Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน อนาคามี

Description: พุทธวจน อนาคามี

Search

Read the Text Version

พุทธวจน

ภกิ ษุท้ังหลาย  บคุ คลผปู้ ระกอบแลว้ ด้วยกามโยคะ (กามโยคยุตโฺ ต) (และ) ประกอบแล้วด้วยภวโยคะ (ภวโยคยุตโฺ ต) เป็น อาคามี ยังต้องมาสคู่ วามเป็นอย่างน้ี. ภกิ ษทุ ั้งหลาย  บคุ คลผู้พรากแลว้ จากกามโยคะ (กามโยควิสยตุ ฺโต)  (แต่) ยังประกอบแลว้ ด้วยภวโยคะ (ภวโยคยุตฺโต) เป็น อนาคามี ไม่มาสคู่ วามเป็นอยา่ งนี้.  ภกิ ษุทั้งหลาย  บคุ คลผู้พรากแลว้ จากกามโยคะ (กามโยควิสยตุ ฺโต)  (และ) พรากแลว้ จากภวโยคะ (ภวโยควสิ ยตุ ฺโต) เปน็ อรหันต์ สิ้นอาสวะแลว้ . --บบาาลลี ี ออิตติ วิ วิ .ุ .ุ ขข.ุ .ุ ๒๒๕๕//๓๓๐๐๓๓//๒๒๗๗๖๖..

สารบี ุตร  บุคคลบางคนในโลกน ้ี ยังละโอรมั ภาคยิ สังโยชน์ ไม่ได้ (โอรมฺภาคิยานิ ส ฺโ ชนานิ อปปฺ หีนาน)ิ แตเ่ ขาบรรลเุ นวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบนั บคุ คลนน้ั ชอบใจ ยนิ ดี … อยู่จนคุน้ ในเนวสญั ญานาสญั ญายตนะนน้ั ไมเ่ สือ่ มเม่อื กระทาำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถึงความเปน็ สหาย องเหลา่ เทวดาผเู้ า้ งึ เนวสญั ญานาสัญญายตนภพ เ าจตุ จิ ากชน้ั นน้ั แลว้   ยอ่ มเป็นอาคาม ี กลบั มาสคู่ วามเปน็ อยา่ งน.้ี สารีบตุ ร  บคุ คลบางคนในโลกน้ ี ละโอรัมภาคยิ สังโยชน์ ได้แลว้ (โอรมภฺ าคยิ าน ิ ส ฺโ ชนานิ ปหีนาน)ิ แลว้ เขาบรรลเุ นวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบนั บคุ คลนน้ั ชอบใจ ยินดี … อยจู่ นค้นุ ในเนวสญั ญานาสญั ญายตนะนน้ั ไม่เสื่อมเมอ่ื กระทาำ กาละ ย่อมเขา้ ถงึ ความเป็นสหาย องเหลา่ เทวดาผ้เู ้า งึ เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เ าจุตจิ ากชน้ั นน้ั แลว้   ยอ่ มเป็นอนาคามี ไมก่ ลบั มาสคู่ วามเปน็ อยา่ งน.้ี   -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ /๒ ๓/ ๗ .



พทุ ธวจน ว ธ เปดธรรมที่ ูกปด ๑๖อนาคามี พุทธวจน น รว่ มกนั มงุ่ มนั่ ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผค่ า� ของตถาคต

พุทธวจน ฉบับ ๑๖ อนาคามี ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ท�งก�รศึกษ�สู่ส�ธ�รณชน เป็นธรรมท�น ลิขสทิ ธ์ใิ นตน้ ฉบบั นไ้ี ดร้ ับการสงวนไว้ ในการจะจัดทาำ หรอื เผยแผ่ โปรดใช้ความละเอยี ดรอบคอบ เพอื่ รักษาความถกู ตอ้ งของขอ้ มูล ให้ขออนุญาตเปน็ ลายลักษณ์อักษร และปรึกษาด้านข้อมูลในการจดั ทำาเพ่ือความสะดวกและประหยดั ติดต่อได้ท่ี มูลนิธิพทุ ธโฆษณ์ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔ มูลนิธิพุทธวจน โทรศัพท์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒ คุณศรชา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คุณอารวี รรณ โทรศัพท์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ ปที พี่ ิมพ์ ๒๕๖๓ ศิลปกรรม ณรงค์เดช เจริญปาละ, อภชิ ญ์ บศุ ยศิร,ิ ปรญิ ญา ปฐวินทรานนท์ จัดทำ�โดย มูลนธิ พิ ุทธโฆษณ์ (เว็บไซต์ www.buddhakos.org)

คำ�อนโุ มทน� ขออนุโมทนากับคณะงานธัมมะ ผู้จัดทำาหนังสือ พทุ ธวจน ฉบบั อนาคามี ทม่ี คี วามตง้ั ใจและมเี จตนาอนั เปน็ กศุ ลในการเผยแผค่ าำ สอนของตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ ทอ่ี อกจากพระโอษฐข์ องพระองคเ์ อง ในการรวบรวมคาำ สอน ของตถาคต อนั เกย่ี วขอ้ งกบั ความเปน็ อรยิ บคุ คล ขน้ั อนาคามี ที่ตถาคตอุปมาเปรียบกับสมณปทุมะ ด้วยเหตุอันดีที่ได้กระทำามาแล้วน้ี ขอจงเป็นเหตุ ปัจจัยให้ผู้มีส่วนร่วมในการทำาหนังสือ และผู้ท่ีได้อ่าน ไดศ้ กึ ษา ไดน้ าำ ไปปฏบิ ตั ิ พงึ สาำ เรจ็ สมหวงั พบความเจรญิ รุ่งเรืองของชีิวิตได้จริงในทางโลก และได้ดวงตาเห็นธรรม สาำ เรจ็ ผลยงั นพิ พาน สมดงั ความปรารถนา ตามเหตปุ จั จยั ที่ได้สรา้ งมาอย่างดแี ลว้ ด้วยเทอญ. ขออนโุ มทนา ภิกขคุ ึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

ค�ำ น�ำ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ขอ้ ทีธ่ รรมวนิ ยั นี้ เปน็ ทีพ่ าำ นกั อาศยั ของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ โสดาบัน ผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำาให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำาให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล อนาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำาให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล อรหันต์ ผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่ น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาประการที่ ๘ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ บุคคลผู้เป็นอรหันต์ เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ เต็มบริบูรณ์ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำาอรหัตตผลให้เเจ้งเพราะ อินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของอรหันต์ เป็นอนาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติเพื่อทำา อรหัตตผลให้แจ้ง เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำาอนาคามิผลให้แจ้ง เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของอนาคามี เป็น สกทาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของผู้ ปฏิบัติเพื่อทำาอนาคามิผลให้แจ้ง เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำา สกทาคามิผลให้แจ้ง เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ ของสกทาคามี เป็นโสดาบัน เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อน กว่าอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติเพื่อทำาสกทาคามิผลให้แจ้ง เป็น

ผู้ปฏิบัติเพื่อทำาโสดาปัตติผลให้แจ้ง เพราะอินทรีย์ ๕ ยัง อ่อนกว่าอินทรีย์ของโสดาบัน ภิกษุทั้งหลาย รูป … เวทนา … สัญญา … สังขาร … วิญญาณ เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ ความกำาหนัด ด้วยอำานาจความพอใจในรูป … เวทนา … สัญญา… สังขาร… วิญญาณ ชื่อว่าสังโยชน์ ขันธ์เหล่านี้เรียกว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ ฉันทราคะ นี้เรียกว่า สังโยชน์ เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มี- พระภาคเพื่อละสังโยชน์, เพื่อถอนอนุสัย, เพื่อความสิ้น อาสวะ, เพื่อกระทำาให้แจ้งซึ่งผลแห่งวิชชาและวิมุตติ, เพื่อญาณทัสสนะ, เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน อริยมรรคอัน ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล คือ ความเห็นชอบ ความดำาริ ชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียร ชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ นี้เป็นข้อปฏิบัติ เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ประโยชน์แห่งพรหมจรรย์ พุทธวจนฉบับ อนาคามี จึงเป็นการรวบรวม ตถาคตภาษิต ของผู้เป็นอริยบุคคล ที่พระองค์กล่าวว่า เป็นสมณะที่ ๓ ในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีอัน ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา มีได้ด้วยเหตุเพียงเท่าไร

ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้ มีจิต หลดุ พน้ แลว้ เพราะสิน้ ตณั หา อนั เปน็ เครือ่ งนาำ ไปส่ภู พใหม่ ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพาน อันเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะ บรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพ ได้ทั้งหมด. คณะงานธมั มะ วัดนาป่าพง



อกั ษรย่อ เพื่อคว�มสะดวกแก่ผทู้ ่ยี ังไม่เข�้ ใจเร่อื งอกั ษรย่อ ทใ่ี ช้หม�ยแทนช่ือคัมภรี ์ ซ่งึ มีอย่โู ดยม�ก มห�ว.ิ ว.ิ มห�วิ งั ค์ วนิ ัยป ก. กิ ฺขุน.ี วิ. ิกขุนวี ิ งั ค์ วนิ ัยป ก. มห�. วิ. มห�วรรค วนิ ยั ป ก. จุลลฺ . ว.ิ จุลวรรค วินัยป ก. ปรวิ �ร. ว.ิ ปริว�รวรรค วินัยป ก. ส.ี ท.ี สลี ขนั ธวรรค ที นกิ �ย. มห�. ที. มห�วรรค ที นกิ �ย. ป�. ที. ป� กิ วรรค ที นกิ �ย. มู. ม. มลู ปณณ�สก์ มัช มิ นิก�ย. ม. ม. มชั ิมปณณ�สก์ มัช ิมนกิ �ย. อปุ ร.ิ ม. อุปริปณณ�สก์ มัช มิ นกิ �ย. สค�ถ. สำ. สค�ถวรรค สังยุตตนกิ �ย. นทิ �น. สำ. นทิ �นวรรค สงั ยตุ ตนิก�ย. ขนธฺ . สำ. ขันธว�รวรรค สงั ยุตตนกิ �ย. ส �. สำ. ส �ยตนวรรค สงั ยุตตนิก�ย. มห�ว�ร. สำ. มห�ว�รวรรค สังยุตตนกิ �ย. เอก. อำ. เอกนิบ�ต องั คตุ ตรนกิ �ย. ทกุ . อ.ำ ทุกนิบ�ต องั คุตตรนิก�ย. ตกิ . อ.ำ ติกนิบ�ต องั คุตตรนิก�ย. จตุกฺก. อำ. จตุกกนิบ�ต อังคตุ ตรนิก�ย.

ป จฺ ก. อ.ำ ปญจกนบิ �ต อังคุตตรนกิ �ย. ฉกกฺ . อ.ำ ฉักกนิบ�ต องั คุตตรนิก�ย. สตฺตก. อำ. สัตตกนบิ �ต อังคตุ ตรนกิ �ย อ ก. อำ. อั กนิบ�ต องั คตุ ตรนิก�ย. นวก. อ.ำ นวกนิบ�ต อังคุตตรนกิ �ย. ทสก. อำ. ทสกนบิ �ต อังคตุ ตรนกิ �ย. เอก�ทสก. อ.ำ เอก�ทสกนิบ�ต อังคตุ ตรนกิ �ย. ขุ. ขุ. ขุททกป� ะ ขทุ ทกนกิ �ย. ธ. ขุ. ธรรมบท ขทุ ทกนิก�ย. อุ. ขุ. อุท�น ขุททกนกิ �ย. อิตวิ .ุ ข.ุ อิติวตุ ตกะ ขุททกนิก�ย. สุตตฺ . ขุ. สุตตนิบ�ต ขทุ ทกนกิ �ย. วิม�น. ข.ุ วิม�นวัตถุ ขุททกนิก�ย. เปต. ขุ. เปตวตั ถุ ขุททกนกิ �ย. เถร. ขุ. เถรค�ถ� ขุททกนิก�ย. เถรี. ข.ุ เถรคี �ถ� ขุททกนิก�ย. ช�. ขุ. ช�ดก ขทุ ทกนกิ �ย. มห�น.ิ ข.ุ มห�นทิ เทส ขทุ ทกนิก�ย. จู น.ิ ขุ. จู นิทเทส ขทุ ทกนกิ �ย. ป ิสมฺ. ข.ุ ป สิ ัม ิท�มรรค ขุททกนิก�ย. อปท. ข.ุ อปท�น ขทุ ทกนกิ �ย. พทุ ฺธว. ขุ. พทุ ธวงส์ ขุททกนิก�ย. จรยิ �. ขุ. จริย�ป ก ขุททกนกิ �ย ตวอ า ๔/ ๗ /๒๔๕ อา วา ต ก บบส า ล ๔ า ๗ ขอ ี ๒๔๕

ส�รบัญ 1 อน�ค�มี (พระสตู รทค่ี วรทร�บ) ๒ ๓ ๑. ชอ่ื ของอรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๑) ๕ ๒. ชอ่ื ของอรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๒) ๗ ๓. ชอ่ื ของอรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๓) ๑๐ ๔. ชอ่ื ของอรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๔) ๑๑ ๕. ความเปน็ อรยิ บคุ คล กบั การละเครอ่ื งผกู (นยั ท่ี ๑) ๑๔ ๖. โยคะ ๔ ๑๙ ๗. คลายความพอใจในกาม เปน็ เทวดาเหลา่ สทุ ธาวาส ๒๒ ๘. ความเปน็ อรยิ บคุ คล กบั การละเครอ่ื งผกู (นยั ท่ี ๒) ๒๓ ๙. สงั โยชน์ ๑๐ ๒๘ ๑๐. โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ๓๓ ๑๑. อปุ มาชา่ งตเี หลก็ ๓๖ ๑๒. ความเปน็ อรยิ บคุ คลกบั สกิ ขา ๓ (นยั ท่ี ๑) ๓๙ ๑๓. ความเปน็ อรยิ บคุ คลกบั สกิ ขา ๓ (นยั ท่ี ๒) ๔๔ ๑๔. ความเปน็ อรยิ บคุ คลกบั สกิ ขา ๓ (นยั ท่ี ๓) ๔๕ ๑๕. ความเปน็ อรยิ บคุ คลกบั อนิ ทรยี ์ ๕ (นยั ท่ี ๑) ๔๖ ๑๖. ความเปน็ อรยิ บคุ คลกบั อนิ ทรยี ์ ๕ (นยั ท่ี ๒) ๔๘ ๑๗. ความเปน็ อรยิ บคุ คลกบั อนิ ทรยี ์ ๕ (นยั ท่ี ๓) ๕๑ ๑๘. อนาคามใี นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๑) ๕๕ ๑๙. อนาคามใี นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๒) ๕๗ ๒๐. ผสู้ น้ิ สงั โยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๑) ๖๐ ๒๑. ผสู้ น้ิ สงั โยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๒) ๖๒ ๒๒. ผสู้ น้ิ สงั โยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๓) ๒๓. ผสู้ น้ิ สงั โยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๔)

๒๔. ผสู้ น้ิ สงั โยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๕) ๖๕ ๒๕. ผสู้ น้ิ สงั โยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๖) ๖๘ ๒๖. ผสู้ น้ิ สงั โยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๗) ๗๐ ๒๗. ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ๗๔ กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ มาธิ (นยั ท่ี ๑) ๗๙ ๒๘. ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ๘๓ กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ มาธิ (นยั ท่ี ๒) ๒๙. ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ๘๘ ๙๑ กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื เจรญิ พรหมวหิ าร ๙๘ ๓๐. ผลของการไดส้ มาธิ แลว้ เหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง (นยั ท่ี ๑) ๑๐๐ ๓๑. ผลของการไดส้ มาธิ แลว้ เหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง (นยั ท่ี ๒) ๑๐๒ ๓๒. เหตไุ ดค้ วามเปน็ อนาคามี หรอื อาคามี ๓๓. ผลของการเจรญิ พรหมวหิ าร แลว้ เหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง 10๕ ๓๔. โลก คอื สง่ิ ทแ่ี ตกสลายได้ ๑๐๖ ขอ้ ควรรเู้ กย่ี วกบั “ก�ม” ๑๑๑ ๑๑๔ ๓๕. กามคณุ ๕ คอื โลกในอรยิ วนิ ยั ๑๑๕ ๓๖. กามคณุ คอื เครอ่ื งจองจาำ ในอรยิ วนิ ยั ๑๑๗ ๓๗. เครอ่ื งจองจาำ ทม่ี น่ั คง ๑๒๔ ๓๘. ความหมายของกามและกามคณุ ๑๒๖ ๓๙. คณุ ของกามและโทษของกาม ๑๒๗ ๔๐. สขุ ทค่ี วรกลวั และไมค่ วรกลวั ๑๒๙ ๔๑. บว่ งแหง่ มาร ๑๓๔ ๔๒. การรสู้ กึ ตวั ในเรอ่ื งกามคณุ ๕ ๑๓๕ ๔๓. เหตเุ กดิ ของวติ กทเ่ี ปน็ อกศุ ล ๔๔. เหตเุ กดิ ของกามฉนั ทะ ในนวิ รณ์ ๕ ๔๕. อาหารของกามฉนั ทะ ในนวิ รณ์ ๕

๔๖. นวิ รณ์ ๕ คอื กองอกศุ ล สตปิ ฏั ฐาน ๔ คอื กองกศุ ล ๑๓๗ ๔๗. นวิ รณ์ ๕ ทาำ ปญั ญาใหถ้ อยกาำ ลงั ๑๓๙ ๔๘. นวิ รณ์ ๕ ทต่ี ง้ั แหง่ ความดบั ปญั ญา ๑๔๒ โพชฌงค์ ๗ ทต่ี ง้ั แหง่ ความเจรญิ ปญั ญา ๑๔๔ ๔๙. เหตปุ จั จยั เพอ่ื ความไมร่ ู้ ความไมเ่ หน็ ๑๔๘ และเหตปุ จั จยั เพอ่ื ความรู้ ความเหน็ ๑๕๑ ๕๐. สง่ิ ทท่ี าำ ใหจ้ ติ หมน่ หมอง ๑๕๖ ๕๑. เหตใุ หส้ าธยายธรรมไดแ้ จม่ แจง้ ๑๕๙ ๕๒. นวิ รณ์ ๕ อกี นยั หนง่ึ ๑๖๐ ๕๓. อวชิ ชา คอื นวิ รณ์ ๑๖๑ ๕๔. เมอ่ื ตง้ั ใจฟงั ธรรม นวิ รณ์ ๕ ยอ่ มไมม่ ี ๑๖๔ ๕๕. การพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม ในแงม่ มุ ของนวิ รณ์ ๕๖. จติ ทห่ี ลดุ พน้ ดแี ลว้ 1๖9 ภพ ๓ - คติ ๕ ๑๗๐ ๑๗๑ ๕๗. ภพ ๓ ๑๗๓ ๕๘. ความมขี น้ึ แหง่ ภพ (นยั ท่ี ๑) ๑๗๕ ๕๙. ความมขี น้ึ แหง่ ภพ (นยั ท่ี ๒) ๑๗๖ ๖๐. เครอ่ื งนาำ ไปสภู่ พ ๑๗๘ ๖๑. ความเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหม่ (นยั ท่ี ๑) ๑๘๐ ๖๒. ความเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหม่ (นยั ท่ี ๒) ๑๘๒ ๖๓. ความเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหม่ (นยั ท่ี ๓) ๑๘๖ ๖๔. ทต่ี ง้ั อยขู่ องวญิ ญาณ (นยั ท่ี ๑) ๑๙๐ ๖๕. ทต่ี ง้ั อยขู่ องวญิ ญาณ (นยั ท่ี ๒) ๑๙๑ ๖๖. ความมขี น้ึ แหง่ ภพ แมม้ อี ยชู่ ว่ั ขณะกน็ า่ รงั เกยี จ ๑๙๓ ๖๗. คติ ๕ ๑๙๘ ๖๘. เหตใุ หท้ คุ ตปิ รากฏ ๖๙. เหตใุ หส้ ขุ คตปิ รากฏ

๗๐. เหตใุ หต้ อ้ งทอ่ งเทย่ี วในสงั สารวฏั ๒๐๓ ๗๑. สงั สารวฏั กาำ หนดทส่ี ดุ ไมไ่ ด้ ๒๐๕ สงั โยชน์ คอื เครอ่ื งผกู ๒07 ๗๒. สงั โยชน์ ๗ ๒๐๘ ๗๓. ทต่ี ง้ั ของสงั โยชน์ และสงั โยชน์ ๒๐๙ ๗๔. ความตดิ ใจ กเ็ ปน็ สงั โยชน์ ๒๑๑ ๗๕. ผลของการพจิ ารณาธรรม อนั เปน็ ทอ่ี าศยั ของสงั โยชน์ ๒๑๕ ๗๖. ผลของการพจิ าณาเหน็ โทษ ในธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ สงั โยชน์ ๒๑๗ ๗๗. อปุ าทาน ๔ ๒๑๘ ๗๘. ทต่ี ง้ั ของอปุ าทาน และอปุ าทาน ๒๑๙ ๗๙. อนสุ ยั ๓ และเหตเุ กดิ ๒๒๑ ๘๐. ละเวทนา ๓ เพอ่ื ละอนสุ ยั ๓ ๒๒๔ ๘๑. การเหน็ เวทนา ทเ่ี ปน็ ไปเพอ่ื สน้ิ อาสวะ ๒๒๕ ๘๒. อนสุ ยั ๗ ๒๒๖ ผสู้ น้ิ สงั โยชน์ ๒๒7 ๘๓. ชอ่ื ของอรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๕) ๒๒๘ ๘๔. ชอ่ื ของอรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๖) ๒๒๙ ๘๕. บคุ คลตกนาำ้ ๗ จาำ พวก ๒๓๕ ๘๖. บคุ คล ๔ จาำ พวก ๒๓๙ ๘๗. ผลของการประกอบตนในสขุ ๒๔๑ ๘๘. สทั ธานสุ ารี ธมั มานสุ ารี โสดาบนั ๒๔๓ ๘๙. ผเู้ ชอ่ื มน่ั ในตถาคต และสาำ เรจ็ ในโลกน้ี ๒๔๕ ๒๔๘ หรอื ละโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ สาำ เรจ็ ๒๕๑ ๙๐. ผเู้ ปน็ อสงั ขารปรนิ พิ พายี ผเู้ ปน็ สสงั ขารปรนิ พิ พายี ๒๕๓ ๙๑. เปน็ การยากทจ่ี ะพยากรณว์ า่ ใครงดงามและประณตี กวา่ ๙๒. ผพู้ น้ ทคุ ติ หรอื ไมไ่ ปทคุ ติ

๙๓. เทวดาใดไมม่ พี ยาบาท เทวดานน้ั ไมม่ าสคู่ วามเปน็ อยา่ งน้ี ๒๕๖ ๙๔. ผเู้ ปน็ เสขะ ๒๖๒ ๙๕. สกิ ขา ๓ ๒๖๓ ๙๖. บรรพชติ กบั คฤหสั ถ์ ละสงั โยชนไ์ ดไ้ มเ่ ทา่ กนั ๒๖๕ ๙๗. ละสงั โยชนไ์ ด้ ถงึ จะทาำ ทส่ี ดุ ทกุ ขไ์ ด้ ๒๗๐ ๙๘. ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ๒๗๒ กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื เสวยเวทนา ๒๗๖ ๙๙. ธรรมทน่ี า่ อศั จรรยใ์ นธรรมวนิ ยั น้ี ๒๘๒ ๑๐๐. ปจั จยั ใหส้ ขุ ทกุ ขภ์ ายในเกดิ ขน้ึ ๒๘๕ ๑๐๑. นพิ พานธาตุ ๒ อยา่ ง ๒87 ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื สน้ิ สงั โยชน์ ๒๘๘ ๑๐๒. ผหู้ ลบั นอ้ ย ตน่ื มากในราตรี ๒๘๙ ๑๐๓. ธรรมมอี ปุ การะมากตอ่ ผเู้ ปน็ เสขะ ๒๙๐ ๑๐๔. ปฏปิ ทาบรรลมุ รรคผล ๔ แบบ ๒๙๐ ๒๙๑ - แบบปฏบิ ตั ลิ าำ บาก รไู้ ดช้ า้ ๒๙๒ - แบบปฏบิ ตั ลิ าำ บาก รไู้ ดเ้ รว็ ๒๙๓ - แบบปฏบิ ตั สิ บาย รไู้ ดช้ า้ ๒๙๕ - แบบปฏบิ ตั สิ บาย รไู้ ดเ้ รว็ ๒๙๘ ๑๐๕. ความพรากจากโยคะ ๔ ๓๐๓ ๑๐๖. เหตสุ าำ เรจ็ ความปรารถนา (นยั ท่ี ๑) ๓๐๗ ๑๐๗. เหตสุ าำ เรจ็ ความปรารถนา (นยั ท่ี ๒) ๓๑๑ ๑๐๘. อานสิ งสก์ ารฟงั ธรรมโดยกาลอนั ควร ๓๒๑ ๑๐๙. ประโยชนข์ องการฟงั กศุ ลธรรม ๓๒๕ ๑๑๐. การใหท้ าน แลว้ เปน็ อนาคามี ๓๒๖ ๑๑๑. ละธรรมอยา่ งหนง่ึ ไดอ้ นาคามี (นยั ท่ี ๑) ๑๑๒. ละธรรมอยา่ งหนง่ึ ไดอ้ นาคามี (นยั ท่ี ๒)

๑๑๓. ละธรรมอยา่ งหนง่ึ ไดอ้ นาคามี (นยั ท่ี ๓) ๓๒๗ ๑๑๔. ละธรรมอยา่ งหนง่ึ ไดอ้ นาคามี (นยั ท่ี ๔) ๓๒๘ ๑๑๕. ละธรรมอยา่ งหนง่ึ ไดอ้ นาคามี (นยั ท่ี ๕) ๓๒๙ ๑๑๖. เจรญิ พรหมวหิ าร ไดอ้ รหนั ตห์ รอื อนาคามี ๓๓๐ ๑๑๗. อานสิ งสท์ ม่ี งุ่ หวงั ของการเจรญิ อนจิ จสญั ญา ๓๓๔ ๑๑๘. อานสิ งสท์ ม่ี งุ่ หวงั ของการเจรญิ ทกุ ขสญั ญา ๓๓๕ ๑๑๙. อานสิ งสท์ ม่ี งุ่ หวงั ของการเจรญิ อนตั ตสญั ญา ๓๓๗ ๑๒๐. ผลของการเจรญิ อนจิ จสญั ญา ๓๓๘ ๑๒๑. ผลของการพจิ ารณาเหน็ สงั ขาร โดยความไมเ่ ทย่ี ง ๓๔๒ ๑๒๒. ผลของการพจิ ารณาเหน็ สงั ขาร โดยความเปน็ ทกุ ข์ ๓๔๓ ๑๒๓. ผลของการพจิ ารณาเหน็ ธรรม โดยความเปน็ อนตั ตา ๓๔๔ ๑๒๔. ผลของการพจิ ารณาเหน็ นพิ พาน โดยความเปน็ สขุ ๓๔๕ ๑๒๕. การเหน็ เพอ่ื ละสงั โยชน์ ๓๔๖ ๑๒๖. การเหน็ เพอ่ื ละอนสุ ยั ๓๔๘ ๑๒๗. การเหน็ เพอ่ื ละอาสวะ ๓๔๙ ๑๒๘. การเหน็ เพอ่ื ละอวชิ ชา ๓๕๐ ๑๒๙. อานสิ งสข์ องธรรม ๑ ประการ (นยั ท่ี ๑) ๓๕๑ ๑๓๐. อานสิ งสข์ องธรรม ๑ ประการ (นยั ท่ี ๒) ๓๕๒ ๑๓๑. อานสิ งสข์ องธรรม ๔ ประการ ๓๕๕ ๑๓๒. อานสิ งสข์ องธรรม ๕ ประการ (นยั ท่ี ๑) ๓๕๙ ๑๓๓. อานสิ งสข์ องธรรม ๕ ประการ (นยั ท่ี ๒) ๓๖๐ ๑๓๔. ละธรรม ๕ อยา่ ง ไดค้ วามเปน็ อรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๑) ๓๖๑ ๑๓๕. ละธรรม ๖ อยา่ ง ไดอ้ นาคามผิ ล ๓๖๓ ๑๓๖. ละธรรม ๖ อยา่ ง ไดอ้ รหตั ตผล ๓๖๕ ๑๓๗. อานสิ งสข์ องสตปิ ฏั ฐาน ๔ (นยั ท่ี ๑) ๓๖๖ ๑๓๘. อานสิ งสข์ องสตปิ ฏั ฐาน ๔ (นยั ท่ี ๒) ๓๖๗ ๑๓๙. เจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ เพอ่ื ละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๖๙

๑๔๐. เจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ เพอ่ื ละ อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๗๐ ๑๔๑. เจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ เพอ่ื ละนวิ รณ์ ๓๗๑ ๑๔๒. ปฏปิ ทาใหถ้ งึ การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๓๗๒ ๑๔๓. อานสิ งสข์ องอานาปานสติ ๒ ประการ ๓๗๔ ๑๔๔. อานสิ งสข์ องอานาปานสติ ๗ ประการ ๓๗๘ ๑๔๕. เจรญิ สมั มปั ธาน ๔ เพอ่ื ละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๘๑ ๑๔๖. เจรญิ สมั มปั ธาน ๔ เพอ่ื ละ อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๘๓ ๑๔๗. อานสิ งส์ ๒ ประการ ของอทิ ธบิ าท ๔ ๓๘๕ ๑๔๘. อานสิ งส์ ๗ ประการ ของอทิ ธบิ าท ๔ ๓๘๖ ๑๔๙. เจรญิ อทิ ธบิ าท ๔ เพอ่ื ละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๘๘ ๑๕๐. อานสิ งส์ ๒ ประการ ของอนิ ทรยี ์ ๕ ๓๙๐ ๑๕๑. อานสิ งส์ ๗ ประการ ของอนิ ทรยี ์ ๕ ๓๙๑ ๑๕๒. เจรญิ อนิ ทรยี ์ ๕ เพอ่ื ละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๙๓ ๑๕๓. เจรญิ อนิ ทรยี ์ ๕ เพอ่ื ละ อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๙๕ ๑๕๔. เจรญิ พละ ๕ เพอ่ื ละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๙๗ ๑๕๕. เจรญิ พละ ๕ เพอ่ื ละ อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๓๙๙ ๑๕๖. อานสิ งส์ ๗ ประการ ของโพชฌงค์ ๗ ๔๐๑ ๑๕๗. อานสิ งส์ ๒ ประการ ของการเจรญิ สญั ญาแบบตา่ งๆ ๔๐๖ ๑๕๘. เจรญิ โพชฌงค์ ๗ เพอ่ื ละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๔๑๖ ๑๕๙. เจรญิ โพชฌงค์ ๗ เพอ่ื ละ อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๔๑๘ ๑๖๐. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละนวิ รณ์ ๕ ๔๒๐ ๑๖๑. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละกามคณุ ๕ ๔๒๑ ๑๖๒. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละการแสวงหา ๓ ๔๒๒ ๑๖๓. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละอาสวะ ๓ ๔๒๓ ๑๖๔. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละภพ ๓ ๔๒๔ ๑๖๕. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละตณั หา ๓ ๔๒๕ ๑๖๖. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละโยคะ ๔ ๔๒๖

๑๖๗. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละอนสุ ยั ๗ ๔๒๗ ๑๖๘. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพอ่ื ละอปุ าทานขนั ธ์ ๕ ๔๒๘ ๑๖๙. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ ๔๒๙ เพอ่ื ละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๑๗๐. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ ๔๓๑ เพอ่ื ละ อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๑๗๑. เจรญิ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ ๔๓๓ ละสงั โยชนไ์ ดไ้ มย่ าก ๑๗๒. การละสงั โยชน์ ทเ่ี ปน็ เหตใุ หก้ ลบั มายงั โลกนอ้ี กี (นยั ท่ี ๑) ๔๓๔ ๑๗๓. การละสงั โยชน์ ทเ่ี ปน็ เหตใุ หกลบั มายงั โลกนอ้ี กี (นยั ท่ี ๒) ๔๓๖ ๑๗๔. ปฏปิ ทาเพอ่ื ละโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๔๓๗ ๑๗๕. การนอ้ มใจเพอ่ื ตดั โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๔๔๓ ๑๗๖. สง่ิ ทค่ี วรพจิ ารณาเนอื งๆ เพอ่ื ละสงั โยชน์ ๔๔๘ ๑๗๗. ปรหิ านธรรม อปรหิ านธรรม และอภภิ ายตนะ ๖ ๔๕๕ ๑๗๘. ผลของความไมป่ ระมาท ในผสั สายตนะ ๖ ๔๕๙ ๑๗๙. ผลของการมสี งั วร และไมม่ สี งั วร ๔๖๒ ๑๘๐. ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ดบั ความดาำ รอิ นั เปน็ อกศุ ล ๔๖๕ ๑๘๑. ผลของการละอกศุ ลวติ ก ๔๖๘ ๑๘๒. สมยั ทค่ี วรเขา้ ไปพบ ภกิ ษผุ เู้ จรญิ ภาวนาทางใจ ๔๗๕ ๑๘๓. ผลของการมมี ติ รดี ๔๗๙ ๑๘๔. ผมู้ กี ศุ ลสมบรู ณ์ ๔๘๐ ๑๘๕. ผมู้ สี งั โยชนใ์ นภายใน และในภายนอก ๔๘๑ ๑๘๖. ผมู้ สี กิ ขาเปน็ อานสิ งส์ ๔๘๔ ๑๘๗. ผมู้ คี วามเพยี รเปน็ เครอ่ื งตน่ื ๔๘๕ ๑๘๘. ผมู้ คี วามหลกี เรน้ เปน็ ทม่ี ายนิ ดี ๔๘๖ ๑๘๙. การอบรมจติ ดว้ ยสง่ิ สมควรแกบ่ รรพชา ๔๘๗



อนาคามี (พระสูตรท่ีควรทราบ) ๑

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด อนาคามี ชื่อของอริยบุคคล (นยั ที่ 1) 01 -บาลี อ ก. อ.ํ ๒๓/๓๐ / ๔๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๘ จาำ พวกนี้ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแก่ ของคำานับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำาบุญ ควรแก่ การทำาอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๘ จาำ พวกเป็นอย่างไร คอื (๑) โสด�บนั (๒) ผู้ปฏบิ ัตเิ พอื่ กระทำาให้แจง้ ซง่ึ โสดาปัตติผล (๓) สกท�ค�มี (๔) ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื กระทำาให้แจง้ ซง่ึ สกทาคามิผล (๕) อน�ค�มี (๖) ผปู้ ฏบิ ัติเพ่อื กระทำาให้แจ้งซงึ่ อนาคามผิ ล (๗) อรหันต์ (๘) ผู้ปฏบิ ตั ิเพอื่ อรหัตตผล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๘ จาำ พวกนแ้ี ล เปน็ ผคู้ วรแก่ ของคาำ นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ องทาำ บญุ ควรแกก่ าร ทาำ อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ผปู้ ฏบิ ตั ิ แลว้ ๔ จาำ พวก และผตู้ ง้ั อยใู่ นผลแลว้ ๔ จาำ พวก นแ่ี หละสงฆ์ เปน็ คนตรง เปน็ ผตู้ ง้ั มน่ั แลว้ ในปญั ญาและศลี ยอ่ มกระทาำ ให้ เกดิ บญุ อน่ื เนอ่ื งดว้ ยอปุ ธแิ กม่ นษุ ยท์ ง้ั หลายผมู้ คี วามตอ้ งการ ดว้ ยบญุ กระทาำ การบชู าอยู่ ทานทใ่ี หแ้ ลว้ ในสงฆจ์ งึ มผี ลมาก. ๒

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด อนาคามี ชอ่ื ของอรยิ บคุ คล (นัยที่ ๒) 0๒ -บาลี วก. อ.ํ ๒๓/๓๗๗/๒๐๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย กก็ าำ ลงั คอื การสงเคราะหเ์ ปน็ อยา่ งไร ได้แก่ สังคหวตั ถุ ๔ ประการน้ี คอื (๑) ทาน (การให้) (๒) เปยยวัชชะ (การพดู ถ้อยคำาอนั เป็นท่รี ัก) (๓) อตั ถจรยิ า (การประพฤตปิ ระโยชน)์ (๔) สมานตั ตตา (ความมีตนเสมอกัน) ภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย. ภิกษุท้ังหลาย การแสดงธรรมบ่อยๆ แก่บุคคล ผู้ต้องการ ผู้เง่ียโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยคำาอัน เป็นทร่ี กั . ภกิ ษทุ งั้ หลาย การชกั ชวนคนผไู้ มม่ ศี รทั ธาใหต้ ง้ั มนั่ ดาำ รงอยใู่ นศรทั ธาสมั ปทา ชกั ชวนผทู้ ศุ ลี ใหต้ ง้ั มนั่ ดาำ รงอยใู่ น สลี สมั ปทา ชกั ชวนผตู้ ระหนใ่ี หต้ งั้ มนั่ ดาำ รงอยใู่ นจาคสมั ปทา ชักชวนผู้มีปัญญาทรามให้ต้ังมั่นดำารงอยู่ในปัญญาสัมปทา นเี้ ลศิ กวา่ การประพฤติประโยชนท์ ้งั หลาย. ๓

พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย โสด�บันมีตนเสมอกับโสด�บัน สกท�ค�มมี ตี นเสมอกบั สกท�ค�มี อน�ค�มมี ตี นเสมอกบั อน�ค�มี อรหนั ตม์ ตี นเสมอกบั อรหนั ต์ นเี้ ลศิ กวา่ ความมี ตนเสมอท้งั หลาย.1 ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ นเ้ี รยี กวา่ กาำ ลงั คอื การสงเคราะห.์ ๑. ปกติก�รแปลอริยบุคคลท้ัง น้ี โดยท่ัวไปมักจะมีคำ�ว่�พระนำ�หน้� เช่น พระโสด�บัน แต่เพ่ือให้บทพยัญชนะตรงกับบ�ลี และไม่ให้เกิดคว�มสับสน หรอื คว�มเข้�ใจผดิ ว่� อริยบุคคลต้องเปน็ พระเท�่ นั้น. ผรู้ วบรวม ๔

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ อนาคามี ช่ือของอรยิ บคุ คล (นยั ที่ ๓) 0๓ -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ /๓๒๓/๒๔ . ภิกษุทงั้ หลาย สมณะมใี นธรรมวนิ ยั น้ี สมณะที่ ๒ มีในธรรมวินัยน้ี สมณะท่ี ๓ มีในธรรมวนิ ยั นี้ สมณะที่ ๔ มีในธรรมวินยั น้ี ลัทธิอน่ื ว่างจากสมณะทง้ั ๔ เธอทั้งหลาย จงบนั ลือสีหนาทโดยชอบอย่างนี้เถิด. ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะเป็นอย่างไร คือ ภิกษุใน ธรรมวินัยน้ี เพราะส้ินสังโยชน์ ๓ เป็นโสด�บัน มีอันไม่ ตกตา่ำ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทยี่ งจะตรสั รใู้ นเบอื้ งหนา้ นสี้ มณะ (ท่ี 1). ภกิ ษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๒ เปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษุ ในธรรมวินยั น้ี เพราะสน้ิ สังโยชน์ ๓ และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เป็นสกท�ค�มีมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แลว้ กระทำาทสี่ ดุ ทกุ ข์ได้ นสี้ มณะที่ ๒. ภกิ ษุทงั้ หลาย กส็ มณะท่ี ๓ เปน็ อยา่ งไร คือ ภกิ ษุ ในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็น โอปป�ตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในภพนนั้ มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เปน็ ธรรมดา นสี้ มณะที่ ๓. ๕

พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๔ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุ ในธรรมวนิ ยั น้ี กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญ�วมิ ตุ ติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายส้ินไป ด้วยปัญญา อันย่ิงเองในปัจจุบันเขา้ ถึงอยู่ น้ีสมณะท่ี ๔. ภิกษุท้ังหลาย สมณะ (ที่ ๑) มีในธรรมวินัยนี้ สมณะที่ ๒ มีในธรรมวินัยนี้ สมณะที่ ๓ มีในธรรมวินัยน้ี สมณะที่ ๔ มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอ่ืนว่างจากสมณะท้ัง ๔ เธอท้ังหลายจงบันลอื สีหนาทโดยชอบอยา่ งนี้เถิด. (ยงั มที ต่ี รสั คลา้ ยคลงึ กนั ถงึ สมณะทง้ั ๔ ไดแ้ ก่ จฬู สหี นาทสตู ร -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๑๒๘/๑๕๔., มหาปรนิ พิ พานสตู ร -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๑๗๕/๑๓๘. คำาว่าสมณะ (ท่ี ๑) ของสูตรนี้ พระไตรปิฎก ฉบบั สยามรฐั ของไทย ไมม่ ีคาำ ว่า ปฐโม ซงึ่ แปลว่าท่ี ๑ จึงทาำ ใหก้ าร แปลเป็นภาษาไทย ใช้คำาว่าสมณะ แต่ในฉบับมอญ สูตรนี้มีคำาว่า ปฐโม สว่ นอกี ๒ สตู รทต่ี รงกนั กบั ของไทย ไมพ่ บคาำ ทม่ี คี วามหมาย นัยนี้ และพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐของไทยไม่มีคำาน้ีทั้ง ๓ สูตร ดังท่ยี กมาอา้ งอิงไว้ข้างตน้ . -ผู้รวบรวม) ๖

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี ชอ่ื ของอริยบุคคล (นัยที่ ๔) 0๔ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๐ /๕๒๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สกิ ขาบท ๑๕๐ ถว้ นน้ี ยอ่ มมาสอู่ เุ ทศ ทกุ กง่ึ เดอื น ซง่ึ กลุ บตุ รผปู้ รารถนาประโยชนพ์ ากนั ศกึ ษาอย.ู่ ภิกษุท้ังหลาย สิกขา ๓ น้ี ท่ีสิกขาบท ๑๕๐ น้ัน รวมอยดู่ ว้ ยทง้ั หมด สกิ ขา ๓ เปน็ อยา่ งไร คอื อธศิ ลี สกิ ขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ภิกษุท้ังหลาย สิกขา ๓ เหลา่ นแ้ี ล ทส่ี กิ ขาบท ๑๕๐ นน้ั รวมอยดู่ ว้ ยทง้ั หมด. ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในปัญญ� เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อม ออกจากอาบตั บิ า้ ง ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะไมม่ ใี ครกลา่ ว ความเปน็ คนอาภพั เพราะเหตลุ ว่ งสกิ ขาบทน้ี แตว่ า่ สกิ ขาบท เหลา่ ใดเปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ สมควรแกพ่ รหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลย่ังยืน และมีศีลม่ันคงในสิกขาบทเหล่าน้ัน สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทท้ังหลาย เธอทำ�ให้แจ้งซ่ึง เจโตวิมุตติ ปัญญ�วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทง้ั หลายสน้ิ ไป ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อย.ู่ ๗

พุทธวจน-หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ อนั ตร�ปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ หมดสน้ิ ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ อปุ หจั จปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ หมดสน้ิ ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ อสงั ข�รปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ หมดสน้ิ ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ สสงั ข�รปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ หมดสน้ิ ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐค�มี เพราะโอรมั ภาคยิ - สงั โยชน์ ๕ หมดสน้ิ ไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ สกท�ค�มเี พราะสงั โยชน์ ๓ หมดสน้ิ ไป และ เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง มาสโู่ ลกนอ้ี กี คราวเดยี ว เทา่ นน้ั แลว้ จะทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ ๘

เปิดธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ เอกพชี ี เพราะสงั โยชน์ ๓ หมดสน้ิ ไป มาบงั เกดิ ยงั ภพมนษุ ยน์ ค้ี รง้ั เดยี วเทา่ นน้ั แลว้ จะทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ โกลงั โกละ เพราะสงั โยชน์ ๓ หมดสน้ิ ไป ยงั ทอ่ งเทย่ี วไปสู่ ๒ หรอื ๓ ตระกลู (ภพ) แลว้ จะทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กห็ รอื วา่ เมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ ยงั ไมแ่ ทงตลอด วมิ ตุ ตนิ น้ั เธอเปน็ สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ เพราะสงั โยชน์ ๓ หมดสน้ิ ไป ยงั ทอ่ งเทย่ี วไปในเทวดาและมนษุ ยอ์ ยา่ งมากเพยี ง ๗ ครง้ั แลว้ จะทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษทุ าำ ไดเ้ พยี งบางสว่ น ยอ่ มใหส้ าำ เรจ็ ได้เพียงบางส่วน ผ้ทู ำาให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำาเร็จได้บริบูรณ์ อยา่ งนแ้ี ล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรากลา่ วสกิ ขาบททง้ั หลายวา่ ไมเ่ ปน็ หมนั เลย. (ยงั มอี กี หลายสตู รทตี่ ถาคตไดก้ ลา่ วถงึ ชอื่ อรยิ บคุ คลเหลา่ นี้ เอาไว้ ในท่ีนี้ยกมาเพียงบางส่วน นอกจากนี้ยังมีช่ือเรียกอื่น หรือ นัยอ่ืนๆ อีก เช่น อุภโตภาควิมุตติ, ทิฏฐิปัตตะ เป็นต้น ผู้ศึกษา สามารถอา่ นเพมิ่ เติมได้จากหน้า ๒๒9 ของหนงั สือเล่มนี้ และจาก พระไตรปิฎก. -ผู้รวบรวม) ๙

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี คว�มเปน็ อรยิ บคุ คล 0๕ กบั ก�รละเครอ่ื งผกู (นยั ที่ 1) -บาลี อติ วิ .ุ ข.ุ ๒๕/๓๐๓/๒๗๖. ภกิ ษุท้งั หลาย บุคคลผู้ประกอบแลว้ ดว้ ยกามโยคะ (กามโยคยุตฺโต) ผู้ประกอบแล้วด้วยภวโยคะ (ภวโยคยุตฺโต) เปน็ อ�ค�มี ยงั ต้องมาส่คู วามเปน็ อยา่ งน้.ี ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้พรากแล้วจากกามโยคะ (กามโยควสิ ยตุ โฺ ต) (แต)่ ยงั ประกอบดว้ ยภวโยคะ เปน็ อน�ค�มี ไมม่ าสู่ความเป็นอย่างนี้. ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้พรากแล้วจากกามโยคะ พรากแล้วจากภวโยคะ (ภวโยควิสยุตฺโต) เป็นอรหันต์ สิ้นอ�สวะแล้ว. สตั วท์ ง้ั หลายผปู้ ระกอบแลว้ ดว้ ยกามโยคะและภวโยคะ ยอ่ มไปสสู่ งั สารวฏั ซง่ึ มปี กตถิ งึ ความเกดิ และความตาย. สว่ นสตั วเ์ หลา่ ใดละกามทง้ั หลายไดเ้ ดด็ ขาด แตย่ งั ไมถ่ งึ ความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะ ยงั ประกอบดว้ ยภวโยคะ สตั วเ์ หลา่ นน้ั บัณฑติ กลา่ วว่า เป็นอน�ค�มี. ส่วนสตั วเ์ หลา่ ใดตดั ความสงสยั ไดแ้ ลว้ มมี านะและ มีภพใหม่ส้ินแล้ว ถึงความส้ินไปแห่งอาสวะท้ังหลายแล้ว สัตว์เหลา่ น้ันแลถึงฝ่ังแลว้ ในโลก. ๑๐

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี โยคะ ๔ 0๖ -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / ๓/ ๐. ภิกษุทั้งหลาย โยคะ ๔ ประการน้ี ๔ ประการเป็น อยา่ งไร คอื กามโยคะ ภวโยคะ ทฏิ ฐโิ ยคะ และอวชิ ชาโยคะ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย กก็ ามโยคะเปน็ อยา่ งไร บคุ คลบางคน ในโลกน้ี ยอ่ มไมร่ ชู้ ดั ซงึ่ ความเกดิ (สมทุ ย) ความตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ (อตฺถงฺคม) คุณ (อสฺสาท) โทษ (อาทีนว) และอุบายเคร่ือง สลัดออก (นิสฺสรณ) แห่งกามทั้งหลายตามความเป็นจริง เมอื่ เขาไมร่ ชู้ ดั ซงึ่ ความเกดิ ความตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ คณุ โทษ และ อุบายเคร่ืองสลัดออกแห่งกามท้ังหลาย ตามความเป็นจริง ความกาำ หนดั เพราะกาม ความเพลดิ เพลนิ เพราะกาม ความ เย่ือใยเพราะกาม ความหมกมุ่นเพราะกาม ความกระหาย เพราะกาม ความเรา่ รอ้ นเพราะกาม ความหยง่ั ลงในกาม และ ความทะยานอยากเพราะกามในกามทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น นเ้ี ร�เรยี กว�่ ก�มโยคะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กามโยคะเปน็ ดงั น.้ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย กภ็ วโยคะเปน็ อยา่ งไร บคุ คลบางคน ในโลกนี้ ยอ่ มไมร่ ชู้ ดั ซงึ่ ความเกดิ ความตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ คณุ โทษ และอุบายเคร่ืองสลัดออกแห่งภพทั้งหลาย ตามความเป็น จรงิ เมอ่ื เขาไมร่ ชู้ ดั ซงึ่ ความเกดิ ความดบั คณุ โทษ และอบุ าย ๑๑

พุทธวจน-หมวดธรรม เคร่ืองสลัดออกแห่งภพทั้งหลายตามความเป็นจริง ความ กาำ หนดั เพราะภพ ความเพลดิ เพลนิ เพราะภพ ความเยอื่ ใย เพราะภพ ความหมกมนุ่ เพราะภพ ความกระหายเพราะภพ ความเร่าร้อนเพราะภพ ความหยั่งลงในภพ และความ ทะยานอยากเพราะภพในภพทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น นี้เร� เรียกว่�ภวโยคะ ภิกษุทั้งหลาย กามโยคะ ภวโยคะ เป็นดังนี.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กท็ ฏิ ฐโิ ยคะเปน็ อยา่ งไร บคุ คลบางคน ในโลกน้ี ย่อมไม่รู้ชัดซ่ึง ความเกิด ความตั้งอยู่ไม่ได้ คุณ โทษ และอุบายเคร่อื งสลัดออกแหง่ ทิฏฐิท้ังหลายตามความ เปน็ จริง เมอ่ื เขาไมร่ ู้ชดั ซ่งึ ความเกดิ ความตงั้ อย่ไู ม่ได้ คณุ โทษ และอบุ ายเคร่อื งสลัดออกแหง่ ทฏิ ฐิทงั้ หลายตามความ เป็นจริง ความกำาหนัดเพราะทิฏฐิ ความเพลิดเพลินเพราะ ทิฏฐิ ความเย่ือใยเพราะทิฏฐิ ความหมกมุ่นเพราะทิฏฐิ ความกระหายเพราะทิฏฐิ ความเร่าร้อนเพราะทิฏฐิ ความ หยง่ั ลงเพราะทฏิ ฐิ และความทะยานอยากเพราะทฏิ ฐใิ นทฏิ ฐิ ท้ังหลาย ย่อมเกิดขึ้น น้ีเร�เรียกว่�ทิฏฐิโยคะ ภิกษุ ท้ังหลาย กามโยคะ ภวโยคะ ทฏิ ฐโิ ยคะเปน็ ดังน้ี. ๑๒

เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ อนาคามี ภิกษุท้ังหลาย ก็อวิชชาโยคะเป็นอย่างไร บุคคล บางคนในโลกนี้ ยอ่ มไมร่ ชู้ ดั ซง่ึ ความเกดิ ความตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ คุณ โทษ และอุบายเคร่ืองสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ประการตามความเป็นจริง เม่ือเขาไม่รู้ชัดซ่ึง ความเกิด ความต้งั อย่ไู ม่ได้ คุณ โทษ และอุบายเคร่อื งสลัดออกแห่ง ผัสสายตนะ ๖ ประการตามความเป็นจริง ความไม่รู้ ความไม่หย่งั ร้ใู นผัสสายตนะ ๖ ย่อมเกิดข้ึน น้ีเร�เรียกว่� อวชิ ช�โยคะ ภกิ ษทุ งั้ หลาย กามโยคะ ภวโยคะ ทฏิ ฐโิ ยคะ และอวิชชาโยคะเปน็ ดงั น้.ี ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยอกุศลธรรม อันเป็นบาป อันเป็นเคร่ืองเศร้าหมอง เป็นเหตุให้เกิดใน ภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก มีชาติ ชราและมรณะตอ่ ไปอกี ฉะนนั้ เราจงึ เรยี กวา่ ผไู้ มเ่ กษมจาก โยคะ. ภิกษทุ ้ังหลาย เหล่านี้แล โยคะ ๔ ประการ. (ควรดูประกอบเพ่ิมเติมเร่ือง “ความพรากจากโยคะ ๔” ในหนา้ ๒9๕ ของหนงั สอื เลม่ น.้ี -ผู้รวบรวม) ๑๓

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด อนาคามี คล�ยคว�มพอใจในก�ม 07 เปน็ เทวด�เหล�่ สุทธ�ว�ส -บาลี า. .ี ๐/๕๗/๕๕. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย สมยั หนึ่ง เราอยทู่ ่คี วงไม้พญาสาละ ในป่าสุภวัน ใกล้นครอุกกัฏฐะ ภิกษุท้ังหลาย เมื่อเรานั้น ไปเรน้ อยใู่ นทลี่ บั เกดิ ความราำ พงึ ในใจวา่ ภพทเี่ ราไมไ่ ดเ้ คย อยเู่ ลย โดยเวลาอันยืดยาวนานน้ี หาได้ไม่งา่ ยเลย นอกจาก เทวดาเหล่าสุทธาวาส ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปหาเทวดาเหล่า สุทธาวาสจนถึงที่อยู่เถิด ภิกษุทั้งหลาย ทันใดน้ัน เราได้ หายไปจากควงไมพ้ ญาสาละ ในปา่ สภุ วนั ใกลน้ ครอกุ กฏั ฐะ ไปปรากฏในพวกเทวดาเหล่าอวิหา เปรียบเหมือนบุรุษที่มี กาำ ลงั เหยยี ดแขนทงี่ อเขา้ หรอื งอแขนทเ่ี หยยี ดออกเทา่ นนั้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในหมเู่ ทวดาเหลา่ นน้ั เทวดานบั รอ้ ย นับพันเป็นอันมากได้เข้ามาหาเรา อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ท่ีควรส่วนข้างหน่ึง คร้ันยืนเรียบร้อยแล้ว เทวดาเหล่านั้น ไดก้ ลา่ วกะเราวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ นู้ ริ ทกุ ข์ นบั แตน่ ไ้ี ป ๙๑ กปั พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พระนามว่าวิปัสสี ได้เสด็จอุบัติข้ึนในโลก ... ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวก ข้าพระองค์น้ันได้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ๑๔

เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ อนาคามี พระนามว่าวิปัสสี คลายความพอใจในกามท้ังหลายแล้ว (กาเมสุ กามฉนทฺ วริ าเชตฺวา) จึงได้บงั เกดิ ในทีน่ .ี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในหมเู่ ทวดาเหลา่ นน้ั เทวดานบั รอ้ ย นบั พนั เปน็ อนั มากไดเ้ ขา้ มาหาเรา อภวิ าทแลว้ … ไดก้ ลา่ วกะ เราวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ นู้ ริ ทกุ ข์ นบั แตน่ ไ้ี ป ๓๑ กปั พระผมู้ -ี พระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ พระนามวา่ สขิ ี ไดเ้ สดจ็ อบุ ตั ิ ข้ึนในโลก ... พวกข้าพระองค์นั้นได้ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค พระนามว่าสิขี คลายความพอใจใน กามทงั้ หลายแลว้ จงึ ได้บังเกดิ ในที่น้.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในหมเู่ ทวดาเหลา่ นน้ั เทวดานบั รอ้ ย นับพันเป็นอันมากได้เข้าหาเรา อภิวาทแล้ว … ได้กล่าวกะ เราวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ นู้ ริ ทกุ ข์ ในกปั ที่ ๓๑ นน้ั เอง พระผมู้ -ี พระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ พระนามวา่ เวสสภู ไดเ้ สดจ็ อบุ ตั ขิ นึ้ ในโลก ... พวกขา้ พระองคน์ น้ั ไดป้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ ในพระผมู้ พี ระภาค พระนามวา่ เวสสภู คลายความพอใจใน กามทง้ั หลายแล้ว จึงได้บังเกดิ ในท่นี ี.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในหมเู่ ทวดาเหลา่ นน้ั เทวดานบั รอ้ ย นบั พนั เปน็ อนั มากไดเ้ ขา้ มาหาเรา อภวิ าทแลว้ … ไดก้ ลา่ วกะ เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มี- ๑๕

พทุ ธวจน-หมวดธรรม พระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ พระนามวา่ กกสุ นั ธะ ไดเ้ สดจ็ อบุ ตั ขิ น้ึ ในโลก ... พวกขา้ พระองคน์ น้ั ไดป้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค พระนามวา่ กกสุ ันธะ คลายความพอใจ ในกามท้งั หลายแล้ว จงึ ไดบ้ ังเกิดในท่ีนี้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในหมเู่ ทวดาเหลา่ นนั้ เทวดานบั รอ้ ย นบั พนั เปน็ อนั มากไดเ้ ขา้ มาหาเรา อภวิ าทแลว้ … ไดก้ ลา่ วกะ เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ในภัททกัปน้ีเอง พระผู้มี- พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พระนามว่าโกนาคมนะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ... พวกข้าพระองค์น้ันได้ประพฤติ พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค พระนามว่าโกนาคมนะ คลายความพอใจในกามทัง้ หลายแลว้ จงึ ไดบ้ ังเกดิ ในทน่ี ี.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในหมเู่ ทวดาเหลา่ นน้ั เทวดานบั รอ้ ย นบั พนั เปน็ อนั มากไดเ้ ขา้ มาหาเรา อภวิ าทแลว้ … ไดก้ ลา่ วกะ เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ในภัททกัปน้ีเอง พระผู้มี- พระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ พระนามวา่ กสั สปะ ไดเ้ สดจ็ อบุ ตั ขิ น้ึ ในโลก ... พวกขา้ พระองคน์ นั้ ไดป้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค พระนามว่ากัสสปะ คลายความพอใจ ในกามท้งั หลายแลว้ จงึ ได้บงั เกิดในทน่ี .ี้ ๑๖

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในหมเู่ ทวดาเหลา่ นนั้ เทวดานบั รอ้ ย นบั พนั เปน็ อนั มากไดเ้ ขา้ มาหาเรา อภวิ าทแลว้ … ไดก้ ลา่ วกะ เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้เสด็จอุบัติขึ้น ในโลก ... พวกข้าพระองค์น้ันประพฤติพรหมจรรย์ ใน พระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ น้ั คลายความพอใจในกามทง้ั หลาย แล้ว จึงไดบ้ ังเกิดในทน่ี ้.ี (จากน้ันพระองค์พร้อมด้วยเทวดาเหล่าอวิหา ได้พากัน เข้าไปหาเทวดาเหล่าอตัปปา ถัดจากน้ันพระองค์พร้อมเทวดา เหล่าอวิหาและเหล่าอตัปปา ได้พากันเข้าไปหาเทวดาเหล่าสุทัสสา ถดั จากนน้ั พระองคพ์ รอ้ มดว้ ยเทวดาทงั้ ๓ เหลา่ ไดเ้ ขา้ ไปหาเทวดา เหลา่ สทุ สั สี ถดั จากนนั้ พระองคพ์ รอ้ มดว้ ยเทวดาทง้ั ๔ เหลา่ ไดเ้ ขา้ ไปหาเทวดาเหล่าอกนิฏฐา โดยในการเข้าไปหาเทวดาแต่ละเหล่า เทวดาเหล่านั้นได้กราบทูลพระองค์ถึงเรื่องพระพุทธเจ้าบรรดาที่ ล่วงไปแล้ว รวมถึงการประพฤติพรหมจรรย์ของตนเองในช่วงท่ี พระพทุ ธเจา้ เหลา่ นน้ั โดยทาำ นองเดยี วกนั ผศู้ กึ ษาพงึ เทยี บเคยี งไดเ้ อง หรอื อ่านไดจ้ ากเน้ือความเตม็ ของพระสูตร. -ผ้รู วบรวม) ภิกษุท้ังหลาย เพราะเหตุที่ธรรมธาตุนี้ ตถาคต แทงตลอดแลว้ อยา่ งดดี ว้ ยอาการอยา่ งน้ี ดงั นน้ั พระพทุ ธเจา้ ๑๗

พุทธวจน-หมวดธรรม ท่ีล่วงไปแล้ว ปรินิพพานไปแล้ว ตัดธรรมเป็นเหตุทำาให้ เน่ินช้าได้แล้ว ตัดวัฏฏะได้แล้ว ครอบงำาวัฏฏะได้แล้ว ล่วง ทุกข์ท้ังปวงแล้ว ตถาคตย่อมระลึกถึงได้แม้โดยพระชาติ ยอ่ มระลกึ ไดแ้ มโ้ ดยพระนาม ยอ่ มระลกึ ไดแ้ มโ้ ดยพระโคตร ยอ่ มระลกึ ไดแ้ มโ้ ดยประมาณแหง่ พระชนมายุ ยอ่ มระลกึ ได้ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก ยอ่ มระลึกไดแ้ ม้โดยการประชมุ กัน แหง่ พระสาวกวา่ แมด้ ว้ ยเหตนุ ี้ พระผมู้ พี ระภาคเหลา่ นนั้ จงึ มพี ระชาตอิ ยา่ งน้ี จงึ มพี ระนามอยา่ งน้ี จงึ มพี ระโคตรอยา่ งน้ี จึงมีศีลอย่างนี้ จึงมีธรรมอย่างนี้ จึงมีปัญญาอย่างนี้ จึงมี วิหารธรรมอย่างน้ี จงึ มีวมิ ุตติอยา่ งนี้. ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเทวดาก็ได้บอกเน้ือความน้ี แกต่ ถาคต ซงึ่ เปน็ เหตใุ หต้ ถาคตระลกึ ถงึ ไดซ้ งึ่ พระพทุ ธเจา้ ทั้งหลายท่ีล่วงไปแล้ว … แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค เหล่านั้น จึงมีพระชาติอย่างนี้ จึงมีพระนามอย่างนี้ จึงมี พระโคตรอย่างน้ี จึงมีศีลอย่างนี้ จึงมีปัญญาอย่างน้ี จึงมี วหิ ารธรรมอยา่ งน้ี จึงมีวมิ ุตติอยา่ งน้ี ดังน้.ี ๑๘

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี คว�มเปน็ อรยิ บคุ คล 08 กบั ก�รละเครอ่ื งผกู (นัยที่ ๒) -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / ๘ / ๓ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๔ จาำ พวกน้ี มปี รากฏอยใู่ นโลก ๔ จาำ พวกเปน็ อย่างไร คอื (๑) ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละ โอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพ ไมไ่ ด.้ (๒) อน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี ละโอรัมภาคิย- สังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติ ไม่ได้ ยงั ละสังโยชน์อนั เป็นปจั จัยเพ่อื ใหไ้ ดภ้ พไมไ่ ด.้ (๓) อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี ละโอรัมภาคิย- สังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้อุบัติได้ แต่ยงั ละสังโยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพ่ือใหไ้ ด้ภพไมไ่ ด.้ (๔) อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี ละโอรัมภาคิย- สังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้อุบัติได้ ละสังโยชน์อนั เป็นปัจจยั เพ่ือใหไ้ ดภ้ พได.้ ๑๙

พุทธวจน-หมวดธรรม ภกิ ษทุ งั้ หลาย กบ็ คุ คลจาำ พวกไหน ยงั ละโอรมั ภาคยิ - สังโยชน์ไม่ได้ (โอรมฺภาคิยานิ ส ฺโ ชนานิ อปฺปหีนานิ) ยังละ สงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพอื่ ใหไ้ ดอ้ บุ ตั ไิ มไ่ ด้ (อปุ ปฺ ตตฺ ปิ ฏลิ าภกิ านิ ส โฺ ชนานิ อปปฺ หนี าน)ิ ยงั ละสงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพอ่ื ใหไ้ ดภ้ พ ไม่ได้ (ภวปฏิลาภิกานิ ส ฺโ ชนานิ อปฺปหีนานิ) คือ สกท�ค�มี ภิกษุท้ังหลาย บุคคลนี้แล ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละ สงั โยชนอ์ นั เปน็ ปัจจัยเพ่ือให้ไดภ้ พไม่ได.้ ภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำาพวกไหน ละโอรัมภาคิย- สงั โยชนไ์ ด้ (โอรมภฺ าคยิ านิ ส โฺ ชนานิ ปหนี าน)ิ แตย่ งั ละสงั โยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัยเพื่อใหไ้ ด้ภพไมไ่ ด้ คอื อทุ ธงั โสโตอกนิฏฐค�มี (ผู้มี กระแสเบ้ืองบนไปสู่อกนิฏฐภพ) ภิกษุท้ังหลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ และยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือ ใหไ้ ดภ้ พไม่ได.้ ภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำาพวกไหน ละโอรัมภาคิย- สงั โยชนไ์ ด้ ละสงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพอ่ื ใหไ้ ดอ้ บุ ตั ไิ ด้ (อปุ ปฺ ตตฺ -ิ ปฏลิ าภกิ านิ ส โฺ ชนานิ ปหนี าน)ิ แตย่ งั ละสงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั ๒๐

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี เพ่อื ให้ได้ภพไม่ได้ คอื อนั ตร�ปรินิพพ�ยี ภิกษทุ ัง้ หลาย บุคคลน้ีแล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ให้ได้ภพไมไ่ ด้. ภิกษุท้ังหลาย บุคคลจำาพวกไหน ละโอรัมภาคิย- สงั โยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปจั จยั เพือ่ ใหไ้ ดอ้ บุ ตั ไิ ด้ และ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพได้ (ภวปฏิลาภิกานิ ส โฺ ชนานิ ปหนี าน)ิ คอื อรหนั ตผ์ สู้ นิ้ อ�สวะแลว้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคลน้ีแล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้ ภพได้. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๔ จำาพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ ในโลก. (ควรดูประกอบเพ่ิมเติมเร่ือง “อุปมาช่างตีเหล็ก” ใน หนา้ ๒๘ ของหนังสอื เลม่ น้.ี -ผู้รวบรวม) ๒๑

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี สังโยชน์ 10 09 -บาลี สก. อ.ํ ๒๔/ ๘/ ๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สงั โยชน์ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการ เป็นอย่างไร คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบ้ืองตำ่า) ๕ ประการ อุทธมั ภาคยิ สงั โยชน์ (สังโยชน์เบ้ืองสงู ) ๕ ประการ. โอรมั ภาคยิ สังโยชน์ ๕ ประการเปน็ อย่างไร คอื (๑) สกั กายทิฏฐิ (๒) วจิ ิกิจฉา (๓) สีลพั พตปรามาส (๔) กามฉนั ทะ (๕) พยาบาท เหลา่ นี้แล โอรัมภาคิยสงั โยชน์ ๕ ประการน.ี้ อุทธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ประการเป็นอย่างไร คือ (๑) รปู ราคะ (๒) อรูปราคะ (๓) มานะ (๔) อุทธจั จะ (๕) อวชิ ชา เหลา่ นแ้ี ล อทุ ธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี.้ ภกิ ษุทั้งหลาย เหล่านี้แล สังโยชน์ ๑๐ ประการ. ๒๒

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด อนาคามี โอรมั ภ�คยิ สงั โยชน์ ๕ 10 -บาลี . . ๓/ ๕๔/ ๕๓. มาลุงกยบตุ ร ก็เธอจำาโอรมั ภาคิยสงั โยชน์ ๕ ท่ีเรา แสดงแลว้ ว่าอยา่ งไร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังจำาได้ซึ่งโอรัมภาคิย- สงั โยชน์ คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส กามฉนั ทะ พยาบาท ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงแลว้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระองคย์ งั จาำ ได้ซง่ึ โอรัมภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ทพี่ ระผมู้ ีพระภาคทรงแสดงแลว้ อยา่ งนี้. มาลุงก๎ยบุตร เธอจำาโอรัมภาคยิ สงั โยชน์ ๕ เหลา่ น้ี ทีเ่ ราแสดงแล้วอย่างน้ีแก่ใครหนอ. มาลงุ กย๎ บตุ ร นกั บวช พวกอญั ญเดยี รถยี จ์ กั โตเ้ ถยี ง ด้วยคำาโต้เถียงอันเปรียบด้วยเด็กน้ีได้ มิใช่หรือว่า แม้แต่ ความคดิ วา่ ก�ยของตนดงั น้ี ยอ่ มมแี กเ่ ดก็ ออ่ นผยู้ งั นอนหงาย อยู่ ก็สักกายทิฏฐิจักเกิดข้ึนแก่เด็กน้ันแต่ที่ไหน ส่วน สักก�ยทิฏฐิอันเป็นอนุสัยเท่าน้ัน ย่อมนอนตามแก่เด็กน้ัน แม้แต่ความคิดว่าธรรมทั้งหล�ยดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็ก อ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ ก็ความสงสัยในธรรมท้ังหลาย จักเกิดขึ้นแก่เด็กน้ันแต่ที่ไหน ส่วนวิจิกิจฉ�อันเป็นอนุสัย เท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น แม้แต่ความคิดว่าศีล ๒๓

พุทธวจน-หมวดธรรม ท้ังหล�ยดังน้ี ย่อมไม่มีแก่เด็กอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ สลี พั พตปรามาสในศลี ทง้ั หลายจกั เกดิ ขน้ึ แกเ่ ดก็ นน้ั แตท่ ไ่ี หน ส่วนสีลัพพตปร�ม�สอันเป็นอนุสัยเท่าน้ัน ย่อมนอนตาม แก่เด็กนั้น แม้แต่ความคิดว่าก�มท้ังหล�ยดังน้ี ย่อมไม่มี แก่เด็กอ่อนยังนอนหงายอยู่ ก็กามฉันทะในกามท้ังหลาย จกั เกดิ ข้ึนแกเ่ ด็กนน้ั แต่ทีไ่ หน สว่ นก�มร�คะอันเปน็ อนุสัย เท่าน้ัน ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น แม้แต่ความคิดว่าสัตว์ ท้ังหล�ยดังน้ี ย่อมไม่มีแก่เด็กอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ ก็ ความพยาบาทในสตั วท์ ง้ั หลายจกั เกดิ ขน้ึ แกเ่ ดก็ นนั้ แตท่ ไี่ หน สว่ นพย�บ�ทอนั เปน็ อนสุ ยั เทา่ นนั้ ยอ่ มนอนตามแกเ่ ดก็ นน้ั . มาลงุ กย๎ บตุ ร นกั บวช พวกอญั ญเดยี รถยี จ์ กั โตเ้ ถยี ง ดว้ ยคาำ โตเ้ ถียงอนั เปรยี บด้วยเด็กอ่อนนีไ้ ดม้ ิใชห่ รอื . ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เวลาน้ี เปน็ กาลสมควร ขา้ แตพ่ ระสคุ ต เวลานเี้ ปน็ กาลสมควรทพ่ี ระผมู้ พี ระภาค พงึ ทรงแสดงโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดฟ้ งั ตอ่ พระผมู้ พี ระภาค แล้ว จักทรงจำาไว.้ อานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจกั กลา่ ว. ๒๔

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี อานนท์ ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็น พระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำา ในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรม ของสัปบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำาในธรรมของสัปบุรุษ มีจิตอัน สกั กายทฏิ ฐกิ ลมุ้ รมุ แลว้ อนั สกั กายทฏิ ฐคิ รอบงาำ แลว้ อยู่ และ เม่ือสักกายทิฏฐิเกิดข้ึนแล้ว ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเคร่ืองสลัด ออกเสียได้ตามความเป็นจริง สักกายทิฏฐินั้นก็เป็นของมี กาำ ลงั อนั ปถุ ชุ นนน้ั บรรเทาไมไ่ ดแ้ ลว้ ชอ่ื วา่ เปน็ โอรมั ภาคยิ - สงั โยชน์ ปถุ ชุ นนน้ั มจี ติ อนั วจิ กิ จิ ฉากลมุ้ รมุ แลว้ อนั วจิ กิ จิ ฉา ครอบงาำ แลว้ อยู่ และเมอ่ื วจิ กิ จิ ฉาเกดิ ขนึ้ แลว้ ยอ่ มไมร่ อู้ บุ าย เป็นเคร่ืองสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง วิจิกิจฉานั้นก็ เป็นของมีกำาลัง อันปุถุชนน้ันบรรเทาไม่ได้แล้ว ช่ือว่าเป็น โอรัมภาคิยสังโยชน์ ปุถุชนนั้นมีจิตอันสีลัพพตปรามาส กลุ้มรุมแล้ว อันสีลัพพตปรามาสครอบงำาแล้วอยู่ และเมื่อ สลี ัพพตปรามาสเกดิ ขน้ึ แล้ว ย่อมไมร่ ้อู บุ ายเปน็ เครอ่ื งสลดั ออกเสยี ไดต้ ามความเปน็ จรงิ สลี พั พตปรามาสนนั้ กเ็ ปน็ ของ มกี าำ ลงั อนั ปถุ ชุ นนน้ั บรรเทาไมไ่ ดแ้ ลว้ ชอื่ วา่ เปน็ โอรมั ภาคยิ - สงั โยชน์ ปถุ ชุ นนนั้ มจี ติ อนั กามราคะกลมุ้ รมุ แลว้ อนั กามราคะ ครอบงำาแล้วอยู่ และเม่ือกามราคะเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่รู้ ๒๕

พุทธวจน-หมวดธรรม อบุ ายเปน็ เครอื่ งสลดั ออกเสยี ไดต้ ามความเปน็ จรงิ กามราคะ นน้ั กเ็ ปน็ ของมกี าำ ลงั อนั ปถุ ชุ นนนั้ บรรเทาไมไ่ ดแ้ ลว้ ชอื่ วา่ เปน็ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ปถุ ชุ นนนั้ มจี ติ อนั พยาบาทกลมุ้ รมุ แลว้ อันพยาบาทครอบงำาแล้วอยู่ และเม่ือพยาบาทเกิดขึ้นแล้ว ยอ่ มไมร่ อู้ บุ ายเปน็ เครอ่ื งสลดั ออกเสยี ไดต้ ามความเปน็ จรงิ พยาบาทนน้ั กเ็ ปน็ ของมกี าำ ลงั อนั ปถุ ชุ นนนั้ บรรเทาไมไ่ ดแ้ ลว้ ชือ่ วา่ โอรัมภาคิยสังโยชน.์ อานนท์ ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ได้เห็น พระอรยิ ะ เป็นผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้รับแนะนำา ในธรรมของพระอรยิ ะดแี ลว้ ได้เหน็ สัปบุรุษ ฉลาดในธรรม ของสปั บรุ ษุ ไดร้ บั แนะนาำ ในธรรมของสปั บรุ ษุ ดแี ลว้ มจี ติ อนั สักกายทิฏฐิกลุ้มรุมไม่ได้ อันสักกายทิฏฐิครอบงำาไม่ได้อยู่ และเมอื่ สกั กายทฏิ ฐเิ กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มรอู้ บุ ายเปน็ เครอ่ื งสลดั ออกเสียได้ตามความเป็นจริง สักกายทิฏฐิพร้อมท้ังอนุสัย อันอริยสาวกน้ันย่อมละได้ อริยสาวกน้ันมีจิตอันวิจิกิจฉา กลมุ้ รมุ ไมไ่ ด้ อนั วจิ กิ จิ ฉาครอบงาำ ไมไ่ ดอ้ ยู่ และเมอ่ื วจิ กิ จิ ฉา เกดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มรอู้ บุ ายเปน็ เครอื่ งสลดั ออกเสยี ไดต้ ามความ เปน็ จรงิ วจิ กิ จิ ฉาพรอ้ มทง้ั อนสุ ยั อนั อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มละได้ อริยสาวกน้ันมีจิตอันสีลัพพตปรามาสกลุ้มรุมไม่ได้ อัน ๒๖

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี สีลัพพตปรามาสย่อมครอบงำาไม่ได้อยู่ และเมื่อสีลัพพต- ปรามาสเกดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มรอู้ บุ ายเปน็ เครอ่ื งสลดั ออกเสยี ไดต้ าม ความเปน็ จรงิ สลี พั พตปรามาสพรอ้ มทง้ั อนสุ ยั อนั อรยิ สาวก นนั้ ยอ่ มละได้ อรยิ สาวกนนั้ มจี ติ อนั กามราคะกลมุ้ รมุ ไมไ่ ด้ อนั กามราคะครอบงาำ ไมไ่ ดอ้ ยู่ และเมอ่ื กามราคะเกดิ ขน้ึ แลว้ ย่อมรู้อุบายเป็นเคร่ืองสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง กามราคะพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้ อริยสาวกนั้นมีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุมไม่ได้ อันพยาบาท ครอบงาำ ไมไ่ ดอ้ ยู่ และเม่ือพยาบาทเกิดข้นึ แล้ว ย่อมรู้อบุ าย เปน็ เครอ่ื งสลดั ออกเสยี ไดต้ ามความเปน็ จรงิ พยาบาทพรอ้ ม ท้ังอนสุ ยั อนั อริยสาวกนนั้ ย่อมละได.้ (มีเน้ือความของพระสูตรต่อเน่ืองถึง “ปฏิปทาเพ่ือละ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน”์ ซง่ึ ไดน้ าำ ไปใสไ่ วใ้ นหนา้ ๔๓๗ ของหนงั สอื เลม่ น.้ี -ผรู้ วบรวม) ๒๗

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด อนาคามี อุปม�ช่�งตเี หลก็ 11 -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๗ /๕๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราจกั แสดงปรุ สิ คติ ๗ ประการและ อนุปาทาปรินิพพาน เธอทั้งหลายจงต้ังใจฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุท้ังหลาย ก็ปุริสคติ ๗ ประการเป็น อย่างไร คอื (๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ปฏิบัติอย่างน้ี คือ ไดค้ วามวางเฉยวา่ ถา้ กรรมในอดตี ไมไ่ ดม้ แี ลว้ ไซร้ อตั ภาพใน ปจั จบุ นั กไ็ มพ่ งึ มแี กเ่ รา ถา้ กรรมในปจั จบุ นั ไมม่ ไี ซร้ อตั ภาพ ในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา เบญจขันธ์ท่ีกำาลังเป็นอยู่ ท่ีเป็น มาแล้ว เราย่อมละได้ เธอย่อมไม่กำาหนัดในเบญจขันธ์อัน เปน็ อดตี ไมข่ อ้ งในเบญจขนั ธอ์ นั เปน็ อนาคต ยอ่ มพจิ ารณา เห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่ด้วยปัญญาอันชอบ ก็ บทน้ันแล ภิกษุนั้นยังทำาให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง อนุสัยคือมานะ อนุสัยคือภวราคะ อนุสัยคืออวิชชา เธอก็ ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป ภิกษุนั้นย่อมเป็นอันตร�ปรินิพพ�ยี เปรียบเหมือน เมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อน ออกแลว้ ดับไป (ปปฺปฏกิ า นิพฺพตตฺ ิตวฺ า นพิ พฺ าเยยยฺ ) ฉะนั้น.1 ๑. อปุ ม�น้ี พระไตรป ก �ษ�ไทยฉบบั หลวงไมไ่ ดใ้ สไ่ ว้ แตม่ มี �โดย �ษ�บ�ลี จงึ ได้ เทยี บเคยี งส�ำ นวนแปลม�จ�กพระไตรป กฉบบั อน่ื . ผรู้ วบรวม ๒๘