อปุ กรณไ ฟฟาและอิเลก็ ทรอนกิ ส หนวยที่ 5
จดุ ประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรม นกั เรียนสามารถ............... 1. บอกคุณสมบตั ิของอปุ กรณไ ฟฟาและอิเล็กทรอนิกสได 2. บอกประเภทของอุปกรณไ ฟฟา และอเิ ล็กทรอนิกสได 3. บอกโครงสรา งของอุปกรณไฟฟา และอิเลก็ ทรอนิกสได 4. บอกสัญลกั ษณข องอุปกรณไฟฟาและอิเล็กทรอนิกสได 5. อธิบายการทดสอบอปุ กรณไ ฟฟา และอเิ ล็กทรอนิกสได
เนื้อหาบทเรยี น 1. อปุ กรณไฟฟา 1.1 รีเลย 1.2 แมกนติ ิกคอนแทกเตอร 2. อปุ กรณอ ิเล็กทรอนกิ ส 2.1 ไมโครโฟน 2.2 ลําโพง 3. อุปกรณส ารก่งึ ตัวนํา 3.1 ไดโอด : ซลิ ิกอนไดโอด ซีเนอรไ ดโอด แอลอีดี 3.2 ทรานซสิ เตอร : ซลิ กิ อนทรานซสิ เตอร ทรานซิวเตอรส นามไฟฟา
บทนาํ อุปกรณไ ฟฟา และอเิ ลก็ ทรอนิกส จะสามารถทาํ งานได ถูกตอ งและสมบูรณ จะตอ งถูกประกอบข้ึนมาจากอุปกรณต า งๆ รวมกัน รวมทงั้ อุปกรณส ารกึ่งตัวนํา โดยมกี ารเช่ือมตอ ระบบที่ ถกู ตองแนน อน อปุ กรณไฟฟาและอิเลก็ ทรอนกิ ส มีมากมาย อาทิเชน ไมโครโฟน ลาํ โพง รเี ลย แมกเนติกคอนแทกเตอร รวมทั้ง อุปกรณส ารก่ึงตวั นํา ไดแก ไดโอด ซีเนอรไ ดโอด แอลอดี ี ทรานซิสเตอร และ เฟต
ไมโครโฟน เปนอปุ กรณท ่ที าํ หนาทเ่ี ปลย่ี นพลังงานเสียงจากแหลง กาํ เนิดเสยี งตางๆ เชน เสยี งพูด เสยี งดนตรี เสยี งรอง ใหเ ปน พลงั งานไฟฟา ในรปู สัญญาณไฟฟา เพื่อสงตอสญั ญาณนน้ั ไปบันทกึ เก็บไว หรือขยายสัญญาณใหแรงขึน้ กอ นนําไปใชงาน
ชนิดของไมโครโฟน 6 ชนดิ แบง ตามลักษณะของโครงสรางวัสดุ ไมโครโฟน 1. แบบคารบ อน (Carbon Mic) ทําจากผงถา น คณุ ภาพไมคอ ยดี นิยมใชก ับเครื่องรบั โทรศัพท http://www.247friend.net/blog/stookak/2013/09/27/entry-1
2. แบบครสิ ตลั (Crystal Mic) ใชแ รคริสตลั เปนตัวสน่ั สะเทอื น ทาํ ใหเ กิดพลงั งานไฟฟา ไมโครโฟนชนิดนไ้ี มทนตอ สภาพ ของอณุ หภูมิและความชนื้ ราคาถูก
3. แบบเซรามคิ (Ceramic Mic) คลา ยแบบคริสตลั แตมคี วาม ทนทานสูงกวา นยิ มใชตดิ ตง้ั กับเครอ่ื งยานพาหนะ
4. แบบคอนเดนเซอร (Condenser Mic) ใชค อนเดนเซอร เปน ตัวสรา งความถี่ เพอื่ ทาํ ใหเกดิ สญั ญาณข้ึน แตต อ งอาศยั แบตเตอรี่ เปน ตัวชว ยในการทํางาน คณุ ภาพเสยี งดี เบา เล็ก กระทดั รัด โครงสรา งภายใน ประกอบดว ย แผนโลหะบาง 2 แผน วางขนานใกลก นั มีคณุ สมบตั ิเชน เดียวกับตวั เกบ็ ประจุ วางอยหู นา ไมโครโฟน
แผนโลหะ แผน หนา ทาํ หนา ท่ีเปน แผน ไดอะแฟรม คอยรบั คลื่นเสียงมากระทบ แผน โลหะ ท้งั 2 มขี วั้ ตอ ออก ถกู ตอ รว มกับแหลง จา ยแรงดันไฟตรง ตัง้ แต 1.5V-48V มตี วั ตา นทาน ทําหนา ที่ เปนภาระของวงจร รบั แรงดนั ทจี่ า ยมาตกครอม เม่ือมีเสียงมากระทบ จะทําใหแ ผนไดอะแฟรมสน่ั คอนเดนเซอร เกิดการเปลี่ยนแปลงคาการเกบ็ ประจุ ทําใหเกิด กระแสไหลเปล่ยี นแปลง เกิดแรงดันตกครอมท่ตี ัวตา นทานจา ย มาใชงานเปลี่ยนแปลง
5) แบบไดนามคิ (Dynamic Mic) ใชแมเ หล็กถาวร และ มขี ดลวด (moving coil) เคลอ่ื นไหวไปมาในสนามแมเหล็ก ทาํ ให เกดิ การเหน่ยี วนาํ และเกิดกระแสไฟฟา ไหลในวงจร คุณภาพของเสยี งดี มคี วามคงทน เหมาะที่จะใชงานสาธารณะ
โครงสรา งภายใน ประกอบดวยขดลวดเคล่ือนทใี่ นรปู ทรง กระบอกวางไวลอมรอบแทง แมเ หล็ก มีแผนไดอะแฟรม ยดึ ตดิ กบั ขดลวดเคลอ่ื นที่ วางอยดู า นหนาไมโครโฟน เมอื่ มีเสียงสงมากระทบ จะทาํ ใหแ ผนไดอะแฟรมสัน่ ขดลวดเคลอื่ นที่ตดั ผานสนามแมเ หลก็ เกิดแรงเคลื่อนไฟฟา ชักนาํ ในรูปสญั ญาณเสยี ง เปน แรงดันไฟสลับจายออกไปใชง าน
6) แบบริบบอน (Ribbon Mic) ใชแ ผน อลูมเิ นยี มเบา บางคลา ย กับรบิ บ้ิน จึงตอ งอยรู ะหวางแมเหล็กถาวรกําลังสูง เม่ือคลน่ื เสียงมากระทบกบั แผน อลูมเิ นยี ม จะสน่ั สะเทือนและ เกดิ กระแสไฟฟา ราคาแพง มคี ุณภาพดมี าก มคี วามไวสูง แมแ ตเสยี งหายใจ ลมพดั จะรับเสียงได เหมาะทจี่ ะนาํ ไปใชในหอ งสง วิทยุโทรทศั น- บนั ทกึ เสยี ง
4 ชนดิ แบงตามทศิ ทางของการรับเสยี ง 1. แบบรบั เสยี งไดทศิ ทางเดียว (Uni-Directional Mic) รับเสยี งไดท ศิ ทางเดียว คอื ดานหนา มีมุมรับเสียงคอนขา งแคบ เหมาะทจี่ ะนาํ ไปใชสาํ หรับการบรรยาย การบันทกึ เสียง วงดนตรี หรือท่ีทีผ่ พู ูดอยดู า นหนาไมโครโฟน 2. แบบรบั เสยี งได 2 ทศิ ทาง (Bi-directional Mic) รับเสียงได 2 ทิศทางท่อี ยูตรงขางกัน
3) แบบรับเสียงไดร อบทิศทาง (Omni-directional Mic) รับเสยี งไดร อบทิศทาง โดยมี ความไวในการบั เสียงเทาๆ กนั เหมาะสําหรับใชใ นการแสดงบนเวที แตมีขอเสยี คือ เสยี งจะเขา รอบทศิ ทาง ปอ งกันสญั ญาณยอนกลับ (Feed back) ไดยาก 4) แบบรับเสยี งบริเวณดานหนารูปหัวใจ (Cardioid Mic) รับเสียงไดท ศิ ทางเดียว แตสามารถรบั เสยี งไดเปน มุมกวาง คลายรปู หวั ใจหรือใบโพธิ์ นิยมใชก ันมากในปจ จุบนั
6 ชนิด แบง ตามการใชง าน 1. แบบตง้ั โตะ (Desk Mic) ใชเ สียบบนขาต้งั วางบนโตะ หรอื ต้งั พน้ื ตรงหนาผพู ดู โดยที ผูพดู ไมตอ งเคลือ่ นไปมา 2. แบบมอื ถือ (Hand Mic) ใชสาํ หรบั นกั รอง นกั โฆษณา 3. แบบหอยคอ (Lavalier Mic) มีขนาดเล็ก ใชเสียงตดิ กบั คอเสอื้ -กระเปา เสอ้ื หรือเนค ไท นิยมใชในการทํารายการโทรทศั น
4) แบบบูม (Boom Mic) ตดิ อยบู นแขนยาวๆ อยูเหนอื ศีรษะ ผพู ูดสามารถเลื่อนตามผพู ูด หรอื ผแู สดงไปไดต ลอด นยิ มใชใน หองผลติ รายการโทรทัศน และหองบนั ทึกเสียงการแสดง 5) แบบบงิ (Bing Mic) ใชต ้ังโตะอยกู ับทีโ่ ดยไมเคลื่อนยา ย 6) แบบไมม สี าย (Wireless Mic) เปน เคร่ืองสง วทิ ยุระบบ F.M ขนาดเลก็ กําลังสงต่าํ ใชกบั เครอ่ื งรบั วทิ ยุระบบ F.M สง คลืน่ ไป ไดไ กล ประมาณ 50-200 เมตรเทา น้ัน
ลําโพง เปนอุปกรณท่ีทําหนา ท่ีเปลี่ยนสญั ญาณเสียงที่อยใู นรูป สัญญาณไฟฟา ใหก ลบั มาเปน เสยี งในรปู การส่นั สะเทอื น โดย การสน่ั ของกรวย (Cone) ลําโพง ทาํ ใหอ ากาศบริเวณโดยรอบ กรวยลําโพง เกดิ การสั่นเปนคลน่ื เสียงออกมา ซึง่ จะแตกตา ง ตามความถ่ี
ชนดิ ของลาํ โพง ลําโพง แบงออกตามการตอบสนองตอ ความถีเ่ สยี ง มี 3 ชนิด 1. ลําโพงเสียงทุม (Woofer) หรอื เรียกวา ลําโพงเบส (Base Speaker) เปนลําโพงใหก ารตอบสนองความถเ่ี สยี งในยาน ความถี่ต่ํา ประมาณ 20HZ ถงึ 1kHZ กรวยลําโพง ทาํ ดว ยกระดาษ พลาสตกิ หรือ สารอ่นื ๆ ที่มี คณุ สมบตั คิ ลา ยกนั ลําโพง มีขนาดใหญ ต้ังแต 8 น้วิ ถงึ 15 นว้ิ
2. ลาํ โพงเสยี งกลาง (Middle Range) เปนลําโพงใหการ ตอบสนองความถีเ่ สียงในยานความถปี่ านกลาง ประมาณ 300Hz ถงึ 5kHz กรวยลาํ โพง ทาํ ดวยกระดาษ พลาสติก หรือ สารอืน่ ๆ ท่มี คี ณุ สมบตั คิ ลา ยกัน ลําโพง มีขนาด ตง้ั แต 4 น้วิ ถึง 6.5 น้ิว
3. ลาํ โพงเสยี งแหลม (Tweeter) เปนลําโพงใหก ารตอบสนอง ความถี่เสยี งในยานความถ่ีสูง ประมาณ 2kHz ถึง 20kHz โครงลาํ โพงเปนโลหะลวนไมมกี รวยลาํ โพง มีแตไดอะแฟรม เปนตัวสัน่ ทําใหเกดิ เสียง จงึ ตอบสนองตอ เสยี งความถี่สงู ไดดี ลาํ โพง มีขนาดเลก็ ขนาดเสนผาศูนยกลางของไดอะแฟรม ประมาณ ตงั้ แต 1 นว้ิ ถึง 3 นิว้
ลาํ โพงฮอรน (Horn Speaker) เปน ลําโพง ทีส่ รา งข้นึ มาใชง านโดยไมคํานึงถึงคณุ ภาพ ในการตอบสนองความถ่เี สยี งมากนัก แตค าํ นึงถงึ ความดงั ความชดั เจนของเสียง และทศิ ทางทต่ี องการใหเสียงไป
รเี ลย เปนอปุ กรณไฟฟา ประเภทสวทิ ซ ทําหนา ท่ี เปน สวทิ ซ ตดั ตอ โดยการใชอ ํานาจแมเ หลก็ ไฟฟาชว ยควบคุมการตัดตอ ของหนา สัมผสั สวิตชดวยแรงดันและกระแสคาต่ํา เพ่ือควบคมุ การจา ยกําลังไฟฟาจากแหลง จา ยไฟไปใหภ าระทางไฟฟา หรอื โหลด ใหส ามารถทาํ งานหรือหยดุ ทํางานได
โครงสรา งของรเี ลย รีเลย มีสวนประกอบ 2 สว นหลัก คือ สวนขดลวด และ สวนสวติ ชหนาสัมผสั (Contact Switch) สวนขดลวด ทําหนา ทร่ี ับแรงดนั ไฟกระแสตรง (VDC) หรือแรงดนั ไฟกระแสสลับ (VAC) ทาํ ใหเกิดอาํ นาจแมเ หลก็ ไฟฟา ขน้ึ เพื่อดงึ ดดู สวติ ชห นา สมั ผัส ใหต ัดหรือตอ ตามตองการ สว นสวติ ชหนาสมั ผสั ทําหนาที่ ตดั หรอื ตอ วงจร
หนา สมั ผัสของรเี ลย หนาสมั ผัสของรเี ลยมสี ภาวะปกติ อยู 2 สภาวะ คือ 1. หนาสมั ผสั ปกติเปด (Normal Open Contact) หรือ NO คือ หนาสัมผสั รีเลยข ณะปกติทย่ี ังไมจายแรงดนั ให ขดลวดรีเลย หนา สมั ผัสจะแยกจากกนั เมอ่ื จายแรงดนั ให ขดลวดรเี ลย หนาสมั ผัสจะตอกนั 2. หนาสมั ผัสปกติปด (Normal Closed Contact) หรอื NC คอื หนา สัมผัสรเี ลยข ณะปกติท่ยี งั ไมจ า ยแรงดนั ให ขดลวดรีเลย หนาสัมผัสจะตอกนั เมื่อจายแรงดันใหขดลวด รเี ลย หนา สัมผัสจึงแยกจากกัน
สญั ลกั ษณของรีเลย www.arduinoall.com
แมกเนตกิ คอนแทกเตอร เปน อุปกรณไ ฟฟา ประเภทสวิทซ ควบคมุ การทํางาน โดยการใชอ ํานาจแมเหลก็ ไฟฟา ทําหนา ท่ี เปน สวทิ ซต ดั ตอ เชนเดยี วกับรเี ลย แตสามารถนาํ ไปใชง านกับกาํ ลังไฟฟา สงู ๆ ยมนําไปใชในการควบคมุ กําลงั ไฟฟา ในงานอตุ สาหกรรม
โครงสรางของแมกเนตกิ คอนแทกเตอร แมกเนติกคอนแทกเตอร มีสวนประกอบ 2 สว นหลัก คอื สวนขดลวดใหกําเนดิ สนามแมเ หล็กออก เมอื่ แรงดันปอ น ใหข ดลวด และ สวนหนา สัมผสั สว นหนา สมั ผัส แบง การใชงานออกเปน 2 ชดุ คือ 1. ชุดหนาสมั ผสั หลัก (Main Contact) เปน หนา สัมผสั ที่ทนกระแสไดส ูง ใชตอ ในวงจรที่ตองการกําลังไฟฟา สูงๆ ในการใชง าน 2. ชดุ หนา สัมผัสชว ย (Auxiliary Contact) เปน หนา สมั ผัสทที่ นกระแสไดต่ํา นําไปใชง านในวงจรที่มีกาํ ลังไฟฟา ตาํ่
สญั ลกั ษณข องแมกเนตกิ คอนแทกเตอร
อปุ กรณสารก่ึงตัวนํา สารก่ึงตวั นาํ คือ ธาตทุ ่ีมีวาเลนซอ เิ ล็กตรอน 4 ตัว พอดี เปน ธาตุท่ีสามารถนาํ ไปใชในการผลิตเปน อุปกรณอ ิเลก็ ทรอนกิ ส ชนดิ ตางๆ เชน ไดโอด ซีเนอรไ ดโอด ไดโอดเปลง แสง ทรานซสิ เตอร และเฟต ธาตทุ ีน่ ยิ มนํามาใชใ นการผลิตอปุ กรณส ารก่ึงตวั นาํ ไดแ ก ธาตซุ ลิ กิ อน (Si) และ เยอรมนั เน่ียม (Ge) โดยนาํ ไปเจอื ปนหรอื เตมิ สารอืน่ ๆ เพ่ือใหไดส ารก่ึงตัวนาํ ชนดิ พี (P type) และสารก่ึง ตัวนาํ ชนิดเอ็น (N type)
สารก่ึงตัวนาํ บรสิ ทุ ธ์ิ คือ ธาตุก่งึ ตวั นาํ ทยี่ ังไมไดเ ตมิ สารเจือปน (Dopping) ใดๆ ลงไป ธาตุทีน่ ิยมนําไปผลิตอปุ กรณส ารก่งึ ตวั นาํ คอื เยอรมันเนียม (Ge) กบั ซิลกิ อน (Si) สารก่ึงตวั นาํ ไมบรสิ ทุ ธิ์ คอื การนําเอาสารซิลกิ อนหรอื เยอรมันเนยี มบริสุทธิ์ มาเจือปนกบั ธาตุทม่ี วี าเลนซอิเลก็ ตรอน 3 ตวั เชน โบรอน (Br) อนิ เดยี ม (In) แกลเลยี ม (Ga) และ อลูมิเนยี ม (Al) หรอื ธาตุทมี่ ี วาเลนซอเิ ล็กตรอน 5 ตวั เชน ฟอสฟอรัส (P) อาเซนิค (As)
สารกึ่งตัวนําชนดิ เอ็น เปน สารก่งึ ตวั นาํ ที่ไดจากการเตมิ สารเจอื ปน ที่มวี าเลนซ อเิ ล็กตรอน 5 ตวั ลงในธาตุซลิ กิ อนหรือ เยอรมนั เนียมบรสิ ุทธิ์ สารกง่ึ ตวั นาํ ชนดิ พี เปน สารกง่ึ ตวั นาํ ท่ไี ดจากการเติมสารเจอื ปน ที่มวี าเลนซ อเิ ล็กตรอน 3 ตัว ลงในธาตุซลิ ิกอนหรือ เยอรมันเนียมบริสทุ ธิ์
ไดโอด เปน อปุ กรณสารกงึ่ ตัวนาํ ทไี่ ดจากการนาํ เอาสารกึง่ ตวั นาํ ชนดิ พีและสารกึง่ ตัวนาํ ชนิดเอ็นมาตอชนกนั ชว งรอยตอ (Junction) จะตองใชว ธิ ีปลกู ผลึกหรอื วธิ ีการแพรก ระจาย สารเจือปนลงในสารกึง่ ตัวนาํ บริสทุ ธิ์
โครงสรา งของไดโอด A PNK A K สัญลักษณ ไดโอด ประกอบดวยสารก่งึ ตัวนาํ ชนดิ พี กับ สารก่งึ ตัวนํา ชนดิ เอ็นประกบกัน มีขาใชงาน 2 ขา คือ ขาอาโนด (A : Anode) จะตอ เขา กบั สารกง่ึ ตวั นาํ ชนดิ พี กบั ขาแคโถด (K : Kathod) ซึง่ จะตอ เขา กบั สารกึง่ ตวั นาํ ชนดิ เอ็น
การไบอสั ไดโอด A สามารถทาํ ได 2 วิธี 1. การไบอัสแบบตรง (Forword Bias) 2. การไบอสั แบบกลบั (Reverse Bias) A KK ++
การไบอสั แบบตรง (Forword Bias) คือ การจายไฟบวกเขาที่ขาอาโนด และจายไฟลบเขา ที่ ขาแคโถด เมือ่ จายไบอสั ใหกบั ไดโอด จะทาํ ใหไดโอดนํากระแส กระแส สามารถไหลผานในวงจรได โดยไฟลบจะผลักอเิ ล็กตรอน (-) ใน สารก่งึ ตัวนาํ ชนิดเอน็ ใหเคล่อื นท่ีออกไป และไฟบวกจะดึง อิเล็กตรอนใหเคลื่อนท่ีเขามาและผลักโฮล (+) ใหเคลื่อนทอ่ี อกไป
การไบอสั แบบกลับ (Reverse Bias) คอื การจายไฟลบเขา ทข่ี าอาโนด และจา ยไฟบวกเขา ที่ ขาแคโถด เมื่อจา ยไบอสั ใหกบั ไดโอด จะทําใหไดโอดไมนาํ กระแส โดยไฟบวกจะดึงอเิ ลก็ ตรอน (-) จากสารก่งึ ตัวนําชนิดเอ็น ไฟลบ จะดงึ โฮล (+) จากสารกึง่ ตัวนาํ ชนดิ พี สง ผลใหร อยตอ ของไดโอด กวา งขึน้ จงึ ไมม ีกระแสไหลผา นในวงจร
การวัดและทดสอบไดโอด
1. ต้ังมลั ติมเิ ตอรยา นวัดความตา นทาน Rx10 2. แตะสายมเิ ตอรเขาดว ยกนั แลว ปรับปุม Zero Ohm Adjust ใหเขม็ ชที้ เ่ี ลขศูนย 3. นําสายมิเตอรจ ับที่ขาไดโอดทั้ง 2 ขา ดูผลการวดั 4. สลับสายมิเตอร แลวดผู ลการวัดอีกคร้ัง 5. ผลจากการวดั ท้งั 2 ครงั้ สามารถอา นคา ความตานทานได (เข็มข้นึ ) 1 ครั้ง และ คาความตานทาน มคี าเทากบั อินฟน ิตี้ (เข็มไมขนึ้ ) 1 ครง้ั 6. ถาผลการวัดไมเ ปน ตามขอ 5 แสดงวาไดโอดเสยี
การเสียของไดโอด สามารถพจิ ารณาได 3 ลักษณะ คือ 1. ไดโอดขาด (Open) หมายถึง รอยตอ ของสารกึง่ ตวั นําชนดิ พี กับสารก่งึ ตวั นําชนิดเอ็นเปดออกจากกัน (วัด 2 คร้ัง เขม็ มเิ ตอรไมข ึ้น ทั้ง 2 ครัง้ ) 2. ไดโอดลดั วงจร (Short) หมายถึง รอยตอ ของสารกง่ึ ตวั นาํ ชนดิ พกี ับสารกง่ึ ตวั นําชนดิ เอน็ พังทลายเขา หากัน (วัด 2 ครั้ง เข็มมิเตอร จะข้นึ ทงั้ 2 ครั้ง) 3. ไดโอดร่วั (Leak) หมายถงึ ไดโอดจะมีคา ความตานทานสงู เมอ่ื จายไบอัสแบบกลับ (วดั 2 ครง้ั เข็มมิเตอรจ ะขนึ้ 1 ครั้ง และ เขม็ ข้ึนเล็กนอย 1 ครั้ง)
ซีเนอรไ ดโอด เปน ไดโอดชนิดพิเศษท่ที าํ หนาท่รี กั ษาระดับแรงดันใหค งที่ มโี ครงสรางเหมือนไดโอดธรรมดาทั่วๆ ไป A PN K โครงสราง AK สญั ลกั ษณ
โครงสรา งของซีไดโอด ประกอบจากสารกง่ึ ตวั นาํ ชนิดพีกบั สารกึ่งตัวนาํ ชนดิ เอน็ ตอชนกนั มีขาใชง าน 2 ขา คอื ขาอาโนด (A : Anode) ขาแคโถด (K : Kathod)
ขอแตกตา งของซเี นอรไ ดโอด เทียบกบั ไดโอด 1. เทคนคิ พิเศษในการผลิต การเติมปริมาณของสารเจือปน จะมคี วามหนาแนน กวา 2. การทาํ งาน 3. การตอ ใชง าน จะตองตอในลักษณะไบอัสกลับ
การวดั และทดสอบซีเนอรไ ดโอด สามารถทําได 2 วิธี 1. วดั แรงดนั ตกครอมซีเนอรไ ดโอด โดยตอในลักษณะไบอัสกลับ +R
ผลการวดั ของซีเนอรไ ดโอด 1. คา แรงดัน เทา กับศูนย (0) แสดงวาซีเนอรไดโอดชอรท 2. คา แรงดนั เทา กับแรงดนั ของแหลง จาย แสดงวาซีเนอร ไดโอดขาด 3. คา แรงดนั มคี า คงที่ตลอด ถงึ จะมีการปรับคาแรงดนั ของ แหลงจา ย แสดงวา ซีเนอรไ ดโอดปกติ
2. วดั คา ความตา นทาน (เหมือนกบั การทดสอบไดโอดธรรมดา)
การเสยี ของซีเนอรไ ดโอด สามารถพจิ ารณาได 3 ลกั ษณะ คือ 1. ซเี นอรไ ดโอดขาด วดั 2 ครัง้ เข็มมเิ ตอรไมข ึ้น ทั้ง 2 ครงั้ 2. ซีเนอรไ ดโอดชอรท วัด 2 คร้งั เขม็ มเิ ตอร จะข้นึ ทัง้ 2 ครง้ั 3. ซีเนอรไ ดโอดร่วั วดั 2 ครงั้ เขม็ มิเตอรจ ะขึ้น 1 ครง้ั และเขม็ ขึ้น เล็กนอ ย 1 ครง้ั
แอลอีด.ี : LED ไลท อมิ ติ ต้งิ ไดโอด : Light Emitting Diode เรียกชื่ออกี อยางหนง่ึ วา ไดโอดเปลงแสง เปน ไดโอดทีส่ ามารถเปลงแสงออกมา A K สัญลกั ษณ
โครงสรา งของแอลอดี ี
การไบอัสแอลอีดี + R เมื่อจา ยไบอัสแบบตรงหรอื ฟอรเ วิรดไบอสั จะทาํ ใหอเิ ลก็ ตรอน ทส่ี ารกง่ึ ตัวนําชนดิ เอ็น มพี ลงั งานสงู ขน้ึ จนสามารถว่งิ ขา มรอยตอ ไปรวมกับโฮลในสารก่ึงตัวนําชนิดพี กอใหเ กดิ พลังงานแสงขน้ึ มา
Search