94 อย่าได้เสียใจในภายหลังว่าพระศาสดาประทับอยู่ต่อหน้าพวกเราแล้วแต่กลับไม่มีโอกาสได้ถามข้อสงสัย เมอ่ื พระพทุ ธองคต์ รสั จบภกิ ษเุ หล่านน้ั นงั่ นงิ่ อยไู่ มม่ รี ปู ใดทลู ถามเลยพระพทุ ธองคท์ รงประทานโอกาสใหท้ ลู ถาม ถึง ๓ ครั้ง แม้ครั้งที่ ๓ ภิกษุท้ังหลายยังคงน่ังนิ่งอยู่ไม่มีภิกษุรูปใดทูลถาม ไม่มีภิกษุรูปใดสงสัยข้องใจหรือ เคลือบแคลงใจในพระพทุ ธเจ้าในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรค หรอื ในขอ้ ปฏิบตั แิ ตป่ ระการใดเพราะภิกษุ ทั้งหมดในท่ีน้ัน ล้วนเป็นพระอริยบุคคลช้ันพระโสดาบนั เปน็ อยา่ งต่ําไม่เจอื ปนดว้ ยปถุ ุชนเลย ปจั ฉมิ โอวาท เมื่อไม่เห็นภิกษุรูปใดทูลถามพระพุทธองค์จึงตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า “หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนตฺ ยามิ โว วยธมมฺ า สงขฺ ารา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ” ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย บดั น้ี เราขอเตอื นเธอทง้ั หลาย ว่าสังขารทง้ั หลายมีความเสอื่ มไปเป็นธรรมดา เธอท้ังหลายจงยงั ความไม่ประมาทใหถ้ ึงพรอ้ มเถิดพระดำ�รสั น้ี เรยี กวา่ ปจั ฉมิ โอวาท พระพุทธองคท์ รงประมวลพระโอวาททีป่ ระทานไวต้ ลอด ๔๕ พรรษา รวมลงในความ ไม่ประมาทตรัสเปน็ ครั้งสดุ ท้ายแกม่ วลมนษุ ยใ์ นโลกนี้ แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาพทุ ธประวัติ
95 ใบความร้ทู ี่ ๙ ปรินิพพาน ปรินิพพาน หลังจากนั้นพระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลยทรงเข้าอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙ โดยอนุโลมและ ปฏิโลมมีพระอนุรทุ ธะและพระอานนท์เฝา้ ดพู ระอาการของพระพุทธองค์อย่างใกลช้ ดิ คร้นั ถงึ ปัจฉมิ ยาม ได้เสด็จปรินิพพานขณะถอนจิตออกจากจตุตถฌานณภายใต้ต้นสาละทั้งคู่ในสาลวโนทยาน เมอื งกสุ นิ ารา รวมพระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา การปรนิ พิ พานของพระพทุ ธเจา้ ท�ำ ใหเ้ กดิ แผน่ ดนิ ไหวอยา่ งรนุ แรง ขนพองสยองเกลา้ นา่ สะพรงึ กลวั เสียงกลองทิพย์บันลือลั่นกึกก้อง ในอากาศมีความโกลาหลไปทั่วบริเวณสาลวโนทยาน ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวโกสีห์สักกเทวราชพระอนุรุทธะและพระอานนท์ได้กล่าวคาถาสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าและ แสดงสงั เวคกถาคอื ความไมเ่ ทย่ี งถาวรแหง่ สงั ขารทงั้ หลายบรรเทาความทกุ ขโ์ ศกแกพ่ ทุ ธบรษิ ทั ทปี่ ระชมุ อยใู่ น สาลวโนทยานนั้นต่างเศร้าโศกรํ่าไรรำ�พันครํ่าครวญถึงพระพุทธองค์เป็นท่ีน่าสลดใจยิ่งนัก พระอนุรุทธะและ พระอานนท์แสดงธรรมปลอบใจมหาชนให้คลายความเศรา้ โศกเสียใจจนกระทั่งถึงรุง่ เชา้ ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระ ครนั้ สวา่ งแลว้ พระอนรุ ทุ ธะไดม้ บี ญั ชาใหพ้ ระอานนทเ์ ขา้ ไปแจง้ ขา่ วการปรนิ พิ พานแกม่ ลั ลกษตั รยิ ์ ทั้งหลายในเมืองกุสินารา มัลลกษัตริย์ท้ังหลายพอทราบข่าวต่างเศร้าโศกเสียพระทัยด้วยความอาลัยใน พระพทุ ธเจา้ ทรงรบั สงั่ ใหป้ ระกาศขา่ วการปรนิ พิ พานใหช้ าวเมอื งกสุ นิ าราทราบทว่ั กนั ทรงรบั สงั่ ใหต้ ระเตรยี ม เครอ่ื งบชู าพระพทุ ธสรรี ะและผา้ ๕๐๐ คู่ เสดจ็ ไปยงั สาลวโนทยานตกแตง่ สถานทฟี่ อ้ นร�ำ ขบั รอ้ งประโคมดนตรี กระท�ำ สักการบชู าพระพทุ ธสรรี ะอยา่ งมโหฬาร มัลลกษัตริย์ทั้งหลายปรึกษากันว่าวันน้ีพลบคํ่าแล้วไม่สามารถถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระได้ เอาไว้พรุ่งน้ีเถิดพวกเราจะถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระกัน มหาชนจำ�นวนมากแม้จะอยู่ในที่ไกลพอทราบ ข่าวพระพุทธเจ้าปรินิพพานต่างถือเครื่องสักการะมากมายรีบรุดเดินทางมาไม่ขาดสายไม่มีหยุดพักพากัน สกั การบูชาพระพทุ ธสรรี ะเป็นเวลาต่อเน่อื งถึง ๖ วนั ครั้นถึงวันท่ี ๗ มัลลกษัตริย์ท้ังหลายพร้อมใจกันจะอัญเชิญพระพุทธสรีระออกไปทางทิศใต้ของ เมืองกุสินารา ทำ�การถวายพระเพลิงภายนอกพระนคร เม่ือได้เวลาอัญเชิญปรากฏว่า ไม่สามารถอัญเชิญ พระพุทธสรีระไปได้แม้แต่ขยับเขย้ือนให้เคลื่อนจากท่ีสักน้อยหนึ่งก็ไม่ อาจทำ�ได้มัลลกษัตริย์ทั้งหลายพากัน ประหลาดใจไปตาม ๆ กันจึงตรัสถามพระอนุรุทธะประธานสงฆ์ในที่น้ันได้รับคำ�ตอบว่า เหล่าเทวดา มคี วามประสงคจ์ ะใหอ้ ญั เชญิ พระพทุ ธสรรี ะเข้าสพู่ ระนครทางประตทู ศิ เหนอื ผา่ นทา่ มกลางพระนครออกทาง ประตทู ศิ ตะวันออกถวายพระเพลงิ ณมกฏุ พนั ธนเจดียท์ างทิศตะวนั ออกของเมอื งกสุ ินารา แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
96 มัลลกษัตริย์ท้ังหลายทราบเช่นน้ันก็ทรงผ่อนผันตามความประสงค์ของเทวดาทั้งหลายปรากฏว่า อัญเชิญพระพุทธสรีระออกจากที่นั้นได้อย่างง่ายดายมัลลปาโมกข์ ๘ องค์จัดขบวนอัญเชิญพระพุทธสรีระ เคลื่อนเข้าสู่พระนครทางประตูทิศเหนือ ผ่านท่ามกลางพระนครออกทางประตูทิศตะวันออกตามท่ี พระอนุรุทธะอธิบายแล้วขณะนั้นดอกมณฑารพในบนสวรรค์ร่วงหล่นลงมาสักการบูชาพระพุทธสรีระทั่วทั้ง พระนครกสุ นิ ารา ประชาชนไดย้ นิ เสยี งขบั รอ้ งเสยี งประโคมดนตรพี ากนั ออกมาดขู บวนอญั เชญิ พระพทุ ธสรรี ะ สักการบูชาดว้ ยดอกไมข้ องหอมนานาชนดิ นอ้ มส่งเสดจ็ เป็นครั้งสุดทา้ ยตลอดทางไปสมู่ กุฏพันธนเจดยี ์ เมอ่ื อญั เชญิ พระพทุ ธสรรี ะไปถงึ มกฏุ พนั ธนเจดยี เ์ รยี บรอ้ ยแลว้ มลั ลกษตั รยิ ท์ ง้ั หลายถามพระอานนท์ ถึงวิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ได้รับคำ�ตอบว่า มหาบพิตรพึงปฏิบัติในพระพุทธ สรีระเช่นเดียวกับพระบรมศพพระเจา้ จักรพรรดิ มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ปฏิบัติตามพระอานนท์อธิบายแล้ว หอ่ พระพุทธสรรี ะดว้ ยผ้าใหมซ่ ับดว้ ยสำ�ลหี อ่ ด้วยผ้าใหมท่ บั อกี ๕๐๐ คู่ อัญเชิญลงประดิษฐาน ในรางเหลก็ ชมุ่ ดว้ ยนา้ํ มนั ใชร้ างเหลก็ อกี อนั หนง่ึ ปดิ ทบั ขา้ งบนอญั เชญิ ขน้ึ สจู่ ติ กาธานท�ำ ดว้ ยไมห้ อม ลว้ นเตรียมการจะถวายพระเพลิง คร้ันดำ�เนินการเรียบร้อยแล้วมัลลปาโมกข์ ๔ องค์ นำ�ไฟเข้าไปยังจิตกาธานท้ัง ๔ ทิศ แต่ไม่สามารถจุดไฟท่ีจิตกาธานให้ติดได้แม้พยายามอยู่หลายคร้ังก็ไม่บรรลุผล มัลลกษัตริย์ทั้งหลายสงสัยว่า จะเป็นอานุภาพเทวดาจึงเข้าไปถามพระอนุรุทธะได้รับคำ�ตอบว่าเหล่าเทวดาประสงค์จะให้คอยพระมหากัสสปะ เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึงถวายบังคมพระบาทพระพุทธองค์แล้วจึงจะถวายพระเพลิงได้ มัลลกษตั รยิ ท์ ัง้ หลายทรงผอ่ นผันตามความประสงค์ของเทวดาแลว้ สมยั นั้นพระมหากสั สปะยงั มาไมถ่ ึงมกุฏพนั ธนเจดยี ์กำ�ลังเดนิ ทางจากเมอื งปาวาไปเข้าเฝ้าพระพทุ ธเจา้ ณ เมืองกุสินารา พรอ้ มด้วยภิกษบุ ริวาร ๕๐๐ รปู ในระหวา่ งทางพาภิกษุบริวารหยดุ พกั ใต้ร่มไมแ้ ห่งหน่ึงเห็น อาชวี กคนหนง่ึ ถอื ดอกมณฑารพเดนิ สวนทางมารสู้ กึ แปลกใจวา่ ดอกมณฑารพเปน็ ดอกไมท้ พิ ยไ์ มม่ ใี นโลกมนษุ ย์ ปรากฏเฉพาะในเหตุการณ์สำ�คัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น เช่น เสด็จลงสู่พระครรภ์ประสูติเสด็จ ออกผนวช ตรสั รู้ ทรงแสดงปฐมเทศนา ทรงท�ำ ยมกปาฏหิ ารยิ ์ เสดจ็ ลงจากเทวโลกปลงอายสุ งั ขารและปรนิ พิ พาน นึกสังหรณ์ใจถึงพระพุทธองค์จึงเข้าไปถามอาชีวกนั้นได้รับคำ�ตอบว่า พระพุทธองค์ปรินิพพานได้ ๗ วัน เขา้ วันน้ีแล้วและจะถวายพระเพลงิ ในวันนดี้ อกมณฑารพน้ีเราเก็บมาจากสถานท่ปี รนิ ิพพานน้ัน ภิกษุทั้งหลายฟังอาชีวกบอกเช่นนั้น บางพวกยังเป็นปุถุชนอยู่ต่างตกใจประคองแขนร้องไห้ กลงิ้ เกลอื กไปมาร�ำ พนั ถงึ พระพทุ ธองค์ สว่ นพระขณี าสพทงั้ หลายมสี ตสิ มั ปชญั ญะมนั่ คงอดกลน้ั ไดเ้ จรญิ ธรรม สงั เวชพิจารณาความแตกดับแห่งสังขาร ภกิ ษรุ ูปหน่งึ นามวา่ สุภัททะเปน็ วฑุ ฒบรรพชติ เพราะบวชพระตอนแก่นงั่ อยู่ในทนี่ นั้ ดว้ ยไดย้ ืนขึ้น พูดหา้ มภกิ ษุทงั้ หลายวา่ พวกท่านอยา่ เศร้าโศกเสยี ใจไป เลยพวกเราหลดุ พ้นจากอ�ำ นาจพระมหาสมณะแล้ว เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่คอยบังคับห้ามปรามพวกเราต่าง ๆ นานา ว่าสิ่งน้ีควรสิ่งนี้ไม่ควร พระองค์ ปรนิ พิ พานกด็ ี แลว้ พวกเราปรารถนาจะท�ำ สงิ่ ใดกท็ �ำ ไดต้ ามใจชอบ ไมม่ ใี ครมาคอยบงั คบั หา้ มปรามพวกเราแลว้ พระมหากัสสปะฟังพระสุภัททะกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยเช่นน้ันรู้สึกสลดใจว่า พระพุทธองค์ ปรินิพพานเพียงแค่ ๗ วัน เท่าน้ัน ยังมีอลัชชีกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยได้ไม่เกรงขาม ครั้นจะยกขึ้นเป็น อธกิ รณท์ �ำ นคิ คหกรรมกเ็ หน็ ว่าไมค่ วรท�ำ ในเวลาเชน่ นเ้ี พราะตอ้ งรบี เดนิ ทางไปใหท้ นั ถวายพระเพลงิ ท�ำ ไดเ้ พยี ง แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วชิ าพทุ ธประวัติ
97 แคป่ ลอบภกิ ษทุ ง้ั หลายใหค้ ลายความโศกเสยี ใจรบี พาภกิ ษบุ รวิ ารเดนิ ทางไปเมอื งกสุ นิ าราตรงไปยงั มกฏุ พนั ธน เจดยี ์ ครน้ั มาถงึ จติ กาธานเปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธสรรี ะแลว้ หม่ จวี รเฉวยี งบา่ ประคองอญั ชลที �ำ ประทกั ษณิ จิตกาธาน ๓ รอบ ถวายบังคมพระยุคลบาทพร้อมกับภิกษุบริวาร ๕๐๐ พอถวายบังคมพระยุคลบาทเสร็จ จติ กาธานเกิดไฟลกุ โชนขึ้นเอง พระอรรถกถาจารยแ์ สดงวา่ พระพทุ ธสรรี ะบางสว่ นไฟไหมห้ าเถา้ ถา่ นมไิ ดค้ อื พระฉวี (ผวิ ) พระจมั มะ (หนงั ) พระมงั สะ (เนอ้ื ) พระนหารุ (เอน็ ) พระลสกิ า (ไขขอ้ ) เมอ่ื ไฟมอดดบั ลงแลว้ เหลอื พระพทุ ธสรรี ะบางสว่ น คอื พระอฐั ิ (กระดูก) พระเกสา (ผม) พระโลมา (ขน) พระนขา (เล็บ) พระทันตา (ฟนั ) และผ้าห่อพระพทุ ธ สรีระคู่หน่ึง คือ ผ้าผืนในสุดกับผ้าผืนนอกมีสภาพเป็นปกติไม่ถูกไฟเผาไหม้ห่อหุ้มพระบรมสารีริกธาตุอยู่ผ้า นอกนั้นถกู ไฟเผาไหม้ทั้งหมด ครั้นเสร็จการถวายพระเพลิงแล้วท่อนํ้าได้ตกลงมาจากอากาศน้ําพุ่งออกจากต้นสาละดับไฟที่ จิตกาธาน ต่อจากน้ันมัลลกษัตริย์ท้ังหลายนำ�นํ้าอบนํ้าหอมเข้าประพรมจิตกาธานเก็บพระบรมสารีริกธาตุ อญั เชญิ ไปประดษิ ฐานณทอ้ งพระโรงภายในพระนครจดั วางก�ำ ลงั อารกั ขาอยา่ งแนน่ หนาทงั้ ชนั้ ในและชน้ั นอก เมืองกุสินาราสักการบูชาด้วยเคร่ืองบูชาต่าง ๆ ดอกไม้ของหอมนานาชนิดและจัดมหรสพสมโภชพระบรม สารรี ิกธาตเุ ป็นเวลา๗วนั แจกพระบรมสารรี ิกธาตุ ครั้งนั้นพระเจ้าอชาตศัตรู เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ กษัตริย์ลิจฉวี เมืองไพศาลี กษัตริย์ศากยะ เมอื งกบลิ พสั ด์ุ กษตั รยิ ถ์ ลู ี เมอื งอลั ลกปั ปะ กษตั รยิ โ์ กลยิ ะ เมอื งรามคาม กษตั รยิ ม์ ลั ละ เมอื งปาวา รวมพราหมณ์ ผ้คู รองเมอื งเวฏฐทปี กะดว้ ยเป็น ๗ พระนคร ล้วนมศี รทั ธาเลอ่ื มใสในพระพุทธเจ้า พอทราบขา่ วพระพทุ ธเจ้า เสด็จปรินิพพานในเมืองกุสินาราต่างเศร้าโศกเสียพระทัย ได้ส่งทูตไปขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพือ่ อัญเชิญไปสรา้ งพระสถปู บรรจสุ กั การบชู าในพระนครของตน คณะทูตานุทูตจากพระนครท้ัง ๗ พากันเข้าเฝ้ามัลลกษัตริย์ถวายพระราชสาส์นขอส่วนแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุมัลลกษัตริย์ท้ังหลายได้มีพระดำ�รัสกับคณะทูตานุทูตเมืองเหล่านั้นว่าพระพุทธเจ้า เสด็จมาปรินิพพานในเมืองพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่ใคร เมื่อมัลลกษัตริย์ ท้ังหลายตรัสยืนกรานเช่นน้ัน ฝ่ายคณะทูตานุทูตก็ไม่ยอมท้อถอย จึงเป็นประเด็นถกเถียง เป็นปมขัดแย้ง เกือบจะท�ำ สงครามแยง่ ชงิ พระบรมสารีริกธาตกุ นั ขึ้น สนุ ทรพจนข์ องโทณพราหมณ์ ในที่ประชุมน้ันโทณพราหมณ์เป็นอาจารย์ของกษัตริย์ในเมืองเหล่านั้นฉลาดทั้งคดีโลกคดีธรรม เปน็ ทเ่ี คารพยกยอ่ งของคนทว่ั ไปสามารถพดู โนม้ น้าวใจคนฟงั ใหโ้ อนออ่ นตามไดฟ้ งั ค�ำ ปฏเิ สธของมลั ลกษตั รยิ ์ เหลา่ นน้ั แลว้ คดิ วา่ มลั ลกษตั รยิ ไ์ มม่ ขี อ้ อา้ งจะไมแ่ บง่ พระบรมสารรี กิ ธาตใุ หแ้ กเ่ มอื งอนื่ ๆ เพราะมลั ลกษตั รยิ ไ์ มใ่ ช่ พระประยรู ญาติ พระพทุ ธเจ้าเพียงแต่นบั ถอื พระพทุ ธองคเ์ พราะพระธรรมค�ำ สอน แม้กษตั ริย์และพราหมณ์ มาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุในคร้ังน้ีต่างนับถือพระพุทธองค์เพราะพระธรรมคำ�สอนเหมือนกัน พระพุทธ องค์ไมไ่ ดท้ รงแสดงธรรมให้พุทธบรษิ ทั ทำ�ศกึ สงครามกนั เลยแตต่ รัสสอนให้มีขนั ติ อดทนอดกล้นั ต่อทุกขแ์ ละ กิเลสยั่วยุต่าง ๆ ตรัสสอนให้ตั้งอยู่ในสามัคคีธรรมห่างไกลจากวิหิงสาเบียดเบียนอาฆาตจองเวรกันอีก ทั้ง แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาพุทธประวตั ิ
98 สมยั ด�ำ รงพระชนมอ์ ยปู่ วงชนมากมายเคยไดเ้ หน็ ไดก้ ราบไหวพ้ ระพทุ ธองคใ์ นสถานทต่ี า่ ง ๆ บดั น้ี พระพทุ ธองค์ ปรนิ พิ พานแลว้ ปวงชนควรจะไดก้ ราบไหวบ้ ชู าพระบรมสารรี กิ ธาตแุ ทนพระองคแ์ ละปฏบิ ตั ติ นตามพทุ โธวาท งดเวน้ จากบาปทจุ รติ ทง้ั ปวง บ�ำ เพญ็ กศุ ลความดใี หถ้ งึ พรอ้ มสรา้ งความมน่ั คงแกพ่ ระศาสนา มลั ลกษตั รยิ ท์ งั้ หลาย ไมค่ วรสรา้ งความขดั แยง้ เพราะสว่ นแบง่ พระบรมสารรี กิ ธาตคุ วรแบง่ ใหเ้ ทา่ กนั ทงั้ ๘ พระนคร เมอ่ื มที ตู มาขออกี ในภายหลงั กจ็ ะอา้ งไดว้ า่ พระบรมสารรี กิ ธาตทุ จี่ ะแบง่ ใหไ้ มม่ แี ลว้ แบง่ ปนั กนั เสรจ็ แลว้ กจ็ ะไมเ่ สยี สมั พนั ธไมตรี เกิดภัยอันตรายแก่เมอื งกสุ นิ ารา สังเวชนียสถาน ๔ สังเวชนียสถาน แปลว่า สถานที่เป็นที่ต้ังแห่งความสังเวชเป็นคำ�ใช้เรียกสถานท่ีเก่ียวข้องกับ พระพุทธเจา้ มี ๔ แหง่ คือ สถานท่ปี ระสตู ิ สถานทีต่ รัสรู้ สถานท่แี สดงปฐมเทศนา และสถานทปี่ รินิพพาน พุทธศาสนิกชนควรไปดูไปเห็นและให้เกิดความสังเวช เพ่ือเพ่ิมพูนความศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธเจ้าทำ�ให้ รสู้ กึ เหมอื นไดอ้ ยใู่ กลช้ ดิ พระพทุ ธเจา้ เปน็ แรงบนั ดาลใจในการท�ำ ความดี เปน็ เครอื่ งเตอื นใจใหด้ �ำ รงชวี ติ อยใู่ น ความไมป่ ระมาทจะไดร้ บี เรง่ ขวนขวายประกอบกศุ ลกรรมอนั จะน�ำ ใหไ้ ปเกดิ ในสคุ ตภิ มู ิ พระพทุ ธองคท์ รงแสดง แกพ่ ระอานนทก์ อ่ นปรนิ พิ พานวา่ ดกู รอานนทภ์ กิ ษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสกิ า ผมู้ ศี รทั ธาจะพากนั มาสกั การบชู า สังเวชนียสถาน ๔ ตำ�บลเหล่านี้ ด้วยความเชื่อว่าพระตถาคตประสูติที่น้ี ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณท่ี นี้ทรงแสดงปฐมเทศนาท่ีน้ี ทรงปรินิพพานท่ีน้ี ชนเหล่าใดจาริกไปตามเจดีย์สถานเหล่านี้ ด้วยจิตเลื่อมใส ชนเหล่าน้ันตายไปจะบังเกดิ ในสคุ ติโลกสวรรค์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งน้ีรวมกับตุมพสถูปและอังคารสถูปจัดเป็นบริโภคเจดีย์อัฐบริขารของ พระพทุ ธเจ้าท่ีทรงเคยใช้สอย เช่น บาตร จวี ร สงั ฆาฏธิ มกรก และเสนาสนะเคยประทบั เชน่ เตยี ง ตั่ง กฏุ ิ วิหารชนชั้นหลงั ไดน้ ับรวมเขา้ ในบรโิ ภคเจดียด์ ว้ ย ตอ่ มาภายหลงั พทุ ธศาสนกิ ชนบางพวกเลอ่ื มใสในพระพทุ ธเจา้ ไดน้ อ้ มน�ำ เอาทองค�ำ เงนิ รตั นะไมแ้ กน่ อฐิ ศลิ าปนู และโลหะตา่ ง ๆ มาสรา้ งเปน็ พระพทุ ธรปู ขนึ้ เลก็ กวา่ พระองคจ์ รงิ บา้ ง เทา่ พระองคจ์ รงิ บา้ ง ใหญก่ วา่ พระองค์จริงบา้ ง ให้เป็นปูชนยี วตั ถเุ ปน็ เครอ่ื งเตือนจิตให้ระลกึ ถึงพระพุทธเจา้ และเกิดปตี ิศรทั ธาแกผ่ พู้ บเห็น เรยี กว่า อทุ เทสกิ เจดีย์ ๑๓๙ วญิ ญชู นบางพวกมศี รทั ธามนั่ คงในพระพทุ ธศาสนาปรารถนาจะบชู าพระธาตเุ จดยี แ์ ละบรโิ ภคเจดยี ์ แตไ่ มส่ ามารถจะเดนิ ทางไปสกั การบชู าไดท้ งั้ ไมย่ นิ ดใี นการสรา้ งพระพทุ ธรปู และพระบรมสารรี กิ ธาตกุ ห็ ายากจงึ สรา้ งพระสถปู ขน้ึ ในถนิ่ ฐานของตนแลว้ จารกึ พระพทุ ธวจนะ คอื ค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ เชน่ ปฏจิ จสมปุ บาท อรยิ สจั โพธปิ กั ขยิ ธรรมและอน่ื ๆ ซง่ึ เหน็ วา่ เปน็ พทุ ธภาษติ แทล้ งในแผน่ ทองค�ำ บา้ ง แผน่ เงนิ บา้ ง แผน่ ศลิ าบา้ ง ใบลานบา้ ง น�ำ มาบรรจไุ วภ้ ายในพระสถปู แทนเพอ่ื กราบไหวส้ ักการบชู าเรียกวา่ ธรรมเจดีย์ กล่าวโดยสรุปสัมมาสัมพุทธเจดีย์มี ๔ ประเภท คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ อุทเทสิกเจดีย์ ธรรมเจดีย์ดว้ ยประการฉะน้ี แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าพทุ ธประวตั ิ
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ ๔ 99 ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี สาระการเรยี นรู้วิชาพุทธประวตั ิ เวลา..............ชัว่ โมง เร่ือง ศาสนพธิ ี องคป์ ระกอบของศาสนา การจดั โตะ๊ หมูบ่ ชู าและเครอ่ื งสักการะ ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๒ รู้และเข้าใจพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พทุ ธศาสนกิ ชนที่ดี และธ�ำ รงรกั ษาพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ รู้และเข้าใจความหมายของศาสนพิธี องค์ประกอบของศาสนา ประโยชน์ของศาสนพิธี การจัดโต๊ะหมู่บชู าและเคร่ืองสักการะ ๓. สาระสำ�คัญ ศาสนพิธี องค์ประกอบของศาสนา ประโยชน์ของศาสนพธิ ี การจัดโตะ๊ หมูบ่ ชู าและเครื่องสักการะ ๔. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. นกั เรยี นบอกความหมายของศาสนพิธี องคป์ ระกอบของศาสนา และประโยชน์ของศาสนพธิ ไี ด้ ๒. นกั เรียนบอกความเป็นมา ประเภท จุดประสงคข์ องการจัดโตะ๊ หม่บู ูชาและเคร่ืองสกั การะได้ ๓. นกั เรียนสามารถจดั โตะ๊ หม่บู ชู าและเครอ่ื งสักการะได้ ๕. สาระการเรียนรู/้ เนอ้ื หา องคป์ ระกอบของศาสนา - ความหมายของศาสนพธิ ี - ประโยชนข์ องศาสนพิธี การจดั โต๊ะหมู่บชู าและเครอ่ื งสกั การะ - การจัดโตะ๊ หมู่บูชา - ความเปน็ มาของโต๊ะหมู่บูชา - ประเภทของโตะ๊ หมบู่ ูชา - วัตถปุ ระสงค์ของการจัดโต๊ะหมู่บูชา - วธิ ีการจดั โตะ๊ หมูบ่ ชู า - เครื่องสกั การบูชา - เครือ่ งบูชากระบะมุก - เคร่ืองบชู าทองนอ้ ย - บูชาพระบรมสารีรกิ ธาตุ - เครื่องสักการะธปู เทยี นแพ กรวยดอกไม้ - การจดั ธูปเทยี นแพกรวยดอกไม้ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาพทุ ธประวัติ
100 ๖. กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขัน้ สืบคน้ และเช่อื มโยง ๑. ครูให้นักเรียนดูภาพเก่ียวกับโต๊ะหมู่บูชา แล้วสนทนากับนักเรียนโดยใช้คำ�ถามเพื่อเช่ือมโยง ไปสู่การเรยี นรู้ ดงั น้ี - ภาพนเ้ี ปน็ ภาพอะไร - ในการจัดโต๊ะหมบู่ ูชาตอ้ งประกอบด้วยอะไรบา้ ง - นกั เรียนรู้จกั โตะ๊ หมู่บูชาแบบใดบา้ งฯลฯ ข้ันฝึก ๒. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละเทา่ ๆ กัน โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ช่วยกันศึกษาใบความรู้ ท่ี ๑๐ เร่ืองความหมายของศาสนพิธี องค์ประกอบของศาสนาและประโยชน์ของศาสนพิธี โดยให้นักเรียน เขยี นสรปุ ลงในกระดาษ ครูสุ่มนกั เรียนน�ำ เสนอหนา้ ชั้นเรียน ๒-๓ คน ๓. ครูให้นักเรียนกลุ่มเดิมศึกษาใบความรู้ที่ ๑๑ เรื่อง ความเป็นมา ประเภท จุดประสงค์ ของการจัดโต๊ะหมู่บูชาและเคร่ืองสักการะ โดยให้นักเรียนเขียนสรุปลงในกระดาษ ครูสุ่มนักเรียนนำ�เสนอ หน้าช้นั เรยี น ๒-๓ คน และตรวจสอบความถูกตอ้ งและช่นื ชมคนท่นี �ำ เสนอได้ดี ๔. ครูให้นักเรียนในห้องทุกคนร่วมกันจัดโต๊ะหมู่บูชา ๔ โต๊ะหมู่บูชา ๕ โต๊ะหมู่บูชา ๗ และเคร่ืองสักการะให้เรยี บร้อย โดยครใู ห้คำ�แนะน�ำ ช่วยเหลอื และนักเรยี นในหอ้ งร่วมกนั ประเมนิ ผล ข้ันประยกุ ต์ ๕. ครูกับนักเรียนร่วมกันสรุปความหมายของศาสนพิธี องค์ประกอบของศาสนา ประโยชน์ ของ ศาสนพธิ ี การจัดโต๊ะหมู่บชู าและเครอ่ื งสกั การะ ๖. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าในการจัดโต๊ะหมู่บูชาจะต้องมีเครื่องสักการบูชา เพ่ือเป็นการระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า นักเรียนทกุ คนทำ�ใบกิจกรรมท่ี ๖ ส่งครตู รวจ ๗. นกั เรียนท�ำ แบบทดสอบหลังเรยี น และครูตรวจใหค้ ะแนน ๗. ภาระงาน/ชน้ิ งาน ท ่ี ภาระงาน ชิ้นงาน - ๑ สรุปความหมายของศาสนพธิ ี องค์ประกอบของศาสนา ประโยชนข์ องศาสนพธิ ี - ๒ สรปุ ความเป็นมา ประเภท จุดประสงค์ของการจดั โต๊ะหมู่บูชา ใบกิจกรรมที่ ๖ และเคร่อื งสักการะ ๓ ตอบคำ�ถามความหมายของศาสนพิธี องคป์ ระกอบของศาสนา ประโยชนข์ องศาสนพธิ ี ประเภท จุดประสงคข์ องการจัดโต๊ะหมูบ่ ชู า และเครอื่ งสกั การะ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วชิ าพุทธประวตั ิ
101 ๘. สือ่ /แหล่งการเรยี นรู้ ๑. ภาพโตะ๊ หม่บู ชู า ๒. ใบความรู้ท่ี ๑๐ เรื่อง ความหมายของศาสนพิธี องค์ประกอบของศาสนา และประโยชน์ ของศาสนพธิ ี ๓. ใบความรู้ท่ี ๑๑ เร่ืองความเปน็ มา ประเภท จดุ ประสงคข์ องการจดั โต๊ะหมู่บชู าและเครอ่ื งสักการะ ๔. ใบกิจกรรมที่ ๖ ๕. ท�ำ แบบทดสอบหลังเรยี น ๙. การวดั ผลและประเมินผล ส่งิ ทีต่ อ้ งการวดั วธิ วี ัด เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน ๑. บอกความหมายของ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ศาสนพธิ ี องค์ประกอบ - สงั เกต ผลงาน ของศาสนาและประโยชน์ ของศาสนพธิ ีได้ - แบบสังเกต ผ่าน = ได้คะแนนตง้ั แตร่ อ้ ยละ ๖๐ ข้ึนไป พฤติกรรม ไม่ผา่ น = ไดค้ ะแนนต�่ำกว่ารอ้ ยละ ๖๐ ๒. บอกความเป็นมา การปฏิบัติ ประเภท จดุ ประสงค์ กิจกรรมกลุ่ม ของการจดั โตะ๊ หมู่บูชา และเคร่ืองสกั การะได้ ๓. สามารถจดั โตะ๊ หมบู่ ชู า และเครือ่ งสกั การะได้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วิชาพุทธประวัติ
102 ขอ้ ที่ แบบประเมนิ ผลงาน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ ง ๑-๖ ตอบค�ำ ถามถกู ต้อง ใบกจิ กรรมท่ี ๖ ตรงประเดน็ นอ้ ย ตรงประเด็น ระดับคะแนน ๒ คะแนน ตอบค�ำ ถามถกู ตอ้ ง ตรงประเด็นส่วนใหญ่ เกณฑก์ ารตัดสิน เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้ึนไป ๗ - ๑๘ ไม่ผา่ น ต�่ำกวา่ ๖๐ ๐-๖ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตัดสินสามารถปรับใชต้ ามความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย แบบประเมินผลการเรียนรู้ แบบทดสอบหลงั เรยี น เกณฑก์ ารประเมิน ตอบถกู ได้ ๑ คะแนน ตอบผิดได้ ๐ คะแนน เกณฑ์ เกณฑ์การตัดสิน คะแนน ผา่ น ๓-๕ ไมผ่ า่ น ร้อยละ ๐-๒ ๖๐ ขึ้นไป ต่�ำกว่า ๖๐ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั ตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
103 ใบกจิ กรรมท่ี ๖ ความหมายของศาสนาพิธี องค์ประกอบของศาสนาและประโยชน์ของศาสนพิธี ประเภท จุดประสงคข์ องการจดั โต๊ะหมบู่ ูชา และเครอ่ื งสักการะ ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท่.ี .......................... ค�ำช้แี จง ใหน้ กั เรียนตอบค�ำถามต่อไปนี้ จ�ำนวน ๖ ข้อ (๑๘ คะแนน) ๑. ศาสนพิธมี คี วามหมายวา่ อย่างไร มกี ่ีหมวด อะไรบ้าง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. องค์ประกอบของศาสนามีกป่ี ระการ อะไรบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. บอกประโยชน์ของศาสนพธิ ี มีอะไรบ้าง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. จุดประสงคใ์ นการจดั โต๊ะหม่บู ชู า มีอะไรบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๕. วิธีการจัดโต๊ะหมู่บชู า มีกี่วิธอี ะไรบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๖. เคร่อื งบูชากระบะมุก ประกอบด้วยสิ่งของอะไรบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าพุทธประวัติ
104 เฉลยใบกิจกรรมท่ี ๖ ศาสนพิธี องคป์ ระกอบของศาสนา ประโยชน์ของศาสนพธิ ี ประเภท จุดประสงคข์ องการจดั โต๊ะหมบู่ ชู า และเครอ่ื งสกั การะ ๑. ศาสนพธิ ี มคี วามหมายว่าอยา่ งไร มกี ีห่ มวด อะไรบ้าง ตอบ ศาสนพธิ ีแปลตามศัพท์ พธิ ที างศาสนา หมายถงึ วิธี ระเบียบ แบบแผน หรือแบบอยา่ งที่ใช้ปฏบิ ัติ พิธีกรรมทางศาสนา ๒. องคป์ ระกอบของศาสนา มกี ่ีประการ อะไรบ้าง ตอบ องคป์ ระกอบของศาสนพธิ มี ี ๕ ประการ คอื ๑. ศาสนดาผู้ก่อตง้ั ศาสนา ๒. ศาสนธรรมหลกั ธรรม ค�ำ สอน ๓. ศาสนิกหรอื สาวก ๔. ศาสนสถานหรอื ศานวัตถุ ๕. ศาสนพธิ คี อื พธิ กี รรมทางศาสนา ๓. บอกประโยชน์ของศาสนพธิ ี มีอะไรบา้ ง ตอบ ๑. ทำ�ใหพ้ ธิ ีมีความถูกต้องเรยี บรอ้ ยงดงาม ส�ำ เร็จประโยชนต์ ามวตั ถปุ ระสงค์ ๒. เพ่ิมความศรทั ธาปสาทะ ความเชื่อความเล่ือมใสแกผ่ ้พู บเห็น ๓. เป็นเครื่องแสดงเกียรตยิ ศของเจา้ ภาพและผู้รว่ มพธิ ี ๔. เป็นการรกั ษาวัฒนธรรมประเพณที ีด่ งี ามของชาติไว้ ๔. ความหมายของโต๊ะหมู่บชู า คืออะไร ตอบ ความหมายของโต๊ะหมู่บูชา หมายถึงกลุ่มหรือชุดของโต๊ะที่ใช้ต้ังพระพุทธรูปหรือสิ่งที่ควร เคารพ เชน่ พระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมรูปหล่อของพระมหากษัตริย์ ซ่ึงถอื ว่าเปน็ เอกลกั ษณ์ ทางวัฒนธรรมอันสำ�คญั ของสงั คมไทยได้มกี ารปฏบิ ตั สิ ืบทอดมาเป็นเวลานาน ๕. วิธีการจดั โตะ๊ หม่บู ูชา มกี ีแ่ บบ อะไรบ้าง ตอบ วิธีการจัดโตะ๊ หมบู่ ูชา มีวิธีการจัด ๒ แบบ คือ ๑. วธิ จี ัดแบบอนรุ ักษ์ คือ จดั ต้งั กระถางธูป เชิงเทยี น พานพุ่ม และแจกนั ดอกไม้ครบตามจ�ำ นวน ทท่ี ่านกำ�หนดไว้ ๒. วิธจี ัดแบบสมัยนยิ ม คือ จัดพานดอกไมส้ ดแทนพานพุม่ และแจกันดอกไม้ ๖. เคร่อื งบชู ากระบะมกุ ประกอบด้วยส่ิงของอะไรบ้าง ตอบ เคร่ืองบูชากระบะมุกประกอบด้วย ธูปเทียน พุ่มดอกไม้ กระบะมุกแถวหน้า ตั้งพุ่มดอกไม้ ขนาดเลก็ ๔ พมุ่ แถวหลงั ตง้ั เชงิ ปกั ธปู ไมร้ ะก�ำ ขนาดเลก็ ตรงกลางตดิ ธปู ๑ ดอก ตง้ั เชงิ เทยี น ๒ ขา้ ง ขา้ งละ ๒ เลม่ รวมเป็น ๔ เลม่ และเมื่อนับรวมธปู เทยี นรวมเปน็ ๕ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าพุทธประวตั ิ
105 แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ ผลการเรยี นร้ทู ี่ ๔ ร้แู ละเข้าใจความหมายของศาสนพธิ ี องคป์ ระกอบของศาสนา ประโยชนข์ องศาสนพธิ ี การจัดโต๊ะหมบู่ ูชา และเครื่องสักการะ จำ�นวน ๕ ขอ้ คะแนน ๕ คะแนน คำ�ชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นเลือกคำ�ตอบท่ีถกู ตอ้ งท่สี ดุ เพียงข้อเดยี ว ๑. แบบอยา่ งทพี่ ึงปฏบิ ตั ใิ นทางศาสนา เรียกว่าอะไร ก. ศาสนาปฏิบตั ิ ข. ศาสนธรรม ค. ศาสนศึกษา ง. ศาสนพธิ ี ๒. การจัดโต๊ะหมบู่ ูชาแบบใดนยิ มใชใ้ นงานพิธใี หญ่ ก. การจัดโตะ๊ หมู่ ๔ ข. การจัดโตะ๊ หมู่ ๕ ค. การจัดโตะ๊ หมู่ ๗ ง. การจดั โตะ๊ หมู่ ๙ ๓. การจดั โตะ๊ หมู่ ๕ นยิ มใช้พานดอกไม้จ�ำ นวนเท่าใด ก. ๔ พาน ข. ๕ พาน ค. ๖ พาน ง. ๗ พาน ๔. การจดั โตะ๊ หมู่ ๙ นยิ มใช้เชงิ เทียนก่ีคู่ ก. ๒ คู่ ข. ๔ คู่ ค. ๕ คู่ ง. ๖ คู่ ๕. การจดั โตะ๊ หม่บู ชู าแบบใดนยิ มจดั ไวต้ ามบ้าน ก. การจัดโต๊ะหมู่ ๔ ข. การจดั โต๊ะหมู่ ๕ ค. การจดั โตะ๊ หมู่ ๗ ง. การจดั โตะ๊ หมู่ ๙ แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าพทุ ธประวตั ิ
106 เฉลยแบบทดสอบวัดผลการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ท่ี ๔ รู้และเข้าใจความหมายของศาสนพิธี องค์ประกอบของศาสนา ประโยชนข์ องศาสนพธิ ี การจดั โตะ๊ หมบู่ ูชาและเคร่อื งสักการะ ขอ้ ๑. ง ขอ้ ๒. ง ขอ้ ๓. ข ขอ้ ๔. ง ขอ้ ๕. ก แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
107 ใบความรทู้ ่ี ๑๐ ความหมายของศาสนพิธี องค์ประกอบของศาสนาและประโยชน์ของศาสนพธิ ี ความหมายของศาสนพธิ ี ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมหรือระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ท่ีดีงาม ที่พึงปฏิบัติในทางพระศาสนา ซึ่ง เปรียบเสมือนเคร่ืองห่อหุ้มศาสนาไว้ให้ ศาสนิกชนทั่วไปได้เห็นและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำ�ให้ พธิ กี รรมตา่ ง ๆ ทปี่ ระกอบขึ้นเป็นระเบียบเรียบรอ้ ยสวยงาม เป็นท่ีตง้ั แหง่ ความเลื่อมใสศรัทธาของผพู้ บเห็น และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้านจิตใจของผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก่อให้เกิดศรัทธา ความ เช่อื ความเลื่อมใสตอ่ พระพทุ ธศาสนามากข้ึน นอกจากนัน้ ยังเป็นเคร่ืองเชิดชูเกียรติและศักดิศ์ รขี องชาวพทุ ธ จึงจำ�เปน็ อยา่ งยงิ่ ทีช่ าวพุทธและคนไทยจะต้องศึกษาเรียนร้เู ร่ืองศาสนพิธี องค์ประกอบศาสนาที่ส�ำ คัญที่สุด มี ๕ ประการ คือ ๑. ศาสดา ๒. หลักคำ�สอนหรอื คัมภรี ์ ๓. นักบวช สาวก หรือศาสนบคุ คล ๔. ศาสนสถาน ๕. พธิ ีกรรมหรือศาสนพิธี ๑. ศาสดา คือ ผู้ก่อตั้งศาสนา ทรงคุณลักษณะแตกต่างไปตามประเภทของศาสนา แบ่งออก ไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คอื ๑.๑ ศาสดาของศาสนาเทวนิยม หมายถึง องค์อวตารหรือศาสนฑูตของพระเจ้า เพราะ พระประสงค์ท่ีจะช่วยกอบกู้มนุษย์ให้พ้นจากบาปหรือความทรมาน จึงได้แสดงพระองค์ให้ปรากฏแก่มนุษย์ ในลักษณะต่าง ๆ ๑.๒ ศาสดาของศาสนาอเทวนิยม คอื มนษุ ยผ์ ู้ค้นพบหลักสัจธรรมดว้ ยตนเอง หรือรวบรวม หลักธรรมคำ�สอนเสร็จแล้วนำ�มาประกาศเผยแผ่แก่ผู้อื่น และต้ังศาสนาของตนขึ้นได้โดยสอนให้พ่ึงตนเอง ไมส่ อนให้กราบไหว้วิงวอนจากส่ิงภายนอก ๒. หลักคำ�สอนหรือคัมภีร์ องค์ประกอบท่ี ๒ นี้ ถือว่าสำ�คัญมาก เพราะถือว่าเป็นผลงานของ ศาสนาหรอื ผกู้ อ่ ตัง้ ศาสนา เพราะถ้าไมม่ ีผลงานเป็นท่ยี อมรับของคนท้งั หลายแลว้ ทา่ นกค็ งไมไ่ ด้เป็นศาสดา เพราะฉะนั้น ทุกศาสนาก็ตอ้ งมีหลกั คำ�สอนเปน็ สารัตถ์ส�ำ คัญ ท้งั ทเ่ี ปน็ ระดับศลี ธรรมจรรยาในการครองชวี ติ และระดบั ปรมัตถสจั จะ เป็นจุดหมายขั้นสดุ ทา้ ยของชีวิต ๓. นักบวช สาวก หรือศาสนบุคคล สถาบันศาสนาท่ีดำ�รงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็โดยอาศัย การศึกษาปฏิบัติและการทำ�งานเผยแพร่ของสาวกหรือนักบวชของศาสนานั้น ๆ เพราะเป็นผู้แทนศาสดา เปน็ ผสู้ ืบตอ่ ศาสนา และเป็นศาสนทายาทโดยตรง ศาสนาน้นั ๆ จะเจริญหรอื เส่อื มโทรม ก็โดยอาศยั ผลงาน การเผยแพรข่ องสาวกเปน็ ส�ำ คญั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั ตรี วิชาพุทธประวัติ
108 ๔. ศาสนสถาน ทุกศาสนาย่อมกำ�หนดสภาวะศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สถานท่ีแห่งใดแห่งหน่ึง สำ�หรับ ประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา และเปน็ ทเี่ คารพสกั การบชู าส�ำ หรบั ศาสนกิ ชน ศาสนสถานเหลา่ นย้ี อมรบั กนั วา่ เป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธิ์ ผู้เข้ามาจะต้องแสดงความเคารพ ใครจะมาล่วงเกินหรือประพฤติกิริยาที่ไม่เหมาะสม หรือดูถูกเหยียดหยามไม่ได้ จะเป็นการทำ�ลายจิตใจ เป็นความรู้สึกท่ีแฝงลึกยากท่ีจะอธิบายได้ นับว่า เปน็ อนั ตรายตอ่ ศรทั ธาความเช่ือถือของศาสนกิ ชนนน้ั ๆ ๕. พิธีกรรมหรือศาสนพิธี ทุกศาสนามีพิธีกรรมทางศาสนา และมักประกอบพิธีในศาสนสถาน หรือสถานที่ศักด์ิสิทธ์ิ เช่น ในศาสนาพุทธ การบรรพชาอุปสมบทจะต้องทำ�ในอุโบสถ ในศาสนาอิสลาม มกี ารประกอบพธิ ลี ะหมาดวนั ศกุ รใ์ นมสั ยดิ ประกอบพธิ ฮี จั ญ์ ณ วหิ ารกาบาห์ นครเมกกะ หรอื ในศาสนาครสิ ต์ ก็มีพิธีศีลสมรส ศีลมหาสนิทในโบสถ์ เป็นต้น พิธีกรรมทางศาสนานับว่ามีส่วนสำ�คัญมากในการแสดง ความสามัคคพี รอ้ มเพรยี งกนั ทำ�ใหศ้ าสนกิ ชนของศาสนานัน้ ๆ มีโอกาสมาพบปะสงั สรรคก์ ัน ประโยชน์ของศาสนพธิ ี ๑. ประโยชนท์ างใจ ชว่ ยให้เกิดคณุ ธรรมขึน้ ในตวั ผูป้ ฏิบัติ ได้แก่ ๑.๑ ความมีสติ ๑.๒ ความสามคั คี ๑.๓ ความเปน็ ระเบยี บประณตี งดงาม ๑.๔ เกดิ ความชุ่มช่นื เบกิ บานใจ ๑.๕ เกดิ ความฉลาด ๒. เพื่อรักษาเอกลกั ษณข์ องชาติ ทไี่ ม่มีชาติใดเหมือน แสดงถึงความเป็นไท มิใชท่ าสของชาติใด ท้งั ยังปอ้ งกันมิให้ชาติถูกลมื ๓. มีส่วนช่วยธำ�รงพระพุทธศาสนา ศาสนพิธีเป็นขั้นตอนชักจูงให้ผู้ปฏิบัติซาบซ้ึง เกิดศรัทธา ในพระพทุ ธศาสนา มใี จม่งุ มนั่ ที่จะศึกษาแก่นแทข้ องพระพทุ ธศาสนาในขน้ั ลึกตอ่ ไปไดด้ ว้ ยดี แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าพุทธประวัติ
109 ใบความรทู้ ่ี ๑๑ ความเป็นมา ประเภท จดุ ประสงคข์ องการจดั โตะ๊ หมบู่ ชู าและเครือ่ งสักการะ การจดั โตะ๊ หมบู่ ูชา โตะ๊ หมบู่ ชู า คอื กลมุ่ หรอื ชดุ ของโตะ๊ ทใี่ ชต้ งั้ พระพทุ ธรปู หรอื สงิ่ ทคี่ วรเคารพ เชน่ พระบรมฉายาลกั ษณ์ พระบรมสาทสิ ลกั ษณ์ หรอื พระบรมรปู หลอ่ ของพระมหากษตั รยิ ์ พระฉายาลกั ษณ์ หรอื พระสาทสิ ลกั ษณข์ อง พระบรมวงศานุวงศ์ หรือรูปของบรรพบุรุษ ประกอบด้วย เคร่ืองบูชาอันเป็นการแสดง ถึงความกตัญญูต่อ ผูม้ ีอุปการคณุ ซึ่งเปน็ วัฒนธรรมอนั ดีงามทมี่ คี ุณคา่ ยงิ่ ของสังคมไทย ความเปน็ มาของโตะ๊ หมบู่ ชู า ความเป็นมาของโต๊ะหมู่บูชาน้ัน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ ได้ทรงนพิ นธ์ไว้ในเรอื่ ง “อธบิ ายเครื่องบชู า” ได้ทรงกลา่ วถงึ มา้ หมู่ (โตะ๊ หมู)่ ไว้ดงั น้ี เคร่ืองบูชาน้ีเป็นอย่างไทยแกมจีนน้ัน เพราะความคิดท่ีจัดเคร่ืองบูชาเป็นความคิดไทย แต่กระบวนการที่จัดเอาอย่างที่จีนเขาจัดต้ังเคร่ืองแต่งเรือนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลายฮ่อ” ซึ่งจีนชอบ เขยี นฉากและเขยี นเปน็ ลายแจกนั และเครอื่ งถว้ ยชามอยา่ งอน่ื จนี เรยี กว่า “ลายปกั โก”๊ เปน็ ของทไี่ ดเ้ หน็ กนั มา ในประเทศน้ีเห็นจะช้านานแล้ว แต่ความเร่ืองตำ�นานปรากฏว่าเมื่อในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสร้างสวนชวาที่ในพระบรมมหาราชวัง (ตรงบริเวณสวนศิวาลัยบัดน้ี) ครั้ง น้ันประจวบเวลาราชทูตไทยออกไปเมืองปักก่ิง ไปได้เครื่องตั้งแต่งเรือนอย่างจีนเข้ามาจัดแต่งพระตำ�หนัก ที่ในสวนชวาเป็นเหตุให้เกิดนิยมกันขึ้นเป็นที่แรกว่า เป็นของงามน่าดูถึงไปผูกเป็นลายเขียนผนังโบสถ์แต่ คิดดัดแปลงไปให้เป็นเครื่องพุทธบูชายังมีปรากฏอยู่ทุกวันน้ีท่ีพระอุโบสถวัดราชโอรสซ่ึงพระบาทสมเด็จ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสรา้ งตงั้ แตด่ �ำ รงพระยศเปน็ พระเจา้ ลกู ยาเธออยใู่ นรชั กาลที่ ๒ แลว้ เจา้ พระยานกิ รบดนิ ทร์ (โต) ตน้ สกลุ กลั ยาณมติ รเอาอยา่ งมาเขยี นผนงั พระอโุ บสถวดั กลั ยาณมติ ร ซง่ึ สรา้ งเมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๓ นน้ั เปน็ ตน้ สันนิษฐานว่าแม้ในชั้นนั้นก็ยังไม่เกิดเคร่ืองบูชาอย่างม้าหมู่ มาเม่ือพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชด�ำ รโิ ดยอนโุ ลมตามลายฮอ่ ซง่ึ เขยี นผนงั โบสถด์ งั กลา่ วมาแลว้ ใหส้ รา้ งมา้ หมขู่ น้ึ ส�ำ หรบั ตง้ั เครอื่ งบชู า หน้าพระประธานในพระอโุ บสถวดั พระเชตพุ นฯ เปน็ มา้ หม่ใู หญ่ ๑๑ ตวั และทรงพระราชด�ำ รใิ ห้สร้างม้าหมู่ ขนาดน้อยมมี า้ สำ�หรับตงั้ เครอื่ งบูชาหมลู่ ะ ๔ ตัง้ ประจ�ำ พระวิหารทศิ สันนิษฐานว่า เคร่ืองบูชาอย่างมา้ หมเู่ กดิ ขน้ึ ดว้ ยพระราชด�ำ รขิ องพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอื่ ครงั้ ฉลองวดั พระเชตพุ นฯ เปน็ เดมิ แลว้ ผอู้ น่ื นยิ ม ก็เอาแบบอย่างท�ำ กนั ตอ่ มาจนทกุ วนั น้ี การจัดโต๊ะหมู่บูชาถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันสำ�คัญประการหนึ่งของสังคมไทยได้มีการ ปฏิบัติสืบทอดมาเป็นระยะเวลายาวนานดังน้ันพระราชประเพณีหรือพระราชพิธีต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับสถาบัน พระมหากษตั รยิ ห์ รอื ประเพณตี ่าง ๆ ของสังคมไทยไดม้ ีการจัดโตะ๊ หมูบ่ ชู าในการประกอบพธิ นี ้นั ๆ เป็นการ แสดงออกถงึ การบชู าต่อส่งิ เปน็ ท่ีเคารพสักการะอย่างสูงยง่ิ ตามทบ่ี รรพบุรุษได้กระทำ�เปน็ แบบอยา่ งไว้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าพุทธประวตั ิ
110 ประเภทของโต๊ะหมบู่ ชู า โต๊ะหมู่บูชาท่ีจัดตั้งในที่ต่าง ๆ และในการประกอบพิธี เท่าท่ีเคยพบเห็นมามีต้ังแต่หมู่ ๒ จนถึง หมู่ ๒๑ ตามแตผ่ ทู้ �ำ จะประดษิ ฐค์ ดิ ท�ำ ขน้ึ มา แตท่ ยี่ งั ใชม้ ากในปจั จบุ นั คอื หมู่ ๔ หมู่ ๕ หมู่ ๗ และหมู่ ๙ เทา่ นนั้ ส่วนหมู่อ่ืน ๆเป็นการจัดตั้งประจำ�เฉพาะที่ เช่น หน้าพระประธานในอุโบสถดังน้ันในศาสนพิธีน้ีจะขอนำ�มา กล่าวเฉพาะ ๔ หมู่ ดงั กล่าวเทา่ นัน้ การที่เรียกว่าหมู่ ๔ หมู่ ๕ หมู่ ๗ และหมู่ ๙ เป็นการเรียกช่ือตามจำ�นวนโต๊ะที่รวมต้ังอยู่บน โตะ๊ รองเท่าน้ันส่วนโต๊ะตัวรองไม่นบั เขา้ ในจำ�นวน วตั ถุประสงค์ของการจดั ตง้ั โต๊ะหมู่บูชา ปัจจุบนั การจัดตง้ั โตะ๊ หมบู่ ชู านยิ มจดั ตัง้ ในกิจกรรมตา่ ง ๆ พอสรปุ ไดด้ ังนี้ ๑. การตงั้ โต๊ะหมู่บูชาในพธิ ที างพระพุทธศาสนา ๒. การต้งั โตะ๊ หมบู่ ูชาในพธิ ีถวายพระพร ๓. การต้งั โต๊ะหมู่บชู าในพธิ ีรบั พระราชทานเครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์หรือของพระราชทาน ๔. การต้งั โต๊ะหมู่บูชาในการรบั เสด็จหรือตามเสน้ ทางเสด็จพระราชด�ำ เนิน ๕. การต้ังโตะ๊ หมูบ่ ูชาในพธิ ีถวายราชสกั การะเนอื่ งในวันส�ำ คญั เก่ียวกบั พระมหากษัตรยิ ์ ๖. การต้ังโต๊ะหมบู่ ชู าในการประชมุ สัมมนา ๗. การตั้งโต๊ะหมู่บชู าเพอื่ การประกวด วิธกี ารจดั โตะ๊ หมู่บูชา โต๊ะหมู่บชู าทีจ่ ัดขนึ้ ตามวัตถุประสงคด์ ังกล่าว มีวิธีการจดั ๒ แบบคอื ๑. วิธีจัดแบบอนุรักษ์ คือ จัดตั้งกระถางธูปเชิงเทียนพานพุ่มและแจกันดอกไม้ครบตามจำ�นวน ทท่ี ่านก�ำ หนดไว้ ๒. วิธีจัดแบบสมัยนิยมคือจัดพานดอกไม้สดแทนพานพุ่มและแจกันดอกไม้โต๊ะหมู่ต่าง ๆ ทม่ี ีชอื่ เรยี กตามจำ�นวนของโตะ๊ ตามท่ีกล่าว แลว้ ยังมกี ารแบง่ ขนาดเป็นขนาดเล็กขนาดกลางขนาดใหญด่ งั นัน้ การจัดเครื่องสกั การะประกอบการจดั โตะ๊ หมู่ ผจู้ ดั ก็ต้องใช้เครอื่ งประกอบ คือ กระถางธูป เชิงเทยี น พานพมุ่ และแจกันใหเ้ หมาะสมกับขนาดของโตะ๊ ด้วยจงึ จะดสู วยงามในการจดั แบบอนรุ ักษ์ มีการจัดและการใชด้ ังน้ี โต๊ะบชู าหมู่ ๔ โต๊ะบูชาหมู่ ๔ มกี ารจดั สรา้ งเป็น ๒ แบบ คือ แบบแนวกวา้ งและแนวตัง้ แต่ท่ีนยิ มใชใ้ นปัจจบุ นั คอื แบบแนวต้งั สูง ซ่งึ ประกอบด้วยเครอ่ื งสกั การะ ดังนี้ แบบแนวกวา้ งใชก้ ระถางธปู ๑ เชงิ เทยี น ๒ พานพุ่ม ๒ และแจกนั ดอกไม้ ๒ โต๊ะตัวบนใช้ตง้ั พระพทุ ธรูป พระบรมรูปหลอ่ หรือโกศอฐั ติ ามแต่วตั ถปุ ระสงคข์ องงาน แบบแนวตั้งสงู ใชก้ ระถางธปู ๑ เชิงเทียน ๒ คู่ พานพุม่ ๑ พาน และแจกนั ดอกไม้ ๑ คู่ โตะ๊ บชู า หมู่ ๔ นี้ นอกจากใชต้ ง้ั รปู เคารพตามท่ีกลา่ ว แล้วยงั ใช้จดั เป็นชดุ โตะ๊ เคียงประกอบโต๊ะบชู าหมู่ ๙ ในสถานท่ี ประกอบพิธีที่กวา้ งขวางอีกด้วย แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชัน้ ตรี วิชาพทุ ธประวัติ
111 โต๊ะบูชาหมู่ ๕ โต๊ะบชู าหมู่ ๕ ปัจจุบันมีทีใ่ ชน้ อ้ ยถ้าจัดเต็มรปู แบบ ประกอบด้วย เครอ่ื งสกั การบูชา คือ กระถาง ธปู ๑ เชงิ เทยี น ๔ คู่ พานพุ่ม ๕ พาน และแจกนั ดอกไม้ ๒ คู่ แต่ปัจจุบันนิยมจัดลดเชิงเทียนและแจกันคู่ท่ีต้ังบนโต๊ะตัวท่ีต้ังพระพุทธรูป เพ่ือให้พระพุทธรูป ดเู ด่นชัดและการจัดแบบลดนีน้ ิยมใช้ในการจดั โต๊ะหมู่บชู าทั้งหมู่ ๕ หมู่ ๗ และหมู่ ๙ การจดั เครือ่ งสักการบชู า มแี นวในการจดั ต้ังดังน้ี ๑. แจกันดอกไม้ต้งั ไว้มุมนอกดา้ นหลังสดุ ของโตะ๊ หมู่ ๒. พานพุ่มต้ังกลางโต๊ะหมู่แต่ละตัวในการจัดเพ่ือบูชาพระรัตนตรัย ใช้พานพุ่มที่ทำ�ด้วยดอกไม้ ไม่นิยมใช้พานพ่มุ ทีท่ ำ�ดว้ ยตาดทองตาดเงิน ๓. เทยี นประดบั (เทียนทตี่ ัง้ ไว้ประดับโดยไมไ่ ด้จุดในพธิ ี) ตง้ั ท่ีมมุ นอกด้านหน้าโต๊ะทุกตวั ๔. กระถางธปู เชิงเทยี นสำ�หรบั จุดบูชาตงั้ ไว้กลางโต๊ะตัวต่าํ สดุ อนึ่ง พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชาควรมีขนาดพอเหมาะกับโต๊ะ ไม่ใหญ่ หรือเล็กเกนิ ไปก็จะดงู าม และงานทว่ั ไปนิยมใช้พระพุทธรูปปางมารวชิ ยั (สะด้งุ มาร) ถ้าเปน็ งานทำ�บญุ คลา้ ย วันเกิดนิยมใช้พระพทุ ธรูปปางประจำ�วันเกิดของเจ้าภาพ โต๊ะบูชาหมู่ ๗ โตะ๊ บชู าหมู่ ๗ เปน็ ชดุ ทีน่ ยิ มใชก้ ันมากทีส่ ุดในพธิ ที ำ�บุญทัว่ ไป เพราะมีขนาดพอเหมาะกบั สถานที่ ท่ีประกอบพิธี เคร่ืองสักการบูชาที่จัดแบบลดรูปซึ่งนิยมใช้ในปัจจุบัน ประกอบด้วย กระถางธูป ๑ คู่ เชิงเทียน ๔ คู่ พานพ่มุ ๕ พาน และแจกันดอกไม้ ๑ คู่ โตะ๊ บูชาหมู่ ๙ โต๊ะบูชาหมู่ ๙ นิยมใช้จัดในงานพิธีใหญ่ สถานท่ีกว้างขวาง เช่น ในอุโบสถ ศาลาการเปรียญ เครื่องสักการบูชาที่จัดแบบลดรูปแล้ว ประกอบด้วย กระถางธูป ๑ เชิงเทียน ๕ คู่ พานพุ่ม ๗ พาน และ แจกันดอกไม้ ๒ คู่ ส่วนการจัดแบบสมัยนิยม ใช้พานพุ่มดอกไม้สดแทนพานพุ่มดอกบานไม่รู้โรยและแจกันดอกไม้ ส่วนเทียนประดับจะมีหรือไม่มีก็ได้ แล้วต้ังกระถางธูปเชิงเทียนสำ�หรับบูชาพระรัตนตรัยไว้ที่โต๊ะตัวต่ําสุด บางงานอาจเปลีย่ นจากกระถางธปู เชงิ เทียนเปน็ เคร่ืองบูชาเคร่ือง ๕ แทนกม็ ี สำ�หรับในพิธีประชุมสัมมนาหรือจัดอบรมนิยมตั้งธงชาติและพระบรมฉายาลักษณ์ด้วยให้ตั้ง ธงชาติไว้ด้านขวาของพระพุทธรูปและตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ด้านซ้ายเม่ือมองเข้าไปจากด้านนอกจะเห็น สัญลักษณ์ตามลำ�ดับ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีข้อแนะน�ำ คือ ธงชาติและพระบรมฉายาลกั ษณ์ ไมค่ วรอยู่สูงกว่าพระพทุ ธรปู สว่ นพิธสี งฆ์ไม่นิยมต้ังธงชาติและพระบรมฉายาลกั ษณท์ ่ีข้างโต๊ะหมูบ่ ูชา การจัดต้ังโต๊ะหมู่บูชาในพิธีทำ�บุญต่าง ๆ ให้ต้ังด้านขวาของอาสนะพระสงฆ์ แต่ถ้าสถานท่ี บังคับจะต้ังทางด้านซ้ายก็ได้ ในพิธีหลวงบางพิธี เช่น พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พิธีบำ�เพ็ญกุศล วันเฉลิมพระชนมพรรษา ในสว่ นภูมิภาคจดั โต๊ะหม่บู ูชาไว้ด้านซา้ ยพระสงฆ์เสมอ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั ตรี วิชาพุทธประวัติ
112 การตั้งโต๊ะหมู่ถวายราชสักการะในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ ท่ีโต๊ะตัวกลางบนสุด ต้ังพานแว่นฟ้าสำ�หรับวางผ้าพระกฐินที่โต๊ะตัวกลางรองมาจากพระบรมฉายาลักษณ์ และวางเครื่องราชสักการะ (ธูปเทียนแพกรวยดอกไม้) ที่โต๊ะตัวล่างสุดด้านข้างต้ังพุ่มทองพุ่มเงินหรือ พุ่มดอกไม้ตามสมควร การต้ังโต๊ะหมู่นี้นิยมต้ังด้านหน้าพระอุโบสถหรือสถานท่ีอ่ืนที่ใช้ประกอบพิธีถวายผ้า พระกฐิน เครอ่ื งสกั การบชู า นอกจากเครื่องบูชาสักการะท่ีรู้จักกันดี คือ ธูปเทียนดอกไม้แล้ว ยังมีเครื่องบูชาสักการะพิเศษ ซ่ึงเดิมมีใช้เฉพาะในราชสำ�นัก แต่ต่อมาได้นำ�มาใช้ในพิธีท่ัวไป ได้แก่ เคร่ืองบูชากระบะมุก หรือเคร่ืองบูชา เครื่อง ๕ เครอื่ งบูชาทองน้อย และเครอื่ งสักการะธปู เทยี นแพกรวยดอกไม้ เครือ่ งบชู ากระบะมุก เครื่องบูชากระบะมุกเป็นเครื่องบูชาที่จัดชุดบูชา คือ ธูปเทียนพุ่มดอกไม้ในกระบะมุกแถวหน้า ตัง้ พมุ่ ดอกไม้ขนาดเลก็ ๔ พุ่ม แถวหลงั ตั้งเชงิ ปักธปู ไม้ระก�ำ ขนาดเล็ก ตรงกลางติดธูป ๑ ดอก ตั้งเชงิ เทยี น ๒ ขา้ ง ข้างละ ๒ เล่ม รวมเป็น ๔ เล่ม และเมอื่ นับรวมธปู เทยี นรวมเป็น ๕ จงึ เรยี กสน้ั ๆ ว่า เคร่อื ง ๕ นิยมใช้ ต้ังบูชาหน้าตู้พระธรรมในการสวดพระอภิธรรมในพิธีหลวง เพราะสะดวกในการยกออกเมื่อพระสวด พระอภธิ รรมจบแล้วและจะมพี ธิ ที อดผ้าบงั สกุ ลุ ต่อไปปัจจบุ ันมีวัดต่าง ๆ จดั ทำ�เพอ่ื ใช้ในวดั ของตนดว้ ย นอกจากนี้ยังมีการจัดทำ�เป็นชุดกระบะปิดทอง และขยายความยาวเพิ่มข้ึนเพ่ือให้ต้ังพุ่มดอกไม้ ได้ครบ ๕ พมุ่ น�ำ ไปเป็นเคร่ืองบูชาท่ีโต๊ะหมูแ่ ทนกระถางธปู เชิงเทยี นในพิธที ำ�บุญตา่ ง ๆ สงิ่ ที่ใช้ในการจัดเครอื่ งบูชากระบะมกุ และกระบะทอง ประกอบดว้ ย ๑. พุ่มดอกไม้ ๔ พุ่ม (สำ�หรบั กระบะมุก) ๕ พุ่ม (กำ�หรับกระบะทอง) ตั้งเรียงแถวหน้า ๒. เชิงธูปปกั ธปู ไม้ระก�ำ ๑ ดอก ตง้ั แถวหลงั ตรงกลาง ๓. เชิงเทยี นปกั เทยี น ๔ เล่มตั้ง ๒ ขา้ ง ของธูปขา้ งละ ๒ เล่ม การจดุ บูชาใหจ้ ดุ เรียงล�ำ ดับตง้ั แตเ่ ทียนเล่มแรกไปจนครบ เครอ่ื งบชู าทองน้อย เครื่องบูชาทองน้อยหรือเรียกกันท่ัวไปว่าเคร่ืองทองน้อย ใช้สักการบูชาผู้ล่วงลับไปแล้วเท่าน้ัน ในกรณีตอ่ ไปนี้ ๑. เดิมพระมหากษัตริย์ทรงใช้เป็นเครื่องสักการะพระบรมศพพระบรมอัฐิ และพระบรมรูป บุรพมหากษตั ริย์ ๒. ปัจจุบันใช้ได้ท่ัวไปท้ังพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และสามัญชนท่ัวไป ในกรณตี อ่ ไปนี้ บชู าพระบรมสารีรกิ ธาตุ สกั การะพระบรมศพ พระบรมอัฐิ และพระบรมรปู บรุ พมหากษัตริย์ เคารพศพหรอื อัฐิของผูท้ ลี่ ว่ งลบั ไปแลว้ ส�ำ หรบั ประธานจดุ บูชาธรรมในพิธแี สดงพระธรรมเทศนา แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าพทุ ธประวัติ
113 สงิ่ ประกอบและการจัดเคร่อื งบูชาทองนอ้ ย ๑. พุม่ ดอกไมห้ รอื พุ่มตาดทอง ๓ พ่มุ ต้ังอยดู่ า้ นนอก ๒. เชิงธปู ปกั ธปู ไมร้ ะกำ� ๑ ดอก ตั้งดา้ นในซ้ายมือผจู้ ัด ๓. เชงิ เทียนปักเทยี น ๑ เล่ม ตัง้ คู่กับธปู ด้านขวามอื ผจู้ ดั ท้งั ๓ สิง่ ตั้งรวมอยูใ่ นพานทองพานมุกหรอื พานแกว้ การต้งั และการจดุ เคร่อื งบชู าทองนอ้ ยเพ่อื สกั การะ พงึ ปฏบิ ตั ิดงั นี้ ๑. จะบูชาสง่ิ ใดใหต้ ัง้ หันพุ่มดอกไม้ไปทางสง่ิ นัน้ ๒. เจา้ ภาพเคารพศพอัฐิหรอื รปู ภาพให้ต้ังหนั พุ่มดอกไม้เขา้ หาศพอฐั หิ รอื รูปภาพนัน้ ๓. ต้องการให้ศพหรืออัฐิบูชาพระให้ตั้งหันพุ่มดอกไม้ออกด้านนอกหันด้านธูปเทียนเข้าหาศพ หรืออัฐิ ๔. การจุดเคร่อื งทองนอ้ ยใหจ้ ดุ ธปู ก่อนจงึ จุดเทียน เครอื่ งสักการะธูปเทยี นแพ ธูปเทียนแพกรวยดอกไม้เป็นเครื่องสักการะสำ�หรับแสดงความเคารพอย่างสูงต่อผู้ท่ียังมีชีวิตอยู่ เทา่ น้ันมีวธิ ใี ช้ดงั นี้ ๑. ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งถวายราชสกั การะแดพ่ ระมหากษตั รยิ แ์ ละพระบรมวงศานวุ งศท์ ยี่ งั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ๒. ใชถ้ วายสักการะหรอื ขอขมาโทษส�ำ หรับพระสงฆ์ดว้ ยกันหรอื คฤหสั ถ์ต่อพระสงฆ์ ๓. ใชส้ �ำ หรบั ผู้น้อยแสดงความเคารพหรือขอขมาตอ่ ผใู้ หญ่ การจัดธปู เทียนแพกรวยดอกไม้ การจัดธูปเทียนแพกรวยดอกไม้ตามแบบของสำ�นักพระราชวังซ่ึงเป็นแบบท่ีถูกต้องจัดเรียงลำ�ดับ จากด้านบนลงมา คือ กรวยดอกไม้ธูปเทียน การจัดตามที่ขายในร้านขายเคร่ืองสังฆภัณฑ์จัดเรียงลำ�ดับ คือ ดอกไม้เทียนธูป การต้ังธูปเทียนแพกรวยดอกไม้เพ่ือถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์หรือ พระบรมรูป ถ้าเป็นพิธีที่จะมีประธานมาถวายราชสักการะให้ปิดกรวยกระทงดอกไม้ไว้ก่อน เพ่ือให้ประธาน เป็นผู้เปิดกรวยถวายสักการะถ้าเป็นการตั้งถวายราชสักการะที่ไม่มีพิธีเปิดกรวยให้เจ้าของบ้านหรือสถานท่ี น้ันเป็นผู้เปิดกรวยถวายราชสักการะเอง เพราะการตั้งไว้โดยไม่เปิดกรวยกระทงดอกไม้จัดว่ายังไม่ได้ถวาย ราชสักการะ การถวายธูปเทียนแพเพ่ือสักการะแด่พระสงฆ์ก็ดี การเคารพครูอาจารย์ในพิธีไหว้ครูก็ดี ก่อนถวายหรอื กอ่ นเคารพครอู าจารย์ต้องเปิดกรวยกอ่ นเสมอ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
114 เวลา..............ชวั่ โมง แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๕ ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี สาระการเรียนรวู้ ิชาพุทธประวตั ิ เรอ่ื ง มารยาทของความเป็นศาสนิกชนท่ดี ี ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๒ รู้และเข้าใจพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พทุ ธศาสนกิ ชนท่ดี ี และธำ�รงรักษาพระพุทธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ มีมารยาทของความเป็นศาสนิกชนที่ดี ๓. สาระส�ำ คัญ การแสดงความเคารพพระ ค�ำ บชู าพระรตั นตรยั ค�ำ อาราธนาศลี อาราธนาพระปรติ ร อาราธนาธรรม วิธีการถวายภัตตาหาร ถวายจตปุ จั จยั ไทยธรรม และวิธกี ารปฏบิ ัตใิ นการกรวดน้าํ รบั พร ๔. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. นักเรยี นแสดงความเคารพพระได้ ๒. นักเรยี นกลา่ วค�ำ บชู าพระรตั นตรัยได้ ๓. นกั เรียนกลา่ วคำ�อาราธนาศลี อาราธนาพระปริตร และอาราธนาธรรมได้ ๔. นกั เรยี นบอกวธิ กี ารถวายภตั ตาหาร ถวายจตปุ จั จยั ไทยธรรม และวธิ กี ารปฏบิ ตั ใิ นการกรวดนา้ํ รบั พรได้ ๕. สาระการเรียนร้/ู เนื้อหา การปฏบิ ัตพิ ธิ ี - วิธแี สดงความเคารพพระ - การประนมมือ - การไหว้ - การกราบ - วิธกี ราบแบบชาย - วิธกี ราบแบบหญงิ - การจัดสถานทพ่ี ธิ ีท�ำบญุ - การบชู าพระรตั นตรัย - เครื่องสกั การบชู าพระรตั นตรยั - การอาราธนาศลี อาราธนาพระปริตร และอาราธนาธรรม - วธิ ปี ฏิบตั ิในการอาราธนา - ค�ำอาราธนาพระปรติ ร - สรณมนตแ์ ละศลี ๕ - ค�ำอาราธนาธรรม - การจุดเทยี นนา้ํ มนต์ - การถวายภัตตาหารพระสงฆ์ - การถวายจตุปจั จัยไทยธรรม - วธิ ีประเคนของถวายพระ - การกรวดนํา้ รับพร - วิธีปฏบิ ตั ิในการกรวดนํา้ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้ันตรี วชิ าพุทธประวตั ิ
115 ๖. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ขัน้ สืบค้นและเช่ือมโยง ๑. ครูคัดเลือกนักเรียน ๑ คน มาแสดงบทบาทสมมุติ การกราบ การไหว้พระ โดยใช้ค�ำถาม เพือ่ ทบทวนและเชอื่ มโยงไปส่กู ารเรยี นรู้ ดังน้ี - เพื่อนของนักเรียนก�ำลังท�ำอะไร - เพอื่ นท�ำไดถ้ ูกต้องหรือไม่ - นกั เรียนเคยปฏบิ ตั ิแบบนีบ้ า้ งไหม อย่างไร ๒. ครใู หน้ กั เรยี นทกุ คนรว่ มอภปิ รายค�ำวา่ “วธิ แี สดงความเคารพพระ” และ ค�ำวา่ “พระรตั นตรยั ” โดยเขียนอธิบายลงในกระดาษท่ีครแู จกให้ ส่มุ ตัวอย่างนักเรยี นน�ำเสนอหนา้ ชั้นเรียน ขนั้ ฝกึ ๓. ครใู หน้ ักเรยี นดวู ดี ิทัศนเ์ ก่ียวกับการแสดงความเคารพพระ การประนมมือ การไหว้ การกราบ และวธิ ีกราบแบบชาย วธิ กี ราบแบบหญงิ ๔. จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นทกุ คนในหอ้ งแสดงความเคารพพระ โดยการประนมมอื การไหว้ และการกราบ จนเกิดความเข้าใจ และใหน้ กั เรยี นศึกษาใบความรทู้ ่ี ๑๒ เร่อื ง การปฏบิ ัติพธิ ี การแสดงความเคารพพระ ๕. ครูน�ำนักเรียนไปปฏิบัติจริงที่ห้องจริยธรรมหรือห้องท่ีมีโต๊ะหมู่บูชา โดยให้นักเรียนทุกคน กล่าวค�ำบูชาพระรัตนตรยั ครูคอยให้ค�ำแนะน�ำชว่ ยเหลอื และใหน้ กั เรียนในห้องรว่ มกนั ประเมนิ ผล ๖. ครูน�ำวีดิทัศน์เก่ียวกับการอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม โดยให้นักเรียน ศึกษาใบความร้ทู ่ี ๑๓ เร่อื ง การกล่าวค�ำอาราธนาศีล อาราธนาพระปรติ ร อาราธนาธรรม นกั เรียนฝึกกล่าว พรอ้ มกันทงั้ หอ้ ง และน�ำไปฝึกทอ่ งเปน็ การบา้ น ๗. นักเรียนศึกษาใบความรู้ท่ี ๑๔ เร่ือง วิธีการถวายภัตตาหาร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม และวธิ กี ารปฏบิ ตั ใิ นการกรวดนํ้ารบั พร พรอ้ มกบั เขยี นสรปุ ความส�ำคญั ลงในกระดาษ สง่ ตวั แทนน�ำเสนอหน้า ชนั้ เรียนเพอื่ เป็นการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ ขน้ั ประยกุ ต์ ๘. ครูกับนกั เรียนรว่ มกนั สรุปบทเรยี นทเี่ รียนไปแล้ว และใหน้ กั เรยี นไปทอ่ งคำ�กล่าวอาราธนาศลี อาราธนาพระปริตร และอาราธนาธรรม และทำ�ใบกจิ กรรมท่ี ๗ ส่งครตู รวจ ๙. ครอู ธิบายเพมิ่ เตมิ วา่ การแสดงความเคารพ การบชู าพระรัตนตรัย การปฏบิ ัติตนต่อพระสงฆ์ เป็นมารยาทของชาวพุทธทุกคนที่พึงปฏิบตั ิให้ถูกต้อง เพอ่ื เป็นการอนุรักษว์ ัฒนธรรมของชาวไทย ๑๐. นกั เรยี นท�ำ แบบทดสอบหลงั เรยี น และครูตรวจใหค้ ะแนน แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าพทุ ธประวัติ
116 ๗. ภาระงาน/ชน้ิ งาน ท ี่ ภาระงาน ช้นิ งาน - ๑ กลา่ วค�ำ อาราธนาศีล อาราธนาพระปรติ ร และอาราธนาธรรม - ๒ กลา่ วค�ำ บูชาพระรตั นตรยั ใบกิจกรรมท่ี ๗ ๓ ตอบค�ำถามมารยาทของการเป็นศาสนกิ ชนท่ีด ี ๘. สือ่ /แหล่งการเรียนรู้ ๑. แสดงบทบาทสมมตุ ิ การกราบ การไหว้พระ ๒. ใบความร้ทู ่ี ๑๒ เรื่องการปฏิบตั พิ ธิ ี การแสดงความเคารพพระ ๓. ใบความรู้ที่ ๑๓ เรือ่ งการกล่าวค�ำ อาราธนาศลี อาราธนาพระปรติ ร และอาราธนาธรรม ๔. ใบความรู้ที่ ๑๔ เร่ืองวิธีการถวายภัตตาหาร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม และวิธีการปฏิบัติใน การกรวดนา้ํ รับพร ๕. ใบกจิ กรรมที่ ๗ ๖. แบบทดสอบหลงั เรยี น ๙. การวดั ผลและประเมนิ ผล สงิ่ ทต่ี อ้ งการวดั วิธวี ัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน ๑. แสดงความเคารพพระได้ - สงั เกต - แบบสงั เกต ๒. กลา่ วคำ�บชู า - ตรวจผลงาน พฤตกิ รรม การปฏิบัติ พระรัตนตรัยได้ กจิ กรรมกลุ่ม ผา่ น = ไดค้ ะแนนตง้ั แตร่ ้อยละ ๖๐ ขนึ้ ไป ๓. กล่าวคำ�อาราธนาศีล ไมผ่ า่ น = ได้คะแนนตำ�่ กว่าร้อยละ ๖๐ - แบบประเมิน อาราธนาพระปรติ ร ผลงาน และอาราธนาธรรมได ้ ๔. บอกวธิ กี ารถวายภัตตาหาร ถวายจตปุ ัจจยั ไทยธรรม และวธิ ีการปฏบิ ัติ ในการกรวดนํา้ รบั พรได้ แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ช้นั ตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
ข้อ ท่ี แบบประเมินผลงาน 117 ๓ คะแนน ใบกจิ กรรมท่ี ๗ ๑ คะแนน ๑ - ๕ ตอบค�ำ ถามถูกต้อง ตอบค�ำ ถามถูกต้อง ตรงประเดน็ ระดบั คะแนน ตรงประเดน็ น้อย ๒ คะแนน ตอบคำ�ถามถูกต้อง ตรงประเด็นส่วนใหญ ่ เกณฑ์การตดั สนิ เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้ึนไป ๙ - ๑๕ ไม่ผ่าน ต�่ำกวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรบั ใช้ตามความเหมาะสมกับกล่มุ เปา้ หมาย แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
118 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลมุ่ ข้อ ท่ ี รายการป ระเมิน ระดบั คะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความรว่ มมอื ในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ใหค้ วามรว่ มมือในการ ใหค้ วามร่วมมอื ในการ ท�ำ กิจกรรม ท�ำ กิจกรรมทกุ กจิ กรรม ท�ำ กจิ กรรมบางกิจกรรม ทำ�กิจกรรมบ้าง ๒ การแสดง/การรบั ฟงั แสดงความคดิ เหน็ และ แสดงความคิดเห็น และ แสดงความคิดเห็น และ ความคิดเหน็ รบั ฟงั ความคิดเหน็ ของ รับฟงั ความคดิ เหน็ ของ รบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของ คนส่วนมากเป็นสำ�คัญ คนอืน่ บา้ ง คนอ่นื นอ้ ย ๓ การต้ังใจ/การแก้ไข มีความตงั้ ใจและ มีความต้งั ใจและ มีความต้ังใจและ ปญั หาในการทำ�งาน ร่วมแก้ไขปัญหาในการ รว่ มแก้ไขปญั หาในการ รว่ มแก้ไขปัญหาในการ ท�ำ งานกลมุ่ ดีมาก ทำ�งานกลุ่มดี ท�ำ งานกล่มุ บา้ ง ๔ ความถกู ตอ้ งของ สรุปเนื้อหาไดถ้ กู ตอ้ ง สรุปเน้ือหาไดถ้ กู ตอ้ ง สรปุ เน้ือหาได้ถูกตอ้ ง เนอ้ื หา ตรงประเดน็ และ ตรงประเดน็ ตรงประเดน็ บา้ ง ครบถ้วน ๕ วิธกี ารนำ�เสนอ น�ำ เสนอผลงานได้อย่าง น�ำ เสนอผลงานได้อยา่ ง น�ำ เสนอผลงาน ผลงาน ถกู ตอ้ งตามขั้นตอน ถกู ตอ้ งตามข้ันตอน ตามขัน้ ตอนไดบ้ า้ ง น่าสนใจและเนอ้ื หา น่าสนใจ แตข่ าดเน้อื หา ครบถ้วน บางสว่ น เกณฑก์ ารตดั สนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ข้ึนไป ๙ - ๑๕ ไม่ผ่าน ต�ำ่ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกับกลุ่มเปา้ หมาย แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าพุทธประวัติ
119 แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบทดสอบหลงั เรียน เกณฑ์การประเมนิ ตอบถูกได้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ได้ ๐ คะแนน เกณฑก์ ารตัดสิน เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ขน้ึ ไป ๓-๕ ไม่ผ่าน ต่�ำกว่า ๖๐ ๐-๒ แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ช้ันตรี วชิ าพทุ ธประวัติ
120 ใบกจิ กรรมที่ ๗ มารยาทของความเป็นศาสนิกชนท่ดี ี ช่ือ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท่.ี .......................... ค�ำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นตอบค�ำถามตอ่ ไปนี้ จ�ำนวน ๕ ข้อ (๑๕ คะแนน) ๑. วธิ กี ราบที่เรยี กว่าเบญจางคประดษิ ฐ์นน้ั กราบอยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. การอาราธนาพระ มคี วามหมายว่าอย่างไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. ค�ำ อาราธนาพระสงฆม์ าสวดมนตใ์ นพิธีท�ำ บญุ งานมงคลกับในพธิ ที ำ�บญุ งานอวมงคล ตา่ งกนั อย่างไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. การประเคนของพระ มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร มวี ธิ ีปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๕. วธิ กี รวดน้าํ หมายถึงพิธีอะไร มวี ิธปี ฏิบัตอิ ยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั ตรี วิชาพทุ ธประวัติ
121 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๗ มารยาทของความเปน็ ศาสนกิ ชนที่ดี ๑. วิธีกราบท่ีเรียกวา่ เบญจางคประดิษฐน์ นั้ กราบอย่างไร ตอบ มีวิธีกราบอย่างนี้ คือ กราบโดยอวัยวะท้ัง ๕ จรดกับพื้น คือ เข่า ๒ ข้าง แขน (มือ - แขน) และหน้าผากจรดพื้นระหว่างมอื ทงั้ ๒ รวมเปน็ ๕ ๒. การอาราธนาพระ มคี วามหมายว่าอยา่ งไร ตอบ การอาราธนาพระ หมายถึง การนิมนตพ์ ระสงฆ์ไปประกอบพธิ ีตา่ ง ๆ ต้องท�ำเปน็ กจิ จะลกั ษณะ ๓. ค�ำ อาราธนาพระสงฆ์มาสวดมนตใ์ นพิธีทำ�บุญงานมงคลกับในพิธีทำ�บุญงานอวมงคล ตา่ งกนั อยา่ งไร ตอบ ค�ำอาราธนาพระสงฆ์มาสวดมนต์ในพิธีท�ำบุญงานมงคลกับในพิธีท�ำบุญงานอวมงคล ต่างกันคือ ในงานมงคลใช้ค�ำว่า ขออาราธนาเจริญพระพุทธมนต์ ส่วนในงานอวมงคล ใช้ค�ำว่า ขออาราธนา สวดพระพุทธมนต์ ๔. การประเคนของพระ มีความหมายว่าอย่างไร มวี ธิ ีปฏบิ ตั ิอย่างไร ตอบ การประเคนของพระ หมายถึง การถวายของใหพ้ ระไดร้ บั ถึงมอื มวี ิธปี ฏิบัติดงั นี้ ๑. ของท่ีประเคนไม่ใหญห่ รอื หนักเกินไป พอปานกลางยกคนเดียวได้ ๒. ผู้ประเคนต้องอยู่ในหตั ถบาส คือ ห่างจากพระประมาณศอกหนึ่ง ๓. นอ้ มสง่ิ ของเขา้ ไปถวายด้วยความเคารพ ๔. การน้อมไปจะสง่ ให้ด้วยกายหรือของที่ได้เนื่องด้วยกาย เชน่ ทพั พีตกั ถวายก็ได้ ๕. พระภิกษจุ ะรับด้วยมือก็ได้ จะรับของทีเ่ น่ืองด้วยกาย เชน่ ผ้าหรือบาตรก็ได้ ๕. วธิ ีกรวดน้าํ หมายถึงพิธีอะไร มีวธิ ีปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ตอบ วิธีกรวดนํ้า คือ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วหลังจากการท�ำบุญ โดยเตรียมนํ้าสะอาด ใส่ภาชนะท่ีใส่น้ํากรวดนั้น จะเป็นท่ีกรวดนํ้าโดยเฉพาะ หรือแก้วนํ้า หรือขันอย่างใดอย่างหน่ึง ก็ได้ พอพระสงฆ์เริ่มอนุโมทนาดว้ ยบทวา่ ยถา...กเ็ ร่มิ กรวดน้าํ พร้อมกบั กลา่ วกรวดน้ําแบบย่อว่า อทิ ํ เม ญาตนี ํ โหตุ แปลวา่ ขอบุญกุศลน้ี จงส�ำเร็จแก่ญาตทิ ง้ั หลายของขา้ พเจา้ เถิด หรือจะต่อว่า สขุ ิตา โหนตุ ญาตะโย ซึง่ แปลวา่ ขอญาตทิ ง้ั หลาย จงเป็นสขุ ๆ เถิด แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาพทุ ธประวัติ
122 แบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ท่ี ๕ มมี ารยาทของความเปน็ ศาสนิกชนทีด่ ี จำ�นวน ๕ ข้อ คะแนน ๕ คะแนน ค�ำ ชแ้ี จง ให้นักเรียนเลอื กค�ำ ตอบทถ่ี ูกตอ้ งท่ีสุดเพียงขอ้ เดยี ว ๑. การกราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ ประกอบดว้ ยองค์ ๕ ตามข้อใด ก. เขา่ ๒ ฝ่ามือ ๒ หน้าผาก ๑ ข. เข่า ๒ ศอก ๒ หน้าผาก ๑ ค. เทา้ ๒ ฝ่ามอื ๒ หนา้ ผาก ๑ ง. เท้า ๒ ศอก ๒ หน้าผาก ๑ ๒. การกราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ของฝ่ายชายและหญงิ แตกต่างกนั ในเรอ่ื งใด ก. จังหวะ ข. การประนมมอื ค. องค์ประกอบของอวัยวะ ง. ท่านั่งและการกราบลงกบั พ้ืน ๓. การกราบแบบเบญจางคประดิษฐใ์ ชก้ ราบใคร ก. พอ่ แม่ ข. ครู อาจารย์ ค. พระสงฆ์ ง. ญาติผใู้ หญ่ ๔. เวลากราบพระสงฆ์ นักเรยี นควรกราบอย่างไร ก. กราบ ๑ ครง้ั แบมอื ข. กราบ ๓ ครง้ั แบมอื ค. กราบ ๑ คร้งั ไม่แบมือ ง. กราบ ๓ ครั้ง ไมแ่ บมอื ๕. ในการฟังพระธรรมเทศนา จะปฏบิ ตั ิขอ้ ใดเป็นอันดบั แรก ก. ถวายไทยธรรม ข. รับศลี อาราธนาธรรม ค. ประนมมอื ฟังพระธรรมเทศนา ง. ตั้งใจสง่ กระแสจิตไปตามบทสวดมนต์ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าพุทธประวตั ิ
123 เฉลยแบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ที่ ๕ มีมารยาทของความเป็นศาสนิกชนทด่ี ี ขอ้ ๑ ข ขอ้ ๒ ค ข้อ ๓ ค ขอ้ ๔ ข ข้อ ๕ ข แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั ตรี วิชาพทุ ธประวัติ
124 ใบความร้ทู ี่ ๑๒ การปฏบิ ตั ิพิธี การแสดงความเคารพพระ การปฏบิ ัติพิธี การปฏบิ ตั พิ ธิ ี คอื การปฏบิ ตั พิ ธิ กี รรมในการท�ำบญุ หรอื ถวายทาน รวมทง้ั มารยาททพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชน พึงแสดงตอ่ พระสงฆ์ และเรอ่ื งที่ควรทราบเกยี่ วกบั การปฏบิ ัติในขน้ั ตอนของพธิ ีน้นั ๆ เช่น การอาราธนาศลี การอาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม การประเคนพระ การกรวดน้ํา ฯลฯ เพ่ือเป็นแนวทางปฏิบัติ ในการจดั พิธที �ำบุญ วิธแี สดงความเคารพพระ การแสดงความเคารพต่อบุคคลหรือส่ิงท่ีควรเคารพ มีวิธีแตกต่างกันไป ในท่ีน้ีจะกล่าวเฉพาะ ท่ีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธรูป ปูชนียวัตถุ มีสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น และพระภกิ ษุ สามเณร ผู้ทรงศลี การแสดงความเคารพเปน็ วัฒนธรรมประเพณขี องพทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทย ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา สรุปได้ ๓ ประการ คือ การประนมมือ การไหว้ และการกราบ มีความหมายและ วิธปี ฏบิ ตั ิดังนี้ การประนมมอื การประนมมือ ตรงกับค�ำบาลีว่า อัญชลี หมายถึง การกระพุ่มมือทั้งสองข้ึนประนมระหวา่ งอก เป็นการแสดงความเคารพแบบธรรมดา ในกรณีท่ีน่ังฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ฟังเทศน์ สนทนากับ พระสงฆ์ เป็นตน้ วิธีปฏบิ ตั ิ ยกมือท้ังสองข้ึนให้ฝ่ามือประกบกัน น้ิวทุกน้ิวแนบชิดตรงกันช้ีขึ้นข้างบน กระพุ่มมือท�ำเป็น รูปดอกบัวตูม ต้ังกระพุ่มน้ีไว้ระหว่างทรวงอก ปลายนิ้วชี้ข้ึนตรง ๆ ไม่งอง้�ำไปข้างหน้า เย้ยมาทางตัว หรือเอียงไปทางซ้าย เอยี งไปทางขวา ไม่ยกใหส้ งู เกนิ ไปจนถึงค�ำ้ คางหรอื จรดปาก หรือหอ้ ยต�่ำลงมาแค่สะดอื หรอื วางไวแ้ คเ่ ข่า ศอกทงั้ สองแนบชดิ ชายโครง ไมเ่ กรง็ ขอ้ จนเกนิ ไป วางทา่ ใหส้ บาย ๆ ตงั้ ใจท�ำใหเ้ รยี บรอ้ ยดว้ ย ความตั้งใจจรงิ การไหว้ การไหว้ ตรงกบั ค�ำบาลวี า่ นมสั การ วนั ทาหรอื วนั ทนา หมายถงึ การยกกระพมุ่ มอื ทป่ี ระนมแลว้ นนั้ ข้ึนจรดหน้าผากเป็นการแสดงความเคารพที่สูงข้ึนไป ควรท�ำในกรณีที่พระน่ังบนเก้าอ้ี หรือยืนอยู่ ในเวลาพบพระสงฆ์ระหวา่ งทาง ในเวลาจะลากลบั หรอื เวลาประเคนของแก่พระสงฆ์เสร็จแล้ว เป็นตน้ วธิ ีปฏบิ ัติ ใหป้ ระนมมือขึ้นก่อน แลว้ ยกกระพมุ่ มอื น้ันขึ้นสงู เสมอหนา้ โดยใหน้ วิ้ หัวแมม่ ือจรดถงึ ระหวา่ งค้ิว ปลายนวิ้ ชจี้ รดไรผม พรอ้ มกบั กม้ ศรี ษะลงเลก็ นอ้ ยพองามแลว้ ลดมอื ลง ท�ำอยา่ งนเ้ี พยี งครงั้ เดยี ว เวลายกมอื ขนึ้ และลดมอื ลงขณะไหว้ อย่าท�ำใหเ้ ร็วนกั อย่าให้ช้านัก ควรท�ำโดยละมุนละไมจึงจะงามเหมาะตา แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันตรี วชิ าพุทธประวัติ
125 การกราบ การกราบ ตรงกบั ค�ำบาลวี า่ อภวิ าท หมายถงึ การหมอบราบลงกบั พนื้ พรอ้ มทงั้ กระพมุ่ มอื เปน็ การ แสดงความเคารพแบบสูงสุด ในบรรดาการแสดงความเคารพท่ีมีปฏิบัติกันอยู่ โดยเฉพาะการกราบน้ีได้รวม การประนมมือ และการไหว้ไว้ในวิธีปฏิบัติด้วย การกราบใช้ในกรณีเข้าไปหาพระสงฆ์ ลาพระสงฆ์ และเม่ือ ประเคนของพระสงฆเ์ สรจ็ แลว้ เป็นต้น วธิ ปี ฏบิ ัติ การกราบพระทีถ่ กู วธิ ี ตอ้ งกราบใหไ้ ดห้ ลกั ซงึ่ เรียกว่า เบญจางคประดษิ ฐ์ คือกราบให้องค์อวัยวะ ห้าส่วนจรดพ้ืน คอื เขา่ ๒ ฝ่ามอื ๒ หนา้ ผาก ๑ การกราบนี้มีวิธีปฏิบตั ิส�ำหรบั หญงิ และชายตา่ งกันดังน้ี วิธีกราบแบบชาย ท่าเตรียม นั่งคุกเข่าให้หัวเข่าห่างกันประมาณ ๑ ศอก นั่งทับส้นเท้า ตั้งฝ่าเท้าทั้งสองให้ตรง และชดิ กัน ต้ังกายใหต้ รง จงั หวะที่ ๑ ยกมอื ท้งั สองขน้ึ ประนม (อญั ชล)ี น่งั อย่างนเี้ รยี กว่า ทา่ พรหมหรือทา่ เทพพนม จังหวะท่ี ๒ ยกมือที่ประนมแล้วข้ึนเสมอหน้า ไม่น้อมศีรษะลงมารับ ให้นิ้วหัวแม่มือจรด ระหวา่ งคิว้ (วนั ทาหรือวันทนา) จังหวะที่ ๓ หมอบลงกราบ (อภิวาท) โดยลดมือลง ให้มือท้ังสองเรียบลงตามล�ำตัว แล้วจึง ค่อยย่ืนฝ่ามือไปข้างหน้า (ไม่ใช่เสือกไปข้างหน้า) พร้อมน้อมตัวลง ขณะเดียวกันน้ัน ให้วางศอกต่อกับเข่า ตรงไปขา้ งหนา้ ทงั้ สองขา้ ง ไมใ่ หแ้ บะออกหรอื เหลอื่ มเขา้ ขา้ งใน วางฝา่ มอื ราบกบั พน้ื หา่ งกนั ประมาณ ๑ ฝา่ มอื เพอื่ เว้นช่องให้หนา้ ผากจรดพืน้ ได้ นว้ิ ทง้ั หมดแนบชิดกัน ไมต่ ้องยกหวั แม่มือข้ึนมารบั หน้าผาก วางหนา้ ผาก ลงแตะพื้นระหวา่ งฝ่ามือทัง้ สองท่ีเวน้ ชอ่ งไว้ กะให้คว้ิ อยใู่ นระดบั ปลายน้ิวหวั แมม่ ือพอดี ยืดหลังออกเล็กน้อย ใหแ้ บนราบไดร้ ะดบั เดยี วกนั ไมใ่ หห้ ลงั โกง่ ขน้ึ ไมใ่ หก้ น้ กระดกขน้ึ จากสน้ เทา้ มากนกั เมอื่ หนา้ ผากแตะพน้ื แลว้ ใหเ้ งยหนา้ ตงั้ ตวั ตรง เรมิ่ จงั หวะท่ี ๑ - ๒ - ๓ ใหม่ ตดิ ตอ่ กนั ไปจนกราบครบ ๓ ครงั้ แลว้ ใหเ้ งยหนา้ ท�ำจงั หวะที่ ๒ (วนั ทา) อีกครงั้ เป็นเสรจ็ วธิ ี วิธีกราบแบบหญิง ทา่ เตรยี ม น่งั คกุ เขา่ ราบ โดยเหยยี ดหลังเทา้ ราบกับพน้ื ข้างหลัง ปลายเทา้ ทั้งสองทบั กนั เล็กน้อย แล้วน่ังทับลงไปบนฝ่าเทา้ นัน้ สว่ นเขา่ ทง้ั สองชดิ กนั จงั หวะท่ี ๑ ยกมือท้งั สองขึ้นประนม (อัญชลี) นง่ั อยา่ งนี้เรียกวา่ นง่ั ทา่ เทพธิดา จังหวะที่ ๒ ยกมือที่ประนมแล้วข้ึนเสมอหน้า ก้มศีรษะลงมารับเล็กน้อย ให้นิ้วหัวแม่มือจรด ระหวา่ งค้วิ (วันทาหรอื วันทนา) จังหวะท่ี ๓ หมอบลงกราบ (อภิวาท) ลดมือลงให้มือท้ังสองเรียบลงตามล�ำตัว ค่อย ๆ น้อมตัว ลงตาม ขณะเดยี วกัน ใหว้ างศอกพับลงขนาบเขา่ ทง้ั สองไว้ ไมใ่ ชต่ ่อเขา่ แบบชาย วางฝา่ มอื ราบกบั พื้นหา่ งกนั ประมาณ ๑ ฝ่ามือ เพ่ือเว้นช่องให้หน้าผากจรดพ้ืนได้ นิ้วท้ังหมดแนบชิดกัน ไม่ต้องยกหัวแม่มือข้ึนมารับ หนา้ ผาก วางหนา้ ผากลงแตะพนื้ ระหวา่ งฝา่ มอื ทง้ั สองทเ่ี วน้ ชอ่ งไว้ กะใหค้ วิ้ อยใู่ นระดบั ปลายนวิ้ หวั แมม่ อื พอดี ยืดหลังออกเล็กน้อย ให้แบนราบได้ระดับเดียวกัน ไม่ให้หลังโก่งข้ึน และไม่ให้ก้นกระดกข้ึน เม่ือหน้าผาก แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั ตรี วิชาพุทธประวตั ิ
126 แตะพื้นแล้วใหเ้ งยหน้าตง้ั ตัวตรง เริ่มจังหวะท่ี ๑ - ๒ - ๓ ใหม่ ติดตอ่ กันไปจนกราบครบ ๓ คร้ัง แล้วเงยหนา้ ท�ำจงั หวะที่ ๒ (วันทา) อีกครงั้ เปน็ เสร็จวิธี ข้อแนะน�ำ ในการกราบ ในการกราบ อวัยวะส่วนต่าง ๆ ต้องสัมพันธ์กัน ท�ำให้ถูกจังหวะ ไม่เก้ ๆ กัง ๆ และต่อเน่ือง ไมข่ าดตอน จงึ จะดเู ปน็ ระเบยี บและงามตา แตล่ ะจงั หวะตอ้ งไมช่ า้ เกนิ ไปและไมเ่ รว็ เกนิ ไป เปน็ จงั หวะตดิ ตอ่ กนั พอดพี อเหมาะ หม่นั ฝกึ ฝนท�ำจากผู้รู้ ดูจากผู้ช�ำนาญ แล้วฝกึ ฝนปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเองบอ่ ย ๆ จึงจะคล่องแคล่ว เมื่อกราบพร้อมกันหลายคน ต้องคอยช�ำเลืองดูกัน ท�ำให้พร้อม ๆ กันทุกจังหวะ จึงจะงามและดูเรียบร้อย ก่อใหเ้ กิดศรทั ธาแกผ่ ู้พบเห็น การจดั สถานทีพ่ ิธที �ำ บญุ สถานท่ีจัดงาน เป็นเรื่องท่ีเจ้าภาพต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมเป็นอันดับแรกว่า งานเล็ก งานใหญ่ มีทางเข้าออกสะดวกหรือไม่ อาสน์สงฆ์ โต๊ะหมู่บูชาจะตั้งท่ีใด ท่ีน่ังผู้ร่วมงาน ประธานพิธี จะตง้ั อยา่ งไร ฯลฯ จะกลา่ วถงึ การจดั สถานทง่ี านพธิ ีทัว่ ๆ ไปอยา่ งกวา้ ง ๆ พอเปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิงาน ๑. จดั ต้ังโตะ๊ หมบู่ ชู า พรอ้ มทก่ี ราบไวด้ ้านใดด้านหนึ่งของสถานท่ีประกอบพิธี ๒. จัดอาสน์สงฆ์ ตั้งต่อจากโต๊ะหมู่บูชา โดยให้โต๊ะหมู่บูชาอยู่ด้านขวาของพระสงฆ์ ยกเว้น สถานที่บงั คับ จะต้งั ดา้ นซา้ ยกไ็ ด้ ๓. การปูลาดอาสนะพระสงฆ์ ให้ปูพรมหรือเส่ือด้านประธานสงฆ์ทับผืนต่อ ๆ ไปจนถึงท้าย อาสนะสงฆ์ ไมค่ วรปูตดิ เปน็ ผืนเดยี วกบั ท่นี ง่ั สตรี และปอู าสนะเฉพาะพระสงฆ์แตล่ ะรูปอกี ทีหนึง่ ๔. จดั โตะ๊ ส�ำหรับวางเครอ่ื งไทยธรรมไว้ดา้ นทา้ ยอาสนส์ งฆ์ ๕. จัดทีน่ ่ังของประธานพธิ ีใหอ้ ยู่ต�ำ่ กว่าที่นงั่ พระสงฆ์รปู ที่ ๑ เล็กน้อย หันหนา้ เข้าหาพระสงฆ์ ๖. จดั ท่นี ั่งผรู้ ว่ มงานอนื่ ๆ ไวด้ ้านหลังประธาน ประมาณ ๕ - ๖ ที่ ๗. จัดที่นั่งผู้ร่วมงานอื่น ๆ หันหน้าไปทางประธาน ให้ห่างจากโต๊ะประธานประมาณ ๑.๕๐ หรือ ๒.๐๐ เมตร ใหแ้ ถวยาวไปตามอาสนส์ งฆ์ หรอื จัดท่นี ่ังผูร้ ่วมงานอืน่ ๆ หนั หนา้ เขา้ หาพระสงฆ์เชน่ เดยี ว กับประธาน แตต่ ้องจัดแถวนง่ั ให้ตำ�่ กวา่ แถวทป่ี ระธานนง่ั ๑ แถว จดั ยาวไปตามอาสนส์ งฆ์ การบูชาพระรตั นตรยั การจุดธูปเทียนที่โต๊ะหมู่บูชาเพื่อบูชาพระรัตนตรัย เป็นเบ้ืองต้นของการท�ำบุญทุกประเภท เป็นเคร่ืองหมายให้รู้ว่า พิธีได้เริ่มต้นแล้ว เจ้าภาพจึงควรเป็นผู้จุดเอง เดิมใช้ไม้ขีดไฟจุด จึงจุดเทียนก่อน เพราะตดิ ไฟงา่ ย แลว้ จงึ น�ำธปู ๓ ดอก รวมกนั จดุ ตอ่ ทเ่ี ทยี นจนตดิ ดี แลว้ ปกั ลงใหต้ รงในกระถางธปู กราบ ๓ ครงั้ แล้วตั้งใจบชู าพระรัตนตรัย ท�ำใหเ้ กิดธรรมเนยี มว่า ตอ้ งจุดเทยี นกอ่ นแลว้ จึงจุดธูป และจดุ เทียนเลม่ ดา้ นขวา มอื พระพทุ ธรปู กอ่ น ปจั จบุ นั มกี ารใชเ้ ชอื้ ชนวนทาทธี่ ปู เทยี น นยิ มใชเ้ ทยี นชนวนในการจดุ แล ะใชไ้ ฟแชก๊ แทน ไมข้ ดี ไฟจุดเทียนชนวนใหเ้ จ้าภาพ หรือประธานจดุ ธูปเทยี นทีโ่ ต๊ะหมู่บชู า แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วชิ าพุทธประวตั ิ
127 เครอ่ื งสักการบูชาพระรัตนตรยั เครอ่ื งสกั การบูชาหลกั คือ ธูป เทียน ดอกไม้ ท่านผู้ร้กู ลา่ วไวว้ า่ สง่ิ ท้ัง ๓ นี้ เปน็ สัญลกั ษณ์ส�ำหรบั บูชาพระรัตนตรยั โดยมีความหมายดังนี้ ๑. ธูป เปน็ เครอ่ื งหมายบูชาพระพทุ ธเจ้า ใช้ ๓ ดอก เพราะพระองคท์ รงประกอบดว้ ยพระคณุ ทส่ี �ำคัญ ๓ ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสทุ ธคิ ณุ และพระกรุณาคุณ ๒. เทียน เป็นเคร่ืองหมายบูชาพระธรรม ใช้ ๒ เล่ม เพราะพระธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจา้ รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อจัดเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้เพียง ๒ คือ พระธรรมและพระวินัย เรยี กอีกอยา่ งหนง่ึ ว่า ศลี ธรรม ๓. ดอกไม้ เปน็ เคร่ืองหมายบูชาพระสงฆ์ เพราะพระสงฆม์ าจากตา่ งเชื้อชาติ ต่างสกลุ แต่เม่ือเข้า มาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว อยู่ในระเบียบคือพระวินัย มีศีลสามัญญตาเป็นแบบเดียวกัน น�ำมาซ่ึงความ เลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น เหมือนดอกไม้ต่างสีต่างชนิด เม่ือน�ำมาร้อยเป็นมาลัยหรือจัดแจกัน ก็จะดูสวยงาม เป็นที่ช่ืนชมของผพู้ บเห็น ฉะนัน้ แตโ่ ดยรวมแลว้ ทง้ั ๓ สง่ิ คอื ธปู เทียน ดอกไม้ ลว้ นเปน็ เครือ่ งสกั การบูชาแด่พระรตั นตรยั น่ันเอง ตามหลกั ศาสนพิธี ในปัจจุบันก�ำหนดใหผ้ ู้บูชาจุดเทยี นเปน็ ล�ำดบั แรก โดยอธิบายวา่ บรรดาพระรัตนตรัยน้ัน พระธรรมมีมาก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้มาค้นพบ และให้จุดเล่มด้านขวามือของพระพุทธรูป (ซ้ายมือของผจู้ ดุ ) ก่อน แลว้ จงึ จุดเลม่ ซ้ายมือของพระพุทธรูป และจุดธูปเป็นล�ำดบั ต่อไป แตพ่ ระมหาเถระ บางรปู จะจุดธปู ก่อน แลว้ จงึ จดุ เทยี นภายหลัง โดยมีค�ำอธบิ ายวา่ เป็นการจดุ บชู าไปตามล�ำดบั พระรัตนตรัย คือเร่ิมต้นจากธูป ซ่ึงเป็นเครื่องหมายถึงพระพุทธเจ้า แล้วจึงจุดเทียนบูชาพระธรรม การจุดธูปเทียนจะนั่ง หรอื ยนื จุดให้ดสู ถานทีบ่ ชู า ถ้าโตะ๊ หมบู่ ชู าตำ่� ใหน้ ่งั คุกเข่าจดุ แต่ถา้ โตะ๊ หมบู่ ชู าสงู ใหย้ นื จุด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาพุทธประวัติ
128 ใบความรู้ท่ี ๑๓ การกล่าวค�ำอารธนาศีล อาราธนาพระปริตร และอาราธนาธรรม การอาราธนาศลี อาราธนาพระปรติ ร และอาราธนาธรรม การอาราธนา คือ การเชิญหรือการร้องขอพระสงฆ์ในพิธีให้ศีล ให้สวดพระปริตรหรือให้ แสดงธรรมเปน็ ธรรมเนียมมาแต่เดิม ในพธิ ีท้ัง ๓ น้ัน ต้องอาราธนาก่อนพระสงฆ์จึงประกอบพิธกี รรมนน้ั ๆ ในพิธบี �ำเพ็ญกศุ ลตา่ ง ๆ ตอ้ งอาราธนาดงั น้ี ๑. พธิ ีเจรญิ หรอื สวดพระพทุ ธมนตใ์ ห้อาราธนาศีลอาราธนาพระปริตร ๒. พธิ ีแสดงพระธรรมเทศนาให้อาราธนาศลี อาราธนาธรรม ๓. พิธีสวดพระอภิธรรม สวดมาติกา ถ้าไม่มีพิธีอ่ืนมาก่อน อาราธนาศีลอย่างเดียวไม่ต้อง อาราธนาธรรม ๔. พธิ ถี วายทานทุกอย่างใหอ้ าราธนาศลี วธิ ปี ฏบิ ัติในการอาราธนา การอาราธนาตา่ ง ๆ นยิ มปฏบิ ตั อิ ยา่ งน้ี พธิ เี จรญิ หรอื สวดพระพทุ ธมนตถ์ า้ พระสงฆน์ งั่ บนอาสนส์ งฆ์ เจา้ ภาพและผรู้ ว่ มพธิ นี ง่ั เก้าอผ้ี อู้ าราธนาเขา้ ไปยนื ระหว่างเจา้ ภาพกบั แถวพระสงฆต์ รงพระสงฆร์ ปู ที่ ๓ หรอื ๔ (นับจากท้ายแถว) หันหน้าไปทางโต๊ะหมู่บูชา ประนมมือน้อมไหว้พระพุทธรูปแล้วยืนประนมมือต้ังตัวตรง กล่าวค�ำอาราธนาศีล เม่ือรับศีลจบแล้ว พึงน้อมไหว้แล้วยืนตั้งตัวตรงกล่าวค�ำอาราธนาพระปริตรต่อ จบแล้วน้อมไหว้อีกครั้งหน่ึง แล้วถอยหลังออกไป ถ้าพระสงฆ์น่ังบนอาสน์สงฆ์หรือบนอาสนะที่ต่ําก็ตามแต่ เจ้าภาพและผมู้ าร่วมพธิ ีนั่งอยูก่ บั พื้น ผู้อาราธนาตอ้ งเข้าไปน่งั คุกเขา่ หน้าแถวพระสงฆร์ ปู ท่ี ๒ หรอื ๓ (นบั จากหวั แถว) กราบพระที่โต๊ะหมูบ่ ชู าดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์๓ครงั้ แล้วประนมมอื ตัง้ ตวั ตรงกล่าวค�ำอาราธนา ตามแบบที่ตอ้ งการการอาราธนาในพิธีอ่นื เชน่ พธิ ีแสดงพระธรรมเทศนา พึงปฏิบตั ติ ามแนวทางน้ี มีข้อสังเกตส�ำหรับการอาราธนาพระปริตรตาม ธรรมเนียมโบราณไม่ว่าจะเจริญหรือสวด พระพุทธมนต์เจ็ดต�ำนานสบิ สอง ต�ำนานธัมมจักกปั ปวตั ตนสูตร ธรรมนยิ ามสตู ร และพระสูตรอนื่ นอกจากนี้ เมอ่ื กลา่ วค�ำอาราธนาพระปรติ รมกั ลงทา้ ยดว้ ยบาทคาถาวา่ ปะรติ ตงั พรถู ะมงั คะลงั ทง้ั สนิ้ เพราะพระสตู รหรอื บทสวดมนตท์ ง้ั หมดลว้ นเปน็ พระปรติ ร คอื เครอ่ื งปอ้ งกนั หรอื ตา้ นทานภยั พบิ ตั ติ า่ ง ๆ แตป่ จั จบุ นั มมี รรคนายก หรือพิธีกรจ�ำนวนมากมีการดัดแปลงค�ำอาราธนาจากค�ำว่าปะริตตังเป็นธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตังบ้าง ธัมมะนิยามะสุตตังบ้าง เพื่อให้ตรงกับพิธีท่ีจะสวด นับเป็นการหลีกเลี่ยงธรรมเนียมเก่า เพราะค�ำอาราธนา พระปรติ รเปน็ ค�ำประพนั ธ์ประเภทฉนั ทเ์ รียกว่า ปฐั ยาวตั รฉนั ท์ แตล่ ะบาทจะมี ๘ พยางค์ เมอื่ เปล่ียนไปใชช้ ่อื พระสตู รตา่ ง ๆ แทนค�ำวา่ ปะริตตัง จ�ำนวนพยางคใ์ นบาทคาถาน้ันจะเกินไปมาก ดังน้นั ผจู้ ะใชว้ ธิ ดี ังกล่าว ควรศึกษาให้รอบคอบ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าพทุ ธประวัติ
129 ค�ำ อาราธนาศลี ๕ มะยงั ภนั เต, วิสุง วิสุง รกั ขะณตั ถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปญั จะ สลี านิ ยาจามะ. ทุตยิ ัมปิ มะยัง ภันเต, วิสงุ วสิ งุ รักขะณตั ถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สลี านิ ยาจามะ. ตะติยัมปิ มะยงั ภันเต, วสิ งุ วิสุง รกั ขะณัตถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปญั จะ สลี านิ ยาจามะ. หมายเหตุ อาราธนาศลี ๘ เปลีย่ น ปญั จะ เปน็ อัฏฐะ รบั ศีลคนเดยี วเปลีย่ น มะยัง เป็น อะหัง, ยาจามะ เปน็ ยาจามิ คำ�อาราธนาพระปริตร วปิ ตั ตปิ ะฏพิ าหายะ สพั พะสมั ปัตติสทิ ธยิ า, สพั พะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พฺรูถะ มังคะลัง. วิปตั ติปะฏพิ าหายะ สพั พะสัมปตั ตสิ ทิ ธยิ า, สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตงั พฺรถู ะ มงั คะลัง. วิปตั ติปะฏิพาหายะ สพั พะสัมปัตตสิ ิทธิยา, สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรฺ ูถะมังคะลัง. สรณคมน์และศลี ๕ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ (วา่ ๓ จบ) พุทธงั สะระณงั คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คจั ฉาม,ิ สังฆัง สะระณงั คจั ฉาม,ิ ทตุ ยิ ัมป ิ พทุ ธงั สะระณงั คัจฉามิ, ทตุ ยิ มั ป ิ ธมั มงั สะระณงั คจั ฉาม,ิ ทุติยัมปิ สงั ฆัง สะระณงั คจั ฉามิ, ตะตยิ มั ปิ พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ, ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉาม,ิ ตะติยัมป ิ สงั ฆัง สะระณงั คจั ฉาม,ิ ปาณาตปิ าตา เวระมะณ,ี สกิ ขาปะทัง สะมาทิยาม.ิ อะทนิ นาทานา เวระมะณี, สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ. กาเมสมุ ิจฉาจารา เวระมะณี, สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ. มุสาวาทา เวระมะณ,ี สิกขาปะทงั สะมาทยิ าม.ิ สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณ,ี สิกขาปะทัง สะมาทิยาม.ิ (สรปุ ) อมิ านิ ปญั จะ สิกขาปะทานิ สเี ลนะ สุคะตงิ ยนั ต.ิ สเี ลนะ โภคะสัมปะทา. สีเลนะ นพิ พุติง ยันติ. ตัสมา สีลัง วโิ สธะเย. แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วิชาพุทธประวัติ
130 คำ�อาราธนาธรรม พรหั มา จะ โลกาธปิ ะติ สะหัมปะต ิ กตั อัญชะลี อนั ธิวะรงั อะยาจะถะ, สันตีธะ สตั ตาปปะระชกั ขะชาตกิ า, เทเสตุ ธมั มัง อะนุกัมปมิ ัง ปะชงั . การจุดเทยี นน้าํ มนต์ การจุดเทียนที่ภาชนะนํ้ามนต์ เจ้าภาพควรเป็นผู้จุดเองตามหลักศาสนพิธี ให้เริ่มจุด เม่ือพระสงฆ์ข้ึนบทมงคลสูตรคือ อะเสวะนาจะพาลานัง แต่พระมหาเถระบางรูปนิยมให้จุดตั้งแต่ขึ้นบท พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ กม็ นี าํ้ พระพทุ ธมนตถ์ อื วา่ เปน็ นา้ํ ศกั ดส์ิ ทิ ธเ์ิ พราะอานภุ าพของพระพทุ ธมนตใ์ ชป้ ระพรม บุคคลและสถานทเ่ี พ่ือความเป็นสริ มิ งคลในพธิ ีเจรญิ พระพุทธมนตเ์ ท่าน้นั จงึ ตั้งภาชนะนา้ํ มนต์ ภาชนะนํ้ามนต์ปัจจุบันนิยมใช้ครอบน้ํามนต์ ถ้าไม่ก็มีใช้บาตรหรือขันน้ําท่ีมีเชิงรองก็ได้แต่ไม่ควร ใช้ขันที่ท�ำจากทองหรือเงิน เพราะเป็นวัตถุอนามาสพระภิกษุจับต้องจะเป็นอาบัติการจัดภาชนะนํ้ามนต์ ควรท�ำความสะอาดให้เรียบร้อย ใส่นํ้าสะอาดประมาณสามในสี่ของภาชนะ ติดเทียนน้ํามนต์ที่ท�ำจาก ขี้ผงึ้ แทท้ ี่ขอบภาชนะหรอื ติดท่เี ชงิ เทยี นเต้ีย ๆ แลว้ ตง้ั ไว้กลางภาชนะนํ้ามนตก์ ไ็ ด้ โบราณนยิ มใส่ใบไมม้ งคล เช่น ใบทอง ใบนาก ใบเงินดว้ ย แลว้ น�ำมาตง้ั วางข้างอาสนะของประธานสงฆ์ ไมต่ อ้ งวงสายสิญจนไ์ วท้ ภี่ าชนะ น้าํ มนตเ์ พราะเป็นหน้าทป่ี ระธานสงฆจ์ ะวงเองเมอ่ื เจ้าภาพจดุ เทยี นนาํ้ มนต์แลว้ นอกจากนี้ต้องเตรยี มทีพ่ รม นํ้ามนตไ์ วด้ ว้ ยส�ำหรบั พระสงฆ์ใชป้ ระพรมนา้ํ พระพทุ ธมนต์ตอนทา้ ยพิธี แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชัน้ ตรี วิชาพทุ ธประวัติ
131 ใบความรู้ท่ี ๑๔ วิธีการถวายภัตตาหาร ถวายจตปุ จั จัยไทยธรรม และวิธีการปฏบิ ัติในการกรวดนํา้ รบั พร การถวายภัตตาหารพระสงฆ์ ในพิธีท�ำบุญเล้ียงพระ เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว มีการถวายภัตตาหาร แด่พระสงฆ์ด้วย ปัจจุบันมีการจัด ๒ แบบ คือ จัดส�ำรับถวายเป็นรายรูปและจัดถวายเป็นวงหรือเป็นโต๊ะ ขณะพระสงฆเ์ จรญิ พระพทุ ธมนตซ์ งึ่ ปกตจิ ะใชเ้ วลาประมาณ ๓๐ นาที ระหวา่ งนแ้ี ผนกจดั อาหารตอ้ งเตรยี มจดั เตรยี มอาหารใหเ้ สรจ็ กอ่ นสวดมนตจ์ บเลก็ นอ้ ย เมอื่ พระสงฆส์ วดมนตจ์ บแลว้ ถา้ จดั ส�ำรบั ถวายเปน็ รายรปู และมี คนมากควรจัดเตรียมผยู้ กส�ำรบั ใหค้ รบจ�ำนวนพระสงฆ์ เชน่ นิมนตพ์ ระ ๙ รปู จดั ผ้ยู กส�ำรบั จ�ำนวน ๑๐ คน คนแรกยกส�ำรบั ส�ำหรบั บชู าขา้ วพระพทุ ธ ทเ่ี หลอื ยกส�ำรบั ถวายพระสงฆเ์ ดนิ เรยี งล�ำดบั ไปตงั้ ตรงหน้าพระสงฆ์ พรอ้ มกนั เชญิ เจา้ ภาพและผมู้ เี กยี รตปิ ระเคนส�ำรบั ภตั ตาหารแดพ่ ระสงฆพ์ รอ้ มกนั ถา้ จดั ภตั ตาหารเปน็ วงหรอื เป็นโตะ๊ นิมนต์พระสงฆ์นั่งประจ�ำท่ีแล้วจึงประเคนภัตตาหารถวายอาหารท่ีต้ังไว้บนโต๊ะ ควรยกถวาย ทุกจานไม่ควรน�ำทุกจานมาชนกันแล้วถวายรวมกันทีเดียว หรือหลายคนช่วยกันยกโต๊ะประเคนแบบ มักง่ายเพราะเป็นการไมเ่ คารพในทานและในพระสงฆ์ผ้รู ับประเคน การถวายจตุปจั จัยไทยธรรม เม่ือพระสงฆ์ฉันเสร็จ ให้ยกเครื่องไทยธรรมมาต้ังเบ้ืองหน้าพระสงฆ์ การวางเครื่องไทยธรรม ควรจัดวางใหเ้ หมือนกนั ทุกรปู ถ้ามีของหลายช้นิ เช่น แจกนั ดอกไม้ ผา้ ไตร เครือ่ งกปั ปิยภณั ฑ์ ควรวางแจกนั ดอกไม้เปน็ อันดับแรก เพราะเปน็ เคร่ืองสักการบูชา จากนัน้ วางผ้าไตรกปั ปยิ ภณั ฑเ์ ปน็ ล�ำดบั ตอ่ ไป ถ้ามโี บว์ ผูกด้วยวางหันโบว์ออกด้านนอกแต่ถ้ามีไทยธรรมเพียงช้ินเดียวก็วางให้เหมือนกันทุกช้ินเมื่อจัดวางครบแล้ว เจา้ ภาพและผูม้ ีเกียรติประเคนถวายพรอ้ มกนั การประเคนจะน่งั หรือยนื ประเคนให้ดทู ่ีสถานที่ ถา้ พระน่ังบน อาสน์สงฆส์ งู จะยืนประเคนก็ได้ แตถ่ า้ พระสงฆน์ ่งั อาสนะต่ํา ผปู้ ระเคนควรนง่ั ประเค นเมอื่ ประเคนเสร็จแลว้ น้อมไหว้ ๑ ครงั้ การประเคนเคร่ืองไทยธรรมอีกแบบหนึ่ง ประเคนเมื่อพระสงฆ์เจริญหรือสวดพระพุทธมนต์ จบเสร็จแลว้ พระสงฆอ์ นุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ํารบั พร รับประพรมนํ้าพระพุทธมนตจ์ ากพระสงฆว์ ธิ ีนใี้ ชใ้ น กรณีท่ีเจ้าภาพจัดถวายภัตตาหารในท่ีอ่ืนจากสถานท่ีประกอบพิธี เพื่อความสะดวกท่ีพระสงฆ์ฉันภัตตาหาร แล้วไมต่ ้องกลับมาทีเ่ ดมิ อีก วิธปี ระเคนของถวายพระ การประเคนของถวายพระ เรียกส้ัน ๆ ว่า การประเคนพระ คอื การยกส่ิงของถวายพระภกิ ษดุ ว้ ย อาการเคารพในผู้รับ และส่ิงของที่ถวาย ส่ิงของท่ีควรประเคน ได้แก่ อาหารคาวหวาน ผลไม้ เคร่ืองดื่ม และเคร่ืองไทยธรรมควรแกส่ มณบริโภคสว่ นนา้ํ เปลา่ จะไม่ประเคนกไ็ ด้ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าพทุ ธประวัติ
132 การประเคนท่ีถกู ต้อง วธิ กี ารประเคนถกู ตอ้ งตามหลกั พระวนิ ยั มลี กั ษณะ ๕ ประการ คอื ๑. สงิ่ ของจะประเคนตอ้ งไมใ่ หญ่ และหนักเกินไปขนาดคนมีก�ำลังปานกลางยกขึ้นได้ ๒. ผู้ประเคนอยู่ในหัตถบาส คือ อยู่ห่างจากพระภิกษุ ประมาณ ๑ ศอก ๓. ผู้ประเคนน้อมส่ิงของนั้นเข้าไปส่งให้ด้วยกิริยาอ่อนน้อมเป็นการเคารพ ๔. การน้อม เข้าไปนั้นจะส่งให้ด้วยมือก็ได้ ใช้ของเน่ืองด้วยกาย เช่น ใช้ทัพพีตักอาหารใส่ในบาตรที่ท่านถือหรือ สะพายอย่กู ไ็ ด้ ๕. พระภิกษุจะรบั ด้วยกาย คอื มือของทา่ นกไ็ ด้ รับดว้ ยของเน่ืองดว้ ยกายกไ็ ด้ เช่น ใช้บาตรรบั ใช้จานรับใช้ผา้ ทอดรบั กรณีผู้ประเคนเป็นสตรี วิธปี ฏบิ ัตใิ นการประเคน ถ้าเป็นชายนั่งคุกเข้าด้านหน้าพระภิกษุห่างจากท่านประมาณ ๑ ศอก ยกของที่จะประเคน ส่งถวายท่าน ถ้าเป็นสตรีวางสิ่งของท่ีจะประเคนบนผ้ารับประเคนท่ีท่านทอดออกมารับแล้วปล่อยมือเพ่ือ พระท่านจะได้หยิบของน้ัน พระภิกษุน่ังบนเก้าอ้ีหรืออาสน์สงฆ์ยกพื้นสูงให้ยืนประเคนได้โดยผู้ประเคนถอด รองเทา้ กอ่ นแลว้ ยนื ประเคนตามวธิ ที ก่ี ลา่ ว แลว้ เมอื่ ประเคนเสรจ็ กราบ ๓ ครงั้ จะไหว้ ๑ ครง้ั กไ็ ดถ้ า้ ของถวาย มีมากช้ินให้ประเคนของให้หมดเสียก่อนจึงกราบหรือไหว้ส่ิงของท่ีไม่ใช่ของเค้ียวของฉัน เช่น จานเปล่าช้อน ไมต่ ้องประเคนหลงั เวลาเท่ยี งวันแลว้ ไมค่ วรประเคนอาหารสดอาหารแห้ง ยกเวน้ น้าํ ปานะยารกั ษาโรคประเคนได้ การกรวดนํ้ารบั พร การกรวดน้ํา คือ การอุทิศหรือแผ่ส่วนบุญให้แก่ผู้ท่ีล่วงลับไปแล้วด้วยวิธีหลั่งนํ้าให้เป็นสาย อนั เปน็ เครอ่ื งหมายแหง่ สายนา้ํ ใจทบ่ี รสิ ทุ ธถิ์ า้ ผลู้ ว่ งลบั ไปเปน็ บดิ ามารดา ปยู่ า่ ตายาย ครอู าจารย์ เปน็ ตน้ จดั วา่ เปน็ การแสดงกตัญญูกตเวทติ าธรรมแกท่ า่ นเหล่านนั้ ถา้ ผลู้ ่วงลบั ไปแล้วเป็นผู้มีอาวุโสน้อยกวา่ เชน่ บตุ รธดิ า มติ รสหายตลอดถึงสรรพสัตว์ท้ังหลาย ได้ชื่อว่าแผเ่ มตตาธรรมของตนไปให้ทา่ นเหล่าน้นั การรับพร คือ กิริยาท่ีเจ้าภาพน้อมใจรับพรจากพระสงฆ์ ท่านต้ังกัลยาณจิตสวดประสิทธ์ิ ประสาทพรใหผ้ รู้ ับรอดพน้ จากอันตรายภัยพิบตั ิทั้งปวง และเจริญด้วย อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์ครองเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย เป็นบุคคลแรกในพระพุทธศาสนาท่ีทรงหลั่งทักษิโณทก (กรวดน้ํา) อุทิศส่วนบุญให้แก่ญาติในอดีตชาติของ พระองคซ์ ง่ึ เกดิ เปน็ เปรตรอรับส่วนบญุ จากพระองค์ตรสั อุทศิ วา่ อิทํ เม ญาตนี งั โหตุ แปลวา่ ขอสว่ นบญุ น้จี งส�ำเรจ็ แก่ญาติท้ังหลายของข้าพเจ้าเถิด ต่อมามีผู้น�ำพุทธภาษิตว่า สุขิตา โหนตุ ญาตะโย แปลว่าขอญาติท้ังหลายจงมี ความสขุ มาตอ่ ท้ายค�ำอทุ ศิ พระเจ้าพมิ พสิ ารเปน็ ค�ำกรวดนํ้าทน่ี ยิ มใชใ้ นปจั จบุ นั ว่า อทิ งั เม ญาตนิ งั โหตุ สขุ ติ า โหนตุ ญาตะโย แปลความวา่ ขอสว่ นบญุ นจ้ี งส�ำเรจ็ แกญ่ าตทิ ง้ั หลายของขา้ พเจา้ ขอญาตทิ ง้ั หลายของขา้ พเจา้ จงมคี วามสขุ เถดิ ค�ำกรวดนา้ํ นเ้ี รยี กวา่ กรวดนาํ้ แบบสนั้ นยิ มใชก้ นั ทวั่ ไปเพราะมขี อ้ ความสนั้ กะทดั รดั จดจ�ำงา่ ย นอกจากค�ำกรวดนํ้าตามที่กล่าวแล้วยังมีบทกรวดน้ําอีก ๓ แบบ คือ บทกรวดนํ้า อิมินา ปญุ ญะกมั เมนะ เปน็ ของเกา่ คนโบราณนยิ มใช้ ปจั จบุ นั พระสงฆใ์ ชเ้ ปน็ บทกรวดน้ําตอ่ จากพธิ ที �ำวตั รเยน็ บทกรวดนา้ํ ปัตติทานะคาถายาเทวะตา ... เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ ใช้สวดต่อจากพิธีท�ำวัตรเช้า และบทกรวดนา้ํ คาถาตโิ ลกวิชัย ยังกิญจิ กุสะลัง กัมมงั ...บางส�ำนกั ใช้สวดในพธิ ี ท�ำวัตรเชา้ ควบกับบทกรวดนํา้ ปัตติทานะ คาถาบทกรวดนา้ํ ท้ัง ๓ แบบนี้ จะแสดงไวใ้ นภาคผนวก แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าพุทธประวัติ
133 วิธปี ฏบิ ัติในการกรวดนา้ํ การกรวดน้ํารับพรพระนี้ เป็นกิจส�ำคัญสุดท้ายของพิธีท�ำบุญทุกประเภท เพราะเป็นการ อุทศิ กุศลแก่ผูล้ ่วงลับไปแล้ว จึงควรปฏิบัติใหถ้ ูกตอ้ งวา่ เวลาใดควรกรวดนาํ้ เวลาใดควรรบั พร มีแนวส�ำหรับ การปฏิบัติดงั น้ี ภาชนะที่กรวดน้ําเป็นคนโทขนาดเล็ก พิธีหลวงเรียกพระเต้านํ้าควรเตรียมล่วงหน้าใส่นํ้า และมถี าดรองดว้ ยถา้ ไมม่ ภี าชนะส�ำหรบั กรวดนา้ํ โดยเฉพาะ จะใชข้ นั นาํ้ เลก็ หรอื แกว้ นา้ํ แทนกไ็ ดใ้ นกรณนี คี้ วร จดั จานหรอื ถาดไวร้ องกนั นา้ํ หกดว้ ย นา้ํ ส�ำหรบั กรวดใหใ้ ชน้ าํ้ สะอาดบรสิ ทุ ธิ์ เชน่ นาํ้ ประปานา้ํ ฝนนาํ้ บอ่ หา้ มใชน้ า้ํ มสี ง่ิ อน่ื เจอื ปน เชน่ นา้ํ ผสมยาอทุ ยั เจา้ ภาพหรอื ประธานนงั่ ลงกบั พน้ื หรอื นง่ั เกา้ อ้ี ใชม้ อื ทง้ั สองประคองภาชนะ ส�ำหรับกรวดนํา้ ไม่ควรใชป้ ลายนวิ้ รองนํ้าเป็นทางใหน้ ํ้าไหลลงตรงภาชนะที่รองรบั เมื่อประธานสงฆ์ตั้งตาลปัตรหรือประนมมือเร่ิมสวดอนุโมทนาว่า ยถาวาริวหา... ผู้กรวดน้ํา พงึ รนิ นา้ํ ใหไ้ หลลงเปน็ สาย โดยสายนา้ํ ไมข่ าดตอนเปน็ หยด ๆ พรอ้ มส�ำรวมจติ ตงั้ ใจอทุ ศิ กศุ ลใหแ้ กผ่ ลู้ ว่ งลบั ไปแลว้ ดังกล่าว หรอื จะใช้แบบอืน่ หรอื อธษิ ฐานเปน็ ภาษาไทยใหม้ คี วามหมายวา่ อทุ ิศกุศลไปให้แก่ผนู้ น้ั ๆ โดยระบุ ช่ือด้วยก็ได้ และเทนํ้าให้หมดขณะพระสงฆ์อนุโมทนาถึงประโยคว่า มะณิ โชติระโส ยถา ส�ำหรับผู้ร่วม พิธีพึงต้ังใจกรวดนํ้าในใจ โดยใช้นํ้าใจแทนน้ํากรวด ไม่ควรเกาะแขนกันหรือเกาะชายเส้ือของผู้ที่ถือ คนโทกรวดนาํ้ เพราะเปน็ กริ ยิ าไมส่ มเหตสุ มผล ขณะพระสงฆ์ก�ำลังสวดอนุโมทนา เจ้าภาพหรือประธาน ไม่ควรไปท�ำกิจอื่นควรนั่งฟังพระสงฆ์ สวดอนุโมทนาและรับพรไปจนกว่าจะจบ เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาจบแล้วพึงกราบหรือไหว้พระรัตนตรัย และพระสงฆ์อีกคร้ังหน่ึงน�ำนํ้ากรวดไปรดโคนต้นไม้หรือสถานที่สะอาดนอกบ้าน ไม่ใช่สาดทิ้งหรือเทท้ิงใน สถานทไ่ี มเ่ หมาะสมเช่นกระโถน การกรวดน้ํากระท�ำได้ต่อเมื่อบ�ำเพ็ญกุศลหรือท�ำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เช่น ท�ำบุญ ตักบาตร ถวายส่ิงของแก่พระสงฆ์ แม้ไม่มีพระสงฆ์อนุโมทนาต่อหน้าจะกรวดนํ้าภายหลังสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอนกไ็ ด้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าพุทธประวัติ
134 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๖ ธรรมศึกษาช้ันตรี สาระการเรยี นรู้วิชาพทุ ธประวตั ิ เร่ือง ความสำ�คัญของวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วนั อัฏฐมบี ชู า และวนั อาสาฬหบชู า เวลา..............ชว่ั โมง ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๒ รู้และเข้าใจพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พทุ ธศาสนิกชนทด่ี ี และธำ�รงรักษาพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ ร้แู ละเขา้ ใจความสำ�คัญของวนั ส�ำ คัญทางพระพุทธศาสนา ๓. สาระสำ�คัญ วันสำ�คัญทางพระพุทธศาสนาคือ วันท่ีเกิดเหตุการณ์คร้ังสำ�คัญท่ีเก่ียวข้องกับพระพุทธเจ้า ซ่งึ ชาวพทุ ธร่วมกนั ประกอบพธิ กี รรม มกี ารบูชาเพอื่ ระลึกถงึ คณุ พระรัตนตรัย วันส�ำ คญั ทางพระพุทธศาสนา มี ๔ วัน คอื วันมาฆบูชา วนั วสิ าขบูชา วันอัฏฐมีบชู า และวนั อาสาฬหบชู า ๔. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. นกั เรยี นบอกความส�ำ คญั ของวนั มาฆบชู า วนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมบี ชู า และวนั อาสาฬหบชู าได้ ๒. นกั เรียนสามารถปฏบิ ตั กิ ิจกรรมกลมุ่ ได้ ๕. สาระการเรยี นรู/้ เนอ้ื หา พิธบี �ำ เพ็ญกุศลในวันสำ�คญั ทางพระพุทธศาสนา - การเตรยี มตัวกอ่ นเข้ารว่ มพธิ เี วยี นเทียน - วนั มาฆบูชา - ความเปน็ มาของวันมาฆบชู า - การเวียนเทียนในวันมาฆบชู า - ค�ำ บชู าดอกไม้ ธูปเทยี นวนั มาฆบชู า - วันวิสาขบูชา - ความเปน็ มาของวนั วิสาขบชู าในประเทศไทย - การเวยี นเทยี นในวันวิสาขบชู า - วนั วสิ าขบูชาไดร้ บั การรบั รองให้เป็นวันสำ�คัญสากล - การจัดพิธีวสิ าขบูชาของชาวพทุ ธนานาชาติ - คำ�บูชาดอกไม้ ธูปเทียนวนั วิสาขบชู า - วันอัฏฐมบี ชู า - ความเป็นมาของวันอฏั ฐมีบชู า - การจดั พธิ อี ัฏฐมบี ชู า - คำ�บูชาดอกไม้ ธูปเทยี นวันอัฏฐมบี ูชา - วันอาสาฬหบชู า - ความส�ำ คญั ของวันอาสาฬหบชู า - ความเป็นมาของวนั อาสาฬหบชู า - พระราชพิธใี นวนั อาสาฬหบชู า - คำ�บชู าดอกไม้ ธูปเทียนวนั อาสาฬหบชู า แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วชิ าพทุ ธประวตั ิ
135 ๖. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ขั้นสบื ค้นและเชอ่ื มโยง ๑. นักเรียนดูภาพการเวียนเทียน การทำ�บุญตักบาตรในวันสำ�คัญทางพระพุทธศาสนา โดยใช้ ค�ำ ถามเพอื่ ทบทวนและเชอื่ มโยงไปสู่การเรียนรู้ ดงั นี้ - ภาพทน่ี ักเรยี นเหน็ เกีย่ วกบั พิธีอะไร - วันสำ�คัญในทางพระพุทธศาสนามีวันอะไรบ้าง (วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา และวนั อาสาฬหบูชา) ๒. ครูให้นักเรียนทุกคนร่วมอภิปรายคำ�ว่า วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา และ วนั อาสาฬหบูชา โดยเขียนอธิบายลงในกระดาษทคี่ รูแจกให้ สมุ่ ตวั อยา่ งนักเรยี นน�ำ เสนอหนา้ ชัน้ เรยี น ข้ันฝกึ ๓. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น ๔ กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน โดยใช้กระบวนการกลุ่ม จากน้ัน ครใู หน้ ักเรยี นศึกษาใบความรทู้ ี่ ๑๕ เร่ือง วนั มาฆบูชา ใบความรู้ที่ ๑๖ เร่อื ง วันวสิ าขบชู า ใบความรู้ท่ี ๑๗ เรื่องวันอัฏฐมบี ชู า และใบความรู้ท่ี ๑๘ เรอ่ื ง วนั อาสาฬหบชู า โดยจบั ฉลากเลือกหัวข้อตามกลมุ่ ดงั นี้ กลมุ่ ที่ ๑ ศึกษาเรอื่ ง วนั มาฆบูชา กลุม่ ท่ี ๒ ศกึ ษาเร่ือง วันวิสาขบูชา กลุ่มที่ ๓ ศึกษาเรื่อง วนั อฏั ฐมบี ูชา กลุม่ ที่ ๔ ศกึ ษาเรอื่ ง วันอาสาฬหบชู า โดยใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เขยี นสรปุ ความส�ำ คญั และพธิ บี �ำ เพญ็ กศุ ลในวนั ส�ำ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ในหวั ข้อทีก่ ลุม่ ตนศึกษาลงในใบกจิ กรรมที่ ๘ ๔. ใหน้ ักเรียนแต่ละกล่มุ ส่งตวั แทนออกมาน�ำ เสนอหน้าช้ันเรียน ข้นั ประยกุ ต์ ๕. ครูกับนักเรียนร่วมกันสรุปความสำ�คัญของวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา และ วนั อาสาฬบชู า ครสู รปุ เพม่ิ เตมิ วา่ วนั ส�ำ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ วนั ทชี่ าวพทุ ธระลกึ ถงึ คณุ ของพระรตั นตรยั และปฏิบตั ิตามหลักธรรมค�ำ สอนเพ่อื ใช้ในการด�ำ เนินชวี ติ ประจำ�วัน ๖. นักเรียนท�ำ ใบกจิ กรรมท่ี ๙ แล้วน�ำ มาสง่ ครใู นเวลาทกี่ ำ�หนด ๗. นักเรียนท�ำ แบบทดสอบหลังเรียน และครูตรวจให้คะแนน ๗. ภาระงาน/ชิ้นงาน ท ี่ ภาระงาน ชน้ิ งาน ใบกจิ กรรมท่ี ๙ ๑ ตอบค�ำ ถามความส�ำ คัญของวนั มาฆบชู า วันวิสาขบชู า วนั อัฏฐมีบชู า และวันอาสาฬหบชู า ใบกิจกรรมท่ี ๙ ๒ ตอบค�ำ ถามวนั ส�ำ คญั ทางพระพุทธศาสนา แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าพทุ ธประวตั ิ
136 ๘. สือ่ /แหลง่ การเรยี นรู้ ๑. บัตรภาพการท�ำ บุญตกั บาตร การเวยี นเทียน ๒. ใบความรทู้ ี่ ๑๕ เรอ่ื ง วันมาฆบูชา ๓. ใบความร้ทู ี่ ๑๖ เรอ่ื ง วันวิสาขบชู า ๔. ใบความรูท้ ี่ ๑๗ เรอ่ื ง วนั อฏั ฐมีบูชา ๕. ใบความรู้ที่ ๑๘ เรอ่ื ง วนั อาสาฬหบชู า ๖. ใบกิจกรรมที่ ๘ - ๙ ๗. แบบทดสอบหลงั เรียน ๙. การวดั ผลและประเมนิ ผล ส่ิงทต่ี อ้ งการวัด วธิ วี ดั เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ๑. บอกความส�ำ คญั ของ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผ่าน = ไดค้ ะแนนตงั้ แต่ร้อยละ ๖๐ ขึน้ ไป วันมาฆบชู า วันวิสาขบชู า ผลงาน ไมผ่ า่ น = ไดค้ ะแนนต่ำ� กวา่ ร้อยละ ๖๐ วนั อฏั ฐมบี ูชา และ วนั อาสาฬหบชู าได้ ๒. ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลมุ่ ได้ - สังเกต - แบบสังเกต พฤตกิ รรม การปฏิบัติ กจิ กรรมกลมุ่ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันตรี วชิ าพุทธประวัติ
ข้อ ท่ี แบบประเมินผลงาน 137 ๓ คะแนน ใบกจิ กรรมท่ี ๙ ๑ คะแนน ๑ - ๕ ตอบค�ำ ถามถูกต้อง ตอบค�ำ ถามถูกต้อง ตรงประเดน็ ระดบั คะแนน ตรงประเดน็ น้อย ๒ คะแนน ตอบคำ�ถามถูกต้อง ตรงประเด็นส่วนใหญ ่ เกณฑ์การตดั สนิ เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้ึนไป ๗ - ๑๘ ไม่ผ่าน ต�่ำกวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรบั ใช้ตามความเหมาะสมกับกล่มุ เปา้ หมาย แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
138 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลมุ่ ข้อ ท่ ี รายการป ระเมิน ระดบั คะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความรว่ มมอื ในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ใหค้ วามรว่ มมือในการ ใหค้ วามร่วมมอื ในการ ท�ำ กิจกรรม ท�ำ กิจกรรมทกุ กจิ กรรม ท�ำ กจิ กรรมบางกิจกรรม ทำ�กิจกรรมบ้าง ๒ การแสดง/การรบั ฟงั แสดงความคดิ เหน็ และ แสดงความคิดเห็น และ แสดงความคิดเห็น และ ความคิดเหน็ รบั ฟงั ความคิดเหน็ ของ รับฟงั ความคดิ เหน็ ของ รบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของ คนส่วนมากเป็นสำ�คัญ คนอืน่ บา้ ง คนอ่นื นอ้ ย ๓ การต้ังใจ/การแก้ไข มีความตงั้ ใจและ มีความต้งั ใจและ มีความต้ังใจและ ปญั หาในการทำ�งาน ร่วมแก้ไขปัญหาในการ รว่ มแก้ไขปญั หาในการ รว่ มแก้ไขปัญหาในการ ท�ำ งานกลมุ่ ดีมาก ทำ�งานกลุ่มดี ท�ำ งานกล่มุ บา้ ง ๔ ความถกู ตอ้ งของ สรุปเนื้อหาไดถ้ กู ตอ้ ง สรุปเน้ือหาไดถ้ กู ตอ้ ง สรปุ เน้ือหาได้ถูกตอ้ ง เนอ้ื หา ตรงประเดน็ และ ตรงประเดน็ ตรงประเดน็ บา้ ง ครบถ้วน ๕ วิธกี ารนำ�เสนอ น�ำ เสนอผลงานได้อย่าง น�ำ เสนอผลงานได้อยา่ ง น�ำ เสนอผลงาน ผลงาน ถกู ตอ้ งตามขั้นตอน ถกู ตอ้ งตามข้ันตอน ตามขัน้ ตอนไดบ้ า้ ง น่าสนใจและเนอ้ื หา น่าสนใจ แตข่ าดเน้อื หา ครบถ้วน บางสว่ น เกณฑก์ ารตดั สนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ข้ึนไป ๙ - ๑๕ ไม่ผ่าน ต�ำ่ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกับกลุ่มเปา้ หมาย แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าพุทธประวัติ
139 แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แบบทดสอบหลงั เรียน เกณฑ์การประเมนิ ตอบถูกได้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ได้ ๐ คะแนน เกณฑก์ ารตัดสิน เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ขน้ึ ไป ๓-๕ ไม่ผ่าน ต่�ำกว่า ๖๐ ๐-๒ แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ช้ันตรี วชิ าพทุ ธประวัติ
140 ใบกิจกรรมท่ี ๘ ความส�ำ คญั ของวันมาฆบชู า วันวสิ าขบชู า วนั อัฏฐมบี ูชา และวันอาสาฬบูชา กลุ่มท่.ี ................... ชือ่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท่ี........................... ชื่อ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท่ี........................... ชอื่ ......................................................................................ช้นั .....................เลขท.่ี .......................... ชื่อ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ค�ำ ชแ้ี จง ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปความสำ�คัญและพิธีบำ�เพ็ญกุศลในวันสำ�คัญทางพระพุทธศาสนา ตามหัวขอ้ ท่กี ำ�หนด และสง่ ตวั แทนน�ำ เสนอหน้าชัน้ เรยี น กลมุ่ ที่ ๑ ศึกษาเรื่อง วนั มาฆบชู า กลุ่มท่ี ๒ ศกึ ษาเร่ือง วันวิสาขบูชา กล่มุ ที่ ๓ ศกึ ษาเรื่อง วันอัฏฐมีบูชา กลุ่มท่ี ๔ ศกึ ษาเรื่อง วันอาสาฬบชู า ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าพุทธประวัติ
141 ใบกจิ กรรมท่ี ๙ วนั ส�ำคัญทางพระพุทธศาสนา ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ค�ำชแี้ จง ใหน้ กั เรียนตอบค�ำถามต่อไปน้ี จ�ำนวน ๕ ข้อ (๑๕ คะแนน) ๑. การเวยี นเทยี นในวนั ส�ำคัญทางพระพทุ ธศาสนามกี ว่ี นั อะไรบ้าง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. เหตุการณ์ส�ำคญั ทีเ่ กิดข้ึนในวันมาฆบชู า ได้แก่อะไรบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. เหตุใดจงึ เรียกวนั ขึน้ ๑๕ ค่�ำ เดอื น ๖ ว่า วันวสิ าขบูชา ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. วันอาสาฬหบชู าเกี่ยวขอ้ งกบั พระศาสนาอยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๕. วนั อัฏฐมบี ูชา มคี วามส�ำคญั อยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วชิ าพทุ ธประวตั ิ
142 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๙ วันส�ำคญั ทางพระพุทธศาสนา ๑. การเวียนเทียนในวนั ส�ำคัญทางพระพทุ ธศาสนา มกี ่ีวนั อะไรบา้ ง ตอบ การเวียนเทียนในวันส�ำคัญทางพระพุทธศาสนา มี ๔ วัน คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอฏั ฐมีบชู า และวันอาสาฬหบชู า ๒. เหตุการณ์ส�ำคญั ท่เี กิดขึ้นในวันมาฆบชู า ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ตอบ เหตกุ ารณ์ส�ำคญั ท่เี กดิ ขนึ้ ในวนั มาฆบชู า ได้แก่ ๑. พระสงฆ์จ�ำนวน ๑,๒๕๐ องค์ มาประชมุ พร้อมกนั โดยมิไดน้ ดั หมาย ๒. พระสงฆท์ ง้ั หมดลว้ นเปน็ พระอรหนั ต์ ๓. พระสงฆ์ทงั้ หมดได้รบั การบวชดว้ ยวธิ ีเอหิภกิ ขุอุปสัมปทา ๔. วนั นัน้ ตรงกบั วันเพญ็ มาฆมาส (วันขนึ้ ๑๕ ค�่ำ เดือน ๓) ๓. เหตใุ ดจึงเรยี กวนั ข้นึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๖ ว่า วนั วสิ าขบูชา ตอบ เหตุท่ีเรียกวันข้ึน ๑๕ ค่�ำ เดือน ๖ ว่า วันวิสาขบูชา เพราะเป็นวันท่ีเกิดเหตุการณ์ส�ำคัญท่ีสุด ของพระพุทธเจา้ ๓ เหตุการณ์ คอื ประสตู ิ ตรัสรู้ และปรนิ พิ พาน ๔. วนั อาสาฬหบชู าเก่ยี วขอ้ งกับพระศาสนาอย่างไร ตอบ วันอาสาฬหบชู า มีเหตกุ ารณส์ �ำคัญทเี่ ก่ยี วข้องกับพระพทุ ธศาสนาเกิดขน้ึ ดังน้ี ๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา (เทศนากัณฑ์แรก) คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แกป่ ัจจวัคคยี ์ ๒. เปน็ วนั ทมี่ พี ระสงฆ์สาวกเกดิ ข้นึ เปน็ องค์แรกในโลก คือ พระโกณฑัญญะ ๓. เป็นวันแรกทีพ่ ระรตั นตรัยครบบรบิ ูรณ์ ๓ ประการ คอื พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๕. วันอัฏฐมีบูชา มีความส�ำ คัญอย่างไร ตอบ วนั อฏั ฐมบี ชู า มคี วามส�ำคญั คอื เปน็ วนั คลา้ ยวนั ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ ซง่ึ ตรงกบั แรม ๘ คำ่� เดอื น ๖ หลงั ปรนิ ิพพานได้ ๗ วัน แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาพทุ ธประวตั ิ
143 แบบทดสอบวัดผลการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ที่ ๖ รแู้ ละเข้าใจความสำ�คัญของวนั สำ�คญั ทางพระพทุ ธศาสนา จำ�นวน ๕ ข้อ คะแนน ๕ คะแนน คำ�ช้แี จง ใหน้ ักเรียนเลอื กค�ำ ตอบทีถ่ ูกตอ้ งท่สี ุดเพยี งขอ้ เดียว ๑. ข้อใดจดั เปน็ กศุ ลพธิ ี ก. ช่วยเหลอื คน ข. ดแู ลบพุ การี ค. ปลอ่ ยปลา ง. รกั ษาศีล ๒. การเวยี นเทียนในวันสำ�คญั ทางพระพทุ ธศาสนาจดั เขา้ ในพธิ ีใด ก. กศุ ลพธิ ี ข. บุญพิธี ค. ทานพิธี ง. ปกิณณกพิธี ๓. พิธีเวยี นเทียนในวันสำ�คัญของชาวพุทธ เพอ่ื ระลึกถึงใคร ก. พระพทุ ธเจา้ ข. พระธรรม ค. พระสงฆ์ ง. ถกู ทุกขอ้ ๔. วนั จาตรุ งคสนั นบิ าต คอื วันใด ก. วนั มาฆบูชา ข. วันวสิ าขบูชา ค. วนั อัฏฐมีบชู า ง. วันอาสาฬหบชู า ๕. องค์การสหประชาชาติประกาศใหว้ นั ใดเปน็ วันส�ำ คญั สากล ก. วันวิสาขบชู า ข. วันมาฆบูชา ค. วนั อฏั ฐมบี ชู า ง. วนั อาสาฬหบชู า แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาพุทธประวัติ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218