Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กลุ่ม 3 จรรยาบรรณเเละความสำคัญต่อวิชาชีพผู้บริหาร

กลุ่ม 3 จรรยาบรรณเเละความสำคัญต่อวิชาชีพผู้บริหาร

Published by thanapol11351, 2022-02-05 10:26:10

Description: จรรยาบรรณเเละความสำคัญต่อวิชาชีพผู้บริหาร

Keywords: จรรยาบรรณเเละความสำคัญต่อวิชาชีพผู้บริหาร

Search

Read the Text Version

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ก คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณทาง วชิ าชีพ เพอื่ ศกึ ษาหาความรใู้ นเรือ่ งจรรยาบรรณและความสำคญั ตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา คณะผู้จัดทำได้ ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่าง ๆ อาทิเช่น หนังสือ ตำรา วารสาร และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ โดย เนื้อหาในรายงานเล่มนี้ ประกอบด้วย ความหมายของจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา องค์ประกอบของจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหาร ประเภทของจรรยาบรรณวิชาชีพ ความสำคัญของ จรรยาบรรณวิชาชีพต่อผู้บริหารสถานศึกษา ประโยชน์ของจรรยาบรรณวิชาชีพต่อผู้บริหารสถานศึกษา แนวคิด ทฤษฎี หลักการ ตามหลักจริยธรรมต่อผู้บริหารสถานศึกษา หลักธรรมเกี่ยวกับจรรยาบรรณ สำหรับผูบ้ ริหาร สรปุ จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ รหิ ารสถานศึกษา คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงายเล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษา เรอ่ื งจรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา เปน็ อย่างดี คณะผูจ้ ัดทำ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู ริหารสถานศึกษา ข สารบัญ หน้า ก เรือ่ ง ข คำนำ ๑ สารบญั ๖ ๑. ความหมายของจรรยาบรรณวิชาชพี ผู้บริหารสถานศึกษา ๑๐ ๒. องค์ประกอบของจรรยาบรรณวิชาชพี ผู้บริหาร ๑๔ ๓. ประเภทของจรรยาบรรณวิชาชพี ๑๖ ๔. ความสำคัญของจรรยาบรรณวชิ าชพี ตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๑๘ ๕. ประโยชนข์ องจรรยาบรรณวิชาชีพตอ่ ผู้บริหารสถานศกึ ษา ๓๒ ๖. แนวคิด ทฤษฎี หลักการ ตามหลกั จรยิ ธรรมต่อผูบ้ ริหารสถานศึกษา ๖๔ ๗. หลักธรรมเกี่ยวกบั จรรยาบรรณสำหรบั ผูบ้ ริหาร ๖๕ ๘. สรุปจรรยาบรรณและความสำคญั ต่อผู้บริหารสถานศกึ ษา บรรณานกุ รม มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๑ จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา จากสถานการณ์ปัจจุบันตามสื่อและข่าวหน้าหนังพิมพ์ ปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับวงการ การศกึ ษาทเี่ รามักได้เห็นและไดย้ ินกนั อยู่บอ่ ยๆ น่ันกค็ ือปญั หาความบกพร่องต่อการวางตัวเป็นแบบอย่าง ท่ีดขี องผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ด้วยปัจจยั หรือสาเหตุหลายอยา่ งท่ีเกิดขึน้ อาทิ การวางตนไม่มคี วามสัมพันธ์ กับชุมชนในเขตบริการโรงเรียน การดื่มสุรา การเล่นการพนันต่างๆ ความสัมพันธ์ฉันชู้สาว การปลอม แปลงเอกสารตา่ งๆ ของทางราชการ การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างขาดมนษุ ยธรรม จากสถิติที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการทุจริตและความประพฤติมิชอบในหน้าท่ี รวมทั้งยังมีข้อมูล ปรากฏในรายงาน สำนักงานคณะกรรมการขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา พบวา่ ขา้ ราชการครู โดยเฉพาะผ้บู ริหารสถาศกึ ษาถูกดำเนินการทางวนิ ัย ค่อนข้างมาก เนือ่ งจากมพี ฤตกิ รรมไม่เหมาะสมและ จากการศึกษาเอกสารพบว่า กรณีที่ผู้บริหารสถานศึกษาผิดมากที่สุดได้แก่การทุจริต การประพฤติผิด ระเบียบ การทำผดิ ทางเพศ กรณชี ู้สาว อนาจาร และคอร์รัปช่นั ในพสั ดกุ อ่ สร้าง สง่ิ เหล่าน้ีเป็นพฤตกิ รรมท่ี ไม่พึงประสงคใ์ นจรรยาบรรณของวชิ าชพี ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาท้ังส้ิน ด้วยเหตุผลจากสภาพปญั หาทางดา้ นจรรยาบรรณท่ีปรากฏตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ มีผลกระทบต่อวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา และความคาดหวังเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียน ความคาดหวังของสังคมมาตรฐานการศึกษาชาติ ความต้องการด้านวัตถุนิยม ปัจจัยในการดำรงชีวิต ความเสมอภาคทางสังคม สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลกระทบต่อการจัดการบริหารงานในสถานศึกษา เป็นปัจจัย เสย่ี งท่ผี ู้บริหารอาจมีการปฏิบัติผดิ หลกั จรรยาบรรณ ดังนน้ั ผู้บริหารสถานศึกษาจงึ ควรมมี าตรฐานในการ ปฏิบตั ติ น เพ่ือยึดหลกั ใหเ้ กดิ ความถกู ตอ้ ง จรรยาบรรณวิชาชีพจงึ เปน็ แนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนที่ ผู้ทบริหารจำเป็นจะต้องตระหนักและจะต้องมีไว้สำหรับคอยควบคุมความประพฤติ การกระทำ ใหส้ ามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพอื่ รกั ษาหรอื สง่ เสรมิ เกียรติคุณชือ่ เสียงและฐานะ ของวิชาชพี ตอ่ ไป ๑. ความหมายของจรรยาบรรณวชิ าชพี ผู้บรหิ ารสถานศึกษา จากความหมายความหมายของจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ได้มีนักวิชาการ และ หน่วยงานต่างๆ ไดใ้ หค้ วามหมาย ไวด้ ังน้ี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคำว่า จรรยาบรรณ ไว้ ดังนี้คือ จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชพี การงานแต่ละอยา่ งกำหนดขน้ึ เพื่อรกั ษาและสง่ เสรมิ เกียรตคิ ณุ ชอ่ื เสียงและฐานะของสมาชกิ อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อกั ษรหรือไม่กไ็ ด้ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ๒ ปทานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายของคำว่า จรรยาบรรณ ไว้ว่า \"จรรยา\" คำน้ี มีความหมายเชน่ เดยี วกบั คำว่า จริยา ซงึ่ หมายถึง กิรยิ าที่ควรประพฤตใิ นหมคู่ ณะ ดงั ในบท ไหว้ครูที่ว่า \"ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าฯ ในกาลปัจจุบัน\" ส่วนคำว่า \"บรรณ\" หมายถึง หนังสือ หรือใบไม้ เช่น บรรณศาลา ก็หมายถึง ศาลาที่มุงด้วยใบไม้ บรรณพิภพ หมายถึง โลก หนังสือ เป็นต้น เมื่อนำ ๒ คำนี้มารวมกันเข้าเป็น \"จรรยาบรรณ\" ก็หมายถึง ความประพฤติที่ผู้ ประกอบอาชีพ ต่างๆไดร้ ่วมกันกำหนดขึ้นไว้เป็นแนวทางประพฤติปฏิบตั ิเพื่อร่วมกันรักษาชื่อเสียงคุณสง่ เกยี รติคณุ ของ วิชาชีพนั้นๆ ให้เจริญรุ่งเรืองถาวร ไม่มีความดา่ งพรอ้ ยเขา้ มาแผ้วพาน เป็นการกำหนดไว้เป็นลายลักษณ์ อกั ษร เพ่ือเป็นหลกั ฐานใหต้ ิดตามสืบคน้ และอ้างอิงกนั ได\"้ ๒ คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ ได้ให้นิยามของ \"จรรยาบรรณ\" หมายถึง หลักความประพฤติ อนั เหมาะสม แสดงถึงคณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการประกอบอาชีพทกี่ ล่มุ บุคคลแต่ละสาขาอาชพี ประมวลข้ึน ไว้เป็นหลัก เพื่อให้สมาชิกในสาขาวิชาชีพนั้นๆยึดปฏิบัติ เพื่อรักษาชื่อเสียงและส่งเสริมเกียรติคุณของ สาขาวิชาชพี ของตน ปราชญา กลา้ ผจญั (๒๕๔๕) ไดร้ วบรวมคำทีม่ ี ลักษณะเดยี วกนั ไว้เช่นกันโดยแยกได้ดงั นี้ คำว่า จรรยาบรรณ แยกศพั ท์ออกเปน็ ๒ คำ คอื จรรยา และบรรณ จรรยา หรือจริยา หมายถึง กริยา มารยาท ความประพฤติ สิ่งที่พึงปฏิบัติตามแนวทางที่นิยม ยึดถือปฏบิ ัตกิ นั ตามขนบธรรมเนยี มประเพณที ่ีปฏิบัตสิ ืบต่อกนั มาและถอื ว่าดี มคี วามเป็นผู้ดี หรือมีสมบัติ ผู้ดี บรรณ หมายถงึ ใบไม้ เช่น บรรณศาลา ก็แปลวา่ ศาลาทีม่ ุงบังดว้ ยใบไม้ และต่อมา หมายถงึ ส่ิง ทไ่ี ดข้ ดี เขยี นจารึก เอาไวเ้ ป็นตัวอักษรทแ่ี ต่เดิมเขียนบนใบไม้ แลว้ กลายเปน็ นกระดาษ หรือบันทึกไว้ด้วย วิธกี ารอยา่ งอ่ืน เช่น บรรณพิภพ แปลว่า โลกแหง่ หนังสอื เปน็ ต้น จรรยาบรรณ หมายถึง มาตรฐานของความประพฤติ และการใช้ดลพินจิ ทางศลี ธรรมทว่ี ่าด้วยการ กระทำของบคุ คล บรษิ ัท องคก์ ร ว่าถกู หรือผดิ สมควรหรือไมส่ มควร อีกทง้ั จรรยาบรรณอาจหมายรวมถึง ศาสตร์และหลกั การเก่ยี วกบั ศีลธรรม จรรยาบรรณจึงเปน็ เร่ืองทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับความรู้สึกวา่ อะไรถูกอะไรผิด อะไรที่อนุญาตให้ทำได้และอะไรคือข้อห้ามมิให้กระทำ และกฎเกณฑ์แห่งความดีที่สมาชิกของสังคมพงึ ปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่าพฤติกรรมที่ดีงามนั้น จำเป็นต้องมีการกำหนดอย่างเป็น ทางการ เพื่อสมาชิกทุกคนจะได้ถือปฏิบัติตามเกณฑ์ที่เป็นทางการ เพราะสมาชิกแต่ละคนมิได้ผ่าน กระบวนการขัดเกลาทางสังคมมาเหมือน ๆ กัน ย่อมมีความแตกต่างกันทางค่านิยม ทัศนคติ และ พฤติกรรม ดงั น้นั การทีจ่ ะใหส้ มาชกิ ใหม่และสมาชิกเก่าร่วมกันเพื่อเกยี รติศักดิศ์ รีของวงวิชาชพี และเพื่อ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ ริหารสถานศึกษา ๓ ปอ้ งกันการเสียหายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการประพฤติมิชอบของสมาชิก และควบคมุ ความประพฤติของสมาชิกให้ อย่ใู นแนวทางที่เหมาะสม จึงได้บัญญัตหิ รือออกขอ้ บังคบั ของวิชาชีพ ซงึ่ เรียกว่า จรรยาบรรณวิชาชีพ ส่วนคำว่า Etiquette ไดแ้ ปลความหมายถงึ จรรยาบรรณ นนั้ ปทานุกรมเว็บสเตอร์ (Webster's New World Dictionary ใ ห ้ ค ว า ม ห ม า ย ค ำ น ี้ ไ ว ้ ว ่า The forms, manners, and ceremonies established by convention as acceptable as required in social relations, in a profession or in official life ซ่งึ แปลความหมายได้วา่ จรรยาบรรณเป็นรูปแบบ ลักษณะ และพธิ ีกรรมตา่ งๆ ที่ถูก สร้างขึ้นโดยมแี บบแผนที่ถือว่าเป็นสิง่ จำเป็นในความสมั พันธ์เกี่ยวข้องกับสังคมในอาชีพ หรือในชีวิตการ ทำงาน นอกจากประวัติคำศัพท์ภาษาอังกฤษ etiquette คำนี้รากศัพท์แต่เดิมมาจากภาษาฝรั่งเศส เริ่มต้นจากบรรดาช่างในสมัยยุโรปกลางที่ได้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติ สิ่งใดควรประพฤติ สิ่งใดควร เว้น โดยจารึกไวบ้ นแผ่นมจ้ ารด้วยเหลก็ เผาไฟ ตดิ ไว้ ณ สถานท่ีทำงนเพอ่ื ใหป้ ฏบิ ัตโิ ดยทว่ั กนั อมร รักษาสัตย์ (๒๕๔๘) ให้ความหมายของ จรรยาบรรณว่าเป็นการที่คณะบุคคลร่วมกลุ่ม อาชีพ ร่วมกนั ก่อตงั้ สมาคม หรือองคก์ รข้นึ มาเพอ่ื ประกอบวิชาชีพน้ันแล้วช่วยกันทำนบุ ำรุงรักษาความดี งามในวิชชาชีพน้ันให้ยืนยาวต่อไป การใช้กฎเกณฑ์ข้อบังคับขอหมูในเชงิ ที่เห็นวา่ ดีงามมาบีบบังคับมวล สมาชิกนัน้ ไม่มีอำนาจของกฎหมายบ้านเมืองเข้ามาเกีย่ วข้องแต่เป็นการควบคุมตนเองในบรรดามวลหมู่ สมาชิกในองค์กรนั้นๆเอง เป็นการใช้ความมีวินัยในตนเองมาเป็นเครื่องควบคุมระเบียบวินัยของคนหมู่ มากน่นั เอง ส่วนคำว่า วิชาชพี ปราชญา กลา้ ผจัญ ได้กลา่ วถึงโดยแปลความหมายได้ว่า เปน็ อาชพี เฉพาะทาง อาชีพเฉพาะอยา่ ง ทจ่ี ะตอ้ งได้รบั การฝึกฝน อบรมมาเป็นพิเศษ เม่อื เรยี นจบในศาสตรส์ าขาน้ันแลว้ ตอ้ งมี การฝึกปฏิบัติงานเป็นเฉพาะด้วย เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญช่ำชอง จนสามารถปฏิบัติหน้าที่ในวิชาชีพ นั้นๆ อย่างเป็นผลดีได้ อาชีพเหล่าน้ี ได้แก่ กฎหมาย การศึกษา สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ทันตแพทย์ แพทย์ พยาบาล อญั มณีศาสตร์ ศาสนศาสตร์ ฯลฯ ติน ปราชญพฤทธ์ิ กล่าวว่า อาชีพราชการ ได้กลายเป็น \"วิชาชีพ\" ขึ้นมา หลังจากที่ล้นเกล้าๆ รชั กาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ไดท้ รงปฏริ ูปการปกครองประเทศอยา่ งขนานใหญ่ โดยจดั ตั้งกระทรวงตา่ งๆ ขน้ึ มา อาชพี ราชการ กลายเปน็ อาชีพ ท่ีมีการปฏิบัติงานเตม็ เวลามีผลตอบแทน คือ เงินเดือน และเกิดมีจรรยาบรรณวิชาชีพเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ มาตรฐาน เพื่อควบคุมความประพฤติของ บุคคลที่ประกอบอาชีพในวิชาชีพต่างๆ และความเป็นมืออาชีพ หรือ นักวิชาชีพนัน้ มีองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้ ๑) หาเลี้ยงชีพจากวิชาชีพนั้น ๒) ได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดี อาศัยหลักทฤษฎีการบริหารมา ประกอบ ค้นคว้า วิจัยพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาแห่งการปฏิบัติงานในวิชาชีพนั้นๆ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๔ ๓) ใช้ความรทู้ ่ีได้ศึกษารำ่ เรียนมา ใหเ้ กิดประโยชนอ์ ย่างเต็มท่ี รับการฝกึ อบรมแบบเขม้ ปฏิบัติงานในแวด วงวชิ าชพี นนั้ ๆ มายาวนานจนเกิดความเชยี่ วชาญช่ำชองในวิชาชีพนน้ั ๆ ๔) ได้รบั การรับรองมาตรฐานแห่ง วิชาชีพนั้น จากสมาคมวิชาชีพโดยการออกใบประกอบวิชาชีพให้เพื่อควบคุม กำกับดูแลคุณภาพ มาตรฐาน และจรรยาบรรณ หากผ้ใู ดประพฤติผิดก่อให้เกิดความเสียหาย หรือกระทำสิง่ ท่ีผิดกฎหมาย ก็ จะถูกดำเนินมาตรการทางวินัย มีการลงโทษ อย่างเฉียบขาด เอาจริงเอาจัง เพื่อมิให้ผู้อื่นประพฤติ เชน่ เดียวกันให้เสอ่ื มเสียในแวดวงวชิ ชาชีพนนั ๆ ต่อไปอกี โคฮ์ลเบร์ก (Kohlberg) กล่าวถึง จรรยาบรรณ (ethics) ว่าเป็นระบบของการทำความดีละเว้น ความชั่ว ที่มีปัจจัยนำเข้า (Input) ซึ่งเป็นปัจจัยเชงิ เหตุท้ังทางดา้ นจิตใจและสถานการณ์ และพฤติกรรม ของจรรยาบรรณ รวมทัง้ มปี จั จัยสง่ ออก (Output) ซงึ่ เปน็ ผลของกามีจรรยาบรรณหรอื พฤติกรรม ซึ่งผลนี้ อาจอยู่ในรูปแบบทั้งจิตลักษณะและพฤติกรรมของบุคคลผู้กระทำและผลต่อบุคคลอื่น ต่อกลุ่ม ต่อ สิ่งแวดล้อม และต่อโลก จรรยาบรรณจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือคุณธรรมตั้งแต่ ๒ ตัว ขัดแย้งกันทำให้ บคุ คลตอ้ งตกอยูใ่ นสภาพท่ตี อ้ งตดั สนิ ใจ หรือแก้ปัญหาในการที่เลอื กปฏบิ ตั ิตาม อน่งึ ศาสนา ซ่งึ มีหลักศีลธรรมของตนอยู่ทุกศาสนาน้ัน ปัจจบุ นั ถอื กันโดยท่ัวไปว่าเป็นเร่ืองที่ถือ โดยความสมัครใจแลว้ แตศ่ รทั ธาของแต่บคุ คล ใครมีศรัทธาตอ่ ศาสนาใดและมีศรทั ธาเท่าใดกป็ ฏิบตั ไิ ปตาม ขีดขนั้ ของศรทั ธาของตนไม่มีใครบงั คับใครและไม่ควรบงั คับกนั ในเร่ืองศรัทธา อย่างมากกเ็ พียงแต่ชักชวน กนั ไดเ้ ท่าน้ัน ส่วนจริยธรรมอาชพี แตล่ ะอาชพี ผกู มัดผู้ประกอบอาชพี นั้นๆไมใ่ ช่ตามความสมคั รใจ เหมอื น ศีลธรรมของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ทว่า เมื่อเข้าใจเหตุผลแล้วก็มีผลบังคับ ให้ต้องปฏิบัติตาม โดยมี ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ของตนเองเป็นเดิมพัน ศีลธรรมของศาสนามีประกาศิตบังคับ ในระดับ \"จง และอย่า\" เสรมิ จรยิ ธรรมในแตล่ ะอาชพี ซง่ึ แยกออกไดเ้ ปน็ ๓ สว่ น คอื ๑) กฎหมายซง่ึ บงั คบั พลเมืองทกุ คนอยา่ งเสมอหน้ากนั ๒) วินัย ซึ่งเป็นกฎหมายบังคับเฉพาะกลุ่มชนที่มอี าชีพหรือสถานภาพเดียวกันระเบียบการ คือ ขอ้ กำหนดในรายละเอยี ดของวินยั ๓) จรรยาบรรณ (Code of conduct) คือบรรดาคุณธรรมที่มีไม่บังคับแต่ถ้าปฏิบัติก็จะช่วยให้ ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษในแต่ละอาชีพเช่นกฎหมายบังคับว่า ครู (ทั่วประเทศ) ต้องมีวุฒิบัตร คำว่า \"ต้อง\" หมายความว่า ยกเว้นให้ใครไม่ได้ทั้งสิ้น วินัยของโรงเรียนนี้กำหนดให้ครูพึงแต่งเครื่องแบบตาม กำหนดและกลัดตราของโรงเรียนทห่ี น้าอกในระหว่างเวลาปฏิบตั ิหน้าที่ และมีระเบยี บการว่า เครื่องแบบ พึงมีอายุใช้งานไม่เกิน ๓ ปี คำว่า \"พึง\" หมายความว่าหากมีความจำเป็นก็ขอผ่อนผันได้ จรรยาบรรณ อาชีพครู ระบุว่า ครูจักต้องอุทิศเวลาเพื่อความรู้ของผู้เรียนก่อนผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งไม่มีกฎหมาย บงั คบั ท้งั ไม่มีวินยั กำหนด แตใ่ หค้ รูพจิ ารณาองว่าจะทำมากนอ้ ยแค่ไหนเพื่อคุณภาพของความเป็นครู ซ่ึง มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๕ ไม่มีใครบงั คบั ว่าต้องเท่าใด \"จักต้อง\" หมายความว่า ตอ้ งบงั คบั ตวั เองให้ได้เพื่อประกอบอาชีพไม่ใช่ธุรกิจ แต่หากไม่สนใจปฏิบัติเลยผู้รับผิดชอบก็อาจจะตกั เตอื นคาดโทษได้ในฐานะไม่ให้ความร่วมมือและหากไม่ สนใจจริงๆก็อาจจะตั้งกรรมการข้ึนพิจารณาขบั ไล่กไ็ ด้ในฐานะไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในอาชีพ ซึ่งเรื่องน้ี กฎหมายจะต้องเปิดทางใหโ้ ดยใช้การบรหิ ารงานหรอื ธรรมาภิบาลทีเ่ หมาะสม คอื ตอ้ งดูแลไม่ให้กลายเป็น เครื่องมือของการกลั่นแกล้ง จริยธรรมในแต่ละอาชีพจึงแยกออกได้เป็นเป้าหมายของอาชีพและวิถีซึ่ง ประมวลขึ้นเป็นตัวอย่างของจรรยาบรรณของอาชพี นั้นๆ เสรมิ กฎหมาย วนิ ัย และระเบยี บการของแต่ละ สถาบนั สรุปได้วา่ จรรยาบรรณ หมายถึง การรกั ษา พงึ ปฏิบัติ งดเว้นปฏิบตั ิ ยดึ ถือปฏบิ ัติ เพือ่ เป็นเกณฑ์ ตามหลักสากล มุ่งหมายในการพัฒนาประสิทธิภาพสำหรับบุคคล หมู่คณะ องค์กร และสังคมหรือ จุดมุ่งหมายเพื่อคนและเพื่องาน ในแต่ละวิชาชีพจะได้กำหนดบทบาทหน้าที่และพฤติกรรมสมาชิก ตัวอย่างเชน่ จรรยาบรรณแพทย์ จรรยาบรรณส่อื มวลชน ฯลฯ ตา่ งก็มุง่ ไปที่เร่ืองของคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม โดยมีรากศัพท์ ทางภาษาอังกฤษคือ Etiquette (จรรยา ,มารยาทฯ) ethical code, code of conduct รวมทั้ง Professional ethical ส่วนจรรยาบรรณในวิชาชีพ หมายถึง ประมวลมาตรฐาน ความประพฤติที่ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องประพฤติปฏิบัติ เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติตน อย่างถูกต้อง เพื่อผดุงเกียรติและสถานะของวิชาชีพ โดยที่ข้อบัญญัตินั้นอาจจะเขียนไว้เป็นลายลักษณ์ อักษรหรือบอกกล่าวด้วยวาจาในสังคมวิชาชีพนั้นก็ได้ผูก้ ระทำผิด จรรยาบรรณจะได้รับโทษ โดยการวา่ กล่าว ตักเตอื น ถูกพกั งาน หรือถกู ยกเลกิ ใบประกอบวิชาชพี ได้ จรรยาบรรณวิชาชพี ผู้บริหาร สรุปไดว้ ่า เป็นประมวลมาตรฐานความประพฤตทิ ่ผี ปู้ ระกอบวชิ าชีพ จะตอ้ งประพฤติปฏบิ ัติเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวชิ าชพี ปฏบิ ตั ิตนอยา่ งถูกต้อง เปน็ ระบบของการทำความ ดี ละเวน้ ความชว่ั เป็นระบบจรยิ ธรรมของกลุม่ อาชีพที่ประกาศใช้โดยกลุ่ม เพ่อื ควบคุมกนั เองและลงโทษ กันเอง โดยจะละเมียดละไมกวา่ กฎระเบียบ ลึกซึ้งกว่าวินยั สูงค่าเทียบเท่ากับอุดมการณ์และเปน็ สายใย ของกลุ่มร่วมอาชีพ ร่วมอุดมการณ์ เพื่อผดุงเกียรติและสถานะของวิชาชีพ เพื่อดำรงความเชื่อถือและ เกียรติคุณแห่งอาชีพให้เป็นที่ศรัทธาของสาธารณชน โดยที่ข้อบัญญัตินั้นอาจจะเขียนไว้เป็นลายลักษณ์ อักษรหรือบอกกล่าวดว้ ยวาจาในสังคมวชิ าชพี นัน้ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา ๖ ๒. องคป์ ระกอบของจรรยาบรรณวชิ าชีพผบู้ รหิ าร ผู้บริหารในวงการศึกษา ตามลักษณะของงานและหน่วยงาน ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตนตาม จรรยาบรรณวชิ าชีพครู หากผู้บรหิ ารในวงการศึกษาผใู้ ด เป็นข้าราชการ หรือพนักงาน หรอื ลูกจา้ งอน่ื ของ รัฐ จะต้องปฏิบัติตนตาม “จรรยาบรรณกลางของข้าราชการและพนักงานหรือลูกจ้างอื่นของรัฐ” จรรยาบรรณในวชิ าชพี ของผ้บู ริหาร เป็นประโยชน์ต่อการเสรมิ สร้างเกียรตภิ ูมแิ ละศกั ด์ศิ รขี องผูบ้ ริหาร ให้ ได้รับการยกยอ่ ง เช่อื ถือ ศรทั ธา จากสังคม จรรยาบรรณของผูบ้ ริหารมี ดังน้ี จรัส ตงั้ โซะ๊ (๒๕๕๖) กล่าววา่ องค์ประกอบจรรยาบรรณของผ้บู รหิ ารมี ดงั น้ี จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง ๑. พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และพัฒนาตน ให้มีคุณธรรม มี สุขภาพดี ทั้งกาย และจิต รวมทั้งเพมิ่ พูนความรู้ความสามารถในการบริหารงาน ๒. พงึ อุทศิ ตนเพอ่ื หนา้ ท่ี มคี วามเสยี สละ และมีความกล้าหาญทางจรยิ ธรรม ๓. พงึ มคี วามซอ่ื สตั ย์ตอ่ ตนเอง จรรยาบรรณต่อวชิ าชพี ๑. พงึ ซือ่ สัตยต์ อ่ วิชาชพี ๒. พึงใชว้ ชิ าชีพในการบรหิ ารจดั การดว้ ยความซ่ือสัตยส์ จุ รติ ๓. พงึ ละเว้นการทำธรุ กิจทอี่ าศยั อำนาจหน้าทข่ี องตนเพ่ือประโยชนใ์ นกจิ การนน้ั จรรยาบรรณตอ่ ผูร้ บั บรกิ าร ๑. พงึ ซ่อื สัตย์ต่อผรู้ ับบรกิ ารรกั ษาความลับและผลประโยชน์ในทางท่ถี ูก ของ ผูร้ บั บรกิ าร ๒. พึงละเวน้ การแสวงหาผลประโยชนอ์ ันมชิ อบ และใหบ้ รกิ ารด้วยความเสมอภาค ไมใ่ ช้อภิสทิ ธิ ๓. พึงให้ความสำคัญแก่ผู้รับบริการ บริหารงานเพื่อผลประโยชน์ของผู้รับบริการ มิใช่เพ่ือ ผลประโยชนข์ องตนเอง จรรยาบรรณต่อบคุ ลากรในองคก์ าร ๑. พึงมีความยุตธิ รรม มีใจเป็นกลาง ไม่เลอื กปฏบิ ตั ิดว้ ยอคติ ๒. พึงบรหิ ารคนด้วยระบบคณุ ธรรม ไมเ่ ลน่ พรรคเล่นพวก ๓. พึงรักษาความสามคั คี ปฏบิ ตั ติ ่อบุคลากรด้วยหลักการและเหตุผล จรรยาบรรณต่อองค์การ ชมุ ชน และสงั คม ๑. พึงให้ความสำคัญ และมีความจงรักภกั ดีต่อองค์การ ๒. พึงดูแลรักษาและใชท้ รพั ยากรสว่ นรวมขององคก์ าร ยา่ งประหยัด ค้มุ ค่า และมปี ระสทิ ธิภาพ ๓. พึงสร้างความเข้มแขง็ แกช่ ุมชน และสรา้ งสันตภิ าพ สนั ติสุขให้เกิดข้ึนในสังคม มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศกึ ษา ๗ ครูแมนสรวง (๒๕๕๗) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของจรรยาบรรณผู้บริหารสถานศึกษา ๙ ประการ ดังนี้ จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง ๑. ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ตอ้ งมวี นิ ัยในตนเอง พัฒนาตนเองดา้ นวชิ าชีพ บคุ ลกิ ภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทนั ตอ่ การพฒั นาทางวทิ ยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ จรรยาบรรณต่อวชิ าชพี ๒. ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ตอ้ งรัก ศรทั ธา ซือ่ สตั ยส์ ุจริต รับผดิ ชอบต่อวิชาชพี และเป็นสมาชิกที่ดี ขององค์กรวชิ าชพี จรรยาบรรณตอ่ ผู้รบั บริการ ๓. ผู้บริหารสถานศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ศิษย์และ ผรู้ บั บริการตามบทบาทหนา้ ท่ีโดยเสมอหนา้ ๔. ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา ต้องสง่ เสรมิ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ ทักษะ และนสิ ัยทถี่ ูกตอ้ งดงี ามแก่ศิษยแ์ ละ ผ้รู บั บริการตามบทบาทหน้าท่อี ย่างเตม็ ความสามารถด้วยความบรสิ ุทธ์ิใจ ๕. ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา ตอ้ งประพฤตติ นเปน็ แบบอย่างทด่ี ี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ๖. ผู้บริหารสถานศึกษา ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสงั คมของศษิ ยแ์ ละผู้รบั บริการ ๗. ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ตอ้ งให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรยี กรบั หรือยอมรับ ผลประโยชนจ์ ากการใช้ตำแหนง่ หนา้ ท่โี ดยมิชอบ จรรยาบรรณต่อผู้รว่ มประกอบวชิ าชีพ ๘. ผู้บริหารสถานศึกษา พึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบ คุณธรรม สรา้ งความสามคั คีในหมู่คณะ จรรยาบรรณต่อสังคม ๙. ผบู้ ริหารสถานศึกษา พงึ ประพฤติปฏิบัติตนเปน็ ผนู้ ำในการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมปิ ญั ญา สิง่ แวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของสว่ นรวมและยึดมน่ั ในการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ๘ สุภัททา ปิณฑะแพทย์ ได้กล่าวว่า นักบริหารการศึกษาคุรุสภา ได้กำหนดมาตรฐานด้านความรู้ ด้านคุณธรรมและจริยธรรมและมาตรฐานการปฏบิ ตั ติ น สำหรับ ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ดงั นี้ ผู้บริหารสถานศึกษา จากเอกสารวิชาการลำดับที่ ๑/๒๕๔๘ ได้กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษา ควรมคี ณุ สมบัตดิ ้านคุณธรรมและจริยธรรม ดงั นี้ ๑) มาตรฐานความรู้ : คุณธรรมและจรยิ ธรรมสำหรบั ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา สาระความรู้ (๑) คณุ ธรรมจริยธรรมสำหรับผู้บริหาร (๒) จรรยาบรรณของวชิ าชพี ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา (๓) การพฒั นาจริยธรรมผู้บรหิ ารให้ปฏิบตั ิตนในกรอบคุณธรรม (๔) การบรหิ ารจัดการบ้านเมอื งท่ดี ี (Good Governance) สมรรถนะ (๑) เป็นผ้นู ำเชิงคุณธรรม จรยิ ธรรม และปฏิบตั ติ นเปน็ แบบอย่างทด่ี ี (๒) ปฏิบตั ิตนตามจรรยาบรรณของวิชาชพี ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา (๓) ส่งเสรมิ และพัฒนาให้ผู้ร่วมงานมีคุณธรรมและจริยธรรมทเ่ี หมาะสม ๒) มาตรฐานการปฏิบตั ติ น จรรยาบรรณต่อตนเอง (๑) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพบุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทนั ต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื งอยเู่ สมอ จรรยาบรรณตอ่ วชิ าชพี (๒) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรกั ศรทั ธา ซือ่ สัตย์สจุ รติ รับผดิ ชอบต่อวชิ าชพี และเป็น สมาชกิ ทดี่ ขี ององค์กรวิชาชพี จรรยาบรรณตอ่ ผู้รบั บริการ (๓) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ ศษิ ยแ์ ละผ้รู บั บริการ ตามบทบาทหนา้ ทโี่ ดยเสมอหน้า (๔) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตอ้ งสง่ เสริมใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ทักษะและนิสยั ทถี่ กู ต้องดีงาม แก่ศษิ ย์และผรู้ บั บริการ ตามบทบาทหนา้ ทอ่ี ยา่ งเตม็ ความสามารถ ด้วยความบริสุทธ์ใิ จ (๕) ผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ต้องประพฤตปิ ฏิบัติตนเปน็ แบบอย่างทดี่ ี ทัง้ ทางกาย วาจา และจติ ใจ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ๙ (๖) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปญั ญา จติ ใจ อารมณ์ และสงั คมของศิษย์และรบั บรกิ าร (๗) ผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา ต้องใหบ้ ริการดว้ ยความจรงิ ใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับ หรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตำแหนง่ หนา้ ท่โี ดยมิชอบ จรรยาบรรณต่อผรู้ ่วมประกอบวชิ าชพี (๘) ผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษาพงึ ช่วยเหลือเกือ้ กูลซึง่ กนั และกันอย่างสร้างสรรค์โดยยึดม่ัน ในระบบคุณธรรม สร้างความสามคั คีในหมู่คณะ จรรยาบรรณต่อสังคม (๙) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนา เศรษฐกิจ สงั คม ศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม ภูมปิ ัญญา ส่งิ แวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึด มน่ั ในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข สรปุ ได้วา่ องคป์ ระกอบของจรรยาบรรณต่อผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ยึดตามขอ้ บังคับครุ ุสภา วา่ ด้วย จรรยาบรรณของวชิ าชพี พ.ศ. ๒๕๕๖ มอี งคป์ ระกอบด้วยกนั ๕ ด้าน ๙ ขอ้ ดังน้ี ด้านที่ ๑ จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง ข้อที่ ๑ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลกิ ภาพ และวสิ ยั ทัศน์ ให้ทันตอ่ การพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สงั คม และการเมืองอยเู่ สมอ ด้านที่ ๒ จรรยาบรรณต่อวิชาชพี ข้อที่ ๒ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา ต้องรกั ศรทั ธา ซื่อสัตยส์ ุจรติ รบั ผิดชอบต่อวิชาชีพ และ เป็นสมาชกิ ท่ีดีขององค์กรวชิ าชีพ ดา้ นท่ี ๓ จรรยาบรรณตอ่ ผ้รู ับบริการ ข้อท่ี ๓ ผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา ตอ้ งรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลอื สง่ เสริม ให้กำลังใจ แกศ่ ษิ ยแ์ ละผรู้ ับบรกิ ารตามบทบาทหนา้ ที่โดยเสมอหน้า ข้อท่ี ๔ ผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา ตอ้ งสง่ เสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้อง ดีงามแกศ่ ิษย์และผรู้ ับบริการตามบทบาทหน้าที่อยา่ งเต็มความสามารถดว้ ยความบริสทุ ธิ์ใจ ข้อที่ ๕ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ข้อที่ ๖ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จติ ใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์และผ้รู บั บริการ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บริหารสถานศึกษา ๑๐ ข้อที่ ๗ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่ เรียกรบั หรอื ยอมรบั ผลประโยชนจ์ ากการใชต้ ำแหนง่ หนา้ ทโ่ี ดยมชิ อบ ดา้ นที่ ๔ จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวชิ าชพี ข้อที่ ๘ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงช่วยเหลอื เกื้อกูลซึง่ กันและกันอย่างสรา้ งสรรค์ โดย ยดึ มนั่ ในระบบคณุ ธรรม สรา้ งความสามคั คใี นหมคู่ ณะ ด้านที่ ๕ จรรยาบรรณต่อสงั คม ขอ้ ท่ี ๙ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา พึงประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นเปน็ ผนู้ ำในการอนุรกั ษ์และพัฒนา เศรษฐกจิ สังคม ศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม ภมู ิปัญญา สิ่งแวดลอ้ ม รกั ษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและยึด ม่นั ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข การปฏิบัตติ นตามแบบแผนพฤติกรรมจรรยาบรรณของวิชาชีพถือเปน็ เรอ่ื งสำคัญเป็นอยา่ งยิ่ง ผู้ท่ี ประกอบวิชาชีพจึงควรตีองตระหนักและใส่ใจที่จะปฏิบัติตามโดยยึดถือว่าเป็น “ศีลของผู้ประกอบ วิชาชีพ” สมควรที่จะต้องหมั่นทบทวนและปฏิบัติตามซึ่งนอกจากจะช่วยไม่ให้กระทำผิดจนเกิดการ ร้องเรยี นทำให้เสยี หายแล้วยงั เปน็ การยกระดับความเป็นวชิ าชีพชัน้ สูงทัง้ ของตนและองคก์ รวิชาชพี ครูและ บุคลากรทางการศึกษาโดยรวม เป็นที่ยอมรับ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ปรากฏต่อสาธารณชนมากขึ้นอันจะ สง่ ผลตอ่ คณุ ภาพการศกึ ษาของไทยในอนาคตด้วย ๓. ประเภทของจรรยาบรรณวิชาชพี จรรยาบรรณเกิดขึ้นเพื่อมุ่งให้คนในวิชาชพี มปี ระสิทธภิ าพ ให้เป็นคนดใี นการบรกิ ารวชิ าชีพ ให้ คนในวชิ าชีพมเี กยี รติศักดิศ์ รที ี่มีกฎเกณฑ์มาตรฐานจรรยาบรรณ จรรยาบรรณ มีความสำคัญและจำเป็น ตอ่ ทุกอาชพี ทกุ สถาบัน และหน่วยงาน เพราะเป็นที่ยดึ เหนีย่ วควบคมุ การประพฤติ ปฏิบัตดิ ้วยความดงี าม ในวงงานวิชาชพี นัน้ จรรยาบรรณถือเป็นสง่ิ ท่ีสำคญั วชิ าชพี ที่กำหนดจรรยาบรรณจะเปน็ อาชีพท่ีต้องศกึ ษาด้วยศาสตร์ช้ันสูง มีการศึกษาค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาวิชาชีพนั้น ๆ เป็นอาชีพที่มีองค์กรหรือสมาคมรองรับ เช่น คุรุสภาเป็นองค์กรของวิชาชีพครู เปน็ ต้น ท้งั น้ีจรรยาบรรณน้ันมีหลากหลายประเภทข้ึนอยู่กับอาชีพนั้นๆ เชน่ จรรยาบรรณทางการแพทย์ จรรยาบรรณวศิ วกร จรรยาบรรณทหาร จรรยาบรรณสถาปนกิ จรรยาบรรณขา้ ราชการพลเรือน ฯลฯ ซึง่ ถา้ มองเรอ่ื งของจรรยาบรรณนั้น จรรยาบรรณมาจากคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมทก่ี ำกับในวิชาชพี นัน้ ๆ ดงั น้ัน หากจะกล่าวถึงประเภทของจรรยาบรรณ จึงต้องมองย้อนกลับไปถึงแหล่งกำเนิดคุณธรรมและจริยธรรม ดังนี้ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ๑๑ คุณธรรมและจริยธรรม เป็นหลักการที่มนุษย์ในสังคมควรยึดถือปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่าง เป็นสุขในสังคม ปจั จยั ทมี่ อี ิทธิพลตอ่ การเกิดคุณธรรมและจริยธรรมขน้ึ ในสังคมตลอดมา เนื่องจากมีความ พยายามที่ต้องการสร้างหลักคุณธรรมและจริยธรรมที่เป็นสากลให้บุคคลเกิดความรู้สึกในเรื่องของ คุณธรรมและจรยิ ธรรมในแนวทางที่สอดคลอ้ งกบั พฤติกรรม แหลง่ กำเนิดคุณธรรมและจริยธรรม คุณธรรมและจริยธรรม เป็นหลักการที่มนุษย์ในสังคมควรยึดถือปฏิบัติเพือ่ การอยู่รว่ มกนั อยา่ ง เป็นสุขในสังคม ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการเกิดคุณธรรมและจรยิ ธรรมขึน้ ในสงั คมตลอดมา เนื่องจากมีความ พยายามที่ต้องการสร้างหลักคุณธรรมและจริยธรรมที่เป็นสากลให้บุคคลเกิดความรู้สึก ในเรื่องของ คุณธรรมและจริยธรรมในแนวทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรมแหล่งก่อกำเนิดของคุณธรรมจริยธรรมอาจ แบง่ ออกไดเ้ ป็น ๒ ประการ คือ ๑. แหล่งกำเนดิ ภายในตัวบุคคล อริสโตเติล (Aristotle) ได้แยกแยะแหล่งที่เกิดของคุณธรรม วา่ เปน็ คณุ ธรรมอันเกดิ จากปญั ญา และคุณธรรมอนั เกดิ จากศีลธรรมและจรยิ ธรรมวา่ คุณธรรมอันเกดิ จาก ปัญญา เปน็ คณุ ธรรมในระดบั ปัจเจกบุคคล กล่าวคอื ผ้ทู ่ีมีสติปัญญามกั จะสามารถพัฒนาจรยิ ธรรมได้ด้วย หลักของการคิดไตร่ตรอง สว่ นคณุ ธรรมอันเกิดจากศีลธรรมและจรยิ ธรรมนั้น เปน็ คุณธรรมท่ีเกิดจากการ ปฏบิ ตั ิจรงิ ด้วย การเรียนรจู้ ากการอยู่ร่วมกนั เป็นการแสดงพฤตกิ รรมทีถ่ ูกตอ้ งซ่งึ นำไปสู่สภาวะของความ เป็นแหลง่ กำเนิดน้ีกล่าวถงึ พืน้ ฐานของมนุษย์ที่ได้มาจากธรรมชาติเป็นตัวกำหนด ซ่ึงแบ่งแยกออกเป็น ๒ ประการ คอื ๑) ตัวกำหนดมาจากพันธุกรรมทีส่ ่งทอดมาจากบรรพบรุ ุษ มนุษย์เกิดมาพร้อมดว้ ยคุณภาพของ สมองที่จะพัฒนาขึ้นเปน็ ความเฉลียวฉลาดด้านปัญญาโดยไดร้ ับการถ่ายทอดส่วนน้ีมาจากบรรพบรุ ษุ โดย ผ่านกระกระบวนการทางพันธุกรรม การพัฒนาของสมองจะดำเนินไปตามรหัสพันธุกรรมที่กำหนดไว้ ตั้งแต่เกิด แม้ว่าการพัฒนาด้านการคิดและสติปัญญาจะเจริญพฒั นาต่อมาภายใต้อิทธิพลของการอบรม เลีย้ งดูและส่ิงแวดลอ้ ม แต่คณุ ภาพของสมองท่ีบคุ คลได้รบั จะเป็นพ้นื ฐานเบื้องต้น ดงั เชน่ ทพี่ ระพุทธเจา้ ได้ ทรงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยตนเองดว้ ยปัญญาของพระองค์ แต่การเกิดมโนธรรมในมนุษย์ พระองค์ได้ทรงแบง่ ประเภทของบุคคลออกเป็นดอกบวั ประเภทต่างๆ บคุ คลท่เี ป็นประเภทดอกบวั ท่ีอยู่บานชูช่อเหนือน้ำ คือ บุคคลที่สามารถเรียนรู้และประจักษ์ในความดีและความช่ัวด้วยปัญญานั่นเอง ส่วนบุคคลที่เป็นประเภท ดอกบัวประเภทอื่น ๆ ก็อาจสามารถรู้ผิดชอบชั่วดีได้ด้วยการอบรมสั่งสอนตามระดับความสามารถของ สตปิ ญั ญา นอกจากน้ี สญั ชาตญาณแหง่ ชวี ติ (Life instinct) ของมนุษย์ ทำใหม้ นษุ ยค์ ิดหาแนวทางในการ ที่จะมีชีวิตอยู่รอด และการมีสติปัญญาในระดับที่สูง ทำให้มนุษย์สามารถคิดพิจารณา และแยกแยะเหตุ และผลไดเ้ พอ่ื มชี ีวิตอยู่รอดได้อยา่ งยั่งยืน มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ๑๒ ๒) ตัวกำหนดมาจากสภาพจิต จากแนวความคิดที่ว่าจริยธรรมมีแหล่งกำเนิดจากความรู้สึกผิด ชอบชัว่ ดี ซึ่งเกิดขึ้นจากมโนธรรมท่ีอยู่ในความรู้สกึ นกึ คิด ดงั นั้น แหล่งกำเนิดของคณุ ธรรมและจริยธรรม จึงเป็นคุณภาพของสมองในการคิด และคุณภาพของจิตที่สามารถแยกแยะความถูก ความผิดได้เป็น พื้นฐาน สภาพของจิตนนั้ ทำให้บคุ คลจดจำส่ิงทเี่ ปน็ เคียดแค้น บาดหมางใจ หรอื รู้สึกผิดตลอดเวลากับการ ตัดสินที่พลาดพลั้งไป ดังนั้นสภาพจิตก่อให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกที่อาจนำไปสู่การมีคุณธรรมและ จริยธรรมและการขาดคุณธรรมและจริยธรรมได้เท่าๆ กนั ๒. แหลง่ กำเนดิ ภายนอกตวั บุคคล ส่วนสาเหตุภายนอกตัวบุคคล ดวงเดือน พันธุมนาวิน กล่าวว่า ในการที่บุคคลนั้นจะทำความดี หรือละเว้นการกระทำท่ีไมน่ า่ พึงปรารถนามากน้อยเพียงใดนั้น สาเหตุที่สำคัญ คือ คนรอบข้าง กฎระเบียบ สังคม วัฒนธรรมและ สถานการณ์ที่บุคคลประสบอยู่ นอกจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน การมีหรือการขาดแคลนส่ิง เอื้ออำนวยในการทำงาน ตลอดจนบรรยากาศทางสังคมในที่ทำงาน กลุ่มเพื่อนและวัฒนธรรมในองค์กร จะมีผลต่อพฤติกรรมการทำงาน และสขุ ภาพจติ ตลอดจนความสขุ ความพอใจในการทำงาน วริยา ชนิ วรรโณ ไดอ้ ธิบายถึงอทิ ธพิ ลทเ่ี ปน็ ผลตอ่ การเกดิ คณุ ธรรมและ จริยธรรมในประเทศไทย ซึ่งเริ่มมีขึ้นในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นรากฐานของแหล่งคุณธรรม จรยิ ธรรม ซึ่งสามารถนำมาอธิบายได้ ดังนี้ ๑) อิทธิพลของคำสาบาน กฎหมาย ระเบียบ และวินยั หลักจรยิ ธรรมทไี่ ด้จากคำสาบาน ถือเป็น ราชประเพณีที่ผู้บริหารบ้านเมืองต้องกระทำ นอกจากกฎหมายที่ระบุไว้เป็นจริยธรรมหรือวินัยของ ผู้ปฏิบัติงาน การให้คำสาบานจึงเป็นการกำหนดพฤติกรรมที่เป็นคุณธรรมจรยิ ธรรมซึ่งเป็นเงื่อนไขผูกมัด ดว้ ย วาจาทีเ่ ช่ือมโยงกับความศักดิ์สิทธิ์ของพิธกี รรม ซง่ึ ทำใหเ้ กดิ เป็นขอ้ กำหนดแนวทางความประพฤติซ่ึง มวี ฒั นธรรม เป็นตวั กำกบั อยู่ดว้ ยและอาจกลายมาเป็นกฎเกณฑ์ในทสี่ ุด ๒) อิทธิพลของศาสนา ทุกศาสนาย่อมมคี ำสั่งสอนเป็นศีลและธรรมให้บคุ คลผูน้ ับถือและศรทั ธา ใหก้ ารยอมรับและเชือ่ ฟงั พร้อมทจ่ี ะปฏบิ ตั ิตามโดยไม่มเี งือ่ นไข ดงั เชน่ พุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำ ชาติของประเทศไทย ได้กล่าวแถลงธรรมในการบริหารจัดการและการปกครอง แผ่นดินของ พระมหากษตั ริย์ อันได้แก่ ทศพธิ ราชธรรม จกั รวรรดวิ ัตร ราชสงั คหวตั ถุและราชวสดีธรรม เปน็ ตน้ ธรรม เหล่านี้อันที่จริงแล้วเป็นหลักธรรมที่ข้าราชการ ผู้บริหารและผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ ควรยึดถือปฏิบัติ ตามด้วย มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑๓ ปวีณ ณ นคร ได้สรุปที่มาของจรรยาบรรณไว้ว่า ความประพฤติที่ปราศจากการควบคุมจะไม่ ก่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียนร้อย ความดีงาม ความสงบสุขและความเจริญในตัวคน ดังนั้น ใน กิจการและในสงั คมจงึ ตอ้ งมีการควบคุมความประพฤติ โดยกำหนดกฎเกณฑ์สำหรบั ยึดถอื เปน็ แนวปฏิบัติ ในภาษาวิชาการเรียกว่า “ปทัสถาน” หรือบรรทัดฐาน หรือศัพท์ทางปรัชญาเรียกว่า จริยธรรม ซึ่งใน ภาคปฏิบตั มิ ีหลายรูปแบบ ๑. รูปแบบทางศาสนา ถ้าเป็นคำสั่งสอนหรอื คติธรรมเพื่อยึดถือปฏิบัติ เรียกว่าศีลธรรม ถ้าเป็น ลกั ษณะเชิงพฤติกรรมซงึ่ มอี ยใู่ นตวั คนแสดงออกมาจากตัวคน เรยี กว่า คุณธรรม ๒. รปู แบบในวงการวิชาชพี ถา้ เปน็ ข้อกำหนดกฎเกณฑ์อนั เปน็ ปทสั ถานสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพ นั้น ๆ ยึดถอื ปฏบิ ตั ิเรียกว่า “จรรยาบรรณ” ถา้ เป็นลกั ษณะเชิงพฤตกิ รรมทม่ี อี ยู่ในผู้ประกอบวิชาชีพหรือ เปน็ การแสดงออกมาจากตวั คนเรยี กวา่ “จรรยา” ๓.รูปแบบในวงงานหรอื ในหมู่คน ถ้าเป็นข้อกำหนดกฎเกณฑอ์ นั เปน็ ปทัสถานสำหรบั คนในวงงาน หรือหม่เู หลา่ น้ันยึดถือปฏิบัติเรียกวา่ วนิ ัย และทีเ่ ป็นลกั ษณะเชงิ พฤติกรรมท่ีแสดงออกมาของคนในวงงาน หรอื ในหมเู่ หล่าน้นั ก็เรียกว่าวินัยเชน่ กนั สรุปได้วา่ คุณธรรมจริยธรรมนบั ว่าเป็นพื้นฐานท่ีสำคัญของคนทุกคนและทุกวชิ าชีพ หากบุคคล ใดหรือวิชาชีพใดไม่มีคุณธรรมจริยธรรมเป็นหลักยึดเบื้องต้นแล้วก็ยากที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จแห่งตน และแห่งวิชาชีพนั้นๆ ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือการขาดคุณธรรมจริยธรรมทั้งในส่วนบุคคลและในวิชาชีพ อาจมี ผลรา้ ยต่อตนเอง สงั คมและวงการวิชาชพี ในอนาคตได้อกี ด้วย ดังจะพบเหน็ ได้จากการเกดิ วกิ ฤติศรัทธาใน วชิ าชพี หลายแขนงในปัจจุบนั ท้ังวงการวิชาชีพครู แพทย์ ตำรวจ ทหาร นกั การเมอื งการปกครอง ฯลฯ จงึ มีคำกล่าววา่ เราไม่สามารถสร้างครูดบี นพ้ืนฐานของคนไมด่ ี และไมส่ ามารถสรา้ งแพทย์ ตำรวจ ทหารและ นักการเมอื งทด่ี ี ถ้าบุคคลเหล่านั้นมพี นื้ ฐานทางนิสัยและความประพฤตทิ ี่ไม่ดี ผู้บริหารการศึกษาที่จะประสบความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ประสบความสำเร็จ และ ประสบความสุข นอกจากจะมีความรู้ความสามารถแล้ว ยังตอ้ งเป็นผมู้ คี ่านิยมท่ีถูกตอ้ งดีงาม เป็นค่านิยม ทพี่ ึงประสงค์ และเป็นผูม้ ีจรรยาบรรณในวิชาชพี มหี ลักปฏิบัตทิ ง้ั ในฐานะเป็นขา้ ราชการและในฐานะเป็น ผบู้ ริหาร ครู หรอื แมจ้ ะอยู่ในองคก์ ารหน่วยงานใดก็ตามกต็ ้องศรัทธาตอ่ วิชาชีพนั้นๆ ต้องรักและภาคภมู ใิ จ ในวิชาชีพนั้นๆ เห็นความสำคัญของวิชาชพี นั้นด้วยความชื่นชม ธำรงปกป้องรักษาเกียรติภูมขิ องวิชาชีพ เพื่อไม่ให้ใครมาดูหมิ่นดูแคลน ทำให้สถานะของวิชาชีพต้องตกต่ำ ทำให้ตนเองต้องมัวหมอง โดยเฉพาะ ผ้บู ริหารจะต้องอยใู่ นฐานะท่ีผู้คนรอบข้าง ผู้ใต้บังคับบญั ชา ใหค้ วามเคารพนบั ถอื อยา่ งจริงใจ เพ่ือการคน บริหารคนบริหารงานให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี จึงจำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องครองตนให้สมกับตำแหน่งหน้าท่ี และความรบั ผดิ ชอบ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ๑๔ ๔. ความสำคัญของจรรยาบรรณวชิ าชีพต่อผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ความสำคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพต่อผู้บริหารสถานศึกษา มีนักวิชาการ และกลุ่มองคก์ รทาง การศึกษาไดก้ ล่าวไวอ้ ยา่ งหลากหลาย ดงั น้ี ครูอาชีพดอทคอม (๒๕๖๓) ได้สรุปความสำคัญของจรรยาบรรณต่อผู้บริหารสถานศึกษา ไว้วา่ จรรยาบรรณในวชิ าจะเป็นส่งิ สำคัญในการที่จะจำแนกอาชพี ว่าเปน็ วิชาชพี หรือไม่ อาชพี ท่ีเปน็ “วิชาชีพ” นั้นกำหนดให้มีองค์กรรองรับ และมีการกำหนดมาตรฐานของความประพฤติของผ้อู ยู่ในวงการวิชาชีพซ่ึง เรียกว่า “จรรยาบรรณ“ ส่วนลักษณะ “วิชาชีพ ” ที่สำคัญคือ เป็นอาชีพที่มีศาสตร์ชั้นสูงรองรับ มกี ารศกึ ษาค้นควา้ วิจยั และพฒั นาวชิ าชพี มกี ารจดั การสอนศาสตรด์ ังกล่าวในระดบั อุดมศกึ ษาทัง้ การสอน ดว้ ยทฤษฎแี ละการปฏิบัติจนผู้เรยี นเกิดความชำนาญ และมปี ระสบการณใ์ นศาสตรน์ ้ัน นอกจากน้ีจะต้อง มีองค์กรหรือสมาคมวชิ าชีพ ตลอดจนมี “จรรยาบรรณในวิชาชีพ” เพื่อ ให้สมาชิกในวิชาชีพดำเนินชีวติ ตามหลกั มาตรฐานดังกล่าวหลักทีก่ ำหนดใน จรรยาบรรณวชิ าชพี ทัว่ ไป คอื แนวความประพฤติปฏิบัติที่มี ต่อวิชาชพี ต่อผู้เรียน ตอ่ ตนเอง และต่อสงั คม จรรยาบรรณวิชาชพี ครู มีความสำคญั ต่อวชิ าชีพครู เช่นเดียวกับที่จรรยาบรรณวชิ าชพี มีความสำคัญต่อ วชิ าชพี อ่นื ๆ ซงึ่ สรุปได้ ๓ ประการ คอื ๑. ปกปอ้ งการปฏิบัติงานของสมาชกิ ในวิชาชีพ ๒. รักษามาตรฐานวชิ าชพี ๓. พฒั นาวิชาชพี วริยา ชินวรรณโน (๒๕๔๖) ได้สรุปว่า ความสำคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพไว้ว่า ผู้ที่ประกอบ วิชาชีพเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมีความรู้ ความชำนาญสูงเกินกว่าคน ธรรมดาสามัญ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมี โอกาสท่จี ะใชว้ ชิ าความร้ขู องตนเพอ่ื หาประโยชน์โดยที่ประชาชน ทวั่ ไปไม่รู้ เท่าทัน เชน่ แพทย์อาจรักษา ผู้ป่วยแบบเลี้ยงไข้ ตำรวจอาจใช้ตำแหนง่ หนา้ ที่กลั่นแกลง้ ประชาชนเพ่ือแลกกับผลประโยชน์ หรือสินบน ครูก็อาจเบียดเบียนหาผลประโยชน์จากศิษย์ ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นในปัจจุบัน ในที่สุดสังคมก็เรียกร้อง จริยธรรมจากผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งได้มีการกำหนดขึ้นจากองค์กรหรือสมาคมวิชาชีพนั้นๆ โดยมี วัตถุประสงคส์ ำคญั อยู่ ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. เปน็ แนวทางใหผ้ ู้ประกอบวิชาชีพยึดถือปฏบิ ตั อิ ย่างถูกต้อง ๒. เพื่อให้วิชาชีพคงฐานะ ไดร้ บั การยอมรับและยกยอ่ งจากสงั คม ๓. เพ่อื ผดุงเกียรตยิ ศและศักดิศ์ รแี ห่งวชิ าชพี หลักการสำคัญของจรรยาบรรณวชิ าชีพ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑๕ ครูเชียงราย (๒๕๖๓) จากการศึกษาความสำคัญของจรรยาบรรณ สามารถได้ข้อสรุปว่า จรรยาบรรณครมู คี วามสำคญั ต่อผูท้ ี่เกีย่ วขอ้ งในสว่ นของผู้ประกอบวิชาชพี ครู ดังน้ี ๑. ช่วยควบคุมมาตฐานคุณภาพของครูให้ครูมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ทั้งด้านการประพฤติ ปฏิบตั ติ นเละจรยิ ธรรมของครู ๒. ช่วยส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพและปริมาณที่ดี มีคุณค่าสู่สังคม ทำให้ครูได้รับความเชื่อถือ ศรทั ธาจากผู้พบเหน็ ๓. ช่วยพิทักษ์สิทธิในการประกอบวิชาชีพครูและควบคุมมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพ ๔. ชว่ ยลดปัญหาความประพฤติปฏิบัติของครูที่ไมเ่ หมาะสม ไม่สมควร ผดิ หลักศลี ธรรมคุณธรรม เชน่ ความประพฤตผิ ิดทางเพศ การทำร้ายร่างกายเดก็ การเอารัดเอาเปรยี บเดก็ ๕. ช่วยเน้นภาพลักษณ์ของครูที่มีคุณธรรมจริยธรรมให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น เช่น ความรัก ความ เมตตา ความเสียสละ อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน และความโอบ ออ้ มอารี ๖. ชว่ ยรกั ษาชอื่ เสียง เกยี รตยิ ศ และศกั ดศิ์ รขี องผู้อย่ใู นวงการวิชาชีพ ๗. ชว่ ยให้ครไู ดต้ ระหนักรูใ้ นความสำคัญของบทบาทหน้าทีแ่ ละภาระงานของตนต่อสงั คม ๘. ชว่ ยปลกู ฝงั คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์และการประพฤตปิ ฏิบัติตนของครูให้ถูกต้องตามทำนอง คลองธรรม พภิ พ วชังเงนิ (๒๕๔๘) ได้กล่าวถึงความสำคญั ของจรรยาบรรณวิชาชีพ ไว้ดังนี้ ๑. เพ่อื ส่งเสริมให้ผู้ประกอบวิชาชพี แต่ละประเภท ประพฤตปิ ฏิบัติตนถกู ต้อง เหมาะสมตามท่ีแต่ ละอาชีพไดว้ างหลกั ไว้ใหเ้ ปน็ จรรยาบรรณ ถา้ หากกระทำผดิ ย่อมมีความผดิ ๒. ช่วยควบคุมและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทำงานอย่างมีประสทิ ธภิ าพ มีความสำนึกในหนา้ ท่ี และมคี วามรับผดิ ชอบต่องานทีต่ นทำ ๓. ส่งเสริมและชว่ ยควบคุมการผลิตและการปฏิบตั ิงานให้มปี ริมาณและคณุ ภาพที่น่าเช่ือถือได้ มี บรกิ ารทดี่ ีและปลอดภยั ๔. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีความซื่อสัตย์ มีความยุติธรรม ไม่ทุจริตต่อหน้าที่ สามั คคี เออ้ื เฟอ้ื เผ่อื แผ่ ๕. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพประเภทต่าง ๆมีความสำนึกว่าการประกอบอาชีพที่ไม่เห็นแก่ตวั ไม่เอารัดเอาเปรียบผูบ้ รโิ ภค ตรงไปตรงมาเป็นกศุ ล สงั คมยกยอ่ ง ๖. จรรยาบรรณช่วยพทิ กั ษส์ ิทธิ์และหน้าที่ของผ้ปู ระกอบอาชีพน้ัน ๑ ตามกฎหมาย มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ๑๖ ไพพรรณ เกยี รติโชติชยั (๒๕๓๖) สรปุ ความสำคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพไว้ดงั นี้คอื ๑.เพื่อควบคุมมาตรฐาน ประกันคณุ ภาพ และปริมาณทีถ่ ูกต้องในการประกอบวิชาชีพ ๒.เพื่อส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพและปริมาณที่ดี มีคุณค่าและเผยแพร่ให้รู้จักเป็นที่นิยม เช่อื ถอื ของผูร้ บั ผดิ ชอบ ๓.เพื่อควบคุมจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพ ช่วยให้มีความมั่นคงความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม ฯลฯ ๔.เพื่อส่งเสรมิ คุณธรรมของผู้ประกอบวชิ าชีพอาชพี ใหม้ ีเมตตากรณุ า เห็นอกเห็นใจสามัคคี กนั ฯลฯ ๕.เพอ่ื ลดปญั หาการประพฤติผิดต่างๆ ลดปัญหาการคดโกง ฉ้อฉล เอารดั เอาเปรียบ โดยใช้ ขอ้ บงั คับลดการเหน็ แกไ่ ด้ ตลอดจนความมักง่าย ความใจแคบไม่เสียสละ ฯลฯ ๖.เพื่อเน้นภาพลักษณท์ ี่ดีของผู้ประกอบวิชาชีพในดา้ นการมีจริยธรรมให้ชัดเจนยิ่งข้ึน เช่น การเหน็ ประโยชน์ของส่วนรวม การรับผิดชอบในหนา้ ทีการงานและอาชีพอย่างแทจ้ รงิ ฯลฯ ๗.เพื่อพิทักษ์สิทธิในการประกอบวิชาชีพตามกฎหมาย และควบคุมวิชาชีพให้ดำเนินตาม ครรลองครองธรรม สรุปได้ว่า จรรยาบรรณของวิชาชีพมีความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศึกษา ในการช่วยควบคุม มาตรฐาน คุณภาพของบุคคลในองค์กร โดยใช้เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพยึดถือในการประพฤติ ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องให้ตระหนักรู้ในความสำคัญของบทบาทหน้าที่และการะงานของตนต่อองค์กร และสังคม อีกท้ังยงั ชว่ ยปลูกฝงั คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์และการประ พฤตปิ ฏิบัติตนให้ถกู ตอ้ งตามทำนอง คลองธรรม เพือ่ รักษาชอ่ื เสยี ง เกยี รตยิ ศและศกั ดิ์ศรีของผอู้ ยู่ในวงการวชิ าชีพให้วิชาชีพคงฐานะได้รับการ ยอมรับและยกย่องจากสงั คม และผคงุ เกียรติยศ ศักดิศ์ รแี หง่ วิชาชีพ ๕. ประโยชน์ของจรรยาบรรณวิชาชพี ตอ่ ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา จรัส ตั้งโซ๊ะ (๒๕๕๕) ได้สรุปประโยชน์ของจรรยาบรรณต่อผู้บริหารสถานศึกษา ไว้ว่า จรรยาบรรณในวิชาชพี ของผ้บู ริหาร เปน็ ประโยชน์ตอ่ การเสรมิ สรา้ งเกียรติภมู แิ ละศักด์ิศรขี องผู้บริหารให้ ไดร้ บั การยกย่อง เชือ่ ถอื ศรัทธาจากสังคมมาก รตั นวดี โชติกพนชิ (๒๕๕๐) ไดส้ รุปประโยชนข์ องจรรยาบรรณต่อผู้บริหารสถานศึกษา ไวว้ ่า ๑. ช่วยควบคุมมาตรฐาน รับประกันคุณภาพที่ถูกต้องในการประกอบอาชีพ ในการผลิตและ การคา้ ๒. ชว่ ยควบคุมจริยธรรมของผู้ประกอบอาชพี มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ๑๗ ๓. ช่วยสง่ เสริมมาตรฐาน คุณภาพ และปรมิ าณท่ดี มี ีคณุ ค่าและเผยแพรใ่ หร้ ้จู กั เปน็ ท่ีนยิ มเชอื่ ถือ ๔. ชว่ ยสง่ เสริมจริยธรรมของผูป้ ระกอบอาชพี ๕. ชว่ ยลดปัญหาอาชญากรรม ลดปญั หาการคดโกง เอารดั เอาเปรยี บ เห็นแก่ตวั ๖. ช่วยเนน้ ใหเ้ หน็ ชัดเจนย่ิงขน้ึ ในภาพพจนท์ ่ดี ีของผูม้ จี รยิ ธรรม ๗. ช่วยทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิตามกฎหมายสำหรับผู้ประกอบอาชีพให้เป็นไปถูกต้องตามทำนอง คลองธรรม อรุณศรี ศาสตรานิติ (๒๕๒๕ : ๑๔-๑๘) ไดก้ ล่าววา่ ในปัจจุบนั คนในสังคมเริ่มให้ความสนใจกับ เรื่องจรรยาบรรณมากขึ้น เริ่มมีการตั้งคำถามกับวิชาชีพต่างๆว่ามีจรรยาบรรณหรือไม่ ถ้ามีจรรยาบรรณ น้นั คอื อะไร และมีการปฏบิ ัติตามจรรยาบรรณหรอื ไม่ สงั คมมองวา่ ปัญหาตา่ งๆ ทีเ่ กดิ ขน้ึ โดยเฉพาะปัญหา ทข่ี ัดตอ่ ความสงบสขุ ของสังคม ปัญหาท่สี ัน่ คลอนสังคมไม่วา่ จะเปน็ วกิ ฤดเิ ศรษ ฐกจิ ปญั หาโสเภณี ปัญหา ยาเสพติดฯลฯ ล้วนเกิดจากความไม่มีจรรยาบรรณของคนในอาชีพต่างๆ ทั้งสิ้น ในขณะเคียวกันสังคม ขยายตัวมากข้นึ เปน็ โลกาภวิ ัตน์ การไหลของข้อมลู ข่าวสารเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว ทำให้ผูบ้ รโิ ภคไดร้ ับความรู้ กว้างขึ้นและเข้าใจสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตน หันมาดูแลผลประโยชน์ของตนมากขึ้น การมีจรรยาบรรณ และการปฏิบัติตามจรรยาบรรณนั้นมีประโยชน์ต่อสังคม วิชาชีพหน่วยงาน และผู้ปฏิบัติตาม จรรยาบรรณเอง คอื ๑. ประโยชน์ต่อสังคม ๑.๑ เสริมสร้างความเปน็ ธรรมในสงั คม ทำให้สังคมไม่ถกู เอาเปรยี บจากกลุ่มคนท่ี อย่ใู นวิชาชพี ตา่ งๆ ซ่ึงมักจะรวมตัวกนั เพ่ือรักษาผลประโยชนข์ องตนเองและต่อรองกับสงั คม ๑.๒ เสรมิ สร้างและจรรโลงจรยิ ธรรมของสงั คม ใหเ้ ป็นสงั คมทีด่ ี สงบสขุ น่าอยู่ ปราศจากปัญหา ๑.๓ ช่วยลดภาระของสังคมในการแก้ปัญหาทเี่ กดิ ขน้ึ จากการประพฤตปิ ฏบิ ัตขิ อง คนในวชิ าชีพตา่ งๆ อย่างไรจ้ รรยาบรรณ เชน่ ปญั หาสิง่ แวคล้อม ปัญหาเดก็ จรจัด ปญั หาคนว่างงาน เปน็ ต้น เพราะหากสามารถลดภาระเหลา่ นี้ของสังคมได้ สงั คมก็จะท่มุ เทใหก้ ับการสร้างสวัสดกิ าร และคุณภาพชีวติ ให้กับสมาชกิ ของสังคมไดม้ ากขน้ึ ๒. ประโยชน์ต่อวิชาชพี /หน่วยงาน ๒.๑ ได้รับความคมุ้ ครองจากกฎหมายและสงั คม ๒.๒ สรา้ งผลประ โยชนท์ างธุรกิจท่ยี าวนานให้แกห่ น่วยงานและวิชาชพี เน่ืองจาก การมีจรรยาบรรณแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมการไม่เอาเปรียบสังคมจึงได้รับการสนับสนุน และ อปุ ถัมภ์จากสงั คมเป็นอยา่ งดเี พราะสังคมมคี วามเชื่อม่ันและศรทั ธาเปน็ จุดขายของวิชาชพี นัน้ ๆ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๑๘ ๒.๓ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของวิชาชีพและหน่วยงานทำให้เกิดความเชื่อถือว่าเป็น หน่วยงาน/วิชาชพี ทต่ี ้งั ม่ันอยู่บนความถกู ต้อง ๓. ประโยชนต์ อ่ ตนเอง ๓.๑ เป็นหลักในการปฏิบัติของสมาชิกวชิ าชีพโดยเฉพาะสมาชิกใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการ เอารัดเอาเปรยี บกนั เอง ๓.๒ ชว่ ยลดความเสย่ี งต่อการปฏิบตั ิผิดกฎหมาย หลักธรรมและกฎเกณฑท์ างสังคม ๓.๓ ช่วยให้รู้ทิศทางความรับผิดชอบต่อสังคมของวิชาชีพที่ตนอยู่ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการ ปฏบิ ตั ติ น ๓.๔ ช่วยเป็นเกราะปอ้ งกันตนเองจากการถกู บบี คัน้ ให้กระทำสงิ่ ทไ่ี ม่ถูกตอ้ ง ๓.๕ ช่วยตดั สนิ ใจเมื่อต้องเผชญิ กบั สภาวะที่ไมร่ วู้ า่ ควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ๓.๖ สง่ เสริมใหต้ นเป็นท่ีนบั ถือของสงั คม จากประโยชน์ของจรรยาบรรณทีก่ ลา่ วมาข้างต้น สรุปได้วา่ จรรยาบรรณมีประโยชนท์ ัง้ ต่อตนเอง สังคม และหนว่ ยงาน ซึง่ บุคคลและหน่วยงานควรให้ความสำคญั และนำมาเปน็ แนวทาง ในการพัฒนาหนว่ ยงาน สรปุ จากประโยชนข์ องจรรยาบรรณท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปไดว้ า่ จรรยาบรรณมีประโยชน์ทั้งต่อ ตนเอง สังคม และหน่วยงาน ซึ่งบุคคลและหน่วยงานควรให้ความสำคัญและนำมาเป็นแนวทาง ในการ พัฒนาหนว่ ยงานจรรยาบรรณมีประโยชน์ผู้บริหาร เปน็ ประโยชน์ตอ่ การเสริมสร้างเกียรติภูมิและศักด์ิศรี ของผู้บรหิ ารใหไ้ ด้รบั การยกย่อง เชือ่ ถอื ศรัทธาจากสงั คม ๖. แนวคดิ ทฤษฎี หลกั การ ตามหลักจรยิ ธรรมตอ่ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา คุณธรรมและจริยธรรม มีความสำคัญอยู่ที่การให้คุณค่าของบุคคลจนเกิดเป็นความประทับใจ อย่างลึกซึ้งเรียกวา่ เป็นค่านิยมเฉพาะของบุคคลต่อสิ่งนัน้ ๆ จริยธรรมที่เกิดจากค่านิยมอาจแบ่งออกได้ เป็น ๒ ประการ ประการแรก คือ ค่านิยมพื้นฐาน เป็นค่านิยมที่ทำให้บุคคลมคี ุณธรรมประจำใจ มีธรรม เนียมประเพณีท่ีดี กฎหมาย และกฎระเบยี บท่คี วบคุมสังคม และ ประการที่ ๒ คอื ค่านยิ มวิชาชีพ ทำให้ บคุ คลมีอดุ มการณป์ ระจำวิชาชพี มีจรรยาบรรณวิชาชีพหรือมีพระราชบัญญตั ิวิชาชพี เป็นต้น (จำเริญรัตน์ เจือจนั ทร์, ๒๕๔๘) มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑๙ ๑. สมั พันธ์ระหว่างกฎกบั ทฤษฎี กฎ คือ สิ่งที่เป็นสากลที่ทุกคนในสงั คมยอมรับได้ เป็นข้อตกลงท่ียอมรับร่วมกันเป็นเหตุ เป็นผลที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง กฎ อาจเกิดได้ใน สองลักษณะด้วยกัน คือ เกิดจากการอุปมาน ขอ้ เท็จจริง โดยการรวบรวมจากข้อเท็จจรงิ ท้ังหลาย ๆ ขอ้ เทจ็ จริง หรอื จากการอนมุ านทฤษฎี โดยการดึง เอาส่วนยอ่ ย ๆ ของทฤษฎมี าสงั เคราะหเ์ ป็นกฎ กฎที่ดีต้องเป็นหลักท่ีเน้นความสำคญั ระหว่างเหตุผลและ กฎมีความเป็นจริงในตัวของมันเอง มีความเป็นปรนัยและสามารถพิสูจน์ทดลองได้ผลตรงกันทุกครั้งและ ถ้าหากมผี ลการทดลองใดที่ขัดแยง้ กับกฎแล้ว กฎนัน้ ต้องยกเลกิ ไป แต่กฎไมส่ ามารถอธบิ ายให้เข้าใจได้ว่า ทำไมเหตุกับผลจึงมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น สิ่งที่สามารถอธิบายได้ระหว่างเหตุกับผลในตัวกฎ กฎและ ทฤษฎจี งึ มคี วามสัมพันธ์เก่ียวโยงกัน เชน่ กฎของพุทธจรยิ ศาสตร์ คือ หลักของทฤษฎพี ุทธศาสตร์ เพราะ เกดิ จากการอปุ มานข้อเทจ็ จรงิ โดยการรวบรวมจากข้อเท็จจริงทัง้ หลาย ๆ ข้อเทจ็ จรงิ ของพุทธจรยิ ศาสตร์ มาสังเคราะห์ เป็นมโนคติแลว้ เอามโนคตทิ ั้งหลายมาสงั เคราะหเ์ ป็นหลักการ ๒. ทฤษฎีทางจริยธรรม ทฤษฎีทางจรยิ ธรรมมีความหลากหลายท้ังจากมุมมองของนักปรัชญา นักจิตวิทยา และ นกั จริยศาสตร์ เป็นตน้ ซง่ึ เป็นประโยชนใ์ นการพจิ ารณาหลักคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ๒.๑ ทฤษฎีทางจริยธรรมเชิงจริยศาสตร์ ในแต่ละทฤษฎีจริยธรรมเชิงจริยศาสตร์มี สาระสำคัญซึ่ง จำเรญิ รัตน์ เจือจนั ทร์ (๒๕๔๘) ไดน้ ำมาสรุปเป็นแนวทางเพือ่ ประยกุ ต์ใช้ ดงั น้ี ๑) ทฤษฏีจริยศาสตร์ของ อริสโตเติล (Aristotle) อริสโตเติล มองว่า คุณธรรม จริยธรรมทำให้มนุษย์มองเห็นแต่สิง่ ที่มคี ุณค่าเป็นลักษณะคุณธรรมเชิงพุทธิปัญญา ซึ่งเกิดจากการเรียน การสอน การได้รับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และคุณธรรมจริยธรรมที่เกิดจากพฤติกรรมที่อยู่ใน ธรรมชาติของมนุษย์ ต้องอาศัยการอยู่ร่วมกัน ประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องร่วมกันคุณธรรมจริยธรรม จะต้องมีลักษณะสภาวะความเป็นกลาง ความดีหรือลักษณะทางสายกลางเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพราะต้อง สลดั ส่ิงท่ีตดิ อยู่ท่ีปลายท้ังสองด้านทเี่ ป็นความเขม้ ข้นและความออ่ นดอ้ ยออกเสยี ก่อน การทำไดก้ ็จะเข้าถึง ความดี ความดีที่ อริสโตเติล กล่าวถึง คือ การอยู่ดี ทำดีและชีวิตประสบความสุขโดยมุ่งหวังให้ทุกอย่าง เป็นไปตามสภาวการณ์หรือเป็นไปตามธรรมชาติอย่างแท้จริง หลักทฤษฎีทางจริยธรรมของ อริสโตเติล สามารถนำมาปรับใช้กับการบริหารการศึกษาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลักการว่าด้วยความดี ความสุข และทางสายกลาง เป็นตน้ การนำมาใชเ้ พื่อปลูกฝังให้ นกั เรียน ครู อาจารย์ ผใู้ ต้บังคับบัญชาให้ฝักใฝ่ใน ความดีกจ็ ะทำให้สงั คมมีความสงบสุข มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู รหิ ารสถานศึกษา ๒๐ ๒) ทฤษฎสี มั พัทธนยิ มทางจรยิ ธรรม ยึดถือว่าหลักการทางจริยธรรมทั้งหลายขึ้นอยู่กับ การยึดถือของสังคมที่บุคคลน้ันอาศัยอยู่ กลุ่มบุคคลในสังคมอื่นอาจจะไม่ได้มีส่วนเก่ียวข้องโดยตรง การ ยดึ ถือของคนในสังคมมีพนื้ ฐานมาจากวัฒนธรรม ประเพณี วถิ ีประชา วถิ ีทางการชีวติ ซ่ึงยึดถือปฏิบัติสืบ ทอดกันมา ช้านานดังนั้นจริยธรรมของสังคมนั้นจึงเป็นเรื่องปรากฏต่อสายตาของผู้ยึดถือซึ่งเป็นส่ิงที่ใน สังคมน้ันยดึ ถอื ร่วมกนั ดงั เช่น การที่ภรรยาหม้ายต้องกระโดดกองไฟตายตามสามี เป็นพฤติกรรมทีแ่ สดง ความรักและซ่ือสัตย์ต่อสามขี องคนในสังคมหนึ่งซ่ึงสังคมอืน่ อาจมองว่าเปน็ ความโหดร้าย การยึดถือจริยธรรมแบบสัมพัทธนิยมอาจจะมีลักษณะของการตัดสินใจด้วยตนเองหรือ ให้กลุ่มคนในสังคมเป็นผู้ตัดสินซึ่งถือว่าเป็นข้อยุติไมส่ ามารถโตแ้ ย้งได้ ซึ่งไม่อาจนำเอาแนวความคิดของ สังคมอื่น ๆ มาเป็นข้อโต้แย้งได้ เพราะการตดั สินใจของกลุม่ คนในสงั คมเป็นความตั้งใจ แม้ว่าจะเกิดจาก ความไม่เข้าใจหรือก่อให้เกิดอันตรายก็ตามก็ถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของสังคมนั้นในเวลานั้น นัก บรหิ ารจงึ ต้องมีความระมดั ระวงั ท่ีจะตอ้ งมจี ริยธรรมบนฐานความคดิ ทถี่ ูกตอ้ ง ๓) ทฤษฎีอัตนิยม เป็นทฤษฎีทางจริยศาสตร์ทีม่ ีหลักการในการมุ่งเน้นตนเองเห็นหลกั หรือยึดถอื ประโยชน์ส่วนตัวเปน็ ประการสำคัญ และถือวา่ เปน็ หลักการที่ถูกตอ้ งตามหลกั จริยธรรมแม้จะ ไม่เป็นที่ยอมรบั เพราะถือว่าไม่สมเหตสุ มผลของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าทฤษฎีอัตนิยมจะยึด ตนเองเป็นสำคัญแต่ก็มลี ักษณะของความสมเหตุสมผลในเชิงความคิดด้านจริยธรรมในมุมมองที่เป็นการ ส่งเสริมตนเองซึ่งมีส่วนเกี่ยวโยงกับการส่งเสริมความดีให้แก่คนส่วนใหญ่ด้วย อัตนิยมมีการประเมิน ทางเลือกไวว้ ่าจะยดึ ถือในส่ิงที่ตนเองชอบใจและทำในสงิ่ ที่ตนชอบถ้าไม่ขัดตอ่ หลกั ศีลธรรมจริยธรรมอันดี และเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งท่ีตนไม่ชอบ การได้รบั ความสุขจากสิ่งที่ตนทำและการช่วยเหลือผูอ้ ื่นเนือ่ งจาก เกิดความต้องการที่จะช่วยเหลือซ่ึงเป็นแรงผลักดันให้ทำพฤติกรรมนั้นก็เป็นหลกั การของอัตนิยมเช่นกัน ดงั นัน้ อัตนยิ มจึงมลี ักษณะท่ียึดถือตนเองเปน็ หลักเพ่ือเลือกแนวทางซง่ึ แนวทางทีเ่ ลือกกอ่ ให้เกิดประโยชน์ ต่อตนเองและในทางกลบั กันตนเองได้รบั ประโยชนจ์ ากการให้ประโยชนแ์ กส่ ังคมดว้ ย นักบริหารที่ยดึ อัตนยิ มจะมคี วามเชื่อว่าทกุ คนมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง และยึดถอื ความคิดเหน็ ของตนเองในการตดั สินปญั หาต่าง ๆ โดยคิดว่าตนเปน็ ท่พี งึ่ แห่งตน ซึ่งอาจจะทำให้ขาดความ เคารพในความคิดเห็นของผู้ร่วมงาน แต่อย่างไรก็ตามการบูรณาความคิดที่พึ่งพาตนเองและการเปิดใจ กวา้ งยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผู้อื่นเพอ่ื เป็นแนวทางในการตดั สินใจจึงเป็นหัวใจสำคัญของทฤษฎอี ัตนิยม ๔) ทฤษฎอี รรถประโยชนเ์ ชิงการกระทำและเชิงระเบยี บ อรรถประโยชนเ์ ชงิ การกระทำ แถลงว่า การกระทำจะถูกหรือผิดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่าผลของการกระทำนั้นก่อให้เกิดประโยชน์มาก น้อยเพียงใด การกระทำที่ถกู คือการการทำที่ก่อให้เกดิ ความสุขหรือหลุดพ้นจากความทุกข์และเป็นการ กระทำท่ใี หผ้ ลแหง่ ความสุขแก่คนจำนวนมากดว้ ย เรยี กการกระทำทีถ่ กู ตอ้ งน้วี ่าเปน็ ความดี การกระทำที่ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๒๑ ผิด คือ การกระทำที่นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาสู่คนจำนวนมาก การวัดการกระทำดังกล่าวต้อง พิจารณาจากสถานการณแ์ ละสิ่งแวดลอ้ มเพื่อนำมาคำนวณค่าของความสุขและความทุกข์เปน็ เชิงปริมาณ ดังนน้ั การกระทำทั้งหลายยอ่ มมีผลเป็นประโยชน์หรอื โทษแกผ่ ูท้ ำตามมาเสมอ ทฤษฎีอรรถประโยชน์เชิงระเบียบ เป็นการมองถึงการจัดระเบียบทางสังคมโดยใช้ กฎระเบยี บทางสงั คม กฎหมายบ้านเมอื งมาใชเ้ พราะส่ิงเหล่านจ้ี ะใหค้ วามสำคญั ของรูปแบบการกระทำที่ ตอ้ งเป็นไปตามหลกั จรยิ ธรรมโดยมกี ฎระเบยี บรองรับ ซงึ่ ต้องเปน็ กฎระเบียบท่ีตอ้ งได้รับการยอมรับตาม หลกั ตรรกวิทยาด้วย นักบริหารอรรถประโยชน์ตอ้ งคำนึงถึงหลักการที่จะนำมาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพใน การทำงานสูงสุด แต่นักจริยศาสตร์ยังเชื่อว่า กฎระเบียบจะเกิดผลดีต่อสังคมในลักษณะของการ ประนีประนอมอีกดว้ ย ๕) ทฤษฎสี ุขนิยม เปน็ ทฤษฎีที่เชอ่ื ว่าความสขุ เปน็ สงิ่ ท่ีดีทส่ี ุดสำหรับมนุษย์ดังนั้น สิ่งที่ดี คือสิ่งที่พาไปสู่ความสุข และแนวทางในการนำไปสู่ความสุขตามทัศนะของสุขนิยมนี้เน้นไปที่ความสุขท่ี สัมผัสได้อยา่ งเป็นรูปธรรม บุญมี แท่นแก้ว (๒๕๔๑) กล่าวว่า ความสุขที่เป็นจดุ หมายของชวี ิตตามความ เชอื่ นแ้ี บ่งออกเปน็ ๒ ประการ คอื ประการที่หนึ่ง ความสุขส่วนตน ได้แก่ ความสุขที่เน้นตัวเองเป็นสำคัญ และให้คุณค่า ของสิ่งนั้นมากที่สุด ความสุขส่วนนี้ได้จากการสัมผัสถูกต้องด้วยอวัยวะรับสัมผัส เช่น ตาดู หูฟัง จมูกได้ กล่ิน ล้ินรบั รส และผวิ หนงั รับความร้สู กึ ประการที่สอง ความสุขส่วนรวม ได้แก่ ความสุขที่เน้นคนส่วนรวมเป็นสำคัญ การแสดง พฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่กระทำจึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการช่วยให้สังคมมคี วามสุขด้วย หลักธรรมที่สขุ นิยมนำเสนอว่าเป็นความดีสูงสุดและเป็นแนวทางที่นำไปสู่ความสุขหลายประการ เช่น ทางสายกลาง อรยิ ทรัพย์ เบญจศลี เบญจธรรม มงคลชีวติ บญุ กิริยาวัตถุ อทิ ธิบาท อรยิ ทรัพย์ เปน็ ต้น โดยเฉพาะธรรมที่ เป็นอริยทรัพย์นั้น จำเริญรัตน์ เจือจันทร์ (๒๕๔๘) กล่าวว่า นักบริหารการศึกษาสามารถจะนำไป ประยุกตใ์ ชไ้ ด้ในทุกประเด็น ตามเจตนารมณข์ องพระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ ดงั น้ี (๑) ศรัทธา การมีความเช่ืออย่างมีเหตผุ ล (๒) ศีล การควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจให้อยู่ในกฎระเบียบอนั ดีงามของสังคม ซง่ึ ได้แก่การมีศีล (๓) หิริ การมคี วามละอายตอ่ พฤติกรรมท่ีไมพ่ งึ ประสงค์ เชน่ คิดฉอ้ ราษฎร์บงั หลวง (๔) โอตตัปปะ การมีความอดกลน้ั โดยเกรงกลวั ที่จะไม่ทำช่ัว มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๒๒ (๕) พาหสุ จั จะ การรอบรู้ รลู้ กึ โดยใช้หลักการรับฟังข้อเสนอแนะ รู้จกั โตแ้ ยง้ ดว้ ยหลักการ ที่เป็นเหตุเปน็ ผล รูจ้ กั วิธกี ารวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และนำไปสกู่ ารบรู ณาการเปน็ ข้อมูล สำหรบั การบริหาร จดั การการศกึ ษา (๖) จาคะ การมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเสียสละ มีน้ำใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและ ผู้อน่ื (๗) ปัญญา การมีความรู้ที่กว้างและเห็นจริง มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเหตุผล รู้ว่า อะไรดี อะไรช่ัว ถูก ผดิ มคี ณุ มีโทษ มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ เปน็ ต้น นักบริหารหากว่าต้องการจะประสบความสำเร็จและมีความสุขทั้งในส่วนตนและใน ส่วนรวม จะต้องเปน็ ผทู้ ม่ี อี ริยทรัพย์ในตน โดยมุ่งยดึ หลกั การแห่งวิชาชีพของตนว่าองค์กรทางการศึกษา เป็นองค์กรที่บ่มเพาะภูมิปัญญา ตลอดจนมุ่งสร้างและสั่งสมความดี เป็นแหล่งปลุกฝังคุณธรร มเพื่อ ความสุขในการดำรงชวี ติ ๖) ทฤษฎจี ริยธรรมของคานท์ (Kant) เปน็ ทฤษฎที กี่ ล่าวถึงคณุ ค่าของการปฏิบัติตาม หลักจริยธรรม ว่าต้องเปน็ เจตนาทีด่ ีและเกดิ จากความตั้งใจจริง หรือมีมูลเหตุที่จูงใจให้ทำในสิ่งท่ถี กู ต้อง โดยเริม่ จากเหตุการณจ์ ูงใจท่ีดีจะเป็นเงือ่ นไขในการกระทำดีและผลจากการกระทำดนี ้ันจะเป็นผลดีและมี ประโยชน์ การกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นหลักสากล เป็นลักษณะของการกระทำตามหน้าที่และการให้ ความเคารพยำเกรง มีเงื่อนไขและมีความเด็ดขาด โดยใช้ คติบท (Maxim) เป็นลักษณะการบรรยายการ กระทำเชิงอตั นยั โดยมีพนื้ ฐานทด่ี ี และมีความรูส้ ึกแฝงดว้ ยเจตนาดเี สมอ ตามหลักการของ คานท์ ผู้บริหารจะต้องทำตามหน้าท่ีบริหารการศกึ ษาให้ก่อประโยชน์ ต่อบคุ คลทเี่ ขา้ มาเกยี่ วข้องในด้านการศกึ ษา และสงิ่ ที่สำคัญทีส่ ุด คอื ต้องรวู้ า่ หน้าทขี่ องตนคืออะไร ๗) ทฤษฎีอภิจริยศาสตร์ เป็นหลักการที่กล่าวถึงความหมายในรายละเอียดด้วยการ วเิ คราะหเ์ ชงิ ลึกในส่งิ ทป่ี รากฏว่าคืออะไร เพือ่ นำมากำหนดให้ชดั เจน เพอื่ นำไปสู่การแก้ปัญญาและความ ไม่เข้าใจที่ตรงกัน โดยเฉพาะในความหมายของคำว่า ความดี ความเลว ความถูกต้องและความผิด การ กำหนดนิยามทเ่ี ฉพาะลงไปให้ชัดเจนตรงกนั โดยเฉพาะในเหตุการณ์หรอื สถานการณ์ทีป่ รากฏใน ขณะนั้น แต่ตามหลักการแล้ว ธรรมชาติ คอื ความจรงิ และความดคี วามงามเปน็ คุณสมบัติของธรรมชาติและมีคุณค่า อยู่ในตวั เองอยู่เสมอ จำเริญรัตน์ เจือจันทร์ (๒๕๔๘) อ้างถึงนักจริยศาสตร์ มัวร์ (Moore) ว่าได้กล่าวถึง คุณค่าทางจริยธรรมว่าไม่อาจนิยามได้ด้วยสิ่งที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือ ปรากฏการณ์ และความดีไมอ่ าจนิยามได้เพราะเปน็ คุณสมบัตทิ ี่ไม่ใช่เปน็ ธรรมชาติ ความดเี ป็นความจริงที่ อยู่ในตัวมนั เอง สามารถรับรู้จนิ ตนาการและสมั ผัสไดจ้ ากจิตสำนกึ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๒๓ ทฤษฎีนี้ยังมีความคิดที่ลึกซึ้งในเรื่องของธรรมชาติจึงเกิดเป็นหลักในการศึกษาขึ้น เรียกวา่ ทฤษฎีธรรมชาตินยิ มในอภิจริยศาสตร์ เนือ่ งจากนกั ธรรมชาตินิยมไมไ่ ดม้ องธรรมชาตใิ นแงด่ ีเสมอ ไป เพราะความดแี ละความไมด่ ีของธรรมชาตมิ ีอยใู่ นตัวเองและแยกออกจากกนั ไมไ่ ด้ ดงั น้นั มนุษยจ์ งึ มอง สิง่ ทเี่ ปน็ วตั ถสุ ง่ิ เดยี วกันไมเ่ หมือนกนั บางคนอาจจะมองวา่ ดแี ละบางคนอาจจะมองว่าไม่ดีกไ็ ด้ นักบริหาร การศึกษาต้องเรียนรู้ในเรื่องธรรมชาติของคน เพราะการรู้ธรรมชาติเป็นกลยุทธของการบริหารอย่างมี คุณธรรมและจริยธรรม ๘) ทฤษฎีแบบแผน จากแนวความคิดของ รอสส์ (Ross) กล่าวว่า จากหลักของพหุ นยิ มน้นั คณุ ลกั ษณะทีห่ ลากหลายสามารถกอ่ ให้เกิดความถูกต้องได้ ดังนนั้ แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับหน้าท่ี จึงเป็นหลกั เดน่ สำคัญที่ตอ้ งพิจารณาก่อน โดยกำหนดให้หน้าท่ีเปน็ เงอ่ื นไขซึ่งผกู พันกบั ข้อเท็จจริง ถือว่า เปน็ หนา้ ท่ที ตี่ อ้ งกระทำโดยหลีกเลย่ี งไมไ่ ด้ เชน่ ความซ่อื สตั ย์ การชดใช้ ความกตญั ญู ความยุตธิ รรม เป็น ต้น นอกจากนี้ยังต้องมีการจัดลำดับความสำคัญและตรวจสอบการกระทำว่าตกอยู่ในรายการใด ดัง ตัวอยา่ งเช่น (๑) หนา้ ทท่ี ี่ตอ้ งรักษาคำม่ันสัญญา (๒) หนา้ ทท่ี ี่ต้องชดใชห้ รือชดเชย (๓) หนา้ ที่ทตี่ ้องกตญั ญรู ู้คุณ (๔) หน้าที่ท่ีต้องให้ความยุติธรรม (๕) หนา้ ทท่ี ต่ี ้องไดร้ ับประโยชน์ (๖) หน้าทที่ ่ตี อ้ งปรับปรงุ ตนเอง (๗) หน้าทท่ี ีไ่ ม่ประทษุ ร้ายคนอ่ืน ดังนัน้ การได้ประโยชนจ์ ากการกระทำ การพัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมการมเี จตนาท่จี ะ ไม่ทำร้ายผู้อื่น ความมีเมตตา กรุณา และความพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไห้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ ดังนั้นการ กระทำที่ถูกต้อง คือ การกระทำตามหนา้ ที่ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีทางเลือก แต่ถ้ามีทางเลือกก็จะต้อง จัดลำดับทางเลือกทใี่ หป้ ระโยชนส์ ูงสดุ เป็นอนั ดบั แรกในการกระทำ (จำเริญรัตน์ เจอื จันทร์, ๒๕๔๘) ๙) ทฤษฎอี าเวค เปน็ ทฤษฎีท่ีกลา่ วถงึ จรยิ ภาษา เนื่องจากมนุษย์ใช้ภาษาเปน็ เครื่องมือ สะท้อนความคิดและอารมณ์ ความสำคัญของจริยภาษาจึงเป็นภาษาที่แสดงถึงจริยธรรม การออกคำสั่ง คำขอร้อง ทั้งที่เป็นภาษาเขียนและภาษาพูดต่างแฝงด้วยอารมณ์ทั้งสิ้น ดังนั้นการแสดงออกจึงเป็น ความรู้สึกของผู้สื่อสารซึ่งอาจจำไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและไม่ยังสามารถแยกภาษาและการกระทำออก จากกนั ได้ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ๒๔ ดังนั้นผู้บริหารต้องตระหนักว่า อารมณ์ของบุคคลต่อสถานการณ์ในขณะนั้น จึงมีทั้ง ทางบวกและทางลบในประเด็นเดยี วกัน ถ้าเห็นเหตุการณ์ในทางลบ การตัดสินจรยิ ธรรมโดยอาศัยภาษาที่ แสดงอารมณ์ กจ็ ะใช้ภาษาแสดงอารมณ์ชักขวนให้คนอ่ืนหยุดการกระทำน้ัน แล้วผลของการกระทำก็เป็น ความดี การแสดงอารมณ์ในทางบวกต่อสิ่งใดก็จะเกิดอารมณ์ดีต่อสิ่งนัน้ เพราะความเชื่อและความรู้สกึ ทางอารมณ์เป็นสิ่งแยกกันไม่ออกจึงทำให้เกิดอารมณ์ที่รุนแรงต่อสิ่งที่ไม่ดีและสิ่งที่ดีได้เสมอ ขึ้นอยู่กับ มมุ มองของแตล่ ะบุคคล หรอื กลมุ่ บุคคล ๑๐) ทฤษฎีบัญญัตินิยม เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงเรื่องการสื่อสารด้วยการใช้ภาษา การ บัญญตั ิความใด ๆ ตอ้ งใช้ภาษาเป็นเคร่อื งมอื ในการส่ือสารให้เกดิ ความเข้าใจ เปน็ การกำหนดหรือชี้แนะท่ี เป็นแนวทางเลอื ก ผู้บริหารต้องตระหนักว่า ข้อบัญญัตไิ ม่ใช่เปน็ ข้อห้ามแต่เป็นขอ้ เสนอแนะว่าไม่ควรทำ เพื่อให้การใช้ลกั ษณะของการบญั ญัติเปน็ ข้อกำหนดต่าง ๆ ที่ถือเป็นกตกิ าขององค์กรหรือสงั คมท่จี ะต้อง รับรูร้ ว่ มกนั เน่อื งจากแนวทางเลือกอาจมีมากมายหลายประการ การมองมุมมองในเชิงเปรยี บเทียบอย่าง หลากหลาย และประเมนิ ให้ได้วา่ แนวทางทีเ่ ลือกแล้วนี้ดกี วา่ แนวทางทางเลือกอื่น ๆ มนุษย์มีอิสรภาพในการเลือกเป็นอำนาจที่อยู่ในตนเอง นอกจากการรู้จักตนเองแล้ว มนุษย์ยังมี จินตนาการสามารถที่จะพาตนเอง ให้หลุดไปอยู่ในสภาพวาดทีส่ รา้ งข้ึนด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะ หา่ งไกลจากความเป็นจรงิ ก็ได้ แตส่ ่วนทส่ี ำคัญที่สุดของมนษุ ย์ คือ การมีมโนธรรม การตระหนักรู้ล้ำลึกที่ อยู่ในจิต การแยกแยะความผิดชอบชั่วดี และหลักของการควบคุมมโนพฤติกรรม และการปรับแนวทาง ของความคดิ ใหส้ อดคลอ้ ง กบั มโนธรรมทีต่ นยดึ ถือและสังคมยอมรบั ได้ (Covey, ๒๐๐๔) ๒.๒ ทฤษฎีจรยิ ธรรมตามแนวศาสนา ศาสนาเปน็ แหล่งกำเนิดด้านจรยิ ธรรม ทุกศาสนามีคัมภีร์ ทีใ่ ห้ผูน้ ับถือศรัทธายึดถอื ไวเ้ ป็นแนวทางในการปฏิบัตติ นตามศาสนกิจและตามวิถีการดำเนินชีวิตในสังคม ดว้ ย เช่น ๑) ทฤษฎีจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ พระเทวินทร์ เทวินโท (๒๕๔๔ หน้า ๓๔๖-๓๔๙) กลา่ ววา่ ทฤษฎจี รยิ ธรรมตามแนวพทุ ธศาสตร์น้เี รียกวา่ ทฤษฎพี ุทธจรยิ ศาสตรซ์ ึ่งเปน็ สจั จทฤษฎแี หง่ ธรรม โดยประกอบด้วยเหตุผลและผล เป็นการศึกษาธรรมที่มีความเป็นธรรมชาติซึ่งหมายถึงสิ่งที่เป็นจริง การศึกษาดา้ นทฤษฎีทางจริยศาสตรน์ ี้เป็นการศกึ ษาด้วยการสงั เกต ทดลองด้วยการปฏิบตั ิจริงและนำผล มาเป็นองคค์ วามรูข้ องศาสตร์ ดงั น้ัน การศกึ ษาด้านจรยิ ศาสตร์จงึ เป็นการศึกษาในเชงิ วิทยาศาสตร์ จาก องค์ประกอบในด้าน ธรรมชาติของสสาร การรวมตัวและการแยกสลายออกจากกันจนไมม่ ีตวั ตนทแ่ี น่นอน คือ พระอภธิ รรมปฎิ ก ข้อประพฤตปิ ฏบิ ตั ิของมนุษยต์ ่อธรรมชาติทจี่ ะทำใหส้ งั คมมีความสงบสขุ และวธิ ีการ ทจ่ี ะทำใหม้ นุษยห์ ลุดพน้ จากความทกุ ขซ์ งึ่ ได้แก่ เกิด แก่ เจบ็ ตาย คือ พระสตุ ตันตปิฎก และข้อห้ามไม่ให้ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๒๕ มนษุ ยท์ ำ ได้แก่ ศีล กฎ ระเบยี บ คือ พระวินัยปฎิ ก ทฤษฎีน้ีได้กลา่ วถึง สจั ธรรมท่เี ป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไว้ ๓ หลักธรรม คือ หลักธรรมที่ ๑ ได้แก่ อรูปธรรมและรูปธรรม ซึ่งอธิบายได้ว่า ธรรมชาตินั้นมีอยู่สอง สภาวะ สภาวะหนึ่ง คือ สภาวะที่ยังไม่รวมกันเป็นธาตุ เป็นสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่ง มีสภาวะเป็นกลาง เป็นอยอู่ ย่างอตั ตพิสัย ไม่มปี ฏิกริ ยิ าไม่พลงั ในตวั เอง และสภาวะสอง คอื สภาวะของธรรมชาติที่เป็นอัตต พสิ ยั แล้ว ได้รวมตวั กนั เปน็ ปรพสิ ยั คอื เป็นธาตุ เป็นสารเคมีตา่ ง ๆ จนมปี ฏกิ ริ ิยามพี ลังงานอย่ใู นตัวเอง หลกั ธรรมที่ ๒ ได้แก่ อสงั ขตธรรมและสงั ขตธรรม อธิบายได้ว่า ธรรมชาติที่ยังไม่มีปัจจัย ยงั ไม่ธาตุ ยังไมม่ สี ารเคมีใด ๆ มาปรุงแตง่ ให้เป็นสงั ขาร ใหเ้ ป็นสงิ่ ท่มี ชี วี ิตใดชีวิตหนึ่ง ยังอยู่ในสภาพทเี่ ป็น อากาศ เป็นธาตุที่บริสุทธิ์อยู่ ซึ่งในอีกธรรมชาติหนึ่งคือธรรมชาติที่มกี ารปรุงแต่งของปจั จัยต่าง ๆ ธาตุ ชนดิ ต่าง ๆ จนรวมกันเปน็ พืชเป็นสัตว์ เปน็ มนุษย์เป็นสังขาร มชี วี ิต และจติ ใจ มีวิญญาณ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ เปน็ ไปตามปกตวิ สิ ยั ของธรรมชาตทิ ้งั ทด่ี แี ละไม่ดี หลักธรรมที่ ๓ ได้แก่ โลกิยธรรมและโลกุตตรธรรม อธิบายได้ว่า ธรรมที่ทำให้มนุษย์ สตั ว์ พชื ตอ้ งเปน็ ไปตามโลกธรรม มีการเวียนวา่ ยตายเกดิ มคี วามไม่เที่ยง มคี วามทกุ ข์ ความสุขตามปกติ วิสัยไม่มีที่สิ้นสุด มีความเป็นอนัตตา และตกอยู่ใต้อำนาจการครอบงำของธรรมชาติที่เลวซึ่งเป็นสภาวะ หน่ึงของธรรมชาติ ในอกี ซกี หนึง่ ของธรรมในหลักน้ี คอื ธรรมทีท่ ำใหม้ นุษยแ์ ละสตั วไ์ ดพ้ น้ จากสภาวะปกติ ของโลกธรรมและโลกิยธรรม ไม่มีการเวียนวา่ ยตายเกดิ เมื่อบรรลุถึงสภาวะสงู สดุ ของโลกุตตรธรรม ก็จะ ไมต่ กอยู่ใตอ้ ำนาจการครอบงำของธรรมชาติที่เลวท่ดี ำรงอยูเ่ หนอื ความช่วั ร้ายทั้งปวง ทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงศาสนา เป็นทฤษฎีที่ใช้กุศโลบายเพื่อให้เกิดความศรัทธาตอ่ พระผู้ เป็นศาสดาซึ่งเป็นตัวนำที่ทำให้มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตนตามศาสนกิจและตามคำสอนของพระ ธรรมในศาสนานั้นๆ ซึ่งให้หลักเพื่อนำไปประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นละเว้นความชั่ว เปน็ ต้น ๒) หลักจรยิ ธรรมของขงจ้อื ตามทัศนะของขงจื้อ ท่านเห็นว่าชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และการเมือง เป็นหนึ่งอัน เดยี วกนั แยกกนั ไม่ออก อุดมคติทางเศรษฐกจิ สังคม ศาสนา และการเมือง มจี ดุ ศูนยก์ ลางอยทู่ ี่จรยิ ศาสตร์ หรอื ศลี ธรรม ทา่ นถือวา่ โลหติ แห่งชวี ติ คอื ความรกั กระดูกสันหลังแหง่ ชาติ คอื คณุ ธรรม มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๒๖ ถา้ ปราศจากคุณธรรมชีวติ ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ และถา้ ปราศจากความรัก ชีวติ ก็คอื ความตาย การ พฒั นาชีวิตจงึ ขึ้นอย่กู ับการพฒั นาคณุ ธรรม ชีวติ จะรุ่งเรืองเมื่อคุณธรรมรุ่งเรือง ชีวติ จะแพรข่ ยายเม่อื ความ รักแพร่ขยาย หวั ใจอนั เป็นหลักรัฐศาสตร์ของผ้ปู กครอง มี ๕ ประการ คือ ๑. เหยนิ คอื ความเมตตา กรุณา ๒. ยิ คอื ความถูกธรรม ๓. ลิ คือ ความเหมาะสม ๔. ซิ คอื ปญั ญา ๕. ซนุ คือ ความเปน็ ผู้ท่ีไว้วางใจได้ นอกจากนี้ขงจื้อสอนให้คนประพฤติตามแบบของ “ลี” ซึ่งถือเป็นความสำคัญสูงสุดในการจัด ระเบียบและกฎเกณฑเ์ ก่ยี วกบั ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ๕ ประการคือ ๑. ระหวา่ งผปู้ กครองกับประชาชน ๒. ระหวา่ งบิดากับบุตร ๓. ระหว่างสามกี ับภรรยา ๔. ระหวา่ งเพ่ือนกับเพื่อน ๕. ระหวา่ งผูใ้ หญก่ ับผู้น้อย ลี หมายถึง ความประพฤติที่เหมาะสม ความสุภาพอ่อนน้อม ความเป็นระเบียบของสังคมที่ทกุ อย่างสมบรู ณ์ เปน็ กฎเกณฑ์ของสังคมท่จี ะช่วยให้ทกุ สงั คมสงบสขุ เกดิ สันตสิ ุข ๓) หลักจริยธรรมของศาสนาชินโต คำสอนของศาสนาชินโตกล่าวถึง การปฏิบัติเพ่ือ ความดีอันสูงสุด ๔ ประการ คอื ๑. มีความคิดแจม่ ใส ( อากากิ โคโกโระ) ๒. มคี วามคิดบริสุทธ์ิสะอาด ( คิโยกิ โคโกโระ ) ๓. มคี วามคดิ ถกู ตอ้ ง ( ทาคาชิกิ โคโกโระ ) ๔. มีความคดิ เที่ยงตรง ( นาโอกิ โคโกโระ ) นอกจากน้ี ยงั มีข้อห้ามและข้อแนะนำให้ปฏบิ ัตอิ ีก ๑๓ ประการ คอื ๑. อยา่ ละเมิดบัญญตั ขิ องพระเจา้ ๒. อย่าลืมความผกู พันอนั ดตี ่อบรรพบรุ ษุ ๓. อย่าล่วงละเมดิ บญั ญัตขิ องรัฐ ๔. อย่าลืมความกรุณาอันลกึ ซ้งึ ของพระเจ้าทคี่ อยปดั ปอ้ งอนั ตราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ๒๗ ๕. อย่าลมื ว่าโลกเป็นครอบครัวเดยี วกนั ๖. ถา้ ใครโกรธอย่าโกรธตอบ ๗. อยา่ เกยี จครา้ นในกจิ การทัง้ ปวง ๘. อยา่ เปน็ คนตเิ ตียนคำสอน ๙. จงทำจติ ใจให้ยุตธิ รรมเพ่อื ปกครองตนเอง ๑๐. จงกรณุ าต่อคนทง้ั หลายยง่ิ กว่ากรณุ าตนเอง ๑๑. จงคดิ ให้เกิดความสขุ ใจ และหาความร้ใู หแ้ ก่ชนทั้งหลาย ๑๒. จงปฏบิ ัตติ ่อบิดามารดาดว้ ยความเคารพ ๑๓. จงปฏบิ ตั ิตนเปน็ พ่ีนอ้ งของคนท้งั หลาย ๔) หลักจริยธรรมของศาสนาเชน หลักจริยธรรมที่สำคัญคอื ปฏญิ ญา หรอื ขอ้ ปฏิบัติพ้ืนฐาน มี ๕ ประการ ที่สอนให้งดเว้นส่ิงที่ไม่ดี ไมง่ าม ตอ่ ไปนี้ ๑. อหงิ สา คือ ความไม่เบียดเบยี น ไมท่ ำลายชีวติ ๒. สัตยะ คอื ความสัตยไ์ ม่พูดเทจ็ ๓. อสั ตียะ คอื การไมล่ ักขโมย ๔. พรหมจริยะ คือ การประพฤติพรหมจรรย์ ๕. อปริครหะ คอื การไม่ละโมบ ไมอ่ ยากได้สิง่ ตา่ ง ๆ และหลักเมตตากรุณา ๔ คอื หลกั ธรรมท่ีปฏิบตั ติ อ่ ผู้อ่นื มี ๔ ประการ ๑. มคี วามกรุณาโดยไมห่ วังผลตอบแทน ๒. ยินดใี นความได้ดีของผู้อ่นื ๓. มคี วามเห็นใจในความทุกขย์ ากของผอู้ ่ืน ๔. มคี วามกรุณาตอ่ ผู้ทำผิด หลักฆราวาสธรรม หรอื ธรรมสำหรบั คฤหสั ถม์ ี ๑๒ ประการ ๑-๕ คอื ปฏญิ ญา ๕ ประการ ดังกล่าวขา้ งต้นแล้ว ๖. ไมเ่ บียดเบยี นสิง่ ทมี่ วี ิญญาณทง้ั หลาย ๗. ไม่ออกไปพน้ เขตของตนในทิศใดทศิ หนง่ึ ๘. มีความพอดใี นการกนิ การใช้ ๙. ประพฤตติ นเสมอต้นเสมอปลาย ๑๐. บำเพญ็ ทกุ เทศกาล มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๒๘ ๑๑. จำอโุ บสถและฟงั ธรรม ๑๒. ตอ้ นรับเลยี้ งดแู ขกผูม้ าเยอื น ๕) หลักจรยิ ธรรมของศาสนาเต๋า ศาสนาเต๋าเป็นศาสนาที่ยิง่ ใหญ่ศาสนาหน่ึง มีศาสดาชื่อวา่ เล่าจอื มีคัมภีรช์ ือ่ “เต๋า เต็ก เก็ง” เปน็ คมั ภีรข์ องศาสนาน้ี คำว่า “เต๋า” มคี วามหมายหลายอย่าง แตท่ ย่ี อมรบั กันมากคือ ความหมายท่ีหมายถึง ธรรมชาติ หรอื ธรรมชาติผสู้ รา้ งที่ย่งิ ใหญ่ (Great Creating Natures) หลกั จรยิ ธรรมของเตา๋ เนน้ ธรรมชาติ และชีวิต เต๋าเชื่อว่า “ความดีสูงสุดเปรียบเสมือนน้ำก่อเกิดประโยชน์กับทุกสิ่งโดยไม่แข่งขันกับใคร” ความสุขของเต๋าคือความสุขของบุคคลผู้ไม่หวังในสิ่งใดเลย บาปหนักที่สุดคือความอยากครอบครอง ทรพั ย์สิน และการขาดความพงึ พอใจ นน่ั กเ็ ปน็ คำสาปเหนอื คำสาปท้ังปวง ปรัชญาในการดำเนินชีวิตตาม หลักคำสอนของศาสนาเตา๋ มี ๔ ประการ ๑. จือ้ ไจ คอื การรูจ้ กั ตัวเองใหถ้ กู ตอ้ ง ๒. จอื้ เซง คอื ชนะตนเองใหไ้ ด้ ๓. จือ้ จก คือ มีความรจู้ ักพอดว้ ยตนเอง ๔. จื้ออีเตา๋ คอื มเี ต๋าเปน็ อุดมคติ ๖) หลักจริยธรรมของศาสนาครสิ ต์ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่สืบต่อเนื่องเป็นสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์มาจากศาสนายิว ซึ่ง เหตุการณ์ในประวตั ิศาสตรก์ ลา่ วว่า โมเสส ไดร้ วบรวมอพยพพวกอสิ ราเอลจากอียิปต์ และอทุ ศิ ตนต่อการ นมสั การพระเจา้ องค์เดียว มีคัมภรี ท์ างศาสนาเรยี กว่า พันธสญั ญาเดมิ (The Old Testament) ความเช่ือ ดังกล่าวยังเป็นความเช่ือของชาวยิวผู้เคร่งครัด สืบต่อมาจนปัจจุบัน ศาสนาของชาวยิวเป็นแหล่งกำเนดิ แห่งสาสนาคริสต์ คัมภีร์ไบเบิลแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament) และ พันธสัญญาใหม่ (The New Testament) พันธสัญญาเดิมเป็นของศาสนายูดายท์มาก่อนที่ศาสนาคริสต์ จะรับมาเป็นของตน สาระของคัมภีร์เดิมจะเน้นเกี่ยวกับความสำคัญของพระเจ้า ส่วนคัมภีร์พันธสัญญา ใหม่จะบันทึกคำสอนของศาสนายวิ และศาสนาครสิ ต์รวมกนั เรยี กวา่ คัมภรี ์ไบเบิล (The Bible) มพี ระเยซู คริสตเ์ ปน็ ผ้นู ำศาสนามคี ำสอน ดงั น้ี ๑. อยา่ มีพระเจ้าอืน่ นอกจากเราเลย ๒. อยา่ บชู ารปู เคารพใดๆ ๓. อยา่ ออกนามพระเจา้ โดยไมจ่ ำเปน็ ๔. อยา่ ทำงานในวนั สปาโต (วนั อาทติ ย)์ ๕. นับถอื มารดาบดิ า มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผูบ้ ริหารสถานศึกษา ๒๙ ๖. อยา่ ฆ่าคน ๗. อย่าล่วงประเวณสี ามภี รรยาผู้อนื่ ๘. อย่าลักทรพั ยผ์ อู้ นื่ ๙. อย่าเป็นพยานเทจ็ ต่อเพอื่ นบา้ น ๑๐. อยา่ โลภในส่งิ ของในภรรยาขา้ ทาสชายหญงิ ของเพ่ือน ๗) หลกั จรยิ ธรรมของศาสนาอสิ ลาม มีคำสอน ดังน้ี ๑. ความกตัญญกู บั พ่อแม่ ๒. เคารพออ่ นนอ้ มต่อผมู้ เี กียรตแิ ละอาวโุ ส ๓. เมตตาและกรูราตอ่ ผู้ต่ำกว่า อ่อนแอกวา่ ท้ังมนษุ ย์และสตั ว์ ๔. ให้รู้จกั เอาอกเอาใจกัน ๕. ประพฤติทดี่ ีตอ่ เพ่อื นบ้าน ๖. ความรกั และความกลมเกลยี วระหว่างมติ รสหาย ๗. ชว่ ยเหลอื ผทู้ ่ไี ดร้ ับความทกุ ข์ยาก ๘. ช่วยเหลอื ผูป้ ระสงค์จะทำดี ๙. ใหเ้ กียรตแิ ขกทมี่ าพกั อย่ใู นบ้าน ๑๐. การเยี่ยมเยอื นคนเจบ็ ไข้ คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน ศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งกฎหมาย มีข้อห้าม ชาวมสุ ลิมปฏิบตั ิอกี หลายประการ ดังนี้ ๑. หา้ มยกย่องใครหรือส่ิงอื่นใดเสมออลั เลาะห์ ๒. หา้ มกราบมนษุ ย์ทกุ คน ๓. กราบได้เฉพาะอลั เลาะหเ์ ท่านนั้ ๔. หา้ มโหราศาสตร์ทุกชนดิ การผกู ดวงหมอดู ๕. หา้ มไสยศาสตร์ทุกชนิด เช่น สะเดาะเคราะห์ รดน้ำมนต์ ทำเสนห่ ์ ๖. หา้ มเคารพบูชารปู ทกุ ชนิด เชน่ รปู วาด รูปถ่าย เหรียญ ประติมากรรม ๗. ห้ามรว่ มมอื ในการปลุกเสก ทรงเจ้า เข้าผี ๘. ห้ามกราบไหว้บูชาธรรมชาติ เช่น บูชาต้นไม้ ท้องฟ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ เจ้าที่ ต้น ตะเคยี น ๙. ห้ามเปน็ และห้ามเท่ียวโสเภณี ๑๐. หา้ มขายบริการ สรุ าเมรัยทกุ ชนดิ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ ริหารสถานศึกษา ๓๐ ๑๑. ห้ามบริโภคอาหารต้องห้าม เช่น สัตว์ที่ตายเองทุกชนิด สัตว์ที่เชือดโดยมิได้เปล่งนาม พระอลั เลาะห์ สัตว์บชู ายัญ เลือดทุกชนิด ๑๒. ห้ามรบั ประทานเนื้อสัตวเ์ หล่าน้ี สุกร สตั วเ์ ล่อื ยคลาน สัตวท์ ี่มีเขย้ี วเล็บ ๑๓. ห้ามเรยี กหรือให้ดอกเบ้ยี ๑๔. ห้ามการเสย่ี งโชค หรอื การพนันทุกชนิด ๑๕. หา้ มอาชพี ไม่สุจรติ ทกุ ชนดิ ไม่วา่ ตำแหน่งใด เชน่ ในโรงเหลา้ รา้ นสุรา สถานเริงรมย์ อาบอบ นวด บาร์ไนตค์ ลับ ๑๖. หา้ มใส่ผมของผ้อู ื่น ๑๗. หา้ มกำเนดิ ยกเวน้ กรณีทกี่ ระทบกระเทือนสขุ ภาพของมารดาอย่างแรง ๑๘. หา้ มทำแทง้ ๑๙. ห้ามฆ่าตวั เองหรอื ผอู้ ื่น ๒๐. ห้ามเปิดเผยสว่ นควรอับอายในท่สี าธารณะ ๒๑. ห้ามแตง่ กายผิดเพศ ๒๒. ห้ามเผาหรือรว่ มพธิ ศี พ ๒.๓ ทฤษฎีจริยธรรมเชิงจิตวิทยา นักจิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งที่เป็นพฤติกรรม ภายนอกทีม่ นุษยแ์ สดงออกและพฤติกรรมภายในซ่งึ เป็นพฤติกรรมทางจิต ทฤษฎจี ริยธรรมเชิงจิตวิทยาจึง มุ่งเน้นที่พฤติกรรมทางจิตของมนุษย์ทีส่ ่งผลให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อกอ่ ให้เกิดความสมดุลของของ กายและจิต ฟรอยด์ (Freud) นักจติ วิทยาผูน้ ำทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ไดใ้ ห้แนวคดิ ในการวิเคราะห์จิตซง่ึ ฟรอยด์ และกลุ่มผู้ทำการศึกษาได้พื้นฐานความคิดมาจากพฤติกรรมการวางเง่ือนไขและปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็น ผลงานการเรยี นรูแ้ บบคลาสสกิ ของ พาฟลอฟ ฟรอยด์ กล่าววา่ สิ่งท่ีทำให้บุคคลเกิดการกระทำดแี ละช่ัวมา จากความดิ้นรนพยายามระหว่าง พลังแรงขับและสัญชาตญาณของตัวตนที่จะสร้างความพึงพอใจโดย ได้รับสิ่งที่พึงปรารถนา และสิ่งที่เป็นความจำเป็นสำหรับการสร้างสังคมของตัวตนด้วยความพยายาม ควบคุมและเก็บกดสิ่งทีเป็นกระแสความต้องการไว้เพื่อให้ตนเองสามารถทำหน้าที่ในสังคมได้ แม้ว่า อิทธิพลทางความคิดของ ฟรอยด์ จะไม่ได้แทรกซมึ ลงสู่ความคดิ เชิงจริยธรรมอย่างสมบูรณ์ แต่จิตวิทยา ของฟรอยด์ในส่วนลึกได้แสดงถึงเรื่อง ความรู้สึกผิด โดยเฉพาะในเรื่องของเพศที่เป็นสิ่งที่ได้รับการ เน้นหนักในเรื่องของความดีและความเลว ซึ่งมีผลกระทบในด้านความคิดเชิงจริยธรรมของบุคคลใน ปัจจบุ ัน มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ๓๑ เจมส์ (James) ซึ่งเป็นนักปรัชญาและนักจิตวิทยาที่เป็นนักปฏิบัตินิยมก็กล่าวว่า คุณค่าของ แนวคดิ ต่าง ๆ จะเกิดข้นึ เม่ือมีผลลัพธ์ของการกระทำตามมา ดังนัน้ หลักจริยธรรมมคี วามเชื่อมโยงสมั พันธ์ กบั ปรากฏการณ์ทห่ี ลากหลายท่เี กิดขึน้ ในโลกน้ี จริยธรรมตามแนวความคิดของนักจิตวิทยาเหล่านี้ยังไม่ได้ลงรากฐานสู่พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม และจริยธรรมอย่างชัดเจน จนกระทั่ง โคห์ลเบอร์ค (Kohlberg) ได้ทำการศึกษาด้านจริยธรรม จาก พื้นฐานการพัฒนาการด้านความคิดและความเข้าใจ ของเพียเจท์ (Piaget) ซึ่งได้ศึกษาและอธิบายการ แสดงพฤติกรรมตามแนวทางของคุณธรรมและจริยธรรมของเด็กในด้าน เจตคติของเด็กที่มีต่อกฎ การ ตัดสินใจของเด็กเกี่ยวกับความถูกต้องและความผิด และการประเมินค่าความยุติธรรมในการตัดสิน เพียเจท์ สรปุ วา่ คุณธรรมประกอบขึน้ ด้วยระบบของกฎและความคงอยู่ของคุณธรรมจะค้นหาได้ จากความเชอ่ื ถือซ่ึงแตล่ ะบุคคลจะพยายามทจี่ ะรับกรรมน้นั ไว้ (ประภาศรี สหี อำไพ, ๒๕๔๓) ๑) ทฤษฎจี ริยธรรมของ โคหล์ เบอร์ค (Kohlberg) มจี ุดเรม่ิ ตน้ ของการเกดิ คุณธรรมและ จรยิ ธรรมอยทู่ ี่ตวั ตนของบุคคล (Self) โดยเริม่ จากผลประโยชน์สว่ นตนเปรยี บเทียบกับผลประโยชน์ท่ีเอื้อ ต่อมวลชนในระดับที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ การศึกษาจริยธรรมจากพฤติกรรมที่ความรู้ความเข้าใจ ระดับคุณธรรมเพอื่ ใชใ้ นการแกป้ ญั หาอย่างเหมาะสมได้ เมื่อต้องเลอื ก การตีค่าและการอธิบายคุณค่าหรือ ตดั สนิ ใจอยา่ งไร หลกั จริยธรรมของโคลเบอรค์ มี ๖ ขน้ั ได้แก่ ขั้นที่ ๑ การลงโทษและการเชื่อฟงั ที่รับรู้เฉพาะตน ดังนั้น บุคคลจะแสดงพฤติกรรมทาง จรยิ ธรรมเพือ่ หลกี เลี่ยงการถกู ลงโทษ ข้ันท่ี ๒ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลและการอลกเปลยี่ นกันเพือ่ แสวงหารางวลั ขั้นที่ ๓ ความสัมพนั ธแ์ ละการกระทำตามรปู แบบตามทผ่ี อู้ ่นื เหน็ ชอบ ขั้นท่ี ๔ ระบบสังคมและความมีสตริ ับผิดชอบ ขนั้ ท่ี ๕ สทิ ธิและความผกู พนั ในสงั คมท่จี ะทำตามคำม่นั สัญญา ขน้ั ที่ ๖ การยดึ มโนธรรมตามหลกั สากล แนวคิดของโคลเบิรก์ (Kolberg) ใกล้คยี งกับเพยี เจต์ ( Piaget) คอื เชอื่ ว่าพัฒนาการทางจริยธรรม ของมนษุ ย์พฒั นาการได้ตามวัย และวฒุ ิภาวะทางสติปญั ญา พฒั นาการทางจรยิ ธรรมของมนุษย์ไม่ใช่การ ป้อนรูปแบบ กล่าวคือดูรูปหนึ่งจบแล้ว ดูอีกรูปหนึ่งโดยท่ีรูปแรกไม่ปรากฏในสายตาอีกต่อไป แต่ พัฒนาการของมนุษย์จะคอ่ ยๆพัฒนาไปตามวนั เวลา เจริญขน้ึ เรอ่ื ย ๆ ตามวุฒิภาวะ จรยิ ธรรมเก่ายังจะมี รากแก้วฝังอยู่ และพัฒนาตามกาลเวลาที่มนุษย์มีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น เกิดเป็นจริยธรรมใหม่ขึ้น จริยธรรม ไม่ได้สร้างขึ้นภายในหนึ่งวัน คนจะมีอุปนิสัยดีงามต้องสร้างเสริมและสะสมจากการเรียนรู้ใน มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ๓๒ สภาพแวดลอ้ มด้วยกระบวนการทางสังคม และจะเรียนรไู้ ดต้ ามความสามารถของวฒุ ิภาวะ ซึ่งกำหนดโดย ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งพันธุกรรมกับส่งิ แวดลอ้ ม สรุปหลักคำสอน แนวคิด และทฤษฎี ของศาสดาและนักปราชญ์ทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว ล้วนมี จดุ มงุ่ หมายอยา่ งเดียวกัน คือให้มนษุ ย์กระทำความดี ละเวน้ ความชว่ั ใหป้ ฏบิ ัตติ อ่ กนั อย่างมีคุณธรรม ไม่ เบยี ดเบยี นซึ่งกันและกนั ให้อยู่รว่ มกนั อยา่ งมคี วามสันติสุข การศึกษาคุณธรรมจริยธรรม จะต้องศึกษาถึง ที่มา หลักการ แนวคิดทางศาสตร์ของจริยธรรมที่มนุษย์ได้ศึกษา และปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณ เพราะ แนวคิดหลักการเหล่านี้เป็นพื้นฐานของความเข้าใจในคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งทุกศาสนามีความเป็น เอกลักษณ์แตกต่างกนั ไป อันเป็นทีม่ าของความเช่ือ และพฤตกิ รรมท่แี สดงออกของคนในกลุ่มต่างกันด้วย เป็นการชว่ ยให้มนษุ ย์ต่างชาตติ ่างเผ่าพันธ์มุ ีความเข้าใจซึง่ กนั และกัน อนั เป็นผลใหเ้ กิดความผาสุกในมวล มนษุ ยชาติ ดังน้ันผู้บรหิ าร ดังนั้นสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาศึกษาหลักการ ทฤษฎี จริยธรรม จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ ผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมทั้งต่อส่วนรวม และต่อตัวเอง ด้านส่วนรวม คือการ บริหารสถานศกึ ษาให้เปน็ สถาบันแห่งจริยธรรม เป็นความคาดหวงั ของสงั คมทตี่ ้องการเหน็ และ ผู้บริหาร ตอ้ งบริหารบรรยากาศของสถานศกึ ษาท่ีส่งเสริมจริยธรรม ส่วนความเกยี่ วขอ้ งตอ่ ตวั เอง คือ ผบู้ ริหารเป็น ตัวแทนด้านจริยธรรม การตัดสินใจต้องเปน็ ไปตามมาตรฐานของศีลธรรม ก่อนที่ผู้บริหารจะทำหน้าที่ทงั้ สองได้ตอ้ งรูจ้ ัก ลักษณะจรยิ ธรรมซึ่งมี ๔ แบบ คือ ๑. ความรู้เชิงจริยธรรม ๒. ทัศนคติเชิงจริยธรรม ๓. เหตุผลเชิงจริยธรรม และ ๔. พฤติกรรมเชิงจริยธรรม การมีความรู้เพียงอย่างเดียวไม่ได้แสดงว่าผู้นั้นมี จริยธรรม เช่น รู้ว่าพรหมวิหาร ๔ ประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา แต่ไม่เคยแสดง พฤตกิ รรมท่ีตามหลกั ของพรหมวิหาร ๔ เลย ดังน้นั พฤตกิ รรมเชิงจริยธรรม เปน็ สิ่งท่สี งั คมให้ความสำคัญ มากที่สุด การแสดงพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งตามวัฒนธรรมไ ทยนั่นคือการไหว้ การไหว้คือการแสดงความเคารพซ่ึงกันและกัน เป็นการแสดงซึ่งไมตรีต่อกนั ดังนั้นเราเป็นคนไทยจึงควร ไหว้ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง สวยงามสมกับการแสดงเอกลกั ษณข์ องชาติ ๗. หลกั ธรรมเก่ยี วกับจรรยาบรรณสำหรบั ผบู้ รหิ าร ในทางพระพุทธศาสนามีหลักธรรมที่เปน็ ขอ้ ปฏิบัตสิ ำหรบั นักบริหารหรือนักปกครองที่มีอำนาจ หน้าที่ในการปกครองหมู่คณะ บริหารกิจการของหมู่คณะหรือประเทศชาติไว้อย่างมากมาย เพื่อให้ ผปู้ กครองหรือผู้บริหารนน้ั ได้ใชอ้ ำนาจหน้าที่ เพอื่ ประโยชนส์ ุขแกป่ ระชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าทรงเน้นถึงความสำคัญของผู้ปกครองหรอื ผู้บริหารเป็นอย่างมากว่าจะต้องประพฤติให้เปน็ แบบอย่างแก่ผูอ้ ่นื หรือผใู้ ตบ้ ังคับบัญชา ฉะน้ันหลักในการบรหิ ารตามแนวพุทธศาสนาสามารถ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ ริหารสถานศึกษา ๓๓ สรุปได้ ๓ ประการ คือ ๑. การบรหิ ารตน เป็นหลกั การท่วี ่าผบู้ รหิ ารที่ดี ต้องสามารถบริหารควบคุมตนเองให้ดีเสียก่อน จึงจะสามารถบรหิ ารคนอื่นไดด้ ี ๒. บริหารคน เมื่อผู้บริหารสามารถบริหารตนได้ดีแล้ว ก็จะพัฒนาไปสู่การบริหารบุคคลหรือ ผู้ใต้บงั คบั บัญชา ๓. บริหารงาน คนกับงานเป็นสิ่งที่คู่กัน ถ้านักบริหารสามารถจัดการกับตนเอง คนได้ดีก็จะ นำไปสคู่ วามสำเรจ็ ของการบริหารงานอยา่ งแน่นอน หลักธรรมสำคัญที่ผู้บรหิ ารหรอื ผู้ที่เตรียมตวั เพอ่ื เปน็ ผู้บริหารควรจะพัฒนาทง้ั ๓ ดา้ น คือ พฒั นา ตน พัฒนาคน และพัฒนางาน เพราะการพฒั นาทง้ั ๓ ดา้ นน้ัน จะสรา้ งความสุขให้แก่ตนเองและสังคม ทำ อย่างไรจะพัฒนาได้ทั้ง ๓ ด้าน พระพิพิธธรรมสุนทร วัดสุทัศน์เทพวรารามได้นำเสนอหลักธรรมในการ บริหาร ซึ่งจะทำให้การบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน บรรลุความสำเร็จสมความประสงค์ไว้ ๑๑ ประการ คอื ๑. ส่งเสริมความรู้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนบริษัทของพระองค์ให้ทุกคนมี ความรู้ การสอนคนนัน้ ตอ้ งจัดทำเป็นบัว ๔ เหล่า คอื ใหค้ วามรู้ตามลักษณะภูมปิ ัญญา ดงั น้ี ๑.๑ บัวพ้นน้ำ (อุคฆติตญั ญ)ู เป็นคนมีปญั ญาเพยี งยกหัวข้อธรรมะขึ้นแสดงก็บรรลุแลว้ หรอื เพียงแตย่ กหวั ขอ้ เร่อื งกเ็ ขา้ ใจแลว้ ไมต่ อ้ งอธิบายมาก ๑.๒ บัวปรม่ิ นำ้ (วปิ จิตญั ญ)ู เมือ่ อธบิ ายความหวั ข้อนน้ั ก็บรรลแุ ล้ว ๑.๓ บัวใต้น้ำ (เนยยะ) ต้องอธิบายเน้ือหาใหล้ ะเอียดกเ็ ข้าใจ สามารถแนะนำใหเ้ ป็นคนดี ๑.๔ บัวใต้น้ำ (ปทปรมะ) อธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจก็ต้องปล่อยเขาไป ให้เลิกสั่งสอน ผู้บริหารคนใดที่พัฒนาแต่ความรู้ของตนเอง โดยไม่พัฒนาความรู้ของผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้อยูใ่ นความ ปกครอง ย่อมไปไม่รอด เหมือนมีแตส่ มอง แต่อวยั วะทุกสว่ นเป็นอัมพฤกษอ์ มั พาต การทำงานย่อมสำเร็จ ได้ยาก ๒. อยู่อย่างเสียสละ ผู้บริหารต้องรู้สึกเสียสละให้กับลูกน้อง เช่นต้องมีสังคหวัตถุ ๔ คือ ทาน ปยิ วาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา ๒.๑ ทาน โดยการเออื้ เฟอ้ื เจอื จานแกล่ กู น้องด้วยวตั ถมุ ากนอ้ ยตามแต่สถานการณ์ ๒.๒ ปิยวาจา โดยการพดู จากับลกู น้องให้ถกู ใจ ผูกจิตผกู ใจรัดรงึ ดึงใจไว้ถูกสถานการณ์ และถกู กับอารมณ์ของคน (ปยิ วาจานี้ไมจ่ ำเปน็ ต้องพูดครับพดู ขาเสมอไป มงึ กูกไ็ ด้ แตต่ อ้ งตรงกับคนและ สถานการณ์ และทส่ี ำคัญต้องมเี จตนาทด่ี )ี มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ๓๔ ๒.๓ อัตถจริยา โดยการลงไปบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกับผู้น้อยโดยไม่เกี่ยงงอน เช่น ประธานงานศพ งานสวด งานบวช งานแต่งงานไปเยี่ยมยามป่วย ถามข่าว ให้ชื่อ สกุลของเราไปร่วมใน งานของลูกนอ้ ง ๒.๔ สมานัตตตา โดยการวางตนสมำ่ เสมอการเสียสละกำลังกาย กำลังใจ กำลังความรู้ กำลังความคิด และกำลังทรัพย์เรียกว่าร่วมด้วยช่วยกันในฐานะผู้บริหารและผู้ร่วมงานควรจะมี การเสียสละท้งั สองฝ่ายจงึ จะเป็นส่งิ ที่ประเสริฐทสี่ ุด ๓. กระจายตำแหน่งงาน อำนาจของงานนนั้ ไมใ่ ช่อยูท่ ี่รวมอำนาจผ้บู รหิ ารหลายคนประสบความ ล้มเหลว เพราะไม่ยอมแบ่งอำนาจลงไปการกระจายอำนาจภารกิจ เป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารนโยบาย แบบTQC กเ็ นน้ การกระจายนโยบาย (Policy Deployment) โดยการกระจายงาน กระจายอำนาจ และ กระจายภารกิจ การไม่กระจายงานทำให้งานไม่ทัน เพราะมีงานมาก ต้องใช้หลาย ๆ คนช่วยกันและ ทำงานเป็นทีมลองมาพิจารณาต้นไม้ ต้นไม้ มีลำต้น มีราก มีกิ่งก้านสาขา และมีหน้าที่ตา่ งกัน และสร้าง ความสมดุลด้วย มิเช่นนั้นต้นจะเอียงจะล้มในที่สุดสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงกระจาย ตำแหน่งงานมี ๘๐ พระอรหนั ต์เอก เรยี กวา่ เอตทัคคะ หรอื อสีตมิ หาสาวก ทมี่ คี วามเปน็ เลิศในด้านต่าง ๆ เช่น พระโมคคลั ลานะ ทรงยกย่องว่ามีฤทธเิ์ สมอดว้ ยพระองคพ์ ระสารีบุตร ทรงยกยอ่ งวา่ มปี ญั ญาเสมอ ด้วยพระองค์ จำไว้เสมอว่า “งานกระจกุ ผบู้ ริหารตาย งานกระจาย ผบู้ รหิ ารรอด\" ๔. ประสานสามัคคี งานทุกอย่างทกุ ชนิดมีปัญหาด้านการทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแยง่ ชิงดี และมี ความเข้าใจ คลาดเคลื่อนผู้บริหารที่ดีต้องประสานสามัคคีให้ได้ การประสานสามัคคีนั้นผู้บริหารที่ใหญ่ ที่สุด ต้องประชมุ โต๊ะกลม ต้องมีใจกลา้ เผชิญหน้ากล้าเรียกประชุมก่อนการประชุมต้องหาขอ้ มูลจากแต่ ละคนก่อน เพื่อหาเหตุที่ถูกต้องไม่ฟังความข้างเดียว แล้วนำมาตัดสิน ไม่ควรไล่โทษกัน หรือไล่บี้กัน จะสร้างความขัดแย้งบางท่านอาจเคยอ่านหนังสือ “การบริหารความขัดแย้ง” ก็พอจะเข้าใจปัญหาได้ดี การบริหารแบบไทย ๆ ที่ผิดพลาดคือ จับผิดและลงโทษทำให้ขาดการประสานสามคั คี ไม่ค่อยปรับความ เขา้ ใจซึง่ กนั และกนั แต่ชอบปรับทุกข์กนั ปรบั โทษกัน การบรหิ ารอย่างมีแต่ล้มเหลวในท่ีสุด เพราะจะเกิด อาการ “คนแตกความสามัคคี\" เพราะฉะนั้นควรระลึกไว้ว่าความพร้อมเพรียงของหมู่คณะในหน่วยงาน นน้ั ๆ ใหส้ ำเร็จประโยชนไ์ ด้ดงั ใจปรารถนา ๕. ไม่เอาดีแตเ่ พียงตัว คือ ไม่เอาดีใสต่ ัว เอาชั่วใส่ผู้อ่ืน เหยียบย่ำผู้อื่น แล้วเอาความดีมาใสต่ ัว คนเดียว ย่อมเป็นไปไม่ได้ การบริหารที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเกิดจากทีมงาน ดังนั้นการบริหารงาน จะตอ้ งช่วยกนั ต้องมีการยกยอ่ งใหก้ ำลงั ใจ มกี ารมอบของขวัญรางวลั ใหเ้ กียรตกิ นั ยกยอ่ งเชดิ ชูแม้ผ้บู ริหาร ไมม่ ีอะไรจะใหก้ ็หดั พดู คำว่า “ขอบคณุ ”ใหม้ ันตดิ ปากลกู น้องก็จะดีใจ ผบู้ ริหารยกย่องลูกน้อง ลูกน้องก็มี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๓๕ ส่วนเกื้อกูลผู้บริหาร ศรัทธาผู้บริหาร ทำให้ผู้บริหารดูดีขึ้นไม่ได้ตกต่ำแต่อย่างใด ในการกล่าวคำว่า “ขอบคุณ\" กบั ลูกนอ้ ง ๖. ไม่เมาเรื่องเงิน “เขาให้เงินก็อย่า งง อย่าไปหลงจนสุดขีด เงินก็เหมือนพวงมาลัย อาจจะ กลายเปน็ พวงหรีด”เราจะตอ้ งพิจารณาว่าเงินเปน็ เพยี งปัจจัยอย่างหน่งึ ที่จะทำใหเ้ กิดปจั จัย ๔ คอื ขา้ ว ผ้า ยา บ้าน เงินเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสะดวก การบริหารงานถ้าผู้บริหารเห็นแก่เงินก็จะใช้พนักงาน อย่างทาส เอาเปรียบลูกน้อง หรือกินใช้จ่ายจนเพลิดเพลินเจริญใจ คนระดับล่าง ระดับปฏิบัติการกอ็ ย่า โลภเงินจนถึงกับโกงเงนิ บริษทั พระพุทธเจ้าเสด็จไปพบถุงใส่เงิน ยังตรัสกับพระอานนท์ว่า นั้นเป็นงูเห่า เปน็ อสรพษิ ทจี่ ะกัดคนเสมอ การจะทำอะไรก็ตามต้องระวังเร่อื งเงิน ๗. ไม่ใหญ่เกินผู้บังคบั บัญชา ผู้บังคับบัญชาคือ นายจ้างของเราเราคือลูกน้องของท่าน บางคน ชอบแอบอ้างนายไปหากนิ ทางทุจรติ หรอื ไปอา้ งกับคนอน่ื เพอื่ จะได้อะไรบางอย่าง เลขาบางคนซ่ึงใกล้ชิด ผู้บังคับบัญชา มักทำตัวใหญ่เกินผู้บังคับบัญชา พระอานนท์เถระใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้ามากที่สุด พระอานนท์ขอพรจากพระพทุ ธเจ้า คือ ขออยา่ ใหร้ ับเข้านิมนต์ ขออยา่ ส่งไปในทน่ี มิ นต์ ขออย่าใหอ้ ะไรกับ ท่านเป็นพเิ ศษ เปน็ ต้นท่านปฏบิ ัติงานไมใ่ หญ่เกนิ ผ้บู งั คับบัญชา และมคี วามอ่อนน้อมถอ่ มตน ๘. ตั้งเมตตาไว้เป็นนิจ ผู้บริหารต้องมีเมตตาต่อผู้ใต้ปกครอง ผู้ใต้ปกครองต้องมีเมตตาต่อ ผู้บังคับบัญชา คำว่า “เมตตา\" นี้ อาจตีความหมายถึง ความรัก ความเคารพ ความนับถือ การบูชา การเทิดทูน จนถึงความจงรักภักดี เทิดทูนเหนือเศียรเกล้า ผู้บริหารควรมีหลัก ๓ ประการในเรื่องความ เมตตา คอื มือเอ้ือม ปากอ้า และหนา้ ยิม้ มอื เออื้ ม คือ เอ้ือมไปแตะไปจับผู้ใต้ปกครองเป็นลักษณะอาการ ทางกายท่สี ร้างความเปน็ กันเองเปน็ ห่วงเปน็ ใย แต่ตอ้ งระวงั อยา่ ให้เปน็ การกระทำอนาจารต่อลูกนอ้ ง ปากอา้ คอื เปา่ ปลอบ ปลุก เปน็ ลักษณะทางวาจาในการใหก้ ำลงั ใจลกู น้องทางวาจา หนา้ ยิ้ม คือการใหก้ ำลังใจเป็นเรอ่ื งของใจทีแ่ สดงออกทางใบหนา้ สมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงปฏิบัติ อย่างนี้ต่อพระสงฆ์ต่อพทุ ธบริษัทของพระองค์เช่นเดียวกัน ส่วนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ต้องไปเยี่ยมเยือน ถามขา่ ว หมอบราบกราบไหว้ต่อผบู้ ังคับบญั ชาบา้ ง เราทุกคนจะอยู่ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ๙. ใครทำผิดต้องเด็ดขาด ผู้บริหารงานต้องใจเพชรเด็ดขาด ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงจะยอมรับ กฎเกณฑ์ ผู้บริหารต้องเดนิ ทางสายกลาง คือ ใช้ทั้งพระเดชพระคุณใครทำดีต้องใหร้ างวัล ใครทำชั่วต้อง ลงโทษ ดังพระพุทธพจนท์ ีว่ า่ นคิ ฺคณฺเห นิคฺคหารหํ กำราบคนที่ควรกำราบ ปคฺคณเฺ ห ปคคฺ หารหํ ยกย่อง คนท่คี วรยกยอ่ ง ๑๐. ไม่ประมาทมัวเมา สิ่งที่ไม่ควรประมาทมีการทำงาน ร่างกายท่ีแข็งแรงของเรา ความรู้ของ เราทมี่ อี ยใู่ นขณะนี้ บริษทั จะยัง่ ยนื ตลอดไปโรคภยั ไข้เจ็บ อุบัตเิ หตุ เงนิ ทองที่มีอยใู่ นขณะนี้ คู่แข่งทางการ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ ริหารสถานศึกษา ๓๖ ค้า ความไม่ประมาทในการบริหารงานนนั้ จะต้องแข่งขันกบั เวลา แข่งขันกบั บคุ คลและแข่งขันกับพ้ืนฐาน ของการพัฒนาและสามคั คี ๑๑. ประมาณตัวทุกเวลา คือ การรู้จักประมาณตน ประมาณการและประมาณสถานการณ์ น่นั เอง การประมาณในธุรกิจ เช่น บริษัทเรามีคนครบหรอื ไม่ แตล่ ะคนมีความรู้ครบไหม เงินทุนครบไหม คู่แข่งเป็นอย่างไรเป็นต้น และที่สำคัญผู้บริหารต้องประมาณเหตุการณ์ประมาณสถานการณ์ด้วย ดังนั้น จำเป็นตอ้ งมกี ารประชมุ กนั “เอาความคดิ มารวมกัน”ดตู ัวเอง บรษิ ทั ที่เราทำธุรกิจอยู่ หนา้ ท่ีการงานท่ีทำ อยู่ ตอ้ งประชุมวเิ คราะห์สถานการณเ์ สมอ ๆ เมือ่ วิเคราะหแ์ ลว้ ฟังเหตฟุ งั ผลหาเหตรุ ากเหง้า แลว้ ตัดสินใจ แก้ไขปัญหาและหาทางปรับปรุงพัฒนาให้ดียิง่ ขึน้ ต่อไปพุทธวิธีในการบรหิ ารที่กล่าวมานั้น เป็นเพียงสว่ น หน่งึ ของการนำพุทธธรรมมาประยกุ ต์ใช้ในการบริหารตน บรหิ ารคน และบรหิ ารงาน แต่ก็ถือว่าเปน็ ทฤษฎี ทที่ ้าทา้ ยตอ่ นกั บรหิ าร และผู้ท่เี ตรยี มตวั จะเป็นนกั บริหาร วิธีบรหิ ารงานที่ดี คือ ธรรมาธิปไตยทีใ่ ช้ทั้งพระเดชและพระคณุ ซึ่งทำให้ไดท้ ัง้ นำ้ คนและผลของ งาน นกั บริหารแบบธรรมาธิปไตยยดึ ธรรมเปน็ หลักในการบรหิ าร เขามธี รรมทเี่ รยี กวา่ พละ ๔ ประการ ๑. ปัญญาพละ กำลังความรู้หรอื ความฉลาด ๒. วิรยิ พละ กำลังแห่งความเพยี ร ๓. อนวชั ชพละ กำลงั การงานทไ่ี มม่ ีโทษหรอื ความสจุ รติ ๔. สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ หรือ มนษุ ยสัมพันธ์ พละหรือกำลังแห่งคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ ช่วยทำให้นักบริหารปฏิบัติหน้าที่อย่างมี ประสทิ ธิภาพ กล่าวคือ นกั บริหารจะสามารถวางแผน จัดองค์การ แต่งต้งั บุคลากรอำนวยการ และควบคุม ได้ดตี อ้ งมคี วามฉลาด ขยนั สจุ ริต และมนษุ ยสมั พนั ธ์ ย่ิงเขามีคุณธรรมท้ัง ๔ ข้อนี้เพ่มิ มากขนึ้ เท่าใด ก็ย่ิง ทำงานได้มีประสิทธภิ าพมากขึ้นเทา่ นั้น ตรงกันข้ามถา้ ใครคนใดขาดคุณธรรมทั้ง ๔ ประการแม้เพยี งบาง ข้อ เขาก็เปน็ นักบริหารทด่ี ีไมไ่ ด้ นักบริหารต้องเป็นคนฉลาดรอบรู้และขยันขนั แข็ง เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายวา่ เพราะเหตุใด คนโง่และ เกียจคร้านเปน็ นกั บรหิ ารเมื่อใดกพ็ าให้องคก์ รล่มจมเมื่อนนั้ คนบางคนมีทง้ั ความฉลาดและความขยนั แต่เขากไ็ มไ่ ดร้ ับการเล่อื นตำแหน่งเป็นนักบริหาร เมื่อสอบถาม แลว้ กไ็ ดร้ ับคำอธิบายจากผู้ใหญว่ ่า “คนคนน้ีอะไร ๆ กด็ หี รอก สยี อย่อู ยา่ งเดยี วคอื เลว เขาเป็นคนที่ฉลาด และขยัน แต่ฉลาดโกงและขยนั โกง”ดงั น้นั นกั บรหิ ารทีด่ ีต้องมีความฉลาด ความขยัน และความสจุ ริต คนบางคนมีคณุ ธรรมทัง้ สามประการ คือเป็นคนฉลาดขยนั และสุจรติ แต่เขาก็ไมไ่ ด้รับการเลื่อน ตำแหน่งเปน็ นกั บริหารเมือ่ สอบถามแล้วกไ็ ด้รบั คำอธิบายว่า “คนคนนเ้ี ป็นคนดีจริง แต่เป็นคนดีที่โลกไม่ ตอ้ งการ เพราะเขาถอื ว่าตัวฉลาดกว่าคนอน่ื จึงไดเ้ ที่ยววิพากษว์ จิ ารณ์ชาวบ้าน ขยันกอ่ ศัตรูท่วั ไป เขาเป็น มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา ๓๗ คนท่ีพดู ไมเ่ ข้าหูคน และค่อนข้างจะแลง้ น้ำใจ” น่แี สดงวา่ คนคนน้ขี าดมนษุ ยสมั พนั ธ์ จงึ ทำงานรว่ มกับคน อ่ืนไมไ่ ดเ้ หตนุ น้ั นักบริหารที่เกง่ และดี ตอ้ งมพี ละหรือกำลงั ภายใน ๔ ประการ คอื ความฉลาด ความขยัน ความสุจริต และมนุษยสมั พนั ธ์ นักบรหิ ารต้องหม่นั พิจารณาตรวจสอบตนเองว่า มีพละความทั้ง ๔ ข้อหรือไม่ หากพบว่าตนขาด พละข้อใด ต้องพัฒนาข้อนั้น แม้พละทั้ง ๔ ข้อนี้จะมีความสำคัญเท่าเทียมกัน แต่ละพละข้อที่ ๔ คือ สังคหพละ จะสำคัญมาก เนื่องจากนักบริหารทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยคนอื่น ดังนั้น นักบริหารจะเสีย เรอ่ื งมนษุ ยสมั พนั ธ์ไม่ได้ นโปเลียนมหาราชกล่าววา่ การจะเปน็ ใหญ่ ท่านตอ้ งมี ๒ สิง่ คือ ๑. มีศัตรทู ่กี ลา้ แข็งทส่ี ดุ ๒. มีมติ รทซี่ ือ่ สัตย์ที่สดุ เพื่อจะขึ้นสูงท่านจะต้องผ่านด่านอนั ตรายให้ได้ นั่นคือต้องเอาชนะอุปสรรคหรือศตั รูที่กล้าแขง็ เสียก่อน ท่านจึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ท่านจะเอาชนะอุปสรรคหรือศัตรูไม่ได้ ถ้าท่านไม่มีกัลยาณมิตรท่ี ซ่ือสัตยท์ ี่สดุ ไว้คอยช่วยเหลือทา่ น ทา่ นจะมมี ิตรเชน่ นนั้ ไดก้ ็ดว้ ย “สงั คหพละ” ตอ่ ไปนี้เราจะพจิ ารณาความหมายของพละแตล่ ะข้อ และวธิ พี ัฒนาพละสำหรบั นักบริหาร ๑. ปญั ญาพละ : กำลงั แหง่ ความรอบรู้ ปญั ญาพละ หมายถงึ กำลงั แหง่ ความรอบรู้ ความรมู้ หี ลายระดับ บางคนเห็นคำวา่ “ปัญญาพละ” ก็สะกด และอ่านได้ แต่ไม่รู้ความหมายของคำ ในกรณีนี้ความรู้แค่อ่านออกจัดเป็นความรู้ระดับ “สัญญา” คือ ความจำได้หมายรู้ เมื่อตาเห็นภาพ การรับรู้ภาพจัดเป็นรูปสัญญา เมื่อหูได้ยินเสียง การรับรู้เสียง เป็นสัททสญั ญา ฯลฯ สญั ญา (perception) จึงเป็นการรับรเู้ ฉพาะสว่ น คอื เหน็ แค่ไหน รับรแู้ ค่น้นั ได้ยิน แคไ่ หน เช้าใจแคน่ ้ัน ฯลฯ แตป่ ัญญาร้มู ากกวา่ นั้น เพราะปัญญาเป็นความรอบรู้ เช่น บางคนพอเห็นคำว่า “ปญั ญาพละ” กอ็ ธิบายได้ว่าหมายความวา่ อย่างไร และจะพัฒนาขึ้นได้ด้วยวิธีไหน ความรขู้ องเขาจัดเป็น ปัญญา คือ ร้มู ากกว่าทีเ่ หน็ เข้าใจมากกว่าที่ได้ยนิ เช่น เดก็ ของเราไม่สบายเราจับตัวเด็ก ก็รู้ตัวว่าเด็กตัว ร้อนจึงพาไปหาหมอ พอหมอจับตัวเด็กตรวจดูอาการเท่านั้น หมอรู้ว่าเด็กป่วยเป็นโรคอะไร และสั่งยา รักษาโรคได้ ความรู้ของเราว่าเด็กตัวร้อนเป็นความรู้ระดับสัญญา ส่วนความรู้ของหมอเป็นความรู้ ระดับปัญญา นักบริหารตอ้ งมปี ัญญา คือ ความรอบรู้เกี่ยวกบั งานในหน้าท่ีและบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปนัก บรหิ ารต้องทำหนา้ ที่บริหารตน บรหิ ารคน และบรหิ ารงาน ดังนน้ั เขาต้องมคี วามรอบร้เู กยี่ วกบั ตนเอง คน อ่นื และงานในความรับผิดชอบนนั้ คือนกั บรหิ ารต้องมคี วามรู้ ๓ เรอื่ ง ได้แก่ รูต้ น รู้คน รูง้ าน มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๓๘ ก. รู้ตน หมายความว่า นกั บริหารตอ้ งรจู้ กั ความเดน่ และความดอ้ ยของตนเอง การร้คู วามเดน่ กเ็ พ่ือทำงาน ที่เหมาะกับความสามารถของตน ตามปกตินักบริหารมักมองเป็นความผิดพลาดของลูกน้องได้ง่าย แต่มองขา้ มความผิดพลาดของตน ดงั พทุ ธพจน์ทว่ี ่า “ความผิดพลาดของคนอน่ื เห็นได้งา่ น แต่ความผิดพลาดชองตนเองเหน็ ไดย้ าก” เมื่อนักบรหิ ารทำงานผิดพลาด ลกู น้องไมก่ ล้าบอกหรือแนะนำ ดังนั้นนกบริหารตอ้ งหัดมองตนและ ตกั เตอื นตนเอง ดงั พทุ ธพจนท์ ว่ี ่า “อตตฺ นา โจทยตฺตานํ จงเตอื นตนดว้ ยตนเอง” เชน่ ถ้านักบริหารสั่งการ หลายครั้ง แต่ลูกน้องไม่เข้าใจ นักบริหารก็อย่าด่วนตำหนิลูกนอ้ งว่าโง่เง่า บางทีตัวเราเองอาจสั่งการไม่ ชดั เจนกเ็ ปน็ ได้ ดังภาษิตอทุ านธรรมทว่ี ่า “ถา้ พดู ไป เขาไมร่ ู้ อยา่ ขเู่ ขา ว่าโงเ่ งา่ งมเงอะ เซอะนกั หนา ตวั ของเรา ทำไม ไมโ่ กรธา วา่ พดู จา ใหเ้ ขา ไม่เข้าใจ” การทน่ี กั บริหารมักมองไมเ่ ห็นความผิดพลาดของตนนน้ั เปน็ เร่ืองธรรมดา เพราะวันหน่ึง ๆ ดวงตา ของเรามีไว้สำหรับมองด้านนอกมันไมไ่ ดม้ องตัวเราเอง เวลาคนอ่ืนทำผดิ พลาดเราจึงเหน็ ทนั ที แตเ่ วลาเรา ทำผิดพลาดเองกลับมองไม่เห็น ดังนั้นเพ่ือสำรวจตนเอง นกั บริหารตอ้ งหดั มองด้านใน คือ เจริญวิปัสสนา ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Insight คือทองด้านในนั่นเองวิปัสสนากรรมฐานเน้นเรื่องการเจริญสติ พจิ ารณากาย เวทนา จติ และธรรม หรือความดแี ละความช่ัวในใจของเรา โลกภายนอก กวา้ งไกล ใครใครรู้ โลกภายใน ลึกซึง้ อยู่ รู้บ้างไหม จะมองโลก ภายนอก มองออกไป จะมองโลก ภายใน ให้มองคน ข. รคู้ น หมายถึง ความรอบรู้เกี่ยวกับคนร่วมงาน นักบริหารต้องรู้ว่าใครมีความสามารถใน ด้านใด เพื่อจะได้ใช้คนให้เหมะกับงานนอกจากนัน้ นักบริหารต้องรู้จักจริตของคนรว่ มงาน เพื่อใช้งานที่ เหมาะสมกบั จริตของเขา จริต ได้แก่คนทีป่ ระพฤติบางอย่างเคยชินจนเป็นนิสัย “จริต” จึงหมายถึงประเภทนิสัยของคนมี ๖ แบบดว้ ยกัน คือ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา ๓๙ ๑. ราคจริต คอื พวกรักสวยรักงาม มกั ทำอะไรประณีตเรยี บร้อยและใจเยน็ คนพวกน้ีชอบทำงาน ที่ต้องใช้ความละเอียดประณีต ๒. โทสจรติ คอื พวกใจร้อน ชอบความเร็ว และมกั หงุดหงดิ ง่ายถ้าถูกขดั ใจ คนพวกน้ีชอบทำงาน ท่ีต้องใชค้ วามรวดเร็ว ๓. โมหจริต คือ พวกเขลาซึม ขาดความกระตือรือร้นทำงานอืดอาด เฉื่อยชา ชอบหลับในท่ี ทำงานเป็นประจำ ๔. สัทธาจริต คือ พวกเชื่อง่าย เวลามีข่าวเรื่องแปลกแต่จริง เชื่อหรือไม่ พวกนี้จะเชื่อก่อนใคร คนพวกน้ถี า้ ชอบใครจะทำงานให้เต็มที่ ๕. พุทธิจริต คือ พวกใฝ่รู้ เป็นคนช่างสงสัย รักการศึกษาหาความรู้ มักต้องการรายละเอียด มากกวา่ คนอนื่ คนพวกนีถ้ นดั ทำงานด้านวิชาการ ๖. วิตกจริต คือ พวกชา่ งกังวล เปน็ คนไม่กล้าตดั สินใจมกั ปล่อยเรือ่ งค้างไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ ยอมลงนาม หรือดำเนินการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ถ้าเราตอ้ งการคนใสเ่ บรคให้กับการตดั สนิ ใจของเราบ้างลอง ปรกึ ษาคนพวกนี้ คนจริตใดเราก็พอทำงานร่วมกันกับพวกเขาได้พวกที่นักบริหารต้องระวังให้มากคือ วิกลจริตที่ แฝงเข้ามาในองค์กร ค. ร้งู าน หมายถึง ความรอบรูเ้ กยี่ วกับงานในความรบั ผดิ ชอบเพอ่ื ประโยชน์ในการวางแผนบรรจุ บุคลากร อำนวยการและตดิ ตามประเมนิ ผล ความรู้เรอ่ื งงานมี ๒ ลักษณะ คือ รู้เทา่ และร้ทู นั “รูเ้ ทา่ ” คอื ความรูร้ อบด้านเกี่ยวกับงานว่ามีขน้ั ตอนอย่างไรและมีส่วนเก่ียวข้องกับคน อื่น ๆ อย่างไร และยังหมายถึงความรู้เท่าถึงการณ์ในเมื่อเห็นเหตุแล้วคาดว่าผลอะไรจะตามมา แล้วเตรียมการป้องกันไว้ เหมือนคนขับรถลงจากภูเขาที่เขาชินกับเส้นทางว่าที่ใดมีเหวหรือเป็นทางโค้ง อนั ตราย แล้วขบั อย่างระมดั ระวงั เมื่อถงึ ท่นี ้นั ความรู้เท่าจึงชว่ ยใหม้ กี ารปอ้ งกันไว้กอ่ น “รูท้ นั ” หมายถึงความร้เู ทา่ ทันสถานการณ์ เม่อื เกดิ ปัญหาขน้ึ กส็ ามารถแก้ปญั หาเฉพาะ หนา้ ไดด้ ี ดังกรณขี องคนทขี่ ับรถลงจากภูเขาแล้วรถเบรกแตก เมอ่ื เจอกบั สภาพปญั หาเชน่ นน้ั เขาตดั สินใจ ฉับพลันว่าจะทำอย่างไร นั้นเป็นความรู้ทนั เพื่อนแก้ปญั หาเฉพาะหนา้ ความรู้เกี่ยวกับงานจึงได้แก่ ความ รู้เท่าและความร้ทู นั ร้เู ท่าเอาไวป้ ้องกัน ร้ทู ันเอาไว้แกไ้ ข นกั บริหารตอ้ งพฒั นาปญั ญา มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา ๔๐ ปัญญา คือ ความรู้ตน รู้คน และรู้งาน เป็นสิ่งสำคัญในการบริหาร นักบริหารต้องพัฒนาปัญญาอยู่ เสมอ ดว้ ยวธิ ีพฒั นาปัญญา ๓ ประการ ดงั น้ี ๑. สุตามยปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ที่เกิดจากสุตะ คือ การรับข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ คนที่มีปัญญาประเภทน้ี ต้องเปน็ คนอ่านมากและฟงั มาก ใครท่จี ดจำเร่ืองราวทีอ่ ่านและฟังแลว้ ได้มากมาย เรียกว่า พหสู ตู นักบรหิ ารตอ้ งพฒั นาปัญญาขนั้ สุตะอยเู่ สมอ นน่ั คือเกาะติดสถานการณ์ ด้วยการขยนั อ่านหนงั สือ ใช้ขอ้ มูลจากงานวิจยั และฟังคำแนะนำของวทิ ยากรหรือผเู้ ชยี่ วชาญ กอ่ นสั่งการแต่ละครั้งนักบริหารต้องมี ขอ้ มลู พร้อมเพอ่ื ประกอบการตดั สินใจ นักบริหารควรมีใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นทีเ่ สนอแนะจากทุกฝ่ายเขาไม่ควรปิดใจตัวเองไม่รับ ข้อมูลใหม่ เพราะหลงผิดคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว เขาควรยึดแนวปฏิบัติของ โสคราตีส ผู้กล่าวว่า “หน่ึง เดยี วที่ขา้ พเจา้ รู้ คือรู้วา่ ข้าพเจ้าไมร่ ้อู ะไร” เมอ่ื รู้ตัววา่ ขาดความรู้ในเรอื่ งใด โสคราตีส ก็ศกึ ษาหาความรู้ ในเร่อื งน้นั พระพุทธเจ้าเสนอคำสอนในทำนองเดียวกันเมื่อพระองค์ตรัสว่า “คนโง่ (พาล) ที่รู้ตัวเองว่าเปน็ คนโง่ยังพอเปน็ คนฉลาด (บัณฑิต) ได้บ้าง แต่คนโง่ที่สำคัญผิดคิดว่าตัวเป็นคนฉลาด จัดเป็นคนโง่แท้ ๆ” ดังนนั้ นกั บรหิ ารตอ้ งร้จู ักแกลง้ ทำโง่เพื่อศึกษาหาความรจู้ ากผเู้ ช่ยี วชาญ ดงั ภาษิตท่ีวา่ “หดั นิ่งเป็นบา้ ง หัดโง่เปน็ บ้าง หดั แพ้เป็นบา้ ง น่ันแหละ ท่านกำลังชนะ และกำลงั ฉลาดขน้ึ ” เวลาศึกษาความรู้เรื่องใหม่ นักบริหารต้องเกบ็ ความรู้เก่าใส่ลิ้นชักสมองไวช้ ั่วคราว อย่าให้เรื่อง เก่าครอบงำความคิด กลายเป็นอคตบิ ังตาเสยี จนไม่ยอมรับข้อมูลใหม่ หรือไม่ยอมรบั ปรับเปล่ียนความคิด ให้ทันเหตุการณ์ นนั่ คอื ตอ้ งมียถาภูตญาณทัสสนะ หมายถึง ความรูเ้ ห็นตามความเปน็ จรงิ นักบริหารต้อง รู้จกั คนตามที่เขาเปน็ ไม่ใช่วา่ ชอบใคร หลงใคร ก็ปกป้องคนนน้ั ทง้ั ๆ ท่เี ขาทำผิดมหันต์ หรือเกลียดใคร ก็ตำหนิคนน้ัน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย นักบริหารต้องมองคนที่เป็นจริง ด้วยการถอดแว่นสีออก จากปัญญาจักษุ อคติหรอื ความลำเอยี งเปรียบเสมือนแวน่ สีที่เราสวมใส่ ซงึ่ กำหนดใหเ้ รามองโลกไปตามสีของแว่น เราไม่สามารถมองเห็นสง่ิ ต่าง ๆ ตามท่ีเปน็ จริง คนทีส่ วมแวน่ สเี ขียวจะมองเห็นทุกส่ิงเปน็ สีเขียว คนที่สวม แว่นสีแดงจะมองเห็นทกุ ส่งิ เป็นสีแดง สที แี่ ท้จรงิ คืออะไรเขาไม่มที างทราบ อคติทวี่ า่ น้ัน มี ๔ ประการ คอื ๑. ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ) ถ้าเราชอบใครไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร เราเห็นกับเขาไป เสยี ทกุ อยา่ ง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา ๔๑ ๒. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง) ถ้าเราชังใครไม่วา่ เขาจะพูดหรือทำอะไร เรารู้สึกขวางหูขวางตา ไปหมด ๓. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง) ถ้าเราขาดข้อมูลในเรื่องใด พอมีคนให้ข้อมูลเท็จในเรื่องนั้น เรามกั เช่อื เขาและตดั สินใจผิดพลาดไดง้ า่ ย ๔. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) ถ้าผู้มีอำนาจสั่งให้เราพูดหรือทำสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกของเรา บางคร้งั เราจำเป็นต้องทำตามเพราะความกลวั ภยั นกั บริหารท่ีดีตอ้ งมคี วามยตุ ธิ รรมในหวั ใจ เขาตัดสนิ คนตามทีเ่ ป็นจริง เพราะเขาไมย่ อมให้อคตทิ งั้ ๔ ประการมาเปน็ ม่านบังตา เขาจะทำอยา่ งนน้ั ได้ก็ต่อเมื่อรู้จักวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่เห็นหรือได้ยินด้วย จินตามยปัญญา ๒. จินตามยปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ท่ีเกิดจากการคิดวิเคราะห์ข้อมูลทีเ่ รารับมาจากการฟังหรือการอ่าน สุตมย ปัญญาเปรียบเสมือนการรบั ประทานอาหารในขน้ั ตักบาตรใส่ปาก จินตามยปัญญาเปรียบเหมือนการเค้ียวอาหารให้ละเอียดแล้วกลืนลงไป คนบางคนฟังเรื่องอะไร แล้วเช่อื ทันทีโดยไมท่ ันพิจารณา เหมอื นกบั คนทก่ี ลนื อาหารโดยไม่ทันได้เคี้ยว การพินจิ พิจารณาไตร่ตรอง เรื่องที่ฟังหรืออ่าน รวมถึงการตรวจสอบแหล่งข่าว แหล่งข้อมูล หรือหนังสืออ้างอิง เหล่านี้เป็น กระบวนการของจินตามยปัญญาคนบางคนจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้มาก แต่วิเคราะห์ไม่เปน็ บางคนท่อง กฎหมายได้ทุกมาตรา แต่ไม่สามารถตีความกฎหมายเหล่านั้น คนเหล่านี้ขาดจินตามยปัญญาคนทีมีจิน ตามยปญั ญา ไดแ้ ก่ คนทค่ี ิดเป็นตามแบบโยนิโสมนสิการ โยนโิ ส แปลวา่ ถูกต้อง แยบคาย มนสกิ าร แปลว่า ทำไว้ในใจหรือการคดิ ดังนั้น โยนิโสมนสิการจึงหมายถึง การทำไว้ในใจโดยแยบคาย หรือการคิดเป็นถูกต้องตรงตาม ความเป็นจริงคนโบราณเขา้ ใจความสำคัญของโยนโิ สมนสิการดี จึงกล่าวได้วา่ “สิบปากว่าไมเ่ ท่าหนึง่ ตาเห็น สิบตาเห็นไมเ่ ทา่ หนึ่งมือคลำ สิบมือคลำไมเ่ ทา่ หน่งึ ทำไวใ้ นใจ” คำว่า “ทำไว้ในใจ” คอื โยนโิ สมนสกิ าร การคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร สรุปได้ ๔ วธิ ี คอื ๑. อปายมนสิการ(คิดถูกวิธี) หมายถึง การคิดที่อาศัยวิธีการ (Methodology) อนั สอดคลอ้ งกับเร่ืองทศ่ี กึ ษา เชน่ เดียวกับการทำวิจัยต้องมรี ะเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสม หากใช้วิธีวิจัยผิดก็ จะไม่ไดค้ วามจริงในเรอ่ื งน้ัน มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บริหารสถานศึกษา ๔๒ การตรวจสอบความจริงบางเรื่องต้องใช้วิธีอุปนัย (Induction) บางเรื่องต้องใช้วิธีนิรนัย (Deduction) แต่บางเรอื่ งตอ้ งใช้ประสบการณ์ตรงเป็นเครือ่ งตรวจสอบยืนยันความจริง เช่น พระพทุ ธเจ้าทรงค้นพบว่า การทรมานตนหรือทกุ ขกริ ิยาไมใ่ ชว่ ิธบี ำเพญ็ เพยี รที่ถกู ตอ้ ง เม่ือพระองคท์ รงหันมาใช้วธิ ีบำเพ็ญเพียรทาง จิต จงึ ตอ้ งตรสั ร้เู ป็นพระพทุ ธเจา้ ๒. ปตมนสิการ(คิดมีระเบียบ) หมายถึง การคิดที่ดำเนินตามขั้นตอนของวิธีการนั้น ๆ ไม่มีการลดั ข้นั ตอน หรือดว่ นสรปุ เกินขอ้ มลู ทีไ่ ด้มา การด่วนสรปุ จดั เป็นเหตุผลวิบัติ (Fallacy) ประการหนึง่ ดังกรณีท่ีเราหยิบส้มผลหนึ่งมาชมิ เมื่อส้มผลนั้น เปรี้ยว เราก็ด่วนสรุปว่าส้มที่เหลือในลังทั้งหมดเปรี้ยว นอกจากนั้นการคิดต้องดำเนินตรงทางไปสู้ เป้าหมาย โดยไม่มีการฟุง้ ซ่านออกนอกทาง นั่นคือ นักบริหารต้องมีสมาธิในการคิด บางคนกำลงั ค้นควา้ ข้อมูลเพื่อทำวิจัยเรื่องน้ำท่วมอยู่ดี ๆ เมื่อพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องภัยแล้งก็ลืมจุดมุ่งหมายเดิม เขาไปเสียเวลาอา่ นขอ้ มลู เรื่องภัยแล้ง ซ่งึ ออกนอกทางไปเลย คนนไ้ี มม่ ีปถมนสกิ าร ๓. การณมนสกิ าร(คดิ มเี หตผุ ล) หมายถงึ การคดิ จากเหตโุ ยงไปหาผล (ธัมมญั ญุตา) และ การคิดจากผลสาวกลับไปหาเหตุ (อัตถัญญุตา) และการคิดแบบนี้จะทำให้นักบริหารเป็นคนรู้เท่าทัน เหตุการณ์ เมื่อจะสั่งการแต่ละครั้งต้องคาดได้ว่าผลอะไรจะคามมาหรือเมื่อเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นใน องค์การต้องสามารถบอกไดว้ า่ จากสาเหตุอะไร นอกจากนั้นนกั บริหารไม่กลวั ความล้มเหลว อันทจี่ รงิ ความ ล้มเหลวไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความล้มเหลวนั้นแท้ที่จรงิ คือวิบากหรือผลของกรรมท่ีไม่ดี ถ้าเราอยากประสบ ความสำเร็จ ครั้งต่อไปเร่ตอ้ งทำกรรมคือเหตุท่ดี ี แลว้ วิบากหรอื ผลทดี่ ีก็จะตามมา ๔. อุปปาทมนสิการ(คิดเป็นกุศล) หมายถึงการคิดแง่สร้างสรรค์ (Creative thinking) คือคิดให้มีความหวัง และได้กำลังใจในการทำงาน เมื่อเห็นหรือได้ยินอะไรก็เก็บมาปรับใช้ประโยชน์ใน หนว่ ยงานของตน ดงั ทีข่ งจ้อื กล่าวว่า “เมื่อข้าพเจา้ เห็นคนสองคนเดินสวนทางมา คนหนึ่งเปน็ คนดี อีกคนหนึง่ เป็นคนเลว คนท้ังสอง เปน็ ครขู องข้าพเจา้ ได้เท่ากนั เมือ่ เหน็ คนดี ข้าพเจา้ พยายามเอาอย่างเขา” คนที่คิดสร้างสรรค์ จะรู้จักแสวงหาประโยชน์แม้จากสิ่งที่ดูเหมือนไมม่ ปี ระโยชน์ เขาหาสาระแม้จาก เรื่องท่ีดูไร้สาระ เขาเห็นความงามในความน่าชัง ดังคำประพันธ์ที่ว่า “ศิลปินอย่าดูหมิน่ ศิลปะ กองขยะดู ให้ดียงั มศี ิลป”์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๔๓ ๓. ภาวนามยปญั ญา หมายถึงความรอบรู้ที่เกิดโดยประสบการณ์จากภาคปฏิบัติหรือการลงมือทำจริง ๆ สุตมยปัญญา ทำให้นักบริหารได้ข้อมูลใหม่ จินตามยปัญญาทำให้ได้ความคิดที่ดี ส่วนภาวนามยปัญญาทำให้มีผลงาน เป็นรปู ธรรม นักบริหารบางคนมีความรู้และความคิดดี แต่ไม่มีผลงานเพราะไม่ยอมลงมือทำตามความคิด ส่วนบางคนมีความรู้ดี แต่ไม่สามารถนำความรู้ออกมาใช้ทันท่วงที คนเหล่านี้ขาดความชำนาญในการ ปฏิบัติ ดังคำกล่าวที่ว่า “มีเงินใหเ้ ขากู้ มีความรู้อยู่ในตำรา” เมื่อเกิดความจำเป็นก็เรียกความรูน้ ้ันมาใช้ ไม่ได้ ดังนั้นภาวนามยปัญญาจึงมีความสำคัญในการบริหาร เพราะเป็นความรอบรู้ที่แปรทฤษฎีสู่ ภาคปฏิบัติ ดงั กรณตี อ่ ไปนี้ เมอ่ื พระเจ้าจันทรคุปต์ผู้กอ่ ต้งั ราชวงศ์เมารยะของอนิ เดีย ยกทพั เข้าตเี มืองหลวงของกษัตริย์เช้ือ สายกรกี ผปู้ กครองภาคเหนอื ของอนิ เดียน้นั ปรากฏวา่ กองทัพของพระเจา้ จันทรคุปต์ประสบความปราชัย พระเจ้าจันทรคุปต์หนีเอาชีวิตรอด ไปซ่อนพระองค์ด้านหลังกระท่อมชาวนาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะท่ี หลบซ่อนอย่นู น้ั พระองคไ์ ด้ยินเสียงเดก็ รอ้ ง และแม่ของเด็กไดก้ ล่าวกับเดก็ ดว้ ยเสียงอันดงั ว่า “เจา้ โง่ ขนม เบื้องยังร้อนอยู่ เจ้ากัดกินมันที่ตรงกลางได้อย่างไร ปากเจ้าก็พองหมดหรอก เจ้าควรกัดกินขนมเบื้องที่ ร้อน โดยเรมิ่ จากมมุ รอบ ๆ กอ่ นมใิ ช่หรือ” เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ พระเจ้าจันทรคุปต์ได้ความคิดว่าพระองค์เองก็ไม่ต่างจากเด็กคนน้ัน การยกทัพเข้าตีเมืองหลวงในขณะที่ข้าศึกยังเข้มแข็ง ก็มีลักษณะเหมือนกับการกัดกินขนมเบื้องร้อน ๆ ที่ตรงกลาง พระองค์จึงประสบความพ่ายแพ้ ดังนั้น พระเจ้าจันทรคุปต์จึงคิดเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ โดยใช้ ยุทธการ “ป่าล้อมเมอื ง” คอื นำทพั ยึดเมืองเล็กรอบนอกให้ไดก้ ่อนทจี่ ะบกุ ตเี มอื งหลวงเช่นเดยี วกับการเร่ิม กินขนมเบ้อื งจากมมุ โดยรอบมากอ่ น ในทส่ี ดุ พระเจา้ จนั ทรคุปต์ได้ประสบชยั ชนะเพราะใช่ยุทธวิธีนี้ ซง่ึ เกิด จากการไดย้ นิ คำด่าเดก็ ของหญิงชาวนาคนหน่ึง ในกรณนี ี้พระเจา้ จนั ทรคุปต์ไดป้ ัญญาท้ังสามประการ คือ พระองค์ได้สุตมยปัญญา จากการฟังคำพูดของหญิงชาวนาได้จินตมยปัญญาจากการนำคำพูดนั้นมา ไตรต่ รอง จนค้นพบยทุ ธวธิ ใี หม่ และได้ภาวนามยปัญญาจากการแปรยุทธวธิ เี ป็นยทุ ธการในสนามรบ นักบริหารบางคนมีความคิดแปลกใหม่ดี แต่ไม่ยอมนำความคดิ นั้นไปปฏิบัติ เขาจงึ ไม่มีภาวนามย ปญั ญา ทีเ่ ปน็ เช่นนั้นเพราะเขาขาดกำลังใจในการปฏบิ ัติ คือวริ ยิ ะพละ ๒. วิรยิ ะพละ : กำลงั ความเพียร วิริยะพละ หมายถึง กำลังความเพียรหรือความขยัน คนมีความขยันต้องมกี ำลังใจเข้มแข็ง อาจ กลา่ วได้วา่ วริ ิยะพละกค็ ือกำลงั ใจน่ันเอง กำลงั ใจตอ้ งมาคู่กบั กำลังปญั ญาเสมอ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ๔๔ คนมีกำลังใจแต่ไม่มีกำลังปัญญาจะเป็นคนบ้าบิ่น คนมีกำลังปัญญาแต่ขาดกำลังใจจะเป็นคน ขลาด คนทมี่ ที ้ังกำลงั ใจและกำลงั ปัญญาจึงจะเป็นคนกล้าหาญ นกั บรหิ ารท่ีมีกำลังปญั ญาแต่ขาดกำลังใจ มักถือนโยบายหลบภัยหนีปญั หา เหมือนกับนักมวยชั้นเชิงทีเ่ อาแต่หนีตลอด ๑๒ ยก แม้ว่าคู่ต่อสู้เพลี่ยง พล้ำ เขาก็ไม่กล้าใช้หมัดเด็ดเก็บคู่ต่อสู้ คนดูเบื่อนักมวยประเภทหนีลูกเดียวฉันใด ประชาชนก็เบ่ือ ผูบ้ ริหารท่ีเอาแต่หลบภยั หนปี ัญหาฉนั น้นั นักมวยที่น่าสนใจคอื นักมวยทม่ี ีท้งั ชน้ั เชงิ และหมัดหนักพอท่ีจะเก็บคตู่ อ่ สู้ นกั บรหิ ารที่ดคี วรเป็น เชน่ นั้น เขามชี น้ั เชงิ คือกำลังปัญญาและมีหมัดหนักคือกำลังใจ รวมท้ังสองอยา่ งเข้าดว้ ยกัน เรียกว่าความ กลา้ หาญ นักบริหารท่ีดตี ้องเป็นคนกล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวความยากลำบากที่รอคอยอยู่เบ้ือง หนา้ เขาจะถือคติวา่ “ลม้ เพราะกา้ วไปข้างหนา้ ดีกว่ายืนเตะ๊ ท่าอยกู่ ับที่” ใครท่ไี มก่ ้าวเดินไปข้างหน้าจะ กลายเป็นคนล้าหลัง เพราะคนอื่น ๆ ได้แซงขึ้นหน้าไปหมด นักบริหารต้องกล้าลองผิดลองถูก ถ้าทำ ผิดพลาดก็ถอื ว่าผดิ เป็นครู ใครท่ีถนอมตัวจนไมก่ ลา้ ทำอะไรเลย จัดเปน็ คนขลาด เขาควรฟังคำเตอื นของน โปเลียนมหาราลทวี่ ่า...“คนท่ีไม่อะไรผดิ คอื คนไมท่ ำอะไรเลย” ผู้ทำการใหญ่ยอ่ มต้องเจออุปสรรค เหมือนต้นไม้สูงใหญ่มักจะเจอลมแรง นักบริหารต้องกล้าจบั ทำโครงการใหญห่ รืองานใหญ่ ถือคติว่า “คนสรา้ งงาน งานก็สรา้ งคน” ถา้ ขยนั ทำงานยาก ๆ ความชำนาญ กต็ ามมา คนที่ผ่านรอ้ นผ่านหนาวมามาก จะฉลาดและแกรง่ ข้ึนดังนน้ั นกั บริหารจะตอ้ งไม่หลบเล่ยี งหน้าที่ ที่ลำบากยากเย็น ถือภาษิตที่ว่า “ว่าวขึ้นสูงเพราะมีลมต้าน คนจะขึ้นสูงเพราะเผชิญอุปสรรค” พระพุทธเจ้ายังต้องรบกับมารก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังคำกล่าวที่ว่า “มารมามี บารมีไม่แก่” ไม่มี ความสำเร็จอันใดที่ได้มาโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง พระพุทธองค์ตรัสว่า...“วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะล่วง ทกุ ขไ์ ด้ดว้ ยความขยนั ” ดงั สภุ าษิตอทุ านธรรมที่ว่า จะเปน็ สขุ กต็ อ้ งทกุ ข์ ลงทนุ ก่อน จะเป็นกอ้ น ทลี ะนอ้ ย ค่อยผสม จะเป็นพระ กต็ อ้ งละ กามารมณ์ จะเปน็ พรหม ก็ต้องหม่ันเพียร เรียนทำฌาน มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บริหารสถานศึกษา ๔๕ วิรยิ ะในการบริหาร วิริยะหรอื ความขยันมี ๒ ประเภท คือ ๑. สสังขารกิ วริ ิยะ ความขยันทตี่ อ้ งมคี นอนื่ ปลกุ ใจ หรือมสี ถานการณ์บบี บงั คับ ถ้าไม่มี คนปลุกหรอื บีบบงั คับ บางคนกห็ มดกำลังใจ และไมย่ อมทำอะไรตอ่ ไป ๒. อสังขาริกวิริยะ ความขยันที่เกิดจากการปลุกใจตัวเอง แม้คนอื่นจะหมดกำลังใจ ลม้ เลิกการทำงานไปแล้ว แต่คนทปี่ ลกุ ใจตวั เองจะลุกขนึ้ สูต้ อ่ ไป ในฐานะผู้นำคนอื่น ๆ นักบริหารต้องมอี สังขารกิ วิริยะ คือ ไม่ยอมแพ้งา่ ย ๆ เมื่อเผชิญอุปสรรค เขาต้อง ปลุกใจตนเอง และปลุกระดมคนอ่ืนให้ทำงานต่อไป ถ้าหัวขบวนยอมแพ้เสียคนเดียวองค์กรทั้งหมดก็ ส้นิ ฤทธิ์ เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจงึ ตรสั ว่า “วายเมเถวปุริโส ยาว อตฺถสฺส นปิ ฺปทา เกิดเปน็ คนต้องพยายามร่ำไปจนกว่าจะไดส้ ิง่ ที่ปรารถนา” แน่นอนว่า คนที่ทำการใหญ่บางครั้งทานแรงต้านไม่ไหวก็ต้องถอยบ้าง แต่เป็นการถอยตั้งหลกั แลว้ ค่อยรกุ คบื หนา้ ไปใหม่ ถ้าจำเป็นต้องซวนเซก็ประคองตัวไว้อย่าให้ล้ม ถ้าหากตอ้ งลม้ ลงไปจงลุกขึ้นมา อีก และอย่าลุกขึ้นมามือเปล่า นั่นคือ ถ้าต้องพ่ายแพ้ผิดหวังต้องหาบทเรียนจากความผิดพลาดใน อดีต เม่ือกลบั คืนสังเวียนอีกคร้ังเขาต้องฉลาดกว่าเก่า สุขุมกวา่ เกา่ และเข้มแขง็ กว่าเกา่ นกั บรหิ ารท่ยี ่งิ ใหญ่หลายคนเคยลม้ิ รสชาติของความพา่ ยแพ้กันมาก่อน เมือ่ คนทม่ี วี ริ ิยะลม้ ลง เขา จะลุกขึ้นมาอีกดังชีวิตอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา บุคคลผู้นี้ประสบความล้มเหลวคร้ัง แล้วคร้งั เลา่ ดังนี้ อายุ ๒๑ ปี ลม้ เหลวในการประกอบธรุ กิจ อายุ ๒๒ ปี พ่ายการเลอื กตั้ง สมาชิกสภานติ บิ ญั ญัตขิ องรัฐ อายุ ๒๔ ปี ล้มเหลวในการประกอบธุรกิจอกี คร้ัง อายุ ๒๖ ปี คนรกั ของเขาตายจากไป อายุ ๓๔ ปี พา่ ยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อายุ ๓๖ ปี พา่ ยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อายุ ๔๕ ปี พา่ ยการเลือกต้ังวฒุ สิ มาชิก อายุ ๔๗ ปี พยายามเปน็ รองประธานาธบิ ดแี ตไ่ มม่ ใี ครสนับสนนุ อายุ ๔๘ ปี พา่ ยการเลือกตง้ั วุฒสิ มาชิก อายุ ๕๒ ปี ชนะการเลือกตงั้ ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ๔๖ บคุ คลผู้นมี้ ชี ่อื ว่า อับราฮ้ม ลินคอล์น ประธานาธิบดคี นท่ี ๑๖ ของสหรฐั อเมรกิ า เขาจะไม่มีวันได้ เปน็ ประธานาธิบดีเลย ถ้าไมร่ ู้จกั ปลกุ ใจตวั เองดว้ ยอสงั ขารกิ วิริยะให้ลุกขนึ้ เดนิ หน้าตอ่ ไป สุนทรภู่เขยี นไว้วา่ ... จับให้ม่ันค้ันหมายใหว้ ายวอด ชว่ ยใหร้ อดรกั ให้ชิดพิสมยั ตดั ให้ขาดปรารถนาหาส่งิ ใด เพียรจงได้ดังประสงค์ท่ีตรงดี นักบริหารที่ประสบความสำเรจ็ ต้องเป็นคนพากเพียรอย่างหนักข้อสำคัญเขาตอ้ งพากเพียรเพ่อื บรรลุถงึ เป้าหมายท่ีดี ดังคำกลอนของสุนทรภู่นั้น ความสำเรจ็ รวมท้งั ชอ่ื เสยี งเกียรติยศคงทนถาวรน่ันคือ นักบริหารตอ้ งมีพละขอ้ ทส่ี าม คือ อนวัชชพละ ๓. อนวัชชพละ : กำลงั แหง่ การงานท่ไี มม่ โี ทษ อนวชั ชพละ แปลวา่ กำลังแห่งการงานทีไ่ มม่ โี ทษ หรือขอ้ เสียหาย หมายถึง นักบรหิ ารต้องปฏบิ ตั ิหน้าทีด่ ้วยความซือ่ สัตยส์ ุจริต ดงั พุทธพจน์ทีว่ า่ “ธมฺมญฺจเร สุจริตํ บคุ คลควรปฏิบัติธรรม (หนา้ ท่ี) ใหส้ ุจรติ ” ชีวิตคนเราเปรยี บเหมือนเรอื หรือนาวาชวี ติ ที่แล่นไปในหอ้ งมหาสมุทร เรอื สว่ นมากอบั ปางก่อนถึง จุดหมาย เพราะมีรรู ่ัวใหน้ ำ้ ทะเลไหลเข้าขา้ งใน เรือจึงจมลงอยา่ งรวดเรว็ เหมือนนักบริหารหลายคนเสยี อนาคตเพราะถูกจับไดว้ า่ ทจุ ริตตอ่ หนา้ ที่ หรอื มปี ระวัตดิ ่างพร้อย นาวาชวี ิตของพวกเขามีรรู ่ัว เร่ืองตอ่ ไปนี้ นับเปน็ อุทาหรณ์ท่ีดี เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๖ วฒุ สิ ภาของสหรัฐอเมริกาได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงเปน็ เอกฉันท์ ให้ ความเห็นชอบตอ่ การที่ประธานาธิบดี บิล คลนิ ตนั ไดแ้ ต่งต้ังนางเจเนต เรโน เป็นรฐั มนตรวี า่ การกระทรวง ยุติธรรมดังนั้น นางเจเนต เรโน จึงได้รับเกียรติประวัติเป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกของกระทรวงยุติธรรม ซึง่ ถือกันวา่ เปน็ หนึ่งในกระทรวงเกรดเอกของสหรัฐอเมรกิ า อันทีจ่ ริงเกยี รติยศอันนคี้ วรตกเป็นของนางโช ไบรด์ ผู้เคยถูกเสนอชอื่ ตอ่ วฒุ ิสภา เพื่อแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่สื่อมวลชนได้ขุดคุ้ยจุดด่างพร้อยในชีวิตของเธอที่ว่านางโช ไบร์ด ไดว้ ่าจา้ งชาวเปรูสองคนผลู้ กั ลอบเข้าประเทศมาเป็นคนเลีย้ งลกู ที่บ้านของเธอ จุดดา่ งพร้อยนีน้ อ้ ยนิดกจ็ ริง แต่ก็มีผลเลวร้ายเท่ากับรูร่ัวของเรอื เดินสมุทร ที่ทำให้เรือจมได้ ในที่สุด นางโช ไบร์ด จึงขอถอนตัวออก จากการเสนอช่ือเปน็ รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงยตุ ธิ รรม และนางเจเนต เรโน ก็ไดร้ ับการเสนอชื่อแทน รรู ัว่ ของชวี ิตเชน่ นี้ พระท่านเรียกว่า อบายมุข แปลว่า ทางแห่งความเสอ่ื ม นักบรหิ ารหลายคนเสียอนาคต เพราะถูกผอี บายมุขเข้าสิง นักบริหารต้องหลีกเวน้ อบายมุข พระท่านเตือนไปวา่ ไปงานศพครั้งใดเมือ่ เผา มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช

จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ๔๗ ศพทัง้ ทตี ้องเผาผีเสียดว้ ย มฉิ ะนน้ั ผีจะสงิ เรากลบั บ้านและทำให้คนเรามีอาการแปลกไป ตามประเภทของ ผีทเี่ ข้าสิง ผมี ี ๖ ตัว คอื ผตี ัวท่หี นึ่ง ชอบด่มื สุราเปน็ อาจณิ ไม่ชอบกนิ ขา้ วปลาเปน็ อาหาร ผตี ัวทีส่ อง ชอบท่องเทย่ี วยามวิกาล ไมร่ ักลูกรักบา้ นของตน ผีตัวทีส่ าม ชอบเท่ียวดกู ารเลน่ ไม่ละเวน้ บารค์ ลบั ละครโขน ผีตวั ท่ีสี่ ชอบคบคนช่วั มัว่ กับโจร หนไี มพ่ ้นอาญาตราแผ่นดิน ผตี วั ทหี่ ้า ชอบเลน่ ไพเ่ ล่นม้ากฬี าบตั ร สารพดั ถ่วั โปไฮโลสน้ิ ผตี วั ที่หก ชอบเกียจครา้ นการหากิน มที ้งั สิน้ หกผอี ัปรียเ์ อย ผีท้ังหกตวั ก็คืออบายมุข ๖ น่ันเอง คนทีถ่ กู ผีอบายมุขเข้าสงิ เสียแล้ว มักไลผ่ อี อกไปจากชีวิตได้ยาก มาก เพราะเขาติดใจในอบายมุข นักบรหิ ารบางคนถกู ผีการพนนั เข้าสงิ ท้งั ๆ ท่เี ขาเปน็ คนฉลาด แต่ก็เลิก เลน่ การพนนั้ ไมไ่ ด้ เขามีลกั ษณะเชน่ เดียวกับชา้ งตกหล่มลกึ ช้างตวั ใหญม่ ีนำ้ หนกั มาก ยงิ่ ชา้ งดิ้นก็ยง่ิ จมลง ไป ช้างตกหล่มมีวิธีขึ้นจากหล่มอยู่ ๒ วิธีคือ ๑) ชา้ งจะต้องช่วยตวั เองกอ่ น ดว้ ยการเอางวงจับกิ่งไมห้ รือต้นไม้ใกล้ตวั เพื่อพยุงตวั ไม่ให้จมลงไป อยา่ งรวดเรว็ ๒) จากนั้นชา้ งจะร้องดังลน่ั เรยี กควาญใหม้ าช่วยดึงมนั ข้ึนจากหลม่ พระพุทธเจ้าสอนว่า คนที่ติดอบายมุขหากประสงค์ทีจ่ ะถอนตัวออกมา ต้องใช้วิธีท้ังสองของช้างตก หลม่ ดังน้ี ๑. เขาจะต้องช่วยตัวเองก่อนด้วย โยนิโสมนสิการ คือการคิดถึงโทษภัยของอบายมขุ และอธิษฐานจติ ว่าจะต้องเลกิ อบายมุขใหจ้ งได้ วัดถ้ำกระบอกรักษาคนตดิ ยาเสพตดิ ด้วยการจัดพิธีสาบาน ตนในเบอ้ื งต้นกอ่ นทีจ่ ะใช้ยาบำบดั รกั ษา คนเราถ้าใจไม่คดิ จะเลิกอบายมุขเสียแลว้ ไมช่ า้ กเ็ รว็ เขาต้องหวน กลับไปหามนั อีก มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook