Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน อานาปานสติ

พุทธวจน อานาปานสติ

Description: พุทธวจน อานาปานสติ

Search

Read the Text Version

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : อานาปานสติ ภกิ ษุทัง้ หลาย !   ภิกษผุ กู้ ระทำ�ใหม้ ากซง่ึ อานาปานสติ ซึ่งประกอบด้วยธรรม  ๕  ประการเหล่านี้แล ยอ่ มแทงตลอดอกุปปธรรม ได้ต่อกาลไม่นานเทียว. 129

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : อานาปานสติ นวิ รณเ์ ปน็ เครือ่ งท�ำกระแสจติ 28 ไม่ให้รวมก�ำลงั -บาลี ปญฺจก. อ.ํ ๒๒/๗๒/๕๑. ภิกษทุ งั้ หลาย !   นวิ รณเ์ ปน็ เครอ่ื งกางกน้ั ๕ อยา่ ง เหล่าน้ี ทว่ มทบั จติ แล้วทำ�ปัญญาใหถ้ อยกำ�ลงั มีอยู.่ ๕ อยา่ ง อยา่ งไรเล่า ? ๕ อย่าง คอื ๑.  นิวรณ์เคร่อื งกางก้ัน คือ กามฉันทะ ครอบง�ำ จติ แล้ว ท�ำ ปญั ญาใหถ้ อยกำ�ลัง ๒.  นวิ รณ์เครอ่ื งกางกั้น คอื พยาบาท ครอบงำ� จิตแลว้ ทำ�ปญั ญาใหถ้ อยกำ�ลงั ๓.  นิวรณเ์ ครอื่ งกางก้ัน คอื ถีนมทิ ธะ (ความ งว่ งเหงาซึมเซา) ครอบงำ�จติ แลว้ ทำ�ปญั ญาให้ถอยก�ำ ลงั ๔.  นิวรณ์เคร่ืองกางก้นั คอื อทุ ธัจจกกุ กุจจะ (ความฟงุ้ ซา่ นและร�ำ คาญ) ครอบง�ำ จติ แลว้ ท�ำ ปญั ญาใหถ้ อย ก�ำ ลงั ๕.  นิวรณ์เครื่องกางกนั้ คอื วจิ ิกจิ ฉา (ความลังเล สงสัย) ครอบงำ�จิตแลว้ ทำ�ปัญญาใหถ้ อยกำ�ลงั . 130

เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : อานาปานสติ ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุที่ไม่ละนิวรณ์อันเป็น เครอ่ื งกางกน้ั จติ ๕ อยา่ งเหลา่ นแ้ี ลว้ จกั รซู้ ง่ึ ประโยชนต์ น หรอื ประโยชน์ผู้อ่นื หรอื ประโยชน์ทัง้ สองฝา่ ย หรอื จัก กระทำ�ให้แจ้งซ่ึงญาณทัสสนะอันวิเศษอันควรแก่ความ เปน็ อรยิ ะ ยิ่งกว่าธรรมดาแหง่ มนษุ ย์ ด้วยปญั ญาอัน ทพุ พลภาพ ไรก้ ำ�ลงั ดงั น้ี นัน่ ไม่เป็นฐานะทจ่ี ะมีได.้ ภิกษุท้ังหลาย !   เปรียบเหมือนแม่น้ำ�ที่ไหลลง จากภูเขา ไหลไปส่ทู ี่ไกล มกี ระแสเชี่ยว พัดพาส่งิ ต่างๆ ไปได้ มบี รุ ษุ มาเปดิ ชอ่ งทง้ั หลายทเ่ี ขาขดุ ขน้ึ ดว้ ยเครอ่ื งไถ ทง้ั สองฝั่งแม่น�ำ้ น้นั เมื่อเป็นเช่นนี้ กระแสกลางแมน่ ้�ำ น้นั ก็ซัดสา่ ย ไหลผดิ ทาง ไมไ่ หลไปส่ทู ่ไี กล ไมม่ กี ระแสเช่ยี ว ไม่พดั ส่ิงตา่ งๆ ไปได้ น้ีฉันใด ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ขอ้ นก้ี ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั ภกิ ษทุ ่ี ไมล่ ะนวิ รณอ์ นั เปน็ เครอ่ื งกางกน้ั จติ ๕ อยา่ งเหลา่ นแ้ี ลว้ จกั รซู้ ง่ึ ประโยชนต์ น หรอื ประโยชนผ์ อู้ น่ื หรอื ประโยชนท์ ง้ั สองฝา่ ย หรอื จกั กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ ญาณทสั สนะอนั วเิ ศษ อนั ควร แกค่ วามเปน็ อรยิ ะ ยง่ิ กวา่ ธรรมดาแหง่ มนษุ ย์ ดว้ ยปญั ญา อนั ทพุ พลภาพไรก้ �ำ ลงั ดงั น้ี นน่ั ไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด.้ 131

พทุ ธวจน - หมวดธรรม [ต่อไปน้ี ได้ตรัสโดยปฏิปักขนัย (นัยตรงข้าม) คือ ภกิ ษละนวิ รณแ์ ลว้ ท�ำญาณวเิ ศษใหแ้ จง้ ไดด้ ว้ ยปญั ญา อนั มกี �ำลงั เหมอื นแมน่ ำ้� ทเ่ี ขาอดุ รรู วั่ ทงั้ สองฝง่ั เสยี แลว้ มกี ระแสเชยี่ วแรงมาก ฉะนน้ั ] 132

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : อานาปานสติ นวิ รณ์–ขา้ ศึกแห่งสมาธิ 29 -บาลี ส.ี ที. ๙/๓๐๖-๓๐๗/๓๗๘-๓๗๙. วาเสฏฐะ !   เปรียบเหมือนแม่นำ้�อจริ วดนี ้ี มนี �ำ้ เต็มเปี่ยม  กายืนดื่มได้.  คร้ังนั้นมีบุรุษคนหนึ่งมาถึงเข้า เขามีประโยชน์ท่ีฝั่งโน้น  แสวงหาฝั่งโน้น  มีการไปสู่ฝั่ง โน้นประสงค์จะข้ามไปสู่ฝ่ังโน้น  แต่เขานอนคลุมศีรษะ ของตนอยทู่ รี่ ิมฝ่งั น้.ี วาเสฏฐะ !   ท่านจะสำ�คัญความข้อ น้ีว่าอย่างไร บรุ ุษน้ันจะไปจากฝั่งใน สฝู่ ัง่ นอกแห่งแมน่ ้�ำ อจริ วดไี ดห้ รอื หนอ ? “ไมไ่ ดแ้ น่ ท่านพระโคดม !” วาเสฏฐะ !   ขอ้ น้ีก็ฉนั น้นั เหมอื นกัน นิวรณ์ ๕ อยา่ ง เหล่านี้ เรียกกันในอรยิ วินยั ว่า “เครอ่ื งปดิ ” บา้ ง วา่ “เครอ่ื งกน้ั ” บา้ ง วา่ “เครอ่ื งคลมุ ” บา้ ง ว่า “เคร่ืองร้อยรัด” บ้าง. ๕ อย่าง อยา่ งไรเลา่ ? ๕ อย่างคือ กามฉันทนวิ รณ์ พย๎ าปาทนิวรณ์ ถนี มทิ ธนวิ รณ์ อุทธจั จกกุ กุจจนิวรณ์ วิจิกจิ ฉานิวรณ.์ 133

พทุ ธวจน - หมวดธรรม วาเสฏฐะ !   นิวรณ์ ๕ อยา่ ง เหลา่ น้แี ล ซ่ึงเรียก กนั ในอรยิ วินัย ว่า “เครอ่ื งปิด” บ้าง วา่ “เครือ่ งก้ัน” บา้ ง วา่ “เคร่อื งคลุม” บ้าง วา่ “เครอ่ื งร้อยรัด” บ้าง. วาเสฏฐะ !   พราหมณไ์ ตรเพททง้ั หลาย ถกู นวิ รณ์ ๕ อยา่ งเหลา่ นี้ ปิดแลว้ ก้ันแลว้ คลุมแล้ว ร้อยรดั แล้ว. วาเสฏฐะ !   พราหมณไ์ ตรเพทเหลา่ นน้ั ละธรรมะ ทท่ี �ำ ความเปน็ พราหมณเ์ สยี สมาทานธรรมะทไ่ี มท่ �ำ ความ เปน็ พราหมณ์ ด�ำ รงชวี ติ ใหเ้ ปน็ ไปอยู่ อนั นวิ รณท์ ง้ั ๕ อยา่ ง ปิดแล้ว กนั้ แลว้ คลมุ แลว้ รอ้ ยรัดแลว้ จักเปน็ ผเู้ ขา้ ถึง ความเปน็ สหายแห่งพรหม ภายหลงั แต่การตายเพราะ การทำ�ลายแห่งกาย ดังน้นี ้ัน นั่นไม่เป็นฐานะทจ่ี ะเปน็ ไปได้. 134

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : อานาปานสติ ขอ้ ควรระวงั ในการเจรญิ สตปิ ฏั ฐานสี่ 30 -บาลี อุปริ. ม. ๑๔/๒๖๘-๒๗๐/๓๙๖-๔๐๑. อัคคิเวสนะ !   ...ครั้นภิกษุประกอบพร้อมด้วย สตสิ ัมปชัญญะแล้ว ตถาคตยอ่ มแนะน�ำเธอใหย้ ่ิงข้ึนไปว่า “มาเถดิ ภกิ ษ ุ!  เธอจงเสพเสนาสนะอนั สงดั คอื ปา่ ละเมาะ โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ทอ้ งถ�ำ้ ป่าช้า ปา่ ชฏั ท่แี จง้ หรือ ลอมฟางเถดิ ” ดังน้ี. ภิกษุนนั้ ยอ่ มเสพเสนาสนะอันสงัด ครน้ั กา้ วกลบั จากบณิ ฑบาตในกาลเปน็ ปจั ฉาภตั นง่ั คบู้ ลั ลงั ก์ ตง้ั กายตรง ด�ำรงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอยอ่ มละอภชิ ฌาในโลก มีจิตปราศจากอภิชฌา  คอยช�ำระจิตจากอภิชฌาอยู่ ละพยาบาท มจี ติ ปราศจากพยาบาท เปน็ ผกู้ รณุ ามจี ติ หวงั ความเกอื้ กลู ในสตั วท์ งั้ หลาย คอยช�ำระจติ จากพยาบาทอยู่ ละถีนมิทธะ  มีจิตปราศจากถีนมิทธะ  มุ่งอยู่แต่ความ สวา่ งในใจ มสี ติสมั ปชัญญะ คอยช�ำระจติ จากถนี มิทธะอยู่ ละอุทธัจจกุกกุจจะ  ไม่ฟุ้งซ่าน  มีจิตสงบอยู่ในภายใน คอยช�ำระจิตจากอทุ ธัจจกุกกุจจะอยู่ ละวิจิกจิ ฉา ข้ามลว่ ง วิจกิ จิ ฉาเสียได้ ไม่ต้องกลา่ วถามวา่ “น่ีอะไร นอ่ี ยา่ งไร” ในกุศลธรรมทั้งหลาย คอยช�ำระจิตจากวิจิกจิ ฉาอยู่. 135

พุทธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษนุ น้ั ครัน้ ละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเคร่ือง เศร้าหมองจิต  ทำ�ปัญญาให้ถอยกำ�ลังเหล่าน้ีได้แล้ว เธอเป็นผ้มู ปี กติ เหน็ กายในกายอยู่ ...มปี กติ เห็นเวทนา ในเวทนาทง้ั หลายอยู่ ...มีปกติ เห็นจติ ในจิตอยู่ ...มปี กติ เหน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลายอยู่ มคี วามเพยี รเผากิเลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ตถาคต ยอ่ มแนะนำ�เธอน้ันให้ยงิ่ ข้ึนไปวา่ “มาเถดิ ภกิ ษ ุ!  เธอจงเปน็ ผมู้ ปี กติ เหน็ กายในกาย อยู่ แตอ่ ยา่ ตรกึ ซง่ึ วติ กอนั เขา้ ไปประกอบอยกู่ บั กายเลย (มา จ กายูปสญหิตํ วิตกกฺ ํ วติ กเฺ กส)ิ มาเถดิ ภกิ ษ ุ !   เธอจงเปน็ ผมู้ ปี กติ เหน็ เวทนาใน เวทนาทง้ั หลายอยู่ แตอ่ ยา่ ตรกึ ซง่ึ วติ กอนั เขา้ ไปประกอบ อยูก่ ับเวทนาเลย มาเถดิ ภิกษุ !   เธอจงเปน็ ผมู้ ปี กติ เหน็ จติ ในจติ ทงั้ หลายอยู่ แตอ่ ยา่ ตรกึ ซง่ึ วติ กอนั เขา้ ไปประกอบอยกู่ บั จิตเลย มาเถิด ภิกษ ุ !   เธอจงเปน็ ผมู้ ปี กติ เห็นธรรมใน ธรรมทง้ั หลายอยู่ แตอ่ ยา่ ตรกึ ซง่ึ วติ กอนั เขา้ ไปประกอบ อยู่กบั ธรรมเลย” ดังนี.้ 136

เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : อานาปานสติ ภิกษุนั้น  เพราะเข้าไปสงบระงับเสียได้ซ่ึงวิตก และวิจาร  จึงเข้าถึงทุติยฌาน  อันเป็นเครื่องผ่องใส แห่งใจในภายใน  น�ำให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร  มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ แลว้ แลอย่.ู (...แลว้ ไดต้ รัสถึง ตตยิ ฌาน ...จตตุ ถฌาน ...ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ...จุตูปปาตญาณ ...อาสวกั ขยญาณ จนกระทง่ั วิมตุ ตญิ าณ ตามหลกั ที่มี กล่าวอยูใ่ นบาลที ัว่ ๆ ไปท่กี ล่าวถงึ เรอ่ื งน้)ี 137

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ 138

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : อานาปานสติ เหตปุ จั จัยทพ่ี ระศาสนาจะตง้ั อยู่นาน 31 ภายหลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๓๒/๗๗๘-๗๗๙. “ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ  !   อะไรเปน็ เหตุอะไรเปน็ ปจั จยั ทเ่ี มื่อพระตถาคตปรินพิ พานแลว้ พระสทั ธรรมจะไมต่ ้ังอยนู่ าน ? ข้าแตพ่ ระโคดมผูเ้ จริญ !   อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจยั ท่เี มอ่ื พระตถาคตปรนิ พิ พานแลว้ พระสทั ธรรมจะตง้ั อยนู่ าน พระเจา้ ขา้ !”. พราหมณ์ !   เพราะไม่มีการทำ�ให้เจริญ  เพราะ ไมม่ กี ารกระทำ�ใหม้ ากซ่ึงสตปิ ฏั ฐานทง้ั สี่ ในเมอื่ ตถาคต ปรินิพพานแลว้ สทั ธรรมย่อมไมต่ ง้ั อยนู่ าน. แต่พราหมณ์เอ๋ย !   เพราะมีการกระทำ�ให้เจริญ มีการกระท�ำ ให้มาก ซงึ่ สติปฏั ฐานท้งั ส่ี ในเมอ่ื ตถาคต ปรินพิ พานแล้ว สทั ธรรมย่อมตง้ั อย่นู าน. สตปิ ัฏฐานส่ี อย่างไรเล่า ? พราหมณ์ !   ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เปน็ ผมู้ ปี กตเิ หน็ กาย ในกายอยูเ่ ป็นประจำ� มคี วามเพียรเผากเิ ลส มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได้ 139

พุทธวจน - หมวดธรรม เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเผากเิ ลส มสี มั ปชัญญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกออกเสยี ได้ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผา กเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออก เสยี ได้ เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสัมปชญั ญะ มีสติ น�ำ อภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ พราหมณ์ !   เพราะไม่มีการท�ำให้เจริญ  เพราะ ไมม่ กี ารกระท�ำใหม้ ากซง่ึ สตปิ ฏั ฐานทงั้ สเี่ หลา่ นแ้ี ล  ในเมอ่ื ตถาคตปรินิพพานแล้ว  สัทธรรมย่อมไม่ต้ังอยู่นาน. แตเ่ พราะมกี ารกระท�ำใหเ้ จรญิ มกี ารกระท�ำใหม้ าก ซึ่ง สติปัฏฐานท้ังสี่เหล่านี้แล  ในเมื่อตถาคตปรินิพพาน แล้ว สัทธรรมย่อมต้งั อยู่นาน ดังน.้ี 140

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : อานาปานสติ อานสิ งส์แหง่ กายคตาสติ 32 -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๕๕-๖๐/๒๒๕-๒๔๖. ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสตอิ นั ภกิ ษรุ ปู ใดรปู หนง่ึ เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ กศุ ลธรรมอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ซง่ึ เปน็ ไปในสว่ นวชิ ชา ยอ่ มหยง่ั ลงในภายในของภกิ ษนุ น้ั เปรยี บเหมอื นมหาสมทุ รอนั ผใู้ ดผหู้ นง่ึ ถกู ตอ้ งดว้ ยใจแลว้ แมน่ �ำ้ นอ้ ยสายใดสายหนง่ึ ซง่ึ ไหลไปสสู่ มทุ ร ยอ่ มหยง่ั ลงใน ภายในของผนู้ น้ั ฉะนน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแลว้ เปน็ ไปเพ่อื ความสังเวชมาก เป็นไป เพอ่ื ประโยชนม์ าก เปน็ ไปเพอ่ื ความเกษมจากโยคะมาก เปน็ ไปเพอ่ื สตแิ ละสมั ปชญั ญะ เปน็ ไปเพอ่ื ไดญ้ าณทสั สนะ เป็นไปเพ่อื อยูเ่ ปน็ สุขในปัจจุบนั เป็นไปเพอ่ื ท�ำ ใหแ้ จง้ ซึ่งผล คือวชิ ชาและวมิ ตุ ติ. ธรรมขอ้ หน่ึง คืออะไร คอื กายคตาสติ. ภิกษุทั้งหลาย !   ธรรมข้อหน่ึงนี้แล  อันบุคคล อบรมแลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความ 141

พุทธวจน - หมวดธรรม สังเวชมาก ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มาก ย่อมเป็นไป เพื่อความเกษมจากโยคะมาก  ย่อมเป็นไปเพ่ือสติและ สัมปชัญญะ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ไดญ้ าณทัสสนะ ย่อมเปน็ ไป เพ่ืออยเู่ ป็นสุขในปัจจบุ นั ย่อมเป็นไปเพือ่ ทำ�ใหแ้ จ้งซึง่ ผล คือ วิชชาและวิมุตติ ภิกษุทัง้ หลาย !  ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ แมก้ ายกส็ งบ แมจ้ ติ กส็ งบ แมว้ ติ กวจิ าร ก็สงบ  ธรรมที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชาแม้ทั้งสิ้นก็ถึง ความเจรญิ บรบิ รู ณ.์ ธรรมข้อหน่งึ คืออะไร คอื กายคตาสติ. ภิกษุท้ังหลาย !   ธรรมข้อหน่ึงนี้แล  อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ แมก้ ายกส็ งบ แมจ้ ติ กส็ งบ แม้วิตกวิจารก็สงบ  ธรรมที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา แม้ท้ังสนิ้ ก็ถงึ ความเจริญบริบูรณ์ ภิกษุท้ังหลาย !   ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อกศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเ่ กดิ ยอ่ มไมเ่ กดิ ขน้ึ ไดเ้ ลย และอกศุ ลธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มละเสยี ได.้ ธรรมขอ้ หนง่ึ คืออะไร คอื กายคตาสติ. 142

เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ : อานาปานสติ ภิกษุท้ังหลาย !   ธรรมข้อหน่ึงน้ีแล  อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อกศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเ่ กดิ ยอ่ มไม่ เกดิ ขน้ึ ไดเ้ ลย และอกศุ ลธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มละเสยี ได้ ภิกษุทัง้ หลาย !   ธรรมขอ้ หนงึ่ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ กุศลธรรมที่ยงั ไม่เกดิ ย่อมเกิดขึ้น และกศุ ลธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ความเจรญิ ไพบูลย์ยงิ่ . ธรรมข้อหนึ่ง คืออะไร คอื กายคตาสติ. ภิกษุทั้งหลาย !   ธรรมข้อหน่ึงน้ีแล  อันบุคคล เจรญิ แล้ว กระท�ำ ใหม้ ากแล้ว กศุ ลธรรมทยี่ ังไม่เกิด ย่อม เกิดข้ึน  และกุศลธรรมที่เกิดข้ึนแล้ว  ย่อมเป็นไปเพ่ือ ความเจริญไพบูลย์ย่งิ ภกิ ษุท้ังหลาย !   ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มละอวชิ ชาเสยี ได้ วชิ ชายอ่ มเกดิ ขน้ึ ย่อมละอัสม๎ มิ านะเสยี ได้ อนุสยั ยอ่ มถงึ ความเพิกถอน ย่อมละสงั โยชน์เสียได้. ธรรมขอ้ หนง่ึ คอื อะไร คือ กายคตาสติ. 143

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   ธรรมข้อหนึ่งน้ีแล  อันบุคคล เจริญแล้ว  กระทำ�ให้มากแล้ว  ย่อมละอวิชชาเสียได้ วิชชายอ่ มเกดิ ขน้ึ ยอ่ มละอัสม๎ มิ านะเสยี ได้ อนสุ ัยย่อมถงึ ความเพิกถอน ย่อมละสงั โยชน์เสยี ได้ ภิกษทุ ้ังหลาย !   ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพ่ือความแตกฉานแหง่ ปญั ญา ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื อนุปาทาปรินิพพาน. ธรรมขอ้ หน่งึ คืออะไร คือ กายคตาสติ. ภิกษุท้ังหลาย !   ธรรมข้อหน่ึงน้ีแล  อันบุคคล เจริญแล้ว  กระทำ�ให้มากแล้ว  ย่อมเป็นไปเพื่อความ แตกฉานแห่งปัญญา ย่อมเป็นไปเพือ่ อนุปาทาปรินิพพาน ภกิ ษุทงั้ หลาย !   ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ใหม้ ากแล้ว ย่อมมีการแทงตลอดธาตมุ ากหลาย ย่อมมกี ารแทงตลอดธาตตุ ่างๆ ย่อมมีความแตกฉาน ในธาตุมากหลาย. ธรรมขอ้ หนึ่ง คอื อะไร คอื กายคตาสต.ิ ภิกษุทั้งหลาย !   ธรรมข้อหน่ึงน้ีแล  อันบุคคล เจริญแล้ว  กระทำ�ให้มากแล้ว  ย่อมมีการแทงตลอดธาตุ มากหลาย  ยอ่ มมกี ารแทงตลอดธาตตุ า่ งๆ ยอ่ มมคี วาม แตกฉานในธาตมุ ากหลาย 144

เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : อานาปานสติ ภิกษุทัง้ หลาย !   ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ท�ำ โสดาปตั ตผิ ลใหแ้ จง้ ย่อมเปน็ ไปเพอื่ ท�ำ สกทาคามผิ ลใหแ้ จ้ง ย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ท�ำ อนาคามผิ ลใหแ้ จง้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ท�ำ อรหตั ตผลใหแ้ จง้ . ธรรมข้อหนึ่ง คอื อะไร คอื กายคตาสต.ิ ภิกษุทั้งหลาย !   ธรรมข้อหนึ่งนี้แล  อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ท�ำโสดาปตั ตผิ ล ให้แจ้ง  ย่อมเป็นไปเพื่อท�ำสกทาคามิผลให้แจ้ง  ย่อม เป็นไปเพ่ือท�ำอนาคามิผลให้แจ้ง  ย่อมเป็นไปเพ่ือท�ำ อรหตั ตผลใหแ้ จง้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ธรรมขอ้ หนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ใหม้ ากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา (ปญฺาปฏิลาภาย) ย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ความเจริญแห่งปญั ญา (ปญฺาวุฑฒฺ ิยา) ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความไพบลู ยแ์ หง่ ปญั ญา (ปญฺ าเวปลุ ลฺ าย) ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ความเป็นผูม้ ปี ญั ญาใหญ่ (มหาปญฺ ตาย) ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเปน็ ผมู้ ปี ญั ญาแนน่ หนา(ปถุ ปุ ญฺ ตาย) ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเปน็ ผมู้ ปี ญั ญาไพบลู ย์ (วปิ ลุ ปญฺ ตาย) ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเปน็ ผมู้ ปี ญั ญาลกึ ซง้ึ (คมภฺ รี ปญฺ ตาย) 145

พุทธวจน - หมวดธรรม ย่อมเป็นไปเพ่ือความเป็นผู้มีปัญญาสามารถยิ่ง (อสมตฺถปญฺตาย) ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน (ภรู ปิ ญฺ ตาย) ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเปน็ ผมู้ ปี ญั ญามาก (ปญฺ าพาหลุ ลฺ าย) ยอ่ มเป็นไปเพื่อความเป็นผมู้ ปี ัญญาเร็ว (สฆี ปญฺตาย) ย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ความเป็นผูม้ ีปญั ญาเบา (ลหุปญฺตาย) ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเปน็ ผมู้ ปี ญั ญารา่ เรงิ (หาสปญฺ ตาย) ย่อมเปน็ ไปเพ่อื ความเป็นผมู้ ีปัญญาไว (ชวนปญฺตาย) ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อความเปน็ ผมู้ ปี ญั ญาคม (ตกิ ฺขปญฺตาย) ย่ อ ม เ ป็ น ไ ป เ พ่ือ ค ว า ม เ ป็ น ผู้มี ปั ญ ญ า ชำ � แ ร ก กิ เ ล ส (นิพเฺ พธิกปญฺ ตาย). ธรรมขอ้ หนง่ึ คืออะไร คอื กายคตาสติ. ภิกษุท้ังหลาย !   ธรรมข้อหนึ่งนี้แล  อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อไดป้ ัญญา ฯลฯ ย่อมเปน็ ไปเพือ่ ความเป็นผมู้ ีปญั ญาชำ�แรกกิเลส ภกิ ษทุ ้งั หลาย !  ชนเหลา่ ใด ไมบ่ รโิ ภคกายคตาสติ ชนเหล่านัน้ ช่ือว่ายอ่ มไม่บริโภคอมตะ. 146

เปิดธรรมที่ถูกปดิ : อานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย !  ชนเหลา่ ใด บรโิ ภคกายคตาสติ ชนเหลา่ นั้นชอ่ื ว่ายอ่ มบริโภคอมตะ ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไมบ่ รโิ ภคแลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ไมบ่ รโิ ภคแลว้ . ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด บริโภคแลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหล่าน้ันบรโิ ภคแลว้ ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติของชนเหล่าใด เสอื่ มแล้ว อมตะของชนเหล่านน้ั ช่ือวา่ เส่อื มแลว้ . ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติของชนเหล่าใด ไมเ่ สือ่ มแล้ว อมตะของชนเหล่านน้ั ช่อื วา่ ไมเ่ สื่อมแล้ว ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด เบอ่ื แลว้ อมตะช่อื ว่าอันชนเหลา่ นัน้ เบ่ือแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ชอบใจแลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหล่านน้ั ชอบใจแลว้ ภิกษุท้ังหลาย !   ชนเหลา่ ใดประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านน้ั ชอ่ื วา่ ประมาทอมตะ. ภิกษุทั้งหลาย !   ชนเหลา่ ใดไมป่ ระมาทกายคตาสติ ชนเหล่านัน้ ช่อื วา่ ไม่ประมาทอมตะ 147

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด หลงลมื อมตะชอ่ื วา่ อันชนเหล่านน้ั หลงลมื . ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่หลงลืม อมตะชือ่ ว่าอันชนเหล่านน้ั ไมห่ ลงลืม ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไมส่ อ้ งเสพแลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ไมส่ อ้ งเสพแลว้ . ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด สอ้ งเสพแล้ว อมตะชอื่ วา่ อันชนเหล่านัน้ สอ้ งเสพแลว้ ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไมเ่ จรญิ แล้ว อมตะช่อื วา่ อนั ชนเหล่าน้นั ไม่เจริญแล้ว ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด เจริญแล้ว อมตะชอื่ ว่าอันชนเหลา่ นนั้ เจรญิ แลว้ ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไมท่ �ำ ใหม้ ากแลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ไมท่ �ำ ใหม้ ากแลว้ ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง  อมตะช่ือว่าอันชนเหล่านั้นไม่รู้ ด้วยปญั ญาอันยิ่ง 148

เปิดธรรมที่ถูกปิด : อานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นรู้ด้วย ปัญญาอันยิ่ง ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไมก่ �ำ หนดรแู้ ลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ไมก่ �ำ หนดรแู้ ลว้ ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ก�ำ หนดรู้แล้ว อมตะชื่อวา่ อันชนเหลา่ นัน้ ก�ำ หนดรแู้ ลว้ ภิกษุท้ังหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไมท่ �ำ ใหแ้ จง้ แลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ไมท่ �ำ ใหแ้ จง้ แลว้ ภิกษุทั้งหลาย !   กายคตาสติอันชนเหล่าใด ท�ำ ใหแ้ จง้ แลว้   อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ท�ำ ใหแ้ จง้ แลว้ ดงั น.้ี 149



ขอนอบนอ้ มแด่ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพทุ ธะ พระองค์นน้ั ด้วยเศยี รเกลา้ (สาวกตถาคต) คณะงานธมั มะ วดั นาปา พง (กลมุ่ อาสาสมคั รพุทธวจน-หมวดธรรม)

มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ์ มูลนิธิแห่งมหาชนชาวพทุ ธ ผซู้ งึ่ ชดั เจน และมั่นคงในพุทธวจน เรม่ิ จากชาวพทุ ธกลมุ่ เลก็ ๆ กลมุ่ หนง่ึ ไดม้ โี อกาสมาฟงั ธรรมบรรยายจาก ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล ทเี่ นน้ การนา� พทุ ธวจน (ธรรมวนิ ยั จากพทุ ธโอษฐ์ ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงยนื ยนั วา่ ทรงตรสั ไวด้ แี ลว้ บรสิ ทุ ธบิ์ รบิ รู ณส์ นิ้ เชงิ ทง้ั เนอื้ ความและ พยญั ชนะ) มาใชใ้ นการถา่ ยทอดบอกสอน ซงึ่ เปน็ รปู แบบการแสดงธรรมทต่ี รงตาม พุทธบญั ญตั ิตามท่ี ทรงรบั ส่งั แกพ่ ระอรหันต์ ๖๐ รปู แรกที่ปาอสิ ิปตนมฤคทายวัน ในการประกาศพระสัทธรรม และเปน็ ลกั ษณะเฉพาะทภี่ กิ ษใุ นครง้ั พทุ ธกาลใชเ้ ปน็ มาตรฐานเดยี ว หลกั พทุ ธวจนนี้ ไดเ้ ขา้ มาตอบคา� ถาม ตอ่ ความลงั เลสงสยั ไดเ้ ขา้ มาสรา้ ง ความชดั เจน ต่อความพร่าเลอื นสับสน ในขอ้ ธรรมต่างๆ ทม่ี ีอยู่ในสงั คมชาวพทุ ธ ซง่ึ ท้งั หมดนี้ เป็นผลจากสาเหตเุ ดียวคือ การไมใ่ ช้คา� ของพระพุทธเจา้ เป็นตัวต้งั ต้น ในการศกึ ษาเลา่ เรยี น ดว้ ยศรทั ธาอยา่ งไมห่ วน่ั ไหวตอ่ องคส์ มั มาสมั พทุ ธะ ในฐานะพระศาสดา ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ ไดป้ ระกาศอยา่ งเปน็ ทางการวา่ “อาตมาไมม่ คี า� สอนของตวั เอง” และใช้เวลาท่ีมีอยู่ ไปกับการรับสนองพุทธประสงค์ ด้วยการโฆษณาพุทธวจน เพื่อความตั้งมนั่ แหง่ พระสทั ธรรม และความประสานเป็นหน่ึงเดยี วของชาวพุทธ เมอื่ กลบั มาใชห้ ลกั พทุ ธวจน เหมอื นทเี่ คยเปน็ ในครง้ั พทุ ธกาล สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ คือ ความชัดเจนสอดคล้องลงตัว ในความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าในแง่ของหลักธรรม ตลอดจนมรรควธิ ที ต่ี รง และสามารถนา� ไปใชป้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ผล รเู้ หน็ ประจกั ษไ์ ดจ้ รงิ ดว้ ยตนเองทนั ที ดว้ ยเหตนุ ้ี ชาวพทุ ธทเ่ี หน็ คณุ คา่ ในคา� ของพระพทุ ธเจา้ จงึ ขยายตวั มากขึ้นเรอ่ื ยๆ เกิดเป็น “กระแสพทุ ธวจน” ซง่ึ เปน็ พลงั เงียบท่กี �าลงั จะกลายเป็น คลนื่ ลกู ใหม่ ในการกลบั ไปใชร้ ะบบการเรยี นรพู้ ระสทั ธรรม เหมอื นดงั ครง้ั พทุ ธกาล

ด้วยการขยายตวั ของกระแสพทุ ธวจนน้ี ส่อื ธรรมที่เปน็ พุทธวจน ไม่ว่า จะเป็นหนังสือ หรือซีดี ซ่ึงแจกฟรีแก่ญาติโยมเร่ิมมีไม่พอเพียงในการแจก ทั้งน้ี เพราะจ�านวนของผู้ท่ีสนใจเห็นความส�าคัญของพุทธวจน ได้ขยายตัวมากขึ้นอย่าง รวดเร็ว ประกอบกับว่าท่านพระอาจารย์คึกฤทธ์ิ โสตฺถิผโล เคร่งครัดในข้อวัตร ปฏิบัติท่ีพระศาสดาบัญญัติไว้ อันเป็นธรรมวินัยท่ีออกจากพระโอษฐ์ของตถาคต โดยตรง การเผยแผ่พุทธวจนที่ผ่านมา จึงเป็นไปในลักษณะสันโดษตามมีตามได้ เมือ่ มีโยมมาปวารณาเป็นเจา้ ภาพในการจดั พิมพ์ ไดม้ าจ�านวนเท่าไหร่ ก็ทยอยแจก ไปตามทมี่ เี ทา่ นน้ั เมอ่ื มมี า กแ็ จกไป เมอื่ หมด กค็ อื หมด เนอ่ื งจากวา่ หนา้ ทใ่ี นการดา� รงพระสทั ธรรมใหต้ ง้ั มน่ั สบื ไป ไมไ่ ดผ้ กู จา� กดั อย่แู ตเ่ พยี งพทุ ธสาวกในฐานะของสงฆ์เทา่ นนั้ ฆราวาสกลมุ่ หนึ่งซึ่งเห็นความส�าคญั ของพทุ ธวจน จงึ รวมตวั กนั เขา้ มาชว่ ยขยายผลในสงิ่ ทที่ า่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล ทา� อยแู่ ลว้ นน่ั คอื การนา� พทุ ธวจนมาเผยแพรโ่ ฆษณา โดยพจิ ารณาตดั สนิ ใจจดทะเบยี น จัดตัง้ เปน็ มลู นธิ อิ ย่างถูกตอ้ งตามกฏหมาย เพือ่ ใหก้ ารด�าเนนิ การตา่ งๆ ทง้ั หมด อยใู่ นรปู แบบทโี่ ปรง่ ใส เปดิ เผย และเปดิ กวา้ งตอ่ สาธารณชนชาวพทุ ธทวั่ ไป สา� หรับผู้ท่ีเหน็ ความสา� คัญของพุทธวจน และมคี วามประสงค์ทจี่ ะด�ารง พระสทั ธรรมใหต้ ง้ั มนั่ ดว้ ยวธิ ขี องพระพทุ ธเจา้ สามารถสนบั สนนุ การดา� เนนิ การตรงนไ้ี ด้ ดว้ ยวิธงี า่ ยๆ น่ันคอื เขา้ มาใส่ใจศึกษาพทุ ธวจน และนา� ไปใช้ปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง เม่ือรู้ประจักษ์ เห็นได้ด้วยตนแล้ว ว่ามรรควิธีท่ีได้จากการท�าความเข้าใจ โดย ใช้ค�าของพระพุทธเจ้าเป็นตัวต้ังต้นน้ัน น�าไปสู่ความเห็นที่ถูกต้อง ในหลักธรรม อันสอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล และเช่ือมโยงเป็นหน่ึงเดียว กระทั่งได้ผลตามจริง ทา� ใหเ้ กดิ มีจติ ศรทั ธา ในการช่วยเผยแพรข่ ยายส่ือพทุ ธวจน เพียงเท่านี้ คุณก็คอื หนง่ึ หนว่ ยในขบวน “พทุ ธโฆษณ”์ แลว้ น่คี อื เจตนารมณ์ของมูลนิธิพทุ ธโฆษณ์ นน่ั คอื เปน็ มลู นิธิแหง่ มหาชน ชาวพทุ ธ ซง่ึ ชดั เจน และมน่ั คงในพทุ ธวจน

ผูท้ ีส่ นใจรับสือ่ ธรรมทเี่ ปน็ พุทธวจน เพอ่ื ไปใชศ้ กึ ษาส่วนตัว หรือน�าไปแจกเปน็ ธรรมทาน แกพ่ ่อแมพ่ ีน่ ้อง ญาติ หรือเพื่อน สามารถมารบั ไดฟ้ รี ที่วดั นาปาพง หรือตามที่พระอาจารย์คกึ ฤทธ์ไิ ด้รบั นมิ นต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ สา� หรบั รายละเอยี ดกจิ ธรรมต่างๆ ภายใตเ้ ครอื ข่ายพุทธวจนโดยวัดนาปาพง คน้ หา ขอ้ มลู ไดจ้ าก www.buddhakos.org หรือ www.watnapp.com หากมคี วามจ�านงทจ่ี ะรับไปแจกเปน็ ธรรมทานในจา� นวนหลายสิบชดุ ขอความกรุณาแจง้ ความจ�านงไดท้ ี่ มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ์ ประสานงานและเผยแผ่ : เลขที่ ๒๙/๓ หมูท่ ่ี ๗ ถนนเลียบคลอง ๑๐ ฝ่ังตะวันออก ตา� บลบึงทองหลาง อา� เภอลา� ลูกกา จงั หวัดปทุมธานี ๑๒๑๕๐ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔, ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘, ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ โทรสาร ๐ ๒๑๕๙ ๐๕๒๖ เวบ็ ไซต์ : www.buddhakos.org อเี มล์ : [email protected] สนบั สนนุ การเผยแผ่พุทธวจนไดท้ ี่ ชอื่ บญั ชี “มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ”์ ธนาคารไทยพาณชิ ย์ สาขา คลอง ๑๐ (ธญั บรุ )ี ประเภท บัญชีออมทรัพย์ เลขทีบ่ ัญชี ๓๑๘-๒-๔๗๔๖๑-๐ วธิ ีการโอนเงนิ จากต่างประเทศ ย่นื แบบฟอร์ม คา� ขอโอนได้ท่ี ธนาคารไทยพาณชิ ย์ Account name: “Buddhakos Foundation” SWIFT CODE : SICOTHBK Branch Number : 318 Siam Commercial Bank PCL, Khlong 10(Thanyaburi) Branch, 33/14 Mu 4 Chuchat Road, Bung Sanun Sub District, Thanyaburi District, Pathum Thani 12110, Thailand Saving Account Number : 318-2-47461-0

ขอกราบขอบพระคุณแด่ พระอาจารยค์ กึ ฤทธิ์ โสตถฺ ผิ โล และคณะสงฆว์ ดั นาปา่ พง ท่กี รณุ าให้ค�าปรกึ ษาในการจดั ทา� หนังสือเลม่ น้ี ติดตามการเผยแผ่พระธรรมคา� สอนตามหลกั พทุ ธวจน โดย พระอาจารยค์ ึกฤทธ์ิ โสตฺถิผโล ไดท้ ่ี เวบ็ ไซต์ • http://www.watnapp.com : หนงั สอื และสื่อธรรมะ บนอินเทอร์เนต็ • http://media.watnapahpong.org : ศูนยบ์ ริการมลั ตมิ เี ดียวัดนาปา พง • http://www.buddha-net.com : เครือขา่ ยพุทธวจน • http://etipitaka.com : โปรแกรมตรวจหาและเทยี บเคยี งพุทธวจน • http://www.watnapahpong.com : เว็บไซตว์ ัดนาปา พง • http://www.buddhakos.org : มลู นิธิพุทธโฆษณ์ • http://www.buddhawajanafund.org : มูลนธิ ิพทุ ธวจน ดาวนโ์ หลดโปรแกรมตรวจหาและเทยี บเคยี งพทุ ธวจน (E-Tipitaka) ส�าหรบั คอมพวิ เตอร์ • ระบบปฏบิ ัตกิ าร Windows, Macintosh, Linux http://etipitaka.com/download หรอื รบั แผน่ โปรแกรมได้ทว่ี ดั นาปาพง ส�าหรับโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทแ่ี ละแทบ็ เลต็ • ระบบปฏิบตั กิ าร Android ดาวน์โหลดได้ท่ี Play Store โดยพิมพค์ �าวา่ พทุ ธวจน หรอื e-tipitaka • ระบบปฏบิ ัตกิ าร iOS (ส�าหรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวน์โหลดไดท้ ่ี App Store โดยพมิ พ์คา� ว่า พุทธวจน หรอื e-tipitaka ดาวนโ์ หลดโปรแกรมพุทธวจน (Buddhawajana) เฉพาะโทรศัพทเ์ คลือ่ นทีแ่ ละแทบ็ เล็ต • ระบบปฏบิ ตั กิ าร Android ดาวนโ์ หลดไดท้ ่ี Google Play Store โดยพิมพ์คา� วา่ พุทธวจน หรอื buddhawajana • ระบบปฏบิ ตั ิการ iOS (ส�าหรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวน์โหลดได้ท่ี App Store โดยพมิ พ์คา� ว่า พทุ ธวจน หรอื buddhawajana ดาวน์โหลดโปรแกรมวทิ ยวุ ดั นาป่าพง (Watnapahpong Radio) เฉพาะโทรศพั ทเ์ คลื่อนทีแ่ ละแท็บเลต็ • ระบบปฏิบัติการ Android ดาวน์โหลดได้ท่ี Google Play Store โดยพิมพ์ค�าว่า พทุ ธวจน หรือ วทิ ยุวดั นาปาพง • ระบบปฏิบตั ิการ iOS (สา� หรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวนโ์ หลดไดท้ ่ี App Store โดยพมิ พค์ �าว่า พทุ ธวจน หรือ วทิ ยุวัดนาปาพง วทิ ยุ • คล่ืน ส.ว.พ. FM ๙๑.๐ MHz ทุกวนั พระ เวลา ๑๗.๔๐ น.

บรรณานกุ รม พระไตรปฎิ กฉบับสยามรัฐ พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบบั หลวง หนงั สอื ธรรมโฆษณ์ ชุดจากพระโอษฐ์ (ผลงานแปลพทุ ธวจน โดยทา่ นพุทธทาสภิกขุในนามกองตา� ราคณะธรรมทาน) รว่ มสนับสนุนการจดั ท�าโดย คณะงานธัมมะ วดั นาปา พง (กลมุ่ อาสาสมัครพทุ ธวจน-หมวดธรรม), คณะศิษยว์ ัดนาปาพง, มูลนิธิพุทธวจน, พุทธวจนสถาบันภาคกลาง, พุทธวจนสถาบันภาคเหนือ, พุทธวจนสถาบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, พุทธวจนสถาบันภาคตะวันออก, พุทธวจนสถาบันภาคใต้, พุทธวจนสถาบันภาคตะวันตก, กลุ่มศิษย์ตถาคต, กลุ่มสมณะศากยะปุตติยะ, กลุ่มชวนม่วนธรรม, กลุ่มละนันทิ, กลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบริษัทการบินไทย, กลุ่มมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, ชมรมพุทธวจนอุดรธานี, บจก. สยามคูโบต้า คอร์ปอเรช่ัน, บจก. สยามรักษ์, บจก. เซเว่นสเต็ปส์, บจก. ห้างพระจันทร์โอสถ, สถานกายภาพบ�าบัด คิดดีคลินิค, บจก. ดีเทลส์ โปรดักส์

ลงสะพานคลอง ๑๐ ไปยูเทิร์นแรกมา แผนท่ีวัดนาป่าพง แล้วเล้ียวซ้ายก่อนข้ึนสะพาน แนวทิวสน วัดนาป่าพง โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑, ๐๘ ๔๐๙๖ ๘๔๓๐, ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๔, ๐๘ ๖๕๕๒ ๒๔๕๙ ลงสะพานคลอง ๑๐ เล้ียวซ้ายคอสะพาน

๑๐ พระสตู รของความสา� คญั ทชี่ าวพทุ ธตอ้ งศกึ ษา แตค่ า� สอนจากพระพทุ ธเจา้ เทา่ นน้ั ผา่ นมา ๒,๕๐๐ กวา่ ปี คา� สอนทางพระพทุ ธศาสนาเกดิ ความหลากหลายมากขน้ึ มสี า� นกั ตา่ งๆ มากมาย ซง่ึ แตล่ ะหมคู่ ณะกม็ คี วามเหน็ ของตน หามาตรฐานไมไ่ ด้ แมจ้ ะกลา่ วในเรอ่ื งเดยี วกนั ทง้ั นไ้ี มใ่ ชเ่ พราะคา� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไมส่ มบรู ณ์ แลว้ เราควรเชอ่ื และปฏบิ ตั ติ ามใคร ? ลองพจิ ารณาหาคา� ตอบงา่ ยๆ ไดจ้ าก ๑๐ พระสตู ร ซง่ึ พระตถาคตทรงเตอื นเอาไว้ แลว้ ตรสั บอกวธิ ปี อ้ งกนั และแกไ้ ขเหตเุ สอ่ื มแหง่ ธรรมเหลา่ น.ี้ ขอเชญิ มาตอบตวั เองกนั เถอะวา่ ถงึ เวลาแลว้ หรอื ยงั ? ทพ่ี ทุ ธบรษิ ทั จะมมี าตรฐานเพยี งหนงึ่ เดยี ว คอื “พทุ ธวจน” ธรรมวนิ ยั จากองคพ์ ระสงั ฆบดิ าอนั วญิ ญชู นพงึ ปฏบิ ตั แิ ละรตู้ ามไดเ้ ฉพาะตน ดงั น.ี้ ๑. พระองคท์ รงสามารถกา� หนดสมาธ ิ เมอ่ื จะพดู ทกุ ถอ้ ยคา� จงึ ไมผ่ ดิ พลาด -บาลี มู. ม. ๑๒/๔๕๘/๔๓๐. อคั คเิ วสนะ ! เรานน้ั หรอื จา� เดมิ แตเ่ รมิ่ แสดง กระทง่ั คา� สดุ ทา้ ยแหง่ การกลา่ วเรอ่ื งนนั้ ๆ ยอ่ มตงั้ ไวซ้ งึ่ จติ ในสมาธนิ มิ ติ อนั เปน็ ภายในโดยแท ้ ใหจ้ ติ ดา� รงอย ู่ ใหจ้ ติ ตง้ั มน่ั อย ู่ กระทา� ใหม้ จี ติ เปน็ เอก ดงั เชน่ ทค่ี นทง้ั หลาย เคยไดย้ นิ วา่ เรากระทา� อยเู่ ปน็ ประจา� ดงั น.้ี

๒. แตล่ ะคา� พดู เปน็ อกาลโิ ก คอื ถกู ตอ้ งตรงจรงิ ไมจ่ า� กดั กาลเวลา -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๑. ภิกษุท้ังหลาย ! พวกเธอทงั้ หลายเปน็ ผทู้ เี่ รานา� ไปแลว้ ดว้ ยธรรมน้ี อนั เปน็ ธรรมทบ่ี คุ คลจะพงึ เหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง (สนทฺ ฏิ โิ ก) เปน็ ธรรมให้ ผลไมจ่ า� กดั กาล (อกาลโิ ก) เปน็ ธรรมทคี่ วรเรยี กกนั มาด ู (เอหปิ สสฺ โิ ก) ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว (โอปนยิโก) อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปจจฺ ตตฺ � เวทติ พโฺ พ วญิ ญฺ หู )ิ . ๓. คา� พดู ทพ่ี ดู มาทง้ั หมดนบั แตว่ นั ตรสั รนู้ น้ั สอดรบั ไมข่ ดั แยง้ กนั -บาลี อิติว.ุ ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓. ภิกษุท้ังหลาย ! นับต้ังแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมา- สัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร่�าสอน แสดงออก ซง่ึ ถอ้ ยคา� ใด ถอ้ ยคา� เหลา่ นนั้ ทงั้ หมด ยอ่ มเขา้ กนั ไดโ้ ดย ประการเดยี วทงั้ สนิ้ ไมแ่ ยง้ กนั เปน็ ประการอน่ื เลย. อ๔. ทรงบอกเหตแุ หง่ ความอนั ตรธานของคา� สอนเปรยี บดว้ ยกลองศกึ -บาลี นทิ าน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! เรอ่ื งนเี้ คยมมี าแลว้ กลองศกึ ของกษตั รยิ พ์ วกทสารหะ เรยี กวา่ อานกะ มอี ยู่ เมอื่ กลองอานกะน้ี มแี ผลแตกหรอื ลิ พวกกษตั รยิ ์ ทสารหะไดห้ าเนอื้ ไมอ้ น่ื ทา� เปน็ ลมิ่ เสรมิ ลงในรอยแตกของกลองนนั้ (ทกุ คราวไป). ภิกษุทั้งหลาย ! เม่ือเชื่อมปะเข้าหลายคร้ังหลายคราวเช่นนั้น นานเขา้ กถ็ งึ สมยั หนง่ึ ซง่ึ เนอื้ ไมเ้ ดมิ ของตวั กลองหมดสนิ้ ไป เหลอื อยแู่ ต่ เนอื้ ไมท้ ที่ า� เสรมิ เขา้ ใหมเ่ ทา่ นน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ฉนั ใดกฉ็ นั นนั้ ในกาลยดื ยาวฝา่ ยอนาคต จกั มภี กิ ษุ ทงั้ หลาย สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทเ่ี ปน็ คา� ของตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซง้ึ เปน็ ชนั้ โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา เมอ่ื มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั

มากลา่ วอยู่ เธอจกั ไมฟ่ งั ด้วยดี จกั ไมเ่ งี่ยหฟู งั จกั ไมต่ ั้งจิตเพอ่ื จะรู้ท่ัวถงึ และจกั ไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น สว่ นสตุ ตนั ตะเหลา่ ใดที่ นกั กวแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก เมอ่ื มผี นู้ า� สุตตันตะท่ีนักกวีแต่งข้ึนใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักฟังด้วยดี จัก เงย่ี หฟู งั จกั ตงั้ จติ เพอ่ื จะรทู้ วั่ ถงึ และจกั สา� คญั วา่ เปน็ สงิ่ ทตี่ นควรศกึ ษา เลา่ เรยี นไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! ความอนั ตรธานของสตุ ตนั ตะเหลา่ นนั้ ทเี่ ปน็ คา� ของ ตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซงึ้ เปน็ ชน้ั โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ย เรอื่ งสญุ ญตา จกั มไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งนี้ แล. ๕.ทรงกา� ชับให้ศกึ ษาปฏิบัติเฉพาะจากคา� ของพระองคเ์ ท่านน้ั อย่าฟังคนอื่น -บาลี ทกุ . อํ. ๒๐/๙๑-๙๒/๒๙๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! พวกภกิ ษบุ รษิ ทั ในกรณนี ้ี สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทก่ี วี แตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มี พยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก เมอื่ มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั มากลา่ วอยู่ เธอจกั ไมฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งย่ี หฟู งั ไมต่ งั้ จติ เพอ่ื จะรทู้ วั่ ถงึ และจกั ไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สงิ่ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สว่ นสตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทเ่ี ปน็ คา� ของตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซงึ้ เปน็ ชนั้ โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา เมอ่ื มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั มากลา่ วอยู่ เธอยอ่ มฟงั ดว้ ยดี ยอ่ มเงยี่ หฟู งั ยอ่ มตง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ และยอ่ มสา� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทตี่ นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น จงึ พากนั เลา่ เรยี น ไตถ่ าม ทวนถามแกก่ นั และกนั อยวู่ า่ “ขอ้ นเี้ ปน็ อยา่ งไร มคี วามหมายกน่ี ยั ” ดงั น้ี ดว้ ยการทา� ดงั นี้ เธอยอ่ มเปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ ไวไ้ ด้ ธรรมทยี่ งั ไมป่ รากฏ เธอกท็ า� ใหป้ รากฏได้ ความสงสยั ในธรรมหลายประการ ทนี่ า่ สงสยั เธอกบ็ รรเทาลงได.้

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! บรษิ ทั ชอ่ื อกุ กาจติ วนิ ตี า ปรสิ า โน ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! ในกรณนี คี้ อื ภกิ ษทุ ง้ั หลายในบรษิ ทั ใด เมอื่ สตุ ตนั ตะ ทงั้ หลาย อนั เปน็ ตถาคตภาษติ (ตถาคตภาสติ า) อนั ลกึ ซง้ึ (คมภฺ รี า) มี อรรถอันลึกซึ้ง (คมฺภีรตฺถา) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตรา) ประกอบด้วย เรอ่ื งสญุ ญตา (สญุ ญฺ ตปฏสิ ย� ตุ ตฺ า) อนั บคุ คลนา� มากลา่ วอยู่ กไ็ มฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งย่ี หฟู งั ไมเ่ ขา้ ไปตงั้ จติ เพอื่ จะรทู้ ว่ั ถงึ และไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควร ศกึ ษาเลา่ เรยี น. สว่ นสตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทก่ี วแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภท กาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก เมอื่ มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นมี้ ากลา่ วอยู่ พวกเธอยอ่ มฟงั ดว้ ยดี เงย่ี หฟู งั ตงั้ จติ เพอื่ จะรทู้ ว่ั ถงึ และสา� คญั ไป วา่ เปน็ สง่ิ ทตี่ นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น พวกเธอเลา่ เรยี นธรรมอนั กวแี ตง่ ใหม่ นัน้ แล้ว ก็ไม่สอบถามซงึ่ กันและกัน ไมท่ า� ใหเ้ ปิดเผยแจม่ แจ้งออกมาวา่ ขอ้ นพ้ี ยญั ชนะเปน็ อยา่ งไร อรรถเปน็ อยา่ งไร ดงั น้ี เธอเหลา่ นน้ั เปดิ เผย สง่ิ ทย่ี งั ไมเ่ ปดิ เผยไมไ่ ด้ ไมห่ งายของทค่ี วา�่ อยใู่ หห้ งายขนึ้ ได้ ไมบ่ รรเทา ความสงสยั ในธรรมทงั้ หลายอนั เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความสงสยั มอี ยา่ งตา่ งๆ ได.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! นเี้ ราเรยี กวา่ อกุ กาจติ วนิ ตี า ปรสิ า โน ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า. ภกิ ษทุ งั้ หลาย! บรษิ ทั ชอื่ ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า ปรสิ า โน อกุ กาจติ วนิ ตี า เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! ในกรณนี คี้ อื ภกิ ษทุ งั้ หลายในบรษิ ทั ใด เมอื่ สตุ ตนั ตะ ทง้ั หลาย ทก่ี วแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษร สละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก อนั บคุ คลนา� มากลา่ วอยู่ กไ็ มฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งย่ี หฟู งั ไมเ่ ขา้ ไปตงั้ จติ เพอ่ื จะ รทู้ วั่ ถงึ และไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น สว่ น สตุ ตนั ตะ เหลา่ ใด อนั เปน็ ตถาคตภาษติ อนั ลกึ ซง้ึ มอี รรถอนั ลกึ ซง้ึ เปน็ โลกตุ ตระ ประกอบดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา เมอ่ื มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ น ี้ มากลา่ วอย ู่ พวก

เธอยอ่ มฟงั ดว้ ยด ี ยอ่ มเงย่ี หฟู งั ยอ่ มเขา้ ไปตง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ วั่ ถงึ และ ยอ่ มสา� คญั วา่ เปน็ สงิ่ ทคี่ วรศกึ ษาเลา่ เรยี น พวกเธอเลา่ เรยี นธรรมทเ่ี ปน็ ตถาคตภาษติ นน้ั แลว้ กส็ อบถามซง่ึ กนั และกนั ทา� ใหเ้ ปดิ เผยแจม่ แจง้ ออก มาวา่ ขอ้ นพ้ี ยญั ชนะเปน็ อยา่ งไร อรรถะเปน็ อยา่ งไร ดงั น้ี เธอเหลา่ นนั้ เปดิ เผยสง่ิ ทยี่ งั ไมเ่ ปดิ เผยได้ หงายของทคี่ วา่� อยใู่ หห้ งายขนึ้ ได้ บรรเทา ความสงสยั ในธรรมทง้ั หลายอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความสงสยั มอี ยา่ งตา่ งๆ ได.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! นเี้ ราเรยี กวา่ ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า ปรสิ า โน อกุ กาจติ วนิ ตี า. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เหลา่ นแี้ ลบรษิ ทั ๒ จา� พวกนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! บรษิ ทั ทเี่ ลศิ ในบรรดาบรษิ ทั ทง้ั สองพวกนนั้ คอื บรษิ ทั ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า ปรสิ า โน อกุ กาจติ วนิ ตี า (บรษิ ทั ทอ่ี าศยั การสอบสวนทบทวนกนั เอาเอง เปน็ เครอื่ งนา� ไป ไมอ่ าศยั ความเชอ่ื จากบคุ คลภายนอกเปน็ เครอ่ื งนา� ไป) แล. ๖. ทรงหา้ มบัญญัติเพ่ิมหรือตดั ทอนสงิ่ ท่บี ัญญัตไิ ว้ -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๙๐/๗๐. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ งั้ หลาย จกั ไมบ่ ญั ญตั สิ งิ่ ทไี่ มเ่ คยบญั ญตั ิ จกั ไมเ่ พกิ ถอนสงิ่ ทบ่ี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ จกั สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททบี่ ญั ญตั ไิ ว้ แลว้ อยา่ งเครง่ ครดั อยเู่ พยี งใด ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนนั้ . ๗. ส�านึกเสมอว่าตนเองเปน็ เพียงผู้เดินตามพระองคเ์ ท่านนั้ ถงึ แม้จะเปน็ อรหันตผ์ ู้เลศิ ทางปัญญากต็ าม -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๘๒/๑๒๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ตถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ ไดท้ า� มรรคทยี่ งั ไมเ่ กดิ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ไดท้ า� มรรคทย่ี งั ไมม่ ใี ครรใู้ หม้ คี นรู้ ไดท้ า� มรรคทย่ี งั ไมม่ ี ใครกลา่ วใหเ้ ปน็ มรรคทก่ี ลา่ วกนั แลว้ ตถาคตเปน็ ผรู้ มู้ รรค (มคคฺ ญญฺ )ู เปน็ ผรู้ แู้ จง้ มรรค (มคคฺ วทิ )ู เปน็ ผฉู้ ลาดในมรรค (มคคฺ โกวโิ ท). ภิกษุทั้งหลาย ! สว่ นสาวกทงั้ หลายในกาลน ้ี เปน็ ผเู้ ดนิ ตามมรรค (มคคฺ านคุ า) เปน็ ผตู้ ามมา ในภายหลงั .

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! นแ้ี ล เปน็ ความผดิ แผกแตกตา่ งกนั เปน็ ความมงุ่ หมาย ทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอื่ งกระทา� ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหวา่ งตถาคตผอู้ รหนั ต- สัมมาสมั พุทธะ กบั ภิกษผุ ้ปู ัญญาวมิ ตุ ต.ิ ๘. ตรัสไวว้ า่ ให้ทรงจ�าบทพยัญชนะและค�าอธิบายอยา่ งถูกตอ้ ง พร้อมขยนั ถา่ ยทอดบอกสอนกันตอ่ ไป -บาลี จตุกกฺ . อ.ํ ๒๑/๑๙๗/๑๖๐. ภิกษทุ งั้ หลาย ! พวกภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น ้ี เลา่ เรยี นสตู รอนั ถอื กนั มาถกู ดว้ ยบทพยญั ชนะทใี่ ชก้ นั ถกู ความหมายแหง่ บทพยญั ชนะทใ่ี ชก้ นั กถ็ กู ยอ่ มมนี ยั อนั ถกู ตอ้ งเชน่ นน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! นเี่ ปน็ มลู กรณที หี่ นงึ่ ซงึ่ ทา� ใหพ้ ระสทั ธรรมตงั้ อยไู่ ดไ้ มเ่ ลอะเลอื นจนเสอ่ื มสญู ไป... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! พวกภกิ ษเุ หลา่ ใด เปน็ พหสุ ตู คลอ่ งแคลว่ ในหลกั พระพทุ ธวจน ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า (แมบ่ ท) พวกภกิ ษเุ หลา่ นนั้ เอาใจใส ่ บอกสอน เนอ้ื ความแหง่ สตู รทงั้ หลายแกค่ นอน่ื ๆ เมอื่ ทา่ นเหลา่ นน้ั ลว่ งลบั ไป สตู รทง้ั หลาย กไ็ มข่ าดผเู้ ปน็ มลู ราก (อาจารย)์ มที อ่ี าศยั สบื กนั ไป. ภิกษุท้ังหลาย ! น่ีเป็น มูลกรณีท่ีสาม ซ่ึงท�าให้พระสัทธรรมต้ังอยู่ได้ ไมเ่ ลอะเลอื นจนเสอ่ื มสญู ไป... *** ในที่นี้ยกมา ๒ นัย จาก ๔ นัย ของมูลเหตุส่ีประการ ที่ท�าให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเส่ือมสูญไป ๙. ทรงบอกวิธีแกไ้ ขความผิดเพ้ยี นในคา� สอน -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖. ๑. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ผมู้ อี ายุ ! ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั รบั มาเฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผมู้ พี ระภาควา่ “นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเี้ ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”... ๒. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ในอาวาสชอ่ื โนน้ มี สงฆอ์ ยพู่ รอ้ มดว้ ยพระเถระ พรอ้ มดว้ ยปาโมกข์ ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาเฉพาะ หนา้ สงฆน์ นั้ วา่ “นเี้ ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเี้ ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”...

๓. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นกี้ ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ในอาวาสชอื่ โนน้ มี ภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระอยจู่ า� นวนมาก เปน็ พหสุ ตู เรยี นคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาเฉพาะหนา้ พระเถระเหลา่ นน้ั วา่ “นเี้ ปน็ ธรรม นเี้ ปน็ วนิ ยั นเี้ ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”... ๔. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ในอาวาสชอ่ื โนน้ มี ภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระอยรู่ ปู หนง่ึ เปน็ พหสุ ตู เรยี นคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาเฉพาะหนา้ พระเถระรปู นน้ั วา่ “นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเ้ี ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”... เธอทง้ั หลายยงั ไมพ่ งึ ชนื่ ชม ยงั ไมพ่ งึ คดั คา้ นคา� กลา่ วของผนู้ น้ั พงึ เรยี น บทและพยญั ชนะเหลา่ นน้ั ใหด้ ี แลว้ พงึ สอบสวนลงในพระสตู ร เทยี บเคยี ง ดใู นวนิ ยั ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าใน วินัยก็ไม่ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “น้ีมิใช่พระด�ารัสของพระผู้มีพระภาค พระองคน์ นั้ แนน่ อน และภกิ ษนุ รี้ บั มาผดิ ” เธอทงั้ หลาย พงึ ทง้ิ คา� นนั้ เสยี ถา้ บทและพยญั ชนะเหลา่ นนั้ สอบลงในสตู รกไ็ ด ้ เทยี บเขา้ ในวนิ ยั กไ็ ด ้ พงึ ลงสนั นษิ ฐานวา่ “นเ้ี ปน็ พระดา� รสั ของพระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ นั้ แนน่ อน และภกิ ษนุ นั้ รบั มาดว้ ยด”ี เธอทงั้ หลาย พงึ จา� มหาปเทส... นไี้ ว.้ ๑๐. ทรงตรสั แกพ่ ระอานนท ์ ให้ใชธ้ รรมวนิ ยั ท่ีตรสั ไวเ้ ป็นศาสดาแทนตอ่ ไป -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๑๗๘/๑๔๑. -บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓. -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๑๗/๗๔๐. อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างน้ีว่า ‘ธรรมวินัยของ พวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปเสียแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา’ ดังนี้. อานนท์ ! พวกเธออยา่ คิดอย่างนนั้ . อานนท์ ! ธรรมก็ดี วนิ ัยก็ดี ทเ่ี รา แสดงแล้ว บญั ญัติแลว้ แก่พวกเธอท้ังหลาย ธรรมวนิ ัยน้ัน จกั เป็น ศาสดาของพวกเธอทง้ั หลาย โดยกาลลว่ งไปแหง่ เรา.

อานนท์ ! ในกาลบดั นกี้ ด็ ี ในกาลลว่ งไปแหง่ เรากด็ ี ใครกต็ าม จกั ตอ้ งมตี นเปน็ ประทปี มตี นเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสงิ่ อน่ื เปน็ สรณะ มธี รรมเปน็ ประทปี มธี รรมเปน็ สรณะ ไมเ่ อาส่งิ อืน่ เป็นสรณะ เปน็ อย.ู่ อานนท ์ ! ภิกษพุ วกใด เปน็ ผ้ใู ครใ่ นสกิ ขา ภิกษพุ วกน้ัน จกั เปน็ ผอู้ ยู่ในสถานะ อนั เลิศทส่ี ดุ แล. อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรน้ี มีในยุคแห่งบุรุษใด บุรุษน้ันชื่อว่า เป็นบรุ ุษคนสดุ ทา้ ยแห่งบรุ ษุ ท้ังหลาย... เราขอกลา่ วยา้� กะ เธอว่า... เธอท้งั หลายอยา่ เปน็ บรุ ุษคนสุดท้ายของเราเลย. เธอทั้งหลายอยา่ เปน็ บุรษุ คนสดุ ท้าย ของเราเลย -บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓.



พุทธวจน-หมวดธรรม 19 พทุ ธวจน-ปฎ ก วิทยุวัดนาปาพง

• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๗ รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ ๑) หลกั ฐานสมยั พทุ ธกาล การใช้ พุทธวจน ที่มีความหมายถึงคำาสอนของ พระพทุ ธเจา้ มมี าตงั้ แตใ่ นสมยั พทุ ธกาล ดงั ปรากฏหลกั ฐาน ในพระวินัยปิฎก ว่าพระศาสดาให้เรียนพุทธวจน (ภาพท่ี ๑.๑ และภาพท่ี ๑.๒) ภาพท ่ี ๑.๑ ค�ำ อธบิ �ยภ�พ : ขอ้ ความสว่ นหนง่ึ จากพระไตรปฎิ ก ฉบบั ร.ศ. ๑๑๒ (จปร.อกั ษรสยาม) หนา้ ๖๔ ซง่ึ พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั หลวง พ.ศ. ๒๕๒๕ เลม่ ท่ี ๗ พระวนิ ยั ปฎิ ก จลุ วรรค ภาค ๒ หนา้ ๔๕ ไดแ้ ปลเปน็ ภาษาไทยไวด้ งั น้ี [๑๘๐] ... ดูกรภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษุไมพ่ งึ ยกพทุ ธวจนะข้ึนโดยภาษา สันสกฤต รูปใดยกข้ึน ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุท้ังหลาย เร�อนุญ�ตให้  เล�่ เรยี นพุทธวจนะตามภาษาเดิม. ทม่ี า : พระไตรปฎิ ก ฉบบั ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) พระวนิ ยปฏิ ก จลุ ล์ วคั ค์ เลม่ ๒ หนา้ ๖๔

ภาพท ่ี ๑.๒ คำ�อธบิ �ยภ�พ : คาำ แปลเปน็ ภาษาไทย ของภาพท่ี ๑.๑ จาก หนังสือ สารานุกรม พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ประมวลจาก พระนิพนธ์ สมเด็จ พ ร ะ ม ห า ส ม ณ เ จ้ า กรมพระยาวชริ ญาณ- วโรรส ทม่ี า : หนังสือ สารานกุ รมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส หนา้ ๖๙๖

• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ รชั กาลท ่ี ๗ ๒) หลกั ฐานสมยั รชั กาลท ่ี ๑ พุทธวจนะ มีปรากฏในหนังสือพงษาวดาร กรงุ ศรอี ยธุ ยา ภาษามคธ แล คาำ แปล ซง่ึ แตง่ เปน็ ภาษามคธ เพอ่ื เฉลมิ พระเกยี รตเิ มอ่ื สงั คายนาในรชั กาลท ่ี ๑ เปน็ หนงั สอื ๗ ผูก ต้นฉบบั มีอย่ใู นวัดพระแก้ว กรงุ พนมเปญ ประเทศ กมั พชู า แปลเปน็ ภาษาไทยโดยพระยาพจนสนุ ทร คาำ นาำ ของ หนงั สอื เลม่ นี้ เปน็ พระนพิ นธใ์ นสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดาำ รงราชานภุ าพ (ภาพที่ ๒.๑ และภาพที่ ๒.๒) ภาพท ่ี ๒.๑ ค�ำ อธิบ�ยภ�พ : ขอ้ ความส่วนหน่ึงจากหนังสือ พงษาวดาร กรงุ ศรอี ยุธยา ภาษามคธ แล คำาแปล หนา้ ๑

ภาพท ่ี ๒.๒ คำ�อธิบ�ยภ�พ : ข้อความส่วนหนึ่ง จากหนงั สอื พงษาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ภาษามคธ แล คาำ แปล หนา้ ๒ ทม่ี า : หนังสือ พงษาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คาำ แปล

• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ รชั กาลท ่ี ๗ ๓) หลกั ฐานสมยั รชั กาลท ่ี ๔ พทุ ธวจน มปี รากฏในหนงั สอื พระคาถาสรรเสรญิ พระธรรมวนิ ยั พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลท ่ี ๔ (ภาพท่ี ๓.๑) และปรากฏในหนังสือ ประชุมพระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ในรชั กาลท ่ี ๔ ภาค ๒ (ภาพท่ี ๓.๒ และภาพท่ี ๓.๓) ภาพท ่ี ๓.๑ ทม่ี า : หนงั สอื พระคาถาสรรเสรญิ พระธรรมวนิ ยั พระราชนพิ นธ์ ในรชั กาลท่ี ๔ ทรงแปลเปน็ ภาษาไทยโดย สมเดจ็ พระสงั ฆราช วดั ราชประดษิ ฐ หนา้ ๒๕

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๔ ภาพท ่ี ๓.๒ ภาพท ่ี ๓.๓ ทม่ี า : หนงั สอื ประชมุ พระราชนพิ นธภ์ าษาบาลี ในรชั กาลท่ี ๔ ภาค ๒ หนา้ ๑๘๐ และหนา้ ๑๘๓

• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ รชั กาลท ่ี ๗ ๔) หลกั ฐานสมยั รชั กาลท ่ี ๕ พทุ ธวจน มปี รากฏในหนงั สอื พระราชวจิ ารณ ์ เทยี บ ลทั ธพิ ระพทุ ธศาสนาหนิ ยานกบั มหายาน พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธ์ (ภาพท่ี ๔.๑), ปรากฏในหนังสือ พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีไปมากับ สมเด็จ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (ภาพท่ี ๔.๒ และภาพท่ี ๔.๓) และปรากฏในหนังสือ พระราชดำารัส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๓) จัดทำาโดย มูลนิธิสมเด็จ พระเทพรตั นราชสุดา (ภาพที่ ๔.๔) พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ รชั กาลท่ี ๕ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส

ภาพท ่ี ๔.๑ ทม่ี า :   หนงั สอื พระราชวจิ ารณ์ เทยี บลทั ธพิ ระพทุ ธศาสนาหนิ ยานกบั มหายาน พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธ์ หนา้ ๑๘

ภาพท ่ี ๔.๒ ภาพท ่ี ๔.๓ ทม่ี า :  หนงั สอื พระราชหตั ถเลขา พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมไี ปมากบั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส หนา้ ๑๐๒ และ ๑๐๙

ภาพท ่ี ๔.๔ ทม่ี า :  หนงั สอื พระราชดาำ รสั ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ ถงึ พ.ศ. ๒๔๕๓) จดั ทาำ โดย มลู นธิ สิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ หนา้ ๑๐๐

• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ รชั กาลท ่ี ๗ ๕) หลกั ฐานสมยั รชั กาลท ่ี ๗ พทุ ธวจนะ มปี รากฏในราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ท่ี ๔๔ วนั ที่ ๔ มนี าคม ๒๔๗๐ เรอ่ื ง รายงานการสรา้ งพระไตรปฎิ ก โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจนั ทบรุ นี ฤนาถ (ภาพท่ี ๕) ภาพท ่ี ๕ ทม่ี า :  ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ท่ี ๔๔ หนา้ ๓๙๓๙ วันท่ี ๔ มนี าคม ๒๔๗๐ เร่อื ง รายงานการสรา้ งพระไตรปิฎก