Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore THE HISTORY OF CHOPSTICK

THE HISTORY OF CHOPSTICK

Published by Kachornpon, 2021-11-09 03:58:27

Description: THE HISTORY OF CHOPSTICK in China, Korea, Japan
(ประวัติของตะเกียบในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น)

Search

Read the Text Version

CTHHEOHISPTOSRTYIOFCK ตะเกียบถูกนํามาใช้เปนอุปกรณ์ในการกิน ตังแต่ศตวรรษที 4 ก่อนครสิ ตกาล โดยตะเกียบทีค้นพบในอดีตประวัติศาสตรด์ ังเดิมนัน มีการผลิตจากหลายหลายวัสดุและหลายรูปทรง และประยุกต์กันไปตามแต่ละวัฒนธรรมท้องถิน in China, Korea, Japan EDITOR : TRIYA 筷 ⼦的 由 来



คํานาํ เรื่องราวความลับของ “ตะเกียบแตละประเทศ” หัวใจของวัฒนธรรมการกิน ในแถบ เอเชีย และวิธีการกินท่ีเปลี่ยนแปลงสูแรงบันดาลใจในการใชตะเกียบ หลายคนอาจเคย สงสัยวาทําไม “ตะเกียบ” ถึงมีหลากหลายแบบ จริงแลวประวัติศาสตรบอกเราไดวา ตะเกียบท่ีใชสําหรับคนญี่ปุน คนจีน และคนเกาหลีนั้น มีความเฉพาะตามวัฒนธรรมและ ธรรมเนียมของแตละชาติ ในหนังสือเลมนี้จะกลาวถึง ประวัติท่ีมาของตะเกียบ การนํา วัฒนธรรมการกินดวยตะเกียบ มาใชของ จีน ญ่ีปุนและเกาหลีในแตละยุคสมัยที่มีความ แตกตางกัน จวบจนเปนเอกลักษณของชาติน้ัน และการเปล่ียนแปลงในรูปแบบตางๆท่ี เหมาะสมกับวัฒนธรรมอาหารการกินของแตละชาติ แตละยุคสมัย TRIYA



สารบญั หนา 1-3 เร่อื ง 4 5-6 1.ความแตกตางของตะเกียบ 7-9 - จีน 10-16 - ญี่ปนุ 17-22 - เกาหลี 23-30 31-34 2.ตํานานของตะเกียบ 35-36 3.วัฒนธรรมการใชต ะเกยี บของจีน 37-48 49-54 - ยคุ สมัย - ขอหามในการใช 55-56 4.วฒั นธรรมการใชตะเกียบของญี่ปุน 57 - ยุคสมัย 58 - ขอ หา มในการใช 5.วัฒนธรรมการใชตะเกยี บของเกาหลี 59-62 - วธิ ใี ช 63-64 - ขอหามในการใช 65-66 6.วธิ กี ารใชตะเกยี บที่ถกู ตอง 7.สรุปการใชต ะเกยี บจนี 8.บรรณานกุ รม

1

แตกต่างกันอย่างไร... “ตะเกยี บ” มตี น กาํ เนดิ มาจากประเทศจนี ถงึ แมจ ะไมร เู วลาทแ่ี นช ดั วา เกดิ ขนึ้ เมอื่ ไหร แตต ะเกยี บเรม่ิ เปน ทร่ี จู กั อยา งแพรห ลายในยคุ ราชวงศฮ น่ั (ประมาณ200ปก อ นครสิ ตศ กั ราชศตวรรษท3่ี ) และกระจายไปทวั่ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ซง่ึ ประเทศทไี่ ดร บั อทิ ธพิ ลการใชต ะเกยี บมากทสี่ ดุ คงหนไี มพ น เกาหลี และญป่ี นุ แตถ งึ แมท งั้ สองประเทศจะไดร บั อทิ ธพิ ลการใชต ะเกยี บจากจนี แลว แตล ะ ชาตจิ ะมกี ารนําเอาไปใชก บั ประเทศตวั เองอยา งไร หากวฒั นธรรมดา นอาหารกแ็ ตกตา งกนั ... 2

จนี ญปี นุ เกาหลี ลกั ษณะตะเกยี บของจนี ญ่ปี ุน เกาหลี 3

ประเทศจนี ปลายกลมหนา ตะเกยี บแบบจนี มลี ักษณะยาวและมปี ลายกลมหนา เปน เพราะประเทศจีน มวี ัฒนธรรม การกินแบบ “แบง ปน” นาํ อาหารมาไวตรงกลางและกินรวมกนั จงึ ทาํ ใหต ะเกียบของชาวจีน มลี กั ษณะยาวกวา ประเทศอน่ื เพอ่ื ใหผูรว มโตะจะไดสามารถเอือ้ มมือใชตะเกยี บยาวคีบอาหาร ไดสะดวก โดยไมต อ งยน่ื มือหรอื โนมตัวเขาไปใกลโ ตะ มากจนเกินไป และงายตอการคีบอาหาร แบง ปน ผูอืน่ ทสี่ าํ คญั เมื่อกนิ อาหารทมี่ คี วามรอ นสูงหรอื มกี ารจดุ ไฟพรอ มทาน จะไดป ลอดภยั จาก การถกู ไฟลวกมอื **ตะเกียบไมไ้ ผแ่ ละไมเ้ ปนทนี ิยมใชก้ ันมากทสี ดุ ในบา้ นของคนจีน 4

ประเทศญปี ุน ตะเกียบของคนญ่ีปนุ จะมคี วามคลายคลงึ กับของประเทศจนี ทใ่ี ชวัสดุเปนไมเ หมือนกัน แตป ลายตะเกยี บจะมลี กั ษณะเรียวแหลม เปน เพราะคนญี่ปุน นิยมกนิ ปลา การมีตะเกียบปลาย เรยี วแหลมจงึ มีประโยชนตอการเลาะกา งปลา และตะเกียบของคนญี่ปุน มคี วามยาวท่สี ้นั กวา ตะเกยี บจนี เลก็ นอ ย เพราะคนญปี่ นุ มกั นิยมทานอาหารในจานของตวั เองมากกวาทานรว มกนั แบบของใครของมัน แบบที่เรียกกนั วา ดงบุริ (Donburi) ปลายเรยวแหลม 5

เกร็ด ความรู้ ดงบรุ ิ เปน อาหารอีกชนิดหน่งึ ในบรรดาอาหารญป่ี นุ เปนการนําขา วสวยตักใสชาม ขนาดใหญ แลว นํากบั ขา วหรอื เนือ้ สตั วต า ง ๆ มาจดั เรยี งบนหนา ความอรอยระหวางกับขาวท่ี ผสมกนั กบั ขา วสวย หรอื รับประทานแยกกันก็แตกตา งกนั ทําใหอาหารประเภทนไ้ี ดรบั ความ ชนื่ ชอบจากผคู นหลายชวงอายุ คัตซดึ ง คอื อาหารที่นาํ ทงคัตซึ (หมูชบุ เกร็ดขนมปง ทอด) มาจัดวาง บนขา วโดยมีน้ําซอสซีอว๊ิ และไขเ ปน รสชาติหลกั ทง้ั รสชาตสิ ไตลญ ่ีปุน ย่ิงทําใหคนทช่ี ่ืนชอบเนื้อสัตวและ ของทอดตางโปรดปรานและนิยมรบั ประทานอาหารชนิดน้ี ในบรรดา อาหารดงบุรทิ ง้ั หมด 6

ประเทศเกาหลี ตะเกียบของเกาหลจี ะมีความแตกตางจากประเทศจีนและญ่ปี ุนมาก ทงั้ วสั ดแุ ละขนาด เนื่องจากจนี และญี่ปนุ นยิ มทํามาจากไมไผ หรือพลาสติก ตะเกียบเกาหลีน้ันมีลักษณะที่เปน เอกลักษณม ากท่ีสดุ แคม องกส็ ามารถทราบไดทนั ทีวานค่ี ือตะเกียบของเกาหลี เพราะตะเกียบ ของเกาหลนี นั้ ทํามาจากเงินและโลหะ มีนํ้าหนกั และมลี กั ษณะแบน ซงึ่ สาเหตทุ ่ีทาํ มาจากโลหะ เน่อื งจากในสมยั โบราณ ชาวเกาหลผี ูมฐี านะร่าํ รวยจะทาํ ตะเกียบจากเงนิ ขน้ึ มาใชเ อง เนอ่ื งจาก กลวั เรือ่ งการถูกลอบสงั หาร ซงึ่ หากมีการใสยาพิษในอาหาร ตะเกยี บโลหะกจ็ ะทาํ ปฏกิ ริ ิยากบั สาร เคมีทเ่ี ปนพษิ ทาํ ใหร ูตวั กอ นจะรบั ประทานเขา ไป แตป จ จุบนั เกาหลหี นั มาใชสเตนเลสในการผลิต ตะเกยี บแทน เพราะมีนํ้าหนกั เบา ทาํ ความสะอาดงาย ไมม สี ารตกคา ง และทีส่ าํ คัญถูกสขุ ลกั ษณะ กวา การใชโ ลหะอกี ดว ย **ผเู้ ขยี นมองวา่ คนเกาหลีนิยมทานเมนูเผด็ รอ้ นสไตล์บารบ์ คี ิว ยา่ งไฟ หรอื กระทะรอ้ น ดังนันการใชต้ ะเกียบโลหะทที นทานจึงเปนอีกเหตผุ ล ลกั ษณะแบน เปนเงิน,สแตนเลส 7

**ดังนันผเู้ ขยี นเห็นวา่ ถึงแม้ ตะเกียบจะมตี ้นกําเนิดและได้รบั อิทธพิ ลมา จากประเทศจีนเหมอื นกัน แต่ก็มคี วามแตกต่างตามปจจัยของแต่ละชนชาติ ทงั ลักษณะ วสั ดุ รวมถึงการใชง้ านของแต่ละวฒั นธรรมทงั จีน ญปี ุนและเกาหลี 8

ตะเกียบเปนคู ยังแยกได เราสิแปลก แยกกนั ไมไ ด 9

ตาํ นาน ตะเกียบ 10

ตา้ อวี ปฐมกษัตริย์ราชวงศเ์ ซีย 11

ตาอว่ี ผเู รงสรา งเข่ือนแกป ญ หาอุทกภัยอยา งรบี เรง แมเ ดนิ ผานหนาบา นตวั เองถึง 3 ครง้ั แตไ มย อมแวะเขา บาน เนื่องจากตองการแกปญหาอทุ กภัยใหแกช าวบาน ครง้ั หนึ่งตาอว่ีรสู กึ หวิ จนทนไมไ หวจงึ จัดการกอ ไฟตม เน้ือ เขาไม อยากรอใหเนื้อเย็นแลว คอยกนิ เพราะเสียเวลาสรา งเขอ่ื นรับมอื อุทกภยั จึงใชก ่ิงไผค ีบชิ้นเนอ้ื ข้ึนมากิน เวลาผา นไปตา อวี่เริม่ ชํานาญในการใชไมไผคีบอาหาร ภายหลงั การใชก ิง่ ไมคบี อาหาร ไดแพรหลายไปในหมชู าวบา น 12

สนมตา๋ จีของโจ้วออ๋ ง 13

สนมตาจ้ี ซึง่ เปน สนมของโจว ออง แหงราชวงศซ างโจวอองเปนคนอารมณร อนชอบ ตําหนเิ ร่ืองรสชาติอาหารไมถกู ปากบาง อาหารรอ นเกินไปบาง ครงั้ หนึ่งสนมตาํ จีช้ ิมนาํ้ แกงของโจว อองและพบวา รอนเกนิ ไป แตพระองคเ สดจ็ ถึงโตะเสวยแลว นางจึงใชป น ปก ผมคีบอาหารในน้ําแกงขนึ้ มาเปา แลวคอยใหเ สวย โจว อองพอพระทยั อยางมากตอมา ธรรมเนียมการใชต ะเกยี บนี้จึงแพรห ลายไปยังประชาชนทัว่ ไป 14

เจยี งจอื หยา 15

เจียงจ่ือหยา ถูกภรรยาวางยาพิษ ในอาหาร แตม นี กเทพมาชวยเตือนไม ใหก นิ เขาใชก งิ่ ไผวิเศษท่ีนกเทพมอบ ใหเพ่อื คบี อาหาร ทันใดนั้นก็ปรากฏ ควันขึน้ เขาจึงทราบวาภรรยาวางยา พิษในอาหาร ตอมาผคู นทั่วไปไดใช ไมไผค ีบอาหารตามแบบเจียงจื่อหยา กอ นจะกลายมาเปน ตะเกยี บใน ปจจบุ นั 16

17

ประวตั ิ ตะเกยี บ จีน 18

ประวตั ิ เมื่อสมัยกอนชาวจีนมวี ัฒนธรรมการกินโดยใชช อ นกินอาหารเมอ่ื ประมาณ 8,000 ปก อ น และเรม่ิ ใชส อ มเมอื่ ประมาณ 4,000 ปกอนในปจจุบนั อปุ กรณก ารกินอาหารท้งั สองชนิดนี้ไมไดรับความนยิ มในประเทศจีนเม่ือเทียบเทากับ การใชต ะเกยี บซ่ึงเกดิ ขึ้นใน ภายหลัง ตะเกยี บเปน อปุ กรณการกินอาหารของคนจนี ทม่ี ีลกั ษณะเฉพาะและไดรบั ความ นยิ มไปท่ัวโลกตะเกยี บถอื กาํ เนดิ เมื่อใดน้นั ยงั ไมส ามารถระบุเวลาไดอ ยา งแนช ัดแตมี ประวตั ยิ าวนานมากกวา 3,000 ป ชนชาตจิ ีนเปน หน่ึงใน 3 ชนชาตทิ ่ีเปนเจาแหงวัฒนธรรมการกนิ อีก 2 ชนชาตินัน้ ไดแ ก กรกี และโรมัน อาหารนานาชนดิ ทเ่ี กิดขน้ึ ในโลกน้ี ไดร ับอิทธพิ ล การกนิ มาจาก ประเทศจนี เปนสว นใหญ เชน เสนสปาเกต็ ต้ี ที่เรากนิ กนั อยนู ้กี ็มกี ําเนดิ มาจากเสน กว ยเตย๋ี วของจีน เม่ือเรม่ิ มกี ารติดตอซือ้ ขายกนั ของฝรง่ั จงึ ไดช ิมรสของกวยเตยี๋ ว ทาํ ให เกดิ การติดใจในรสชาตจิ งึ ทําใหน ําสตู รการทําไปเผยแพรในประเทศของตน และปรับปรุง ดัดแปลงใหเขา กบั วฒั นธรรมของตนจนเกิดเปน อาหารเสนตา งๆมากมาย และแพรหลาย ไปทัว่ โลกจนเกิดความเขา ใจผิดวา เสนสปา เก็ตต้ี และเสน มกั กะโรนี ทั้งหลายมีตน ตาํ รบั เปนชนชาตยิ ุโรป เจียงจอื หยา 19

ผคู นในสังคมบรรพกาลลว นใชมอื กนิ อาหารแตเม่อื เขาสูยคุ หินใหมประมาณ 10,000-2,000 ปกอ นครสิ ตกาล) ชาวจนี รูจ ักวธิ ปี รุงอาหาร การตม ชา ชาตจิ ีนมีวิถชี วี ิต แบบเกษตรกรรมมาตัง้ แตยคุ โบราณพชื ที่สาํ คัญอยางมากตอการดาํ รงชวี ติ คอื ขา วฟา ง ธญั พชื ประเภทน้ีมีลกั ษณะเดน 2 อยางคือมีเมล็ดเลก็ และเปลือกหยาบจนสีออกยากวิธี กินท่งี ายท่ีสดุ คือบดขา วฟางตม เปนโจกการกนิ โจก เหลว ๆ จงึ ตอ งใชช อน ทที่ ําจาก กระดูกสัตวห รือเปลือกหอยเมอ่ื เวลาผานไปเร่มิ เกดิ ชอนทที่ าํ ดว ยวัสดตุ า งๆและมีการขดุ คนพบซอ มในแหลงโบราณคดอี ารยธรรมหยา งเสา มณฑลเหอหนาน ซึง่ อยใู นชวงกลาง ยุคหนิ ใหมตอมาชาวบา นใสผ ักปาลงไปตม กบั โจก เพอื่ เปล่ยี นรสชาติอีกท้ังชว ยประหยัด ธัญพืชและนัน่ อาจเปน ทมี่ าของการประดษิ ฐต ะเกียบเนอื่ งจากการใชช อนตกั ผักคอนขา ง ยากและลําบากจึงมกี ารใชแทงไมหนบี ผักในโจกหรอื นํา้ แกงกอนจะพฒั นามาเปน ตะเกียบทม่ี ไี วส ําหรบั คบี ที่ตองใชคกู นั กบั ชอน เจยี งจือหยา 20

เกร็ด ความรู้ เคลด็ ลบั หรือความเชอื่ เกย่ี วกบั “ ตะเกยี บ” หรอื “ ไคว” อยบู า ง บางประการ เชน ในพิธีแตงงานเจาสาว จะนยิ มพกนาํ ตะเกยี บตดิ ตวั ไป ดวยเพราะคาํ วา“ ไคว” แปลวาเรว็ ๆ ไว ๆ สว นคาํ วา“ จอื ” แปลวา ลกู ชายดังนั้นการท่ีเจา สาวพกตะเกียบตดิ ตัวกค็ ือเคล็ดความหมายวา “ ขอใหมีลูกชายเร็ว ๆ ไว ๆ ” 21

เกร็ด ความรู้ ความยาวมาตรฐานของตะเกยี บคือ 7 ซนุ 6 เฟน หรือประมาณ 22-24 เซนติเมตร (1 รนุ ยาวประมาณ 3.3 เซนตเิ มตร) แทนอารมณท ง้ั 7 และความปรารถนาทั้ง 6 ของมนษุ ยอารมณท ั้ง 7 ไดแก ความยินดี ความโกรธ ความเศรา การกลัว ความรกั ความเกลยี ด และความเบกิ บาน ความปรารถนาท้ัง 6 ไดแ ก ตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจ 22

ตะเกยี บในแต่ละสมยั สมัยราชวงศ์ซาง ในยุคซางทงั้ 1670-1587 ปก อนครสิ ตศกั ราช ไมตะเกียบมลี กั ษณะเปน แทง ไม กลมขนาดเทากนั สองขางใกลเคยี งกับปจจบุ ัน ชว งปลายสมัยราชวงศซาง 1600-1046 ป กอนครสิ ตศกั ราช ชนชั้นสงู บางกลุม ลา ชา งเอางาชา งมาทําตะเกยี บงาชาง เจียงจอื หยา ตะเกยี บสาํ รดสมัยราชวงศ์ซาง 23

สมยั ราชวงศฮ์ ัน สมัยราชวงศฮ ั่น 202 ปกอ นครสิ ตศ ักราช-ค.ศ. 220 ชาวจีนเรยี กตะเกยี บวา“ จ”ู ตะเกยี บไดร ับความนยิ มและใชกนั โดยท่วั ไปในยคุ น้ชี วงตน ราชวงศฮ น่ั น้ันตะเกยี บทไ่ี ด รบั ความนยิ มคือตะเกียบไมไ ผ ผูคนยงั คงใชช อนรวมกับตะเกียบเนอื่ งจากมกี ารคนพบ ชอนและตะเกยี บถูกฝงรว มกบั ศพในสุสาน นอกจากนีย้ ังมภี าพจติ กรรมฝาผนังที่ชอื่ ภาพงานเลี้ยง” ณ เมอื งตนุ หวง มณฑลกานซู เปนภาพชาย 9 คนกําลังเตรยี มกินเลยี้ ง บนโตะ อาหารมีชอ นและตะเกียบวางอยูอยางเปน ระเบยี บในตําราการชวยเหลือเรง ดว นสมัยราชวงศฮ ั่นมบี นั ทกึ วา“ จูมอี กี ช่อื วา เจยี ใชค ีบอาหาร” เจียงจอื หยา ภาพงานเลยี ง เมืองตนุ หวง 24

ตะเกยี บในแต่ละสมยั สมัยราชวงศ์ซาง ในยุคซางทงั้ 1670-1587 ปก อนครสิ ตศกั ราช ไมตะเกียบมลี กั ษณะเปน แทง ไม กลมขนาดเทากนั สองขางใกลเคยี งกับปจจบุ ัน ชว งปลายสมัยราชวงศซาง 1600-1046 ป กอนครสิ ตศกั ราช ชนชั้นสงู บางกลุม ลา ชา งเอางาชา งมาทําตะเกยี บงาชาง เจียงจอื หยา ตะเกยี บสาํ รดสมัยราชวงศ์ซาง 25

สมัยราชวงศ์สุย เม่อื ถงึ สมัยราชวงศสุย ค.ศ. 581-618 ราชวงศถงั ค.ศ. 618-907 และยคุ หา ราชวงศ ค.ศ. 907- 979 เกิดตะเกยี บที่มลี กั ษณะแตกตางกันขนึ้ ในแวดวงชนชัน้ ปกครอง เชน ตะเกียบเงิน ตะเกียบทองคาํ ตะเกียบหยก ตะเกยี บนอแรดตะเกียบไมห อม ฯลฯ จซู ี ซี ค.ศ. 1130-1200 ขุนนางและนกั ปรัชญาลัทธหิ รสู มยั ราชวงศซ ง ค.ศ. 960- 1279 เสนอแนวคิดการใชม อื ขวาขางเดยี วกนิ ขาว เน่อื งจากเชอื่ วา ผดู ที ี่ใชม อื ขวาขา ง เดียวกินขา ว หากตอ งการใชชอนกต็ อ งวางตะเกยี บกอ นแลว คอ ยหยิบชอน หากตองการ ใชต ะเกยี บก็ตองวางชอนกอนแลวคอ ยหยบิ ตะเกียบ นอกจากนีย้ ังตอ งวางตะเกยี บบนท่ี วางตะเกียบเพอื่ ไมใ หส กปรกซ่งึ วิธีน้ีมีความนยิ มโดยทัว่ ไป เจียงจือหยา 26

27 226 26

สมัยราชวงศ์หมงิ สมยั ราชวงศห มิง ค.ศ. 1368-1644 ผคู นเรมิ่ เรียกตะเกียบวา “ไคว” มีที่มาจาก นักเดนิ เรือสมัยนน้ั จะไมพูดวา “ จู ” หรอื ฟาน พลิก เพราะไมเปนมงคลตอการดาํ รงชพี ซึง่ คําวา“ จู ” (ทแ่ี ปลวาหยุด) พอ งเสยี งกบั คําวา“ จู ” (ท่ีแปลวา ตะเกียบ) ซึง่ เปนของใช ในชวี ิตประจาํ วันดงั นัน้ ผูคนจงึ เปลย่ี นการเรยี กตะเกยี บวา “ จู ” มาเปน“ ไคว ” (ที่แปล วาเร็ว) หรือ “ ไควจ่ือ” ทม่ี ีความหมายตรงขา ม เมื่อแพรหลายกม็ กี ารเติมหมวดนาํ ตัว อักษรเขาไปจนกลายเปน อกั ษร“ ไคว” แตเ หมือนในปจจบุ ันในบางพ้นื ท่ียงั คงเรียกวา “ จู ” และใชควบคมู าจนถงึ ปจ จุบนั เจียงจือหยา 28

สมัยราชวงศช์ งิ ตะเกียบในสมยั ราชวงศชงิ ค.ศ. 1616-1911 คอ นขา งหรหู รามบี ันทกึ เมอื่ ค.ศ. 1902 วา ในวงั หลวงมีตะเกยี บหรูหราหลากรปู แบบ เชน ตะเกียบงาชางฝงทอง คํา ตะเกียบหยกฝง ทองคาํ ตะเกยี บกระดูกอฐู ชุบสํารดิ ตะเกียบเงินชุบทอง เจยี งจือหยา ตะเกยี บเงินสมยั ราชวงศ์ชงิ 29

ตะเกยี บทองสมัยราชวงศ์ชงิ ตะเกยี บหยกสมยั ราชวงศ์ชิง 30

31

ขอ้ หา้ มของการใช้ตะเกียบ 1.ห้ามปกตะเกียบไวใ้ นชามขา้ ว การปก ตะเกียบลงในชามขา ว จะเหมือนการจุดธปู ไวคนตาย เหมอื นเปน การไหวบรรพบรุ ุษหรอื คนทต่ี ายไปแลว ถา เกดิ เราตัก ขาวใหค นอ่ืนแลวเอาตะเกียบปกลงไปในชามขาว จะเปนการสาป แชง คนทเี่ ราตักขาวให 2.ห้าม อม ดดู หรอ เลยี ตะเกียบ การดดู อม เลีย ตะเกยี บ คนจีนถอื วา เปนกิรยิ าท่ีไมส ุภาพ โดยเฉพาะการดดู จะมเี สยี งท่ีดัง หรือการเลียจะทําใหคนทที่ าน อาหารมองวาไมสะอาด ยงิ่ เสียมารยามมาขนึ้ ไปอกี โดยปกตคิ น จีนจะไมมชี อ นกลางในการตกั อาหาร 32

3.ห้ามใช้ตะเกยี บคยุ้ เขยี หาอาหาร คนจีนมีความเช่ือวาการใชตะเกียบคยุ เข่ียหาอาหารน้นั เปรียบเหมอื นโจรสลดั ทข่ี ดุ สสุ านเพื่อหาสมบัติ เปน การกระทํา ที่นา รงั เกยี จ 4.หา้ มใชต้ ะเกียบทําทา่ วนไปวนมาบนโต๊ะอาหาร เปน กริ ยิ าทไ่ี มสภุ าพ เหมอื นลังเลในการเลอื ก ควรคิดกอน วา จะคีบอะไร แลว ถงึ คีบอาหาร 5.หา้ มวางตะเกียบสะเปะสะปะ 三⻓两短คนจีนถือวา เปน เรื่องอัปมงคลอยา งมาก เพราะมีคํากลาว วา “ ” แปลวา “สามยาวสองสนั้ ” มคี วามหมาย วา ความตาย หรอื ความวบิ ตั ิฉิบหาย ดังนน้ั ไมควรจะวาง ตะเกยี บสะเปะสะปะ 33

6.ห้ามใช้ตะเกยี บข้างเดยี วจมิ ลงบนอาหาร คนจีนเช่ือวา การทาํ แบบนเี้ ปน การเหยยี ดหยามนํ้าใจกัน เปรยี บเหมอื นการใหนิว้ กลางของวัฒนธรรมตะวันตก 7.ห้ามใชต้ ะเกียบเคาะถ้วยชาม การใชต ะเกียบเคาะถว ยชามเหมือนการเลนดนตรี จะมี ความหมายวา เหมือนเปนขอทานท่ีเคาะถวยชามเพื่อเรียกรอง ความสนใจ และความสงสาร 8.ห้ามถอื ตะเกียบกลับข้าง ถือปลายตะเกียบขนึ้ ใชชว งบนตะเกยี บคีบอาหาร กิรยิ าน้ี นา ดูแคลนทีส่ ดุ เพราะถอื วาไมไวห นา ตนเอง เหมอื นหิวจนไม สนใจอะไรทงั้ สิน้ 34

ประวตั ิ ตะเกียบ 35

ญีปุน 36

ประวตั ิ ยุคสมยั ของตะเกียบ ยคุ ยะโยอิ (ราว 300ป กอนครสิ ตศกั ราช ค.ศ. 300) ในชวงปลายยุคยะโยอิ ตะเกียบทาํ จากไมไผ ท่ีเหลาใหเรยี วบางและนาํ มาดดั ใหโ คงงอเหมือนแหนบ มีชื่อ เรียกวา “โอริบาช”ิ ผทู จ่ี ะไดใ ชต ะเกยี บในยคุ แรกกค็ ือองคจ ักรพรรดหิ รือพระสงฆ เทานนั้ ทไี่ ดรบั อนุญาตใหใ ช ในพิธีกรรมทางศาสนา สว นชาวบา นในยคุ ยาโยอิ ใช เพยี งมือในการทานอาหาร 37

38

ประวตั ิ ยุคสมัยของตะเกียบ ยุคอาสุกะ (ค.ศ. 538 - ค.ศ. 710 (หรอื 592-645 ในชวงตน ศตวรรษที่ 7) ในชวงยคุ นีป้ ระเทศญีป่ ุนไดมีการนําตะเกยี บมาใชใ นการทานอาหารโดยทวั่ ไปเปน คร้ังแรก โดยเจา ชายโชโทคุ ไทชิ ไดถกู สง ไปเปน ทตู ทป่ี ระเทศจีน และไดนาํ วฒั นธรรมวิธีการเตรียมอาหารตางๆของจนี รวมไปถงึ การใชต ะเกยี บของขาราชการ จีนกลบั เขามาทีป่ ระเทศญปี่ ุนและไดม ีพระราชดํารัสใหเ รม่ิ ท่ีจะใชตะเกยี บสําหรับ ทานอาหารในชวี ิตประจําวัน ในหมขู ุนนาง และใหป ระชาชนทวั่ ไป เริ่มเรยี นรูก ารใช ตะเกยี บ เจา้ ชายโชโทคุ ไทชิ 39

40

ประวตั ิ ยคุ สมยั ของตะเกียบ ชวงตน ยุคนารา (ค.ศ.710 - ค.ศ.794) ในยุคนเี้ ริ่มมีการใชตะเกยี บเปนของ ตวั เองและเร่มิ ใชตะเกียบท่มี ีการแกะสลกั จากไมไ ผ และไมชนดิ อืน่ ๆ ยคุ เฮอนั (ค.ศ. 794 - 1185) ชว งศตวรรษท่ี 8 วฒั นธรรมของการใช ตะเกยี บ ไดแ พรกระจายท่ัวประเทศญ่ีปุน ตะเกยี บในแบบ“โอรบิ าช”ิ ไดเปล่ยี นมาเปน “คาระฮาชิ” หรอื ตะเกียบแบบ จนี รปู แบบเปนไมเ หลาใหเ รียวสองช้ิน ท่ใี ชอยใู นปจจุบนั (เรยี กวา \"Tang chopsticks\") 41

42

ประวตั ิ ยคุ สมัยของตะเกียบ ยคุ คามาครู ะ (ค.ศ. 1185–1333) มกี ารทาํ ตะเกยี บจากไมเ คลือบดวยแลก เกอรเพอื่ คุณภาพท่ีดียง่ิ ข้นึ และสามารถใชซ้าํ ๆไดหลายๆคร้ัง ยุคมโุ รมาจิ (ค.ศ.1337 - 1573) ในยคุ นอี้ าหารของญ่ีปุนมกี ารเปลี่ยนแปลงเพอื่ ให งายตอ การใชกับตะเกยี บ ในยคุ มุโรมาจิ ยังมีประวัติศาสตรส ําคญั ของตะเกียบ คอื Rikyu-bashi ตะเกยี บที่ถูก คดิ คน โดย Sen-no-Rikyu ซึ่งเปน ผทู ีถ่ อื วาท่มี ีอทิ ธพิ ลอยางลึกซ้ึงมากทส่ี ุดในพิธีชงชา โดยSen-no-Rikyu ไดใชไมซ ดี ารแ ดง มาทาํ ตะเกียบสําหรับแขกของเขา ในพิธีชงชา ตะเกียบRikyu-bashi แตเ ดมิ นัน้ มขี นาดที่ยาว และหนา เมอ่ื เวลาผานไป ตะเกยี บRikyu-bashi ก็ไดม ีขนาดทเ่ี ลก็ ลง 43

44

ประวัติ ยคุ สมัยของตะเกยี บ ยคุ เซน็ โกคุ (กลางศตวรรษท่ี 15 - เรม่ิ ตนของศตวรรษที่ 17 ) ในชวงของสงคราม ชนชน้ั ปกครอง จะใชต ะเกยี บทท่ี าํ ดว ยเงิน (ซ่งึ ในขณะน้นั เชื่อกันวา ตะเกียบที่ทาํ จากเงิน จะเปล่ยี นเปน สดี าํ ถาในอาหารนัน้ มยี าพษิ ) ยคุ เอโดะ (ค.ศ.1603–1868) ในยคุ เอโดะ เกิดความหลากหลายของตะเกียบเคลือบ ทําใหเกดิ ตะเกียบเคลอื บแลคเกอร ,ตะเกยี บเคลอื บสี และ ตะเกียบในรปู แบบตางๆ จากนัน้ ในยุคเอโดะ รปู แบบของตะเกยี บ ก็ไดม กี ารพฒั นาจนเกือบเหมือนตะเกียบใน ในปจ จบุ นั 45


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook