237 เหนียว ซึ่งก่อให้เกิดการขยายตัว หลังจากน้ีดินเหนียวจะทาปฏิกิริยากับความชื้น เกิดการขยายตัวอีก เชน่ กนั 2. Alkali Silicate ชั้นของ Silicate ในเน้ือหิน ทาปฏิกิริยากับด่างจากปฏิกิริยาไฮเอรช่ันและน้าก่อให้เกิดการ ขยายตัว 3. Alkali – Silica Reaction หินประกอบด้วย Silaceous ท่ไี วต้ อ่ ปฏิกิริยา จะทาปฏิกิรยิ ากับน้า และ Alkali ก่อให้เกิดการ ขยายตัว สภาพทจี่ ะก่อให้เกิดปฏกิ ริ ิยา ความเสียหายจากปฏิกิริยาระหว่างด่างกังหินนี้ จะเกิดข้ึนเม่ือมีสภาพที่เหมาะสมทั้ง 3 ประการพรอ้ ม ๆ กัน คอื 1) มปี รมิ าณ Alkali เพยี งพอ 2) มอี งคป์ ระกอบ Silica ทไี่ วต้ อ่ ปฏกิ ริ ยิ า 3) มีปริมาณนา้ เพียงพอ สภาพทเ่ี หมาะสมทส่ี ุดสาหรับปฏิกริ ยิ าคอื เมือ่ มีความขนึ้ สมั พันธ์ 75% อณุ หภูมิ 30-40oC ความเสียหายทเ่ี กิดขึ้น 1) ผิวคอนกรีตจะแตกเสียหาย ลักษณะจะเป็นการแตกร้าวกระจายทั่วพื้นที่ ไม่มีรูปแบบท่ี แนน่ อน 2) มีนา้ เหนียว ๆ ไหลออกจากผิวคอนกรีต 3) ผวิ คอกรีตจะหลุ่นร่อน 4) กาลงั อดั สญู เสยี ไป การปอ้ งกนั ปัญหา 1) ใช้หิน-ทรายทีไ่ มเ่ กิดปฏิกิริยา 2) ลดความเสย่ี งจากสภาพแวดล้อม โดยลดความชื้นหรือนา้ ที่สัมผสั คอนกรีต ใชว้ ัสดุปอซโซลาน (Pozzolana) หรอื Slag ผสมเพ่ือลดปริมาณ Ca(OH)2
238 ความเสยี หายจากนา้ ทะเล ความเสียหายของคอนกรีตในน้าทะเล เน่ืองมาจากซัลเฟตและคลอไรด์ ซัลเฟตโดยเฉพาะ อย่างย่ิงแมกนีเซียมซัลเฟตทาอันตรายต่อคอนกรีต ส่วนคอนไรด์จะซึมเข้าทาอันตรายต่อเหล็กเสริมท่ี ฝงั อย่ใู นเนื้อคอนกรีต คอนกรีตในน้าทะเลอาจถูกทาให้เสียหาย โดยการก่อผลึก Crystallization ของ เกลือภายในเนื้อคอนกรีตตาแหน่งท่ีคอนกรีตอยู่สภาพเปียกและแห้งสลับกัน ความเสียหายจะรุนแรง มากในบริเวณเหนือระดับน้าสูงสุด ซึงปริมาณที่น้าทะเลเข้าสูงเน้ือคอนกรีตโดย Capillary Action และความเสียหายจะเกิดน้อยในบริเวณระดับน้าท่ีอยู่ระหว่างน้าขึ้น-ลงและจะไม่เกิดความเสียหายเลย ในคอนกรตี ทีแ่ ชอ่ ยใู่ นน้าตลอดเวลา ถา้ คอนกรีตนน้ั มีคณุ ภาพดีพอ ภาพที่ 12.11 ความเสยี หายของคอนกรตี เนือ่ งจากน้าทะเล ทม่ี า: ธชั ชัย จันทรร์ ชั ชกลู (2563), พนื้ ฐานเก่ยี วกบั คอนกรีต ความเสอื่ ม การป้องกัน และการตรวจสอบแบบไม่ทาลาย https://www.oap.go.th/images/documents/offices/baea/proap/training/Concrete_foun dation_8-11-8-2561.pdf ความทนทานของคอนกรีตในน้าทะเลจะข้ึนอยู่กับปัจจัยท่ีสาคัญ คือ ความหนาแน่นของ คอนกรีต คอนกรีตท่ีมีอัตราส่วนน้าต่อซีเมนต์ 0.45-0.50 รวมทั้งการเทลงแบบและการอัดแน่นทา อย่างดีจะมีความหนาแน่นมาก สามารถต้านทานต่อสภาพน้าทะเลได้ดี และการเลือกใช้ประเภทของ ซีเมนต์ท่เี หมาะสม กเ็ ป็นอีกปัจจยั หน่ึงที่สาคัญ คอนกรีตเสริมเหล็กมีแนวโน้นชมที่จะเสียหายมากกว่า
239 คอนกรีตท่ีไม่มีเหล็กเสริมเนื่องจากการกัดกร่อนเหล็กเสริมจากเกลือคลอไรด์จะส่งผลให้เกิดสนิม ปริมาตรจะเพ่ิมขึ้นคอนกรีตที่ห่อหุ้มเหล็กไว้มีแนวโน้มที่จะแตกร้าวและเหล็กจะถูกทาลายมากยิ่งขึ้น การเพ่ิมข้ึนของระยะหุ้มเหล็กเสริมจะเป็นการป้องกันปัญหาได้อีกทางหน่ึงโดยทั่วไประยะหุ้มควรเป็น 60-70 มิลลิเมตรและในบางกรณใี ชถ้ งึ 100 มิลลเิ มตร การกดั กรอ่ นเหลก็ เสริม การศกึ ษาเรือ่ งความทนทานของคอนกรีตมี 2 กระบวนการ คอื 1) การปอ้ งกนั ทางกล 2) การปอ้ งกนั ทางเคมี 1) การปอ้ งกันทางกล คอนกรีตทีห่ ้มุ เหล็กเสริม จะเปน็ ตวั ปอ้ งกนั กดั กร่อนของเหล็กเสรมิ ทางกลที่ดีโดยปอ้ งกนั ความช้ืน น้า และก๊าซตา่ งๆ ซึมผ่านเข้าสเู่ หลก็ เสริม การป้องกนั จะมปี ระสิทธภิ าพมากหรือน้อยขึน้ อยู่กบั คุณภาพของคอนกรีตโดยเฉพาะสว่ นผิว นอก (Covercrete) หรอื คอนกรีตทห่ี ุ้มเหลก็ เสริมอยู่ รวมทั้งความหนาของระยะหุ้ม 2) การป้องกนั ทางเคมี ปฏิกิริยาไฮเดรชั่น ก่อให้เกิด Ca(OH)2 ซ่ึงมีความเป็นด่านสูง คือ มีค่า pH ประมาณ 12.5- 13.0 ความเป็นด่างท่ีสูงมากของ Ca(OH)2 น้ีจะก่อให้เกิดฟิล์มบางๆ ของเหล็กออกไซด์บนผิวเหล็ก เสริม ขบวนการป้องกนั น้ี เรยี กวา่ “Passivation” ขบวนการกดั กรอ่ นเหล็กเสริม การกัดกรอ่ นเหลก็ เสริมในโครงสรา้ งคอนกรตี เสรมิ เหลก็ มสี าเหตใุ หญ่ 2 ประการ คือ 1. การกดั กรอ่ น เน่ืองจากความเป็นดา่ งของคอนกรตี ลดลง 2. การกัดกรอ่ น เนื่องจากมีเกลือคลอไรด์
240 ภาพที่ 12.12 กระบวนการกัดกร่อนของเหล็กเสรมิ คอนกรีต ท่มี า: ธัชชยั จนั ทร์รัชชกลู (2563), พน้ื ฐานเกย่ี วกบั คอนกรีต ความเส่อื ม การปอ้ งกัน และการตรวจสอบแบบไม่ทาลาย https://www.oap.go.th/images/documents/offices/baea/proap/training/Concrete_foun dation_8-11-8-2561.pdf 1) การกัดกร่อน เน่ืองจากความเปน็ ดา่ งของคอนกรีตลดลง คอนกรีตปกติเป็นวัสดุที่มีความเป็นด่างสูง คือ มีค่า PH 12.5-13.0 ความเป็นด่างน้ีจะ ป้องกันไม่ให้เหล็กเสริมกัดกร่อน เม่ือความเป็นด่างลดลง อัตราการกัดกร่อนจะมากข้ึนสาเหตุที่ทาให้ การเป็นด่างลดลง ได้แก่ 1.1 การชะล้าง (Leaching) การชะล้าง เป็นตัวการทาให้ความเป็นด่างในเนื้อคอนกรีตลดลง การชะล้างจะมาก หรอื น้อยขึน้ กบั องค์ประกอบต่างๆ มดี ังนี้ - สภาพของน้า นา้ ไหลจะชะล้างและก่อให้เกดิ ความรนุ แรงมากกวา่ สภาพน้าน่ิงๆ - อุณหภมู ขิ องนา้ - ชนดิ ของซเี มนต์ - ความหนาแนน่ ของคอนกรตี - คณุ ภาพของคอนกรีตทผ่ี วิ - รูปร่างและอายุของคอนกรตี
241 1.2 การทาให้คอนกรีตเกิดความเปน็ กลาง (Neutralization) 1.2.1 ทาให้เป็นกลางโดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึมผ่านเข้าทาปฏิกิริยากับ Ca(OH)2 จากปฏิกิริยาไฮเดรชั่น โดยปฏิกิริยาน้ี เรียกว่า “Carbonation” ดังสมการ Ca(OH)2 + CO2 CaCO3 + H2O ปฏิกิริยาน้ีจะทาให้ความเป็นด่างลดลงจากค่า PH ลดจาก 12.5 เป็น 9.0 หรอื น้อยกว่าเมอื่ ปฏกิ ริ ิยา Carbonation เกิดขนึ้ จนถึงเหล็กเสรมิ มันจะทาลาย แผ่น Passivation Film ท่ีเกิดขน้ึ บนผิวเหล็กและจะก่อให้เกดิ การกดั กรอ่ น 1.2.2 ทาให้เป็นกลางโดยกรดหรือก๊าซอ่ืนๆ กรดและก๊าซอื่นๆ เช่น SO2 จะลดค่า PH ในเน้ือคอนกรีต จาก 12.5 เป็น 9 หรือต่ากว่า ส่งผลให้ Passivation Film ถูกทาลายเกิดการกัด กรอ่ นของเหลก็ เสรมิ ไดเ้ ชน่ เดียวกับกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ 2) การกดั กรอ่ น เนอ่ื งจากมีเกลือคลอไรด์ แหล่งของคลอไรด์ อาจมาจาก ภายในคอนกรีต เชน่ จากหิน, น้ายาผสมคอนกรตี โดยเฉพาะนา้ ยาเร่งการก่อตวั หรอื อาจ มาจาก น้าผสมคอนกรีต ภายนอกคอนกรีต เชน่ จากน้าทะเล จากพ้นื ดนิ หรือจากเกลอื ท่ีใชล้ ะลายนา้ แขง็ ในชว่ งที่ อากาศหนาวเย็นจดั เกลือคลอไรด์น้ีจะซึมเข้าในเนื้อคอนกรีตและเฉพาะคลอไรด์อิสระที่ละลายน้าเท่านั้นท่ีจะทา ปฏิกิริยากับเหล็กเสริม โดยทาลาย Passivation Film บางบริเวณ ซ่ึงจะก่อให้เกิดการกัดกร่อนของ เหลก็ เสรมิ ลักษณะของความเสยี หาย การกดั กรอ่ นเหล็กเสริมเนอื่ งจากกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ จะมลี ักษณะดงั น้ี 1. กอ่ ใหเ้ กิดสนิมสนี ้าตาล 2. จะเกดิ บรเิ วณกว้างและการกัดกรอ่ นกระจายตวั อย่างสม่าเสมอ 3. จะก่อใหเ้ กิดการแตกร้าวและหลุดร่อนของผิวคอนกรีต การกดั กรอ่ น 1. กอ่ ให้เกิดสนิมสีดา 2. จะเกิดในบางบริเวณเทา่ นน้ั 3. จะไม่แสดงให้เห็นการแตกร้าวหรือหลุดร่อนของผิวคอนกรีต จนกระท่ังเกิดปฏิกิริยา อย่างมากแลว้ 4. ความเสียหายจะรนุ แรง เน่อื งจากจะทาใหพ้ น้ื ท่ีหนา้ ตดั ของเหล็กเสริมลดลง
242 12.4 สาเหตทุ างดา้ นเชิงกล (Mechanical Causes of Deterioration) ในโครงสร้างบางประเภท เช่น พื้น, ถนน, ลานบิน คอนกรีตจะถูกทาให้เกิดความเสียหาย เน่ืองจากการเสียดสี (Abrasion) อยู่อย่างสม่าเสมอ ดังนั้นคุณสมบัติด้านการต้านทานการเสียดสีเป็น ปจั จัยสาคญั ท่ีผู้ออกแบบตอ้ งนามาพิจาณาเชน่ เดยี วกัน ปัญหาเร่อื งการทาให้ผิวคอนกรีตสึกกร่อน โดย ของเหลว (Erosion) ในโครงสร้างท่ีสัมผัสน้า (Hydraulic Structure) เช่น เสาสะพาน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ ส่วนที่เป็นของแข็งถูกนามาโดยน้า ซ่ึงอาจจะเป็นกรวด, ตะกอนต่างๆ ในที่มีน้าไหลด้วยความเร็ว คอนกรีตอาจจะเกิดความเสียหายอย่างมากโดยเริ่มจากการเป็นรูหรือโพรงและขย ายใหญ่ออกไป นอกจากน้ียังมีอีกกรณีหน่ึง ซึ่งแรงดันจากน้าจะเป็นตัวการที่ทาให้ผิวคอนกรีตเกิดการความเสียหาย โดยทาให้เกิดเป็นรูหรือโพรงข้ึน (Cavitation) โดยสรุปผิวคอนกรีตถูกทาให้เสียหายด้านกล จาก 3 ขบวนการ คือ 1. Abrasion 2. Erosion 3. Cavitation ลกั ษณะความเสียหายของผวิ คอนกรตี ความเสยี หายทพี่ บเห็นประจา ไดแ้ ก่ 1) ผวิ หนา้ แตกเป็นฝ่นุ 2) ผวิ หน้าร่อนเป็นแผ่น 3) ผวิ หนา้ เป็นโพรง 4) ผิวหนา้ พองปูด ภาพท่ี 12.13 ความเสยี หายของคอนกรีตเนอ่ื งจากเชิงกล ท่มี า: ธชั ชยั จันทร์รชั ชกลู (2563), พน้ื ฐานเกยี่ วกับคอนกรีต ความเสอื่ ม การปอ้ งกัน และการตรวจสอบแบบไม่ทาลาย https://www.oap.go.th/images/documents/offices/baea/proap/training/Concrete_foun dation_8-11-8-2561.pdf
243 ปจั จยั ทมี่ ีผลต่อความต้านทาน การเสียดสี และวิธกี ารปอ้ งกนั ปจั จยั วิธีการ 1. กาลงั ของคอนกรีต 1. เพิ่มกาลังอัดของคอนกรีต คอนกรีตกาลังอัด 140 กก./ ตร.ซม. จะมีอัตราความเสียหายประมาณ 5 เท่าของ คอนกรีตกาลังอัด 280 กก./ตร.ซม. ส่วนคอนกรีตท่ีกาลัง อัดมากกว่า 280-420 กก./ตร.ซม. จะมีผลต้านทานการ เสยี ดสที ่ีดีมาก 2. อัตราสว่ นน้าตอ่ ซีเมนต์ 2. ลดอัตราส่วนน้าต่อซีเมนต์ ซ่ึงจะลดการเยิ้ม ในทาง ปฏิบตั ิจะเลือกใช้คอนกรีตท่มี ี W/C ไมเ่ กิน 0.45-0.50 3. หนิ , ทราย 3. เลือกใช้หนิ ทราบท่มี ีความแข็งแกร่ง และควรเลือกใช้หิน 4. การเทและการแต่งผิวหน้า ทีม่ ีขนาดใหญ่ข้ึน 4. ต้องจี้เขย่าคอนกรีตให้อัดแน่นอย่างดีในแบบหล่อ รวมทั้งต้องแห่งผิวหน้าให้เหมาะสม ซ่ึงจะได้คอนกรีตที่มี คณุ ภาพดที ่ผี ิวและการลดปริมาณฟองอากาศในคอนกรตี 5. การบ่ม 5. ต้องบม่ ด้วยวธิ ีการท่ีเหมาะสมในเวลาทีย่ าวนานพอ ประเด็นท่ี 4 และ 5 ถือว่ามีความสาคัญมากท่ีสุดเพราะเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าบริเวณผิว คอนกรตี (Convercrete) โดยเฉพาะผวิ ด้านบนจะมีความอ่อนแอท่สี ดุ เนอื่ งจากนา้ ทเี่ ยิ้มข้ึนมา 6. ลกั ษณะผวิ คอนกรีต 6. ในกรณีทีม่ กี ารเสียดสีอย่างมาก จาเป็นท่ีจะต้องเลือกใช้ 7. รอยตอ่ (Joint) คอนกรีตท่ีมีกาลังอัดสูงมาก หรือใช้วัสดุอื่นเคลือบผิว หรือ ในบางโครงสร้างอาจต้องทาใหผ้ ิวคอนกรีตเรียบมากๆ 7. ออกแบบและก่อสร้างรอยต่อให้เหมาะสมเพ่ือลดการ กระแทกหรอื เสียดสี 12.5 การลดความเสยี หาย ความเสียหายของคอนกรีตในโครงสร้างต่างๆ อาจเกิดจากสาเหตุด้านกายภาพ ด้านเคมีและ ดา้ นกล ดังน้ัน เพ่ือลดความเสียหายดังกลา่ วผู้ออกแบบควรพิจารณา สภาพแวดล้อม สภาพการใช้งาน ของโครงสร้างนั้นอย่างละเอียดก่อนการออกแบบจากนั้น ควรเลือกออกแบบและเลือกใช้ข้อกาหนด
244 สาหรับงานคอนกรีตท่ีเหมาะสมในขั้นการออกแบบ ส่วนในขั้นการก่อสร้างจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมี การควบคุมอย่างดี ท้ังขั้นตอน การผสม, การจี้เขย่า, การแต่งผิว และการบ่ม รวมท้ังการบารุงรักษา และแนวทางป้องกันปัญหา ซึ่งเราสามารถสรุปเป็นแผนภาพ และการป้องกันความเสียหายของ คอนกรีตจากสาเหตตุ า่ งๆ สรุปได้ดงั ภาพที่ 12.14 ภาพที่ 12.14 สรุปแนวทางป้องกนั ปัญหาความเสยี หายของคอนกรีต ท่มี า: ชชั วาลย์ เศรษฐบุตร (2537, หน้า 152)
245 สรุปท้ายบท ความเสยี หายหรือการเสอ่ื มสภาพของคอนกรตี นนั้ มาจากสาเหตหุ ลกั ๆ 3 ประการคือ 1. ความเสียหายของคอนกรีตเนื่องมาจากลักษณะทางด้านกายภาพ (Physical) - ปัจจัย สาคัญที่ทาใหค้ อนกรีตเสียหายด้านกายภาพส่วนใหญ่มาจาก “แรงดึง” (Tensile Stress) ท่ีกระทาต่อ คอนกรีตท่ีแข็งตัวแล้วส่งผลให้คอนกรีตแตกร้าว และสุดท้ายจะทาให้อายุการใช้งานของช้ินส่วน โครงสรา้ งลดลง 2. ความเสียหายของคอนกรีตเนอื่ งมาจากลักษณะทางด้านเคมี (Chemical) - ความเสียหาย เน่ืองมาจากสาเหตุทางด้านเคมีนั้นมาจากส่วนใหญ่มากจากการที่สารประกอบแคลเซียมในคอนกรีต โดนทาลายจากสารเคมซี ่งึ แนวทางการแก้ไขนั้นสามารถทาได้โดยใช้สารปอซโซลานทดแทนปูนซีเมนต์ ในคอนกรีต 3. ความเสียหายของคอนกรีตเน่ืองมาจากลักษณะทางด้านกล (Mechanical) – มาตรฐาน ACI 201.2R ได้ใหค้ าแนะนาเพ่อื ให้ไดค้ อนกรตี ทที่ นทานต่อการสกึ กรอ่ นหรือขดั สีไว้ดังนี้ - ใช้กาลังอัดของคอนกรีตที่ไม่ต่าจนเกินไป ไม่ควรใช้กาลังอัดของคอนกรีตต่ากว่า 280 ksc เลือกขนาดคละของทรายและหินให้ดีคือมี ขนาดคละท่ีเป็นไปตาม ASTM C33 และขนาดใหญ่สุดของหินไม่ควรเกิน 25 มม. ค่าการยุบตัวไม่ควร มากกวา่ 75 มม. ในคอนกรีตท่ีใช้เทและไม่ควรมากกว่า 25 มม. ในคอนกรีตที่ใช้ ทาเปน็ ผวิ หน้า - ใชห้ ินท่ีมคี วามแข็งแกรง่ สงู - ตบแตง่ ผิวหน้าของคอนกรีต ซง่ึ ควรจะตบแต่งจนกระทัง่ ผิวหนา้ คอนกรีต ปราศจากนา้ ทเ่ี ยม้ิ ขึน้ มา โดยยดึ เวลาตบแตง่ ผวิ หนา้ ภายหลงั จากเทคอนกรีต แลว้ ประมาณ 2 ชัว่ โมง (เวลาตบแต่งนจ้ี ะข้ึนอยู่กบั อุณหภมู ิ อตั ราส่วนผสมและ ปรมิ าณฟองอากาศ) - บม่ คอนกรตี ให้เหมาะสมและยาวนานพอ การบม่ คอนกรีตควรเริ่มทนั ทที ่ี คอนกรีตแข็งพอ ควรบม่ คอนกรีตอย่างน้อย 7 วันเมอ่ื ใชป้ นู ซเี มนต์ประเภทที่ 1 และ 5 วันสาหรับปูนซเี มนต์ประเภทท่ี 3 - ใช้สารเคลือบผิวหน้าคอนกรีต มกั ได้แก่ วัสดทุ ี่มีความแข็งมากๆ เชน่ พวก อพี ็อกซผี สมกับทราย เป็นต้น
246 คาถามทา้ ยบท 1. เหตุผลใดท่ี เพ่มิ ปริมาณฟองอากาศ (Entrained Air) ในคอนกรตี สามารถแก้ไขความเสียหาย ของคอนกรตี เน่ืองมาจากน้าแข็งไดจ้ งอธบิ าย 2. การหดตวั ในคอนกรตี มกี ี่ประเภทอะไรบ้างและแต่ละประเภทแตกตา่ งกนั อย่างไร 3. แนวทางการลดความเสียหายเนอื่ งจากการหดตัวของคอนกรตี มีอะไรบา้ งจงอธิบาย 4. ความเสียหายของคอนกรีตเน่ืองมาจากทางดา้ นเคมสี าเหตใุ ดรนุ แรงท่สี ดุ เพราะอะไร 5. แนวทางการแกไ้ ขควาเสยี หายของคอนกรีตทางด้านเคมมี ีอะไรบา้ งจงอธิบาย 6. ทาไมการใช้วัสดุปอซโซลานในคอนกรีตสามารถลดความเสียหายของคอนกรตี ทางดา้ นเคมไี ด้ จงอธิบาย 7. แนวทางการแกไ้ ขความเสียหายของคอนกรีตทางกลนัน้ มีอะไรบา้ งจงอธิบาย
247 เอกสารอ้างองิ ชัชวาล เศรษฐบุตร (2537), คอนกรีต เทคโนโลยี Concrete technology กรงุ เทพฯ: บริษัท ผลติ ภณั ฑแ์ ละวตั ถุกอ่ สรา้ ง จากดั วินติ ช่อวิเชียร (2539), คอนกรตี เทคโนโลยี (Concrete Technology) พมิ พ์ครั้งท่ี8.กรุงเทพฯ : ป. สัมพันธ์พาณิชย์ใ ปิติ สคุ นธสุขกุล (2555), คอนกรีต (CONCRETE) กรุงเทพฯ: SE-ED สานักพิมพว์ รรณกวี ธัชชัย จนั ทร์รชั ชกูล (2563), พนื้ ฐานเก่ยี วกับคอนกรีต ความเสอ่ื ม การป้องกนั และการตรวจสอบแบบไมท่ าลาย https://www.oap.go.th/images/documents/offices/baea/proap/training/Concret e_foundation_8-11-8-2561.pdf
248 บรรณานกุ รม Encyclopedia Britannica (2018), Cement. https://global.britannica.com/technology/cement building-material ความรู้คอนกรตี (Concrete Knowledge) 2020, CPAC ACADEMY https://cpacacademy.com/index.php?tpid=0141 คอนกรีตเทคโนโลยี บริษทั ทีพีไอ คอนกรีต จากัด https://www.yotathai.com/uploads/2/8/0/3/28039899/concrete-technology.pdf ชัชวาล เศรษฐบุตร (2537), คอนกรีต เทคโนโลยี Concrete technology กรุงเทพฯ: บรษิ ทั ผลิตภณั ฑ์และวัตถุกอ่ สรา้ ง จากดั ภาณวุ ัฒน์ จ้อยกลดั และคณะ(2562) คอนกรีตเสริมเหล็ก : จากแหล่งกาเนิดสู่สยามประเทศ http://www.thaiengineering.com ผสุ ดี ทิพทสั และมานพ พงศทัต (2525), บา้ นในกรุงเทพฯ : รปู แบบและการเปลย่ี นแปลงในรอบ 200 ปี (พ.ศ.2325-2525), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , กรุงเทพ. พิบูลย์ จินาวฒั น์ (2556), ปญั หาในการซ่อมคืนสภาพอาคารทางประวัตศิ าสตร์, สาระศาสตรส์ าปตั ย์ , วารสารวชิ าการ, ฉบบั ที่ 2, ภาควิชาสถาปตั ยกรรมศาสตร์, จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2542. ธรี วัฒน์ สินศริ ิ (2553), การใชว้ ัสดปุ อซโซลานธรรมชาติเพอื่ เป็นวัสดุประสาน ทนุ พัฒนาศักยภาพ ในการทางานวิจัยของอาจารย์รุน่ ใหม่ สานกั คณะกรรมการอดุ มศึกษาและสานักงานกองทนุ สนับสนนุ การวิจัย http://eng.sut.ac.th/ce/ccbm/files/nature.doc ธัชชัย จันทรร์ ัชชกลู (2563), พน้ื ฐานเก่ียวกับคอนกรีต ความเสื่อม การป้องกนั และการตรวจสอบแบบไม่ทาลาย https://www.oap.go.th/images/documents/offices/baea/proap/training/Concret e_foundation_8-11-8-2561.pdf ปยิ นุช ม่วงทอง และคณะ(2557), อทิ ธพิ ลของวสั ดุปอซโซลาน ประเภทวัสดเุ หลือทิ้งจากการเกษตร ทีม่ ผี ลต่อสมบตั เิ ชิงกลของอิฐดินซีเมนต์ ปริญญานิพนธ์ มหาวทิ ลัยราชมงคลรตั นโกสินทร์ http://repository.rmutr.ac.th/bitstream/handle/123456789/64/Fulltext.pdf?seq uence=1&isAllowed=y เรืองรชุ ดิ์ ชีระโรจน์และคณะ (2556), ประวัติปนู ซเี มนต์ http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=11
249 เรอื งรชุ ด์ิ ชรี ะโรจนแ์ ละคณะ (2556), ปูนซีเมนต์ http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=11 เรอื งรุชดิ์ ชีระโรจน์และคณะ (2556), มวลรวม http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=11 เรอื งรุชด์ิ ชรี ะโรจน์และคณะ (2556), น้าทใี่ ช้ในงานคอนกรตี http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=11 เรืองรชุ ด์ิ ชีระโรจน์และคณะ (2556), สารผสมเพิ่มในคอนกรตี http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=11 เรอื งรชุ ดิ์ ชรี ะโรจน์และคณะ (2556),การออกแบบส่วนผสมคอนกรีต http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=11 เรอื งรุชดิ์ ชีระโรจนแ์ ละคณะ (2556),การออกแบบส่วนผสมคอนกรีต http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=11 เรืองรุชดิ์ ชรี ะโรจนแ์ ละคณะ (2556), การทดสอบคอนกรีตสด http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=6 เรอื งรุชดิ์ ชีระโรจน์และคณะ (2556), การทดสอบคอนกรตี กาลังดึง http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=5&questionID= 51 เรอื งรุชด์ิ ชรี ะโรจนแ์ ละคณะ (2556), การทดสอบคอนกรตี ท่แี ขง็ ตวั แล้ว http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=3&ques tionID=12 เรืองรชุ ด์ิ ชรี ะโรจน์และคณะ (2556), การทดสอบกาลังต้านทานแรงดัดของคอนกรตี และการทดสอบกาลังรับแรงดึงของคอนกรีต http://raungrut.sungkomonline.com/?p=board_ans&webID=11&pageID=5&ques tionID=51
250 เศกสรรค์ ชูทับทิม (2562), การควบคมุ งานคอนกรีตในสนาม. การปฏบิ ัตงิ านทดสอบสาหรับฝา่ ย ตรวจสอบ และวิเคราะห์ดา้ นวิศวกรรม สานักวจิ ัยและพฒั นา http://www. Templates Wise.com ศิริชัย นฤมิตรเรขการ (2520), สะพานเก่า กรงุ เทพฯ, สยามสมาคม ในพระบรมราชปู ถมั ภ์, กรงุ เทพ. สมภพ ภิรมย์ (2545), กุฎาคาร, ราชบัณฑิตยสถาน, กรงุ เทพฯ. สมาคมอุตสาหกรรม ปนู ซเี มนตไ์ ทย (2016), รายงานประจาปี 2016 http://www.thaicma.or.th/cms/assets/Uploads/document/tcma2016-book-preview.pdf สารผสมเพมิ่ (2020) ซเี มนต์และการประยุกตใ์ ช้งาน https://www.cpacacademy.com/download/cpacacademy_com/E- CEMENTAPP%20U11.pdf สริ ิลักษณ์ จันทรางศุ (2534), วชิ าการเรอ่ื งในดา้ นการสะพาน, วารสารกรมทางหลวง ปีท่ี 28, ฉบับที่ 11, กรมทางหลวง, กระทรวงคมนาคม, 2534. หม่อมหลวงประทีป มาลากลุ (2530), พัฒนาการบา้ นของคนไทยในภาคกลาง, สานกั พิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , กรุงเทพฯ หมอ่ มราชวงศห์ ญิงแนง่ น้อย ศกั ดิ์ศรี (2537), มรดกสถาปัตยกรรมกรงุ รตั นโกสนิ ทรฯ์ 2, โรงพมิ พ์ กรงุ เทพ, กรุงเทพ. อภิญญา ทวนทอง (2552), อาคารทรงปราสาทกับการเปลย่ี นแปลงความคดิ และความหมาย : กรณีศกึ ษาอโุ บสถหลังใหม่วัดโสธรวรารามวรวิหาร, วิทยานพิ นธ์ สาขาวชิ าประวัติศาสตร์ ศลิ ปะ ภาควิชาประวัตศิ าสตร์, บัณฑิตวิทยาลยั , มหาวิทยาลัยศลิ ปกร.
251
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265