˹§Ñ ÊÍ× àÃÂÕ ¹ ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒµÃÕ ÃÇÁ ô ÇÔªÒ
หนา้ ๔ หลักกระทู้ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี วชิ า กระทธู้ รรม การใชภ้ าษาในการพรรณนาแกก้ ระทธู้ รรม ในการเขียนเรียงความแกก้ ระทนู้ น้ั ผเู้ ขียนจะตอ้ งพิถีพิถันในดา้ นการใชภ้ าษาใหม้ าก จะตอ้ งเขียนอย่าง ประณีต ไม่ใชเ่ พียงเขียนเพยี งใหเ้ ต็มๆหนา้ เท่านนั้ ตอ้ งคาํ นงึ ถึงภาษาที่ใชด้ ว้ ย กลา่ วคือภาษาที่ใชต้ อ้ งเป็นภาษา เขียน ไม่ใช่ภาษาพูด เช่นไม่ควรใชค้ าํ วา่ “ช้ัน” “เคา้ ” “เป็นไง” “ยงั เงีย้ ะ” “ปวดหมอง” “ตงั ค”์ ในท่ีนีค้ วรเขยี นว่า \"ฉัน\" \"เขา\" \"เป็นอย่างไร\" \"อย่างนี\"้ ฯลฯ หรือไม่ใชค้ าํ แสลง คือคาํ ท่ีใชผ้ ิดแปลกไปจากปกติ เช่น “อือ้ ซ่า” “นิง้ ไป เลย” “ขาโจ๋” “ส.บ.ม.ย.ห.” ฯลฯ และไม่ควรเขียนแบบใชภ้ าษาไทยปนภาษาต่างประเทศ เช่น “ประเด๋ียวจะ เซอรไ์ พรซ”์ “โอเค นะจ๊ะ” “อเมซงิ่ จริงๆ” “มกี ารคอรปั ช่ัน” ฯลฯ ซงึ่ บางทีผเู้ ขียนอาจเห็นวา่ การเขียนเช่นนี้ แสดง ว่าตนเป็นผมู้ ีความรูส้ ูง แตน่ ่นั หาชอ่ื วา่ เป็นการเขียนเรียงความที่ดไี ม่ รวมไปถึงไมใ่ ชค้ าํ พืน้ เมืองหรือภาษาทอ้ งถ่ิน เช่น “บ่อไป” “เวา้ ” “แซบ” ฯลฯ และไม่ใช้ภาษาหนังสือพิมพ์ เช่น “เปิดอก” “เปิดศึกขยี”้ “พลิกโผ” “แฉสิน้ ” ตาํ รวจปืนโหดฆ่าสามชีวิตที่ท่าบ่อ” ฯลฯ เป็นตน้ แต่อย่างไรก็ตามในช้นั นีท้ ่านไม่ได้เครง่ ครดั การใชภ้ าษานัก เพียงแตก่ าํ หนดใหใ้ ชภ้ าษาตามสมยั นยิ มไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง เหมาะกถ็ อื วา่ ใชไ้ ดแ้ ลว้ การเรยี บเรียงเร่อื งราว ก็ควรเป็นไปตามลาํ ดบั กอ่ นหลงั ไม่วกวนไปมาจนนา่ เวียนหวั เพราะฉะนั้นในเวลา จะเขยี นเรียงความแกก้ ระทธู้ รรมขอ้ ใดกต็ าม ผหู้ ดั เขยี นใหม่ๆ จงึ ควรวางโครงเรอ่ื งที่จะเขยี นใหด้ ีเสยี กอ่ น แลว้ เขียนใหเ้ ป็นไปตามลาํ ดบั ขน้ั ตอนของเรื่องทีว่ างไว้ เรียงความแกก้ ระทธู้ รรมท่ไี ดค้ ะแนนนอ้ ย ส่วนมากจะมีขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆ หลายประการ เชน่ อธิบาย เนือ้ ความของกระทตู้ งั้ ผดิ จากความม่งุ หมายของกระทธู้ รรมนนั้ บา้ ง อธิบายความสบั สนวกไปวนมาเสยี บา้ ง ไมม่ ี สรุปความบา้ ง ใชภ้ าษาไม่ถกู ตอ้ งและใชถ้ อ้ ยคาํ ไมเ่ หมาะสมบา้ ง นอกจากนนั้ แลว้ ยงั มขี อ้ บกพรอ่ งซึ่ง ประกอบดว้ ยลกั ษณะตา่ งๆอกี คือ ๑. ไม่อา้ งกระทธู้ รรมมาเชอื่ มขอ้ ความท่ตี ่างกนั ๒. อธิบายความไม่สมเหตสุ มผลกบั กระททู้ ตี่ งั้ ไว้ ๓. เขียนขอ้ ความโดยไม่มีการเวน้ ระยะวรรคตอน หรอื เวน้ ระยะวรรคตอนไม่ถกู ตอ้ ง ๔. เขียนขอ้ ความโดยไมม่ กี ารยอ่ หนา้ หรอื ย่อหนา้ เอาตามความพอใจ โดยยงั ไมท่ นั สิน้ กระแสความ ๕. นาํ กระทธู้ รรมมาเชอื่ ม โดยไมอ่ า้ งถึงขอ้ ความของกระทธู้ รรมนนั้ ก่อน ๖. ไมบ่ อกชือ่ คมั ภรี ท์ ่ีมาของกระทธู้ รรมท่นี าํ มารบั หรอื บอกช่ือคมั ภรี ผ์ ิดพลาด ๗. เขียนคาํ บาลีและคาํ แปลภาษาไทยไมถ่ กู ตอ้ ง หรอื ขาดตกบกพรอ่ ง ๘. เขียนตวั สะกด การนั ต์ ผดิ พลาดมาก ๙. เขยี นหนงั สอื สกปรก โดยมกี ารขีดฆา่ ขดู ลบ ปรากฏอยทู่ ่วั ไป ๑๐. แตง่ ไม่ไดต้ ามกาํ หนด (๒ หนา้ กระดาษ เวน้ บรรทดั ขึน้ ไป)
หนกั กระทู้ ธรรมศึกษาชั้นตรี หนา้ ๕ หลักการอา่ นภาษาบาลีเบอื้ งตน้ ๑. พยญั ชนะตวั โดดๆ ทไี่ มม่ ีสระใดๆ ปรากฏอย่เู ลย ใหอ้ อกเสียง “อะ” แต่ถา้ พยญั ชนะตวั ใดมสี ระปรากฏอยู่ ให้ ออกเสียงตามสระนน้ั ๆ เช่น สามเณร อ่านวา่ สา-มะ-เน-ระ ภควโต อา่ นวา่ ภะ-คะ-วะ-โต อรหํ อา่ นวา่ อะ-ระ-หงั ๒. เคร่อื งหมายพินท(ุ . ) จดุ ปรากกอยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั ใด มวี ธิ ีอา่ นดงั นี้ ๒.๑ ถา้ เคร่ืองหมายพินทอุ ยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั ใด ใหเ้ ครอ่ื งหมายพนิ ทุ หมายถงึ ไมห้ นั อากาศ (ในกรณที ่ี พยญั ชนะขา้ งหนา้ ตวั นน้ั ไมม่ สี ระใดๆ) เชน่ สงฺฆสสฺ อา่ นวา่ สงั -คสั -สะ อตตฺ า หิ อตฺตโน อ่านวา่ อตั -ตา-หิ-อตั -ตะ-โน ๒.๒ ถา้ พยญั ชนะตวั หนา้ ของพยญั ชนะตวั ทีม่ ีเครื่องหมายพินทุ มีสระปรากฏอยู่ ใหเ้ คร่ืองหมายพินทุ เป็นตวั สะกด (คอื อ่านอยา่ งภาษาไทย) เช่น ภกิ ฺขสุ งฺโฆ อา่ นวา่ พกิ -ข-ุ สงั -โค เหสนุ ฺติ อา่ นวา่ เห-สนุ -ติ ปรสิ ทุ โฺ ธ อา่ นวา่ ปะ-ริ-สดุ -โท ๒.๓ ถา้ เครอ่ื งหมายพินทอุ ยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั แรกของคาํ ใหอ้ า่ นออกเสียงพยญั ชนะตวั นน้ั กง่ึ เสียง คอื ให้ ออกเสยี งพยญั ชนะตวั นน้ั เร็วๆ เช่น ตวฺ า อ่านวา่ ตฺะวา เทวฺ เม อา่ นว่า ทฺะเว-เม สฺวากฺขาโต อา่ นวา่ สะฺ วาก-ขา-โต (บทไหวพ้ ระตอนเชา้ -เยน็ นกั เรียนมกั กลา่ วเพยี้ นกนั วา่ “ซา-หฺวาก-ขา-โต..”) ๓. เครอ่ื งหมายนิคคหิต( ◌ํ ) อยเู่ หนอื พยญั ชนะตวั ใด มวี ธิ ีอา่ นดงั นี้ ๓.๑ ถา้ เครื่องหมายนิคคหติ อย่เู หนอื พยญั ชนะตวั ใดๆ ใหเ้ ครือ่ งหมายนคิ คหิตอา่ นออกเสียง “องั ” (ใน กรณีที่พยญั ชนะตวั นนั้ ไมม่ ีสระตวั ใดๆปรากฏอย่กู อ่ นแลว้ ) เชน่ สงฺฆํ นมามิ อ่านว่า สงั -คงั -นะ-มา-มิ อรหํ สมมฺ า อา่ นวา่ อะ-ระ-หงั -สมั -มา ๓.๒ ถา้ พยญั ชนะตวั นนั้ มสี ระปรากฏควบคพู่ รอ้ มกบั เคร่ืองหมายนิคคหิต ใหเ้ ครื่องหมายนคิ คหิต หมายถึง ง. งู สะกด ใหอ้ ่านออกเสยี งตามสระนนั้ ๆ เช่น นปสุ กลิงฺคํ อา่ นวา่ นะ-ปงุ -สะ-กะ-ลิง-คงั สตึ กึ อา่ นว่า สะ-ติง-กิง วิสุ รกขฺ ณตฺถาย อา่ นว่า ว-ิ สงุ -รกั -ขะ-นตั -ถา-ยะ
หนา้ ๖ เรียงความแกก้ ระทธู้ รรม ธรรมศึกษาตรี วชิ า เรยี งความกระทธู้ รรม ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี ความสำคญั ของวชิ าเรยี งความ ๑. ส่งเสริมความเจริญทางดา้ นจินตนาการ ความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี น ๒. ทาํ ใหผ้ เู้ รยี นรูจ้ กั ลาํ ดบั ความคดิ สามารถถ่ายทอดความรูส้ ึกนึกคิดของตนออกมาใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ใจตาม ตอ้ งการได้ ๓. ร◌ู ◌จ้ กั เลือกถอ้ ยคาํ สาํ นวนโวหารสาํ นวนไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษา ๔. สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นเขยี นไดถ้ กู ตอ้ งตามแบบทน่ี ิยม ประโยชนข์ องการเรียนกระทู้ธรรม ๑. ทาํ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความซาบซึง้ ในคณุ คา่ ของธรรม ๒. ทาํ ใหผ้ ู้ เรียนไดเ้ ขา้ ใจถงึ ผลเสีย กล่าวคือคณุ และโทษของการปฏิบตั ิตามและไม่ปฏิบตั ิตามธรรมะ ๓. ใหเ้ ขา้ ใจในชวี ติ และรูจ้ กั แสวงหาความสขุ โดยมธี รรมะเป็นเครอื่ งชีแ้ นวทาง ๔. ช่วยพฒั นาดา้ นจิตใจของมนษุ ยใ์ หร้ ูจ้ กั ผดิ ชอบช่วั ดี ละความช่วั ประกอบความดี โดยพยายามงดเวน้ ความช่วั โดยเดด็ ขาด หลกั เกณฑใ์ นการแตง่ กระทธู้ รรม มีหลกั สาํ คญั ในการเขยี นเรียงความแกก้ ระทธู้ รรม อยู่ ๓ ประการดว้ ยกนั คอื ๑. ตีความหมาย ๒. ขยายความใหช้ ดั เจน ๓. ตงั้ เกณฑอ์ ธิบาย ตคี วามหมาย ไดแ้ ก่การใหค้ าํ จาํ กดั ความของธรรมนนั้ วา่ มีความหมายอย่างไรเช่นพทุ ธภาษิตท่ีวา่ “กลฺ- ยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปก”ํ ผทู้ าํ กรรมดี ย่อมไดผ้ ลดี ผทู้ าํ กรรมช่วั ยอ่ มไดผ้ ลช่วั ดงั นี้ ก็ใหค้ าํ จาํ กดั ความคาํ ว่า “กรรมดี คืออะไร” “กรรมช่ัวคอื อะไร” ในท่นี กี้ รรมดีหมายเอากุศลกรรมบถ กรรมช่วั หมายถึง อกุศลกรรมบถ ฯลฯ ขยายความใหช้ ัดเจน ไดแ้ กก่ ารขยายเนือ้ ความของคาํ ซ่ึงไดใ้ หค้ วามหมายไวแ้ ลว้ คือกุศลกรรมบถ และ อกุศลกรรมบถ ว่ามอี ยา่ งเท่าไร (อยา่ งละ ๑๐ ประการ) เป็นตน้ ต้งั เกณฑอ์ ธบิ าย ไดแ้ ก่การวางโครงรา่ งท่จี ะอธิบายเนอื้ ความของเนอื้ หาวา่ มอี ะไรบา้ ง มีผลดผี ลเสีย อยา่ งไร มขี อ้ เปรียบเทยี บหรือมตี วั อยา่ งมาประกอบใหเ้ หน็ เด่นชดั ไดห้ รือไม่ และควรจะนบั ถงึ ผลกรรมนน้ั ๆ อยา่ งไร จึงจะทาํ ใหผ้ อู้ า่ นผฟู้ ังคลอ้ ยตาม โดยเรียงเป็นลาํ ดบั ขน้ั ตอนก่อนหลงั ไมส่ บั สนวกไปวนมา
เรยี งความแกก้ ระทู้ธรรม ธรรมศกึ ษาตรี หนา้ ๗ หลักเกณฑส์ าํ คญั ในการอธิบาย ๓ ประการ คือ ๑. คาํ นาํ ๒. เนือ้ เร่ือง ๓. คาํ ลงทา้ ย (สรุป) คาํ นาํ เป็นการอารมั ภบทพจนคาถาทเ่ี ป็นบทตงั้ (กระทู้ หรือที่เรียกว่า อเุ ทศ) เพอ่ื เป็นบทนาํ ในการ เรียงความ (คาํ นาํ ของการเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ควรเขียนประมาณ 2-3 บรรทดั ) เนอื้ เรือ่ ง เป็นการขยายเนือ้ ความของกระททู้ ่ีตงั้ ไว้ เรียกวา่ แก้ หรือเรยี กว่า นเิ ทศ การนเิ ทศ หรือขยาย ความเนือ้ เรอ่ื งนนั้ จะตอ้ งใหร้ สชาตเิ นอื้ หาสาระแกผ่ ู้ อ่าน ใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจในสิ่งที่เราจะอธิบาย ไมท่ าํ ใหผ้ อู้ ่านสบั สน ไขวเ้ ขว (ควรเขยี นอธิบายใหไ้ ดป้ ระมาณ 10 - 15 บรรทดั ) แลว้ จงึ นาํ เอาภาษิตมาเชอื่ ม หรอื อา้ งภาษิตมาเพอ่ื สนบั สนนุ เรียกว่า กระทรู้ บั โดยนกั ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี มีขอ้ กาํ หนดใหน้ าํ ภาษิตมาเสอื่ มรบั ไดอ้ ย่างนอ้ ย ๑ ภาษิต ภาษิตท่นี าํ มาอา้ งสนบั สนนุ หา้ มไม่ใหซ้ า้ํ กนั แต่จะซาํ้ ท่ีมาได้ แลว้ อธิบายภาษิตทยี่ กมาสนบั สนนุ ใหเ้ นือ้ ความ กลมกลืนกนั (เขียนอธิบายประมาณ 5 - 7 บรรทดั กาํ ลงั พอด)ี คาํ ลงทา้ ย หรอื บทสรุป หรือ เรยี กว่าปฏินเิ ทศ หมายถึงการรวบรวมใจความทีส่ าํ คญั ของเนือ้ หาท่ีได้ อธิบายมาแลว้ สรุปลงอย่างยอ่ ๆ ใหไ้ ดใ้ จความ ใหผ้ อู้ ่านเกดิ ความซาบซงึ้ และรูส้ ึกวา่ เรียงความทีอ่ า่ นมคี ณุ คา่ นา่ เชอื่ ถอื น่าปฏิบตั ติ าม เกิดศรทั ธาในความคดิ ของผเู้ ขยี น (สรุปความ ควรเขียนประมาณ 5 -7 บรรทดั ) วธิ กี ารแตง่ กระทธู้ รรม มกี ารแตง่ กระทู้ธรรมอยู่ ๒ แบบ คือ ๑. แบบตงั้ วง คอื อธิบายความหมายของธรรมขอ้ นน้ั ๆ เสียก่อนแลว้ จึงขยายความออกไป ๒.แบบตวี ง คอื บรรยายเนือ้ ความไปกอ่ นแลว้ จงึ วกเขา้ หาความหมายของกระทธู้ รรมนนั้ ส่วนมากผแู้ ตง่ กระทธู้ รรม มกั จะนยิ มแตง่ แบบท๑่ี คอื แบบตงั้ วง อธิบายความหมายภาษิตนน้ั กอ่ นแลว้ จงึ ขยายความใหช้ ดั เจน ต่อไป. ภาษาในการใช้ ๑. ใชภ้ าษาเขยี นทถ่ี กู ตอ้ ง มปี ระธาน มีกริยา มกี รรม ๒. ไมใ่ ชภ้ าษาตลาด ภาษาแสลง ๓. ไมใ่ ชภ้ าษาพนื้ เมอื ง หรือภาษาทอ้ งถน่ิ ๓. ไม่ใชภ้ าษาตา่ งประเทศ เชน่ ภาษาองั กฤษ เป็นตน้ สาํ นวนในการพรรณนา ใชส้ าํ นวนแบบเทศนาโวหาร มหี ลกั การเขยี น ดงั นี้ ๑. ขอ้ ความทีเ่ ขียนนน้ั จะตอ้ งมเี หตผุ ลใชเ้ ป็นหลักฐานอา้ งองิ ได้ ๒. มอี ทุ าหรณแ์ ละหลกั คติธรรม ๓. ผเู้ ขียนจะตอ้ งแสดงใหเ้ หน็ ว่า ตนมลี กั ษณะและคณุ สมบตั ิพอเป็นทเ่ี ชื่อถือได้
หนา้ ๘ เรียงความแกก้ ระท้ธู รรม ธรรมศกึ ษาตรี หมายเหตุ : โวหารมี ๔ คอื ๑. พรรณนาโวหาร ไดแ้ ก่ การพรรณนาความ คือ เลา่ เร่ืองที่ไดเ้ หน็ มาแลว้ ดว้ ยความม่งุ หวงั ใหไ้ พเราะ เพลดิ เพลนิ บนั เทงิ ๒. บรรยายโวหาร ไดแ้ ก่ การอธิบายขอ้ ความท่ียอ่ ซึ่งยงั เคลอื บแคลงอยใู่ หแ้ จม่ แจง้ หรอื พิสดาร ๓. เทศนาโวหาร ไดแ้ ก่ การแต่งทาํ นองการสอน คอื ชีแ้ จงหลกั ธรรมนนั้ ๔. สาธกโวหาร ไดแ้ ก่ การบรรยายขอ้ เปรยี บเทยี บ คอื นาํ ขอ้ อปุ มาอปุ ไมยมาเทียบเคียง หลกั ยอ่ ๆ ทีค่ วรจาํ เป็ นเกณฑอ์ ธิบายในการแตง่ กระทู้ ๑. วเิ คราะห์ศพั ท์ คือ การแสดงความหมายของกระทตู้ งั้ แลว้ วางเคา้ โครงทจ่ี ะแต่งตอ่ ไป ๒. ขยายความ คอื การอธบิ ายใหก้ วา้ งออกไปตามแนวกระทตู้ ามเหตแุ ละผล ๓. เปรยี บเทยี บ คอื ยกขอ้ ความที่ตรงขา้ มกนั มาเปรยี บเทียบเพอ่ื ใหเ้ ห็นไดช้ ดั ในส่ิงทีพ่ ดู ไป ๔. ยกสภุ าษิตรบั คอื การนาํ กระทสู้ ภุ าษิตมารบั มาอา้ ง ๕. ยกตวั อยา่ ง คอื ยกตวั อย่างธรรมะ หรือบุคคล สถานท่ีมาเป็นตวั อย่าง ๖. สรุปความ คอื ยอ่ ความทีก่ ลา่ วมาแลว้ นน้ั ใหเ้ ขา้ ใจง่าย ก่อนทีจ่ ะจบกระทู้
เรยี งความแก้กระทธู้ รรม ธรรมศึกษาตรี หน้า ๙ ตวั อยา่ งการวางรปู แบบเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ........................................................ (ภาษิตภาษาบาลี) ........................................................ (คาํ แปลภาษาไทย) (คาํ นาํ ) บดั นี้ จกั ไดอ้ ธิบายขยายเนอื้ ความแหง่ กระทธู้ รรมสภุ าษิตทไ่ี ดล้ ิขิตไว้ ณ เบือ้ งตน้ พอเป็น แนวทางแห่งการศกึ ษาและปฏิบตั ิ เป็นลาํ ดบั ไป (อธบิ าย เนือ้ ความ)..................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................…………………………… สมดว้ ยธรรมสภุ าษิตท่ีมาใน............................................................................ ความวา่ ..............................................................(ภาษิตท่ียกมาอา้ ง) .............................................................. (คาํ แปล) (อธิบาย เนือ้ ความ)..................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ..... ฯ (สรุป ความ)........................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................... สมดงั ประพนั ธธ์ รรมสภุ าษิตทไ่ี ด้
หนา้ ๑๐ เรียงความแกก้ ระทู้ธรรม ธรรมศึกษาตรี ยกมาเป็นนิกเขปบท ณ เบอื้ งตน้ ว่า(ยกภาษิตทก่ี ล่าวเบือ้ งตน้ มากล่าวอกี ครง้ั ).................................. ............................................................................ ดงั มอี รรถาธิบายมา ดว้ ยประการฉะน.ี้ ตวั อยา่ ง เรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี วริ ิเยน ทุกขฺ มจฺเจติ คนจะล่วงทกุ ข์ได้ เพราะความเพยี ร บดั นี้ จกั ไดอ้ ธิบายขยายเนอื้ ความแหง่ กระทธู้ รรมภาษิตที่ไดล้ ขิ ิตไว้ ณ เบอื้ งตน้ พอเป็นแนวทางแห่ง การศึกษาและปฏิบตั ิ เป็นลาํ ดบั ไป คาํ ว่า ทกุ ข์ คือสภาพท่ีบีบคนั้ เบยี ดเบียน มีความลาํ บาก ไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ มีความคบั บแคบใจ อนั มีเหตมุ าจากความไมส่ มปรารถนา ไมไ่ ดด้ งั ใจ ไดส้ ิ่งของบางอยา่ งมาแลว้ ไม่ถกู ใจ ตลอดถึงการพลดั พรากจาก ของรกั ของชอบใจ เป็นเหตแุ ห่งความทกุ ขเ์ ป็นความลาํ บาก กลา่ วโดยทสี่ ดุ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า สงั ขารรา่ งกายนกี้ ็ เป็นทกุ ข์ ฉะนน้ั พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั วา่ ความทกุ ขเ์ ป็นความจรงิ เป็นทกุ ขอ์ รสิ จั ความทกุ ขน์ ีม้ ีมาประจาํ กบั ตวั เราแลว้ ตงั้ แตเ่ กิด มีความลาํ บากในการทจ่ี ะหาเลีย้ งชพี ทงั้ ตวั เองและคนอืน่ แมก้ ารศึกษาเล่าเรยี นของเรานี้ ก็ เหมือนกนั เป็นความทกุ ข์ เป็นความลาํ บาก แต่พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงเทศนาส่งั สอนใหพ้ วกเรามองใหเ้ หน็ ความทกุ ข์ และก็ใหย้ อมรบั วา่ มนั มีอยจู่ รงิ ไม่ใหจ้ มปรกั อยมู่ นั ไมใ่ หเ้ ศรา้ โศกและเสยี ใจกบั สง่ิ ท่ที าํ ใหเ้ กิดทกุ ข์ พระพทุ ธ องคท์ รงสอน หาทางหนจี ากความทกุ ข์ หาทางแกท้ กุ ข์ เพอ่ื ท่จี ะใหม้ ีความทกุ ขน์ อ้ ยลง ใหม้ ีความสขุ ตามปกติที่ ใจมงุ่ หวงั ในการที่จะหนีจ้ ากความทกุ ข์ หาทางแกท้ กุ ขน์ น้ั พระองคก์ ็ทรงสอนใหม้ คี วามเพยี รกค็ ือ ประการแรก เพียรพยายามไมใ่ หส้ ่งิ ท่ไี มด่ เี กดิ ขนึ้ แก่เรา ประการทส่ี องเพยี รละสิ่งท่ีเป็นอปุ สรรคแกค่ วามสขุ ของเรา ประการที่ สามเพียรพยายามทาํ สิง่ ท่ีดเี ป็นประโยชนแ์ กเ่ รา และประการท่ีสี่เพยี รพยายามความดสี งิ่ ทด่ี ีทีมอี ยใู่ นตวั ของเรา แลว้ ใหค้ งอยตู่ อ่ ไป นีค้ ือทางท่ีจะแกค้ วามทกุ ข์ ทางทีจ่ ะพน้ จากความทกุ ข์ ความเพียรสี่ประการนีเ้ ป็นสง่ิ ท่ี คนเรามนษุ ยส์ ามารถทีจ่ ะทาํ ได้ เพราะว่ามนษุ ยเ์ ป็นผมู้ คี วามคดิ มีสติปัญญาเฉลยี วฉลาดกวา่ สัตวเ์ หล่าอน่ื สม ดงั พระพทุ ธภาษิตทม่ี าในขทุ ทกนิกาย ธัมมปทคาถาว่า ทนฺโต เสฏฺ โฐ มนุสฺเสสุ ในหมู่มนุษย์ ผ้ฝู ึ กตนได้แล้ว เป็ นผ้ปู ระเสริฐ แสดงว่า มนษุ ยเ์ รานี้ เป็นผฝู้ ึกฝนตนเองได้ ดว้ ยความเพียรพยายามของตวั เขาเองในการศึกษาเล่าเรยี น ของเรานีก้ เ็ ช่นกนั กวา่ ท่ีเราจะจบมาไดแ้ ตล่ ะชน้ั ก็มคี วามยากลาํ บาก และยง่ิ ในการทีเ่ ราจบมเี กรดทด่ี แี ลว้ ไม่ใช่ เร่อื งง่าย เราตอ้ งใชค้ วามเพียรพยายามฝึกฝนตน้ เองหม่นั ศกึ ษาคน้ ควา้ ละส่ิงท่ีเป็นอปุ สรรคตอ่ การศึกษาเรา
เรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม ธรรมศึกษาตรี หน้า ๑๑ เอาใจใสใ่ นงานที่ครูอาจารยม์ อบหมายให้ ไมเ่ กยี จครา้ น เมอื่ เราหม่นั ขยนั อดทนฝึกฝนอย่อู ย่างนี้ ก็จะเหน็ ไดว้ ่า ความยากลาํ บากเหล่านนั้ ไมใ่ ช่เรอื่ งยาก เรากจ็ ะไดร้ บั ผลสาํ เรจ็ ในการศกึ ษา และภาคภมู ใิ จในตวั ของเรา ไม่ เฉพาะตวั เราแมค้ นอ่ืนกจ็ ะยกยอ่ งสรรเสรญิ วา่ เป็นเด็กดี หรือเป็นผปู้ ระเสริฐ ถา้ หากขาดการฝึกฝนแลว้ ไซร้ จะ กลา่ วไดว้ ่าเป็นบคุ คลผปู้ ระเสรฐิ ก็หาไม่ จะเป็นคนดไี ดอ้ ยา่ งไร สรุปความว่า ความทกุ ข์ ความลาํ บากของมนษุ ยต์ า่ ง ๆ นานา ของคนเรานนั้ เป็นส่ิงท่มี นษุ ยส์ ามารถจะ เอาชนะได้ สามารถบรรลคุ วามสขุ ผา่ นความทกุ ขน์ น้ั ได้ กเ็ พราะความเพยี ร ดงั ท่กี ลา่ วมาวา่ ประการแรกเพียร สงั วรระวงั ไม่ใหส้ งิ่ ที่ไม่ดีเกิดขึน้ แกต่ วั เรา ประการที่สองเพียรละสิ่งท่ีไมด่ ีนนั้ ประการทสี่ ามเพียรส่งั สมความดหี รือ สง่ิ ทเี่ ป็นประโยชนแ์ ก่ตวั เรา และประการทสี่ ี่เพียรรกั ษาความดนี น้ั ไวใ้ หอ้ ย่กู บั ตวั เรานาน ๆ เมอ่ื ฝึกตนเองไดแ้ ลว้ ก็ จะเป็นคนท่มี แี ต่สวสั ดีภาพ เป็นผปู้ ระเสรฐิ สมดงั นยั พทุ ธภาษิตท่ไี ดย้ กขึน้ ไว้ ณ เบอื้ งตน้ นน้ั วา่ วิรเิ ยน ทกุ ขฺ มจฺ เจติ คนจะล่วงทกุ ขไ์ ดก้ เ็ พราะความเพยี ร ดงั มีอรรถาธิบายมาแลว้ เอวํ กม็ ีดว้ ยประการ ฉะนี.้
หนา้ ๑๒ เรยี งความแก้กระทูธ้ รรม ธรรมศกึ ษาตรี พทุ ธศาสนสุภาษิต ธรรมศึกษาช้ัน ตรี หมวดตน ๙. ปมาโท มจจฺ โุ น ปทํ ๑. อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ตนแล เป็นท่ีพง่ึ ของตน ทีม่ า : คมั ภีร์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๑๐. ปมาโท ครหโิ ต สทา ๒. อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย ความประมาท บณั ฑติ ติเตียนทกุ เมื่อ ทีม่ า : คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ชนะตนนน้ั แหละ เป็นดี ๑๑. เย ปมตตฺ า ยถา มตา ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๓. อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงกฺ ิลิสฺสนตฺ ิ ผปู้ ระมาท เหมือนคนทตี่ ายแลว้ คนทาํ บาปเอง ย่อมเศรา้ หมองเอง ทีม่ า : คมั ภรี ข์ ุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดจติ ๑๒. จิตฺตํ รกฺขถ เมธาวี ๔. อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสชุ ฌฺ ติ คนไมท่ าํ บาปเอง ยอ่ มหมดจดเอง ผมู้ ีปัญญา พึงรกั ษาจติ ทีม่ า : คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๕. อตตฺ นา โจทยตตฺ านํ ๑๓. จติ ตฺ ํ ทนตฺ ํ สขุ าวหํ จงเตือนตนดว้ ยตนเอง จิตทีฝ่ ึกดีแลว้ นาํ สขุ มาให้ ทมี่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดประมาท หมวดขนั ติ ๖. อปปฺ มาโท อมตํ ปทํ ๑๔. ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกขฺ า ความไมป่ ระมาท เป็นทางไม่ตาย ขนั ติ คือความอดทน เป็นตบะอยา่ งย่ิง ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๗. อปปฺ มาทํ ปสสํ นฺติ ๑๕. ขนตฺ ิ ตโป ตปสสฺ ิโน บณั ฑิตทงั้ หลาย ยอ่ มสรรเสริญความไม่ ความอดทน เป็นตบะของผบู้ าํ เพญ็ เพยี ร ประมาท ทีม่ า: สวดมนต์ฉบบั หลวง (ส.ม.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดธรรม ๑๖. มโนปพุ พฺ งฺคมา ธมฺมา ๘. อปปฺ มตตฺ า น มียนตฺ ิ ผไู้ ม่ปรมาท ยอ่ มไม่ตาย ธรรมทงั้ หลาย มใี จเป็นหวั หนา้ ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ขุ.ธ.) ๑๗. ธมฺโม สจุ ณิ โฺ ณ สขุ มาวหาติ ๒๗. กจิ ฺโฉ มนสุ ฺสปฏิลาโภ
ธรรมที่ประพฤติดีแลว้ ย่อมนาํ สขุ มาให้ เรยี งความแก้กระท้ธู รรม ธรรมศึกษาตรี หนา้ ๑๓ ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) การไดเ้ กดิ มาเป็นมนษุ ย์ เป็นการยาก ๑๘. ธมฺมปีติ สขุ ํ เสติ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ผอู้ ม่ิ ในธรรม ย่อมนอนเป็นสขุ ๒๘. สทุ ฺธิ อสทุ ธฺ ิ ปจจฺ ตฺตํ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ความบรสิ ทุ ธิแ์ ละไม่บรสิ ทุ ธิเ์ ป็นของเฉพาะตวั ๑๙. ธมมฺ จารี สขุ ํ เสติ ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ผปู้ ระพฤติธรรม ยอ่ มอยเู่ ป็นสขุ ๒๙. นา�ฺโ อ�ฺ วโิ สธเย ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ผอู้ น่ื จะทาํ ใหผ้ อู้ ่นื หมดจดไมไ่ ดเ้ ลย ๒๐. ธมมฺ ํ จเร สจุ รติ ํ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) พึงประพฤติธรรม ใหส้ จุ ริต ๓๐. ปาปานํ อกรณํ สขุ ํ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) การไม่ทาํ บาปทงั้ หลาย เป็นความสขุ หมวดทกุ ข์ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๑. ทกุ ฺโข ปาปสฺส อจุ ฺจโย ๓๑. ทนฺโต เสฏฺโ มนสุ ฺเสสุ การส่งั สมบาป เป็นทกุ ข์ (ในโลก) ในหมมู่ นษุ ยผ์ ฝู้ ึกตนดีแลว้ ประเสรฐิ สดุ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๒. นตถฺ ิ ขนฺธสมา ทกุ ขฺ า ๓๒. วิสสฺ าสปรมา าติ ความทกุ ขอ์ ื่น เสมอดว้ ยขนั ธ(์ ๕) ไม่มี ความคนุ้ เคย เป็นญาติอยา่ งย่ิง ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๓. สงฺขารา ปรมา ทกุ ขฺ า ๓๓. นตถฺ ิ โลเก อนนฺทิโต สงั ขารทงั้ หลาย เป็นทกุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ ผไู้ มถ่ กู นินทา ไมม่ ใี นโลก ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๔. ทกุ ขฺ ํ เสติ ปราชิโต ๓๔. สโุ ข ป�ุ ฺสฺส อจุ ฺจโย ผพู้ ่ายแพ้ ยอ่ มนอนเป็นทกุ ข์ การส่งั สมบุญ เป็นสขุ ในโลก ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดเบด็ เตลด็ ๓๕. สมคคฺ านํ ตโป สโุ ข ๒๕. อาโรคฺยา ปรมา ลาภา ความพากเพียรของผมู้ ีความสามคั คี นาํ สขุ ความไมม่ ีโรค เป็นลาภอนั ประเสริฐ มาให้ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๖. ชฆิ จฉฺ า ปรมา โรคา ๓๖. สขุ า สงฆฺ สสฺ สามคฺคี ความหิว เป็นโรคอย่างยิ่ง ความสามคั คีของหม่คู ณะ นาํ สขุ มาให้ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ขุ.ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๓๗. นตฺถิ สนตฺ ิ ปรํ สขุ ํ ๔๔. โกธํ ฆตวฺ า น โสจติ
หน้า ๑๔ เรยี งความแกก้ ระท้ธู รรม ธรรมศกึ ษาตรี ฆ่าความโกรธเสียได้ ยอ่ มไม่เศรา้ โศก ความสขุ อนื่ ยง่ิ กวา่ ความสงบ ไม่มี ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๔๕. มาโกธสฺส วสํ คมิ อย่าลอุ าํ นาจ แก่ความโกรธ ๓๘. นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ นิพพาน เป็นสขุ อยา่ งยิง่ ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ชาตก ทกุ นิบาต (ข.ุ ชา.ทกุ .) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดปัญญา ๔๖. นตฺถิ ป�ฺา สมา อาภา ๓๙. ธีโร จ สขุ สวํ าโส การอย่รู ว่ มกบั นกั ปราชญ์ เป็นความสขุ แสงสว่าง เสมอดว้ ยปัญญา ไมม่ ี ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) หมวดกิเลส ๔๗. ป�ฺา โลกสมฺ ิ ปชโฺ ชโต ๔๐. นตถฺ ิ ตณหฺ า สมา นที ปัญญา เป็นแสงสว่างในโลก แมน่ าํ้ เสมอดว้ ยตณั หา ไมม่ ี (แม่นาํ้ ถงึ จะ ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ใหญ่ กไ็ มเ่ ท่าตณั หา) ๔๘. สสุ สฺ ูสํ ลภเต ป�ฺ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ฟังดว้ ยดี ย่อมไดป้ ัญญา ๔๑. นตถฺ ิ ราคสโม อคฺคิ ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ไฟเปรยี บเสมอดว้ ยราคะ ไม่มี สุภาษิตทมี่ าในคมั ภีรต์ ่างๆ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๔๙. อตตฺ า หิ อตฺตโน คติ ๔๐. นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ ตนแล เป็นคตขิ องตน ตาข่ายเสมอดว้ ยโมหะ ไมม่ ี ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๕๐. นตฺถิ อตตฺ สมํ เปมํ ๔๑. โลโก ธมมฺ านํ ปรปิ นโฺ ถ ความรกั (อยา่ งอนื่ )เสมอดว้ ย(ความรกั )ตนไม่มี ความโลภ เป็นอนั ตรายแก่ธรรมทงั้ หลาย ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ๕๑. อตตฺ านํ นาติวตฺเตยยฺ ๔๒. อจิ ฺฉา โลกสมฺ ิ ทชุ ฺชหา บุคคลไมค่ วรลมื ตน ความอยาก ละไดย้ ากในโลก ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ชาตก ตึสนบิ าต (ข.ุ ชา.ตสึ .) ทีม่ า: คมั ภรี ์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ๕๒. กลยฺ าณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ หมวดโกรธ ผทู้ าํ กรรมดี ย่อมไดร้ บั ผลดี ผทู้ าํ กรรมช่วั ย่อม ๔๓. โกธํ ฆตฺวา สขุ ํ เสติ ไดร้ บั ผลช่วั ฆ่าความโกรธเสียได้ ย่อมอยเู่ ป็นสขุ ทีม่ า: คมั ภรี ์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.)
เรยี งความแกก้ ระท้ธู รรม ธรรมศึกษาตรี หน้า ๑๕ ๕๓. กมฺมนุ า วตฺตตี โลโก ๖๑. ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี สตั วโ์ ลก ยอ่ มเป็นไปตามกรรม ธรรมแล ยอ่ มรกั ษาผปู้ ระพฤตธิ รรม ทีม่ า: คมั ภีร์มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปัณณาสก (ม.ม.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา (ข.ุ เถร.) ๕๔. นิสมฺม กรณํ เสยโฺ ย ๖๒. สงฺขารา สสฺสตา นตถฺ ิ บคุ คลใครค่ รวญดแี ลว้ จึงทาํ ดีกว่า สงั ขารท่เี ท่ียงแทย้ ่งั ยนื ไมม่ ี ทีม่ า:สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (ว.ว.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๕๕. จิตฺเต สงกฺ ลิ ิฏฺเ ทคุ ฺคติ ปาฏกิ งฺขา ๖๓. อนจิ ฺจา วต สงฺขารา เมือ่ จติ เศรา้ หมองแลว้ ทคุ ตเิ ป็นอนั หวงั ได้ สงั ขารทงั้ หลาย ไมเ่ ทีย่ งหนอ ทีม่ า: คมั ภีร์มชั ฌิมนกิ าย มูลปณั ณาสก (ม.มู) ทีม่ า: คมั ภีรท์ ฆี นิกาย มหาวรรค (ที.มหา.) ๕๖. จติ ฺเต อสงฺกิลฏิ ฺเ สคุ ติ ปาฏกิ งขฺ า ๖๔. อรติ โลกนาสิกา เมอื่ จติ ไม่เศรา้ หมองแลว้ สคุ ติเป็นอนั หวงั ได้ ความริษยา เป็นเหตทุ าํ ใหโ้ ลกฉิบหาย ทีม่ า: คมั ภีร์มชั ฌิมนิกาย มูลปัณณาสก (ม.มู) ทีม่ า:สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (ว.ว.) ๕๗. ชยํ เวรํ ปสวติ ๖๕. ยโส ลทธฺ า น มชฺเชยย ผชู้ นะ ย่อมกอ่ เวร บคุ คล ไดย้ ศแลว้ ไม่พงึ มวั เมา ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ชาตก จตกุ กนิกาย (ข.ุ ชา.จตกุ ก.) ๕๘. อกฺโกเธน ชิเน โกธํ ๖๖. ปาย มคฺคํ อลโส น วนิ ทฺ ติ พงึ ชนะคนโกรธ ดว้ ยความไมโ่ กรธ คนเกยี จครา้ น ย่อมไมพ่ บทางแหง่ ปัญญา ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๖๙. อสาธุ สาธุนา ชิเน ๖๗. สกมมฺ นุ า ห�ฺติ ปาปธมฺโม พงึ ชนะคนไมด่ ี ดว้ ยความดี คนมสี นั ดานช่วั ย่อมเดอื ดรอ้ น เพราะกรรม ของตน ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย เถรคาถา (ข.ุ เถร.) ๖๐. ชิเน กทริยํ ทาเนน พงึ ชนะคนตระหนี่ ดว้ ยการให้ ๗๘. วริ เิ ยน ทกุ ขฺ มจเฺ จติ คนจะล่วงทกุ ขไ์ ด้ เพราะความเพียร ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย สตุ ตนิบาต (ขุ.ส.ุ )
หน้า ๑๖ ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาชั้นตรี วิชา ธรรมวภิ าค ทกุ ะ คอื หมวด ๒ ธรรมมอี ปุ การะมาก ๒ อยา่ ง ๑. สติ ความระลึกได้ ๒. สมั ปชญั ญะ ความรูต้ วั สติ คือ เมอ่ื กอ่ นจะทาํ จะพดู จะคิด กม็ ีความนกึ ไดอ้ ย่เู สมอวา่ เมื่อทาํ หรือพดู หรอื คิดไปแลว้ จะมีผลเป็น เชน่ ไร จะดหี รอื ไมด่ ี มีประโยชนห์ รือไม่มี ถา้ คนมสี ติระลึกไดอ้ ยเู่ ชน่ นแี้ ลว้ จะทาํ จะพดู จะคดิ ก็ไมผ่ ิดพลาด สมั ปชัญญะ คือ ความรูต้ วั ในขณะเวลากาํ ลงั ทาํ หรอื พดู หรอื คิดเป็นเครอ่ื งสนบั สนนุ สตใิ หส้ าํ เร็จตาม ความตอ้ งการ สติและสมั ปชญั ญะนี้ ท่ีชอ่ื ว่าธรรมมีอปุ การะมาก เพราะถา้ มสี ตแิ ละสมั ปชญั ญะแลว้ กจิ การอย่างอนื่ ก็ สาํ เร็จไดโ้ ดยง่ายเพราะมสี ติและสมั ปชญั ญะคอยควบคมุ ประคบั ประคองไวเ้ หมือนหางเสือเรือทคี่ อยบงั คบั เรอื ให้ แลน่ ไปตามทางฉะนนั้ ธรรมเปน็ โลกบาล คอื คมุ้ ครองโลก ๒ อยา่ ง ๑. หิริ ความละอายแก่ใจ ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั หริ ิ คือ ความละอายตอ่ ใจตนเองเมอ่ื จะประพฤติทจุ รติ ต่อการทาํ บาป ทาํ ความช่วั ไมก่ ลา้ ทาํ ทงั้ ในท่ลี บั และทแ่ี จง้ เกลยี ดการทาํ ช่วั เหมือนคนชอบสะอาดไมอ่ ยากแตะตอ้ งของสกปรกฉะนน้ั โอตตปั ปะ คือ ความเกรงกลวั ตอ่ ผลของการทาํ ช่วั โดยคดิ ว่าคนทาํ ดไี ดด้ ีคนทาํ ช่วั ไดช้ ่วั กลวั ผลของกรรม นนั้ จะตามสนอง จงึ ไมก่ ลา้ ทาํ ความช่วั ทงั้ ในทแี่ จง้ และทีล่ บั หริ แิ ละโอตตปั ปะที่ชอื่ วา่ ธรรมคมุ้ ครองโลกนนั้ เพราะถา้ มนษุ ยท์ กุ คนมธี รรม ๒ ขอ้ นีแ้ ลว้ โลกก็จะมแี ต่ ความสงบสขุ ไมม่ ีเบยี ดเบยี นกนั และกนั ปราศจากความระแวงสงสยั ต่าง ๆ ดงั นนั้ จึงไดช้ อ่ื วา่ ธรรมคมุ้ ครองโลก ธรรมอันทำใหง้ าม ๒ อยา่ ง ๑. ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงี่ยม ขันติ มี ๓ คอื ๑. อดทนต่อความลาํ บาก ไดแ้ ก่ ทนตอ่ การถกู ทรมานรา่ งกาย เช่น ทาํ โทษทบุ ตตี ่าง ๆ พรอ้ มทงั้ อดทน ตอ่ ความเจบ็ ไข้
ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาชนั้ ตรี หน้า ๑๗ ๒. อดทนต่อการตรากตราํ ไดแ้ ก่ ทนทาํ งานอยา่ งไม่คิดถงึ ความลาํ บาก ทงั้ ทนตอ่ สภาพดินฟา้ อากาศ มี หนาวลมรอ้ นแดดเป็นตน้ ๓. อดทนต่อความเจบ็ ไข้ ไดแ้ ก่ ทนต่อคาํ กลา่ วดถู กู เหยียดหยามหรอื พดู ประชดใหเ้ จ็บใจ โสรัจจะ คือความเสงี่ยมเรยี บรอ้ ย ไมแ่ สดงความในใจออกมาใหผ้ อู้ ่ืนรูเ้ ห็น ในเมอ่ื เขาพดู ดถู กู เหยยี ด หยาม หรอื ไม่แสดงอาการการดีอกดใี จจนเกนิ ไปในเม่ือไดร้ บั คาํ ยกยอสรรเสริญ บคุ คลหาไดย้ าก ๒ อยา่ ง ๑. บุพพการี บคุ คลผทู้ าํ อปุ การะกอ่ น ๒. กตญั �กู ตเวที บุคคลผรู้ ูอ้ ปุ การะท่ีท่านทาํ แลว้ และตอบแทน บพุ พการี ไดแ้ ก่ ผทู้ ม่ี ีพระคณุ มากอ่ นไดท้ าํ ประโยชนแ์ ก่เรามากอ่ น จาํ แนกออกเป็น ๔ ประเภท คอื พระพทุ ธเจา้ พระมหากษัตรยิ ์ พระอปุ ัชฌายอ์ าจารย์ และบดิ ามารดา กตัญ�กู ตเวที ไดแ้ ก่ ผทู้ ่ีไดร้ บั อปุ การะจากทา่ นเหลา่ นนั้ แลว้ และพยายามทาํ อปุ การะคณุ ตอบแทนทา่ น จาํ แนกออกเป็น ๔ ประเภทเช่นเดียวกนั คือ พทุ ธบรษิ ทั ราษฎร สทั ธิวิหารกิ และบุตรธิดา คนทงั้ ๒ ประเภทนไี้ ดช้ ่อื วา่ บุคคลทหี่ าไดย้ าก เพราะโดยปกติแลว้ มนษุ ยท์ กุ คนจะมคี วามเหน็ แกต่ วั ผู้ ท่ีจะเสียสละหรือทาํ ตนใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ น่ื โดยไม่หวงั ผลตอบแทน และผทู้ ่ีจะทาํ ตอบแทนท่านผทู้ ่มี ีอปุ การะ มากอ่ นก็หาไดแ้ สนยาก เพราะฉะนน้ั บุคคลทงั้ สองประเภทนจี้ งึ ไดช้ อื่ วา่ “บคุ คลหาไดย้ าก” ติกะ คือ หมวด ๓ รตั นะ ๓ อยา่ ง ๑. พระพทุ ธ ๒. พระธรรม ๓. พระสงฆ์ ๑. ท่านผสู้ อนใหป้ ระชมุ ชนประพฤติชอบดว้ ย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั ทีพ่ ระทา่ นเรียกวา่ พระพทุ ธศาสนา ช่อื ว่า พระพุทธเจ้า ๒. พระธรรมวินยั ทเ่ี ป็นคาํ ส่งั สอนของท่านช่ือว่า พระธรรม ๓. หมชู่ นทีฟ่ ังคาํ ส่งั สอนของทา่ นแลว้ ปฏิบตั ชิ อบตามพระธรรมวินยั ชอื่ วา่ พระสงฆ์ พระพทุ ธพระธรรมพระสงฆน์ เี้ รียกว่า ”รตั นะ” เพราะเป็นแกว้ อนั ประเสรฐิ หาคา่ มิได้ ทาํ ใหช้ นผเู้ ล่ือมใส เกดิ ความยนิ ดีมีความสงบ ไม่เบยี ดเบยี นกนั และกนั จะหาทรพั ยอ์ ่ืนเสมอเหมือนไม่มี ประเสรฐิ กว่าแกว้ แหวนเงนิ ทองเพชรนลิ จนิ ดาทงั้ ปวงจงึ รวมเรยี กวา่ “พระรตั นตรยั “ คุณของรตั นะ ๓ อย่าง - พระพทุ ธเจา้ รูด้ ีรูช้ อบดว้ ยพระองคเ์ องก่อนแลว้ สอนผอู้ ่นื ใหร้ ูต้ ามดว้ ย - พระธรรมย่อมรกั ษาผปู้ ฏบิ ตั ิไม่ใหต้ กไปช่วั
หนา้ ๑๘ ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาช้ันตรี - พระสงฆป์ ฏบิ ตั ชิ อบตามคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ สอนผอู้ ื่นใหร้ ูต้ ามดว้ ย อาการทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เจา้ ทรงสง่ั สอน ๓ อยา่ ง ๑. ทรงส่งั สอน เพอ่ื จะใหผ้ ฟู้ ังรูย้ ิ่งเห็นในธรรมท่ีควรรูค้ วรเหน็ ๒. ทรงส่งั สอนมีเหตทุ ่ีผฟู้ ังอาจตรองตามใหเ้ หน็ จริงได้ ๓. ทรงส่งั สอนเป็นอศั จรรย์ คอื ผปู้ ฏิบตั ิตามยอ่ มไดป้ ระโยชน์ โดยสมควรแก่ความปฏบิ ตั ิ โอวาทของพระพทุ ธเจา้ ๓ อยา่ ง ๑. เวน้ จากทจุ ริต คอื ประพฤติช่วั ดว้ ยกาย วาจา ใจ. ๒. ประกอบสจุ ริต คอื ประพฤติชอบ ดว้ ยกาย วาจา ใจ. ๓. ทาํ ใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่อื งเศรา้ หมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นตน้ ทุจรติ ๓ อยา่ ง ๑. ประพฤตชิ ่วั ดว้ ยกาย เรยี กกายทุจรติ ๒. ประพฤตชิ ่วั ดว้ ยวาจา เรียกวจที จุ รติ ๓. ประพฤติช่วั ดว้ ย ใจ เรียกมโนทุจรติ กายทจุ รติ ๓ อยา่ ง ๒. ลกั ฉอ้ ๑. ฆ่าสตั ว์ ๓. ประพฤตผิ ิดในกาม วจีทจุ ริต ๔ อยา่ ง ๑. พดู เท็จ ๒. พดู ส่อเสียด ๓. พดู คาํ หยาบ ๔. พดู เพอ้ เจอ้ มโนทจุ ริต ๓ อยา่ ง ๑.โลภอยากไดข้ องเขา ๒. พยาบาทปองรา้ ยเขา ๓. เห็นผดิ จากคลองธรรม ทจุ รติ ๓ อยา่ งนี้ เป็นกิจไมค่ วรทาํ ควรละเสยี สจุ รติ ๓ อยา่ ง ๑. ประพฤติชอบดว้ ยกาย เรียกกายสุจรติ ๒. ประพฤติชอบดว้ ยวาจา เรยี กวจสี จุ ริต ๓. ประพฤตชิ อบดว้ ยใจ เรยี กมโนสุจรติ กายสจุ รติ ๓ อยา่ ง ๓. เวน้ จากประพฤติผิดในกาม ๑. เวน้ จากฆา่ สตั ว์ ๒.เวน้ จากลกั ฉอ้ วจีสจุ รติ ๔ อย่าง ๑. เวน้ จากพดู เทจ็ ๒. เวน้ จากพดู สอ่ เสยี ด ๓. เวน้ จากพดู คาํ หยาบ ๔. เวน้ จากพดู เพอ้ เจอ้ มโนสจุ รติ ๓ อย่าง
ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี หน้า ๑๙ ๑. ไม่โลภอยากไดข้ องเขา ๒. ไมพ่ ยาบาทปองรา้ ยเขา ๓. เหน็ ชอบตามคลองธรรม สจุ ริต ๓ อยา่ งนี้ เป็นกจิ ควรทาํ ควรประพฤติ. อกศุ ลมลู ๓ อยา่ ง รากเงา่ ของอกศุ ล เรียกอกศุ ลมลู มี ๓ อยา่ ง ๑. โลภะ อยากได้ ๒. โทสะ คดิ ประทษุ รา้ ยเขา ๓. โมหะ หลงไม่รูจ้ ริง เม่ืออกุศลมลู เหล่านี้ คอื โลภะ โทสะ โมหะ ก็ดี มีอยู่ แลว้ อกศุ ลอน่ื ท่ยี งั ไมเ่ กิดกเ็ กิดขนึ้ ท่ีเกดิ แลว้ กเ็ จรญิ มากขึน้ เหตนุ น้ั ควรละเสยี เม่อื ความโลภเกดิ ขึน้ แก่ผใู้ ดกจ็ ะทาํ ใหผ้ ูน้ น้ั ทาํ ทุจริตต่าง ๆ ไดเ้ ชน่ ฉกชิงว่ิงราว หรอื ปลน้ สะดมเป็นตน้ เม่อื มีโทสะกจ็ ะทาํ ใหผ้ นู้ นั้ เป็นคนดรุ า้ ยขาดเมตตา ไมพ่ อใจตอ่ ผใู้ ดกม็ ่งุ แต่จะลา้ งผลาญเขาจึงเป็นเหตใุ หก้ ่อเวรแก่ กนั และกนั เม่ือมโี มหะกจ็ ะทาํ ใหผ้ นู้ น้ั มดื มนไม่รูจ้ กั สิ่งทคี่ วรไม่ควรสงิ่ ท่ีผิด หรอื ชอบ เม่ือจะทาํ กจิ การใด ๆ กจ็ ะทาํ ไปตามความพอใจของตน อาจจะเป็นเหตใุ หม้ โี ทษมาถึงตวั ก็ไดเ้ พราะ ความโงเ่ ขลาของกตญั �ตุ า น่นั เองฉะ นนั้ ทา่ นจึงกลา่ ววา่ โลภะ โทสะ โมหะเหลา่ นเี้ ป็นรากเงา่ ของอกุศล กศุ ลมลู ๓ อยา่ ง รากเง่าของกศุ ล เรยี ก กุศลมลู มี ๓ อย่าง คอื ๑. อโลภะ ไมอ่ ยากได้ ๒. อโทสะ ไมค่ ิดประทษุ รา้ ยเขา ๓. อโมหะ ไมห่ ลง ถา้ กศุ ลมลู เหลา่ นี้ คอื อโลภะ อโทสะ อโมหะ กด็ ี มีอย่แู ลว้ กุศลอื่นทย่ี งั ไม่เกดิ ก็เกิดขนึ้ ที่เกิดแลว้ ก็เจริญ มากขึน้ เหตนุ นั้ ควรใหเ้ กดิ มีในสนั ดาน สปั ปรุ สิ บญั ญตั ิ คอื ขอ้ ทที่ า่ นสตั บรุ ษุ ตงั้ ไว้ ๓ อยา่ ง ๑. ทาน สละสิง่ ของ ๆ ตนเพื่อนเป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ น่ื ๒. ปัพพัชชา ถอื บวช เป็นอบุ ายเวน้ จากเบยี ดเบียนกนั และกนั ๓. มาตาปิ ตุอปุ ัฏฐาน ปฏบิ ตั ิมารดาบดิ าของตนใหเ้ ป็นสุข ทานคอื การใหส้ ิง่ ของต่าง ๆ ของตนเองแก่ผอู้ นื่ ดว้ ยความพอใจที่ จะใหจ้ งึ เรยี กวา่ ทานท่านจาํ แนก ออกเป็น ๒ อย่าง คอื อามสิ ทาน คอื การใหว้ ตั ถสุ ิง่ ของต่าง ๆ เป็นตน้ และธรรมทานคอื การบอกกลา่ ว ส่งั สอน ชแี้ จงใหค้ นอ่ืนรูบ้ าปบญุ คณุ โทษ จนถึงประโยชนส์ งู สดุ คือพระนิพพาน ปัพพัชชา คอื การงดเวน้ หมายถึงการงดเวน้ จากการเบยี ดเบียนซงึ่ กนั และกนั การปฏิบตั มิ ารดาบดิ า คอื การบาํ รุงทา่ นใหไ้ ดร้ บั ความสขุ เลยี้ งดเู อาใจใส่ท่านเมื่อคราวเจ็บไข้ ใหข้ องใช้ สอยต่าง ๆ และประพฤตติ ามคาํ สอนของทา่ น ใหส้ มกบั ท่ที ่านเลยี้ งดเู รามาตงั้ แตเ่ ล็ก
หน้า ๒๐ ธรรมวิภาค ธรรมศึกษาชัน้ ตรี อปณั ณกปฏปิ ทา คอื ปฏบิ ตั ไิ มผ่ ดิ ๓ อยา่ ง ๑. อินทรียสงั วร สาํ รวมอนิ ทรีย์ ๖ คอื ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไม่ใหย้ นิ ดียนิ รา้ ยในเวลาเห็นรูป ฟังเสยี ง ดม กลนิ่ ลิม้ รส ถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ รูธ้ รรมารมณด์ ว้ ยใจ ๒. โภชเน มตั ตญั �ตุ า รูจ้ กั ประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร ไม่มากไมน่ อ้ ย. ๓. ชาคริยานโุ ยค ประกอบความเพียรเพอื่ จะชาํ ระใจใหห้ มดจด ไมเ่ หน็ แก่นอนมากนกั สาํ รวมอินทรยี ์ ๖ คือ ระวงั ตาหจู มกู ลิน้ กายใจไม่ใหย้ ินดยี นิ รา้ ยกบั อารมณท์ ่ีมากระทบเขา้ คอื เมื่อตาเหน็ รูปสวยนา่ พอใจกร็ ะวงั ใจไม่ใหเ้ กิดความยินดีหรือเห็นรูปท่ไี มพ่ อใจกร็ ะวงั ไมใ่ หเ้ กิดความยนิ รา้ ยขนึ้ เป็นตน้ รูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคอาหารนนั้ คอื ไม่บรโิ ภคสนองความอยาก ตอ้ งบริโภคแต่พอประมาณไมม่ าก หรือนอ้ ยจนเกินไปและใหม้ สี ติอย่เู สมอว่า เราบรโิ ภคเพ่อื ใหอ้ ตั ภาพเป็นไปไดว้ นั ๆ หนึ่งเทา่ นน้ั เวน้ ของบดู เน่าเสีย พรอ้ มทงั้ บริโภคใหถ้ กู ตอ้ งตามกาลเวลา ประกอบความเพยี รของผตู้ ่ืนอยนู่ น้ั คอื ผทู้ ี่จะชาํ ระจิตใจของตนใหห้ มดจดจากกเิ ลสทงั้ ปวง ตอ้ งเป็นผทู้ ีไ่ ม่ เห็นแก่นอนเมือ่ นอนกต็ งั้ ใจไวเ้ สมอวา่ จะลกุ ขนึ้ ทาํ ความเพยี รต่อ บุญกริ ยิ าวตั ถุ ๓ อยา่ ง ส่ิงเป็นท่ตี งั้ แห่งการบาํ เพญ็ บุญ เรียกบุญกิรยิ าวตั ถุ โดยย่อมี ๓ อยา่ ง ๑. ทานมยั บุญสาํ เรจ็ ดว้ ยการบริจาคทาน ๒. สีลมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการรกั ษาศลี ๓. ภาวนามยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการเจริญภาวนา คาํ วา่ บญุ คอื ความดที ่ชี าํ ระจิตใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์บุคคลจะสามารถเจริญบญุ นไี้ ด้ ๓ ทางดว้ ยกนั คอื ดว้ ยการ บริจาคทาน รกั ษาศลี และเจริญภาวนา การรกั ษาศีลคือ ระเบียบขอ้ ฝึกหดั กายวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ยจาํ แนกออกเป็น ๓ อยา่ ง คอื ศีล ๕ สาํ หรบั คฤหสั ถท์ ่วั ไปเรียกว่าจลุ ศีล ศีล ๘ สาํ หรบั อบุ าสกอบุ าสิกา และศีล ๑๐ สาํ หรบั สามเณร เรียกว่า มชั ฌิมศลี ศลี ๒๒๗ สาํ หรบั พระภิกษุ เรยี กว่ามหาศลี ภาวนา คือการทาํ ใจยงั กุศลใหเ้ กิดขนึ้ ทีม่ ีอย่แู ลว้ กเ็ จริญใหม้ ากขึน้ ภาวนามีอยู่ ๒ อยา่ ง คอื สมถ ภาวนา อบุ ายทาํ จติ ใหส้ งบจากนิวรณท์ งั้ ๕ เป็นตน้ และวิปัสสนาภาวนา การเจรญิ ปัญญาใหเ้ ห็นแจง้ ซ่ึงไตร ลกั ษณค์ ือ ความไม่เทีย่ งเป็นทกุ ขเ์ ป็นอนตั ตา. สามญั ลกั ษณะ ๓ อยา่ ง ลกั ษณะท่เี สมอกนั แกส่ งั ขารท◌ั◌ง้ ปวง เรยี กสามญั ลกั ษณะ ไตรลกั ษณะกเ็ รยี ก แจกเป็น ๓ อยา่ ง ๑. อนจิ จตา ความเป็นของไมเ่ ที่ยง ๒. ทกุ ขตา ความเป็นทกุ ข์ ( ไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ ) ๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใชต่ น
ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาชั้นตรี หนา้ ๒๑ สามญั ลกั ษณะทงั้ ๓ นี้ เรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ ไตรลักษณ์ ทไ่ี ดช้ ื่อวา่ สามญั ลกั ษณะกเ็ พราะสงั ขารทงั้ ปวง จะตอ้ งเป็นไปในลกั ษณะเดียวกนั หมดไม่ลว่ งพน้ จากลกั ษณะทงั้ ๓ อย่างนีไ้ ปไดส้ งั ขารในท่ีนที้ ่านหมายเอาทงั้ ส่งิ ทีม่ ีชวี ติ และไม่มชี วี ิต เพราะความไมเ่ ทีย่ งนนั้ ทกุ สิ่งมีความเกดิ ขนึ้ แลว้ กเ็ ปลยี่ นแปลงไปตามสภาวะในทีส่ ดุ ก็แตกดบั สลายไป หาความเทยี่ งแทถ้ าวรมไิ ดเ้ ลย ทีช่ อ่ื ว่าความเป็นทกุ ข์ กเ็ พราะจะตอ้ งบาํ รุงรกั ษาอย่ตู ลอดไปเชน่ เจ็บไขไ้ ดป้ ่วยเป็นตน้ รวมไปถงึ ความ เศรา้ โศกเสียใจความราํ ไรราํ พนั ต่าง ๆ ทช่ี ่อื วา่ ไมใ่ ช่ตนก็เพราะวา่ สภาวะของสงั ขารทกุ อยา่ งไมส่ ามารถจะตงั้ อยใู่ นสภาวะเดิมไดเ้ ป็นนริ นั ดร จะตอ้ งแตกสลายสญู หายไปตามกาลเวลา. จตกุ กะ คือ หมวด ๔ วฒุ ิ คอื ธรรมเปน็ เครื่องเจรญิ ๔ อยา่ ง ๑. สปั ปรุ สิ สงั เสวะ คบท่านผปู้ ระพฤตชิ อบดว้ ยกายวาจาใจท่เี รยี กว่าสตั บรุ ุษ. ๒. สทั ธมั มั สสวนะ ฟังคาํ สอนของท่านโดยเคารพ. ๓. โยนโิ สมนสกิ าร ตริตรองใหร้ ูจ้ กั ส่งิ ทด่ี ีหรอื ช่วั โดยอบุ ายท่ชี อบ. ๔. ธมั มานุธัมมปฏปิ ัตติ ประพฤติธรรมสมควรแกธ่ รรมซึ่งไดต้ รองเหน็ แลว้ จกั ร ๔ ๑. ปฏริ ูปเทสวาสะ อย่ใู นประเทศอนั สมควร ๒. สัปปรุ สิ ปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ตงั้ ตนไวช้ อบ ๔. ปพุ เพกตปญุ ญตา ความเป็นผไู้ ดท้ าํ ความดีไวใ้ นปางกอ่ น ประเทศอนั สมควรนน้ั คอื ประเทศทมี่ สี ตั บรุ ุษอาศยั อย่มู ีบริษทั ๔ คอื ภกิ ษุ ภกิ ษุณอี บุ าสกอบุ าสิกาอยู่ มกี ารบรจิ าคทานหรือคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ยงั รุง่ เรืองอยู่ การคบหาสตั บุรุษนน้ั คือการคบหาทา่ นผูเ้ ป็นสมั มาทฏิ ฐิประพฤติชอบดว้ ยกายวาจาใจและสามารถ แนะนาํ ผอู้ ื่นใหต้ งั้ อยใู่ นความดไี ดเ้ ชน่ พระพทุ ธเจา้ เป็นตน้ การตงั้ ตนไวช้ อบนน้ั คอื บคุ คลผไู้ มม่ ศี ีลกท็ าํ ตนใหต้ งั้ อย่ใู นศีล ไมม่ ีศรทั ธาก็ทาํ ตนใหม้ ศี รทั ธา ผมู้ คี วาม ตระหน่ีกท็ าํ ตนใหเ้ ป็นคนถงึ พรอ้ มดว้ ยการบริจาค
หนา้ ๒๒ ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี ความเป็นผไู้ ดท้ าํ บญุ ไวใ้ นปางก่อน คอื ผทู้ ี่ไดส้ ่งั สมกุศลกรรมไวม้ ากในปางก่อนโดยทาํ ปรารภถึง พระพทุ ธเจา้ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ และพระขีณาสพ จงึ เป็นเหตใุ หน้ าํ ตนมาเกดิ ในทอ่ี นั สมควรไดค้ บหากบั สตั บุรุษ และไดต้ งั้ ตนไวช้ อบเพราะกศุ ลท่ีไดส้ รา้ งไวใ้ นกาลกอ่ นนี้ ธรรม ๔ อยา่ งนี้ ดจุ ลอ้ รถนาํ ไปสคู่ วามเจริญ. อคติ ๔ ๑. ลาํ เอียงเพราะรกั ใครก่ นั เรียกฉนั ทาคติ ๒. ลาํ เอยี งเพราะไมช่ อบกนั เรยี กโทสาคติ ๓. ลาํ เอยี งเพราะเขลา เรียกโมหาคติ ๔. ลาํ เอยี งเพราะกลวั เรียกภยาคติ อคติ ๔ ประการนี้ ไมค่ วรประพฤติ อันตรายของภกิ ษสุ ามเณรผบู้ วชใหม่ ๔ อยา่ ง ๑. อดทนตอ่ คาํ สอนไม่ได้ คอื เบอื่ ตอ่ คาํ ส่งั สอนขีเ้ กยี จทาํ ตาม ๒. เป็นคนเหน็ แกป่ ากแกท่ อ้ ง ทนความอดอยากไมไ่ ด้ ๓.เพลิดเพลินในกามคณุ ทะยานอยากไดส้ ขุ ยงิ่ ๆ ขึน้ ไป ๔. รกั ผหู้ ญิง ภกิ ษุสามาเณรผหู้ วงั ความเจริญแก่ตน ควรระวงั อย่าใหอ้ นั ตราย ๔ อยา่ งนีย้ ่าํ ยไี ด้ ปธาน คอื ความเพยี ร ๔ อยา่ ง ๑. สงั วรปธาน เพียรระวงั ไมใ่ หบ้ าปเกดิ ขึน้ ในสนั ดาน ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปทเ่ี กดิ ขึน้ แลว้ ๓. ภาวนาปธาน เพียรใหก้ ศุ ลเกดิ ขนึ้ ในสนั ดาน ๔. อนุรกั ขนาปธาน เพยี รรกั ษากุศลทเ่ี กิดขนึ้ แลว้ ไมใ่ หเ้ สื่อม ความเพยี ร ๔ อยา่ งนี้ เป็นความเพียรชอบควรประกอบใหม้ ใี นตน สงั วรปธาน ไดแ้ ก่เพียรระวงั ตาหจู มกู ลนิ้ กายใจไม่ใหเ้ กดิ ความยินดียินรา้ ยขึน้ ในเมอื่ ตาเห็นรูปเป็นตน้ เพราะเม่อื ไมร่ ะวงั แลว้ จะเป็นเหตใุ หอ้ กศุ ลเกดิ ขึน้ ครอบงาํ ใจได้ ปหานปธาน ไดแ้ กเ่ พียรละความช่วั คือ กามวติ ก พยาบาทวิตกและวหิ ิงสาวิตกท่เี กดิ ขนึ้ กบั ใจเสีย ภาวนาปธาน ไดแ้ ก่เพียรทาํ กศุ ลใหเ้ กดิ ขึน้ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนาดว้ ยความมีสติมีความเพียรเป็นตน้ อนุรักขปธาน ไดแ้ ก่เพยี รรกั ษาสมาธิหรอื กุศลอนั ตนเจริญใหเ้ กิดขึน้ แลว้ ไมใ่ หเ้ สื่อมไป
ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาช้ันตรี หน้า ๒๓ อธษิ ฐานธรรม คอื ธรรมทค่ี วรตง้ั ไวใ้ นใจ ๔ อยา่ ง ๑. ปัญญา รอบรูส้ ง่ิ ทคี่ วรรู้ ๒. สจั จะ ความจริงใจ คือประพฤตสิ ิ่งใดกใ็ หไ้ ดจ้ รงิ ๓. จาคะ สละสง่ิ ทเ่ี ป็นขา้ ศกึ แก่ความจรงิ ใจ ๔. อปุ สมะ สงบใจจากส่ิงเป็นขา้ ศกึ ษาแกค่ วามสงบ ธรรมชาติทร่ี ูจ้ ริงรูช้ ดั ทราบเหตผุ ลความดี ความช่วั อยา่ งถ่ถี ว้ นชอ่ื วา่ ปัญญา แบ่งออกเป็น ๒ คือโลกยิ ปัญญา ปัญญาของโลกยิ ชน และโลกกุตตรปัญญา ปัญญาของพระอริยบุคคลความจรงิ ความสตั ยท์ บ่ี ุคคลตงั้ ไว้ จะทาํ ส่ิงใด ก็ตงั้ ใจทาํ สงิ่ นน้ั ใหส้ าํ เรจ็ ไม่ทอ้ ถอย ต่ออปุ สรรคใดๆทงั้ ทางโลกและทางธรรมชื่อวา่ สจั จะ. สิง่ ทีเ่ ป็นขา้ ศกึ ตอ่ ความจริงใจนน้ั กล่าวโดยท่วั ๆ ไปไดแ้ ก่ อปุ สรรคความขดั ขอ้ งอนั เป็นเหตขุ ดั ขวางแก่ การทาํ ความจริงเชน่ ความเกยี จครา้ นหรือเจบ็ ไขเ้ ป็นตน้ แต่ในที่นีท้ า่ นหมายเอากิเลสบางจาํ พวก ทท่ี าํ ใหจ้ ิตใจ เศรา้ หมองกระวนกระวายไม่สงบเชน่ โลภะ โทสะ โมหะหรือนิวรณ์ ๕ เป็นตน้ การละอปุ สรรคเหล่านีเ้ สยี ไดช้ อ่ื วา่ จาคะ การละโมหะ และกเิ ลสอนั เป็นฝ่ายตา่ํ ซง่ึ เป็นขา้ ศึกแก่ความจรงิ หรอื ระงบั ใจจากอารมณท์ ี่มากระทบเขา้ จดั เป็นอปุ สมะ. อิทธบิ าท คือคณุ เครอ่ื งใหส้ ำเรจ็ ความประสงค์ ๔ อยา่ ง ๑. ะ พอใจรกั ใครใ่ นสง่ิ นัน้ ๒. วริ ยิ ะ เพยี รประกอบสิง่ นน้ั ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในส่งิ นนั้ ไมว่ างธุระ ๔. วมิ งั สา หม่นั ตรติ รองพจิ ารณาเหตผุ ลในสง่ิ น้นั ความพอใจรกั ใครใ่ นส่ิง นน้ั คือ การที่บุคคลจะประกอบการงานอยา่ งใดอย่างหน่ึงใหส้ าํ เรจ็ ตอ้ งมีความ พอใจในการงานส่ิงนน้ั เสยี ก่อนตอ่ ไปจึงมคี วามเพยี รพยายามทาํ การงานอนั นนั้ อย่เู สมอเพื่อใหส้ าํ เรจ็ ตามความ ตอ้ งการไมเ่ ห็นแกค่ วามเหน่ือยยากลาํ บากคอยเอาใจใสด่ แู ลขวนขวายในการงานนนั้ และใชป้ ัญญาพิจารณาซาํ้ อกี วา่ การงานนน้ั มีผลดีผลรา้ ยอยา่ งไรเมือ่ บุคคลมีคณุ ธรรม ๔ อยา่ งนสี้ มบูรณแ์ ลว้ กจ็ ะใหส้ าํ เร็จการงานท่ตี น ประสงคไ์ ม่ยากนกั . คณุ ๔ อยา่ งนี้ มบี รบิ รู ณแ์ ลว้ อาจชกั นาํ บุคคลใหถ้ งึ สงิ่ ทีต่ อ้ งประสงคซ์ ึ่งไมเ่ หลือวิสยั ควรทำความไมป่ ระมาทในท่ี ๔ สถาน ๑. ในการละกายทจุ ริต ประพฤติกายสจุ รติ ๒. ในการละวจีทจุ ริต ประพฤติวจีสจุ ริต ๓. ในการละมโนทจุ ริต ประพฤติมโนสจุ รติ ๔. ในการละความเหน็ ผดิ ทาํ ความเห็นใหถ้ กู
หน้า ๒๔ ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี อีกอยา่ งหนง่ึ ๑. ระวงั ใจไมใ่ หก้ าํ หนดั ในอารมณเ์ ป็นทต่ี งั้ แหง่ ความกาํ หนดั ๒. ระวงั ใจไม่ใหข้ อ้ งเก่ยี วในอารมณเ์ ป็นทีต่ งั้ แห่งความขดั เคอื ง ๓. ระวงั ใจไม่ใหห้ ลงในอารมณเ์ ป็นทตี่ งั้ แหง่ ความหลง ๔. ระวงั ใจไมใ่ หม้ วั เมาในอามรณเ์ ป็นท่ตี งั้ แห่งการมวั เมา ธรรม ๒ หมวดนี้ มีใจความชดั เจนอย่ใู นตวั เองเพียงพอแลว้ ปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ พรหมจรรยส์ ะอาดหมดจด บาํ เพ็ญศีลพรตเครง่ ครดั ไมเ่ ป็นท่ีรงั เกียจและติเตยี น บางท่ีเรียกว่า ศลี เพราะ ศีล ๔ นี้ เหมือนแกน่ แหง่ ธรรมวนิ ยั อนั สมบรู ณส์ าํ หรบั สมณเพศ ๑. ปาติโมกขสังวรศีล ประพฤติสาํ รวมตามสิกขาบทวนิ ยั และสงั ฆกรรม ไมล่ ะเมดิ ขอ้ หา้ มของภกิ ขุ ๒. อินทรียส์ ังวรศลี สาํ รวมอนิ ทรีย์ ๖ คอื ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไม่ใหย้ ินดยี นิ รา้ ย ในเวลาเห็นรูป ฟัง เสียง ดมกลนิ่ ลมิ้ รส ถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ รูธ้ รรมารมณด์ ว้ ยใจ. ๓. อาชวี ปารสิ ุทธศิ ลี เลยี้ งชีวติ โดยทางท่ชี อบไมห่ ลอกลวงเขาเลีย้ งชีวติ ๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พจิ ารณาเสียกอ่ นจึงปริโภคปัจจยั ๔ คอื เครอื่ งนงุ่ ห่ม อาหาร ที่อยอู่ าศยั และ เภสชั ยาคือรกั ษาโรค ไม่บริโภคดว้ ยตณั หาดว้ ยความมวั เมา การไมป่ ระพฤตลิ ่วงพระวินยั บญั ญตั ทิ ่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ไิ วต้ งั้ แตป่ าราชิกถงึ เสขยิ วตั รและไม่ ประพฤตลิ ่วงขนบธรรมเนยี มธรรมคือความประพฤตขิ องภกิ ษุซงึ่ เรียกวา่ อภสิ มาจารจดั เป็นปาฏิโมกขสงั วร การคอยสาํ รวมระวงั ไมใ่ หเ้ กดิ ความยนิ ดียินรา้ ยในเมอื่ รูปเสยี งกลิ่นรสโผฏฐัพพะและธรรมมารมณม์ า กระทบทางตาหจู มกู ลิน้ กายใจจดั เป็นอินทรยี ส์ งั วร การเลีย้ งชีพชอบนีห้ มายเอาการงานที่ทาํ โดยสจุ ริตไม่เบียดเบยี นคนอ่ืน ทาํ ใหเ้ ขาเดอื ดรอ้ นหรือลอกลวง เขาเลีย้ งชพี อนั ผดิ ตอ่ ธรรมวนิ ยั การงดเวน้ จากกรรมทจุ รติ เชน่ นีจ้ ดั เป็นอาชีวปารสิ ทุ ธิศีล การบริโภคปัจจยั ๔ คอื เสอื้ ผา้ (จีวร) อาหารที่อย่อู าศยั และยารกั ษาโรคพงึ นกึ พจิ ารณาก่อนว่าเราบรโิ ภค ปัจจยั ๔ เพียงเพ่ือบาํ บดั อนั ตรายต่าง ๆ ท่จี ะเกดิ ขนึ้ เชน่ หนาวรอ้ ยแดดฝนเป็นตน้ จดั เป็นปัจจยั ปัจจเวกขณะ ที่จดั ธรรม ๔ อยา่ งนเี้ ป็นอาชีวปารสิ ทุ ธิศีลเพราะถา้ บุคคลประพฤตติ ามธรรมหมวดนีแ้ ลว้ กเ็ ป็นเคร่ืองทาํ ศลี ใหบ้ ริสุทธิ์ อารกั ขกมั มฏั ฐาน ๑. พทุ ธานุสสติ ระลึกถึงคณุ พระพทุ ธเจา้ ท่ีมีในพระองคแ์ ละทรงเกือ้ กูลผอู้ ืน่ ๒. เมตตา แผไ่ มตรจี ติ คิดจะใหส้ ตั วท์ งั้ ปวงเป็นสขุ ท่วั หนา้ . ๓. อสุภะ พจิ ารณารา่ งกายตนและผอู้ ืน่ ใหเ้ หน็ เป็นไม่งาม เป็นสง่ิ สกปรกของสว่ นประกอบต่างๆใน รา่ งกาย ๔. มรณสั สติ นกึ ถึงความตายอนั จะมีแกต่ น
ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาช้ันตรี หน้า ๒๕ การระลึกถึงพระคณุ ๓ อยา่ งของพระพทุ ธเจา้ คอื พระปัญญาคณุ พระบรสิ ทุ ธิคณุ และพระมหา กรุณาธิคณุ ท่ีพระองคท์ รงมีเมตตาเกอื้ กลู ตอ่ โลกเรยี กวา่ พทุ ธานสุ สติ การแผ่เมตตาจติ ที่ไมม่ เี วรไมม่ ีพยาบาท ปรารถนาใหค้ นอื่นเป็นสขุ ท่วั หนา้ กนั โดยปราศจากราคะไปใน สตั วท์ งั้ ปวงเรยี กว่าเมตตา การแผเ่ มตตานีม้ ี ๒ อยา่ ง คอื แผไ่ ปโดยเจาะจง และแผ่ไปโดยไม่เจาะจง การพจิ ารณารา่ งกายโดยละเอียดแยกออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น ผมขนเลบ็ ฟันเป็นตน้ ใหเ้ ห็นวา่ เป็นของไม่ สวยงามไม่สะอาดนา่ รงั เกียจ เป็นของปฏิกลู มกี ลน่ิ เหมน็ เป็นตน้ เรยี กวา่ อสุภะ การระลึกถงึ ความตายอย่เู สมอ ๆ วา่ เราจะตอ้ งตายแน่ ๆ ไม่วนั ใดกว็ นั หน่ึงดงั นี้ อนั เป็นเหตใุ หเ้ ป็นผไู้ ม่ ประมาทใหไ้ ดร้ บี ทาํ กุศลไวก้ อ่ นตาย เรยี กว่า มรณัสสติ กมั มฏั ฐาน ๔ อย่างนี้ ควรเจรญิ เป็นนติ ย์ พรหมวหิ าร ๔ ๑. เมตตา ความรกั ใคร่ ปรารถนาสนั ติสขุ แกท่ กุ ชีวิต ประสานโลกใหอ้ บอ่นุ รม่ เยน็ ใหเ้ ป็นสขุ ๒. กรุณา ความสงสาร คิดจะชว่ ยใหพ้ น้ ทกุ ข์ ๓. มทุ ิตา ความพลอยยนิ ดี เม่ือผอู้ ่นื ไดด้ ี ๔. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง ปลงใจวางเฉย เห็นเป็นธรรมดาของโลก ความคิดเอ็นดสู งสารปรารถนาเพอื่ ใหผ้ อู้ ่นื เป็นสขุ โดยเวน้ จากราคะ (ความหวงั ดแี กผ่ อู้ ื่นเรยี กว่าเมตตา ควรเจริญในเวลาปกติหรอื ท่วั ๆ ไป ผเู้ จรญิ ย่อมกาํ จดั พยาบาทเสียได้ ความสงสารคิดจะช่วย ผอู้ ่นื ใหพ้ น้ จากทกุ ขภ์ ยั ต่าง ๆ ที่เขากาํ ลงั ประสพอย่ดู ว้ ยวธิ ีใดวธิ ีหน่ึง ไมค่ ิดหนี เอาตวั รอดแตผ่ เู้ ดยี วเรียกว่ากรุณา ควรเจริญในเวลาทเ่ี ขาไดร้ บั ทกุ ขร์ อ้ นผเู้ จริญยอ่ มกาํ จดั วหิ งิ สาเสยี ได้ การแสดงความยินดดี ว้ ยกบั ผอู้ ื่นเม่ือทา่ นไดด้ ี เช่น ไดเ้ ลือ่ นยศเลอ่ื นตาํ แหนง่ เป็นตน้ ไม่คดิ รษิ ยาคนอ่นื เม่อื เขาไดด้ เี รยี กวา่ มทุ ติ า ควรเจรญิ ในเวลาที่เขาไดด้ ผี เู้ จริญย่อมกาํ จดั อคตแิ ละอิจฉารษิ ยาเสยี ได้ การวางเฉยเสียในเวลาท่ีจะใชเ้ มตตาและกรุณาไม่เหมาะคอื สดุ วิสยั ทจี่ ะชว่ ยเหลือได้ เช่นเห็นงเู ห่ากาํ ลงั กนิ กบ เราจะชว่ ยกบก็ไมไ่ ดเ้ พราะจะเป็นอนั ตรายแกเ่ ราฉะนนั้ จงึ ควรวางเฉยเสยี เรียกวา่ อเุ บกขาควรเจรญิ ในเวลา ทเ่ี ขาถึงความวบิ ตั ิผทู้ ี่เจริญย่อมกาํ จดั ธรรมคอื ปฏิฆะ เสยี ได้ พรหมวหิ ารธรรมนีไ้ ดแ้ ก่ ธรรมเป็นเครอ่ื งอยขู่ องทา่ นผใู้ หญพ่ รหมนีท้ า่ นจาํ แนกออกเป็น ๒ คอื พรหมโดย อบุ ตั ิ ไดแ้ กท่ ่านทบ่ี รรลฌุ านสมาบตั แิ ลว้ ไปเกดิ เป็นพรหมและพรหมโดยสมมติ ไดแ้ ก่ ท่านผใู้ หญ่ เชน่ มารดาบิดา ผมู้ ีเมตตากรุณาตอ่ บุตร. สติปฏั ฐาน ๔ ๑. กายานปุ ัสสนา ๓. จติ ตานปุ ัสสนา ๒. เวทนานปุ ัสสนา ๔. ธมั มานปุ ัสสนา สติกาํ หนดพิจารณากายเป็นอารมณว์ า่ กายนีก้ ส็ กั ว่ากาย ไมใ่ ช่สตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา เรียก “กายา นปุ ัสสนา”
หน้า ๒๖ ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาชน้ั ตรี สติกาํ หนดพจิ ารณาเวทนา คือ สขุ ทกุ ข์ และไมท่ กุ ข์ ไมส่ ขุ เป็นอารมณว์ า่ เวทนานกี้ ส็ กั วา่ เวทนา ไมใ่ ช่ สตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา เรยี กเวทนานุปัสสนา สติกาํ หนดพิจารณาใจที่เศรา้ หมอง หรือผอ่ งแผว้ เป็นอารมณว์ ่า ใจนกี้ ส็ กั ว่าใจ ไมใ่ ช่สตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา เรยี กจติ ตานุปัสสนา สติกาํ หนดพิจารณาธรรมท่ีเป็นกุศลหรืออกศุ ลท่ีบงั เกิดกบั ใจเป็นอารมณว์ ่า ธรรมนกี้ ็สกั วา่ ธรรมไม่ใช่สตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา เรยี กธัมมานุปัสสนา ธาตกุ มั มฏั ฐาน ๔ ธาตุ ๔ คือ มวลสสาร เนือ้ แท้ วตั ถธุ รรมชาตดิ งั้ เดิม ไดแ้ ก่ ๑. ธาตดุ นิ เรียกปฐวธี าตุ มลี กั ษณะเขม้ แขง็ เหน็ เป็นรูป สมั ผสั ได้ คอื ผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เนือ้ เอ็น กระดกู เยอ่ื ในกระดกู มา้ ม หวั ใจ ตบั พงั ผืด ไต ปอด ไสใ้ หญ่ ไสน้ อ้ ย อาหารใหม่ อาหารเกา่ . ๒. ธาตนุ า้ํ เรยี กอาโปธาตุ มีลกั ษณะเหลว ไหลถ่ายเท ทาํ ใหอ้ อ่ นน่มุ ผสมผสานกนั คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหงือ่ มนั ขน้ นาํ้ ตา เปลวมนั นาํ้ ลาย นา้ํ มกู ไขขอ้ มตู ร ๓. ธาตไุ ฟ เรียกเตโชธาตุ มลี กั ษณะรอ้ น ยงั กายใหอ้ บอ่นุ ยงั กายใหท้ รุดโทรม ไฟยงั กายใหก้ ระวน กระวาย ไฟท่เี ผาอาหารใหย้ ่อย ๔. ธาตลุ ม เรียกวาโยธาตุ มีลกั ษณะท่พี ดั ไปมา พดั ไปท่วั รา่ งกาย ลมพดั ขนึ้ เบือ้ งบน ลมพดั ไปตามตวั ลมหายใจ ควรกาํ หนดพิจารณากายนีใ้ หเ้ ห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดนิ นาํ้ ไฟ ลม ประ ชมุ กนั อยู่ ไมใ่ ชเ่ รา ไมใ่ ช่ ของเรา เรยี กวา่ ธาตกุ มั มฏั ฐาน. อรยิ สจั ๔ ๑. ทกุ ข์ คือความไมส่ บายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทยั คอื เหตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด ๓. นโิ รธ คอื ความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ ึงความดบั ทกุ ข์ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ไดช้ อื่ ว่าทกุ ข์ เพราะเป็นของทนไดย้ าก. ตณั หาคอื ความทะยานอยาก ไดช้ อ่ื วา่ สมทุ ยั เพราะเป็นเหตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด ตณั หานน้ั มีประเภทเป็น ๓ คือตณั หาความอยากในอารมณท์ ่ีนา่ รกั ใคร่ เรียกวา่ กามตณั หา ตณั หาความ อยากเป็นโน่นเป็นน่ี เรยี กว่าภวตณั หา ตณั หาความอยากไมเ่ ป็นโน่นเป็นน่ี เรียกว่าวิภาวตณั หา ความดบั ตณั หาไดส้ ิน้ เชงิ ทกุ ขด์ บั ไปหมดไดช้ ่อื วา่ นิโรธ เพราะเป็นความดบั ทกุ ข์ ปัญญาอนั เหน็ ชอบวา่ สิ่งนีท้ กุ ข์ สิ่งนีท้ างใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ไดช้ อ่ื มรรค เพราะเป็นขอ้ ปฏิบตั ติ ใิ หถ้ งึ ความ ดบั ทกุ ข์
ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี หนา้ ๒๗ มรรคนน้ั มอี งค์ ๘ ประการ คือ ๑. สมั มาทิฏฐิ ปัญญาอนั เหน็ ชอบ ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ดาํ ริชอบ ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ๔. สมั มากมั มนั ตะ ทาํ การงานชอบ ๕. สมั มาอาชวี ะ เลยี้ งชวี ติ ชอบ ๖. สมั มาวายามะ ทาํ ความเพียรชอบ ๗. สมั มาสติ ตงั้ สติชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ตงั้ ใจชอบ ปญจกะ คือ หมวด ๕ อนนั ตรยิ กรรม ๕ ๑. มาตฆุ าต ฆา่ มารดา ๒. ปิ ตฆุ าต ฆา่ บดิ า ๓. อรหนั ตฆาตฆ่ าพระอรหนั ต์ ๔. โลหิตปุ บาท ทาํ รา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถึงยงั พระโลหติ ใหห้ อ้ ขนึ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั มารดาบิดาท่านเป็นบรุ พการีของบตุ รธิดา เมอื่ บุตรคนใดฆ่ามารดาบดิ าของคนแลว้ ก็จะไดช้ ื่อว่า คน อกตญั �ู ไมร้ ูค้ ณุ ท่ีทา่ นเลยี้ งดเู รามาแลว้ และเป็นผลู้ า้ งผลาญวงศส์ กลุ ของตนเองย่อมจะถกู สงั คมดหู มิ่นเหยยี ด หยามไมม่ ีคนอยากจะสมาคมดว้ ย พระอรหนั ตเ์ ป็นผมู้ ีกายวาจาใจสงบระงบั บรสิ ทุ ธิ์ไมเ่ บียดเบียนผอู้ ื่นทงั้ เป็นท่นี บั ถอื ของมหาชน พระพทุ ธเจา้ ผทู้ รงเป็นประมขุ ของพระพทุ ธศาสนาเป็นบุรพการขี องพทุ ธบริษัท มกี ายวาจาใจสงบไม่ เบียดเบียนผอู้ ืน่ เทยี่ วส่งั สอนสตั วโ์ ลกเพอื่ ใหไ้ ดร้ บั รสพระธรรมตามสมควรแตอ่ ธั ยาศยั ของแต่ละคน ผใู้ ดคดิ รา้ ยต่อ พระองคห์ มายจะปลงพระชนมเ์ สียเพียงแตท่ าํ ใหพ้ ระโลหติ หอ้ ขนึ้ ไปเท่านน้ั ก็ชื่อว่า ทาํ อนนั ตริยกรรม แลว้ สงฆห์ มายเอาภิกษุตงั้ แต่ ๔ รูปขึน้ ไปผใู้ ดยยุ ง หรอื ทาํ ลายให◌้ สงฆแ์ ตกจากกนั เป็นก๊กเป็นหมู่ เหมอื นยุ ยงคนในชาติใหแ้ ตกความสามคั คีกนั ชอ่ื ว่าไดท้ าํ สงั ฆเภท กรรม๕ อยา่ งนีเ้ ป็นกรรมหนกั หา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพานเหมือนการตอ้ งอาบตั ิปาราชกิ ของภิกษุ หา้ ม ไม่ใหท้ าํ โดยเด็ดขาด คนผกู้ ลา้ ทาํ กรรมเหลา่ นแี้ ลว้ ย่อมจะกลา้ ทาํ กรรมอนื่ ทกุ อยา่ ง อนนั ตริยกรรมนีเ้ นื่องจากเป็น กรรมหนกั ตอ้ งใหผ้ ลก่อนกรรมอน่ื ทงั้ หมด
หน้า ๒๘ ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาชั้นตรี กรรม ๕ อยา่ งนี้ เป็นบาปอนั หนกั ท่สี ดุ หา้ มสวรรค์ หา้ มนพิ พาน ตงั้ อย่ใู นฐานปาราชกิ ของผถู้ ือ พระพทุ ธศาสนา หา้ มไมใ่ หท้ าํ เป็นขาด อภณิ หปจั จเวกขณ์ ๕ ๑. ควรพิจารณาทกุ วนั ๆ วา่ เรามคี วามแก่เป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความแกไ่ ปได.้ ๒. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา่ เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความเจบ็ ไปได.้ ๓. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ ว่า เรามคี วามตายเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความตายไปได.้ ๔. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ ว่า เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทงั้ สนิ้ . ๕. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา่ เรามกี รรมเป็นของตวั เราทาํ ดีจกั ไดด้ ี ทาํ ช่วั จกั ไดช้ ่วั . เวสารชั ชกรณธรรม คอื ธรรมทำความกลา้ หาญ ๕ อยา่ ง ๑. สทั ธา เช่ือสง่ิ ท่คี วรเชือ่ ๒. สลี รกั ษากายวาจาใหเ้ รียบรอ้ ย ๓. พาหสุ จั จะ ความเป็นผศู้ ึกษามาก ๔. วริ ยิ ารัมภะ ปรารถความเพียร ๕. ปัญญา รอบรูส้ ง่ิ ทคี่ วรรู้ ความเช่ือตอ่ เหตผุ ล ทีใ่ ชป้ ัญญาพจิ ารณาประกอบจึงไดช้ อ่ื วา่ ศรทั ธาอยา่ งแทจ้ รงิ ถา้ ศรทั ธาปราศจาก ปัญญาพจิ ารณาไตรต่ รองหาเหตผุ ลแลว้ กอ็ าจจะเป็นความงมงายไปกไ็ ด้ ศลี คอื ระเบยี บหรือขอ้ ปฏบิ ตั ทิ จี่ ะรกั ษากาย วาจา ใหเ้ รยี บรอ้ ย การไดฟ้ ังมามากหรอื ศกึ ษาเลา่ เรยี น มากจนเขา้ ใจและแตกฉานในพระพทุ ธวจนะไดช้ ื่อวา่ พาหสุ จั จะ ในธรรมวินยั ถา้ ไดศ้ ึกษาวทิ ยาการตา่ งๆ ทางคดี โลก เช่น นิติศาสตร์ เป็นตน้ ชอ่ื วา่ พาหสุ จั จะนอกธรรม การเริม่ ทาํ ความเพยี รประกอบกิจต่าง ๆ เอาใจฝักใฝ่ไม่ ทอ้ ถอยดว้ ยการลงมือทาํ ชอ่ื ว่า วิริยารัมภะ รอบรูใ้ นส่ิงท่ีควรรู้ คอื รูว้ ิทยาการตา่ ง ๆ ทงั้ ทางโลกทางธรรมอนั หาโทษมิไดช้ ่อื ว่า ปัญญา ชนผมู้ ธี รรม๕ ประการนแี้ ลว้ ยอ่ มเป็นผแู้ กลว้ กลา้ ไมห่ วาดหว่นั เมื่อเขา้ ไปในทีป่ ระชมุ ชนไม่สะทก สะทา้ น ฉะนน้ั วิญ�ชู นควรประกอบธรรมเหล่านใี้ หเ้ กดิ มใี นตน. องค์แหง่ ภกิ ษใุ หม่ ๕ อยา่ ง ๑. สาํ รวมในพระปาตโิ มกข์ เวน้ ขอ้ ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ หา้ ม ทาํ ตามขอ้ ท่ที รงอนญุ าต ๒. สาํ รวมอนิ ทรีย์ คือ ระวงั ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ไมใ่ หค้ วามยินดียินรา้ ยครอบงาํ ไดใ้ นเวลาท่ีเห็นรูป ดว้ ยนยั นต์ าเป็นตน้ ๓. ความเป็นคนไม่เอิกเกรกิ เฮฮา ๔. อยใู่ นเสนาสนะอนั สงดั ๕. มคี วามเห็นชอบ
ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๒๙ ภิกษุใหม่ควรตงั้ อย่ใู นธรรม ๕ อยา่ งนี.้ องค์แหง่ ธรรมกถกึ คอื นกั เทศน์ ๕ อยา่ ง ๑. แสดงธรรมไปโดยลาํ ดบั ไมต่ ดั ลดั ใหข้ าดความ ๒. อา้ งเหตผุ ลแนะนาํ ใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจ ๓. ตงั้ จติ เมตตาปรารถนาใหเ้ ป็นประโยชนแ์ กผ่ ฟู้ ัง ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเหน็ แก่ลาภ ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผอู้ ื่น คือวา่ ไม่ยกตนเสียดสผี อู้ ่ืน. ภิกษุผเู้ ป็นธรรมกถกึ พึงตงั้ องค์ ๕ อยา่ งนไี้ วใ้ นตน. ธมั มสั สวนาอนสิ งส์ คอื อานสิ งสแ์ หง่ การฟงั ธรรม ๕ อยา่ ง ๑. ผฟู้ ังธรรมยอ่ มไดฟ้ ังสง่ิ ทย่ี งั ไม่เคยฟัง ๒. สงิ่ ใดไดเ้ คยฟังแลว้ แต่ไม่เขา้ ใจชดั ย่อมเขา้ ใจสิ่งนนั้ ชดั ๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้ ๔. ทาํ ความเหน็ ใหถ้ กู ตอ้ งได้ ๕. จติ ของผฟู้ ังย่อมผ่องใส พละ คอื ธรรมเปน็ กำลงั ๕ อยา่ ง ๑. สทั ธา ความเชอื่ ๒. วริ ยิ ะ ความเพียร ๓. สติ ความระลกึ ได้ ๔. สมาธิ ความตงั้ ใจม่นั ๕. ปัญญา ความรอบรู้ สมาธิ คือความทีจ่ ิตตงั้ ม่นั หยดุ อย่ใู นอารมณใ์ ดอารมณห์ นึ่งเม่อื จิตเป็นสมาธิแลว้ ก็มคี วามบรสิ ทุ ธิผ์ อ่ ง แผว้ ตงั้ ม่นั ไมห่ ว่นั ไหว ยอ่ มนอ้ มไปเพอ่ื จะบรรลฌุ านได้ ธรรม๕ ประการนเี้ ป็นธรรมสามคั คกี นั ตอ้ งมพี อเสมอ ๆ กนั ถา้ มีศรทั ธาอย่างเดียวกจ็ ะเป็นคนมศี รทั ธาจริต ไปเช่ืออะไรอย่างงมงาย หรือถา้ มีแตป่ ัญญาก็จะเป็นคนเจา้ มานะทฏิ ฐิไปได้ ดงั นนั้ ธรรมทงั้ หมดนคี้ วรมีให้ พอเหมาะแกก่ นั และกนั จึงจะอาํ นวยผลใหส้ าํ เร็จไดด้ ี ธรรมหมวดนีท้ ่ีเรียกวา่ อนิ ทรยี น์ นั้ เพราะเป็นใหญ่ในกิจของ ตนท่เี รยี กวา่ พละน้ัน เพราะเป็นกาํ ลงั ใหส้ าํ เรจ็ ในกิจทตี่ นกระทาํ อินทรีย์ ๕ กเ็ รียก เพราะเป็นใหญ่ในกจิ ของตน.
หนา้ ๓๐ ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาชัน้ ตรี นวิ รณ์ ๕ ธรรมอนั กน้ั จติ ไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี เรียกนวิ รณ์ มี ๕ อยา่ ง ๑. พอใจรกั ใครใ่ นอารมณท์ ช่ี อบใจมรี ูปเป็นตน้ เรียก กามฉนั ท์ ๒. ปองรา้ ยผอู้ ่ืน เรียก พยาบาท ๓. ความท่จี ติ หดหแู่ ละเคลิบเคลิม้ เรียก ถีนมิทธะ ๔. ฟ้งุ ซา่ นและราํ คาญ เรียก อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ๕. ลงั เลไม่ตกลงได้ เรยี ก วิจิกจิ ฉา การยนิ ดีพอใจในรูปเสยี งกล่ินรสโผฏฐัพพะและธรรมารมณท์ งั้ ปวงอนั น่าปรารถนาน่าใครน่ ่าพอใจท่ี ชาวโลกพรอ้ มทงั้ เทวโลกสมมติกนั วา่ เป็นสขุ แต่พระอริยเจา้ เหน็ สง่ิ เหล่านวี้ า่ เป็นทกุ ขก์ ารยนิ ดีในสภุ นิมติ เชน่ นี้ เรยี กว่า กามฉนั ท์ ผมู้ ีกามฉันทน์ ีค้ วรจะเจรญิ กายาคตาสติ พจิ ารณาใหเ้ ห็นเป็นของปฏกิ ลู พยาบาทเกิดขึน้ เพราะความคบั แคน้ ใจ ผมู้ ีพยาบาทชอบเกลียดโกรธคนอน่ื อย่เู สมอ ๆ ควรเจรญิ เมตตา กรุณามทุ ิตาคิดใหเ้ กิดความรกั เมตตาสงสารผอู้ ื่น ผมู้ ีความเกยี จครา้ นทอ้ แทใ้ จไมก่ ระตือรือรน้ ในการทาํ งานเรยี กวา่ ถกู ถนี มทิ ธะครอบงาํ ควรจะเจริญ อนสุ สติกมั มฏั ฐาน พจิ ารณาความดีของตนและผอู้ น่ื เพอื่ จะไดม้ ีความอตุ สาหะทาํ งานแกค้ วามทอ้ แทใ้ จเสียได้ ความฟงุ้ ซ่านราํ คาญ เกิดจากการท่ใี จไมส่ งบควรเพ่งกสณิ ใหใ้ จผกู อย่ใู นอารมณใ์ ดอารมณห์ น่งึ หรือ เจริญกมั มฏั ฐานใหใ้ จสงั เวช เชน่ มรณสติ ความลงั เลไม่ตกลงได้ เนอื่ งจากไม่ไดพ้ ิจารณาใหล้ ะเอียดถ่ีถว้ นควรเจริญธาตกุ มั มฏั ฐานเพอ่ื ทจี่ ะไดร้ ู้ สภาวะธรรมตามความเป็นจรงิ ธรรมทงั้ ๕ ประการนีเ้ ม่ือเกดิ กบั ผใู้ ด ยอ่ มจะเป็นธรรมกน้ั จติ มใิ หผ้ นู้ นั้ บรรลุความดีหรอื ส่งิ ทีต่ นประสงค์ ได้ ฉะนน้ั ผหู้ วงั ความสาํ เรจ็ ในชีวิตควรเวน้ จากนิวรณ๕์ ประการนเี้ สยี . ขนั ธ์ ๕ กายกบั ใจนี้ แบ่งออกเป็น ๕ กอง เรียกขนั ธ์ ๕ คือ ๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สญั ญา ๔. สงั ขาร ๕. วญิ ญาณ ธาตุ ๔ คอื ดิน นา้ํ ไฟ ลม ประชมุ กนั เป็นกายนี้ เรียกวา่ รูป. ความรูส้ ึกอารมณว์ า่ เป็นสุข คือ สบายกาย สบายใจ หรอื เป็นทกุ ข์ คอื ไม่สบายกายไม่สบายใจ หรือ เฉย ๆ คอื ไม่ทกุ ขไ์ ม่สขุ เรยี กวา่ เวทนา. ความจาํ ไดห้ มายรู้ คอื จาํ รูป เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณท์ เ่ี กิดกบั ใจได้ เรียกวา่ สญั ญา. เจตสิกธรรม คอื อารมณท์ ่เี กิด กบั ใจ เป็นสว่ นดี เรยี กวา่ กศุ ล เป็นสว่ นช่วั เรียก อกศุ ล เป็นสว่ นกลาง ๆ ไมด่ ีไมช่ ่วั เรียก อพั ยากฤต เรียกว่า สงั ขาร. ความรูอ้ ารมณใ์ นเวลาเม่ือรูปมากระทบตา เป็นตน้ เรยี กวา่ วญิ ญาณ. ขนั ธ์ ๕ นี้ ยน่ เรียกว่า นามรูป. เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ รวมเขา้ เป็นนาม รูปคงเป็นรูป.
ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี หน้า ๓๑ ฉกั กะ คือ หมวด๖ คารวะ๖ อยา่ ง ๑. พทุ ธคารวตา ความเอือ้ เฟื้อ ในพระพทุ ธเจา้ ๒. ธัมมคารวตา ความเอือ้ เฟื้อ ในพระธรรม ๓. สงั ฆคารวตาความเออื้ เฟื้อ ในพระสงฆ์ ๔. สกิ ขาคารวตา ความเออื้ เฟื้อ ในความศึกษา ๕. อปั ปมาทคารวตา ความเอือ้ เฟื้อ ในความไมป่ ระมาท ๖. ปฏสิ นั ถารคารวตา ความเออื้ เฟื้อ ในปฏิสนั ถารคือตอ้ นรบั ปราศรยั การปลกู ศรทั ธาความเลอื่ มใสในพระพทุ ธเจา้ แลว้ แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ คือนบั ถือพระพทุ ธเจา้ เป็นท่ี พ่งึ อนั ประเสริฐ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ตงั้ ใจปฏิบตั ติ ามคาํ ส่งั สอน หรือระลึกนึกถึงพระพระคณุ ของพระองคอ์ ยู่ เสมอๆ ใหเ้ กดิ ความเลื่อมใสยง่ิ ขนึ้ หรือไมเ่ อาเรือ่ งของพระพทุ ธเจา้ มาลอ้ เลน่ เพ่อื ความสนกุ สนานเฮฮา เหลา่ นี้ เป็นตน้ ช่อื วา่ เคารพในพระพทุ ธเจา้ การปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวินยั โดยเคารพหรอื หม่นั ศึกษาเลา่ เรยี นพระปรยิ ตั ิ ตามกาํ ลงั ปัญญาของตนชอ่ื ว่าเคารพในพระธรรม การระลกึ ถงึ ความดีของพระสงฆแ์ ลว้ กระทาํ การกราบไหวท้ าํ สามีจิกรรมเป็นตน้ ชอื่ วา่ เคารพในพระสงฆ์ การมีความเพยี รพยายามศกึ ษาเล่าเรียนวิทยาการตา่ ง ๆ ทงั้ ทางโลก และทางธรรมอนั ไม่มโี ทษดว้ ยการเอาใจใสไ่ มเ่ กยี จครา้ นมคี วามอตุ สาหะวิริยะประกอบดว้ ยอทิ ธิบาท ๔ ชอื่ วา่ เคารพในการศกึ ษา ความเป็นผมู้ ีสติสมบูรณ์ ไมป่ ระมาทในธรรมทงั้ ปวงคอยระวงั ใจไม่ใหก้ าํ หนดั ขดั เคืองล่มุ หลงมวั เมาใน อารมณเ์ ป็นท่ีตงั้ แห่งความกาํ หนดั เป็นตน้ ชอ่ื ว่าเคารพในความไมป่ ระมาท การตอ้ นรบั แขกผมู้ าเยือนตามฐานานรุ ูปของเขา ชอื่ วา่ เคารพในการปฏสิ นั ถารแบ่งออกเป็น ๒ คอื อามิสปฏสิ นั ถาร และธรรมปฏิสนั ถาร การตอ้ นรบั ดว้ ยการใหอ้ าหารเสอื้ ผา้ ทพ่ี กั อาศยั เป็นตน้ ชอื่ วา่ อามิส ปฏิสนั ถาร การตอ้ นรบั ดว้ ยการพดู เชอื้ เชิญหรือแสดงตนตามทคี่ วรชือ่ ว่า ธรรมปฏิสนั ถาร. ภกิ ษุควรทาํ คารวะ ๖ ประการน.ี้ สาราณยิ ธรรม ๖ อยา่ ง ธรรมเป็นทตี่ งั้ แหง่ ความใหร้ ะลกึ ถงึ เรียกสาราณิยธรรม มี ๖ อยา่ ง คอื ๑. เขา้ ไปตงั้ กายกรรมประกอบดว้ ยเมตตาในเพ่อื นภกิ ษุสามเณรทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั หลงั คอื ชว่ ยขวนขวาย กจิ ธรุ ะของเพอื่ นกนั ดว้ ยกาย มพี ยาบาลภิกษุไขเ้ ป็นตน้ ดว้ ยจติ เมตตา.
หนา้ ๓๒ ธรรมวิภาค ธรรมศึกษาชัน้ ตรี ๒. เขา้ ไปตงั้ วจีกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ในเพ่ือนภกิ ษุสามเณรทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั หลงั คือ ชว่ ยขวนขวาย ในกิจธรุ ะของเพือ่ นกนั ดว้ ยวาจา เช่นกล่าวส่งั สอนเป็นตน้ ดว้ ยจิตเมตตา. ๓. เขา้ ไปตงั้ มโนกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ในเพ่ือนภกิ ษุสามเณรทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั หลัง คือ คดิ แต่สิ่งที่ เป็นประโยชนแ์ ก่เพือ่ นกนั . ๔. แบ่งปันลาภท่ีตนไดม้ าแลว้ โดยชอบธรรมใหแ้ ก่เพ่ือนภิกษุสามเณร ไมห่ วงไวบ้ รโิ ภคจาํ เพาะผเู้ ดยี ว ๕. รกั ษาศลี บรสิ ทุ ธิ์เสมอกนั กบั เพอ่ื ภิกษุสามเณรอ่นื ๆ ไม่ทาํ ตนใหเ้ ป็นทรี่ กั เกยี จของผอู้ ื่น. ๖. มีความเหน็ รว่ มกนั กบั ภกิ ษุสามเณรอืน่ ๆ ไมว่ วิ าทกบั ใคร ๆ เพราะมคี วามเหน็ ผิดกนั . ธรรม๖ อย่างนี้ ทาํ ผปู้ ระพฤตใิ หเ้ ป็นทีร่ กั ทีเ่ คารพของผอู้ ืน่ เป็นไปเพอ่ื ความสงเคราะหก์ นั และกนั เป็นไป เพ่อื ความไมว่ วิ าทกนั และกนั เป็นไปเพื่อความพรอ้ มเพรยี งเป็นอนั หนง่ึ อนั เดียวกนั . ตา หู อายตนะภายใน ๖ จมกู ลนิ้ กาย ใจ. อนิ ทรยี ์ ๖ กเ็ รยี ก. อายตะภายนอก ๖ รูป เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ คอื อารมณท์ ีม่ าถกู ตอ้ งกาย, ธรรม คอื อารมณเ์ กิดกบั ใจ. อารมณ๖์ ก็เรยี ก. วญิ ญาณ๖ ๑. อาศยั รูปกระทบตา เกิดความรูข้ ึน้ เรยี กจกั ขวุ ญิ ญาณ ๒. อาศยั เสยี งกระทบหู เกดิ ความรูข้ ึน้ เรยี กโสตวญิ ญาณ ๓. อาศยั กล่นิ กระทบจมกู เกดิ ความรูข้ นึ้ เรยี กฆานวิญญาณ ๔. อาศยั รสกระทบลนิ้ เกดิ ความรูข้ นึ้ เรยี กชวิ หาวญิ ญาณ ๕. อาศยั โผฏฐัพพะกระทบกาย เกดิ ความร◌ู ◌ข้ นึ้ เรียกกายวญิ ญาณ ๖. อาศยั ธรรมเกดิ กบั ใจ เกดิ ความรูข้ นึ้ เรียกมโนวญิ ญาณ . สมั ผสั ๖ อายตนะภายในมตี าเป็นตน้ อายตนะภายนอกมรี ูปเป็นตน้ วิญญาณมจี กั ขวุ ิญญาณเป็นตน้ กระทบกนั เรียกสมั ผสั มีช่อื ตามอายตนะภายในเป็น ๖ คือ ๑. จกั ขสุ มั ผสั ๒. โสตสมั ผสั ๓. ฆานสมั ผสั ๔. ชวิ หาสมั ผสั ๕. กายสมั ผสั ๖. มโนสมั ผสั เวทนา ๖ สมั ผสั นนั้ เป็น ปัจจยั ใหเ้ กิดเวทนา เป็นสขุ บา้ งทกุ ข์ บา้ ง ไม่ทกุ ขไ์ มส่ ขุ บา้ ง มีชอื่ ตาม อายตนะภายในเป็น๖ คอื ๑. จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา ๒. โสตสมั ผสั สชาเวทนา
ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาชัน้ ตรี หนา้ ๓๓ ๓. ฆานสมั ผสั สชาเวทนา ๔. ชวิ หาสมั ผสั สชาเวทนา ๕. กายสมั ผสั สชาเวทนา ๖. มโนสมั ผสั สชาเวทนา ธรรม ๕ กลมุ่ เกีย่ วเนือ่ งกันและกัน กลมุ่ ละ ๖ อยา่ ง อายตนภายใน อายตนภายนอก วญิ ญาณ สมั ผสั เวทนา ตา รูป จกั ขวุ ญิ าณ จกั ขสุ มั ผสั จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา หู เสยี ง โสตวิญญาณ โสตสมั ผสั โสตสมั ผสั สชาเวทนา จมกู กลนิ่ ฆานวญิ ญาณ ฆานสมั ผสั ฆานสมั ผสั สชาเวทนา ลนิ้ รส ชิวหาวิญญาณ ชวิ หาสมั ผสั ชวิ หาสมั ผสั สชาเวทนา กาย โผฏฐัพพะ กายวญิ ญาณ กายสมั ผสั กายสมั ผสั สชาเวทนา ใจ ธมั มารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสมั ผสั มโนสมั ผสั สชาเวทนา ธาตุ ๖ ๑. ปฐวีธาตุ คอื ธาตดุ นิ ลกั ษณะแขน้ แขง็ รวมตวั เป็นรูปรา่ ง มองเห็นและสมั ผสั ได้ ๒. อาโปธาตุ คอื ธาตนุ า้ํ ลกั ษณะเหลว ซมึ ซาบหลอ่ เลยี้ ง ทาํ ใหอ้ ่อนน่มุ และเอบิ อม่ิ ๓. เตโชธาตุ คอื ธาตไุ ฟ ลกั ษณะรอ้ น ทาํ ใหอ้ บอ่นุ ยอ่ ยและเผาไหม้ ปอ้ งกนั มใิ หบ้ ดู เนา่ ๔. วาโยธาตุ คอื ธาตลุ ม ลกั ษณะเบา พดั เวียนไปมา เกดิ ความอ่อนไหว ๕. อากาศธาตุ คอื ช่องว่างมีในกาย ลกั ษณะชอ่ งวา่ ง ถา่ ยเทเคลอื่ นไหวไปตลอดรา่ งกาย ทาํ ใหย้ ืดหยนุ่ ๖. วญิ ญาณธาตุ คอื ความรูอ้ ะไรได้ ลกั ษณะรบั รูอ้ ารมณ์ ควบค่รู ะบบทาํ งานท่วั รา่ งกาย สตั ตกะ คอื หมวด ๗ อปรหิ านยิ ธรรม ๗ อยา่ ง ธรรมไม่เป็นท่ีตงั้ แห่งความเส่อื ม เป็นไปเพ่อื ความเจริญฝ่ายเดียว ชอ่ื ว่า อปรหิ านยิ ธรรม มี ๗ อย่าง คอื ๑. หม่นั ประชมุ กนั เนื่องนติ ย์ ๒. เมอื่ ประชมุ กพ็ รอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ เมอื่ เลกิ ประชมุ ก็พรอ้ มเพรยี งกนั เลกิ ประชมุ และพรอ้ มเพรียง ช่วยกนั ทาํ กิจทสี่ งฆจ์ ะตอ้ งทาํ ๓. ไม่บญั ญัตสิ ิง่ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ไมบ่ ญั ญัตขิ นึ้ ไมถ่ อนส่ิงท่ีพระองคท์ รงบญั ญตั ิไวแ้ ลว้ สมาทานศกึ ษาอยใู่ น สิกขาบทตามท่ีพระองคท์ รงบญั ญัติไว้ ๔. ภิกษุเหลา่ ใดเป็นผใู้ หญเ่ ป็นประธานในสงฆ์ เคารพนบั ถือภกิ ษุเหลา่ นนั้ เชื่อฟังถอ้ ยคาํ ของท่าน ๕. ไม่ลอุ าํ นาจแก่ความอยากท่เี กดิ ขนึ้ ๖. ยนิ ดีในเสนาสนะป่า
หน้า ๓๔ ธรรมวิภาค ธรรมศึกษาชน้ั ตรี ๗. ตงั้ ใจอยวู่ า่ เมอ่ื ภกิ ษุสามเณรซ่ึงเป็นผมู้ ศี ลี ซง่ึ ยงั ไมม่ าส่อู าวาส ขอใหม้ า ท่ีมาแลว้ ขอใหอ้ ยเู่ ป็นสขุ คนผตู้ งั้ อย่ใู นคณุ ธรรม๗ ประการนีย้ อ่ มจะไมม่ คี วามเสื่อมเลยมีแตค่ วามเจริญถา่ ยเดียว หม่นั ประชมุ ในทน่ี ที้ า่ นหมายเอาการประชมุ ทเ่ี ป็นสาระประโยชน์ เช่นประชมุ สนทนาธรรม สนทนาวินยั หรือดว้ ยการทาํ กจิ ของสงฆเ์ ป็นตน้ เมอื่ มีกิจธุระเกดิ ขึน้ กพ็ รอ้ มใจกนั ทาํ งานใหญ่ ๆ กจ็ ะเป็นอนั สาํ เร็จไดโ้ ดยงา่ ยเพราะความพรอ้ มเพรียงกนั นี่เอง พทุ ธบริษัททงั้ ปวงชว่ ยกนั ปฏบิ ตั ิตามพระธรรม วินยั ที่พระพทุ ธองคท์ รงบญั ญัตไิ วแ้ ลว้ ไมร่ ือ้ ถอนหรอื เพิม่ เติมขึน้ ใหม่อนั จะเป็นเหตใุ หเ้ กดิ ความฟ่ันเฝือทาํ ใหส้ ทั ธรรมปฏิรูปเกิดขึน้ ไดเ้ ม่ือพทุ ธบริษทั ปฏบิ ตั ิตามขอ้ ทีพ่ ระ พทุ ธองคไ์ ดท้ รงวางไวโ้ ดยเครง่ ครดั เช่นนีแ้ ลว้ ยอ่ มไดช้ อื่ วา่ การทาํ การปฏบิ ตั ิ บูชาแด่พระพทุ ธองค์ การทาํ ความเอือ้ เฟื้อ หรือเชอ่ื ฟังคาํ ของพระเถระผเู้ ป็นใหญ่ เป็นประธาน ไดช้ อ่ื ว่ามคี วามอ่อนนอ้ ม มี ความเคารพตอ่ ผเู้ ป็นใหญ่ดว้ ย การลอุ าํ นาจต่อความอยาก คือปล่อยใจใหเ้ ป็นไปตามอาํ นาจของความอยากท่ีเกดิ ขนึ้ เช่น รกั ผหู้ ญิงเป็น ตน้ คนผขู้ ่มใจไมใ่ หท้ ะเยอทะยานไปตามอาํ นาจของความอยากไดจ้ ิตยอ่ มสงบ และเป็นเหตนุ าํ ความสขุ มาให้ เสนาสนะป่าอนั เป็นที่สงัดจากอารมณภ์ ายนอก ซงึ่ เป็นขา้ ศกึ ตอ่ ความสงบและไดส้ ขุ อนั เกดิ แตค่ วามวเิ วก นน้ั เป็นผมู้ ีจิตเมตตาตอ่ เพือ่ นภิกษุสามเณรไม่คดิ รา้ ยตอ่ เขา เมอ่ื เห็นคนดีมีกริ ิยามารยาทเรยี บรอ้ ยกต็ อ้ งการ ใหเ้ ธอพกั อย่ดู ว้ ย ไม่หวงเสนาสนะไวผ้ เู้ ดียว ธรรม ๗ อย่างนี้ ตงั้ อย่ใู นผใู้ ด ผนู้ น้ั ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย มีแตค่ วามเจริญฝ่ายเดยี ว. อรยิ ทรพั ย์ ๗ ทรพั ย์ คือ คณุ ความดีที่มใี นสนั ดานอยา่ งประเสรฐิ เรยี กอรยิ ทรพั ย์ มี ๗ อย่าง คือ ๑. สทั ธา เชื่อสิ่งทค่ี วรเชอ่ื . ๒. ศลี รกั ษากาย วาจา ใหเ้ รยี บรอ้ ย. ๓. หริ ิ ความละอายตอ่ บาปทจุ ริต. ๔. โอตตัปปะ สะดงุ้ กลวั ตอ่ บาป. ๕. พาหสุ จั จะ ความเป็นคนเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมามากคือจาํ ทรงธรรมและรูศ้ ีลปวทิ ยามาก ๖. จาคะ สละใหป้ ันส่ิงของของตนแก่คนทคี่ วรใหป้ ัน. ๗. ปัญญา รอบรูส้ ่ิงที่เป็นประโยชนแ์ ละไมเ่ ป็นประโยชน.์ ทรพั ยเ์ หลา่ นีค้ อื ความดีที่มอี ย่ใู นสนั ดานเป็นทรพั ย์ อนั ประเสริฐดกี วา่ ทรพั ยภ์ ายนอกมีเงนิ ทองเป็นตน้ เพราะเป็นของเน่อื งดว้ ยตนโจรลกั เอาไปไมไ่ ดท้ งั้ ยงั เป็นของติดตามตวั เราไปในภพหนา้ ไดอ้ ีกดว้ ย ฉะนนั้ จงึ ควร ประกอบใหม้ ีในตน. อริยทรพั ย์ ๗ ประการนี้ ดกี วา่ ทรพั ยภ์ ายนอก มเี งนิ ทองเป็นตน้ ควรแสวงหาไวใ้ หม้ ีในสนั ดาน.
ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี หนา้ ๓๕ สปั ปรุ สิ ธรรม ๗ อยา่ ง ธรรมของสั ตบุรุษ เรยี กว่า สปั ปรุ สิ ธรรมม๗ี อย่าง คอื ๑. ธัมมัญ�ุตา ความเป็นผรู้ ูจ้ กั เหตุ เชน่ รูจ้ กั วา่ ส่ิงนี้ เป็นเหตแุ ห่งสขุ ส่งิ นีเ้ ป็นเหตแุ หง่ ทกุ ข.์ ๒. อตั ถัญ�ุตา ความเป็นผรู้ ูจ้ กั ผล เช่น รูจ้ กั ว่า สขุ เป็นผลแหง่ เหตอุ นั นี้ ทกุ ขเ์ ป็นผลแห่งเหตอุ นั นี.้ ๓. อตั ตญั �ตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั ตนวา่ เราวา่ โดยชาตติ ระกูล ยศศกั ดิ์สมบตั ิบรวิ ารความรูแ้ ละคณุ ธรรม เพยี งเท่านี้ ๆ แลว้ ประพฤติตนใหส้ มควรแก่ท่ีเป็นอย่อู ย่างไร. ๔. มัตตญั �ตุ า ความเป็นผรู้ ู้ ประมาณ ในการแสวงหาเครอ่ื งเลีย้ งชวี ติ แต่โดยทางทช่ี อบและรูจ้ กั ประมาณในการบริโภคแตพ่ อควร. ๕. กาลญั �ตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั กาลเวลาอนั สมควรในอนั ประกอบกจิ นน้ั ๆ. ๖. ปริสญั �ตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั ประชมุ ชนและกิรยิ าทีจ่ ะตอ้ งประพฤติต่อประชมุ ชนนน้ั ๆ ว่า หม่นู เี้ มอื่ เขา้ ไปหา จะตอ้ งทาํ กิรยิ าอยา่ งนี้ จะตอ้ งพดู อยา่ งนี้ เป็นตน้ . ๗. ปคุ คลปโรปรญั �ุตา ความเป็นผรู้ ูจ้ กั เลือกบุคคลว่า ผนู้ เี้ ป็นคนดี ควรคบ ผนู้ เี้ ป็นคนไมด่ ี ไม่ควรคบ เป็นตน้ . สปั ปรุ สิ ธรรม(อกี ) ๗ อยา่ ง ๑. สตั บรุ ุษประกอบดว้ ยธรรม ๗ ประการคอื มศี รทั ธา มีความละอายตอ่ บาป มีความกลวั ต่อบาป เป็นคน ไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาก เป็นคนมคี วามเพยี ร เป็นคนมสี ติม่นั คง เป็นคนมีปัญญา. ๒. จะปรกึ ษาสงิ่ ใดกบั ใคร ๆ กไ็ ม่ปรกึ ษาเพอื่ จะเบยี ดเบียนตนและผอู้ นื่ . ๓. จะคิดสิง่ ใดกไ็ มค่ ดิ เพอื่ จะเบยี ดเบียนตนและผอู้ นื่ . ๔. จะพดู สิ่งใดกไ็ ม่พดู เพื่อจะเบยี ดเบียนตนและผอู้ ่นื . ๕. จะทาํ ส่งิ ใดก็ไมท่ าํ เพ่ือจะเบยี ดเบยี นตนและผอู้ ืน่ . ๖. มีความเห็นชอบ มีเห็นวา่ ทาํ ดีไดด้ ีทาํ ช่วั ไดช้ ่วั เป็นตน้ ๗. ใหท้ านโดยเคารพ คอื เอ◌ื ◌อ้ เฟื้อแก่ของท่ีตวั ให้ และผรู้ บั ทานนน้ั ไม่ทาํ อาการดจุ ทงิ้ เสีย. โพชฌงค์ ๗ ๑. สติ ความระลกึ ได้ ความรูส้ กึ ต่นื ตวั อย่เู สมอ ไมป่ ล่อยอารมณเ์ ล่ือนลอย ๒. ธมั มวจิ ยะ ความสอดส่องธรรม โดยลึกซงึ้ และแยบคาย ๓. วริ ยิ ะ ความเพียร ในการบาํ เพ็ญสมณธรรมใหส้ งู ยง่ิ ขนึ้ ๔. ปี ติ ความอม่ิ ใจ และดมื่ ดา่ํ ในรสแหง่ โลกุตตรธรรม ๕. ปัสสัทธิ ความสงบใจและอารมณ์ ไรก้ ิเลสนิวรณ์ ๖. สมาธิ ความตงั้ ใจม่นั มีจติ แนว่ แน่เป็นจดุ เดยี ว ๗. อุเบกขา ความวางเฉย จิตปราศจากความโนม้ เอียงตามอารมณ์
หน้า ๓๖ ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี สติในท่นี หี้ มายเอาการระลึกถงึ สิ่งท่ที าํ หรือคาํ พดู ท่พี ดู แลว้ แมน้ าน หรือระลึกพิจารณาอารมณใ์ นสติปัฏ ฐาน คือกายเวทนาจติ ธรรม ชอ่ื ว่าสตสิ มั โพชฌงค์ การพจิ ารณาคดั เลอื กธรรมทเี่ ป็นกุศลว่าควรปฏิบตั ิคดั เลอื กธรรมทเ่ี ป็นอกศุ ลวา่ ไม่ควรปฏบิ ตั ิ และ คดั เลอื กธรรมทคี่ วรปฏิบตั ิคือสมควรแก่ตน ชือ่ วา่ ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์ ความเพียรดว้ ยกายเช่น ขยนั หาทรพั ยเ์ ป็นตน้ ชอ่ื วา่ วิรยิ สัมโพชฌงค์ ความอ่มิ ใจปลืม้ ใจในความดีที่ตนปฏบิ ตั มิ าหรอื ในผลทปี่ รากฏชอื่ ว่า ปี ตสิ ัมโพชฌงค์ ความสงบกายสงบใจจากอารมณอ์ นั ฟุ้งซา่ นหรือสงบจากอปุ กเิ ลสคือเครอ่ื งทาํ ใจใหเ้ ศรา้ หมอง มี ๑๖ อยา่ ง มอี ภิชฌาวิสมโลภ เป็นตน้ ชื่อว่า ปัสสทั ธสิ มั โพชฌงค์ ความท่จี ติ สงบไม่ฟุง้ ซา่ นตงั้ อย่ใู นอารมณเ์ ดียว ชอื่ ว่า สมาธสิ มั โพชฌงค์ การวางเฉยเป็นกลาง ดว้ ยใชป้ ัญญาพิจารณาซ่งึ มธี รรมเป็นอารมณ์ ชอ่ื วา่ อุเบกขาสมั โพชฌงคต์ า่ ง จากอเุ บกขาในพรหมวหิ ารและอปั ปมญั ญาเพราะใน ๒ หมวดนนั้ มีสตั วเ์ ป็นอารมณ์ . เรยี กตามประเภทว่า สตสิ มั โพชฌงคไ์ ปโดยลาํ ดบั จนถึงอเุ ปกขาสมั โพชฌงค.์ อัฏฐกะ คือ หมวด ๘ โลกธรรม ๘ ธรรมทคี่ รอบงาํ สตั วโ์ ลกอยู่ และสตั วโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามธรรมนนั้ เรยี กวา่ โลกธรรม. โลกธรรมนน้ั มี ๘ อยา่ ง คือ อฏิ ฐารมณ์ (ทกุ คนตอ้ งการ) อนฏิ ฐารมณ์ (ไม่มใี ครอยากได)้ ๑. มีลาภ มสี ่ิงทต่ี อ้ งการสมใจ ๕. ไมม่ ลี าภ ไม่ไดค้ รอบครองของทีห่ วงั ๒. มียศ มีตาํ แหน่งหนา้ ที่ถกู ใจ ๖. ไมม่ ียศ ถกู ลดิ รอนสิทธิและลดตาํ แหน่ง ๓. สรรเสรญิ ชอ่ื เสียงเดน่ ๗. นนิ ทา ถกู ติเตียน กล่าวรา้ ย ๔. สขุ ชวี ิตผาสกุ สดชืน่ แจม่ ใส ๘. ทกุ ข์ ทรมานกาย และขมขื่นใจ โลกธรรม คือธรรมสาํ หรบั ชาวโลกท่ที กุ คนจะตอ้ งประสบอยา่ งหนีไม่พน้ เมอ่ื โลกธรรมเหลา่ นเี้ กดิ ขึน้ แลว้ ควรพิจารณาว่าส่ิงนเี้ กดิ ขึน้ แลว้ แก่เรา แต่มนั ไม่เทย่ี งเป็นทกุ ขม์ คี วามแปรปรวนเป็นธรรมดาควรรูต้ ามความเป็น จริงเชน่ นีอ้ ยา่ ใหโ้ ลกธรรมเหล่านีค้ รอบงาํ จิตใจได้ ในโลกธรรมเหลา่ นสี้ ิง่ ทน่ี า่ ปรารถนาคือ ลาภยศสรรเสริญสขุ เรียกว่า อิฏฐารมณ์ สว่ นที่ไมน่ ่า ปรารถนาคอื เส่อื มลาภ เสอ่ื มยศ นินทา ทกุ ข์ เรียกวา่ อนฏิ ฐารมณ์
ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี หน้า ๓๗ ในโลกธรรม ๘ ประการ นี้ อยา่ งใดอย่างหน่ึงเกิดขนึ้ ควรพจิ ารณาว่า สิ่งนเี้ กิดขึน้ แลว้ แก่เรา ก็แต่ว่ามนั ไม่ เทยี่ ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรูต้ ามทเี่ ป็นจรงิ อย่าใหม้ นั ครอบงาํ จิตได้ คอื อยา่ ยินดใี นส่วนท่ี ปรารถนา อย่ายินรา้ ยในส่วนท่ไี มป่ รารถนา. ลกั ษณะตดั สนิ ธรรมวนิ ยั ๘ ประการ ๑. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพอื่ กาํ หนดั ยอ้ มใจ ๒. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพอื่ ความประกอบทกุ ข์ ๓. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพ่ือความสะสมกองกเิ ลส ๔. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ๕. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพือ่ ความไมส่ นั โดษยินดีดว้ ยของมีอยู่ คอื มนี ่ีแลว้ อยากไดน้ ่นั ๖. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพอื่ ความคลกุ คลดี ว้ ยหม่คู ณะ ๗. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพ่อื ความเกยี จครา้ น ๘. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพ่ือความเลีย้ งยาก ธรรมเหล่านีพ้ งึ รูว้ ่า ไม่ใชธ่ รรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไม่ใชค่ าํ ส่งั สอนของพระศาสดา ๑. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพอื่ ความคลายกาํ หนดั ๒. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพอื่ ความปราศจากทกุ ข์ ๓. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความไม่สะสมกองกิเลส ๔. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพอ่ื ความอยากอนั นอ้ ย ๕. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพอื่ ความสนั โดษยินดดี ว้ ยของมอี ยู่ ๖. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพอื่ ความสงดั จากหมู่ ๗. ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพ่อื ความเพยี ร ๘. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเลีย้ งงา่ ย ธรรมเหล่านพี้ ึงรูว้ า่ เป็นธรรม เป็นวินยั เป็นคาํ ส่งั สอนของพระศาสดา. มรรคมอี งค์ ๘ ๑. สมั มาทิฏฐิ ปัญญาอนั เห็นชอบ คือเหน็ อรยิ สจั ๔ ๒. สมั มาสงั กัปปะ ดาํ ริชอบ คอื ดาํ ริจะออกจากกาม ดาํ ริในอนั ไม่พยาบาท, ดาํ ริในอนั ไม่เบียดเบียน ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ คอื เวน้ จากวจที จุ ริต ๔ ๔. สมั มากมั มนั ตะ ทาํ การงานชอบ คือเวน้ จากกายทจุ ริต ๓ ๕. สมั มาอาชีวะ เลีย้ งชวี ติ ชอบ คอื เวน้ จากความเลีย้ งชีวิตโดยทางที่ผดิ ๖. สมั มาวายามะ เพียรชอบ คือเพยี รในท่ี ๔ สถาน
หน้า ๓๘ ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ คือระลกึ ในสติปัฏฐานทงั้ ๔ ๘. สมั มาสมาธิ ตงั้ ใจไวช้ อบ คือเจริญฌานทงั้ ๔ ในองคม์ รรค ๘ นน้ั - เห็นชอบ, ดาํ รชิ อบ สงเคราะหเ์ ขา้ ในปัญญาสกิ ขา - วาจาชอบ, การงานชอบ, เลยี้ งชีวติ ชอบ สงเคราะหเ์ ขา้ ในสีลสิกขา - เพียรชอบ, ระลึกชอบ, ตงั้ ใจไวช้ อบ สงเคราะหเ์ ขา้ ในจิตตสกิ ขา นวกะ คื อ หมวด ๙ มละ คือ มลทนิ ๙ อยา่ ง ๑. โกรธ คือความขดั เคอื ง ความคิดรา้ ย ๒. ลบหล่คู ณุ ทา่ น คือแสดงอาการเหยียดหยามตอ่ ผมู้ อี ปุ การะคณุ ๓. ริษยา คอื ความที่ไมอ่ ยากใหค้ นอ่ืนไดด้ ี ๔. ตระหน่ี คอื หวงไมอ่ ยากใหค้ นอื่นไดด้ ี ๕. มารยา คอื ทาํ เลห่ ก์ ลปกปิดความจรงิ ๖.โออ้ วด คอื ทรงในความรูค้ วามสามารถหรือในทรพั ยส์ มบตั ขิ องตน ๗. พดู ปด คือพดู หลอกใหค้ นอื่นเขา้ ใจผิด ๘. ปรารถนาลามก คือตอ้ งการใหค้ นอน่ื เขา้ ใจผิดในคณุ สมบตั ทิ ไ่ี มม่ ีในตน ๙. เห็นผิด คอื ความทาํ ดีไม่ไดด้ ีเป็นตน้ มลทินนีค้ ือคณุ เครอื่ งทท่ี าํ ความเศรา้ หมองแก่จิตเพราะถา้ มีมลทินเหลา่ นแี้ ลว้ จิตทบ่ี ริสทุ ธิส์ ะอาดก็เศรา้ หมองไปดว้ ย เหมอื นนา้ํ ใสสะอาดทีเ่ จือดว้ ยสง่ิ ของต่าง ๆ จนกลายเป็นนาํ้ ขนุ ฉะนนั้ . ทสกะ คอื หมวด ๑๐ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ จดั เป็นกายกรรม คือทาํ ดว้ ยกาย ๓ อย่าง ๑. ปาณาติบาต ทาํ ชวี ติ สตั วใ์ หต้ กล่วง คือ ฆา่ สตั ว์ ๒. อทินนาทาน ถือเอาสงิ่ ของทเี่ จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ดว้ ยอาการแห่งขโมย ๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤตผิ ดิ ในกาม
ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี หนา้ ๓๙ จดั เป็นวจีกรรม คือ ทาํ ดว้ ยวาจา ๔ อยา่ ง ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ๕. ปิสณุ าวาจา พดู ส่อเสยี ด ๖. ผรุสวาจา พดู คาํ หยาบ ๗.สมั ผปั ปลาปะ พดู เพอ้ เจอ้ จดั เป็นมโนกรรม คือทาํ ดว้ ยใจ ๓ อยา่ ง ๘. อภชิ ฌา โลภอยากไดข้ องเขา ๙. พยาบาท พยาบาทปองรา้ ยเขา ๑๐. มจิ ฉาทิฏฐิ เหน็ ผิดจากคลองธรรม อกุศลกรรมบถ แปลวา่ ทางแห่งกรรมช่วั ท่บี ุคคลไมค่ วรประพฤตแิ ละปฏิบตั ิ เพราะอกศุ ลกรรมเหล่านีถ้ า้ ทาํ ลงไปแลว้ ยอ่ มเป็นความเสียหายแก่ผกู้ ระทาํ คือ เมื่อมชี วี ติ อย่ยู ่อมเป็นเหตใุ หเ้ สยี ชือ่ เสียงหรอื ไดร้ บั โทษทณั ฑ์ ต่าง ๆ เม่อื สนิ้ ชีวิตไปแลว้ ยอ่ มไปสทู่ คุ ติ หาความสขุ ไมไ่ ดเ้ ลย . กรรม ๑๐ อยา่ งนี้ เป็นทางบาป ไม่ควรดาํ เนนิ กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ จดั เป็นกายกรรม คือทาํ ดว้ ยกาย ๓ อย่าง ๑. ปาณาติบาต เวรมณี เวน้ ทาํ ชีวิตสตั วใ์ หต้ กล่วง คอื ฆา่ สตั ว์ ๒. อทินนาทาน เวรมณี เวน้ ถือเอาส่ิงของทเี่ จา้ ของไม่ไดใ้ ห้ ดว้ ยอาการแหง่ ขโมย ๓. กาเมสุ มจิ ฉาจาร เวรมณี เวน้ จากประพฤติผดิ ในกาม จดั เป็นวจีกรรม คือ ทาํ ดว้ ยวาจา ๔ อยา่ ง ๔. มสุ าวาท เวรมณี เวน้ จากการพดู เทจ็ ๕. ปิสณุ าวาจา เวรมณี เวน้ จากการพู ดส่อเสยี ด ๖. ผรุสวาจา เวรมณี เวน้ จากการพดู คาํ หยาบ ๗.สมั ผปั ปลาปา เวรมณี เวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้ จดั เป็นมโนกรรม คือทาํ ดว้ ยใจ ๓ อยา่ ง ๘. อนภชิ ฌา ไม่โลภอยากไดข้ องเขา ๙. อพยาบาท ไมพ่ ยาบาทปองรา้ ยเขา ๑๐. สมั มาทิฏฐิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม กุศลกรรมบถ๑๐ ประการนีเ้ ป็นทางกุศลซงึ่ ตรงกนั ขา้ มกบั อกุศลกรรมบถท่ีกล่าวมาแลว้ ควรทจ่ี ะประพฤติ ปฏบิ ตั เิ พราะเป็นความดเี ป็นทางบญุ กรรม ๑๐ อยา่ งนี้ เป็นทางบุญ ควรดาํ เนนิ .
หนา้ ๔๐ ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาชั้นตรี บญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๑๐ ประการ ๑. ทานมยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สลี มยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บุญสาํ เรจ็ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา ๔. อปจายนมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการประพฤตถิ ่อมตนแก่ผใู้ หญ่ ๕. เวยยาวจั จมยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการชว่ ยขวนขวายในกิจที่ชอบ ๖. ปัตติทานมยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการใหส้ ว่ นบุญ ๗. ปัตตานโุ มทนามยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการอนโุ มทนาส่วนบุญ ๘. ธมั มสั สวนมยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการฟังธรรม ๙. ธัมมเทสนามยั บญุ สาํ เรจ็ ดว้ ยการแสดงธรรม ๑๐. ทิฏ�ุชกุ มั ม์ การทาํ ความเหน็ ใหต้ รง บญุ กริ ิยาวตั ถแุ ปลวา่ วตั ถอุ นั เป็นทต่ี งั้ แหง่ การบาํ เพ็ญบญุ บญุ กิริยาวตั ถุ ๑๐ อย่างนีย้ น่ ลงใน ทาน ศีล ภาวนา ดงั นี้ - ทาน (ปัตตทิ านมยั ,ปัตตานโุ มทนามยั ) - ศลี (อปจายนมยั ,เวยยาวจั จมยั ) - ภาวนา (ธมั มสั สวนมยั ,ธัมมเทสนามยั ) ทฏิ �ุชกุ มั ม์ ยน่ ลงใน ๓ อยา่ งอย่าง. ธรรมทบี่ รรพชติ ควรพจิ ารณาเนอ่ื งๆ ๑๐ อยา่ ง ๑. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนือ่ ง ๆ ว่า บดั นีเ้ รามีเพศต่างจากคฤหสั ถแ์ ลว้ อาการกิริยาใด ๆของสมณะ เรา ตอ้ งทาํ อาการกิริยานนั้ ๆ ๒. บรรพชิตควรพิจารณาเนื่อง ๆ วา่ ความเลีย้ งชวี ิตของเราเนอ่ื งดว้ ยผอู้ น่ื ๆเราควรทาํ ตวั ใหเ้ ขาเลีย้ งง่าย ๓. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื่ ง ๆ ว่า อาการกายวาจาอย่างอืน่ ทเี่ ราจะตอ้ งทาํ ใหด้ ีขนึ้ ไปกว่านยี้ งั มีอย่อู ีก ไม่ใชเ่ พียงเท่านี้ ๔. บรรพชติ ควรพิจารณาเน่ือง ๆ วา่ ตงั ของเราเองตเิ ตยี นตวั เราเองโดยศีลไดห้ รือไม่ ๕. บรรพชิตควรพิจารณาเนอื่ ง ๆ วา่ ผรู้ ูใ้ คร่ ครวญแลว้ ติเตียนเราโดยศลี ไดห้ รอื ไม่ ๖. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเน่ือง ๆ ว่า เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทงั้ นนั้ ๗. บรรพชิตควรพิจารณาเนือ่ ง ๆ วา่ เรามกี รรมเป็นของตวั เราทาํ ดีจกั ไดด้ ี ทาํ ช่วั จกั ไดช้ ่วั ๘.บรรพชิตควรพจิ ารณาเนือง ๆ ว่า วนั คนื ล่วงไป ๆ บดั นี้ เราทาํ อะไรอยู่ ๙. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนอื่ ง ๆ วา่ เรายนิ ดใี นท่สี งดั หรือไม่ ๑๐. บรรพชติ ควรพิจารณาเน่ือง ๆ วา่ คณุ วิเศษของเรามีอยหู่ รอื ไม่ ทจี่ ะใหเ้ ราเป็นผไู้ มเ่ กอ้ เขนิ ในเวลา เพ่ือนพรรพชติ ถามในกาลภายหลงั
ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี หน้า ๔๑ ธรรม ๑๐ ขอ้ นเี้ ป็นธรรมสาํ หรบั บรรพชติ ควรพิจารณาอย่เู สมอ ๆ เพื่อจะไดเ้ ป็นเครอื่ งเตอื นสติตนเอง ให้ ปฏิบตั ติ ามธรรมนองครองธรรมของบรรพชติ . นาถกรณธรรม คอื ธรรมทำทพ่ี ง่ึ ๑๐ อยา่ ง ๑. ศลี รกั ษากายวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย ๒. พาหุสจั จะ ความเป็นผไู้ ดส้ ดบั ตรบั ฟังมาก ๓. กัลยาณมิตตตา ความเป็นผมู้ ีเพื่อนดีงาม ๔. โสวจสั สตา ความเป็นผวู้ ่าง่ายสอนง่าย ๕. กิงกรณเี ยสุ ทกั ขตา ความขยนั ชว่ ยเอาใจใสใ่ นกจิ ธุระของเพอื่ นภิกษุสามเณร ๖. ธมั มกามตา ความใครใ่ นธรรมทช่ี อบ ๗. วริ ิยะ เพยี รเพอ่ื จะละความช่วั ประพฤติความดี ๘. สนั โดษ ยนิ ดีดว้ ยผา้ นงุ่ ผา้ ห่ม อาหาร ท่ีอยอู่ าศยั และยารกั ษาโรค ตามมีตามได้ ๙. สติ จาํ การท่ีไดท้ าํ และคาํ ทพี่ ดู แลว้ แมน้ านได้ ๑๐. ปัญญา รอบรูใ้ นกองสงั ขารตามเป็นจริงอย่างไร ธรรมอนั เป็นทีพ่ ึ่งเหลา่ นีเ้ ม่ือบคุ คลมไี วป้ ระจาํ ใจแลว้ ยอ่ มจะเป็นท่ีพึ่งของตนเอง ไดท้ งั้ ในโลกนีแ้ ละโลก หนา้ ยน่ นาถกรณธรรมเหล่านลี้ งในไตรสกิ ขาศีลสิกขาจติ ตสกิ ขาและ ปัญญาสิกขา กถาวตั ถคุ อื ถอ้ ยคำทคี่ วรพดู ๑๐ อยา่ ง ๑. อัปปิ จฉกถา ถอ้ ยคาํ ทชี่ กั นาํ ใหม้ ีความปรารถนานอ้ ย ๒. สนั ตุฏฐกิ ถา ถอ้ ยคาํ ท่ีชกั นาํ ใหส้ นั โดษยนิ ดีดว้ ยปัจจยั ตามมตี ามได้ ๓. ปวิเวกกถา ถอ้ ยคาํ ทีช่ กั นาํ ใหส้ งดั กายสงัดใจ ๔. อสงั สัคคกถา ถอ้ ยคาํ ทชี่ กั นาํ ไม่ใหร้ ะคนดว้ ยหมู่ ๕. วริ ิยารมั ภกถา ถอ้ ยคาํ ทชี่ กั นาํ ใหป้ รารภความเพียร ๖. สลี กถา ถอ้ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหต้ งั้ อย่ใู นศลี ๗. สมาธกิ ถา ถอ้ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหเ้ กิดความสงบ ๘. ปัญญากถา ถอ้ ยคาํ ที่ชกั นาํ ใหเ้ กดิ ปัญญา ๙. วมิ ตุ ติกถา ถอ้ ยคาํ ทีช่ กั นาํ ใหท้ าํ ใจพน้ จากกิเลส ๑๐.วมิ ุตตญิ าณทัสสนกถา ถอ้ ยคาํ ทีช่ กั นาํ ใหเ้ กดิ ความรูค้ วามเหน็ ในความทใ่ี จพน้ จากกเิ ลส กถาวตั ถคุ อื เรื่องท่คี วรพดู บรรพชติ พึงพดู แต่ถอ้ ยคาํ ทเี่ ป็นประโยชนแ์ กต่ นเองและผอู้ ื่น ตามเรื่องทีค่ วรพดู เหลา่ นี้ ควรเวน้ จากการพดู ดว้ ยเดรจั ฉานกถาอนั ไมเ่ ป็นประโยชน์ . อนสุ สติ คอื อารมณค์ วรระลกึ ๑๐ ประการ ๑. พทุ ธานุสสติ ระลึกถงึ คณุ ของพระพทุ ธเจา้
หน้า ๔๒ ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี ๒. ธมั มานุสสติ ระลึกถงึ คณุ ของพระธรรม ๓. สงั ฆานุสสติ ระลึกถึงคณุ ของพระสงฆ์ ๔. สลี านสุ สติ ระลึกถึงศีลของตน. ๕. จาคานุสสติ ระลึกถงึ ทานทต่ี นบรจิ าคแลว้ ๖. เทวตานสุ สติ ระลกึ ถึงคณุ ท่ที าํ บคุ คลใหเ้ ป็นเทวดา ๗. มรณสั สติ ระลึกถงึ ความตายที่จะมาถึงตน ๘. กายคตาสติ ระลกึ ท่วั ไปในกาย ใหเ้ ห็นวา่ ไม่งาม น่าเกลยี ดโสโครก ๙. อานาปานสติ ตงั้ สตกิ าํ หนดลมหายใจเขา้ ออก ๑๐. อปุ สมานุสสติ ระลึก ถึงคณุ พระนิพพาน ซ่งึ เป็นทีร่ ะงบั กิเลสและกองทกุ ข์ อนสุ สติ ๑๐ นี้ เป็นอารมณท์ ี่เราจะตอ้ งระลกึ อยเู่ สมอ ๆ เพอื่ ใหเ้ กิดความไม่ประมาทในการดาํ รงชวี ิต เพราะเม่อื บคุ คลผปู้ ระมาทแลว้ ย่อมจะเป็นทพี่ งึ่ ของตนเองไมไ่ ด้ ทาํ อะไรก็มกั ทีพ่ ลาดไปหมด เพราะฉะนนั้ จงึ ควรทีจ่ ะระลกึ ถึงอนสุ สติเหลา่ นีไ้ วเ้ พอ่ื ตรวจดตู นเองอย่เู สมอ ๆ วา่ เราเป็นอย่อู ยา่ งไรเชน่ เรามคี วามฟุ้งซา่ น ก็ กาํ หนดระลึกถงึ อาณาปานสตเิ พอ่ื ใหใ้ จสงบเป็นตน้ . ปกิณณกะ คือ หมวดเบ็ดเตล็ด อุปกเิ ลส คอื โทษเครอ่ื งเศรา้ หมอง ๑๖ อยา่ ง ๑. อภชิ ฌาวสิ มโลภะ ความโลภอยากไดน้ ่นั อยากไดน้ ี้ แกด้ ว้ ย ทาน จาคะ ๒. โทสะ ใจเหยี้ มโหด มงุ้ รา้ ยหมายชีวติ แกโ้ ดยเมตตา กรุณา พรหมวหิ าร ๓. โกธะ โกรธ หงดุ หงดิ ฉนุ ฉียว แกด้ ว้ ย ขนั ติ เมตตาพรหมวหิ าร ๔. อปุ นาหะ เคยี ดแคน้ ผกู ใจเจ็บ แกด้ ว้ ย กายคตาสติ ๕. มกั ขะ ลบหล่คู ณุ ท่าน แกด้ ว้ ย กตญั �กู ตเวทิตา ๖. ปลาสะ ตีตนเสมอ คือยกตวั เทยี มทา่ น แกด้ ว้ ย สมั มาคารวะ ๗. อิสสา รษิ ยา คือเห็นเขาไดด้ ี ทนอยไู่ ม่ได้ แกด้ ว้ ย มทุ ิตาพรหมวหิ าร ๘. มจั ฉรยิ ะ ตระหน่ี ใจแคบ แกด้ ว้ ย มรณัสสติ ๙. มายา มารยา คอื เจา้ เลห่ ์ แกด้ ว้ ย สจั จะ ๑๐. สาเถยยะ โออวด แกด้ ว้ ย วจีสจุ ริต ๑๑. ถมั ภะ กระดา้ ง หวั ดอื้ แกด้ ว้ ย โสวจสั สตา ๑๒. สารมั ภะ แขง่ ดี คนอน่ื สตู่ นไม่ได้ แกด้ ว้ ย อสภุ กมั มฏั ฐาน ๑๓. มานะ ถอื ตวั ทนงตวั แกด้ ว้ ย นิวาต
ธรรมวภิ าค ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๔๓ ๑๔. อติมานะ ดหู มนิ่ เหยียดหยามทา่ น แกด้ ว้ ย อปจายนะ ๑๕. มทะ หลงมวั เมา สาํ คญั ผดิ เป็นชอบ แกด้ ว้ ย จตธุ าตวุ วฏั ฐาน ๑๖. ปมาทะ ประมาท เลนิ เลอ่ แกด้ ว้ ย เจริญกสิณ โพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ หมายถงึ องคแ์ ห่งการตรสั รูธ้ รรมของพระพทุ ธเจา้ คอื ๑. สตปิ ัฏฐาน ๔ ๒. สมั มปั ปธาน ๔ ๓. อิทธบิ าท ๔ ๔. อนิ ทรีย์ ๕ ๕. พละ ๕ ๖. โพชฌงค์ ๗ ๗. มรรคมอี งค์ ๘ ธรรมเหล่านเี้ มอื่ รวมเขา้ กนั แลว้ กไ็ ด้ ๓๗ ประการพอดี ที่ไดช้ ่อื วา่ โพธิปักขิย ธรรมนน้ั เพราะเป็นธรรมเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งปัญญาตรสั รูโ้ ลกุตตระธรรมและมชี ่ือเรยี กอกี อย่างหนงึ่ วา่ อภิญญาเทสิตธรรม เพราะเป็นธรรมทพ่ี ระองคท์ รงแสดง เพ่ือความรูย้ งิ่ เหน็ จรงิ ในธรรมทค่ี วรรูค้ วรเหน็ . คิหิปฏบิ ตั ิ คิหิปฏบิ ตั ิ คือ ธรรมปฏบิ ตั สิ าํ หรบั คฤหสั ถ์ หรอื ฆราวาส กรรมกิเลส คอื กรรมเครอื่ งเศรา้ หมอง ๔ อยา่ ง ๑. ปาณาติบาต ฆ่าหรอื ทาํ ลายสตั วม์ ชี ีวิตถึงตาย ๒. อทนิ นาทาน ลกั ขโมยทรพั ยส์ ินของผอู้ น่ื มาครองครอง ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ประพฤติผิดจารตี ประเวณที างกามารมณ์ ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ หลอกลวงใหผ้ อู้ ืน่ เชื่อและเสียประโยชน์ อบายมขุ คอื เหตเุ ครื่องฉบิ หาย ๔ อยา่ ง บ่อเกดิ แห่งความวิบตั ิ จิตใจเสือ่ ม ครอบครวั ล่มจม ไมค่ วรประพฤติ ๑. ความเป็นนกั เลงหญิง ประพฤตติ นเป็นคนเจา้ ชู้ เสเพลม่วั อยกู่ บั รกั ๆ ใคร่ ๆ ๒. ความเป็นนกั เลงสรุ า ม่วั สมุ กบั ของมนึ เมา และสิง่ เสพติดใหโ้ ทษ ๓. ความเป็นนกั เลงเล่นการพนนั หมกม่นุ เลน่ การพนนั แบบผีส่งิ ๔. ความคบคนช่วั เป็นมติ ร สนทิ ชดิ เชอื้ และถกู ชั กจงู ทาํ ช่วั ทจุ รติ ตามเพ่อื นเลว ๆ โทษ ๔ ประการ ไม่ควรประกอบ ไม่ควรทาํ
หน้า ๔๔ ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาช้ันตรี ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยนช์ คอื ประโยชนใ์ นปจั จบุ นั ๔ อยา่ ง ๑. อุฏฐานสมั ปทา เพยี รเอาจริงเอาจงั ในการศึกษาเลยี้ งชพี ธุรกิจ ทกุ อย่าง ๒. อารักขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษาคมุ้ ครองภารกิจมใิ หบ้ กพรอ่ ง ประหยดั และคมุ้ ครองทรพั ยส์ ิน ๓. กลั ยาณมติ ตตา คบเพ่อื นเป็นคนดี ไมค่ บคนช่วั เป็นมติ ร ๔. สมชวี ติ า ความเลยี้ งชีวติ และครอบครวั พอควรแกร่ ายไดแ้ ละทาํ ทจี่ าํ เป็น สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ คอื ประโยชนภ์ ายหนา้ ๔ อยา่ ง ๑. สทั ธาสัมปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยศรทั ธา เชอื่ มนั ในหลกั ธรรม เชื่อกฎของกรรม ๒. สลี สมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศลี ประพฤติชอบดว้ ยกายวาจา ๓. จาคสัมปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยการบรจิ าค นาํ้ ใจเสยี สละ เกือ้ กลู ผอู้ ่ืนใหม้ สี ขุ สบาย ๔. ปัญญาสัมปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยปัญญา จติ สาํ นกึ ผดิ ชอบช่วั ดี รูป้ รชั ญาชวี ิตเจนจบ มติ รปฏริ ปู คอื คนเทยี มมติ ร คนทมี่ ใิ ช่มติ รแท้ ผไู้ ม่มีความจริงใจ ไมค่ วรคบใกลช้ ิด มีลกั ษณะต่าง ๆ ๑. คนปอกลอก ทาํ ตีสนิทใหว้ างใจ ปลนิ้ ปลอ้ น ๒. คนดีแต่พดู กาํ นลั ดว้ ยลมปากหวานหวา่ นลอ้ ม ๓. คนหวั ประจบ ทาํ โอนอ่อนใจเลยี้ งลด ใจคดปากซอื่ ๔. คนชกั ชวนทางฉบิ หาย ชกั จงู ใหห้ ลงผดิ จนเสียตวั เสยี คน ลกั ษณะคนปอกลอก ๔ อยา่ ง ๑. คดิ เอาแต่ไดฝ้ ่ายเดยี ว ๒. เสียใหน้ อ้ ย คดิ เอาใหไ้ ดม้ าก ๓. เมอื่ มีภยั แกต่ วั จงึ รบั ทาํ กจิ ของเพื่อน ๔. คบเพือ่ นเพราะเห็นแกป่ ระโยชนข์ องตวั ลกั ษณะของคนดีแตพ่ ดู ๔ อย่าง ๑. เกบ็ เอาของลว่ งแลว้ มาปราศรยั ๒. อา้ งเอาของท่ยี งั ไม่มมี าปราศรยั ๓. สงเคราะหด์ ว้ ยสง่ิ หาประโยชนม์ ิได้ ๔. ออกปากพ่ึงมไิ ด้ ลกั ษณะของคนหวั ประจบ ๔ อยา่ ง ๑. จะทาํ ช่วั ก็คลอ้ ยตาม
ธรรมวิภาค ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี หน้า ๔๕ ๒. จะทาํ ดกี ็คลอ้ ยตาม ๓. ตอ่ หนา้ ว่าสรรเสรญิ ๔. ลบั หลงั ตงั้ นินทา ลกั ษณะของคนชกั ชวนในทางฉบิ หาย ๔ อย่าง ๑. ชกั ชวนดม่ื นา้ํ เมา ๒. ชกั ชวนเทยี่ วกลางคืน ๓. ชกั ชวนใหม้ วั เมาในการเล่น ๔. ชกั ชวนเลน่ การพนนั มิตรแท้ ๔ จำพวก ๑. มิตรมอี ปุ การะ ยามเดือดรอ้ นอาศยั ได้ คราวลาํ เคญ็ ก็เกอื้ หนนุ ๒. มิตรรว่ มสขุ รว่ มทกุ ข์ นาํ้ ใจซื่อเปิดเผย เขา้ ถึงใจกนั เสียสละแทนกนั ได้ ๓. มติ รแนะประโยชน์ ตกั เตอื นมใิ หห้ ลงผดิ ปลกุ ปลอบใหต้ งั้ ตนไวช้ อบ ๔. มติ รมีความรกั ใคร่ เสมอตน้ เสมอปลาย รกั และภกั ดีทงั้ ต่อหนา้ และลบั หลงั ลกั ษณะของมติ รมอี ปุ การะ ๔ อยา่ ง ๑. ปอ้ งกนั เพ่อื นผปู้ ระมาทแลว้ ๒. ปอ้ งกนั ทรพั ยส์ มบตั ิของเพอ่ื นผปู้ ระมาทแลว้ ๓. เมอ่ื มภี ยั เป็นที่พงึ่ พาํ นกั ได้ ๔. เมอื่ มีธุระชว่ ยออกทรพั ยใ์ หเ้ กินกวา่ ท่ีออกปาก ลกั ษณะของมิตรรว่ มสขุ ร่วมทกุ ข์ ๔ อย่าง ๑. ขยายความลบั ของตนแก่เพอื่ น ๒. ปิดความลบั ของเพื่อนไมใ่ หแ้ พรพ่ ราย ๓. ไม่ละทงิ้ ในยามวิบตั ิ ๔. แมช้ วี ติ ก็อาจสละแทนได้ ลกั ษณะของมิตรแนะประโยชน์ ๔ อย่าง ๑. หา้ มไมใ่ หท้ าํ ความช่วั ๒. แนะนาํ ใหต้ งั้ อยใู่ นความดี ๓. ใหฟ้ ังสงิ่ ท่ยี งั ไม่เคยฟัง ๔. บอกทางสวรรคใ์ ห้ ลกั ษณะของมติ รมคี วามรกั ใคร่ ๔ อย่าง ๑. ทกุ ข์ ๆ ดว้ ย
หน้า ๔๖ ธรรมวิภาค ธรรมศึกษาชนั้ ตรี ๒. สขุ ๆ ดว้ ย ๓. โตเ้ ถยี งคนทพ่ี ดู ตเิ ตยี นเพ่อื น ๔. รบั รองคนทีพ่ ดู สรรเสรญิ เพือ่ น สงั คหวตั ถุ ๔ อยา่ ง สงั คหวตั ถุ คอื ธรรมเครอื่ งยดึ เหน่ียวนา้ํ ใจ ธรรมสาํ หรบั ผกู ไมตรีเป็นจรรยาบรรณ ดา้ นมนษุ ยสมั พนั ธ์ เกดิ เสน่ห์ ชนะใจคน ครองใจคน ๑. ทาน แจกจ่ายแกค่ นยากจน คนประสบภยั พบิ ตั ิตา่ ง และบริจาคเพ่อื กุศลสงเคราะห์ ๒. ปิยวาจา พดู จาน่มุ นวล ออ่ นหวาน ๓. อตั ถจริยา สงเคราะหผ์ ขู้ ดั สน และบาํ เพ็ญสาธารณประโยชน์ ๔. สมานตั ตตา วางตนเหมาะแก่สงิ่ แวดลอ้ ม ไมถ่ อื ตวั สขุ ของคฤหสั ถ์ ๔ อยา่ ง เป็นความสขุ ที่คฤหัสถส์ ามญั ชนปรารถนากนั ๑. สขุ เกดิ เพราะความมที รพั ยส์ มบตั ิ มีกนิ มใี ช้ ๒. สขุ เกดิ แต่การจ่ายทรพั ยบ์ ริโภค บาํ รุงเลยี้ งตน ครอบครวั ใชเ้ ป็นประโยชน์ ๓. สขุ เกิดแตค่ วามไมต่ อ้ งเป็นหนี้ ๔. สขุ เกิดแตป่ ระกอบการงานทป่ี ราศจากโทษ มอี าชีพสจุ รติ ปราศจากพิษปลอดภยั ความปรารถนาของบคุ คลในโลก ทไี่ ดส้ มหมายดว้ ยยาก ๔ อยา่ ง ๑. ขอสมบตั จิ งเกิดมีแก่เราโดยทางท่ชี อบ (ลาภ) ๒. ขอยศจงเกิดมีแกเ่ รากบั ญาติพวกพอ้ ง (ยศ) ๓. ขอเราจงรกั ษาอายใุ หย้ นื นาน (ผาสกุ ) ๔. เมอื่ สิน้ ชีพแลว้ ขอเราจงไปบงั เกดิ ในสวรรค์ (สวรรค)์ ตระกลู อนั มน่ั คงั่ จะตง้ั อยูน่ านไมไ่ ดเ้ พราะสถาน ๔ ๑. ไม่แสวงหาพสั ดทุ ่หี ายแลว้ ๒. ไมบ่ ูรณะพสั ดทุ ค่ี ร่าํ ครา่ ๓. ไมร่ ูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภคสมบตั ิ ๔. ตงั้ สตรหี รอื บรุ ุษทศุ ลี ใหเ้ ป็นแม่เรือนพอ่ เรอื น ธรรมของฆราวาส ๔ อยา่ ง ชวี ติ ชาวบา้ นจะรม่ เย็นเป็นสขุ และรุง่ โรจนม์ ่นั คงเหมอื นเรือนสวรรค์ เพราะคณุ ธรรม คอื
ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี หนา้ ๔๗ ๑. สจั จะ นา้ํ ใจสตั ยซ์ ่ือ จริงใจและจงรกั ภกั ดีซ่ึงกนั และกนั ๒. ทมะ ขม่ จติ ยบั ยงั้ ช่งั ใจ ปรบั อารมณโ์ ดยเอาใจเขามาใส่ใจเรา ๓. ขนั ติ อดทน สทู้ นในการประกอบสมั มาชีพ อดทนต่ออปุ สรรค และอดกลนั้ ส่ิง สะเทือนใจ ๔. จาคะ สละใหป้ ันสิ่งของของตนแกค่ นท่ีควรใหป้ ัน ปญจกะ คือหมวด ๕ ประโยชนเ์ กดิ แตก่ ารถอื โภคทรพั ย์ ๕ อยา่ ง เมือ่ แสวงหาโภคทรพั ยไ์ ดโ้ ดยทางทชี่ อบแลว้ ควรท่ีจะมีการใชจ้ า่ ยทถ่ี กู ตอ้ งตามระบบเศรษฐกจิ แบบพทุ ธ ดงั นี้ ๑. เลีย้ งตวั มารดา บดิ า บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ใหเ้ ป็นสขุ ๒. เลยี้ งเพ่อื นฝงู ใหเ้ ป็นสขุ ๓. บาํ บดั อนั ตรายท่ีเกิดแตเ่ หตตุ ่าง ๆ ๔. ทาํ พลี ๕ อยา่ ง คอื ๔.๑ ญาตพิ ลี สงเคราะหญ์ าติ ๔.๒ อติถพิ ลี ตอ้ นรบั แขก ๔.๓ ปพุ พเปตพลี ทาํ บุญอทุ ิศใหผ้ ตู้ าย ๔.๔ ราชพลี บรจิ าคเป็นหลวง มีการเสียภาษีอากรเป็นตน้ ๔.๕ เทวตาพลี ทาํ บญุ อทุ ิศใหเ้ ทวดา ๕. บรจิ าคทานในสมณพราหมณ์ พระสงฆผ์ ปู้ ระพฤติชอบ ศลี ๕ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เวน้ จากทาํ ชวี ิตสตั วใ์ หต้ กล่วงไป ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เวน้ จากถอื เอาส่ิงที่ เจา้ ของไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยอาการแห่งขโมย ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เวน้ จากประพฤตผิ ิดในกาม ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เวน้ จากพดู เท็จ ๕. สรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐานา เวรมณี เวน้ จากดมื่ นาํ้ เมา คือสรุ าและเมรยั อนั เป็นทต่ี งั้ แห่งความ ประมาท มจิ ฉาวณชิ ชา คอื การคา้ ขายไมช่ อบธรรม ๕ อยา่ ง
หน้า ๔๘ ธรรมวิภาค ธรรมศึกษาช้ันตรี อาชีพซอื้ ชายเฉพาะสนิ คา้ อนั ชาวพทุ ธไม่ควรดาํ เนินการ คือ ๑. คา้ ขายเคร่ืองประหาร ศสั ตรา อาวธุ หอก ดาบ ปืน และเครื่องดกั จบั สตั ว์ เป็นตน้ ๒. คา้ ขายมนษุ ย์ ๓. คา้ ขายสตั วเ์ ป็นสาํ หรบั ฆา่ เพ่อื เป็นอาหาร ๔. คา้ ขายนา้ํ เมา ๕. คา้ ขายยาพษิ การคา้ ขาย ๕ อยา่ งนี้ เป็นขอ้ หา้ มอบุ าสกไมใ่ หป้ ระกอบ สมบตั ขิ องอุบาสก ๕ ประการ เอกลกั ษณ์ คือคณุ สมบตั ิพิเศษของชาวพทุ ธ ทงั้ อบุ าสกและอบุ าสิกา คือ ๑. ประกอบดว้ ยศรทั ธา ๒. มีศลี บรสิ ทุ ธิ์ ๓. ไม่ถอื มงคลตน่ื ขา่ ว คอื เชอ่ื กรรม ไม่เชือ่ มงคล ๔. ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกพทุ ธศาสนา ๕. บาํ เพญ็ บญุ แตใ่ นพทุ ธศาสนา ฉักกะ คือ หมวด ๖ ทศิ ๖ ๑. ปรุ ตั ถิมทศิ คอื ทิศเบือ้ งหนา้ มารดา บิดา ๒. ทกั ขิณทิศ คือทศิ เบือ้ งขวา ครู อาจารย์ ๓. ปัจฉิมทิศ คอื ทศิ เบือ้ งหลงั บุตรภรรยา ๔. อตุ ตรทศิ คอื ทศิ เบือ้ งซา้ ย มิตรสหาย ๕. เหฏฐิมทิศ คอื ทศิ เบอื้ งต่าํ บา่ วไพร่ ๖. อปุ ริมทศิ คอื ทศิ เบอื้ งบน สมณพราหมณ์ ๑. ปรุ ตั ถิมทศิ คือทิศเบอื้ งหนา้ (มารดาบิดา) บตุ รพงึ บาํ รุงดว้ ยสถาน ๕ ๑ ทา่ นไดเ้ ลยี้ งมาแลว้ เลยี้ งท่านตอบ ๒ ทาํ กจิ ของทา่ น ๓ ดาํ รงวงศส์ กลุ ๔ ประพฤติตนใหเ้ ป็นคนควรรบั ทรพั ยม์ รดก ๕ เม่ือทา่ นลว่ งลบั ไปแลว้ ทาํ บญุ อทุ ิศใหท้ ่าน มารดาบดิ าไดร้ บั บาํ รุงฉะนแี้ ลว้ อนเุ คราะหบ์ ตุ รดว้ ยสถาน ๕ ๑. หา้ มใหท้ าํ ความช่วั ๒. ใหต้ งั้ อยใู่ นความดี
ธรรมวิภาค ธรรมศึกษาชั้นตรี หนา้ ๔๙ ๓. ใหศ้ ึกษาศิลปวิทยา ๔. หาภรรยาทสี่ มควรให้ ๕. มอบทรพั ยใ์ หใ้ นสมยั ๒. ทกั ขิณทศิ คอื ทิศเบอื้ งขวา (อาจารย)์ ศษิ ยพ์ ึงบาํ รุงดว้ ยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยลกุ ขนึ้ ยืนรบั ๒. ดว้ ยเขา้ ไปยนื คอยรบั ใช้ ๓. ดว้ ยเชอ่ื ฟัง ๔. ดว้ ยอปุ ัฏฐาก ๕. ดว้ ยเรยี นศิลปวิทยาโดยเคารพ อาจารยไ์ ดร้ บั บาํ รุงฉะนแี้ ลว้ ย่อมอนเุ คราะหศ์ ิษยด์ ว้ ยสถาน ๕ ๑. แนะนาํ ดี ๒. ใหเ้ รียนดี ๓. บอกศลิ ปใหส้ ิน้ เชงิ ไม่ปิดบงั อาํ พราง ๔. ยกยอ่ งใหป้ รากฏในเพ่อื นฝงู ๕.ทาํ ความปอ้ งกนั ทศิ ทงั้ หลาย (คือจะไปทางทิศไหน ก็ไม่อดอยาก) ๓. ปจั ฉิมทิศ คอื ทศิ เบอื้ งหลงั (ภรรยา) สามีพงึ บาํ รุงดว้ ยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยยกยอ่ งนบั ถอื วา่ เป็นภรรยา ๒. ดว้ ยไมด่ หู มน่ิ ๓. ดว้ ยไมป่ ระพฤติลว่ งใจ ๔. ดว้ ยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๕. ดว้ ยใหเ้ ครอื่ งแตง่ ตวั ภรรยาไดร้ บั บาํ รุงฉะนีแ้ ลว้ ย่อมอนเุ คราะหส์ ามดี ว้ ยสถาน ๕ อย่าง ๑. จดั การงานดี ๒. สงเคราะหค์ นขา้ งเคียงของผวั ดี ๓. ไมป่ ระพฤตลิ ว่ งใจผวั ๔. รกั ษาทรพั ยท์ ่ผี วั หามาไดไ้ ว้ ๕. ขยนั ไม่เกยี จครา้ นในกจิ การทงั้ ปวง อตุ ตรทิศ คือทศิ เบอื้ งซา้ ย (มติ ร) กลุ บุตรพึงบาํ รุงดว้ ยสถาน ๕ อย่าง ๑. ดว้ ยใหป้ ัน ๒. ดว้ ยเจรจาถอ้ ยคาํ ไพเราะ ๓. ดว้ ยประพฤติประโยชน์ ๔. ดว้ ยความเป็นผมู้ ตี นเสมอ ๕. ดว้ ยไมแ่ กลง้ กลา่ วใหค้ ลาดจากความเป็นจรงิ มติ รไดร้ บั บาํ รุงฉะนีแ้ ลว้ ย่อมอนเุ คราะหก์ ลุ บตุ รดว้ ยสถาน ๕ อยา่ ง ๑. รกั ษามิตรผปู้ ระมาทแลว้ ๒. รกั ษาทรพั ยข์ องมติ รผปู้ ระมาทแลว้ ๓. เมอ่ื มีภยั เอาเป็นทพ่ี ึ่งพาํ นกั ได้ ๔. ไม่ละทงิ้ ในยามวิบตั ิ ๕. นบั ถือตลอดถงึ วงศข์ องมติ ร ๕. เหฏฐิมทศิ คอื ทศิ เบือ้ งตา่ํ (บา่ ว) นาย พงึ บาํ รุงดว้ ยสถาน ๕ อยา่ ง ๑. ดว้ ยจดั การงานใหท้ าํ ตามสมควรแก่กาํ ลงั ๒. ดว้ ยใหอ้ าหารและรางวลั ๓. ดว้ ยรกั ษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้ ๔. ดว้ ยแจกของมีรสแปลกประหลาดใหก้ ิน
หน้า ๕๐ ธรรมวภิ าค ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี ๕. ดว้ ยปลอ่ ยในสมยั บ่าวไดร้ บั บาํ รุงฉะนีแ้ ลว้ ยอ่ มอนเุ คราะหน์ ายดว้ ยสถาน ๕ อย่าง ๑. ลกุ ขนึ้ ทาํ การงานกอ่ นนาย ๒. เลกิ การงานทหี ลงั นาย ๓. ถือเอาแตข่ องทน่ี ายให้ ๔. ทาํ การงานใหด้ ีขนึ้ ๕. ทาํ คณุ ของนายไปสรรเสริญในทีน่ ัน้ ๆ ๖. อปุ รมิ ทศิ คือทศิ เบือ้ งบน (สมณพราหมณ)์ กลุ บตุ รพึงบาํ รุงดว้ ยสถาน ๕ อย่าง ๑. ดว้ ยกายกรรม คอื ทาํ อะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๒. ดว้ ยวจีกรรม คอื พดู อะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๓. ดว้ ยมโนกรรม คือคิดอะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๔. ดว้ ยความเป็นผไู้ มป่ ิดประตู คอื ตอ้ นรบั เขา้ สบู่ า้ นเรือน ๕. ดว้ ยใหอ้ ามิสทาน สมณพราหมณไ์ ดร้ บั บาํ รุงฉะนแี้ ลว้ ยอ่ มอนเุ คราะหก์ ุลบตุ รดว้ ยสถาน ๖ อยา่ ง คอื ๑. หา้ มไม่ใหก้ ระทาํ ความช่วั ๒. ใหต้ งั้ อย่ใู นความดี ๓. อนเุ คราะหด์ ว้ ยนา้ํ ใจอนั งาม ๔. ใหไ้ ดฟ้ ังสงิ่ ที่ยงั ไมเ่ คยฟัง ๕. ทาํ สิ่งทเ่ี คยฟังแลว้ ใหแ้ จม่ ชดั ๖. บอกทางสวรรคใ์ ห้ อบายมขุ คอื เหตเุ คร่ืองฉบิ หาย ๖ อยา่ ง ๑. ดม่ื นาํ้ เมา ๒. เที่ยวกลางคนื ๓. เที่ยวดกู ารเลน่ ๔. เลน่ การพนนั ๕. คบคนช่วั เป็นมติ ร ๖. เกยี จครา้ นทาํ การงาน ๑) โทษของการดมื่ นา้ํ เมา ๖ อยา่ ง ๒. ก่อการทะเลาะววิ าท ๑. เสยี ทรพั ย์ ๓. เกดิ โรคโดยเฉพาะโรคเอดส์ ๔. ตอ้ งถกู ติเตียน ๕. ไมร่ ูจ้ กั อาย ๖. ทอนกาํ ลงั ปัญญา ๒) โทษของการเทยี่ วกลางคนื ๖ อยา่ ง ๑. ชอื่ ว่าไม่รกั ษาตวั ๒. ชอ่ื ว่าไม่รกั ษาลกู เมยี ๓. ชอื่ วา่ ไมร่ กั ษาทรพั ยส์ มบตั ิ ๔. เป็นที่ระแวงของคนทงั้ หลาย ๕. มกั ถกู ใสค่ วาม ๖. ไดค้ วามลาํ บากมาก ๓) โทษของเทีย่ วดูการละเลน่ ตามวตั ถทุ ไี่ ปดู ๖ อยา่ ง ๑. ราํ ทไ่ี หนไปท่นี ่นั ๒. ขบั รอ้ งทไ่ี หนไปที่น่นั ๓. ดีดสีตเี ป่าทไ่ี หนไปท่นี ่นั ๔. เสภาท่ไี หนไปทน่ี ่นั ๕. เพลงที่ไหนไปท่นี ่นั ๖. เถิดเทิงทไ่ี หนไปทีน่ ่นั
ธรรมวิภาค ธรรมศึกษาช้นั ตรี หนา้ ๕๑ ๔) โทษของการเล่นการพนนั ๖ อยา่ ง ๑. เม่อื ชนะยอ่ มก่อเวร ๒. เมอื่ แพย้ ่อมเสียดายทรพั ยท์ ี่เสียไป ๓. ทรพั ยย์ อ่ มฉบิ หาย ๔. ไมม่ ใี ครเช่ือถอื ถอ้ ยคาํ ๕. เป็นท่หี มิ่นประมาทของเพ่ือน ๖. ไมม่ ใี ครประสงคจ์ ะแตง่ งานดว้ ย ๕) โทษของการคบคนชว่ั เป็นมติ รตามบคุ คลทคี่ บ ๖ อย่างคือ ๑. นาํ ใหเ้ ป็นนกั เลงการพนนั ๒. นาํ ใหเ้ ป็นนกั เลงเจา้ ชู้ ๓. นาํ ใหเ้ ป็นนกั เลงเหลา้ ๔. นาํ ใหเ้ ป็นคนลวงเขาดว้ ยของปลอม ๕. นาํ ใหเ้ ป็นคนลวงเขาซ่งึ ๆหนา้ ๖. นาํ ใหเ้ ป็นคนหวั ไม้ ๖ ) โทษของการเกยี จครา้ นทาํ การงาน ๑. มกั ใหอ้ า้ งวา่ หนาวนกั แลว้ ไมท่ าํ การงาน ๒. มกั ใหอ้ า้ งวา่ รอ้ นนกั แลว้ ไมท่ าํ การงาน ๓. มกั ใหอ้ า้ งวา่ เวลาเย็นแลว้ แลว้ ไม่ทาํ การงาน ๔. มกั ใหอ้ า้ งวา่ ยงั เชา้ นกั แลว้ ไมท่ าํ การงาน ๕. มกั ใหอ้ า้ งวา่ หิวนกั แลว้ ไม่ทาํ การงาน ๖. มกั ใหอ้ า้ งวา่ ระหายนกั แลว้ ไมท่ าํ การงาน สรุป ผหู้ วงั ความเจริญดว้ ยโภคทรพั ย์ พึงเวน้ เหตเุ คร่อื งฉบิ หาย ๖ ประการนเี้ สีย.
หน้า ๕๒ พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี วชิ าพุทธประวตั ิ เป็นการศึกษาภมู ิหลงั ประวตั ขิ องพระพุทธเจา้ เพ่ือทีจ่ ะไดเ้ กิดศรทั ธา ความเช่ือ ปสาทะ ความเลอ่ื ม ใสใน พระองค์ ในคาํ สอนของพระองค์ ประโยชน์ของการเรียนพุทธประวัติ ๑. ไดศ้ รัทธา และปสาทะ ๒. ไดท้ ราบพระประวตั ขิ องพระองค์ ๓. ไดท้ ราบพระจริยาวตั ร การประพฤติปฏบิ ตั ิของพระองค์ ๔. ไดท้ ฏิ ฐานุคติ แบบแผนทดี่ ีงาม ๕. นาํ ไปประพฤติปฏิบตั ิ เพ่ือปรบั ปรุงชีวติ ของตนเอง ปรุ มิ กาล วา่ ดว้ ยชมพทู วปี และประชาชน ชมพทู วีป คอื ประเทศอนิ เดียในสมยั ก่อน ในสมยั ปัจจบุ นั แบง่ ออกเป็น ๔ ประเทศ คอื อนิ เดยี , เนปาล, ปากีสถานและบงั คลาเทศ ซ่ึงอยทู่ างทศิ พายพั ของประเทศไทย (ทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ) ชนชาติท่อี าศยั อยมู่ ี ๒ เผา่ คือ ๑. ชนชาติมิลกั ขะ เจา้ ถน่ิ เดิม อาศยั อยกู่ ่อน ๒. ชนชาตอิ ริยกะ พวกทรี่ ุกไลเ่ จา้ ของถ่นิ เดิมออกไป ชมพทู วีป แบ่งออกเป็นจงั หวดั ใหญ่ ๒ จงั หวดั คือ ๑. มชั ฌิมชนบท หรือ มธั ยมประเทศ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ส่วนกลาง ๒. ปัจจนั ตชนบท ไดแ้ ก่ จงั หวดั ปลายแดน อาณาจกั รตา่ ง ๆ ในคร้ังพุทธกาล ชมพทู วีปแบง่ การปกครองออกเป็น ๒๑ อาณาจกั ร หรือแควน้ คอื ๑. ในบาลีอุโบสถสูตร ๑๖ แควน้ คอื องั คะ มคธะ กาสี โกสละ วชั ชี มลั ละ เจตี วงั สะ กรุ ุ ปัญจาละ มจั ฉะ สุรเสนะ อสั สกะ อวนั ตี คนั ธาระ กมั โพชะ. ๒. ในพระสูตรอ่ืน ๆ อกี ๕ แควน้ คอื สกั กะ โกลิยะ ภคั คะ วเิ ทหะ และองั คตุ ตราปะ อาณาจกั เหลา่ น้ี ผูป้ กครองดาํ รงยศเป็นมหาราชาบา้ ง เป็นราชาบา้ ง เป็นอธิบดีบา้ ง
Search