Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรม

Description: วัฒนธรรม

Search

Read the Text Version

ภาษา นน้ั มกี ารเปลยี่ นแปลงและปรบั ตวั อยตู่ ลอดเวลา จงึ สง่ ผลใหอ้ งค์ ความรบู้ างอยา่ งทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเลน่ สะบา้ บอ่ นคอ่ ยๆ ลดนอ้ ย ภาษาท่ีใช้ในการส่ือสารระหว่างหนุ่มเล่นสะบ้ากับสาว ถอยลงไปตามกาลเวลา และมโี อกาสเสย่ี งตอ่ การสญู หายไดง้ า่ ย ประจ�ำบ่อนนั้นแต่เดิมใช้ภาษามอญเป็นหลัก ในปัจจุบันผู้เล่น หากขาดการสืบทอดของคนในชุมชนซ่ึงเป็นเจ้าของมรดก จะใชภ้ าษาไทยเปน็ หลกั เนอื่ งจากผเู้ ลน่ ไมส่ ามารถพดู ภาษามอญ ภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมอนั ลำ้� คา่ ชมุ ชนมอญในพน้ื ทตี่ า่ งๆ จงึ ได้จึงส่งผลให้ภาษามอญที่ใช้ในการส่ือสารนั้นสูญหายไปตาม พยายามหาแนวทางและมาตรการต่างๆ ในการสงวนรักษา กาลเวลา มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมเหลา่ นใ้ี หค้ งอยู่ โดยเฉพาะอยา่ ง จากท่ีได้กล่าวมาข้างต้นพอท่ีจะสรุปได้ว่าการเล่นสะบ้า ยิ่งการสร้างความตระหนักรู้ และให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วน บ่อนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อันชาญฉลาดที่ รว่ มในการจดั การมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของตนมากยง่ิ บรรพชนชาวมอญได้สรรสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการ ขนึ้ ตราบใดทม่ี นษุ ยห์ รอื ผถู้ อื ครองวฒั นธรรมไมเ่ หน็ คณุ คา่ และ พจิ ารณาเลอื กคคู่ รอง โดยอยภู่ ายใตส้ ายตาของผใู้ หญ่ เนอื่ งจาก ความส�ำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเหล่านั้นแล้ว ในอดีตหนุ่มสาวชาวมอญไม่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยเหมือนดัง มรดกทางภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเหล่านั้นก็คงจะหมดคุณค่า เช่นในปัจจุบัน ช่วงหลังการเก็บเก่ียวเป็นช่วงเวลาที่ส�ำคัญท่ี และความสำ� คญั ลงไปในทสี่ ุด ทำ� ใหห้ นมุ่ สาวชาวมอญไดม้ โี อกาสพบปะพดู คยุ กนั อยา่ งใกลช้ ดิ มากขนึ้ นอกจากนยี้ งั พบวา่ การเลน่ สะบา้ บอ่ นในแตล่ ะชว่ งเวลา มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 49

ขนบประเพณี เรื่อง/ภาพ : อภินนั ท์ บัวหภักดี “...ฮอ่ คอื คนจนี ทมี่ าไทยทางบก สว่ น เจก๊ คอื คนจนี ทมี่ าไทยทางนำ�้ ...” รถอัญเชญิ องคส์ ญั ลกั ษณ์ เจ้าแมก่ วนอมิ จุดศนู ยก์ ลางการเฝ้ารอชมของผรู้ ว่ มงาน 50

ประเพแณหี เ่ จา้ พอ่ เจ้าแม่ ปากนำ้� โพ คนจีน นั้นอยู่ร่วมในสังคมไทยมาแล้วช้านาน นับแต่อดีต คนไทยเรา มีค�ำเรียก คนจีน ท่ีเข้ามาอยู่ร่วมสังคมไทยส�ำคัญ อย่สู องค�ำ ค�ำหนึง่ คือคำ� วา่ ฮ่อ หมายถึง ชาวจีนที่เข้ามาอยรู่ ว่ มใน สังคมไทยที่มาทางบก มาตามเส้นทางการค้าแบบคาราวานม้าต่าง ลาต่าง มากับมัสยิดในศาสนาอิสลาม ที่ทอดยาวจากคุนหมิง ผ่านมาจนถึงเมืองท่ีน�ำหน้าด้วยค�ำ เชียงท้ังห้า หรือเมืองห้าเชียง เข้ามาถึงล้านนา ที่เชียงใหม่ เชียงราย หรือมากับกองทัพจีน ท่ีพ่ายแพ้แตกแถวกลายเป็น โจรฮ่อ เข้ามาปล้นเมือง ทั้งเมืองแพร่ เมืองนา่ น เมืองหลวงพระบาง กระท่ังเมอื งเวยี งจันทน์ งานแหเ่ จ้าพอ่ เจ้าแม่ปีนี้ ณเดช คกู มิ ิยะ ดารายอดนิยมก็ไดร้ ับเชญิ เข้ารว่ มงาน มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 51

กับอีกค�ำหน่ึง ค�ำว่า เจ๊ก ท่ีใช้เรียก คนจีนท่ีมาทางทะเล ต่อมาไม่นานมาน้ี ศาลเจ้าพอ่ เทพารักษ์ ค�ำๆ น้ีถูกระบุว่าไม่สุภาพ ท�ำนองปรามาส หรือดูหม่ินดูแคลน ให้เรียกใหม่ใช้คำ� ว่า ศาลเจา้ หลักของนครสวรรค์ คนจีนแทน กลุ่มคนเหล่านี้มากับเรือส�ำเภาจีนในยุคเส่ือผืนหมอนใบ เกิดทุพภิกขภัย ปนุ เถ้ากง เจ้าพ่อเทพารักษ์ ความอดอยากยากเข็ญในเมืองจีนตอนใต้ คนจีนกลุ่มนี้มากันมากๆ จากหัวเมือง เทพเจา้ หลักของศาลเจ้าแหง่ นี้ ชายทะเล มณฑลกวางตุ้ง และเกาะไหหล�ำ โดยมีเมืองท่าส�ำคัญท่ีเป็นต้นทางคือ เมืองซัวเถา และเกาะไหหลำ� เข้ามาท�ำการคา้ ขายในแผน่ ดนิ ไทย ประสบความสำ� เรจ็ รำ่� รวยเปน็ เศรษฐี มีหน้ามีตาอยู่ในสังคมไทยแล้วทกุ ระดับ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงการฟื้นฟูประเทศในยุคเติ้งเส่ียวผิง หลายสิบปีก่อน ยังวางยุทธศาสตร์เมืองส�ำคัญในการพัฒนาประเทศ เมืองหน่ึงคือ เมืองซัวเถา ชักชวนให้คนจีนโพ้นทะเลจากเมืองไทยไปลงทุน เงินทุนส่วนหนึ่งจาก เมืองไทยจงึ กลับไปมีส่วนเร่ิมพัฒนาเมืองจนี ข้นึ ใหม่อย่างแข็งขนั มาถึงวันน้ี เมืองจีนพัฒนาก้าวไกลแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว เพราะเมืองจีน ใชร้ ถไฟความเรว็ สงู และความเรว็ สงู มาก และยงั ผลติ เครอ่ื งบนิ ใชไ้ ดเ้ อง ลกู หลานมงั กร จนี ยคุ ใหมว่ นั นก้ี ลบั มาในหลายๆ ประเทศกลมุ่ อาเซยี น ไมใ่ ชม่ าจากแคม่ ณฑลกวางตงุ้ เกาะไหหลำ� แต่มาจากเมืองหลวงไกลถึงปักกิง่ มาจากลุ่มนำ�้ ฮวงโห แมน่ ำ้� แยงซเี กียง ไมใ่ ชเ่ สื่อผนื หมอนใบ ยากจน แต่รอบน้ีมาพรอ้ มเงนิ กรู้ ัฐบาลจีนและนโยบายขยายตัว 52

ทางเศรษฐกิจ One Belt One Road มีเงินมาคนละหลายล้านบาท มาเป็นโอกาส เจ้าแม่สวรรค์ และเจ้าแม่ทับทมิ หรอื ภยั คกุ คาม อยา่ งทน่ี กั วเิ คราะหใ์ นกลมุ่ ประเทศอาเซยี นกำ� ลงั วติ กงั วล มาลองดกู นั ตอ่ ไปวา่ คนจีน ยคุ ใหมท่ ไี่ ด้รบั การสนบั สนนุ โดยรฐั ให้ออกมาทำ� มาหากนิ ตา่ งประเทศ เหล่าน้ี จะนบั ญาตกิ ับคนจนี ยคุ เสือ่ ผืนหมอนใบรุ่นเกา่ เมืองไทยเรานี้อย่างไรหรือไม่ ย้อนกลับมาที่คนจีนอพยพรุ่นเก่ายุคเสื่อผืนหมอนใบ เมืองใหญ่ในดินแดนไทย ท่ีชาวจีนเหล่าน้ีเข้าไปอยู่อาศัยกันมากๆ เมืองหน่ึงก็คือ เมืองนครสวรรค์ หรือ เมืองปากนำ้� โพ เมอื งนจี้ ากสภาพภูมศิ าสตร์ คอื ศูนยก์ ลางการคมนาคมค้าขายทางน้�ำ ของประเทศไทย เป็นที่ท่ีบรรจบกันของ แม่น�้ำปิง วัง ยม และน่าน กลายเป็น เจ้าพอ่ กวนอู แมน่ ำ้� เจา้ พระยา เพราะฉะนนั้ ทนี่ จ่ี งึ เปน็ เมอื งชมุ ทางการคา้ ขายทางเรอื ระหวา่ งทร่ี าบลมุ่ เทพเจ้าแห่งความซ่ือสตั ย์ ภาคกลาง และที่ราบภาคเหนือตอนล่าง ตลอดจนเมืองบนที่สูงอย่างล้านนาตะวันตก ประชาชนไทย–จนี ผ้ตู ้ังใจมาไหวเ้ จ้า เชยี งใหม่ ล�ำปาง ล�ำพูน และลา้ นนาตะวันออก แพร่ นา่ น เชยี งราย อย่างแน่นอน ไดร้ ับการเอาใจใส่อยา่ งดี ดงั นน้ั ในวันเก่าๆ ปากน้�ำโพ หรอื นครสวรรค์ จงึ มคี นจนี มากนั ครบท้งั สองพวก สามศาสนา และหลากหลายเผ่าพันธุ์ สองพวก คือ พวกมาทางบก กับมาทางเรือ สามศาสนา คือศาสนาอสิ ลาม ศาสนาพทุ ธมหายาน และศาสนาเตา๋ และหลากหลาย เผ่าพันธุ์ คือมีทั้งจีนฮ่อ แต้จ๋ิว จีนฮกเกี้ยน จีนไหหล�ำ จีนฮากกา หรือจีนแคะ และคนจนี กวางตุ้ง แตเ่ มื่อประวตั ศิ าสตร์ดำ� เนนิ ต่อไปพวกจีนฮ่อท่ไี ปๆ มาๆ ก็ไมอ่ าจ นับเป็นเผ่าพันธุ์คนจีนในนครสวรรค์ได้อีกต่อไปคงเหลือแต่คนจีนยืนหยัดอยู่ใน นครสวรรค์ ๕ เผ่าพนั ธดุ์ งั กลา่ วดว้ ยกัน และก็เปน็ อย่างทีอ่ าจารยว์ ิโรจน์ ตง้ั วาณิชย์ เขียนเลา่ ไว้ในวารสารวฒั นธรรมว่า คนจีนเม่ือไปถึงที่ไหนก็พอใจจะสร้างศาลเจ้าของตนไว้ที่น่ัน และศาลเจ้าในศาสนา ใด กจ็ ะมเี จา้ ในศาสนานั้นเปน็ องคป์ ระธาน คนจนี กลุ่มใดมาถงึ ก่อน รวยกอ่ น ก็สร้าง ศาลเจ้าของกลุ่มตนขึ้นก่อน ส่วนคนจีนท่ีมาทีหลังยังไม่รวย ก็จะฝากเจ้าของตนไว้ ณ ศาลเจ้าทีม่ าก่อน น้เี ป็นลักษณะเฉพาะของศาลเจา้ ของคนจนี โพน้ ทะเล ทมี่ กั จะมี เจา้ ต่างศาสนามาอยรู่ วมกนั ในศาลเจ้าแหง่ หนงึ่ ไม่เคร่งครัดในเรือ่ งศาสนาเทา่ ใดนัก มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 53

ในวนั น้ี ขบวนแหภ่ าคกลางคืน ในวันนี้ ศาลเจ้าในเมอื งนครสวรรคม์ ีอยคู่ รบทั้ง ๕ เผ่าพนั ธุ์ ของคนจีนท่อี พยพ ของงานไหว้เจา้ พ่อ เจา้ แม่ นครสวรรค์ เขา้ มาอยใู่ นประเทศไทย โดยมศี าลเจา้ ซง่ึ ถอื เปน็ ศาลเจา้ เกา่ แกป่ ระจำ� เมอื งสำ� คญั ทสี่ ดุ งามสะพร่ัง อลังการดว้ ยแสง–เสยี ง ๒ ศาล คอื ศาลเหนอื และศาลใต้ ศาลใต้ คอื ศาลเจา้ พอ่ เทพารกั ษ์ และเจา้ แมส่ วรรค์ และการแสดงหลากหลาย เจา้ แมท่ บั ทิม ที่ตง้ั อยู่ตรงจดุ ทพ่ี บกนั ของแม่น้�ำปงิ –วงั และแม่น้�ำ ยม–นา่ น และศาล ดว้ ยความรว่ มแรงร่วมใจ เหนือ คือ ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่หน้าผา ซึ่งมีเทพเจ้าสูงสุดเป็นประธานของศาลเจ้า คือ ของทกุ ฝ่ายในจังหวัด อย่างน่าช่ืนชม เจ้าพ่อเทพารักษ์ และเจ้าแม่สวรรค์ เช่นเดียวกัน การนับถือ เจ้าพ่อเทพารักษ์ และ 54 เจ้าแม่สวรรค์น้ี น่าจะเรียกได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของชาวจีนโพ้นทะเล ซ่ึงเข้ามา ตั้งหลักปักฐานในดินแดนต่างถ่ิน เพราะเจ้าพ่อเทพารักษ์ หรือปุนเถ้ากง หรือปุนเถ้า กงม่า ก็คือเทพยดาผู้คุ้มครองดูแลพื้นที่นั้นๆ ซ่ึงจะเป็นใครก็ได้ ชาวจีนโพ้นทะเล เดนิ ทางเขา้ มาในถนิ่ ทอ่ี ยใู่ หม่ กต็ อ้ งนบั ถอื เซน่ ไหวเ้ ทพยดาทดี่ แู ลพนื้ ทแี่ หง่ นมี้ าลว่ งหนา้ ไว้กอ่ น และจงึ เรยี กนามเทพเจ้านว้ี า่ ปุนเถ้ากง หรอื ปุนเถ้ากงม่า แล้วแต่ว่าจะเป็น เพศหญงิ หรือชาย ส่วนเจา้ แมส่ วรรคน์ ก้ี ค็ อื เทพยดาผดู้ แู ลสวรรค์ เปน็ เทพเจา้ กลางๆ ซึ่งใครกต็ าม ก็ต้องการไปสวรรค์ด้วยกันทุกคน ส�ำหรับศาลใต้ ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์ ยังมีเจ้าแม่ ทบั ทิม สถติ ค่กู บั เจา้ แมส่ วรรค์อีกองค์หนงึ่ ซง่ึ เจา้ แมท่ ับทมิ นัน้ ก็เปน็ เจ้าแม่ผู้ค้มุ ครอง ชาวเรือ และการเดินทางทางเรือก็ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ว่า ศาลเจ้าแห่งน้ีย่อมเป็น ศาลเจ้าของชาวจีนโพ้นทะเลที่เดินทางไกลมาท�ำมาค้าขายท่ีเมืองนครสวรรค์แห่งน้ี อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ทง้ั สองศาลนยี้ งั มเี ทพเจา้ ระดบั รองมาอกี คอื มี เทพเจา้ กวนอู ซง่ึ แสดง ให้เห็นถึงคุณธรรมหลักของชาวจีนโพ้นทะเลว่า ต้องมีความซื่อสัตย์กตัญญู เช่นเดียว กบั เทพเจา้ กวนอแู หง่ สามกก๊ นอกจากน้ี ศาลเจา้ พอ่ เทพารกั ษย์ งั มี เทพเจา้ เอง็ กอ หรอื เทพเจ้านักรบประชาชนแห่งเขาเหลียงซาน อันเป็นตัวแทนของความกล้าหาญเป็น นักสู้ผู้ไม่ยอมศิโรราบกับผู้ปกครองที่ช่ัวร้ายอีก ส่วนศาลเจ้าหน้าผาก็มี ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง และยังมีคณะเชิดมังกร ซ่ึงนับเป็นเทพยดา ศกั ดิ์สทิ ธิ์ ทคี่ นจีนทั้งมวลถอื เป็นสัญลกั ษณแ์ หง่ อำ� นาจและเกยี รตยิ ศอกี ต่างหาก ประเพณีการแหเ่ จ้าพ่อ–เจ้าแม่ ปากน้�ำโพเกิดข้ึนหลังจากโรคหา่ (อหวิ าตกโรค) และฝีดาษระบาดเมือ่ ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๖๐–๒๔๖๒ ครั้งนน้ั ชาวปากน�้ำโพ ได้รับ ความเดอื ดรอ้ นมผี คู้ นลม้ ตายและเจบ็ ปว่ ยเปน็ จำ� นวนมาก ดว้ ยเหตทุ วี่ า่ วทิ ยาการแพทย์ สมัยใหม่ยังไม่เป็นท่ีแพร่หลาย ท�ำให้ชาวบ้านหันไปพ่ึงหมอจีน (ซินแส) เพื่อช่วย รักษาโรค แต่ไม่สามารถหยุดโรคระบาดได้ ชาวบ้านจึงหันไปหาท่ีพึ่งจากเทพอารักษ์ สิ่งศักดิ์สิทธ์ิท้ังหลาย และมีเหตุบังเอิญได้มีชาวบ้านบนบานต่อเจ้าพ่อเทพารักษ์ หรือ ปนุ เถา้ กง เพอ่ื ขอใหป้ ดั เปา่ โรครา้ ยไปจากหมบู่ า้ นและไดท้ ำ� การเชญิ เจา้ มาเขา้ ทรง เพอ่ื ท�ำพิธรี กั ษาโรคดว้ ยการเขยี น “ฮ”ู้ กระดาษยันต์ และนำ� ไปเผาใส่น�ำ้ ดื่มกิน ปรากฏวา่ เกิดความอัศจรรย์ขึ้น โรคร้ายที่ได้คร่าชีวิตผู้คนในหมู่บ้านไปเป็นจ�ำนวนมากได้หยุด การระบาดลง ผู้คนเริม่ กลบั ฟืน้ ตัวได้อกี ครั้งและโรคร้ายกส็ ญู หาย จึงเป็นทีเ่ ลื่องลือว่า เปน็ ความศกั ดิ์สิทธข์ิ องเจา้ พ่อเทพารักษ์ มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 55

ดว้ ยเหตดุ งั นี้ เมอ่ื ถงึ เทศกาลตรษุ จนี ในปนี น้ั ชาวปากนำ้� โพ จงึ ไดร้ ว่ มกนั อญั เชญิ ขบวนแหม่ ังกรทอง เอกลกั ษณส์ �ำคญั อกี สง่ิ หนึ่ง เจ้าพ่อ–เจ้าแม่ ท่ีอยู่ในศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์ ออกมาแห่แหนรอบตลาดให้ผู้คนตั้งโต๊ะ ของงานแห่เจ้าพอ่ เจ้าแม่ ปากน้�ำโพ บชู า เพอื่ ความเปน็ สริ มิ งคลแกช่ วี ติ และครอบครวั มผี เู้ ขา้ รว่ มงานเนอื งแนน่ ไปทงั้ ตลาด และต้ังแต่น้ันมาจึงกลายเป็นสัญญาประชาคมของชาวจีนในเมืองนครสวรรค์ ว่าจะ ร่วมแรงร่วมใจกันอัญเชญิ เจ้าพ่อเจา้ แม่ทกุ ๆ ศาลออกมาแหแ่ หนรว่ มกันดว้ ย จึงกลาย เปน็ งานประเพณตี รษุ จีนของชาวนครสวรรค์ มานบั แต่บัดนน้ั “งานประเพณีแห่ เจ้าพ่อ–เจ้าแม่ ปากน�้ำโพ” ในสมัยเร่ิมแรกน้ันมีวัตถุประสงค์ ในการท่ีจะนำ� องคเ์ จ้าพอ่ –เจา้ แม่ แห่ไปในเส้นทางต่างๆ ในเมอื ง เพ่ือใหป้ ระชาชนได้ จดั ต้ังโต๊ะสกั การะบชู าท่หี น้าบา้ น เป็นการปดั เปา่ ทุกขภ์ ัย เพ่อื ใหเ้ ป็นสิรมิ งคลแกเ่ มอื ง และชาวเมอื งปากนำ�้ โพ แลว้ กค็ อ่ ยๆ เพมิ่ เตมิ การแสดงขบวนตา่ งๆ เขา้ ไปในขบวนแห่ เช่น สิงโต ล่อโก้ว เอ็งกอ และมังกร การแสดงต�ำนานพระถังซ�ำจ๋ัง เจ้าแม่กวนอิม ซ่ึงในเวลาต่อมาจึงได้มีขบวนแห่ท่ีประสมประสานท้ังการแห่องค์เจ้าพ่อ–เจ้าแม่ และการแสดงต่างๆ ให้เกิดเป็นความรู้สึกถึงความเป็นสิริมงคล และการเฉลิมฉลอง ปใี หมซ่ ง่ึ เป็นชว่ งเวลาทช่ี าวจีนจดั ให้มีการไหว้ ในชว่ งเทศกาลตรุษจนี อยดู่ ้วยไปเลย แตก่ ่อน ขบวนแห่ตรุษจีนปรกติ จะมเี ฉพาะกลางวัน ในวันชิวสี่ หรือวันขึน้ ปีใหม่ วนั ที่ ๔ เพียงวันเดยี ว ตอ่ มาจงึ มกี ารเพม่ิ ขบวนแหใ่ นภาคกลางคืน ในคนื ชิวซา หรือ วันขึ้นปีใหม่วันท่ีสาม ต่อมาจึงเริ่มมีการใช้แสงสีตระการตา โดดเด่นจากขบวนแห่ 56

เอ็งกอ พะบู๊ เร่อื งราวตำ� นานการต่อสู้ เทพเจ้าส�ำคัญจากทกุ ศาลเจา้ ทีป่ ระทบั ใจผู้คน เปน็ อีกสญั ลักษณห์ น่งึ ได้รับการอญั เชิญมาให้ชาวเมอื งตง้ั โตะ๊ สักการะถงึ ที่ ของงานแห่เจ้าพอ่ เจา้ แมแ่ หง่ นี้ ท่ีเป็นธรรมเนียมจีนล้วนๆ มาผสมธรรมเนียมไทยและเทคโนโลยีทันสมัย มีแตรวง และโยธวาทิต จากโรงเรียนส�ำคัญๆ ในเมืองนครสวรรค์มาร่วมน�ำขวนแห่แหนด้วย เรยี กวา่ ขบวนแหแ่ หนในปถี ดั ๆ มา เรม่ิ มกี ารเปลยี่ นแปลงเจา้ ภาพและแนวคดิ ไปเรอ่ื ยๆ ตามพัฒนาการของบา้ นเมอื งในจังหวัดนครสวรรคเ์ ปน็ หลัก และในวนั น้ี ประเพณีตรษุ จีนปากน�ำ้ โพ แห่เจา้ พ่อเจ้าแมน่ ครสวรรค์ ได้พร้อมใจ กันจัดงานติดต่อกันมาแล้วอย่างยาวนานถึง ๑๐๓ ปี จุดเด่นที่สุดของขบวนแห่แหน ในวันน้ีได้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จากขบวนแห่องค์เจ้าพ่อ–เจ้าแม่ มาเป็นรถแห่ องค์เจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนามหายาน โดยพฤตินัย นอกจากนี้ ขบวนแห่ต่างๆ ที่เคยมีก็ยังมีอยู่อย่างครบครัน ทั้งขบวนแห่เจ้าพ่อ–เจ้าแม่ วงล่อโก๊ว สิงโต เอ็งกอ และปิดท้ายที่ขบวนแห่มังกรทอง อันเรียกได้ว่าเป็นการรวบรวมศรัทธา ของผู้คนหลายกลมุ่ ทัง้ เจ้าพอ่ –เจา้ แม่จากศาลต่างๆ ท้ังตัวมังกร สัตวส์ วรรคผ์ ูน้ �ำพา โชคลาภสู่บ้านเรอื น ทงั้ เอ็งกอ พะบู๊ คนดีปราบอธรรม เปน็ ตน้ และด้วยเหตุท่ีการจัดงานประเพณีนี้ด�ำเนินการอย่างต่อเนื่องมาแล้วนับเป็น รอ้ ยปี ท้งั ยังมีความส�ำคัญยง่ิ ตอ่ ชาวนครสวรรค์ ประเพณีแห่เจา้ พอ่ –เจา้ แมป่ ากนำ้� โพ จงึ ไดร้ ับการขึ้นบญั ชเี ป็นมรดกภมู ิปญั ญาของชาติไทย มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 57

จกั รวาลทศั น์ เร่อื ง : ดร.ประเสริฐ ตระการศุภกร ภาพ : ดร.ประเสรฐิ ตระการศภุ กร, ชาธร สทิ ธเิ คหภาค ค-ึ ฉย่ื ไร่หมุนเวียน เกษตรนิเวศสังคม วิถีคนกะเหรี่ยง กลุ่มชาติพนั ธ์ุ กะเหรี่ยง ในประเทศไทย จ�ำแนกออกได้เปน็ ๒ กลุม่ ใหญ่ คือ กลมุ่ สะกอ หรือ ปกาเกอะญอ และ กลุม่ โปว หรือ โพลง่ คนกะเหรี่ยงอาศยั อย่รู ะหว่างไทยและพมา่ มายาวนานหลายพนั ปี พอมีการประกาศเป็นรัฐชาติ คนกะเหรี่ยงจึงถูกแบ่งแยกออกมาเป็นกะเหร่ียงไทย และ กะเหร่ียงพม่า พอนานวันเข้า วัฒนธรรมในการด�ำเนินชีวิตของกะเหรี่ยงพม่า และกะเหร่ียงไทย จึงมีความแตกต่างกัน รวมท้ังพวกที่ไม่อยู่ใกล้ท้ังไทยท้ังพม่า ก็มีความแตกต่างกันเข้าไปอีก วัฒนธรรมในการด�ำเนินชีวิตของ กะเหรยี่ งจงึ มคี วามแตกตา่ งหลากหลาย แตท่ งั้ หมดนม้ี อี ยอู่ ยา่ งหนงึ่ ทมี่ คี วามใกลเ้ คยี งกนั นนั่ คอื วฒั นธรรม การอยู่อาศัยกับธรรมชาติป่าเขา ซ่ึงชาวกะเหร่ียงได้ชื่อเล่ืองลือว่า สามารถอยูกับป่าได้อย่างยั่งยืน สมดุล ดว้ ยวถิ อี ย่างทภ่ี าษากะเหรี่ยง สะกอเรยี กวา่ ค-ึ ฉื่ย หรอื ไร่หมนุ เวยี น น้นั เอง ชาวกะเหรย่ี งบ้านมอทะ แหง่ ดนิ แดนไกลโพน้ เมืองอุม้ ผาง จงั หวัดแม่ฮ่องสอน ในพธิ ีไหว้เจดยี ์ขา้ ว ภาพ : สมศักดิ์ ล่�ำพงศพ์ นั ธ์ุ 58

คึ-ฉ่ืย (ไร่หมุนเวียน) คืออะไร งานศึกษาไร่หมุนเวียนตามแนวทางสายนิเวศวิทยามนุษย์ (human ecology) ในยคุ ตน้ ๆ ทสี่ ำ� คญั ในเมอื งไทย คอื Farmers ไรห่ มนุ เวยี นเปน็ ระบบเกษตรทเี่ กา่ แกท่ ม่ี อี ายนุ านหมนื่ ปกี อ่ น in the Forest: Economic Development and Marginal ครสิ ตกาล ปัจจุบนั มีผู้ท�ำเกษตรระบบน้ี ไมน่ ้อยกวา่ ๕๐๐ ล้าน Agriculture in Northern Thailand, (Peter Kunstadter, E.C. คนทวั่ โลก เปน็ กลมุ่ ชาติพันธต์ุ ่างๆ ไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ กลุ่มและ Chapman, Sanga Sabhasri edited, 1978) ซ่ึงเป็นการ พ้ืนทคี่ ดิ เปน็ ๓๐ % ของพน้ื ที่เกษตรท่ัวโลก การทำ� ความเขา้ ใจ ร่วมท�ำวิจัยระหว่างนักสังคมศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ ในการ กบั วถิ ชี วี ติ กะเหรยี่ งนน้ั จำ� เปน็ ตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจเรอ่ื งการเพาะปลกู ศึกษาเกษตรกรรมบนพ้ืนท่ีสูง โดยพยายามชี้ให้เห็นถึง คึ-ฉยื่ (แบบไร่หมุนเวยี น) ของชาวกะเหรย่ี ง อยา่ งไรก็ตามการท�ำ ความหลากหลายของระบบการท�ำไร่หมุนเวียนในภาคเหนือ คึ-ฉื่ย นี้ได้ข้อถกเถียงระหว่างรัฐกับชาวกะเหร่ียงเพราะรัฐมอง ของคนไทย ซ่ึงไม่ใช่ระบบเกษตรท่ีจ�ำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ วา่ การทำ� ค-ึ ฉยื่ เปน็ การทำ� ลายปา่ แตค่ นกะเหรยี่ งอธบิ ายวา่ การ บนพื้นที่สูงเท่าน้ัน แต่คนชนพ้ืนราบเองก็มีส่วนส�ำคัญในการ ทำ� คึ-ฉย่ื เป็นการเกษตรกรรมที่สอดคลอ้ งกับการดำ� รงอยขู่ องป่า ท�ำไร่ระบบนี้ ซ่ึงจ�ำแนกระบบการท�ำไร่หมุนเวียนในภาคเหนือ ทำ� ใหป้ า่ กลบั ฟน้ื คนื มาไดแ้ ละเปน็ ระบบเกษตรกรรมทท่ี ำ� ใหช้ มุ ชน ขณะนนั้ ออกเปน็ ๔ ระบบดว้ ยกนั คือ พงึ่ ตนเอง เพราะในการผลติ เนน้ การบรโิ ภคเปน็ หลกั แบบเศรษฐกจิ ๑. ระบบท่ีท�ำการเกษตรซ�้ำพื้นท่ีในระยะส้ันและทิ้งให้ไร่ พอเพียง มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งในปัจจุบัน ฟ้นื ตัวในระยะสั้น (คนชนพื้นราบหรือคนเมืองทเี่ รยี กกัน) นักวิชาการในสาขาท่ีเก่ียวข้อง เช่น เกษตรศาสตร์ วนศาสตร์ ๒. ระบบทีท่ ำ� การเกษตรซำ้� พน้ื ท่ีในระยะสั้นและทิง้ ให้ไรฟ่ น้ื นิเวศวิทยาและมานุษยวิทยานิเวศ ต่างก็ยอมรับในความส�ำคัญ ตวั ในระยะยาว (ลัวะและกะเหร่ียง) ระบบนี้คนกะเหรย่ี งเรยี กวา่ ในเชิงนเิ วศของระบบ คึ-ฉืย่ หรอื การท�ำเกษตรแบบไรห่ มุนเวยี น คึ-ฉื่ย หรือไร่หมุนเวียนท่ีเราพูดถึงเป็นระบบที่ ๒ ซึ่งเป็นระบบ ที่มีการท�ำการเกษตรท�ำซ้�ำในระยะสั้นหน่ึงปีและทิ้งให้ไร่ฟื้นตัว ในระยะยาวราว ๗-๑๐ ปี กลุ่มชาติพันธุ์ท่ีท�ำเกษตรระบบน้ี คือ ลัวะและกะเหร่ียงและเป็นระบบท่ีค้นพบจากงานวิจัยทั้ง ชาวต่างประเทศและชาวไทยว่าเป็นระบบสร้างเสถียรภาพให้กับ ระบบนิเวศตลอดมา ๓. ระบบท่ีท�ำการเกษตรซ้�ำพ้ืนท่ีในระยะยาวและท้ิง ให้ไร่ฟ้นื ตัวในระยะยาว (มง้ เมี่ยน ลาหู่ อาข่า ลีซู เป็นตน้ เคย ท�ำกินใช้ระบบน้ีมาก่อนหน้านั้นแต่ปัจจุบันถูกท�ำไห้เป็นไร่ถาวร ไปหมดแล้ว) ๔. สวนไม้ยืนต้นถาวร/สวนเม่ียง ปัจจุบันเรียกว่า ระบบ วนเกษตร (คนเมืองและไม่จ�ำกัดกลุ่มชาติพันธุ)์ ขอ้ คน้ พบทน่ี า่ สนใจอกี ประการหนงึ่ ของงานศกึ ษา Farmers in the Forest มาจากงานศึกษาวิทยาศาสตร์กายภาพ ของ สง่า สรรพศรี และคณะ เรื่องการจัดการดินในไร่หมุนเวียน ของชาวกะเหรี่ยงและลัวะ ซึ่งพบว่าหากรักษารอบการหมุนเวียน ไว้ได้ระหว่าง ๗-๑๒ ปี ธาตุอาหารในดินจะคืนความสมบูรณ์ เต็มท่ี ให้ผลผลิตท่ีดี งานศึกษาน้ียังช้ีให้เห็นถึงบทบาทของ ทรัพยากรในป่าและพื้นท่ีเกษตรอื่นๆ เช่น นาและสวน ในการ ผลติ อาหาร ให้กบั ครัวเรือนที่ทำ� การผลิตแบบไร่หมุนเวียน มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 59

งานวิจัยให้ความหมายกับระบบ คึ-ฉ่ืย เป็นระบบเกษตร เบาบางมาก แต่ธาตุอาหารจะอยู่ในใบไม้ เพราะฉะนั้นชุมชน นเิ วศสงั คม (ตามศาสตรพ์ ระราชา) ทเี่ ปน็ ระบบผสมผสานระหวา่ ง ที่อาศัยในเขตภูเขาจึงต้องอาศัยธาตุอาหารจากต้นไม้โดยเฉพาะ การเกษตรและป่าไม้โดยมีพลวัตรของการจัดการและการ ใบไม้ จงึ ตอ้ งเลอื กทำ� ค-ึ ฉยื่ (ไรห่ มนุ เวยี น) เปน็ เกษตรภาคบงั คบั ปรับตัวอย่างต่อเนื่องกับเง่ือนไขระบบนิเวศ โดยการเปล่ียน จากธรรมชาติ ซึ่งตรงกับงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ของการศึกษา พื้นท่ี ฉื่ย (hsgif) (ไร่เหล่า) ให้เป็นพ้ืนที่ คึ (Quv) ด้วยการ ต้นไม้ใน ฉื่ย (ไร่เหล่า) ต้นไม้ชื่อ เปอะด๊ะ (ตองเต๊า) ในพื้นที่ ฟนั ไร่ และทำ� การเพาะปลกู ๑ ปี และทง้ิ พน้ื ทใ่ี ห้พกั ฟ้ืนเปน็ พื้นท่ี ไรเ่ หลา่ ของไรห่ มนุ เวยี น ตองเต๊าเป็นไม้โตเร็วมีใบกว้างกลมใหญ่ ฉื่ยในระยะที่เหมาะสม มีการพักดินอย่างเป็นระบบเพื่อรักษา ขึ้นตรงไหนของไร่เหล่าดินแถบน้ันจะเพาะปลูกพืชพรรณงอกงาม ดุลยภาพดิน น�ำ้ ปา่ เพอ่ื สามารถทำ� กนิ ไดต้ อ่ เนอ่ื งและครบวงจร ดีมาก ค้นพบว่ารากของตองเต๊าจะท�ำการดูดธาตุอาหารจากดิน ของ ค-ึ ฉื่ย นอกจากน้ัน คึ-ฉ่ยื ยงั เปน็ ระบบเกษตรทีผ่ สมผสาน ไปยงั ใบและพอใบรว่ งลงมาจะสรา้ งอาหารบนผวิ ดนิ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี กับระบบเกษตรรูปแบบอื่นๆ เชน่ นา สวน เกษตรป่า (ปา่ เมย่ี ง) ใบตองเต๊าจึงเป็นแหล่งสร้างธาตุอาหารให้กับดินในไร่เหล่าได้ การเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ระบบน้ี ให้ความส�ำคัญหลักในการผลิต เป็นอย่างดี (ดร.มนัส ยิ้มแย้ม คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัย แบบพ่ีงพาตนเองและสืบทอดความหลากหลายของพันธุ์พืช เขยี งใหม)่ ราว ๒๐๗ ชนิด (อานันท์ฯ ๒๕๔๖) เป็นแหล่งอาหาร ดร.สมศักด์ิ ยังได้บอกว่า การท�ำไร่หมุนเวียนเสมือนเป็น หรือความมั่นคงทางอาหารและการสร้างความหลากหลาย เกษตรภาคบังคับเพราะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับภูมินิเวศแบบ ทางชีวภาพท้ังจากใน คึ ไร่ปีท่ีท�ำกินและใน ฉ่ืย ไร่ฟื้นตัว ภเู ขาทเ่ี ปน็ แบบไหลเ่ ขาทลี่ าดเอยี ง (slope) คนทอ่ี ยบู่ นภเู ขาทไี่ มม่ ี เป็นสำ� คญั พ้ืนที่ราบจึงต้องอาศัยใบไม้มาสร้างปุ๋ยในดิน จึงเลือกท�ำไร่ หมนุ เวยี นเปน็ เกษตรภาคบงั คบั ซง่ึ ตอ้ งถางไมห้ นมุ่ ในไรเ่ หลา่ ลงมา ค-ึ ฉย่ื กระบวนการตามวิถธี รรมชาติ ค�ำถามท่ีเกิดข้ึนบ่อยๆ ในกระบวนการท�ำไร่หมุนเวียนคือ การตัด ฟนั โคน่ และเผา ซง่ึ บางคนเรียกระบบนว้ี า่ Slash and Burn โดยเน้นกิจกรรมเชิงเทคนิคในข้ันตอนของการเตรียมพื้นที่ โดยผา่ นการตดั ฟนั และเผา ไมไ่ ดม้ องไรห่ มนุ เวยี นเปน็ องคร์ วมซง่ึ มกี ระบวนการปฏบิ ตั กิ ารทง้ั ระบบ ฤดกู ารผลติ ไรห่ มนุ เวยี นเรม่ิ ตน้ ในเดือนเตอะเล (ปลายเดอื นมกราคม) โดยผา่ น พิธมี ัดมอื ปีใหม่ (หนซ่ี อโข)่ ของชมุ ชน การเตรยี มพน้ื ทป่ี ลกู ขา้ วในไรห่ มนุ เวยี นเรมิ่ ตน้ ดว้ ยการถางไรใ่ นเดอื น ทแี พะ (เดอื นกมุ ภาพนั ธ)์ แปลวา่ เดอื น การถางไร่ ท่ีเลือกเดือนนี้ชาวไร่หมุนเวียนอธิบายว่า การถางไร่ เดือนนี้ ตอไม้ท่ีถางจะไม่ตาย ไม่นานจะมีงอกกิง่ กา้ นใหมข่ ้ึนมา (แต่หากถางไม้ในฤดูอ่ืนเช่นหน้าฝน ตอไม้ท่ีถางจะไม่มีงอกใหม่ ขน้ึ มาอกี ) การถางไรจ่ ะเก็บตอไม้สูงจากพืน้ ดินราวหนงึ่ เมตรเพอ่ื ตอไม้จะไม่ตายรากไม้ยังไม่ตาย นอกจากน้ันยังเป็นการรักษา โครงสรา้ งเดมิ ของดนิ ไวม้ ใิ หเ้ กดิ ดนิ พงั ทลายเพราะโครงสรา้ งของ ดนิ ไมถ่ กู กระทบจึงไมเ่ ปลย่ี นแปลง อาจารยส์ มศกั ดไ์ิ ดพ้ ดู วา่ ประเทศตา่ งๆ ในเขตรอ้ นดนิ หลงั ภูเขาไฟราว ๔๐-๕๐ ล้านปีในเขตภูเขาจะมีธาตุอาหารในดิน 60

ส่วนต้นไม้ใหญ่จะเลือกริดเฉพาะก่ิงลงมาน�ำมาตากแห้งแล้วเผา หลงั จากเผาไรไ่ มน่ านราว ๑-๒ อาทติ ย์ ตอไมต้ อไผจ่ ะแตก เพือ่ สรา้ งปุ๋ยในดนิ ในการเพาะปลูก ซง่ึ ระบบนีไ้ ม่ตอ้ งการป๋ยุ จาก กงิ่ ใหม่ ซง่ึ ใบออ่ นตา่ งๆ จากตอไมห้ ลายอยา่ งเหมาะกบั การนำ� ไป ภายนอกจะอาศัยปุ๋ยจากธรรมชาติ พืชที่ปลูกเหล่านี้จึงเป็น รับประทานอาหาร และก่ิงใผ่ก็เหมาะกับการน�ำไปท�ำหน่อก่ิงไผ่ ผลผลิตทส่ี ะอาด (clean products) ไมม่ ีสารปนเป้อื นหรอื เคมี มาท�ำอาหารได้อย่างมรี สชาตดิ ี นอกจากนนั้ ในขีเ้ ถ้าท่เี ผาไร่ เห็ด เจือปนเลยเป็นผลผลิตผ่านกระบวนการธรรมชาติและก่อเกิด ขเี้ ถา้ กจ็ ะขน้ึ มาลว้ นเปน็ ยอดอาหารในการเอาไปหงุ ตม้ แทบทงั้ นน้ั ผลผลติ ท่ีเปน็ ธรรมชาติ การจัดการไฟมีความส�ำคัญในการจัดการไร่หมุนเวียนและ ก่อนท�ำการเผาไร่ส่ิงส�ำคัญที่ต้องท�ำคือท�ำแนวกันไฟรอบไร่ ระบบนิเวศ เพราะพ้ืนท่ีทุกผืนท่ีเป็นไร่เหล่าฟื้นตัวจะต้องไม่มีไฟ ที่ถางแลว้ เพราะหวั ใจการจัดการคือการเผาไรจ่ ะต้องกระทบตอ่ เข้ามาลุกไหม้ หากไฟลุกไหม้ในไร่เหล่าเป็นความสูญเสียอย่าง ระบบนเิ วศใหน้ อ้ ยทสี่ ดุ เพราะฉะนนั้ จะตอ้ งใหก้ ารเผาไรเ่ กดิ ขนึ้ ใน หนกั เพราะวงจรหมนุ เวยี นไมส่ ามารถฟน้ื ตวั ใหมไ่ ดด้ งั ปกตใิ นวงจร ทงุ่ ไรท่ ถี่ างแลว้ เทา่ นน้ั จะไมใ่ หไ้ ฟลามออกไปนอกเขตทำ� ไร่ เพราะ ฟ้ืนตวั ตามธรรมชาติได้ จะกลายเป็นพ้ืนท่ีไรท่ ่ีขาดความสมบูรณ์ ฉะน้ันแนวกันไฟจึงส�ำคัญต่อการจัดการไฟมาก การเผาไร่จะมี ชาวไรห่ มนุ เวียนจะระมัดระวงั เปน็ อยา่ งมากจะไม่ใหเ้ กิดข้ึน เทคนคิ การเผาไรโ่ ดยการเรยี กลมผา่ นการผวิ ปากและการอธษิ ฐาน เพ่ือใหไ้ รไ่ หมไ้ ด้ดี รวดเร็วและไมล่ ามออกไปนอกเขตไร่ เทคนิค ที่งา่ ยๆ คือ มคี นสองคนติดไฟจากเขตแนวกันไฟดา้ นในจากหัว ไรโ่ ดยเรมิ่ จากจดุ เดยี วกนั แลว้ แยกกนั ออกไปในทางตรงกนั ขา้ มกนั จนถึงก้นไร่ โดยปล่อยให้ไฟจากเขตแนวกันไฟลงมาจนเกือบถึง หวั ไรแ่ ลว้ จงึ เผาไลจ่ ากกน้ ไรข่ นึ้ ไป ทำ� ใหไ้ ฟทล่ี ามขน้ึ ไปออ่ นลงพอ มาถงึ หัวไร่ จึงง่ายต่อการควบคุมไฟมิให้ลามออกไปขา้ มเขตแนว กันไฟได้ การรักษาพน้ื ท่ี ฉื่ย (ไร่เหลา่ ) ถือเปน็ หวั ใจสำ� คญั ของ การจัดการไรห่ มนุ เวียนทีเดยี ว มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 61

ค-ึ ฉยื่ ยงั มกี ารจดั การในมติ ขิ องจติ วญิ ญาณโดยผา่ นพธิ กี รรม ในทกุ ขนั้ ตอนการทำ� ไร่ ซงึ่ ไมส่ ามารถนำ� เสนอไดท้ ง้ั หมดจงึ ขอยก ตัวอย่าง พิธีหล่ือเหม่ (พิธีบูชาเทพไฟ) ตามความเช่ือของ ปกาเกอะญอมีเทพไฟในกระบวนการผลิตไร่หมุนเวียน จึงมีพิธี บชู าเทพไฟในชว่ งลาคปุ ู (เดอื นพธิ กี รรมเลย้ี งเทพไรห่ มนุ เวยี นราว เดอื นสงิ หาคม) ขา้ วโตเตม็ ทแี่ ละใกลจ้ ะทอ้ งเพอื่ ออกรวง ซง่ึ มกี าร บูชาเทพหลายองค์ด้วยกัน หนึ่งในเทพเหล่าน้ันจะมีการบูชา เทพไฟ จะบูชาด้วยไก่ตัวผู้สีแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไฟ โดยอธษิ ฐาน ขอขมาเทพไฟทใ่ี ชใ้ นการเผาไรท่ ำ� ใหร้ ะบบนเิ วศรอ้ น รุ่มไปทั่ว จึงขอให้เทพไฟโปรดปรานให้ความร่มเย็นมาแทนที่ ใหร้ ม่ เยน็ ปลอดภยั ทงั้ พชื ผลในไร่ แผน่ ดนิ ปา่ ขนุ เขา ระบบนเิ วศ ท้ังระบบและผู้คนท่ีท�ำไร่และชุมชนทุกสิ่งเก่ียวข้องกับนิเวศ แถบนั้นไดร้ บั ความรม่ เย็นเปน็ สุขโดยทวั่ หนา้ กนั ปฏทิ ินวงจรการผลติ ของ คึ-ฉย่ื เดะญา เปน็ เดอื นของการแตกหน่อ แตกหวั แตกเมล็ดของพันธุ์ พืชทุกชนิด โดยมีพอเดะญา (ว่านส่ีทิศ) เป็นสัญลักษณ์ประจ�ำ การทำ� ค-ึ ฉยื่ (ไรห่ มนุ เวยี น) เปน็ กระบวนการสำ� คญั ในการ เดือนนี้ ดงั คำ� กล่าวทว่ี า่ “เดอื นเดะญาวา่ นสท่ี ศิ ชูก้านออกดอก” รักษาความหลากหลายของพันธุ์พืชและแหล่งอาหารตลอดทั้งปี เดือนลา-นวี (มิถุนายน) อาหารตามธรรมชาติประเภท งานวิจัยของอานันท์และคณะ (๒๕๔๖) ได้ค้นพบว่าความ หน่อไม้จะแทงหน่ออกมาและมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ เป็นอาหาร หลากหลายของพันธุ์พืชที่อยู่ในไร่หมุนเวียน มีสูงถึง ๒๐๗ ที่คอยเลี้ยงชาวบ้านได้อย่างเหลือเฟือ และยังมีพืชผักอื่นๆ อีก สายพันธุ์ในภูมินิเวศไร่หมุนเวียนเพราะระบบนี้เป็นการเก็บรักษา เช่น ผักข้อี ้นปา่ (หอ่ เตอ่ มี) ผักขอ้ี น้ บา้ น (ห่อเต่อเดอ) ยอดบวบ พันธุ์ผ่านกระบวนการปฏิบัติการ (in situ) พ้ืนท่ีไร่หมุนเวียน เหลี่ยม (เดเรส่า) ยอดกระเจี๊ยบ ยอดมะเขือล่ืน (ซาโยเต้) ต้น ไม่ได้ผลิตแต่ข้าวอย่างเดียวเท่าน้ันแต่ผลิตพืชผักอื่นๆ อีกหลาย อ่อนหอมซู (เสอะเกล๊อ) สาระแหน่ ผกั จนี ตน้ หอม พริก เปน็ ตน้ ชนิด สามารถยังชีพให้กับครอบครัวผู้ท�ำไร่หมุนเวียนได้ตลอด เดือนกรกฎาคม (ลาเฆาะ) เป็นช่วงเวลาของการเก็บยอด ท้ังปี และมีความแตกต่างผลผลิตในแต่ละช่วงเวลา ซ่ึงขอยก ออ่ นและดอกผกั กาดเขยี วทเ่ี รยี กกนั วา่ “เสอะบะแย” พอราวกลาง ตัวอยา่ งผลผลติ แต่ละช่วง ดงั ต่อไปน้ี เดือนสิงหาคม (ลาคุ) เป็นหน้าเก็บข้าวโพด แตงลาย (ดีหมื่อ) การปลกู หวา่ นจะเรมิ่ ตน้ ราวๆ ปลายเดอื นลาเซอ (เมษายน) แตงส้ม (ดีฉี่) เร่ิมเก็บลูกอ่อนได้ ในแต่ละเดือนตั้งแต่กันยายน ผักบางชนิดก็สามารถเร่ิมเก็บมาท�ำอาหารได้แล้ว เช่น ต้นอ่อน (ชิหม่อื ) ถงึ ธนั วาคม (ลาปลือ) พืชผกั จะมหี ลากหลาย แตเ่ ดอื น ผักกาดและยอดฟักทองท่ีปลูกตามริมล�ำห้วยล�ำธาร เป็นต้น พฤศจิกายน (ลานอ) เป็นเดือนท่ีปกาเกอะญอจะได้รับผลผลิต ดังล�ำน�ำบทหน่ึงท่ีได้กล่าวถึงเรื่องราวอาหารที่เร่ิมเก็บกินได้ จากไร่ที่สมบูรณ์ท่ีสุดเพราะพืชพันธุ์ส่วนใหญ่จะให้ผลผลิต ในช่วงน้ีมีค�ำกล่าวที่ว่า “เดือนลาเซอ (เมษายน) จะส้ินสุดลง ในเดือนนี้ ท้งั พืชใหย้ อด ผล ดอก ตน้ เมลด็ ฝัก เหง้า หัว เถา และเดะญา (พฤษภาคม) จะเรมิ่ ตน้ ฝนฟา้ โปรยปรายลงมา ทำ� ให้ เช่น ลกู บวบ ลกู มะระ ลกู ฟกั ทอง ลกู แตงกวา ลกู ออ่ นฝา้ ย เมลด็ เมลด็ ผกั กาดแตกใบออ่ นเขียวขจไี ปทัว่ ท้องไร”่ ถ่ัว หวั มัน หัวเผอื ก เหงา้ ขิง ขมนิ้ ตน้ ออ้ ย ตน้ ขา้ วฟ่าง (เป่เชอ ช่วงกลางเดือนเดะญา (พฤษภาคม) ท่ีเขา้ สู่ฤดฝู น พนั ธ์ุพชื โบ) ดอกกะเพราแดง (ห่อวอพอ) รวมถึงข้าวทเ่ี ปน็ พืชหลกั ในไร่ หลายอย่างท่ีถูกหว่านเมล็ดลงไปก็จะงอกเป็นต้นอ่อนออกมาและ กไ็ ด้เวลาเกบ็ เก่ียวในเดอื นนเ้ี ช่นเดียวกัน เริ่มเก็บท�ำเป็นอาหารได้ เช่น ต้นอ่อนผักกาด ต้นอ่อนห่อวอ (ตระกลู กะเพรา) ยอดอ่อนฟกั ทอง ผกั ชี ตน้ หอม เป็นต้น เดือน 62

นอกจากน้ี ไร่หมุนเวียนยังมีคุณูปการต่อชีวิตมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีข้อค้นพบเชิงวิทยาศาสตร์ว่า การท�ำไร่ ในบทบาทการเปน็ แหล่งอาหารท่ปี ราศจากสารพิษ ซึ่งเปน็ เรื่องท่ี หมนุ เวยี นรปู แบบทำ� สน้ั และทง้ิ ยาวแบบทปี่ กาเกอะญอทำ� การผลติ สังคมมนุษย์ทั่วโลกในปัจจุบันก�ำลังให้ความสนใจ ทุกประเด็น อยู่ไม่ท�ำให้โครงสร้างของดินเปล่ียนไป ทั้งน้ีเพราะเวลาตัดไม้ ปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับการเกษตรจะได้รับการจัดการโดยวิถีการ จะเก็บตอไม้ไว้สูงราวหน่ึงเมตรข้ึนไปท�ำให้ตอไม้ไม่ตายจะมีแตก ทางธรรมชาติ โดยอาศัยองค์ความรู้ท้องถ่ินท่ีส่ังสมมาจาก กิ่งแตกใบใหม่ โครงสร้างภายในดินจึงไม่เปล่ียนและจึงไม่เสี่ยง ประสบการณ์จริงในการปฏิบัติการ นับว่าเกษตรรูปแบบคึ-ฉ่ืย ตอ่ การพงั ทลายของหนา้ ดิน (ไร่หมุนเวียน) นี้จะเป็นทางเลือกส�ำคัญทางเลือกหน่ึงของ การเกษตรไร้สารพิษที่ทุกคนกำ� ลังเพรยี กหากนั ในปจั จุบัน ฉ่ยื (พน้ื ทไ่ี รเ่ หลา่ ) นอกจากน้ีสามารถกล่าวได้ว่า ไร่หมุนเวียนมีองค์ความรู้ ในการบ�ำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในการปฏิบัติการ ฉื่ย (ไร่ฟื้นตัวหรือไร่เหล่า) มิใช่พ้ืนที่ป่าแต่เป็นพ้ืนที่ท�ำกิน ไรห่ มนุ เวยี น ชาวปกาเกอะญอไมใ่ ชว้ ธิ ขี ดุ พลกิ หนา้ ดนิ การถางไร่ ถือเป็นภูมิปัญญาเชิงกลยุทธ์ของการฟื้นพื้นที่ท�ำกินผ่าน ยงั คงเกบ็ ตอไม้ตอไผไ่ ว้ ไมม่ กี ารขุดรากถอนโคน กระบวนการตามธรรมชาตเิ พอ่ื ความอดุ มสมบรู ณค์ นื มาแลว้ เวยี น ในการปลูกข้าวและพืชผักลงในพ้ืนท่ีไร่จะขุดดินลงเพียง กลับมาท�ำกินใหม่ ซ่ึงถือเป็นแก่นแกนของเกษตรกรรมระบบนี้ เล็กนอ้ ย โดยใชเ้ สียม (บอโถ)่ ทีม่ ีการออกแบบเป็นการเฉพาะกจิ หากปราศจากการฟนื้ ตวั ของ ฉยื่ (ไร่เหลา่ ) ความสามารถในการ มขี นาดเลก็ รอยเสยี มเทา่ รอยเทา้ เกง้ รอยเทา้ กวางเทา่ นน้ั ซงึ่ ไมม่ ี ผลิตและความอุดมสมบรู ณก์ ็ยอ่ มหมดไป เพราะฉะนั้นระบบ ฉย่ื ผลกระทบถึงขั้นเกิดการพังทลายของหน้าดินและท�ำลาย ถือเปน็ กระดกู สันหลงั ของระบบเกษตรแบบนที้ เี ดียว โครงสรา้ งดนิ ในขณะเดยี วกนั การถางหญา้ พรวนดนิ จะใชเ้ ครอ่ื งมอื ฉื่ย มีพันธุ์พืชหลากหลายชนิดท่ียังเก็บกินได้ นอกจากน้ัน ท่ีเรียกว่า “ขละ”(ขอดายหญ้า) ซ่ึงมีการออกแบบเป็นการ ยงั มพี นั ธ์พุ ชื มากมายท่ใี ชเ้ ป็นยาสมุนไพรดว้ ย เช่น หญ้าสาบเสอื เฉพาะกิจเช่นเดียวกัน มีลักษณะงอโค้งเงยฟ้า ลักษณะดังกล่าว (ชอโพเกวะ) ใช้รกั ษาแผลสด ใบหนาด (พอปกา่ หลา่ ) เปล้าใหญ่ ช่วยป้องกันไม่ให้กินเนื้อดินลึกลงไป การถางหญ้าและพรวนดิน (ซะเกอะวะ) ใชร้ กั ษาแผลฟกซำ้� มะขามปอ้ ม (เสญ่ าสา่ ) ใชร้ กั ษา จะอยู่ในระดับผิวดินเท่าน้ัน ซ่ึงก็หมายถึงการป้องกันผลกระทบ ปวดฟนั นอโพและนาปอจอ ใชแ้ กไ้ ข้ ตวั รอ้ น เปน็ ตน้ นอกจากนน้ั ต่อโครงสรา้ งของดนิ และการพังทลายของหน้าดนิ ฉยื่ เปน็ แหลง่ อาหารและทพี่ กั พงิ อาศยั และแพรพ่ นั ธข์ุ องสตั วต์ า่ งๆ ทง้ั สตั วเ์ ลย้ี งและสตั วป์ า่ นานาชนดิ ตงั้ แตส่ ตั วเ์ ลก็ ไปจนถงึ สตั วใ์ หญ่ สัตว์เดินดนิ ไปถึงสัตว์ปกี มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 63

การพักท่ีดินในรูปแบบไร่เหล่าจึงถือแป็นการอนุรักษ์ ไร่หมุนเวียน พันธุกรรมในถิ่นเดิม (In-situ) เป็นการอนุรกั ษ์พันธุกรรมทีม่ ีชีวติ กับการลดทอนภาวะโลกร้อน และมกี ารใชป้ ระโยชน์ (Living Conservation) เพราะพนั ธกุ รรม พืชและสัตว์ได้ขยายเผ่าพันธุ์หมุนเวียนในถิ่นเดิมตามวงจร หากเราพิจารณาไร่หมุนเวียนกับการลดทอนของภาวะ ไร่หมุนเวียนอย่างมีชีวิตชีวาและชาวบ้านก็อาศัยท้ังพืชและสัตว์ โลกร้อนและโอกาสในการปรับตัวต่อสภาวะโลกร้อน จะพบว่า ในการใช้ประโยชน์และอนุรักษ์พรรณพืชพันธุ์สัตว์เหล่าน้ัน ตามหลกั เหตผุ ลทางวทิ ยาศาสตรส์ ง่ิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ จะมกี ารเกบ็ กกั ตลอดเวลา ดร.สมศกั ดิ์ สุขวงค์ พดู ถงึ ฉื่ย วา่ “ไรเ่ หล่า fallow คารบ์ อนในชวี มวล (biomass) ท้ังจากปา่ ตน้ ไม้ และสง่ิ มีชีวิต land ซึ่งเป็นป่าทุติยภูมิ (secondary forest) สัตว์มีกีบชนิด ในดิน การฟื้นตัวของ “ป่าหนุ่ม” จะท�ำการดูดซับคาร์บอนเพื่อ ต่างๆ ชอบอาศัยอยู่มาก เช่น หมูป่า เก้ง ฯลฯ ประเภทนกใน การเจรญิ เตบิ โตและเปน็ ทเ่ี กบ็ กกั คารบ์ อนไดด้ กี วา่ “ปา่ ธรรมชาต”ิ ประเทศไทยมรี าว ๙๐๐ ชนดิ หนงึ่ ในสามหรอื ราว ๓๐๐ ชนดิ เปน็ หรอื “ป่าแก”่ ซงึ่ เปน็ ป่าไมท้ โ่ี ตเต็มท่ี ซง่ึ ผลของการจัดการระบบ นกทอี่ าศัยอย่ใู นพนื้ ทีเ่ กษตรกรรม (farm land) ซึง่ ตรงกบั ชาวไร่ ไร่หมุนเวียนจึงก่อเกิดความหลากหลายซับซ้อนของพันธุ์พืชท่ี หมุนเวียนเรียกพื้นที่ ฉื่ย (ไร่เหล่า) ว่าเป็นพื้นที่แหล่งอาหาร ก่อเกิด “ไร่ปา่ เหลา่ ” ใหม่ขึ้น โดยเฉพาะ จีงไม่แปลกท่ีจะพบนกหลากหลายชนิดและ “ไร่เหล่า” ซึ่งเป็นกระบวนการส�ำคญั ของระบบไรห่ มุนเวยี น จ�ำนวนมากมาแพร่พันธุ์และอาศัยอยู่ในไร่เหล่าของไร่หมุนเวียน” จึงมีความสามารถในการลดทอนภาวะโลกร้อนได้ดีกว่า “ป่า จึงถือได้ว่า ไร่หมุนเวียนเป็นพื้นท่ีเกษตรที่เอ้ือต่อการแพร่พันธุ์ ธรรมชาต”ิ Dr.Jurgen Blaser ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านป่าไมน้ านาชาติ และอาศัยของสัตว์เล็ก สัตว์มีกีบและสัตว์ปีกมากชนิดที่สุด ได้ตอบข้อถกเถียงเร่ืองไร่หมุนเวียนได้สร้างผลภาวะทางอากาศ ในบรรดาพ้นื ทเ่ี กษตรทง้ั หลาย หรือไม่นั้นไว้ดังน้ี คือ โดยธรรมชาติน้ันป่าที่ฟื้นคืนตัวใหม่ ปจั จบุ นั FAO ไดป้ ระกาศใหไ้ รห่ มนุ เวยี นเปน็ ระบบวนเกษตร อย่างพ้ืนที่ “ไร่เหล่า” ของไร่หมุนเวียน ต้นไม้จะต้องอาศัย ระบบหนง่ึ ทมี่ คี วามยง่ั ยนื ใหก้ บั ระบบนเิ วศและระบบนไี้ มไ่ ดท้ ำ� ลาย คาร์บอนไดออกไซด์มากในการดูดซับเพื่อเอามาสร้างต้นและใบ ป่าอยา่ งทเ่ี คยเข้าใจกัน ใหม่ และแน่นอนว่าความจ�ำเป็นในการดูดซับคาร์บอนจะมี มากกวา่ ปา่ ทโี่ ตเตม็ ทแี่ ลว้ เพราะโดยธรรมชาตปิ า่ ทโี่ ตเตม็ ทแ่ี ลว้ นน้ั จะเกบ็ คารบ์ อนไดด้ แี ตค่ วามจำ� เปน็ จะดดู ซบั คารบ์ อนมาใชย้ อ่ มมี ความจำ� เปน็ นอ้ ยกวา่ นอกจากน้ี ดร.สมศกั ด์ิ สขุ วงศ์ นกั วชิ าการ วนเกษตรและผู้เชี่ยวชาญป่าไม้ที่มีช่ือเสียงจากมหาวิทยาลัย 64

เกษตรศาสตร์ ได้ศึกษา “ไร่เหล่า” ที่ฟื้นตัวของไร่หมุนเวียนได้ ท้งั นม้ี ีขอ้ สังเกตวา่ การฟนื้ ตัวของ “ไร่เหล่า” จะตอ้ งมอี ายุ ขอ้ คน้ พบวา่ ชวี มวลทเี่ กดิ จากไรห่ มนุ เวยี นในพนื้ ทไี่ รเ่ หลา่ ทฟ่ี น้ื ตวั ยาวนานเพียงพอ จึงสามารถเป็นระบบที่ย่ังยืน ปุ๋ยในดินยังคง ๗ ปี จากปีท่ีหน่ึงจนถงึ ปีทีเ่ จด็ มสี ะสมมากถงึ ๔๒ ตันต่อเฮกตาร์ ความอุดมสมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นสามารถสรุปได้ว่าระบบไร่ ของไร่หมุนเวียนในระยะ ๗ ปี นั้นสามารถดูดซับคาร์บอนได้ หมนุ เวยี น เปน็ ระบบทที่ ำ� ใหค้ ารบ์ อนเปน็ กลางหรอื เกดิ สมดลุ ทาง เท่ากับ ๔๒ ต่อตนั เฮกตาร์ ซ่ึงบ่งบอกว่า “ไรเ่ หล่า” ในพืน้ ท่หี น่งึ คาร์บอน และไม่มผี ลต่อการเป็นสาเหตทุ ี่กอ่ เกดิ ภาวะโลก เฮกตารส์ ามารถดดู ซบั คารบ์ อนไดป้ ลี ะ ๖ ตนั สำ� หรบั ปา่ ธรรมชาติ กลา่ วโดยสรปุ จะเหน็ วา่ วฏั จกั รของธรรมชาติ มกี ระบวนการ ผลการศกึ ษาคน้ พบวา่ ปา่ ธรรมชาตพิ น้ื ทป่ี า่ เบญจพรรณ ปา่ เตง็ รงั สรา้ งสมดลุ ใหก้ บั ตนเอง หากมนษุ ยเ์ ขา้ ใจระบบธรรมชาตไิ ดอ้ ยา่ ง ซงึ่ เปน็ ประเภทปา่ ประเภทผลดั ใบจะมกี ารผลดั ใบประมาณ ๑๐-๑๑ ถ่องแท้และเกื้อหนุนระบบธรรมชาติอย่างถูกทิศถูกทาง เฉกเช่น ตันต่อปีต่อเฮกตาร์ เพราะฉะน้ันความจ�ำเป็นในการสร้างใบออ่ น เดียวกับชาวกะเหร่ียงที่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ ใหม่แทนท่ีใบท่ีผลัดใบก็ต้องใช้คาร์บอนราว ๑๐-๑๑ ตันเช่นกัน มวี ถิ กี ารดำ� เนนิ ชวี ติ ทมี่ คี วามสอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั ธรรมชาติ (ประเสรฐิ และคณะ, ๒๕๕๒) นอกจากนี้ขอ้ ค้นพบล่าสดุ จากงาน จนตกผลกึ ออกมาเปน็ ระบบเกษตรแบบไรห่ มนุ เวยี นทถี่ อื ปฏบิ ตั มิ า ศึกษาของประยงค์ ดอกลำ� ไย และคณะ (๒๕๕๓) ศกึ ษาท่ีบา้ น เปน็ หมนื่ ๆ ปี และยงั คงถอื ปฏบิ ตั กิ นั มาจนถงึ ทกุ วนั นี้ ไรห่ มนุ เวยี น หนิ ลาดใน จ.เชยี งราย พบวา่ การหมนุ เวียนไร่ฟนื้ ตวั หรือไร่เหลา่ น่าจะเป็นระบบท่ีสอดคลอ้ งกบั วัฏจกั รทส่ี ร้างสมดลุ ทางธรรมชาติ จาก ๑ ปี ถงึ ๑๐ ปี สามารถสะสมคารบ์ อนไดถ้ งึ ๑๗,๓๔๘ ตนั และน่าจะมั่นใจได้ว่าระบบไร่หมุนเวียนไม่ได้มีส่วนสร้างปัญหา ขณะท่ีการปล่อยก๊าซจากการเผาไร่หมุนเวียนมีแค่ ๔๘๐ ตัน ภาวะโลกรอ้ นเหมือนกับเกษตรกรรมพชื เชงิ เดยี่ ว เพราะฉะน้ันมีผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ น้อยมากทมี่ าจากการเกษตรแบบไรห่ มุนเวียน หนงั สอื อา้ งองิ จากผลการศกึ ษาตา่ งๆ การเกษตรแบบไรห่ มนุ เวยี นจะไมเ่ พม่ิ คาร์บอนในชน้ั บรรยากาศ หรืออกี นัยหนง่ึ ระบบการเกษตรแบบนี้ Kunstadter, Peter, E.C. Chapman andSanga Sabhasri ๑๙๗๘ Farmer in มีวัฏจักรท่ีสร้างสมดุลในตัวมันเองโดยไม่ก่อเกิดคาร์บอนที่จะน�ำ the forest: Economic Development and Marginal agriculture in ไปสกู่ ารเกดิ ภาวะโลกรอ้ นได้ แตเ่ มอ่ื ใดทไ่ี รห่ มนุ เวยี นถกู กดดนั ให้ Northern Thailand.Hawaii: The East West Center. ปรบั ระยะการฟน้ื ตวั ลดลงหรอื การเปลย่ี นไรห่ มนุ เวยี นใหก้ ลายเปน็ Kanok and Benjawan Rekasem ๑๙๙๔ Shifting Cultivation in Thailand: ไรถ่ าวรท่ตี อ้ งทำ� กนิ ซ้�ำท่ีเดมิ ทุกปี เมือ่ น้ันวัฏจักรทเี่ ป็นสมดลุ ตาม Its current Situation and Dynamics in the Context Highland ธรรมชาตนิ กี้ จ็ ะหมดวงจรไปดว้ ย ดว้ ยเหตนุ ก้ี ารเปลยี่ นมาเปน็ เกษตร Development. London: International Institute for Environment and แบบถาวรยอ่ มน�ำไปสกู่ ารมสี ่วนในการสร้างภาวะโลกร้อนข้ึนได้ Development. Northern Development Foundation (NDF) and the Huay Hin Lad community with support from Oxfam-GB. Edited and published by AIPP, IWGIA and NDF with support from NORAD ประเสรฐิ ตระการศภุ กร ๒๕๔๐ การสบื ทอดองคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั การทำ� ไรห่ มนุ เวยี น ของชมุ ชนเผา่ กะเหรยี่ ง วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ประเสรฐิ ตระการศภุ กร และถาวร กมั พลกลู ๒๕๕๓ ระบบการเกษตรแบบ ไรห่ มนุ เวยี น: องคค์ วามรแู้ ละปฏบิ ตั กิ ารของกลมุ่ ชาตพิ นั ธป์ุ กาเกอะญอ ในภาคเหนอื ของประเทศไทย เครอื ขา่ ยภมู ปิ ญั ญาชนเผา่ พน้ื เมอื งบนทสี่ งู ใน ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (IKAP) สนบั สนนุ Swiss Agency for Development and Cooperation (SDC) วราลกั ษณ์ อทิ ธพิ ลโอฬาร ๒๕๔๑ ไรห่ มนุ เวยี น: มารดาแหง่ พรรรณพชื เชยี งใหม:่ โครงการพฒั นาลมุ่ นำ้� ภาคเหนอื โดยองคก์ รชมุ ชน บอื พอ กมั พลกลู ๒๕๔๐ ชวี ติ ขา้ -ปกาเกอะญอ กรงุ เทพฯ: สารคดี ๒๕๔๖ ไรห่ มนุ เวยี น ในวงจรชนเผา่ ปกาเกอะญอ เชยี งใหม:่ เครอื ขา่ ยกองบญุ ขา้ ว ปน่ิ แกว้ เหลอื งอรา่ มศรี ๒๕๓๙ ภมู ปิ ญั ญานเิ วศชนพน้ื เมอื ง: ศกึ ษาชมุ ชนกะเหรย่ี ง ในปา่ ทงุ่ ใหญน่ เรศวร กรงุ เทพฯ: โครงการฟน้ื ฟชู วี ติ และธรรมชาติ ศ.ดร.อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ และคณะ ๒๕๔๗ รายงานการวจิ ยั ระบบเกษตรแบบไร ่ หมนุ เวยี น: สถานภาพและการเปลยี่ นแปลง เลม่ ท่ี ๑ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 65

ทอ่ งเท่ยี วเชงิ วฒั นธรรม เรอื่ ง : พริมา อ่วมเจรญิ ภาพ : อดุล ตณั ฑโกศัย, ธรี พฒั น์ บุปผาพิบลู ย์ เลา่ ขาน ตำ� นานไทลอื้ เมอื งเชยี งคำ� ชาวบ้านมาง บ้านหย่วน เมอื งเชยี งค�ำ เก็บดอกไม้บูชาพระ เขา้ มานัง่ วิสาสะรอเวลากนั ในอุโบสถวดั แสนเมอื งมา 66

นานเน่นิ เกินกวา่ ร้อยป.ี .. ไกลออกไปถงึ แควน้ สบิ สองปนั นา มณฑลยนู นาน สาธารณรฐั ประชาชนจนี กลมุ่ ชนชาตพิ นั ธห์ุ นงึ่ ได้อพยพโยกย้ายถ่ินฐาน บ้างก็ถูกกวาดต้อนบุกป่าฝ่าดง ลัดเลาะข้ามขุนเขาและสายน้�ำมาลงหลัก ปักฐานบนแดนดินถิ่นเหนือของไทย ไล่เลยต้ังแต่เชียงใหม่ เชียงราย ล�ำพูน ล�ำปาง แพร่ น่าน รวมถึง อำ� เภอเชียงมว่ นและเชยี งคำ� จงั หวดั พะเยา พวกเขาหย่งั รากตวั ตนกลมกลนื อยูบ่ นผืนแผ่นดินอันอดุ ม สมบูรณ์ท่เี ปรยี บเสมอื นบา้ นหลงั ใหญ่หลังใหม่ของพวกเขา...ชาวไทล้อื ไทล้ือคือใคร ถนนราบเรยี บทอดตวั ยาวคดโคง้ ไปตามขนุ เขา มนั ลากยาว “ไทลอื้ ” หรือ “ไตล้ือ” คือกลุม่ ชาตพิ ันธ์ุตระกลู ไต หรือไท พาดผ่านท้องทุ่งนาอันอุดมสมบูรณ์ลัดเลยมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่พูดภาษาตระกูลไต พวกเขามีวัฒนธรรมท่ีโดดเด่นเป็น สงบงามแห่งหนึ่งที่ต�ำบลหย่วน อ�ำเภอเชียงค�ำ จังหวัดพะเยา เอกลกั ษณ์ ท้ังภาษาพดู ตัวอักษร อาหารการกิน หรือแม้กระทั่ง หญงิ สาวเคยี นผา้ โพกหวั สชี มพอู อ่ น สวมใสเ่ สอื้ ปด๊ั (เสอ้ื ปา้ ยขา้ ง) เคร่ืองแตง่ กายในแบบฉบับของตัวเอง นงุ่ ซนิ่ ลายนำ้� ไหลผนื สวย เธอยมิ้ รนื่ ขณะหยบิ ยกนำ�้ ดมื่ ชนื่ เยน็ มา “บรรพบุรุษเราเป็นชาวไทล้ือ ดั้นด้นอพยพมาจาก ให้คนไกลไดค้ ลายความรอ้ น เมืองพง เมืองมาง เมืองหย่วน ท่ีสิบสองปันนาโน่นแน่ะ “ชุมชนของเราแบ่งออกเป็นสี่หมู่บ้าน หมู่ ๑ บ้านธาตุ พอมาอยู่ในประเทศไทย เรากเ็ อาชื่อบา้ นเก่าเมืองเดมิ มาตั้งเปน็ สบแวน หมู่ ๒ บ้านธาตุ หมู่ ๓ บ้านหย่วน และหมู่ ๔ ชื่อหมู่บ้าน ญาติพ่ีน้องที่ตามมาทีหลังจะได้หาเราเจอ” บ้านมาง เรียกวา่ เป็นชมุ ชนที่มีเชอื้ สายไทลอ้ื อย่างแน่นแฟ้นเลย ครปู ระพนธ์ วงศ์ใหญ่ เลา่ ยอ้ นถงึ เรอ่ื งราวการเดนิ ทางไกลของ ค่ะ” คุณนงลกั ษณ์ จนิ ะราช เล่าพร้อมรอยยมิ้ คนร่นุ ปยู่ า่ ตาชวดชาวไทล้อื ให้ฟงั ภาพจติ รกรรมในวดั พระธาตสุ บแวน แสดงภาพจินตนาการถึงวันงานบญุ ในอดตี มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 67

๑ ๑. ความงดงามภายนอกของพระอุโบสถวัดแสนเมืองมา วัดสวยและวดั ส�ำคญั หากหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเม่ือสองร้อยกว่าปีก่อน ประจ�ำเมอื งเชยี งค�ำ หลงั จากชนชาตพิ มา่ ถกู ไลต่ อ้ นใหห้ ลบลหี้ นอี อกจากประเทศไทย ๒. สองสาวไทลอื้ น�ำสลากภัตมารวมกองไว้ ภายในอโุ บสถวดั บา้ นเมอื งทเ่ี คยคลาคลำ่� ดว้ ยผคู้ นกลบั เสอ่ื มโทรมรกรา้ งกนิ เวลา พระธาตุสบแวน นานนับสิบปี จนกระท่ังถึงยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง ๓. ความสวยงามของการตกแตง่ ภายในแบบไทลื้อ ภายในวดั พระธาตุสบแวน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช รชั กาลที่ ๑ ๔. เจดยี โ์ บราณศิลปะลา้ นนา อายุกว่า ๘๐๐ ปี ที่วดั พระธาตสุ บแวน มรี บั สง่ั ใหเ้ จา้ อตั ถวรปญั โญ เจา้ ผคู้ รองนครนา่ น ขน้ึ ไปกวาดตอ้ น ๒ เทครวั ชาวไทลอ้ื จากสบิ สองปนั นาใหม้ าลงหลกั ปกั ฐานสรา้ งบา้ น แปงเมืองในแผ่นดนิ ไทย ครานั้นชาวไทลื้อกลุ่มหน่ึงได้มาอาศัยอยู่ท่ีอ�ำเภอ เชยี งม่วน ราว ๒๕ ปี ทวา่ การทำ� นาทำ� ไร่ท่ีไมใ่ ห้ผลิตผลที่ดีนกั ได้ผลักพาใหพ้ วกเขาอพยพอีกคร้งั กอ่ นจะมาปกั หลักบนพื้นท่ี ดินด�ำน�้ำชุ่มในบริเวณลุ่มน�้ำแม่ลาว ซ่ึงก็คืออ�ำเภอเชียงค�ำใน ปจั จบุ นั จากวนั นน้ั จนถงึ วนั นเ้ี วลาไดล้ ว่ งผา่ นไปเปน็ รอ้ ยปี ชวี ติ ลูกหลานชาวไทลื้อได้เติบโตอย่างมั่นคงบนผืนแผ่นดินท่ี บรรพบุรุษได้เลือกสรรไว้ให้ 68

๓ ศูนย์รวมจิตใจของชาวไทล้ืออีก แห่งอยู่ทว่ี ัดพระธาตุสบแวน วัดเกา่ แกค่ ู่ เรื่องเล่าหลากหลายถูกถ่ายทอด ๔ ชุมชนบ้านธาตุ องค์เจดีย์ศิลปะล้านนา ขณะท่ีแดดสายฉายจับวิหารหลังใหญ่ ฉาบทาสีขาวมีอายุยืนยาวกว่า ๘๐๐ ปี ของวัดแสนเมืองมา ลำ� แสงสีทองคอ่ ยๆ ภายในบรรจุพระเกศาธาตุและพระบรม อาบไลร้ ายละเอยี ดอนั วจิ ติ รงามตามแบบ ธาตุสว่ นคางของพระพุทธเจ้า ฉบับสถาปัตยกรรมไทล้ือ ภายในวิหาร “ แ ร ก เ ร่ิ ม ค น ไ ท ลื้ อ นั บ ถื อ ผี ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย บรรพบุรุษ ก่อนท่ีจะหันมานับถือพุทธ ศิลปะไทลื้อ เหนือเพดานระโยงระยาง ศาสนา เรียกว่าใหม่เอา เก่าไม่ท้ิง” ด้วยตุงหลากสีสันหลายลาย ฝาผนัง พี่จรัส สมฤทธ์ิ เล่าว่าคนไทลื้อน้ันมี แต้มแต่งภาพจิตรกรรมสะท้อนภาพ ศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธศาสนา วถิ ีชวี ติ ของชาวไทลอื้ พวกเขายดึ ม่นั ในหลักกฏแห่งกรรม ท�ำดี ด้านข้างวิหารคือศูนย์วัฒนธรรม ได้ดี ท�ำช่ัวได้ช่ัว และถึงแม้จะเปิดรับ เฉลิมราช พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้าน วัดแสน ศาสนาเข้ามาในชีวิต ทว่าก็ยังไม่ละทิ้ง เมืองมา จัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน รากเหงา้ ทางความเชอื่ ดงั้ เดมิ อยา่ งเรอื่ งผี นิทรรศการไทล้ือเชียงค�ำ ประเพณี บรรพบุรษุ ในหมบู่ า้ นจะตอ้ งมีหอเทวดา ความเชือ่ และขา้ วของเครอื่ งใช้ของชาว หลวงที่ผู้คนเคารพศรัทธา และต้องจัด ไทลื้อ พิธกี รรมบวงสรวงเทวดาหลวงทุกปี มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 69

๑ ๒ ๓ ๑. แม่อุ๊ยแสงดาก�ำลังแถบ็ ฝา้ ยใหฟ้ ูกอ้ นใหญ่ กอ่ นน�ำไปปั่นเป็นเส้นดา้ ย ๒. ผ้าทอล้อื อยา่ งของชาวไทลอื้ เชยี งคำ� ๓. วัฒนธรรมการแต่งกายของหญงิ ชายชาวไทลื้อ ๔. เฮินไฟ หรือครวั ของชาวไทลอ้ื 70

เสน้ สายลายชีวติ เฮนิ ไตลอื้ หลงั เกา่ ครำ่� ครา่ อายรุ าว ๗๐ ปี วางตวั สงบเงยี บ อยู่รมิ ทางสายเลก็ มนั สะท้อนฉากชีวติ ของคนไทลื้อผา่ นแงง่ าม ของงานสถาปตั ยกรรมโบราณ ที่ใตถ้ นุ เรอื นโปร่งโล่ง หญิงชาวไทลื้อกลุ่มใหญ่ก�ำลังงว่ น กบั การงานตรงหนา้ เสยี งฟมื กระแทกกระทบเขา้ กบั เสน้ ดา้ ยแวว่ ดังเป็นจังหวะน่าฟัง ขณะท่ีกระสวยไม้ถูกใส่สอดลอดพุ่งผ่าน เสน้ ใยอยา่ งวอ่ งไวดว้ ยความชำ� นาญ “สมัยกอ่ นผหู้ ญงิ ลอ้ื ทอผา้ เปน็ กันทกุ คนละ่ ใครทอผ้าไม่ เปน็ จะไมไ่ ดอ้ อกเรอื น” แมอ่ ยุ๊ แสงดา สมฤทธ์ิ หญงิ ชราหวั เราะรา่ ขณะที่สองมือยับย่นกร�ำงานผ่านร้อนหนาวมายาวนานก�ำลัง หยิบยกเครื่องมือหน้าตาคล้ายคันธนูเล็กๆ ดีดก้อนฝ้ายซ�้ำๆ จนเส้นใยฝา้ ยฟูฟ่องเปน็ ก้อนใหญ่ก่อนนำ� ไปปน่ั เป็นเสน้ ด้าย “ไทลอ้ื เชยี งคำ� นงุ่ ซนิ่ ลายเกาะผกั แวน่ หรอื ทเ่ี ขาเรยี กกนั วา่ ซิ่นลายน�้ำไหล น่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบ้านเราเลย” ครูนอ้ ง-หทยั ทิพย์ เชื้อสะอาด ผู้ช�ำนาญเร่ืองผา้ ทอไทลอื้ ช้ีชวน ให้ดูลายผ้าซ่ินผืนเก่าที่จัดแสดงในศูนย์วัฒนธรรมไทล้ือ (วดั หยว่ น) ลวดลายโบราณยงั คงไดร้ บั การสบื ทอดไมใ่ หส้ ญู หาย “ผ้หู ญงิ ไทล้อื จะสวมเสื้อป๊ดั ป้ายข้าง นงุ่ ซิ่น เคียนหัวด้วย ผา้ สขี าวหรอื สชี มพู คาดสายฮงั้ (เขม็ ขดั เงนิ ) หอ้ ยสรอ้ ยดอกปบี ส่วนผู้ชายถ้าเป็นคนธรรมดากใ็ ส่เสื้อปดั๊ นงุ่ เตีย่ วเปาโยง้ หรอื เต่ียวสามดูก เคียนหัวด้วยผ้าเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นนักรบ จะสวมเสื้อแขนยาว แล้วสวมเสื้อปา หรือเส้ือกั๊กทับอีกชั้น พร้อมสะพายดาบคู่ใจ ที่ส�ำคัญขาดไม่ได้เลยคือถุงย่าม หมากแดงใบเล็กไว้ใช้ใส่ข้าวของ” ครูน้องบอกเล่าวัฒนธรรม การแตง่ กายของชาวไทลือ้ ทเ่ี ปยี่ มลน้ ดว้ ยเสน่ห์อยา่ งละเอยี ด ไมเ่ พยี งแตท่ อผา้ ชาวไทลือ้ เมืองมาง เมอื งหย่วน ยังมี ฝีมอื ในการยอ้ มผ้าให้เปน็ สสี วยดว้ ยวสั ดุธรรมชาติ “ต้นห้อมให้สีน้�ำเงินเข้มสวย แก่นขนุนให้สีเหลืองสด ครงั่ ใหส้ ชี มพู ประดใู่ หส้ นี ำ�้ ตาล ใบตะเคยี นหนใู หส้ เี ทา” ปา้ มาลี วงศ์ใหญ่ ประธานกลุ่มผ้าทอแปรรูปสีธรรมชาติเล่าขณะ ขะมักเขม้นกับการย้อมเส้นใยด้ายฝ้ายด้วยน้�ำห้อม หรือคราม ท่ีเราตา่ งเคยคุน้ บนผืนผ้าทอช้ันดี ลวดลายแห่งชีวิตของคนไทลื้อยังคง ๔ ถูกถักทอตอ่ เนื่องราวกับไม่มีจุดสิน้ สุด มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 71

๑ เปิดส�ำรับต�ำรบั ไทลือ้ ๑. กาดไทลื้อวดั หย่วน ๒. ข้าวแคบ ข้าวเกรียบใส่งา “อาหารไทลื้อบางอย่างก็คล้ายกับอาหารของคนเมือง ๓. ถว่ั เนา่ หรือโถ่โอ่ ของกินประจำ� ครวั ไทลือ้ (ล้านนา) น่ันแหละ เรากินถ่ัวเน่า กินข้าวแคบ น้�ำพริกน้�ำผัก ๔. ลกู หลานชาวไทล้ือสืบสานศลิ ปะการแสดงอันออ่ นชอ้ ย ไม่ต่างกัน” ใครสักคนเล่าให้ฟังขณะที่เราดุ่มเดินดูภาพวิถีชีวิต ยามเชา้ ท่ีกาดเช้าเชียงคำ� ๒ “ครัวของคนไทล้ือเรียกว่าเฮินไฟ สมัยก่อนเตาไฟสร้าง จากกระบะไม้ดาดด้วยดินเหนียว มีก้อนเส้าวางอยู่สามก้อน ๓ เหนือเตาจะทำ� เป็นช้นั วางของ” หลากเรอื่ งเลา่ ของเตาไฟดำ� เนนิ 72 ไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กบั การท�ำความร้จู ักสำ� รับตำ� รบั ไทล้อื “ขา้ วแคบ” ขา้ วเกรยี บทำ� จากแปง้ ขา้ วเหนยี วใสง่ า ของกนิ เล่นรสเคม็ ๆ มนั ๆ กินกับ “ขนมปาด” สนี �้ำตาลสวย หนา้ ตา คล้ายขนมเปยี กปนู หวานหอมนำ้� ออ้ ย เรียกน�้ำยอ่ ยให้ท�ำงาน “ถ่ัวเน่านี่ขาดไม่ได้เลย ถือว่าเป็นเคร่ืองปรุงหลัก ประจำ� ครวั คนไทลอ้ื เรยี กวา่ โถโ่ อ่ ทำ� จากถวั่ เหลอื งทต่ี ม้ จนเปอ่ื ย หมักท้ิงไว้สักสามวัน แล้วโขลกพริกแห้ง กระเทียม ขิง ข่า เกลือใส่ลงไป จากนั้นเอามาตีเป็นแผ่นกลม ตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ได้นาน จะปิ้งหรือทอดกินก็ได้” ลุงสาโรจน์ วงศ์ใหญ่ เล่าอยา่ งออกรส

๔ ในส�ำรับไทลื้อยังมี “จ้ินซ่�ำพริก” หน้าตาคล้ายคั่วกลิ้ง สองฝง่ั ฟากถนนทเี่ งยี บเชยี บชว่ งกลางวนั กอ่ รา่ งกลายเปน็ ท�ำจากเน้ือหมูตากแห้งฉีกเป็นเส้นๆ โขลกกับเคร่ืองแกง กาดวฒั นธรรมเลก็ ๆ นา่ เทย่ี วชม สนิ คา้ ชน้ั ดอี ยา่ งผนื ผา้ ทอมอื “แอง่ แถะ” วนุ้ สเี ขยี วทำ� จากใบหมานอ้ ย ปรงุ รสดว้ ยพรกิ ปน่ ถวั่ ปน่ ถูกจัดวางอวดลวดลายประณีตสวย เสื้อผ้า เคร่ืองแต่งกาย ปลาแหง้ ปน่ และมะกอก “ปลาปง้ิ อบ” เนอื้ ปลาดกุ แลใ่ สพ่ รกิ แหง้ เครอ่ื งประดบั แบบชาวไทลอ้ื มใี หเ้ ลอื กซอ้ื หลากหลาย ไลเ่ ลยไปถงึ ตะไคร้ กระเทียม หอมแดงโขลก มดั ดว้ ยตอกแล้วเอาไปปิ้ง อาหารการกนิ และขนมขบเคยี้ วของชาวไทลอ้ื กม็ ใี หเ้ หน็ หลายรา้ น “ปลาปง้ิ อบใชป้ ลานำ�้ จดื ทำ� ไดห้ มด เดยี๋ วลองไปดทู กี่ าดแลง แว่วเสียงบรรเลงจากเคร่ืองดนตรีพ้ืนเมืองดังกังวาน ไทลอื้ วดั หยว่ นสิ มอี าหารไทลอ้ื เยอะแยะ มกี ารแสดงใหด้ ดู ว้ ยนะ” การแสดงของพอ่ อยุ๊ แมอ่ ยุ๊ รวมถงึ ลกู หลานผสู้ บื เชอ้ื สายไทลอื้ ได้ ใครบางคนพูดถึงกาดไทล้ือวัดหย่วน ซ่ึงจะจัดทุกวันพุธสุดท้าย เร่ิมต้นข้ึนแล้ว พวกเขาต่างพากับขับเคล่ือนเย้ืองย่างกายใจไป ของเดือน ตามท่วงทำ� นองของชีวติ “กาดไทล้ือเป็นกาดวัฒนธรรมท่ีเราจะจัดเวียนกันจนครบ ทัง้ ส่หี ม่บู า้ น พธุ แรกจดั ที่วัดแสนเมืองมา พุธทส่ี องกบั สามจัดท่ี วัดพระธาตุสบแวน พุธสุดท้ายจัดท่ีวัดหย่วน แต่ไม่ว่าจะจัดท่ี นานเนิ่นเกินกว่ารอ้ ยป.ี .. หมู่บ้านไหน ชาวบา้ นหมอู่ นื่ ก็จะมาช่วยกนั ออกรา้ น มาช่วยกัน ชนชาตพิ นั ธห์ุ นงึ่ ไดอ้ พยพโยกย้ายถิน่ ฐานมาไกลโพ้น ทำ� กิจกรรม” ครูนอ้ งบอกขณะท่พี อ่ คา้ แมข่ ายเรมิ่ มาตง้ั แผงขาย ของทหี่ นา้ วิหารวัดหยว่ น เมอื่ หยง่ั รากฝากชีวติ ไว้บนผนื แผ่นดินใหม่ สายเลือดแหง่ ชาวไทลื้อยงั คงเติบโตอยา่ งมน่ั คง บนรากเหง้าวัฒนธรรมดง้ั เดิม...เหมอื นท่เี คยเป็นมา มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 73

ศิลปินแห่งชาติ เรือ่ ง/ภาพ : นนั ทพฒั น์ สรุ สงิ หโ์ ตทอง พ่อครู บุญศรี รัตนัง ศิลปินแหง่ ชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (ดนตรพี นื้ บา้ นล้านนา) ศิลปะวัฒนธรรมในแต่ละพ้ืนท่ีเปรียบเสมือน สมดุ เลม่ ใหญท่ จี่ ดบนั ทึกวถิ ชี ีวติ ความรู้ ภูมิปญั ญา ของผคู้ นในแตล่ ะชมุ ชนไวไ้ ดอ้ ยา่ งแยบยล เชน่ เพลง พ้ืนบ้าน เพลงซอ ค�ำเล่าขานต่างๆ ที่ถ่ายทอดกัน มาจากรุ่นสู่รุ่น แม้ว่าปัจจุบันเด็กๆ ยุคใหม่เริ่มให้ ความส�ำคัญกับเร่ืองเหล่าน้ี น้อยลง แต่ก็ยังมีพลัง ขบั เคลอ่ื นของศลิ ปนิ ทม่ี งุ่ มน่ั สบื สาน และตอ่ ยอดให้ ภูมิปัญญาที่ทรงคุณค่าแต่โบราณไม่สูญหายไป ตามกระแส 74

มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 75

พอ่ ครบู ญุ ศรี รตั นงั กลา่ วไวว้ า่ ซอ คอื วฒั นธรรมขบั ขาน พอ่ สอนมาเรอื่ ยๆ แลว้ กร็ อ้ งเพลงซอเกบ็ เงนิ ซอ้ื ทเี่ พม่ิ เพราะ วถิ ีชวี ติ ชาวลา้ นนาจากรนู่ สู่รนุ่ จนถึงปจั จบุ ัน ซอเกดิ ข้นึ เมือ่ ไหร่ ทเ่ี ดมิ คบั แคบ และมคี นสนใจมาเรยี นมากขน้ึ พอ่ มาเปดิ โรงเรยี น ใครเริ่มคนแรก ไม่มใี ครรู้ เปน็ วัฒนธรรมท่ีสบื ต่อกันมา แต่ละ เป็นทางการเม่อื ปี ๒๕๕๒ มีนกั ศกึ ษาจบไปแลว้ หา้ ร้อยกว่าคน พน้ื ทก่ี แ็ ตกตา่ งกนั ไปเลก็ นอ้ ย เดยี๋ วนคี้ นเมอื งแทบไมม่ ใี ครสนใจ มคี า่ ลงทะเบยี น ๑๐๐ บาทเทา่ นน้ั นอกนน้ั ฟรี จนปจั จบุ นั ไดเ้ ปน็ เร่ืองค�ำซอกันแลว้ พ่อยังหว่ งวา่ จะสญู หาย ศิลปินแห่งชาติก็ยังสอนอยู่ หลายคนเรียนจบไปแล้วก็สืบสาน พอ่ เลยขอไปสอนทสี่ ถาบนั แหง่ หนง่ึ แตใ่ นชว่ งการสอนถกู ต่อไป ซึ่งก็เป็นการท�ำตามเจตนารมย์ที่ว่าเราจะต้องสืบสาน ตำ� หนวิ า่ ใชเ้ สยี งดงั หอ้ งขา้ งๆ กำ� ลงั เรยี น พอ่ กเ็ ลยคดิ จะมาสอน ศิลปลา้ นนานไ้ี ว้ไมใ่ ห้สญู หายไปไหน ทบ่ี า้ นตวั เอง เรม่ิ เกบ็ หอมรอมรบิ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๕๑๖–๒๕๒๕ มา พ่อเองอยากให้เด็กสมัยนี้มาสนใจศึกษาซอ โดยเฉพาะ ตง้ั เปน็ ศนู ยเ์ ลก็ ๆ สอน ซงึ สะลอ้ ซอ และอน่ื ๆ ตอ่ มากพ็ ฒั นา การซอท่ีเป็นเรื่องเป็นราวอย่างแบบโบราณ ไม่ใช่ร้องเป็นเพลง เปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรใู้ นปจั จบุ นั เปน็ อะไรไปเรอื่ ย อยา่ งขน้ึ บา้ นใหมห่ รอื บวชพระ เพราะเพลงซอ มกี ารสอนขับซอแบบ ซอสายอาชีพ กับซอสายการศึกษา มีเกร็ดความรู้วิถีชีวิตท่ีแทรกอยู่ในเพลงซอ พ่อท�ำงานด้านน้ี ซอสายอาชพี จะมคี ำ� รอ้ งออกแนวสองแงส่ องงา่ ม มนี กั ศกึ ษาบาง มาตลอดชวี ติ เขยี นเพลงไว้กวา่ ๑,๔๐๐ เพลง พอ่ ใชภ้ าษาเมือง คนอยากเรียนซอ แต่ติดท่ีบางบทมีค�ำหยาบด้วย ท�ำให้เรามา นี่หละเป็นสือ่ คิดว่าถ้าเราจะมาสอนค�ำซอที่ล่อแหลม เด็กสมัยใหม่อาจไม่ ยอมรับ เลยกลับมาเขยี นค�ำซอสายการศกึ ษาทไี่ มม่ ีค�ำหยาบ 76

นอกจากความสามารถด้านการขับซอของพ่อครูบุญศรี ทจี่ บั ใจผฟู้ งั แลว้ พอ่ ยงั มคี วามสามารถเลน่ เครอ่ื งดนตรพี น้ื เมอื ง ทุกชนิดได้ตั้งแต่เด็กๆ ท�ำให้มีความสามารถในการท�ำ เครอื่ งดนตรเี มืองได้ดว้ ย โดยเครื่องดนตรสี ่วนมากทใ่ี ชบ้ รรเลง ในงานต่างๆ และในการบันทึกเสียงมักจะเป็นเคร่ืองดนตรี ที่ท�ำขึ้นเองทั้งส้ิน โดยเฉพาะขลุ่ย ถ้าขลุ่ยมีระดับเสียงสูง เสยี งของวงดนตรที ง้ั วงกจ็ ะเปน็ เสยี งสงู ตามไปดว้ ย หรอื ถา้ ขลยุ่ มีระดับเสียงต�่ำ วงดนตรีท้ังวงก็ต้องบรรเลงในโทนเสียงท่ีต่�ำ ลงไปด้วย เน่ืองจากขลุ่ยเป็นเคร่ืองดนตรีที่ไม่สามารถตั้งเสียง ในทกุ ๆ ครงั้ ทจี่ ะเลน่ ได้ ถา้ คนทำ� ขลยุ่ ทำ� เสยี งไหนมา กต็ อ้ งเลน่ ไปตามเสียงน้ัน ท�ำให้มีปัญหาเวลาท่ีจะน�ำไปเล่นกับวงดนตรี วงอื่นๆ พ่อจึงคิดค้นการใช้ท่อพีวีซีมาทดลองท�ำ โดยท�ำให้มี ท้งั หมด ๓ ท่อน สามารถสวมและถอดออกจากกนั ได้ ท่อนบน และทอ่ นลา่ งจะมคี วามยาวประมาณ ๑–๒ นิว้ สว่ นทอ่ นกลาง จะเป็นท่อนยาวที่ท�ำการเจาะรูระดับเสียงไว้ ซ่ึงวิธีการต้ังเสียง คือ ขยบั ท่อนบนและท่อนลา่ งเพ่ือให้ขล่ยุ มีความส้นั ยาวต่างกัน เสยี งทไ่ี ด้ก็จะต่างกนั ตามไปด้วย ขลุ่ยปรับระดับเสียงท่ีพ่อประดิษฐ์นี้ สามารถน�ำมาใช้ ได้จริงกับการบรรเลงดนตรีท่ัวไป และปัจจุบันก็ยังคิดหาวิธี ท่ีท�ำให้ขลุ่ยเปล่ียนระดับเสียงได้โดยไม่ต้องถอดเปล่ียนท่อ ที่น�ำมาสวมต่อกัน แต่จะใช้วิธีหมุนท่อให้รูเสียงซึ่งเจาะ ณ ต�ำแหน่งต่างๆ กนั เปดิ ออกใช้งานหรอื ปดิ ไวต้ ามตอ้ งการได้ และในปี ๒๕๕๕ ยังได้ประดิษฐ์เคร่ืองดนตรีแนวใหม่ให้กับ ลา้ นนา นัน่ ก็คือ ขลุ่ยเปา่ ข้าง ซ่งึ เป็นขลยุ่ ล้านนาที่เปลยี่ นจาก การเป่าด้านบน มาเป็นการเป่าด้านข้าง เพื่อท่าทางที่สวยงาม มากข้ึนเวลาบรรเลง แต่ลักษณะของขลุ่ยและตัวโน้ตต่างๆ จะยังคงไว้ซ่ึงรูปแบบของเครื่องดนตรีพ้ืนเมืองเดิม พร้อมกันนี้ ไดต้ ัง้ ชอื่ ใหก้ ับขลุย่ ชนิดน้ีวา่ “ขลุ่ยแสนเสียง” มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 77

กว่าจะมาเป็นศิลปินเพลงพ้ืนบ้านล้านนา ที่มีช่ือเสียง ตอนนน้ั พอ่ แตง่ เพลง “บา่ วเคนิ้ ” กต็ งั้ ใจจะเขา้ เพลงดว้ ยซงึ สะลอ้ อยา่ งเชน่ ทกุ วนั น้ี ในอดตี พอ่ ตอ้ งสชู้ วี ติ สมยั เปน็ เดก็ พอ่ เปน็ เดก็ เพื่อนก็ทัดทานว่ามันจะดังเหรอ สมัยนั้นเข้าห้องอัดเสียง ซึงก็ เผาถ่าน เก็บของหาของขายไปเร่ือย รายได้น้อย เรียนจบแค่ เล่นคนเดียว สะลอ้ ก็เล่นคนเดียว กลองกเ็ ลน่ คนเดยี ว ไม่มีเงนิ ป.๔ ตอนปี ๒๕๐๗ ท่ีโรงเรยี นปา่ เหมอื ดวิทยาคาร ต่อมาตอน ไปจ้างเขา พออัดเสียงไปแล้วลองออกขายกลับกลายเป็นเพลง อายุ ๑๖ ก็เจอพ่อสม บญุ เรอื ง แกแนะน�ำให้มาเปา่ ปเ่ี ขา้ บทซอ ที่ดังมากไปเลย พวกกรุงเทพฯ เอาไปแกะคีย์เขาบอกว่าคีย์ สมัยนั้นรับจ้างปลูกนาได้วันละ ๕ บาท แต่มาเป่าปี่ได้วันละ ไม่ถูกสักคีย์ เพลงนี้มันดังได้ยังไงคอร์ดไม่ถูกสักคอร์ดเดียว ๒๐ บาท พ่อก็เร่ิมฝึกให้เก่งจนได้วันละ ๕๐ บาท แล้วก็เร่ิม เขาเอาไปพูดกันเป็นเร่ืองสนุกกันไปเลยว่าเพลงเค้าดังได้ยังไง ฝกึ เรยี นซอเพราะไดร้ ายไดเ้ พม่ิ มาเปน็ วนั ละ ๑๐๐ บาท ตอนนน้ั หลงั จากนนั้ เรากเ็ รมิ่ เปน็ นกั รอ้ งสรา้ งตวั สรา้ งครอบครวั มาจนถงึ แม่ขายขนมครกมาตั้งแต่เรายังไม่เกิดก็เลยให้แม่พักเพราะเรา ทุกวันน้ี เรม่ิ มรี ายได้จนุ เจอื ครอบครัวไดแ้ ลว้ ตอนน้ีพอ่ ก็ดใี จที่ลูกสาว (น้องออ้ ม มณีรัตน์ รตั นัง) มา ปี ๒๕๑๘ มาอยู่วงดนตรีอ�ำนวย ตอนน้ันเขาดูถูกเราว่า ตอ่ ยอดสบื ทอดเจตนารมยข์ องพอ่ สบื ทอดศลิ ปะวฒั ธรรมไมใ่ ห้ เสยี งไม่เหมอื นคนอ่ืนเขา ตัง้ แต่นนั้ มาพอ่ กเ็ ลยเริ่มฝกึ แต่งเพลง สูญหายไป 78

“เริม่ แรกช่วง ป.๔ อ้อมเร่ิมเรียนซอกบั คุณแม่ คณุ แม่เคย เปน็ ช่างซออยู่ลำ� ปาง เพราะช่วงเด็กๆ พ่อเดินทางบ่อย พอโต ขนึ้ กเ็ รมิ่ รบั งาน และตอ่ มากส็ นใจแตง่ เพลงเปน็ เพลงซอรว่ มสมยั อ้อมพยายามท�ำให้เพลงพ้ืนบ้านเป็นเพลงท่ีเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ใครๆ ก็ฟังได้ ไม่ได้ฟังยากอย่างที่คิด อีกเรื่องคือการสืบสาน เรื่องภาษาคือภาษาเมือง อ้อมพยายามให้รักษาค�ำเมือง ของเราไว้ เพราะเป็นการอนุรักษณ์ที่ง่ายที่สุด เราไม่ต้องไป ซือ้ หาท่ีไหน” ปัจจุบันน้องอ้อมเป็นดั่งก�ำลังหลักที่มุ่งม่ันสืบสาน ภมู ปิ ญั ญา และศลิ ปะวฒั นธรรมลา้ นนาไวไ้ ดอ้ ยา่ งนา่ ชนื่ ชม จาก ผลงานทีม่ ตี ่อเน่ือง และการสนบั สนนุ จากพอ่ ครู บญุ ศรี รตั นงั และคณุ แมม่ าตลอด โดยไดส้ รา้ งแนวทางของตวั เองใหป้ ระจกั ษ์ ชัดถึงการสืบสานทเี่ ปน็ รปู ธรรม นอ้ งอ้อม มณรี ัตน์ รตั นงั ลูกสาวผ้ตู อ่ ยอด และสบื ทอดเจตนารมยข์ อง พ่อครูบญุ ศรี รตั นัง มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 79

เชดิ ชูปชู นยี เร่อื ง : วรุณพร พพู งษ์ ภาพ : กองบรรณาธกิ าร พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร นายต�ำรวจผู้ตงฉินและศิลปินอาชญนิยาย ภาพ : นิตกิ ร กรัยวเิ ชียร 80

เม่ือนายต�ำรวจผู้ตงฉินกับศิลปินอาชญนิยายคือคนคนเดียวกัน จึงก่อเกิดเป็นผลงานนวนิยายและงานเขียนมากมาย อันน�ำมาจาก ประสบการณ์จริงที่นายต�ำรวจท่านน้ันได้เรียนรู้ ด้วยหัวใจที่ยึดมั่นในความ ยุติธรรมและใจรักในงานเขียน พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร เป็นทั้งนายต�ำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่ีตงฉิน และ นักเขียนนวนิยายเกี่ยวกับวงการต�ำรวจและอาชญากรรมที่น�ำมาจาก ประสบการณ์จริงในชีวิตการงาน โดยใช้นามปากกา “โก้ บางกอก” อันเป็น ชื่อทใ่ี ช้ในงานเขยี นนวนิยายและเรือ่ งทั่วไป นยิ ายหลายเร่อื งท่ีท่านสร้างสรรค์ ถูกน�ำไปสร้างภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์หลายต่อหลายครั้ง ชีวิตวัยเยาว์ เด็กชายวสิษฐ เดชกุญชร เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ท่ีอ�ำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรของนายคเชนทร์ และนางเกษร เดชกุญชร ทั้งสองท่านมีอาชีพ เป็นครู มีน้องสาวหนึ่งคนคือ กรรณิการ์ บุญตานนท์ ในวัยเด็กเขาเคยศึกษาที่โรงเรียนคณะราษฎรบ�ำรุง จังหวัดยะลา แล้วมาเรียนจบชั้น มัธยมศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน เม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๗ จากนั้นส�ำเร็จการศึกษาชั้น เตรียมอุดมศึกษาจากโรงเรียนอ�ำนวยศิลป์พระนคร รุ่นลมหวล กระท่ังก้าวเข้าสู่รั้ว มหาวิทยาลัยโดยศึกษาต่อท่ีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสิงห์ด�ำรุ่น ๑ และ ส�ำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับที่ ๒ ด้วยความใฝ่เรียนรู้และขยันหมั่นเพียรจึงได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการต�ำรวจ ณ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการสืบสวนจากสหรัฐอเมริกา และ จบหลักสูตรวิชาการป้องกันประเทศ จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. รุ่นที่ ๒๓) มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 81

ชีวิตราชการ จิตรลดารโหฐาน อันเป็นสถานที่ประทับของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ รวมถึง ในด้านการท�ำงาน พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร บรเิ วณพระราชวงั ดสุ ติ โดยทา่ นเปน็ ผเู้ จรจากบั ผชู้ มุ นมุ และเปน็ เริ่มรับราชการเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ ในต�ำแหน่งอาจารย์ ผู้อัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากความคิด มาอ่านให้แก่ผู้ชุมนุมฟัง เวลา ๐๕.๓๐ น. ของวันท่ี ๑๔ ตุลาคม เม่ือครั้งวัยเด็กที่เคยถูกต�ำรวจจับขังคุกหนึ่งคืนอย่างไร้เหตุผล ๒๕๑๖ ก่อนสลายตัว พล.ต.อ. วสิษฐ จึงมุ่งม่ันที่จะเป็นต�ำรวจให้จงได้ จนสามารถ นอกจากน้ันท่านยงั ไดร้ บั ผดิ ชอบในกิจการงานสำ� คญั ของ เข้ารับราชการที่กรมต�ำรวจได้ดังที่ต้ังใจ และมีโอกาสได้ไป ประเทศชาติมาตลอดช่วงชีวิต กล่าวได้ว่าท่านคือ “ปูชียบุคคล ท�ำงานที่องค์กรสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออก ของสังคมไทย” คือ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิก เฉียงใต้ (สปอ.) (Southeast Asia Treaty Organization- สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี ๒๕๓๒ SEATO) ต่อมาได้สมัครเข้ารับราชการท่ีกรมประมวลราชการ และปี ๒๕๓๙-๒๕๔๓ อีกท้ังเคยด�ำรงต�ำแหน่งรัฐมนตรี แผ่นดิน (ปัจจุบันคือ ส�ำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) แล้วโอน ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ไปรับราชการท่ีกองต�ำรวจสันติบาล กองบัญชาการต�ำรวจ ชุณหะวัณ ในช่วงส้ันๆ สอบสวนกลาง กองบัญชาการต�ำรวจตระเวนชายแดน กระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้ย้ายไปเป็นนายต�ำรวจราชส�ำนักประจ�ำ ผู้บัญชาการประจ�ำกรม จเรต�ำรวจ ผู้ช่วยอธิบดีและรองอธิบดี กรมต�ำรวจฝ่ายกิจการพิเศษ เมื่อคร้ังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ พล.ต.อ. วสิษฐ ขณะน้ันมียศพันต�ำรวจเอก (พ.ต.อ.) ด�ำรงต�ำแหน่งนายต�ำรวจ ราชส�ำนักประจ�ำ รับหน้าท่ีดูแลความสงบบริเวณพระต�ำหนัก 82

ก้าวย่างสู่วงการน�้ำหมึก นาครสนทนา ในนิตยสารชาวกรุง คู่กับประหยัด ศ.นาคะนาท กระทั่งเริ่มมีช่ือเสียงในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ที่คมท้ังความคิด หากกลา่ วถงึ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานการเขยี น พล.ต.อ. วสษิ ฐ มุมมอง และส�ำนวนที่คมคาย เขา้ สวู่ งการนกั เขยี นกอ่ นรบั ราชการตำ� รวจเสยี อกี เมอ่ื ยอ้ นกลบั ต่อมาได้เข้าร่วมกลุ่มบางกอกแห่งสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ไปในวัยเด็กท่านเติบโตมากับการอ่านนิตยสารเพลินจิตต์ และ ในเครือเดียวกับชาวกรุง และเริ่มต้นใช้นามปากกา นวนิยายหลากหลายแนวของ ป.อินทรปาลิต ผู้เขียนเร่ือง “โก้ บางกอก” และอีกหลายช่ือในหลากรูปแบบผลงาน พล นิกร กิมหงวน ซ่ึงเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย น่ันเป็นจุดเร่ิมต้น ได้แก่ จ๋อ บางซ่อน, หัสการ (เขียนเรื่องตลกขบขัน), ของความหลงใหลในการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวอักษร ตาถ่ัว (เขียนวิจารณ์ภาพยนตร์), สีน�้ำมัน, สีน�้ำ, สีเนื้อ โดยเริ่มเขียนผลงานเรื่อยมาแม้ในวันท่ีท่านเกษียณอายุราชการ (เขียนคอลัมน์ซุบซิบ), ล�ำพัง (เขียนเร่ืองส้ัน) โดยท่าน ก็ยังคงเขียนหนังสืออย่างต่อเน่ือง ได้เขียนท้ังบทความและนวนิยายท้ังในชาวกรุง สยามรัฐ เม่ือคร้ังเป็นนิสิต พล.ต.อ. วสิษฐ เร่ิมมีผลงานตีพิมพ์ สปั ดาหว์ จิ ารณ์ และนติ ยสารอกี หลายๆ เลม่ เชน่ คณุ หญงิ และ เช่น เร่ือง ปากกาพา (ให้เป็น) ไป ตีพิมพ์ในวารสาร ฟา้ เมืองไทย มหาวิทยาลัยของสโมสรนิสิตจุฬาฯ จากนั้นเขียนลงใน หนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ เรื่อยมา เช่น เขียนคอลัมน์ มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 83

นายต�ำรวจผู้มีใจรักงานเขียน ผลงานอันเป็นท่ีรู้จักอย่างกว้างขวางคือ นวนิยายที่น�ำมา จากประสบการณ์ต�ำรวจ เช่น นวนิยายขนาดสั้นเร่ือง พล.ต.อ. วสิษฐ ใช้นามจริงและนามปากกาในการ จันทร์หอม เร่ืองราวเกี่ยวกับปัญหาผู้ก่อการร้ายในภาคอีสาน เขียนหนังสือ นวนิยาย เร่ืองสั้น สารคดี และบทละคร ที่มีผู้น�ำไปสร้างเป็นละครวิทยุและภาพยนตร์ ส่วนผลงาน โดยเฉพาะเรื่องเก่ียวกับต�ำรวจ ซ่ึงสร้างความส่ันสะเทือน นวนิยายเรื่อง ล.ว. สุดท้าย ได้รับรางวัลดีเด่นในงานสัปดาห์ แก่วงการสีกากี ท่านเร่ิมเขียนนวนิยายเรื่อง สารวัตรเถื่อน หนังสือแห่งชาติ และนวนิยายในยุคหลัง เช่น สารวัตรเถื่อน เป็นเรื่องแรก ตีพิมพ์ลงในหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ โดยมี หักล้ินช้าง แม่ลาวเลือด เบ้ียล่าง สันติบาล สารวัตรใหญ่ ตัวละครช่ือธนุส นิราลัย เป็นพระเอก สวมรอยเป็น ยังคงได้รับความนิยม แม้วันเวลาจะล่วงเลยนวนิยาย สารวัตรใหญ่ ตัดหน้าสารวัตรตัวจริงที่จะไปรับต�ำแหน่งใน หลายเร่ืองก็มีผู้น�ำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์และ อ�ำเภอวัฒนานิมิตร สถานที่สมมุติในจังหวัดชัยภูมิ เพ่ือก�ำจัด ตีพิมพ์ซ�้ำหลายคร้ัง นอกจากน้ีท่านยังได้ช่ือว่าเป็นนักพูด อาชญากรรมระดับเจ้าพ่อ ซ่ึงนวนิยายเร่ืองน้ีได้รับความนิยม ที่มีชื่อเสียงมากคนหน่ึง โดยได้รับเชิญให้ร่วมอภิปรายและ มากในยุคสมัยนั้น จนรวมเล่มและขายดีท่ีสุด ได้รับการ โต้วาทีในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ ตอบรับจากผู้อ่าน รวมถึงนวนิยายเร่ืองอื่นๆ ที่ว่าด้วย พฤติการณ์ของตัวละครชื่อ ธนุส นิราลัย อาทิ แม่ลาวเลือด 84

พล.ต.อ. วสิษฐ เป็นนายตำ� รวจชั้นผูใ้ หญท่ ี่มผี ลงานเขียน มากมาย นอกจากวรรณกรรมทม่ี ฉี ากหลงั เปน็ วงการตำ� รวจและ อาชญากรรม ซง่ึ ทา่ นเคยบอกวา่ นำ� มาจากประสบการณจ์ รงิ แลว้ ทา่ นยงั มผี ลงานเกยี่ วกบั พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล อดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เช่น ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับ ๑๔ ตุลา “เหตุเกิดในกรุงรัตนโกสินทร์” สมาธิกับการท�ำงาน แ ล ะ พ ร ะ ส ม า ธิ ใ น พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ ้ า อ ยู ่ หั ว ฯ ล ฯ นอกจากนี้ยังเป็นคอลัมนิสต์ และมีงานเขียนสารคดี เฉลิมพระเกียรติ รอยพระยุคลบาท: บันทึกความทรงจ�ำ ของ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกญุ ชร ซ่งึ ตพี ิมพ์เปน็ ตอนๆ ในมติชน สุดสัปดาห์ เมื่อปี ๒๕๒๔-๒๕๔๓ ก่อนรวมเล่มตีพิมพ์ ในปี ๒๕๔๔ เอกลักษณ์ทางวรรณศิลป์ เชดิ ชตู ำ� รวจตงฉนิ -ศลิ ปนิ อาชญนยิ าย ช้ันเชิงทางวรรณศิลป์ช่วยส่งเสริมให้ผลงานการประพันธ์ ด้านชีวิตครอบครัว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ พล.ต.อ. วสิษฐ แต่ละประเภทเป็นวรรณกรรมท่ีทรงคุณค่า เพราะนอกจาก เดชกุญชร สมรสกับคุณหญิงทัศนา บุนนาค มีบุตร ๒ คน คือ จะให้ความบันเทิงแล้ว ยังส่งสารถึงผู้อ่านให้เข้าใจพฤติกรรม สุทรรศน์ เดชกุญชร และปรีณาภา เดชกุญชร ของมนุษย์และตระหนักถึงปัญหา ตลอดจนหน้าที่ความ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร นายต�ำรวจใหญ่ นักเขียน รบั ผดิ ชอบท่ีแต่ละคนพึงมตี ่อสังคม อาชญนิยายระดับต�ำนาน ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็น กล่าวได้ว่าเอกลักษณ์อันโดดเด่นในงานเขียนของ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ สาขาวรรณศลิ ป์ ปี ๒๕๔๑ ทา่ นถงึ แกอ่ นจิ กรรม พล.ต.อ. วสิษฐ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของมนุษย์และ เม่ือวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลาประมาณ ๒๒.๓๕ น. ค ว า ม ส� ำ นึ ก ท า ง สั ง ค ม ผ ่ า น ว ร ร ณ ศิ ล ป ์ อ ย ่ า ง มี ช้ั น เ ชิ ง ณ โรงพยาบาลต�ำรวจ ภายหลังเข้ารับการรักษาโรคมะเร็ง งานประพันธ์แต่ละประเภทเป็นวรรณกรรมท่ีทรงคุณค่า ตับอ่อน โดยจัดให้มีการสวดพระอภิธรรมศพและพระราชทาน สรา้ งความตระหนักถึงปญั หา ตลอดจนหน้าท่ีของตนในสังคม เพลิงศพ ณ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร งานวรรณกรรมของทา่ นเปน็ นยิ ายทเ่ี ขยี นจากประสบการณ์ ในราชการต�ำรวจ มตี วั เอกเปน็ ต�ำรวจทมี่ อี ุดมการณ์ และนยิ าย บรรณานุกรม หลายเรื่องมีผู้น�ำไปสร้างภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์ ท�ำให้ งานเขียนเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย งานเขียนของท่านสะท้อนถึง พล.ต.อ. วสษิ ฐ เดชกญุ ชร. (๒๕๕๗). ชีวิตตำ� รวจ. ความหย่ังรู้ในธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ ความส�ำนึก พิมพค์ รัง้ ท่ี ๑. กรุงเทพฯ : มตชิ น. ทางสงั คมตลอดจนอารมณข์ นั ทสี่ อดแทรกเพอ่ื สรา้ งความบนั เทงิ พล.ต.อ. วสษิ ฐ เดชกญุ ชร. (๒๕๕๖). รอยยคุ ลบาท. พิมพ์คร้ังที่ ๑๐. กรงุ เทพฯ : มตชิ น. กองบรรณาธิการนติ ยสาร ฅ คน. (๒๕๕๕, พฤศจกิ ายน). ๘ ปูชนียบุคคลของสงั คมไทย. นิตยสาร ฅ คน. เขมา่ ปนื . (๒๕๖๑, มิถนุ ายน). ยอ้ นมุมคิดของ “วสษิ ฐ เดชกุญชร”. Cop’s. ไทยโพสต.์ (๒๕๖๑). เปดิ งานวรรณกรรม “ต�ำรวจนำ�้ ด”ี พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร. ส�ำนกั งานศลิ ปวฒั นธรรมร่วมสมยั . (๒๕๖๑). พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร. สืบค้นเมื่อ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒, จาก http://ocac.go.th/2017/10/18. มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 85

พื้นบา้ นพื้นเมือง เรอ่ื ง/ภาพ : นนั ทพฒั น์ สรุ สงิ หโ์ ตทอง ความสุขส่วนตัวเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน ไม่มีใครอยากรู้ “ แต่ความสุขส่วนรวมเป็นความสุขที่ใครๆ ”ก็อยากมีส่วนร่วมรู้เห็นและมีความยั่งยืน 86

บนเสน้ ทางกาแฟไทยตา่ งพนื้ ทหี่ ลากหลายทม่ี า กาแฟอาขา่ อามา่ นบั เปน็ กาแฟไทย อกี รายหนง่ึ ซงึ่ มคี วามโดดเดน่ เปน็ ทย่ี อมรบั ทงั้ ในระดบั ภายในประเทศและสากล ดว้ ยกลน่ิ รสเฉพาะตัวของกาแฟสายพนั ธุอ์ าราบกิ า้ ที่ปลกู บนพืน้ ท่ีสูงอันเหมาะสม อีกทง้ั ด้วยพลงั แห่งการส่ือสารประชาสัมพันธ์ รวมทั้งด้วยความมุ่งมั่น ท�ำงานที่เด่นชัดเอาจริงเอาจัง เปน็ การท�ำงานเพือ่ ชมุ ชน มใิ ชเ่ พียงเพื่อตนเอง และต้องเติมอกี นดิ ดว้ ยความโชคดี และ ความดี ของชายหน่มุ ชอ่ื ลี หรือ อายุ จือปา ชาวไทยเช้ือสายอาขา่ วยั ๒๘ ปี ผู้ก่อต้งั จึงท�ำใหก้ าแฟ อาขา่ อามา่ มีเรอ่ื งราวทน่ี า่ ศกึ ษาตดิ ตามเปน็ อย่างยง่ิ อายุ จือปา หรือ ลี เป็นเด็กหนุ่มชาวอาข่า เขาเกิดในหมู่บ้านทุรกันดารท่ีสุด แห่งหน่ึงในประเทศไทยเป็นหมู่บ้านไกลปืนเที่ยง ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน�้ำประปา ไม่มีถนน ลาดยาง หมบู่ า้ นของเขาปลกู กาแฟ เขาชอบดมื่ กาแฟ และชอบชงกาแฟใหใ้ ครๆ ลองดม่ื ประโยคประจำ� ตวั ประโยคหนึง่ ของลี เปน็ ประโยคท่ีใครๆ ก็อยากมีอยากเป็นคอื ผมเปน็ คนโชคดที สี่ ดุ ในโลก นน้ั นา่ จะเปน็ ความจรงิ อยา่ งย่ิง เพราะความโชคดขี องเขามีมาอยา่ ง หลากหลาย นับต้งั แต่ไดเ้ กดิ มาบนทีส่ ูง อากาศดี เป็นพื้นท่ปี ลกู กาแฟได้อย่างเหมาะสม กาแฟก็มาได้เวลาพอดีกับความนิยมกาแฟของคนไทย พร้อมๆ กันกับความต่ืนตัวของ ชุมชนและส่ิงแวดล้อม อีกทั้งพลังแห่งการส่ือสารออนไลน์ หลายสิ่งหลายอย่างมาพร้อม กันอย่างประจวบเหมาะ แตก่ อ็ กี นน่ั แหละ ความโชคดที งั้ หมดทมี่ าพรอ้ มๆ กนั นี้ เปน็ ปจั จยั ภายนอกซง่ึ อาจ จะเป็นความโชคร้ายไปก็ได้ ถ้าเป็นคนอื่นท่ีไม่มีความพร้อมด้านปัจจัยภายในเช่น ชายหนมุ่ คนน ้ี อายุ เป็นช่ือไทยของเขาที่แปลงมาจาก อาโย ภาษาอาข่า เขาเป็นชาวไทยภูเขา ท่ีมีการศึกษาสูง การที่มีความสัมพันธ์กับองค์กรพัฒนาสังคมค่ายฝร่ัง การได้ออกไป เรียนรู้โลกกว้างฯลฯ ทั้งหมดน้ีได้ท�ำให้ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่ท�ำร้านกาแฟ แต่ได้ กอ่ รา่ งสรา้ งชือ่ กาแฟ “อาขา่ อาม่า” ต้งั แตอ่ ายยุ ังไมถ่ งึ ๒๕ ปี และจะด้วยเหตผุ ลกลใด ก็แล้วแต่ กาแฟน้ีถึงกับได้รับการยอมรับในระดับโลก ส่งผลให้เกิดอาการใกล้ล้มแล้ว กลับลุกขึ้นยืนได้อย่างสง่าผ่าเผย จนกระท่ังสามารถจะออกวิ่งได้อย่างรวดเร็วกว่าใครๆ ดว้ ยเหตผุ ลสำ� คญั กค็ อื กาแฟนไี้ มใ่ ชเ่ ปน็ เพยี งกาแฟสว่ นตวั แตย่ งั เปน็ กาแฟทมี่ เี ปา้ หมาย กวา้ งขวางเพือ่ ชว่ ยเหลอื ชมุ ชนด้วย มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 87

เร่ืองราวชีวิตผม เริ่มต้นด้วยความผูกพันกับครอบครัว ส่ิงส�ำคัญคือความคาดหวัง และอาชีพเกษตรกรเป็น และวิถีของเกษตรกรบนภูเขาเป็นหลัก ด้วยความที่คนบนดอย เหมอื นอาชีพตอ้ งหา้ ม ทีพ่ อ่ แม่ไมอ่ ยากให้ลกู ๆ ตอ้ งมาท�ำ อกี อย่างผมโอกาสได้รับการศึกษามีน้อย ตัวเราจึงต้องใช้ความ อย่างคือประเทศไทยในช่วงหลายปีท่ีผ่านมา พยายามผลักดัน พยายามหนัก ขวนขวายมาก เพือ่ ให้มโี อกาสไดเ้ รยี น นกั เรยี น ประเทศเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ซ่ึงผมมองว่าเป็นความคิดที่ รุ่นผม จึงเหมอื นเป็นร่นุ บกุ เบกิ คือครอบครัวเร่มิ เห็นประโยชน์ ผิดพลาดอย่างมาก ท้ังๆ ท่ีบ้านเรามีความโดดเด่นทางด้าน ของการศึกษา ขวนขวายใหล้ กู หลานไดเ้ ข้าสู่ระบบการศึกษาท่ี อาหารเหมอื นสภุ าษติ ทวี่ า่ “ในนำ�้ มปี ลา ในนามขี า้ ว” เราจงึ ควร สงู กวา่ ชัน้ ประถม มัธยมทว่ั ไป ซ่งึ ตา่ งกบั พ่อแมท่ ีใ่ ชก้ ารเรียนรู้ พัฒนาจากจุดแข็งของเรา ถ้าจะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมก็น่าจะ จากชีวิตจริง เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่ด้วยความที่ เกยี่ วเนอ่ื งกบั พน้ื ฐานทเี่ รามอี ยู่ ตอนนน้ั พอ่ แมแ่ ตล่ ะคนอยากให้ รายได้ของครอบครัวผมไม่มากเลย คือวันหน่ึงมีรายได้ไม่เกิน ลูกเป็นหมอ เป็นนายธนาคาร แม้แต่เด็กดอยอย่างพวกเรา ๕๐ บาท ท�ำให้เราต้องเรียนรู้อีกเรื่องหน่ึงคือ เร่ืองบริหารการ ยังอยากจะเป็นอย่างนั้นเลย การศึกษาบางทีก็เป็นเหมือน ใช้เงินทกุ บาททกุ สตางคใ์ หค้ ุม้ คา่ ดาบสองคม ถ้าไมผ่ า่ นการคดิ วเิ คราะหใ์ หต้ กผลึกอย่างแท้จริง 88

ในวยั เดก็ ลที ำ� งานหนกั ทงั้ ภาคปฏบิ ตั แิ ละทฤษฎี ดว้ ยความ และในวัยเรียนนั้นเอง ลี ได้ร่วมงานกับองค์กรเพื่อสังคม ทเี่ ปน็ ลกู คนโต เมอ่ื อยบู่ า้ นเขาตอ้ งชว่ ยแมท่ ำ� งานบา้ นทกุ อยา่ ง ทงั้ ระหว่างประเทศอย่างยูนิเซฟ ซึ่งท�ำงานเพ่ือการศึกษาและ ทำ� อาหาร ซกั ผา้ ปลกู ผกั ผลไม้ เลยี้ งหมเู ลยี้ งไก่ ในขณะทอี่ กี ดา้ น วฒั นธรรมสำ� หรับชาวไทยภเู ขา เวลา ๓ ปีผา่ นไป ลี ได้รบั การ เขาต้องต้ังใจเรียนหนังสือ ลีบอกว่าอุปสรรคส�ำคัญที่สุดคือ อบรมบ่มเพาะจากโลกรอบตัวให้ตัดสินใจท�ำงานเพื่อสังคม โดย เรื่องภาษาไทย (ภาษาแรกของลีคือภาษาอาขา่ ) เขาใชเ้ วลานาน เฉพาะกบั องคก์ รทชี่ ว่ ยเหลอื ดา้ นการศกึ ษาใหเ้ ดก็ เพราะเขาโตมา มากกว่าจะอ่านออกเขียนได้เหมือนทุกวันน้ี เม่ือจบประถม ๖ ในชมุ ชนทย่ี ากล�ำบาก พรอ้ มๆ กนั น้ัน ลเี รม่ิ เห็นความสำ� คัญของ ลีตัดสินใจต่อมัธยมต้น แม้ทางบ้านจะไม่มีเงนิ แตพ่ วกเขากเ็ ห็นดี ภาษาอังกฤษตอนท่ีท�ำงานกับองค์กรระหว่างประเทศ เขาพบว่า เห็นงามดว้ ย องค์กรเหล่านี้มีก�ำลังสูงมาก แต่ติดปัญหาที่คนไทยมักพูดภาษา พ่อกับแม่บอกว่า ชีวิตของลีจะไม่เหมือนคนสมัยก่อนท่ีอยู่ องั กฤษไม่ได้ ทำ� ให้การช่วยเหลือไม่เตม็ ที่ เขาสมัครเรยี นทีค่ ณะ แตบ่ นดอย โลกวนั นกี้ วา้ งขวางขนึ้ มาก ฉะนนั้ การศกึ ษาจงึ เปน็ สงิ่ มนษุ ยศ์ าสตร์ เอกภาษาองั กฤษ หลกั สตู รนานาชาติ มหาวทิ ยาลยั จ�ำเป็น ลีบังเอิญเจอกับพระท่ีธุดงค์มาจากวัดนครเจดีย์ จังหวัด ราชภฏั เชยี งราย แลว้ ภาษาองั กฤษกเ็ ปน็ พาสปอรต์ หรอื ใบเบกิ ทาง ลำ� พนู เมอ่ื บอกความตอ้ งการ ทา่ นจงึ พาไปบวชเณรฤดรู อ้ น และ ของเขาจริงๆ ใหเ้ รยี นหนงั สอื ทโี่ รงเรยี นธรรมสาธติ ศกึ ษา จงั หวดั ลำ� พนู สามเณร วันที่ผมเรียนจบแล้วกลับบ้านครั้งแรกพร้อมใบปริญญา ลีบอกว่าทน่ี เี่ ปล่ยี นชีวิตเขาหลายอยา่ ง ผมตกใจมาก ผมนึกว่าเทศกาลอะไรซักอย่างหน่ึง แทบจะปิด ชีวิตวัยเด็กช่วงหนึ่งผมได้มีโอกาสไปเรียนที่วัดในล�ำพูน หมู่บ้านเล้ียงกันเลย ความส�ำเร็จของลูกเหมือนรางวัลส�ำหรับ มีครูท่านหนึ่งที่มีผลกับชีวิตผมมากคือครูสมนึก ตอนนั้นท่าน ความใฝฝ่ นั ยงิ่ ใหญข่ องผเู้ ปน็ พอ่ และแม่ มนั จดุ ประกายความฝนั เป็นพระมาสอนเราที่วัด และอาจารย์ทวี ใจเมือง ท่านทั้งสอง ของเขาว่า ลูกๆ เค้าก็ท�ำได้เหมือนกัน และท�ำได้ดีกว่าใครๆ คน ทำ� ใหน้ กั เรยี นบนภเู ขามกี ำ� ลงั ใจ ทา่ นไมเ่ คยบอกวา่ นกั เรยี น ในชุมชนนั้นๆ อีกดว้ ย ชาวเขาอย่างผมจะท�ำอะไรไม่ได้ ครูแนะน�ำให้ผมเรียนภาษา ผมไดฝ้ กึ งานกบั มลู นธิ เิ กอื้ ฝนั เดก็ ผมดใี จมาก ทง้ั่ นก้ี ต็ อ้ ง อังกฤษ ซ่ึงครูบอกว่า ภาษานี้แหละจะเป็นเสมือนพาสปอร์ต ขอบคุณพ่อแม่ผมมาก เค้าเป็นคนมองต่างจากคนท่ีอยู่บนดอย หรือใบเบกิ ทางให้กับเขาในโอกาสตอ่ ไป ทวั่ ไป นีจ่ งึ เปน็ ต้นทุนส�ำคัญท่ีส่งให้ผมไดเ้ ดนิ ทางไกลตอ่ มา แม่ ผมเคยสอนว่าต้องทดแทนคุณแผ่นดินไทย ท่านเล่าให้ฟังว่า มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 89

90

เมื่อก่อนต้องคอยหลบกระสุนปืนไม่เคยได้นอนหลับสบาย กับส�ำนวน “คนปลูกไม่ได้กินคนกินไม่ได้ปลูก” และ ๒ การถูก จนเมื่อมาถึงแผ่นดินไทยจึงเป็นคร้ังแรกที่ได้นอนหลับ อย่าลืม เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ราคาอย่างไม่เป็นธรรมจากพ่อค้าคนกลาง บญุ คุณแผน่ ดนิ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จย่าเป็นอนั ขาด ลีน�ำปัญหา ๒ ข้อนี้มาขบคิด เขาค้นพบวิธีแก้คือ ต้องให้ “มลู นธิ เิ กอื้ ฝนั เดก็ ” เปน็ องคก์ รพฒั นาเอกชนสายฝรงั่ กอ่ ตง้ั ความรู้การผลิตกาแฟท่ีมีคุณภาพกับชาวบ้าน และต้องเปิดร้าน โดยประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีช่องทางมีเงินทุนพร้อมสรรพ กาแฟของตัวเองเพ่อื ตัดพอ่ ค้าคนกลางออกจากวงจร โครงการแรกทเ่ี ขามสี ว่ นรว่ มคอื การสรา้ งหอพกั ใหก้ บั เดก็ นกั เรยี น เมอื่ กลบั มาวางแผนชีวติ วา่ เรามแี ผน ๓ ปี ๕ ปี เราจะทำ� ที่บ้านหา่ งไกล ในโรงเรยี นบา้ นห้วยน�ำ้ ขุน่ วิทยา หลังจากฝกึ งาน “อาข่า อาม่า” เราคาดหวังว่าเม่ือไปบอกในชุมชนแล้วเค้า ได้ ๓ เดือน ทางมูลนิธิรับเขาเข้าท�ำงานทันที ได้เงินเดือน จะเหน็ ดว้ ย จะสนบั สนนุ แตก่ ลายเปน็ วา่ ทกุ คนไมเ่ ขา้ ใจ เพราะ ก้อนแรก ๙,๐๐๐ บาท การท�ำงานในมูลนิธิเก้ือฝันเด็ก มอบ ยังติดภาพเดิมๆ ว่าชีวิตเกษตรกรเป็นชีวิตท่ีเหนื่อยยาก ประสบการณ์อันมีค่าให้กับลี เขาได้ท�ำโครงการช่วยเหลือสังคม เรียนสูงๆ จบแล้ว ท�ำไมจะยังมาท�ำการเกษตร โดนต่อต้าน อยา่ งทตี่ ง้ั ใจไวม้ ากมาย และทส่ี ำ� คญั ทนี่ มี่ โี อกาสใหเ้ ขาไดฝ้ กึ ภาษา จากชุมชนว่าแนวคิดเราเป็นกบฏไปแล้ว แม้แต่พ่อแม่ยังไม่ ไดพ้ ดู คยุ ทำ� ความรจู้ กั กบั บคุ คลสำ� คญั ไดเ้ ดนิ ทางไปเหน็ โลกกวา้ ง เข้าใจว่าท�ำไมเราต้องกลับบ้านมาท�ำกาแฟ ท้ังๆ ที่ตอนนั้น ทง้ั ในกลุ่มประเทศอาเซยี น และแม้กระทง่ั ในกล่มุ ประเทศศิวิไลซ์ กาแฟเรากป็ ลูกไม่เปน็ สกั ตน้ ในทวปี ยุโรป จริงๆ ผมเห็นชวี ิตดีๆ ที่อยูใ่ น Comfort Zone เห็นชีวิต เก็บเก่ียวประสบการณ์จากองค์กรพัฒนาเอกชนสายฝร่ัง ทเ่ี หนอ่ื ยยาก ผมเองแตเ่ ดมิ เปน็ คนทเ่ี กลยี ดการทำ� ธรุ กจิ มาก แต่ ไดร้ ะดบั หนง่ึ แลว้ ถา้ เปน็ คนอน่ื อาจจะยงั จมอยใู่ นการงานทม่ี นั่ คง ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่สามารถปฏิเสธเรื่องของเงินได้ แม่บอกว่า และมีรายได้สูงเช่นน้ันต่อไป นักพัฒนาเอกชนไทยผู้มีชื่อเสียง ลจี ะมีกาแฟสักกี่ตัน แต่ถ้าไม่มีเงนิ กท็ ำ� อะไรไม่ได้ ผมจงึ เขา้ ใจ มากมาย ได้กา้ วเขา้ มาและตดิ หลม่ เช่นวา่ นี้ แต่ ลี หนั เหชวี ิตครง้ั และเร่ิมเป็นเพ่ือนกับธุรกิจ เม่ือรวมกับความฝันเติบโตข้ึนจาก ส�ำคญั เขาเดินออกจากตรงนน้ั มาจะดว้ ยเหตผุ ลใดก็ตาม เขาเปิด สังคมมาบวกกับกิจการ ก็เลยเป็นโมเดลท่ีเราสร้างข้ึนมาคือ กิจการกาแฟ อาข่า อาม่า ข้ึนด้วยเหตุผลที่ต้องการช่วยชุมชน “กจิ การเพื่อสงั คม” เราจะท�ำยงั ไงให้ชาวบา้ นเขาภูมใิ จในอาชพี อยา่ งเหน็ ภาพเปน็ จรงิ คำ� วา่ อาขา่ คอื ชอ่ื ชาตพิ นั ธข์ุ องเขา และ เกษตรกร เม่ือมาผนวกกับความต้องการของตลาด มันจึงเกิด อาม่า คอื แม่ ผ้ทู ่ีให้ทกุ สิง่ ทุกอย่างกบั เขา เปน็ ความแปลกใหม่ทมี่ มี ลู ค่าข้ึน อนั ทจี่ รงิ หมบู่ า้ นแมจ่ นั ใตป้ ลกู กาแฟสบิ กวา่ ปแี ลว้ จากการ ผมเร่ิมจากกาแฟ เพราะพ้ืนท่ีชุมชนผมปลูกกาแฟกัน แนะน�ำของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรท่ีสูงเชียงราย แต่เมื่อ อยแู่ ลว้ และตลาดกต็ อ้ งการ ทสี่ ำ� คญั คอื ผมจะไดท้ ำ� งานรว่ มกบั ลีได้เข้ามาคลุกคลีอย่างจริงจัง เขาพบปัญหาส�ำคัญ ๒ ข้อ พวกเขาด้วย เราจะได้เรียนรดู้ ้วยกนั แกไ้ ขปัญหาร่วมกัน มอง ๑ ชาวบา้ นขาดความรคู้ วามเขา้ ใจในกระบวนการผลติ กาแฟ ตรง ปญั หาเปน็ เพอ่ื น เปน็ หนงึ่ ในวธิ กี ารทเ่ี ราไมส่ ามารถหลกี เลย่ี งได้ มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 91

เราไมส่ ามารถมองจดุ เรม่ิ ตน้ และกระโดดไปประสบความสำ� เรจ็ นับแต่เร่ิมก่อต้ัง ธุรกิจกาแฟของลี ไม่ได้ไปได้ดีดังใจนึก โดยไม่ผ่านอุปสรรคไปได้หรอก เราต้องเรียนรู้ท่ีจะอยู่กับมัน ปัญหาด้านเงินทุน เป็นอุปสรรคใหญ่หลวง และปัญหาด้าน จัดการมันอย่างมีสติ ความอ่อนหัด ปัญหาเร่ืองจ�ำนวนร้านกาแฟมีมากไปในเชียงใหม่ ตอนแรกผมเรมิ่ เปดิ รา้ นโดยไมไ่ ดด้ เู รอ่ื งทำ� เลทต่ี ง้ั เพราะ ล้วนเป็นปัญหาประเดประดังมาให้กาแฟอาข่า อาม่า รวมทั้ง ต้องการเป็นเจ้าที่ขายส่งเมล็ดกาแฟ เปิดมาแล้วยอดขายไม่ได้ ร้านกาแฟ ผู้ผลิตกาแฟอีกมากหลายในเชียงใหม่ต้องขบคิด ตามเปา้ เลย ห่างไกลไปเยอะมาก เป็นเพราะเราไม่มีใหเ้ คา้ ชิม หาทางเอาชนะ ท�ำไมไม่ท�ำให้เค้าชิมเองเลย เราก็เลยเร่ิมซื้อเคร่ืองมาท�ำร้าน แต่จุดได้เปรียบของ อาข่า อาม่า คือ เขามีเบ้ืองหลังเป็น กาแฟ เป็นรายได้อีกทางหน่ึง เป็นหนทางท่ีท�ำให้เราได้เจอกับ ผู้ผลิตเม็ดกาแฟ ไม่ใช่พ่อค้าคนกลาง เขามีประสบการณ์มาก ผู้คนมากมาย ได้เรียนรู้ ปรบั ปรงุ จากลูกคา้ ก็มาเป็นเพ่อื นสนิท หลายในการท�ำงานองค์กรพัฒนา กาแฟของเขา เป็นกาแฟที่มี ช่วยเหลอื กนั ภาพลักษณ์ของชุมชน ถ้าเป็นหนังไทย กาแฟของเขาก็เป็นกาแฟ 92

พระเอก ไม่ใชก่ าแฟผูร้ า้ ย นอกจากน้ันเขา นานาชาต ิ ผลของการนด้ี มี าก ทนั ทที ขี่ า่ วแพรอ่ อกไป สอ่ื ตา่ งๆ ทง้ั โทรทศั น์ หนงั สอื พมิ พ์ ยังมีภาษาอังกฤษ มีสายสัมพันธ์เดิมๆ กับ นิตยสาร ต่างก็รับลูกต่อ เข้ามาช่วยเป็นกระบอกเสียง จนท�ำให้ลูกค้าสนใจเป็นวงกว้าง แหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ มีความรู้ ผ่านไป ๙ เดือนร้านกลับมาคึกคักอีกครั้ง สร้างเม็ดเงินให้อาข่า อ่ามา มีลมหายใจต่อ เรื่องช่องทางระหว่างประเทศอีกหลาก แต่ลีไม่หยุดแค่น้ัน เขาติดตามสถานการณ์ต่อไปจนพบความตื่นตัวในเรื่องการ หลาย ท่องเท่ียวชุมชน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเท่ียวเชิงเกษตร เขาพบกลุ่มสื่อ ลี ส่งกาแฟของเขาเข้าประกวดกับ ที่กระโดดรับลูกของภาครัฐในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เขาจัดทริปชื่อ “Coffee Journey” องค์กรระดับโลกที่ช่ือ “องค์กรกาแฟชนิด พานักท่องเที่ยวไปกินกาแฟถึงแหล่งปลูก เย่ียมชมทุกกระบวนการผลิต และเรียนรู้วิถี พิเศษแห่งยุโรป” ไม่เช่ือก็ต้องเช่ือว่า อาข่า ชีวิตของชนเผ่า กิจกรรมสุดสร้างสรรค์นี้นอกจากจะท�ำให้ส่ือในประเทศกระจายข่าว อ่ามา ได้รับเลือกเป็น ๑ ใน ๒๑ แบรนด์ ไปทั่วแล้ว สื่อต่างประเทศในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ มีหรือจะละเว้น จากทั่วโลกเพื่อใช้ในเวทีการชิมกาแฟ และอาข่า อาม่า ก็ก้าวข้ึนท�ำเนียบมีชื่อเสียงโด่งดัง รายได้ดีกว่าร้านกาแฟอ่ืนๆ ในย่านเดียวกันในเชียงใหม่ นอกจากน้นั การลกุ ข้นึ ทำ� งานหลากหลายของ อาขา่ อาม่า ยังท�ำให้ ชาวอาข่า รวมตลอดไปจนถึงชาวไทยภูเขากลุ่มอ่ืนๆ เริ่มมองเห็นแสงสว่าง ท่ีปลายอุโมงค์ เห็นช่องทางในการด�ำเนินชีวิตท่ีแจ่มชัด ในวันนี้ การผลิตกาแฟของ ชาวไทยภูเขา แม้กระท่ังการผลิตใบชา พ่อค้าคนกลางจากต่างถ่ินมีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง น้อยมาก ชาวไทยภูเขา ผลิตเอง ขายเอง ไปจนกระท่ังเปิดร้านชา กาแฟของตนเองได้ อย่างเต็มภาคภูมิ วนั น้ี ผมมโี อกาสเร่ิมทำ� ตามความฝัน ท่เี ร่มิ จากผมคนเดียว แลว้ คอ่ ยๆ ขยาย มาเป็นสองคน สามคน สคี่ น ขยายสาขาทีส่ อง ท่สี าม ทำ� ให้เราได้เรียนรวู้ ่า “กาแฟ เปน็ เพียงเคร่ืองมอื ทจ่ี ะพัฒนาชวี ติ พฒั นาอาชีพ และการศึกษา” วนั หนง่ึ ผมตอ้ งการ ให้บุคลากรของผม รวมทั้งชุมชนของผมยืนได้ด้วยตัวเองอย่างม่ันคง ดูแลตัวเองได้ ดแู ลครอบครวั ได้ เราอาจจะรเู้ ปา้ หมาย ของความฝันเรา แต่เราไม่รู้หรอกว่า ชีวิตเราจะสิ้นสุดเม่ือไหร่ แต่ถ้าเรา สร้างเมล็ดพันธุ์ท่ีเราคาดหวังไว้กับ นอ้ งๆ ของเรา วนั หนงึ่ เราอาจจะไมอ่ ยู่ แลว้ แตค่ วามฝันเราจะไมม่ ีวันตาย ลี อายุ จือปา กล่าวสรุป ตอนท้าย พร้อมกับประโยคประจ�ำตัว ของเขา “ผมเป็นคนท่ีโชคดีท่ีสุด และ ค ว า ม สุ ข ส ่ ว น ตั ว เ ป ็ น ค ว า ม สุ ข ท่ี ไม่ยั่งยืน ไม่มีใครอยากรู้ แต่ความสุข สว่ นรวม เป็นความสุขท่ีใครๆ ก็อยาก มีส่วนร่วมรู้เห็น และมีความยั่งยืน จ�ำกนั ไว้ ครบั ..” มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 93

นทิ ศั น์วัฒนธรรม เรื่อง/ภาพ : ศรีศิลป์ เอมเจรญิ หอศลิ ปเ์ อมเจริญ ร้งุ ทองแห่งงานศลิ ป์อันทรงพลงั บนผืนผ้าใบ ณ โค้งแม่น�้ำแม่กลอง บนเนื้อที่กว่า ๘ ไร่ เป็นที่ต้ังของหอศิลป์เอมเจริญ แหลง่ เรยี นรู้ทางวฒั นธรรมล�ำ้ ค่าแหง่ งานศลิ ป์ จงั หวัดกาญจนบุรี หอศลิ ปเ์ อมเจรญิ เปน็ เจตนารมณส์ งู สดุ ในชวี ติ ของอาจารย์ “ประเทอื ง เอมเจรญิ ” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ผู้อุทิศชีวิตให้กับงานจิตรกรรมจนเป็น ทปี่ ระจกั ษ์ ทา่ นไดร้ บั รางวัลมากมายทง้ั ในและตา่ งประเทศ อาทิ ปริญญาศลิ ปศาสตร ดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์ สาขาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ประกาศ เกียรติคณุ ดา้ นจติ รกรรม จากพิพิธภณั ฑ์ลาสเวกสั ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากน้ัน ท่านยังเป็นผู้ถ่ายทอดงานศิลปะให้แก่ผู้สนใจตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยไมห่ วงั สง่ิ ตอบแทน ทง้ั ยงั ไดเ้ ขยี นภาพเพอื่ การกศุ ลมากมายควบคไู่ ปกบั การทำ� งาน ศลิ ปะ   94

มกราคม - มนี าคม ๒๕๖๒ 95

ศิลปินผู้ยิ่งยง ผู้เช่ือในคุณงามความดีและเข้าใจปรัชญา การก่อต้ังหอศิลป์เอมเจริญ ชีวิต ได้ถ่ายทอดผลงานของท่านออกมาอย่างมีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว ด้วยปลายพู่กันท่ีพล้ิวไหว เฉียบคม สีสันเข้มสด ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ อาจารย์ประเทือง เอมเจริญ ทผี่ สมผสานกันอย่างลงตัว มคี วามหมายและทรงพลัง สะท้อน ได้ตอบรับการเชื้อเชิญเพ่ือไปวาดรูปที่รีสอร์ตชลพฤกษ์ ถึงจักรวาล ธรรมชาติ และชีวิต กลายมาเปน็ ผลงานชดุ ต่างๆ (เป็นรีสอร์ตส่วนตัว) ในเทศบาลต�ำบลส�ำรอง อ�ำเภอท่าม่วง อันมคี ุณค่ายิง่ อาทิ ชุดเผชญิ ความทกุ ข์ เรียนรู้จักรวาล ฯลฯ จงั หวดั กาญจนบรุ ี ดว้ ยคำ� บอกเล่าว่าทนี่ ส่ี งบเงียบและสวยงาม ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ที่ต้องการให้ศิลปะด�ำรงอยู่ เมอ่ื มาอยแู่ ลว้ อาจารยป์ ระเทอื งรสู้ กึ ประทบั ใจในความเงยี บสงบ สืบไป ท่านจึงต้องการสร้างสถานท่ีเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และ ความงามของทวิ ทัศน์ท่มี องเห็นได้ทง้ั ภูเขาและแม่นำ�้ อกี ท้ังยัง เผยแพรผ่ ลงานศลิ ปะทง้ั ของตนเองและของศลิ ปนิ ตา่ งๆ ผลงาน ช่ืนชอบในน�้ำใจของผู้คนชาวตลาดส�ำรอง จึงมีความใฝ่ฝัน ทุกช้ินท่ีจัดแสดงอยู่ภายในหอศิลป์แห่งน้ีล้วนมีคุณค่าและ ทอี่ ยากมที ดี่ นิ ผนื ตดิ รมิ แมน่ ำ้� เพอื่ จะสรา้ งสตดู โิ อเลก็ ๆ ไวส้ ำ� หรบั สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นใหม่ เป็นต้นทุนทาง วาดภาพ เพราะนอกจากชอบในสถานทแ่ี ล้ว การเดนิ ทางมาท่ี วฒั นธรรมอนั ลำ�้ คา่ เพอื่ สง่ ตอ่ ใหค้ นรนุ่ หลงั ไดส้ บื ทอดงานศลิ ปะ ต�ำบลส�ำรองน้ีก็ไม่ได้ไกลจนเกินไป ใช้เวลาเดินทางจาก อีกทั้งเป็นสถานที่ปลูกฝังรสนิยมทางศิลปะให้กับเด็กและ กรุงเทพฯ เพียงแค่สองชั่วโมง ประจวบเหมาะกับท่ีเวลานั้น เยาวชน รวมถึงประชาชนผู้สนใจได้เข้าชมและศึกษางาน ภรรยาเพ่ิงได้รับเงินมรดกจากการขายที่ดิน และชาวบ้าน ด้านศิลปะ โดยมีกิจกรรมมากมายให้สามารถเข้ามาเรียนรู้ ได้ทราบว่าอาจารย์ประเทืองอยากได้ท่ีดินเพ่ือสร้างสตูดิโอ การท�ำงานจิตรกรรมและงานหัตถกรรมอันหลากหลาย วาดภาพจึงแบ่งท่ีดินขายให้ นับว่าเป็นการซ้ือที่ดินครั้งท่ีหนึ่ง ท่ามกลางบรรยายกาศท้องทุ่งอันเงียบสงบ ริมแม่น้�ำแม่กลอง จากห้าคร้ัง (ที่ซื้อเพิ่มในภายหลัง) ที่ดินแปลงแรกนี้มีรูปร่าง อาทิ การระบายสเี บญจรงค์ การเพนต์ขวดแก้ว เพนต์เสอื้ ด้วย เป็นตัวแอล โดยมีจุดเด่นคือด้านหน้าติดกับแม่น้�ำแม่กลอง สีอะครลิ ิก งานดอกไมใ้ บตองพวงมาลยั งานจกั สาน การทอผ้า สามารถมองเหน็ อาทติ ยอ์ สั ดง โคง้ แมน่ ำ้� แมก่ ลองทรี่ บั กบั ทวิ เขา กะเหรย่ี งดว้ ยกเ่ี อว การปักผ้าไทยทรงด�ำบา้ นหมอสอ เป็นตน้ ไกลๆ สวยงามมาก 96

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ เมื่อไดท้ ด่ี ินแลว้ จึงเร่ิมสร้างสตูดโิ อ จะท�ำพิธีเปิดหอศิลป์เอมเจริญอย่างเป็นทางการ และเพื่อให้ วาดภาพหลังเล็กๆ ไว้สองหลังใกล้กัน หลังหน่ึงส�ำหรับตัว หอศลิ ปม์ พี นื้ ทแี่ ละดสู มบรู ณ์ จงึ ไดส้ รา้ งอาคารเพม่ิ สำ� หรบั ศลิ ปนิ อาจารย์ประเทือง และอกี หลังสำ� หรับลกู ศษิ ย์ จากนั้นความฝัน หรือผู้ท่ีท�ำงานศิลปะ ท่ีมีความสนใจหรือต้องการพ้ืนที่ส�ำหรับ ของศลิ ปนิ กเ็ รม่ิ ใหญข่ น้ึ คอื ตอ้ งการสรา้ งหอศลิ ปไ์ วเ้ ปน็ สถานที่ แสดงออก รวมท้ังสร้างอาคารไว้เป็นแกลเลอรีชอป (ภายหลัง เก็บและจัดแสดงผลงานศิลปะของตนเอง ที่ได้สร้างสรรค์ ถูกปรับเป็นสตูดิโอวาดรูปของบุตรสาวทั้งสอง คือ ศรีศิลป์ มาตลอดชีวิตซ่ึงมีจ�ำนวนค่อนข้างเยอะ และหลายช้ิน เอมเจรญิ และศุภฤดี มณจี ันทร)์ มีขนาดใหญ่มาก อีกท้ังยังเป็นผลงานช้ินส�ำคัญๆ เช่น ในการสร้างหอศิลป์อาจารย์ประเทืองได้ใช้ทุนของตัวเอง ภาพผลงานชื่อ ธรรม อธรรม เป็นผลงานส�ำคญั ทีส่ ะทอ้ นชีวติ ทงั้ หมด ทา่ นจงึ ตดั สนิ ใจประกาศขายงานในราคาเพยี งครงึ่ เดยี ว และการเมอื งในเหตุการณว์ ันมหาวปิ โยค ๑๔ ตลุ า ๒๕๑๖ ปีท่ี ภายในระยะเวลา ๑ เดือนเพ่ือรวบรวมให้ได้เงินก้อน ส�ำหรับ สรา้ งคือปี พ.ศ. ๒๕๑๗–๒๕๑๘ ขนาดของงาน ๑๕๐x๕๙๐ ซม. ซื้อที่ดินเพิ่มและเป็นค่าก่อสร้าง รวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายส�ำหรับ ภาพผลงานแกรนด์แคนยอน ขนาดของงาน ๑๕๐x๑๒๐๐ ซม. การดแู ลหอศลิ ป์ ภาพทะเลเดนมาร์ก ขนาดของงาน ๑๕๐x๕๐๐ ซม. เปน็ ต้น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มีพิธีเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติโดย ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้เริ่มสร้างอาคารหลังแรกแต่สร้างได้ กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม และพธิ เี ปดิ หอศลิ ป์ เพียงครึ่งเดียวก็ต้องหยุดเพราะไม่มีเงินท่ีจะท�ำต่อ อีกครึ่งปี เอมเจริญอย่างเป็นทางการ หอศิลป์เอมเจริญต้ังอยู่บนพื้นที่ ตอ่ มาจงึ ไดส้ รา้ งตอ่ จนเสรจ็ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ อาจารยป์ ระเทอื ง ประมาณ ๘ ไร่ มอี าคาร ๔ หลงั ประกอบดว้ ย ไดร้ บั การเชดิ ชเู กยี รตใิ หเ้ ปน็ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ และมคี วามตง้ั ใจท่ี ภาพ : ธรรม อธรรม พ.ศ. ๒๕๑๗–๒๕๑๘ มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๒ 97

ภาพ : ธรรม พ.ศ. ๒๕๑๓ ภาพ : พระพุทธเจ้าบ�ำเพญ็ ทกุ รกริ ยิ า พ.ศ. ๒๕๑๙ ภาพ : สมาธิ พ.ศ. ๒๕๒๖ • อาคารวงกลม เปน็ อาคารส�ำหรบั จัดแสดงผลงานถาวร ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ อาจารย์ประเทืองได้อุทิศตัว เป็นผลงานจิตรกรรมสีน�้ำมันและผลงานวาดเส้น ของอาจารย์ ให้กับการศึกษาธรรมชาติ เร่ิมต้นการฝึกฝนด้วยการเพ่งมอง ประเทือง เอมเจริญ โดยผลงานท่ีติดตั้งได้ถูกเรียงเป็น ๗ ยุค ดวงอาทิตย์ตั้งแต่ยามรุ่งอรุณเป็นเวลาสามถึงสี่ชั่วโมง ตง้ั แตท่ เ่ี รม่ิ สรา้ งสรรคผ์ ลงานคอื ปี พ.ศ. ๒๕๐๖–๒๕๕๐ มผี ลงาน จึงสามารถเพ่งมองดวงอาทิตย์ได้แม้เวลาเท่ียงวัน ในการ ช้ินส�ำคัญท่ีจะติดต้ังถาวร ได้แก่ภาพธรรม ในชุดจักรวาล เพ่งมองดวงอาทิตย์ท�ำให้ได้แรงบันดาลใจในเร่ืองสีสัน พ.ศ. ๒๕๑๓ ภาพธรรม อธรรม พ.ศ. ๒๕๑๗–๒๕๑๘ แสงสีรุ้ง แสงเงินแสงทองสีของดอกไม้ ใบไม้ สีของแร่ธาตุ ภาพพระพทุ ธเจา้ บำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า พ.ศ. ๒๕๑๙ และภาพสมาธิ ในดิน ฯลฯ สีทุกสีมีความสัมพันธ์กันอย่างมีเอกภาพ และ พ.ศ. ๒๕๒๖ ซง่ึ ภาพทงั้ ๔ ชน้ิ นอี้ าจารยป์ ระเทอื งมคี วามประสงค์ เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงาน ภาพธรรมเป็นผลงาน ท่ีจะไม่จ�ำหน่าย ในชุดจักรวาล ภาพมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและส่งอิทธิพล • อาคารสามเหล่ียม เป็นอาคารส�ำหรับจัดแสดงผลงาน ต่อศิลปินรุ่นหลังเป็นอย่างมาก เสน่ห์ของงานชิ้นนี้อยู่ท่ีการใช้ หมุนเวียนส�ำหรับศิลปินที่สนใจ ในปัจจุบันแสดงผลงานของ พู่กันขนาดเล็ก บรรจงเขียนเป็นเส้นเล็กๆ ท�ำให้ภาพมี อาจารย์บญุ ย่งิ เอมเจรญิ ศรศี ลิ ป์ เอมเจรญิ ศภุ ฤดี มณจี นั ทร์ ความละเอียด ละเมยี ดละไม • อาคารรมิ นำ�้ ซ่ึงวัตถปุ ระสงค์แรกคือเป็นแกลเลอรชี อป ด้านหลังและดาดฟ้าของอาคารเป็นจุดชมวิว จะเห็นภูมิทัศน์ที่ สวยงามของแม่น�้ำแม่กลอง ปัจจุบันด้านในเป็นสตูดิโอส�ำหรับ วาดภาพ • บ้านสีด�ำ แต่เดิมเป็นสตูดิโอวาดภาพของอาจารย์ ประเทือง เอมเจริญ ภายหลังเปลยี่ นเป็นบ้านพกั จึงไม่อนญุ าต ให้เข้าชม • ประติมากรรมเมล็ดข้าวสีรุ้ง เป็นประติมากรรมท่ี ออกแบบโดยอาจารย์ประเทือง เอมเจริญ ส่ือความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความส�ำคัญของเมล็ดข้าวที่หล่อเล้ียง มวลมนุษยชาติ ใช้สีรุ้งเพ่ือแทนสีสันจากสายรุ้งและสีของ ธรรมชาติ 98


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook