งานส�ำ คัญ ๕. ใช้ภาษาเหมาะสม ผู้สอนคนอื่นควรมีความสามารถในการส่ือสาร ใช้คำ�พูดท่ีถูกต้อง และเหมาะสมกบั บุคคลและสถานการณ์ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
5 หลกั การสอนแนวพุทธวธิ ี พระพทุ ธเจา้ นนั้ ทรงเปน็ พระบรมครู ยอดครขู องผสู้ อน พระองคท์ รงมหี ลกั การในการสอนมากมาย หลายหลักการ เรียกว่า “หลกั ๔ ส” คือ ๑. สันทัสสนา อธิบายใหเ้ ห็นชดั แจ้ง เหมอื นจูงมือใหม้ าดดู ้วยตา ๒. สมาทปนา ชกั จูงใหเ้ ห็นจรงิ เหน็ จังตาม ชวนใหค้ ล้อยตาม จนยอมรับเอาไปปฏิบตั ิ ๓. สมุตเตชนา เร้าใจ เกิดความกล้าหาญ มกี �ำ ลังใจ มนั่ ใจวา่ ท�ำ ได้ไม่หวน่ั ไหวต่ออุปสรรคท่ีมมี า ๔. สมั ปหังสนา มวี ิธสี อนทีช่ ว่ ยให้ผ้ฟู งั รา่ เรงิ เบิกบาน ฟังไม่เบือ่ เปีย่ มล้นไปดว้ ยความหวงั สรปุ หลักการทัว่ ไปของการสอน คือ แจ่มแจ้ง - จงู ใจ - หาญกล้า - รา่ เรงิ หลกั การสอนพุทธวิธีแบบสนทนา (สากจั ฉา หรือธรรมสากจั ฉา) เป็นวิธีท่ีทรงใช้บ่อยท่ีสุด พระองค์ชอบใช้วิธีนี้อาจเป็นด้วยว่าผู้ฟังได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ท�ำ ใหก้ ารเรยี นการสอนสนกุ ไม่ร้สู ึกวา่ ตนกำ�ลงั “เรียน” หรือก�ำ ลงั “ถูกสอน” แต่จะรสู้ กึ วา่ ตนกำ�ลังสนทนา ปราศรยั กับพระพทุ ธองคอ์ ยา่ งสนกุ สนาน หลกั การสอนพุทธวธิ แี บบตอบปัญหา (ปุจฉา - วสิ ัชนา) ผู้ถามปัญหาอาจถามดว้ ยจุดประสงคห์ ลายอยา่ ง เชน่ ๑. บางตนถามเพื่อตอ้ งการคำ�ตอบในเรื่องท่ีสงสัยมานาน ๒. บางคนถามเพ่อื ลองภมู ิวา่ คนตอบรู้หรอื ไม่ ๓. บางคนถามเพื่อข่มหรือปราบใหผ้ ู้ตอบอับอาย ๔. บางคนถามเพ่ือเทียบเคยี งกับความเชอ่ื หรอื คำ�สอนในลทั ธศิ าสนาของตน พระพุทธองค์ตรัสรวู้ า่ การตอบปญั หาใด ๆ ตอ้ งดูลกั ษณะของปัญหาและเลอื กวธิ ตี อบใหถ้ กู ต้อง เหมาะสมพระองคจ์ �ำ แนกประเภทของปัญหาไว้ ๔ ประการ คือ ๑. ปัญหาบางอย่างตอ้ งตอบตรงไปตรงมา ๒. ปัญหาบางอย่างตอ้ งยอ้ นถามก่อนจงึ ตอบ ๓. ปัญหาบางอยา่ งตอ้ งแยกความตอบ ๔. ปัญหาบางอย่างต้องตดั บทไปเลยไม่ตอบ วธิ คี ดิ แบบอรยิ สจั ๔/คดิ แบบแก้ปัญหา เป็นการคิดแบบแก้ปัญหา เรียกว่า “วิธีแห่งความดับทุกข์” จัดเป็นวิธีคิดแบบหลักอย่างหน่ึง เปน็ วธิ ีคดิ ตามเหตุและผลหรือเปน็ ไปตามเหตแุ ละผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขและทำ�การที่ตน้ เหตุ จัดเป็น ๒ คู่ คือ คู่ที่ ๑ ทกุ ขเ์ ป็นผล เป็นตัวปญั หา เป็นสถานการณ์ท่ีประสบซ่งึ ไม่ตอ้ งการ สมุทยั เป็นเหตุ เปน็ ท่ีมาของปัญหา เป็นจดุ ทีจ่ ะตอ้ งกำ�จดั หรอื แกไ้ ขจึงจะพ้นจากปญั หาได้ ค่ทู ่ี ๒ นโิ รธเปน็ ผล เป็นภาวะสนิ้ ปัญหา เป็นจุดหมายซ่ึงต้องการจะเขา้ ถึง มรรคเปน็ เหตุ เป็นวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติท่ีต้องกระทำ�ในการแก้ไขสาเหตุ เพื่อบรรลุ จุดหมาย คอื ภาวะสิ้นปัญหาอันได้แกค่ วามดบั ทกุ ข์ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)
6 กระบวนการจัดการเรยี นรู้ แบบพทุ ธวธิ ี ๙ อย่าง ๑. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูพ้ ุทธวิธีแบบอปุ มาอุปไมย (การเปรียบเทยี บ) ข้นั สืบค้นและขน้ั เชือ่ มโยง - เปรียบเทียบนามธรรมกบั รูปธรรมใหผ้ ูเ้ รียนเห็นชัดเจน ครผู ู้สอนและผู้เรยี นมีส่วนรว่ ม - ความแตกต่างระหวา่ งสง่ิ ทีเ่ ป็นนามธรรมกบั รูปธรรม ขนั้ ฝกึ - ยกตัวอย่างส่ิงทเ่ี ปน็ นามธรรมกับรปู ธรรม - ผู้เรยี นแตล่ ะรูปหรือแต่ละกลุม่ รว่ มอภิปรายหรือน�ำ เสนอสงิ่ ท่ีเป็นนามธรรมกบั รปู ธรรม - หาข้อสรุปเกี่ยวกับเนือ้ หาทเ่ี ปน็ นามธรรม-รปู ธรรม ขนั้ ประยกุ ต์ - คน้ ควา้ ส่งิ ที่เปน็ นามธรรมกบั รูปธรรมในเนอ้ื หาอืน่ ๆ นอกเหนอื จากเนือ้ หาทีก่ ำ�หนดให้ ๒. การจดั กิจกรรมการเรียนรพู้ ุทธวิธแี บบปุจฉา - วิสัชนา (การถาม - ตอบ) ขั้นสบื คน้ และขน้ั เชอื่ มโยง - การทำ�หนา้ ท่ีเป็นผถู้ าม - ตอบท่ีถกู ตอ้ งเหมาะสมแกก่ าลเทศะ - วิธีถาม - ตอบ (ตอบทันทีเม่ือมีผู้ถาม ตอบแบบมีเง่ือนไข ย้อนถามผู้ถามก่อนแล้วจึงตอบ นง่ิ เสยี ไม่ตอบ เป็นต้น) ข้ันฝึก - ตัวอยา่ งการถาม - ตอบ - ถาม - ตอบแบบคนต่อคน ถาม - ตอบแบบกลุม่ ต่อกลุ่ม ถาม - ตอบแบบกลุม่ ตอ่ คน เปน็ ตน้ - หาข้อสรุปเนื้อหาทีเ่ ก่ยี วกบั การถาม - ตอบ ข้นั ประยกุ ต์ - ค้นคว้าเพ่มิ เตมิ นอกเหนือจากเนอ้ื หาทก่ี ำ�หนดไวใ้ นแผนจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ๓. การจดั กิจกรรมการเรียนรพู้ ทุ ธวธิ ีแบบธรรมสากจั ฉา (การสนทนา) ข้นั สืบค้นและขัน้ เชื่อมโยง - ครผู สู้ อนเสนอสถานการณ์ท่ีเป็นปญั หาหรอื จ�ำ ลองสถานการณ์ ขัน้ ฝกึ - ผู้เรียน/ครูผู้สอน - อภิปรายในประเด็นท่ีเป็นปัญหา หัวข้อ หรือสถานการณ์ ตามเนื้อหา ที่ก�ำ หนด - หาข้อสรุปในประเด็นท่ีเปน็ ปัญหา หัวข้อ หรอื สถานการณจ์ ากการสนทนาอภิปราย แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วิชาวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
7 ขั้นประยุกต์ - ศึกษาเพ่มิ เตมิ การสนทนา - อภิปรายของบุคคล กลุม่ คน ละคร องคก์ ร เปน็ ตน้ ๔. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอริยสัจ ๔ (กำ�หนดปัญหา ตั้งสมมุติฐาน ทดลอง วเิ คราะห์ สรปุ ) ขั้นสืบคน้ (ทกุ ข์) - ก�ำ หนดปญั หา ทม่ี าของปัญหา การเกิดปัญหา (ตามเนอ้ื หาท่กี ำ�หนด) ขัน้ เชื่อมโยง (สมทุ ยั ) - ต้ังสมมตุ ฐิ าน การอนุมาน การคาดคะเน ความน่าจะเปน็ ปจั จัยเสย่ี ง ข้ันฝกึ (นิโรธ) - ทดลอง เกบ็ ขอ้ มลู - วเิ คราะห์ สรปุ ผล ขน้ั ประยุกต์(มรรค) - การน�ำ ไปประยุกตใ์ ชก้ ับส่ิงอน่ื ๆ นอกเหนอื จากเนอ้ื หาทเ่ี รยี นรู้ ๕. การจัดกิจกรรมการเรยี นร้พู ทุ ธวิธีแบบไตรสิกขา (ระเบยี บวินัย จติ ใจแนว่ แน่ แกป้ ัญหาถูกต้อง) ขน้ั สืบค้น (ศลี ) - สรา้ งความมรี ะเบยี บวนิ ยั ความมศี รทั ธา ความตระหนกั ความเรา้ ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี นพรอ้ มทจี่ ะเรยี น ขนั้ เช่อื มโยง (สมาธ)ิ - ให้ผู้เรียนรวมพลังจิต ความคิดอันแน่วแน่ในการต้ังใจฟัง ตั้งใจดู ตั้งใจจดจำ� และเห็น ความสำ�คัญต่อเน้อื หาทจี่ ะน�ำ เสนอ ขั้นฝกึ (ปัญญา) - ใช้สมาธิ จติ ใจอันแน่วแนท่ �ำ ความเขา้ ใจกบั ปัญหา - คน้ หาสาเหตทุ ่มี าทไ่ี ปของปัญหา - แกไ้ ขปญั หาอยา่ งถูกต้องและถกู วธิ ี ขั้นประยกุ ต์ (ปญั ญา) - ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ เกิดปัญญา และมีมโนทัศน์ในเร่ืองนน้ั ๆ ถกู ตอ้ ง ๖. การจดั กิจกรรมการเรยี นร้พู ทุ ธวธิ แี บบพหูสูต (ฟงั มาก ๆ เขียนมาก ๆ ถามมาก ๆ คดิ วเิ คราะห์มาก ๆ) ขนั้ สืบค้นและขัน้ เชื่อมโยง (การสร้างศรัทธา) - การจดั บรรยายในการน�ำ เข้าส่บู ทเรยี น - การสร้างแรงจูงใจในการนำ�เขา้ สบู่ ทเรียน - บุคลิกภาพ ตลอดถึงการวางตวั ทเี่ หมาะสมของผสู้ อน - การสรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งผเู้ รียนกับผูส้ อน แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)
8 ขั้นฝกึ (การฝึกทักษะ) - กิจกรรมกลุ่ม/รายบคุ คล - การปฏบิ ัต/ิ การน�ำ เสนอ/การแสดงออก - ฝกึ การเขยี น การฟัง การถาม และการคิดวิเคราะห์ ข้นั ประยกุ ต์ - การประเมนิ ตนเอง - การประเมนิ ของกัลยาณมิตร - การศกึ ษาค้นคว้าเพ่มิ เตมิ และการนำ�ไปประยกุ ตใ์ ช้ ๗. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบโยนิโสมนสิการ (การทำ�ไว้ในใจโดยแยบคาย การใช้ ความคิดอย่างถกู วธิ ี) แบบท่ี ๑ ขั้นสบื คน้ และขั้นเชือ่ มโยง - ผเู้ รยี นรู้จักคดิ คดิ เปน็ คิดอยา่ งมีระบบ - ผูเ้ รียนรู้จกั มอง รู้จกั พิจารณา ไตร่ตรอง วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ขนั้ ฝึก - ฝึกการคิดหาเหตผุ ล - ฝึกการสืบคน้ ถึงต้นเค้า - ฝกึ การสบื สาวใหต้ ลอดสาย - ฝึกการแยกแยะสิ่งน้นั ๆ ปัญหานน้ั ๆ ตามสภาวะแหง่ เหตุและปจั จยั ขน้ั ประยุกต์ - ผู้เรียนน�ำ การใช้ความคิดอยา่ งถกู วิธไี ปประยุกต์ใช้กบั เหตกุ ารณป์ จั จุบนั ๘. การจดั กิจกรรมการเรียนรพู้ ุทธวธิ ีแบบโยนิโสมนสกิ าร (สร้างศรทั ธาและวธิ คี ดิ ให้กบั ผูเ้ รยี น) แบบท่ี ๒ ข้ันสบื คน้ และข้นั เชอื่ มโยง - ครผู สู้ อนสร้างเจตคตทิ ีด่ ีต่อผเู้ รยี น - ครูผ้สู อนเสนอปญั หาที่เปน็ สาระส�ำ คญั หวั เร่อื ง - ครูผู้สอนแนะแหล่งวิทยาการ แหล่งขอ้ มลู แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นตรี วชิ าวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
9 ขั้นฝกึ - ผูเ้ รยี นฝึกการรวบรวมขอ้ มลู - ครผู สู้ อนจดั กจิ กรรมใหเ้ กดิ กระบวนการคดิ แกผ่ เู้ รยี น เชน่ คดิ สบื คน้ ตน้ เคา้ คดิ สบื สาวตลอดสาย คิดสืบคน้ ตน้ ปลาย และคดิ โยงสายสัมพนั ธ์ - ฝกึ การสรปุ ประเดน็ เปรยี บเทยี บ ประเมินคา่ โดยวิธีอภิปราย ทดลอง ทดสอบ - ดำ�เนินการเลือกและตัดสินใจ - กจิ กรรมฝกึ ปฏิบตั ิเพอ่ื พสิ ูจน์ผลการเลอื กและตัดสินใจ ขน้ั ประยุกต์ - สงั เกตวิธกี ารปฏิบัติ ตรวจสอบ ปรับปรุง - อภปิ รายและสอบถาม - สรุปบทเรยี นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ - วัดและประเมนิ ผลตามสภาพจริง ๙. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอิทธิบาท ๔ (พอใจในส่ิงท่ีเรียนรู้ พากเพียรต่อสิ่งท่ี เรียนรูเ้ สมอ มุ่งมน่ั และเอาใจใสต่ อ่ สง่ิ ทเี่ รยี นรู้ คิด วิเคราะห์ ไตรต่ รอง กอ่ นน�ำ ไปใช้) ขน้ั สบื ค้น (ฉนั ทะ) - สร้างความพอใจและความสำ�คญั ต่อสิง่ ทีเ่ รียนรู้ และสิง่ ทีไ่ ด้รับ ขัน้ เชื่อมโยง (วิริยะ) - ฟงั ให้หมด จดให้มาก ปากตอ้ งไว ใจตอ้ งคิด (หวั ใจบณั ฑติ สุ จิ ปุ ล)ิ ขัน้ ฝกึ (จติ ตะ) - มุง่ มั่น โดยฝกึ ฟังมาก ๆ ฝกึ คิดมาก ๆ ฝึกถามมาก ๆ และฝกึ เขียนมาก ๆ ขัน้ ประยุกต์ (วมิ งั สา) - พจิ ารณา ไตรต่ รอง แยกแยะ อธิบาย นำ�เสนอ และประยกุ ตใ์ ช้ การนิยามศพั ทข์ น้ั ตอน/กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้พุทธวิธี สบื ค้น หมายถงึ สืบสาวเรอื่ งราว ค้นคว้าให้ได้เร่อื ง เช่ือมโยง หมายถึง ท�ำ ใหต้ ิดเปน็ เนอื้ เดยี วกัน ทำ�ให้ประสานกัน ฝกึ หมายถึง ทำ� เช่น บอก แสดง หรือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จนเปน็ นสิ ยั หรอื มคี วามช�ำ นาญ ประยกุ ต์ หมายถงึ นำ�ความรู้ในวิทยาการตา่ ง ๆ มาปรบั ใชใ้ ห้เปน็ ประโยชน์ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันตรี วิชาวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
10 บทท่ี ๓ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ และสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๑ รู้ และเข้าใจ หลักธรรมของพระพุทธศาสนา มีศรัทธาท่ีถูกต้อง ยึดมั่นและปฏิบัติ ตามหลกั ธรรมเพ่อื อยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ติสขุ มาตรฐาน ธศ ๒ รแู้ ละเข้าใจพทุ ธประวตั ิ ความส�ำ คญั ของพระพทุ ธศาสนา ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนทดี่ ี และธำ�รงรกั ษาพระพทุ ธศาสนา มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏิบัตติ นตามหลกั พระวนิ ยั บญั ญัตขิ องพระพุทธศาสนา แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชัน้ ตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
11 มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรูแ้ ละสาระการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏิบตั ติ นตามหลักพระวินัยบัญญตั ขิ องพระพทุ ธศาสนา ช้ัน ผลการเรยี นร ู้ สาระการเรียนรู้ ๑. ศลี และวินยั ธศ ตรี รู้และเข้าใจความหมายของศีล วินัย วริ ตั ิ ๑.๑ ความหมายของศลี วินยั และวิรตั ิ วตั ถปุ ระสงค์ และผลของการรกั ษาศีล ๕ ๑.๒ วตั ถุประสงคข์ องการรักษาศลี กับการถึงพระรตั นตรยั ๑.๓ ผลของการรักษาศลี ๕ กับการถงึ พระรัตนตรัย รู้ เข้าใจความหมายของค�ำ วา่ เบญจศลี ๑. ความหมายค�ำ วา่ “เบญจศลี ” และสามารถปฏิบัตติ นตามเบญจศีล ๒. เบญจศลี ๒.๑ สกิ ขาบทท่ี ๑ เวน้ จากการฆ่าสัตว์ มชี วี ติ ๒.๒ สกิ ขาบทท่ี ๒ เวน้ จากการถอื เอา สงิ่ ของทเ่ี จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ๒.๓ สิกขาบทท่ี ๓ เวน้ จากประพฤติผิด ในกาม ๒.๔ สกิ ขาบทท่ี ๔ เวน้ จากการพดู เทจ็ ๒.๕ สิกขาบทท่ี ๕ เว้นจากการดืม่ น้ําเมา รู้ เขา้ ใจความหมายของค�ำ วา่ เบญจธรรม ๑. ความหมายคำ�วา่ “เบญจธรรม” และอานิสงส์ของการรักษาศีลและเบญจธรรม ๒. เบญจธรรม ๒.๑ เบญจธรรมข้อท่ี ๑ เมตตากรณุ า ๒.๒ เบญจธรรมขอ้ ที่ ๒ สัมมาอาชีวะ ๒.๓ เบญจธรรมขอ้ ที่ ๓ กามสงั วร ๒.๔ เบญจธรรมขอ้ ที่ ๔ สจั จะ ๒.๕ เบญจธรรมขอ้ ที่ ๕ สติสมั ปชญั ญะ ๓. อานสิ งส์ของการรักษาศลี และเบญจธรรม แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
12 บทท่ี ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ ธรรมศึกษาช้นั ตรี ประกอบดว้ ย แผนการจัดการเรยี นรู้ จำ�นวน ๓ แผน ดังน้ี แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑ ศลี และวินยั แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๒ เบญจศลี แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓ เบญจธรรม แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั ตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ ๑ 13 ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี สาระการเรียนรู้วิชาวนิ ยั เวลา..............ชวั่ โมง เรือ่ ง ศีลและวินัย ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจและปฏบิ ัติตนตามหลักพระวนิ ยั บัญญัตขิ องพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรียนรู้ รู้และเข้าใจความหมายของศีล วินัย วิรัติ วัตถุประสงค์ และผลของการรักษาศีล ๕ กับการถึง พระรัตนตรัย ๓. สาระส�ำ คัญ ศีลและวินัยแม้จะมีรูปศัพท์ต่างกัน แต่มีความมุ่งหมายเป็นอย่างเดียวกัน คือ เป็นข้อห้ามไม่ให้ กระทำ�ในส่ิงที่ไม่ควร และเป็นข้อปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติอยู่ในส่วนของพระวินัย ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติท่ัวไป ท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ ดังนั้นหากแต่ละคนในสังคมรักษาศีล ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ครอบครัว หรือสังคมน้ันย่อมมีความสงบสุข เรียบร้อย ไม่เกิดความวุ่นวาย การรักษาศีลจึงเป็นไปเพ่ือประโยชน์ ทง้ั ต่อตนเองและสงั คม ๔. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๑. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของศีล วินัย วิรัติ วัตถุประสงค์ และผลของการรักษา ศลี ๕ กับการถึงพระรัตนตรัยได้ ๒. นกั เรียนสามารถปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ ได้ ๕. สาระการเรยี นรู/้ เน้ือหา ๑. ศีลและวินัย ๑.๑ ความหมายของศีล วินัย และวิรตั ิ ๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของการรักษาศีล ๑.๓ ผลของการรกั ษาศีล ๕ กบั การถงึ พระรตั นตรยั ๖. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ขน้ั สืบคน้ และเช่ือมโยง ๑. ทบทวนความร้เู ดิมเกี่ยวกับประสบการณข์ องนักเรยี นดว้ ยการสนทนา ซักถามถงึ ความหมาย ของค�ำ วา่ “ศีล วนิ ยั และวริ ัติ” ในประเด็นต่อไปนี้ - นกั เรยี นเคยไดย้ ินหรอื เคยเหน็ ค�ำ ว่า ศีล วินยั และวริ ัตบิ ้างหรอื ไม่ อยา่ งไร - ค�ำ วา่ ศลี วนิ ยั และวริ ตั มิ คี วามหมายเหมอื นหรือแตกตา่ งกันอยา่ งไร แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)
14 - ถา้ นกั เรียนตอ้ งการรคู้ �ำ ตอบ จะต้องไปท่ีไหน ใชแ้ หลง่ เรียนรใู้ ดไดบ้ ้าง เป็นตน้ ๒. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับคำ�ว่า ศีล วินัย และวิรัติ และช่วยกันสรุปความรู้ บนกระดานไวท์บอรด์ ขน้ั ฝกึ ๓. นกั เรียนแบง่ กลุม่ ศึกษาใบความรทู้ ่ี ๑ เกยี่ วกับ ศลี วินัย วิรตั ิ วัตถปุ ระสงค์ของการรกั ษาศีล และผลของการรักษาศีล ๕ กับการถงึ พระรตั นตรัย ๔. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายและสรุปความร้จู ากใบกิจกรรมที่ ๑ ๕. นักเรียนแต่ละกลุ่มทำ�ใบกิจกรรมท่ี ๑ โดยมีครูคอยให้คำ�แนะนำ�ปรึกษา และตอบข้อสงสัย ในประเด็นต่าง ๆ ข้ันประยุกต์ ๖. ครูและนกั เรียนร่วมกนั ตรวจคำ�ตอบจากใบกจิ กรรมท่ี ๑ หลังจากนน้ั ครูใหใ้ บความรูเ้ พ่ิมเติม ตามความเหมาะสม ๗. ครูสาธิตการกล่าวค�ำ บชู าพระรัตนตรัย และให้นักเรยี นฝึกกล่าวตามครพู ร้อมกนั และฝึกแยก แตล่ ะแถวใหถ้ ูกตอ้ ง หลังจากนั้นครกู ล่าวชืน่ ชมนักเรียนทีก่ ลา่ วได้ถูกตอ้ งพรอ้ มเพรียงกนั ๘. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น และสรุปแนวปฏิบัติตนในการรักษาศีลกับการถึง พระรตั นตรัย เพื่อให้นกั เรยี นน�ำ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจ�ำ วัน ให้นกั เรยี นจดบันทกึ ลงในสมุดแบบฝกึ หดั ๗. ภาระงาน/ช้นิ งาน ท ี่ ภาระงาน ชน้ิ งาน ใบกิจกรรมที่ ๑ ๑ ตอบค�ำ ถามเก่ียวกบั ศลี และวนิ ัย - ๒ นกั เรียนจดบันทึกแนวปฏบิ ตั ิตนในการรักษาศีล ๕ กบั การถงึ พระรัตนตรยั ๘. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้ ๑. หนังสือเรยี นธรรมศกึ ษาช้ันตรี ๒. เอกสารค�ำ กล่าวบชู าพระรัตนตรัย ๓. ใบความรทู้ ี่ ๑ ๔. ใบกิจกรรมท่ี ๑ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)
15 ๙. การวัดผลและประเมินผล สง่ิ ที่ตอ้ งการวดั วิธีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมิน ๑. นักเรยี นอธบิ าย - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผ่าน = ไดค้ ะแนนตัง้ แต่รอ้ ยละ ๖๐ ขนึ้ ไป ความหมายของศลี วนิ ัย ผลงาน ไมผ่ ่าน = ไดค้ ะแนนตํ่ากวา่ ร้อยละ ๖๐ วริ ตั วิ ัตถปุ ระสงคแ์ ละผลของ การรกั ษาศลี ๕ กับการถงึ พระรัตนตรัยได้ ๒. นกั เรียนปฏิบตั ิกจิ กรรม - สังเกต - แบบสังเกต ผ่าน = ได้คะแนนตั้งแตร่ อ้ ยละ ๖๐ ข้นึ ไป กลุ่มได้ พฤตกิ รรม พฤตกิ รรม ไมผ่ า่ น = ไดค้ ะแนนตํ่ากว่ารอ้ ยละ ๖๐ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
16 แบบประเมนิ ผลงาน ๑ คะแนน ขอ้ ท่ี ใบกจิ กรรมท่ี ๑ ตอบค�ำ ถามถกู ตอ้ งและ ๓ คะแนน ตรงประเดน็ น้อย ๑ - ๑๐ ตอบค�ำ ถามถกู ตอ้ ง ระดบั คะแนน ตรงประเด็น ๒ คะแนน ตอบคำ�ถามถูกตอ้ ง ตรงประเด็นสว่ นใหญ่ เกณฑ์ เกณฑก์ ารตัดสิน คะแนน ผา่ น ๑๘ - ๓๐ ไมผ่ า่ น รอ้ ยละ ๐ - ๑๗ ๖๐ ขนึ้ ไป ต่าํ กว่า ๖๐ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกับกลุม่ เป้าหมาย แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
17 แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกจิ กรรมกล่มุ ขอ้ ท่ ี รายก าร ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความรว่ มมือในการ ใหค้ วามรว่ มมือในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ให้ความร่วมมือในการ ท�ำ กจิ กรรม ทำ�กิจกรรมทุกกจิ กรรม ท�ำ กิจกรรมบางกจิ กรรม ทำ�กิจกรรมบ้าง ๒ การแสดง/การรบั ฟงั แสดงความคิดเหน็ และ แสดงความคดิ เหน็ และ แสดงความคิดเหน็ และ ความคิดเหน็ รับฟงั ความคดิ เห็นของ รบั ฟงั ความคิดเหน็ ของ รบั ฟงั ความคิดเหน็ ของ คนสว่ นมากเป็นสำ�คัญ คนอน่ื บ้าง คนอนื่ น้อย ๓ การตัง้ ใจ/การแก้ไข มีความตั้งใจและ มคี วามตัง้ ใจและ มคี วามตง้ั ใจและ ปัญหาในการท�ำ งาน รว่ มแก้ไขปญั หาในการ รว่ มแก้ไขปัญหาในการ ร่วมแก้ไขปัญหาในการ ท�ำ งานกลุม่ ดมี าก ทำ�งานกลมุ่ ดี ท�ำ งานกลมุ่ บา้ ง ๔ ความถกู ตอ้ งของ สรุปเนื้อหาได้ถกู ตอ้ ง สรุปเนอื้ หาได้ถูกต้อง สรุปเนือ้ หาไดถ้ กู ต้อง เนอื้ หา ตรงประเด็นและ ตรงประเด็น ตรงประเด็นบ้าง ครบถ้วน ๕ วธิ ีการนำ�เสนอ นำ�เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง นำ�เสนอผลงานได้อยา่ ง นำ�เสนอผลงาน ผลงาน ถูกต้องตามขั้นตอน ถูกตอ้ งตามขั้นตอน ตามขั้นตอนได้บา้ ง นา่ สนใจ และเน้ือหา น่าสนใจ แตข่ าดเนอื้ หา ครบถ้วน บางส่วน เกณฑ์การตดั สนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้นึ ไป ๙ - ๑๕ ไมผ่ ่าน ต่ํากวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑ์การตัดสินสามารถปรับใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
18 ใบกิจกรรมที่ ๑ เรอ่ื ง ศีลและวนิ ัย กลมุ่ ที.่ ................... ๑. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ๒. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๓. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๔. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ๕. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ค�ำชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นตอบค�ำถามต่อไปนี้ จ�ำนวน ๖ ข้อ (............ คะแนน) ๑. ศีล หมายถึงอะไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. คำ�วา่ “วนิ ัย” แปลว่าอะไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. การท่นี ักเรยี นมเี จตนางดเวน้ จากการท�ำ ผดิ ศีล เรียกวา่ อะไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. เจตนางดเวน้ จากการทำ�ผิดศีลทีเ่ รยี กวา่ “วริ ัติ” มีกอี่ ยา่ ง อะไรบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)
19 ๕. การรักษาศลี ขอ้ ๑ ขอ้ ๒ และข้อ ๓ มีวตั ถปุ ระสงค์อยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๖. การรักษาศลี ท่เี ป็นพ้ืนฐานในการพัฒนาคุณธรรม ควรได้รบั การฝึกปฏิบัติดา้ นใด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๗. การรกั ษาศีลก่อให้เกดิ ผลดกี ับสังคมอย่างไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๘. บุคคลทจี่ ะสมาทานรักษาศีล ๕ ได้นน้ั ต้องท�ำ สง่ิ ใดเปน็ ล�ำ ดบั แรก ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๙. พระรตั นตรัยมอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง และมีความหมายวา่ อยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๑๐. การถึงพระรตั นตรยั หมายถึงอะไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
20 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๑ เร่อื ง ศลี และวนิ ัย ๑. ศลี หมายถงึ อะไร ตอบ เปน็ ข้อหา้ มไม่ให้กระทำ�ในส่งิ ทไ่ี ม่ควรท�ำ ๒. คำ�วา่ “วนิ ยั ” แปลว่าอะไร ตอบ น�ำ ไปวเิ ศษ นำ�ไปแจ้ง และนำ�ไปต่าง ๓. การทน่ี กั เรยี นมเี จตนางดเว้นจากการทำ�ผิดศลี เรยี กวา่ อะไร ตอบ วิรตั ิ ๔. เจตนางดเว้นจากการท�ำ ผิดศีลทเ่ี รียกว่า “วริ ตั ”ิ มกี ี่อยา่ ง อะไรบา้ ง ตอบ มี ๓ อย่าง ได้แก่ ๑. สมั ปัตตวิรัติ (เจตนางดเว้นเม่อื เผชญิ กับเหตทุ ่จี ะท�ำ ใหผ้ ดิ ศลี ) ๒. สมาทานวริ ัติ (เจตนางดเว้นด้วยการสมาทานศลี ไวล้ ่วงหนา้ ) ๓. สมุจเฉทเฉยาวิรัติ (เจตนางดเวน้ เด็ดขาดของพระอรยิ ะทั้งหลาย) ๕. การรักษาศลี ข้อ ๑ ข้อ ๒ และข้อ ๓ มวี ัตถปุ ระสงคอ์ ยา่ งไร ตอบ เพอ่ื การด�ำ เนนิ ชวี ติ ทเี่ ปน็ ปกตสิ ขุ ไมต่ อ้ งประสบกบั ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ น หรอื ความเสอ่ื มเสยี ในภาพชาติปจั จบุ นั ๖. การรกั ษาศลี ที่เป็นพ้นื ฐานในการพัฒนาคุณธรรม ควรได้รับการฝกึ ปฏบิ ตั ิด้านใด ตอบ สมาธแิ ละปัญญา ๗. การรักษาศีลก่อให้เกดิ ผลดีกับสงั คมอย่างไร ตอบ ท�ำ ใหส้ งั คมสงบรม่ เยน็ มนั่ คงปลอดภยั มคี วามรกั ความสามคั คี สามารถอยรู่ ว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ ๘. บุคคลท่จี ะสมาทานรักษาศีล ๕ ไดน้ ัน้ ตอ้ งทำ�สิง่ ใดเป็นลำ�ดบั แรก ตอบ ต้องยอมรบั นับถือพระรตั นตรัยเปน็ สรณะทพ่ี ง่ึ ๙. พระรัตนตรัยมอี งคป์ ระกอบอะไรบา้ ง และมีความหมายว่าอย่างไร ตอบ ประกอบดว้ ย พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระพทุ ธ หมายถงึ พระบรมศาสดาผทู้ รงร้ชู อบได้โดยพระองคเ์ อง พระธรรม หมายถงึ ค�ำ ส่ังสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบตามหลักธรรมคำ�สอน ของพระพทุ ธเจา้ ๑๐. การถงึ พระรตั นตรัย หมายถงึ อะไร ตอบ การยอมรับนับถือพระรัตนตรัยว่าเป็นท่ีพึ่งที่ระลึก หมายถึง การกำ�จัดกิเลสที่เกิดข้ึนในจิตใจ ออกไปดว้ ยความศรัทธา เลอื่ มใสในพระรัตนตรัย แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
21 ใบความรูท้ ่ี ๑ ศลี และวนิ ัย ศีลและวินัยแม้จะมีรูปศัพท์ต่างกัน แต่มีความมุ่งหมายเป็นอย่างเดียวกัน คือเป็นข้อห้ามไม่ให้ กระทำ�ในส่ิงที่ไม่ควรทำ�และเป็นข้อปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติ อยู่ในส่วนของวินัยปิฎกเป็นข้อปฏิบัติท่ัวไป ทง้ั ของบรรพชติ และคฤหสั ถ์ ศลี ศลี มีความหมายหลายอย่างต่างกัน แตล่ ะความหมายลว้ นบ่งบอกถึงความสำ�คัญของศีล ดังนี้ ๑. ศีล มาจากคำ�ว่า “สิระ” แปลว่า ยอด หมายถึง ส่วนสูงสุด เพราะฉะน้ัน ผู้มีศีลจึงช่ือว่า เป็นยอดคน คอื เปน็ ผูท้ ่ีมคี วามสูงสุดดว้ ยการประพฤติปฏบิ ัติ เพราะผู้ท่ไี ด้ชอื่ วา่ เป็นยอดคนนน้ั แทจ้ ริงไม่ได้ อยู่ท่ีการมีทรัพย์สิน อำ�นาจ ความรู้ หรือความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น แต่อยู่ที่ความบริสุทธิ์ของศีล ผู้มีศีล จึงเป็นผู้ประเสริฐที่สุดอีกนัยหน่ึง “สิระ” ยังแปลว่า ศีรษะ ซ่ึงเป็นส่วนสำ�คัญของร่างกาย บุคคลจะมีชีวิต อยู่ได้ตอ้ งมศี รี ษะ ถา้ ไมม่ ีศรี ษะกไ็ มส่ ามารถมีชวี ิตอยไู่ ด้ เหมอื นคนไม่มศี ีลจะมีชีวติ อยู่อยา่ งปกตไิ ม่ได้ ๒. ศีล มาจากค�ำ ว่า “สีละ” แปลวา่ ปกติ โดยปกติของคนจะไม่ฆ่ากนั ไมล่ กั ทรพั ย์ ไม่ลว่ งละเมิด ในคคู่ รองคนอ่นื ไม่พูดเทจ็ และไมเ่ สพสิง่ มึนเมา ถา้ กระท�ำ ในส่งิ ท่ตี รงกนั ข้ามก็ชอื่ ว่าผดิ ปกติ ๓. ศีล มาจากคำ�วา่ “สตี ละ” แปลวา่ เย็น บุคคลผู้มีศลี จะมคี วามเย็นกาย เย็นใจ แมผ้ ทู้ ี่อยใู่ กล้ กจ็ ะรู้สึกปลอดภัย เยน็ กาย เย็นใจไปด้วย ดุจรม่ ไม้ใหญใ่ ห้ความร่มเย็นแก่บุคคลผเู้ ขา้ ไปพกั อาศัย ๔. ศลี มาจากค�ำ วา่ “สวิ ะ” แปลวา่ ปลอดโปร่ง บุคคลผมู้ ีศลี มีความปลอดโปร่งโล่งใจอยู่เป็นนิจ เพราะไม่มีเรือ่ งใดทจี่ ะท�ำ ให้เดือดรอ้ นกงั วลใจอันเกิดจากการกระทำ�ของตน วนิ ัย วนิ ยั มาจากคำ�วา่ วิ+นัย ค�ำ ว่า วิ แปลได้ ๓ อยา่ ง คอื แปลว่า วิเศษ กไ็ ด้ แปลวา่ แจ้ง กไ็ ด้ และแปลว่า ต่าง ก็ได้ คำ�ว่า นัย แปลว่า นำ�ไป เม่ือนำ�คำ�ว่า วิ มานำ�หน้าคำ�ว่า นัย รวมเป็นคำ�ว่า วินัย แปลวา่ นำ�ไปวิเศษ นำ�ไปแจง้ และนำ�ไปต่าง วนิ ยั น�ำ ไปวิเศษ หมายความว่า วินยั ท�ำ ให้คนเปน็ คนดหี รือเปน็ คนวเิ ศษ เช่น วินัยท�ำ เดก็ ชาวบ้าน ให้เป็นสามเณร ทำ�บุคคลทั่วไปให้เป็นพระภิกษุ แม้ว่าสามเณรหรือพระภิกษุนั้นจะมีอายุยังน้อยคราวลูก คราวหลานก็ตาม แต่ก็ได้รับความเคารพกราบไหว้จากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย แม้แต่องค์พระมหากษัตริย์ก็ทรง ถวายความเคารพแกผ่ ู้ครองวินยั สงฆ์ นีเ่ ป็นผลของวนิ ัย วินัยนำ�ไปแจ้ง หมายความว่า วินัยเป็นเคร่ืองนำ�คนออกจากความช่ัวไปสู่ความดี นำ�คนท่ีอยู่ใน มมุ มดื ไปสมู่ มุ ทสี่ วา่ ง บคุ คลทอ่ี ยใู่ นมมุ มดื คอื คนทปี่ ระพฤตชิ วั่ ตอ่ เมอ่ื ใดเขามวี นิ ยั แลว้ กเ็ หมอื นไดด้ �ำ เนนิ ชวี ติ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
22 ไปสู่มุมที่สว่าง อีกนัยหนึ่ง วินัยเป็นเคร่ืองส่องให้รู้ถึงอุปนิสัยของคน เปรียบเสมือนการใช้แสงสว่างส่องดู ก็จะรู้ได้ว่าเป็นคนอย่างไร เช่น ประกาศตนว่าเป็นภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น หากไม่มีวินัย ก็เปน็ เชน่ นัน้ ไมไ่ ด้ วนิ ยั น�ำ ไปตา่ ง หมายความวา่ วนิ ยั เปน็ เครอื่ งจ�ำ แนกคนใหม้ ลี กั ษณะต่างกนั จะรไู้ ดว้ า่ ความเปน็ อยู่ ของคนหรอื หมู่คณะนัน้ ๆ มคี วามแตกต่างกนั อยา่ งไร ใหด้ ูทีว่ นิ ัย เช่น คนทีม่ ศี าตราวุธไว้สู้รบนน้ั คนท่ีมวี ินยั เรียกว่า ทหาร คนทไ่ี ม่มีวนิ ัย เรียกว่า โจร คนทีเ่ ทย่ี วภกิ ขาจารพ่ึงคนอ่นื เลย้ี งชพี ถา้ เป็นผ้มู วี ินยั เรยี กวา่ ภกิ ษุ สามเณร เปน็ เนื้อนาบุญของ ชาวโลก แตถ่ า้ ไม่มวี นิ ัย เรียกวา่ ยาจก คนขอทาน ผลของการมวี ินัยจะทำ�ใหบ้ ุคคลมีความสุข เมื่อมาอยรู่ ่วมกนั ด้วยกฎระเบยี บ คือวินัยอันเดียวกนั แล้วก็จะท�ำ ใหส้ งั คมพลอยมีความสงบสขุ ไปดว้ ย เหมือนดอกไม้ทมี่ ีความสวยงาม แม้จะหลากสีตา่ งสายพันธุ์ เม่ือนำ�มาร้อยเรียงเป็นพวงมาลัย หรือจัดลงในแจกัน ก็จะทำ�ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม ยง่ิ ขน้ึ ความหมายของศลี วนิ ยั และวริ ัติ ผู้ท่ีจะรักษาศีล ๕ จะต้องเข้าใจความหมายของศีลก่อน ศีล แปลว่า ศีรษะ แปลว่า ปกติ แปลวา่ ยอด แปลวา่ ปลอดโปรง่ แตใ่ นทนี่ จี้ ะอธบิ ายศลี ในความหมายวา่ ปกติ กค็ อื ผรู้ กั ษาปกตขิ องตนนน่ั เอง ต้องทำ�ความเข้าใจเร่ืองปกติก่อน แล้วจะเข้าใจเรื่องรักษาศีลได้ดีขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความเป็นปกติ ของมัน เช่น ดวงอาทิตย์ ปกติข้ึนอยู่ทางทิศตะวันออก เวลาเช้าส่องสว่างอยู่ตลอดวันแล้วลับฟ้าไปทาง ทิศตะวันตกในเวลาเย็น การข้ึน การส่องแสง และการลับฟ้าไปอย่างน้ีเป็นปกติของดวงอาทิตย์ เพราะ ดวงอาทิตย์มีปกติเป็นอย่างน้ีทุกวัน ถ้าดวงอาทิตย์เกิดมีอันเป็นไปอย่างอ่ืน นอกจากน้ีก็เรียกว่า ผิดปกติ เช่น กลางวันเคยสอ่ งแสงกลับไมส่ ่องแสงอย่างนี้เป็นต้น เรยี กวา่ ผดิ ปกติ ฤดูฝน ตามปกตติ ้องมีฝนตก ถ้าฤดูฝนแล้วฝนเกดิ ไม่ตก เรยี กวา่ ผิดปกติของฤดฝู น คนมชี วี ิต ปกติตอ้ งหายใจ ถา้ ไมห่ ายใจเปน็ การผิดปกตขิ องคน กลายเป็นปกติของคนตายไป อวัยวะ ปกติอวัยวะทุกส่วนของร่างกายต้องใช้งานได้ เช่น ตาต้องใช้ดูได้ หูต้องใช้ฟังได้ ถ้าตา ดอู ะไรไมเ่ หน็ หเู กิดฟงั อะไรไมไ่ ด้ยิน กเ็ รียกวา่ ตา หู ผิดปกติ สถานการณ์ เกี่ยวกับสถานการณ์ท้ังหลาย ความสงบเรียบร้อยเป็นความปกติ ที่เราพูดกันว่า เหตุการณป์ กติ ทีน่ ้ถี า้ เกิดโจรปล้น เกิดจลาจลวนุ่ วาย หรือเกิดสงครามกลางเมือง กเ็ รยี กวา่ สถานการณ์ไมป่ กติ ตัวอย่างท่ียกมานี้เป็นความผิดปกติของสิ่งต่าง ๆ เพ่ือให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีปกติอยู่แล้ว คำ�ว่า ปกติ หมายถงึ การรักษาปกตขิ องคนนั่นเอง ศีลทงั้ ๕ ข้อ กค็ ือ ความเปน็ ปกติของคน ๕ ประการ ดงั นี้ การฆา่ กับการไม่ฆ่า อยา่ งไหนปกติ อยา่ งไหนผดิ ปกติของคน แน่นอนปกตขิ องคนจะต้องไมฆ่ า่ กัน อย่างท่ีเราอยู่ร่วมกันทุกวันน้ี ไม่ใช่ว่าเราอยู่เพ่ือจะฆ่ากัน การฆ่ากันเป็นเรื่องผิดปกติ โดยนัยนี้การรักษาศีล ข้อที่ ๑ คอื การต้ังใจไม่ฆ่า เป็นการตง้ั ใจอยอู่ ยา่ งปกตขิ องคน แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
23 การขโมยกับการไม่ขโมย อย่างไหนปกติ อยา่ งไหนผิดปกตขิ องคน การไม่ขโมยน่ันแหละ่ เปน็ ปกติ ของคน เพราะคนต้องท�ำ มาหากนิ ไม่ใช่แยง่ กนั กิน โกงกนั กนิ ไม่เหมือนกาไก่ กาไก่นน้ั ถ้าหากินดว้ ยกันตงั้ แต่ สองตวั ขนึ้ ไป จะตอ้ งแยง่ กนั กนิ ตวั หนง่ึ หาอาหารได้ อกี ตวั หนงึ่ กจ็ อ้ งทจ่ี ะแยง่ จกิ กนิ ประเดย๋ี วตวั ทห่ี าอาหารได้ ก็จะต้องตีหรือจิกตัวที่จิกอาหารไป กาไก่ไม่สามารถจะรักษาปกติได้จึงเป็นอย่างนี้ไม่เหมือนคน จะต้องอยู่ อย่างปกติ ถา้ ใครคิดแย่งกนั กิน ขโมยกนั กนิ ก็ผิดปกติของคน แตก่ ลับไปเหมือนกาไก่ การรักษาศลี ขอ้ ที่ ๒ คือ ต้ังใจไม่ขโมยของคนอ่นื เป็นการอยใู่ นปกติของตนนนั่ เอง เก่ียวกับประเวณี ปกติของคนย่อมหวงแหนประเวณแี ละเหน็ อกเหน็ ใจคนอน่ื ในเร่ืองน้ี ไม่เหมือน พวกเดยี รจั ฉานทสี่ อ้ งเสพส�ำ สอ่ น เพราะปกตขิ องสตั วเ์ ปน็ อยา่ งนนั้ คนจะตอ้ งอยใู่ นปกตขิ องคน คอื ไมล่ ว่ งเกนิ ประเวณี การรกั ษาศีลขอ้ ที่ ๓ จงึ เปน็ การต้ังอย่ใู นปกติของคนอกี เหมือนกัน เก่ยี วกบั การพูด ตามปกติการพูดความจรงิ เป็นปกติของคน ดงั นน้ั การรักษาศลี ขอ้ ท่ี ๔ คือ ตัง้ ใจ งดเวน้ การพูดเทจ็ โกหก หลอกลวง ก็คือ การอย่ใู นปกติของตน เก่ียวกับการด่ืมสุรา คนเราไม่ใช่ว่าจะต้องดื่มสุราอยู่เรื่อยไป เพราะแม้แต่คนที่ติดสุราขนาดไหน ก็คงทำ�ไมไ่ ด้ ใครขืนท�ำ กต็ าย ปกตขิ องคน คอื ดมื่ นา้ํ บรสิ ทุ ธ์ิ ไม่ใชด่ ม่ื สรุ า ส่วนการดื่มสรุ านั้นเปน็ การกระท�ำ ทีผ่ ิดปกติ ฉะนัน้ การรกั ษาศลี ขอ้ ที่ ๕ คอื เว้นจากการด่มื สุรา ก็คอื การอยโู่ ดยปกติของคนอกี เหมือนกัน ศีล ที่แปลว่าปกตนิ ัน้ มงุ่ เอาศลี ๕ เทา่ นน้ั ส่วนศีลช้ันสูงเลยศลี ๕ ขน้ึ ไป เชน่ ศีล ๘ ศีลอุโบสถ มคี วามมุ่งหมายตา่ งจากศลี ๕ เขา้ ลักษณะเป็น “วัตร” คือ ขอ้ ปฏิบตั ิ เชน่ คำ�วา่ “ศีลวตั ร” หรือ “ศีลพรต” หรอื ค�ำ วา่ “บ�ำ เพญ็ พรต” ค�ำ วา่ “พรต” กบั ค�ำ วา่ “วตั ร” เปน็ ค�ำ เดยี วกนั หมายถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ฝกึ ฝนตนเอง ให้คลายจากกามารมณ์ได้ทีละน้อย ๆ เป็นทางนำ�ไปสู่การละกิเลสได้เด็ดขาดต่อไป ข้อปฏิบัติในช้ันวัตร จงึ เปน็ เรอ่ื งปกตขิ องคนปฏบิ ตั ิ ยง่ิ วตั รชน้ั สงู เชน่ วตั รของพระภกิ ษุ ยง่ิ ฝนื ปกตขิ องชาวบา้ นทวั่ ไป เชน่ เรอื่ งกาม มิใช่ห้ามเสพกามเท่าน้ัน แม้แต่ถูกต้องรา่ งกายสตรี หรือของเนื่องด้วยกาย หรือพูดเก้ียวพาราสี หรืออยู่ใน สถานท่ีลับหลู ับตาสองตอ่ สองก็ไม่ไดท้ ้ังนน้ั เรอ่ื งของวัตรปฏบิ ัตจิ งึ ถือเปน็ เรื่องปกตขิ องผปู้ ฏบิ ัติ เจตนาเปน็ ศีล ศลี จะมไี ดด้ ว้ ยการตงั้ ใจงดเวน้ จากความผดิ นน้ั ๆ ถา้ ไมม่ เี จตนาจะงดเวน้ แมม้ ไิ ดท้ �ำ การลว่ งละเมดิ ศลี กไ็ มถ่ ือวา่ เปน็ ผู้มศี ลี เชน่ ผ้รู ้ายที่ถูกจับขังไว้ ขณะที่อยู่ในห้องขังน้นั ไม่ได้ฆ่าคน ไม่ไดล้ กั ของใคร จะนับว่า เปน็ คนมีศลี กห็ าไม่ เวน้ แตเ่ ขาจะมีเจตนางดเว้น จงึ จะนบั ว่าเปน็ คนมศี ีล ดงั ความในปกรณว์ ิเสสวิสุทธมิ รรค วา่ เจตนา สลี ํ เจตนาเปน็ ศีล วริ ตั ิ เจตนางดเวน้ จากการท�ำ ผิดศีล เรียกว่า วริ ตั ิ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. สมั ปัตตวริ ัติ เจตนางดเว้นเมื่อเผชญิ กบั เหตทุ จี่ ะท�ำ ให้ผดิ ศีล ๒. สมาทานวิรตั ิ เจตนางดเว้นด้วยการสมาทานศีลไว้ล่วงหนา้ ๓. สมุจเฉทวิรัติ เจตนางดเว้นเด็ดขาดของพระอรยิ ะท้ังหลาย แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ช้ันตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
24 ถ้าคนในสงั คมจะยึดเอาศีล ๕ เป็นกรอบหรือเปน็ แนวทางในการด�ำ เนินชวี ิต ปัญหาความขดั แยง้ ต่าง ๆ กด็ ี ปัญหาการลว่ งละเมดิ ในชวี ิตและทรัพย์สินของผู้อ่นื ก็ดี ปญั หาการไมเ่ คารพกฎหมายของบ้านเมอื ง ก็ดี ปัญหาการไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อ่ืนก็ดี ก็จะหมดไปจากบ้านเมือง สังคมไทยก็จะอยู่ร่วมกัน อยา่ งมปี กตสิ ุข ไม่จ�ำ เป็นต้องให้ทุกคนคิด พดู ท�ำ เหมือนกนั แตข่ อใหท้ กุ คนยอมรับในความแตกต่างเหลา่ น้ัน แลว้ ดำ�รงตนอยูใ่ นศลี ๕ กพ็ อแลว้ ท่จี ะช่วยสังคมประเทศชาติให้มคี วามสงบสขุ ศลี ๕ เป็นหลักประกันทดี่ ขี องสงั คม ศีล ๕ เป็นหลักประกันให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยและมีความสุข ปัจจุบันมีผู้คนจำ�นวน ไมน่ อ้ ยทรี่ สู้ กึ เปน็ หว่ งความปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของตนเอง จงึ แสวงหาหลกั ประกนั จากทต่ี า่ ง ๆ แตก่ ็ ไม่สามารถจะค้ําประกันได้ทุกเร่ือง ในทางพระพุทธศาสนาได้วางหลักประกันข้ันพ้ืนฐานของชีวิตท่ีสำ�คัญไว้ ๕ ประการ ซึ่งเปน็ หลกั ประกันท่มี ัน่ คงและครอบคลมุ ความปลอดภยั ไดท้ ุกเรื่องประกอบดว้ ย ๑. หลกั ประกนั ชวี ติ ดว้ ยการรกั ษาศลี ขอ้ ที่ ๑ คอื เวน้ จากการฆา่ การประทษุ รา้ ย การเบยี ดเบยี น การทรมานคนและสัตว์ต่าง ๆ ทกุ ชนดิ ๒. หลักประกันทรัพย์สิน ด้วยการรักษาศีลข้อที่ ๒ คือ เว้นจากการลักขโมย การเบียดบัง การช่วงชงิ การหลอกลวงเอาทรัพย์สนิ ของผู้อื่นมาเปน็ ของตนเอง ๓. หลักประกันครอบครัว ด้วยการรักษาศีลข้อท่ี ๓ คือ เว้นจากการล่วงละเมิดประเวณี หรือ การลว่ งละเมดิ ทางเพศ อันจะท�ำ ให้ครอบครัวแตกแยกและลม่ สลาย ๔. หลักประกันความเช่ือถือ ด้วยการรักษาศีลข้อที่ ๔ คือเว้นจากการพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพดู ค�ำ หยาบ การพูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ อนั เปน็ เหตุท�ำ ใหผ้ ้พู ดู หมดคุณคา่ ไมม่ ีใครเช่ือถอื ถอ้ ยค�ำ ๕. หลักประกันสุขภาพ ด้วยการรักษาศีลข้อที่ ๕ คือเว้นจากการเสพสิ่งเสพติดและของมึนเมา ทกุ ชนดิ เพราะจะทำ�ใหผ้ ้ดู ม่ื มสี ขุ ภาพทรดุ โทรม ทำ�ลายสติปญั ญาในการควบคุมตนเองกลายเป็นคนขาดสติ และเสียสตไิ ดใ้ นที่สดุ หลักศีล ๕ จึงถือเป็นหลักประกันท่ีดีที่สุดของพระพุทธศาสนา ผู้ท่ีจะรักษาศีล ๕ ได้ดีจะต้อง รกั ษาธรรม ๕ ขอ้ เรยี กวา่ เบญจธรรม ควบคู่กันไป เรยี กว่า “เบญจศลี - เบญจธรรม” หลักศลี ๕ ถือเปน็ ระเบียบวินัยท่ีสำ�คัญ มนุษย์ทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติร่วมกัน หากมีคนใดคนหน่ึงหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ละเลยไม่ปฏิบตั ิจะทำ�ให้สงั คมสว่ นใหญเ่ ดือดร้อน มรี ายละเอียดดังนี้ มนุษย์ท่ีได้ช่ือว่ามีความรู้ความสามารถมากกว่าสัตว์อื่น เพราะมนุษย์มีการศึกษา เพราะฉะนั้น เรอื่ งทม่ี นษุ ยจ์ ะตอ้ งศกึ ษาเปน็ อนั ดบั แรก คอื เรอ่ื งระเบยี บวนิ ยั เนอ่ื งจากมนษุ ยถ์ กู ก�ำ หนดใหเ้ กดิ มาอยรู่ ว่ มกนั เป็นหมู่เป็นกลุ่มที่เรียกว่าสังคม ระเบียบวินัยหรือกฎกติกาของสังคมจึงเป็นเร่ืองจำ�เป็นอย่างย่ิงท่ีมนุษย์ ทุกคนจะต้องเรียนรู้และนำ�ไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อความสงบสุขในส่วนปัจเจกบุคคลและสังคม ทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั ระเบยี บวนิ ยั ทมี่ นษุ ยน์ �ำ มาใชม้ แี หลง่ ทม่ี า ๒ ทาง คอื ทางหนง่ึ มาจากมนษุ ยท์ เี่ ปน็ สมาชกิ ของสงั คม ที่มีความเห็นพ้องต้องกัน เช่น รัฐธรรมนูญ บทบัญญัติ กฎ ระเบียบ กติกา ฯลฯ อีกทางหนึ่งมาจากหลัก แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
25 ทางศาสนา ซึ่งในท่ีน้ีพูดเฉพาะหลักทางศาสนาเท่านั้น แต่ก่อนที่จะพูดถึงเร่ืองระเบียบวินัยจะขอพูดถึงเร่ือง ประโยชน์ของการมีระเบียบวินัยก่อน การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก ถ้าจะให้เกิดความสุขจะต้องอาศัย ระเบียบวินัยทั้งทางโลกและทางธรรมเป็นเครื่องควบคุมความเป็นอยู่ ชาวบ้านท่ีอยู่ทางโลกก็ต้องรักษา ระเบยี บวนิ ยั ทางธรรมดว้ ย สว่ นพระสงฆส์ ามเณรทอี่ ยทู่ างธรรมกจ็ ะตอ้ งรกั ษาระเบยี บวนิ ยั ทางโลกดว้ ย ถา้ ละทงิ้ ทางใดทางหนึ่งจะเป็นผลเสียอย่างมาก ถ้าใครท้ิงทั้งสองทางก็เหมือนหลับตาเดินอยู่ในป่ามีแต่ภัยอันตราย รอบด้าน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “โน เจ อสฺส สกา พุทธฺ ิวินโย วา สสุ กิ ขฺ ิโต วเน อนธฺ มหึโส วจเรยยฺ พหุโก ชโน” แปลวา่ พฤตกิ รรมของคนหมมู่ ากทไี่ มม่ คี วามรรู้ กั ษาตวั หรอื ไมม่ รี ะบยี บวนิ ยั จะเปน็ เหมอื นกระบอื บอด ทีเ่ ทยี่ วไปในป่าดง ระเบยี บวนิ ยั ทางโลก หมายถงึ ระเบยี บวนิ ยั ส�ำ หรบั ควบคมุ สงั คมหนงึ่ ๆ ซง่ึ เปน็ ขอ้ บงั คบั ของสงั คม ซ่ึงเรียกกันหลายอย่างเป็นต้นว่า รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบยี บแบบแผน ธรรมเนียม คำ�ส่งั กตกิ า และอีกหลาย ๆ สง่ิ เหลา่ น้ีเป็นระเบียบวนิ ยั ทงั้ สิน้ ส่วนระเบียบ วนิ ยั ทางธรรมหรือทางศาสนา เรียกวา่ ศลี อนั ได้แก่ศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีลของพระภิกษุ สามเณร นักปราชญ์ทุกชาติทุกภาษาต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ระเบียบวินัยเป็นข้อแตกต่างท่ีทำ�ให้ มนษุ ยม์ คี วามแตกต่างจากสตั วท์ ว่ั ๆ ไป มนษุ ยม์ จี ารตี ประเพณสี �ำ หรบั เปน็ เครอ่ื งด�ำ เนนิ ชวี ติ ของตน มศี าสนา เป็นเคร่ืองคุ้มครองใจ มีปัญญาสามารถถอดเอาความรู้สึกอันดีงามสร้างข้ึนเป็นศิลปกรรม เพ่ือความสดช่ืน บันเทิงใจ และมีภาษาเป็นเคร่ืองถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเคร่ืองแตกต่างที่มนุษย์มีมากกว่า สัตว์ทัง้ หลาย การเป็นอยู่ในชีวิตประจำ�วันของสังคมที่อยู่กันด้วยความสงบน้ันต้องมีระเบียบวินัยเป็นเคร่ือง ควบคมุ เช่น จะคา้ ขาย จะแตง่ งาน จะหย่ารา้ ง จะไปทางบก ทางอากาศ ตอ้ งมรี ะเบยี บวินัยควบคุมไว้ทั้งสิน้ แม้เวลาท่ีชกต่อยกนั ก็ตอ้ งมีระเบยี บวนิ ัย คือ กติกา หรือแม้แต่จะรบราฆา่ ฟนั กนั ก็ต้องมีระเบยี บวินัย เรียกว่า ยทุ ธพชิ ยั นแี่ สดงใหเ้ หน็ แลว้ วา่ ระเบยี บวนิ ยั เปน็ สง่ิ ทท่ี ว่ั โลกยอมรบั แมแ้ ตจ่ ะเลอื กบคุ คลมาเปน็ ผนู้ �ำ กจ็ ะตอ้ ง ดูว่าผู้น้ันมีระเบียบวินัยหรือเคารพระเบียบวินัยหรือไม่ การเลือกคนที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่รู้จักระเบียบวินัย มาเป็นผู้บริหารบ้านเมืองหรือมาเป็นผู้บัญญัติระเบียบวินัยนับว่าเป็นการกระทำ�ท่ีผิดอย่างช่วยไม่ได้ เหมอื นเลอื กเอาปศี าจไปรกั ษาคนไขฉ้ ะน้ัน ในทางธรรมก็เหมือนกัน ทุก ๆ ศาสนาย่อมจะมีข้อบัญญัติไว้สำ�หรับศาสนิกในศาสนาน้ัน ๆ ในทางพระพุทธศาสนาก็ได้บัญญัติระเบียบวินัยสำ�หรับพุทธศาสนิกชนไว้อย่างครบถ้วน โดยแยกเป็นสอง สว่ น คอื สว่ นอาคารยิ วนิ ยั เปน็ ระเบยี บวนิ ยั ของชาวบา้ น และสว่ นอนาคารยิ วนิ ยั เปน็ ระเบยี บวนิ ยั ของชาววดั มีพระภกิ ษุ สามเณร เปน็ ต้น ใครอยใู่ นสว่ นไหนกร็ กั ษาระเบียบวนิ ยั ในสว่ นน้ัน ระเบียบวนิ ัยของชาวบ้านทา่ น เรียกว่าศลี อันได้แก่ ศีล ๕ หรอื ศีล ๘ แตใ่ นทน่ี ้ีจะกล่าวเฉพาะศีล ๕ เพราะเปน็ ศลี ขนั้ พ้นื ฐานท่สี งั คมมนษุ ย์ จะต้องมรี ่วมกนั มิฉะนน้ั อยไู่ ม่ได้ ส่วนระเบยี บวนิ ยั ของชาววัดจะละไว้ไม่น�ำ มากลา่ วในท่นี ้ี แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
26 การรักษาศลี เปน็ การปรบั พ้ืนฐานของคน การรกั ษาศลี เปน็ การปรบั พนื้ ฐานของคนใหเ้ ปน็ คนดี เหมาะทจี่ ะสรา้ งความดี ความเจรญิ แกต่ นเอง และสังคมส่วนรวม พื้นฐานจึงเป็นสิ่งท่ีสำ�คัญ การจะทำ�สิ่งใดก็ตามต้องพิจารณาถึงพ้ืนฐานของสิ่งน้ันก่อน ถ้าพื้นฐานดีก็จะทำ�ให้ส่ิงท่ีทำ�น้ันม่ันคงแข็งแรงและสวยงาม เช่น การวาดรูปจะต้องลงสีพ้ืนให้เหมาะสมกับ รูปทีจ่ ะวาด รปู จงึ จะสวยงาม การเขยี นหนงั สอื ต้องใชพ้ ้ืนกระดาษทีส่ ะอาดเรยี บร้อยจงึ จะเขียนไดด้ ี การสร้าง ถนนหนทาง ต้องปรับพ้ืนให้ดีเสียก่อนจึงจะไม่ชำ�รุดง่าย การสร้างอาคารต้องลงฐานรากให้มั่นคงแข็งแรง จึงจะท�ำ ให้อาคารม่นั คง คนเราก็มีลักษณะเช่นน้ันเหมือนกัน ถ้ามีพ้ืนฐานคือศีลดีแล้ว ก็สามารถพัฒนาชีวิตให้ดีงามได้ เชน่ ขา้ ราชการ ทหาร ตำ�รวจ พ่อค้าประชาชน ชาวนา ชาวสวน ถา้ มพี ื้นฐานคือศีลดีแล้ว ก็จะมีความจรญิ ก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานน้ัน ๆ ในทางตรงกันข้าม คนท่ีมีพื้นฐานเสียคือเป็นผู้ไม่มีศีล จะทำ�อะไรก็ไม่ข้ึน ไม่เจริญงอกงาม การดูพ้ืนฐานเสียของคนนั้น ให้พิจารณาดูพฤติกรรมที่ไม่ดี ๕ ประการ คือ โหดร้าย มือไวใจเรว็ ขป้ี ด และหมดสติ วัตถปุ ระสงคข์ องการรกั ษาศลี การรักษาศีล มีวตั ถุประสงค์สำ�คญั ๕ ประการ คอื ๑. เพอ่ื เปน็ การปอ้ งกนั ชวี ติ ของเราในภพชาตปิ จั จบุ นั ไมใ่ หต้ อ้ งพบกบั ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ น และความเส่อื มเสียอนั เนือ่ งมาจากการเบยี ดเบยี นตนเองและผอู้ น่ื ๒. เพอื่ ใหเ้ กิดความสุข ความดีงามในการดำ�เนินชวี ติ ๓. เพ่อื ให้เกดิ ความสงบร่มเย็นแกต่ นเอง ครอบครวั และสงั คม ๔. เพื่อเป็นการป้องกันชีวิตของเราในภพชาติต่อไป ไม่ให้ต้องพบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน และความเสื่อมเสียอันเนอื่ งมาจากการเบยี ดเบียนตนเองและผู้อืน่ ๕. เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการพัฒนาคุณธรรมที่สูงข้ึนไป ได้แก่ สมาธิ และปัญญา อันจะทำ�ให้ บรรลมุ รรคผลนิพพานได้ วตั ถุประสงค์ข้อ ๑ ข้อ ๒ และขอ้ ๓ เป็นวัตถุประสงค์เพ่อื การด�ำ เนินชีวติ ท่ีเป็นปกตสิ ุข ไม่ต้อง ประสบพบเจอกับความทุกข์ ความเดือดร้อน หรือความเสื่อมเสีย ในภพชาติปัจจุบัน เพราะผู้ที่ไม่รักษาศีล มักเบยี ดเบยี น หรอื ท�ำ ความเดือดร้อนใหก้ ับตนเอง หรอื ผู้อน่ื และเมอ่ื ทำ�แล้ว ความเดอื ดร้อนทเี่ ปน็ ผลจาก การกระทำ�นนั้ ยอ่ มยอ้ นกลบั มาหาตัวเอง ดงั ที่พระผู้มพี ระภาคเจา้ ตรสั ไว้ในทตุ ยิ สังคามวตั ถสุ ูตรวา่ “ผฆู้ า่ ยอ่ มไดร้ บั การฆา่ ตอบ ผชู้ นะยอ่ มไดร้ บั การชนะตอบ ผดู้ า่ ยอ่ มไดร้ บั การดา่ ตอบ และผขู้ ง้ึ เคยี ด ย่อมได้รบั ความข้ึงเคียดตอบ ฉะนน้ั เพราะความหมนุ กลับแหง่ กรรม ผูแ้ ยง่ ชงิ นน้ั ยอ่ มถูกเขาแยง่ ชงิ ” หากแต่ละคนในสังคมรักษาศีล ไม่เบียดเบียนซ่ึงกันและกัน ครอบครัวหรือสังคมน้ันย่อมมีความ สงบสุขเรยี บร้อย ไม่เกดิ ความว่นุ วาย การรักษาศลี จึงเป็นไปเพอื่ ประโยชน์ทงั้ ต่อตนเองและสงั คมอย่างน้ี แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
27 วัตถุประสงค์ข้อท่ี ๔ เป็นวัตถุประสงค์สำ�หรับป้องกันความทุกข์ ความเดือดร้อนท่ีจะเกิดข้ึน ในภพชาติเบ้ืองหน้า เพราะการไม่รักษาศีล ย่อมเป็นเหตุให้ไปสู่อบายภูมิ และหากเกิดมาเป็นมนุษย์อีกคร้ัง ก็จะมีอายุส้ัน เป็นผู้ที่ไม่สมประกอบ ร่างกายพิกลพิการ เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำ� ส่ิงเหล่านี้ล้วนนำ�มา ซ่งึ ความทกุ ขท์ งั้ สนิ้ การรกั ษาศีลจึงเป็นไปเพ่อื ป้องกนั ความทกุ ขใ์ นภพชาตเิ บอ้ื งหน้าอย่างน้ี วัตถุประสงค์ข้อท่ี ๕ การรักษาศีล เป็นพื้นฐานในการพัฒนาคุณธรรม คือ สมาธิและปัญญา โดยสมาธิจะเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยศีลที่บริสุทธ์ิเป็นพ้ืนฐาน หากไม่มีศีล สมาธิก็เกิดไม่ได้ เพราะศีลเป็นเครื่อง ช่วยควบคุมกายกับวาจา ในขณะที่สมาธิเป็นเคร่ืองช่วยควบคุมใจ ดังนั้น เมื่อกายกับวาจาไม่สงบ ใจก็ยาก ที่จะสงบได้ เม่ือใจไม่สงบแล้ว สมาธิก็ยากที่จะเกิด และเม่ือสมาธิไม่เกิด ปัญญารู้แจ้งในเร่ืองความจริงของ ชวี ิตก็ย่อมไม่เกิดขนึ้ ไปด้วย เม่ือไมม่ ปี ัญญากไ็ ม่สามารถกำ�จดั กเิ ลสอาสวะเพอื่ บรรลุมรรคผลนิพพานได้ เมอื่ ไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ต้องประสบกับความทุกข์ ต้องเวียนวา่ ยตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอยู่รา่ํ ไป แตเ่ มอ่ื รกั ษาศลี ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สมาธกิ ม็ โี อกาสเกดิ ขนึ้ ได้ และเมอื่ สมาธเิ กดิ ปญั ญากเ็ กดิ ตามมา เมอื่ ปญั ญาเกดิ ก็สามารถจะกำ�จัดกิเลสอาสวะ และบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ดังนั้น การรักษาศีลจึงเป็นไปเพ่ือประโยชน์ อยา่ งยง่ิ คอื พระนพิ พาน ผลของการรักษาศลี การรักษาศลี ก่อให้เกิดผลดใี น ๓ ระดบั คอื ๑. ผลทางส่วนตัว การรักษาศีลเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้เสื่อมเสียทั้งทางโลกทางธรรม คือ เป็นผู้ไม่มีเวรภัยกับใคร ๆ มีฐานะมั่นคง มีความอบอุ่นในครอบครัว เป็นคนน่าเชื่อถือ เป็นคนไม่ประมาท ในการดำ�เนินชีวิต มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ เป็นท่ีรักของคนท่ัวไปและสามารถพัฒนาคุณธรรม ตา่ ง ๆ ใหเ้ จริญงอกงามย่ิงขึ้นไป ๒. ผลทางสงั คม ท�ำ ใหส้ งั คมมคี วามสงบรม่ เยน็ มน่ั คงปลอดภยั มคี วามรกั ความสามคั คี สามารถ อย่รู ว่ มกันไดอ้ ย่างสนั ติสขุ ๓. ผลทางประเทศชาติ ทำ�ให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองมั่นคงท้ังในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกจิ การศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม เปน็ ท่ีเช่ือถอื ของนานาอารยประเทศ การสมาทานศีล การสมาทานศีล เรียกกันท่ัว ๆ ไปว่า การรับศีล ก็พ่ือปฏิญาณตนต่อหน้าพระผู้ให้ศีลและ ตอ่ ตนเองวา่ จะไมล่ ว่ งละเมดิ ขอ้ หา้ มนน้ั ๆ จะรกั ษาปกตขิ องตนไว้ เปน็ การยกระดบั จติ ใจใหส้ งู ขนึ้ เปน็ เบอื้ งตน้ เพราะผมู้ คี วามประพฤติดี ย่อมสามารถพฒั นาจติ ใจให้บรรลคุ ุณธรรมชน้ั สงู ข้นึ ไปไดง้ ่าย อนงึ่ พิธกี ารท�ำ บญุ ทัว่ ๆ ไป เชน่ การให้ทาน เป็นต้น จะมกี ารสมาทานศีลกอ่ นทกุ ครัง้ เพอื่ รักษา กาย วาจา ให้ปกติเรียบร้อยสมบูรณ์ โดยเวลารับศีลก็เต็มใจรับ รับด้วยความตั้งใจ เวลารักษาศีลก็ต้ังใจ และเต็มใจรักษา ประคองศีลของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ให้ศีลขาดหรือด่างพร้อยด้วยประการใด ๆ ท้ังน้ี เพอ่ื ใหเ้ ป็นฐานรองรับคุณความดีอน่ื ๆ ตอ่ ไป แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
28 อานสิ งส์ของการสมาทานศีลก่อนใหท้ าน พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนแนวทางแห่งการทำ�บุญให้ทานที่ทำ�ให้ผู้กระทำ�ได้รับอานิสงส์มาก สรุปใจความได้ว่า “การให้ทานควรเลือกให้ เลือกท้ังผู้ให้ ส่ิงท่ีให้ และผู้รับ ทานที่เลือกให้พระองค์ทรง สรรเสริญว่ามผี ลมากมอี านิสงสม์ าก เหมือนชาวนาเลือกพนั ธข์ุ า้ วดแี ล้วหวา่ นลงในนาดี ย่อมไดร้ ับผลมาก ฉะนน้ั เมอ่ื ผใู้ หเ้ ปน็ ผมู้ ศี ลี บรสิ ทุ ธิ์ ผรู้ บั กเ็ ปน็ ผมู้ ศี ลี บรสิ ทุ ธ์ิ ทานของผนู้ นั้ ยอ่ มมผี ลมากมอี านสิ งสม์ าก เพราะมศี ลี บรสิ ทุ ธดิ์ ว้ ยกนั ทงั้ สองฝา่ ย เมอื่ ผใู้ หห้ รอื ผรู้ บั มศี ลี บรสิ ทุ ธฝ์ิ า่ ยเดยี ว ทานนนั้ ยอ่ มมผี ลมอี านสิ งสล์ ดนอ้ ย ตามไปด้วย เพราะมศี ีลบรสิ ุทธิ์เพยี งฝา่ ยเดียว เมอ่ื ผู้ใหม้ ศี ีลไม่บรสิ ทุ ธิ์ ผรู้ ับกม็ ศี ีลไมบ่ ริสุทธิ์ ทานนัน้ ยิง่ มผี ลมี อานสิ งสน์ อ้ ยลงไปอีก เพราะทง้ั สองฝา่ ยมศี ีลไม่บรสิ ุทธ์”ิ ดังน้ี วิธสี มาทานและรกั ษาศีล การสมาทานและรักษาศีล โดยปกติคนท่ัวไปเข้าใจว่าต้องไปสมาทานกับพระภิกษุเท่าน้ันจึงจะ เปน็ การสมาทานศลี ทถี่ กู ตอ้ ง ความจรงิ แลว้ การสมาทานและรกั ษาศลี หรอื ท�ำ ตนใหม้ ศี ลี นนั้ มหี ลายวธิ ดี ว้ ยกนั มที งั้ วิธีทีส่ มาทานกับพระภิกษุ และสมาทานดว้ ยตนเอง การรักษาศีล มี ๓ วิธี คือ การรักษาศีลด้วยการสมาทานศีลไว้ล่วงหน้า เรียกว่า สมาทานวิรัติ การรักษาศีลด้วยการไม่กระทำ�ผิดเม่ือประสบกับเหตุปัจจัยซึ่งเกิดข้ึนเฉพาะหน้าท่ีเอื้ออำ�นวยให้ผิดศีล เรียกว่า สัมปตั ตวริ ัติ และการรักษาศีลดว้ ยการงดเว้นไมก่ ระท�ำ ผดิ เด็ดขาดของพระอรหนั ต์ เรียกวา่ สมุจเฉทวริ ัติ วธิ ีสมาทานศีล ๕ เมอื่ ต้องการสมาทานศีล ๕ จากพระภิกษุ พึงกลา่ วคำ�อาราธนาก่อน ดงั นี้ มยํ ภนฺเต วสิ งุ วิสงุ รกฺขนตฺถาย ตสิ รเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม ทุติยมฺปิ มยํ ภนเฺ ต วิสงุ วสิ ุง รกขฺ นตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต วสิ งุ วิสุง รกขฺ นตถฺ าย ตสิ รเณน สห ปญจฺ สีลานิ ยาจามฯ (ถา้ สมาทานคนเดียว เปลีย่ นคำ�ว่า มยํ เป็น อหํ และเปล่ยี นค�ำ วา่ ยาจาม เป็นยาจามิ) ต่อไปพึงว่าตามพระภกิ ษุไปตามล�ำ ดับ โดยเปลง่ เสยี งใหช้ ดั เจน ดังน้ี นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ธฺ สฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสสฺ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสสฺ พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทุติยมฺปิ พทุ ฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทตุ ิยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)
29 ตติยมปฺ ิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ตตยิ มฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ตตยิ มฺปิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ เม่อื พระภิกษุสรปุ ไตรสรณคมนว์ ่า “ติสรณคมนํ นฏิ ฐฺ ติ ”ํ ผู้สมาทานพึงรบั ว่า “อาม ภนเฺ ต” ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อทินฺนาทานา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ กาเมสุมจิ ฺฉาจารา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทิยามิ มุสาวาทา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ สรุ าเมรยมชฺชปมาทฏฐฺ านา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ ตอ่ จากนไ้ี ปพระภิกษุจะวา่ สรปุ ศีลวา่ อมิ านิ ปญจฺ สกิ ขฺ าปทานิ สีเลน สคุ ตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา สีเลน นพิ พฺ ุตึ ยนตฺ ิ ตสมฺ า สีลํ วิโสธเยฯ การสมาทานศีลแบบเดิม หลังจากพระภิกษุสรุปอานิสงส์ของศีลจบแล้ว ผู้สมาทานพึงกล่าว คำ�วา่ “สาธ”ุ และกล่าวปฏญิ าณวา่ “อมิ านิ ปญฺจ สกิ ขฺ าปทานิ สมาทิยาม”ิ ๓ หน เปน็ การปฏญิ าณตนวา่ จะสมาทานรักษาศีล ๕ น้ีให้บริสุทธ์ิบริบูรณ์ต่อไป เม่ือจบแล้วพึงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ คร้ัง เปน็ เสร็จวธิ กี ารสมาทานศีล ๕ ผลของการรกั ษาศลี ๕ กบั การถึงพระรัตนตรยั บุคคลท่ีจะสมาทานรักษาศีล ๕ น้ัน เบ้ืองต้นต้องยอมรับนับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พ่ึงท่ีระลึก พระรัตนตรัยมีความสำ�คัญอย่างยิ่งสำ�หรับพุทธศาสนิกชน เพราะเป็นเสมือนหนึ่งประตูเข้าสู่พระพุทธศาสนา ผู้ท่ีจะเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา จะเป็นมนุษย์หรือเทวดา ก็ตาม ต้องเข้ามาทางพระรัตนตรัยท้ังส้ิน คือจะต้องมีศรัทธาเลื่อมใส เคารพนับถือบูชาพระรัตนตรัย ดว้ ยการกลา่ วถงึ พระรัตนตรยั ว่าเปน็ ท่ีพ่ึงวา่ พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ข้าพเจ้าขอถงึ ซึ่งพระพุทธเจา้ ว่าเปน็ ที่พง่ึ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ขา้ พเจ้าขอถงึ ซ่งึ พระธรรมวา่ เป็นทพี่ งึ่ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถงึ ซงึ่ พระสงฆ์ว่าเปน็ ทพ่ี งึ่ ทตุ ยิ มฺปิ พุทธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา้ พเจา้ ขอถึงซง่ึ พระพทุ ธเจ้าวา่ เปน็ ทีพ่ งึ่ แมใ้ นครงั้ ทสี่ อง ทุตยิ มฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉาม ิ ขา้ พเจา้ ขอถงึ ซงึ่ พระธรรมว่าเป็นทพี่ ง่ึ แมใ้ นครั้งทีส่ อง ทตุ ยิ มฺปิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจา้ ขอถงึ ซงึ่ พระสงฆว์ า่ เป็นทพี่ ง่ึ แมใ้ นครงั้ ทีส่ อง ตตยิ มปฺ ิ พทุ ฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ขา้ พเจา้ ขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าวา่ เปน็ ที่พง่ึ แมใ้ นครง้ั ทสี่ าม ตติยมฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม ิ ขา้ พเจา้ ขอถึงซ่งึ พระธรรมวา่ เปน็ ทพ่ี ง่ึ แม้ในคร้ังท่ีสาม ตตยิ มฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ ข้าพเจา้ ขอถึงซึง่ พระสงฆว์ ่าเปน็ ทีพ่ ่ึง แมใ้ นครงั้ ท่สี าม แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
30 พระรัตนตรัย พระรตั นตรยั คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึง่ มีความหมายดงั ตอ่ ไปนี้ พระพุทธ หมายถึง พระบรมศาสดาผู้ทรงรู้ดีรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ทรงบริสุทธ์ิสิ้นเชิง ทรงมี พระกรุณา ทรงสง่ั สอนประชมุ ชนให้ประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ พระธรรม หมายถึง คำ�ส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้า เปน็ สจั ธรรมอนั ประเสริฐ ย่อมรักษาผู้ปฏิบัติตาม ไมใ่ หต้ กไปในทช่ี ่ัว ใหต้ งั้ อยใู่ นความดี สามารถนอ้ มนำ�ผู้ประพฤตใิ หพ้ ้นทกุ ขป์ ระสบสนั ตสิ ขุ ไดจ้ รงิ พระสงฆ์ หมายถึง สาวกของพระพทุ ธเจา้ ผ้ปู ระพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ ตามหลักธรรมคำ�สงั่ สอนของ พระพุทธเจา้ เปน็ ศาสนทายาทสบื ต่ออายพุ ระพทุ ธศาสนามาตราบเทา่ ทุกวันน้ี คณุ ของพระรัตนตรัย พทุ ธคุณ หมายถงึ คณุ ของพระพุทธเจ้า มี ๙ ประการ คอื ๑. อรหํ เปน็ ผู้หา่ งไกลจากกิเลส ๒. สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธ เป็นผ้ตู รัสรชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง ๓. วชิ ชฺ าจรณสมฺปนฺโน เป็นผถู้ ึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ๔. สคุ โต เปน็ ผูไ้ ปแลว้ ดว้ ยดี ๕. โลกวทิ ู เป็นผ้รู โู้ ลกอยา่ งแจ่มแจง้ ๖. อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ เปน็ ผู้สามารถฝกึ บุรุษท่ีสมควรฝึกได้อยา่ งไม่มใี ครยง่ิ กวา่ ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนษุ ย์ท้ังหลาย ๘. พทุ โฺ ธ เป็นผรู้ ู้ ผู้ตน่ื ผู้เบิกบานด้วยธรรม ๙. ภควา เปน็ ผู้มีความจ�ำ เรญิ จำ�แนกธรรมสงั่ สอนสตั ว์ ธรรมคุณ หมายถงึ คณุ ของพระธรรม มี ๖ ประการ คอื ๑. สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม พระธรรมเปน็ ธรรมท่พี ระผมู้ ีพระภาคเจ้าตรสั ไวด้ แี ลว้ ๒. สนทฺ ฏิ ฺฐโิ ก เปน็ สิ่งท่ผี ศู้ กึ ษาและปฏบิ ัตพิ งึ เห็นไดด้ ว้ ยตนเอง ๓. อกาลโิ ก เปน็ ส่งิ ทป่ี ฏบิ ตั ิได้และให้ผลไดไ้ มจ่ ำ�กัดกาล ๔. เอหิปสฺสิโก เป็นสิ่งทค่ี วรกล่าวกะผูอ้ ่นื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถิด ๕. โอปนยโิ ก เป็นสง่ิ ท่ีควรนอ้ มเขา้ มาใสต่ น ๖. ปจจฺ ตฺตํ เวทติ พฺโพ วิญญฺ หู ิ เปน็ สงิ่ ท่ผี ูร้ กู้ ็รไู้ ดเ้ ฉพาะตน สงั ฆคณุ หมายถงึ คุณของพระสงฆ์ มี ๙ ประการ คือ ๑. สปุ ฏิปนโฺ น เป็นผูป้ ฏบิ ัติดี ๒. อุชปุ ฏิปนโฺ น เป็นผ้ปู ฏิบัตติ รง ๓. ญายปฏิปนโฺ น เป็นผ้ปู ฏบิ ัติเพ่อื รธู้ รรมเป็นเครอ่ื งออกจากทุกข์ ๔. สามจี ิปฏิปนฺโน เปน็ ผ้ปู ฏิบตั ิสมควร ๕. อาหุเนยโฺ ย เปน็ ผคู้ วรแก่ส่งิ ของทเ่ี ขาน�ำ มาบชู า แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
31 ๖. ปาหเุ นยโฺ ย เป็นผคู้ วรแก่ส่งิ ของท่ีเขาจัดไวต้ ้อนรบั ๗. ทกฺขิเณยฺโย เปน็ ผ้คู วรรับทกั ษณิ าทาน ๘. อญชฺ ลกี รณีโย เป็นผูท้ บ่ี คุ คลทว่ั ไปควรทำ�อญั ชลี ๙. อนุตฺตรํ ปุญญฺ กเฺ ขตฺตํ โลกสฺส เป็นเนอื้ นาบญุ ของโลกไม่มีนาบญุ อ่นื ยิ่งกวา่ การถงึ พระรัตนตรยั การถึงพระรัตนตรัย หมายถึง การยอมรับนับถือพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พ่ึงที่ระลึก อีกนัยหนึ่ง หมายถงึ การก�ำ จดั กเิ ลสทเี่ กดิ ขน้ึ ในจติ ใจออกไป ดว้ ยความศรทั ธาเลอ่ื มใสและเคารพหนกั แนน่ ในพระรตั นตรยั การถึงพระรตั นตรัยนเ้ี รียกวา่ ไตรสรณคมน์ มคี ำ�กลา่ วการยอมรบั นบั ถอื พระรตั นตรัยดังน้ี พุทธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา้ พเจ้า ถงึ พระพุทธเจา้ ว่าเป็นสรณะ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ขา้ พเจา้ ถงึ พระธรรม ว่าเปน็ สรณะ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ข้าพเจา้ ถึงพระสงฆ์ วา่ เป็นสรณะ สรณะ แปลวา่ ท่พี ง่ึ ท่ีระลึก มคี วามหมาย ๔ นัย ดงั นี้ ๑. สรณะ หมายถงึ “เป็นเคร่อื งเบยี ดเบยี น กำ�จัด นำ�ออก ยํ่าย”ี ซงึ่ โทษ คอื ภยั ความสะดงุ้ ความทุกข์ ทุคติ และกิเลสเมื่อมีพระรัตนตรัยสถิตอยู่ในใจแล้ว ความกลัว ความสะดุ้ง ความตรอมใจ ความไมส่ บายใจ ทคุ ติ และกิเลสกห็ มดไป ๒. สรณะ หมายถึง “เป็นที่อาศัยไป” ปกติใจของมนุษย์น้ันมีส่ิงท่ีเกิดกับใจอาศัยอยู่ได้เพียง อย่างเดียว ถา้ กเิ ลสอยใู่ นใจ พระรัตนตรยั กไ็ มอ่ ยู่ ถ้าพระรัตนตรัยอยู่ในใจ กิเลสกไ็ ม่อยู่ เพราะพระรัตนตรัย กับกิเลสหรือความชั่วน้ัน เหมือนมีความสว่างก็ไม่มีความมืด มีความมืดก็ไม่มีความสว่าง ผู้ที่มีพระรัตนตรัย สถติ อยใู่ นใจ จะไปไหนกม็ พี ระรตั นตรยั ไปดว้ ย พระรัตนตรัยจงึ ได้ชือ่ ว่า “เปน็ ทีอ่ าศัยไป” ๓. สรณะ หมายถงึ “เป็นทร่ี ะลึก” เมอ่ื ใจมีพระรัตนตรยั แล้ว ใจก็คดิ ถึงพระรตั นตรัย ในขณะใด ทใี่ จคดิ ถงึ พระรตั นตรยั ปตี ปิ ราโมทยเ์ กดิ ขนึ้ ความกลวั ความสะดงุ้ ทกุ ข์ ทคุ ติ กเิ ลส กจ็ ะหายไป พระรตั นตรยั จึงไดช้ ่อื ว่า “เป็นทรี่ ะลกึ ” ๔. สรณะ หมายถึง “เป็นท่ีพึ่งและกำ�จัดภัยได้จริง” เม่ือพระรัตนตรัยเป็นท่ีระลึกได้อย่างนี้ ทุกข์ภัยหมดไปด้วยอำ�นาจพระรตั นตรยั จึงไดช้ ่อื วา่ “เปน็ ท่ีพง่ึ กำ�จดั ภยั ได้จรงิ ” แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)
32 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๒ เรอื่ ง เบญจศลี ธรรมศกึ ษาช้ันตรี สาระการเรียนร้วู ิชาวินยั เวลา..............ชัว่ โมง ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เขา้ ใจ และปฏิบตั ิตนตามหลักพระวินยั บัญญตั ิของพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรียนรู้ รู้ เข้าใจความหมายของคำ�วา่ เบญจศีล และสามารถปฏบิ ัติตนตามเบญจศลี ๓. สาระส�ำ คญั เบญจศีล เป็นข้อกำ�หนดเกี่ยวกับความประพฤติของคน เพื่อให้อยู่ร่วมกันเป็นปกติสุข และ เปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย โดยบัญญัตเิ ปน็ ขอ้ งดเวน้ ไว้ ๕ ขอ้ โดยศีลขอ้ ที่ ๑ คือ การเว้นจากการฆ่าสัตวม์ ชี ีวิต ศลี ขอ้ ท่ี ๒ คือ การเว้นจากการถอื เอาสิง่ ของทีเ่ จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ศลี ข้อที่ ๓ คอื การเว้นจากการประพฤติผิด ในกาม ศลี ข้อท่ี ๔ คือ เวน้ จากการพูดเท็จ และศลี ข้อที่ ๕ คอื การเวน้ จากการดื่มนํ้าเมา ๔. จุดประสงค์ ๑. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของคำ�วา่ เบญจศลี ได้ ๒. นกั เรียนสามารถปฏบิ ัติตนตามเบญจศลี ได้ ๕. สาระการเรยี นร้/ู เน้ือหา ๑. ความหมายค�ำ ว่า “เบญจศีล” ๒. เบญจศีล ๒.๑ สิกขาบทท่ี ๑ เว้นจากการฆา่ สัตว์มชี ีวติ ๒.๒ สกิ ขาบทท่ี ๒ เว้นจากการถือเอาส่ิงของทเ่ี จา้ ของไม่ได้ให้ ๒.๓ สิกขาบทที่ ๓ เวน้ จากการประพฤติผิดในกาม ๒.๔ สิกขาบทที่ ๔ เวน้ จากการพดู เทจ็ ๒.๕ สกิ ขาบทท่ี ๕ เวน้ จากการด่มื น้าํ เมา ๖. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ขั้นสบื ค้นและเช่อื มโยง ๑. สนทนาถามนักเรียนเกยี่ วกับหลักธรรมพื้นฐานท่ีมนุษย์ควรจะปฏิบตั ิคือหลักธรรมใด โดยสุ่ม นกั เรยี นตอบประมาณ ๕ คน เพ่ือทบทวนและเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั ตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
33 ๒. ครนู �ำ ภาพขา่ วจากหนงั สอื พมิ พเ์ กย่ี วกบั การปลน้ รา้ นทองมารว่ มอภปิ รายกบั นกั เรยี นเกย่ี วกบั สาเหตุ การปอ้ งกัน และผลกระทบท่เี กิดขึ้น ๓. นักเรยี นร่วมกันอภปิ รายคำ�ว่า เบญจศีล โดยใหอ้ ธิบายความหมายลงในกระดาษทค่ี รแู จกให้ และผู้เรียนตอบประมาณ ๕ คน และถามใหน้ ักเรียนตอบ ดงั นี้ - เบญจศลี หมายถงึ อะไร - เบญจศีล มกี ่ขี ้อ อะไรบ้าง - นกั เรยี นเคยปฏิบตั ิตนตามเบญจศีลหรือไม่ อย่างไร ข้นั ฝกึ ๔. นกั เรยี นแบ่งกลุ่มออกเปน็ กลมุ่ ละ ๔ คน แต่ละกลมุ่ ช่วยกันศกึ ษาใบความรู้ท่ี ๒ ครูคอยดแู ล และให้ค�ำ แนะนำ�อยา่ งใกลช้ ิด ๕. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย และสรุปความที่ได้จากการศึกษา โดยครูเพิ่มเติมความรู้ ตามความเหมาะสม ข้ันประยุกต์ ๖. เม่ือนกั เรยี นศึกษาใบความรู้ท่ี ๒ แลว้ นักเรียนแต่ละกล่มุ ชว่ ยกันท�ำ ใบกจิ กรรมที่ ๒ ๗. เมอ่ื แตล่ ะกลมุ่ ท�ำ ใบกจิ กรรมเสรจ็ ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั ตรวจค�ำ ตอบ พรอ้ มครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ และชื่นชมกลมุ่ ท่สี ามารถตอบคำ�ถามได้มากทสี่ ดุ ๘. สุ่มนักเรียนแสดงบทบาทสมมติการปฏิบัติตนตามเบญจศีล วิพากษ์ วิจารณ์ และสรุปแนว ปฏิบัติในการน�ำ เบญจศีลไปใช้ในชีวติ ประจ�ำ วัน ๗. ภาระงาน/ช้นิ งาน ท่ ี ภาระงาน ช้ินงาน ใบกจิ กรรมที่ ๒ ๑ ตอบคำ�ถามเกี่ยวกับเบญจศลี - ๒ แสดงบทบาทสมมตกิ ารปฏิบัติตนตามเบญจศลี ๘. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้ ๑. หนงั สอื เรียนธรรมศกึ ษาช้นั ตรี ๒. ภาพข่าวจากหนังสือพมิ พร์ ายวนั ๓. ใบความรทู้ ี่ ๒ ๔. ใบกจิ กรรมที่ ๒ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
34 ๙. การวดั ผลและประเมนิ ผล สิ่งทต่ี อ้ งการวดั วิธีวดั เคร่ืองมอื เกณฑก์ ารประเมนิ ๑. นกั เรียนอธิบาย - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผ่าน = ไดค้ ะแนนตัง้ แต่รอ้ ยละ ๖๐ ขึ้นไป ความหมายของค�ำ ว่า ผลงาน ไมผ่ ่าน = ไดค้ ะแนนตํ่ากวา่ รอ้ ยละ ๖๐ เบญจศลี ได้ ๒. นกั เรียนปฏบิ ตั ิตน - สงั เกต - แบบสังเกต ผา่ น = ได้คะแนนตัง้ แตร่ ้อยละ ๖๐ ขน้ึ ไป ตามเบญจศีลได้ พฤตกิ รรม พฤตกิ รรม ไม่ผา่ น = ได้คะแนนตํ่ากวา่ ร้อยละ ๖๐ การปฏบิ ตั ิ กจิ กรรมกลุ่ม แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
ข้อ ท่ี แบบประเมินผลงาน 35 ๓ คะแนน ใบกิจกรรมท่ี ๒ ๑ คะแนน ๑ - ๒๕ ตอบค�ำ ถามถกู ตอ้ ง ตอบค�ำ ถามถูกต้องและ ตรงประเดน็ ระดับคะแนน ตรงประเดน็ นอ้ ย ๒ คะแนน ตอบคำ�ถามถกู ต้อง ตรงประเด็นส่วนใหญ่ เกณฑ์ เกณฑก์ ารตัดสิน คะแนน ผ่าน ๔๕ - ๗๕ ไมผ่ ่าน รอ้ ยละ ๐ - ๔๕ ๖๐ ข้นึ ไป ตา่ํ กวา่ ๖๐ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตัดสินสามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกับกล่มุ เปา้ หมาย แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
36 แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุม่ ขอ้ ที่ รายก าร ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความรว่ มมือในการ ใหค้ วามรว่ มมอื ในการ ให้ความรว่ มมอื ในการ ให้ความรว่ มมือในการ ทำ�กจิ กรรม ทำ�กจิ กรรมทกุ กิจกรรม ท�ำ กจิ กรรมบางกจิ กรรม ทำ�กิจกรรมบา้ ง ๒ การแสดง/การรับฟงั แสดงความคิดเห็นและ แสดงความคดิ เห็นและ แสดงความคิดเห็นและ ความคดิ เห็น รับฟงั ความคดิ เหน็ ของ รบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของ รบั ฟงั ความคิดเหน็ ของ คนสว่ นมากเปน็ สำ�คญั คนอนื่ บา้ ง คนอื่นนอ้ ย ๓ การตง้ั ใจ/การแก้ไข มีความตั้งใจและ มคี วามตัง้ ใจและ มีความตงั้ ใจและ ปัญหาในการทำ�งาน รว่ มแกไ้ ขปญั หาในการ รว่ มแก้ไขปญั หาในการ ร่วมแกไ้ ขปัญหาในการ ทำ�งานกล่มุ ดมี าก ทำ�งานกลุ่มดี ทำ�งานกลมุ่ บา้ ง ๔ ความถูกต้องของ สรุปเนอื้ หาไดถ้ กู ต้อง สรปุ เนื้อหาได้ถกู ต้อง สรปุ เน้อื หาไดถ้ ูกตอ้ ง เนือ้ หา ตรงประเด็นและ ตรงประเดน็ ตรงประเดน็ บา้ ง ครบถว้ น ๕ วธิ กี ารน�ำ เสนอ นำ�เสนอผลงานได้อย่าง น�ำ เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง นำ�เสนอผลงาน ผลงาน ถูกตอ้ งตามขน้ั ตอน ถูกต้องตามข้นั ตอน ตามข้นั ตอนไดบ้ ้าง นา่ สนใจ และเนอื้ หา นา่ สนใจ แต่ขาดเนอื้ หา ครบถว้ น บางส่วน เกณฑก์ ารตัดสนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้นึ ไป ๙ - ๑๕ ไม่ผา่ น ตา่ํ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑ์การตัดสนิ สามารถปรบั ใช้ตามความเหมาะสมกบั กลุ่มเปา้ หมาย แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ช้ันตรี วชิ าวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
37 ใบกจิ กรรมที่ ๒ เร่อื ง เบญจศีล กลุ่มที.่ ................... ๑. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ๒. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๓. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ๔. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๕. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... จงตอบคำ�ถามต่อไปน้ี (๔๕ คะแนน) ๑. คำ�ว่า “ศีล” หมายถึงอะไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒. เพราะเหตุใด คนท่ีเรมิ่ ประพฤตคิ วามดจี ะตอ้ งถือศลี ๕ เปน็ หลกั ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๓. ผมู้ ีศีลจะต้องมพี ฤติกรรมอยา่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๔. ค�ำ ขอทใี่ ห้พระสงฆแ์ สดงศลี เรียกว่าอะไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๕. คำ�อาราธนาศลี มคี ำ�ว่า “ปญฺจ สลี านิ” หมายถึงศีลอะไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๖. เบญจศีลเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่าอะไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
38 ๗. ถ้าคนในสังคมขาดเมตตาจิตแล้วไซร้ จะรกั ษาศีลขอ้ ใดไดย้ าก ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๘. “ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ถือเป็นมะเร็งร้ายของสังคมไทย” ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เป็นการละเลยไม่ปฏิบตั ิตามศีลขอ้ ใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๙. คำ�กลา่ วทีว่ ่า “ของของใคร ใครก็รักกห็ วง” มคี วามหมายตรงกบั ศลี ข้อใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๐. การบุกรุกพ้ืนท่ีอุทยานป่าสงวนแห่งชาติที่ปรากฏเป็นข่าวครึกโครมในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึง การละเลยศีลขอ้ ใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๑. การรักษาศีลขอ้ ๓ สามารถชว่ ยลดปัญหาสังคมไทยปจั จบุ ันเร่อื งใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๒. ศีลข้อ ๑ มีข้อหา้ ม ๓ ประการ ได้แก่อะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๓. ปัญหาโรคเอดส์จะลดลง ถา้ ทุกคนปฏิบัตติ ามศลี ข้อใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๔. ถา้ นกั เรียนคบเพ่ือนโดยชอบเอารัดเอาเปรียบ ไม่มคี วามซื่อสัตย์ แสดงวา่ นักเรียนประพฤติผดิ ศีลข้อใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๕. การประพฤติปฏิบัตติ นโดยงดเวน้ จากความมกั มากในกาม ได้ชื่อว่าการปฏิบตั ิตามศลี ข้อใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๖. จากนทิ านอสี ป เรอ่ื ง เด็กเล้ียงแกะ เป็นตัวอยา่ งของการผดิ ศีลขอ้ ใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
39 ๑๗. จากข้อ ๑๖ ผลทีเ่ ดก็ เลี้ยงแกะไดร้ ับคือสิ่งใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๘. ศีลขอ้ ๔ บัญญัตขิ ้นึ เพื่อไม่ให้บคุ คลเบียดเบยี นกนั ในเรอ่ื งใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๙. ศีลข้อ ๔ บญั ญตั ขิ ึ้นเพื่อเน้นใหท้ ุกคนทำ�ความดเี กีย่ วกบั เรือ่ งใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒๐. ศีลขอ้ ๕ กล่าวว่า สงิ่ ใดเป็นที่ต้งั แห่งความประมาท ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒๑. “งดเหลา้ เขา้ พรรษา” เปน็ การรณรงค์ให้ประชาชนรักษาศีลขอ้ ใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒๒. ในสังคมปัจจุบันปัญหายาเสพติดจัดว่าเป็นปัญหาสังคมที่สำ�คัญของสังคมไทย ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึง การละเลยศีลขอ้ ใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒๓. การละเวน้ จากข้อหา้ มในสกิ ขาบททั้ง ๕ เรยี กวา่ อะไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒๔. การละเวน้ ขอ้ หา้ มของคฤหสั ถท์ ่ถี อื ในวนั พระจัดเป็นวริ ัตใิ ด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒๕. นายเดน่ ชวนนายแดงไปดม่ื สรุ าในวนั เกดิ ของตน แตน่ ายแดงเหน็ วา่ การดมื่ สรุ าไมม่ ปี ระโยชนต์ อ่ รา่ งกาย จึงปฏเิ สธ ดงั นจี้ ัดเป็นวริ ัตใิ ด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
40 เฉลยใบกิจกรรมที่ ๒ เรอื่ ง เบญจศลี ๑. ค�ำ ว่า “ศีล” หมายถงึ อะไร ตอบ ศลี เปน็ ข้อก�ำ หนดแบบแผนเก่ยี วกับความประพฤตขิ องคนใหต้ ง้ั อยใู่ นความดีงาม เพือ่ ใหท้ ุกคน อยรู่ ่วมกนั อยา่ งสงบสขุ และเป็นระเบียบเรียบร้อย ๒. เพราะเหตุใด คนทเ่ี รม่ิ ประพฤตคิ วามดจี ะตอ้ งถือศีล ๕ เปน็ หลกั ตอบ เพราะศีล ๕ เป็นบรรทัดส�ำ หรบั ใหค้ นประพฤตคิ วามดีใหค้ งท่ี ๓. ผู้มศี ลี จะต้องมีพฤตกิ รรมอย่างไร ตอบ รกั ษากาย วาจา ใหเ้ รยี บร้อย ๔. ค�ำ ขอที่ใหพ้ ระสงฆ์แสดงศีลเรียกวา่ อะไร ตอบ อาราธนาศลี ๕. คำ�อาราธนาศลี มีค�ำ วา่ “ปญฺจ สลี านิ” หมายถงึ ศีลอะไร ตอบ ศีล ๕ ๖. เบญจศีลเรยี กอีกอยา่ งหนงึ่ วา่ อะไร ตอบ นจิ ศีล ๗. ถ้าคนในสงั คมขาดเมตตาจติ แล้วไซร้ จะรักษาศีลข้อใดได้ยาก ตอบ ข้อ ๑ ๘. “ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ถือเป็นมะเร็งร้ายของสังคมไทย” ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เปน็ การละเลยไมป่ ฏบิ ตั ิตามศีลข้อใด ตอบ ข้อ ๒ ๙. ค�ำ กล่าวท่ีวา่ “ของของใคร ใครก็รักก็หวง” มีความหมายตรงกับศีลข้อใด ตอบ ข้อ ๓ ๑๐. การบุกรุกพ้ืนท่ีอุทยานป่าสงวนแห่งชาติที่ปรากฏเป็นข่าวครึกโครมในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึง การละเลยศลี ข้อใด ตอบ ขอ้ ๒ ๑๑. การรักษาศีลขอ้ ๓ สามารถชว่ ยลดปัญหาสงั คมไทยปจั จบุ นั เรื่องใด ตอบ การลว่ งละเมิดทางเพศ ๑๒. ศลี ขอ้ ๑ มีข้อหา้ ม ๓ ประการ ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ตอบ การฆา่ การทรกรรม การทำ�รา้ ยร่างกาย แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั ตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)
41 ๑๓. ปญั หาโรคเอดสจ์ ะลดลง ถา้ ทุกคนปฏบิ ตั ิตามศลี ข้อใด ตอบ ข้อ ๓ ๑๔. ถา้ นกั เรยี นคบเพอ่ื นโดยชอบเอารดั เอาเปรียบ ไมม่ คี วามซ่อื สตั ย์ แสดงว่านกั เรียนประพฤติผิดศีลขอ้ ใด ตอบ ขอ้ ๒ ๑๕. การประพฤติปฏบิ ัติตนโดยงดเวน้ จากความมักมากในกาม ได้ช่อื วา่ การปฏบิ ตั ติ ามศีลข้อใด ตอบ ข้อ ๓ ๑๖. จากนทิ านอีสป เรอื่ ง เด็กเล้ียงแกะ เป็นตัวอย่างของการผิดศีลขอ้ ใด ตอบ ขอ้ ๔ ๑๗. จากข้อ ๑ ผลท่เี ดก็ เลี้ยงแกะได้รับคือสง่ิ ใด ตอบ การไม่ไดร้ ับความเชอื่ ถอื จากผ้ใู ด ๑๘. ศลี ข้อ ๔ บญั ญตั ิขึ้นเพอ่ื ไม่ใหบ้ คุ คลเบยี ดเบียนกันในเรื่องใด ตอบ วาจา หรอื ค�ำ พดู ๑๙. ศีลข้อ ๔ บญั ญัตขิ นึ้ เพอื่ เน้นให้ทกุ คนท�ำ ความดีเกีย่ วกับเรอ่ื งใด ตอบ ความมีสจั จะ ๒๐. ศลี ขอ้ ๕ กลา่ ววา่ สิ่งใดเปน็ ท่ตี ้งั แห่งความประมาท ตอบ ส่งิ มนึ เมา ๒๑. “งดเหลา้ เข้าพรรษา” เปน็ การรณรงค์ให้ประชาชนรกั ษาศลี ขอ้ ใด ตอบ ขอ้ ๕ ๒๒. ในสังคมปัจจุบันปัญหายาเสพติดจัดว่าเป็นปัญหาสังคมท่ีสำ�คัญของสังคมไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง การละเลยศีลขอ้ ใด ตอบ ขอ้ ๕ ๒๓. การละเว้นจากขอ้ ห้ามในสกิ ขาบททง้ั ๕ เรยี กว่าอะไร ตอบ วริ ตั ิ ๒๔. การละเว้นข้อห้ามของคฤหัสถท์ ถี่ อื ในวันพระจดั เป็นวิรัตใิ ด ตอบ สมาทานวริ ตั ิ ๒๕. นายเดน่ ชวนนายแดงไปดม่ื สรุ าในวนั เกดิ ของตน แตน่ ายแดงเหน็ วา่ การดมื่ สรุ าไมม่ ปี ระโยชนต์ อ่ รา่ งกาย จึงปฏิเสธ ดังนจ้ี ัดเปน็ วริ ตั ใิ ด ตอบ สัมปตั ตวริ ตั ิ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้ันตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)
42 ใบความรู้ที่ ๒ เบญจศลี เบญจศลี เบญจศีลนี้ ปรากฏในคัมภีร์อปทาน และพุทธวงศ์ ในพระไตรปิฎก เรียกว่า สิกขาบท หมายถึง ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการฝกึ ตน เมอื่ บคุ คลปฏบิ ตั ติ ามสกิ ขาบทดงั กลา่ วจงึ ไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผมู้ ศี ลี ตอ่ มาในชน้ั หลงั มชี อ่ื เรยี ก เพิ่มขึ้น ชื่อว่า นิจศีล คือศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นประจำ� หรือชื่อว่า มนุษยธรรม คือ ธรรมของมนุษย์ หรือธรรมท่ีทำ�ให้เป็นมนุษย์ หมายถึงข้อปฏิบัติท่ีทำ�ให้คนเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์หรือข้อปฏิบัติท่ีเป็นเหตุ ทำ�ให้เกิดมาเป็นมนุษย์ การศึกษาเรื่องเบญจศีลในชั้นน้ี มีความประสงค์ให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจเน้ือหาสาระของ เบญจศลี อนั เปน็ ศลี ระดบั พนื้ ฐานในการด�ำ เนนิ ชวี ติ ของบคุ คลทวั่ ไป เพอ่ื เปน็ แนวทางทถี่ กู ตอ้ งในการรกั ษาศลี ตามหลกั คำ�ส่ังสอนของพระพุทธศาสนา จึงใหศ้ กึ ษาในหวั ข้อทส่ี ำ�คัญ ๖ ประการ ดังนี้ ๑. ความมุ่งหมาย ๒. เหตุผลของการรักษา ๓. ขอ้ ห้าม ๔. หลักวินิจฉยั ๕. โทษของการล่วงละเมิด ๖. อานิสงสข์ องการรกั ษา เบญจศลี ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ ๒. อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จ้าของไมไ่ ดใ้ ห้ ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการพดู เท็จ ๕. สรุ าเมรยมชัช ปมาทัฏฐฺ านา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการดม่ื นา้ํ เมา แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันตรี วิชาวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
43 เบญจศีล สกิ ขาบทที่ ๑ ปาณาตปิ าตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการฆา่ สัตวม์ ชี ีวติ ๑. ความมงุ่ หมาย พระพุทธองค์ทรงบัญญัติศีลข้อนี้ไว้ เพ่ือมุ่งให้มนุษย์อบรมจิตของตนให้คลายความเหี้ยมโหด มเี มตตากรณุ าตอ่ กันและเผ่อื แผ่แก่สตั ว์ท้ังปวง ๒. เหตผุ ลของการรักษา ชีวิตเป็นสมบัติช้ินเดียวท่ีสัตว์มีอยู่ และเป็นสิ่งที่มนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามหวงแหนท่ีสุด ดังน้ัน การกระทำ�ผิดต่อสัตว์ ไม่มีส่ิงใดร้ายแรงยิ่งกว่าการทำ�ลายชีวิตของเขา เพราะเท่ากับเป็นการทำ�ลาย ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีเขามีอยู่ การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เท่ากับเป็นการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านจึงเรียกศีลข้อนี้ว่า มหาทาน หมายถงึ การให้อันย่ิงใหญ่ การประพฤติเปน็ คนโหดร้ายล่วงละเมิดศีลขอ้ น้ี ยอ่ มเป็นการทำ�ลายมนษุ ยธรรมในตวั เราเอง และเปน็ การท�ำ ลายความสงบสุขของสังคมและประเทศชาตไิ ปในขณะเดียวกนั ๓. ขอ้ ห้าม ในสิกขาบทน้ี ห้ามการฆ่าโดยตรง แต่ผู้รักษาศีลพึงเว้นจากการกระทำ�อันเป็นบริวารของ การฆา่ ด้วย คือ ๓.๑ การฆ่า ทำ�ใหศ้ ีลขาด ๓.๒ การท�ำ ร้ายรา่ งกาย ทำ�ให้ศลี ดา่ งพร้อย ๓.๓ การทรกรรม ท�ำ ใหศ้ ีลดา่ งพรอ้ ย การฆ่า การฆ่า หมายถึง การทำ�ชวี ติ สตั วใ์ หต้ กล่วงไป ได้แก่ การท�ำ ให้ตาย วัตถุ คือ ผู้ถูกฆ่า มี ๒ อย่าง คือ มนุษย์ และสัตว์เดียรัจฉาน โดยท่ีสุดหมายถึงมนุษย์ และสตั วเ์ ดยี รัจฉานทงั้ ที่อยูใ่ นครรภ์และนอกครรภ์ เจตนาของผฆู้ ่า มี ๒ อย่าง คือ จงใจฆ่า และไม่จงใจฆา่ การฆ่าสำ�เร็จด้วยความพยายาม เรียกว่า ปโยค มี ๒ อย่าง คือ ฆ่าเอง และใช้ให้ผู้อ่ืนฆ่า การใช้ใหผ้ ูอ้ ื่นฆ่าทัง้ ผ้ใู ชแ้ ละผูถ้ ูกใช้มโี ทษและความผิดฐานฆ่า การทำ�รา้ ยรา่ งกาย การทำ�ร้ายรา่ งกาย หมายถงึ การท�ำ รา้ ยผู้อนื่ โดยการท�ำ ให้พิการ เสียโฉม หรือเจ็บลำ�บาก แต่ไม่ถึงกบั เสยี ชีวิต แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ช้ันตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117