Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารรายงานฯโครงการฯ งบฟื้นฟู

เอกสารรายงานฯโครงการฯ งบฟื้นฟู

Published by nudyna, 2021-06-01 03:22:52

Description: เอกสารรายงานฯโครงการฯ งบฟื้นฟู (อัญชลี)30.5.64

Search

Read the Text Version

๔๔ จากตารางท่ี 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชา หลักกสิกรรม ธรรมชาติ โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 4.41 โดยแยกพิจารณาเปน็ รายประเดน็ ได้ดงั น้ี 1. ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย ระดับมาก คา่ เฉล่ีย 4.44 2. เทคนคิ และวธิ ีการทใี่ ช้ในการถา่ ยทอดความรู้ ระดับมาก คา่ เฉลย่ี 4.42 3. การเปดิ โอกาสใหซ้ กั ถาม แสดงความคิดเห็น ระดบั มาก ค่าเฉลีย่ 4.38 4. การสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ ระดบั มาก คา่ เฉลีย่ 4.39 5. บคุ ลกิ ภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง น้าเสียง ฯลฯ) ระดับมาก ค่าเฉลยี่ 4.43 สงิ่ ทท่ี ่ำนประทบั ใจในวิทยำกรท่ำนน้คี ือ -บรรยายเขา้ ใจดี -เปน็ กนั เองจริงใจ -มพี ลงั ในการพฒั นามแี นวคิดเพิม่ ข้ึน -สรุปเน้อื หาเขา้ ใจง่าย -เสียงดังดกี ระตนุ้ ให้ตื่นตวั อยากเรยี นรู้ -ยิ้มแย้มแจ่มใส อธั ยาศัยดี สง่ิ ที่วทิ ยำกรควรปรบั ปรุงคอื -เวลาไมพ่ อ -ควรจะผอ่ นคลายบ้าง -บรรยายไม่สร้างความสนุก ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม อนื่ ๆ -เปิดใหม้ กี ารครน้ี เครงบ้าง -เวลาในการพกั เบรกและการบรหิ ารเวลาโดยรวม

๔๕ วทิ ยำกรหลัก 7. วิชำ แบ่งกลุ่มฝกึ ปฏบิ ัติฐำนกำรเรียนรู้ วิทยำกรประจำฐำน ผ้รู ับผดิ ชอบวิชำ นายณัฐนิช รกั ขติวงศ์ นกั วิชาการพัฒนาชมุ ชนชานาญการ ทีมวทิ ยากร ศพช.ลาปาง ครพู าทาประจาฐานเรียนรู้ นายณฐั นิช รักขตวิ งศ์ นกั วิชาการพฒั นาชมุ ชนชานาญการ วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพื่อใหผ้ ู้เขา้ รบั การฝึกอบรมรแู้ ละเข้าใจถึงการน้อมนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาปรับ ใช้ในชวี ติ ประจาวนั และสามารถปฏบิ ตั จิ นเป็นวถิ ชี วี ิต ๒. เพ่อื ผู้เขา้ อบรมมีทักษะความรู้ในแตล่ ะฐานการเรยี นรูแ้ ละนาไปปฏบิ ตั ิได้ ๓. สามารถนาความรู้และเทคนิคในฐานตา่ งๆไปประยุกตใ์ ช้เปน็ อาชพี เสรมิ ในครวั เรือนเพ่ือให้เกิด รายไดแ้ ละพ่งึ พาตนเองได้ ระยะเวลำ 7 ชั่วโมง ประเด็น/ขอบเขตเน้อื หำ 9 ฐานเรยี นรู้ตามหลกั กสกิ รรมธรรมชาติ ขั้นตอน/วธิ กี ำร 1. วิทยากรทาการแบ่งกลุม่ ฯ และชแี้ จงกติกา ในการเข้าฝึกปฏิบตั ฐิ านการเรียนรู้ 2. เรียนรู้ฐานการเรียนรู้ โดยแบ่งออกเป็น ช่วง เช้า ได้แก่ ฐานฅนติดดิน ฅนรักษ์แม่ธรณี ฅนมีน้ายา และ ฅนเอาถ่าน และช่วงบ่าย ได้แก่ ฐานฅนมีไฟ ฅนรักษ์ป่า ฅนรกั ษ์น้า ฅนรักษ์สขุ ภาพ และฐานฅนรกั ษ์แมโ่ พสพ ๓. ถอดบทเรียนกจิ กรรมทท่ี าร่วมกนั เทคนิควธิ กี ำร 1. วิทยากรช้ีแจงกตกิ าการฝึกปฏิบตั ติ ามกลุ่มฯ 2. คุมเวลาฝกึ ปฏิบัตกิ ารแตล่ ะฐาน 3. มีเวลาใหไ้ ดแ้ ลกเปลยี่ นเรียนรู้ สรุปเนอ้ื หำวชิ ำ/ผลกำรเรียนรู้ 1. วิทยากรทาการแบ่งกลุ่มฯ และชี้แจงกติกาในการเข้าฝึกปฏิบัติฐานการเรียนรู้โดยแบ่งออกเป็น ช่วงเช้า ได้แก่ ฐานฅนติดดิน ฅนรักษ์แม่ธรณี ฅนมีน้ายา และ ฅนเอาถ่านส่วนช่วงบ่าย ได้แก่ฐานฅนมีไฟ ฅน รักษ์ป่า ฅนรักษ์น้า ฅนรักษ์สุขภาพ และฐานฅนรักษ์แม่โพสพ โดยกาหนด เวลา ในการเข้าประจา แต่ละฐาน เรยี นรู้ ช่วงเชา้ ฐานละ 30 นาที ส่วนชว่ งบ่าย กาหนดเวลา ฐานละ 40 นาที 2. กาหนดให้แต่ละกลุ่ม ได้ทาการบันทึกองค์ความรู้ท่ีได้จากการฝึกปฏิบัติ เพื่อนามาแลกเปล่ียน เรียนรู้ หลังจบกจิ กรรมฝึกปฏบิ ตั ิ 3. แตล่ ะกลมุ่ สี เข้าฝึกปฏิบัตปิ ระจาฐานฯ โดย มีกิจกรรมดังน้ี

๔๖ 1. ฐำนฅนติดดิน ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. นายณัฐนชิ รักขติวงศ์ นักวชิ าการพัฒนาชมุ ชนชานาญการ 2. นายประยรู ปะละจนั ทร์ พนักงานทว่ั ไป 3. นายฉตั รมงคล ฉตั รอินทร์แกว้ พนกั งานท่วั ไป กจิ กรรมทีใ่ ห้ผู้เขำ้ รบั กำรฝึกอบรมไดป้ ฏบิ ตั ิ 1. เรียนรู้พ้นื ฐำนกำรทำบำ้ นดนิ วทิ ยากร ได้ช้ีแจงถึงประวตั ิความเปน็ มาของการทาบ้านดนิ วา่ เปน็ สงิ่ ก่อสร้างท่ีเก่าแก่และเกิดขึน้ ใน ยคุ แรกๆ ของมนุษย์ บ้านดนิ บางแห่งมีอายุกวา่ 2,000 ปี และยงั มีมนุษยอ์ าศัยอยู่ ซง่ึ ต้ังอยู่ทรี่ ัฐนวิ แมคซิกัน และการสรา้ งบ้านดินในแบบต่างๆ อาทิ บ้านดนิ แบบป้ัน ซึ่งจะทาโครงบ้านสานซึง่ ทาจากไม้ไผ่ข้ึนมาก่อน จากนัน้ จึงป้นั เขา้ แบบตามรูปทรง ส่วนแบบการทาบา้ นดินทีจ่ ะมีการฝกึ ปฏบิ ตั ิการกัน วันน้ี จะเป็นบา้ นดนิ แบบก่อบล๊อคอิฐดนิ ดิบ ซึง่ ในการจะทาบ้านดนิ จาเปน็ อยา่ งยิ่งทีจ่ ะตอ้ งมีการวางแผนกอ่ น ซ่ึงคอื การเลือกพ้ืนท่ี ซ่งึ จุดทีต่ ้ังต้อง คานึงถึงความสูงต่าของพื้นท่ี เป็นลาดับแรก ซึ่งจุดต้ังบ้านดินจะต้องอยู่สูงกว่าระดับท่ีน้าสามารถท่วมได้ และ เล่ียงบริเวณที่อยู่ใกลแ้ หลง่ น้า หรือน้าไหลผ่าน เพราะความช้ืนจากการถูกนา้ ท่วมขังบ้านดินตลอด จะสามารถ ทาใหบ้ า้ นดินทรดุ ได้ และยิ่งง่ายขึ้น ถา้ ส่วนผสมมีทรายปนในปริมาณทส่ี ูง เม่ือได้พื้นที่ ที่เหมาะสมในการทาบ้านดินแล้ว จากนั้นจึงจะเป็นข้ันตอนของการออกแบบ การเทพ้ืน และทาคานคอดิน และจะเป็นขั้นตอนของการทาบล๊อคอิฐดินดิบ เพ่ือนาไปก่อเป็นผนังของบ้านดินต่อไป ซึ่ง จะตอ้ งมกี ารเวน้ ช่องว่างสาหรับประตแู ละหน้าตา่ งไว้ด้วย ซึ่งเม่อื ก่อเสรจ็ จงึ จะเป็นข้ันตอนการทาหลังคา 2. เรยี นรู้กำรทำบล็อกอิฐดนิ ดบิ คณะวิทยากรได้พาผู้เข้ารับการฝึกอบรม ทาบล๊อคอิฐดินดิบ โดยมีวัตถุดิบ ท่ีสามารถหาได้ง่าย ได้แก่ ดินในพ้ืนที่ แกลบดิบซึ่งทาหน้าท่ีเป็นเส้นใยประสานรอยร้าวในดินและลดการแตกร้าวของก้อนอิฐ และใช้น้า ผสมเพือ่ เป็นตัวไล่อากาศออกจากก้อนดนิ

๔๗ จากน้ันได้มีการนาผู้อบรมไปฝกึ ปฏิบัติ โดยนาผฝู้ กึ อบรมไปยา่ ดนิ โคลนทแ่ี ชน่ า้ เตรยี มไวใ้ นบอ่ ซเี มนต์ ในระหวา่ ง นนั้ ก็ทาการเติมแกลบเขา้ ผสมคลกุ เคล้า และยา่ ผสมกันจน ไดท้ แ่ี ลว้ ทดสอบงา่ ยๆ ดว้ ยการแทงมือ ลงไปท่ีดนิ และยกมือ ออก หากดินปดิ เข้าหากนั โดยทนั ที แสดงวา่ สวนผสมเหลว เกนิ ไปยงั ไม่ได้ท่ี ใหย้ า่ ต่อไปอีก(อาจเพม่ิ น้า แกลบ หรอื ทราย ละเอียดเล็กน้อย ตามความเหมาะสม) เมือ่ แก้ไขจนได้ที่ ให้ ผูเ้ ขา้ อบรมใชถ้ ังตักดินออก และนาไปเข้าแบบไม้อัดทว่ี างเตรยี มไว้ ขนาดแบบไมฯ้ ทีฐ่ านฯ ได้เตรียมไว้ เป็นขนาด สงู 4 นว้ิ กว้าง 8 นวิ้ ยาว 16 นวิ้ ซ่งึ ด้านของอฐิ ทีม่ ีความกวา้ ง 8 น้ิว กค็ อื ความหนาของผนงั บา้ นดนิ นน่ั เอง ซ่ึงผนงั ท่ี หนา 8 น้วิ ขึน้ ไป สามารถป้องกนั ความร้อนทีจ่ ะซมึ ผา่ นผนังบ้านดนิ ไดด้ ี เป็นเวลาประมาณตั้งแต่ ชว่ งสายๆ ถึง 4 โมงเยน็ ในการตาก ก้อนอิฐดินดิบ จะใช้เวลาประมาณ 7 วัน หากอิฐ ถูกตากในบริเวณท่ีอากาศถ่ายเทได้ สะดวก หรือท่ีกลางแจ้งก็ได้ โดยหลังจาก 2 วันแรก ให้พลิกก้อนอิฐตั้งขึ้น ซ่ึงจะทาให้ก้อนอิฐแห้งทุกด้าน สามารถเก็บสะสมไวใ้ ชส้ รา้ งบ้านดนิ ตามแบบที่วางแผนได้ 2. ฐำนฅนรักษ์แม่ธรณี ทีมวิทยำกรประจำฐำน นกั จัดการงานท่ัวไปชานาญการ 1. นางอรุณศรี เดชะเทศ พนักงานทาความสะอาด 2. นางนอม เถาเปี้ยปลกู พนักงานทาความสะอาด 3. นายสมศักดิ์ สิทธินนท์

๔๘ กิจกรรมทใี่ หผ้ เู้ ขำ้ รับกำรฝกึ อบรมได้ปฏบิ ัติ 1. ร่วมกันสร้างสรรค์กจิ กรรมปยุ๋ หมกั แหง้ แบบด่วน เพอื่ นา มาใช้บารุงดนิ ในพ้ืนที่ตน้ แบบการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎี ใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ “โคก หนอง นา โมเดล” และเปน็ แหลง่ เรียนร้คู รูพาทา ประจาฐานคนรักษแ์ มธ่ รณี โดยใชใ้ บไม้แห้ง บรเิ วณฐานคนรักษป์ ่าและภายใน ศพช. ลาปาง มาเป็นวสั ดใุ นการ ทาปยุ๋ หมกั แหง้ จานวน 3 สตู ร 1.1 สูตร 1 อตั ราสว่ น 1 : 1 : 1 : 1 (แกลบดบิ : แกลบดา : ปุ๋ยคอก : ราละเอยี ด) ผสมนา้ หมกั ชวี ภาพรสจืด 1 : 50 ราดบนกองปุ๋ยใหช้ ุ่มใชม้ ือกาและบีบปยุ๋ จบั กันเป็นก้อนโดยใหม้ นี า้ ซมึ ตามร่องมือ สตู รน้ี จะยอ่ ยสลายไดเ้ รว็ ประมาณ 1 สัปดาห์ จะเกดิ จุลนิ ทรีย์ขาวที่เปน็ ประโยชน์ เทคนิคการผสมใช้พ่วั ชนดิ แบนผู้ พลกิ อยู่กันคนละฝง่ั ใชพ้ ลวั่ สอดกองปยุ๋ ฝง่ั ละครึ่งพรอ้ มๆ กันโดยใหพ้ ลว่ั ชนกันและพลิกไปพร้อมๆ กัน ไมต่ ้อง ยกพลั่ว จะได้กองปุย๋ ที่คลุกเคล้ากันอย่างลงตัวและสวยงาม 1.2 สูตร 2 อัตราส่วน 3 : 1 : 1 : 1 (ใบไม้ : แกลบดา : แกลบดิบ : ปุย๋ คอก) คลกุ เคล้าใหเ้ ขา้ กัน ผสมน้า หมักชวี ภาพรสจืด 1 : 50 ราดบนกองป๋ยุ ให้ชมุ่ วธิ กี ารนี้จะ เปน็ การลดรายจ่ายและได้ปริมาณปุ๋ยที่มาก 1.3 สตู ร 3 เปน็ การตอ่ ยอดจาก สูตร 2 นาไป บดละเอยี ดดว้ ยเคร่อื งบด ก็จะไดป้ ุ๋ยชวี ภาพท่ีมีความ ละเอยี ดและพร้อมทีจ่ ะเป็นดินพรอ้ มปลกู 2. กิจกรรมกำรทำน้ำหมัก 7 รส โดยในกิจกรรม รุ่นท่ี 1 ได้อธิบายสรรพคุณและวิธีใช้ประโยชน์ของน้าหมัก ท้ัง 7 รส ได้แก่ รสจืด รสฟาด รสขม รสเบ่ือเมา รสหอมระเหย รสเปร้ียว และรสเผ็ด ซ่ึงในฐานฯ ได้ทาการสอนโดยให้ผู้เข้ารับการ ฝึกอบรมได้ปฏิบัติการทาน้าหมักรสจืด ซึ่งมีสรรพคุณในการปรับสภาพบารุงดินเป็นหลัก ส่วนสูตร อ่ืนๆ จะมี สรรพคุณในการขบั ไล่แมลงศัตรูพชื เป็นหลัก สาหรับสูตรในการทา น้าหมักรสจืดน้ัน จะเป็นการใช้สูตร วัตถุดิบ 3 กิโลกรัม ซึ่งในที่น้ีจะเป็นต้น กลว้ ย(สามารถใช้ได้ทั้งต้น) โดยผู้เขา้ รบั การฝึกอบรมจะนาต้นกลว้ ยมาฝานและสับให้มีขนาดเล็กลงเพื่อสะดวก แก่การย่อยสลาย ผสมกับน้าตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม ซ่ึงจะเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ซ่ึงทาให้การย่อยสลาย ของวัตถุดิบ เป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น สุดท้ายคือน้าเปลา่ 10 ลิตร ใส่ผสมกันในถังขนาด 20 ลิตร และคนให้ เขา้ กนั จากนัน้ จึงปิดฝาถัง ท้งิ ไว้ประมาณ 3 เดือน (เปิดฝาถงั ทุก 7 วนั เพือ่ ระบายแก๊ส) จะไดน้ า้ หมกั รสจืดท่ี พร้อมใช้งาน

๔๙ 3.ฐำนฅนมีนำ้ ยำ ทีมวิทยำกรประจำฐำน นักทรพยากรบุคคล พนักงานขับรถยนต์ 1. ว่าที่ ร.ต.ชัยณรงค์ บัวคา พนักงานทา 2. นายศานติ ธรรมไชย 3. นางสาวสุวลี ฟูทอง ความสะอาด กิจกรรมท่ีใหผ้ ู้เขำ้ รับกำรฝกึ อบรมได้ปฏบิ ตั ิ 1. กำรทำนำ้ ยำเอนกประสงค์ วิทยากรได้แนะนา และให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ น้ายาเอนกประสงค์ สูตรท่ี ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนลาปาง ทาขึ้นใช้ภายใน ซ่ึงจะใช้น้าหมักรสเปร้ียวแทนสารกันบูด เป็น การลดการใช้สารเคมีในการทาให้น้อยท่ีสุด อีกทั้งน้าหมักรส เปรี้ยว ยังมีสรรพคุณที่จะช่วยในการใช้ทาความสะอาดได้ดี เชน่ สบั ปะรด มะกรูด ฯลฯ ซึ่งทาให้มีประสิทธิภาพการใช้ขจัด คราบสกปรกได้ดี 2. กำรทำตะไคร้หอมไล่ยุง วิทยากรได้แนะนา และให้ความรู้ในการทา ตะไคร้หอมไล่ยุง ซึ่งใช้วัตถุดิบหลักเป็นตะไคร้ หอม แต่หากไม่มี สามารถใช้ตะไคร้บ้านได้ โดย เพมิ่ สมนุ ไพรอ่ืนๆ เชน่ กานพลู กะเพรา โหระพา สะระแหน ผสมกับ ผิวมะกรูด ทั้ง 2 อย่างต้อง ห่ันเป็นช้ินเล็กๆ ส่วนผสมต่อมาคือ การบูร และ เอทิลแอลกอฮอล์ และใช้การหมัก ซ่ึงคณะ วิทยากรประจาฐาน ได้นาผู้เข้ารับการฝึกอบรม

๕๐ ฝึกหัน่ วัตถดุ ิบ เพ่อื ใช้เปน็ วัตถุดิบในการหมักตะไคร้หอมไล่ยุง จากนน้ั นาไปหอ่ ดว้ ยผ้าขาวบาง แลว้ นาไปใส่ใน โหลแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นจึงทาเอทิลแอลกอฮอล์ จานวน 1 ลิตร และการบูรลงไป เมื่อใส่ส่วนผสมครบแลว้ จงึ ปิดฝา หลงั จากผ่านไป 7 วนั จงึ นามาใช้ได้ 3. สำธิตกำรทำน้ำหมักรสเปรยี้ ว การทาน้าหมักรสเปรยี้ ว สตู รทวี่ ทิ ยากร ประจาฐานช้แี จงผ้เู ข้ารับการฝกึ อบรม ทามาจาก ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ซ่งึ จะใชท้ ั้งเปลือกและผล โดย จะต้องนามาล้างใหส้ ะอาดก่อนท่ีจะนาไปสบั เป็น ชิน้ เล็กๆ แลว้ นาไปคลุกน้าตาลทราย ซึ่งจะเปน็ อาหารของจุลนิ ทรีย์ และเตรียมหมักพร้อมน้า สะอาด ในภาชนะทม่ี ฝี าปดิ 4. กิจกรรมกำรทำสบเู่ หลวมะขำม น้ำผ้ึงบำรุงผิว ทีมวิทยากร ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกบั ส่ ว น ผ ส ม แ ล ะ วั ส ดุ อุ ป ก ร ณ์ ที่ ต้ อ ง เ ต รี ย ม ไ ว้ ใ ช้ สาหรับการทาสบู่ และข้ันตอนการทาอย่างคร่าวๆ โดยมสี ว่ นผสมหลักทเ่ี ปน็ ส่วนสาคญั ของการทาสบู่ ได้แก่ การใช้น้ามะขามที่ได้จากการคั้นเป็นส่วนผสมด้วย ตัวมะขามจะมีสรรพคุณพิเศษ ในการช่วยขจัดส่ิง สกปรกและการผลัดเซลลผ์ ิว และน้าผ้ึงจะช่วยบารุงผิว จากนั้นให้ผู้เข้าอบรมได้ลงมือปฏบิ ัติไปพร้อมๆกันตาม ข้ันตอน ซ่ึงจะสาเรจ็ เปน็ สบทู่ พ่ี ร้อมใชง้ านได้ ต้องรอประมาณ 4 – 6 ชวั่ โมง

๕๑ 4. ฐำนฅนเอำถำ่ น ทมี วิทยากรประจาฐาน 1. นางสาวณัฐกฤตา ชยั ตูม นักทรัพยากรบุคคลปฏบิ ตั ิการ 2. นายวทิ ูล นามบุดดี พนักงานทั่วไป 3. นายเหลี่ยม เถาเปีย้ ปลูก พนักงานทวั่ ไป กิจกรรมท่ีใหผ้ ู้เข้ารับการฝกึ อบรมได้ปฏบิ ัติ 1. กิจกรรมกำรทำถังสำหรับเผำถ่ำน ภายในฐานเรียนรู้ มีการสาธิต โดยการใช้ถังขนาด 200 ลิตร โดย เรียกว่า เตาเผาไหม้สมบูรณ์แบบ แบบไร้ควัน โดยในการเตรียมถังน้ัน จะใช้ถัง น้ามัน ขนาด 200 ลิตร จานวน 2 ถัง ซ่ึงจะทาการเจาะ 1 ถัง ด้วยการแบ่งคร่ึง และทาการม้วนและเชื่อมให้เป็นปล่องควัน ส่วนอีกถัง ให้เจาะรูท่ีฝาหาจุดศูนย์กลางที่รัศมีห่าง 14 เซนติเมตร ให้ ได้ 13 รู (เป็นรูระบายก้นถัง) โดยฝาปิดปล่องให้เจาะรูเป็นวงกลมตรงกลาง รัศมี 24 เซนติเมตร และให้ใช้เหล็ก เชอ่ื มให้ฝายกขน้ึ เล็กน้อยมีช่องสาหรบั อากาศผ่านเข้าได้ ตลอดจนทาที่สาหรับมือจับ 2. กำรเผำถำ่ นในถัง 200 ลิตร เร่ิมแรกให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม หาวัสดุภายในฐานการเรียนรู้ ซ่ึงได้แก่ ซังข้าวโพด/ไม้เก๊ียะ มาเป็นเชื้อเพลิงในการจุดไฟ และหาท่อนไม้ ขนาด 3 – 4 เซนติเมตร มากองรวมกันไว้เพ่ือง่ายต่อการนามาใส่ในเตาเผา ถ่าน จากนั้น จึงให้ผู้เข้ารับการอบรม ทาการเรียงอิฐไว้เพ่ือรองเป็นฐาน สาหรับถังเผาถ่าน จานวน 3 ก้อน เพ่ือให้อากาศ สามารถเข้าทางก้นถังได้ เมื่อจัดวางเรียบร้อยแล้ว จึงนาถังขนาด 200 ลิตร ท่ีเจารูเรียบร้อยแล้ว มา วางไว้ด้านบน จากน้ัน ผู้เข้าฝึกอบรม ได้ร่วมกันนาท่อนไม้ท่ีจะเผาเป็นถ่าน มาใส่จนเตม็ ถัง 200 ลติ รดังกล่าว เมื่อบรรจุท่อนไม้จนเต็มแล้ว หลังจากน้ันจึงนาซังข้าวโพด/ ไม้เกี๊ยะ มาวางไว้ข้างบน และจุดไฟให้ติด จากนั้นนาฝาถังที่เจาะรูเป็นวงกลมตรงกลาง ที่รัศมี 24 เซนติเมตร มาปิดไว้ ดา้ นบน (ซึง่ ต้องมกี ารเชื่อมเหล็กให้เกิดช่องว่างที่อากาศผ่านเขา้ ถึงได้)

๕๒ เมื่อทาการเผาชว่ งสายๆ ในชว่ งเยน็ ผูเ้ ขา้ อบรมได้มาดาเนินกิจกรรมอีกรอบ โดยใหเ้ รม่ิ ทาการดับไฟ โดยนา ปล่องควัน ออกก่อน จากนั้น นาอิฐ และฝาถัง ออกตามลาดับ จากนั้นนาฝาพร้อมคลิปล็อค มาปิดพร้อมปิดก้นถัง ด้วยการนาดินมากลบก้นถังเพื่อไม่ให้อากาศเข้า ทงิ้ ไว้จนอณุ หภูมเิ ย็นลงประมาณ 3-4 ชวั่ โมง 5. ฐำนฅนมไี ฟ ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. นายเกรียงไกร สิงหแ์ กว้ นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ 2. นายถาวร ธนาจริ ัฏฐกิตต์ิ พนักงานรักษาความปลอดภยั กิจกรรมท่ีใหผ้ ู้เขำ้ รบั กำรฝกึ อบรมไดป้ ฏบิ ตั ิ 1. เรียนรู้เร่ืองพลังงานทดแทนซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน เรียนรู้กับผู้เข้ารับการฝึกอบรม ประเด็นการเรียนรู้ได้แก่ พลังงานที่ใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิล เช่น ถ่านหิน, ปิโตรเลียม และ แก๊สธรรมชาติ ซึ่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ มหาศาลอันเป็นสาเหตุโลกร้อน ตัวอย่างพลังงานทดแทนที่ สาคัญเช่น พลังงานลม, พลังงานน้า, พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานน้าข้ึนน้าลง, พลังงานคล่ืน, พลังงานความร้อนใต้พิภพ, เชอ้ื เพลงิ ชวี ภาพ พลังงานนา้ มันดิบ นา้ มนั ปาลม์ พลงั งานน้ามัน พืช เปน็ ตน้ ในปี พ.ศ.2555 ประเทศไทยใช้พลงั งานทดแทนเพยี ง 18.2% ของพลังงานทง้ั หมด เพิม่ ข้นึ จากปี ก่อนหน้า เพียง 1.8% โดยท่ีพลังงานแสงอาทิตย์ และเชื้อเพลิงชีวภาพ เพิ่มขึ้น 23% แต่ พลังงานจาก ฟืน ถ่าน แกลบ และวัสดุเหลือใชท้ างเกษตร โดยนามาใช้เป็นเช้อื เพลิงดั้งเดิม มีอัตราลดลง 10% (อาจเป็นเพราะ มวลชวี ภาพดงั กล่าวถกู แปรรปู ไปเปน็ เช้ือเพลงิ ชวี ภาพไปแลว้ ) พลงั งานทดแทนอีกประเภทหน่ึงเปน็ พลังงานท่ถี ูกทาข้ึนใหม่ (renewable) ได้อยา่ งตอ่ เนอื่ ง (เชน่ มวล ของลมกลุ่มแรกผ่านกังหันลมไป มวลของลมกลุ่มใหม่ก็ตามมาอย่างต่อเน่ืองเป็นต้น) เรียกว่า พลังงาน หมุนเวียน (renewal energy) ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม น้า และไฮโดรเจนเป็นต้น (บางตาราว่า มวลชีวภาพ ก็ เปน็ พลังงานหมนุ เวยี น ขึ้นกบั ว่า มนั ทาขน้ึ ใหม่ได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่) ตามแผนพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน 15 ปี ระหว่าง 2555-2564 มีแผนท่ีจะให้มี การใช้พลังงานทดแทนเป็นสัดส่วน 20% ของพลังงานท้ังหมด การศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทนเป็น

๕๓ การศึกษา คน้ คว้า ทดสอบ พัฒนา และสาธติ ตลอดจนสง่ เสรมิ และเผยแพร่พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลงั งานท่ี สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานท่ีมีอยู่ในท้องถ่ิน เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชวี มวล และอื่นๆ เพ่อื ให้มกี ารผลติ และการใชป้ ระโยชนอ์ ย่างแพร่หลาย มปี ระสทิ ธภิ าพ และมคี วามเหมาะสม ท้ังทางดา้ นเทคนิค เศรษฐกิจ และสงั คม 2. เรียนรู้กำรทำน้ำมันไบโอดเี ซล ในข้ันตอนการทาได้สาธติ วิธที าโดยเตรียมวัสดุอุปกรณ์ได้แก่ ๑) หม้อสแตนเลส 2) น้ามันพืช/นา้ มนั สัตว์เก่า 3) เมทลิ แอลกอฮอล์ 4) โซดาไฟ 5) นา้ เปล่า,น้ากรอง 6) ผ้ากรองขาวบาง 7) แกลอน โดยในการสาธิตคร้ังน้ี วิทยากรได้สาธิตโดยนาน้ามันพืชเก่าที่ใช้แล้ว มากรองเศษอาหารออกไปจน หมดก่อน 3. เรยี นร้รู ะบบพลังงำนโซล่ำเซลล์ วิทยากรได้แลกเปล่ียนเรียนรู้เร่ืองระบบพลังงานโซล่าเซลล์ (Solar panel หรือ Photovoltaics) คือ การนาเอา โซล่าเซลล์ จานวนหลายๆเซลล์ มาต่อวงจรรวมกัน อยู่ในแผงเดียวกัน เพ่ือท่ีจะทาให้สามารถ ผลติ และจ่ายกระแสไฟฟา้ ได้มากขึ้น โดยไฟฟ้าท่ไี ดน้ ั้นเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) มี 3 ประเภทดงั นี้ โมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Silicon Solar Cells) ทามาจาก ผลึกซิลิคอนเชิงเด่ียว (mono-Si) หรือบางทีก็เรียกว่า single crystalline (single-Si) วิธีสังเกตง่ายๆ คือ แต่ละเซลล์จะมีลักษณะ เปน็ สีเ่ หล่ียมตดั มุมทงั้ สีม่ ุม และมีสีเขม้ โพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Silicon Solar Cells) ทามาจากผลึกซิลิคอน โดยท่ัวไปเรียกว่า โพลีคริสตัลไลน์ (polycrystalline,p-Si) แต่บางคร้ังก็เรียกว่า มัลติ-คริสตัลไลน์ (multi-crystalline,mc-Si) โดยในกระบวนการผลติ สามารถทจี่ ะนาเอา ซลิ ิคอนเหลว มาเทใสโ่ มลด์ทเี่ ปน็ สหี่ ล่ยี มได้เลย ก่อนท่ีจะนามาตัด เป็นแผ่นบางอีกที จึงทาให้เซลล์แต่ละเซลล์เป็นรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัส ไม่มีการตัดมุม สีของแผงจะออก น้าเงิน ไม่ เข้มมาก แผงโซล่าเซลล์ชนิด ฟิล์มบาง (Thin Film Solar Cells) คือ การนาเอาสารท่ีสามารถแปลงพลังงาน จากแสงเป็นกระแสไฟฟ้า มาฉาบเป็นฟิล์มหรือชั้นบางๆ ซ้อนกันหลายๆช้ัน จึงเรียก โซล่าเซลล์ชนิดนี้วา่ ฟิล์ม บาง หรือ thin film แผ่นชนิดน้ีมีประสิทธภิ าพเฉล่ียอยู่ท่ี 7-13% ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุท่ีนามาทาเปน็ ฟิล์มฉาบ แต่สาหรับบ้านเรือนโดยท่ัวไปแลว้ มีเพียงประมาณ 5% เท่าน้ัน ท่ีใช้ แผงโซล่าเซลล์ ท่ีเป็นแบบชนิดฟิล์มบาง หลังจากนั้นวิทยากรบรรยายข้อดี/ข้อเสียของแผงโซล่าเซลล์ แต่ละชนิด 4. เรยี นรูก้ ำรใชพ้ ลังงำนแบตเตอรกี่ บั โซลำ่ เซลล์ 1. ฝึกการคานวณ ระบบ DC ใชไ้ ฟกลางวัน 2. ฝึกการคานวณ ระบบ DC ใช้ไฟกลางคืน

๕๔ 6. ฐำนฅนรักษ์ปำ่ ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. นายชาญณรงค์ จิรขจรกุล นักทรัพยากรบุคคล 2. นายเหล่ียม เถาเปี้ยปลูก พนักงานท่วั ไป กิจกรรมที่ให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมได้ปฏิบตั ิ 1. เรยี นรู้กำรปลูกปำ่ 5 ระดับ วิทยากรได้เปิดเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนร้เู รื่องการปลูกป่า 5 ระดบั พรอ้ มตวั อย่างประกอบอาทิ ระดบั ท่ี 1 ต้นไม้ทรงสูง อยู่ในอากาศ ในกล่มุ นจี้ ะปลูกไมใ้ หญ่ ไม้ยนื ต้น ซึ่งเป็นไม้ติดแผน่ ดนิ ช่วยรักษาระบบนเิ วศน์ อีกทั้งเปน็ การ ออมเพ่ืออนาคตสาหรบั ตนเอง และลูกหลาน เช่น ตะเคยี น ยางนา มะค่า มะฮอกกานี ประดู่ ต้นสักฯลฯ ระดบั ท่ี 2 ปลกู ไม้ระดับกลาง เป็นชนั้ ทมี่ ีความสูงเป็นรอง กลุ่มไม้ยนื ตน้ เช่น ขเี้ หลก็ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ขนุน ทเุ รยี น มะมว่ ง ดอกแค กลว้ ย ชะอม พชื ไร่ พชื สวน ทกุ ชนดิ ฯลฯ ระดับท่ี 3 ปลกู ไมพ้ นั ธเุ์ ต้ีย เป็นการใชป้ ระโยชน์จากต้นไมท้ ี่ มีทรงพุ่มเตย้ี เช่น พริก มะเขือ กะเพรา ตะไคร้ ขา้ ว ฟา้ ทะลายโจร ทานตะวนั ไม้ดอก พืชสมนุ ไพรต่างๆ ฯลฯ ระดับท่ี 4 ปลูกไม้เล้อื ย เช่น บวบ น้าเต้า ถั่ว แตง มะระ ตาลึง ผกั บงุ้ ฯลฯ ระดับที่ 5 ปลกู พืชท่มี ีหัวฝังดิน เชน่ ขงิ ข่า หัวหอม กระเทียม สายบัว เผอื ก มัน ฯลฯ โดยจะปลูก พวกพชื หัว เพ่ือเป็นอาหาร ได้แก่มนั สาประหลงั มันเทศ ท่ีสาคัญในการปลูกพืชในสวนของเราน้ันให้ยึดหลักการใช้ประโยชน์ของตนเองเป็นสาคัญ โดยแยก ประโยชน์ไดด้ ังน้ี

๕๕ การปลูกพืช 5 ระดับ โดยการปลูกพืชตามความสูงระดับต่างกัน และอยู่ร่วมกันได้ ช้ันหน่ึงอยู่สูงสดุ ไดแ้ ก่ หมาก สะตอ ชน้ั สอง เปน็ ไม้ทีม่ ีความสูงปานกลางจาพวกไม้ผล เช่น ทเุ รยี น มงั คุด ลองกอง ช้นั สามเป็น ไมส้ ูงจากระดับพน้ื ไมเ่ กิน 3 เมตร ไดแ้ ก่ ผกั เหลียง พริกไทย ช้นั ส่ี ไดแ้ ก่ ไมด้ อกไมป้ ระดบั เชน่ หน้าววั ขิงแดง ค้างคาวดา ว่านเพชรหงึ ชั้นห้า เปน็ ไมห้ วั ได้แก่ ข่า ขิง ตะไคร้ การปลูกพืชในลักษณะเกื้อกูลกันเช่นนี้ จะทาให้เกิดระบบนิเวศน์ซ่ึงมีลักษณะคล้ายป่า พืชสามารถ พ่ึงพาอาศัยกันได้ และยังเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูง แม้เกษตรกรจะมีพ้ืนที่น้อยก็สามารถปลูกพืชได้ หลากหลายทาใหม้ ีรายไดต้ ลอดปี 2. เรยี นรู้ปำ่ 3 อย่ำง ประโยชน์ 4 อยำ่ ง 3. เรียนร้กู ำรขดุ คลองไส้ไก/่ กำรทำหลุมขนมครก วิทยากรได้บอกเล่าเกี่ยวกับคลองไส้ไก่ ว่าเป็นการขุดคลองตามลักษณะอิงธรรมชาติซ่ึงไม่เป็น เส้นตรง คลองไส้ไก่จะมีลักษณะคดเค้ียว มีผลในการลดความเช่ียวของกระแสน้า และการพังทลายของตล่ิง มี การทาตะพักน้าที่คลองใส้ไก่ด้วย ซ่ึงนอกจากมีผลในการลดการพังทลายของหน้าดินแล้ว ยังเป็นท่ีหลับนอน ของสตั ว์น้า อาทิ ปลา อกี ด้วย จะทาให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี หากอธบิ ายให้เห็นภาพ ประโยชน์หลกั ที่ได้จากคลองไส้ไก่มี 4 อยา่ งด้วยกนั คือ ช่วยกกั เกบ็ น้าให้ซึม ลงใต้ดิน เปล่ียนทางน้าให้กระจายสู่พื้นท่ีเพาะปลูก ล็อกตะกอนดินหรือธาตุอาหาร และป้องกันการพังทลาย ของหน้าดิน ในส่วนของการดกั ตะกอน กม็ กี ารขดุ หลมุ ขนมครก เป็นระยะๆ ซง่ึ มีความลึกประมาณ 2 เทา่ ของ คลองไส้ไก่ และมีสะดือตรงกลาง เป็นการช่วยดักตะกอน สาหรับคลองไส้ไก่ก็จะขุดให้มีความลาดเอียง ประมาณ 45 องศา ด้วยการกะเกณฑ์จากสายตา และมีความกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนตเิ มตร ในการฝึกปฏิบัติ

๕๖ 4. เรยี นร้กู ำรทำฝำยชะลอน้ำ วิทยากรได้ช้ีแจงวัตถุประสงค์และประโยชน์ในการทาฝายชะลอน้า ฝายชะลอน้าสร้างขวางทางไหล ของน้าบนลาธารขนาดเล็กไว้ เพื่อชะลอการไหล - ลดความรุนแรงของกระแสน้า ลดการชะล้างพังทลายของ ตล่ิง - เม่ือน้าไหลช้าลง ก็มีน้าอยู่ในลาห้วยนานขึ้น โดยเฉพาะในหน้าแล้ง ซึ่งเป็นฝายที่สร้างขึ้นชั่วคราว สามารถรื้อถอนออกได้ในภายหลัง จากน้ันจึงพาผู้เข้ารับการฝึกอบรมทดลองทา โดยมีการตัดไม้ไผ่เป็นท่อน ๆ ขนาดพอเหมาะ เหลาให้มีปลายแหลม และปักกันตรงจดุ แบ่งเปน็ 2 ฝ่งั แลว้ ใชเ้ ชอื กมัด เวน้ ตรงกลางไวเ้ พื่อนา ก้อนหินมาใส่ เปน็ การชะลอการไหลของนา้ เป็นการเพ่มิ ความชุ่มชน้ื ทวั่ บรเิ วณ 7. ฐำนฅนรกั ษ์น้ำ ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. นางอัญชลี ปง่ แก้ว นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ 2. นายประยูร ปะละจันทร์ พนักงานทวั่ ไป 3. นางคาสุข หนุนหลี พนกั งานทาความสะอาด กิจกรรมทใ่ี หผ้ เู้ ขำ้ รับกำรฝึกอบรมไดป้ ฏบิ ัติ และมกี ำรสำธติ 1. กำรทำจลุ นิ ทรยี บ์ อล วิทยากรเกริ่นนา แนะนาการแยกจุลินทรีย์เป็น 3 ประเภท ง่ายๆ ไดแ้ ก่10% เปน็ จุลินทรยี ์ที่ไมด่ ี ทาให้เกิดโรคภัย นา้ เนา่ เสยี ฯลฯ 10% เปน็ จลุ ินทรยี ์ดี ใช้ประโยชนใ์ นการทาอาหาร รกั ษาโรค บารุงดิน บาบดั นา้ ฯลฯ และ ๘๐% ทาตวั เป็นกลาง และจะเขา้ รว่ มกับจุลินทรีย์ พวกดีหรือไม่ดี หากพวกใดมีจานวนที่มากกว่า วิทยากรจึงแนะนาให้ รวมจุลินทรีย์ดีๆ มาเป็นกลุ่มก้อนจุลินทรีย์บอล ใช้บาบัดน้าเสีย บารุง น้า บาบดั กลนิ่ และเป็นอาหารปลาได้ วิทยากรได้แนะนาส่วนประกอบที่ใช้ในการทา วัสดุอุปกรณ์ ที่ใช้ วิธีการ/ขั้นตอนในการทา แล้วให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมลงมือ ปฏิบัติร่วมกัน เมื่อทาเสร็จแล้ว ให้นาไปเก็บไว้ในท่ีร่มประมาณ 7 วัน จึงสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ และควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน โดยอัตราส่วนท่ีใช้ คือ 1 ลูก ต่อพื้นที่ 2 ตารางเมตร วทิ ยากรไดส้ รปุ ผลการเรียนรู้ โดยได้ตง้ั คาถาม/ทบทวนความรกู้ บั กล่มุ เปา้ หมายร่วมกนั

๕๗ 2. กำรทำจุลินทรียส์ ังเครำะหแ์ สง วิทยากรเกร่ินแนะนา การทาจุลินทรีย์ สังเคราะห์แสง จากน้าเปล่าจากแหล่งต่างๆ นามาใส่ ขวดน้า ขนาด 600 ML หรือ 1.5 ลิตร จานวน 6 ขวด ผสมอาหารให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง คือ ไข่ไก่ 1 ฟอง กับผงชูรส 1 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากัน โดยตักใส่ ขวดน้า เท่าๆกัน หากมีหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะแสง ไว้แล้ว ก็ให้แบ่งหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ใน อัตรา 1 : 6 ใส่เท่าๆกัน เติมน้าให้ถึงคอขวดเหลือ พื้นท่ีว่างประมาณ 1-2 น้ิว ปิดฝา จากน้ันจึงเขย่า อย่างน้อย 100 ครั้ง เพื่อให้จลุ ินทรียท์ างานไดเ้ ร็วขน้ึ และนาไปตากแดดไว้ 7 วนั กส็ ามารถนามาใชป้ ระโยชน์ ได้ สาหรบั การนาไปใชน้ ้ัน ถา้ จะใช้รดน้า พืชผกั ผลไม้ ใชใ้ นอตั รา 1 ส่วน ตอ่ นา้ 200 ส่วน และสาหรับบารงุ / ปรบั ปรุงดนิ ใชใ้ นอัตรา 1 ส่วน ต่อน้า 100 สว่ น 3.สำธิตตะบนั น้ำ วิทยากรชวนคุยเรอ่ื ง พ้ืนท่ีทาการเกษตรทางภาคเหนือ ท่ี แหล่งน้าอยู่ต่ากว่า ต้องใช้เคร่ืองสูบน้า ดึงน้าข้ึนมาใช้ เสียค่าใช้จ่ายทั้ง ค่าสบู น้า นา้ มันเชือ้ เพลิง ค่าไฟฟ้า ฯลฯ แตอ่ ุปกรณ์ “ตะบันนา้ ” อาศัย พลงั งานจากแรงดันของน้าไหลตามธรรมชาติ ผา่ นเช็ควาวล์ 2 ตัว เพิ่ม แรงดันน้าได้สูงกว่า 15 เมตร ไกลกว่า 30 เมตร โดยวัสดุอุปกรณ์ท่ี ลงทุนไมม่ าก จากนั้น วิทยากรได้นาผู้เข้าอบรมไปทดลองใช้ เคร่ือง ตะบันนา้ สาธติ ในข้ันตอนสุดท้าย ทีมวิทยากรได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้ารับ การฝึกอบรมได้แลกเปลี่ยน สอบถาม และสรุปผลการเรียนรู้ ร่วมกัน

๕๘ 8. ฐำนเรียนรู้ “ฅนรกั ษ์สขุ ภำพ” ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. นางสาวศรัญญา ปาปลูก นักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ 2. นางปราณี เปย้ี ปลกู พนกั งานทาความสะอาด 3. นางสาวชาบดี ชมพูพ้นื พนกั งานทาความสะอาด วิทยากรแนะนาทีม เกรน่ิ ถึงสถานการณ์ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจ สังคมและการแพร่ระบาดของโรคท่ีเกดิ ข้นึ การดแู ลสุขภาพเป็นปจั จยั สาคัญหน่ึงท่ีควรตระหนักและใหค้ วามสาคัญในการดาเนนิ ชีวิต วิธกี ารดแู ลสขุ ภาพมหี ลากหลายวิธี ได้แก่ การออกกาลังกาย ลด ความเครยี ด รับประทานอาหารสุขภาพ หลีกเลยี่ งความเสี่ยงตา่ ง ๆ และการใชส้ ารธรรมชาตหิ รือพืชสมุนไพร นับเป็นอีกหน่ึงทางเลือกในการรักษาและดูแลสุขภาพ สมุนไพร เปน็ พชื ท่ีใช้ทาเครื่องยา มที ี่มาจากธรรมชาติและมีความหมายตอ่ ชวี ิตมนุษย์ โดยเฉพาะในทางสุขภาพ อันหมายถึงทงั้ การส่งเสรมิ สุขภาพและการรักษาโรค สภาพฤทธขิ์ องยาสมุนไพร สามารถแบง่ ออกเป็น 2 กล่มุ โดยเลือกใช้ ใหเ้ หมาะสมตามสภาพอาการและผปู้ ่วย ได้แก่ 1) สมุนไพรฤทธ์ิเยน็ ช่วยระบายพิษ สังเกตได้จากสมุนไพรมีใบสีเขียว รสชาตจิ ืด ไม่มีกล่ินฉุน เมื่อ รา่ งกายได้รบั เข้าไปจะทาให้รสู้ ึกเยน็ ชุ่มชน่ื มากข้นึ เป็นประเภทสมนุ ไพรท่ีคนไทยนิยมใช้ เช่น ใบเตย: เป็นยาขับปสั สาวะ แก้กระษยั รักษาโรคหอบหืด บารุงหวั ใจ วอเตอรเ์ ครส: ต่อต้านอนมุ ูลอิสระ ชะลอความแกช่ รา เสรมิ สร้างภูมิคุ้มกัน บารงุ และรักษาสายตา ชว่ ย ยอ่ ยอาหาร ว่านกาบหอย: แกร้ ้อนใน กระหายน้า แก้ไอ แก้ฟกช้าภายใน แก้บิด แก้อาเจยี น และถา่ ยเปน็ เลือด ใบย่านาง: ต่อต้านอนมุ ลู อสิ ระ ชะลอความแก่ชรา เสริมสร้างภูมคิ ุ้มกัน ฟื้นฟเู ซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ปรับ สมดุล 11 ใบออมแซ่บ (เบญจรงค์): ฤทธร์ิ ะงับการอกั เสบ ลดระดบั น้าตาลและไขมันในเลอื ด ตา้ นอนุมลู อสิ ระ ต้านเช้ือ แบคทเี รยี และเช้ือรา ผกั ปลาบแหลม: แกโ้ รคเรื้อน แก้อาการระคายเคืองท่ผี วิ หนังบรรเทาอาการปวด 2) สมุนไพรฤทธร์ิ ้อน เม่ือร่างกายไดร้ ับเขา้ ไป อุณหภูมิร่างกายจะสูงขนึ้ เชน่ ใบพลับพลงึ : แก้เคล็ดยอกและบวม ใบมะขาม: ช่วยฟอกเลือด สม้ ป่อย: แก้ปวดเม่ือย ตะไคร้: แก้หวัด ปวดศีรษะ ไอ แกท้ อ้ งอดื ท้องเฟ้อ แนน่ จกุ เสียด ขบั ลมในลาไส้ บารุงไฟธาตุ แก้ปวด กระเพาะอาหาร ไพล: แกฟ้ กช้า เคลด็ บวม แกผ้ ืน่ คัน กนั เลบ็ ถอด ผวิ และใบมะกรูด: แกป้ ัญหากลนิ่ เทา้ เหม็น ขมิน้ : แกก้ ารอกั เสบ

๕๙ กจิ กรรมที่สำธติ และใหผ้ ู้เข้ำอบรมได้ทดลองปฏิบัติ 1.กิจกรรมกำรพอกหนำ้ วัสดอุ ุปกรณ:์ 1. ผงถ่าน 1,000 องศา 1 ส่วน (ดูดซับสารพิษ สารเคมีในรูขุมขน ขจัดเซลล์ที่ตาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียน ของเลือดบนผวิ หนัง เพิ่มความชมุ่ ชนื้ บารงุ ผวิ ) 2. ดินสอพอง 7 ส่วน (ใช้แก้พิษร้อนกับร่างกาย ถอนพษิ อักเสบ แก้ผด ผ่นื และคัน) 3. น้าสะอาด น้าคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ หรือ นา้ ใบยา่ นาง 4. ภาชนะสาหรับผสมดินสอพองและผงถ่าน 5. ผ้าขนหนสู าหรับเช็ดหนา้ ขัน้ ตอน: 1. นาผงถ่านและดินสอพองผสมกับน้าสะอาดหรือน้าคลอโรฟิลล์ แล้วคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีม 2. ลา้ งหน้าให้สะอาดและเช็ดหน้าให้แหง้ จากน้ันนาดนิ สอพองและผงถ่านท่ีละลายเป็นเน้ือครีมท่ีเตรียม ไว้ทาลงบนใบหน้า ใช้นิ้วนางขัดหน้าเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก พอกหน้าท้ิงไว้ นาน 10 - 15 นาที 3. ปะพรมน้าสะอาด น้าคลอโรฟิลล์ หรือน้าใบย่านางให้ทั่วใบหน้า เพ่ือเพิ่มความชุ่มชื้น จากน้ันจึงล้าง หน้าด้วยนา้ สะอาด และเชด็ หนา้ ให้แห้ง 2.กจิ กรรมกำรแชเ่ ท้ำสมนุ ไพร 2. ขมิ้น วสั ดุอปุ กรณ:์ 1. ไพล 4. ตะไคร้ 6. ใบพลับพลงึ 3. ใบมะกรูด 8. หมอ้ สาหรับต้มสมุนไพร 5. ใบมะขาม 10. ขันตกั นา้ 7. สม้ ปอ่ ย 12. เกลือ 9. เตาแก๊ส 11. กะละมังสาหรับแชเ่ ท้า ขั้นตอน: การเตรียมน้าสมนุ ไพรแช่มือแช่เท้า 1. นาสมุนไพรอย่าน้อย 5 ชนิด ใส่ลงในหมอ้ สาหรับตม้ จากน้นั เทน้าลงไปให้ท่วมสมนุ ไพร 2. ตม้ นา้ ให้เดือด 10-15 นาที 3. ตกั นา้ สมนุ ไพรลงในกะละมังสาหรบั แช่เทา้ 4. เติมน้าสะอาดและใส่เกลอื ลงไปผสมในกะละมังจนนา้ อนุ่ ใช้วธิ ีทดสอบโดยใชม้ อื จุ่มลงไปเพื่อทดสอบความ รอ้ น และให้ไดป้ รมิ าณนา้ ในกะละมังแช่เท้าใหท้ ว่ มตาตุ่ม การแช่เทา้ 1. ทาความสะอาดเท้า โดยใชส้ บฟู่ อกที่เท้าและล้างออกด้วยน้าสะอาด 2. แชเ่ ท้าดว้ ยสมนุ ไพรนาน 3 นาที และพกั 1 นาที (ทาซ้ากัน 3 ครัง้ ) 3. ลา้ งเทา้ ใหส้ ะอาด จากนัน้ เช็ดเท้าให้แหง้ ด้วยผา้ ทีส่ ะอาด

๖๐ 3.กิจกรรมกำรทำน้ำคลอโรฟิลล์ วัสดอุ ปุ กรณ:์ 1. วา่ นกาบหอย 2. ใบย่านาง 3. ใบเตย 4. วอเตอร์เครส 5. ใบอ่อมแซ่บ 6. เครื่องป่ันนา้ ผลไม้ 7. เขียง 8. มีดสาหรบั ห่ัน 9. ผ้าขาวบางสาหรบั กรอง 10. ช้อนสแตนเลส 11. กะละมัง 12. แก้วน้าหรือขวดน้าสาหรบั บรรจุ ข้ันตอน 1. ลา้ งผักให้สะอาด จากน้ันนามาหั่นใหล้ ะเอียด 2. นาผักที่ห่ันเสรจ็ แล้วใส่ลงไปในเครื่องปน่ั เติมน้าสะอาดและปัน่ ให้ละเอียด 3. กรองดว้ ยผา้ ขาวบาง 4. เทใส่แก้วหรือขวดพร้อมด่ืม 9. ฐำนฅนรกั ษแ์ ม่โพสพ ทีมวิทยำกรประจำฐำน 1. นางกรรณิการ์ ก๋าวิตา นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ 2. นายศรี อินทะรส พนักงานทว่ั ไป 3. นายสมพร นามชาลี พนกั งานท่วั ไป กิจกรรมท่ีผเู้ ข้ารบั การฝึกอบรมได้ปฏบิ ตั ิ 1. กำรเตรยี มทำนำข้ำวอินทรยี ์ โดยเป็นการ แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ซึง่ เร่ิมด้วยขั้นตอนของการเตรยี มดนิ ซึ่งใช้หลงั การเกบ็ เกี่ยวขา้ ว จะทาการปลอ่ ยน้าเขา้ แปลงนาใหส้ งู 5-10 เซนติเมตร และทาการไถดะ เพ่อื ทาลายวัชพืชในนา 1 รอบและเป็นการพลิกกลับหน้า ดนิ ตอ่ มาจะมกี ารหมักดองดิน โดยใช้น้าหมกั รสจืด โดยพนื้ ทีน่ า 1 ไร่ จะใชน้ า้ หมักรสจืด 1 ลติ ร เป็นการย่อย สลายตอซังใหเ้ ปน็ ปุ๋ย โดยจะปลอ่ ยทง้ิ ไว้ 7 – 15 วัน

๖๑ จากนั้นจึงจะทาการไถแปร ซง่ึ จะไถตัดกับรอยไถ ดะเป็นการย่อยดินเป็นก้อนเล็กๆ ซ่ึงจะเป็นการทาลายต้น อ่อนของวัชพืชด้วย ต่อจากนั้นจะเป็นการไถคราด เพื่อเอา วัชพืชออกจากผืนนาอีกรอบหน่ึง และเป็นการปรับพ้ืนท่ี แปลงนาให้ราบเสมอกัน เพื่อให้ข้าวได้รับน้าเท่ากัน และง่าย ต่อการจดั การน้าในแปลงนา 2. กำรคดั เมล็ดพนั ธ์ุข้ำวและกำรทดสอบควำมงอกของ เมล็ดพันธ์ุข้ำว ซ่ึงมีความสาคัญโดยทีมวิทยากร ได้ทาการ ช้ีแจงถึงข้อดีในการคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวซึ่งทาเพ่ือคัดเมล็ดพันธุ์ดีไว้ใช้เอง อีกท้ังยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต ซึ่ง ตอ้ งคานึงถึงการจัดการกบั ขา้ วเจือปนในทุกขั้นตอน ท้งั จากรวง และการคัดในแปลงนา สาหรับการทดสอบอัตราความงอกของ เมล็ดพันธุ์ข้าวนั้น ทีมวิทยากรชี้แจงว่าเป็นปัจจัย สาคัญ เนื่องจากหากชาวนาใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวท่ีมี อัตราการงอกต่ากว่า 80% ทาการหว่าลงนา อาจทาให้ได้ต้นข้าวท่ีงอกมีจานวนน้อย ซ่ึงจะทา ให้ต้องมีการปลูกซ่อม หรืออาจต้องไถทิ้งและ หว่านเมล็ดพันธ์ุใหม่ ซึ่งจะทาให้เสียเวลา และ ค่าใช้จ่ายเพ่ิมเติมโดยวิธีในการทดสอบอัตรางอก น้ัน ในการทากิจกรรมจะไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุท่ีอยู่ใน ระยะพักตัว และใช้กระดาษท่ีมีคุณสมบัติอุ้มน้า ได้ดี สะอาด ปราศจากสารพิษ ไม่ฉีกขาดง่าย โดยให้ผู้อบรมนับจานวนกระดาษท่ีต้องการใช้ใสใ่ นถาด จากนั้น เทน้าเปล่าให้ท่วม เม่ือน้าซึมทั่วกระดาษดีแล้วให้เทน้าออก และทาให้สะเด็ดน้า จากนั้น นากระดาษดังกล่าว จานวน 2 แผน่ วางราบบนพื้นถาด หรอื โต๊ะปฏบิ ตั ิงาน จากนั้น นาเมล็ดพันธุ์ที่จะทาการทดสอบ จานวน 100 เมล็ด วางเรียงบนกระดาษเพาะที่เตรียมไว้ ให้ได้ 10 แถว แถวละ 10 เมล็ด เม่ือเรียบร้อยแล้ว จึงนากระดาษที่มีความชื้นอีก 1 แผ่นมาปิดทับด้านบน จากน้ันจึงทาการพับกระดาษจากขอบซ้ายมือประมาณครึ่งน้ิว และทาการม้วนลงมาโดยไม่แน่นหรือหลวม จนเกินไปให้สุดกระดาษ จากน้นั ทาการบันทึกวนั ท่ีทา และนาไปวางในถงุ พลาสติกขนาด 8 x 12 นิ้ว ซ่งึ จะใส่ ไดท้ ้ังหมดถุงละ 4 มว้ น ใชร้ างรดั รัดรักษาความช้นื และให้พอมอี ากาศถ่ายเทไดบ้ า้ ง 3. กำรทำข้ำวกล้องงอกไร้มอด ซ่ึงในการฝึกปฏิบัติ จะเร่ิมที่คณะวิทยากรได้ทาการเตรียมข้าวกล้อง ไรส์เบอร์ร่ีไว้ให้แก่ผู้อบรมล่วงหน้า โดยในขั้นตอนการเตรียมข้าวน้ัน ได้ชี้แจงว่าจะต้องมีการล้างทาความ สะอาดข้าวไว้ก่อน จากนัน้ จะต้องแช่นา้ ท้งิ ไว้ประมาณ 4 – ๘ ชั่วโมง จากนั้นจงึ ล้างทาความสะอาด และหวด ขา้ วให้สะเดด็ น้า จากนั้น จึงจะนามาบ่มในผา้ ขาวบางเพอื่ เพาะให้งอก โดยจะใช้เวลาบ่มประมาณ 18 ช่วั โมง

๖๒ จากน้ันให้นาข้าวกล้องที่พบตุ่มงอกมาล้างทาความสะอาด และพักหวดข้าวให้สะเด็ดน้า จากนั้นจึง ใหผ้ ู้เข้าฝึกอบรมนาขา้ วท่เี พาะงอกแลว้ ไปนงึ่ ทีห่ มอ้ น่ึงที่เตรียมไว้ โดยใชเ้ วลาประมาณ 10 – 20 นาที ให้ขา้ ว ร้อนอย่างทั่วถงึ จากนัน้ จะนาไปตากแดดประมาณ 2 – 3 วนั และนาไปบรรจุถงุ ปิดผนกึ ซ่ึงในการน่ึงข้าวนั้น จะต้องต้มน้าให้เดือดจัดก่อน เพื่อ ยับย้ังการงอก ทาลายไข่มอด ทาให้ข้าวสุก บางสว่ น ยบั ยัง้ เอนไซม์ไลเปสซ่งึ จะปอ้ งกันกลิน่ หืน และทาลายจุลนิ ทรยี ก์ อ่ โรค 4.แต่ละกลุ่มสี ทำกำรถอดบทเรียน องค์ควำมรู้ที่ได้รับ จากการฝึกปฏิบัติ โดยใช้วิธีสุ่มด้วยการจับฉลาก สุ่มการนาเสนอฐาน การเรียนรู้ (กลุ่มละ 1 ฐานการเรียนรู้) และได้ถอดบทเรียนของ กจิ กรรม สรปุ ผลได้ ดงั น้ี 1. ฐำนฅนรักษน์ ำ้ ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรม ได้สง่ ตวั แทนหมบู่ ้านนาเสนอกิจกรรมที่ได้ฝึก ปฏบิ ัติ โดยลาดับแรก ได้กล่าวถงึ กิจกรรมการทาจุลนิ ทรียบ์ อล ซงึ่ สมาชิกได้ มกี ารแบ่งหน้าท่ีกัน จึงทาให้สามารถทากิจกรรมเสร็จทันเวลา ไดเ้ หน็ ถึงการ ใช้วสั ดใุ นการทา วา่ สว่ นใหญ่ จะเป็นสงิ่ ที่มีอยูภ่ ายในศูนย์ฯ หรอื วสั ดทุ ี่สามารถใช้ทดแทนได้ อาทิ ถ้าไม่มีจาวปลวก สามารถใช้ดินดาใต้โคนต้นไม้ใหญ่ทดแทนได้ โดยกลุ่มจะลองนาไปปฏิบัติดูว่า สามารถบาบัดน้าเสียได้ผลอย่างไรท่ี พื้นท่ตี นเอง และจะนามาแบ่งปันความรู้

๖๓ ในส่วนการทาจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ทุกคนได้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งบางคนก็ได้มีการทาใช้เองท่ีพื้นท่ีตน จึงมี การแลกเปลี่ยนสูตรต่างๆ ในส่วนของผลการใช้ สามารถใช้ในการเพิ่มผลผลิตกับพืชได้ เนื่องจากรากพืชสามารถ ดดู ซึมสารอาหารไดด้ ียิง่ ขน้ึ และ ขยายเชือ้ ตอ่ ได้ง่ายไม่ยุ่งยาก ในกิจกรรมการทาตะบันน้า เป็นวิธีท่ีดีในการผันน้าจากที่ต่าข้ึนสู่ที่สูง โดยสามารถปรับใช้ได้ดีกับพ้ืนท่ีใน ภาคเหนือ ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่สาธิต จะอาศัยพลังงานจากแรงดันของน้าไหลตามธรรมชาติ ผ่านเช็ควาวล์ สุดท้าย เป็นการสาธิตการใช้น้าดี ไล่นา้ เสียดว้ ยการแทนท่ีด้วยน้าดีอาจเปน็ น้าฝน หรอื นา้ จากแหล่งอ่ืน ซ่ึงเปน็ การทาความ สะอาดสระน้า ดว้ ยวธิ ีธรรมชาติ และในกิจกรรมการทาแซนวิซปลาลอยน้า ซ่ึงผู้เข้ารับการฝึกอบรม ได้รับแนวทางการทา โดยใช้วิธีสานไม้ ไผ่ใหเ้ ปน็ ลักษณะสุ่มไก่ เป็นการประยุกต์คลา้ ยๆกบั แนวทางการทาบ้านปลา เพื่อเป็นแหล่งอาหารของปลา ๒. ฐำนฅนมีน้ำยำ ในส่วนของการนาเสนอ กลุ่มมี ความสนใจในด้านการทาน้ายาเอนกประสงค์ ตาม สตู รของศนู ยฯ์ ซ่ึงเปน็ สตู รท่ีสามารถลดการใชส้ ารเคมี ได้มาก เน่ืองจากวัสดุบางส่วนท่ีเป็นน้าหมัก สามารถ นามาใช้ทดแทนวัสดุท่ีต้องไปซื้อหาจากสหกรณ์ได้ และไดฝ้ ึกปฏบิ ัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทาใหเ้ รยี นรู้ใน การใช้วัสดทุ เ่ี หมือนเปน็ ขยะจากครัว ให้เกดิ ประโยชน์ อาทิ เปลือกส้ม สัปปะรดฯลฯ ให้เกิดประโยชน์และเพ่ิม มูลค่าได้ นอกจากน้ีในการทา ยังเป็นการฝึกความอดทน สมาธิ และชว่ ยออกกาลงั กายผ่านการกวนน้ายาเอง ส่งิ ทผ่ี ู้ เข้ารับการฝึกอบรมได้นาเสนอเพิ่มเติม บางส่วนอยากที่จะ นาความรู้ท่ไี ด้รบั ไปปฏบิ ตั ิ โดยใชว้ ัสดุเหลอื ใชใ้ นครัวเรือน ซึ่งหากทาสาเร็จจะนาไปบอกต่อ และถ้ามีเวลา ก็ต้องการ ที่จะมาเรียนรู้ในการทาน้ายาให้ครบทุกสูตร เพ่ือการ นาไปใช้ทห่ี ลากหลาย 3. ฐำนฅนเอำถ่ำน ซึ่งผู้อบรมได้เรียนรู้ในส่วนของเตาเผาซ่ึงมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่เตาเผาแบบสมบูรณ์ที่ก่อจากอิฐ และสามารถบรรจุวัสดุได้ เยอะสาหรับการเผาถ่านที่ละมากๆ รองรับอุณหภูมิได้ถึง 1,000 องศาเซลเซียส ข้อเสียคือการมีควันเยอะ หากใช้นานๆ จะต้องมี การซอ่ มอยู่ตลอด โดยสามารถนาไปปรบั ใช้กับพื้นท่ี ทีม่ ไี ม้จานวน เยอะๆ

๖๔ อีกแบบได้แก่เตา 200 ลิตรแบบไร้ควัน เป็นอุปกรณ์ท่ีหา งา่ ยและลงทุนต่ากว่า สามารถจากัดไม้ท่ีจะทาได้ และไม่มีควัน เป็นการประยุกต์ใช้วัสดุที่มีให้เกิดประโยชน์ โดยการเผาไหม้ วัสดุที่นามาใช้ในการฝึกปฏิบัติ จะเป็นไม้เน้ือแข็ง และเศษไม้ สามารถนาไปใช้ในครัวเรือนซ่ึงทาให้ประหยัด และเป็นการ แปรรูปเพิ่มรายได้ ได้อีกทางหน่ึง หากมีโอกาสเพิ่มเติม ผู้เข้า รับการฝึกอบรม ต้องการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ในส่วนของ ช่องทางการจดั จาหน่าย และการเผาถ่านดว้ ยเตาดนิ 4. ฐำนฅนตดิ ดิน ในสว่ นของฐานฅนติดดิน ผ้เู ขา้ รบั การฝึกอบรมได้นาเสนอในสว่ นของการได้เรียนรวู้ ิธีในการทาบ้านดนิ ซึ่ง ฐานฯ จะสอนการทาบ้านดินแบบก่ออิฐดิน ซ่ึงทางกลุ่มได้มีการแบ่งหน้าท่ีกัน ในส่วนผู้จดบันทึก และการแบ่ง หน้าทก่ี ารปฏบิ ตั ิท้งั การทาบลอ็ ก และการก่อบ้านดิน ซ่ึงเปน็ การใชว้ ัสดจุ ากธรรมชาติ ตลอดจนเทคนิคตา่ งๆในการ ก่อบ้านดิน โดยมีข้อสังเกตคือ ดินที่ใช้ทาจะมีฟองอากาศอยู่ภายในต้องนามาแช่นาเป็นการไล่ฟองอากาศ และได้ เรียนรู้วา่ ผนงั บา้ นดินท่ีหนาจะทาให้อุณหภมู ภิ ายในตวั บ้านเย็นกว่าภายนอกเวลากลางวัน สิง่ ท่ีต้องการแลกเปล่ียน เรียนรู้ การใช้ศาสตร์ชาวบ้านในการสร้างที่อยู่อาศัย ซ่ึงทาจากวัสดุธรรมชาติ และความยากง่ายของการสร้างบ้าน ดนิ ๕. ฐำนฅนรักษป์ ำ่ ตัวแทนได้นาเสนอถึงการเรียนรู้ในการปลูกป่า 5 ระดบั วา่ ควรมีการปลูกอย่างผสมผสานภายในพ้ืนท่ี ซ่งึ จะเป็นการให้ ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ในการสร้างสมดุลซึ่งกันและกัน ในการปลูก ป่าก็จะทาให้เราได้ประโยชน์ท้ังทางตรง และทางอ้อม ซึ่งทาให้พอมี กนิ มีใช้ มีทีอ่ ยอู่ าศัย และทาใหเ้ กดิ ความร่มเย็น ในการขุดคลองไส้ไก่ ควรขุดให้คดเค้ียวไปมา และลาดเอียง 45 – 60 องศา และควรมีการทาหลุมขนมครกให้ลึกลงเป็นเท่าตัว เพ่ือเป็นการชะลอน้า และดักตะกอนท่ีจะส่งผลต่อการไปอุดตันใน

๖๕ บริเวณฝาย ทาให้น้าไม่ไหลผ่าน ซึ่งได้เรียนรู้ควบคู่ไปกับการ ทาฝายชะลอน้า ว่าสามารถเป็นจุดท่ีทาให้เกิดความชุ่มช่ืนใน บริเวณได้ เนื่องจากน้าจะถูกชะลอการไหลไว้ทาให้สามารถ ซึมเขา้ สผู่ ิวดินไดม้ ากข้ึน ในส่วนของการทานา ก็มีควรมีการทาหัวคันนา ให้กว้าง 2 เมตร และสูงขึ้นจากนาประมาณ 1 เมตร เพื่อ สามารถใช้ในการปลูกพืชท่ีกินได้ และให้ผลผลิตเร็วได้ ซึ่งจะ เป็นการทาให้มีกินและสร้างรายได้ อกี ทางหนึ่งและควรมีการ ห่มดินด้วยฟางหรือเศษพืช ไม่ให้ดินเปลือยเปล่า เป็นการทาให้ดินเกิดความช้ืนและปรับสภาพดินให้เกิดจุลินทรีย์ และสัตวห์ น้าดนิ นาไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ 6. ฐำนฅนรักษแ์ มโ่ พสพ นาเสนอการเรียนรู้ ในการทาข้าวกล้องงอกไร้มอด ซึ่งสามารถนาไปปรับใช้ในการเพ่ิมมูลค่าจากข้าวกล้อง ธรรมดา มาเป็นข้าวกล้องงอกซ่ึงมีสรรพคุณเพิ่มเติมในการมีกาบ้า ซ่ึงสามารถช่วยในการบารุงสมอง โดยเห็น แนวทางในการนาไปต่อยอดเพ่ือเป็นผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ตลอดจนภายในชุมชน และเป็นแนวทางหนึ่งในการถนอม อาหาร นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ในส่วนของการทาคันนาทองคา ซ่ึงเป็นการใช้พ้ืนท่ีคันนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน การเป็นแหล่งอาหาร และการเตรียมนาเพื่อทานาอินทรีย์ ในด้านการย่อยตอซัง และการไถเพ่ือเตรียมเพาะปลูก ตลอดจนเร่ืองปุ๋ยอินทรีย์ท่ีใช้ ซ่ึงเห็นว่าสามารถนาไปปรับใช้ในครัวเรือน เป็นการเพ่ิมรายได้จากการเพิ่มข้ึนของ ผลผลิตต่อไร่ ได้ ๗. ฐำนฅนมีไฟ นาเสนอกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสาธิตในส่วนของการ ใช้พลังงานจากแบตเตอร่ี ซึ่งหากใช้อย่างถูกต้อง และการชาร์ตไฟ ซึ่งสาคัญ ท่ีจะต้องมีแบตขั้นต่าท่ีเหลือเพื่อให้แบตเตอรี่ไม่ลดอายุการใช้งาน รู้จัก แนวทางในการคานวณการใช้ไฟและค่าการแปลงไฟ ในการใช้ประกอบกับ แต่ละชนดิ ของแบตเตอร่ี

๖๖ นอกจากน้ยี ังได้เรียนรู้การทาน้ามนั ไบโอดีเซล จาก น้ามันในครัวเรือนที่เหลือใช้ และสามารถนามาเป็น เชื้อเพลิงสาหรับเคร่ืองยนต์ทางการเกษตร การใช้เตาชีว มวล สามารถเผาแกลบดิบ เป็นแกลบดา เพ่ิมมูลค่า และการใช้โซลา่ เซลล์ทั้ง 3 ประเภท ไดแ้ ก่แบบ โมโน โพ ล่ี และคริสตัล นอกจากน้ีกลุ่มได้นาเสนอกิจกรรม ท่ีได้มีการ ทบทวน และเรียนรู้ร่วมกันในด้านพลังงานทดแทนซ่ึง ทางกลุ่มเห็นว่ามีความสาคัญ และเป็นประโยชน์ต่อ การศึกษาเรียนรู้ ซึ่งปัจจุบันได้มีความพยายามศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆ ให้สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้สะดวก และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพ่ือช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลด ค่าใช้จ่าย โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งในท้องถ่ิน และภายในประเทศ สามารถผลิต และใช้พลังงานอย่างย่ังยืน ซ่ึงจะเป็นหนทางหน่ึงท่ีช่วยลดการทาลายทรัพยากรท่ีกาลังเกิดขึ้นอย่างมากมาย และรุนแรงในปัจจุบัน ช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติ อันเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อโลก และมนุษยชาติ เชื่อวา่ พลงั งานทดแทนจะเปน็ หนทางหน่ึงของการแก้ไขวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และส่งิ แวดลอ้ มของโลกได้ ๘. ฐำนฅนรกั ษแ์ ม่ธรณี โดย ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ ใน ด้านการใช้ประโยชน์จากการทาน้าหมัก 7 รส ซึ่งสามารถนาไปใช้ในครัวเรือน เป็นการลดปริมาณขยะและเป็นการ ใช้มูลสัตว์ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งน้าหมักดังกล่าวจะมีบางสูตรท่ีสามารถนาไปใช้ในห้องน้าเพื่อลดกล่ินได้ อีกทางหน่ึง คือการใช้ในทางเกษตร เปน็ การลดสารพิษจากการใชส้ ารเคมี และเป็นการเพิ่มแร่ธาตุบารุงดินในตัว ส่วนกิจกรรมท่ีน่าสนใจอื่นๆ ประกอบด้วยการห่มดิน เพอ่ื รกั ษาหน้าดินให้มีความชุ่มชื้น การผ่าท้องช้าง ก็ เปน็ การกาจดั ขยะเหลือในครัวได้ และการทาน้ามะพร้าวเทียวกระตนุ้ จุลินทรยี ์ ซึ่งแลกเปลีย่ นวา่ จะต้องนาไปปฏิบัติ และควรเพ่ิมเติมระยะเวลาลงมือปฏบิ ตั ิ

๖๗ ๙. ฐำนฅนรักษส์ ขุ ภำพ ในส่วนของฐานฯ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เรียนรู้และแลกเปล่ียนองค์ความรู้ในการใช้สมุนไพร ในการ ดูแลสขุ ภาพ ทงั้ ฤทธริ์ ้อนและเยน็ อยา่ งเหมาะสมตามสถาณการณ์ ซึง่ ฤทธเิ์ ย็น ไดท้ ดลองทาเป็นนา้ คลอโรฟิลด์ รับประทาน โดนใช้วตั ถดุ บิ ภายในศนู ย์ฯ สว่ นฤทธ์ริ ้อน ได้นาไปทากจิ กรรมการแชเ่ ทา้ ซงึ่ เป็นกจิ กรรมทีช่ ่วยให้ ผ่อนคลายจากงานหนักได้ และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต การพอกหน้าทาให้รู้สึกถึงการบารุงผิวอีกทาง หนง่ึ ซงึ่ ควรทาเปน็ ประจา สาหรับการแลกเปลี่ยน ต้องการเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และโทษของสมุนไพรต่างๆ เพ่ิมเติม และอยากให้ลงมอื ปฏบิ ัติในพน้ื ท่ี ท่ีอยู่ในเขตรับผิดชอบด้วย ผลประเมนิ รำยวชิ ำ 7. แบ่งกลุม่ ฝกึ ปฏิบตั ิฐำนกำรเรียนรู้ ชอื่ วิทยำกร นายณฐั นชิ รกั ขติวงศ์ นักทรัพยากรบุคคลชานาญการและทมี วทิ ยากรครูพาทา ศพช.ลาปาง หวั ข้อ ระดบั ความคิดเห็น คา่ เฉลี่ย การแปล ผล ๑.การบรรลวุ ัตถุประสงค์ของรายวชิ า มากทส่ี ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยที่สุด ๒.ความชัดเจนของเน้อื หาวชิ า 4.43 มาก ๓.ความรู้ ทักษะ ที่ได้รบั เพ่มิ เตมิ จากวชิ าน้ี 189 191 16 0 0 4.46 มาก ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (47.6%) (48.1%) (4%) (๐.0%) (0.0%) 4.42 มาก 4.43 มาก 199 183 15 0 0 (50.1%) (46.1%) (3.8%) (0.0%) (0.0%) 187 192 18 0 0 (47.1%) (48.4%) (4.5%) (0.0%) (๐.0%) 194 183 17 3 0 (48.9%) (46.1%) (4.3%) (0.8%) (0.0%) ภำพรวม 4.43 มำก

๖๘ จากตารางท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติฐานการ เรยี นรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ค่าเฉล่ยี 4.43 โดยแยกพิจารณาได้ ดงั น้ี 1. การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของรายวิชา ระดับมาก คา่ เฉลีย่ 4.43 2. ความชัดเจนของเน้ือหาวิชา ระดบั มาก คา่ เฉลย่ี 4.46 3. ความรู้ ทักษะ ท่ไี ดร้ ับเพ่ิมเติมจากวชิ านี้ ระดบั มาก คา่ เฉลยี่ 4.42 4. ความสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ ระดับมาก คา่ เฉลยี่ 4.43 ส่วนที่ ๒ ความพงึ พอใจต่อวทิ ยากร หัวขอ้ ระดบั ความพึงพอใจ คา่ เฉล่ยี การแปล ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทส่ี ุด 4.42 มาก 184 196 17 0 0 (46.3%) (49.4%) (4.3%) (๐.0%) (0.0%) ๒.เทคนิคและวธิ กี ารทใี่ ช้ในการถา่ ยทอดความรู้ 186 192 19 0 0 4.42 มาก (46.9%) (48.4%) (4.8%) (0.0%) (0.0%) ๓.การเปิดโอกาสใหซ้ กั ถาม แสดงความคิดเหน็ 199 179 19 0 0 4.45 มาก (50.1%) (45.1%) (4.8%) (๐.3%) (๐.0%) ๔.การสร้างบรรยากาศในการเรยี นรู้ 186 194 17 0 0 4.42 มาก (46.9%) (48.9%) (4.3%) (0.0%) (๐.3%) ๕.บคุ ลิกภาพ (การแตง่ กาย ทา่ ทาง น้าเสียง ฯลฯ) 190 189 17 0 0 4.43 มาก (4.3%) (๐.0%) (๐.๐%) (47.9%) (47.6%) ภำพรวม ๔.43 มำก จากตารางที่ 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชา แบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติฐานการ เรยี นรู้ โดยภาพรวมอยใู่ นระดับ มากทีส่ ดุ คา่ เฉลย่ี 4.43 โดยแยกพจิ ารณาเปน็ รายประเดน็ ได้ดังน้ี 1. ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย ระดับมาก ค่าเฉลย่ี 4.42 2. เทคนคิ และวธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการถา่ ยทอดความรู้ ระดับมาก คา่ เฉลยี่ 4.42 3. การเปิดโอกาสให้ซักถาม แสดงความคดิ เห็น ระดบั มาก คา่ เฉลีย่ 4.45 4. การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ระดับมาก คา่ เฉลี่ย 4.42 5. บคุ ลกิ ภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง นา้ เสยี ง ฯลฯ) ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.43 สง่ิ ทท่ี ่ำนประทบั ใจในวิทยำกรทำ่ นน้ีคือ -พูดได้ชัดเจน เข้าใจงา่ ย สามารถนาไปต่อยอดได้-อธบิ ายทาใหไ้ ดร้ บั รสู้ ิ่งที่ ยังไม่ร/ู้ วิทยากรอธิบายเข้าใจได้ดี/ชอบทุกคน/ไดเ้ รยี นรลู้ งมือปฏบิ ัตติ ิจริง/ยิ้มแย้มแจ่มใส/ ใหค้ วามรูไ้ ด้ดีมาก ส่ิงที่วิทยำกรควรปรับปรุงคือ -ใหส้ อดแทรกความบันเทงิ อีกหน่อย/ระยะเวลาน้อยเกนิ ไป ข้อเสนอแนะเพมิ่ เติมอ่ืนๆ -เรอ่ื งการจัดการบรหิ ารเวลาในการพัก และเวลาในการเรยี กรวมคน ทง้ั ตอนเชา้ และตอน ทานอาหาร/มีตลกหัวเราะอีกหนอ่ ยก็ดีจะได้ไม่เบ่ือ/เพิ่มเวลาแตล่ ะ่ ศนู ย์การเรียนรแู้ ละลงมอื ทาทุกขัน้ ตอน/ควรเพมิ่ เวลาฐานให้ยาวกว่าน้ี

๖๙ 8.วิชำ ถอดบทเรียนผ่ำนสือ่ “วิถีภมู ิปญั ญำไทยกับกำรพ่ึงตนเองในภำวะวิกฤต\" วิทยำกรหลกั ว่าที่ ร.ต.ชยั ณรงค์ บวั คา นกั ทรพั ยากรบคุ คล ผ้รู บั ผดิ ชอบวิชำ วา่ ที่ ร.ต.ชยั ณรงค์ บัวคานกั ทรพั ยากรบคุ คล วัตถุประสงค์ 1. เพอ่ื สร้างแรงบนั ดาลใจสู่การเปลยี่ นแนวคดิ ตาม วิถภี มู ิปัญญาไทยกับการพึ่งตนเอง 2. เพ่อื สร้างความตระหนกั ถึงความสาคญั ของการ น้อมนาหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และศาสตร์ พระราชาไปประยุกต์ใช้ในการดารงชวี ติ 3. เพือ่ ใหผ้ ู้อบรมไดส้ ังเคราะหค์ วามรู้ทไี่ ดร้ ับจากส่อื ระยะเวลำ 2 ชั่วโมง ประเดน็ /ขอบเขตเนอื้ หำ - สรา้ งแรงบันดาลใจสกู่ ารเปลยี่ นแนวคดิ - การนาวิธภี ูมิปัญญาไทยมาปรับใชก้ ับการพง่ึ ตนเองในการดารงชีวติ ขนั้ ตอน/วิธีกำร 1. วิ ท ย า ก ร ช ว น พู ด คุ ย ส ร้ า ง บรรยากาศในการเรียนรู้ และเชิญชวนดูสื่อวิดิทัศน์ของ “นายเลี่ยม บุตรจันทรา” เกษตรกรบ้านนาอีสาน จังหวัดฉะเชิงเทรา ความยาว 15 นาที โดยในสื่อ วดิ ทิ ัศน์ ดงั กลา่ ว มีเนอ้ื หาสรุปได้ดงั นี้ พ่อเล่ียม บุตรจันทรา เป็นปราชญ์ ชาวบ้าน ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นเกษตรกรนักคิด นัก ปฏิบัติ และเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ กับ ประชาชน ผู้ที่สนใจใฝ่รู้เร่ืองเศรษฐกิจพอเพียง เร่ิมแรกเกิดจากการท่ีตนเองได้ไปอบรม และมีวิทยากรได้เล่า ประสบการณ์ พร้อมแนวคิดเชิงดูถูกว่าเกษตรกรไม่รู้จักตนเอง ซ่ึงตนเองก็คิดอยู่ในใจ ว่าไม่รู้จักได้อย่างไร เราก็คือ นายเล่ียม บุตรจันทรา 3 วันเมา 4 วันเมา และวิทยากรยังบอกอีกว่า “ถ้าอยากรู้จักตนเองให้มากกว่านี้” ให้ลองทา บัญชีครัวเรือนดู เม่ือตนเองกลับมาบ้าน จึงเริ่มทาบัญชีครัวเรือนดู โดยขอสมุดจากลูกชายมาจดบันทึกบัญชี ทาการ บันทึกง่ายๆ ด้วยการตีตาราง 3 ช่อง ช่องท่ี 1 คือ วันเดือนปีท่ีซื้อ ช่องที่ 2 รายการท่ีซื้อ และช่องที่ 3 จานวนเงินท่ี จา่ ย โดยตีตารางแยกออกเปน็ 3 แผ่น แลว้ เขยี นช่อื แผน่ แรก ของ นายเล่ยี ม ของบตุ รทั้ง 2 คน และของยายตยุ๋ (ภรรยา) เมื่อเรมิ่ ทา เกือบจะไม่ได้ทาต่อ เพราะถามลูกชายว่าแม่ให้เงินไปโรงเรียนใช้ จา่ ยอะไรบา้ ง และถามภรรยาว่าใชจ้ ่ายอะไรบ้าง แตก่ ็โดนดา่ หาว่า ไม่ไวใ้ จ กถ็ ามคา่ ใช้จา่ ยภรรยาเร่ือยมา จนภรรยาเลิกดา่ เน่ืองจาก พ่อเล่ียมถามทุกวันและลงบัญชีทุกวันด้วยความเพียร ปลายปี พ.ศ. 2539 ได้สรุปบัญชีรับ-จ่ายในครัวเรือน ก็เรียกภรรยา พร้อมลูกชายทั้ง 2 มาน่ังคุยกันและน่ังดูรายจ่ายของตนเอง ปรากฏว่ามีแต่ค่าอบายมุข 60,000 กว่าบาท กลับกันเม่ือหันมา

๗๐ ดูรายจ่ายของภรรยา มีแต่รายจ่ายซ้ือของกินของใช้ในครอบครัว 29,000 บาท พอภรรยาเห็นบัญชีหันมาบอกว่า “รายจ่ายตนเอง 29,000 บาท ไดใ้ ชอ้ ยใู่ ชก้ ันกันไดท้ ัง้ ครอบครวั แต่ของพ่อเล่ียม เสยี เงินไปกบั อบายมขุ ไมส่ รา้ ง ประโยชน์อะไรกบั ครอบครัว” จนเกิดการทะเลาะถึงขัน้ จะเลกิ รากนั จึงหนั ไปถามลูกชาย 2 คน ว่าลกู จะเลอื กอยู่กับ ใครระหว่างพ่อกับแม่ ลูกชายท้ัง 2 ตอบเหมือนกันว่าเลือกอยู่กับแม่ เมื่อได้ยินคาตอบของลูกชายท้ัง 2 ก็เร่ิมคิด ทบทวนตวั เองวา่ ทาไมลูกถงึ เลือกอยกู่ บั แม่ สดุ ท้ายเลยตดั สินใจเลิกอบายมุขทั้งหมด จากนั้นก็ได้มาทาบัญชีรับ-จ่าย ในการทาไร่ของตนเอง เห็นว่ารายได้สุทธิเพียง 3 หมื่นบาท ซ่ึงคิด คานวณดูแล้วหากจะนาเงินมาซ้ือกินใช้ในครอบครัว คงไม่พอแน่ ในปี พ.ศ. 2540 จึงบอกกับคนใน ครอบครัวตัดสินใจจะปลูกทุกอย่างที่กิน และกินทุก อย่างที่ปลูกในพื้นท่ีของตนเอง จะไม่เอาเงินไปซื้อกิน อีกต่อไป ภรรยาจึงถามว่า “ถ้าไม่ทาไร่ จะทาอะไร” พ่อเล่ียมจึงนาบัญชีรายจ่ายของภรรยามากางดู จึง เห็นว่ารายจ่ายบางอย่างเราผลิตใช้เองได้ ไม่ต้องไปซ้ือ จากภายนอก พ่อเล่ียมจึงเอารายจ่ายของภรรยา มา วางแผนปฏิบัติ โดยยึดคาที่ว่า “รำยจ่ำยของเมีย คือ ลำยแทงชีวติ ” จากนน้ั ไดแ้ ยกรายจ่ายในบ้านออกเป็น 2 หมวด คอื หมวดที่ 1 ซื้อของทจี่ าเปน็ 25% และหมวดที่ 2 ซื้อของทตี่ ้องการ 75% รวมแลว้ 100% ซึ่งในเกือบ 100% นัน้ เราสามารถผลติ ใช้เองได้ จงึ ศึกษาหาขอ้ มูลทาเองใชเ้ องในครวั เรอื นอยู่ 3 เดอื น พร้อมปลูกพชื ผกั ไปด้วย จากนั้นจึงเกิด “บ้านสวนออนซอน” เป็นสวนแห่งความภาคภูมิใจ ที่พ่อเล่ียมและภรรยาได้ร่วมกัน ปลูกผัก รดน้ารวมกันมา ในช่วงท่ีรัฐบาลได้กาหนดพักชาระหน้ี ได้ร่วมเก็บหอมรอบริบจนสามารถใช้หนี้สินได้ส่วน หนึ่ง ซ่ึงตนเองและภรรยาดีใจมาก ด้วยเหตุน้ีพ่อเลี่ยมจึงให้ภรรยาดูแล เงินทห่ี ามาได้ และจัดตงั้ กองทนุ จานวน 5 กองทุน คือ 1. กองทนุ ปลดหนี้ 2. กองทนุ ซอ้ื เสื้อผ้า 3. กองทุนซ่อมแซมบ้าน 4. กองทนุ ค่าเล่าเรียนลูก 5. กองทุนสขุ ภาพ หลังครบ 3 ปี ที่รัฐบาลพักชาระหนี้ให้ กอ งทุนต่างๆ ท่ีตั้งไว้ อาทิ กองทุนซ้ือเส้ือผ้าไม่ได้ซ้ือ กองทุนซ่อมแซมบ้านไม่ได้ใช้ กองทุน สุขภาพไม่ได้ไปหาหมอ พ่อเลี่ยมจึงยุบ 3 กองทุน มารวมกับกองทุน ปลดหนี้ จนไดเ้ งินมาปลดหนี้ทง้ั หมด และยงั คงกองทนุ ค่าเลา่ เรยี นลกู กบั กองทนุ สขุ ภาพไว้ พ่อเล่ียม มีบุตรชาย 2 คน จบแพทย์แผนไทย และอีกคนจบเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งบุตรทั้ง 2 มี ความรู้ความเช่ียวชาญเดินตามรอยของบิดาตนเอง กลับมา พัฒนาบา้ นสวนออนซอน ในปี พ.ศ. 2542 พ่อเล่ียมได้พูดคุยกับภรรยา หากแก่ตัวลงหาบน้าไม่ไหวเราจะทาอย่างไรต่อไป จนนึกถึง แนวคิดการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ที่ได้รับฟังจาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา คุณวิบูลย์ เข็ม เฉลิม ปราชญ์ชาวบ้านจังหวดั ฉะเชิงเทรา และ

๗๑ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกาธร ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง จ.ชลบุรี ซึ่งตอนแรกตนเองก็ยังไม่รู้เข้าใจมากนัก แต่ก็ได้ วางแผนชีวิตไว้ 3 ช่วง คือ ปัจจุบัน อนาคต และก่อนตาย จากน้ันได้มาศึกษารายละเอียดการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง จงึ เกิดความสนใจ และปลกู ปา่ ตามความเขา้ ใจของตนเอง คอื 1. ป่ำท่ีมคี วำมหลำกหลำย คือ ป่าทีป่ ลกู ต้นไมท้ ีก่ ินได้ทุกชนิด เพอ่ื เป็นแหล่งอาหารท่หี ลากหลาย 2. ป่ำบำนำญ (ให้ความสาคัญตอนแก่ชรา) คือ ปลูกต้นไม้ที่มีมูลค่า ซึ่งปัจจุบันตนเองปลูกไว้ รวม 5,000 ตน้ ไดแ้ ก่ มะค่า ยางนา ตะเคียน มะฮอกกะนี และพะยงู (อยา่ งละ 1,000 ตน้ ) ซงึ่ การปลูกไม้เช่นน้ี พ่อเล่ียมได้กล่าว ว่า “ตัง้ แตเ่ กิดมาจนปัจจบุ ัน ยงั ไม่เคยเหน็ ตน้ ไม้ราคาตกต่า มแี ตจ่ ะสูงขึ้นไปเร่อื ยๆ” ซง่ึ ตนเองคดิ ไวค้ รา่ วๆ มะคา่ ยาง นา ตะเคียน มะฮอกกะนี หากปลูกได้โตเต็มท่ีแล้ว ตนเองคิดต้นละ 10,000 บาท ส่วนต้นพะยูง ตนเองคิดต้นละ 100,000 บาท 3. ปำ่ โตเรว็ (ไมโ้ ตเรว็ 2 ปี กินได)้ คอื กระถินยกั ษ์ กระถนิ เทพา โตไดไ้ วกินได้ จากการท่ีนาศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดารงชีวิต ปัญหาต่างๆ ได้แก่ หน้ี ทะเลาะใน ครอบครัว และสุขภาพ ได้หายไป ซ่งึ การดาเนินชวี ิตของพ่อเล่ียมก็อยใู่ น 3 หว่ ง 2 เงื่อนไข กล่าวคอื 3 หว่ ง คอื ทาง สายกลาง ประกอบไปด้วย ห่วงที่ 1 คือ พอประมำณ หมายถึง พอประมาณ ในทุกอย่าง ความพอดีไม่มากหรือว่าน้อยจนเกินไปโดยต้อง ไม่ ห่วงท่ี 2 คือ มีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจ เก่ียวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง ตลอดจน คานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดข้ึนจากการกระทาน้ันๆ อย่าง รอบคอบเบยี ดเบียนตนเอง หรอื ผู้อ่นื ให้เดือดร้อน ห่วงท่ี 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปล่ียนแปลง ด้านการต่างๆ ท่ีจะเกิดขึ้นโดยคานึงถึงความเป็นไปได้ของ สถานการณ์ต่างๆ ท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตท้ังใกล้และ ไกล 2 เงอ่ื นไข ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ เงื่อนไขที่ 1 เง่ือนไขควำมรู้ คือ มีความรอบรู้ เก่ียวกับ วิชาการต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความ รอบคอบที่จะนาความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เช่ือมโยงกัน เพ่ือประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในข้นั ตอนปฏบิ ัติ คณุ ธรรมประกอบด้วย มคี วามตระหนกั ในคณุ ธรรม มคี วามซอ่ื สัตยส์ จุ ริต และมคี วามอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดาเนนิ ชวี ติ

เงื่อนไขท่ี 2 เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความ ๗๒ ตระหนักในคุณธรรม มีความซ่ือสัตย์สุจริตและมีความ อดทน มคี วามเพยี ร ใช้สตปิ ญั ญาในการดาเนินชีวติ ๒. ทำ่ นจะนำไปประยกุ ต์ใช้อย่ำงไร นาการทาบญั ชีครัวเรอื นไปใชใ้ นครัวเรอื น ทา 2. หลังจากดูสื่อวิดิทัศน์เสร็จ วิทยากรได้ให้ บัญชีรายรับ-จา่ ย โจทย์ และมอบหมายทุกกลุ่มสีร่วมกันแลกเปลี่ยน เป็นแรงบันดาลใจใหเ้ กิดความอดทน อดออม ความคิดเห็นเปน็ เวลา 15 นาที พรอ้ มเตรยี มผู้นาเสนอ และขยัน กลุ่มละ 5 นาที กล่มุ ละ 1 คน รู้จกั แปรรูปผลผลิต เพ่ือให้เกิดรายได้ ใน ครัวเรือน 3.สดุ ทา้ ยแตล่ ะกลุม่ สรี ว่ มกนั แลกเปลย่ี นความ ปรับเปลยี่ นพฤติกรรมตนเองให้พอดีกับชวี ิต คิดเห็น และนาเสนอ สรุปผลไดด้ ังน้ี ตนเองใหเ้ หมาะสมกับสถานการณ์ปจั จบุ นั บรหิ ารจดั การเงนิ ภายในครัวเรอื น ๑. ทำ่ นได้เรยี นรอู้ ะไรจำกสอ่ื ดังกล่ำว การจัดสรรพ้นื ที่ของตัวเองให้เกดิ ประโยชน์ ปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมในด้านของการใชช้ ีวติ การจดบันทกึ ทาบญั ชีครวั เรือน (จดแก้จน) การ ดา้ นการทาการเกษตร แยกรายรับ-รายจา่ ย โดยการแยกหมวดหมู่ความ วางแผนการใชช้ ีวิตของตนเอง จาเป็นและความตอ้ งการ เร่มิ ตน้ วเิ คราะห์ตนเอง เร่มิ จากทาบัญชรี ายรับ/ รายจ่ายครัวเรอื น ความขยันและอดทน ความเพียรพยายาม ปลกู ทุกอย่างท่ีกิน กินทกุ อยา่ งที่ปลูก ลด รายจ่าย เหลือนาไปขายสรา้ งรายได้ การนาผลผลติ ในครัวเรือน มาแปรรูปให้เกิดรายได้ นาไปปรับใชใ้ นชีวติ ประจาวนั จะไม่ยดึ ติดกบั เพ่มิ ขนึ้ สิ่งทีไ่ ด้มา เกบ็ ออม ประหยดั และสะสมเพื่ออนาคต การประเมนิ ตวั เองโดยการทาบญั ชีครัวเรอื น นาหลกั พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเยน็ มาใช้ นาแนวคดิ ทางสายกลางมาปรับใช้ การใช้ชีวติ ตามหลักเศรษฐกจิ พอเพียง นาความรู้จากศาสตร์พระราชามาแกป้ ัญหา ดา้ นหนี้สิน การทะเลาะเบาะแว้ง สขุ ภาพ การปรับเปลี่ยนวถิ ีชีวติ จากการซือ้ มาปลูกกนิ เอง นาผลเสียในอดตี มาเปลย่ี นแปลงและ เพ่อื ลดรายจ่าย ประยกุ ตใ์ ช้ นาความรู้จากการปลกู ป่า 5 ระดบั มา การดารงชวี ิตท่ีพอดีกับตัวเอง จะทาให้เกิดความ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นพน้ื ที่ โดยเฉพาะไม้บานาญ ย่งั ยนื รูจ้ กั ประมาณตนเอง เรอื่ งการใชจ้ า่ ย วา่ จาเปน็ หรอื ต้องการ การประยุกตใ์ ช้ปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่าง การบริหารจดั การเงนิ ภายในครัวเรือน การจดั สรรพน้ื ที่ของตวั เองใหเ้ กิดประโยชน์ และ สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน การรจู้ กั ตนเอง การประยุกตศ์ าสตร์พระราชาสกู่ ารเปล่ยี นแปลง เปล่ียนชีวิต สรา้ งรายได้ ลดปญั หาหนส้ี นิ และ ปัญหาครอบครวั การตดั สินใจเลกิ อบายมุขเพ่ือครอบครวั ทศั นคติสู่แรงบันดาลใจ เรยี นร้จู ากกระบวนการคดิ การนาเศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยุกตใ์ ช้

รจู้ กั ชีวติ หันกลับมาดตู นเอง ๗๓ การกล้าตดั สนิ ใจ และวธิ ลี ดปญั หาหนสี้ ิน การ วางแผนในการใชจ้ ่าย การดาเนินชวี ติ อย่าง ทะเลาะของคนในครอบครวั และสุขภาพ รวมถงึ พอเพียง ลดรายจ่ายที่ไม่จาเป็น การออกแบบชวี ิตอย่างถูกต้อง ใช้ประโยชน์ในพ้นื ทใ่ี ห้ได้มากท่สี ุด ทาผลติ ภัณฑใ์ ชเ้ องในครัวเรือน เหลือใช้ แบง่ ศาสตร์พระราชาในการสรา้ ง 4 พอ จาหนา่ ย เสรมิ สร้างความสุขในชวี ิตและครอบครวั การทานา้ ยาอเนกประสงค์ ใช้ขอ้ บกพร่องของลงุ เล่ยี ม (อบายมุขทุกอยา่ ง) เปน็ บทเรยี น การวางแผนชีวติ การบริหารจดั การกองทนุ 5 กองทุนใน ครอบครวั เชน่ กองทุนการศึกษา กองทนุ ไดเ้ กดิ แรงบันดาลใจ การบรหิ ารจัดการแปรรูป สุขภาพ สมุนไพรทีม่ ใี นครวั เรือนมาใช้ในชีวิตประจาวนั เช่น ปรบั เปลย่ี นความคดิ ของตนเอง (เรอ่ื งบตุ ร) สบู่ บาสระผม น้ายาล้างจาน เปน็ ต้น ปลกู ป่าบานาญ ปลูกไมโ้ ตเรว็ เปล่ียนความคดิ กล้าลองทา เรยี นรูส้ ิง่ ใหมๆ่ อยู่ เรยี นรดู้ ้วยตนเอง เรยี นรจู้ ากปญั หาของตนเอง เสมอ ปรับเปลยี่ นพฤติกรรมของตนเอง การวางแผนแบ่งส่วนค่าใช้จ่ายในครอบครัว การวางแผนชวี ิตในอนาคตอย่างเปน็ ขัน้ ตอน คา่ อาหาร, คา่ เลา่ เรยี น, คา่ เส้ือผ้า, ทาบญุ นาศาสตร์พระราชา มาประยุกตใ์ ช้ใน ชวี ิตประจาวัน, ครอบครัว, ชมุ ชน นาทฤษฎี 3 ห่วง 2 เงอื่ นไข มาใชใ้ นการดารงชีวิต ศึกษาพืชพันธ์ไุ มใ้ ห้เหมาะสมกับพื้นท่ีของ ตนเอง อดุ รอยรว่ั ลดรายจา่ ยท่ีไม่จาเปน็ ปลกู ผกั ทเี่ รากิน แล้วกินผกั ทเี่ ราปลกู ถ่ายทอดความรใู้ ห้คนอ่ืน การระดมสมองในครอบครัว เชน่ การต้ังกองทุนค่า นาไปปรบั แนวทางและความคิดในการ ดาเนิน เลา่ เรียนบตุ ร ชวี ติ ลดอบายมุข ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข หันมาปลกู ต้นไม้ เล็ก, ใหญ่ เกบ็ ไวเ้ ผาถา่ น ปลกู ฝัง ส่งเสรมิ คนในครอบครัว ใหม้ ีความ พอประมาณ รบั ฟังความคดิ เหน็ ของคนในครอบครัว สรา้ งแนวคดิ ให้ตนเอง ตัง้ กฎระเบียบให้กบั ตนเอง เปล่ยี นวิกฤตเป็นโอกาส เปลีย่ นระบบทุนนิยมเป็นแบบพงึ่ พาตนเอง เป็นแบบอยา่ งท่ดี ี นาศาสตร์พระราชามาแก้ปัญหา (3 ห่วง 2 เงือ่ นไข)มีเหตผุ ล, พอประมาณ, มีภมู คิ ุ้มกนั และ ความรู+้ คณุ ธรรม

๗๔ จากการดูส่ือวีดีทัศน์ของ พ่อเลี่ยม บุตรจันทรา เกษตรกรบ้านนาอีสาน จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้เข้า อบรมได้เรียนรู้ ร่วมกันแลกเปลี่ยน มีแนวความคิดท่ีจะนาแนวทางของพ่อเล่ียม ไม่ว่าจะเป็นการนาศาสตร์พระราชา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การทาบัญชีครัวเรือน การวางแผนชีวิต การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ไป ประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต การสร้างความมั่นคง สมารถพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด เพ่ิมรายรับ ลดรายจ่าย ไม่ เบยี ดเบยี นผู้อน่ื โดยมีหลกั คิดจากส่ือใน 4 เรือ่ ง คอื 1. รู้จักตนเอง (ทาอะไร มีหน้าที่ อาชีพอะไร) 2. รูจ้ กั ปัญหาของตัวเอง (กอ่ หนี้สิน) 3. รู้จักทรพั ยากรที่ตนเองมีอยู่ (ทดี่ นิ น้า) 4. รู้จกั การใช้ทรพั ยากร (ศึกษา ค้นควา้ เพิม่ เตมิ ) และเมอื่ ทุกคนรูจ้ กั “พอ” ชวี ิตจะมคี วามสขุ มีอาหารปลอดภยั และสร้างรายได้ใหก้ บั ตนเอง

๗๕ ผลประเมินรำยวชิ ำ 8. ถอดบทเรยี นผำ่ นสอ่ื วถิ ีภมู ิปญั ญำไทย กบั กำรพึง่ ตนเองในภำวะวิกฤติ ชอ่ื วิทยำกร ว่ำท่ี ร.ต.ชัยณรงค์ บวั คำ นักทรพั ยำกรบุคคลชำนำญกำร ส่วนที่ ๑ ความคิดเหน็ เก่ียวกับเนื้อหาวชิ า หัวขอ้ ระดบั ความคดิ เห็น คา่ เฉลีย่ การแปล ผล ๑.การบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของรายวิชา มากที่สดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยทสี่ ดุ ๒.ความชัดเจนของเนอื้ หาวิชา 4.39 มาก ๓.ความรู้ ทักษะ ท่ีได้รบั เพิ่มเติมจากวชิ านี้ 176 200 21 0 0 4.41 มาก ๔.ความสามารถนาไปประยุกต์ใช้ (44.3%) (50.4%) (5.9%) (๐.0%) (0.0%) 4.43 มาก 4.42 มาก 186 190 21 0 0 (46.9%) (47.9%) (5.3%) (0.0%) (0.0%) 191 187 19 0 0 (48.1%) (47.1%) (4.8%) (0.3%) (๐.0%) 193 182 19 3 0 (48.6%) (45.8%) (4.8%) (0.8%) (0.0%) ภำพรวม 4.41 มำก จากตารางท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเน้ือหาวิชาถอดบทเรียนผ่านส่ือ วิถีภูมิ ปญั ญาไทย กับการพึง่ ตนเองในภาวะวิกฤติ โดยภาพรวมอยใู่ นระดับ มาก คา่ เฉลีย่ 4.41 โดยแยกพจิ ารณาตามลาดับ ความพึงพอใจได้ ดงั น้ี 1. การบรรลุวตั ถุประสงคข์ องรายวชิ า ระดบั มาก คา่ เฉล่ีย 4.39 2. ความชดั เจนของเน้ือหาวิชา ระดับมาก คา่ เฉลย่ี 4.41 3. ความรู้ ทกั ษะ ทไ่ี ดร้ บั เพม่ิ เติมจากวิชาน้ี ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.43 4. ความสามารถนาไปประยุกต์ใช้ ระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 4.42 สว่ นที่ ๒ ความพึงพอใจต่อวิทยากร หัวขอ้ ระดบั ความพึงพอใจ ค่าเฉลย่ี การแปล ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย มากท่ีสุด มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยทสี่ ุด ๒.เทคนิคและวธิ กี ารท่ใี ชใ้ นการถา่ ยทอดความรู้ 4.41 มาก ๓.การเปิดโอกาสใหซ้ กั ถาม แสดงความคดิ เห็น 184 192 21 0 0 4.39 มาก ๔.การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ (46.3%) (48.4%) (5.3%) (๐.0%) (0.0%) 4.39 มาก 181 192 24 0 0 4.39 มาก (45.6%) (48.4%) (6%) (0.0%) (0.0%) 180 195 22 0 0 (45.3%) (49.1%) (5.5%) (0.0%) (๐.0%) 177 198 22 0 0 (44.6%) (49.9%) (5.5%) (0.0%) (๐.0%)

๗๖ ๕.บุคลิกภาพ (การแตง่ กาย ทา่ ทาง น้าเสียง ฯลฯ) 185 184 26 1 0 4.39 มาก (6.5%) (0.3%) (๐.๐%) (46.6%) (46.3%) ภำพรวม ๔.39 มำก จากตารางที่ 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชา ถอดบทเรียนผ่านส่ือ วิถีภูมิ ปัญญาไทย กับการพึ่งตนเองในภาวะวิกฤติ โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ค่าเฉลี่ย 4.39 โดยแยกพิจารณาเป็นราย ประเดน็ ตามลาดบั ได้ดงั น้ี 1. ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.41 2. เทคนิคและวธิ กี ารทใี่ ชใ้ นการถา่ ยทอดความรู้ ระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 4.39 3. การเปิดโอกาสใหซ้ ักถาม แสดงความคิดเห็น ระดบั มาก คา่ เฉล่ีย 4.39 4. การสร้างบรรยากาศในการเรยี นรู้ ระดับมาก ค่าเฉลีย่ 4.39 5. บคุ ลิกภาพ (การแตง่ กาย ทา่ ทาง นา้ เสียง ฯลฯ) ระดบั มาก คา่ เฉลย่ี 4.39 สิ่งที่ท่ำนประทับใจในวิทยำกรท่ำนนค้ี ือ -สามารถปรบั ประยุกต์ใชจ้ รงิ ได้ ไม่ยืดเยื้อ -นา่ รักเปน็ กันเอง อธิบายเนื้อหาชดั เจน -วทิ ยากรอธิบายเข้าใจงา่ ย -ใช้งา่ ยๆแต่มีความหมายเข้าใจชัดเจน -ชอบทุกคน -มรี อยย้ิมแจ่มใส ส่ิงท่ีวิทยำกรควรปรับปรุงคอื –พูดไวฟังไม่ค่อยทัน -ให้พดู ส่ิงทสี่ าคัญๆหลายๆรอบ -ควรมบี นั เทงิ อีกนดิ ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม อน่ื ๆ -เรอ่ื งการบรหิ ารเวลาทั้งการพกั เบรก การเรียกรวมชว่ งเช้า

๗๗ 9.วชิ ำ ฝกึ ปฏบิ ัติจิตอำสำพัฒนำ เอำมื้อสำมัคคี พัฒนำพื้นท่ีตำมหลักทฤษฎีใหม่ วทิ ยำกรหลกั นางสาวณัฐกฤตา ชยั ตูม นักทรัพยากรบคุ คลปฏบิ ัติการ นายชาญณรงค์ จริ ขจรกุล นกั ทรัพยากรบคุ คล ผู้รับผดิ ชอบวิชำ นางสาวณัฐกฤตา ชยั ตมู นักทรพั ยากรบุคคลปฏิบัติการ วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือให้เกิดการแลกเปลี่ยนแรงงาน เอามอื้ สามัคคี และเป็นการแลกเปลย่ี นองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาพ้ืนท่ี ตามหลักทฤษฎีใหม่ โดยประชาชนส่วนใหญ่มักรู้จักในชื่อ กิจกรรมการ “ลงแขก”หรือ “เอาแรง” ซ่ึงเป็นวัฒนธรรม ชุมชนท่อี ยคู่ กู่ ับสังคมไทยมาอยา่ งช้านาน โดยในช่วงหลังมานี้นอกจากจะเป็นการแลกเปลย่ี นในด้านแรงงานแลว้ ยังได้ เน้นให้เกิดการสรา้ งความร้ทู เ่ี หมาะสมกบั สภาพพ้นื ที่ ขอบเขตเนื้อหำวชิ ำ การทากิจกรรมร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมพลังกันในการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนา พนื้ ท่ีตามหลกั ทฤษฎีใหม่ ระยะเวลำ 7 ช่วั โมง (210 นาท)ี เทคนคิ /วิธีกำร/กระบวนกำร 1. การสารวจพืน้ ท่ี 2. วางแผนการดาเนนิ งาน 3. ลงมือปฏิบัตโิ ดยมีกิจกรรมท่ีดาเนนิ ตามบริบทของพนื้ ที่ 4. สรปุ บทเรยี น นาเสนอ แลกเปลีย่ นเรียนรู้ซึ่งกนั และกนั ช่วงทห่ี นง่ึ วิทยากรขอตัวแทนกลุ่มสีละ 3 ท่าน คือ ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าของแปลง และนักพัฒนาพ้ืนท่ีต้นแบบ (นพต.) เพื่อ ชีแ้ จงใบงานกิจกรรมการเอามื้อสามัคคี สารวจพนื้ ที่รับผดิ ชอบ และวางแผนการดาเนินงานของกลุ่มด้วยวิธี 5 ขั้นตอน ครูพาทา พร้อมอธิบายกติกาและเกณฑ์คะแนนการตรวจแปลงจากคณะกรรมการพร้อมการตรวจเช็ควัสดุอุปกรณ์ เบ้อื งต้น เพือ่ ทจ่ี ะให้ตวั แทนทั้งสามท่านเตรยี มการประชุมกล่มุ ของตนเองในการวางแผนกจิ กรรมเอามื้อในคร้งั นี้

๗๘ พนื้ ท่กี ิจกรรมกำรเอำม้ือสำมัคคี รุน่ ท่ี 2 - 7 พืน้ ที่ตน้ แบบการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตตามหลักทฤษฎใี หม่ ปลูกมะกรดู ปลกู ฝร่ัง สีฟา้ สเี ขียว ทาคา้ งสลิด สมี ่วง ปลูกเงาะ สเี ขียว สมี ว่ ง สเี หลอื ง สเี หลือง สฟี ้า ร่นุ ท่ี 2 ร่นุ ที่ 3 สีฟา้ สีม่วง สเี ขยี ว ๒๓ ๔ สมี ว่ งสเี หลือง สเี ขียว สฟี า้ ๑ *start สเี หลือง รุ่นท่ี 5 รนุ่ ที่ 4 1 2 3 4 สเี หลือง สฟี า้ สเี ขยี ว สแี ดง B 1 234 รนุ่ ที่ 7 23 4 1 A รนุ่ ท่ี 6 กจิ กรรมเอามื้อสามัคคี รุ่นที่ 2 : 1. ปรบั รปู แปลงนา - ขุดรอ่ งคนั นา กว้าง 50 ซม. ลกึ 50 ซม. - ทาหัวคนั นาทองคา กว้าง 1 ม. สงู 50 ซม. (ประมาณ) 2. ปรับรูปแปลงไสไ้ ก่ - ขดุ คลองไสไ้ ก่ - ทาหลมุ ขนมครก - ทาฝายชะลอน้า 3. ปลกู พชื (ไม้ 5 ระดับ) ห่มดนิ (แหง้ ชาม น้าชาม)

๗๙ กจิ กรรมเอาม้ือสามัคคี รุ่นที่ 3 : 1. ปรบั รปู แปลงนา - ขดุ รอ่ งคนั นา กวา้ ง 50 ซม. ลึก 50 ซม. - ทาหัวคนั นาทองคา กว้าง 1 ม. สงู 50 ซม. (ประมาณ) - ปลูกพชื (ไม้ 5 ระดบั ) ห่มดนิ (แห้งชาม นา้ ชาม) - ปลูกถ่วั ลิสง 2. ปรับรปู คลองไสไ้ ก่ - ขุดรอกคลองไสไ้ ก่ - ทาหลมุ ขนมครก - ทาฝายชะลอนา้ กิจกรรมเอามื้อสามคั คี ร่นุ ที่ 4 : 1. ออกแบบแปลงปลกู พชื 1.1 ออกแบบแปลงปลกู พืชรปู แบบขัน้ บนั ได ขนาดแปลง 0.8 x 4 ม. สงู 20 ซม. (กลุ่มละ 18 แปลง) 1.2 ปลกู ถัว่ ลสิ ง 2. ปรับรูปคลองไสไ้ ก่ - ทาหลุมขนมครก - ทาฝายชะลอนา้ กจิ กรรมเอามื้อสามัคคี รนุ่ ท่ี 5 : 1. ปรับรปู คลองไสไ้ ก่ - ขดุ ลอกปรับรูปแปลงคลองไสไ้ ก่ - ทาฝายชะลอนา้ - ทาหลุมขนมครก กิจกรรมเอาม้อื สามคั คี รุน่ ที่ 6 : โซน A : 1. ปรับรปู คลองไส้ไก่ - ขดุ ลอกปรบั รปู แปลงคลองไส้ไก่ - ทาฝายชะลอนา้ - ทาหลุมขนมครก - ปลูกตะไคร,้ ขา่ - ห่มดนิ (แห้งชาม-น้าชาม) โซน B : - ข้ึนแปลงปลูกขา่ และขิง (กวา้ ง 80 ซม.) - หม่ ดิน (แหง้ ชาม-นา้ ชาม) - ปรุงดิน (นาปุย๋ คอกมาผสมดนิ )

๘๐ กจิ กรรมเอามื้อสามัคคี รุ่นท่ี 7 : 1. ออกแบบแปลงปลูกพืช 1.1 ออกแบบแปลงปลกู พืช ขนาดแปลง 0.8 x 4 ม. สงู 20 ซม. (กลุ่มละ 12 แปลง) 1.2 พรกิ จนิ ดา () ปลูกหอมแดง () ๒. ห่มดิน (แห้งชาม-นา้ ชาม) 3. ปรบั แต่งฝายชะลอน้า *** กระบวนการทากิจกรรมขั้นตอนตามหลักกสกิ รรม กตกิ าการตรวจแปลง : คณะกรรมการตรวจแปลง ประกอบด้วย ตัวแทนกลุ่มละ 1 ท่าน และ กรรมการ กลาง 1 ทา่ น (ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชุมชนลาปาง)  ตรวจแปลง เวลา 10.45 น. พรอ้ มนาเสนอกิจกรรมท่ดี าเนินการยดึ หลัก 10 ขนั้ ตอนตามหลักกสิกรรม ธรรมชาติ กลุ่มละ 5-7 นาที  ปรับแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ตามคาแนะนา เวลา 13.00 - 14.00 น.  สรุปผลกิจกรรมตามประเดน็ เวลา 14.00 – 15.00 น. 1. การบรหิ ารจดั การงานภาพรวมในพื้นท่ี 2. การบริหารจัดการความเสี่ยง 3. การบริหารจดั การองค์ความรู้  นาเสนอสรุปผลกจิ กรรมพร้อมขอ้ เสนอจากคณะกรรมการ เวลา 15.00 – 17.00 น. ทางตัวแทนจับฉลากเพื่อเลือกพื้นที่ในส่วนที่รับผิดชอบ สารวจพ้ืนท่ีจริงเพื่อทาการวางแผนพร้อม ตรวจเชค็ อปุ กรณ์เบอื้ งต้นสาหรบั กจิ กรรมเอามื้อ และมีการประชมุ ชี้แจงภารกจิ ให้ทางสมาชิกภายในกลมุ่ สขี องตนเพื่อ วางแผนการดาเนินงานด้วยวิธี 5 ขั้นตอนครูพาทา ในวิชาจิตอาสาพัฒนาชุมชน เอาม้ือสามัคคีพัฒนาพ้ืนที่ตามหลัก ทฤษฎีใหม่ โครงการพัฒนาพน้ื ทตี่ ้นแบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกตส์ โู่ คก หนอง นา โมเดล ช่วงที่สอง วิทยากรชวนพูดคุยสร้างบรรยากาศ ทักทายกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นกันเอง โดยมีการทบทวนเรื่อง โคก หนอง นา เป็นเร่ืองของการจัดการพ้ืนที่ซึ่งเหมาะกับพ้ืนท่ีการเกษตร ซ่ึงเป็นผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับภูมิ ปัญญาพ้ืนบ้านท่ีอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพื้นท่ีน้ันๆ เป็นการให้ธรรมชาติจัดการตัวมันเอง โดยมีมนุษย์เป็น สว่ นส่งเสรมิ ใหม้ นั สาเรจ็ เร็วขึน้ อยา่ งเปน็ ระบบ ซึ่งโคก หนอง นา ซึง่ เป็นแนวทางทาเกษตรอนิ ทรยี ์และการสรา้ งชีวิตท่ี ย่ังยืนพร้อมรับชมคลิป “จุดเร่ิมต้นการเอาม้ือสามัคคี”และ “เกษตรทฤษฎีใหม่ ตอนท่ี 3 การเก็บน้าด้วยโคก หนอง นา โมเดล เพอ่ื สรา้ งความชัดเจนให้กับผเู้ ข้าอบรมและหลกั การทากจิ กรรมเอาม้ือสามัคคี ในคร้งั น้ี ไดแ้ ก่

๘๑ - 10 ขัน้ ตอนการตรวจแปลงตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ 1. การจดั การกลุ่ม สารวจพ้นื ที่ แบ่งหนา้ ท่ี แบ่งคน ความสามัคคี 2. การเตรยี มดนิ ขุดร่องน้า+ฝาย 3. ปลกู ปา่ 5 ระดับ 4. ปลกู แฝก อนุรักษ์ดนิ และนา้ 5. ปลูกดอกไมเ้ พอ่ื บรหิ ารแมลง 6. การหม่ ดิน ฟาง เศษใบไมแ้ ห้ง 7. การเลี้ยงดนิ ใสป่ ุย๋ อินทรยี ์ (แห้งชาม-นา้ ชาม) 8. การท่องคาถาเล้ียงดนิ 5 ภาษา 9. ศิลปะ ความสวยงาม เรียบร้อยของแปลง 10. การจัดเกบ็ อปุ กรณ์ ลา้ งทาความสะอาด จัดวางให้เปน็ ระเบยี บ - หลักการทางานแบบคนจน ให้ยดึ หลกั 3 ค : คึกคัก คล่องแคล่ว ครืน้ เครง เนน้ การวางแผนการดาเนนิ งานของกลมุ่ ด้วยวิธี 5 ขน้ั ตอนครูพาทา คอื 1. แบง่ คน แบง่ งาน 2. ลงมอื ทา 3. ตดิ ตาม 4. ประสานงาน 5. พลาธิการ/สวัสดิการ ชว่ งทส่ี าม - ฝึกปฏิบัติทากิจกรรมร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมพลังกันในการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนา พ้นื ที่ตามหลักทฤษฎใี หม่ - การตรวจแปลงจากกรรมการกลาง 1 ท่านและทีมวิทยากรศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนลาปาง เข้าตรวจ แปลงเบ้ืองต้นเพ่ือทราบถึงการดาเนินงาน/กิจกรรม ของงานที่รับผิดชอบในแต่ละกลุ่มสีพร้อมให้คาแนะนาและ ปรบั แก้ตามคาแนะนาของกรรมการกลาง - การตรวจแปลงจากคณะกรรมการทง้ั 5 ท่าน (ตวั แทนสีละ 1 ทา่ นและคณะกรรมการกลาง 1 ทา่ น) พร้อม นาเสนอกจิ กรรมท่ีดาเนินการยดึ หลกั 10 ข้ันตอนตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ - ปรับแก้ไขเพ่ิมเติมตามคาแนะนาจากคณะกรรมการและล้างทาความสะอาด จัดเก็บอุปกรณ์ จัดวางให้เปน็ ระเบียบ ช่วงทส่ี ี่

๘๒ มีการชี้แจงให้ผู้เข้าร่วมอบรมแต่ละกลุ่มให้สรุปผลกิจกรรมจากการเอามื้อสามัคคีในครั้งนี้ตามประเด็น ดังตอ่ ไปนี้ 1. มีแผนการดาเนินงานอยา่ งไร 2. ปัญหา/อุปสรรค & การแกไ้ ขปญั หา 3. สิง่ ทไี่ ด้รับจากกจิ กรรม โดยให้เวลาสรุปผลกิจกรรมตามหัวข้อดังกล่าว 30 นาทีพร้อมนาเสนอกลุ่มละ 7 -10 นาที ผลการสรุป กิจกรรมเอาม้ือสามัคคใี นแต่ละกลุ่มตามหวั ข้อท่ีกาหนดให้ 3 ประเดน็ ดังน้ี มีแผนการดาเนนิ งานอยา่ งไร : - งานมีอะไรบา้ ง - ใครถนดั อะไร - แบ่งคนตามงานยากง่าย ตามความเหมาะสมของสภาพร่างกาย - แบง่ งาน แบง่ คนตามความถนดั และเหมาะสม (Put the right man on the right job) - เลือกผนู้ าของแตล่ ะงาน - สารวจหน้างาน พนื้ ที่ - แบง่ อุปกรณล์ งแปลง - ใครเสรจ็ กอ่ นไปชว่ ยที่เหลือ - ตรวจสอบผลงานเบ้ืองตน้ ว่าถูกต้องหรอื ไม่ - แกไ้ ขในส่วนทผ่ี ิดใหถ้ กู ตอ้ ง - เตรียมตวั ส่งงาน - ใช้หลักการทางาน 5 ขนั้ ตอน : แบง่ คนแบ่งงาน (ตามชว่ งวยั ) ลงมือทา ติดตาม ประสานงาน พลาธกิ าร - ประชมุ แบง่ งาน แบ่งคน ปญั หา/อุปสรรค & การแก้ไขปัญหา : - พ้ืนทีต่ า่ งระดับทาให้ต้องปรบั พนื้ ที่โดยทาใหพ้ ้นื ทีเ่ ป็นระดบั เดียวกนั - สภาพดนิ แขง็ : ใสน่ ้าไวเ้ พอ่ื สร้างความชุ่มช้ืน นุ่มขน้ึ -ฝายชะลอนา้ มคี วามหนาแนน่ มากเกนิ ไป : น้าดินออกและใชฟ้ างใสแ่ ทนที่ - อุปกรณ์ไมเ่ พียงพอในการทางาน อยู่ไกล มีน้าหนักมาก ขนยาก : ใชอ้ ปุ กรณ์อืน่ ทดแทน หรือ ทางานอน่ื ๆก่อน - ขาดความรู้ความเข้าใจในบางเร่ือง : พูดคุยกันภายในกลุ่ม หาข้อมลู จากผ้รู ู้/ผมู้ ปี ระสบการณ์ - การส่ือสารเข้าใจไม่ตรงกัน : ประชุมทาความเข้าใจ และ หวั หนา้ ทีมทาการช้แี จง - การทางานรบี เรง่ แข่งกับเวลา : มกี ารแบ่งงานใหม่ - ช่องวา่ งระหวา่ งวัย : ปรับความเข้าใจใหต้ รงกนั

๘๓ สงิ่ ทไ่ี ด้รับจากกจิ กรรม : - ไดร้ ับความร่วมมอื ของสมาชกิ กลุม่ เกิดความสามคั คใี นหมู่คณะ - ได้รับประสบการณ์จากการลงมอื ปฏิบตั ิ นาไปใช้ไดจ้ รงิ - ไดเ้ รยี นการทาแปลงปลกู พชื - เรียนรู้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า - แลกเปลยี่ นเรยี นร้กู ันในหมู่คณะ เรียนรู้ส่งิ ใหม่ๆ - ไดร้ ับความสขุ สนุกสนาน - รู้จักการทางานเป็นกระบวนการ - การประสานงานเครือข่ายกับแต่ละหม่บู า้ น - รู้จักการบรหิ ารพื้นที่ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด - สรา้ งแรงบันดาลใจในการนาไปต่อยอด ผลกำรเรยี นรู้ ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความสนใจในเน้ือหาวิชาเป็นอย่างมาก มีส่วนร่วมในกระบวนการ และมีความต้ังใจใน การเรียนรู้ ซ่ึงจะเป็นเร่ืองของหลักกสิกรรมธรรมชาติมาแปลงสู่การปฏิบัติโดยมีโจทย์ให้ทางผู้เข้าอบรมได้มีการ วางแผนร่วมกันเพื่อรองรับในการดาเนินโครงการ/กิจกรรมในพ้ืนท่ีต่อไป ทางวิทยากรมีการแจ้งผลคะแนนจากการ ตรวจแปลงของคณะกรรมการทั้ง 5 ทา่ นพร้อมมอบเมล็ดพันธุจ์ ากธนาคารเมล็ดพันธ์ุศูนย์ศึกษาและพฒั นาชุมชนเป็น ท่ีระลึกและสรุปอธิบายเพ่ิมเติมพร้อมแลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน เน่ืองจากเป็นหัวข้อที่นาไปปรับ ใช้โดยตรงและเป็นประโยชน์ต่อการทางานเปน็ อย่างมาก

๘๔ ผลประเมนิ รำยวิชำ 9. ฝึกปฏบิ ัติ จิตอำสำพฒั นำชมุ ชน เอำมอ้ื สำมคั คี พฒั นำพื้นท่ี ตำมหลกั ทฤษฎีใหม่ ชอ่ื วิทยำกร 1.นำงสำวณัฐกฤตำ ชยั ตมู นักทรัพยำกรบคุ คลชำนำญกำร 2.นำยชำญณรงค์ จริ ขจรกุล นกั ทรัพยำกรบุคคล ส่วนที่ ๑ ความคิดเห็นเกี่ยวกบั เนอ้ื หาวชิ า หัวขอ้ ระดบั ความคิดเห็น คา่ เฉลย่ี การแปล ผล ๑.การบรรลวุ ัตถุประสงคข์ องรายวิชา มากทส่ี ุด มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทสี่ ดุ ๒.ความชัดเจนของเนื้อหาวชิ า ๓.ความรู้ ทกั ษะ ท่ไี ด้รบั เพมิ่ เตมิ จากวชิ าน้ี 294 187 15 0 0 4.56 มาก ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ (59.3%) (0.0%) ท่ีสุด (37.7%) (3%) (0.0%) 302 0 (60.9%) 174 19 0 (0.0%) 4.57 มาก (35.1%) (3.8%) (0.0%) ทส่ี ดุ 296 0 (59.7%) 183 17 0 (๐.0%) 4.56 มาก (36.9%) (3.4%) (0.0%) ท่สี ดุ 301 0 (60.7%) 179 16 0 (0.0%) 4.57 มาก (36.1%) (3.2%) (0.0%) ที่สุด ภำพรวม 4.56 มำกทีส่ ุด จากตารางท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมนิ จานวน 496 คน แสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับเน้ือหาวชิ าฝึกปฏบิ ัติ จิตอาสาพัฒนาชุมชน เอามื้อสามัคคี พัฒนาพ้ืนที่ตามหลักทฤษฎีใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉล่ีย 4.56 โดยแยกพิจารณา ตามลาดบั ความพึงพอใจได้ ดังนี้ 1. การบรรลุวตั ถุประสงคข์ องรายวชิ า ระดับมากทส่ี ดุ คา่ เฉลีย่ 4.56 2. ความชัดเจนของเนอื้ หาวิชา ระดับมากท่สี ดุ ค่าเฉล่ีย 4.57 3. ความรู้ ทกั ษะ ทีไ่ ดร้ บั เพ่ิมเตมิ จากวิชาน้ี ระดบั มากท่สี ดุ ค่าเฉล่ยี 4.56 4. ความสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ ระดับมากทสี่ ดุ คา่ เฉลย่ี 4.57 ส่วนที่ ๒ ความพึงพอใจต่อวทิ ยากร หัวขอ้ ระดับความพึงพอใจ ค่าเฉล่ีย การแปล ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย มากท่สี ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทีส่ ุด ๒.เทคนคิ และวิธกี ารทใี่ ช้ในการถา่ ยทอดความรู้ 280 196 19 1 0 4.52 มาก (56.5%) (39.5%) (3.8%) (0.2%) (0.0%) ท่สี ดุ 274 200 22 0 0 4.50 มาก (55.2%) (40.3%) (4.4%) (0.0%) (0.0%)

๘๕ ๓.การเปิดโอกาสใหซ้ กั ถาม แสดงความคิดเห็น 273 202 21 0 0 4.50 มาก (55%) (40.7%) (4.2%) (0.0%) (๐.0%) ๔.การสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ 290 188 18 0 0 4.54 มาก (58.5%) (37.9%) (3.6%) (0.0%) (๐.0%) ทส่ี ุด ๕.บคุ ลกิ ภาพ (การแต่งกาย ท่าทาง น้าเสียง ฯลฯ) 281 194 19 1 0 4.52 มาก (56.7%) (39.1%) (3.8%) (0.2%) (๐.๐%) ทส่ี ุด ภำพรวม 4.52 มำก ท่ีสดุ จากตารางที่ 2 ผูต้ อบแบบประเมนิ จานวน 496 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวชิ าฝกึ ปฏิบตั ิ จติ อาสาพัฒนาชุมชน เอามื้อสามัคคี พัฒนาพ้ืนท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉล่ีย 4.52โดยแยกพิจารณา เปน็ รายประเด็น ตามลาดับได้ดงั นี้ 1. ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย ระดับมากที่สดุ คา่ เฉลย่ี 4.52 2. เทคนิคและวธิ ีการที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้ ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.50 3. การเปิดโอกาสให้ซักถาม แสดงความคดิ เหน็ ระดับมาก คา่ เฉลี่ย 4.50 4. การสร้างบรรยากาศในการเรยี นรู้ ระดบั มากที่สดุ ค่าเฉล่ีย 4.54 5. บุคลกิ ภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง น้าเสียง ฯลฯ) ระดับมากทสี่ ุด ค่าเฉลยี่ 4.52 ส่ิงท่ที ำ่ นประทบั ใจในวิทยำกรทำ่ นน้คี ือ -แนะนาในส่งิ ที่เราไม่เคยรูแ้ ละสอนให้ทาอยา่ งถูกตอ้ งและสวยงามจนสาเรจ็ ไดใ้ นทีส่ ุด/มีความรใู้ นการ ถ่ายทอด และนาเสนอได้ดคี ่ะ/เขา้ ใจง่าย คอยดูแล ให้คาปรึกษาเพ่ิมเติม/อธิบายชดั เจน แตง่ กายสภุ าพ/ถา่ ยทอด ความร้ชู ัดเจนครอบคลุม ใหแ้ นวทางแก้ไขปัญหา การหาทางออกที่ถูกวธิ ี/มีความรตู้ ิดตวั ไปใช้ในครัวเรอื น/เปน็ กนั เอง ช่วยเหลือดี/ความสามคั คีในหมู่คณะการมีน้าใจและการแบ่งปนั /ความชัดเจนในการบรรยาย/สอนเขา้ ใจ กลา้ ที่จะ แสดงออก/วิทยากรให้คาแนะนาที่ดีและใหแ้ นวทางแกไ้ ขท่ีดคี รับ/เก่งมาก มีความรู้ ชอบทุกคน/ย้ิมแย้มแจ่มใส ส่งิ ที่วทิ ยำกรควรปรับปรุงคือ -ทกั ทายกันใหม้ ากข้นึ -เรื่องการสื่อสารขอ้ มูลกบั ผทู้ ่ีมาอบรม ไม่เปน็ ไปในทางเดยี วกัน ทาใหผ้ ู้อบรมเกิดความสับสนในการทางาน ครนู ่าจะตกลงกนั กอ่ นท่ีจะส่งั จะได้เปน็ ทิศทางเดี่ยวกัน (การทางาน) -ให้ปรบั ปรงุ เป็นจดุ เชน่ จุดท่ีจะให้ปลกู ต้นไม้ต้องมีปุ๋ยออกมาวางให้จะไดห้ ยบิ ถูก ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม อืน่ ๆ -กอ่ นทีจ่ ะลงมือทาครูควรบอกรูปแบบก่อน -ควรมบี ริเวณสาหรบั หลบแดด -ครูควรลงพื้นท่ีคอยควบคมุ ให้คาแนะนาท่ถี ูกตอ้ ง จะไดไ้ ม่เสียเวลา ทาแล้วผิดๆ ถกู ๆ แลว้ กม็ าแก้ใหม่

๘๖ 10.วิชำ “กำรออกแบบเชิงภมู สิ ังคมไทยตำมหลกั กำรพัฒนำภูมิสังคม อยำ่ งย่ังยนื เพอื่ กำรพึ่งตนเองและรองรบั ภัยพิบัติ” วทิ ยำกรหลกั 1.นายภาณุพงษ์ บวั ศร วทิ ยากรจากสวนสะปนั รกั ษ์ จงั หวัดแพร่ 2.นายเกรียงไกร สงิ หแ์ กว้ นกั ทรัพยากรบุคคลชานาญการ ผู้รบั ผดิ ชอบวชิ ำ นายเกรยี งไกร สิงห์แกว้ นักทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ 1. วัตถปุ ระสงค์ เพอ่ื ใหผ้ ู้เขา้ รับการฝึกอบรม มีความรู้ ความเข้าใจในการออกแบบพื้นทเี่ ชงิ ภมู ิ สังคมไทย ตามหลกั การพฒั นาภมู สิ งั คมอย่าง ยัง่ ยนื เพอื่ การพึ่งตนเองและรองรบั ภัยพบิ ตั ิ “โคก หนอง นา โมเดล” 2. ระยะเวลำ จานวน 3 ช่ัวโมง 3. ประเด็นเน้อื หำ ๑. การออกแบบเพอื่ การสอื่ สาร ๒. หลกั การออกแบบโคก หนอง นา โมเดลเบ้ืองตน้ 3. การวิเคราะความต้องการและองค์ประกอบของโครงการ 4. การคานวณการจดั การนา้ ฝนในพน้ื ท่ี 5.การคานวณเพ่ือจัดสรรพืน้ ที่ 6.การวิเคราะหพ์ น้ื ที่ 7.ชมส่อื วดี ีทัศน์กรณีศกึ ษาความสาเร็จ “โคก หนอง นา โมเดล” 8.แนวคดิ การออกแบบ และฝึกปฏิบัตกิ ารเขียนแบบตามหลัก “โคก หนอง นา โมเดล” 9.ฝกึ ปฏบิ ัติการเขยี นแบบตามหลัก “โคก หนอง นา โมเดล” 10.นาเสนอการออกแบบตามหลกั “โคก หนอง นา โมเดล” 4. วธิ กี ำร/เทคนคิ : บรรยายประกอบสอ่ื /ฝึกปฏิบัต/ิ นาเสนอผลการออกแบบ 5.ขั้นตอน/กระบวนกำร 1 .วิทยากรแนะนาตัวกบั ผู้เข้าอบรม สรา้ งบรรยากาศการเรยี นรู้ดว้ ยการทกั ทาย ชวนคยุ เลา่ ถงึ ประวัติตัวเอง 2. วทิ ยากรต้ังคาถามทาไมตอ้ งมาออกแบบพนื้ ท่ี จาเป็นไหม 3. วิทยากรเล่าถึงสถานการณ์และวิกฤตของประเทศไทยพร้อมยกตัวอย่างเพ่ือนาเข้าสู่เน้ือหาการ ออกแบบภมู สิ งั คมไทยตามหลักการพัฒนาภมู สิ ังคมอย่างย่ังยนื เพ่ือการพง่ึ ตนเอง และรองรบั ภยั พบิ ัติ“โคก หนอง นา โมเดล” 4. วิทยากรบรรยายถึงการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน (การออกแบบพ้ืนท่ีชวี ิต)

๘๗ แนวทางแก้ไขและรองรับภยั พิบตั ิด้วยการบริหารจดั การพ้นื ที่ “โคก หนอง นา”ทา่ มกลางปัญหาการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทีม่ ีสาเหตุหลกั มาจากการใชท้ รัพยากรธรรมชาติอย่างไร้ขอบเขตของมนุษยไ์ ด้สง่ ผล กระทบในวงกว้าง ต่อสมดลุ ระบบนิเวศและส่ิงแวดลอ้ มการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่เี ป็นภัยคุกคามต่อแหลง่ อาหาร เช่น ความแห้งแล้ง นา้ ท่วม โรคระบาด โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งภาวะวิกฤตท่ีส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรอยา่ งมาก คือ การเกดิ ภัยแล้ง ทีน่ ับวนั จะมคี วามรุนแรงเพม่ิ ข้ึนทุกปี ทีผ่ ่านมาประเทศไทยรับมือกบั ปัญหาภัยแล้ง ในหลากหลาย รปู แบบ เช่น การสรา้ งอ่างเก็บน้า การสรา้ งเข่ือน หรือ การจดั ทาระบบชลประทาน ซึ่งรูปแบบเหลา่ น้สี ามารถใช้แก้ไข ปญั หาได้ในบางพืน้ ทข่ี องประเทศไทยเทา่ นน้ั สาหรบั พื้นที่หา่ งไกลนอกเขตชลประทาน ทีม่ ีพื้นที่ถึง121,200,000 ไร่ ยังคงต้องประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้าเพอื่ ใช้ในการเกษตร “โคก หนอง นา โมเดล” จงึ เป็นรปู แบบหนงึ่ ของ การแก้ไขปัญหาของเร่อื งการจัดการนา้ ทีส่ ถาบันเศรษฐกิจพอเพยี ง และมลู นิธิกสกิ รรมธรรมชาติ ไดน้ อ้ มนาพระราชดารสั ในรชั กาลที่ 9 ดา้ นการทาเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพยี งมาใช้ บริหารจัดการนา้ และพื้นที่การเกษตร โดยมีการผสมผสานกบั ภูมิ ปัญญาพนื้ บ้านใหส้ อดคลอ้ งกันหลักการออกแบบพน้ื ท่ตี ามหลกั ภูมิ สงั คม (Geosocial) มตี ัวแปรสาคญั 5 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ไฟ (ทศิ ทางของแสง) สารวจ ทศิ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวนั ตก และทศิ ทางการข้ึนของดวงอาทิตย์ 2) ลม การออกแบบบา้ นให้มีทิศทางของชอ่ งลมสอดรบั กับลมทพ่ี ดั มาในแต่ละฤดูกาลจะช่วยลด การใช้ พลงั งานในบา้ น และเพือ่ ใหบ้ ้านเย็นอยูส่ บาย โดยตามหลกั ปกติ ลมฝนจะพดั มาทางทิศตะวันตกเฉยี งใตแ้ ละลมหนาว หรือลมข้าวเบาจะพัดมาทางทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ทัง้ น้ีควรวางตาแหน่งอาคาร บ้านเรือน ลานตากข้าว และลาน นวดขา้ ว ไมใ่ ห้ขวางทิศทางลมหนาว 3) ดนิ วางแผนการขดุ หนองน้า และการปรบั ปรงุ สภาพดินให้เหมาะสม โดยนาดนิ ท่ขี ดุ หนองมาทาโคก ให้ โคกอยทู่ างทศิ ตะวันตกและปลกู ไมใ้ หญ่ไวบ้ นโคก พรอ้ มปลูกปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ งเมื่อต้นไม้สงู ใหญจ่ ะชว่ ย บงั แดดและใหร้ ่มเงา

๘๘ 4) ขดุ หนองน้าโดยดูทางไหลของนา้ เขา้ และออกจากพืน้ ท่ี วางตาแหน่งหนองน้าในทิศทีใ่ หล้ มรอ้ นพัดผ่าน จะ ทาใหบ้ า้ นร่มเยน็ ขุดหนองให้มขี อบคดโคง้ เพ่อื เพมิ่ พนื้ ทเี่ พาะปลูก และทาตะพักให้ลดหลั่นตามระดับความสูง โดยชน้ั แรกควรมีความสูงเทา่ กับระดับของแสงแดด ท่สี ่องลงไปถึงปลกู ไมน้ ้าหรือพืชนา้ เพ่ือให้ปลาสามารถวางไข่ อนุบาลสตั ว์ น้าและเป็นที่อยู่อาศยั 5) ออกแบบใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการ ฐานะ และกาลังของเจ้าของทีด่ นิ 5. วิทยากรยกตวั อยา่ งแบบจาลอง “โคก หนอง นาโมเดล” โครงการบ้านพลังงานแสงอาทติ ย์ ตาหนกั สวนจติ ลดา ใน พ้ืนท่ี 2 ไร่ สร้างการขับเคล่ือนระบบการบริหารจัดการน้าในพ้ืนท่ี โดยยืดหลัก ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ศิลปะงาม ตา เพ่ือต้อนรับผู้ทจี่ ะมาเรียนรู้ โคก หนองนา โมเดล และบา้ นพลงั งานแสงอาทิตย์ มขี อ้ มลู รายละเอียดทกุ มิติเชน่ มติ ิ ด้านวัฒนธรรม และเปน็ ตาราบนผืนข้ันกา้ วหนา้ ของ “โคก หนอง นา โมเดล” จากภาพแผนท่ีประเทศไทยจากเหนือจรดใต้ เปรียบดั่ง โคก หนอง นา โมเดล การจะทาโครงการต้องมี ขบวนการในการทางานอย่างถูกต้องและรัดกุมเพ่ือป้องกันความผิดพลาดท่ีอาจจะเกิดข้ึนกระบวนการออกแบบ จึง ควรคานึงถึงส่งิ ต่อไปน้ี - ปริมำณน้ำฝนทต่ี กในพน้ื ที่ โดยต้ังโจทย์ให้พ้ืนท่ีสามารถเก็บน้าได้ 100% โดยในพื้นที่สามารถแบง่ สัดส่วน โคก หนอง นา สามารถเก็บน้าได้เท่าไหร่ การคานวณการจัดเก็บน้าในพ้ืนท่ี 1 ไร่ หน่วยท่ีใช้ คือ 1 ตารางวา เท่ากบั 4 ตารางเมตร 100 ตารางวา เทา่ กับ 400 ตารางเมตร (1 งาน) 4 งาน เทา่ กบั 400 ตารางวา เทา่ กบั 1,600 ตารางเมตร ยกตวั อย่างการคานวณการจัดเก็บน้าพน้ื ที่ 5 ไร่

๘๙ ** การค้นหาปริมาณนา้ ฝนในพ้ืนที่ ใหค้ น้ หาใน Google คาว่า “อุตุนยิ มวทิ ยานา่ รเู้ พื่อการเกษตรจงั หวัด.......................”** ตำแหนง่ ดนิ น้ำ ลม ไฟ คน - ดิน ประเภทของดินและความลาดชันของ ดินท่ีเหมาะสมกับการเพาะปลูกหรือกิจกรรมการ ปรับปรงุ ดิน - น้า ทิศทางการไหลของน้าและปริมาณ นา้ ฝนในพนื้ ที่ ตกลงในพื้นท่ีหรอื ไหลผ่านพนื้ ท่ี - ลม ทิศทางการพัดผ่านของลม ลมดีที่พัด ผ่านเข้ามาในพื้นท่ี หรือลมไม่ดีที่พัดนาเอาสารพิษ หรือกลิ่นท่ีไมพ่ งึ ประสงค์ตอ่ พืน้ ที่ - ไฟ ทิศทางของแสงแดดทมี่ ีผลต่อพ้นื ที่ - คน ความต้องการและความถนัดของคนใน พ้ืนที่ เพื่อสร้างเอกลักษณ์และกาหนดกิจกรรมท่ีเหมาะสม กับพืน้ ท่ี ขัน้ ตอนกำรทำโคก หนอง นำ 1. ศึกษาทฤษฎี (หลักเศรษฐกิจพอเพียง และหลัก กสิ กรรมธรรมชาติ) 2. ออกแบบพื้นท่ี (แบ่งสัดส่วนพ้ืนที่ มีผังแนวทางในการ ดาเนินการ โคก หนอง นา) 3. ปรบั พน้ื ท่ี (ตามแนวทางท่ีออกแบบ) 4. ปลกู พชื (ตามหลักกสิกรรม และบริบทของพื้นท)ี่ ขนั้ ตอนกำรออกแบบ 1. การต้ังโจทย์ เป้าหมายในการออกแบบพ้ืนท่ี ว่าออกแบบเพือ่ อะไร - เพอื่ สรา้ งรายได้ - เป็นที่ฝึกอาชพี ชมุ ชน - เพ่ือสร้างแหล่งอาหาร - เพ่ือพ่ึงพาตนเอง - เพื่อกักเกบ็ น้า - เพอื่ รกั ษาภูมิปัญญา - เพ่อื ฟ้ืนฟรู ะบบนิเวศ - เป็นสถานท่ีปฏบิ ตั ิธรรม - เพ่อื การอนุรกั ษ์พนั ธุ์ไม้ - เปน็ ศนู ย์เรยี นรู้ - เพื่อทดแทนพลงั งาน - เพ่อื ป้องกนั ภยั พิบตั ิ

๙๐ 2. การวิเคราะห์พนื้ ท่ี จดั ทา Check list และดใู นพ้ืนทว่ี ่ามีอะไรบ้าง  ตาแหน่งตน้ ไม้เดมิ  ผลกระทบจากพนื้ ทร่ี อบข้าง  ทิศทางของแสงอาทติ ย์  คานวณน้า  ทิศทางของลม  ผลกระทบจากลมทพ่ี ดั ผา่ น  มุมมอง  ปริมาณนา้ ฝน  ความลาดชนั  ประเภทของดนิ  ความตอ้ งการของเจา้ ของพน้ื ท่ี  กฎหมาย  ทางเขา้ -ออก  ตาแหน่งอาคาร  ทางสญั จร องค์ประกอบในพื้นท่คี วรมีอะไรบ้ำง 3. การพฒั นาแบบ  เกบ็ น้าได้ 100%  ขนาดนาสามารถผลติ ขา้ วไดเ้ พียงพอกบั ความต้องการ  มพี ้ืนท่ีปฏบิ ัตธิ รรม  มีบ่อบาบัดน้าเสยี รองรบั น้าที่ไหลผา่ นพืน้ ทข่ี ้างเคยี ง  ขนาดของหนองนา้ มีความกวา้ งเพยี งพอสาหรับทาตะพักรอบหนอง  คคู ลองไส้ไกส่ ง่ น้าระหวา่ งแปลงเกษตร  สามารถผันน้าผา่ นแปลงนาได้  เส้นทางการนาเครื่องมือลงแปลงนา  ระบบบาบัดน้าเสยี จากบ้าน  สามารถใช้พลังงานทดแทนได้  พชื พน้ื ดิน  เสน้ ทางการเรียนรู้  แนวป้องกันสารเคมี  แหล่งวตั ถดุ ิบการทาน้าหมัก,เผาถา่ น,ทาน้ายาอเนกประสงค์  คลองไส้ไก่สามารถกระจายนา้ ได้ทั่วพืน้ ที่

๙๑  ตะพกั หนองสมั พันธ์กบั ความลาดชันของพื้นที่  ชนดิ ของพชื ท่ตี ้องการปลูก  การแบ่งระยะ (Phase) การพัฒนาพื้นที่  ตาแหนง่ ต้นไม้เดมิ  แนวความคดิ  ตลาดขายผลิตภณั ฑป์ ลอดสารพษิ  อตั ลักษณ์ของพ้ืนที่  ตาแหน่งคอกปศสุ ตั ว์  สร้างจุดสนใจในพืน้ ที่ (Landmark)  ตาแหนง่ โรงเห็ด  พื้นทีแ่ ปรรูปผลติ ภณั ฑ์  แผนการใช้พน้ื ทเ่ี พ่ือการเกษตร  บ้านดนิ  อาคารอเนกประสงค์ รองรบั การประชมุ เครอื ข่ายในพืน้ ที่  อโุ มงค์ต้นไม้  แผนการปลกู พืชผกั สวนครัว  การสรา้ งเครือข่ายชมุ ชน  อนื่ ๆ 4. การสรปุ แบบ สรุปลงสีให้ชัดเจน ส่วนใดเป็นโคก ส่วนใดเป็นหนอง ส่วนใดเป็นนา มีรายละเอียดท่ีสมบูรณ์ เพ่ือนาผลงานการ ออกแบบไปใชใ้ นการดาเนนิ งานโคก หนอง นา ในพน้ื ทีต่ อ่ ไป ผลประเมินรำยวิชำ 10 กำรออกแบบเชิงภูมิ สังคมไทย ตำมหลกั กำรพัฒนำภูมิสงั คมอย่ำงยั่งยนื เพื่อกำรพ่ึงตนเองและรองรบั ภยั พิบตั ิ วทิ ยำกร 1.นำยภำณุพงษ์ บัวศร วิทยำกรจำกสวนสะปนั รกั ษ์ จงั หวดั แพร่ 2.นำยเกรยี งไกร สิงหแ์ กว้ นักทรพั ยำกรบุคคลชำนำญกำร ส่วนที่ ๑ ความคิดเหน็ เก่ยี วกับเนอ้ื หาวชิ า หวั ข้อ ระดบั ความคดิ เหน็ ค่าเฉล่ยี การแปล ผล ๑.การบรรลวุ ัตถุประสงคข์ องรายวชิ า มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่สี ุด ๒.ความชดั เจนของเนอ้ื หาวชิ า ๓.ความรู้ ทกั ษะ ท่ไี ด้รบั เพ่ิมเตมิ จากวิชาน้ี 249 172 20 0 0 4.51 มาก ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (56.5%) (0.0%) ท่ีสุด (39%) (4.5%) (0.0%) จากตารางท่ี ๑ 237 0 (53.7%) 185 19 0 (0.0%) 4.49 มาก 243 (42%) (4.3%) (0.0%) 0 (55.1%) (๐.0%) 184 13 1 4.51 มาก 252 (41.7%) (2.9%) (0.2%) 0 ที่สดุ (57.1%) (0.0%) 171 17 1 4.52 มาก (38.8%) (3.9%) (0.2%) ทส่ี ดุ ภำพรวม 4.51 มำก ทีส่ ุด

๙๒ ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 441 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเน้ือหาวิชาการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย ตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน เพื่อการพ่ึงตนเองและรองรับภัยพิบัติ โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากท่ีสุด คา่ เฉลีย่ 4.51 โดยแยกพจิ ารณาตามลาดบั ความพึงพอใจได้ ดงั นี้ 1. การบรรลุวตั ถุประสงคข์ องรายวิชา ระดับมากท่สี ุด ค่าเฉลย่ี 4.51 2. ความชดั เจนของเนื้อหาวิชา ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.49 3. ความรู้ ทกั ษะ ท่ไี ด้รับเพ่ิมเตมิ จากวชิ าน้ี ระดบั มากท่สี ดุ ค่าเฉลี่ย 4.51 4. ความสามารถนาไปประยุกต์ใช้ ระดับมากทส่ี ุด คา่ เฉล่ยี 4.52 ส่วนท่ี ๒ ความพึงพอใจต่อวทิ ยากร หวั ข้อ ระดบั ความพงึ พอใจ คา่ เฉลี่ย การแปล ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย มากทสี่ ดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สดุ ๒.เทคนิคและวิธีการทใ่ี ช้ในการถา่ ยทอดความรู้ 4.50 มาก 242 181 18 0 0 4.46 มาก (54.9%) (0.0%) (41%) (4.1%) (0.0%) 227 0 (51.5%) 190 24 0 (0.0%) (43.1%) (5.4%) (0.0%) ๓.การเปดิ โอกาสให้ซักถาม แสดงความคดิ เห็น 236 182 23 0 0 4.48 มาก (53.5%) (41.3%) (5.2%) (0.0%) (๐.0%) ๔.การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ 237 179 23 1 1 4.47 มาก (53.7%) (40.6%) (5.2%) (0.2%) (๐.2%) ๕.บุคลกิ ภาพ (การแตง่ กาย ท่าทาง น้าเสยี ง ฯลฯ) 238 176 18 1 1 4.49 มาก (4.1%) (0.2%) (๐.2%) (54%) (39.9%) ภำพรวม 4.48 มำก จากตารางท่ี 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 441 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชาการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย ตามหลักการพัฒนาภูมสิ ังคมอย่างยั่งยืน เพือ่ การพง่ึ ตนเองและรองรับภยั พบิ ัติ โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 4.48 โดยแยกพจิ ารณาเป็นรายประเดน็ ตามลาดบั ได้ดงั นี้ 1. ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.50 2. เทคนิคและวิธกี ารที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้ ระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 4.46 3. การเปดิ โอกาสใหซ้ กั ถาม แสดงความคิดเห็น ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.48 4. การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ระดับมาก คา่ เฉลี่ย 4.47 5. บุคลกิ ภาพ (การแต่งกาย ท่าทาง นา้ เสยี ง ฯลฯ) ระดับมาก คา่ เฉลยี่ 4.49 ส่งิ ที่ท่ำนประทับใจในวิทยำกรทำ่ นนีค้ อื ให้ข้อมลู ตรงรายวชิ า/มีบุคลิกเดน่ มากในการแต่งตวั /ถา่ ยทอดและอธบิ ายได้ เขา้ ใจอย่างชัดเจน/วทิ ยากรเจ็บปว่ ย(เดนิ ไม่สะดวก) แต่มาบรรยายใหแ้ ก่เรา/ความชัดเจนในเน้อื หา/ช่วยช้แี นะและให้ คาปรกึ ษาเป็นอย่างดี/ชว่ ยแนะนาและตติ ิงให้ผ้เู ข้าอบรมได้คิดตามแลว้ ปรบั ปรุงแก้ไข/ทาให้รู้รักสามัคคี สิ่งท่ีวิทยำกรควรปรบั ปรุงคอื ความง่วงนอน /การอธบิ ายบางท่านนา้ มากไปหน่อย /ผอ่ นคลายบ้าง ไม่ตอ้ งเครียด ชา้ ๆ ไม่ต้องรีบ ใหเ้ หมาะสมกับวยั ของผู้เข้าอบรม ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม อ่ืนๆ เวลาน้อยไปสาหรับวชิ าน้ี

๙๓ 11.วชิ ำ “ฝึกปฏิบัติกำรสร้ำงหุ่นจำลอง(กระบะทรำย)กำรจัดกำรพ้นื ที่ตำมหลัก ทฤษฎใี หมป่ ระยุกต์สู่ โคก หนอง นำ โมเดล” วทิ ยำกรหลัก 1.นายภาณพุ งษ์ บวั ศร วทิ ยากรจากสวนสะปนั รักษ์ จังหวดั แพร่ 2.นายเกรยี งไกร สงิ หแ์ กว้ นักทรัพยากรบคุ คลชานาญการ ผ้รู บั ผดิ ชอบวิชำ นายเกรียงไกร สิงหแ์ ก้ว นักทรพั ยากรบุคคลชานาญการ วตั ถปุ ระสงค์ 1. ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมมคี วามรู้ ความเข้าใจการออกแบบการจดั การพน้ื ทเี่ ชิงภมู สิ งั คมไทย อยา่ งยงั่ ยนื เพื่อการพ่ึงตนเองและรองรบั ภยั พบิ ัติ “โคก หนองนา โมเดล” 2. ใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการฝกึ อบรม ไดฝ้ ึกปฏบิ ตั ิการออกแบบพืน้ ท่ีบนโตะ๊ ทราย ประเด็นเนอื้ หำ 1. การฝึกปฏบิ ตั ิการสร้างหนุ่ จาลอง(กระบะทราย)การจดั การพน้ื ท่ตี ามหลกั ทฤษฎใี หมป่ ระยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล 2. นาเสนอในแต่ละประเดน็ เนอ้ื หา ฝึกปฏบิ ัติสร้างหุ่นจาลองการจัดการพน้ื ท่ตี ามหลักทฤษฎใี หม่ ประยุกตส์ ู่ “โคก หนอง นา โมเดล” ระยะเวลำ จานวน ๕ ช่วั โมง เทคนิค/วิธกี ำร : บรรยายประกอบสือ่ ฝกึ ปฏบิ ัติ นาเสนอผลงาน ข้นั ตอน/กระบวนกำร 1. การฝึกปฏิบัติ การสรา้ งห่นุ จาลอง (กระบะทราย)การจดั การพ้ืนท่ตี ามหลักทฤษฎีใหมป่ ระยุกต์สู่“โคก หนอง นา โมเดล” แบ่งเปน็ กลมุ่ 4 กลุ่ม ทากจิ กรรมออกแบบ ขนาดพื้นที่ ๑ – ๓ ไร่ของตวั แทนสมาชิกกลุ่มบอกปัญหา อุปสรรค ขอ้ จากัดทุกอย่างของกลุม่ ให้ออกแบบเปลย่ี นแปลง ไดต้ ามภมู สิ ังคมและตามความต้องการของเจ้าของ แปลงแต่ต้องประหยัดและไม่เปลยี่ นโซนของเดมิ มาก เกินไป มเี วลาฝึก ปฏบิ ตั ิ 2 ชวั่ โมง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook