๔๖ ๑.๓ รกั ษาความ -เล่นและทำกจิ กรรมรว่ มกบั ผอู้ ่นื ๑.การปฏบิ ตั ติ นให้ปลอดภยั ใน กจิ วัตร ๑. การรกั ษาความปลอดภยั ของ ปลอดภยั ของ ด้วยความระมดั ระวังอยา่ ง ประจำวนั ตนเองและการปฏิบัติตอ่ ผอู้ น่ื อยา่ ง ตนเองและผู้อื่น ปลอดภัย ๒. การฟังนทิ าน เรื่องราวเหตุการณ์เกีย่ วกับ ปลอดภยั ในชวี ติ ประจำวนั การป้องกันและรักษาความปลอดภยั ๒. การปฏิบตั ิตนอยา่ งเหมาะสมเม่ือ ๓. การเล่นบทบาทสมมตุ ิเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ เจ็บปว่ ย ๔. การพูดกบั ผ้อู ื่นเก่ยี วกบั ประสบการณข์ อง ๓. การระวงั ภยั จากคนแปลกหน้าและ ตนเองหรอื พดู เร่ืองราวเกีย่ วกบั ตนเอง อบุ ัตภิ ัยตา่ งๆ ๕. การเลน่ เคร่อื งเล่นอยา่ งปลอดภัย ๖. การเลน่ และทำงานรว่ มกับผู้อนื่ มาตรฐานที่ ๒ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สมั พนั ธ์กัน ตวั บง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ตัวบ่งชี้ที่ ๒.๑ เคลื่อนไหว ชั้นอนบุ าลปีที่ ๓ (๕-๖ป)ี ประสบการณ์สำคญั สาระท่ีควรเรียนรู้ ร ่า ง กา ย อย ่า ง คล ่อง แ ค ล่ ว -เดินตอ่ เทา้ ถอยหลงั เป็นเส้นตรงได้อย่าง ๑. การออกกำลังกาย ประสานสัมพันธ์และทรงตัวได้ คล่องแคลว่ ๑. การเคลอ่ื นไหวอยู่กับที่ ๒. การเคลอื่ นไหวรา่ งกาย ๒. การเคล่อื นไหวเคล่อื นท่ี -กระโดดขาเดียว ไปข้างหน้าได้อย่าง ๓. การเคลือ่ นไหวพร้อมอปุ กรณ์ ตอ่ เนอื่ งโดยไมเ่ สยี การทรงตัว ๔. การเคลื่อนไหวทใี่ ช้การประสาน สมั พนั ธข์ องกลา้ มเน้อื ใหญ่ในการขว้าง -วง่ิ หลบหลีกสิ่งกดี ขวางไดอ้ ยา่ ง การจับ การโยน การเตะ คล่องแคลว่ ๕. การเลน่ เครื่องเล่นสนามอย่างอิสระ ๖. การเคล่ือนไหวข้ามสงิ่ กีดขวาง -โยนรับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้น ๗. การเคลือ่ นไหวโดยควบคุมตนเองไป โดยใช้มือทั้ง ๒ ข้างได้ ในทศิ ทาง ระดับ และพืน้ ที่ ตวั บง่ ช้ที ่ี ๒.๒ ใช้มือ-ตาประสาน -ใช้กรรไกรตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้ง ๑. การเล่นเครื่องเล่นสัมผัส และการ ๑. การเล่นและการทำงานร่วมกับผู้อื่น สัมพนั ธ์กัน ได้ สรา้ งสงิ่ ตา่ งๆจากแทง่ ไมบ้ ล็อก ๒. การทำงานศิลปะ ๒.การเขียนภาพและการเลน่ กับสี -เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้อย่างมี ๓. การประดิษฐ์ส่ิงต่างๆด้วยเศษวสั ดุ มมุ ชดั เจน ๔. การหยิบจับ การใช้กรรไกร การฉีก การตัด การปะ การร้อยวัสดุ -ร้อยวัสดุที่มีรูขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๒๕ ซม.ได้ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บุรีรัมย์ เขต ๒
๔๗ ๒.พฒั นาการด้านอารมณ์ จิตใจ มาตรฐานที่ ๓ มสี ุขภาพจติ ดแี ละมีความสขุ ตวั บ่งชี้ สภาพท่ีพงึ ประสงค์ สาระการเรยี นรูร้ ายปี ๓.๑ แสดงออกทางอารมณอ์ ยา่ ง ชน้ั อนบุ าลปที ี่ ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณส์ ำคญั สาระท่ีควรเรยี นรู้ เหมาะสม -แสดงอารมณ์ ความรู้สึกไดส้ อดคล้องกบั ๑. การพดู สะทอ้ นความรสู้ กึ ของ - การแสดงทางอารมณแ์ ละ สถานการณอ์ ย่างเหมาะสม ตนเองและผู้อ่ืน ความรสู้ ึกอยา่ งเหมาะสมกบั ๓.๒ มคี วามร้สู กึ ทด่ี ตี ่อตนเองและ ๒. การเล่นบทบาทสมมตุ ิ สถานการณ์ ผอู้ ่ืน -กลา้ พดู กล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสม ๓. การเคล่ือนไหวตามเสยี งเพลง ตามสถานการณ์ ดนตรี - การร้จู ักแสดงความคดิ เห็นอย่าง -แสดงความพอใจในผลงานและ ๔. การรอ้ งเพลง เหมาะสมกบั สถานการณ์ ความสามารถของตนเองและผ้อู ื่น ๕. การทำงานศลิ ปะ - การประสบความสำเรจ็ ในสิ่ง ต่างๆทท่ี ำดว้ ยตนเอง มาตรฐานท่ี ๔ ช่ืนชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลือ่ นไหว ตวั บง่ ช้ี สภาพท่พี ึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ๔.๑ สนใจและมีความสขุ และ ช้นั อนุบาลปีที่ ๓ (๕-๖ป)ี ประสบการณส์ ำคญั สาระทคี่ วรเรยี นรู้ แสดงออกผ่านงานศลิ ปะ ดนตรี -สนใจและมีความสขุ และแสดงออกผา่ น ๑. การทำกิจกรรมศิลปะต่างๆ - การทำกจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ และการเคล่ือนไหว งานศลิ ปะ ๒. การสรา้ งสรรค์สิง่ สวยงาม ๓. การรบั รแู้ ละแสดงความคดิ - การฟัง การรอ้ งเพลง -สนใจ มีความสุขและแสดงออกผา่ น ความรู้สึกผ่านสื่อ วัสดุ ของเล่น เสยี งเพลง ดนตรี และชิ้นงาน - การแสดงทา่ ทางเคลือ่ นไหว ๔. การปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตาม ประกอบเพลง จงั หวะและดนตรี -สนใจ มีความสขุ และแสดงทา่ ทาง/ ความสามารถของตนเอง เคลอ่ื นไหวประกอบเพลง จงั หวะและ ๑. การฟงั เพลง การร้องเพลง และ ดนตรี การแสดงปฏิกริ ยิ าโตต้ อบ เสยี งดนตรี ๒. การเลน่ เครอ่ื งดนตรีประกอบ จังหวะ ๔. การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตา่ งๆ ตาม ความสามารถของตนเอง ๑. การฟังเพลง การร้องเพลง และ การแสดงปฏิกิรยิ าโต้ตอบ เสียงดนตรี ๒. การเคล่ือนไหวตามเสยี งเพลง ดนตรี ๔. การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่างๆ ตาม ความสามารถของตนเอง ๕. การเล่นเครอ่ื งดนตรปี ระกอบ จังหวะ หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนอนุบาลกระสัง สพป.บรุ รี ัมย์ เขต ๒
๔๘ มาตรฐานที่ ๕ มคี ณุ ธรรม จริยธรรมและมจี ิตใจทีด่ งี าม ตัวบ่งชี้ สภาพท่ีพงึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ชั้นอนบุ าลปีท่ี ๓ (๕-๖ป)ี ประสบการณส์ ำคญั สาระท่คี วรเรยี นรู้ ๕.๑ ซอ่ื สัตย์ สจุ รติ - ขออนุญาตหรือรอคอยเม่ือ ๑. ปฏบิ ตั ิตนเป็นสมาชกิ ทดี่ ขี องห้องเรยี น ๑. คณุ ธรรมจริยธรรม ต้องการสิ่งของของผู้อื่นด้วย ๒. การฟงั นิทานเกยี่ วกบั คุณธรรม - ความซื่อสัตย์ สจุ รติ ๕.๒ มคี วามเมตตา กรณุ า ตนเอง จริยธรรม - ความเกรงใจ ม ี น้ ำ ใ จ แ ล ะ ช ่ ว ย เ ห ลื อ ๓. การรว่ มสนทนาและแลกเปล่ียนความ ๒. การเคารพสิทธขิ องตนเองและผอู้ ื่น แบ่งปนั - แ ส ด ง ค ว า ม ร ั ก เ พ ื ่ อ น แ ล ะ มี คดิ เห็นเชงิ จริยธรรม เมตตาสตั วเ์ ลีย้ ง ๔. เลน่ บทบาทสมมุติ ๑. คุณธรรมจรยิ ธรรม ๕.๓ มีความเห็นอกเห็น ๕. การเล่นและทำงานรว่ มกับผ้อู ืน่ - ความเมตตากรุณา ใจผูอ้ ่ืน -ช่วยเหลือและแบ่งปันผู้อื่นได้ ๖. การปฏิบตั ติ นตามหลักศาสนาท่นี ับถอื - ความมีนำ้ ใจเอื้อเฟ้อื เผ่ือแผ่ ๕.๔ มีความรับผดิ ชอบ ดว้ ยตนเอง ๑. การฟังนิทานเกยี่ วกบั คุณธรรม จริยธรรม ๑. คุณธรรมจริยธรรม -แสดงสีหน้าหรือท่าทางรับรู้ ๒. เล่นบทบาทสมมุติ - ความมีนำ้ ใจ ช่วยเหลือแบง่ ปนั ความรู้สึกผู้อื่นอย่างสอดคล้อง ๓. การเลี้ยงสัตว์ - ความกตญั ญู กบสถานการณ์ ๑. การฟงั นทิ านเกยี่ วกับคุณธรรม - ความมีนำ้ ใจเออื้ เฟือ้ เผือ่ แผ่ จริยธรรม -ทำงานที่ได้รับมอบหมายจน ๒. เลน่ บทบาทสมมุติ ๑. คณุ ธรรมจริยธรรม สำเร็จดว้ ยตนเอง ๓. ปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชกิ ท่ดี ีของห้องเรยี น - ความเห็นอกเห็นใจผอู้ ื่น ๔. การเลน่ รายบคุ คล กลุ่มย่อย และกลมุ่ - ความมีน้ำใจเออ้ื เฟือ้ เผ่ือแผ่ ใหญ่ ๕. การเลน่ ตามมุมประสบการณ์/มมุ เลน่ ๑. คุณธรรมจรยิ ธรรม ต่างๆ - ความรับผิดชอบ - ความอดทน มงุ่ ม่ัน ๑. การเลน่ และทำงานร่วมกับผู้อน่ื - ความเพียร ๒. การเล่นบทบาทสมมตุ ิ ๓. การแสดงความยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข เห็นใจเมื่อผู้อื่นเศร้าหรือเสียใจและการ ช่วยเหลือปลอบโยนเม่อื ผู้อื่นไดร้ ับบาดเจบ็ ๑. การทำกจิ กรรมศิลปะต่างๆ ๒. การดแู ลหอ้ งเรยี นรว่ มกนั ๓. การมสี ว่ นรว่ มรับผดิ ชอบ ดูแลรกั ษา สง่ิ แวดลอ้ มท้ังภายในและภายนอก ห้องเรียน ๔. การร่วมกำหนดข้อตกลงของหอ้ งเรยี น หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๔๙ ๓.พฒั นาการดา้ นสงั คม มาตรฐานที่ ๖ มที กั ษะชวี ติ และปฏิบัตติ นตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ตัวบ่งชี้ สภาพที่พงึ ประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ๖.๑ ชว่ ยเหลือตนเองในการ ปฏิบตั ิกจิ วัตรประจำวัน ชนั้ อนุบาลปที ่ี ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณ์สำคญั สาระที่ควรเรยี นรู้ - แต่งตัวดว้ ยตนเองไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ ๑. การชว่ ยเหลือตนเอง ๖.๒ มวี ินยั ในตนอง - รับประทานอาหารดว้ ยตนเองอย่างถูก ๑. การชว่ ยเหลือตนเองในกิจวตั ร ๒มารยาทในการรับประทาน วธิ ี ประจำวัน อาหาร ๖.๓ ประหยดั และพอเพียง ๒. การให้ความร่วมมอื ในการปฏิบัติ - ใชแ้ ละทำความสะอาดหลังใช้ห้องนำ้ กจิ กรรมตา่ งๆ ๑. การเล่นและการเก็บสิ่งของ หอ้ งสว้ มดว้ ยตนเอง ๓. การปฏิบตั กิ จิ กรรมต่างๆตาม อย่างถูกวิธี -เกบ็ ของเลน่ ของใช้เขา้ ที่อยา่ งเรยี บร้อย ความสามารถของตนเอง ๑ . ก า ร ร อ ค อ ย ต า ม ล ำ ดั บ ดว้ ยตนเอง กอ่ นหลัง -เขา้ แถวตามลำดบั ก่อนหลังไดด้ ้วยตนเอง ๑. การรว่ มกำหนดขอ้ ตกลงของ ๒. การเขา้ แถว หอ้ งเรียน -ใชส้ ิ่งของเครือ่ งใช้อย่างประหยดั และ ๒. การปฏบิ ตั ติ นเปน็ สมาชกิ ทีด่ ีของ -การเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ น้ำ พอเพยี งดว้ ยตนเอง หอ้ งเรยี น ไฟอยา่ งประหยัด ๓. การให้ความร่วมมอื ในการปฏบิ ัติ กจิ กรรมตา่ งๆ ๔. การดแู ลหอ้ งเรยี นรว่ มกัน ๑. การปฏิบัติตนตามแนวทางหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ๒. การใชว้ ัสดแุ ละส่ิง ของเครื่องใช้อย่างค้มุ คา่ มาตรฐานที่ ๗ รกั ธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม วัฒนธรรม และความเป็นไทย ตัวบง่ ชี้ สภาพท่พี งึ ประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ชนั้ อนบุ าลปีที่ ๓ (๕-๖ปี) ๗.๑ ดแู ลรักษาธรรมชาติ -มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาธรรมชาติ ประสบการณส์ ำคญั สาระท่ีควรเรียนรู้ และสิง่ แวดลอ้ ม และสง่ิ แวดล้อมดว้ ยตนเอง ๑. การมีส่วนรว่ มในการดูแลรกั ษา ๑. สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและการ ส่งิ แวดล้อมทง้ั ภายในและภายนอกหอ้ งเรียน ดูแลรกั ษา -ทง้ิ ขยะไดถ้ กู ท่ี ๒.การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ ๒. สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติและการ ธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมในชวี ติ ประจำวัน อนุรักษส์ ิง่ แวดลอ้ ม ๓. การเพาะปลูกและดแู ลตน้ ไม้ ๓. การรักษาสาธารณสมบัติใน ๔. การอธิบายเชื่อมโยงสาเหตุและผลท่ี หอ้ งเรียน เกดิ ขึ้นในเหตกุ ารณ์หรอื การกระทำ ๕. การตดั สนิ ใจและมีสว่ นร่วมใน ๑. ขยะและการคัดแยกขยะ กระบวนการแกป้ ญั หา ๒. การดูแลรักษาสิ่งแวดลอ้ ม ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่มและจำแนกสิ่ง ต่างๆตามลกั ษณะและรปู ร่าง รปู ทรง หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลกระสัง สพป.บรุ ีรมั ย์ เขต ๒
๕๐ ๗.๒ มมี ารยาทตาม -ปฏิบัติตนตามมารยาทไทยได้ ตาม ๒. การใช้วัสดุและสิ่งของเครื่องใช้อย่าง ๑. การปฏิบัติตนตามมารยาทและ วฒั นธรรมไทยและรกั กาลเทศะ คุม้ ค่า วัฒนธรรมไทย ความเปน็ ไทย ๓. การทำงานศิลปะที่นำวัสดุหรือสิ่งของ - การแสดงความเคารพ -กล่าวคำขอบคุณและขอโทษด้วย เครื่องใช้ท่ีใช้แลว้ มาใชซ้ ้ำหรือแปรรูปแล้วนำ -การพดู สภุ าพ ตนเอง กลบั มาใชใ้ หม่ - การกล่าวคำขอบคุณและขอโทษ ๔. การสร้างสรรค์ช้นิ งานโดยใชร้ ูปร่าง ๑. การปฏิบัติตนตามมารยาทและ -ยืนตรงและร่วมร้องเพลงชาติไทย รปู ทรงจากวัสดุทห่ี ลากหลาย วฒั นธรรมไทย และเพลงสรรเสรญิ พระมารมี ๕. การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของ - การพูดสภุ าพ หอ้ งเรียน - การกล่าวคำขอบคณุ และขอโทษ ๑. การปฏบิ ัติตนตามวฒั นธรรมท้อง ถ่นิ ทอ่ี าศยั และประเพณีไทย ๑. วันสำคัญของชาติ ศาสนา ๒. การเลน่ บทบาทสมมตุ ิการปฏบิ ตั ติ นใน พระมหากษตั ริย์ ความเป็นคนไทย ๒สญั ลักษณ์สำคัญของชาตไิ ๓.การแสดงความจงรักภัคดีต่อชาติ ๑. การปฏบิ ตั ิตนตามวัฒนธรรมท้อง ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ ถน่ิ ทอี่ าศัยและประเพณีไทย ๒. การเลน่ บทบาทสมมุติการปฏบิ ัติตนใน ความเปน็ ไทย ๓. การพูดสะท้อนความรู้สึกของตนเองและ ผอู้ น่ื ๑. การปฏิบตั ิตนตามวัฒนธรรมทอ้ ง ถ่ินทอ่ี าศัยและประเพณไี ทย ๒. การเลน่ บทบาทสมมุตกิ ารปฏบิ ัตติ นใน ความเป็นไทย ๓. การรว่ มกจิ กรรมวนั สำคัญ มาตรฐานท่ี ๘ อยรู่ ว่ มกบั ผู้อ่ืนได้อยา่ งมคี วามสุขและปฏบิ ัติตนเป็นสมาชกิ ทด่ี ีของสังคม ในระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ๘.๑ ยอมรบั ความเหมอื นและ ชน้ั อนุบาลปีที่ ๓ (๕-๖ป)ี ประสบการณ์สำคญั สาระทค่ี วรเรียนรู้ ความแตกต่างระหว่างบุคคล - เ ล ่ น แ ล ะ ท ำ ก ิ จ ก ร ร ม ร ่ ว ม ก ั บ เ ด ็ ก ท่ี ๑.การเล่นและทำงานร่วมกบั ผอู้ ่นื ๑. การเลน่ และการทำกจิ กรรม ๘.๒ มปี ฏสิ มั พนั ธ์ทดี่ ีกับผู้อืน่ แตกตา่ งไปจากตน ๒. การเลน่ พืน้ บ้านของไทย รว่ มกับผอู้ น่ื -เล่นหรือทำงานร่วมกับเพื่อนอย่างมี ๓. การศึกษานอกสถานที่ เป้าหมาย ๔. การเล่นและทำกิจกรรมร่วมกับ ๒. การปฏิบตั ติ ามวัฒนธรรม กลมุ่ เพื่อน ทอ้ งถิน่ และความเป็นไทย -ยิ้มหรือทักทายหรือพูดคุยกับผู้ใหญ่และ ๕. การทำศิลปะแบบร่วมมอื บ ุ ค ค ล ท ี ่ ค ุ ้ น เ ค ย ไ ด ้ เ หม าะสมกับ ๖. การร่วมสนทนาและแลกเปลยี่ น สถานการณ์ ความคดิ เห็น ๗. การเลน่ รายบคุ คล กล่มุ ย่อยและ กลุ่มใหญ่ หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสงั สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๕๑ ๘.๓ ปฏิบัติตนเบื้องต้นในการเป็น -มีส่วนร่วมสร้างข้อตกลงและปฏิบัติตาม ๑. การร่วมกำหนดขอ้ ตกลงของ ๑. การปฏบิ ตั ิตามกฎระเบียบและ สมาชิกทด่ี ขี องสังคม ขอ้ ตกลงด้วยตนเอง หอ้ งเรียน ข้อตกลง ๒.การปฏบิ ัติตนเปน็ สมาชกิ ท่ีดีของ - ผู้นำผตู้ าม - ป ฏ ิ บ ั ต ิ ต น เ ป ็ น ผ ู ้ น ำ แ ล ะ ผ ู ้ ต า ม ไ ด้ ห้องเรยี น ๒. การแสดงออกทางอารมณแ์ ละ เหมาะสมกับสถานการณ์ ๓. การใหค้ วามร่วมมือในการปฏิบตั ิ ความรู้สึกอยา่ งเหมาะสม กิจกรรมต่างๆ ๓. การแสดงมารยาททด่ี ี -ประนีประนอมแก้ไขปัญหาโดย ๔. การรว่ มกิจกรรมวันสำคญั ปราศจากการใช้ความรนุ แรงด้วยตนเอง ๕. การมสี ว่ นรว่ มในการเลอื กวธิ กี าร แก้ปัญหา ๖. การมสี ว่ นรว่ มในการแก้ปญั หา ความขัดแย้ง ๔. ดา้ นสตปิ ัญญา มาตรฐานที่ ๙ ใช้ภาษาสือ่ สารไดเ้ หมาะสมกบั วยั ตวั บง่ ชี้ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ สาระการเรยี นรู้รายปี ชน้ั อนุบาลปีท่ี ๓ (๕-๖ปี) ๙.๑ สนทนาโต้ตอบและเล่าเรื่อง -ฟังผู้อื่นพูดจนจบและสนทนาโต้ตอบ ประสบการณ์สำคญั สาระท่คี วรเรียนรู้ ใหผ้ ้อู น่ื เขา้ ใจ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งเชือ่ มโยงกับเรอื่ งท่ีฟงั ๑. การฟงั เสียงต่างๆในส่ิงแวดล้อม มารยาทในการฟัง ๒. การฟังและปฏบิ ัติตามคำแนะนำ - การรับฟัง -เลา่ เป็นเรือ่ งราวต่อเนอ่ื งได้ ๓. การฟังเพลง นิทาน คำคล้องจอง - การสนทนาเช่ือมโยงส่ิงตา่ งๆ บทร้อยกรอง หรอื เรือ่ งราวต่างๆ ๔. การเล่นเกมทางภาษา ๑ . ก า ร ใ ช ้ ภ า ษ า ใ น ก า ร ส่ื อ ๑. การพูดแสดงความคิด ความรู้สึก ค ว า ม ห ม า ย ใ น ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ ำ วั น และความตอ้ งการ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้ ๒. การพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ของ หนงั สือและตวั หนังสือ ตนเอง หรือพูดเรื่องราวเกี่ยวกับ ตนเอง ๓. การพูดอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของส่ิง ต่างๆ ๔. การพูดอย่างสร้างสรรค์ในการเลน่ และการกระทำต่างๆ ๕. การรอจังหวะที่เหมาะสมในการ พูด ๖. การพูดเรียงลำดับเพื่อใช้ในการ สื่อสาร ๗. การเล่นเกมทางภาษา หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสงั สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๕๒ ๙.๒ อ่าน เขียนภาพ และ -อา่ นภาพ สัญลกั ษณ์ คำ ดว้ ยการชี้ ๑. การอา่ นหนงั สือภาพ นิทาน ๑. การใชภ้ าษาในการส่ือ หลากหลายประเภท/รปู แบบ ความหมายในชีวติ ประจำวนั สญั ลกั ษณ์ได้ หรือกวาดตามองจุดเริ่มตน้ และจุดจบ ๒. การอา่ นอยา่ งอสิ ระตามลำพงั การ ความรู้พ้ืนฐานเก่ยี วกับการใช้ อ่านร่วมกนั การอา่ นโดยมผี ชู้ แ้ี นะ หนงั สือและตวั หนังสือ ของขอ้ ความ ๓. การเหน็ แบบอยา่ งของการอา่ นที่ - การอา่ นภาพ สญั ลกั ษณ์ นิทาน ถูกต้อง -เขยี นชื่อของตนเอง ตามแบบ ๔. การสังเกตทิศทางการอา่ น ๑. การใชภ้ าษาในการสอื่ เขยี นข้อความดว้ ยวิธที ี่คิดข้ึนเอง ตัวอกั ษร คำ และขอ้ ความ ความหมายในชวี ติ ประจำวัน ๕. การอ่านและชี้ข้อความ โดยกวาด ความรูพ้ ืน้ ฐานเก่ียวกบั การใช้ สายตาตามบรรทัดจากซ้ายไปขวา หนังสือและตัวหนงั สือ จากบนลงลา่ ง - ก า รเข ีย นภ า พ สัญ ลัก ษ ณ์ ๖. การสังเกตตัวอักษรในชื่อของตน ตัวอกั ษร ช่ือ- สกุลของตนเอง หรอื คำคุ้นเคย ๗. การสังเกตตัวอักษรท่ีประกอบเปน็ คำผา่ นการอ่านหรือเขียนของผ้ใู หญ่ ๘. การคาดเดาคำ วลี หรือประโยคท่ี มีโครงสร้างซ้ำๆกันจากนิทาน เพลง คำคลอ้ งจอง ๙. การเลน่ เกมทางภาษา ๑๐. การเห็นแบบอย่างของการเขียน ที่ถกู ตอ้ ง ๑. การเขียนร่วมกันตามโอกาส และ การเขยี นอสิ ระ ๒. การเขียนคำที่มีความหมายกับตัว เด็ก/คำคนุ้ เคย ๓. การคิดสะกดคำและเขียนเพื่อสื่อ ความหมายดว้ ยตนเองอย่างอิสระ ๔. การเลน่ เกมทางภาษา มาตรฐานท่ี ๑๐ มคี วามสามารถในการคดิ ท่ีเป็นพนื้ ฐานในการเรยี นรู้ ตัวบ่งชี้ สภาพทพ่ี ึงประสงค์ สาระการเรยี นร้รู ายปี ๑๐.๑ มีความสามารถในการคิดรวบ ช้ันอนุบาลปที ่ี ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณ์สำคญั สาระทีค่ วรเรยี นรู้ ยอด -บอกลกั ษณะ สว่ นประกอบ ๑. การสงั เกตลกั ษณะ สว่ นประกอบ การ ๑. การคดิ การเปล่ียนแปลง หรือ เปลี่ยนแปลง และความสัมพันธข์ องสงิ่ ต่างๆ - ประสาทสัมผสั ความสมั พันธข์ องสิง่ ของ โดยใชป้ ระสาทสมั ผสั อยา่ งเหมาะสม - การสงั เกต ต่างๆจากการสงั เกตโดยใช้ ๒. การสงั เกตสิง่ ตา่ งๆแลละสถานทจ่ี ากมุมมอง ๒. การเปลี่ยนแปลงและ ประสาทสัมผสั ทตี่ ่างกัน ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ๓. การเลน่ กบั ส่ือตา่ งๆท่ีเป็นทรงกลม ทรง รอบตัว ส่เี หลย่ี มมมุ ฉาก ทรงกระบอก ทรงกรวย ๔. การใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์กับเหตกุ ารณ์ ในชวี ิตประจำวนั หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนอนบุ าลกระสงั สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๕๓ ๑๐.๒ มีความสามารถในการคิดเชิง -จับคู่และเปรียบเทียบความ ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการจำแนกสง่ิ ๑. การคิด เหตผุ ล แตกต่างหรือความเหมือน ต่างๆตามลกั ษณะและรปู ร่าง รปู ทรง - การจบั คู่ ของส่งิ ต่างๆโดยใช้ลักษณะที่ ๒. การต่อของชิ้นเลก็ เติมในชิน้ ใหญ่ใหส้ มบูรณ์ - การเปรยี บเทยี บลักษณะตา่ งๆ สังเกตพบสองลกั ษณะขึ้นไป และการแยกช้ินสว่ น ๓. การจบั คู่ การเปรยี บเทยี บและการ ๑. การคดิ -จำแนกและจดั กลุ่มส่ิงต่างๆ เรียงลำดบั สง่ิ ตา่ งๆตามลกั ษณะความยาว/ - การจำแนกสิ่งของตั้งแต่ ๒ โดยใช้ตั้งแต่สองลักษณะขึ้น ความสูง นำ้ หนกั ปริมาตร ลกั ษณะ ไปเปน็ เกณฑ์ ๔. การใช้ภาษาทางคณติ ศาสตร์กับเหตุการณ์ - การจัดกลุ่ม ในชวี ติ ประจำวัน - เ ร ี ย ง ล ำ ด ั บ ส ิ ่ ง ข อ ง ห รื อ ๑. การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการจำแนกสิง่ ๑. การคิด เหตุการณ์อย่างน้อย ๕ ตา่ งๆตามลักษณะและรปู ร่าง รูปทรง - การเรียงลำดับ อย่างน้อย ๕ ลำดับ ๒. การทำซ้ำ การต่อเติม และการสร้างแบบรูป ลำดบั ๓. การรวมและการแยกสง่ิ ต่างๆ - จำนวนและตวั เลข -อธิบายเชอื่ มโยงสาเหตุและ ๔. การใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์กับเหตุการณ์ ผลทเ่ี กดิ ขนึ้ ในเหตกุ ารณ์ ในชวี ติ ประจำวัน ๑. การแสดงความคิดเหน็ หรือการกระทำด้วยตนเอง - การชัง่ ๑. การนบั และแสดงจำนวนของสง่ิ ตา่ งๆใน - การตวง ชวี ติ ประจำวนั - การวดั ๒. การเปรียบเทยี บและเรียงลำดับจำนวนของ ๒. การเชื่อมโยงสิ่งต่างๆใน สิ่งตา่ ง ๆ ชวี ิตประจำวัน ๓. การบอกและแสดงอนั ดับทข่ี องสิ่งตา่ ง ๆ ๔. การบอกและเรียงลำดบั กิจกรรมหรอื เหตุการณ์ตามช่วงหรือเวลา ๕. การใชภ้ าษาทางคณิตศาสตรก์ บั เหตุการณ์ ในชวี ติ ประจำวัน ๖. การบอกและแสดงตำแหน่ง ทิศทาง และ ระยะทางของส่งิ ต่างด้วยการกระทำ ภาพวาด ภาพถา่ ย และรปู ภาพ ๑. การชัง่ ตวง วัดสิ่งตา่ งๆโดยใชเ้ ครื่องมอื และ หนว่ ยทไี่ ม่ใชห่ น่วยมาตรฐาน ๒. การอธบิ ายเชอ่ื มโยง สาเหตแุ ละผลทเ่ี กิดขึ้น ในเหตกุ ารณห์ รอื การกระทำ ๑๐.๓ มีความสามารถในการคิด -คาดคะเนสิ่งที่อาจจะ ๑. การคาดเดาหรือการคาดคะเนสิ่งที่อาจจะ -การหาความสัมพันธ์อย่างมี แก้ปญั หาและตัดสินใจ เกิดขึ้น และมีส่วนร่วมใน เกดิ ข้นึ อย่างมีเหตุผล เหตผุ ล การลงความเห็นจากข้อมูล ๒. การมสี ว่ นร่วมในการลงความเห็นจากข้อมูล อยา่ งมเี หตุผล อย่างมีเหตุผล ๑. การตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วย -ตัดสินใจในเรื่องง่ายๆและ ๑. การตัดสินใจและมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการ ตนเอง ยอมรบั ผลท่เี กดิ ขึน้ แก้ปัญหา ๒. การอธบิ ายเช่ือมโยง สาเหตแุ ละผลทเ่ี กดิ ขึ้น ในเหตุการณห์ รือการกระทำ หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บรุ ีรมั ย์ เขต ๒
๕๔ -ระบปุ ัญหาสรา้ งทางเลือก ๑. การตดั สนิ ใจและมีสว่ นร่วมในกระบวนการ ๑. การแก้ปัญหาด้วยตนเอง และเลือกวธิ ีแกป้ ัญหา แก้ปญั หา อยา่ งมัน่ ใจ ๒. การคาดเดาหรือการคาดคะเนสงิ่ ทีอ่ าจจะ เกิดข้ึนอย่างมเี หตุผล ๓. การมสี ว่ นรว่ มในการลงความเห็นจากขอ้ มลู อย่างมเี หตุผล มาตรฐานที่ ๑๑ มจี ินตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์ ตัวบ่งชี้ สภาพทพี่ ึงประสงค์ สาระการเรยี นรูร้ ายปี ๑๑.๑ เลน่ /ทำงานศิลปะตาม จินตนาการและความคดิ ชั้นอนบุ าลปีท่ี ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณ์สำคญั สาระท่ีควรเรียนรู้ สร้างสรรค์ -สร้างผลงานศิลปะเพื่อสื่อสารความคิด ๑. การแสดงความคิดสรา้ งสรรค์ ๑.การทำงานศลิ ปะท่ีแปลกใหม่ ความรู้สึกของตนเองโดยมีการดัดแปลง ผา่ นภาษา ทา่ ทาง การเคลอื่ นไหว ๒. วธิ กี ารใชเ้ ครือ่ งมือ เครอื่ งใช้ใน ๑๑.๒ แสดงท่าทาง/เคลอื่ นไหว และแปลกใหมจ่ ากเดิมและมีรายละเอยี ด และศลิ ปะ การทำงานศลิ ปะอยา่ งถูกวธิ แี ละ ตามจนิ ตนาการอย่างสรา้ งสรรค์ เพ่มิ ข้นึ ๒. การเขียนภาพและการเล่นกบั สี ปลอดภัย เช่นกรรไกร ๓. การปนั้ -เคลื่อนไหวท่าทางเพื่อสื่อสารความคิด ๔. การประดิษฐ์สิ่งต่างๆด้วยเศษ ๑. การเคลื่อนไหวร่างกายใน ความรูส้ ึกของตนเอง วัสดุ ทิศทางระดบั และพน้ื ทต่ี า่ งๆ อย่างหลากหลายและแปลกใหม่ ๕. การทำงานศิลปะที่นำวัสดุหรือ ๒. การแสดงท่าทางต่างๆตาม สิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำ ความคดิ ของตนเอง หรอื แปรรูปแลว้ นำกลับมาใช้ใหม่ ๖. การหยิบจับ การใช้กรรไกร การ ฉีก การตัด การปะและการรอ้ ยวสั ดุ ๗.การแสดงความคดิ สร้างสรรค์ ผ่านภาษา ทา่ ทาง การเคลื่อนไหว และศลิ ปะ ๘. การทำงานศิลปะ ๙. การสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยใช้ ร ู ป ร ่ า ง ร ู ป ท ร ง จ า ก ว ั ส ด ุที่ หลากหลาย ๑๐. การรับรู้และแสดงความคดิ ความรู้สึกผ่านส่ือ วัสดุ ของเลน่ และช้นิ งาน ๑. การเคล่อื นไหวอยกู่ บั ท่ี ๒. การเคลือ่ นไหวเคล่ือนท่ี ๓. การเคลื่อนไหวพร้อมวัสดุ อุปกรณ์ ๔. การแสดงความคดิ สรา้ งสรรค์ ผ่านภาษา ทา่ ทาง การเคลอ่ื นไหว และศลิ ปะ ๕. การเคลื่อนไหวโดยควบคุม ตนเองไปในทิศทาง ระดับและพื้นท่ี หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสงั สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๕๕ ๖. การเคลื่อนไหวตามเสยี งเพลง/ ดนตรี ๗. การฟังเพลง การร้องเพลงและ การแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ เสียงดนตรี มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้ เหมาะสมกับวยั ตัวบ่งช้ี สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ สาระการเรยี นรรู้ ายปี ๑๒.๑ มีเจตคตทิ ด่ี ตี ่อการเรียนรู้ ชน้ั อนุบาลปีที่ ๓ (๕-๖ปี) ประสบการณ์สำคญั สาระทค่ี วรเรยี นรู้ - ห ย ิ บ ห น ั ง ส ื อ ม า อ ่ า น แ ล ะ เ ข ี ย น ส่ื อ ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้ ๑๒.๒ มีความสามารถในการ ความคิดด้วยตนเองเป็นประจำอย่าง ๑. การสำรวจสิ่งต่างๆ และแหล่ง หนงั สอื และตัวหนงั สืออยา่ งอสิ ระ แสวงหาความรู้ ต่อเนอื่ ง เรียนรู้รอบตัว -กระตือรือรน้ ในการรว่ มกจิ กรรมตัง้ แต่ ๒. การต้ังคำถามในเรือ่ งทส่ี นใจ ๑. การแสดงออกทางอารมณ์และ ต้นจนจบ ความรู้สกึ อยา่ งเหมาะสม ๑. การให้ความร่วมมือในการ ๒. ความสนใจในการทำกจิ กรรม -ค้นหาคำตอบของขอ้ สงสัยต่างๆ ตาม ปฏิบตั กิ จิ กรรมตา่ งๆ วธิ กี ารทหี่ ลากหลายดว้ ยตนเอง ๒. การตงั้ คำถามในเรื่องทสี่ นใจ - การเรียนรู้ที่จะเล่นและทำสิ่ง ๓. การมีส่วนร่วมในการรวบรวม ต่างๆอยา่ งหลากหลายดว้ ยตนเอง ข้อมูลและนำเสนอข้อมูลจากการ สืบเสาะหาความรู้ในรูปแบบต่างๆ และแผนภูมิอยา่ งงา่ ย ๑. การสำรวจสิ่งต่างๆ และแหล่ง เรยี นร้รู อบตวั ๒. การตั้งคำถามในเรื่องท่สี นใจ ๓. การสืบเสาะหาความรู้เพื่อ คน้ หาคำตอบของข้อสงสัยต่างๆ ๔. การมีส่วนร่วมในการรวบรวม ข้อมูลและนำเสนอข้อมูลจากการ สืบเสาะหาความรู้ในรูปแบบต่างๆ และแผนภมู ิอย่างง่าย -ใช้ประโยคคำถามว่า “เมื่อไร” ๑. การตัง้ คำถามในเร่อื งท่ีสนใจ - การสนใจซักถามคำถามเพื่อ อยา่ งไร” ในการค้นหาคำตอบ ๒. การสืบเสาะหาความรู้เพื่อ ค้นหาคำตอบดว้ ยตนเอง ค้นหาคำตอบของข้อสงสัยตา่ งๆ หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนอนบุ าลกระสงั สพป.บุรีรมั ย์ เขต ๒
๕๖ สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการใช้เป็นสื่อกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับ เด็กเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรท่ีกำหนด ประกอบด้วย ประสบการณ์ สำคญั และสาระทคี่ วรเรยี นรู้ ดงั น้ี ๑. ประสบการณส์ ำคญั ประสบการณ์สำคัญเป็นแนวทางสำหรับผู้สอนไปใช้ในการออกแบบการจัดประสบการณ์ ให้เด็ก ปฐมวัยเรยี นรู้ ลงมือปฏบิ ตั ิ และได้รบั การสง่ เสรมิ พฒั นาการครอบคลมุ ทุกด้าน ดงั นี้ ๑.๑ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาส พัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเน้ือและระบบประสาท ใน การทำกจิ วตั รประจำวนั หรอื ทำกิจกรรมต่างๆและสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสดูแลสุขภาพและสุขอนามัย และการ รักษาความปลอดภยั ดังน้ี ๑.๑.๑ การใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญ่ ๑.๑.๑.๑ การเคลื่อนไหวอยูก่ บั ท่ี ๑.๑.๑.๒ การเคลอ่ื นไหวเคลอื่ นท่ี ๑.๑.๑.๓ การเคล่อื นไหวพรอ้ มวสั ดอุ ุปกรณ์ ๑.๑.๑.๔ การเคล่ือนไหวที่ใชก้ ารประสานสัมพันธ์ของการใช้กลา้ มเนอ้ื มดั ใหญ่ในการขวา้ ง การจับ การโยน การเตะ ๑.๑.๑.๕ การเล่นเครอ่ื งเล่นสนามอยา่ งอสิ ระ ๑.๑.๒ การใชก้ ล้ามเนอื้ เล็ก ๑.๑.๒.๑ การเลน่ เครอื่ งเลน่ สมั ผัสและการสร้างจากแทง่ ไม้ บล็อก ๑.๑.๒.๒ การเขยี นภาพและการเล่นกบั สี ๑.๑.๒.๓ การปัน้ ๑.๑.๒.๔ การประดิษฐ์สงิ่ ตา่ งๆดว้ ย เศษวสั ดุ ๑.๑.๒.๕ การหยบิ จับ การใช้กรรไกร การฉีก การตดั การปะ และการรอ้ ยวัสดุ ๑.๑.๓ การรกั ษาสขุ ภาพอนามัยส่วนตัว ๑.๑.๓.๑ การปฏบิ ัตติ นตามสุขอนามัย สขุ นิสัยที่ดใี นกิจวตั รประจำวัน ๑.๑.๔ การรกั ษาความปลอดภยั ๑.๑.๔.๑ การปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภยั ในกิจวัตรประจำวัน ๑.๑.๔.๒ การฟังนิทาน เรอื่ งราว เหตุการณ์ เกีย่ วกับการปอ้ งกันและรักษาความปลอดภยั ๑.๑.๔.๓ การเลน่ เครอ่ื งเลน่ อย่างปลอดภยั ๑.๑.๔.๔ การเลน่ บทบาทสมมตเิ หตุการณ์ตา่ งๆ หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๕๗ ๑.๑.๕ การตระหนักรู้เกีย่ วกับรา่ งกายตนเอง ๑.๑.๕.๑ การเคล่ือนไหวเพอ่ื ควบคมุ ตนเองไปในทิศทาง ระดบั และพ้ืนท่ี ๑.๑.๕.๒ การเคลอ่ื นไหวข้ามสิ่งกีดขวาง ๑.๒ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจเป็นการสนับสนุนให้เด็กได้ แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของตนเองที่เหมาะสมกับวัย ตระหนักถึงลักษณะพิเศษเฉพาะที่เป็นอัต ลักษณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม สนุ ทรยี ภาพ ความรูส้ กึ ทด่ี ตี ่อตนเอง และความเช่ือมั่นในตนเองขณะปฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ ดังน้ี ๑.๒.๑ สนุ ทรียภาพ ดนตรี ๑.๒.๑.๑ การฟงั เพลง การร้องเพลง และการแสดงปฏกิ ริ ิยาโตต้ อบเสยี งดนตรี ๑.๒.๑.๒ การเคลื่อนไหวตามเสยี งเพลง/ดนตรี ๑.๒.๑.๓ การเลน่ บทบาทสมมติ ๑.๒.๑.๔ การทำกจิ กรรมศลิ ปะต่างๆ ๑.๒.๑.๕ การสร้างสรรคส์ ง่ิ สวยงาม ๑.๒.๒ การเล่น ๑.๒.๒.๑ การเลน่ อสิ ระ ๑.๒.๒.๒ การเล่นรายบคุ คล กลมุ่ ยอ่ ย กลุม่ ใหญ่ ๑.๒.๒.๓ การเลน่ ตามมุมประสบการณ์ ๑.๒.๒.๔ การเลน่ นอกหอ้ งเรียน ๑.๒.๓ คุณธรรม จรยิ ธรรม ๑.๒.๓.๑ การปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ศาสนาท่นี บั ถือ ๑.๒.๓.๒ การฟงั นทิ านเก่ยี วกับคุณธรรม จริยธรรม ๑.๒.๓.๓ การร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นเชงิ จริยธรรม ๑.๒.๔ การแสดงออกทางอารมณ์ ๑.๒.๔.๑ การสะท้อนความรู้สึกของตนเองและผูอ้ ่นื ๑.๒.๔.๒ การเล่นบทบาทสมมติ ๑.๒.๔.๓ การเคล่อื นไหวตามเสยี งเพลง/ดนตรี ๑.๒.๔.๔การร้องเพลง ๑.๒.๔.๕ การทำงานศลิ ปะ ๑.๒.๕ การมีอตั ลักษณ์เฉพาะตนและเช่ือวา่ ตนเองมคี วามสามารถ ๑.๒.๕.๑ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมต่างๆตามความสามารถของตนเอง ๑.๒.๖ การเหน็ อกเหน็ ใจผูอ้ น่ื ๑.๒.๖.๑ การแสดงความยนิ ดีเมื่อผู้อ่นื มีความสุข เหน็ อกเห็นใจเม่ือผู้อ่ืนเศร้าหรือเสียใจ และ การ ชว่ ยเหลือปลอบโยนเม่อื ผู้อน่ื ได้รบั บาดเจ็บ หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บรุ ีรมั ย์ เขต ๒
๕๘ ๑.๓ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาส ปฏิสัมพันธ์กับบุคลและสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเรียนรู้ทางสังคม เช่น การเลน่ การทำงานกับผอู้ ืน่ การปฏิบตั ิกิจวตั รประจำวนั การแกป้ ญั หาขอ้ ขดั แยง้ ต่างๆ ๑.๓.๑ การปฏบิ ตั ิกจิ วัตรประจำวัน ๑.๓.๑.๑ การชว่ ยเหลือตนเองในกจิ วตั รประจำวัน ๑.๓.๑.๒การปฏิบตั ติ นตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ๑.๓.๒ การดแู ลรกั ษาธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ๑.๓.๒.๑ การมสี ว่ นรว่ มรับผิดชอบดูแลรักษาสิ่งแวดลอ้ มท้งั ภายในและภายนอกห้องเรยี น ๑.๓.๒.๒ การทำงานศลิ ปะท่ีใช้วัสดุหรือส่งิ ของท่ใี ช้แลว้ มาใช้ซำ้ หรือแปรรปู แล้วนำกลับมาใช้ ใหม่ ๑.๓.๒.๓ การเพาะปลกู และดแู ลตน้ ไม้ ๑.๓.๒.๔ การเลย้ี งสัตว์ ๑.๓.๒.๕ การสนทนาข่าวและเหตุการณท์ ่ีเกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมในชีวติ ประจำวัน ๑.๓.๓ การปฏิบัติตามวัฒนธรรมทอ้ งถิน่ ที่อาศยั และความเป็นไทย ๑.๓.๓.๑ การเลน่ บทบาทสมมุตกิ ารปฏิบตั ติ นในความเปน็ คนไทย ๑.๓.๓.๒ การปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมท้องถิ่นทอ่ี าศัยและประเพณีไทย ๑.๓.๓.๓ การประกอบอาหารไทย ๑.๓.๓.๔ การศึกษานอกสถานที่ ๑.๓.๓.๕ การละเลน่ พ้ืนบ้านของไทย ๑.๓.๔ การมีปฏิสมั พนั ธ์ มวี ินยั มสี วนร่วม และบทบาทสมาชิกของสังคม ๑.๓.๔.๑ การร่วมกำหนดขอ้ ตกลงของห้องเรียน ๑.๓.๔.๒ การปฏิบตั ิตนเป็นสมาชทิ ีด่ ขี องหอ้ งเรยี น ๑.๓.๔.๓ การใหค้ วามรว่ มมอื ในการปฏิบัติกิจกรรมตา่ ง ๆ ๑.๓.๔.๔ การดแู ลหอ้ งเรยี นร่วมกนั ๑.๓.๔.๕ การรว่ มกจิ กรรมวันสำคัญ ๑.๓.๕ การเลน่ แบบรว่ มมอื ร่วมใจ ๑.๓.๕.๑ การรว่ มสนทนาและแลกเปลยี่ นความคิดเห็น ๑.๓.๕.๒ การเลน่ และทำงานรว่ มกับผู้อ่นื ๑.๓.๕.๓ การทำศลิ ปะแบบรว่ มมอื ๑.๓.๖ การแก้ปญั หาความขดั แย้ง ๑.๓.๖.๑ การมสี ่วนร่วมในการเลือกวธิ ีการแก้ปญั หา ๑.๓.๖.๒ การมีสว่ นร่วมในการแกป้ ัญหาความขัดแยง้ ๑.๓.๗ การยอมรบั ในความเหมือนและความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนบุ าลกระสัง สพป.บุรีรมั ย์ เขต ๒
๕๙ ๑.๓.๗.๑ การเลน่ หรือ ทำกจิ กรรมร่วมกบั กลุ่มเพือ่ น ๑.๔ ประสบการณส์ ำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการดา้ นสติปัญญา เป็นการสนบั สนุนใหเ้ ดก็ ได้รับรู้ เรียนรู้ สิ่งต่างๆรอบตวั ผ่านการมีปฏสิ ัมพนั ธ์กับส่ิงแวดล้อม บุคคลและส่ือต่างๆ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใชภ้ าษา จินตนาการความคิดสร้างสรรค์ การแกป้ ญั หา การคิดเชิงเหตผุ ล และ การคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวและมีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ ในระดับที่สูงขนึ้ ต่อไป ๑.๔.๑ การใช้ภาษา ๑.๔.๑.๑ การฟังเสยี งตา่ งๆ ในสิ่งแวดล้อม ๑.๔.๑.๒ การฟังและปฏบิ ตั ติ ามคำแนะนำ ๑.๔.๑.๓ การฟงั เพลง นทิ าน คำคล้องจอง บทร้อยกรงหรือเรือ่ งราวต่างๆ ๑.๔.๑.๔ การแสดงความคิด ความรู้สกึ และความต้องการ ๑.๔.๑.๕ การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง หรือพูดเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ตนเอง ๑.๔.๑.๖ การพูดอธิบายเกย่ี วกบั ส่งิ ของ เหตุการณ์ และความสัมพนั ธข์ องส่งิ ต่างๆ ๑.๔.๑.๗ การพูดอย่างสร้างสรรค์ในการเล่น และการกระทำตา่ งๆ ๑.๔.๑.๘ การรอจังหวะท่ีเหมาะสมในการพูด ๑.๔.๑.๙ การพูดเรียงลำดับเพ่อื ใช้ในการส่อื สาร ๑.๔.๑.๑๐ การอา่ นหนงั สือภาพ นทิ าน หลากหลายประเภท/รูปแบบ ๑.๔.๑.๑๑ การอา่ นอสิ ระตามลำพัง การอา่ นรว่ มกนั การอา่ นโดยมีผู้ชีแ้ นะ ๑.๔.๑.๑๒ การเหน็ แบบอยา่ งของการอ่านทถ่ี กู ตอ้ ง ๑.๔.๑.๑๓ การสงั เกตทศิ ทางการอา่ นตวั อักษร คำ และขอ้ ความ ๑.๔.๑.๑๔ การอ่านและชี้ข้อความ โดยกวาดสายตาตามบรรทัดจากซ้ายไปขวา จากบนลง ลา่ ง ๑.๔.๑.๑๕ การสงั เกตตัวอักษรในช่ือของตน หรอื คำคนุ้ เคย ๑.๔.๑.๑๖ การสงั เกตตวั อักษรที่ประกอบเป็นคำผา่ นการอ่านหรอื เขียนของผู้ใหญ่ ๑.๔.๑.๑๗ การคาดเดาคำ วลี หรือประโยค ที่มีโครงสร้างซ้ำๆกนั จากนิทาน เพลง คำคล้อง จอง ๑.๔.๑.๑๘ การเล่นเกมทางภาษา ๑.๔.๑.๑๙ การเห็นแบบอย่างของการเขียนทีถ่ ูกต้อง ๑.๔.๑.๒๐ การเขยี นรว่ มกันตามโอกาส และการเขียนอิสระ ๑.๔.๑.๒๑ การเขยี นคำท่ีมีความหมายกบั ตัวเด็ก/คำค้นุ เคย ๑.๔.๑.๒๒ การคดิ สะกดคำและเขยี นเพ่ือส่อื ความหมายดว้ ยตนเองอยา่ งอสิ ระ ๑.๔.๒ การคิดรวบยอด การคดิ เชงิ เหตุผล การตดั สนิ ใจและแก้ปญั หา หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บุรีรัมย์ เขต ๒
๖๐ ๑.๔.๒.๑ การสังเกตลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลง และความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ โดยใชป้ ระสาทสัมผัสอยา่ งเหมาะสม ๑.๔.๒.๒ การสงั เกตสงิ่ ต่างๆ และสถานทีจ่ ากมุมมองทีต่ ่างกนั ๑.๔.๒.๓ การบอกและแสดงตำแหน่ง ทิศทาง และระยะทางของสิ่งต่างๆด้วยการกระทำ ภาพวาด ภาพถา่ ย และรูปภาพ ๑.๔.๒.๔ การเลน่ กบั สือ่ ต่างๆที่เปน็ ทรงกลม ทรงส่เี หล่ียมมุมฉาก ทรงกระบอก กรวย ๑.๔.๒.๕ การคดั แยก การจดั กลมุ่ และการจำแนกสง่ิ ตา่ งๆตามลกั ษณะและรปู รา่ ง รปู ทรง ๑.๔.๒.๖ การต่อของช้นิ เล็กเติมในชิ้นใหญ่ใหส้ มบรู ณ์ และการแยกช้ินสว่ น ๑.๔.๒.๗ การทำซ้ำ การตอ่ เติม และการสร้างแบบรูป ๑.๔.๒.๘ การนบั และแสดงจำนวนของสง่ิ ตา่ งๆในชีวติ ประจำวนั ๑.๔.๒.๙ การเปรียบเทียบและเรียงลำดบั จำนวนของส่งิ ตา่ งๆ ๑.๔.๒.๑๐ การรวมและการแยกสง่ิ ต่างๆ ๑.๔.๒.๑๑ การบอกและแสดงอนั ดบั ท่ีของสง่ิ ต่างๆ ๑.๔.๒.๑๒ การช่งั ตวง วดั สง่ิ ตา่ งๆโดยใชเ้ ครื่องมือและหนว่ ยท่ไี มใ่ ช่หน่วยมาตรฐาน ๑.๔.๒.๑๓ การจับคู่ การเปรียบเทียบ และการเรียงลำดับ สิ่งต่างๆ ตามลักษณะความยาว/ ความสงู น้ำหนกั ปริมาตร ๑.๔.๒.๑๔ การบอกและเรียงลำดบั กิจกรรมหรือเหตกู ารณ์ตามชว่ งเวลา ๑.๔.๒.๑๕ การใชภ้ าษาทางคณิตศาสตรก์ ับเหตกุ ารณ์ในชีวิตประจำวนั ๑.๔.๒.๑๖ การอธิบายเช่ือมโยงสาเหตุและผลทเ่ี กดิ ข้ึนในเหตกุ ารณห์ รือการกระทำ ๑.๔.๒.๑๗ การคาดเดาหรือการคาดคะเนส่ิงทีอ่ าจเกดิ ขน้ึ อยา่ งมีเหตผุ ล ๑.๔.๒.๑๘ การมสี ว่ นรว่ มในการลงความเห็นจากข้อมูลอย่างมเี หตุผล ๑.๔.๒.๑๙ การตัดสินใจและมสี ว่ นร่วมในกระบวนการแกป้ ัญหา ๑.๔.๓ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ๑.๔.๓.๑ การรบั รู้ และแสดงความคิดความรู้สกึ ผ่านสื่อ วสั ดุ ของเล่น และช้ินงาน ๑.๔.๓.๒ การแสดงความคดิ สรา้ งสรรค์ผ่านภาษา ทา่ ทาง การเคลือ่ นไหว และศลิ ปะ ๑.๔.๓.๓ การสร้างสรรคช์ ิน้ งานโดยใชร้ ูปร่างรปู ทรงจากวัสดุทห่ี ลากหลาย ๑.๔.๔ เจตคติท่ีดตี ่อการเรยี นร้แู ละการแสวงหาความรู้ ๑.๔.๔.๑ การสำรวจสง่ิ ต่างๆ และแหลง่ เรียนร้รู อบตัว ๑.๔.๔.๒ การตง้ั คำถามในเร่อื งทส่ี นใจ ๑.๔.๔.๓ การสืบเสาะหาความรู้เพอ่ื คน้ หาคำตอบของข้อสงสยั ตา่ งๆ ๑.๔.๔.๔ การมสี ่วนรว่ มในการรวบรวมข้อมูลและนำเสนอข้อมูลจากการสืบเสาะหาความรู้ใน รูปแบบต่างๆและแผนภมู ิอยา่ งงา่ ย หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนอนุบาลกระสัง สพป.บุรีรัมย์ เขต ๒
๖๑ ๒. สาระทค่ี วรเรียนรู้ สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นำมาเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดแนวคิด หลังจากนำสาระการเรียนรู้นั้นๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพื่อให้บรรลุจัดหมายที่กำหนดไว้ทั้งนี้ ไม่เน้นการ ท่องจำเนื้อหา ครสู ามารถกำหนดรายละเอียดข้นึ เองใหส้ อดคลอ้ งกบั วยั ความต้องการ และความสนใจของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สำคัญ ทั้งนี้ อาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้โดยคำนึงถึงประสบการณ์และ สิ่งแวดล้อมในชวี ติ จริงของเดก็ ดงั นี้ ๒.๑ เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรรู้จักชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตา รู้จักอวัยวะต่างๆ วิธีระวัง รักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การระมัดระวังความ ปลอดภัยของตนเองจากผู้อื่นและภัยใกล้ตัว รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จักความเป็นมา ของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเอง และผู้อ่ืน การร้จู กั แสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่นื การกำกบั ตนเอง การเล่นและ ทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองตามลำพังหรือกับผู้อื่น การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การ สะท้อนการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่าง เหมาะสม การแสดงมารยาทที่ดี การมคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรม ๒.๒ เรอ่ื งราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเดก็ เดก็ ควรเรยี นรูเ้ กีย่ วกบั ครอบครวั สถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่างๆ ที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน สถานที่สำคัญ วัน สำคัญ อาชพี ของคนในชมุ ชน ศาสนา แหลง่ วัฒนาธรรมในชมุ ชน สัญลกั ษณ์สำคัญของชาติไทยและการปฏิบัติ ตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย หรือแหล่งเรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและนำมาบูรณาการสู่สาระ การเรียนรภู้ มู ิปัญญาทอ้ งถนิ่ ส่กู ารจดั ประสบการณ์หน่วยการเรียนรู้ ๒.๓ ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้ำ ท้องฟ้า สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรง และพลังงานในชีวิตประจำวันท่ีแวดล้อมเด็ก รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรักษาสาธารณสมบัติและ นำมาบูรการสู่การจัดกิจกรรมในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแห่งประเทศไทยเข้าสู่การจัดประสบการณ์ การเรยี นรู้ ๒.๔ สิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร น้ำหนัก จำนวน ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆรอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการสื่อสาร ต่างๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันอย่างประหยัด ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อมและนำมาบูรณาการสู่การจัด กิจกรรมในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทยเขา้ ส่กู ารจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บรุ รี มั ย์ เขต ๒
๖๒ การจดั ประสบการณ์ การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ ๓ – ๖ ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะบูรณาการ ผ่านการเล่น การลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปญั ญาไม่จดั เป็นรายวิชา โดยมีแนวทางการ จัดประสบการณ์ ดังน้ี แนวทางการจดั ประสบการณ์ ๑. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมองที่เหมาะสม กบั อายุ วฒุ ิภาวะและระดบั พฒั นาการ เพื่อใหเ้ ด็กทุกคนได้พฒั นาเตม็ ตามศักยภาพ ๒. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทำเรียนรู้ผ่าน ประสาทสมั ผสั ทั้งหา้ ไดเ้ คล่ือนไหว สำรวจ เลน่ สังเกต สืบคน้ ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ๓. จดั ประสบการณแ์ บบบูรณาการ โดยบูรณาการท้ังกิจกรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้ ๔. จัดประสบการณใ์ หเ้ ดก็ ได้รเิ ริ่มคิด วางแผน ตดั สนิ ใจลงมือกระทำและนำเสนอความคิดโดย ครหู รือผูจ้ ดั ประสบการณ์เป็นผู้สนับสนนุ อำนวยความสะดวก และเรยี นรู้ร่วมกบั เดก็ ๕. จดั ประสบการณใ์ ห้เด็กมีปฏิสัมพนั ธ์กับเด็กอืน่ กบั ผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดลอ้ มท่ีเอื้อต่อการ เรยี นรู้ ในบรรยากาศที่อบอ่นุ มีความสุข และเรียนรูก้ ารทำกิจกรรมแบบรว่ มมอื ในลักษณะต่างๆกนั ๖. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถี ชวี ติ ของเด็ก ๗. จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันตลอดจน สอดแทรกคณุ ธรรมจริยธรรมใหเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรูอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง ๘. จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่ดีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริง โดยไมไ่ ด้คาดการณไ์ ว้ ๙. จัดทำสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็น รายบุคคล นำมาไตร่ตรองและใช้ให้เป็นประโยชนต์ ่อการพัฒนาเดก็ และการวจิ ัยในชั้นเรียน ๑๐. จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมทั้งการวางแผน การ สนบั สนนุ สื่อแหล่งเรียนรู้ การเขา้ ร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการ การจดั กจิ กรรมประจำวนั กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ ๓ – ๖ ปีบริบูรณ์ สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลาย รูปแบบเป็นการช่วยให้ครูผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เมื่อใด และ อย่างไร ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมประจำวนั สามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำไปใช้ ของแตล่ ะหนว่ ยงานและสภาพชมุ ชน ที่สำคญั ครูผสู้ อนตอ้ งคำนึงถึงการจัดกจิ กรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุก ดา้ นการจดั กจิ กรรมประจำวนั มีหลักการจดั และขอบข่ายกจิ กรรมประจำวัน ดงั นี้ หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บรุ รี ัมย์ เขต ๒
๖๓ ๑. หลักการจดั กิจกรรมประจำวัน ๑.๑ กำหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของเด็กในแต่ละวัน แต่ยืดหย่นุ ได้ตามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก เชน่ วยั ๓- ๔ ปี มีความสนใจประมาณ ๘-๑๒ นาที วัย ๔ – ๕ ปี มคี วามสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที วัย ๕- ๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕- ๒๐ นาที ๑.๒ กจิ กรรมทีต่ ้องใชค้ วามคดิ ทัง้ ในกล่มุ เล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาตอ่ เน่อื งนานเกนิ กว่า ๒๐ นาที ๑.๓ กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นเสรี เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักเลือกตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา คิด สรา้ งสรรค์ เชน่ การเล่นตามมุม การเล่นกลางแจง้ ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที ๑.๔ กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้กล้ามเน้ือ ใหญแ่ ละกลา้ มเนอ้ื เลก็ กิจกรรมทีเ่ ปน็ รายบคุ คล กลมุ่ ย่อยและกลมุ่ ใหญ่ กจิ กรรมท่เี ด็กเปน็ ผู้ริเร่ิมและครูผู้สอน หรอื ผู้จัดประสบการณ์เป็นผรู้ เิ ริ่ม และกิจกรรมท่ใี ชก้ ำลงั และไม่ใชก้ ำลัง จัดใหค้ รบทุกประเภท ทงั้ นี้ กจิ กรรมท่ี ตอ้ งออกกำลงั กายควรจดั สลับกบั กจิ กรรมที่ไมต่ ้องออกกำลังมากนัก เพอื่ เด็กจะได้ไม่เหน่ือยเกนิ ไป ๒. ขอบขา่ ยของกิจกรรมประจำวัน การเลอื กกิจกรรมท่ีจะนำมาจดั ในแตล่ ะวันสามารถจดั ไดห้ ลายรูปแบบ ท้งั นี้ ขนึ้ อยู่กับความเหมาะสม ในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญครูผู้สอนต้องคำนึกถึงการจัดกิจกรรมให้ ครอบคลุมพฒั นาการทกุ ดา้ น ดงั ต่อไปนี้ ๒.๑ การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว ความยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะตา่ ง ๆ และจังหวะการเคล่ือนไหวในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ โดยจัดกจิ กรรมให้ เด็กไดเ้ ลน่ อสิ ระกลางแจ้ง เล่นเครอื่ งเลน่ สนาม ปีนปา่ ยเล่นอสิ ระ เคล่ือนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรี ๒.๒ การพฒั นาการกลา้ มเนื้อเลก็ เป็นการพฒั นาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเล็ก กล้ามเน้ือ มือ-นิ้วมือการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามอื ได้อย่างคลอ่ งแคลว่ และประสาน สัมพันธ์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กไดเ้ ล่นเครื่องสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแตง่ กาย หยิบ จับช้อนสอ้ ม และใชอ้ ุปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทยี น กรรไกร พ่กู นั ดินเหนยี ว ฯลฯ ๒.๓ การพฒั นาการอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคณุ ธรรม จริยธรรม เป็นการปลกู ฝังให้เด็กมี ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา เอื้อเฟ้ือ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นับถือโดยจัดกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการตอบสนองตาความต้องการได้ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรก คณุ ธรรม จรยิ ธรรมอย่างตอ่ เน่อื ง ๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสยั เป็นการพฒั นาใหเ้ ด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอยา่ งเหมาะสม และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันมีนิสัยรักการทำงาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น โดยรวมทั้งระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนอนบุ าลกระสัง สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๖๔ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ เช่น รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทำความสะอาด ร่างกาย เล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎกติกาข้อตกลงของร่วมรวม เก็บของเข้าที่เมื่อเล่นหรือ ทำงานเสร็จ ๒.๕ การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาความ คิด รวบยอดทางคณติ ศาสตร์ และคดิ เชิงเหตผุ ลทางคณิตศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตรโ์ ดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สนทนา อภิปรายและเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกการ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกออกแบบและสร้างชิ้นงาน และทำกิจกรรมทั้งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่และ รายบคุ คล ๒.๖ การพัฒนาภาษา เปน็ การพฒั นาใหเ้ ดก็ ใชภ้ าษาส่อื สารถ่ายทอดความรู้สึกนึกคดิ ความรู้ ความเข้าใจในส่ิงต่างๆ ท่เี ด็กมีประสบการณโ์ ดยสามารถต้ังคำถามในส่ิงท่ีสงสยั ใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มี ความหลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออกในการฟัง พูด อ่าน เขยี น มนี ิสยั รักการอา่ น และบุคคลแวดล้อมตอ้ งเป็นแบบอยา่ งทีด่ ีในการใชภ้ าษา ทง้ั นต้ี ้องคำนึกถงึ หลักการจัด กิจกรรมทางภาษาทเี่ หมาะสมกับเดก็ เปน็ สำคญั ๒.๗ การส่งเสริมจนิ ตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เปน็ การส่งเสรมิ ให้เด็กมีความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของสิ่งต่างๆ โดยจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อย่างอิสระ เล่นบทบาทสมมุติ เล่นน้ำ เล่นทราย เลน่ บล็อก และเลน่ ก่อสรา้ ง การจัดสภาพแวดลอ้ ม สื่อและแหล่งเรยี นรู้ โรงเรียนอนุบาลกระสัง จดั เตรยี มสิ่งแวดล้อมอยา่ งเหมาะสมตามความตอ้ งการของเด็ก สามารถ เรียนรู้จากการเล่นที่เป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดจากการรับรู้ด้วย ประสาทสัมผัสทั้งห้า จึงจำเป็นต้องจัด สภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการ ของหลักสูตร เพื่อส่งผลให้บรรลุ จุดหมายในการพัฒนาเดก็ การจัดสภาพแวดล้อมจะต้องคำนงึ ถึงสิ่งตอ่ ไปน้ี ๑. ความสะอาด ความปลอดภยั ๒. ความมีอสิ ระอย่างมขี อบเขตในการเลน่ ๓. ความสะดวกในการทำกจิ กรรม ๔. ความพร้อมของอาคารสถานที่ เชน่ ห้องเรยี น หอ้ งนำ้ ห้องสว้ ม สนามเด็กเลน่ ฯลฯ ๕. ความเพียงพอ เหมาะในเรื่องขนาด น้ำหนกั จำนวน สขี องส่ือและเครอื่ งเลน่ ๖. บรรยากาศในการเรยี นรู้ การจัดทเี่ ล่นและมมุ ประสบการณต์ ่างๆ สภาพแวดล้อมภายในห้องเรยี น หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๖๕ หลักสำคัญในการจัดต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะอาด เป้าหมายการพัฒนาเด็ก ความเป็นระเบียบ ความเป็นตวั ของเด็กเอง ให้เด็กเกดิ ความรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ และมีความสุข ซึ่งอาจจดั แบ่งพื้นที่ให้เหมาะสมกบั การประกอบกจิ กรรมตามหลกั สูตร ดงั น้ี ๑. พื้นทอี่ ำนวยความสะดวกเพื่อเดก็ และผู้สอน ๑.๑ ท่ีแสดงผลงานของเดก็ อาจจัดเป็นแผน่ ปา้ ย หรือท่ีแขวนผลงาน ๑.๒ ที่เก็บแฟม้ ผลงานของเดก็ อาจจัดทำเปน็ กลอ่ งหรอื จัดใสแ่ ฟม้ รายบคุ คล ๑.๓ ท่ีเกบ็ เคร่ืองใช้สว่ นตัวของเดก็ อาจทำเปน็ ช่องตามจำนวนเดก็ ๑.๔ ท่ีเกบ็ เคร่ืองใช้ของผ้สู อน เชน่ อปุ กรณก์ ารสอน ของสว่ นตัวผ้สู อน ฯลฯ ๑.๕ ปา้ ยนิเทศตามหนว่ ยการสอนหรอื สง่ิ ท่ีเด็กสนใจ ๒. พื้นที่ปฏิบัติกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ต้องกำหนดให้ชัดเจน ควรมีพื้นที่ที่เด็กสามารถจะทำงาน ได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมร่วมกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็กสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระจาก กจิ กรรมหนึ่ง ไปยังกิจกรรมหนง่ึ โดยไม่ รบกวนผู้อืน่ ๓. พื้นที่จัดมุมเล่นหรือมุมประสบการณ์ สามารถจัดได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของ หอ้ งเรียน จดั แยกส่วนทใี่ ช้เสยี งดังและเงยี บออกจากกัน เช่น มมุ บลอ็ กอยหู่ ่างจากมุมหนงั สือ มมุ บทบาทสมมติ อยู่ติดกับมุมบล็อก มุมวิทยาศาสตร์อยู่ใกล้มุมศิลปะ ฯลฯ ที่สำคัญจะต้องมีของเล่น วัสดุอุปกรณ์ในมุมอย่าง เพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเลน่ ในมุมเล่นอย่างเสรี มักถูกกำหนดไว้ในตารางกิจกรรมประจำวัน เพื่อให้ โอกาสเดก็ ไดเ้ ลน่ อย่างเสรีประมาณวันละ ๖๐ นาที การจัดมมุ เล่นตา่ งๆ ผ้สู อนควรคำนึงถงึ สิง่ ต่อไปน้ี ๓.๑ ในห้องเรียนควรมีมมุ เล่นอยา่ งน้อย ๓-๕ มุม ท้ังน้ขี น้ึ อยกู่ บั พืน้ ท่ขี องห้อง ๓.๒ ควรมกี ารผลัดเปลยี่ นสอ่ื ของเล่นตามมมุ บ้าง ตามความสนใจของเดก็ ๓.๓ ควรจดั ใหม้ ีประสบการณท์ เี่ ดก็ ไดเ้ รยี นรู้ไปแล้ว ปรากฏอยู่ในมุมเลน่ เชน่ เด็กเรยี นรู้เร่อื งผีเส้ือ ผู้สอนอาจจัดให้มีการเลี้ยงหนอน หรือมีผีเสื้อสต๊าฟใส่กล่องไว้ให้เด็กดูในมุมธรรมชาติศึกษาหรือมุม วทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ ๓.๔ ควรเปิดโอกาสให้เด็กมสี ่วนร่วมในการจัดมุมเล่น ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกเป็นเจา้ ของ อยาก เรยี นรู้ อยากเข้าเล่น ๓.๕ ควรเสรมิ สรา้ งวนิ ัยให้กับเดก็ โดยมขี ้อตกลงร่วมกนั ว่าเม่ือเล่นเสรจ็ แล้วจะต้องจัดเก็บอุปกรณ์ ทกุ อย่างเขา้ ทใี่ ห้เรยี บรอ้ ย มุมประสบการณ์ทคี่ วรจดั มี ดงั นี้ ๑.มุมบลอ็ ก เป็นมุมที่จัดเกบ็ บล็อกไมต้ ันที่มีขนาดและรปู ทรง ต่างๆ กัน เด็กสามารถนำมาเล่นตอ่ ประกอบกนั เปน็ ส่ิงต่างๆ ตามจนิ ตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง ควรจัดให้อยู่หา่ งจากมมุ ทีต่ อ้ ง การความสงบ เช่น มุมหนงั สือ ทั้งน้ีเพราะเสยี งจากการเล่นกอ่ ไม้บล็อก อาจทำลายสมาธิเด็กที่อยู่ในมุมหนังสือได้ นอกจากนี้ยังควรอยู่ห่างจากทางเดินผ่านหรือทางเข้าออกของห้อง เพื่อไม่ให้กีด ขวางทางเดินหรือเกิดอันตรายจากการเดินสะดุดไม้บล็อกการจัดเก็บไม้บล็อกเหล่านี้ ควรจัดวาง ไว้ในระดับที่เดก็ สามารถหยิบมาเลน่ หรือนำเก็บดว้ ยตนเองได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และควรได้ฝึกใหเ้ ดก็ หัด จดั เกบ็ เปน็ หมวดหม่เู พื่อความเปน็ ระเบียบ สวยงาม ๒. มุมหนงั สือ ในห้องเรยี นควรมที ี่เงียบสงบ สำหรับให้เด็กได้ดูรปู ภาพ อ่านหนังสอื นิทาน ฟังนทิ าน ผู้สอนควรได้จัด มุมหนังสอื ให้เด็กไดค้ นุ้ เคยกบั ตัวหนังสือ และได้ทำกจิ กรรมสงบๆ ตามลำพังหรือเป็นกลมุ่ เลก็ ๆ หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนอนบุ าลกระสัง สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๖๖ การจัดมุมหนังสือ เป็นมุมที่ต้องการความสงบควรจัดห่างจากมุมที่มีเสียง เช่น มุมบล็อก มุมบทบาท สมมติ ฯลฯ และควรจดั บรรยากาศจูงใจให้เด็กได้เข้าไปใช้เพื่อเด็กจะได้ค้นุ เคยกับตวั หนังสือ และปลูกฝังนิสัย รักการอา่ นใหก้ บั เดก็ ๓. มุมบทบาทสมมติ มุมบทบาทสมมติ เป็นมุมที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กมีโอกาสได้นำเอาประสบการณ์ที่ได้รับจากบ้าน หรือ ชุมชนมาเล่นแสดงบทบาทสมมติ เลียนแบบบุคคลต่างๆ ตามจินตนาการของตน เช่น เป็นพ่อแม่ในมุมบ้าน เป็นหมอในมุมหมอ เป็นพ่อค้าแม่ค้าในมุมร้านค้า ฯลฯ การเล่นดังกล่าวเป็นการปลูกฝังความสำนึกถึงบทบาท ทางสงั คมท่เี ด็กได้ พบเหน็ ในชวี ติ จรงิ การจัดมุมบทบาทสมมตินี้ ควรอยู่ใกล้มุมบล็อกและอาจจัดให้เป็นสถานที่ต่างๆ นอกเหนือจากการ จัดเปน็ บ้าน โดยสังเกตการณ์เลน่ และความสนใจของเดก็ ว่ามีการเปล่ียนแปลงบทบาท การเล่นจากบทบาทเดิม ไปสู่รูปแบบการเล่นอื่นหรือไม่ อุปกรณ์ที่นำมาจัดก็ควรเปลี่ยนไปตามความสนใจของเด็กเช่นกัน ดังนั้นมุม บทบาทสมมตจิ งึ อาจจดั เป็นบ้าน รา้ นอาหาร ร้านขายของ รา้ นเสริมสวย โรงพยาบาล เป็นต้น ในขณะเดียวกัน อปุ กรณ์ทีน่ ำมาจดั ให้เด็กต้องไมเ่ ป็นอนั ตราย และมคี วามเหมาะสมกับสภาพทอ้ งถน่ิ ๔.มุมวทิ ยาศาสตร์ มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษาเป็นมุมเล่นที่ ผู้สอนจัดรวบรวมสิ่งต่างๆ หรือสิ่งที่มีใน ธรรมชาติมาให้เด็กได้สำรวจ สังเกต ทดลอง ค้นพบด้วยตนเองซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรใ์ หก้ บั เดก็ การจัดมุมวทิ ยาศาสตร์หรือมมุ ธรรมชาตศิ ึกษาเปน็ มุมที่ต้องการความสงบคลา้ ยมุมหนงั สอื จงึ อาจจัดไว้ ใกล้กันได้ และเพื่อเร้าให้เด็กสนใจในสิ่งที่นำมาแสดง ของที่จัดวางไว้จึงควรอยู่ในระดับที่เด็กหยิบ จับ ดู วัสดุ อุปกรณ์เหล่านั้นได้โดยสะดวก และสิ่งที่นำมาตั้งแสดงนั้นไม่ควรจะตั้งแสดงของสิ่งเดยี วกันตลอดปี แต่ควรจะ ปรบั เปลี่ยนใหน้ า่ สนใจ ๕.มมุ ศลิ ปะ กิจกรรมศิลปะเปน็ กจิ กรรมทสี่ ามารถพฒั นาเด็กไดห้ ลาย ดา้ น เช่น ทางด้านกลา้ มเนือ้ มอื ซึง่ จะชว่ ยให้ มือของเด็กพร้อมที่จะจับดินสอเขียนหนังสือได้เมื่อไปเรียนในชั้นประถมศึกษานอกจากนี้ยังช่วยในการพัฒนา อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เด็กจะมีโอกาสทำงานตามลำพังและทำงานเป็นกลุ่ม รู้จักปรับตัวที่จะ ทำงานดว้ ยกนั และส่งเสริมจินตนาการ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ดังนนั้ การจัดให้มีมุมศิลปะจึงเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กได้พัฒนามากขึ้น และยังสนองความสนใจ ความ ต้องการของเด็กวัยนไี้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี หลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนอนบุ าลกระสัง สพป.บุรีรมั ย์ เขต ๒
๖๗ รปู แบบการจัดกิจกรรมประจำวัน การจัดทำตารางกิจกรรมประจำวนั สามารถจดั ได้หลายรูปแบบทั้งน้ีขนึ้ อย่กู ับความเหมาะสมในการ นำมาไปใช้ของแต่ละหนว่ ยงาน ท่ีสำคญั ผูส้ อนต้องคำนึงถงึ การจดั กรรมให้คลอมคลุมพฒั นาการทุกดา้ นสำหรบั โรงเรยี นอนบุ าลกระสังไดจ้ ดั ทำตารางกิจกรรม ประจำวัน ดังนี้ ตารางกิจกรรมประจำวัน กิจกรรมในแต่ละวันของโรงเรียนอนุบาลกะสัง กำหนดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายให้เด็กปฐมวัยได้รับการ พฒั นาอย่างรอบดา้ น ดังน้ี เวลา กิจกรรม ๐๗.๐๐ -๐๘.๐๐ น. รับเดก็ รายบุคคล ๐๘.๐๐ -๐๘.๓๐ น. เข้าแถว เคารพธงชาติ สวดมนต์ ๐๘.๓๐ -๐๙.๐๐ น. ตรวจสขุ ภาพ/ไปห้องนำ้ ๐๙.๐๐ -๐๙.๒๐ น. กจิ กรรมเคลอ่ื นไหวและจังหวะ ๐๙.๒๐ -๐๙.๔๐ น. กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ ๐๙.๔๐ -๑๐.๒๐ น. กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ ๑๐.๒๐ -๑๐.๔๐ น. กิจกรรมการเล่นตามมุม ๑๐.๔๐ -๑๑.๐๐ น. กจิ กรรมการเลน่ กลางแจง้ ๑๑.๐๐ -๑๑.๓๐ น. พกั /รับประทานอาหารกลางวนั ๑๑.๓๐ -๑๒.๐๐ น. แปรงฟนั ๑๒.๐๐ -๑๔.๐๐ น. นอนพักผ่อน ๑๔.๐๐ -๑๔.๓๐ น. เก็บทนี่ อน ลา้ งหน้า ๑๔.๓๐ -๑๔.๔๕ น. พกั /ดื่มนม ๑๔.๔๕ -๐๘.๐๐ น. เกมการศึกษา ๐๗.๐๐ -๐๘.๐๐ น. สรปุ ทบทวนกิจกรรมประจำวนั ๐๗.๐๐ -๐๘.๐๐ น. ผ้ปู กครองรบั นักเรียนกลบั บ้าน หมายเหตุ : การจดั กจิ กรรมในแตล่ ะวัน สามารถปรับเปลีย่ นได้ตามความเหมาะสม หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสงั สพป.บุรีรัมย์ เขต ๒
๖๘ ๓.๔ แนวทางการจัดกิจกรรมประจำวนั การจัดกิจกรรมประจำวัน ครสู ามารถนำไปปรับใช้ได้หรือนำนวตั กรรมต่างๆมาปรับใช้ในการ จัดกจิ กรรมประจำวนั ไหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดล้อมสถานศึกษา โดยมีแนวทางในการจัดกิจกรรมดังนี้ ๑. การจดั กิจกรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะ การเคลือ่ นไหวและจังหวะ เป็นกจิ กรรมทีจ่ ัดให้เด็กไดเ้ คลื่อนไหวสว่ นต่างๆของร่างกายอย่าง อิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณ์ต่างๆมาประกอบการ เคลอ่ื นไหว ซึ่งจงั หวะและเครอ่ื งดนตรีประกอบ ไดแ้ ก่ การปรบมือ การรอ้ งเพลง การเคาะไม้ กรุ๋งกรง๋ิ รำมะนา กลอง กรบั เพื่อสง่ เสรมิ ให้เด็กพัฒนาการเน้ือใหญ่และกล้ามเน้ือเลก็ อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสตปิ ัญญา เกิด จินตนาการ ความคดิ สร้างสรรค์ รูปแบบการเคลอ่ื นไหว ๑. การเคล่อื นไหวพื้นฐาน เป็นกจิ กรรมท่ีตอ้ งฝึกทุกครั้งก่อนท่จี ะเร่มิ ฝึกกิจกรรมอน่ื ๆ ต่อไปลักษณะ การจดั กจิ กรรมมจี ดุ เน้นในเรื่องจังหวะและการเคลื่อนไหวหรือท่าทางอย่างอิสระ การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ของเดก็ มี ๒ ประเภท ๑.๑ การเคล่ือนไหวอยู่กับท่ี ได้แก่ ปรบมือ ผงกศีรษะ ขยิบตา ชันเข่า ขยับมือและแขน มือ แบน้วิ มือ เท้าและปลายเทา้ ๑.๒ การเคลื่อนไหวเคลื่อนท่ี ได้แก่ คลาน คืบ เดิน วิ่ง กระโดด ควบม้า ก้าวกระโดด เขย่ง กา้ วชิด ๒. การเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กับเนื้อหา เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายโดยเน้นการ ทบทวนเรื่อง ที่ได้รับรู้จากการจัดกิจกรรมอื่นและนำมาสัมพันธ์กับสาระการเรียนรู้หรือเรื่องอื่นๆ ที่เด็ก สนใจ ไดแ้ ก่ ๒.๑ การเคลื่อนไหวแบบเลียนแบบ เป็นการเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งต่างๆรอบตัว เช่น การเลยี นแบบเสยี งสตั ว์ การเลียนแบบทา่ ทางคน การเลยี นแบบเคร่อื งยนต์กลไกและเคร่ืองเล่น การเลียนแบบ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ ๒.๒ การเคลื่อนไหวตามบทเพลง เป็นการเคลื่อนไหวหรือทำท่าทางประกอบเพลง เช่น เพลงไก่ เพลงข้ามถนน เพลงสวสั ดี ๒.๓ การทำท่าทางบริหารประกอบเพลงหรือคำคล้องจอง เป็นการเคลื่อนไหวแบบกาย บริหาร อาจจะท่าทางไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาของเพลงหรือคำคล้องจอง เช่นเพลงกำมือแบมือ เพลงออกกำลัง กาย คำคล้องจองฝนตกพรำพรำ ๒.๔ การเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ เป็นการเคลื่อนไหวที่ให้เด็กคิดสร้างสรรค์ท่าทางขึ้นเอง หรอื อาจใช้คำถามหรือคำสงั่ หรอื ใช้อปุ กรณป์ ระกอบ เช่น หว่ งหวาย แถวผ้า ริบบนิ้ ถุงทราย ๒.๕ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงทา่ ทางตามคำบรรยายทีค่ รเู ลา่ หรอื เรื่องราวหรอื นทิ าน หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนอนบุ าลกระสงั สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๖๙ ๒.๖ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคำสั่ง เป็นการเคลือ่ นไหวหรือทำท่าทางตาม คำส่ังของครู เชน่ การจัดกลุ่มตามจำนวน การทำท่าทางตามคำสั่ง ๒.๗ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามข้อตกลง เป็นการเคลื่อนไหวหรือทำท่า ทางการเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรคท์ ีไ่ ดต้ กลงไว้ก่อนเริม่ ทำกจิ กรรม ๒.๘ การเคล่ือนไหวหรอื การแสดงท่าทางเป็นผนู้ ำ ผตู้ าม เปน็ การคดิ ท่าทางการเคล่ือนไหว อย่างสร้างสรรคข์ องเดก็ เองแล้วใหเ้ พื่อนปฏบิ ตั ิกิจกรรม ๒.การจัดกิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ มีทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน การสังเกต การคิดแก้ปัญหา การใช้เหตุผล โดยการฝึกปฏิบัติร่วมกันและการทำงาน เป็นกล่มุ ทง้ั กลมุ่ ยอ่ ยและกลุ่มใหญ่ เพอื่ ให้เกดิ ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเร่อื งท่ีไดเ้ รยี นรู้ แนวทางการจดั กิจกรรมเสริมประสบการณ์ จดั ได้หลายวิธไี ด้แก่ ๒.๑ การสนทนาหรือการอภิปราย เป็นการพูดคุย ซกั ถามระหวา่ งเดก็ กับครู หรอื เด็กกับเด็ก เป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาด้านการพูดและการฟัง โดยการกำหนดประเด็นในการสนทนาหรือ อภิปรายเด็กจะได้แสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ครูหรือผู้สอนเปิดโอกาสให้เด็ก ซกั ถาม โดยใช้คำถามกระหรือเลา่ ประสบการณท์ ่ีแปลกใหม่ สำเสนอปัญหาท่ี ท้าทายความคิด การยกตัวอย่าง การใช้สือ่ ประกอบการสนทนาหรอื การอภปิ รายควรใช้สือ่ ของจรงิ ของจำลอง รูปภาพหรือสถานการณ์จำลอง ๒.๒ การเล่านิทาน และการอ่านนิทาน เป็นกิจกรรมที่ครูหรือผู้สอนเล่าหรืออ่านเรื่องราว จากนิทาน โดยการใช้น้ำเสียงประกอบการเล่าแตกต่างตามบุคลิกของของตัวละคร ซึ่งครูหรือผู้สอนควรเลือก สาระของนทิ านใหเ้ หมาะสมกับวยั ส่ือทใ่ี ช้อาจเป็นหนังสอื นิทาน หนงั สอื ภาพ แผ่นภาพ หุน่ มอื หนุ่ น้วิ มือ หรือ การแสดงท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง โดยครูใช้คำถามเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ เช่น ในนิทานเรื่องนี้มีตัวละคร อะไรบ้างเหตุการณ์ในนิทานเรื่องนี้เกิดที่ไหน เวลาใด หรือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิทาน นิทานเรื่องนี้มี ปญั หาอะไรบา้ ง และเดก็ ๆชอบเหตุการณใ์ ดในนิทานเรอ่ื งน้มี ากทส่ี ุด ๒.๓ การสาธิต เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยแสดงหรือทำสิ่งที่ ต้องการให้เด็กได้สังเกตและเรียนรู้ตามขั้นตอนของกิจกรรมนั้นๆ และเด็กได้อภิปรายและร่วมกันสรุปการ เรียนรู้ การสาธติ ในบางคร้ังอาจให้เด็กอาสาสมัครเปน็ ผู้สาธิตร่วมกับครูผสู้ อน เพือ่ นำไปไปสูก่ ารปฏิบตั ิจริงด้วย ตนเอง เชน่ การเพาะเมล็ดพืช การประกอบอาหาร การเป่าลกู โปง่ การเล่นเกมการศกึ ษา ๒.๔ การทดลอง/การปฏิบัติ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง โดยแสดงหรือ ทำสิ่งที่จากการลงมือปฏิบัติ การทดลอง การคิดแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ คณิตศาสตร์ ทักษะภาษา ส่งเสริมให้เด็กเกิดข้อสงสัย สืบค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างง่ายๆ สรุปผลการทดลอง อภิปรายผล การทดลองและการสรุปการเรียนรู้ โดยกิจกรรมการ ทดลองวทิ ยาศาสตร์ง่าย เช่น การเลย้ี งหนอนผเี สื้อ การปลูกพชื ฝกึ การสังเกตการไหลของนำ้ หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๗๐ ๒.๕ การประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมทีจ่ ัดใหเ้ ด็กได้เรยี นรู้ผา่ นการทดลองโดยเปิดโอกาสให้ เด็กได้ลงมือทดลองและปฏิบตั กิ ารดว้ ยตนเองเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงของผักเนื้อสัตว์ ผลไม้ด้วยวธิ กี ารต่างๆ เช่น ต้ม นึ่ง ผัด ทอด หรือการรับประทานสด เด็กจะได้รับประสบการณ์ตรงจากการสังเกตเปลี่ยนแปลงของ อาหารการรับรู้รสชาตแิ ละกล่ินของอาหาร ดว้ ยการใช้ประสาทสัมผัสและการทำงานรว่ มกนั เช่นการทำอาหาร จากไข่ ๒.๖ การเพาะปลกู เป็นกจิ กรรมทเี่ น้นกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ ซึ่งเด็ก จะได้เรียนรจู้ ากการบูรณาการจะทำให้เด็กไดร้ ับประสบการณโ์ ดยทำความเข้าใจความต้องการของส่ิงมีชีวิตใน โลก และช่วยให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รอบตัวโดยการสังเกต เปรียบเทียบ และการคิด อยา่ งมเี หตุผล ซงึ่ เปน็ การเปิดโอกาสใหเ้ ด็กได้คน้ พบและเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ๒.๗ การศกึ ษานอกสถานที่ เป็นการจัดกจิ กรรมทศั นศึกษาทใี่ ห้เด็กไดเ้ รยี นรู้สภาพความเป็น จริงนอกห้องเรียน จากแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา หรือห แหล่งเรียนรู้ในชุมชน เช่น ห้องสมุน ห้องสมุนไพร วัด ไปรษณีย์ พิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์แก่เด็ก โดยครูและเด็กร่วมกันวางแผนศึกษาที่ ตอ้ งการเรียนรู้การเดนิ ทาง และสรุปผลการเรียนร้ทู ีไ่ ด้จากการศกึ ษานอกสถานท่ี ๒.๘ การเล่นบทบาทสมมติ เป็นกิจกรรมให้เด็กได้สมมติตนเองเป็นตัวละคร และแสดง บทบาทต่างๆตามเนื้อเรื่องในนิทาน เรื่องราวหรือสถานการณ์ต่างๆ โดยใช้ความรู้สึกของเด็กในการแสดง เพื่อให้เด็กเข้าใจเรื่องราว ความรู้สึกพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นๆ ควรใช้สื่อความรู้สึกของเด็กในการแสดง เพื่อให้เด็กเข้าใจเรื่องราวและพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นๆ ควรใช้สื่อประกอบการเล่นสมมติ เช่น หุ่นสวม ศีรษะ ทคี่ าดศีรษะรปู คนและสัตว์รปู แบบต่างๆ เครื่องแตง่ กาย และอุปกรณ์ของจริงชนดิ ต่างๆ ๒.๙ การรอ้ งเพลง ท่องคำคล้องจอง เป็นกิจกรรมท่ีจดั ให้เดก็ ไดเ้ รยี นร้เู กี่ยวกับภาษา จังหวะ และการแสดงท่าทางให้สัมพันธ์กับเนื้อหาของเพลงหรือคำคล้องจอง ครหู รอื ผ้สู อนควรเลือกใหเ้ หมาะสมกับวัย ของเดก็ ๒.๑๐ การเล่นเกม เป็นกิจกรรมทีน่ ำเกมการเรียนรูเ้ พ่ือฝึกทักษะการคิด การแก้ปัญหา และ การทำงานเป็นกล่มุ เกมทน่ี ำมาเลน่ ไม่ควรเน้นการแขง่ ขนั ๒.๑๑ การแสดงละคร เป็นกิจกรรมที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการลำดับเรื่องราว การเรียงลำดับ เหตุการณ์ หรือราวจากนิทาน การใช้ภาษาในการสื่อสารของตัวละคร เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ บุคลิกลักษณะของตัวละครที่เด็กสวมบทบาท สื่อที่ใช้ เช่น ชุดการแสดงที่สอดคล้องกับบทบาทที่ได้รับ บท สนทนาทีเ่ ดก็ ใชฝ้ ึกสนทนาประกอบการแสดง ๒.๑๒ การใช้สถานการณ์จำลอง เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ ในสถานการณ์ที่ครูหรือผู้สอนกำหนด เพื่อให้เด็กได้ฝึกการแก้ปัญหา เช่น น้ำท่วม โรคระบาด พบคนแปลก หนา้ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสงั สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๗๑ ๓. กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ เปน็ กจิ กรรมทม่ี งุ่ พัฒนากระบวนการคดิ การรับรู้เก่ียวกบั ความงามและสง่ เสริมกระตุ้นให้เด็ก แสดงออกทางอารมณ์ ความรูส้ ึก ความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยใช้กจิ กรรมศลิ ปะหรือกิจกรรม อ่ืนทเี่ หมาะสมกับพฒั นาการของเด็กแต่ละวัย แนวทางการจดั กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ๑. เตรียมจดั โตะ๊ และอุปกรณ์ให้พร้อม และเพยี งพอก่อนทำกจิ กรรม โดยจดั ไวห้ ลายๆ กิจกรรมและอย่างนอ้ ย ๓ – ๕ กจิ กรรม เพ่ือให้เด็กได้มีอสิ ระในการเลือกทำกจิ กรรมท่ีสนใจ ๒. ควรสรา้ งขอ้ ตกลงในการทำกจิ กรรม เพื่อฝึกให้เด็กมวี นิ ยั ในการอยรู่ ่วมกนั ๓. การจดั ให้เดก็ ทำกิจกรรม ควรให้เด็กเลอื กทำกจิ กรรมอย่างมีระเบียบ และทยอยเข้าทำ กจิ กรรมโดยจัดโตะ๊ ละ ๕ – ๖ คน ๔. การเปลี่ยนและหมุนเวียนทำกิจกรรม ต้องสร้างข้อตกลงกับเด็กให้ชัดเจน เช่นหากเกิด กิจกรรมใดเพอื่ นครบจำนวนทก่ี ำหนดแล้ว ให้คอยจนกว่ามที วี่ า่ ง หรอื ใหท้ ำกิจกรรมอืน่ กอ่ น ๕. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมใหม่ หรือการใช้วัสดุ อุปกรณ์ใหม่ ครูต้องอธิบายวิธีการทำ วธิ ีการใช้ วิธกี ารทำความสะอาด และการเกบ็ ของเขา้ ท่ี ๖. เมื่อทำงานเสร็จหรือหมดเวลา ควรเตือนให้เด็กเก็บวสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้เขา้ ที่ และชว่ ยกนั ดแู ลหอ้ งใหส้ ะอาด ๔. กิจกรรมการเล่นตามมมุ กิจกรรมการเล่นตามมุม เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นอิสระตามมุม หรือมุม ประสบการณ์หรือกำหนดเป็นพื้นที่เลน่ ทีจ่ ัดไวใ้ นห้องเรียน ซึ่งพื้นที่หรือมุมต่างๆ เหล่านี้เด็กมีโอกาสเลือกเลน่ ได้อย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มย่อย เด็กอาจเลือกทำ กจิ กรรมทีค่ รูจัดเสริมข้ึน เชน่ เกมการศกึ ษา เครอ่ื งเล่นสมั ผัส แนวทางการจัดกิจกรรมการเล่นตามมุม ๑. แนะนำมมุ เล่นใหม่ เสนอแนะวิธใี ช้ การเล่นของเลน่ บางชนิด ๒. เด็กและครรู ่วมกันสรา้ งขอ้ ตกลงเก่ยี วกบั การเลน่ ๓. ครูเปิดโอกาสให้เด็กคิด วางแผน ตัดสินใจเลือกเล่นอย่างอิสระ เลือกทำกิจกรรที่จัดข้ึน ตามความสนใจของเด็กแต่ละคน ๔. ขณะเด็กเล่น/ ทำงาน ครูอาจชแ้ี นะ หรือมีสว่ นรว่ มในการเล่นกบั เด็กได้ ๕. เด็กต้องการความช่วยเหลือและคอยสังเกตพฤติกรรมการเล่นของเด็กหรือทั้งจดบันทึก พฤตกิ รรมที่นา่ สนใจ ๖. เตอื นให้เดก็ ทราบลว่ งหนา้ ก่อนหมดเวลาเลน่ ประมาณ ๓ – ๕ นาที ๗. ให้เด็กเกบ็ ของเล่นเข้าท่ใี ห้เรยี บร้อยทกุ ครั้งเมื่อเสรจ็ สิน้ กิจกรรม หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บุรรี มั ย์ เขต ๒
๗๒ ๕. กิจกรรมการเล่นกลางแจง้ กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อ เคลื่อนไหวร่างกายออกกำลงั และแสดงออกอย่างอสิ ระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็กแต่ละคน เปน็ หลกั แนวทางการจัดกิจกรรมกลางแจง้ ๑. เด็กและครูรว่ มกันสรา้ งขอ้ ตกลง ๒. จัดเตรยี มวสั ดุอปุ กรณ์การเล่นให้พร้อม ๓. สาธติ การเลน่ เคร่ืองเล่นสนามบางชนิด ๔. ใหเ้ ด็กเลอื กเล่นอสิ ระตามความสนใจและเวลาในการเลน่ นานพอควร ๕. ครูควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย (ไม่ควรจัดกิจกรรมพลศึกษา) เช่น การเล่น เล่น ทราย เล่นบ้านตุ๊กตา เล่นในมุมช่างไม้ เล่นบล็อกกลวง เครื่องเล่นสนาม เกมการละเล่น เล่นอุปกรณ์กีฬา สำหรบั เดก็ เลน่ เคร่อื งเลน่ ประเภทลอ้ เลน่ เลน่ ของเลน่ พ้ืนบา้ น (เดินกะลาฯลฯ) ๖. คณะเด็กเลน่ ครูต้องคอยดูแลความปลอดภยั และสงั เกตพฤติกรรมการเล่น การอยู่ร่วมกัน กับเพ่อื นของเดก็ อย่างใกล้ชดิ ๗. เม่ือหมดเวลาควรให้เดก็ เกบ็ ของใชห้ รอื ของเล่นให้เรียบร้อย ๘. ใหเ้ ด็กทำความสะอาดร่างกายและดแู ลเครื่องแต่งกายให้เรียบรอ้ ยหลงั เล่น ๖. เกมการศกึ ษา เกมการศึกษา (Didactic games) เป็นเกมที่ช่วยพัฒนาสติปัญญาช่วยส่งเสริให้เด็กเกิดการ เรยี นร้เู ป็นพ้นื ฐานการศกึ ษา มกี ฎเกณฑ์กตกิ าง่ายๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรอื เล่นเปน็ กลมุ่ ได้ ชว่ ยให้เด็กได้ รู้จักสังเกต คิดหาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอด เกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน ประเภท และความสัมพันธ์ที่ เก่ียวกับพื้นที่ ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมจะช่วยฝึกทักษะความพร้อมทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปญั ญา แนวทางการจดั กจิ กรรมเกมการศึกษา ๑. แนะนำกิจกรรมใหม่ ๒. สาธติ / อธิบาย วธิ ีเลน่ เกมอยา่ งเป็นขนั้ ตอนตามประเภทของเกม ๓. ใหเ้ ดก็ หมนุ เวยี นเขา้ มาเล่นเป็นกลุ่ม หรือรายบคุ คล ๔. ขณะทเี่ ด็กเลน่ เกม ครเู ป็นเพียงผแู้ นะนำ ๕. เมือ่ เดก็ เลน่ เกมแตล่ ะชดุ เสรจ็ เรียบร้อย ควรใหเ้ ด็กตรวจสอบความถูกตอ้ งด้วยตนเองหรือ รว่ มกนั ตรวจกบั เพ่ือน หรือครูเป็นผชู้ ว่ ยตรวจ ๖. ใหเ้ ดก็ นำเกมท่เี ลน่ แล้วเกบ็ ใสก่ ล่อง เขา้ ท่ีใหเ้ รียบร้อยทุกคร้ังกอ่ นเล่นเกมชุดอ่ืน หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บรุ ีรมั ย์ เขต ๒
๗๓ การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา มีความสำคัญต่อเด็กเนื่องจากธรรมชาติของเด็กในวัยนี้สนใจที่จะ เรียนรู้ ค้นคว้า ทดลอง และต้องการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ดังนั้น การจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมอย่าง เหมาะสมตามความต้องการของเด็ก จึงมีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการเรียนรู้ของเด็ก เด็ก สามารถเรยี นรจู้ ากการเล่นที่เปน็ ประสบการณต์ รงทเ่ี กิดจากการรบั ร้ดู ้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าจึงจำเปน็ ต้องจัด สิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพ และความต้องการของหลักสูตร เพื่อส่งผลให้บรรลุจุดหมาย ในการพฒั นาเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมคำนึงถึงสงิ่ ตอ่ ไปน้ี ๑.ความสะอาด ความปลอดภยั ๒.ความมีอสิ ระอยา่ งมีขอบเขตในการเล่น ๓.ความสะดวกในการทำกจิ กรรม ๔.ความพร้อมของอาคารสถานที่ เช่น ห้องเรียน หอ้ งนำ้ ห้องส้วม สนามเดก็ เลน่ ฯลฯ ๕.ความเพียงพอเหมาะสมในเรื่องขนาด น้ำหนัก จำนวน สขี องสื่อและเครอื่ งเล่น ๖.บรรยากาศในการเรยี นรู้ การจดั ท่ีเล่นและมุมประสบการณต์ ่าง ๆ สภาพแวดล้อมภายในหอ้ งเรยี น หลักสำคัญในการจัดต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะอาด เป้าหมายการพัฒนาเด็ก ความเป็น ระเบียบความเป็นตัวของเด็กเอง ให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ และมีความสุข ซึ่งอาจจัดแบ่งพื้นที่ให้ เหมาะสมกับการประกอบกจิ กรรมตามหลกั สตู ร ดงั นี้ ๑. พ้ืนท่อี ำนวยความสะดวกเพ่ือเดก็ และผ้สู อน ๑.๑ ท่แี สดงผลงานของเด็ก อาจจดั เป็นแผน่ ปา้ ย หรือทีแ่ ขวนผลงาน ๑.๒ ท่เี ก็บแฟ้มผลงานของเด็ก อาจจัดทำเป็นกล่องหรือจัดใสแ่ ฟ้มรายบคุ คล ๑.๓ ทีเ่ กบ็ เคร่อื งใชส้ ว่ นตัวของเด็ก อาจทำเป็นช่องตามจำนวนเด็ก ๑.๔ ทีเ่ กบ็ เครือ่ งใช้ของผู้สอน เชน่ อุปกรณ์การสอน ของสว่ นตัวผ้สู อน ฯลฯ ๑.๕ ป้ายนเิ ทศตามหน่วยการสอนหรอื ส่งิ ทีเ่ ด็กสนใจ ๒. พื้นที่ปฏิบัติกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ต้องกำหนดให้ชัดเจน ควรมีพื้นที่ที่เด็กสามารถจะ ทำงานได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมด้วยกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็กสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ จากกิจกรรมหน่ึงไปยังกจิ กรรมหนง่ึ โดยไม่รบกวนผู้อื่น ๓. พ้ืนทีจ่ ัดมมุ เล่นหรอื มุมประสบการณ์ สามารถจดั ได้ตามความเหมาะสมข้นึ อยู่กับสภาพของ หอ้ งเรยี น จัดแยกส่วนทีใ่ ช้เสียงดังและเงยี บออกจากกนั เช่น มุมบล็อกอยหู่ ่างจากมุมหนังสอื มุมบทบาทสมมติอยู่ติดกับมุมบล็อก มุมวิทยาศาสตร์อยู่ใกล้มุมศิลปะฯ ลฯ ที่สำคัญจะต้องมีของเล่น วัสดุ อปุ กรณใ์ นมุมอย่างเพยี งพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นในมุมเลน่ อยา่ งเสรี มักถกู กำหนดไว้ในตารางกิจกรรม ประจำวัน เพื่อให้โอกาสเด็กไดเ้ ล่นอย่างเสรีประมาณวนั ละ ๖๐ นาทีการจัดมุมเล่นต่างๆ ผู้สอนควรคำนงึ ถึงสิง่ ต่อไปนี้ ๓.๑ ในหอ้ งเรยี นควรมีมุมเล่นอยา่ งน้อย ๓-๕ มุม ทงั้ นขี้ ึน้ อยู่กบั พ้นื ที่ของห้อง ๓.๒ ควรได้มกี ารผลดั เปลยี่ นสอ่ื ของเล่นตามมุมบา้ ง ตามความสนใจของเด็ก ๓.๓ ควรจัดใหม้ ปี ระสบการณ์ที่เด็กได้เรยี นรู้ไปแล้วปรากฏอยู่ในมุมเลน่ เชน่ เด็กเรียนรเู้ รื่อง ผีเสอ้ื ผสู้ อนอาจจัดให้มีการจำลองการเกิดผเี ส้อื ล่องไว้ใหเ้ ด็กดใู นมุมธรรมชาติศึกษาหรือมุมวทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บุรีรัมย์ เขต ๒
๗๔ ๓.๔ ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีสว่ นร่วมในการจดั มุมเล่น ท้ังนเี้ พื่อจูงใจให้เด็กรู้สกึ เป็นเจ้าของ อยาก เรียนรู้ อยากเข้าเลน่ ๓.๕ ควรเสรมิ สร้างวนิ ยั ใหก้ บั เดก็ โดยมีข้อตกลงรว่ มกันว่าเมื่อเลน่ เสร็จแลว้ จะต้องจัดเก็บ อปุ กรณ์ทกุ อยา่ งเขา้ ทใ่ี หเ้ รียบรอ้ ยสภาพแวดลอ้ มนอกหอ้ งเรียน คอื การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาณา บรเิ วณรอบ ๆ สถานศกึ ษา รวมทั้งจัดสนามเด็กเลน่ พรอ้ มเครื่องเลน่ สนาม จัดระวังรกั ษาความปลอดภัยภายใน บรเิ วณสถานศกึ ษาและบริเวณรอบนอกสถานศกึ ษา ดูแลรักษาความสะอาด ปลูกต้นไม้ใหค้ วามร่มรนื่ รอบๆ บริเวณสถานศึกษา ส่ิงต่างๆเหลา่ น้ีเป็นสว่ นหนง่ึ ทส่ี ง่ ผลต่อการเรยี นรแู้ ละพัฒนาการของเด็ก บรเิ วณสนามเด็กเล่น ต้องจดั ให้สอดคล้องกับหลักสตู ร ดงั นี้ สนามเด็กเลน่ มีพื้นผวิ หลายประเภท เชน่ ดิน ทราย หญ้า พืน้ ท่สี ำหรบั เลน่ ของเลน่ ที่มลี ้อ รวมทัง้ ทร่ี ่ม ท่ีโลง่ แจ้ง พนื้ ดนิ สำหรับขุด ท่เี ลน่ นำ้ บอ่ ทราย พรอ้ มอปุ กรณ์ประกอบการเลน่ เครอื่ งเล่นสนาม สำหรบั ปนี ปา่ ย ทรงตวั ฯลฯ ทงั้ นี้ตอ้ งไม่ตดิ กบั บรเิ วณท่ีมอี นั ตราย ต้องหม่นั ตรวจตราเครอื่ งเลน่ ให้อยู่ในสภาพแข็งแรง ปลอดภยั อยู่เสมอ และหมนั่ ดูแลเรือ่ งความสะอาด ทีน่ ่ังเล่นพกั ผอ่ น จัดทน่ี ่งั ไวใ้ ตต้ ้นไม้มรี ม่ เงา อาจใชก้ จิ กรรมกลุ่มย่อย ๆ หรือกิจกรรมที่ ต้องการความสงบ หรืออาจจัดเป็นลานนทิ รรศการใหค้ วามรู้แก่เด็กและผู้ปกครองบริเวณธรรมชาติ ปลูกไม้ ดอก ไม้ประดบั พืชผักสวนครัว หากบรเิ วณสถานศกึ ษา มีไมม่ ากนัก อาจปลูกพชื ในกระบะหรือกระถาง มุมประสบการณ์ สื่อประกอบการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญา ควรมีสื่อทั้งที่เป็นประเภท ๒ มิติ และ/หรือ ๓ มิติ ที่เป็นสื่อของจรงิ สื่อธรรมชาติ สื่อที่อยู่ใกล้ ตัวเด็ก สื่อสะท้อนวัฒนธรรม สื่อที่ปลอดภัยตอ่ ตัวเด็ก สื่อเพ่ือพัฒนาเด็กในด้านต่างๆให้ครบทุกด้านสือ่ ที่เอื้อ ใหเ้ ดก็ เรยี นรผู้ า่ นประสาทสัมผัสทั้งห้า โดยการจัดการใชส้ อ่ื เร่มิ ตน้ จาก สื่อของจรงิ ภาพถา่ ย ภาพโครงร่าง และ สัญลักษณ์ ทั้งนี้การใช้สื่อต้องเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสนใจและ ความตอ้ งการของเด็กที่หลากหลาย ตัวอยา่ งส่อื ประกอบการจดั กิจกรรม มดี งั น้ี กิจกรรมการเลน่ ตามมมุ ๑. มุมบทบาทสมมติ อาจจัดเปน็ มุมเล่น ดังน้ี ๑.๑ มมุ บ้าน ❖ ของเลน่ เครื่องใช้ในครัวขนาดเล็ก หรอื ของจำลอง เช่น เตา กระทะ ครก กานำ้ เขยี ง มดี พลาสติก หม้อ จาน ช้อน ถ้วยชาม กะละมัง ฯลฯ ❖ เครื่องเล่นตกุ๊ ตา เสอ้ื ผา้ ตุก๊ ตา เตียง เปลเด็ก ตุ๊กตา ❖ เคร่ืองแตง่ บ้านจำลอง เชน่ ชุดรบั แขก โตะ๊ เครือ่ งแป้ง หมอนอิง กระจกขนาดเหน็ เต็มตวั หวี ตลับแปง้ ฯลฯ ❖ เครื่องแตง่ กายบคุ คลอาชพี ต่าง ๆ ท่ใี ชแ้ ลว้ เช่น ชดุ เครือ่ งแบบทหาร ตำรวจ ชุดเสอื้ ผ้า ผใู้ หญช่ าย และหญิง รองเท้า กระเปา๋ ถอื ทไ่ี ม่ใช้แลว้ ฯลฯ ❖ โทรศพั ท์ เตารีดจำลอง ทร่ี ีดผา้ จำลอง ❖ ภาพถา่ ยและรายการอาหาร หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๗๕ ๑.๒ มมุ หมอ ❖ เครือ่ งเล่นจำลองแบบเครอ่ื งมอื แพทย์ และอุปกรณร์ กั ษาผู้ป่วย เช่น หฟู งั เส้ือคลุมหมอ ฯลฯ ❖ อปุ กรณส์ ำหรับเลยี นแบบการบันทกึ ข้อมูลผู้ป่วย เช่น กระดาษ ดนิ สอ ฯลฯ ๑.๓ มมุ รา้ นคา้ ❖ กล่องและขวดผลติ ภณั ฑ์ตา่ งๆท่ใี ช้แล้ว ❖ อุปกรณป์ ระกอบการเล่น เชน่ เคร่อื งคดิ เลข ลูกคิด ธนบัตรจำลอง ฯลฯ ๒. มุมบล็อก ❖ ไม้บล็อกหรือแทง่ ไม้ทม่ี ีขนาดและรปู ทรงต่างๆกัน จำนวนตง้ั แต่ ๕๐ ชิน้ ขนึ้ ไป ❖ ของเลน่ จำลอง เช่น รถยนต์ เครอื่ งบนิ รถไฟ คน สตั ว์ ต้นไม้ ฯลฯ ❖ ภาพถา่ ยตา่ งๆ ❖ ทจี่ ัดเก็บไม้บล็อกหรือแท่งไมอ้ าจเป็นชน้ั ลังไม้หรือพลาสติก แยกตามรูปทรง ขนาด ๓. มุมหนังสือ ❖ หนังสอื ภาพนิทาน สมดุ ภาพ หนงั สือภาพท่ีมคี ำและประโยคสน้ั ๆพร้อมภาพ ❖ ช้ันหรอื ทีว่ างหนังสือ ❖ อุปกรณต์ ่าง ๆ ทใ่ี ช้ในการสรา้ งบรรยากาศการอา่ น เชน่ เส่ือ พรม หมอน ฯลฯ ❖ สมดุ เซน็ ยืมหนงั สือกลบั บ้าน ❖ อุปกรณ์สำหรบั การเขียน ❖ อปุ กรณ์เสรมิ เชน่ เครื่องเลน่ เทป ตลบั เทปนิทานพรอ้ มหนังสอื นิทาน หูฟัง ฯลฯ ๔. มุมวทิ ยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาตศิ ึกษา ❖ วัสดุต่าง ๆ จากธรรมชาติ เช่น เมลด็ พืชตา่ ง ๆ เปลือกหอย ดนิ หนิ แร่ ฯลฯ ❖ เครื่องมอื เครอื่ งใช้ในการสำรวจ สังเกต ทดลอง เชน่ แวน่ ขยาย แมเ่ หลก็ เข็มทิศ เคร่อื งช่งั ฯลฯ ๕. มมุ อาเซียน ❖ ธงของแตล่ ะประเทศในกลมุ่ ประเทศอาเซียน ❖ คำกลา่ วทักทายของแตล่ ะประเทศ ❖ ภาพการแต่งกายประจำชาตใิ นกล่มุ ประเทศอาเซยี น กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ ควรมวี ัสดุ อุปกรณ์ ดงั น้ี ๑. การวาดภาพและระบายสี - สีเทยี นแท่งใหญ่ สีไม้ สชี อลก์ สนี ้ำ - พ่กู นั ขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒ ) - กระดาษ - เส้อื คลุม หรอื ผ้ากันเป้อื น หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๗๖ ๒. การเลน่ กบั สี ❖ การเป่าสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สีนำ้ ❖ การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พู่กัน สนี ้ำ ❖ การพับสี มี กระดาษ สีน้ำ พูก่ ัน ❖ การเทสี มี กระดาษ สีน้ำ ❖ การละเลงสี มี กระดาษ สีน้ำ แปง้ เปียก ๓. การพมิ พภ์ าพ ❖ แม่พิมพต์ ่าง ๆ จากของจรงิ เชน่ นว้ิ มอื ใบไม้ ก้านกลว้ ย ฯลฯ ❖ แม่พมิ พ์จากวัสดอุ ืน่ ๆ เช่น เชอื ก เส้นด้าย ตรายาง ฯลฯ ❖ กระดาษ ผา้ เชด็ มอื สีโปสเตอร์ (สีนำ้ สีฝุน่ ฯลฯ) ๔.การปนั้ เชน่ ดินนำ้ มัน ดินเหนยี ว แป้งโดว์ แผน่ รองป้ัน แมพ่ มิ พ์รูปตา่ ง ๆ ไมน้ วดแป้ง ฯลฯ ๕.การพับ ฉีก ตัดปะ เช่น กระดาษ หรือวัสดุอื่นๆท่ีจะใช้พับ ฉีก ตัด ปะ กรรไกรขนาดเล็กปลายมน กาวน้ำหรือแป้งเปยี ก ผา้ เช็ดมือ ฯลฯ ๖. การประดิษฐ์เศษวัสดุ เช่น เศษวัสดุต่าง ๆ มีกล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า เศษไหม กาว กรรไกร สี ผ้าเชด็ มอื ฯลฯ ๗. การรอ้ ย เชน่ ลกู ปดั หลอดกาแฟ หลอดดา้ ย ฯลฯ ๘.การสาน เชน่ กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา้ ว ฯลฯ ๙. การเล่นพลาสติกสร้างสรรค์ พลาสติกชิ้นเล็ก ๆ รูปทรงต่าง ๆ ผู้เล่นสามารถนำมาต่อเป็น รปู แบบต่าง ๆ ตามความตอ้ งการ ๑๐.การสร้างรูป เชน่ จากกระดานปกั หมุด จากแปน้ ตะปทู ใี่ ชห้ นังยางหรอื เชอื ก ผูกดึงให้เป็นรูปร่าง ต่าง ๆ เกมการศึกษา ตวั อยา่ งส่ือประเภทเกมการศกึ ษามีดงั น้ี ๑. เกมจับคู่ ❖ จับครู่ ปู รา่ งท่เี หมอื นกัน ❖ จบั คู่ภาพเงา ❖ จบั คู่ภาพทซ่ี อ่ นอยใู่ นภาพหลัก ❖ จับคสู่ ่งิ ท่ีมีความสัมพนั ธก์ นั ส่ิงทใี่ ช้คู่กนั ❖ จับคภู่ าพสว่ นเตม็ กับสว่ นย่อย ❖ จบั คภู่ าพกับโครงรา่ ง ❖ จับคู่ภาพชิ้นสว่ นทห่ี ายไป ❖ จับคภู่ าพท่เี ป็นประเภทเดยี วกนั ❖ จบั คภู่ าพทีซ่ ่อนกัน ❖ จับคู่ภาพสัมพนั ธแ์ บบตรงกันขา้ ม ❖ จบั คู่ภาพที่สมมาตรกนั ❖ จับคู่แบบอปุ มาอปุ ไมย ❖ จบั คู่แบบอนุกรม หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บรุ รี มั ย์ เขต ๒
๗๗ ๒. เกมภาพตัดต่อ ❖ ภาพตัดตอ่ ทสี่ มั พนั ธ์กบั หน่วยประสบการณต์ า่ ง ๆ เช่น ผลไม้ ผกั ฯลฯ ๓. เกมจดั หมวดหมู่ ❖ ภาพส่ิงตา่ ง ๆ ท่นี ำมาจัดเปน็ พวก ๆ ❖ ภาพเกี่ยวกับประเภทของใช้ในชวี ิตประจำวัน ❖ ภาพจดั หมวดหมูต่ ามรปู ร่าง สี ขนาด รูปทรงเรขาคณติ ๔. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมิโน) ❖ โดมโิ นภาพเหมอื น ❖ โดมิโนภาพสมั พนั ธ์ ๕. เกมเรยี งลำดบั ❖ เรียงลำดับภาพเหตุการณ์ต่อเน่ือง ❖ เรียงลำดบั ขนาด ๖. เกมศึกษารายละเอียดของภาพ (ลอตโต) ๗. เกมจบั คูแ่ บบตารางสมั พนั ธ์ (เมตรกิ เกม) ๘. เกมพนื้ ฐานการบวก กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ ตวั อย่างสื่อมดี งั นี้ ๑ .สอื่ ของจริงท่ีอยู่ใกล้ตวั และสื่อจากธรรมชาตหิ รือวสั ดุท้องถิ่น เชน่ ต้นไม้ ใบไม้ เปลือกหอย เส้ือผ้า ฯลฯ ๒. สอื่ ท่ีจำลองข้นึ เช่น ลกู โลก ตกุ๊ ตาสตั ว์ ฯลฯ ๓. สือ่ ประเภทภาพ เช่น ภาพพลิก ภาพโปสเตอร์ หนงั สือภาพ ฯลฯ ๔. สื่อเทคโนโลยี เช่น วทิ ยุ เครอื่ งบนั ทึกเสยี ง เคร่อื งขยายเสียง โทรศพั ท์ กิจกรรมการเลน่ กลางแจ้ง ตวั อยา่ งส่ือมดี ังน้ี ๑. เครอื่ งเลน่ สนาม เช่น เคร่อื งเลน่ สำหรับปนี ปา่ ย เครือ่ งเลน่ ประเภทล้อเลือ่ น ฯลฯ ๒. ที่เล่นทราย มที รายละเอียด เครอ่ื งเล่นทราย เคร่ืองตวง ฯลฯ ๓. ทเี่ ลน่ นำ้ มภี าชนะใส่น้ำหรืออ่างนำ้ วางบนขาต้ังท่ีมั่นคง ความสงู พอท่ีเด็กจะยืนได้พอดี เส้ือคลุม หรือผา้ กนั เป้ือนพลาสตกิ อุปกรณเ์ ลน่ นำ้ เชน่ ถว้ ยตวง ขวดต่างๆ สายยาง กรวยกรอกน้ำ ตุ๊กตายาง ฯลฯ กิจกรรมเคลื่อนไหวและจงั หวะ ตัวอยา่ งส่อื มดี งั นี้ ๑. เครื่องเคาะจังหวะ เช่น ฉิ่ง เหล็กสามเหลี่ยม กรับ รำมะนา กลอง ฯลฯอุปกรณ์ประกอบการ เคลือ่ นไหว เช่น หนังสือพิมพ์ รบิ บ้ิน แถบผ้า ห่วง ๒. หวาย ถงุ ทราย ฯลฯ การเลือกสอื่ มวี ธิ ีการเลอื กส่อื ดังน้ี ๑. เลอื กใหต้ รงกบั จุดมงุ่ หมายและเรือ่ งท่ีสอน ๒. เลือกให้เหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็ก ๓. เลอื กใหเ้ หมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถ่ินท่ีเด็กอยหู่ รือสถานภาพของสถานศกึ ษา ๔. มวี ธิ ีการใช้งา่ ย และนำไปใชไ้ ดห้ ลายกจิ กรรม หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๗๘ ๕. มีความถูกตอ้ งตามเนื้อหาและทนั สมยั ๖. มคี ุณภาพดี เช่น ภาพชัดเจน ขนาดเหมาะสม ไม่ใช้สสี ะทอ้ นแสง ๗. เลือกส่อื ทเี่ ด็กเข้าใจง่ายในเวลาสนั้ ๆ ไม่ซับซอ้ น ๘. เลอื กสื่อทีส่ ามารถสัมผัสได้ ๙. เลือกส่ือเพอ่ื ใช้ฝกึ และส่งเสรมิ การคิดเปน็ ทำเปน็ และกลา้ แสดงความคิดเห็นดว้ ยความมั่นใจ การจัดหาสอ่ื สามารถจดั หาไดห้ ลายวธิ ี คือ ๑. จัดหาโดยการขอยืมจากแหล่งต่างๆ เช่น ศูนย์สื่อของสถานศึกษาของรัฐบาล หรือ สถานศึกษา เอกชน ฯลฯ ๒.จัดซื้อสอ่ื และเคร่ืองเล่นโดยวางแผนการจัดซื้อตามลำดับความจำเปน็ เพือ่ ใหส้ อดคล้องกับงบประมาณ ที่ทางสถานศึกษาสามารถจัดสรรใหแ้ ละสอดคล้องกบั แผนการจดั ประสบการณ์ ๓.ผลิตสอ่ื และเครือ่ งเลน่ ขนึ้ ใช้เองโดยใช้วสั ดทุ ี่ปลอดภัยและหางา่ ยเป็นเศษวสั ดเุ หลือใช้ ทีม่ ีอย่ใู นทอ้ งถิน่ นนั้ ๆ เชน่ กระดาษแขง็ จากลังกระดาษ รูปภาพจากแผน่ ป้ายโฆษณา รูปภาพจากหนังสอื นิตยสารต่าง ๆ เปน็ ตน้ ข้นั ตอนการดำเนินการผลติ ส่อื สำหรบั เดก็ มีดังนี้ ๑. สำรวจความตอ้ งการของการใช้สื่อให้ตรงกบั จดุ ประสงค์ สาระการเรียนรู้และกิจกรรมทีจ่ ดั ๒. วางแผนการผลติ โดยกำหนดจดุ มงุ่ หมายและรูปแบบของสื่อใหเ้ หมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็ก สอ่ื น้นั จะตอ้ งมีความคงทนแขง็ แรง ประณตี และสะดวกตอ่ การใช้ ๓. ผลติ ส่อื ตามรปู แบบท่ีเตรียมไว้ ๔. นำส่ือไปทดลองใช้หลาย ๆ ครั้งเพอื่ หาข้อดี ขอ้ เสยี จะได้ปรับปรงุ แก้ไขใหด้ ีย่งิ ข้นึ ๕. นำสือ่ ทป่ี รับปรงุ แกไ้ ขแล้วไปใชจ้ รงิ การใช้ส่อื ดำเนนิ การดังน้ี ๑.การเตรยี มพรอ้ มกอ่ นใช้สื่อ มขี ้นั ตอน คือ ๑.๑ เตรียมตัวผูส้ อน ❖ ผูส้ อนจะตอ้ งศึกษาจุดมุง่ หมายและวางแผนว่าจะจดั กิจกรรมอะไรบ้าง ❖ เตรยี มจัดหาสอ่ื และศกึ ษาวิธีการใชส้ ่ือ ❖ จดั เตรียมสอ่ื และวัสดอุ ่ืน ๆ ทจี่ ะตอ้ งใชร้ ่วมกนั ❖ ทดลองใช้สอ่ื กอ่ นนำไปใชจ้ ริง ๑.๒ เตรยี มตัวเดก็ ❖ ศกึ ษาความร้พู ื้นฐานเดมิ ของเด็กให้สมั พันธ์กับเร่อื งที่จะสอน ❖ เร้าความสนใจเด็กโดยใชส้ ือ่ ประกอบการเรยี นการสอน ❖ ใหเ้ ดก็ มคี วามรบั ผิดชอบ รูจ้ กั ใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ ไมใ่ ชท่ ำลาย เลน่ แลว้ เกบ็ ใหถ้ กู ท่ี ๑.๓ เตรยี มสอื่ ให้พร้อมก่อนนำไปใช้ ❖ จัดลำดับการใชส้ ื่อวา่ จะใช้อะไรกอ่ นหรอื หลัง เพือ่ ความสะดวกในการสอน ❖ ตรวจสอบและเตรียมเคร่ืองมือให้พรอ้ มทจี่ ะใช้ได้ทันที ❖ เตรียมวัสดุอปุ กรณท์ ีใ่ ช้รว่ มกับสอ่ื ๒.การนำเสนอสื่อ เพื่อให้บรรลผุ ลโดยเฉพาะใน กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ / กจิ กรรมวงกลม / กิจกรรมกลุ่มย่อย ควรปฏบิ ัติ ดังน้ี หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บุรีรมั ย์ เขต ๒
๗๙ ๒.๑ สรา้ งความพร้อมและเรา้ ความสนใจให้เด็กกอ่ นจดั กจิ กรรมทุกครัง้ ๒.๒ ใช้สอ่ื ตามลำดบั ข้นั ของแผนการจดั กจิ กรรมท่กี ำหนดไว้ ๒.๓ ไมค่ วรให้เดก็ เหน็ สอ่ื หลายๆชนดิ พร้อมๆกนั เพราะจะทำใหเ้ ด็กไมส่ นใจกิจกรรมทส่ี อน ๒.๔ ผู้สอนควรยืนอยู่ด้านข้างหรือด้านหลงั ของส่ือที่ใชก้ บั เด็ก ผู้สอนไม่ควรยนื หนั หลงั ใหเ้ ดก็ จะตอ้ งพดู คุยกบั เดก็ และสังเกตความสนใจของเดก็ พรอ้ มทง้ั สำรวจข้อบกพร่องของสื่อท่ใี ช้ เพอ่ื นำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดขี ึน้ ๒.๕ เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดร้ ่วมใช้สื่อ ขอ้ ควรระวังในการใชส้ ่ือการเรยี นการสอน การใชส้ ื่อในระดบั ปฐมวยั ควรระวังในเรอ่ื งต่อไปนี้ ๑. วสั ดทุ ใ่ี ช้ ตอ้ งไมม่ พี ิษ ไมห่ ัก และแตกงา่ ย มีพื้นผวิ เรยี บ ไมเ่ ป็นเส้ยี น ๒. ขนาด ไม่ควรมขี นาดใหญ่เกินไป เพราะยากตอ่ การหยิบยก อาจจะตกลงมาเสยี หาย แตก เปน็ อนั ตรายตอ่ เดก็ หรอื ใช้ไมส่ ะดวก เชน่ กรรไกรขนาดใหญ่ โตะ๊ เก้าอี้ท่ใี หญ่และสงู เกนิ ไป และไม่ควรมี ขนาดเลก็ เกินไป เดก็ อาจจะนำไปอมหรือกลนื ทำให้ติดคอหรือไหลลงทอ้ งได้ เชน่ ลูกปัดเล็ก ลกู แกว้ เลก็ ฯลฯ ๓. รปู ทรง ไม่เปน็ รูปทรงแหลม รูปทรงเหลยี่ ม เป็นสนั ๔. นำ้ หนกั ไม่ควรมนี ้ำหนกั มาก เพราะเด็กยกหรือหยิบไม่ไหว อาจจะตกลงมาเป็นอันตรายต่อตวั เด็ก ๕. สือ่ หลีกเลี่ยงสื่อทีเ่ ป็นอันตรายตอ่ ตวั เด็ก เชน่ สารเคมี วตั ถุไวไฟ ฯลฯ ๖. สี หลกี เล่ยี งสีท่เี ปน็ อันตรายตอ่ สายตา เช่น สีสะท้อนแสง ฯลฯ การประเมินการใช้สื่อ ควรพิจารณาจากองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ ผู้สอน เด็ก และสื่อ เพื่อจะได้ทราบว่าสื่อนั้นช่วยให้ เดก็ เรยี นรู้ได้มากนอ้ ยเพยี งใด จะได้นำมาปรบั ปรงุ การผลิตและการใชส้ ่ือให้ดยี ่งิ ข้ึน โดยใชว้ ธิ ีสังเกต ดังนี้ ๑. ส่ือนน้ั ชว่ ยให้เด็กเกิดการเรยี นรูเ้ พยี งใด ๒. เดก็ ชอบส่ือน้ันเพยี งใด ๓. สอ่ื น้ันช่วยให้การสอนตรงกบั จุดประสงค์หรือไม่ ถกู ต้องตามสาระการเรียนร้แู ละทันสมัยหรอื ไม่ ๔. สื่อนนั้ ชว่ ยใหเ้ ดก็ สนใจมากนอ้ ยเพยี งใด เพราะเหตุใด การพัฒนาสื่อ การพัฒนาสื่อเพื่อใช้ประกอบการจัดกิจกรรมในระดับปฐมวัยนั้น ก่อนอื่นควรได้สำรวจข้อมูล สภาพ ปญั หาตา่ งๆของส่ือทุกประเภททใ่ี ช้อยู่วา่ มีอะไรบ้างทจ่ี ะต้องปรับปรุงแก้ไข เพือ่ จะได้ปรบั เปลี่ยนให้เหมาะสมกับ ความต้องการ แนวทางการพฒั นาสอ่ื ควรมีลกั ษณะเฉพาะ ดงั น้ี ๑. ปรบั ปรงุ ส่ือให้ทันสมยั เขา้ กับเหตกุ ารณ์ ใช้ไดส้ ะดวก ไมซ่ ับซอ้ นเกินไป เหมาะสมกับวัย ของเด็ก ๒. รักษาความสะอาดของส่อื ถ้าเปน็ วัสดุทลี่ า้ งนำ้ ได้ เมือ่ ใชแ้ ลว้ ควรไดล้ ้างเชด็ หรือ ปดั ฝุ่นให้สะอาด เก็บไวเ้ ป็นหมวดหมู่ วางเปน็ ระเบียบหยบิ ใช้งา่ ย ๓. ถ้าเปน็ ส่ือท่ผี ู้สอนผลิตขนึ้ มาใชเ้ องและผา่ นการทดลองใช้มาแลว้ ควรเขียนคมู่ อื ประกอบการใช้ส่ือ นั้น โดยบอกชื่อส่อื ประโยชน์และวิธีใช้สอื่ รวมทง้ั จำนวนช้ินสว่ นของสื่อในชดุ น้ันและเกบ็ คู่มือไว้ในซองหรือถุง พรอ้ มส่อื ที่ผลิต ๔. พัฒนาส่ือท่ีสรา้ งสรรค์ ใชไ้ ด้เอนกประสงค์ คอื เป็นได้ทง้ั สอ่ื เสรมิ พฒั นาการ หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลกระสัง สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๘๐ และเปน็ ของเล่นสนกุ สนานเพลดิ เพลิน แหลง่ การเรยี นรู้ โรงเรยี นอนบุ าลกระสัง ไดแ้ บ่งประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ได้ดังนี้ ๑. แหลง่ เรยี นรู้ประเภทบคุ คล ไดแ้ ก่ วิทยากรหรือผ้เู ชียวชาญเฉพาะด้าน ทีจ่ ดั หามาเพ่อื ให้ความรู้ ความเข้าใจอย่างกระจ่างแกเ่ ด็กโดยสอดคล้องกบั เนอ้ื หาสาระการเรยี นรตู้ ่างๆ ไดแ้ ก่ - พอ่ คา้ – แม่ค้า - เจ้าหน้าทตี่ ำรวจ……….. - ผปู้ กครอง - ชา่ งตัดผม / ชา่ งเสริมสวย - ครู - นกั การภารโรง - ฯลฯ ๒. แหล่งเรียนรู้ ได้แก่ แหล่งข้อมูลหรือแหล่งวิทยาการต่างๆ ที่อยู่ในชุมชนมีความสัมพันธ์กับ เอกลักษณท์ างวัฒนธรรมและประเพณีช่วยให้เดก็ สามารถเชื่อมโยงโลกภายในและโลกภายนอก (inner world & outer world) ได้ และสอดคล้องกับวิถกี ารดำเนินชวี ิตของเดก็ ปฐมวยั ได้แก่ - ห้องสมุดโรงเรยี นอนุบาลกระสัง - โรงพยาบาลอำเภอกระสัง - สถานตี ำรวจอำเภอกระสัง - สถานรี ถไฟ -รา้ นขายหมย่ี ำ การประเมินพฒั นาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อตนเอง และเป็น ส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่จัดให้ เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนำมาจดั ทำสารนทิ ัศน์หรือจัดทำข้อมูลหลักฐานหรอื เอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็นรายบุคคลที่สามารถบอกเรื่องราวหรือ ประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ ให้นำข้อมูลผลการประเมิน พฒั นาการเด็กมาพจิ ารณา ปรบั ปรุงวางแผล การจัดกจิ กรรม และส่งเสรมิ ให้เด็กแต่ละคนไดร้ บั การพัฒนาตาม จุดหมายของหลกั สูตรอย่างตอ่ เน่อื ง การประเมินพฒั นาการควรยดึ หลัก ดังนี้ ๑. วางแผนการประเมินพฒั นาการอยา่ งเป็นระบบ ๒. ประเมนิ พฒั นาการเด็กครบทุกดา้ น ๓. ประเมินพฒั นาการเด็กเปน็ รายบคุ คลอยา่ งสมำ่ เสมอต่อเนือ่ งตลอดปี ๔. ประเมนิ พฒั นาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจำวันด้วยเครื่องมือและวธิ กี ารท่ีหลากหลาย ไม่ ควรใช้แบบทดสอบ หลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๘๑ ๔. สรปุ ผลการประเมนิ จัดทำข้อมูลและนำผลการประเมินไปใช้พัฒนาเดก็ สำหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึก พฤตกิ รรม การสนทนากบั เด็ก การสมั ภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเดก็ ท่ีเกบ็ อย่างมรี ะบบ ๑. ประเภทของการประเมนิ พัฒนาการ การพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก ประกอบด้วย ๑) วัตถุประสงค์ (Objective) ซึ่งตามหลักสูตร การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมายถึง จุดหมายซึ่งเป็นมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งช้ี และสภาพที่พึงประสงค์ ๒) การจัดประสบการณการเรียนรู้ (Learning) ซึ่งเป็นกระบวนการได้มาของความรู้ หรือทักษะผ่านการกระทำสิ่งต่างๆที่สำคัญตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดให้หรือที่เรียกว่า ประสบการณ์สำคัญ ในการช่วยอธิบายให้ครูเข้าใจถึงประสบการณ์ที่เด็กปฐมวัยต้องทำเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตวั และชว่ ยแนะผู้สอนในการสงั เกต สนับสนนุ และวางแผนการ จัดกิจกรรมให้เด็กและ ๓) การประเมินผล(Evaluation) เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยที่ คาดหวังให้เด็กเกิดขน้ึ บนพื้นฐานพฒั นาการตามวยั หรือความสามารถตามธรรมชาตใิ นแตล่ ะระดบั อายุ เรียกว่า สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ทีใ่ ช้เปน็ เกณฑส์ ำคัญสำหรับการประเมินพัฒนาการเด็ก เป็นเปา้ หมายและกรอบทิศทางใน การพฒั นาคณุ ภาพเดก็ ทัง้ น้ีประเภทของการประเมินพัฒนาการ อาจแบง่ ได้เปน็ ๒ ลักษณะ คือ ๑) แบ่งตามวัตถุประสงคข์ องการประเมิน การแบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ของการประเมิน แบง่ ได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑.๑) การประเมินความก้าวหน้าของเด็ก (Formative Evaluation) หรือการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Assessment) หรือการประเมนิ เพือ่ เรยี น (Assessment for Learning) เปน็ การประเมินระหว่าง การจัดระสบการณ์ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกบั ผลพฒั นาการและการเรียนรู้ของเดก็ ในระหว่างทำกจิ กรรม ประจำวัน/กิจวัตรประจำวันปกติอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูลแล้วนำมาใช้ในการ ส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของเด็ก และการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้สอน การประเมิน พัฒนาการกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้สอนจึงเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันหากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ก็ขาดประสิทธภิ าพ เปน็ การประเมนิ ผลเพ่ือให้รจู้ ดุ เด่น จุดท่ีควรส่งเสริม ผู้สอนต้องใช้ วิธีการและเครื่องมือประเมินพัฒนาการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การรวบรวมผลงานท่ี แสดงออกถึงความก้าวหน้าแต่ละด้านของเด็กเป็นรายบุคคล การใช้แฟ้มสะสมงาน เพื่อให้ได้ข้อสรุปของ ประเด็นที่กำหยด สิ่งที่สำคัญที่สุดในการประเมินความก้าวหน้าคือ การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กในลักษณะ การเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ทำให้การเรียนรู้ของเด็กเพิ่มพูน ปรับเปลี่ยนความคิด ความเข้าใจเดมิ ทีไ่ มถ่ กู ตอ้ ง ตลอดจนการให้เด็กสามารถพัฒนาการเรียนร้ขู องตนเองได้ ๑.๒) การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) หรือ การประเมินเพื่อตัดสินผลพัฒนาการ (Summative Assessment) หรือการประเมินสรุปผลของการเรียนรู้ (Assessment of Learning) เป็นการ ประเมินสรุปพัฒนาการ เพื่อตัดสินพัฒนาการของเด็กว่ามีความพร้อมตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั หรือไม่ เพอื่ เปน็ การเชื่อมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ ดังนั้น ผู้สอนจึงควรให้ความสำคัญกับการประเมินความก้าวหน้าของเด็กในระดับห้องเรียนมากกว่า การประเมินเพ่อื ตัดสนิ ผลพัฒนาการของเด็กเมอื่ สิน้ ภาคเรียนหรือสนิ้ ปีการศึกษา ๒) แบ่งตามระดับของการประเมิน การแบง่ ตามระดบั ของการประเมนิ แบ่งไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสงั สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๘๒ ๒.๑) การประเมินพัฒนาการระดับชั้นเรียน เป็นการประเมินพัฒนาการที่อยู่ในกระบวนการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการเพื่อพัฒนาเด็กและตัดสินผลการพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา จากกิจกรรมหลัก/หน่วยการเรียนรู้(Unit) ที่ผู้สอนจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก ผู้สอนประเมินผลพัฒนาการตามสภาพที่พึงประสงค์และตัวบ่งชี้ที่กำหนดเป็นเป้าหมายในแต่ละแผนการจัด ประสบการณ์ของหน่วยการเรียนรู้ดว้ ยวิธีตา่ งๆ เชน่ การสงั เกต การสนทนา การสมั ภาษณ์ การรวบรวมผลงาน ที่แสดงออกถึงความก้าวหน้า แตล่ ะดา้ นของเดก็ เป็นรายบุคคล การแสดงกรยิ าอาการต่างๆของเด็กตลอดเวลา ที่จัดประสบการณ์เรียนรู้ เพื่อตรวจสอบและประเมินว่าเด็กบรรลุตามสภาพที่พึงประสงค์ละตัวบ่งชี้ หรือมี แนวโน้มว่าจะบรรลุสภาพที่พึงประสงค์และตัวบ่งชี้เพียงใด แล้วแก้ไขข้อบกพร่องเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ี ผู้สอนควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการว่า เด็กมีผลอันเกิดจากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้หรือไม่ และมากน้อยเพียงใด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมหรือสะสมผลการประเมินพัฒนาการในกิจกรรม ประจำวัน/กิจวัตรประจำวัน/หน่วยการเรียนรู้ หรืผลตามรูปแบบการประเมินพัฒนาการท่ีสถานศึกษากำหนด เพอื่ นำมาเปน็ ขอ้ มลู ใชป้ รงั ปรุงการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ และเปน็ ขอ้ มูลในการสรปุ ผลการประเมินพัฒนา ในระดบั สถานศึกษาตอ่ ไปอีกด้วย ๒.๒) การประเมินพัฒนาการระดับสถานศึกษา เป็นการตรวจสอบผลการประเมินพฒั นาการของเด็ก เป็นรายบุคคลเป็นรายภาค/รายปี เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของเด็กในระดับปฐมวัยของ สถานศึกษาว่าส่งผลตามการเรียนรู้ของเด็กตามเป้าหมายหรือไม่ เด็กมีสิ่งที่ต้องการได้รับการพัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำผลการประเมินพัฒนาการของเด็กในระดับสถานศึกษาไปเป็นข้อมูลและสารสนเทศในการ ปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โครงการหรือวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ตลอดจนการจัด แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาตามแผนการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงาน ผลการพัฒนาคุณภาพเด็กต่อผู้ปกครอง นำเสนอคณะกรรมการถานศึกษาขั้นพื้นฐานรับทราบ ตลอดจน เผยแพร่ตอ่ สาธรณชน ชุมชน หรือหน่วยงานต้นสงั กัดหรือหน่วยงานตน้ สงั กดั หน่วยงานทีเ่ กยี่ วขอ้ งต่อไป อน่งึ สำหรับการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยในระดับเขตพืน้ ที่การศึกษาหรือระดับประเทศน้ันหาก เขตพื้นที่การศึกษาใดมีความพร้อม อาจมีการดำเนินงานในลักษณะของการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเดก็ ปฐมวัยเขา้ รับ การประเมินก็ได้ ทั้งนี้ การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยขอให้ถือปฏิบัติตามหลักการการประเมินพัฒนาการ ตามหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ บทบาทหนา้ ทขี่ องผเู้ กยี่ วข้องในการดำเนินงานประเมินพัฒนาการ การดำเนินงานประเมนิ พฒั นาการของสถานศึกษานนั้ ต้องเปิดโอกาสให้ผเู้ ก่ยี วข้องเขา้ มามีสว่ นร่วมใน การประเมินพฒั นาการและร่วมรับผดิ ชอบอย่างเหมาะสมตามบรบิ ทของสถานศึกษาแต่ละขนาด ดงั น้ี ผปู้ ฏบิ ตั ิ บทบาทหน้าท่ใี นการประเมินพฒั นาการ ผ้สู อน ๑. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย และแนวการปฏิบัติการประเมินพัฒนาการ ตามหลกั สตู รสถานศึกษาปฐมวัย ๒. วิเคราะห์และวางแผนการประเมินพัฒนาการที่สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้/ กิจกรรมประจำวนั /กจิ วตั รประจำวนั ๓. จัดประสบการณ์ตามหน่วยการเรียนรู้ ประเมินพัฒนาการ และบันทึกผลการ ประจำวนั /กจิ วัตรประจำวัน ๔. รวบรวมผลการประเมินพัฒนาการ แปลผลและสรุปผลการประเมินเมื่อสิ้นภาค เรียนและสิน้ ปีการศกึ ษา หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนอนบุ าลกระสงั สพป.บรุ รี มั ย์ เขต ๒
๘๓ ผ้ปู ฏบิ ตั ิ บทบาทหน้าทีใ่ นการประเมินพัฒนาการ ผบู้ ริหารสถานศึกษา ๕. สรุปผลการประเมินพัฒนาการระดับชั้นเรียนลงในสมุดบันทึกผลการประเมิน พฒั นาการประจำช้ัน พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ๖. จัดทำสมุดรายงานประจำตัวนักเรยี น ๗. เสนอผลการประเมนิ พฒั นาการต่อผบู้ ริหารสถานศึกษาลงนามอนุมัติ คณะกรรมการ สถานศกึ ษาขั้น ๑.กำหนดผู้รับผิดชอบงานประเมินพัฒนาการตามหลักสูตร และวางแนวทาง พื้นฐาน ปฏิบัตกิ ารประเมินพัฒนาการเดก็ ปฐมวัยตามหลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวัย สำนักงานเขตพน้ื ที่ ๒. นเิ ทศ กำกับ ตดิ ตามใหก้ ารดำเนนิ การประเมินพัฒนาการให้บรรลุเปา้ หมาย การศกึ ษา ๓. นำผลการประเมินพัฒนาการไปจัดทำรายงานผลการดำเนินงานกำหนดนโยบาย และวางแผนพฒั นาการจดั การศกึ ษาปฐมวยั ๑. ให้ความร่วมมือกับผู้สอนในการประเมินพฤติกรรมของเด็กที่สังเกตได้จากที่บ้าน เพือ่ เป็นขอ้ มูลประกอบการแปลผลทเ่ี ที่ยงตรงของผู้สอน ๒. รับทราบผลการประเมนิ ของเด็กและสะท้อนให้ข้อมูลยอ้ นกลับท่ีเป็นประโยชน์ใน การส่งเสรมิ และพัฒนาเดก็ ในปกครองของตนเอง ๓. ร่วมกับผ้สู อนในการจัดประสบการณ์หรือเป็นวิทยากรทอ้ งถน่ิ ๑. ให้ความเห็นชอบและประกาศใช้หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยและแนวปฏิบัติใน การประเมนิ พฒั นาการตามหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ๒. รับทราบผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็กเพื่อการประกนั คุณภาพภายใน ๑. ส่งเสริมการจดั ทำเอกสารหลักฐานว่าดว้ ยการประเมินพัฒนาการของเดก็ ปฐมวยั ของสถานศึกษา ๒. ส่งเสริมให้ผู้สอนในสถานศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในแนวปฏิบัติการประเมิน พัฒนาการตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย ตลอดจนความเข้าใจในเทคนคิ วิธกี ารประเมินพัฒนาการในรูปแบบต่างๆโดยเน้นการ ประเมนิ ตามสภาพจรงิ ๓. ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาพัฒนาเครื่องมือพัฒนาการตามมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยและการจัดเก็บเอกสาร หลักฐานการศกึ ษาอย่างเป็นระบบ ๔. ให้คำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับการประเมินพัฒนาการและการจัดทำเอกสาร หลักฐาน ๕. จัดให้มีการประเมินพัฒนาการเด็กที่ดำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษาหรือ หน่วยงานต้นสงั กัดและใหค้ วามรว่ มมือในการประเมนิ พฒั นาการระดบั ประเทศ แนวปฏิบัตกิ ารประเมินพฒั นาการ การประเมินพัฒนาการเดก็ ปฐมวัยเป็นกิจกรรมทีส่ อดแทรกอยู่ในการจัดประสบการณ์ทกุ ขั้นตอนโดย เริ่มตั้งแต่การประเมินพฤติกรรมของเด็กก่อนการจัดประสบการณ์ การประเมินพฤติกรรมเด็กขณะปฏิบัติกิ จรรม และการประเมินพฤติกรรมเด็กเมื่อสิ้นสุดการปฏิบตั ิกิจกรรม ทั้งนี้ พฤติกรรมการเรียนรู้และพัฒนาการ ด้านต่างๆ ของเด็กที่ได้รับการประเมินนั้น ต้องเป็นไปตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ และ หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๘๔ สภาพที่พึงประสงค์ของหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัยที่ผู้สอนวางแผนและออกแบบไว้ การประเมิน พัฒนาการจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การเรียนรู้ของเด็กบรรลุตามเป้าหมายเพื่อนำผลการประเมินไป ปรับปรุง พัฒนาการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ และใช้เปน็ ขอ้ มลู สำหรับการพัฒนาเด็กต่อไป สถานศึกษาควร มีกระบวนการประเมินพัฒนาการและการจัดการอย่างเป็นระบบสรุปผลการประเมินพัฒนาการที่ตรงตาม ความรู้ ความสามารถ ทักษะและพฤตกิ รรมที่แทจ้ ริงของเด็กสอดคล้องตามหลักการประเมินพฒั นาการ รวมทั้ง สะท้อนการดำเนินงานการประกนั คุณภาพภายในของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง แนวปฏิบัติการ ประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัยของสถานศกึ ษา มดี งั น้ี ๑. หลักการสำคัญของการดำเนินการประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษ าปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สถานศึกษาที่จัดการศึกษาปฐมวัยควรคำนึงถึงหลักสำคัญของการดำเนินงานการประเมินพัฒนาการ ตามหลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย สำหรบั เด็กปฐมวัยอายุ ๓-๖ ปี ดงั นี้ ๑.๑ ผสู้ อนเปน็ ผู้รบั ผดิ ชอบการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยเปิดโอกาสให้ผ้ทู ่ีเกี่ยวข้อง มสี ่วนรว่ ม ๑.๒ การประเมินพัฒนาการ มีจุดมุ่งหมายของการประเมินเพื่อพัฒนาความก้าวหน้าของเด็กและ สรปุ ผลการประเมินพัฒนาการของเดก็ ๑.๓ การประเมินพัฒนาการต้องมีความสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตวั บง่ ชี้ สภาพที่พงึ ประสงคแ์ ต่ละวัยซึ่งกำหนดไวใ้ นหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย ๑.๔ การประเมินพัฒนาการเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตอ้ งดำเนนิ การ ด้วยเทคนิควิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถประเมินพัฒนาการเด็กได้อย่างรอบด้านสมดุลทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้งระดับอายุของเด็ก โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเที่ยงตรง ยุติธรรมและเชอ่ื ถอื ได้ ๑.๕ การประเมินพัฒนาการพิจารณาจากพัฒนาการตามวัยของเด็ก การสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ และการร่วมกิจกรรม ควบคู่ไปในกระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ อายุ และรูปแบบการจัดการศึกษา และตอ้ งดำเนนิ การประเมินอยา่ งตอ่ เนื่อง ๑.๖ การประเมินพฒั นาการต้องเปดิ โอกาสให้ผู้มสี ่วนเก่ียวขอ้ งทุกฝ่ายได้สะท้อนและตรวจสอบผลการ ประเมนิ พฒั นาการ ๑.๗ สถานศึกษาควรจัดทำเอกสารบันทึกผลการประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยในระดับชั้นเรียน และระดับสถานศึกษา เช่น แบบบันทึกการประเมินพัฒนาการตามหน่วยการจัดประสบการณ์ สมุดบันทึกผล การประเมินพัฒนาการประจำชั้น เพื่อเป็นหลักฐานการประเมินและรายงานผลพัฒนาการและสมุดรายงาน ประจำตัวนักเรยี น เพือ่ เป็นการสอื่ สารข้อมูลการพัฒนาการเด็กระหวา่ งสถานศึกษากบั บ้าน ๒. ขอบเขตของการประเมนิ พฒั นาการ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กำหนดเป้าหมายคุณภาพของเด็กปฐมวัยเป็น มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ซึ่งถือเป็นคุณภาพลักษณะที่พึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นตวั เด็กเมื่อจบ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย คุณลักษณะที่ระบุไว้ในมาตรฐานคุณลกั ษณะที่พึงประสงคถ์ ือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ เด็กทุกคน ดังนั้น สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดการศึกษาเพ่ือ พัฒนาเด็กให้มีคุณภาพมาตรฐานที่พึงประสงค์กำหนด ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนา หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บรุ รี ัมย์ เขต ๒
๘๕ คุณภาพการศึกษาปฐมวัย แนวคิดดังกล่าวอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาอย่างมีคุณภาพ และเท่าเทยี มได้ ขอบเขตของการประเมนิ พฒั นาการประกอบดว้ ย ๒.๑ สิง่ ท่ีจะประเมนิ ๒.๒ วิธแี ละเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการประเมิน ๒.๓ เกณฑก์ ารประเมนิ พัฒนาการ ๒.๑ สิง่ ทีจ่ ะประเมิน การประเมินพัฒนาการสำหรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี มีเป้าหมายสำคัญคือ มาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงคจ์ ำนวน ๑๒ ข้อ ดงั นี้ ๑. พฒั นาการด้านรา่ งกาย ประกอบดว้ ย ๒ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๑ รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวยั และมีสุขนิสยั ทดี่ ี มาตรฐานที่ ๒ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สมั พนั ธ์กนั ๒. พฒั นาการด้านอารมณ์ จติ ใจ ประกอบด้วย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๓ มสี ุขภาพจติ ดแี ละมคี วามสขุ มาตรฐานที่ ๔ ชน่ื ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคล่อื นไหว มาตรฐานที่ ๕ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และมจี ิตใจทดี่ ีงาม ๓. พฒั นาการด้านสังคม ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๖ มที ักษะชวี ติ และปฏบิ ัตติ นตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มาตรฐานที่ ๗ รกั ธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทย มาตรฐานที่ ๘ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมใน ระบอบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ ๔. พัฒนาการดา้ นสติปัญญา ประกอบดว้ ย ๔ มาตรฐาน คอื มาตรฐานที่ ๙ ใชภ้ าษาส่ือสารไดเ้ หมาะสมกบั วัย มาตรฐานที่ ๑๐ มคี วามสามารถในการคดิ ทเ่ี ปน็ พื้นฐานในการเรียนรู้ มาตรฐานท่ี ๑๑ มีจนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์ มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้ เหมาะสมกบั วยั ส่งิ ที่จะประเมนิ พฒั นาการของเด็กปฐมวยั แตล่ ะดา้ น มีดังน้ี ด้านร่างกาย ประกอบดว้ ย การประเมนิ การมีน้ำหนกั และส่วนสูงตามเกณฑ์ สุขภาพอนามัย สขุ นิสัยท่ี ดี การรู้จักรักษาความปลอดภัย การเคลื่อนไหวและการทรงตัว การเล่นและการออกกำลังกาย และการใช้มือ อย่างคลอ่ งแคล่วประสานสมั พนั ธ์กัน ด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการแสดงออกทางอารมณ์อย่าง เหมาะสมกับวัยและสถานการณ์ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความรู้สึกเห็นอกเหน็ ใจผู้อืน่ ความสนใจ/ ความสามารถ/และมีความสุขในการทำงานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ความรับผิดชอบในการทำงาน ความซื่อสัตย์สุจริตและรูส้ ึกถูกผิด ความเมตตากรุณา มีน้ำใจและช่วยเหลือแบ่งปัน ตลอดจนการประหยัดอด ออม และพอเพียง ด้านสังคม ประกอบด้วย การประเมินความมวี ินัยในตนเอง การช่วยเหลอื ตนเองในการปฏิบัติกิจวตั ร ประจำวัน การระวังภัยจากคนแปลกหน้า และสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย การดูแลรักษาธรรมชาติและ หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บุรรี ัมย์ เขต ๒
๘๖ สิ่งแวดล้อม การมีสัมมาคารวะและมารยาทตามวัฒนธรรมไทย รักษาความเป็นไทย การยอมรับความเหมือน และความแตกต่างระหว่างบุคคล การมีสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น การปฏิบัติตนเบื้องต้นในการเป็นสมาชิกที่ดีของ สงั คมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข ด้านสติปัญญา ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการสนทนาโต้ตอบและเล่าเรื่องให้ผู้อ่ืน เขา้ ใจ ความสามารถในการอ่าน เขียนภาพและสัญลักษณ์ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา คดิ เชงิ เหตุผล คิด รวบยอด การเล่น/การทำงานศิลปะ/การแสดงทา่ ทาง/เคลือ่ นไหวตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของ ตนเอง การมเี จตคตทิ ีด่ ตี ่อการเรียนรู้และความสามารถในการแสวงหาความรู้ ๒.๒ วธิ ีการและเครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการประเมินพฒั นาการ การประเมินพฒั นาการเด็กแตล่ ะครั้งควรใช้วิธีการประเมนิ อย่างหลากหลายเพ่ือให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ ท่ีสุด วธิ กี ารท่เี หมาะสมและนยิ มใช้ในการประเมินเด็กปฐมวยั มีด้วยกนั หลายวิธี ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. การสังเกตและการบันทึก การสังเกตมีอยู่ ๒ แบบคือ การสังเกตอย่างมีระบบ ได้แก่ การสังเกต อย่างมจุดมุ่งหมายที่แน่นอนตามแผนที่วางไว้ และอีกแบบหนึ่งคือ การสังเกตแบบไม่เป็นทางการ เป็นการ สังเกตในขณะที่เด็กทำกิจกรรมประจำวนั และเกิดพฤตกิ รรมที่ไม่คาดคิดว่าจะเกดิ ขึน้ และผสู้ อนจดบันทึกไว้การ สงั เกตเป็นวิธีการท่ีผสู้ อนใชใ้ นการศกึ ษาพัฒนาการของเด็ก เมอ่ื มีการสงั เกตก็ตอ้ งมีการบนั ทึก ผูส้ อนควรทราบ ว่าจะบนั ทกึ อะไรการบนั ทึกพฤติกรรมมีความสำคัญอย่างย่ิงท่ีต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเด็กเจริญเติบโต และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องนำมาบันทึกเป็นหลักฐานไว้อย่างชัดเจน การสังเกตและการบันทึก พฒั นาการเดก็ สามารถใชแ้ บบง่ายๆคือ ๑.๑ แบบบันทึกพฤติกรรม ใช้บันทึกเหตุการณ์เฉพาะอย่างโดยบรรยายพฤติกรรมเด็ก ผู้บันทึก ตอ้ งบันทึกวนั เดอื น ปีเกิดของเดก็ และวนั เดือน ปี ทที่ ำการบนั ทกึ แตล่ ะครง้ั ๑.๒ การบนั ทกึ รายวัน เป็นการบันทึกเหตุการณ์หรือประสบการณ์หรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นใน ชั้นเรียนทุกวัน ถ้าหากบันทึกในรูปแบบของการบรรยายก็มักจะเน้นเฉพาะเด็กรายที่ต้องการศึกษา ข้อดีของ การบนั ทกึ รายวันคือ การช้ใี ห้เห็นความสามารถเฉพาะอยา่ งของเด็ก จะช่วยกระตนุ้ ใหผ้ ู้สอนได้พิจารณาปัญหา ของเด็กเป็นรายบุคคลชว่ ยใหผ้ เู้ ชียวชาญมขี ้อมูลมากข้ึนสำหรับวินิจฉัยเด็กว่าสมควรจะได้รับคำปรึกษาเพื่อลด ปัญหาและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังช่วยชี้ให้เห็นข้อเสียของการจัดกิจกรรม และประสบการณไ์ ดเ้ ป็นอย่างดี ๑.๓ แบบสำรวจรายการ ชว่ ยใหส้ ามารถวิเคราะหเ์ ด็กแต่ละคนได้ค่อนขา้ งละเอียด ๒. การสนทนา สามารถใชก้ ารสนทนาได้ทง้ั เป็นกลุ่มหรอื รายบุคคล เพอื่ ประเมินความสามารถในการ แสดงความคดิ เห็น และพัฒนาการดา้ นภาษาของเด็กและบนั ทึกผลการสนทนาลงในแบบบันทึกพฤติกรรมหรือ บนั ทึกรายวนั ๓. การสัมภาษณ์ ด้วยวิธีพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคลและควรจัดในสภาวะแวดล้อมเหมาะสมเพื่อ ไม่ให้เกดิ ความเครยี ดและวิตกกงั วล ผสู้ อนควรใชค้ ำถามที่เหมาะสมเปดิ โอกาสให้เดก็ ได้คดิ และตอบอย่างอิสระ จะทำให้ผู้สอนสามารถประเมินความสามารถทางสติปัญญาของเด็กแต่ละคนและค้นพบศักยภาพในตัวเด็กได้ โดยบนั ทกึ ขอ้ มลู ลงในแบบสัมภาษณ์ การเตรียมการก่อนการสมั ภาษณ์ ผู้สอนควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี - กำหนดวตั ถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ - กำหนดคำพดู /คำถามท่จี ะพูดกับเดก็ ควรเปน็ คำถามทเ่ี ด็กสามารถตอบโตห้ ลากหลาย ไม่ผิด/ถกู หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนบุ าลกระสงั สพป.บรุ รี มั ย์ เขต ๒
๘๗ การปฏบิ ัติขณะสมั ภาษณ์ - ผู้สอนควรสรา้ งความคนุ้ เคยเปน็ กันเอง - ผู้สอนควรสรา้ งสภาพแวดล้อมทอ่ี บอุ่นไม่เครง่ เครียด - ผสู้ อนควรเปดิ โอกาสเวลาให้เด็กมโี อกาสคิดและตอบคำถามอย่างอสิ ระ - ระยะเวลาสัมภาษณไ์ มค่ วรเกนิ ๑๐-๒๐ นาที ๔. การรวบรวมผลงานที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าแต่ละด้านของเด็กเป็นรายบุคคล โดยจัดเก็บ รวบรวมไว้ในแฟ้มผลงาน (portfolio) ซึ่งเป็นวิธีรวบรวมและจัดระบบข้อมูลต่างๆท่ีเกี่ยวกับตัวเด็กโดยใช้ เครื่องมือต่างๆรวบรวมเอาไว้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน แสดงการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการแต่ละด้าน นอกจากนี้ยังรวมเครื่องมืออื่นๆ เช่น แบบสอบถามผู้ปกครอง แบบสังเกตพฤติกรรม แบบบันทึกสุขภาพ อนามัย ฯลฯ เอาไว้ในแฟ้มผลงาน เพื่อผู้สอนจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กอย่างชัดเจนและถูกต้อง การเก็บ ผลงานของเด็กจะไม่ถือว่าเปน็ การประเมนิ ผลถ้างานแต่ละช้ินถูกรวบรวมไวโ้ ดยไม่ได้รับการประเมินจากผู้สอน และไม่มีการนำผลมาปรับปรุงพัฒนาเด็กหรือปรับปรุงการสอนของผู้สอน ดังนั้นจึงเป็นแต่การสะสมผลงาน เทา่ นน้ั เชน่ แฟ้มผลงานขีดเขียน งานศลิ ปะ จะเป็นเพยี งแคแ่ ฟ้มผลงานท่ีไม่มีการประเมนิ แฟ้มผลงานน้ีจะเป็น เครื่องมือการประเมินต่อเนื่องเมื่องานที่สะสมแต่ละชิ้นถูกใช้ในการบ่งบอกความก้าวหน้า ความต้องการของ เด็ก และเปน็ การเกบ็ สะสมอย่างตอ่ เน่ืองทส่ี รา้ งสรรค์โดยผสู้ อนและเด็ก ผู้สอนสามารถใช้แฟ้มผลงานอย่างมคี ุณค่าส่ือสารกับผปู้ กครองเพราะการเก็บผลงานเด็กอย่างต่อเน่ือง และสม่ำเสมอในแฟ้มผลงานเป็นข้อมูลให้ผู้ปกครองสามารถเปรียบเทียบความก้าวหน้าที่ลูกของตนมีเพิ่มขึ้น จากผลงานชิ้นแรกกับชิ้นต่อๆมาข้อมูลในแฟ้มผลงานประกอบด้วย ตัวอย่างผลงานการเขียดเขียน การอ่าน และข้อมลู บางประการของเด็กทผ่ี สู้ อนเปน็ ผู้บันทกึ เชน่ จำนวนเลม่ ของหนงั สือทีเ่ ด็กอา่ น ความถ่ีของการเลือก อ่านที่มุมหนังสือในช่วงเวลาเลือกเสรี การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ ทัศนคติ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะสะท้อนภาพ ของความงอก งามในเดก็ แต่ละคนไดช้ ัดเจนกว่าการประเมินโดยการใหเ้ กรด ผูส้ อนจะตอ้ งชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบถึงท่ีมาของ การเลือกชิ้นงานแต่ละชิ้นงานที่สะสมในแฟ้มผลงาน เช่น เป็นชิ้นงานที่ดีที่สุดในช่วงระยะเวลาที่เลือกชิ้นงาน นั้น เป็นชิ้นงานที่แสดงความต่อเนื่องของงานโครงการ ฯลฯ ผู้สอนควรเชิญผู้ปกครองมามีส่วนร่วมในการคั ด สรรชนิ้ งานท่ีบรรจุลงในแฟม้ ผลงานของเดก็ ๕. การประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก ตัวชี้ของการเจริญเติบโตในเด็กที่ใช้ทั่วๆไป ได้แก่ น้ำหนัก ส่วนสงู เสน้ รอบศรี ษะ ฟัน และการเจรญิ เตบิ โตของกระดูก แนวทางประเมนิ การเจรญิ เตบิ โต มดี งั น้ี ๕.๑ การประเมินการเจริญเติบโต โดยการชง่ั นำ้ หนักและวัดสว่ นสงู เด็กแล้วนำไปเปรยี บเทียบ กับเกณฑ์ปกติในกราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์อายุกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งใช้สำหรับติดตามการเจริญเตบิ โต โดยรวม วธิ ีการใช้กราฟมีขั้นตอน ดังนี้ เมื่อชั่งน้ำหนักเด็กแล้ว นำน้ำหนักมาจุดเครื่องหมายกากบาทลงบนกราฟ และอ่านการเจริญเติบโต ของเด็ก โดยดเู คร่ืองหมายกากบาทวา่ อยู่ในแถบสีใด อา่ นขอ้ ความบนแถบสีน้นั ซึง่ แบ่งภาวะโภชนาการเป็น ๓ กลุ่มคือ น้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักมากเกนเกณฑ์ น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ข้อควรระวังสำหรับ ผู้ปกครองและผู้สอนคือ ควรดูแลน้ำหนักเด็กอย่างให้แบ่งเบนออกจากเส้นประเมินมิเช่นนั้นเด็กมีโอกาส น้ำหนกั มากเกินเกณฑห์ รอื น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑไ์ ด้ ขอ้ ควรคำนงึ ในการประเมินการเจรญิ เตบิ โตของเด็ก หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บรุ รี ัมย์ เขต ๒
๘๘ -เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านการเจริญเติบโต บางคนรูปร่างอ้วน บางคนช่วงครึ่ง หลังของขวบปีแรก น้ำหนกั เดก็ จะข้นึ ช้า เนือ่ งจากหว่ งเลน่ มากขน้ึ และความอยากอาหารลดลงร่างใหญ่ บางคน ร่างเล็ก -ภาวะโภชนาการเปน็ ตัวสำคัญทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับขนาดของรปู รา่ ง แตไ่ ม่ใช่สาเหตเุ ดยี ว -กรรมพันธุ์ เด็กอาจมีรูปร่างเหมือนพ่อแม่คนใดคนหนึ่ง ถ้าพ่อหรือแม่เตี้ย ลูกอาจเตี้ยและ พวกนอี้ าจมนี ้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เฉลยี่ ไดแ้ ละมกั จะเปน็ เด็กที่ทานอาหารไดน้ ้อย ๕.๒ การตรวจสุขภาพอนามัย เป็นตัวชวี้ ัดคณุ ภาพของเด็ก โดยพิจารณาความสะอาดสิ่งปกติ ขอร่างกายที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการเจรญิ เติบโตของเด็ก ซึ่งจะประเมินสุขภาพอนามัย ๙ รายการ คือ ผมและศีรษะ หูและใบหู มือและเล็บมือ เท้าและเล็บเท้า ปาก ลิ้นและฟัน จมูก ตา ผิวหนังและใบหน้า และเส้อื ผ้า ๒.๓ เกณฑก์ ารประเมนิ พฒั นาการ การสรา้ งเกณฑห์ รือพัฒนาเกณฑ์หรือกำหนดเกณฑ์การประเมินพฒั นาการของเด็กปฐมวัย ผู้สอนควร ให้ความสนใจในสว่ นทเ่ี กย่ี วข้อ ดังนี้ ๑. การวางแผนการสังเกตพฤติกรรมของเด็กอย่างเป็นระบบ เช่น จะสังเกตเด็กคนใดบ้างในแต่ละวนั กำหนดพฤติกรรมที่สังเกตให้ชัดเจน จัดทำตารางกำหนดการสังเกตเด็กเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม ผู้สอนต้อง เลือกสรรพฤติกรรมทีต่ รงกับระดบั พัฒนาการของเด็กคนนั้นจรงิ ๆ ๒. ในกรณีที่ห้องเรียนมีนักเรียนจำนวนมาก ผู้สอนอาจเลือกสังเกตเฉพาะเด็กที่ทำได้ดแี ล้วและเด็กท่ี ยังทำไม่ได้ สว่ นเดก็ ปานกลางให้ถอื วา่ ทำไดไ้ ปตามกิจกรรม ๓. ผู้สอนต้องสังเกตจากพฤติกรรม คำพูด การปฏิบัติตามขั้นตอนในระหว่างทำงาน/กิจกรรม และ คุณภาพของผลงาน/ชิ้นงาน ร่องรอยท่ีนำมาใชพ้ จิ ารณาตัดสินผลของการทำงานหรอื การปฏิบัติ ตัวอยา่ งเชน่ ๑) เวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรม/ทำงาน ถ้าเด็กไม่ชอบ ไม่ชำนาญจะใช้เวลามาก มีท่าทาง อดิ ออด ไมก่ ล้า ไม่เต็มใจทำงาน ๒) ความต่อเนอื่ ง ถ้าเด็กยังมีการหยุดชะงกั ลงั เล ทำงานไมต่ ่อเนื่อง แสดงว่าเด็กยังไมช่ ำนาญ หรือยังไม่พรอ้ ม ๓) ความสัมพนั ธ์ ถา้ การทำงาน/ปฏิบตั ิน้นั ๆมคี วามสัมพนั ธ์ต่อเน่ือง ไมร่ าบรื่น ทา่ ทางมือและ เทา้ ไมส่ ัมพันธ์กนั แสดงว่าเดก็ ยงั ไม่ชำนาญหรอื ยงั ไม่พร้อม ทา่ ทแ่ี สดงออกจึงไมส่ งา่ งาม ๔) ความภมู ิใจ ถ้าเด็กยังไม่ชื่นชม กจ็ ะทำงานเพียงให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ไม่มีความภูมิใจ ในการทำงาน ผลงานจงึ ไมป่ ระณีต หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนุบาลกระสงั สพป.บรุ ีรัมย์ เขต ๒
๘๙ ๒.๓.๑ ระดับคุณภาพผลการประเมนิ พัฒนาการเดก็ การใหร้ ะดับคุณภาพผลการประเมินพัฒนาการของเด็กทั้งในระดับช้ันเรียนและระดับสถานศึกษาควร กำหนดในทิศทางหรือรูปแบบเดียวกัน สถานศกึ ษาสามารถให้ระดับคุณภาพผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็ก ที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ หรือพฤติกรรมที่จะประเมิน เป็น ระบบตวั เลข เช่น ๑ หรอื ๒ หรือ ๓ หรอื เปน็ ระบบทใี่ ช้คำสำคัญ เชน่ พอใช้ ควรสง่ เสรมิ ตามทสี่ ถานศกึ ษา กำหนด ตวั อยา่ งเช่น ระบบตวั เลข ระบบทีใ่ ช้คำสำคญั ๓ ดี ๒ พอใช้ ๑ ควรสง่ เสรมิ สถานศกึ ษาอาจกำหนดระดบั คุณภาพของการแสดงออกในพฤติกรรม เปน็ ๓ ระดับ ดงั นี้ ระดบั คุณภาพ ระบบทใี่ ช้คำสำคญั ๑ หรือ ควรส่งเสริม เด็กมีความลังเล ไม่แน่ใจ ไม่ยอมปฏิบัติกิจกรรม ทั้งนี้ เนื่องจากเด็กยังไม่ พร้อม ยังมั่นใจ และกลัวไม่ปลอดภัย ผู้สอนต้องยั่วยุหรือแสดง ให้เห็นเป็นตัวอย่างหรือต้องคอยอยู่ใกล้ๆ ค่อยๆให้เด็กทำทีละขั้นตอน พร้อม ตอ้ งใหก้ ำลงั ใจ ๒ หรอื พอใช้ เดก็ แสดงได้เอง แตย่ ังไม่คล่อง เดก็ กล้าทำมากข้ึนผู้สอนกระตนุ้ น้อยลง ผู้สอน ต้องคอยแก้ไขในบางคร้งั หรอื คอยให้กำลังใจให้เดก็ ฝึกปฏิบัติมากขนึ้ ๓ หรือ ดี เดก็ แสดงได้อย่างชำนาญ คล่องแคลว่ และภูมใิ จ เดก็ จะแสดงไดเ้ องโดยไม่ต้อง กระต้นุ มคี วามสัมพันธท์ ี่ดี ตัวอย่างคำอธบิ ายคุณภาพ พัฒนาการดา้ นร่างกาย : สุขภาพอนามัย พัฒนาการด้านรา่ งกาย : กระโดดเท้าเดยี ว ระดับคุณภาพ คำอธิบายคุณภาพ ระดบั คุณภาพ คำอธิบายคุณภาพ ๑ หรอื ควรสง่ เสริม ส่งเสริมความสะอาด ๑ หรอื ควรสง่ เสริม ทำได้แต่ไม่ถกู ต้อง ๒ หรอื พอใช้ สะอาดพอใช้ ๒ หรอื พอใช้ ทำได้ถกู ต้อง แต่ไมค่ ล่องแคล่ว ๓ หรอื ดี สะอาด ๓ หรอื ดี ทำได้ถูกต้อง และคลอ่ งแคลว่ พัฒนาการดา้ นอารมณ์ : ประหยดั ระดับคุณภาพ คำอธิบายคุณภาพ ๑ หรือ ควรสง่ เสริม ใชส้ ิ่งของเครือ่ งใชเ้ กนิ ความจำเปน็ ๒ หรือ พอใช้ ใช้สงิ่ ของเคร่ืองใช้อยา่ งประหยดั เป็นบางคร้งั ๓ หรือ ดี ใช้ส่งิ ของเครื่องใช้อยา่ งประหยัดตามความจำเปน็ ทุกครัง้ ด้านสังคม : ปฏบิ ัติตามข้อตกลง ระดับคุณภาพ คำอธิบายคุณภาพ ๑ หรือ ควรสง่ เสรมิ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง ๒ หรอื พอใช้ ปฏบิ ัติตามข้อตกลง โดยมีผ้ชู ้ีนำหรือกระตุ้น ๓ หรือ ดี ปฏบิ ัตติ ามข้อตกลงไดด้ ว้ ยตนเอง หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนุบาลกระสัง สพป.บุรรี มั ย์ เขต ๒
๙๐ พัฒนาการด้านสติปญั ญา : เขียนชอื่ ตนเองตามแบบ ระดับคุณภาพ คำอธบิ ายคุณภาพ ๑ หรือ ควรส่งเสริม เขียนชอ่ื ตนเองไมไ่ ด้ หรือเขียนเปน็ สญั ลักษณ์ที่ไม่เป็นตัวอักษร ๒ หรือ พอใช้ เขยี นชื่อตนเองได้ มอี ักษรบางตัวกลับหวั กลับดา้ นหรือสลบั ท่ี ๓ หรือ ดี เขยี นชื่อเองได้ ตวั อักษรไม่กลบั หวั ไมก่ ลับดา้ นไมส่ ลบั ที่ ๒.๓.๒ การสรุปผลการประเมนิ พฒั นาการเด็ก หลักสตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ กำหนดเวลาเรยี นสำหรับเด็กปฐมวยั ตอ่ ปกี ารศึกษาไม่ น้อยกว่า ๑๘๐ วัน สถานศึกษาจึงควรบริหารจัดการเวลาที่ได้รับนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเด็ก อย่างรอบด้านและสมดุล ผู้สอนควรมีเวลาในการพัฒนาเด็กและเติมเต็มศักยภาพของแด็ก เพื่อให้การจัด ประสบการณ์การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องตรวจสอบพฤติกรรมที่แสดงพัฒนาการของเด็กต่อเนื่องมี การประเมินซ้ำพฤติกรรมนั้นๆอย่างน้อย ๑ ครั้งต่อภาคเรียน เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นของผลการประเมิน พฤติกรรมนั้นๆ และนำผลไปเป็นข้อมูลในการสรุปการประเมินสภาพที่พึงประสงค์ของเด็กในแต่ละสภาพที่พึง ประสงค์ นำไปสรปุ การประเมินตัวบง่ ช้ีและมาตรฐานคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ตามลำดับ อนึ่ง การสรปุ ระดับคุณภาพของการประเมินพฒั นาการเด็ก วธิ ีการทางสถติ ิที่เหมาะสมและสะดวกไม่ ยุ่งยากสำหรับผู้สอน คือการใช้ฐานนิยม (Mode) ในบางครั้งพฤติกรรม หรือสภาพที่พึงประสงค์หรือตัวบ่งชี้ นิยมมากว่า ๑ ฐานนิยม ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา กล่าวคือ เมื่อมีระดับคุณภาพซ้ำมากกว่า ๑ ระดับ สถานศึกษาอาจตัดสินสรุปผลการประเมินพัฒนาการบนพื้นฐาน หลักพัฒนาการและการเตรียมความพร้อม หากเป็นภาคเรียนท่ี ๑ สถานศึกษาควรเลือกตัดสินใจใช้ฐานนิยมที่มีระดับคุณภาพต่ำกว่าเพื่อใช้เป็นข้อมูลใน การพัฒนาเด็กให้พร้อมมากขึ้น หากเป็นภาคเรียนที่ ๒ สถานศึกษาควรเลือกตัดสินใจใช้ฐานนิยมที่มีระดับ คณุ ภาพสูงกวา่ เพอ่ื ตดั สินและการส่งต่อเด็กในระดบั ชั้นทส่ี ูงข้ึน ๒.๓.๓ การเลือ่ นช้ันอนุบาลและเกณฑก์ ารจบการศึกษาระดับปฐมวัย เมื่อสิ้นปีการศึกษา เด็กจะได้รับการเล่ือนชั้นโดยเดก็ ตอ้ งได้รับการประเมินมาตรฐานคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อ ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อเป็นข้อมูลในการส่งต่อยอดการพัฒนาให้กับเด็กใน ระดับสูงขึ้นต่อไป และเนื่องจากการศึกษาระดับอนุบาลเป็นการจัดการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐานที่ไม่นบั เป็นการศึกษา ภาคบังคับ จึงไม่มีการกำหนดเกณฑ์การจบช้ันอนบุ าล การเทียบโนการเรยี น และเกณฑก์ ารเรียน ซ้ำชั้น และหากเด็กมีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการ เพอื่ พจิ ารณาปัญหา และประสานกบั หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในการใหค้ วามช่วยเหลือ เชน่ เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข สง่ เสรมิ ตำบล นกั จติ วิทยา ฯลฯ เข้ารว่ มดำเนินงานแก้ปญั หาได้ อย่างไรก็ตาม ทักษะที่นำไปสู่ความพร้อมในการเรียนรู้ที่สามารถใช้เป็นรอยเชื่อมต่อระหว่างช้ั น อนบุ าลกับชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ทคี่ วรพิจารณามีทกั ษะดังน้ี ๑. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง ได้แก่ ใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมได้ด้วยตนเอง แต่งกายได้เอง เก็บของเข้าท่ี เมือ่ เลน่ เสรจ็ และช่วยทำความสะอาด รูจ้ ักร้องขอใหช้ ว่ ยเมื่อจำเป็น ๒. ทักษะการใช้กลา้ มเนือ้ ใหญ่ ได้แก่ วิ่งได้อย่างราบรื่น วิ่งก้าวกระโดดได้ กระด้วยสองขาพ้นจากพื้น ถือจบั ขว้าง กระดอนลกู บอลได้ หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บรุ ีรมั ย์ เขต ๒
๙๑ ๓. ทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก ได้แก่ ใช้มือหยิบจับอุปกรณ์วาดภาพและเขียน วาดภาพคนมีแขน ขา และสว่ นต่างๆของรา่ งกาย ตัดตามรอยเสน้ และรูปต่างๆ เขียนตามแบบอยา่ งได้ ๔. ทักษะภาษาการรู้หนังสือ ไดแ้ ก่ พดู ใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจได้ ฟังและปฏิบตั ิตามคำชี้แจงงง่ายๆ ฟังเรื่องราว และคำคล้องจองต่างๆอย่างสนใจ เข้าร่วมฟังสนทนาอภิปรายในเรื่องต่างๆ รู้จักผลัดกันพูดโต้ตอบ เล่าเรื่อง และทบทวนเรื่องราวหรือประสบการณ์ต่างๆ ตามลำดับเหตุการณ์เล่าเรื่องจากหนังสือภาพอย่างเป็นเหตุเป็น ผล อ่านหรือจดจำคำบางคำทีม่ ีความหมายต่อตนเอง เขียนชื่อตนเองได้ เขยี นคำท่มี คี วามหมายต่อตนเอง ๕. ทักษะการคิด ไดแ้ ก่ แลกเปลี่ยนความคิดและให้เหตผุ ลได้ จดจำภาพและวัสดุท่ีเหมือนและต่างกัน ได้ ใช้คำใหม่ๆในการแสดงความคิด ความรู้สึก ถามและตอบคำถามเกี่ยวกับเร่ืองท่ีฟังเปรียบเทยี บจำนวนของ วัตถุ ๒ กล่มุ โดยใช้คำ “มากกวา่ ” “นอ้ ยกว่า” “เท่ากนั ” อธิบายเหตกุ ารณ์/เวลา ตามลำดับอย่างถกู ต้อง ร้จู ัก เชอื่ มโยงเวลากบั กจิ วตั รประจำวนั ๖. ทักษะทางสังคมและอารมณ์ ได้แก่ ปรบั ตวั ตามสภาพการณ์ ใชค้ ำพดู เพอื่ แก้ไขข้อขัดแย้งนั่งได้นาน ๕-๑๐ นาที เพื่อฟังเรื่องราวหรือทำกิจกรรม ทำงานจนสำเร็จ ร่วมมือกับคนอื่นและรู้จักผลัดกันเล่น ควบคุม อารมณ์ตนเองได้เมื่อกังวลหรือตืน่ เต้น หยุดเล่นและทำในสิ่งท่ีผู้ใหญ่ต้องการให้ทำได้ ภูมิใจในความสำเร็จของ ตนเอง ๓. การรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการ การรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการเปน็ การส่ือสารให้พ่อแม่ ผู้ปกครองไดร้ บั ทราบความก้าวหน้าใน การเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินพัฒนาการ และจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครอง ทราบเป็นระยะๆ หรืออยา่ งน้อยภาคเรียนละ ๑ ครงั้ การรายงานผลการประเมินพัฒนาการสามารถรายงานเป็นระดับคณุ ภาพที่แตกต่างไปตามพฤติกรรม ที่แสดงออกถึงพัฒนาการแต่ละด้าน ที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อ ตามหลักสูตร การศกึ ษาปฐมวยั ๓.๑ จุดม่งุ หมายการรายงานผลการประเมินพัฒนาการ ๑) เพื่อให้ผู้เก่ียวข้อง พ่อ แม่ และผู้ปกครองใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรงุ แก้ไข ส่งเสริม และ พัฒนาการเรียนรขู้ องเดก็ ๒) เพอื่ ใหผ้ ูส้ อนใชเ้ ป็นข้อมลู ในการวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ๓) เพอ่ื เปน็ ข้อมูลสำหรับสถานศึกษา เขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา และหนว่ ยงานต้นสงั กัดใช้ประกอบ ในการกำหนดนโยบายวางแผนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ๓.๒ ข้อมลู ในการรายงานผลการประเมินพฒั นาการ ๓.๒.๑ ข้อมูลระดับชั้นเรียน ประกอบด้วย เวลาเรียนแบบบันทึกการประเมินพัฒนาการ ตามหน่วยการจัดประสบการณ์ สมุดบันทึกผลการประเมินพัฒนาการประจำชั้น และสมุดรายงานประจำตัว นักเรียน และสารนิทัศน์ที่สะท้อนการเรียนรู้ของเด็ก เป็นข้อมูลสำหรับรายงานให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอน และผู้ปกครอง ได้รับทราบความก้าวหน้า ความสำเร็จในการเรียนรู้ของเด็กเ พ่ือ นำไปในการวางแผนกำหนดเปา้ หมายและวธิ กี ารในการพฒั นาเด็ก ๓.๒.๒ ข้อมูลระดับสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการประเมินมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อตามหลักสูตร เพื่อใช้เป็นข้อมูลและสารสนเทศในการพัฒนาการจัดประสบการณก์ ารเรยี น การสอนและคุณภาพของเด็ก ให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์และแจ้งให้ผู้ปกครอง และ หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสงั สพป.บรุ ีรมั ย์ เขต ๒
๙๒ ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูล โดยผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่ละฝ่ายนำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาเด็กให้เกิด พัฒนาการอย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งนำไปจัดทำเอกสารหลักฐานแสดงพฒั นาการของผเู้ รยี น ๓.๒.๓ ข้อมูลระดับเขตพื้นที่การศึกษา ได้แก่ ผลการประเมินมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ท้งั ๑๒ ข้อ ตามหลักสตู รเปน็ รายสถานศกึ ษา เพ่อื เป็นขอ้ มลู ท่ศี กึ ษานเิ ทศก์/ผเู้ ก่ยี วข้องใช้วางแผนและ ดำเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้เกิดการยกระดับ คณุ ภาพเดก็ และมาตรฐานการศึกษา ๓.๓ ลักษณะข้อมลู สำหรบั การรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการ การรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการ สถานศึกษาสามารถเลือกลักษณะข้อมูลสำหรับการรายงานได้ หลายรูปแบบให้เหมาะสมกับวิธีการรายงานและสอดคล้องกับการให้ระดับผลการประเมินพัฒนาการโดย คำนึงถงึ ประสทิ ธิภาพของการรายงานและการนำข้อมลู ไปใช้ประโยชน์ของผู้รายงานแต่ละฝา่ ยลักษณะข้อมูลมี รปู แบบ ดังน้ี ๓.๓.๑ รายงานเป็นตัวเลข หรือคำที่เป็นตัวแทนระดับคุณภาพพัฒนาการของเด็กที่เกิดจาก การประมวลผล สรปุ ตดั สนิ ข้อมลู ผลการประเมนิ พัฒนาการของเดก็ ได้แก่ - ระดับผลการประเมินพัฒนาการมี ๓ ระดับ คอื ๓ ๒ ๑ - ผลการประเมนิ คณุ ภาพ “ดี” “พอใช้” และ “ควรส่งเสริม” ๓.๓.๒ รายงานโดยใช้สถิติ เป็นรายงานจากข้อมูลที่เป็นตัวเลข หรือข้อความให้เป็นภาพ แผนภูมิหรือเส้นพัฒนาการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็กว่าดีขึ้น หรือควรได้รับการ พัฒนาอยา่ งไร เมื่อเวลาเปลยี่ นแปลงไป ๓.๓.๓ รายงานเป็นข้อความ เป็นการบรรยายพฤติกรรมหรอื คุณภาพที่ผู้สอนสังเกตพบ เพ่ือ รายงานให้ทราบวา่ ผูเ้ ก่ียวข้อง พ่อ แม่ และผ้ปู กครองทราบว่าเด็กมีความสามารถ มพี ฤตกิ รรมตามคุณลักษณะ ที่พึงประสงคต์ ามหลกั สตู รอยา่ งไร เช่น - เด็กรับลูกบอลที่กระดอนจากพื้นด้วยมือทั้ง ๒ ข้างได้โดยไม่ใช้ลำตัวช่วยและลูกบอลไม่ตก พ้นื - เด็กแสดงสีหนา้ ทา่ ทางสนใจ และมีความสุขขณะทำงานทุกชว่ งกิจกรรม - เด็กเล่นและทำงานคนเดียวเป็นสว่ นใหญ่ - เดก็ จับหนงั สือไม่กลบั หวั เปดิ และทำท่าทางอา่ นหนงั สือและเล่าเรอ่ื งได้ ๓.๔ เป้าหมายของการรายงาน การดำเนินการจัดการศึกษาปฐมวัย ประกอบด้วย บุคลากรหลายฝ่ายร่วมมือประสานงานกันพัฒนา เด็กทางตรงและทางอ้อม ให้มีพัฒนาการ ทักษะ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคณุ ลักษณะที่ พงึ ประสงค์โดยผ้มู ีสว่ นร่วมเกี่ยวข้องควรได้รับการายงานผลการประเมินพฒั นาการของเด็กเพื่อใช้เป็นข้อมูลใน การดำเนินงาน ดงั น้ี กลมุ่ เปา้ หมาย การใช้ข้อมูล ผูส้ อน -วางแผนและดำเนนิ การปรับปรงุ แกไ้ ขและพัฒนาเด็ก -ปรบั ปรงุ แก้ไขและพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ ผ้บู ริหารสถานศึกษา -สง่ เสริมพฒั นากระบวนการจัดการเรยี นรู้ระดบั ปฐมวัยของสถานศกึ ษา พอ่ แม่ และผปู้ กครอง -รบั ทราบผลการประเมินพัฒนาการของเด็ก หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนบุ าลกระสงั สพป.บุรีรมั ย์ เขต ๒
๙๓ คณะกรรมการ -ปรับปรงุ แกไ้ ขและพฒั นาการเรยี นรูข้ องเด็ก รวมทงั้ การดูแลสุขภาพอนามัย สถานศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน รา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และพฤติกรรมต่างๆของเด็ก -พัฒนาแนวทางการจดั การศึกษาปฐมวยั สถานศกึ ษา สำนกั งานเขตพืน้ ที่ การศึกษา/หนว่ ยงานตน้ -ยกระดบั และพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวัยของสถานศึกษาในเขตพื้นที่ สังกดั การศึกษา นิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผลและให้ความช่วยเหลอื การพฒั นา คณุ ภาพการศึกษาปฐมวยั ของสถานศกึ ษาในสังกัด ๓.๕ วธิ ีการรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการ การรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการให้ผูเ้ กีย่ วขอ้ งรับทราบ สามารถดำเนินการ ไดด้ ังน้ี ๓.๕.๑ การรายงานผลการประเมินพัฒนาการในดอกสารหลักฐานการศึกษา ข้อมูลจาก แบบรายงาน สามารถใช้อา้ งองิ ตรวจสอบ และรับรองผลพัฒนาการของเด็ก เช่น - แบบบันทกึ ผลการประเมินพัฒนาการประจำชัน้ - แฟม้ สะสมงานของเด็กรายบุคคล - สมดุ รายงานประจำตวั นกั เรยี น - สมุดบนั ทึกสขุ ภาพเด็ก ฯลฯ ๓.๕.๒ การรายงานคณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวยั ใหผ้ ู้เก่ยี วขอ้ งทราบ สามารถรายงานไดห้ ลายวธิ ี เชน่ - รายงานคณุ ภาพการศึกษาปฐมวยั ประจำปี - วารสาร/จุลสารของสถานศึกษา -จดหมายสว่ นตวั -การให้คำปรึกษา -การให้พบครูท่ีปรกึ ษาหรือการประชุมเครอื ข่ายผูป้ กครอง - การให้ข้อมลู ทางอินเตอรเ์ นต็ ผา่ นเว็บไซต์ของสถานศึกษา ภารกิจของผู้สอนในการประเมนิ พฒั นาการ การประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพนั้น เกิดขึ้นใน ห้องเรียนและระหว่างการจัดกิจกรรมประจำวันและกิจวัตรประจำวัน ผู้สอนต้องไม่แยกการประเมิน พัฒนาการออกจากการจัดประสบการณ์ตามตารางกิจกรรมประจำวัน ควรมีลักษณะการประเมิน พัฒนาการในชั้นเรียน (Classroom Assessment) ซึ่งหมายถึง กระบวนการและการสังเกต การบันทึกและ รวบรวมข้อมูลจากการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน/กิจกรรมประจำวันตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ผู้สอนควรจัดทำข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นร่องรอยของการ เจริญเติบโตพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย แล้วนำมาวิเคราะห์ ตีความ บันทึกข้อมูลที่ได้จากการ ประเมินพัฒนาการว่าเด็กรู้อะไร สามารถทำอะไรได้ และจะทำต่อไปอย่างไร ด้วยวิธีการและเครื่องมือท่ี หลากหลายทั้งท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งนั้นการดำเนินการดังกล่าวเกิดขน้ึ ตลอดระยะเวลาของการ ปฏบิ ัตกิ จิ วัตรประจำวนั /กิจกรรมประจำวนั และการจัดประสบการณ์เรยี นรู้ หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนอนุบาลกระสงั สพป.บุรีรมั ย์ เขต ๒
๙๔ ดังนนั้ ขอ้ มูลท่ีเกิดจากการประเมินที่มคี ณุ ภาพเทา่ น้ัน จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ตรงตามเป้าหมาย ผู้สอนจำเป็นตอ้ งมีความรคู้ วามเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักการ แนวคิด วิธีดำเนนิ งานในสว่ นต่างๆท่ีเกี่ยวข้องกับ หลักสูตรการจัดประสบการเรยี นรู้ เพ่ือสามารถนำไปใช้ในการวางแผนและออกแบบการประเมินพัฒนาการได้ อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานการประเมินพัฒนาการในชั้นเรียนทีม่ ีความถูกต้อง ยุติธรรม เชื่อถือได้ มีความ สมบูรณ์ ครอบคลุมตามจุดหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สะท้อนผลและสภาพความสำเร็จเมื่อ เปรียบเทยี บกบั เป้าหมายของการดำเนินการจัดการศึกษาปฐมวัย ทงั้ ในระดับนโยบาย ระดบั ปฏิบัติการ และผู้ มสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งต่อไป ๑. ขัน้ ตอนการประเมนิ พัฒนาการเดก็ ปฐมวยั การประเมินพัฒนาการเด็กของผู้สอนระดับปฐมวัยจะมีขั้นตอนสำคัญๆคล้ายคลึงกับการประเมิน การศึกษาทั่วไป ขั้นตอนต่างๆอาจปรับลด หรือเพิ่มได้ตามความเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาและ สอดคล้องกับการจัดประสบการณ์ หรืออาจสลับลำดับก่อนหลังได้บ้าง ขั้นการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยสรุปควรมี ๖ ขน้ั ตอน ดงั นี้ ขน้ั ตอนท่ี ๑ การวิเคราะหม์ าตรฐานคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ ตัวบง่ ชี้ และสภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ตัวบง่ ชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ที่สัมพันธ์กับหน่วยการจัดประสบการณ์ต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินงาน การประเมนิ พัฒนาการอย่างเป็นระบบและครอบคลมุ ทั่วถึง ขั้นตอนที่ ๒ การกำหนดสิ่งที่จะประเมินและวิธีการประเมิน ในขั้นตอนนี้สิ่งที่ผู้สอนต้องทำคือ การ กำหนดการประเด็นการประเมนิ ไดแ้ ก่ สภาพทพ่ี ึงประสงค์ในแตล่ ะวัยของเด็กที่เกิดจากกาจัดประสบการณ์ใน แต่ การจัดประสบการณ์ มากำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ จุดประสงค์ย่อยของ กิจกรรมตามตารางประจำวัน ๖กจิ กรรมหลกั หรือตามรูปแบบการจดั ประสบการณ์ทก่ี ำหนด ผูส้ อนต้อง วางแผนและออกแบบวิธีการประเมินให้เหมาะสมกับกิจกรรม บางครั้งอาจใช้การสังเกตพฤติกรรม การ ประเมินผลงาน/ชิ้นงาน การพูดคุยหรือสัมภาษณ์เด็ก เป็นต้น ทั้งนี้วิธีการที่ผู้สอนเลือกใช้ต้องมีความหมาย หลากหลาย หรอื มากว่า ๒ วธิ ีการ ขั้นตอนที่ ๓ การสร้างเครื่องมือและเกณฑ์การประเมิน ในขั้นตอนนี้ ผู้สอนจะต้องกำหนดเกณฑ์การ ประเมินพัฒนาการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่จะประเมินในขั้นตอนที่ ๒ อาจใช้แนวทางการกำหนดเกณฑ์ท่ี กล่าวมาแล้วข้างต้นในส่วนที่ ๒ เป็นเกณฑ์การประเมินแยกส่วนของแต่ละพฤติกรรมและเกณฑ์สรุปผลการ ประเมิน พร้อมกับจัดทำแบบบันทึกผลการสังเกตพฤติกรรมตามสภาพที่พึงประสงค์ของแต่ละหน่วยการจัด ประสบการณน์ น้ั ๆ ขั้นตอนที่ ๔ การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนออกแบบ/วางแผนและทำการสังเกต พฤติกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม การพูดคุยหรือการสัมภาษณ์เด็ก หรือการประเมินผลงาน/ชิ้นงาน ของเดก็ อยา่ งเปน็ ระบบ เพือ่ รวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็กให้ทวั่ ถงึ ครบทุกคน สอดคล้องและตรงประเด็น การประเมนิ ทีว่ างแผนไวใ้ นขั้นตอนที่ ๔ บันทึกลงในเคร่ืองมือท่ผี ู้สอนพัฒนาหรอื จัดเตรียมไว้ การบันทึกผลการประเมินพัฒนาการตามสภาพที่พึงประสงค์ของแต่ละหน่วยการจัดประสบการณ์น้ัน ผูส้ อนเป็นผู้ประเมินเด็กเป็นรายบคุ คลหรอื รายกลุม่ อาจใหร้ ะดบั คณุ ภาพ ๓ หรอื ๒ หรือ ๑ หรือให้คำสำคัญ ที่เป็นคุณภาพ เช่น ดี พอใช้ และควรส่งเสริม ก็ได้ ทั้งนี้ควรเป็นระบบเดียวกันเพื่อสะดวกในการวิเคราะห์ ข้อมูลและแปลผลการประเมินพัฒนาการเด็ก ในระยะต้นควรเป็นการประเมินเพื่อความก้าวหน้าไม่ควรเป็น การประเมินเพื่อตัดสิ้นพัฒนาการเด็ก หากผลการประเมินพบว่า เด็กอยู่ในระดับ ๑ พฤติกรรมหนึ่งพฤติกรรม หลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนุบาลกระสงั สพป.บุรรี มั ย์ เขต ๒
๙๕ ใดผูส้ อนต้องทำความเข้าใจว่าเด็กคนนน้ั มีพฒั นาการเร็วหรือชา้ ผสู้ อนจะต้องจดั ประสบการณส์ ง่ เสริมในหน่วย การจัดประสบการณ์ต่อไปอย่างไร ดังนั้น การเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการในแต่ละหน่วยการ จัดประสบการณ์ของผู้สอน จึงเป็น การสะสมหรือรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการของเด็ก รายบุคคล หรือรายกลุ่มนั่นเอง เมื่อผู้สอนจัดประสบการณ์ครบทุกหน่วยการจัดประสบการณ์ตามที่วิเคราะห์ สาระการเรียนรรู้ ายปีของแตล่ ะภาคเรยี น ขัน้ ตอนที่ ๕ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และแปลผล ในข้นั ตอนน้ี ผู้สอนท่ีเป็นผ้ปู ระเมิน ควรดำเนนิ ดาร ดงั น้ี ๑) การวิเคราะห์และแปลผลการประเมินพัฒนาการเมื่อสิ้นสุดหน่วยการจัดประสบการณ์ ผู้สอนจะบันทึกผลการประเมินพัฒนาการของเด็กลงในแบบบันทึกผลการสังเกตพฤติกรรมตามสภาพที่พึง ประสงค์ของหน่วยการจดั ประสบการณ์หน่วยที ๑ จนถึงหนว่ ยสดุ ทา้ ยของภาคเรยี น ๒) การวิเคราะห์และแปลผลการประเมินประจำภาคเรียนหรือภาคเรียนที่ ๒ เมื่อสิ้นปี การศึกษา ผู้สอนจะนำผลการประเมินพัฒนาการสะสมที่รวบรวมไว้จากทุกหน่วยการเรียนรู้สรุปลงในสมุด บันทกึ ผลประเมินพัฒนาการประจำชั้น และสรุปผลพฒั นาการรายด้านทัง้ ชั้นเรียน ขั้นตอนที่ ๖ การสรุปรายงานผลและการนำข้อมูลไปใช้ เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนซึ่งเป็นครูประจำชั้นจะ สรุปผลเพื่อตัดสินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยเป็นรายตัวบ่งชี้รายมาตรฐานและพัฒนาการทั้ง ๔ ด้าน เพื่อ นำเสนอผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติการตัดสิน และแจ้งคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมกับครู ประจำชั้นจะจัดทำรายงานผลการประเมินประจำตัวนักเรียน นำข้อมูลไปใช้สรุปผลการประเมินคุณภาพเด็ก ของระบบประกนั คุณภาพภายในของสถานศึกษาเม่ือสิน้ ภาคเรยี นท่ี ๒ หรอื เมื่อสิ้นปกี ารศกึ ษา รายละเอยี ดการดำเนินงานแต่ละขัน้ ตอน มีดงั น้ี ขั้นตอนที่ ๑ การวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ตามหลักสูตรสถานศึกษา โดยนำข้อมูล จากการวิเคราะหก์ ารเรียนรู้รายปีในหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยมาตรวจสอบความถี่ของตัวบ่งช้ี และสภาพท่ี พงึ ประสงค์วา่ เกดิ ขึน้ กบั เด็กตามหน่วยการจัดประสบการณ์เรียนรู้ใดบ้าง ขน้ั ตอนท่ี ๑.๑ การวเิ คราะห์สาระการเรียนรรู้ ายปีของโรงเรยี น ขน้ั ตอนที่ ๑.๒ ตรวจสอบความถ่ีเพื่อตรวจสอบจำนวนครั้งของตวั บ่งช้ี สภาพที่พึงประสงค์ว่าวางแผน ใหเ้ กิดพัฒนาการในหนว่ ยการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ใดบ้างจากหลักสูตรสถานศึกษา ข้นั ตอนที่ ๒ กำหนดสิง่ ท่ปี ระเมินและวิธกี ารประเมนิ โดยกำหนดสภาพทพ่ี งึ ประสงคท์ ี่วิเคราะหไ์ ว้ใน ขนั้ ตอนท่ี ๑.๒ มากำหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้ใู น ๖ กจิ กรรมหลกั ๒.๑ การเขยี นหรือกำหนดจดุ ประสงค์การเรียนของหน่วยการจดั ประสบการณ์ ๒.๒ การวางแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู ขั้นตอนที่ ๓ การสร้างเคร่ืองมือและเกณฑ์การประเมิน ผู้สอนจะต้องกำหนดเกณฑ์การประเมิน พัฒนาการเด็กให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่จะประเมินตามแผนการจัดกิจกรรม พร้อมทำเกณฑ์การประเมิน และสรุปผลการประเมิน พรอ้ มจัดทำแบบบันทกึ ผลหลังสอนประจำหนว่ ยการจดั ประสบการณ์ ขน้ั ตอนที่ ๔ การดำเนินการเป็นการรวบรวมข้อมูล ขัน้ ตอนนี้ ผ้สู อนทท่ี ำหน้าที่เป็นผู้ประเมินโดยการ สังเกตพฤตกิ รรมของเด็กรายบุคคล รายกลุ่ม การพดู คยุ หรือสัมภาษณ์เด็ก หรอื การประเมินผลงานชิ้นงานของ เด็กอย่างเป็นระบบ ไปพร้อมๆกับกิจกรรมให้เด็ก เพื่อรวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็กทุกคน และบันทึกลง แบบบนั ทกึ ผลหลงั สอนประจำหน่วยการจดั ประสบการณ์ ท่ีจัดเตรียมไว้ ขน้ั ตอนท่ี ๕ การวเิ คราะห์ข้อมลู และแปลผลเมื่อสิ้นสดุ หนว่ ยการจัดประสบการณ์ ผูส้ อนจะตรวจสอบ ความครบถ้วน สมบูรณ์ของผลการประเมินในแบบบันทึกผลการประเมินพัฒนาการของเด็กหลังการจัด ประสบการณ์ลงในแบบบันทึกผลหลังการจัดประสบการณ์ประจำหน่วยการจัดประสบการณ์ และเก็บสะสม หลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นอนบุ าลกระสัง สพป.บรุ รี ัมย์ เขต ๒
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133