Queen Victoria พระราชินผี ู้ย่งิ ใหญ่ แหง่ สหราชอาณาจักร เรยี บเรียงโดย Nebula
“ Queen Victoria ”พระราชินผี ู้ยงิ่ ใหญ่ แห่ง สหราชอาณาจักร เรียบเรยี งโดย Nebula
บทน�ำ สหราชอาณาจักร(United Kingdom) คือหน่งึ ในประเทศแถบยุโรป ท่ีมปี ระวตั ิศาสตรอ์ ันยาวนาน ในคร้ังอดีตเคยเปน็ ประเทศมหาอำ�นาจที่ลา่ อาณานิคมแผข่ ยายแผน่ ดินออกไปอยา่ งกวา้ งใหญ่ไพศาล โดยเบ้อื งหลงั ความ ย่งิ ใหญข่ องประเทศคอื บรรดาพระมหากษัตริยแ์ ละพระราชนิ ผี ูป้ กครองแผ่น ดินอังกฤษ แต่ถ้าจะพูดถงึ ยุคที่อังกฤษมีความรงุ่ เรอื งมากที่สดุ หลายคนคง นกึ ถงึ “ยคุ วคิ ตอเรีย” โดยช่อื นมี้ ที ี่มาจากพระราชินผี ปู้ กครองแผน่ ดนิ ในยคุ น้นั สมเดจ็ พระราชนิ ีวคิ ตอเรีย สมเด็จพระราชนิ วี คิ ตอเรยี นัน้ มีช่ือเสียงโดง่ ดงั มาก แตน่ อ้ ยคนนกั ที่จะรถู้ ึงชวี ประวตั ิสว่ นพระองคว์ า่ ตลอดพระชนชีพของพระนางทรงพบเจอ กับเร่อื งราวต่างๆมากมาย ท้ังการเมอื ง ความรัก และ การสญู เสีย จนทำ�ให้ พระนางกลายมาเป็นพระราชนิ ผี ้ยู ิ่งใหญแ่ ห่งสหราชอาณาจกั ร
สารบญั บทที่ 1 : ใครคือ Queen Victoria................................................1 บทท่ี 2 : ชีวติ วยั เยาว.์ ....................................................................5 บทท่ี 3 : โชคชะตาแห่งราชบลั ลงั ก์ ...........................................11 บทที่ 4 : การเมอื งต้นรัชกาล........................................................15 บทท่ี 5 : ความรักของราชินี ........................................................19 บทท่ี 6 : การลอบปลงพระชนม์....................................................25 บทท่ี 7 : ยคุ รุ่งเรอื งขององั กฤษ.....................................................31 บทที่ 8 : ผนู้ ำ�แฟชนั่ แหง่ ยคุ วคิ ตอเรียน.........................................35 บทที่ 9 : ราชินสี วรรคต................................................................45 บรรณานกุ รม ...............................................................52
-1- บทที่ 1 : ใครคอื Queen Victoria ?
-2- ใครคอื Queen Victoria ? สมเดจ็ พระราชินีวกิ ตอเรีย (Queen Victoria) คือ ราชินผี ปู้ กครองสหราชอาณาจกั ร พระนางฯทรงครองราชย์ยาวนานเป็นลำ�ดบั ท่ี 2 ลองจาก สมเด็จพระราชินีนาถเอลซิ าเบธ ท่ี 2 (Queen Elizabeth II) ราชนิ แี หง่ สหราช อาณาจกั รผเู้ ป็นประมุของค์ปจั จุบัน พระราชนิ วี คิ ตอเรียครองราชย์ นานถึง 63 ปี และทรงมีสายพระโลหิต สบื ทอดมาเป็นเชอ้ื พระวงศ์ทัว่ ยุโรป เช่น สมเด็จพระจักรพรรดิวลิ เฮล์มท่2ี (Wilhelm II) แห่งเยอรมนี และ สมเดจ็ พระราชนิ นี าถเอลิ ซาเบธท่ี 2 แหง่ สหราชอาณาจักร เป็นต้น จน ไดร้ ับพระราชสมัญญานามวา่ “สมเดจ็ ย่าแห่ง ยุโรป” (Grandmother of Europe)
-3-
-4- Portait of Queen Victoria , Photograph by Alexander Bassano, 1882
-5- บทท่ี 2 : ชวี ิตวยั เยาว์
-6- The Duchess of Kent with her daughter, the future Queen Victoria, 1823
-7- วยั เยาว์ เจา้ หญงิ อเลก็ ซานดรนิ า วคิ ตอเรีย (Alexandri- na Victoria) ประสตู ิเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1819 ที่ พระราชวงั เคนซงิ ตัน (Kensington Palace) พระองค์ทรง เป็นพระราชธิดาพระเองเดยี วในเจ้าชายเอด็ เวิรด์ ดยกุ แห่ง เคนตแ์ ละสแตรเธริ ์น (Prince Edward, Duke of Kent and Strathearn) และ เจ้าหญิงวิกตอเรียแหง่ ซคั เซนิ -โคบูรก์ -ซาล เฟลด์ (Victoria Maria Louisa of Saxe-Coburg) หรือช่อื ในภายหลงั คอื ดชั เชสแหง่ เคนตแ์ ละสแตรเธริ น์ (Duchess of Kent and Strathearn) ที่มาของพระนาม ช่ือต้นของพระนาง คือ “อเลก็ ซานดรนิ า” โดยต้งั ตาม อเล็กซานเดอรท์ ี่ 1 ผ้เู ป็น จกั รพรรดแิ หง่ รัซเซยี (Alexander I, Emperor of Russia) และยงั ทรงเป็น บิดาอปุ ถมั ภ์ หรือ พอ่ ทูลหวั ของพระนาง สว่ นชอื่ “วกิ ตอเรยี ” นั้นตง้ั ตามพระราชมารดาของพระนางเอง เป็นทีน่ า่ แปลกใจทีพ่ ระนางแทบไม่ไดถ้ กู เรียกว่า “วคิ ตอเรีย” เลย โดยพระเจา้ จอร์ชท่ี 4 (George IV) ผู้เปน็ พระปิตุลา หรือ ลงุ ของเจา้ หญงิ ยืนกรานวา่ ชือ่ ของพระนางคอื อเลก็ ซานดรินา และ พระเจ้าวลิ เลยี มท่ี 4 (William IV) ผเู้ ปน็ พระปติ ุลาอกี องคท์ รงคดั คา้ น การขนานพระนามเจ้าหญงิ ตามพระราชมารดา โดยตรสั ว่า วกิ ตอเรยี “ไมเ่ คยเป็นชอ่ื ทาง ศาสนาคริสตท์ ่รี ูจ้ กั มาก่อนในประเทศนี้” เมือ่ พระนางพระชนมายุ 12 พรรษา พระเจา้ วลิ เลียมท่ี 4 ทรงพยายามเปล่ยี นชื่อของเจ้าหญงิ เปน็ “ชารล์ อตต์” แตด่ ัชเชสแห่งเคนต์ไม่ ทรงยนิ ดี และปฏิเสธ เพราะเป็นการไม่ให้เกียรตแิ กเ่ จา้ หญิงชาร์ลอตต์แหง่ เวลส์ (Princess Charlotte of Wales) ซงึ่ สน้ิ พระชนม์ขณะมีพระประสูตกิ าลก่อนหนา้ นี้
-8- เจ้าหญิงวิคตอเรยี เร่มิ เล่าเรยี นต้ังแตพ่ ระชนมายุ 5 พรรษา ครคู น แรกของพระนางฯคือ จอรจ์ เดวสิ (George Davys)เจ้าอธกิ ารแห่งโบสเชส เตอร์ (Chester Cathedral) ได้ส่งั สอนพระคัมภรี ์ ในทกุ ๆวนั ดัชเชสแหง่ เคน ตจ์ ะฝกึ ฝนพระราชธดิ าของตวั เองหลังจากแตล่ ะบทเรียน เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา เจา้ หญงิ วิคตอเรียเริ่มเรียนการอ่านและการเขยี นหนงั สอื จากบารอนเนส เลห์เซน (Baroness Lehzen) หลังจากนนั้ พระนางฯไดศ้ กึ ษาภาษากรีก, ภาษา ละติน, ภาษาอติ าลี, ภาษาฝร่ังเศส และ ภาษาเยอรมนั
-9- Prince Edward, Duke of Kent and Strathearn by William J. Weaver, Province House (Nova Scotia)
-10- พระราชบิดาของเจา้ หญิงวิคตอเรียส้นิ พระชนม์ด้วยโรคนิวมอเนีย (pneumonia) หรือท่รี จู้ ักกนั ท่วั ไปวา่ โรคปอดบวม ในขณะทพี่ ระนางมพี ระ ชนมายไุ ดเ้ พียง 8 เดอื น หลังจากทพี่ ระราชบดิ าเสยี ชีวิต เจ้าหญงิ วคิ ตอเรียได้ รบั การเลีย้ งดูอย่างเข้มงวดจากพระราชมารดา โดยมี เซอร์ จอห์น คอนรอย (Sir John Conroy) ข้าราชการชาวไอริชผู้มคี วามทะเยอทะยาน ทภี่ ายหลงั มี ความใกลช้ ิดสนทิ สนมกบั พระราชมารดาของเจ้าหญงิ คอนรอยท�ำ ทา่ ทีราวกับ วา่ เจ้าหญิงวิคตอเรยี เปน็ ลกู สาวของเขาและมีอทิ ธพิ ลสำ�คญั ตอ่ พระนางเม่ือครงั้ เยาว์วยั การใช้ชวี ิตภายในพระราชวังของพระนาง ถกู จำ�กัดอิสรภาพอยู่ มาก กลา่ วกนั วา่ ในทกุ ครง้ั ทต่ี อ้ งเดนิ ออกมาจากห้องนอน จะต้องมีคนจบั มือ ไปจนถึงทห่ี มาย หอ้ งนอนจะต้องมีคนคอยเฝ้าอยตู่ ลอดเวลา ออกจากพระ ราชวงั ได้เพยี งครง้ั คราว กฎระเบยี บทวี่ า่ น้ี จัดต้งั ขึ้นโดย เซอร์ จอหน์ คอน รอย เรยี กว่า ระบบเคนซิงตนั (Kensington System) โดยมแี ม่ของพระนาง ใหก้ ารสนับสนุน นัน่ ท�ำ ให้ชีวติ ของเจา้ หญงิ ในวยั เด็กมเี พื่อนเพยี งแค่ 2 คน คอื เจา้ หญิงฟีโอโดรา(Princess Feodora) ผู้เปน็ พระขนษิ ฐาตา่ งพระบดิ า และลกู สาวของคอนรอยเทา่ น้นั คอนรอยเชอื่ ว่าเจา้ หญงิ วคิ ตอเรียยงั ไม่มคี วาม พรอ้ มในการครองราชสมบัติ จึงอยากให้พระนางมอบภาระหน้าทใี่ นการดแู ล บา้ นเมอื งให้แกค่ อนรอย
-11- บทท่ี 3 : โชคชะตาแห่งราชบัลลังก์
-12- Portrait of Queen Victoria in her coronation robes
-13- เจ้าหญงิ วคิ ตอเรียมีลำ�ดบั ในการครองราชย์เป็นลำ�ดบั ท่ี 4 ซ่ึงตามหลักความ เป็นจริงแลว้ เปน็ ไปได้ยากท่พี ระองค์จะเสดจ็ ครองราชย์ได้ แต่แลว้ โชคชะตากน็ ำ�พาให้ พระนางฯไดข้ ึน้ เป็นกษตั รยี ์แทนเหลา่ ทลู กระหม่อมลงุ และพระราชบิดาเน่ืองจากท้ัง 3 พระองคล์ ว้ นเสด็จสวรรคตและสิ้นพระชนม์ไปก่อน กษตั รยิ จ์ อร์ชท่ี 3 (George III) ผ้เู ป็นพระอัยกา หรอื ปู่ ของเจ้าหญงิ วิคตอเรยี มีพระโอรสทีไ่ ด้ขน้ึ ครององั กฤษอยู่ 2 พระองค์ คอื พระเจ้าจอร์ชที่ 4 (George IV) พระโอรสองค์โต และ พระเจา้ วิลเลียมที่ 4 (William IV) พระโอรสองค์ท่ี 4 โดยทัง้ 2 พระองค์ไม่มรี ชั ทายาทสบื ราชบัลลังกเ์ หลอื อยูเ่ ลย แม้ว่าพระเจา้ วิลเลยี มที่ 4 จะเปน็ พระบดิ าของเหลา่ พระโอรสธดิ านอกกฎหมายจำ�นวนสบิ กวา่ คนทีเ่ กิดจากนาง สนมท่ีชอื่ วา่ โดโรธี จอร์แดน โดยมอี าชีพเป็นนางละคร แตพ่ ระองค์กไ็ มม่ พี ระโอรสธิดา ทถ่ี ูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่มีสิทธขิ์ น้ึ พระนามอยู่ในล�ำ ดบั การสบื สนั ตติวงศ์ ส่วนเจ้าชายเอ็ดเวริ ์ดผเู้ ปน็ พระราชบิดาของเจ้าหญงิ วิคตอเรียน้ันเป็นพระ โอรสองคท์ ี่ 5 ของกษัตรยิ จ์ อร์ชที่ 3 ถา้ หากทา่ นยงั มีพระชนชพี อยู่ ถอื ไดว้ า่ ท่านเปน็ ผู้ สืบราชบลั ลังกต็ อ่ จากพระเจา้ วิลเลียมที่ 4 แต่เมื่อไมม่ ีเจา้ ชายเอ็ดเวริ ์ด นน้ั จึงทำ�ให้เจา้ หญิงวิคตอเรียไดข้ ้ึนเป็นกษัตรยิ ์แหง่ อังกฤษสบื แทน ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1837 เจา้ หญิงวิกตอเรียมพี ระชนมายุ 18 พรรษาพระเจ้าวิลเลยี มท่ี 4 เสด็จสวรรคตด้วยอาการพระหทัยลม้ เหลวขณะมี พระชนมพรรษา 71 พรรษา จงึ ทำ�ให้เจ้าหญิงทรงเปน็ สมเด็จพระราชินีนาถแหง่ สหราช อาณาจกั ร
-14- “ เราถกู ปลุกขน้ึ มาในตอน 6 โมงเช้าโดย พระมารดา ทา่ นบอกเราว่า อัครสังฆราช แห่งแคนเทอเบอรีแ่ ละลอรด์ คอนยงั แฮม อยทู่ นี่ ี่และต้องการพบเรา เราลกุ จากเตียง นอนและเดนิ ไปท่ีห้องน่งั เล่นโดยล�ำ พงั และ เราก็ไดพ้ บพวกเขา ลอร์ดคอนยงั แฮมได้ ทำ�ความค้นุ เคยกบั เราและบอกเราว่าท่าน ลงุ ของเราผูเ้ ปน็ กษตั ริยไ์ มไ่ ดอ้ ยู่อีกตอ่ ไป ”แลว้ ทา่ นสวรรคตเมอื่ 12 นาทีทผี่ า่ นมา และด้วยเหตุนี้เราจึงเปน็ ราชนิ ี จาก บนั ทึกของพระราชินวี ิคตอเรยี
-15- บทที่ 4 : การเมอื งตอนตน้ รัชกาล
-16- การท่ีเจ้าหญงิ ในวัย 18 พรรษาตอ้ งมากลายเป็นพระ ราชนิ ีผปู้ กครองประเทศ ไมใ่ ช่ เรอื่ งง่ายท่จี ะควบคุมทกุ อย่างได้ ด้วยตัวคนเดยี ว เร่อื งการเมอื ง การปกครองย่ิงเป็นเรอื่ งยาก นนั่ ท�ำ ใหพ้ ระนางจำ�เปน็ ต้องมที ่ี ปรกึ ษาและคอยใหค้ �ำ แนะน�ำ ใน ด้านการเมือง Lord Melbourne (1844, age 65); detail from a painting by John Partridge.
-17- ไวเคานต์เมลเบริ ์นที่ 2 (2nd Viscount Melbourne) หรอื ท่ผี ู้คนเรียกกัน ว่า ลอรด์ เมลเบิรน์ (Lord Melbourne) คอื นายกรัฐมนตรีสงั กดั พรรควกิ (Whig) ซ่งึ เป็นพรรคการเมืองหน่งึ ของอังกฤษและยังเปน็ นายกรัฐมนตรีคนแรกในสมเดจ็ พระราชินี วคิ ตอเรีย ตงั้ แตว่ ันท่ี 16 กรกฎาคมถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1834 และต้งั แตว่ นั ที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1835 จนถึงวันท่ี 30 สิงหาคม ค.ศ.1841 เมลเบิร์นเป็นท่ีปรึกษาทางการเมือง ของราชนิ ีและเปน็ คนสนทิ ในช่วงปแี รก ๆ ของรชั กาล เขาคอยดแู ลอบรมส่งั สอนพระนาง ตง้ั แต่วัยเยาวน์ น่ั ท�ำ ใหพ้ ระนางเคารพและนบั ถอื เขาเสมือนบดิ า คร้ังที่พระนางขน้ึ ครอง ราชยต์ อนพระชนมายุ 18 พรรษา พระนางยงั ทรงออ่ นประสบการณท์ างการเมืองและทรง ตอ้ งการพึง่ พาคำ�แนะนำ�ในเรือ่ งตา่ ง ๆจากเมลเบิรน์ ท�ำ ให้เขาค่อนข้างมอี ทิ ธิพลทางการเมือง ครอบง�ำ พระนาง เขาชว่ ยสอนความซับซอ้ นของการเป็นราชาธิปไตยภายใต้รฐั ธรรมนญู เมลเบริ น์ เคยถูกปลดออกในปี ค.ศ.1834 หลังจากทำ�หน้าที่ได้ไมก่ ีเ่ ดือนโดยพระ เจ้าวิลเลียมท่ี 4 เพราะพระองค์ไมค่ อ่ ยพอใจผลงานของเมลเบิร์นนัก กอ่ นท่จี ะกลบั มารับ ต�ำ แหน่งอกี ครัง้ ในปี ค.ศ. 1835 แตส่ ดุ ท้ายรัฐบาลของเมลเบริ ์นก็ได้ท�ำ การลาออกเนอ่ื งจาก เริ่มเป็นที่ไมพ่ อใจจากการไม่สามารถควบคมุ และแก้ปญั หาตา่ งๆในประเทศอาณานิคม ตวั อยา่ งเช่น การกอ่ ปฏิวัตใิ นประเทศแคนาดา ทีก่ ินเวลาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1837 ถึง ปี ค.ศ. 1839 ในชว่ งท่ี ลอร์ดเมลเบริ น์ ถกู ปลดออกจากตำ�แหน่งครง้ั ที่ 1 พระราชินวี ิคตอเรยี ได้ ทรงแต่งตั้ง เซอร์ โรเบิรต์ พีล (Sir Robert Peel) ซงึ่ เปน็ นักการเมอื งสังกดั พรรคทอรีขนึ้ มาเปน็ นายกรฐั มนตรีแทน แตส่ ดุ ท้ายก็ตอ้ งพบกบั ความล้มเหลวเนอ่ื งจากพลี มคี วามกังวล ว่าพรรคทอรขี องตนจะเปน็ เสียงขา้ งนอ้ ย เขาจึงเสนอใหพ้ ระราชินวี ิคตอเรยี ปลดนางกำ�นัล ประจ�ำ ห้องพระบรรทมซึ่งเปน็ เหลา่ ภรรยาของนักการเมอื งสงั กดั พรรควกิ ออกและแตง่ ตั้ง ภรรยาของนกั การเมืองสงั กัดพรรคทอรีขึ้นมาแทน ซง่ึ ในสมยั นั้นถอื เป็นธรรมเนยี มทนี่ ายก รฐั มนตรีตอ้ งแตง่ ตง้ั สมาชิกของส�ำ นกั พระราชวงั โดยมพี ้ืนฐานมาจากสมาชิกของพรรค ตนเอง แต่ราชินที รงไมเ่ หน็ ดว้ ยและปฏเิ สธไป เพราะพระนางทรงเหน็ วา่ นางก�ำ นัลเหลา่ น้ันเปน็ เหมอื นพระสหายสนิทมากกว่าเปน็ เหล่าข้าราชบรพิ ารที่ท�ำ ตามระเบียบพธิ ีการ พีล จึงลาออกจากตำ�แหนง่ เพราะเกรงวา่ รัฐบาลจะไร้เสถยี รภาพ กอ่ ให้เกดิ ช่วงว่างของรัฐบาล (Bedchamber Crisis) และนัน่ ท�ำ ให้ลอรด์ เมลเบิร์นกลับมารบั ต�ำ แหนง่ เปน็ ครัง้ ท่ี 2 และต้ัง รฐั บาลชุดเดมิ อกี ครงั้ ในปี ค.ศ. 1835
-18- A portrait painting by Henry William Pickersgill
-19- บทท่ี 5 : ความรกั ของราชนิ ี
-20- Windsor Castle in Modern Times: Queen Victoria and Prince Albert
-21- ในสมัยก่อนน้ันเรียกไดว้ า่ การแต่งงานของเหล่าเช้ือพระวงศ์ตอ้ งมเี รอื่ งเกี่ยวกบั การเมอื งการปกครอง และ หน้าทีเ่ ขา้ มาเก่ียวขอ้ ง แทบเรยี กไดว้ า่ การแตง่ งาน นนั้ เกดิ ปราศจากความรกั อนั แท้จริง แตไ่ มใ่ ช่ส�ำ หรบั สมเด็จพระราชนิ วี ิคตอเรยี และพระสวามีของพระนางทท่ี รงตกหลุมรักซึง่ กนั และกนั เจา้ ชายอลั เบริ ต์ แห่งซคั เซนิ - Prince Albert of โคบรู ์กและโกทา (Prince Albert of Saxe-Coburg-Gotha by Saxe-Coburg and Gotha) เปน็ โอรส องค์ที่ 2 ของดยคุ แหง่ ซัคเซิน-โคบรู ์ก Winterhalter, 1859 และโกทา (Duke of Saxe-Coburg and Gotha)เจา้ ผู้ครองแคว้นเลก็ ๆในประเทศ เยอรมนี โดยท่านดยุคนน้ั เปน็ พระเชษฐา หรอื พ่ีชายแท้ๆของดชั เชสแห่งเคนตผ์ เู้ ป็น พระราชมารดาของพระราชนิ วี ิคตอเรยี จึงเรียกไดว้ ่า เจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นพระ ญาติล�ำ ดบั ชัน้ ท่ี 1 ของพระราชนิ ี พระราชนิ วี คิ ตอเรียพบกับเจา้ ชาย อัลเบริ ์ต ครง้ั แรกเมื่อตอนท่พี ระนางมี พระชนมายุ 16 พรรษา โดยเจ้าชายตาม เสดจ็ งดยคุ แห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา ผเู้ ปน็ พระบดิ ามาท่ี พระราชวังเคนซงิ ตนั ประเทศองั กฤษ เพื่อการพบปะกบั พระ ราชนิ วี คิ ตอเรีย ซงึ่ ในขณะนนั้ เทรงมพี ระ อิสริยยศเปน็ เจา้ หญงิ วคิ ตอเรยี แห่งเคนต์
-22- เจา้ ชายอัลเบิรต์ ทรงตกหลุมรกั เจ้าหญิงวิคตอเรยี ตัง้ แต่แรกเหน็ โดยพระองค์ได้ เขียนบนั ทกี ไวว้ ่า “พระญาตสิ าวของเราน้นั งดงามมาก...” โดยภายหลงั ท่พี ระราชินีวิคตอเรียข้นึ ครองราชย์สมบตั ิ พระนาง ไดร้ บั ลายพระหตั ถ์จากเจ้าชายอัลเบิรต์ อยู่บ่อยครั้ง แต่พระราชินีไมไ่ ด้สน พระทยั นักเพราะทรงยงุ่ อยู่กบั การปกครองบา้ นเมอื ง จนผ่านไป 3 ปี ทัง้ 2 พระองค์ได้กลบั มาพบกนั อกี ครัง้ เจ้าชายอัลเบิรต์ ทีม่ พี ระชนมายุ 20 ปี เติบโตเปน็ เจ้าชายทรี่ ปู งามและสงู สงา่ พระราชินที รงเขียนบนั ทึกไว้วา่ “...อัลเบริ ์ตทีร่ ัก...เขาช่างมเี หตผุ ล เมตตา ใจดี และอธั ยาศยั ดมี ากเชน่ กนั นอกจากนนั้ แลว้ ยงั มีรปู ร่างและหน้าตาท่ีน่าพงึ พอใจและ น่ายินดเี ปน็ ทีส่ ุดเท่าที่เธอจะเห็นได้เลยล่ะ” The dialy written in Princess Victoria’s hand
-23- The Marriage of Queen Victoria, 10 February 1840 ในเวลาตอ่ มา พระราชินวี ิกตอเรยี ทรง “ขอแต่งงาน” กบั เจา้ ชายทที่ รงรัก ซึง่ ตามธรรมเนียมประเพณี เป็นเรอื่ งธรรมดาทีผ่ ู้เปน็ ราชินจี ะขอชายผ้มู บี รรดาศักดิต์ ำ่� กว่าเพอ่ื แตง่ งาน พระราชนิ แี ละเจา้ ชายเข้าพธิ อี ภิเษกสมรสกบั เจา้ ชายอัลเบริ ์ต วนั ท่ี 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840 ณ โบสถห์ ลวงในพระราชวงั เซนตเ์ จมส์ (St. James’s Palace) จากบนั ทกึ ท่ีพระราชนิ ีวกิ ตอเรยี ทรงเคยลายพระราชหตั ถเลขาไว้แสดงถึง ความรกั ที่ทั้งสองพระองคม์ ตี อ่ กันอยา่ งลึกซงึ้ แม้ว่าพระราชินจี ะมพี ระอปุ นสิ ยั พระทยั รอ้ นแตก่ ไ็ ม่เคยมีเร่ืองทะเลาะกนั ในชีวติ คขู่ องทง้ั 2พระองค์ ความรกั ทว่ี ่าคงเหน็ ไดจ้ าก ที่ท้งั สองพระองค์ทรงมพี ระราชโอรสพระราชธิดาดว้ ยกนั ถงึ 9 พระองค์
-24- The Royal Family in 1846 เหล่าพระราชโอรสและพระราชธดิ าของพระราชินีวิคตอเรียกับเจ้าชายอลั เบริ ์ ตนน้ั ในภายภาคหน้าได้กลายมาเปน็ กษัตรยิ ์ และราชนิ ีผู้สบื เช้ือพระวงศท์ ัว่ ยโุ รป น่ัน ท�ำ ให้พระราชนิ วี ิคตอเรียและเจา้ ชายอลั เบิร์ต ทรงไดร้ บั พระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จ ย่าแหง่ ยโุ รป” (Grandmother of Europe) และ “สมเด็จปู่แห่งยโุ รป” (Grandfather of Europe) โดยพระราชโอรสที่ไดค้ รองราชบัลลังกต์ อ่ จากพระราชินี คือ สมเด็จพระเจา้ เอ็ด เวริ ด์ ท่ี 7 (Edward VII) ซงึ่ เป็นพระราชโอรสองค์โต
-25- บทท่ี 6 : การลอบปลงพระชนม์
-26- Assassination attempt on Queen Victoria Picture by lookandlearn. ตลอดรชั สมยั ทีส่ มเด็จพระราชนิ ีวิกตอเรียขนึ้ ครองราชยน์ ้นั พระนางทรง ต้องพบเจอกับเหตกุ ารณ์ลอบท�ำ ลายจนถงึ การพยายามลอบปลงพระชนม์เปน็ เวลา หลายคร้ังหลายคราว การวางแผนประทษุ ร้ายเหล่านี้ทำ�ใหเ้ กิดกระแสความรักชาติ และความจงรักภักดีขึน้ ภายในประเทศข้นึ มา
-27- Edward Oxford tries to shoot Queen Victoria in 1840 by JR Jobbins ในวันท่ี 10 มิถนุ ายน ปี ค.ศ. 1840 ขณะท่ีสมเด็จพระราชินวี ิกตอเรีย ทรงพระครรภ์แรก ไดม้ ีชายอายุ 18 ปที ่ชี อื่ วา่ เอ็ดเวริ ์ด ออ็ กซฟ์ อร์ด (Edward Oxford) พยายามลอบปลงพระชนมพ์ ระราชนิ ีในขณะที่พระนางทรงประทบั รถมา้ อยกู่ บั เจา้ ชายอัลเบริ ต์ ในกรุงลอนดอน โดยอ็อกซฟ์ อร์ดได้ยงิ ปืนออกไป สองครง้ั แตก่ ระสนุ พลาดเป้าไปทั้งสอง เมอ่ื จับกุมตัวได้ อ็อกซฟ์ อร์ดไดอ้ า้ งว่า เขาพยายามเรยี กรอ้ งความสนใจ ค�ำ แกต้ ่างน้ที �ำ ใหเ้ ขาถกู ตัดสินใหพ้ น้ ความผดิ เนอื่ งจากความวกิ ลจริต ซงึ่ เป็นทแี่ ครงใจต่อประชาชนมากมาย หลายคนกลา่ ว วา่ การวางแผนประทษุ ร้ายคร้งั นมี้ พี วกปฏิรูปการเมอื งอยู่เบ้อื งหลัง บางกลุ่มให้ ขอ้ มลู ว่าเปน็ แผนการของกลุ่มสนับสนนุ ของกษตั รยิ ์ เออรเ์ นส ออกสั ตสั แห่งฮันโน เฟอร์ ซ่งึ ทรงเป็นรชั ทายาทอยูใ่ นขณะนน้ั
-28- การลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชนิ วี กิ ตอเรียได้เกิดข้ึนอีก 2 ครงั้ ในปีค.ศ. 1842 ในวันท่ี 29 พฤษภาคม ประมาณ 6 โมงเยน็ ขณะทพ่ี ระราชนิ วี คิ ตอเรีย และเจา้ ชายอัลเบิรต์ ทรงประทับในรถมา้ พระทีน่ ั่ง ผ่านพระราชอทุ ยานเซนต์เจมส์(St. James’s Park) จอหน์ ฟรานซิส (John Francis) ไดพ้ ยายามยิงปืนเข้าไปท่ีรถม้าของพระราชินี แต่ ถกู รวบตัวไดท้ นั ควนั โดยนายต�ำ รวจช้นั สูงคนหนึง่ แม้ว่าจะยังไมท่ นั ไดท้ �ำ ร้ายสมเดจ็ พระ ราชินี หรือเจ้าชาย แต่ฟรานซิสไถูกตดั สินมโี ทษฐานเปน็ กบฏต่อชาติ แตโ่ ทษตายของเขาได้ ถกู ลดหยอ่ นเหลือแคก่ ารเนรเทศออกนอกประเทศตลอดชวี ติ สนั นษิ ฐานว่าฟรานซสิ ได้แรง บันดาลใจมาจากอ็อกซฟ์ อรด์ ชายผพู้ ยายามลอบปลงพระชนตพ์ ระราชินีคนแรก โดยเห็น วา่ อ็อกซ์ฟอรด์ ไมไ่ ดร้ บั โทษแต่อยา่ งใด หลงั จากฟรานซสิ ได้รับการหย่อนโทษเพยี งไม่ก่วี ัน ในวนั อาทติ ย์ที่ 3 กรกฏาคม ขณะท่ีสมเด็จพระราชนิ วี กิ ตอเรยี และเจา้ ชายอัลเบิรต์ กำ�ลงั เดนิ ทางผ่านห้างสรรพสินคา้ ไปยังโบสถห์ ลวง มีเด็กวัยรนุ่ ชายลกั ษณะตวั ค่อมคนหนึง่ คือ จอห์น วิลเลยี ม บีน (John William Bean) ไดพ้ ยายามที่จะยิง สมเด็จพระราชนิ ี ภายหลงั โดนจับ บนี ได้ สารภาพว่าเขาไมไ่ ด้ตัง้ ใจท่จี ะทำ�ร้ายพระ ราชินี แตเ่ ขากระท�ำ การเพยี งเพราะนกึ สนุก เขาบอกว่าเขาไม่ได้ใสอ่ ะไรลงในปืน พก แตม่ ีเพียงผงและกระดาษ แต่ บีนจึง ได้รับโทษจำ�คกุ เป็นเวลาสบิ แปดเดอื น illustrations of John William Bean Picture by shootingvictoria.com
-29- ในวันพฤหสั บดที ่ี 19 พฤษภาคม ปีค.ศ. 1849 มีผชู้ ายคนหน่งึ ใชโ้ อกาส ตอนทพ่ี ระราชินีประทบั อยเู่ พยี งลำ�พงั บนรถม้าพระท่นี ่งั โดยเขาพยายามท�ำ ให้ พระราชินที รงตกพระทัยโดยการยงิ ปืนบรรจุดินปืนขณะที่รถม้าพระท่นี ั่งดำ�เนิน ไปตามถนน Constitution Hill ในกรงุ ลอนดอน หลงั จากถกู จบั ตวั จึงได้รู้ว่าเขา ชอื่ วิลเลยี ม แฮมิลตัน (William Hamilton) โดยแฮมลิ ตันเป็นชา่ งก่ออิฐกอ่ ปูน และเพ่งิ ตกงานมาจึงเกิดอารมณ์หงุดหงดิ ทำ�ให้ยงิ ปนื เข้าที่รถม้าพระท่นี ั่ง แฮมลิ ตนั มโี ทษตามพระราชบญั ญัตปิ ี ค.ศ. 1842 โดยยอมรบั วา่ ไดก้ ระทำ�ผดิ และรบั โทษ สงู สุดดว้ ยการถูกเนรเทศออกนอกประเทศเปน็ เวลาเจ็ดปี ในปี ค.ศ. 1850 สมเด็จพระราชินวี คิ ตอเรียทรงไดร้ บั การบาดเจบ็ เม่อื พระนางทรงถูกจ่โู จมจากโรเบิรต์ เพท (Robert Patt) ท่ีคาดว่าเปน็ อดีตทหารใน กองทัพทีว่ ิกลจริต ในขณะทีส่ มเดจ็ พระราชนิ ีนาถทรงประทบั มาในรถม้าพระทน่ี งั่ เขาตีพระองคด์ ้วยปืน ท�ำ ใหพ้ ระมาลาหลดุ กระเดน็ ออกมาและท�ำ ให้พระองค์มี อาการฟกช้ำ� ตอ่ มาเพทได้ถกู สอบสวนพิจารณาคดี เขาไดร้ บั การพิสูจนว์ ่าไม่มี ความวกิ ลจรติ เลยและไดร้ บั โทษเชน่ เดียวกบั แฮมลิ ตนั
-30- จากเหตกุ ารณ์การลอบทำ�รา้ ยและการพยายามลอบปลง พระชนม์สมเดจ็ พระราชินวี คิ ตอเรยี เปน็ เหตผุ ลสำ�คัญท่ีท�ำ ใหร้ ฐั สภา ออกพระราชบญั ญตั กิ ารทรยศตอ่ ชาติปีค.ศ. 1842 (Treason Act of 1842) ซง่ึ ระบุวา่ การเลง็ ปนื พกยังพระราชินี ลอบท�ำ รา้ ยพระองค์ ขวางปาส่ิงของยังพระองค์ ผลิตปืนพกหรืออาวุธอนั ตรายใด ๆ ตอ่ การ ปรากฏพระองค์ดว้ ยเจตนาให้พระองคต์ กพระทัย สามารถลงโทษได้ ด้วยการจำ�คกุ เปน็ เวลาเจด็ ปแี ละการเฆ่ยี นตี
-31- บทท่ี 7 : ยุคร่งุ เรอื งของอังกฤษ
-32- The Map of British Empire, 1897 แผนท่ีแสดง ประเทศอาณานิคมของจกั รวรรดิอังกฤษ
ยุครุ่งเรอื งของอังกฤษ -33- ในยคุ สมยั ของสมเดจ็ พระราชินวี ิคทอเรยี เมอื่ เทียบชว่ งเวลากบั ประเทศไทยจะตรงกบั สมัย พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หวั หรอื รัชกาล ที่ 3 ถงึ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั หรอื รัชกาลท่ี 5 เปน็ ชว่ ง เวลาท่อี งั กฤษดำ�เนนิ นโยบายแผ่ขยายอ�ำ นาจสูก่ ารเปน็ เจ้าอาณานคิ ม โดยความ จริงแล้วอาณาจักรองั กฤษมกี ารแผ่ขยายอาณาจักรมานานก่อนการขึ้นครอง ราชย์ของพระนาง ตงั้ แต่รชั สมยั สมเด็จพระราชินีนาถเอลซิ าเบธที่ 1 (Elizabeth I of England) เมื่อปี ค.ศ. 1558 ถงึ ปี ค.ศ.1603 ใน ค.ศ.1877 ในช่วงท่อี ังกฤษปกครองอนิ เดยี นอกจากจะทรงเป็นสมเด็จ พระราชนิ แี หง่ สหราชอาณาจกั รและเครอื จักรภพแล้ว พระราชินวี ิคตอเรยี ยงั ได้รบั การ สถาปนาเปน็ “จกั รพรรดินีแหง่ อินเดยี ”อีกด้วย
-34- การแผ่ขยายอำ�นาจขององั กฤษมักจะไปเป็นในรปู ของการตง้ั บริษัทสัญชาติ องั กฤษเพอ่ื ท�ำ การคา้ แตใ่ นสมยั ของพระนางมปี จั จัยทีท่ �ำ ใหก้ ารขยายอาณานิคมเปน็ ไปไดอ้ ยา่ งมาก เน่อื งจาก ผลการวางรากฐานบริษัทสัญชาตอิ งั กฤษในทีต่ า่ งๆ สร้าง รายไดใ้ หก้ บั ประเทศเป็นอยา่ งมาก การปฏิวตั ิอสุ าหกรรม(Industrial Revolution) ท�ำ ให้องั กฤษตอ้ งแสวงหาวตั ถดุ บิ และตลาดใหม่ๆ และการจัดการอาณาจกั รใหม้ ี เอกภาพทางการเมือง พระนางทรงจัดการความสัมพันธ์กับรฐั บาลและรัฐมนตรไี ด้เป็น อยา่ งดี ประเทศอาณานิคมขององั กฤษประกอบด้วยประเทศใน เครือจักรภพ คราวนโ์ คโลนี รฐั ในอารกั ขา รฐั ในอาณตั ิ และดินแดนอ่ืนซึง่ สหราชอาณาจักรปกครองหรือบรหิ าร ดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลอยา่ ง สหรฐั ฯ ไนจีเรยี อินเดีย ออสเตรเลยี และบริษทั สัญชาติองั กฤษทก่ี ่อตงั้ ระหวา่ งปลายคริสตศ์ ตวรรษที่ 16 ต้นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18 ซ่งึ ตรงกับยคุ สมัยของพระราชนิ ีวิคตอเรยี เปน็ ชว่ งท่ีเจรญิ ถงึ ขีดสดุ จักรวรรดบิ รติ ชิ เปน็ จกั รวรรดิที่ใหญ่ท่สี ดุ ใน ประวตั ศิ าสตร์ และเป็นมหาอำ�นาจโลกช้นั แนวหน้านานกว่าหนึ่งศตวรรษ
-35- บทท่ี 8 :ผ้นู ำ�แฟชั่นแห่งยคุ วิคตอเรียน
Portrait pQueen Victoria by Franz Xaver Winterhalter, 1842
-37- เรียกได้ว่าในชว่ งเวลาทีส่ มเดจ็ พระราชินวี ิคตอเรยี ครองราชย์ เป็นยุคท่มี ีความโดดเดน่ ในหลายๆด้านทงั้ ด้านศลิ ปะ สถาปัตยกรรม ธรรมเนียมประเพณี รวมถงึ รปู แบบการแต่งตัวท่เี ฉพาะตัวมากจนในเวลา ต่อมา เส้อื ผ้าเหลา่ น้ไี ด้ถูกเรียกว่า ชดุ สไตลว์ คิ ตอเรยี (Victorian Style) Cage Crinoline: During the 1850’s อนั ท่จี รงิ แฟชน่ั ในยคุ วิคตอเรยี นน้ั อยู่ในชว่ งปี ค.ศ. 1837 ถงึ ปี ปี ค.ศ. 1901 มีความคลายคลงึ กบั ยคุ อารน์ ูโว (Art Nouveau) แตกตา่ งกนั เพียงแค่ ชดุ ในยคุ วิคตอเรียนนน้ั ในกระโปงจะมีโครงเหลก็ (Cage crinoline) อยภู่ ายในซงึ่ ลกั ษณะของโครงดา้ นในน้นั มีรูปแบบแตกตา่ งกนั ออกไป สาเหตุท่ี ต้องมีโครงเหลก็ ภายใต้กระโปรงน่ันกเ็ พราะวา่ ในสมยั กอ่ น กระโปรงท่ีหญิง สาวใส่มีความหนาถงึ 6 ชั้น เพ่อื ท�ำใหก้ ระโปรงบาน เป็นเหตใุ ห้เกิดปัญหาน�ำ้ หนักกระโปรงที่มากเกนิ ไป ภายหลงั จึงมคี นน�ำโครงเหล็ก
-38- จุดเด่นอยา่ งหนึ่งของการแต่งกายแบบ วิคตอเรียคือ การใส่หมวกแบบท่ีมีผา้ ผกู ใต้คาง (pock bonnets) ซึ่งเป็นหมวกปกปดิ ใบหน้า จะมองเหน็ หน้าเต็มกต็ อ่ เม่ือหันหนา้ เข้าหากนั ตรงๆ เท่านน้ั เปน็ การแสดงถงึ ความถ่อมตวั Victorian 1850s Bonnet. 1850-55 Round Bonnet. Charles Dickens สมเด็จพระราชนิ ีวคิ ตอเรียทรง เปน็ ต้นแบบของผหู้ ญงิ แบบ ถ่อมตน อทุ ศิ ตนเพอ่ื ครอบครวั ยึดมั่นในศลี ธรรม รสนยิ มของ พระองคไ์ ดก้ ลายมาเปน็ แรง บนั ดาลใจให้เหลา่ สาวนอ้ งใหญ่ ในยุคน้ันแตง่ ตวั ตาม Self-Portrait of Queen Victoria by Franz Xaver Winterhalter, 1843
ชดุ แตง่ งานสขี าว -39- The Marriage by Nicolo da Bologna, ในสมัยก่อนทีส่ มเดจ็ พระราชนิ ี 1350s วิคตอเรยี จะขนึ้ ครองราชย์ การแตง่ งานใน ยุโรปเจ้าสาวส่วนใหญจ่ ะไมเ่ ลอื กสวมชุด แต่งงานสขี าว แต่อาจมีเพยี งผ้าคลมุ ผม บางเบาเทา่ นั้นทเ่ี ปน็ สขี าว โดยพวกเธอจะ เลอื กชดุ ท่ีสวยทีส่ ุดโดยไม่มสี ีเฉพาะเจาะจง หญิงสาวแถบยโุ รปตะวันตกมักเลือกสวมชุด ท่ีมสี ีอ่ืนโดยเฉพาะสีแดง และสวมเครือ่ ง ประดับทบั ส่วนหญิงสาวชาวยุโรปและ อเมรกิ นั น้นั นิยมสวมชดุ แตง่ งานเป็นสสี ัน เชน่ สีน้ำ� เงนิ เหลือง ด�ำ นำ�้ ตาล และ เทา จนมีข่าวเกยี่ วกบั การแตง่ งานของพระ ราชนิ ีวคิ ตอเรียแพร่สะพัดออกไปจากฝงั่ ยโุ รป จนถึงอเมริกา เรื่องทพ่ี ระนางไดฉ้ ลองพระองค์ ด้วยชดุ สีขาวลายลกู ไมอ้ ย่างสง่างามในงาน อภเิ ษกสมรสของพระนางกับเจา้ ชายอัลเบริ ์ต เหล่าหญงิ สาวทั่วอาณาจักรผมู้ พี ระนางเปน็ แบบ อย่างจึงพากนั ใส่ชดุ เจา้ สาวสขี าวในวนั แตง่ งาน ของตนเอง เรยี กได้ว่าสมเดจ็ พระราชนิ วี ิคตอเรยี ทรงเป็นผู้ริเรมิ่ ประเพณกี ารสวมชุดสขี าวของ เจา้ สาวในวันแตง่ งาน Lady in beautiful wedding dress in the 1890s
-40- Painting of the wedding of H.M. Queen Victoria and H.R.H. Prince Albert, 1840.
-41- ชดุ ไว้ทุกขส์ ีดำ� สมเดจ็ พระราชนิ ีวิคตอเรีย Portrait of Queen Victoria มอี ทิ ธพิ ลอย่างมากตอ่ แฟชัน่ ในยคุ by Franz Xaver Winterhalter, 1875 น้ันอีกครง่ั เมอ่ื ตอนทีพ่ ระนางต้อง สญู เสยี พระสวามี เจา้ ชายอัลเบิรต์ ในปค.ศ.1861พระนางจึงฉลอง พระองค์ดว้ ยสีด�ำ เพ่อื แสดงความรัก และความอาลตั อ่ พระสวามีนน่ั เอง ทำ�ใหเ้ หล่าขา้ ราชบรพิ ารในพระองค์ ต่างกส็ วมใสช่ ดุ สีด�ำ เพ่ือไวท้ กุ ข์ตามๆ กนั โดยเฉพาะในหม่สู ตรชี นชั้นสงู ซง่ึ จะแต่งกายดว้ ยชุดดำ�อยา่ งเต็มยศ (Full mourning) และมีการสวม การแต่งกายไว้ทุกข์แบบ เตม็ ยศ (Full mourning) victorian mourning gown picture by wikishare.us
-42- การแต่งกายไว้ทกุ ข์แบบครึ่งปสี ุดท้าย (Half mourning) หลังจากนนั้ ธรรมเนยี มน้กี ็แพร่ส่สู ามัญชนท่วั ไปและยึดถอื กัน อยา่ งเคร่งครัดสืบต่อมา ภรรยาทีส่ ญู เสียสามี หรอื หญิงหมา้ ย (Widow) ตา่ งแตง่ ชุดด�ำ เพื่อไวท้ ุกข์ โดยจะมีช่วงระยะเวลาการแต่งกายไวท้ ุกขอ์ ยู่ ราว 2 ปคี ร่ึง โดยในชว่ ง 1-2 ปีแรกต้องใส่ชดุ ดำ�อย่างเต็มยศ แตใ่ นครง่ึ ปีสุดท้าย (Half Mourning) อาจแตง่ กายดว้ ยชดุ สีอื่นได้ มีการใช้สขี าว หรือ สมี ่วง แทนชุดสีดำ�เต็มยศ ดว้ ยเหตุนี้เอง “สมี ่วง” จึงกลายเปน็ สี ทส่ี อ่ื ถึงแม่หมา้ ย จะเห็นไดว้ า่ ชุดไว้ทกุ ข์สีด�ำ ในสมยั น้ันเปน็ สง่ิ ทีส่ ำ�คัญ อย่างยิง่ สีด�ำ กลายเป็นสแี หง่ การสญู เสยี มีการหลกี เล่ยี งการใส่สีดำ�ในงา นอนื่ ๆ เพ่อื สงวนไวส้ ำ�หรับการไวท้ กุ ข์โดยเฉพาะ
-43-
-44-
-45- บทท่ี 9 : ราชินสี วรรคต
Search