Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore AncientEgypgMummy

AncientEgypgMummy

Published by Kachornpon, 2019-11-22 01:22:31

Description: AncientEgypgMummy

Search

Read the Text Version

2

3

4 คำนำ Pocket Book เลม่ น้เี ป็นส่วนหนงึ่ ของวิชาอารยธรรมโลก (World Civilization) จดั ทาขึ้น เพ่ือศึกษาเก่ียวกับมัมมี่อียิปต์โบราณ ต้ังแต่ความเป็นมาของการทามัมม่ี ความเชื่อของชาวอียิปต์ เรือ่ งชีวิตหลังความตาย ขน้ั ตอนการทามัมม่ี ประเภทของมมั มี่ ตลอดจนการวเิ คราะห์การขุดพบโลง ศพบรรจมุ มั มกี่ ว่า 30 โลง ในปี 2019 ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า Pocket Book เล่มน้ี จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ท่ีสนใจศึกษา ค้นคว้าเกยี่ วกับมมั ม่ีอยี ปิ ตโ์ บราณ ไมม่ ากกน็ ้อย ขอขอบพระคุณ อาจารย์ขจรพล หิรัญโชติไพศาล ท่ีได้ช้ีแนะและให้คาปรึกษา ตลอดจน งานชนิ้ น้ีเสร็จสมบูรณแ์ ละมีประสิทธิภาพ คณะผู้จดั ทา

5

สำรบัญ 6 ชีวิตหลงั ความตาย 10 วิวัฒนาการของการทามัมม่ี 16 วิธีการทามมั มี่ 26 ชนดิ ของมัมม่ี 50 เปิดโลงศพมัมมโ่ี บราณอายุกว่า 3 พนั ปี 62 มีอะไรอยใู่ นโถคาโนปิก? 75

7

8

9

10 ชวี ิตหลงั ความตาย ความเชือ่ ของชาวอียิปต์เกยี่ วกับ เร่ืองของร่างกาย และวิญญาณ ท่ีเช่ือว่า การตายก็คือการท่ีวิญญาณได้หลุดลอย ออกจากร่างของตน วิญญาณท่ีได้หลุด ลอยออกจากร่างแล้วเข้าไปสู่โลกอีกโลก หน่ึงซึ่งเรียกว่า “โลกของพระเจ้า” และ วิญญาณนั้นกจ็ ะกลับมา เมอื่ วิญญาณกลบั มาแลว้ กต็ ้องอาศัยรา่ งกายอยู่ โดยร่างกาย ท่ีจะอาศัยอยู่ได้ก็คงจะต้องเป็นร่างกาย ของตนเอง จากความเช่ือถือน้ี การรักษา ร่างกายให้คงสภาพไว้เพ่ือรอการกลับมา ของเจ้าของเดิมจึงเป็นส่ิงที่ชาวอียิปต์ โบราณหาวธิ กี ารที่จะทาใหไ้ ด้

11 แม้จะมีการศึกษาเรื่องราวของมัมม่ี มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ปัจจุบันน้ีการศึกษา ความลับของมัมมี่ก็ยังคงกระทาอยู่ เพราะ วิทยาการท่ีสูงขึ้น เครื่องไม้เคร่ืองมือที่ทรง ประสิทธิภาพขึ้น ย่ิงทาให้สามารถเจาะลึกเข้า ไปสู่ความลบั ในประวตั ศิ าสตร์นไี้ ด้มากข้นึ เ ร า ส า ม า ร ถ เ ห็ น นั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ นั ก โบราณคดีเป็นจานวนมาก ศึกษา เร่ืองราวของมัมม่ีอย่างจริงจัง เ ช่ น ที่ โ ร ง พ ย า บ า ล แ ห่ ง ม ห า วิทย า ลั ย เ พนซิ ล เ วเนีย ส ถ า บั น ศิ ล ป ศ า ส ต ร์ แ ห่ ง เ มื อ ง ดทิ รอยท์ เป็นต้น

12 โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลยั เพนซลิ เวเนีย สถาบันศิลปศาสตร์แห่งเมอื งดทิ รอยท์

13 การศึกษานอกจากจะใช้ วิธีผ่าศพมัมม่ี โดยตรงก็ยังมีการ นาเอาระบบการถ่ายภาพจากแสงเอกซเรย์ 3 มิติท่ีเรียกว่า “Computerized Axial Tomography (CAT)” มาใชซ้ งึ่ นอกจาก จะไม่ต้องทาลายมัมม่ีท่ีใช้ศึกษาอยู่แล้ว ยังสามารถให้รายละเอียดได้ อย่างชัดเจนอกี ด้วย

14

15

16 THE EVOLUTION OF MUMMY MAKING วิวฒั นาการของการทามมั ม่ี

17 ยุคก่อนประวัตศิ ำสตร์ ในยุคก่อนประวัติศาสตรข์ องอยี ปิ ตโ์ บราณ รา่ งกายของคนตายไดถ้ ูกห่อไวด้ ้วยผ้า หรือเส่ืออย่างลวก ๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบ ๆ ภายใต้พ้ืนทรายลึกลงไปไม่กี่ฟุต หลุมที่ ฝังกอ็ าจจะขุดกนั อย่างหยาบๆ อาจจะมกี ารกอ่ อฐิ หรือปดู ว้ ยไม้กระดานบา้ ง แตก่ ไ็ ม่มีศลิ ปะ อะไร การฝังศพแบบน้ชี าวอียปิ ต์ในยุคนั้นก็ไดพ้ บความจริงขอ้ หนึง่ วา่ ภายใต้ความร้อนระอุ ของพ้ืนทรายท่ีถูกแสงแดดอันแรงกล้าเผาอยู่ตลอดเวลา ศพภายในหลุมหยาบ ๆ นั้นมี สภาพเหมือนถูกอบหรือตากแห้ง และมีผลทาให้ศพน้ัน ยังคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานาน การท่ีศพไม่เน่าเป่ือยและจากความคิดความเช่ือท่ีว่าวันหนึ่งวิญญาณท่ีจากไปก็จะกลับคืน มา ญาติพ่นี อ้ งตา่ งกลัววา่ ถา้ ศพฟ้นื ขนึ้ มาเม่อื ใดกอ็ าจจะกลายเป็นคนสนิ้ ไรไ้ มต้ อกไปก็ได้ จึง ฝังหม้อข้าวหม้อแกง เพชรพลอยหรือแม้แต่เครื่องมือเครื่องใช้ในการทามาหากินเอาไว้ให้ ดว้ ย

18 เมื่อนานวันเขา้ ความตายเป็นสิ่งมนุษย์เริ่มพิถีพิถันกับมัน พิธีรีตองเกี่ยวกบั คนตายมีมากขึ้น หลุมฝังศพท่ีขุดแบบเป็นรูปเป็นโพรงจึงเร่ิมไม่เป็นท่ีนิยม ผู้คนเริ่ม พัฒนาหลุมฝังศพ โดยการขุดอย่างมีศิลปะ มีการก่ออิฐทาผนังหลุม และก็พยายาม จัดทาให้เหมือนกับเป็นห้องห้องหนึ่ง และเพ่ือให้คนตายได้นอนอย่างสบายๆ เหยียด ขาได้เต็มท่ีแทนท่ีจะต้องถูกมัดให้คุดคู้อยู่ในหลุมรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัส หลุมท่ีฝังจึง แปรเปลี่ยนมาเป็นลักษณะรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้า ศพเลยสามารถท่ีจะเหยียดร่างได้เต็มที่ ไม่เพียงเท่านั้น เพ่ือให้คนตายมีความรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในบ้านจริง เหนือหลุมฝังศพจึง ต้องก่อสร้างให้รูปทรงคล้ายกับบ้าน มีหลังคามีฝาผนัง ครอบครัวที่มีฐานะอาจจะ สร้างให้คลา้ ยกับวัง เมื่อหลุมศพมวี ิวัฒนาการมาเป็นอย่างนน้ั ศพที่เคยถูกอบแหง้ โดย ธรรมชาตภิ ายใตผ้ ิวทรายรอ้ น ๆ จงึ เกิดปญั หาเร่อื งศพเนา่ เปอ่ื ยตามมา

19 ยุครำชวงศท์ ี่1-6 ยุคราชวงศ์ท่ี 1 ในยคุ ของราชวงศ์อียปิ ต์แรก ๆ (ราว 3,000 ปกี ่อนครสิ ตศกั ราช) ศพจะถูกหอ่ และมดั อย่างแน่นหนาด้วยผา้ ลนิ ินซง่ึ อาบน้ายา ศพถูกหอ่ ไวด้ ว้ ยผ้าหนามากจนแลดกู ลม ยุคราชวงศ์ที่ 2 จนถึงราชวงศ์ที่สองแห่งอียิปต์ (ราว 2,800 ปีก่อนคริสตศักราช) ความพยายามที่จะ แตง่ ตวั ใหม้ มั มด่ี ดู ีขึน้ จงึ เร่มิ ขึ้น มกี ารห่อศพดว้ ยผ้าลนิ ินชุบน้ายาอย่างพิถพี ิถนั การหอ่ มีการ พันหัว พันขา แขน หรือพันรอบหน้าอก หน้าท้องเป็นส่วน ๆ คือพันให้เห็นเป็นรูปทรงของคน แม้แต่นวิ้ มอื นิว้ เท้าก็พยายามพันเน้นใหเ้ หน็ นว้ิ ทง้ั 5 ยคุ ราชวงศ์ท่ี 3 ความพยายามของการศึกษาของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ค้นพบว่าสาเหตุของการเน่า เปื่อยของศพ อวัยวะภายในมีสว่ นเก่ยี วข้องกับเร่ืองนีม้ าก ดังนั้นการทาความสะอาดภายใน จึง เป็นวิธีหน่ึงท่ีจะทาให้ศพอยู่ได้ยาวนานข้ึน ดังน้ันในปลายราชวงศ์ที่สามแห่งอียิปต์โบราณ (ราว 2,600 ปีก่อนคริสตศักราช) การล้วงอวัยวะภายในของศพออกมาจึงเป็นกรรมวิธีสาคัญของ นกั แต่งศพชาวอียปิ ต์

20 ยคุ ราชวงศ์ที่ 4 ในหลุมฝังศพของราชินีท่ีสี่แห่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ พระนาม ราชินีเฮเต เฟเรส (Hetepheres) ซึ่งเป็นพระชายาแห่งสเนฟรู (Snefru) หรือเป็นพระชนนขี องกษัตริย์คือ อปส์ ได้มีการค้นพบภาชนะหินปูน ซึ่งภายในบรรจุอวัยวะภายในของราชินี แช่ไว้ด้วย ของเหลวท่ีเรียกว่าเนตรอน (Natron) ซ่ึงเป็นสารละลายของโซดาชนิดหนึ่ง เป็นท่ีน่าทึ่ง ที่ว่าภาชนะน้ีมกี ารปิดผนึกอย่างดีจนของเหลวดงั กล่าว อยู่ในนั้นได้เป็นเวลา 4,000 ปี ดอง อวยั วะภายในของพระราชินใี หค้ งสภาพไวไ้ ดอ้ ย่างยาวนาน ในช่วงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณตั้งแต่ราชวงศ์ท่ี 4-5 (2,570-2,450 ปีก่อน คริสตศักราช) เทคนิคของการทามัมม่ีได้มีการพัฒนาขึ้นเร่ือย ๆ อย่างมัมมี่ของเพตริค (Petric) ซึ่งค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษช่ือ วิลเล่ียม เอ็ม เอฟ เพตริค (William M.F.Petric) แสดงให้เห็นถึงเทคนิคของการทามัมม่ีในยุคของราชวงศ์ท่ี 5 ศพจะถูกพันมัด ดว้ ยแถบผ้าลินินอยา่ งประณีต มีการแสดงถึงรูปลกั ษณะภายนอกด้วยยางสนชนดิ หนึ่ง ซ่งึ มคี วามคงทนถาวรมาก ขนาดคิว้ หรือหนวดของผตู้ ายกย็ งั แสดงออกให้เห็น สภาพมัมมี่อยู่ ในลักษณะเหยียดตรงเต็มส่วนสูง อวัยวะภายในถูกคว้านออก มีการทาความสะอาดแล้ว อัดให้แน่นดว้ ยก้อนผ้าลินินอาบน้ายา เทคนิคต่างๆ ท่ีใช้ก็มีผลในการรกั ษาอวัยวะทกุ ส่วน ในรา่ งกายใหค้ งสภาพอย่ไู ด้อย่างถาวร แม้แตร่ ปู ลกั ษณท์ ป่ี รากฏภายนอกก็พยายามจัดทา ให้คงสภาพไว้ (มัมมี่ของเพตริคน้ีได้ถูกเก็บรักษาไว้ท่ีวิทยาลัยศัลกรรมหลวงในกรุง ลอนดอน แต่ถูกทาลายไปในสงครามโลกคราวที่กรุงลอนดอนถูกโจมตีทาง อากาศในปี ค.ศ. 1,941)

21 ยุคราชวงศ์ท่ี 5 หลักฐานมัมม่ีอีกชิ้นหน่ึงท่ีแสดงถึงความเจริญของวิชาการด้านน้ี คน้ พบโดยนกั อียปิ ต์วิทยาชาวอเมรกิ ันช่ือ ยอรช์ เอ ไรส์เนอร์ ซง่ึ ขุดเจอทพ่ี รี ะมิด แห่งกิซา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามัมม่ีท่ีพบนี้เป็นศพของ เยนต้ี (Yenty) อัครมหาเสนาบดีในยุคน้ัน มัมม่ีได้ถูกประจุไว้ในโลงศพท่ีทาด้วย หนิ แกรนติ ถึงแมว้ า่ สภาพของมมั มีจ่ ะถูกทาลายไปโดยฝีมอื ของคนร้ายทที่ ามาหา กินกับการขุด สมบัติในสุสานของอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยของเทคนิค ช้ันสูงในการทามัมมี่ให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะเค้าหน้าของมัมมี่ถูกรักษาไว้ให้อยู่ใน สภาพเดมิ ได้อยา่ งน่าท่งึ ยคุ ราชวงศ์ท่ี 6 (ราวปี 2,340 ก่อนคริสตศักราช) เร่ิมมีการใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบหน้า หรือศีรษะบางทีก็พอกมัมม่ีทั้งตัว ใบหน้าที่พอกฉาบด้วยปลาสเตอร์มีการเขียน และตกแต่งเป็นรูปใบหน้าอย่างสวยงาม หลังจากพอกหนักเข้า สัปเหร่อ ปัญญาชนจึงมองเห็นลู่ทางอื่นในการตกแต่งใบหน้าของมัมมี่ ด้วยการทาเป็น หนา้ กากสวม หนา้ กากท่วี า่ นี้ทาดว้ ยสารคารต์ ันเนจ (Cartonnege) ซ่งึ เป็นส่วนผสม ของกระดาษปาปีรัส (Papyrus) ผ้า และปลาสเตอร์รวมกัน หน้ากากสามารถ ตกแต่งให้สวยงามได้ ภายหลังไม่เพียงเฉพาะศีรษะหรอื ใบหน้าเท่านั้นท่ีปกปิดไว้ ด้วยหนา้ กากคาร์ตนั เนจ เทคนิคน้ถี กู นาไปใชป้ กปิดทั่วตวั เปน็ ทม่ี าของโลงศพรูป คน เทคนิคของมมั มดี่ งั กล่าวนเ้ี กดิ ขึ้นในช่วงราว 2,050-1,990 กอ่ นครสิ ตศักราช หรอื ทเี่ รยี กว่าเป็นช่วงอาณาจักรยุคกลางของอยี ปิ ต์โบราณ

22 ยุคอำณำจักรของพระเจ้ำทบี ส์ ยุคอาณาจักรของพระเจ้าทีบส์ (Thebes) ในราว 1,550 ปีก่อนคริสตศักราช เทคนิคของมัมมี่พัฒนาจนถึงจุดสูงสุด นอกจากอวัยวะภายในจะถูกนาออกมาแล้ว จดั กลบั เข้าไปดว้ ยผ้าอาบนา้ ยายงั มีการดดู สมองออกจากกะโหลกอกี ด้วย เทคนคิ ของ การใช้สารเคมีต่าง ๆ มีมากขึ้น สารเคมีบางอย่างถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพ่ือที่จะ รกั ษาสภาพของผวิ หนงั ใหเ้ ปลง่ ปลง่ั มนี า้ มนี วลอย่ไู ด้นาน จากการฝังศพลงไปในหลุมที่ขุดอย่างหยาบ ๆ ภายใต้พ้ืนทรายที่ร้อนระอุ ได้เปล่ียนแปลงมาเป็นหลุมท่ีมกี ารตกแต่งผนังให้ ดูเรียบร้อยเหนือหลุมฝงั ศพ มีการ ก่อสร้างจาลองเป็นรูปบ้าน ลักษณะของหลุมศพในยุคอียิปต์ต้น ๆ ค่อนข้างเล็ก ซึ่ง คิดว่าศพคงต้องนอนคุดคู้อยู่ภายใน ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเปน็ หลุมรูปส่ีเหลย่ี มผืนผา้ ซึง่ กว้างยาวพอที่ศพจะนอน เหยียดได้อย่างเต็มท่ี ต่อมาศพก็ค่อยเล่ือนข้ันข้ึน มีการ บรรจลุ งในหีบศพซ่งึ มที ั้งหีบไม้ หินปูน จนถงึ หินแข็งอย่างหนิ แกรนติ ความคิดของชาวอียิปต์ ไม่ได้หยุดอยู่กับท่ี จากหีบศพท่ีเรียบ ๆ เริ่มมีการ ตกแตง่ จัดทารอบ ๆ หีบศพให้ดมู ลี ักษณะเหมอื นพระราชวงั บวกกับความเช่อื ถอื ทาง ศาสนา หีบศพบางอนั จงึ มีการเขยี นรูปดวงดาวคู่หนึ่งไว้ ด้วยเกรงว่าเจ้าของหบี ศพไม่ สามารถทัศนาโลกภายนอกอันสดใสได้ ภายหลังหีบศพไม่เพียงแต่แกะสลักหรือวาด รูปแต่เฉพาะภายนอก แม้แต่ภายในก็มีการตกแต่งประดับประดา เพ่ือให้บ้านน่าอยู่ และส่ิงที่ขาดไม่ได้คือ คาจารึกเหนือ หีบศพ เป็นคาสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าช่วย ปกป้องคุ้มครองผ้ทู อ่ี ยู่ในหลมุ นน้ั ดว้ ย

23 ตอ่ มาหีบศพเริ่มเปลี่ยนแปลงมาทาจาลองเป็นรปู คน มีการแกะสลักหนา้ ตา อวยั วะต่าง ๆ สว่ นใหญ่มกั จะทาเปน็ รูปคนยืนเหยียดตรง มือท้งั สองผสานไวท้ ่หี นา้ อก หบี ศพรปู คนเหล่าน้ถี กู เกบ็ ไว้ภายในหลุมฝงั ศพทกี่ อ่ สรา้ งเป็นรปู อาคารอกี ทหี น่งึ อาจ มีหลายๆ หีบรวมอยู่ในหลมุ เดยี วกันได้ ภายหลังเม่ือมีการคว้านเอาอวัยวะภายในของศพออกก่อนจะทาเป็นมัมม่ี อวัยวะเหล่านี้ก็ต้องถูกเก็บรักษาด้วย จึงจะต้องมีการจัดทาภาชนะเพ่ือที่จะเก็บ อวัยวะเครื่องในเหล่านี้ ภาชนะพวกน้ีมีช่ือเฉพาะเรียกว่า คาโนปิก (Canopic) มาจาก ชือ่ ของ คาโนปัส (Canopus) นกั รบแห่งเมนาเลยี ส (Menaleus) ซ่ึงศพของเขาถกู เก็บไว้ ในภาชนะรูปทรงคล้ายตุ่ม (คือป่องกลาง) มีฝาครอบทาเป็นรูปหัวคน ด้วยเหตุนี้คา โนปิกจึงมีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาครอบ แต่มีทั้งหมด 4 ฝา เนื่องจากตัวภาชนะบรรจุ เคร่ืองในเหล่าน้ีถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็บรรจุอวัยวะสาคัญ 4 อย่าง คือ ตับ กระเพาะ ปอดและลาไส้ใหญ่ และ แต่ละช่วงท่ีบรรจุ เครื่องในเหล่านี้ มีน้ายาที่ เรียกว่าเนตรอน (Natron) อยู่ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าอวัยวะดังกล่าว 4 อย่างน้ีไม่มี หวั ใจอยดู่ ้วย เนอื่ งจากนกั แต่งศพชาวอยี ปิ ต์ถือวา่ ห้ามควกั หวั ใจออกจากตวั ศพ ในตอนต้น ๆ ฝาครอบหรือฝาปิดของคาโนปิกทาเหมือนกันหมด แต่ต่อมา ฝาครอบเหล่านี้เร่ิมมีการแกะสลักเป็นรูปของผู้คุ้มครองทั้ง 4 ซ่ึงได้แก่ อิมเซตี้ (Imsety) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุเตฟ (Dewau-mautef) แกะสลักเป็นรูปหัวหมา ฮาปิ (Hapy) แกะสลักเป็นรปู หัวลิง และเคเบหส์ เนเวท (Kebehsnewet) แกะสลักเปน็ รูป หัวเหย่ียว ผู้ปกป้องทั้งสี่ดูแลอวัยวะสาคัญต่างๆ ส่ิงที่สาคัญอีกอย่างหน่ึงที่คนมีชีวิต ทาให้คนตายในความเช่ือถือของอียปิ ต์ โบราณก็คือ คนใช้ เพราะคิดว่าถึงแม้คนตาย จะมีเครือ่ งใชไ้ ม้สอยทจ่ี ดั ทาไว้ให้แลว้ มากมาย

24 แต่ถ้าขาดคนรับใช้ชีวิตก็คงไม่สุขสบายเท่าท่ีควร ดังนั้นในพิธีศพส่ิงที่ขาดไม่ได้คือ จัดหาคนใช้ใหก้ ับผู้จากไปด้วย ในตอนแรกใช้วิธีการวาดภาพคนใช้ แต่ต่อมาไดจ้ ัดทา เป็นรูปปั้นซึ่งอาจจะทาด้วยดินเหนียว สีผ้ึง หรือแกะสลักด้วยไม้ ต่อมาในราวยุค ราชวงศ์ท่ี 12 แห่งอียิปต์โบราณ ตัวแทนท่ีจะส่งไปเป็นคนรับใช้ของผู้ตาย ได้ทาเป็น รูปมัมม่ีด้วย มีการพันด้วยผ้าลินินและบรรจุไว้ในหีบศพจาลองขนาดเล็ก รูปลักษณ์ เหล่าน้ีมีชื่อเรียกว่า ชาวับติ (Chawabti) ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ขานรับ เพ่ือในยามใดที่ ต้องการใช้ก็จะเรียกข้ึนมา แล้วผู้รับใช้ก็จะขานรับคาส่ัง ชาวับติมักทาเป็นรูปมัมมี่ บางทีมือท้ัง 2 ข้างประสานไว้ที่อกหรือบางทีก็ทาเป็นรูปเคร่ืองมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสียม ตะกร้า ให้ถือเอาไว้ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือคาจารึกคาสวดที่พอจะแปลได้ตาม ความหมายวา่ “โอ..ชาวับตเิ จา้ เอ๋ย ถ้านาย..(ออกช่อื คนตาย) เรยี กใชเ้ จ้าเมือ่ ไรไมว่ า่ จะให้ทาไร่ ไถนา ทดนา ขนส่งทราย เพื่อเห็นแกพ่ ระเจา้ ก็ขอให้เจ้าขานรับวา่ ..ข้าพรอ้ มที่จะ ทาแลว้ ขอรับ”

25

26 HOW TO MAKE A MUMMY

27 ศพถกู นาไปยังสถานที่พเิ ศษทเี่ รยี กวา่ ‘อีบู’ ซึ่งมีความหมายว่า สถานท่ี ชาระศพให้บรสิ ทุ ธิ์

28 ผทู้ ามมั ม่ีจะอาบศพด้วยเหลา้ จากน้าตาลสดและชาระลา้ งด้วยนา้ จากแมน่ า้ ไนล์

29 ผู้ทามัมมีจ่ ะผา่ ช่องท้องด้านซ้ายเพอ่ื เอาอวยั วะภายในออก เน่อื งดว้ ยอวัยวะ ภายในมีความชน้ื สงู และจะเปน็ สง่ิ แรกทีเ่ นา่ สลายอยา่ งรวดเรว็ จงึ ต้องนาออก

30 เหลือไว้แตห่ ัวใจทจี่ ะทงิ้ ไวภ้ ายในศพ เพราะพวกเขาเช่อื วา่ หวั ใจคือศูนย์รวมแหง่ ปญั ญาและความรับรทู้ ั้งปวงทีผ่ ้ตู ายยัง ต้องการใช้ในโลกแหง่ วิญญาณ

31 ตบั ปอด กระเพาะ และลาไส้จะถกู นามาชาระลา้ งจนสะอาด แล้ว นาไปกลบไวด้ ้วยเกลอื เมด็ ทเ่ี รยี กวา่ นาตรอน (Natron) ซ่งึ เป็นเกลอื โซเดียมคารบ์ อร์เนต

32 แล้วจะสอดตะขอผ่านเข้าทางช่องจมูกเพ่ือเก่ียวเอาเนื้อ สมองออกมา เพราะสมองก็เป็นส่วนที่มีความช้ืนสูง ถ้า ทงิ้ ไวจ้ ะทาใหแ้ หง้ ยากและกอ่ ใหเ้ กิดการย่อยสลายไดง้ า่ ย

33 ช่องว่างภายในร่างกายจะใสเ่ กลือเม็ดไว้ เพ่ือป้องกันการ เจรญิ เตบิ โตของเช้ือแบคทีเรยี อนั จะทาใหร้ ่างเนา่ เปอ่ื ย

34 จากนั้นนาศพไปวางกลบด้วยเกลือเม็ดให้แห้ง ผ้าที่ใช้ใน การเตรียมศพทกุ ชิ้นจะถกู เก็บรักษาไว้อย่างดเี พ่ือนาไปฝัง พรอ้ มกบั ศพ

35 ศพจะถูกแช่เกลือไวป้ ระมาณ 70 วัน มีการเปล่ยี นทุก 3 วัน ไปเรื่อยๆ จนศพแห้งสนทิ และมีสีดาคล้า

36 แล้วจะถูกนามาชาระล้างด้วยน้าจากแม่น้าไนล์ และทา ด้วยน้ามันเพอ่ื ใหผ้ วิ คงสภาพ อ่อนน่มุ

37 อวัยวะภายในท่ีแห้งแล้วจากการแช่เกลือจะถูกนากลับมาบรรจุในช่องท้องและช่องอก ตามเดมิ และเตมิ ของแหง้ อย่างอืน่ ใหเ้ ตม็ เช่น ขเ้ี ลอื่ ย หรือใบไม้ และผ้าลินนิ เพอื่ ใหด้ ูเหมือน ยามมีชีวติ อยู่ ไม่ยุบตัวลงไปตามกาลเวลา

38 ต่อมาเมื่อมีการนาอวัยวะภายในใส่ในโถที่มีชื่อว่าคาโนปิก (Canopic) จึงใส่เพียง แคข่ ้เี ลอื่ ยหรอื ใบไม้ และผ้าลินินเขา้ ไปแทน

39 จากนั้นชาระศพด้วยน้ามันหอมอีกครั้งหน่ึง ก่อนจะนาไปพันผ้าลินิน ซ่ึงศีรษะ และลาคอจะถูกพันก่อน จากนั้นจึงพันน้ิวมือน้ิวเท้า ขาและแขนจะถูกพันแยก ออกจากกัน ทุกช้ินจะถูกทาด้วยเรซิ่นเหลว ทาให้แต่ละชิ้นยึดติดกันเหมือนทา กาว

40 มกี ารใส่เครื่องรางในแต่ละช้ันเพ่อื ปอ้ งกนั รา่ งของผู้ตายให้ เดินทางไปปรโลกอยา่ งปลอดภัย

41 ในขณะท่ีพนั ห่อรา่ ง กจ็ ะมพี ระท่องมนตเ์ พอ่ื ขจัดสิ่งเลวร้ายมใิ หแ้ ผว้ พานผู้ตาย หลงั จากน้นั ขาแขน จะถูกมัดไว้ด้วยกันก่อนวางม้วนกระดาษปาปิรุส ท่ีเรียกว่าคัมภีร์มรณะ (Book of Death) ไว้ ระหว่างมือ

42 ร่างจะถูกห่อด้วยผ้าลินินอีกหลายช้ัน และผ้าผืนบนสุดจะเป็น ผ้าท่มี ีรูปเทพโอซริ สิ (เทพแหง่ ยมโลก) อยู่

43 จากน้ันก็จะพันห่อด้วยผ้าผืนใหญ่ แล้วมัดตราสังข์ด้วยแถบผา้ ลินินตลอดร่างอย่างแน่น หนาเป็นครั้งสุดท้าย มีการจัด \"พิธีเปิดปาก\" เพ่ือให้ครอบครัวได้อาลาผู้ตาย และให้ ผ้ตู ายไดด้ มื่ กินเปน็ คร้งั สุดท้าย ก่อนเดนิ ทางไปปรโลก

44 ขน้ั สุดท้าย จะนาร่างไปใส่ในโลงหินแกะสลกั ทีต่ ั้งอยู่ในสถานเก็บศพ พร้อมดว้ ยเคร่ือง เรือน เสื้อผ้า ของมีค่า อาหารและเคร่ืองด่ืม จะถูกจัดวางไว้อย่างพร้อมเพรียง เป็น เสบยี งให้ผู้ตายไดเ้ ดนิ ทางสปู่ รโลกโดยสะดวก

45

46

47

48

49

50 TYPE OF MUMMY ชนิดของมมั มี่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook