- หลวงพอ ดิเรก ผลปญุ โญ - (อาจารยด ิเรก ถอื กลา)
- อาจารยด ิเรก ถอื กลา -
คำนำ วันที่ 1 เมษายน 2561 อายุครบ 7 รอบ 84 ปีเต็ม นับว่าอายุของหลวงพ่อล่วง มากแล้ว จึงเห็นควรเขียนประวัติจากประสบการณ์จริง ประสบการณ์ตรงที่ ปฏิบัติมา ด้วยเจตนาเพื่อให้ผู้ทีไ่ ด้รบั รู้จากการอ่านได้เกิดแรงบันดาลใจ ได้เหน็ แนวคดิ การต่อสู้ การแก้ปญั หา รวมไปถึงการไดส้ รา้ งสงิ่ ต่าง ๆ เอาไวใ้ หแ้ ก่สังคม แกช่ มุ ชน โดยเรม่ิ ตัง้ แต่ พ.ศ. 2494 – 2499 ชวี ิตนักเรยี น ชีวิตเดก็ วดั การต่อส้จู นประสบผลสำเรจ็ พ.ศ. 2500 – 2501 ชีวิตนักศึกษาจากวิทยาลยั ครูอาชีวศึกษาสีเ่ สาเทเวศน์ พระนคร พ.ศ. 2502 – 2537 ชีวิตครูบ้านนอก 35 ปี เป็นครูและผู้บริหารโรงเรียน 5 โรงเรยี น โดยหลวงพ่อจะเขยี นแยกเป็น 4 สว่ น คอื สว่ นที่ 1. ชวี ติ ทางโลกดา้ นการศกึ ษาและการทำงาน สว่ นท่ี 2. ชีวติ ทางธรรมกบั การออกบวชเป็นพระภิกษุ ส่วนที่ 3. คติธรรม คำสอน ประจำวัน ที่หลวงพ่อได้รวบรวม คติธรรมคำ สอนทางพระพทุ ธศาสนา มาไว้เปน็ ขอ้ เตือนใจ สว่ นที่ 4. บนั ทกึ การสร้างทานบารมี โดยทง้ั 4 สว่ น ที่หลวงพ่อไดเ้ รียบเรยี งขนึ้ มาน้ี มาจากเรอ่ื งจริงจากประสบการณ์ ในชวี ติ จรงิ ไดพ้ บ ได้ปฏิบัติมาตัง้ แตเ่ ป็นนกั เรียนมาจนถึงปจั จบุ ัน โดยหลวงพอ่ จะ 05 | เร่อ� งเลา ของพอ
ไม่ได้เล่ามากนักในเรื่องส่วนตัวและครอบครัว เพราะจะมีเนื้อหาที่กว้างขวางไป และขัดกับเจตนาที่หลวงพ่ออยากให้หนังสือนี้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตและ การทำงาน หลวงพ่อหวงั ว่า ผอู้ ่านจะได้ประโยชน์จากการได้เรียนรู้ชวี ิตและแนวคิดของคน ๆ หน่ึง แลว้ นำไปปรับใชก้ ับการดำเนินชีวิตของตนเองต่อไป 1 กรกฎาคม 2561 หลวงพอ่ ดเิ รก ผลปญุ โญ จากทางโลกสทู างธรรม | 06
สว่ นที่ 1 ชวี ติ ทางโลกดา้ นการศกึ ษาและการทำงาน ชาตกิ ำเนดิ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 เป็น วันเกิดของหลวงพ่อดิเรก ผลปุญโญ ถือกล้า เกิดที่ บ้านเขวาสินรินทร์ อำเภอ เมือง จังหวัดสุรินทร์ เป็น บุตรคนท่ี 3 ของคุณพ่อแป้ง คุณแม่ออด ถือกล้า มพี ่นี อ้ ง รว่ มสายโลหิต 9 คน การศึกษา พ.ศ. 2484 - 2490 เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนบ้าน เขวาสนิ รินทร์ (ปัจจบุ ันเปลย่ี นชอ่ื เปน็ โรงเรียนอนุบาลเขวาสนิ รินทร)์ พ.ศ. 2494 - 2499 เข้าเรียนที่โรงเรียนช่างไม้สุรินทร์ ในชั้นมัธยม อาชีวศึกษาตอนต้น หลักสูตร 3 ปี และได้ศึกษาต่อในชั้นมัธยม อาชีวศึกษาตอนปลายหลักสูตร 3 ปี ได้รับทุนการศึกษาของกรม อาชวี ศึกษาทงั้ 2 ระดบั ด้วยเป็นผเู้ รียนดี และมคี วามประพฤตเิ รียบร้อย พ.ศ. 2500 - 2501 ได้เขา้ ศกึ ษาท่ีวิทยาลบั ครูอาชีวศึกษาส่ีเสาเทเวศน์ พระนคร หลักสูตร 2 ปี โดยได้รับทุนการศึกษาของกรมอาชีวศึกษา ดว้ ยการสอบชิงทุนได้มาเป็นลำดับ 1 เรียนสำเรจ็ ไดร้ บั ประกาศนียบัตร (ป.ก.ศ. อาชวี ศกึ ษา) ประกาศนยี บตั รการศกึ ษาของกรมอาชีวศึกษา 07 | เรอ�่ งเลาของพอ
วถิ ีชีวิตเดก็ วดั วัดชุมพลสุทธาวาส เมืองสรุ นิ ทร์ ในอดีตกาลผ่านมาเป็นเวลานานถึง 68 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 – 2561 อายุของ หลวงพ่อ 83 ปี ขณะที่เขียนประวัติเล่าเรื่อง 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 และได้ อปุ สมบทมาแล้ว 11 พรรษา เป็นเรื่องจรงิ ประสบการณ์ตรงทไี่ ด้พบเป็นมาด้วย ตนเอง เป็นของฝากเพื่อพิจารณา และศึกษาเปรียบเทียบสมัยก่อนเมื่อ พ.ศ. 2494 จนถงึ ปัจจุบัน และคนสมัยก่อนกับคนสมยั ปัจจุบัน ให้บตุ รหลานรุ่นหลังได้ อ่านพจิ ารณา ความสำเรจ็ ของการศกึ ษา มูลเหตุแห่งความสำเร็จ คือ มีความ เพียร, ความอดทน, การต่อสู้กับ ปญั หา, อปุ สรรค, สทู้ นต่อความทุกข์ ยากทุกชนิด, การเรียนเอา, ความ ขยันเป็นที่ตั้ง, ทุกอย่างทำอย่างไม่ ท้อถอย, เรียนจริง, สู้จริง, เอาชีวิต เข้าแลก, ไม่โลเล, ไม่ประพฤตินอกทาง, งดเว้นอบายมุขทุกชนิด จึงประสบ ผลสำเร็จไดด้ ว้ ยดี สิ่งที่กล่าวโดยสรุปนี้ หลวงพ่อได้ปฏิบัติทำจริง จึงประสบผลสำเร็จได้รับ ทุนการศึกษามาเป็นเวลา 8 ปี จนได้รับราชการเป็นครู - ผู้บริหารโรงเรียนจน ครบอายุราชการ องค์ประกอบที่ทำให้เกิดผลสำเร็จในชวี ิต คือ ชีวิตแห่งเด็กวดั ชุมพลสุทธาวาส เมอื งสรุ ินทร์ ชวี ิตแห่งเดก็ วัด วัดชุมพลสุทธาวาส ก่อนอ่นื ทจ่ี ะเขยี นกลา่ วเลา่ เร่ือง กระผม นาย เงียง (ดิเรก) ขอนมัสการดวงวิญญาณของพระครูขุนรสศิลขันธ์ อดีตเจ้าคณะ จากทางโลกสทู างธรรม | 08
จังหวดั สรุ ินทร์ (หลวงพอ่ เปา) ช่วง พ.ศ. 2494 - 2499 กระผมไดอ้ าศัยวัดเป็นที่ พักอาศยั เรยี นเปน็ เวลา 6 ปี กระผมไม่ได้มีเจตนาทล่ี บหลู่ ทำลาย คณุ งาม ความ ดีของทา่ น เพยี งแตข่ ออนญุ าตนำเอาแบบอยา่ งความเปน็ ระเบียบ แนวทางทห่ี ลวง พ่อได้นำเอาอบรมสั่งสอนเด็กวัดเป็นเด็กเรียน ทำให้เด็กวัดที่ได้ปฏิบัติตามข้อ ปฏบิ ัติทีห่ ลวงพ่อไดว้ างไว้ ได้รับผลสำเร็จทางการศึกษามีชวี ิตเจริญก้าวหน้าใน อาชีพการงาน ทกุ คน ระเบียบวนิ ัยขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องเด็กวดั พ.ศ. 2494 - 2499 ท่านไม่ได้เขียนไว้ แตเ่ ป็นท่ีรู้ กนั ทกุ คนตอ้ งจำไว้เพ่อื การปฏิบัติตาม คอื 1. ห้ามพดู เสยี งดัง 2. ห้ามเดนิ บนกฎุ ีเสยี งดงั 3. หา้ มขดั คำสง่ั 4. หา้ มออกเทยี่ วกลางคืน 5. หา้ มขาดทำวัตร เชา้ ตี 4 เยน็ 18.00 - 19.00 น. 6. อย่าขาดทำความสะอาด กวาดบรเิ วณวดั ใต้ตน้ พกิ ุล เขา้ - เยน็ 7. ห้ามหยอกล้อกนั เลน่ บนกุฎี 8. หา้ มขาดเรียน บทลงโทษ ผิดระเบียบทั้ง 8 ข้อ ลงโทษสถานเดียว คือ ตี 3 ที ด้วยไม้เรียวหวาย ความยาว 1 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 - 3 ม.ม. โดยวิธีลงโทษ หมอบ - กราบ ท่านตี 2 - 3 ครั้ง ก่อนหยุดเตะแถมอีกต่างหาก ผู้ถูกตีต้องระวังรีบลุกวิ่งหนี ขณะที่ท่านตีทำโทษเด็กวัด เด็กทุกคนในวัดจะแอบคอยดู คอยฟังเสียงไม้เรียว และบอกความผิด เด็กทุกคนขวัญหนี แต่สู้ทน โดยมีเป้าหมายอันเดียวกัน คือ ต้องทนสู้ใหจ้ บการศึกษา ที่ดีที่สุดคอื ท่านไม่เคยอาฆาตเด็กวัด ตีไปแล้วกแ็ ลว้ ไป ใครทำตามระเบียบทา่ นวางไวก้ ็อยไู่ ด้ 09 | เร่อ� งเลา ของพอ
ในปีพ.ศ. 2494 หลวงพ่อถูกลงโทษ 4 ครั้ง มูลเหตุแห่งการถูกตี เพราะทำ ความผดิ กฎของวัดจนเปน็ เหตใุ ห้ถูกลงโทษ ถกู ทำโทษคร้งั ที่ 1: ไม่ไปเก็บผัก พ่อเปน็ หัวหน้าเด็กวัด (ชน้ั ม. 5) ทา่ นใชใ้ หไ้ ปเก็บผักท่ีหน้ากรมทหาร แต่เดิมเป็น ป่าและทางตะวันตกกรมทหารก็มีป่าผักหลาย ๆ ชนิด หลวงพ่อรับคำสั่งแล้วได้ พาเดก็ วัดไป แต่เด็กวดั ไมย่ อมไป เมอื่ ไมม่ ีใครไป พ่อกไ็ มร่ ูจ้ ะทำอย่างไรจะใช้กำลัง ก็มีแต่เดก็ ๆ จะเตะ ตีเขา เขาก็เล็ก ก็เลยทนไม่ไป เมื่อเวลาทำอาหารต้องใช้ผักใบ ตว้ิ ยอดใบตวิ้ ต้มกับปลากรอบ เม่ือถึงเวลาทำอาหารไมม่ ผี กั จะตม้ กับปลากรอบ ก็ทราบถึง “สมุแป” ผู้สั่งพ่อให้ไปเก็บ แต่ไม่ได้ไปเก็บ โทษสถานเดียวคือตี ท่าน “สมุแป” ไม่พูดอะไร ไม่ถามอะไร เรียกพ่อไป ให้หมอบ ตีด้วยไม้เรียวแบบหวาย 3 ครั้ง หมดแรงท่าน หลวงพ่อเจ็บสุด ๆ ครั้งแรก ครั้งที่ 2 – 3 ก็ทนกัดฟัด เจ็บก็ เจ็บ, ตายก็ตาย (ผิด ขัดคำสั่งข้อ 3) เมื่อท่านตีเสร็จแล้วท่านไม่พูดอะไร ท่านก็ เรียกใช้เหมือนเดิม อีกประการหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2500 หลวงพ่อกำลังเรียนที่ วิทยาลยั ครอู าชวี ศกึ ษาส่เี สาเทเวศน์ ท่านไดส้ ่งเงินใหพ้ ่อ 100 บาท เงินเวลาน้ันมี ค่ามาก พระคุณท่านมีกับหลวงพ่อมาก ดังนั้นจึงขอกราบนมัสการดวง วิญญาณของทา่ นในโอกาสน้ี ถูกทำโทษคร้ังท่ี 2: กระโถนบนิ ทำลายแกงเหาะ เป็นการฝา่ ฝืนระเบยี บขอ้ 1 หา้ มพูดเสียงดงั เรื่องน้ีเป็นเรอ่ื งเฮฮาในวงการเด็กวัด ไปพกั หน่งึ เรือ่ งมอี ย่วู า่ วนั หนงึ่ เดก็ วัด 5 คน ตง้ั วงกนิ ขา้ ว มีแกงในชาม 1 ใบ ก็ยก แกงสงู อยู่ในระดับปาก แล้วสง่ กันชมิ (ซด) กันต่อไปโดยไมว่ างลงเป็นแกงเหาะ และ มีการสง่ ข้าม รายทถ่ี กู ส่งขา้ มโวยวาย เสียงดงั ล่นั หลวงพ่อพระครูขนุ รสศิลขันธ์ ได้ยินพูดเสียงดัง จับกระโถนเต็มไปด้วยน้ำหมาก พลู ขว้างบินมายังวงกินข้าว จากทางโลกสทู างธรรม | 10
แตกกระจาย แกงเหาะเจอกระโถนบินกแ็ ตกกระจายดว้ ย ทั้ง 5 คนก็ว่ิงหลบเอาตัว รอด ตวั ใคร ตัวมัน เปน็ เร่อื งเฮฮา สนุนสนาน ไปพกั หน่ึง ถกู ทำโทษครงั้ ที่ 3: พระสงฆก์ บั เดก็ วดั รว่ ม 100 ชวี ติ เดนิ พาเหรดรอบศาลารอบ กฎุ ี รวมเวลา 1 ชวั่ โมง 30 นาที เป็นการฝ่าฝืนระเบียบ ข้อหา้ มที่ 2 หา้ มเดินเสียงดงั บนกุฎี วนั นนั้ คงมีเหตุการณ์ สำคัญเกดิ ขน้ึ ไดย้ ินเสยี งตีระฆงั ดงั ถีย่ บิ ไปตามอารมณ์ของผู้ตี หลวงพ่อพระครู ขนุ รสศิลขนั ธ์ เจา้ อาวาสสง่ เสยี งดังล่ัน สัง่ ให้พระเณรทุกรปู และเด็กวัดทุกคนออก จากกุฎีมารวมกันตรงระเบียงรอบศาลาท้ังพระเณรและเด็กรวมคงถึง 100 ชีวติ ส่งั ให้ทุกทา่ น ทกุ คน เดินพาเหรดบนกฎุ ี นอกกุฎี 5 หลงั เปน็ ทวี่ ่างมีระเบียงเชื่อม ศาลาตรงกลาง เปน็ ทรี่ วมทำบุญไม่มใี ครทราบเลยว่าใครเป็นตน้ เหตุใหเ้ กดิ เร่ืองน้ี เพราะขณะนั้นเป็นเวลา 19.00 นาฬิกา แล้ว เวลาเดินท่านให้ยกส้นไม่ให้ถึงพื้น แม้แต่มีผู้เดินรว่ ม 100 ชีวิต ก็ไม่ได้ยินเสยี งดังเลย โอ้ ระเบียบ กฎต้องเป็นกฎ ให้ ไดแ้ บบน้บี า้ นเมืองก็จะเจรญิ ก้าวหนา้ ประเทศชาตจิ ะเจริญก้าวหนา้ ไปไกลแน่ ๆ ถูกทำโทษคร้งั ที่ 4: ไม้เรียวสอนเด็กออกเท่ียวกลางคืน เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อห้าม ข้อที่ 4 ห้ามออกเที่ยวกลางคืน เมื่อ พ.ศ. 2494 นานนานจะมีหนังภาพยนต์มาฉายกลางแปลงให้ดู บางครั้งมีพวกขายยา, บางครง้ั ก็จะมีงานฉลองพระใหม่ แตก่ น็ านกว่าจะเห็นสักครัง้ เด็กวัดส่วนใหญ่มา จากบ้านนอก ไม่เคยเห็นหนังเลยก็มี เมื่อเวลาได้ข่าวหนังฉายกลางแปลงก็ ดีใจ อยากไปดแู ทบใจจะขาด แตก่ ็ตดิ ขดั ออกไปไมไ่ ด้ ถ้าออกไปก็ตอ้ งถูกตแี น่ เพราะทุก คนรรู้ ะเบียบการออกเทยี่ วกลางคืนแลว้ แต่ตอ้ งจำยอมใหถ้ ูกตเี พราะอยากเห็นไม่ เคยเห็นเลยตั้งแต่เกิดมา ในวันนั้นมีเด็กวัดรวม 6 คน ตัดสินใจออกไปดูหนัง กลางแปลงที่ต้นโพธิ์ทางตะวันตกวัดหนองบัว ปัจจุบันเป็นที่สร้างโรงแรมเพชร เกษมและหา้ งขายสินค้า หนังเรมิ่ ฉายแต่เวลา 19.00 - เลิก 22-23-24 นาฬิกา 11 | เร�อ่ งเลาของพอ
เวลาปกตวิ ัดจะปิดประตูทัง้ 3 ด้าน คอื ทางทิศเหนอื ทิศใต้ และทศิ ตะวันตก พร้อม กันเวลา 19.00 น. ห้ามใครออกไปไหน ผู้จะออกไปเที่ยวต้องไปก่อน 19.00 น. เด็กวัดทั้ง 6 คน ออกจากวัดก่อนเวลาประตูปิด เวลา 22.00 นาฬิกา หลวงพ่อ พระคุณขุนรสศิลขันธ์ ได้ออกเปิดประตูทางเหนือไว้ ถือไม้เรียวยืนบังบานประตู เด็กวัดทก่ี ลบั จากเท่ียวเดินขนึ้ มาท่านได้จงั หวะตสี ดุ แรงคนละ 1 ที ทกุ คนทีอ่ อกไป เที่ยว โอย! เจ็บ! ตั้งแต่นั้นมาไม่มีเด็กวัดคนไหนออกเที่ยวเลย หลวงพ่อไม่กล้า ออกไปไหนช่วงหลัง พ.ศ. 2499 เร่งเรียนเพื่อสอบชิงทุนด้วย และตัวเองเป็น หวั หน้าเดก็ วดั ด้วย จึงตอ้ งเปน็ ตัวอย่างให้น้อง ๆ เขานับถือ เตะฟุตบอล พนันเงนิ 20 บาท และเตะ “ฟาดกา้ นคอ” เริ่มต้นฤดูหนาวแล้ว สนามหน้าโรงเรียนประชาบาลอยู่ทางทิศหลังวัดชุมพล สภาพสนามแห้ง พอเล่นฟตุ บอลออกกำลังกายได้ ช่วงเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 พอ่ กำลังเรียนอยูช่ ้ันมธั ยมอาชวี ศึกษาตอนต้นปีท่ี 3 (ม. 3) อายุ 17 ปีแล้ว สภาพร่างกายแขง็ แรงดี คณะเด็ก กระเป๋ารถ และพวกจับกังแบกข้าวสาร กรรมกร ที่มีบ้านพักอยู่ทาง ตะวันตกวัดและที่ใกล้เคียงได้มาท้าทายเล่นการพนันฟุตบอลด้วยเงิน 20 บาท เงินสมัยนั้นมาก “เดิมพัน” ครั้งนั้นมีเด็กวัดที่เรียนชั้น ม. 6 แล้ว รับท้าพนันไม่ ทราบวา่ เงนิ 20 บาทเอามาจากไหน โดยเขาเองเป็นเจา้ ของเงิน เป็นหวั หน้าทีมพา เดก็ ครบทมี เล่น เวลา 16.00 น. เร่มิ ลงเลน่ ทมี เดก็ วดั เตะไปทางทิศตะวนั ออก ทมี กรรมกร กระเป๋า รถ เตะไปทางทิศตะวันตก เริ่มเล่นได้ไปประมาณ 15 นาทีเท่านั้น มีเหตุการณ์ อุบัติเหตุเกิดข้ึนกับทีมกรรมกร จับกัง ก่อนเกิดเหตุฝ่ายทีมกรรมกร กระเป๋ารถ ตวั ใหญ่ เร่มิ บุกนำลูกบอลมาเกินคร่ึงสนามแล้ว ขณะน้นั ลูกบอลกำลังถูกเตะโด่ง มนี กั เตะตัวอว้ นใหญ่ เตยี้ กระโดดโหมง่ ลกุ บอล พอดกี ับจงั หวะที่พอ่ เงยดูลูกบอล จากทางโลกสทู างธรรม | 12
เขาก้มเอาศรีษะโหม่ง โดยพ่อไม่ได้สังเกต พ่อใช้กำลังเตะสุดแรงเพื่อสกัดบอลไว้ ถูกก้านคอเขาสลบทันทีถึง 20 นาที คุณพระช่วย! ทุกคนลงความเห็นว่าเขาคง ตายแน่ เมื่อเขาตายพ่ออาจจะถูกกล่าวหาว่า ฆ่าคนโดยไม่เจตนา แน่ ๆ คือ อนาคต - การเรียน กำลงั ร่งุ ต้องดับ แต่บุญพ่อยงั มีอยู่เขาฟ้ืนมาแลว้ พ่อดีใจเข้าไปกราบขอโทษเขา เขาก็ใหอ้ ภัยดว้ ย น้ำใจนักกีฬา หลังจากนั้นพ่อไม่เคยลงเล่นฟุตบอลเลย เพราะกลัวเหตุการณ์ กรรมจะตามมา การกนิ อยูข่ องเด็กวัด เมอื่ พ.ศ. 2494 – 2499 อาหารเช้า ข้าว ได้จากข้าวก้นบาตรที่พระไปบิณฑบาตร พระฉันเหลือ แบ่งให้หลายคน บางครั้งพ่อเคยได้ข้าว 1 กำมือ กินและไปโรงเรียนก็เหนื่อยแสนเหนื่อย ดื่ม น้ำเปลา่ กับ ไม่มี “เกลือ” บางที “ปลาเคม็ ” อาหารกลางวนั ทกุ คนที่ไปเรยี น 80% ไม่ได้ทานขา้ วกลางวัน เพราะไมม่ เี งนิ แมค่ ้าไมไ่ ด้มาขาย เพราะเด็กไมม่ เี งินซอ้ื อาหารเย็น นำข้าวสารมาจากบ้านมาหุงกินเม่ือกลับถงึ วัด หม้อวัดไมม่ ตี ้องรอคิว ตอ้ งหุง ใชฟ้ นื หมอ้ ส่วนใหญ่เด็กจะเอามาจากบ้าน บางทรี อคิวหม้อถึงเวลา 2 ทุ่มกวา่ ได้กนิ ขา้ ว โดยมีกับขา้ ว ปลาทเู คม็ และไข่เป็ด ทีน่ ำมาจากบา้ น พรอ้ มข้าวสาร ไม่มีอะไรก็เกลือ พอประทังชีวิตไปแต่ละวัน เด็กวัดจะได้กินอิ่มคือวันพระ เท่านัน้ 13 | เร�อ่ งเลาของพอ
เงินค่าใช้จ่ายในการเรียน วันเสาร์ - อาทิตย์ เด็กวัดจะกลับบ้านเพื่อนำข้าวสาร พร้อมกับ “เงินอาหารแห้ง” “เงิน” ได้ = 5-10-20 บาทเท่านั้น“เงิน” ที่นำมาให้ เป็นค่าอาหารและค่าสมุดหนังสือเครือ่ งเรียน แต่ละอาทิตย์ แต่ละคนได้เงินมาไม่ เกิน 20 บาท สูงมาก ส่วนมากได้มา 5 -10 บาท เพราะเดนิ เอา ไม่มีรถจะขึน้ พ่อ ได้ 5 -10 บาท พ่อเดินทางกลับบ้านระยะทาง 15 กิโลเมตร - ไปบ้านเขวา, กลับ 30 กิโลเมตร แถมแบกขา้ วสารมากนิ ด้วยประมาณ 15 - 20 กิโลกรัม หลวงพ่อสู้ ทน มาแล้ว ต้องสู้ ตอ้ งทน ตอ้ งสู้ “อด” ไมม่ อี ะไรกนิ ต้องอด น้ำยังมปี ระทังชีวิต กว่าจะประสบ ความสำเร็จต้องเอาจริง ต้องทน ตอ้ งสู้ ต้องขยัน “เอาชีวติ เข้าแลก” ทำให้พ่อได้ เรียนร้วู ่า “ต้องทำงานทุกอยา่ งจรงิ ในทีส่ ุดผลของมันจะมมี าเอง จะเกิดเอง” “ใต้ทอ้ งฟา้ น้ี ไมม่ ีอะไรทีม่ นุษย์ทำไมไ่ ด้ นอกจากไมท่ ำเทา่ น้ัน” “ความเพียร เป็นทางแหง่ ความสำเรจ็ ” “ตอ งทำงานทุกอยางจรง� ในทสี่ ุดผลของมนั จะมีมาเอง จะเกิดเอง” “ใตทอ งฟา น้ี ไมมอี ะไรท่ีมนุษยท ำไมได นอกจากไมทำเทา นนั้ ” “ความเพ�ยร เปนทางแหงความสำเร็จ” จากทางโลกสูทางธรรม | 14
การดำรงชีวิตของชาวบ้าน เมอ่ื พ.ศ. 2494 การดำรงชีวิตของคนสมัยนั้นไม่มเี คร่ืองทุ่นแรง, ไม่มเี ครื่องจกั ร, ไม่มไี ฟฟ้า, ไม่มี รถทุกชนิด, ที่จะขนส่ง, ถนนเป็นทางเกวียน, ไปไหนเดินด้วยเท้า การขนส่งทาง ไปรษณีย์ใช้ม้าในการขนส่งจดหมาย อ่ืน ๆ มีธรุ ะ กิจการใกล้ - ไกล เดินด้วยเท้า บ้างก็มีม้าขี่ไปธุระไกล ๆ แต่ต้องเป็นคนรวย พอมีเงินซื้อม้าได้ ขนข้าวเปลือกไป ขายใช้ระยะทาง 10 - 20 กิโลเมตร ต้องไปค้างคืน 1 คืน ถึงกลับได้ เช่น จาก หมู่บ้านจากบ้านเขวาสินรินทร์ไปเมืองสุรินทร์ถ้าขนข้าวไปขาย ต้องค้างคืน ระยะทาง 15 - 18 กโิ ลเมตร เท่านั้น การจะได้ข้าวมารับประทาน การใช้ชีวิต ทุกอย่างทำเองทั้งหมด ด้วยกำลัง แรงงานคนทำในเรอื่ งชวี ติ พื้นฐาน เปน็ ตน้ วา่ 1. ก่อนจะกินขา้ ว ตำข้าวดว้ ยครกไม้ ฝดั ข้าวดว้ ยกระดง้ ออกมาเป็นข้าวสาร หงุ กิน 2. เมอ่ื เวลาหุงขา้ ว ต้องใช้ฟืน เปน็ ไมแ้ หง้ หงุ ดว้ ยหมอ้ ดิน 3. เวลาหงุ ขา้ วถ้าไมม่ ไี ฟ และไม่มไี มข้ ีดไฟ ใช้ไม้ไผ่แหง้ สีกันใหเ้ กิดไฟ 4. น้ำดม่ื ตอ้ งเดนิ ไปหาบจากบอ่ บางแห่ง หา่ งจากบ้านระยะ 1 - 2 กิโลเมตร 5. กลางคืนไม่มีไฟ ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด หรือ กระบอกยางชันใหญ่เท่าแขน ยาวประมาณ 50 เซนตเิ มตรจดุ ใชก้ ารเดินทางและทำธรุ ะอ่ืน 6. เครอ่ื งห่ม, นุง่ เสอ้ื ผ้า กว่าจะไดม้ าต้องปลูกฝ้าย ปนั่ ฝ้าย เอาด้ายฝ้ายมา ทอเป็นผา้ จงึ ตดั เปน็ เครอ่ื งนงุ่ ห่ม 7. การขนสง่ สนิ ค้าใชว้ วั ลากเกวยี น บรรทกุ ของไปขายไปแลก ทำธุระ 8. ยารกั ษาโรค ใชส้ มนุ ไพร ตน้ ไม้ รากไม้ ทั้งหมด 9. ไปทำธรุ ะทไี่ หน ใกล้ - ไกล เดนิ ด้วยเท้า ต่างอำเภอ ต่างจังหวดั 15 | เร่�องเลา ของพอ
เป็นตัวอย่างของวิถีชีวิต ที่อยากให้เหน็ ว่า การใช้ชิวิตของคนในยุคน้ัน ต่างจาก ยุคนอ้ี ยา่ งไร จดุ เปลยี่ นสำคญั ของชวี ติ : สอบชงิ ทนุ การศกึ ษา ปีการศกึ ษา 2499 (พ.ศ. 2500) เมื่อมีการประกาศผล การเรียนหลังสอบ ป ล า ย ปี เ ร ี ย บ ร ้ อ ย แ ล้ ว ทา ง โ ร ง เ ร ี ย นแ จ ้ ง ใ ห้ น ั ก เ ร ี ย น ท ี ่ เ ร ี ย น จ บ ช้ั น มัธยมอาชีวศึกษาตอน ปลายทราบทั้ง 40 คน ให้ สมัครสอบแข่งขันชิงทุนไปเรียนต่อที่วิทยาลัยครูอาชีวศึกษา สี่เสาเทเวศน์ พระ นคร เป็นทนุ ทีใ่ ห้ท้ังจังหวดั 2 คนโดยครง้ั นน้ั มผี ู้สมัครสอบแขง่ ขัน 7 คน พระครู ขุนรสศิลขันธ์ ถามเรื่องสมัครสอบ พ่อได้เรียนท่านไป มีอยู่วันหนึ่ง ท่านได้เชญิ อาจารย์ใหญ่ (ผอ.) โรงเรียนช่างไม้มาบอกว่า “ผอ. เป็นกรรมการ การสอบชิง ทุนครั้งนี้ถ้าลูกศิษย์เด็กวัดนายดิเรก สอบได้ ขอให้มันได้ อย่าได้พลิกแพลงให้ ผู้อ่ืน” แลว้ ทา่ น ผอ. ก็ลากลับไป วชิ าท่ีสอบเพือ่ ชงิ ทนุ มี 3 วชิ า ประกอบด้วย 1. วิชาการการออกแบบ (แผนผัง) บา้ น โดยออกแบบตามแนวความรเิ ริ่มของ ตน 2. วชิ าเรยี งความ กำหนด หวั เร่อื งให้บรรยาย โดยตอนนนั้ พอ่ เขียนบรรยาย 4 หน้ากระดาษ “ตวั บรรจง” 3. วชิ าความรู้ท่ัวไป ดเู ชาว์ ปัญญา, ไหวพรบิ ความกลา้ แสดงออกด้วยการ สมั ภาษณ์ พอ่ ตอบเล่าประสบการณต์ ่าง ๆ ทไ่ี ดพ้ บเห็นในตา่ งจงั หวัด เห็น จากทางโลกสทู างธรรม | 16
สิ่งใหม่ ๆ อย่างชัดเจน คล่องแคล่ว ไม่ประหม่า ไม่กลัว ไม่ตกใจ พ่อจำได้ ว่า กรรมการใช้เวลากบั พอ่ นานกวา่ ผูเ้ ข้าสอบคนอ่ืน แต่ด้วยการที่ผู้สอบวันนั้น 7 คน ที่เป็นอันรู้กันว่า มี 2 คนที่เป็นคนใกล้ชิดกับผู้ หลกั ผู้ใหญ่ทางการศึกษาของจงั หวดั ถึงพอ่ จะมั่นใจว่า ถา้ วา่ ตามเน้อื ผา้ แลว้ พอ่ นา่ จะผา่ นไดอ้ ย่างแน่นอน แต่เมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่น เรอื่ งปจั จยั อ่นื ๆ ที่ไม่ เกย่ี วกับการสอบ ทำให้พอ่ ไมม่ ั่นใจว่าจะได้หรือเปลา่ จงึ บอกตวั เองว่า “ฉันสร้าง อนาคตของฉันเอง ผ้อู ื่นสร้างไม่ได้ ทางไปสคู่ วามสำเรจ็ ไม่ใชท่ างโรยดอกกุหลาบ ความขยนั หมนั่ เพยี รเทา่ น้ัน คือทางแหง่ ความสำเร็จ ชีวิตฉันยงั มหี วัง ตราบเท่า มชี วี ิตอยู่” และเมื่อบอกตัวเองได้แบบนั้น จึงตัดสินใจเรียนต่อชั้นสูงอีก 3 ปี เข้าเรียนท่ี โรงเรยี นชา่ งไม้ จังหวดั นครราชสมี า และชว่ งปลายเดอื นมีนาคม พ.ศ. 2500 กไ็ ด้ เตรียมเดนิ ทางไปเรียนตอ่ ชัน้ สงู ที่โรงเรยี นช่างไม้นครราชสีมา โดยทางรถไฟ ตอน เช้ามืดได้เขา้ ไปกราบลาพระทุกรูปท่ไี ดอ้ าศัยกินข้าวก้นบาตรมาเวลา 6 ปี ตง้ั แตเ่ กิดมาไม่เคยนั่งรถไฟแมแ้ ต่ครงั้ เดยี ว นั่งรถไฟเปน็ ครงั้ แรก ต่นื เต้นมาก แถม การเดนิ ทางไปคร้ังน้ีกไ็ ปคนเดียว ไม่รจู้ ักใคร พ่อต้องระวงั กริ ิยาไว้ ระงับไม่ให้ใคร รู้วา่ เราไม่เคยน่ังรถไฟ และน่ังจ้องทุกสถานี จนถงึ สถานีรถไฟจีระ เป็นสถานีท่ีจะ ลง เมอื่ ถงึ แล้วสำรวจกระเปา๋ เดินทาง ลงมาเรยี กสามล้อถบี ใหส้ ่งไปวดั แหง่ หน่ึงท่ีท่าน มหาทางวัดชุมพลฝากมาให้พักชั่วคราว พักอยู่ที่วัดในเมืองนครราชสีมาได้ 2 วัน เดินทางไปพักที่โรงเรียนช่างไม้ โรงเรียนช่างไม้นครราชสีมา โดยมีจดหมาย ฝากจากครูโรงเรียนช่างไม้สุรินทร์ให้ถือไปส่งให้ท่าน ท่านต้อนรับอย่างดี จัด สถานที่พักอย่างดีให้ พอ่ ก็ช่วยทำงานท่านทุกอย่าง เตม็ กำลงั ความสามารถ แต่ พ่อพักอยู่กับท่าน ครูโรงเรียนช่างไม้นครราชสีมาได้เพียง 5 วันเท่านั้น ก็ได้รับ 17 | เร�่องเลา ของพอ
ข่าวดี เพราะมีนักเรยี นจากโรงเรียนช่างไม้สุรนิ ทร์ เขาเดินทางมาสมัครเรียนต่อ ชั้นสูงเหมือนกัน เขาบอกว่า “นายดิเรก ถือกล้า สอบชิงทุนการศึกษา เพื่อเรียน ต่อที่วิทยาลัยครูอาชีวศึกษาสี่เสาเทเวศน์ ได้มาเป็นอับดับ 1” ตอนนั้นพ่อดีใจ มากอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่บอกกับตัวเองว่า “เรามีบุญแล้วที่ได้ทุนเรียนต่อ 2 ปี กลับมาจะได้เป็นครู มเี งนิ เดอื น ฉนั โชคดี ความยตุ ิธรรมยังมีอยู่ในโลกน้ี” พ่อหัน หนา้ มาทางทิศท่จี ังหวัดสรุ ินทร์ แล้วก้มกราบระลึกถึงพระคุณพระขุนรสศิลขันธ์ 3 ครั้งก่อนนอน และวันรุ่งขึ้นต่อมาบอกอาจารย์ที่พักอยู่กับท่านบอกพ่อว่า สอบได้ทุนแล้วต้อง เดินทางกลับไปรายงานตัว ท่านได้แสดงความดีใจด้วย จึงได้กราบลาท่าน เดินทางมารายงานตัวที่แผนกศึกษาธิการจงั หวัดสุรินทร์ โดยเข้าทำสัญารับทุน ตน้ เดือนเมษายน พ.ศ. 2500 พรอ้ มกบั คุณทวน สขุ วาสนะ อกี 1 คนท่ีได้รับทุน พรอ้ มกบั รบั หนงั สือเดนิ ทางใหไ้ ปมอบตัวเขา้ เรยี น ท่วี ิทยาลัยครูอาชวี ศกึ ษาส่ีเสา เทเวศน์ พระนคร ในปลายเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2500 พระครูขุนรสศลิ ขนั ธ์ และรองเจ้าอาวาสตลอดพระคุณทุกรูปแสดงความชื่นชมดี ใจด้วย การสอบชิงทุนการศึกษาได้ครั้งนี้เป็นเกียรติประวัติแก่ตนเองและเด็กวัด ชุมพลสุทธาวาสอย่างมาก เพราะไม่เคยมีเด็กวัดสอบได้ทุนเลย จึงเป็นที่ชื่นชม ของพระคุณเจ้าทั้งหลาย ที่ได้เลี้ยงมาด้วยข้าวก้นบาตร ทนอด อดกิน ต่อสู้ ขยนั หม่ันเพยี ร ในการเรยี นและปฏิบตั ิกจิ กรรมของวัดตลอดเวลา 6 ปี จึงประสบ ผลสำเร็จ เดก็ วัดรนุ่ หลงั น่าเอาอย่าง เขา้ กรงุ เทพมหานคร: ครัง้ แรกในชีวิต เมื่อกำหนดวันเดินทางมาถึง ก็ได้นัดคุณทวน สุขวาสนะ นักเรียนทุนอีกคนหน่ึง ให้มาพรอ้ มกันทีส่ ถานีรถไฟสุรินทร์ เวลา 06.00 น. รถไฟขบวน อุบล-กรุงเทพฯ ออกจากสถานีรถไฟสุรินทร์เวลา 07.00 น. ถึงกรุงเทพเวลา 19.00 น. ซื้อต๋ัว จากทางโลกสทู างธรรม | 18
ชั้น 3 ราคา 35 บาท เทียบค่าเงนิ เงินสมัยนัน้ ถอื ว่ามีราคาสูงมาก ถึงเวลารถเข้า สถานี พ่อมาเอากระเปา๋ ข้ึนรถ มีเดก็ วดั มาส่ง 5 คนโบกมือรำ่ ลากนั รถไฟไทยในยุคนั้นเป็นรถหัวจักรไอน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงฟืน เวลาท่ีรถไฟวิ่งใช้ ความเร็วก็มีสะเก็ดไฟกระจายออกจากหัวรถจักรข้างหน้า ปลิวมาด้านหลังเข้า ทางหนา้ ตา่ ง ถา้ ผู้โดยสารคนใดไมร่ ู้ไมท่ ันตัง้ ตวั ไมไ่ ด้ปดิ หนา้ ต่างก็จะถูกสะเกด็ ไฟ เผาเสื้อผ้าที่สวมใส่มาเป็นรูทั้งตัว เมื่อถึงแต่ละสถานี ก็จะฟืนกองไว้ รถไฟก็จะ หยุดเตมิ ฟืนกอ่ นจงึ จะวิง่ ต่อไป พอรถไฟไปถึงหัวลำโพง เวลาประมาณ 18.00 นาฬิกา ใช้เวลาเดินทางราว 8 ชั่วโมง เมื่อถึงหัวลำโพงแล้ว พ่อลงจากรถไฟมองดูข้างบนเห็นเป็นรูปโค้ง ยืนงง ตกตะลงึ อยู่พักหน่ึง ก็มรี ุน่ พม่ี าคอยรับก็ดีใจมาก เขามารับกัน 5 คน เอาของข้ึน รถแทก๊ ซี่ 2 คัน ขบั ตามกันไปถึงหอพักนักศึกษาชาย เป็นตกึ คอนกรีต 2 ชั้นทาสี เหลืองออ่ น นำหนังสอื มอบตัวใหอ้ าจารย์ท่พี ักอยชู่ ้ันบน โดยที่พกั จะเป็นห้องรวม มีเตียงเดี่ยวของแต่ละคน ตัง้ ห่างกนั พอประมาณใหม้ ีพนื้ ทสี่ ว่ นตวั เหตกุ ารณ์ควำ่ จานข้าว เรื่องอาหารการกินของนักศึกษา ทางกรมอาชีวศกึ ษาให้ทุนการเรียน การกินอยู่ หลับนอน ครบหลักสูตร 2 ปี รวมเป็นเงิน 2,400 บาทต่อหนึ่งคน โดยแบ่งใชป้ ีละ 1,200 บาท แบ่งให้เป็นค่าอาหารประจำเดือนเดือนละ 120 บาท และแบ่งออกไป 20 บาท เป็นค่าซักผ้าปูที่นอนทุกเดือนตลอดทั้งปี ดังนั้นเงินค่าอาหาร ประจำเดือนเดือนละ 120 บาท จะคงเหลือจริงๆคือ 100 บาท ต่อเดือน สำหรับ นักศกึ ษาหน่ึงคน ซง่ึ นกั ศกึ ษาจะได้รับอาหารเช้าและเย็น 2 เวลาทุกวัน ซ่ึงอาหาร ก็จะซ้ำ ๆ กันทุกวนั 19 | เร่�องเลาของพอ
จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2501 มีนักศึกษาประท้วงไม่รับประทานอาหารดว้ ยการคว่ำ อาหาร เทอาหารทิ้งทั้งหมด เริ่มต้นจากมีนักศึกษา 5 คน เป็นกลุ่มที่มีความคดิ รนุ แรงเขาไม่พอใจ เรอ่ื งอาหารอ้างว่า ไม่มคี ณุ ภาพ และเป็นอาหารบดู มีการเอา อาหารเมอ่ื วันกอ่ นมาผสมใหก้ นิ ในวนั ต่อมา นอกจากนั้นยังทำอาหารซ้ำ ๆ หลาย เวลา เช่น แกงมะเขือ เห็นบ่อยแทบทุกวัน ทำให้พวกเขาไมพ่ อใจ โดยก่อนขึ้นเวลา อภิปรายเขาประกาศให้นักศึกษาทุกคนที่นั่งประจำโต๊ะอาหารเตรียมรับประทาน ให้เทอาหารท้ิงทุกอย่าง ตอนแรก พอ่ กับเพ่ือนนักศึกษาทนุ อีกคนกับรุ่นน้องสองคนจากสุรินทร์ยงั ไม่คว่ำ อาหาร คอยดูท่าทีก่อน และก็ให้สงสารน้อง ๆ ด้วยที่เพิ่งมาใหม่ก็พบเหตุการณ์ แบบนี้ พวกแกนนำห้าคนเดินมาคว่ำอาหารที่โต๊ะพ่อ พวกเราก็เลยพลอยต้อง ช่วยคว่ำอาหารด้วยเอาตวั รอดไปก่อน พวกเขาต้องการให้เปลี่ยนแม่ครัวทั้งชดุ นกั ศกึ ษากลุ่มนนั้ ขนึ้ อภิปรายบนเวที ผลดั เปลี่ยนกนั ได้จนเวลาพอสมควร ทางด้านอาจารย์ของวิทยาลัยครแู ทบทุกทา่ นจะพักประจำอยู่ในบรเิ วณวิทยาลัย และคอยจำตาดนู กั ศึกษา จนในทา้ ยท่ีสุดมอี าจารย์สุภาพสตรีท่านหนึ่งเดินเข้ามา ข้นึ เวทีพูดกบั นักศึกษาด้วยถ้อยคำเผ็ด ร้อน พร้อมแถมขู่ว่าจะส่งกลับ เพราะทำ ผิดระเบียบของวิทยาลยั ตัวพ่อเองก็เริ่มจะหวัน่ ใจ เกรงว่าถ้าเกิดมีเรื่องต้องถูก ส่งกลับ เรียนไม่จบแถมต้องชดใช้ทุน 4 เท่าของเงินทุน 2,400 บาท รวมทั้งสิ้น 9,600 บาท จะเอาเงินทไ่ี หนมาใช้คนื พอ่ กบั คุณทวน นกั เรยี นทุนท่มี าด้วยกันจาก จังหวัดสุรินทร์ เลยทำนงิ่ เงยี บไมแ่ สดงท่าทไี ม่เข้าทางไหน ต่อมามีอาจารยช์ ายทา่ นหน่งึ เข้ามา ขึน้ เวที พดู กบั นกึ ศึกษาใช้จติ วิทยา พดู เสียง ไพเราะอ่อนหวานนักศึกษาชอบใจ พวกเราทำไปแล้วจึงรู้สกึ ว่ามันไม่คอ่ ยเหมาะ ใช่ไหมล่ะ และเพราะเรายังเป็นเดก็ อยู่ ไม่เปน็ ไรอาจารย์อภัยให้ นกั ศึกษาชอบใจตบ มือให้ พวกเราต้องการอะไรจึงพากันทำเช่นนี้ ให้บอกอาจารย์มา ตัวแทน จากทางโลกสทู างธรรม | 20
นักศึกษาตอบบอกอาจารย์ว่า ที่ทำเช่นนี้ เพราะต้องการอาหารให้ดีกว่านี้ และ เปล่ยี นแมค่ รัวด้วยทง้ั ชุด อาจารยต์ อบว่าไมเ่ ป็นไร เด๋ยี วจะพจิ ารณาให้ และต้ังแต่ นี้เป็นต้นไปจะจ่ายเงินให้หากินเองตามความพอใจ “จบ” วันต่อมาฝ่ายการเงิน ของวิทยาลัยนำเงินมาให้และหาซื้อกินเองไประยะหนึ่งก่อน เวลาผ่านไป 1 เดือน อาจารย์เรียกนักศึกษาเข้าประชุมชี้แจงเรื่องการกินอาหาร ให้นักศึกษามากิน อาหารในโรงอาหารวิทยาลัยเหมือนเดิม ได้เปลี่ยนแม่ครัวชุดใหม่ทั้งหมด เปล่ียนแปลงรายการอาหารตามความเหมาะสม เร่อื งจงึ จบลง รว่ มเดินขบวนขับไล่พลเอกเผ่า ศรียานนท์ เมื่อ พ.ศ. 2500 ปลายปี มีการขัดแข้งการปกครองการบริหารบ้านเมือง ขัดกัน ระหว่าง พลเอกเผ่า ศรียานนท์ กับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกิดอะไรขึ้นกับ การเมืองในสมัยนั้น พวกเราไม่เข้าใจ เพียงแต่อยากรู้อยากเห็น และนักศึกษา หลายคนอยากรเู้ ห็น ตา่ งพากนั ปีนร้ัวเหล็กแหลมออกไปเดินขบวน อาจารย์ห้าม แล้วพวกนักศกึ ษาไม่ยอมฟงั พอ่ อยากเหน็ กต็ ัดสินใจออกไปดว้ ย พวกเราออกไปตั้งแต่ 18.00 น. ไปที่สนามหลวงเดินไป มีนักการเมืองเป็น ผู้แทนราษฎรสุภาพสตรี จากอุบลราชธานี ขึ้นอภิปรายโจมตีพลเอกเผ่า และ ขอให้จอมพลสฤษดิไ์ ล่ออกนอกประเทศ วันน้ี มคี นเข้ารว่ มฟงั ประมาณ 50 คน ผู้ ขึ้นกล่าวโจมตี พูดเสียงดัง ฟังชัด ผู้ฟังชอบใจตบมือให้ จนถึงเวลาประมาณ 19.00 น. ผู้แทนหญิงออกเดินทางนำขบวนมาจากสนามหลวงมายงั บา้ นพักจอม พลสฤษดิ์ พร้อมกับผู้ติดตามและพ่อก็มาด้วยมาที่บ้านสี่เสาเทเวศน์ ซึ่งเป็น บ้านพักของจอมพลสฤษดิ์ แล้วมายืนอภิปรายพูดโจมตี พลเอกเผ่าต่อที่หน้า ประตูบ้านของพลเอกสฤต ธนรัตน์ ซึ่งบ้านสี่เสาเทเวศน์ อยู่ติดกับวิทยาลัยครู อาชีวศึกษา หา่ งกันประมาณ 400 เมตร จากนั้นพวกเราท่ีเหลอื 6 คนพากนั กลับ ช่วงเวลา 20.00 นาฬิกา พอเวลา 21.00 นาฬิกาได้ยินเสียงรถเกราะวิ่งจาก 21 | เร่อ� งเลาของพอ
สนามหลวงมายังบ้านจอมพลสฤษดิ์ มีรถหุ้มเกราะหลายคันเสียงดังกระหึ่มไป หมด จนต่อมาประมาณ 23.00 นาฬิกา ได้ยินเสียงปืนกลหลายนัดติด ๆ กัน ทราบภายหลังว่า รถเกราะของฝ่ายจอมพลสฤษด์ิไปล้อมวังปารุส ซึ่งเป็นที่พัก ของพลเอกเผ่า และมาทราบภายหลังว่าพลเอกเผ่าได้บินออกนอกประเทศ เห็น หนังสือพิมพ์เขียนเปน็ การ์ตนู ล้อว่านำเงินไป 60 ล้าน มกี ระเป๋าตัวดว้ งคาบบินไป เขียนรูปกระเป๋า 60 ล้านด้วย ยังจำได้ชัดเจน เวลามองย้อนกลับไป ก็ยังอดขำ ไม่ไดท้ ีค่ นแค่ 50 คนก็ยงั สามารถขับไลผ่ ูม้ อี ำนาจออกนอกประเทศได้ การเดินทางดว้ ยรถรางรอบเมอื ง และรถเมล์ ในตัวเมืองกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2500 มีรถเมล์วิ่งสายเดียว คือ บริษัทบุญเลิศ เป็นรถเมล์แดง ถา้ น่ังรถเมลก์ ็จะยืนอดั กันแนน่ ยนื จบั ราว ราคารถเมล์ 50 สตางค์ ลงตามจดุ ตา่ ง ๆ ระยะทางไกลกย็ นื ขาอ่อนกว่าจะถึงท่ีลง ดงั นน้ั ผู้โดยสารถ้าไม่มี ธุระด่วนก็จะนั่งรถรางราคา 25 สตางค์ ดังพ่อ และเพื่อน ๆ ที่วิทยาลัย ชอบ ออกไปเท่ียวดูบ้านเมอื ง สำรวจกรุงเทพฯ ดว้ ยน่ังรถรางชมเมืองวิง่ ไปเร่อื ย ๆ สุด ครงึ่ วนั 50 สตางค์ วนั หนง่ึ มเี งิน 3 บาททง้ั คา่ อาหาร เท่ยี วไดท้ งั้ วัน โดยเฉพาะวัน เสาร์ – อาทติ ย์ มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นจากการเดินทางด้วยรถรางด้วยเหมือนกัน วันนั้นเป็นวัน อาทิตย์ มีเพื่อนเปน็ ทหารยศสบิ โท เขาพาไปเท่ียวดูสวนสัตว์ดุสิต นั่งรถราง ข้ึน จากสี่เสาเทเวศน์มาลงที่ลานพระรูปทรงม้า เพื่อเดินด้วยเท้าไปเขาดิน พอน่ัง รถรางไปได้ครึ่งทาง รถยนต์วิ่งมาตามถนนลาดยางเป็นทางของรถยนต์ ทาง รถรางนั้นจะมีรางผ่านตัดถนนรถยนต์ ไมม่ เี คร่อื งขวางกั้นปล่อยโล่งอยู่ รถยนต์ วิ่งมาตามทางมีความเร็วพอประมาณ ส่วนรถรางไม่ชลอแต่อย่างใด พ่อและ เพื่อนมองดูแล้วรถยนต์ต้องชนรถรางแน่ พากันเตรียมพร้อมไว้ รถยนต์เข้าชน รถรางกลางคันจนรถรางล้มเอียงนอน ผู้โดยสารประมาณ 20 คน บาดเจ็บ จากทางโลกสทู างธรรม | 22
เล็กน้อย พ่อกับเพื่อนระวงั ตัวอยู่แล้วเลยไม่เป็นอะไร พ่อกับเพื่อนเดินทางตอ่ ไป เพื่อชมสวนสัตว์ตามแผนเดิมที่ตั้งใจไว้ผู้โดยสารคนอื่นต่างก็แยกย้ายกันไป ตัว ใครตวั มนั ปิดเทอมหางานทำชว่ ยตวั เองเพ่ือเก็บเงนิ เรียน ชว่ งปิดเทอม ปีการศกึ ษา 2500 ปที ่ี 1 ไมไ่ ด้กลับบ้าน ทางวทิ ยาลัยไม่ได้เล้ียงอาหาร เพราะงบประมาณเขาให้นักศึกษากินเพียง 10 เดอื น ปดิ เทอม 2 เดือน กง็ ดเพราะมี งบประมาณแค่นั้น ดังนั้น นักศึกษาทุกคนถ้าไม่กลับบ้านก็ต้องหางานทำ พ่อไม่ได้ กลับบ้าน เพราะถ้าพ่อกลับบ้าน คนที่บ้านก็จะลำบาก เพราะทั้งพ่ี ๆ น้อง ๆ ไม่มี รายได้อะไร ตลอดปีการศึกษานั้น ทางบ้านส่งเงินไปให้พ่อ 2 ครั้งๆ ละ 50 บาท เท่านนั้ ส่วนพระครสู มุแปท่านได้ส่งไปให้ 100 บาท พอ่ ก็นำมาฝากธนาคารออมสิน ทสี่ าขาบางลำพูเพื่อสะสมไวเ้ รยี น การทำงานเริ่มจากวันละ 8 บาท เปน็ งานที่อาจารย์ให้ทำ ขนอิฐหกั ไปถมที่ต่ำ ทำ ได้ 15 วัน ได้ย้ายไปทำงานกอ่ สรา้ งที่ทุ่งมหาเมฆได้วนั 20 บาท เปน็ งานท่ีวทิ ยาลัย ไปรับเหมามา ถอื ว่าเปน็ คา่ จา้ งที่แพงในเวลาน้ัน ทำงานอยู่ 2 เดือน ได้เงินมาเก็บ ไวใ้ ช้จา่ ยการภาคเรยี น 2 ภาค ปลายปีการศกึ ษา 2502 ออกฝึกสอนที่โรงเรียนชา่ งไม้สุรินทร์ การออกฝกึ สอนครั้งนีน้ ักศึกษาเลอื กตามใจสมัคร พ่อจงึ เลอื กมาบ้านตนเองเป็น การประหยัดด้วย มาทั้งหมด 5 คน มีคนต่างจังหวัดมาด้วย 3 คน การฝึกสอน เลือกวิชาท่ีตนถนัด ฝึกสอน 3 เดือนกลบั เตรยี มสอบปลายปเี ดอื นมนี าคม 2502 โดยทุกวิชาสอบทั้งหมดพร้อมกันในหนึ่งสัปดาห์ โดยทุกวิชาได้เกรด 3 จนวัน สุดท้ายวันที่ 31 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2502 อาจารย์ประชมุ ประกาศผลการเรียน 23 | เร่อ� งเลา ของพอ
แจกใบประกาศนียบัตร นักศึกษาทุกคนอำลาอาจารย์ ลาเพื่อน ๆ แล้วแยกย้าย กนั กลับภูมลิ ำเนา ต่างคนเดินทางกลับบา้ นดว้ ยนำ้ ตานองหน้า เร่มิ ชวี ิตขา้ ราชการครู ต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2502 พ่อไปรายงานตัวที่แผนกศึกษาธิการ เจ้าหน้าที่ แสดงความดีใจที่เรียนสำเร็จมาจนได้บรรจุเป็นข้าราชการครู ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2502 ใหเ้ ลือกโรงเรยี น โดยเจา้ หนา้ ทใี่ ห้ดูรายละเอยี ด โรงเรยี นมตี ำแหน่งครู ว่าง 300 ตำแหน่ง พอ่ อา่ นแล้วมีตำแหน่งว่างโรงเรียนตา่ ง ๆ ทกุ อำเภอ ในจังหวัด สุรินทร์ อา่ นแลว้ ยงั ไม่เลอื กโรงเรียน ไปสืบถามหาข้อมูลก่อน 15 วนั หลังจากการ ตัดสินใจแล้วมาบอกเจ้าหน้าที่แผนกศึกษาว่า เลือกลงโรงเรียนไหน อำเภออะไร ทางเจา้ หนา้ ท่กี ็ทำเรือ่ งบรรจุให้ตามความตอ้ งการ โดยพ่อตัดสินใจเลอื กโรงเรียน บ้านเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเดินทาง ในหนังสือระบุวัน บรรจุเป็นครูของพ่อ วันที่ 16 มิถุนายน 2502 ไปรายงานตัวที่อำเภอสำโรงทาบ นับได้วา่ ชีวิตการเปน็ ข้าราชการครอู ยา่ งเต็มตัวคอื วันน้นั เอง จากทางโลกสูทางธรรม | 24
เดินทางเข้าสู่โรงเรียนบ้านเกาะแก้ว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2502 เวลา 14.00 นาฬกิ า โดยระยะทางจากเกาะแก้วถึงตวั อำเภอสำโรงทาบ ประมาณ 10 กิโลเมตร ระยะทางมแี ตด่ ินทราย ก่อนออกเดนิ พบเพอื่ นครเู ขาให้ยมื รถจักรยานขี่ไป พร้อม กับกระเป๋า 1 ใบ ตามทางมีแต่ดินทรายตลอดทางขี่จักรยานไม่ได้ต้องจูง เอา กระเปา๋ ผกู หลงั ท้ายจักรยาน เดนิ ทางไปได้ประมาณคร่ึงทางอาการรอ้ นมาก แวะ พัก เอาจกั รยานจอดไว้ หลับไปพักหน่ึง ต่ืนมาตกใจรีบลุกไปขี่จักรยานไปได้โดย ไม่มีดินทราย มาถงึ โรงเรยี นอ่านป้ายโรงเรียน แต่มองหาโรงเรยี นไมเ่ หน็ มีตน้ นุน่ บังอยู่ พอดูไป เหน็ โรงเรียน เดินเข้าไปเห็นโรงเรียนแล้วทอ้ ใจ อาคารเรียนทำเปน็ โรงเรอื นแบบเล้า ไก่ หลังคามุงหญา้ คา โตะ๊ เรยี นใช้ปีกไมย้ าวทำเปน็ โต๊ะ ม้านง่ั ก็ใช้ปีกไม้เป็นมา้ น่ัง มี นักเรียนรวม 100 คน มีครู 2 คน แต่วันนี้ครูใหญ่สอนคนเดียว ครูอีกท่านไม่มา สอนด้วยไม่ทราบสาเหตุ วันต่อมา ครูใหญ่ไปราชการที่อำเภอ พ่อสอนคนเดยี ว เดก็ 100 คน 4 ชั้น ป.1 - ป.4 เจอบททดสอบความซอ่ื สตั ย์ ครูใหญ่ไปราชการ 2 วัน พ่อสอนคนเดียววันแรก วันที่ 2 ครูที่ขาดราชการมา สอน แล้วทำสมุดหมายเหตุ วันแรกพ่อไม่ได้เขียนเพราะครูใหญ่ไม่ได้บอกไว้ เขา เอาสมุดหมายเหตุมาเขียน ทั้ง ๆ ทเ่ี ขาไมไ่ ด้มาทำการสอน เขาขาด แต่เขาลงเวลา วา่ เขามาสอน พรอ้ มกับเขียนสมดุ หมายเหตุว่า ขา้ พเจา้ พร้อมกับนายดิเรก ถือ กล้า มาทำการสอนตามปรกติ ครูใหญ่กลับมาอ่านสมุดหมายเหตุ เรียกพ่อไป ถาม ทำไมถึงให้สมุดหมายเหตุเขาเขียน ผมไม่ทราบท่านไม่ได้บอกอะไรแก่ผมไว้ ผมเพ่ิงมาสอนได้ 3 วัน ผมไม่รู้เร่ือง 25 | เร่อ� งเลาของพอ
ครูใหญ่พูดขึ้น คุณทำแบบที่รู้หรือไม่รู้ต้องมีความผิดทางวินัย เพราะเป็นการ ร่วมกันทำผิดวินยั ครู ถา้ มกี ารสอบสวนคุณต้องมีความผิดด้วย แต่นี้ขอปิดเป็น ความลับ อยา่ แพรง่ พรายใครรจู้ ะลำบาก เหตกุ ารณน์ ้ี ทำเอาคืนวนั นน้ั พ่อนอนไมห่ ลบั มาสอนเพียง 3 วนั กเ็ รื่องรา้ ยเข้ามา เกี่ยวข้องจนได้ ถ้าย้ายได้ก็อยากจะย้ายไปให้พ้น แต่นอนคิดไปคิดมาพิจารณา แล้ว นึกถึงคำสอนของเจ้าหน้าที่แผนกศึกษาธิการจังหวัดที่ได้ให้ข้อคิดก่อน เดินทางมารายงานตัวที่อำเภอสำโรงทาบก่อนเขา้ มาโรงเรียนบ้านเกาะแก้ว ท่าน บอกว่า “คุณดิเรกไปเป็นครูต้องสู้ ต้องอดทน รักษาระเบียบวินัยให้ดี มีความ ซื่อสัตย์ ขยนั หม่นั เพยี ร เสียสละนะ” และเจ้าหน้าทีท่ ่านนน้ั ยังได้ฝากหลกั ราชการ 10 ประการ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่เขาได้ พิมพ์แจกแก่ข้าราชการเม่อื พ.ศ. 2475 เพื่อขา้ ราชการได้ปฏบิ ตั ิตาม ดังนี้ “หลกั ราชการ 10 ประการ” 6. ความซ่ือตรงต่อคนท่วั ไป 1. ความสามารถ 7. ความรูน้ สิ ยั คน 2. ความเพยี ร 8. ความรจู้ กั ผอ่ นพนั 3. ความไหวพริบ 9. ความมีหลักฐาน 4. ความร้เู ท่าถงึ การ 10.ความจงรกั ภกั ดี 5. ความซื่อตรงตอ่ หนา้ ท่ี ทา่ นบอกวา่ “ถา้ เราทั้ง 2 ปฏบิ ัติตามหลักราชการ 10 ประการก็จะเจริญกา้ วหน้า ไปตลอดการ จงจำไว้นะ” และหลังจากวันนั้น ครูคนที่ขาดราชการก็ไม่มาสอนอีก 15 วัน โดยไม่ทราบ สาเหตุ ครูใหญ่ท่านเป็นคนใจดีมีเมตตา ท่านเดนิ ทางไปตามถึงบ้านด้วยการเดิน เทา้ บา้ นครคู นดงั กล่าวอยหู่ ่างจากอำเภอไปประมาณ 10 กโิ ลเมตร โรงเรียนบ้าน เกาะแก้วห่างจากอำเภอประมาณ 10 กิโลเมตร รวมแล้วครูใหญ่ต้องเดินทางไป จากทางโลกสทู างธรรม | 26
ตามครูที่ขาดราชการ 20 กิโลเมตร รวมการเดินทางด้วยเท้าไปตามครูที่ขาด ราชการไปกลับเป็นระยะทาง 40 กิโลเมตร ครูใหญ่มาเล่าให้พ่อฟังว่า พอไปถึง บ้านครูคนนนั้ เขากำลงั กินเหล้าสาโท กับเพือ่ นนักเลงคนหนึ่ง ครใู หญ่ท่านได้เดิน ไปบอกให้เขาไปที่โรงเรียนเพื่อจะสอบถามสาเหตุท่ีไม่ไปสอน เพื่อจะได้ช่วยแก้ไข ไมใ่ หถ้ กู สอบสวนไลอ่ อกจากราชการ แต่ถ้าไม่ไปโรงเรียนภายในวันร่งุ ขน้ึ ครูใหญ่ จำเป็นตอ้ งรายงานอำเภอ เมอ่ื รายงานอำเภอแลว้ ความผิดนี้ก็คอื ต้องถกู ไล่ออก จากราชการ เพื่อนนักเลงที่ร่วมวงสุราได้ท้าให้ครูใหญ่รายงานอำเภอ เขาพูดว่าถ้าครูใหญ่ รายงานอำเภอ เพื่อนเขาถูกไล่ออกจากราชการ เขาจะเอาปืนมายิงครูใหญ่ทิ้ง ครูใหญ่จึงต้องเดินทางกลับมาโรงเรียน และสุดท้ายครูคนนี้ได้ถูกไล่ออกจาก ราชการครูโดยไม่ต้องสอบสวน เพราะขาดราชการเกิน 15 วัน ในช่วงเดือน กรกฎาคม 2502 เพราะเขาไม่ได้มาโรงเรียนมาพบครูใหญ่ เพราะเขาเชื่อเพือ่ นที่ รว่ มวงสรุ า อยู่มาวนั หนึ่งครูทา่ นนีไ้ ดเ้ ข้ามาหาครใู หญ่ บอกวา่ ร้สู กึ สำนึกตัวได้เมื่อมีคำสั่งไล่ ออกจากครแู ล้ว เขาเสยี ใจ ทต่ี ัวเองติดสุรา จนขาดสติ ลมื ทุก ๆ อย่าง แม้ตำแหน่ง หนา้ ท่ี เขามาเกบ็ เสื้อผ้าข้าวของท่ีบา้ น พกั ครู แล้วเดนิ กลบั ความด้วยความเศรา้ ต้องรับภาระใหญแ่ บบไม่ทันตง้ั ตวั พอ่ มาสอนอยู่ได้ 8 เดอื นเทา่ นั้น ก็ได้รบั คำส่ังรกั ษาการแทนครใู หญ่ ดว้ ยเหตุที่ 2 เดือนก่อนพ่อจะย้ายไป ครูใหญ่เพิ่งถูกหัวหน้านิคมเกาะแก้วร้องเรียนต่อศกึ ษา อำเภอในข้อหา 8 ข้อหา เทา่ ที่จำไดม้ ีอยู่ 3 ขอ้ หาคือ 1. ครูใหญ่ สอนไม่ตรงเวลา 2. ครใู หญ่ สอนไมม่ ีตารางสอน 27 | เร่อ� งเลาของพอ
3. ครูใหญ่ สอนไม่มีหลกั สูตร ท่านจึงอยูไ่ ม่ได้ ขอย้ายไปทอี่ ่นื ต่อมามีครูหนุม่ เป็นครบู รรจุใหมม่ า 1 คน รวมทั้ง โรงเรียนมีครู 2 คนกบั รวมกบั พอ่ เริม่ สรา้ งและพัฒนาโรงเรียนบา้ นเกาะแกว้ พ่อและครูอีกคนต้องสอนนักเรียนในโรงเรียนที่สภาพไม่พร้อมเกือบ 2 ปี จนกระทั่ง ระหว่างเดือน พฤษภาคม 2504 คณะชาวบ้านและหัวหน้านิคมสร้าง ตนเองไดไ้ ปซือ้ เสาไม้ เป็นเสาไม้เต็งขนาดยาว 4.00 เมตร จำนวน 18 ตน้ ราคาต้น ละ 25 บาท โดยไม้อยู่ท่ีเขตอำเภอสงั ขะ ซ่งึ เปน็ อำเภอหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์โดย ผ่านอำเภอปรางกู่ จังหวัดศรสี ะเกษไปทางทิศใต้ถึงที่ขนไม้ นำเกวียน 10 เล่มมา บรรทกุ โดยระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ทั้งไปและกลับรวมระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จริง ๆ ต้องไปค้างคืน แต่วันนั้นไปไม่ค้างคืนเร่งเดินทางไปและกลบั มาถึงบา้ นเกือบรงุ่ เช้า พอ่ จำเป็นตอ้ งไปด้วยเพราะหัวหน้านคิ มสร้างตนเองเขาไปแต่เขาขี่ม้าไป พ่อต้อง เดนิ คุมกองเกวยี นไปเร่ือย ๆ บางแหง่ มโี คลนตมต้องช่วยเข็นววั ให้ลากไปให้ได้ จำ ได้ว่าเหนอื่ ยแสนสาหัส อาหารเย็นกไ็ ม่ได้ตกถึงทอ้ ง มีเพียงนำ้ ดื่ม พอ่ เดนิ มาตาม เกวียนมาถึงบ้านเกาะแก้วเกือบรงุ่ เช้า แต่เสาไม้ที่ไดม้ า ยังทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีงบประมาณ จนกระทั่งเมื่อกลางเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2506 ท่านศึกษาธิการภาคจากจังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับ ศึกษาธิการจังหวัดสุรินทร์และศึกษานิเทศน์ ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในแผนก ศกึ ษาธกิ ารจังหวดั สุรนิ ทร์ได้เดินทางออกตรวจโรงเรยี น โดยนั่งชา้ ง 5 เชือก เป็น พาหนะ เดินทางตรวจโรงเรียน ตามอำเภอต่าง ๆ ดังนี้ อำเภอปราสาท อำเภอ ปรางกู่ อำเภอสำโรงทาบอำเภอศรีขรภูมิ และอำเภอเมือง ซึ่งจะต้องใช้เวลาการ จากทางโลกสทู างธรรม | 28
ออกตรวจโรงเรียนคราวนี้ต้องใช้เวลานานถึงครึ่งเดือน ทางคณะตรวจงานเดนิ มาโรงเรยี นบา้ นเกาะแกว้ ท่ีพ่อสอน ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2506 ซึ่งเปน็ ช่วงท่ีน้ำ ยังไม่แห้ง ทางเดินผ่านป่ามีห้วยชื่อห้วยทับทันกัน้ เขตปรางกู่กับสำโรงทาบ ก่อน เข้าถึงบ้านเกาะแก้ว ถนนเต็มไปด้วยโคลนตม มีช้าง1เชือก ตกหลุมติดโคลน มัน พยายามยกตัวกระโดดออกจากหลุมโคลนทำให้ศึกษาธาการภาคท่านตกลง จากหลังช้าง โชคดีว่าไม่ได้เปน็ อะไรมาก กวา่ จะมาถึงโรงเรียนกเ็ ป็นเวลาประมาณ 20.00 นาฬิกา ชาวบ้านมาช่วยทำอาหารเลี้ยงต้อนรับ แล้วท่านศึกษาธิการภาคนอนเล่น พักผอ่ น พอ่ เหน็ เปน็ โอกาสเหมาะ จงึ ถือโอกาสเขา้ ไปกราบท่าน ทา่ นให้ช่วยนวด ขา แขนให้ท่าน พ่อได้โอกาสเหมาะสมจึงของบประมาณสร้างโรงเรียนโดยทุน สมทบ กับเสาไม้ 18 ตน้ ทท่ี า่ นเห็นอยู่ ทีก่ องอยนู่ ้ีแล้ว ท่านรบั ปากให้งบประมาณ มาสรา้ งเป็นงบประมาณสมทบวัสดุก่อสร้างทโ่ี รงเรียนมีแล้วเสา 18 ต้น และท่าน ก ็ ไ ด ้ ท ำ ต า ม ท ี ่ ร ั บ ป า ก โ ด ย ใ ห ้ ง บ ป ร ะ ม า ณ ม า ส ร ้ า ง โ ร ง เ ร ี ย น ใ น ปี ถ ั ด ม า คื อ ปี พ.ศ. 2507 โดยทางอำเภอได้ให้ผู้รับเหมาดำเนินการสร้างช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2507 ใชเ้ วลา 3 เดอื นกเ็ สร็จเรียบร้อย เปน็ อาคารเรียน 3 ห้องเรยี น เป็นเหตกุ ารณ์ท่ีพ่อภูมใิ จและดใี จมากที่ได้ดำเนินการของบประมาณสมทบได้ จน สรา้ งโรงเรียนได้สำเร็จ ทำให้ลกู หลานไดม้ ีที่เรยี นทีเ่ ป็นเรื่องเปน็ ราวเสียที 29 | เร่�องเลา ของพอ
ได้รบั การแต่งต้ังให้เป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านตะมะ ขอเล่าย้อนหลัง ไป เมือ่ ปี พ.ศ. 2506 ที่ ท่านศึกษาธิการ ภาคและคณะออก ตรวจโรงเรียนโดย อาศัยช้าง 5 เชือก เป็นพาหนะ พักท่ี บ้านเกาะแก้ว เยี่ยม เยียนครูโรงเรียน บ้านเกาะแก้วและใหง้ บประมาณสร้างโรงเรยี นบา้ นเกาะแก้วทีพ่ ่อเล่าไปแล้ว ตอน เช้าหลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ท่านได้พาคณะเดินต่อไปเพื่อตรวจ โรงเรียนบ้านตะมะ ซึ่งอยู่หา่ งจากโรงเรยี นบา้ นเกาะแก้วประมาณ 5 กิโลเมตร แต่ ปรากฎวา่ เวลา 10.00 นาฬกิ าแลว้ โรงเรียนบา้ นตะมะมคี รู 3 ทา่ น แต่ยังไม่มีครู แม้แต่ท่านเดียวมาโรงเรียน ท่านศึกษาธิการภาคจึงตีระฆังขึ้นเรียน ทั้งศึกษา นิเทศน์ และทั้งคณะจึงเข้าสอนนักเรียนเป็นครูประจำชั้น ป.1 - ป.4 สอนไป 1 ชั่วโมงก็ยังไม่มีครูเข้ามา จนถึงเวลา 12.00 นาฬิกา ศึกษาธิการภาคจึงสั่ง นกั เรยี นใหก้ ลบั บา้ น และท่านเขยี นสมุดหมายเหตุ แจ้งวา่ ครูขาดราชการทงั้ 3 คน ใหศ้ ึกษาธกิ ารอำเภอตั้งกรรมการสอบสวนทางวินยั ผลการสอบสวนปรากฎว่า ครูใหญ่ได้ลาออก อีกคนถูกย้ายไปที่อื่น ยังเหลือครู 1 คนสอนนักเรียน 60 คน และไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ต่อมาโรงเรียนบ้านตะมะได้มีชื่อใหม่ว่า “โรงเรียน ช้างเหยียบ” ทำให้พอจะมีคำสั่งย้ายครูใหญ่คนไหนไปประจำที่นี้ ก็ไม่ยอมไป เพราะเกรงถูกช้างเหยียบ ทางอำเภอจึงจำต้องปลอ่ ยใหค้ รู 1 คน สอนนักเรียน 60 คน อย่มู าหลายเดอื น จากทางโลกสทู างธรรม | 30
จนทา้ ยที่สุดท่านศึกษาธิการอำเภอสำโรงทาบได้มาหาพ่อ และขอร้องให้พ่อย้าย ไปดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรยี นบ้านตะมะ เพื่อช่วยแกป้ ัญหาไปกอ่ น เพ่ือเห็นแก่ ชาติ บ้านเมือง และเด็กตาดำดำ พ่อจึงได้ตัดสินใจไปตามคำสั่ง และท่าน ศกึ ษาธิการจงั หวดั สุรินทร์ มีคำส่งั แตง่ ต้งั พ่อให้ไปดำรงตำแหน่งครใู หญ่โรงเรียน บา้ นตะมะ เมื่อตน้ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2507 มาสอนวันแรกเห็นอาคารเรยี นทรุดโทรมมากไม่น่าเป็นสถานทีเ่ รียน มองดูสภาพ ท่ัวไปของโรงเรียนโดยภาพรวมแล้วน่าจะเปน็ สถานท่ที ำบญุ ของชาวบ้านมากกว่า ทั้งพื้น ฝา สังกะสี ชำรุด ผุ ฝาก็กันแดด ลม ฝน ไม่ได้ พื้นยกสูง 1.50 เมตร มี บันได 5 ขั้น เนื้อที่ดินเป็นที่จับจองของชาวบ้าน 2 ไร่ หมู่บ้านตะมะมี 10 หลังคา เรือน ถนนเข้ามาจากเขตนิคมประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นทางเกวียน ทางแคบ มี จำนวนนกั เรียน 60 คน มคี รู 2 คนรวมกับพ่อ หลังจากมานั่งคิดทบทวนพิจารณาดูหลังจากอยู่มาครบ 5 วัน จึงตัดสินใจ พดู คยุ กบั ผู้ปกครองนักเรยี นว่าจะขออนุญาตใหย้ ้ายโรงเรียน แต่ไม่ให้ร้ืออาคาร เรียน เพราะไวเ้ ป็นที่ทำบญุ ของชาวบ้านตะมะและเม่ือผู้ปกครองนักเรียนอนุญาต ให้ย้ายโรงเรียนแล้ว พ่อก็เดินไปสำรวจที่ดินในเขตนิคมห่างจากโรงเรียนเดิม 2 กโิ ลเมตร มหี นองกระจานอยู่ติดถนน เนื้อทีป่ ระมาณ 6 ไร่ หลงั หนองกระจานมีท่ี เป็นป่าละเมาะว่างอยู่ประมาณ 6 ไร่ ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 300 เมตร เม่ือ เหน็ ทด่ี นิ แลว้ ตดั สินใจขอกับเจ้าหนา้ ที่นคิ ม เจา้ หนา้ ท่นี ิคมบอกอนญุ าต พ่อจึงได้ ขอให้เจ้าหนา้ ทนี่ ิคมใหช้ ว่ ยเรยี นท่านประชาสงเคราะหจ์ ังหวดั ด้วย หลังจากยา้ ยมาได้ 7 วนั ก็เรมิ่ สรา้ งอาคารเรียนแบบชั่วคราว ชาวบา้ นผ้ปู กครอง นักเรียนประมาณ 30 คน ระดมกำลังสร้างอาคารเรียนกว้าง 4 เมตร ยาว 16 เมตร เสายาว 3 เมตร จดั เปน็ ห้องเรยี น 4 ห้อง ๆ ละ 4 เมตร จดั เป็นห้องเรยี นได้ 4 ห้อง ป.1 – ป.4 หลังคามุงหญ้าคา ส่วนฝาก็นำแก่นปอมาสานทำฝา ภายใน 31 | เร่�องเลาของพอ
1 สปั ดาห์อาคารเรยี นก็เสร็จเรยี บร้อย โต๊ะเรยี นมานั่งเรยี นใช้ปีกไม้ไม่ต้องหาโต๊ะ ม้านั่งเลย ในที่สุดอาคารเรียนก็สำเร็จไปด้วยความเรียบร้อย โดยแรงความ สามัคคีของชาวบ้าน ผู้ปกครองนักเรียน เป็นการพิสูจน์คำที่ว่า “ความสามัคคี คือพลงั อนั ยิง่ ใหญ”่ ในเดอื นธนั วาคม พ.ศ. 2509 ได้จดั หาเสาไม้แก่นขนาดจำนวน 18 ตน้ เพื่อสร้าง เป็นอาคารถาวร โดยนำวัสดุก่อสร้างนี้สมทบกับเงินของรัฐบาล ชาวบ้านได้ ร่วมมอื กนั จดั หาเงนิ ซ้ือเสาต้นละ 45 บาท โดยมีรถรับขนสง่ ให้มาถึงโรงเรียน เมื่อ ได้เสาครบทุกต้นแล้ว ก็เก็บไว้อย่างดีไม่ให้ถูกแดดและฝน รองบประมาณสมทบ และพ่อต้องรอต่อมาอีกเกือบ 3 ปี จนถึงพ.ศ. 2512 จึงได้งบประมาณมาสร้าง อาคารเรียนไดส้ ำเร็จ 3 ห้องเรยี น ทางอำเภอไดเ้ ชิญผวู้ ่าราชการจงั หวัดคอื นาย วิเชียร ศรีมันตระ ผวู้ า่ ราชการจังหวัดสุรินทร์ มาเปดิ ป้ายโรงเรยี นด้วย โดยทาง ศึกษาธิการอำเภอ เจ้าหน้าที่และชาวบ้านได้ดำเนินการให้ทั้งหมดทั้งสิ่งของ อาหารต้อนรบั เปิดป้ายเสรจ็ แลว้ ท่านผวู้ ่าราชการจังหวัดได้น่ังท่ีปรำพิธีต้อนรับ น่ังสนทนากบั ชาวบ้าน ขณะนัน้ ลกู ชายพอ่ อายุได้ 4 ขวบ ได้เข้าไปกราบท่านผู้ว่า ราชการจังหวดั ท่านเอ็นดูยม้ิ ชอบใจ แลว้ ให้องุ่นมา 1 ตะกร้าใหญๆ่ พอ่ เชือ่ วา่ การไดง้ บประมาณสมทบมาสรา้ งคร้ังนีด้ ว้ ยอนภุ าพแห่งบญุ กุศลที่พ่อ อดทน เสียสละ สู้ ปฏิบัติตามหลักราชการของพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ ฯ รชั กาลท่ี 6 ทพ่ี ่อไดเ้ ล่าไปก่อนหนา้ นี้ ถกู ทดสอบความซอื่ สัตยอ์ ีกครง้ั หลังจากผู้ว่าราชการ วิเชียร ศรีมันตระ มาเปิดป้ายโรงเรียนแล้ว พ่อก็ได้ งบประมาณขุดบ่อน้ำต้ืน 1 บอ่ เพอ่ื เกบ็ นำ้ เอาไวใ้ ห้โรงเรยี นใช้ ในขณะคนงานของ ผ้รู ับเหมาขดุ บ่อ พอ่ เดินไปดบู อกคนงานขุดใหล้ ึกเพอ่ื เอาถงั ลงให้ครบ แต่คนงาน ของผู้รับเหมาขุดบ่อ บอกว่าผู้รับเหมาให้ขุดแค่นี้เอง พ่อจึงบอกคนงานว่าถ้าไม่ จากทางโลกสทู างธรรม | 32
ถูกต้องก็เซ็นรับไม่ได้ตามระเบียบ พ่อเดินออกมาจากที่ขุดบ่อ ห่างจากบ่อ โดย พ่อยืนห่างจากตัวบ่อประมาณ 10 เมตร เห็นผู้รับเหมายืนคุยกับคนงานขุดบ่อ แล้วผ้รู บั เหมากพ็ ดู ตะโกนมายังพ่อ เสยี งดงั ดว้ ยความโกรธจัด พรอ้ มขณะนน้ั เขา ชักปืนพกจากเอวยิงขู่ขึ้นฟ้า 3 นัดซ้อน ๆ กัน พ่อยังยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่สะทก สะท้าน สกั พักหนงึ่ เขาก็กลบั และพ่อกไ็ ม่ไดเ้ ซน็ รับรองงานขุดบ่อที่ว่า แต่สุดท้าย เขากเ็ บกิ เงินไดด้ ว้ ยวธิ ีการนอกระเบียบ ซง่ึ พ่อถือว่าพอ่ ได้ทำหน้าท่ีท่ีพ่อต้องทำ อย่างดที สี่ ดุ แลว้ พอ่ เชื่อวา่ “ซื่อกนิ ไม่หมด คดกินไม่นาน” ขอลดตำแหน่งเพือ่ ใหไ้ ด้ย้ายมาอยกู่ ับใกล้ครอบครัว หลงั จากผ่านชีวิตการเป็นครู 13 ปีตง้ั แต่พ.ศ. 2502 - 2513 ไดส้ ร้างโรงเรียนไป 2 โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านเกาะแก้วและโรงเรียนบ้านตะมะ ซึ่งที่สำเร็จไดก้ ็ด้วย การเสียสละ ความอดทน ความขยันหมัน่ เพียร ต่อสู้กับอุปสรรค ปัญหาต่าง ๆ ไมเ่ หน็ แกก่ ารเหน็ดเหนื่อย สู้งาน พาชาวบ้าน หาวสั ดกุ ่อสรา้ งสมทบจนสำเร็จได้ ในทส่ี ดุ แต่ในที่สุดพ่อคิดว่า อยากจะ ย้ายกลับบ้านภูมิลำเนา เพื่อ สะดวกและคล่องตัวในการ ทำงาน จึงขอลดตำแหนง่ จาก การดำรงตำแหน่งครูใหญ่ ขอ ลดตำแหน่งมาเป็นครูสาย ผู้สอนเพื่อจะได้กลับมาเป็น ครูที่ โรงเรียนบ้านสำโรงนาดี แตห่ ลงั จากเป็นครสู ายผู้สอนได้ 2 ปกี วา่ ๆ ชวี ติ พ่อ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพราะระหวา่ งนั้นตำแหน่งครใู หญ่ที่โรงเรียนบ้าน จักจรูก หนึ่งในโรงเรียนในเขตตำบลนาดีได้ว่างลง ทางศึกษาธิการอำเภอจึงได้ 33 | เรอ�่ งเลา ของพอ
ทาบทามให้พ่อไปดำรงตำแหน่งน้ีในเดือนพฤษภาคม 2516 พ่อมาคิดชั่งหลายๆ อยา่ ง แลว้ ได้ตัดสินใจไปหานายอำเภอบอกท่านวา่ “ผมขออยทู่ ่ีเดิม ผมจะขอเป็น ครูสายผู้สอน” นายอำเภอท่านตอบว่า “คุณดิเรกก็แปลกนะ มีแต่คนอยากได้ ตำแหน่งสูง แต่เรากลับไม่อยากได้ตำแหน่งสูง” จากนั้นท่านได้พูดปลอบใจว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ คุณดิเรก ลองไปสอนดูก่อนสัก 2-3 เดือน เดี๋ยวจะ พิจารณาให้ยา้ ยกลับคืน ท้งั นี้เพราะคำสั่งยา้ ยไปได้ 1 เดอื น จะเปล่ียนแปลงคำส่ัง ก็ไม่ได้” พ่อก็ตอบตกลง คิดว่านายอำเภอคงไม่โกหก คอยอยู่ทำงานไปรอไปก็ เงยี บหายเป็นปี กไ็ ม่มคี ำสงั่ ย้ายกลับ จนนายอำเภอย้ายไปทางอ่ืน มารสู้ ึกตัวเม่ือ สายเสียแลว้ วา่ นายอำเภอมีวิธที ำงานการบรหิ ารบคุ คลเหนือช้นั ชวี ิตการเป็นครูใหญ่โรงเรียนบา้ นจกั จรกู ไม่พ้นไปสร้างโรงเรียนใหม่ สภาพโรงเรียนบ้านจักจรูกในวันทไี่ ปถึง ไม่ได้มีสภาพที่ดสี กั เท่าไหร่ เป็นโรงเรียน ที่มีสภาพทรุดโทรม เพราะอยู่มาแล้วกว่า 30 ปี พ่อไปเริ่มงานเมือ่ ปี พ.ศ. 2516 ก็เริ่มหาหนทางที่จะสร้างและปรับปรุงโรงเรียนใหด้ ีกวา่ เดิม ซึ่งกว่าจะเริ่มเป็นรูป จากทางโลกสูทางธรรม | 34
เป็นร่างได้ เข้าปี พ.ศ. 2518 ที่พ่อได้วัสดุก่อสร้างไม้หลายประเภทจาก ประชาสงเคราะห์ จังหวดั สุรนิ ทร์ เป็นจังหวะที่ดีคือ เมื่อปีพ.ศ. 2514 ได้ไฟไหม้เมืองสุรินทร์ครั้งใหญ่ กินพื้นที่ ตลอดทั้งสี่ทิศเป็นบริเวณกว้างหมดไปครึ่งค่อนตัวเมืองสุรินทร์ ในช่วงเวลานัน้ เจา้ หน้าทป่ี ระชาสงเคราะห์ไดจ้ ัดท่ีเป็นห้อง ๆ ให้แต่ละครอบครัวท่ีประสบอัคคีภัย ได้เขา้ พักอาศยั ชว่ั คราวจำนวน 28 หอ้ ง โดยได้พกั อยชู่ ั่วคราวเป็นเวลานานเกือบ สองปี หลงั จากน้นั ให้ไปหาทีพ่ ักเอง และเมื่อทุกครอบครวั ได้ย้ายออกไปหมดแล้ว ก็จะตอ้ งทำการรอื้ ถอนห้องพกั เหลา่ นี้ เป็นช่วงประจวบเหมาะ เพราะ ตอนนั้นคุณชัยยุทธ บุตร น้อย เป็นนกั เรยี นรนุ่ เดียวกัน เ ร ี ย น ท ี ่ ว ิ ท ย า ล ั ย ค รู อาชีวศึกษาสี่เสาเทเวศร์ เม่ือ ช่วงปี พ.ศ. 2500 – 2501 เ ข า ม า ท ำ ง า น ท ี ่ ส ุ ร ิ น ท ร์ ใ น ต ำ แ ห น ่ ง ห ั ว ห น้ า ประชาสงเคราะห์ ทำงานในแผนกประชาสงเคราะห์บนศาลากลางจังหวัด เราได้ พบกัน พอ่ จงึ ได้แจง้ เรือ่ งของโรงเรยี นบา้ นจกั จรูกใหเ้ ขาฟัง เขาบอกให้พ่อถ่ายรูป อาคารเรยี นโรงเรยี นบ้านจักจรูก พรอ้ มให้ทำหนังสอื ขอวสั ดกุ ่อสรา้ งที่สร้างให้ผู้ ประสบอัคคีไฟที่กำลังถึงเวลาที่จะรื้อถอนทั้งหมด ไปสร้างอาคารเรียนโรงเรียน บา้ นจักจรูก พอ่ กด็ ำเนนิ การทกุ อย่างตามที่คุณชยั ยุทธแนะนำ และช่วงเดอื น มกราคม พ.ศ. 2518 ทางราชการได้อนุมัติใหว้ สั ดุก่อสร้างทั้งหมด 28 ห้องมาท่ีโรงเรยี นบา้ นจักจรูก ผใู้ หญบ่ ้านพร้อมกับชาวบา้ นจักจรูก ได้รว่ มใจ 35 | เรอ่� งเลาของพอ
กันไปรื้อถอนเอาวัสดกุ ่อสร้างที่เป็นไม้หลายประเภทที่มีจำนวนมากถงึ 5 คันรถ สบิ ลอ้ เรานำมาเก็บไว้ท่ีโรงเรอื นเก็บไม้ที่ทำไว้อย่างดี เพ่อื รอการจัดหาทุนสร้าง อาคารเรยี นในโอกาสต่อไป ในตอนนน้ั ผู้วา่ ราชการจังหวัดสุรินทร์ได้ส่ังปลดั อำเภอเมืองสรุ ินทร์ให้พาพ่อไป พบทา่ น ท่านบอกกบั พ่อว่า ไมท้ ี่ไดไ้ ปให้เอาไปเกบ็ รักษาไวใ้ ห้ดีอยา่ ได้เสียหาย อีก 3 เดอื นจะใหเ้ งินงบประมาณไปสร้างโรงเรยี น พ่อรบั ปากท่านแล้วลากลบั และต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2518 พ่อก็ได้รับเงินงบประมาณตามที่ผู้ว่าราชการ ได้รับปากไว้ โดยเราสร้างโรงเรียนบ้านจักจรูกปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2518 ช่างผู้รับเหมาต้องสร้างด้วยความประหยัด เพราะเงินงบประมาณสมทบได้มา 20,000 บาท (สองหมื่นบาท) แต่ก็สามารถสร้างอาคารเรียนได้ 1 หลังมี 3 ห้องเรยี น ยกพืน้ สงู หนึ่งเมตร พอสร้างจรงิ ๆ ไม้ทีไ่ ด้มาก็ไม่พอ ตอ้ งไปขอไม้ที่วัด บ้านนาเกา ซึ่งหลวงตาดาเจ้าอาวาสวัดบ้านนาเกาท่านได้เมตตาช่วยมา จน สำเร็จไดใ้ นท่สี ดุ นอกจากอาคารเรียนแลว้ พ่อยังไดเ้ มตตาจากพระครูวิมลขันตธิ รรม เจ้าอาวาส วัดชุมพลสุทธาวาส สุรินทร์ มอบเสาธงเหล็กให้ระหว่างเดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2518 โดยท่านได้นำเสาธงเหลก็ มามอบให้พร้อมนำชา่ งมาตดิ ตัง้ เสาธงเหลก็ ให้ เรยี บร้อย ส่วนเรื่องโต๊ะ เก้าอี้นักเรียน ทั้งชาวบ้าน ผู้ปกครอง และนักเรียนทั้งหมู่บ้าน ได้ ช่วยกันนำไม้เศษที่เหลือมาทำเป็นโต๊ะนักเรียนได้ครบถ้วนเพียงพอกับจำนวน นักเรียน เม่อื มองย้อนกลบั ไป ทพ่ี ่อสร้างโรงเรยี นบ้านจกั จรกู สำเร็จได้เพราะว่า จากทางโลกสทู างธรรม | 36
1. ผู้วา่ ราชการจังหวดั เหน็ ความสำคัญของการศกึ ษา 2. คุณชัยยุทธ บุตรน้อย เพื่อนของพ่อมีความเมตตาช่วยเหลือ เพราะเขา เคยเปน็ ครูมากอ่ น 3. พระครวู มิ ลขันตธิ รรม มเี มตตาและเห็นความสำคัญของโรงเรียน 4. ผูป้ กครองมีความสามคั คชี ว่ ยเหลือโรงเรยี น สละเวลา แรงงาน ชว่ ยเหลือ จนโรงเรยี นได้สรา้ งสำเรจ็ ไปดว้ ยดี กลบั ดำรงตำแหนง่ แทนครใู หญโ่ รงเรยี นบา้ นสำโรงนาดแี ละเป็นประธานกลุ่มนาดี พ่อเปน็ ครูใหญ่ทโี่ รงเรียนบ้านจักจรูกจนถึงต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2519 ก็ได้รับ คำสั่งให้กลบั มาดำรงตำแหน่งแทนครูใหญโ่ รงเรยี นบ้านสำโรงนาดี และได้รบั เลือก ให้เปน็ ประธานกลุ่มโรงเรยี นในตำบลนาดี เป็นเวลา 2 ปี แลว้ ถกู โยกย้ายต่อไปอีก คร้ัง ตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนบ้านนาตังตระแบกเปน็ ชว่ งเวลาของการไดส้ ร้างและถกู ท้าทาย พ่อเดินทางมารับ ต ำ แ ห น ่ ง ค ร ู ใ ห ญ่ โรงเรียนบ้านนาตัง ตระแบกในปลาย เดือนมีนาคม พ.ศ. 2522 เดินทางไป โรงเรียนด้วย รถจกั รยานยนต์ ไป ถึงครงั้ แรกมคี รูชาย 3 คนมาต้อนรับและ 37 | เรอ�่ งเลาของพอ
เดินไปโรงเรียนด้วยกัน ถึงโรงเรียนเวลา 09.00 น. นักเรียนเข้าห้องเรียนแล้วได้ ทักทายครูตามธรรมเนียม เวลา 15.00 นาฬิกา มีการประชุมแนะนำเบื้องต้น โรงเรียนแห่งนี้ในเวลานั้นมีครูชาย 4 คน มีครูสตรี 7 คน นักการ 1 คน และมี อาคารเรยี นไม้ สองช้นั 1 หลัง นักเรยี นที่มาเรียน มาจากหม่บู ้านถงึ 4 หมู่บา้ น ปัญหาที่พอ่ เจอและต้องแกไ้ ขโดยเรง่ ดว่ น คือ 1. ปญั หาบุคลากร - ครูชายบางคนชอบดมื่ สุรา มาทำการสอนจนครองสติไมไ่ ด้ - บางคนมาทำการสาย มาไม่ทันโรงเรียน มาทำการสอนนั่งหลับใน หอ้ งเรยี นประจำ - บางรายชอบเลน่ การพนัน 2. ปญั หาอาคารเรยี น หอ้ งเรียนไม่พอกบั จำนวนเด็ก ต้องเรง่ ดว่ นจดั หาทเี่ รยี นให้เพยี งพอ 3. ปญั หาชมุ ชน ผู้ปกครองนักเรียนและชาวบ้านไม่ทราบ ไม่รู้บทบาทหน้าที่ของ ผูบ้ ริหารโรงเรียน (ครูใหญ)่ เขาคิดวา่ ครใู หญ่มหี น้าท่เี ข้าหมบู่ ้าน เข้า กับชาวบ้าน คลุกคลีกับผูป้ กครองนักเรียน ดื่มสุรากับชาวบ้าน จึง เปน็ ครใู หญ่ที่ดี เพราะเขาเคยเหน็ ตัวอยา่ งครูใหญ่อืน่ ๆ มาอยา่ งนั้น เผชิญมรสมุ การทำงาน พอ่ ไดต้ ้ังกรรมการสอบสวนเอาผดิ ทางวินัยกับครูชายคนหน่ึงทด่ี ื่มสุรา เมาสุรา ครองสติไม่ได้ไปสอนนักเรียนประจำ เขาเป็นครูที่อยู่ในหมู่บ้านมีญาติอยู่ใน หมู่บ้าน คงเปน็ ดว้ ยเขากลัววา่ จะถกู ไลอ่ อกจากราชการครู จงึ ไดร้ วมญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมาตั้งวงดื่มเหล้ากัน 2 วันช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์ และในวันจันทร์ เวลา 09.00 นาฬกิ า พวกเขาได้พากันรวมตวั เดินขบวนประทว้ ง มีป้ายด่าทอ แต่ จากทางโลกสูท างธรรม | 38
วันนั้นพ่อไม่อยู่ไปประชุมกลุ่มครูใหญ่ เมื่อพ่อกลับมาถึงโรงเรียน ก็เห็นมีคนนั่ง ตามถนนรอบนอกรั้วโรงเรียนอยู่ประมาณ 10 คน ต่อจากนั้นประมาณ 20 นาที เห็นหัวหน้าเดนิ ขบวนและพรรคพวกอีก 5 คน ยืนอยใู่ นสนามริมรว้ั ทางทิศใต้ของ สนามหน้าโรงเรยี น ประกาศโจมตกี ารทำงานของพ่อในเรือ่ งเหล่าน้ี คือ 1. ครใู หญไ่ มใ่ ห้ฉายหนงั กลางแปลงในโรงเรยี น 2. ครูใหญ่ไม่ให้ชาวบ้านใช้นำ้ บาดาลในโรงเรยี น 3. ครูใหญเ่ ครง่ ครัดไมผ่ อ่ นผัน 4. ครูใหญ่ไมเ่ ขา้ ชาวบ้าน ไม่ด่ืมสุรา เฮฮากับชาวบา้ น 5. ครใู หญน่ ิยมศรัทธาพระธรรมยุติ วันต่อมานายอำเภอกับหวั หน้าการประถมศึกษามาสอบขอ้ เท็จจริง โดยได้เรียก ผใู้ หญ่บา้ นทัง้ 4 หมู่บา้ นมาถามปัญหาท่ีเกิดขึ้น ผ้ใู หญบ่ า้ นบอกนายอำเภอว่าไม่ ทราบเรื่องที่เกิด และไม่เห็นด้วยที่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น ผู้ใหญ่บอกนายอำเภอว่า ลูกบ้านเกิดความเขา้ ใจผดิ ไม่เข้าใจเรือ่ งทางราชการ และได้ขอโทษแทนชาวบ้าน ดว้ ย เรื่องกเ็ ลยจบลง และหลงั จากเดินขบวนได้ 5 วนั ผูใ้ หญ่บา้ นและกรรมการศึกษาพรอ้ มชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้าน ได้สละแรงงานเลือ่ ยไม้ สร้างอาคารชั่วคราวได้ 2 ห้องเรียน ภายหน่ึง สัปดาหก์ ็เสรจ็ เรยี บรอ้ ย ดว้ ยแรงสามัคคีของผู้ปกครองนักเรยี น ทำให้นักเรียนมี ท่ีเรยี นเพยี งพอท่ีจะนงั่ เรียนไดส้ บายมากข้ึน ถอื วา่ พอ่ ได้แก้ปัญหาไปได้แล้วระดับ หน่ึง จากนนั้ พอ่ ก็ได้งบประมาณสร้างและปรบั ปรงุ โรงเรยี นเป็นระยะคอื - พ.ศ. 2525 ได้สร้างอาคารเด็กเล็ก ด้วยงบประมาณ 3 ห้องเรียน ห้องเรยี นชน้ั เด็กเล็กก็มีคร้ังแรก และได้งบประมาณสรา้ งห้องน้ำ 4 หอ้ ง - พ.ศ. 2526 ได้รับงบประมาณสร้างอาคารเรียนคอนกรีตใต้ถุนสูง 1 หลัง 3 หอ้ งเรยี น 39 | เร�่องเลา ของพอ
- พ.ศ. 2529 ได้รับงบประมาณสร้างอาคารเรียนตึกคอนกรีต 3 ชั้น 9 หอ้ งเรียน - พ.ศ. 2530 ได้รับอนุญาตรื้อถอนอาคารไม้ 2 ชั้นที่ได้สร้างไว้ช่วง แรก ๆ มาสร้างอาคารเดก็ เล็ก 3 หอ้ งเรยี น ช่วงเวลา 8 ปี ทพี อ่ ได้มาอยทู่ นี่ ี่ ได้ทำหน้าทอ่ี ย่างสมบรู ณค์ รบทุกประการแล้ว ใน วนั ทีพ่ อ่ จะถกู ย้ายพ่อได้เขียนกลอนเอาไว้ “แปดปีอำลาด้วยกลอนจำจรจาก” มี เนอื้ หาดังน้ี “แปดปแปอี ดาปคอ าารคสารีห่ สลห่ี งั ลเสังเรส็จรจ็ แสแนสเหนนเหือ่ ยนเอ่ืหยนจ็เหเปนน จ็ นเักปห็นนนาักหนา โชคดโไี ชดคต้ ดึกีไดสตากึมสชานั้ มเชกั้น้าเหกาอ้ หงอมงรี มาีรคาคาา สาสมาลมา ลนเ้าปนน เปงน�็นตเงรนิาไตมรนาอไยมเล่นย้อยเลย ทงั้ ย้าทย้ังทยง้ั าโยชทคง้ั ดโชมี คีอดาีมคอี าครสาราสมาชมั้นชัน้ สงู สตูงรตะหรงะาหนงเหา่ นนือเหเวนหือาเวหา ไม่มีใคไมรมเทใี คียรบเทไดยี บใ้ นไดโลในกโลากา ขา ขฯ้าคฯอื คผูดอื งัผยู้ดังงั แตยผ ังูเแดตยี ่ผว้เู ดยี ว ลากอ่ ลนากลอานกล่อานกจอ นำจจรำจราจกาก จำจพำรพากรจาากกจสาถกาสนทถี่านที่ เคยสเรคา้ ยงสมราาดงม้วายดมว ือยแมปือดแปปดี ป ไปไอปยอูสยำโู่สรงำนโรางดนี มาีสดขุ ี มหีสมดขุ ทหกุ มขดภ ัยทุกข์ภัย พทุ ธอพง�ทคธ์ทอรงคงดท รำงรดัสำรสั ปรปารกาฏกชัดฏทชำดั ดทีไดำดดมี ีไดผี ด้ลีมผี ล ทำชว่ั ทไดำชช้ ัว่ว่ั ไกดชรัว่รกมรสรนมอสนงตองนตน เกดิเกเปิดน เปคนน็ จคำนไวจมำสี ไวุขเ้มอีสยุขเอย” จากทางโลกสูทางธรรม | 40
กลับมาโรงเรียนบา้ นสำโรงนาดคี ร้ังที่ 3 ในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ เมื่อปลายเดอื นมนี าคม พ.ศ. 2530 พ่อไดก้ ลับมาทีโ่ รงเรียนบ้านสำโรงนาดีคร้ังท่ี 3 เพื่อไปรับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ วันแรกประชุมครูเพื่อชี้แจงแนวทางการ ปฏิบัติงานตามนโยบายของหน้าที่การประถมศึกษาในปีนั้นคือ ต้องเน้นเรื่อง วิชาการ เป็นงานหลัก ต้องให้เด็กเก่ง อ่านคล่อง คิดเลขเร็ว หัวหน้าการ ประถมศึกษา มีแนวคิดที่จะให้ประกวดโรงเรียนระดับจังหวัด เพื่อรับรางวัลจาก “สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ” ดังนั้นเมื่อมีความตั้งใจแน่วแน่ที่ส่ง โรงเรยี นเขา้ ประกวดแลว้ จึงตอ้ งศึกษารายละเอียดของหลักสูตรการศึกษาระดับ ประถมศึกษาทั้งประมวลการสอน โครงการสอนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เห็นว่า ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ เปน็ วชิ ากลมุ่ ทกั ษะ ทเ่ี ด็กต้องฝึกและใหม้ คี วามเช่ียวชาญ จริง ๆ ถ้าเด็กมีทักษะทงั้ ภาษาไทยและคณิตศาสตร์ วชิ ากลุ่มประสบการณ์อ่ืนเป็น ตัวประกอบ ถ้าอ่านคล่องเขียนคล่องแล้ว กลุ่มประสบการณ์อื่นก็เรียนได้เอง ดังนั้นสิ่งที่จะต้องดำเนินการคือ จัดกิจกรรมเสริมทางวิชาการ ของกลุ่มทักษะ ภาษาไทยและคณติ ศาสตร์ โดยกำหนดกิจกรรมแยกเป็นเรอื่ ง ๆ กำหนด วนั เวลา ใหค้ รูรับผดิ ชอบตอ่ เนอ่ื งในการปฏิบตั ิกิจกรรม ตลอดปกี ารศึกษา ดงั ตอ่ ไปน้ี คอื 1. คดั ลายมืองาม คัดทุกวัน ตามแบบ 2. ภาษาไทยทางอากาศ อ่านภาษาให้ฟัง ให้เขียนตาม 5 คำ เวลาพัก เทย่ี ง แยกเปน็ ระดบั ช้นั ป.1– ป.2, ป.3 – ป.4, ป.5 – ป.6 3. ตน้ ไม้บตั รคำ พูดได้ คำยาก 4. เกวียนความรู้ มคี ำยาก ติดในกบั วงเกวยี น แยกจากตวั เกวียน 5. เกวียนห้องสมดุ นำหนังสอื ไวใ้ นเกวียนเด็กนักเรยี นไปน่ังในเกวียนอ่าน หนงั สอื 6. แผนภูมิบัตรคำ คำยาก ติดสถานที่เด็กวิ่งเล่นในสวนเสริมวิทยา เด็ก เล่น เดก็ อ่าน 41 | เรอ�่ งเลาของพอ
7. จัดเป็นสวนเสริมวทิ ยา เป็นคำขวัญ คติพจน์ “ความเพยี งรคือทางแห่ง ความสำเร็จ” “ความเป็นหนี้มีทุกข์ในโลก” “ใครสร้างกรรมใด กรรม น้นั ตามสนอง” 8. สอนเสริมนักเรียน ที่อ่านไม่ได้ตั้งแต่ ป.1 – ป.6 ผู้บริหารดำเนินการ สอนเวลาพกั เทยี่ ง 45 นาที 9. ท่องสตู รคูณจำแม่น ป.2 – ป.3, ป.4 - ป.6 10. เลขคณติ คดิ เร็ว ให้คิดเลขในใจวันละ 5 ขอ้ ภาคเช้าคดิ เร็ว 5 นาที 11. เขียนภาษาอังกฤษทางอากาศ คำศัพท์วันละ 5 คำ ชั้น ป.5 ป.6 เพื่อ จำคำศพั ท์ 12. การจัดห้องเรียน การจัดห้องเรียนถือว่าสำคัญมาก ครูผู้สอนจัด ห้องเรียนสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้น่าเรียน น่าอยู่ มีสื่อการ เรียนทุกกลุ่มประสบการณ์ ทุกๆ มมุ หอ้ ง 13. ผู้บรหิ ารตรวจสมดุ นักเรียน ทุกคน ทุกชั้น เดือนละ 1 ครงั้ และเมื่อจัดทำโครงการเสริมวิชาการของกลุ่มทักษะภาษาไทยและคณิตศาสตร์ เรียบรอ้ ยแล้ว บรรจุเนื้อหาในโครงการ 13 เร่อื ง แบ่งหน้าที่ให้ครูรับผดิ ชอบ ลงมือ ปฏบิ ตั จิ รงิ เสาร์ – อาทติ ย์ ไมพ่ กั ตงั้ แต่ปกี ารศึกษา 2531 เปน็ ต้นไป ปฏิบัติไปได้ 1 ภาคเรียน พอถงึ ภาคเรยี นท่ี 2 หัวหนา้ การประถมศึกษามาเยี่ยมโรงเรียนมาเห็นการปฏิบัติ กิจกรรมในเวลาพักเที่ยง และได้ดำเนินตามโครงการที่วางไว้แล้ว ท่านชม ขอดู โครงการท่เี ขยี นไวบ้ รรจุเน้ือหาเรยี บร้อย 13 เรื่อง ท่านได้อ่านโครงการเรียบร้อย แล้ว จึงตัดสินใจบอกพ่อให้ส่งโรงเรียนเข้าประกวดระดับจังหวัด เพื่อรับรางวัล จาก (ส.ป.ช.) สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ เวลาต่อมาหัวหน้าการ ประถมศึกษาได้ส่งคณะศึกษานิเทศก์ มาช่วยดูแลแนะแนวทางอย่างที่ยังไม่ครบ สมบูรณ์โดยเฉพาะการจัดห้องเรียน จากทางโลกสูทางธรรม | 42
เข้าประกวดโรงเรยี นภาคเรยี นแรกของปกี ารศกึ 2532 ทางคณะกรรมการประกวด โรงเรียนมาประเมินโรงเรียน เพื่อให้คะแนน เวลาพักเที่ยงได้ ชมกิจกรรมเสริมทางวิชาการ ที่ครูพานักเรียนทำประจำ มาแล้วเป็นปี ปีนี้ทำปีที่ 2 พ.ศ. 2532 ดงั นัน้ จงึ มีความคล่องตัว ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ป ร ะ เ มิ น กิจกรรมทั้ง 13 เรอ่ื งแลว้ เดินทางกลับ และเมื่อถึงวันประกาศผลประกวดโรงเรียน โดยสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดสุรินทร์ ประกาศผลการประกวดโรงเรียน เพื่อรับรางวัลจาก ส.ป.ช. สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ ปีการศึกษา 2532 ผลปรากฏว่า โรงเรียน บ้านสำโรงนาดี ตำบลนาดี อำเภอเมอื งสรุ ินทร์ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ไดม้ าเปน็ ลำดบั 1 ทางโรงเรียนได้รับหนังสือผลการประกวดโรงเรียนจาก ส.ป.ช. ว่า โรงเรียนบ้าน สำโรงนาดีชนะการประกวดโรงเรียนระดับจังหวัด ให้ไปรับโล่ห์ และเกียรติบัตรท่ี สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ (ส.ป.ช.) ที่หอประชุมคุรุสภา ต้นเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 โดยใหผ้ บู้ รหิ ารโรงเรียนคือพอ่ เป็นผู้ไปรับ พ่อได้อ่านคำสัง่ และผลประกวดโรงเรียนให้คณะครูฟงั ด้วย ตื้นตันใจแทบพูดไม่ ออกและชาตินี้ทัง้ ชาตคิ งมคี ร้ังน้ีคร้ังเดียวท่ีทำงานได้ประสบผลสำเร็จด้วยความ ร่วมมือของคณะครูในโรงเรียนและชุมชนและกรรมการศึกษา ซึ่งทั้งพ่อและคณะ ครูก็มีความดีใจ อิ่มเอิบ ภาคภูมิใจ จนน้ำตาซึมไปตามกัน ที่พากันทำงานส้งู าน 43 | เรอ�่ งเลาของพอ
มีความขยันหมั่นเพียร ไม่มีเวลาพกั แม้วันเสาร์ - อาทิตย์ ก็ไม่ได้พักตลอดเวลา รว่ ม 2 ปี ผลการประกวดโรงเรียนกไ็ ดส้ ำเร็จตามความปรารถนาทุกประการ ข่าวการประกวด โรงเรียน ชนะการ ประกวดโรงเรียนบ้าน สำโรงนาดี ครั้งนี้ได้แพร่ ส ะ พ ั ด ไ ป ย ั ง ห ม ู ่ บ ้ า น ที่ สังกัดโรงเรียนทั้ง 4 หมู่บ้าน ที่นักเรียนมา เรียนโรงเรียนบ้านสำโรง นาดี ท้งั ผูใ้ หญบ่ า้ นทั้ง 4 หมู่บา้ น ผู้ปกครองนักเรียน แสดงความยินดีกับคณะครูและนักเรียนที่ได้ชนะการ ประกวดโรงเรียนคร้งั น้ี พระครสู เุ ขตวรธรรม เจ้าอาวาสวัดสเุ ขตตาราม ซ่งึ เป็นกรรมการศึกษา ท่านชม ว่า คณะครูมีบุญ เวลามีงานทั้งผู้บริหารช่วยเหลือวัดทุกครั้ง ทั้งผู้บริหารเป็น พธิ ีกรทกุ คร้ัง และคณะครู นกั การกเ็ สียสละเป็นตวั อย่างแก่ชาวบ้าน เหตุนี้เองจึง ทำใหช้ นะการประกวดโรงเรยี นในครั้งนี้ เพราะ บญุ แทแ้ ท้ นะ “ทผ่ี ู้บริหารและคณะ ครทู ำบญุ ” ทา่ นกล่าวในที่สดุ ผู้บริหารโรงเรียน 7 ท่าน ทะยอยเดินทางมาชืน่ ชมใหก้ ำลงั ใจ ระหวา่ งนั้น พอ่ ไดร้ ับ เลือกตั้งเป็นประธานกลุ่มนาดี (ระหว่างกลางปีการศึกษา 2530) ผู้บริหาร โรงเรยี นแต่ละทา่ น มาแสดงความดใี จ ชืน่ ชม ดใี จ ที่ประกวดโรงเรยี นชนะเลิศระดับ จังหวัด เป็นตัวแทนของโรงเรียนในกลุ่มนาดีด้วย ได้รับรางวัลจาก ส.ป.ช. จากทางโลกสูท างธรรม | 44
สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ ผู้บริหารแต่ละท่านชมห้องเรียน สวนเสริม วทิ ยา กจิ กรรมท้ังหมด 13 อย่างทเ่ี ขา้ ประกวดแลว้ เดินทางกลับ และที่จำได้มากที่สุดคือ มีผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงคนหนึ่งมาแสดงความยินดีคน สุดท้าย เขาเข้ามาพูดกับพ่อว่า “ผมขอแสดงความยินดีที่ท่านประธานและคณะ คุณครูได้ประกวดโรงเรียนชนะระดับ จังหวัดและได้รับรางวัลจาก ส.ป.ช. สำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ กระผมขอแสดงความชื่นชมยินดีด้วยครบั ผม เขาขออนุญาตชมกิจกรรมทั้ง 13 อยา่ งทสี่ ่งเข้าประกวด” แลว้ เขาขอเขา้ ไปชม ทุกแง่ทุกมุมเจาะลึก เขาชมกิจกรรมช่วงพักเที่ยง จนเวลาประมาณบ่ายสาม มา พกั ในหอ้ งพักครูช้นั บน มาบอกกับพอ่ ว่า “ท่านประธานครับ ผมได้ชมกิจกรรมที่ส่งเข้าประกวดทั้ง 13 แล้ว น่าชื่นชมใน ความสามารถ ความรู้เฉพาะตัวของครู ความเอาใจสู้ สละเวลา อุทิศเวลามา ทำงานจนงานท่ีมอบหมายสำเร็จไปด้วยดี คณุ ครทู ุกทา่ นดูแลว้ มีขวญั กำลังใจใน การทำงานทกุ คนรักงานดว้ ยชีวิตจติ ใจ ดว้ ยเหตุนเ้ี องโรงเรยี นบ้านสำโรงนาดี จึง ประกวดชนะโรงเรียนอนื่ ๆ ผมไดช้ มกจิ กรรมท้ัง 13 เรอื่ งแล้ว ผมขออนุญาตเอา แบบอย่างลองไปให้ครูที่โรงเรียนได้ ลองปฏิบัติดู คือการจัดห้องเรียน เอา ห้องเรียนต้นแบบของโรงเรียนบ้านสำโรงนาดีไปลองทำดู รวมทั้ง ขอนำเอา แบบอย่างกิจกรรมงานเกษตรเพื่ออาหารกลางวันด้วย ในสระน้ำมีปลาจำนวน มากเท่าที่ให้อาหารดู รอบบนขอบสระก็ปลูกผักหลายชนิด เพื่อเป็นอาหาร กลางวันนักเรียน ขอชมว่าคุณครูที่รับผิดชอบโครงการคงมีความถนัดเรื่องน้ี จริง ๆ จึงมีความสามารถทำได้” เขาได้ถามพ่ออีกว่า “ท่านประธานครับ ขอให้ท่านได้ชี้แนวทางวิธีการบริหาร บคุ ลากรในโรงเรียนแกก่ ระผมดว้ ยครับ” 45 | เรอ�่ งเลา ของพอ
พ่อได้ตอบเขาไปว่า “ความจริงแล้ว ผมไม่มีความรู้ในการบริหารบุคลากร ไม่มี ความรู้ด้านจิตวิทยา แต่มีประสบการณ์ในการเป็นผู้บรหิ ารอยู่กับคณุ ครูมา 30 ปี 5 โรงเรียน ก็ได้พบเห็นการทำงานของครูแต่ละคน ตลอดจนนิสัยและความ ต้องการของแต่ละบุคคล ตลอดมาเป็นเวลา 30 ปี ดังนั้นจึงขอสรุปให้ท่านได้ฟงั เพ่อื นำเนวทางไปบรหิ ารบคุ ลากรตามทท่ี ่านไดต้ ้ังใจไว้” ประการแรก ตัวผมเองได้นำหลักราชการ 10 ประการของสมเด็จพระ มงกุฎเกลา้ เจา้ อย่หู ัว รัชกาลท่ี 6 มาปฏบิ ัติ ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน (พ.ศ. 2475) พมิ พแ์ จกแก่ขา้ ราชการ ประการที่ 2 ผมไม่ยึดติดในตำแหน่งผู้บริหาร ทุกอย่างเขาสมมติให้เรา ทำ ประการที่ 3 ครูทุกคนคือญาติ อยู่ในครอบครัวเดียวกันมีความทุกข์ ลำบาก ตอ้ งดแู ลช่วยกนั องค์ประกอบอื่นท่ีนำมาเพ่ือเสรมิ ให้ประสบผลสำเร็จคือ 1. การทำงานของผมน้ัน พยายามน่ังบนหวั ใจคน ไม่นงั่ บนหวั คน 2. ผมไม่เคยแทงหลงั ผู้รว่ มงาน “นินทา” 3. ผมไม่เคยใชอ้ ารมณก์ บั ผู้รว่ มงาน ขู่ ด่า ตะคอก 4. ผมใหอ้ ภัยลกู น้องทกุ คนท่เี ขาทำงานผิดพลาด 5. ผมให้กำลังใจในการทำงานทุกคน พูดชมให้ความเป็นกันเอง 6. ในวันเกดิ ของคุณครู ถ้ารู้แล้วต้องอวยพรวนั เกิดให้เขา 7. ผมไม่เคยตำหนิ การทำงานของครทู ่ที ำงานผิดพลาด 8. ผมเสียสละการช่วยเหลอื สังคมเป็นตวั อยา่ ง 9. ผมมาทำงานก่อนเวลาและกลบั หลงั เวลา จากทางโลกสทู างธรรม | 46
หากมีอะไรต้องเพ่มิ เติม ขอให้ท่านไปพจิ ารณาทำให้ครบตอ่ ไป เพอื่ การบริหารได้ ประสบผลสำเร็จ “ขอทา่ นจงโชคดี” เขาลากลับพร้อมกบั แสดงความขอบคณุ รบั โล่ห์ เกยี รติบัตรท่ีหอประชมุ ครุ ุสภา ต้นเดือน พฤศจกิ ายน 2532 วนั นน้ั เป็นวนั ประถมศึกษาแห่งชาติ พอ่ ได้เดินไปรับ รางวลั แต่ผู้เดยี ว เพราะงบประมาณมีจำกดั พักทีค่ รุ สุ ภาเป็นหอพัก โรงแรมของ ครูโดยเฉพาะ ราคากถ็ กู คนื เดยี วเทา่ นัน้ เมื่อถึงเวลา 09.00 นาฬิกา ทำพิธีรับโล่ห์ – เกียรติบัตร เห็นมีตัวแทนไปรับ ประมาณ 50 คน พ่อรับเสรจ็ มีเจ้าหนา้ ท่ีทำงานในสำนักประถมศึกษาแห่งชาติเป็น สภุ าพสตรีมาแสดงความดใี จ เขารู้จกั พอ่ 47 | เร่�องเลาของพอ
และสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น ผู้มาเยี่ยมชมโรงเรียน ชมกิจกรรมการประกวด โรงเรยี นชนะเลศิ 140 ครัง้ ในรอบ 1 ปี พ่อได้พูดบรรยายกิจกรรมทั้ง 13 อย่าง ที่ชนะการประกวดอย่างละเอียดทุก กิจกรรม เพื่อให้เขาสามารถนำไปปฏิบัติได้ ผู้มาเยี่ยมชมได้ชมภาษาไทย ออกอากาศ ได้ชมห้องเรียนต้นแบบ และกจิ กรรมการเกษตรเพือ่ อาหารกลางวัน และอาจารยส์ ตรีผูจ้ ัดทำห้องเรยี นต้นแบบไดบ้ รรยายวิธีจัดห้องเรียนตน้ แบบจน ชนะเลศิ การประกวดด้วย ทุกท่านเดนิ ทางกลับ ไดร้ ับการแต่งตง้ั เปน็ หวั หนา้ ผนู้ เิ ทศกก์ ารศึกษาและคณะกรรมการสอบบรรจุครู หลังจากนั้น พ่อก็ได้รับเกียรติถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้นิเทศก์การศึกษา ใน โรงเรยี นสงั กัดอำเภอเมอื งสุรนิ ทร์ 300 โรงเรียนไปนเิ ทศนพ์ ร้อมกับศกึ ษานิเทศก์ 7 คน และประธานกลุ่มเป็นตัวแทนอีก 5 คน กบั หัวหนา้ การประถมศึกษารวมเป็น 13 คน ระยะเวลาการ นเิ ทศก์ใชเ้ วลา 2 ปี ต้งั แต่ ปีการศึ กษา 2533 - 2535 การนิเทศก์การ เร่งรัดการเรียนการ สอน เน้นกลุ่มทักษะ ภาษาไทย - คิดเลขเร็ว สูตรคูณคล่อง, การจัด ห้องเรียน, กิจกรรม การเกษตร พืน้ ฐานอาชพี , เพื่อนักเรียนไดน้ ำไปปฏิบัติจรงิ ในชีวิตประจำวัน เด็ก เกดิ การเรียนรู้ คิดเป็น ทำเปน็ แก้ปัญหาเปน็ ชว่ ยตัวเองได้ นอกจากนัน้ ไดป้ ระเมิน เดก็ ในการแสดง กล้าพูด กลา้ คดิ กลา้ ทำ เพอื่ เปรียบเทียบระหว่างโรงเรียนตา่ ง ๆ จากทางโลกสทู างธรรม | 48
พร้อมทั้งความสะอาดบรเิ วณโรงเรียน ห้องน้ำเป็นต้น พ่อใช้เวลาในการนิเทศก์ 2 ปีการศึกษาก็หมดโครงการ หลังจากหมดโครงการแลว้ โรงเรียน ต่าง ๆ ที่ได้รับ การนิเทศก์ทั้ง 300 โรงเรียนได้พัฒนาดีขึ้นมาระดับหนึ่ง เช่น การจัดห้องเรียน และงานพ้ืนฐานอาชพี เป็นต้น จากนั้นเดอื นมีนาคม พ.ศ. 2537 ไดร้ ับแต่งต้ังเป็นกรรมการสอบบรรจุครูหลาย ตำแหน่งที่โรงเรียนเมืองสุรินทร์ โดยให้สัมภาษณ์นักเรียน 70 คน มี คณะกรรมการ 5 คน เป็นอาจารยใ์ หญ่ พ่อเป็นประธานในการสอบ ถามความรู้ ทั่วไป ไหวพริบ ความรอบรู้ ทั้งทักษะและความถนดั อื่น ๆ นอกนั้นเป็นผู้คอยฟงั และบันทกึ ลงความเห็นในการใหค้ ะแนน ปญั หาสุขภาพท่เี ขา้ มาแบบไมค่ าดคดิ พอ่ ตอ้ งเจอปญั หาสขุ ภาพที่ไมค่ าดคิดในปสี ุดท้ายทจ่ี ะเกษยี ณอายรุ าชการ คอื มี อยู่วันหนึ่งในระหว่างการที่ทำหน้าที่สอบสัมภาษณ์เพื่อบรรจุครู ช่วงเวลา ประมาณ 11.00 น. พ่อเริ่มปวดศรีษะหน้ามืดแต่สู้ต่อไปจนถึงเวลาพักเที่ยง รบั ประทานอาหารไมไ่ ด้ ภาคบา่ ยทำการสมั ภาษณ์ต่อไปจนจบ เดินทางกลับบ้าน อาการปวดเริ่มหนักไปพบ (หมอ) แพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึง่ ในจังหวดั สุรินทร์ แพทย์ที่ดูตรวจอาการเขาวินิจฉัยว่า “กระดูกเสื่อม” จะผ่าตดั เอาเหลก็ เสรมิ ดา้ นหลงั นอน 1 คืน พ่อไม่ยอมใหผ้ า่ ตดั ฉดี ยาให้ 2 เข็ม อาการไมด่ ขี ึ้น แต่พอพ่อกลับมาบ้าน อาการปวดทวีรุนแรง เกิดอาการวิ่งเจบ็ ไปทั่วตัว หยุดไม่ นานก็เจ็บอีก อาการเจ็บวิ่งทั่วร่างกาย พ่อคิดว่าคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว ญาติพี่ น้องทางบ้านเขวาสินรินทร์มาเยี่ยมแล้วเห็นอาการป่วยของพ่อหนัก ให้รีบส่งไป หาแพทยท์ ่ีโรงพยาบาลเดมิ แพทย์อีกท่านได้วินจิ ฉยั ว่าเป็นโรค “ไขมันอุดตันเส้น เลือด” ขั้นรุนแรง แพทย์ทำการรักษาโดยให้นอนคว่ำ เอาเข็มขนาดใหญ่เจาะ 49 | เร�่องเลา ของพอ
Search