เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : อานาปานสติ ภิกษุทงั้ หลาย ! อานาปานสติสมาธินี้แล ซึ่ง เมอ่ื บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มท�ำ สตปิ ฏั ฐานทง้ั ๔ ใหบ้ รบิ รู ณ์ สตปิ ฏั ฐานทง้ั ๔ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ทำ�ให้มากแลว้ ย่อมทำ�โพชฌงคท์ ัง้ ๗ ให้บรบิ ูรณ์ โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมทำ�วิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้. 29
พทุ ธวจน - หมวดธรรม สติปฏั ฐานบรบิ รู ณ์ เพราะอานาปานสตบิ รบิ รู ณ์ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อย่างไร ท�ำให้มากแล้วอย่างไร จึงท�ำสติปัฏฐานท้ังส่ี ให้บริบรู ณ์ได้ ? [หมวดกายานปุ สั สนา] ภิกษุท้งั หลาย ! สมยั ใด ภกิ ษุ เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมอื่ หายใจออกยาว กร็ ู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน เม่ือหายใจออกส้นั ก็รชู้ ัดว่าเราหายใจออกส้ัน ยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซงึ่ กายทงั้ ปวง หายใจเข้า” วา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซ่งึ กายทง้ั ปวง หายใจออก” ยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำกายสงั ขาร ใหร้ �ำงบั หายใจเขา้ ” ว่า “เราเป็นผทู้ �ำกายสงั ขารใหร้ �ำงับ หายใจออก” 30
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : อานาปานสติ ภิกษุทง้ั หลาย ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผู้ เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเผากิเลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เรายอ่ มกลา่ ว ลมหายใจเขา้ และ ลมหายใจออก วา่ เป็นกายอนั หนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย. ภิกษุท้ังหลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ กายในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก ออกเสียได้ ในสมยั นั้น. [หมวดเวทนานุปัสสนา] ภิกษทุ ง้ั หลาย ! สมัยใด ภิกษุ ยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซึ่งปีติ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผ้รู ้พู ร้อมเฉพาะซ่งึ ปีติ หายใจออก” ยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซ่ึงสขุ หายใจเข้า” วา่ “เราเป็นผ้รู พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ สขุ หายใจออก” 31
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซึ่งจติ ตสังขาร หายใจเขา้ ” ว่า “เราเป็นผรู้ ูพ้ ร้อม เฉพาะซึง่ จิตตสงั ขาร หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� จิตตสังขารให้รำ�งับ หายใจเข้า” วา่ “เราเปน็ ผู้ท�ำ จิตตสงั ขารใหร้ �ำ งับ หายใจออก” ภกิ ษุทั้งหลาย ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผู้ เหน็ เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก ออกเสยี ได.้ ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าวการทำ�ในใจเป็น อย่างดีต่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออกทั้งหลายว่า เปน็ เวทนาอนั หนง่ึ ๆ ในเวทนาทง้ั หลาย. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตนุ นั้ ในเรอื่ งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ หน็ เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มีความเพยี รเผากิเลส มสี มั ปชัญญะ มีสติ น�ำอภชิ ฌาและ โทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมยั นั้น. 32
เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ : อานาปานสติ [หมวดจติ ตานปุ ัสสนา] ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! สมยั ใด ภิกษุ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซง่ึ จติ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ จติ หายใจออก” ย่อมท�ำ การฝึกหดั ศกึ ษาวา่ “เราเป็นผทู้ �ำ จิตให้ ปราโมทยย์ ง่ิ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ราโมทยย์ ง่ิ หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผทู้ ำ�จติ ให้ ตง้ั มน่ั หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหต้ ง้ั มน่ั หายใจออก” ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาว่า “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ให้ ปล่อยอยู่ หายใจเขา้ ” ว่า “เราเปน็ ผทู้ ำ�จติ ใหป้ ล่อยอยู่ หายใจออก” ภกิ ษุท้งั หลาย ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เราไมก่ ลา่ วอานาปานสติ วา่ เปน็ สง่ิ ทมี่ ไี ดแ้ กบ่ คุ คลผมู้ สี ตอิ นั ลมื หลงแลว้ ไมม่ สี มั ปชญั ญะ. 33
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษุท้งั หลาย ! เพราะเหตนุ นั้ ในเรอ่ื งนี้ ภกิ ษนุ นั้ ยอ่ มชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผา กิเลส มสี ัมปชัญญะ มสี ติ น�ำอภิชฌาและโทมนัส ในโลกออกเสยี ได้ ในสมัยน้นั . [หมวดธมั มานปุ ัสสนา] ภิกษุท้ังหลาย ! สมยั ใด ภิกษุ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซ่ึง ความไม่เทยี่ งอย่เู ป็นประจำ� หายใจเขา้ ” ว่า “เราเป็น ผูเ้ ห็นซ่งึ ความไมเ่ ทีย่ งอยเู่ ป็นประจ�ำ หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความจางคลายอยู่เปน็ ประจำ� หายใจเขา้ ” วา่ “เราเป็น ผูเ้ ห็นซึ่งความจางคลายอย่เู ปน็ ประจำ� หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซ่ึง ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผู้เห็นซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลืออยูเ่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” 34
เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : อานาปานสติ ย่อมท�ำ การฝึกหัดศึกษาวา่ “เราเป็นผเู้ หน็ ซ่งึ ความสลัดคนื อยู่เป็นประจ�ำ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเป็น ผ้เู หน็ ซงึ่ ความสลัดคนื อยเู่ ปน็ ประจำ� หายใจออก” ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! สมัยนัน้ ภกิ ษุนั้นช่ือวา่ เปน็ ผู้ เหน็ ธรรมในธรรมทั้งหลายอยูเ่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ น�ำอภิชฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ภิกษนุ น้ั เปน็ ผเู้ ขา้ ไปเพง่ เฉพาะ เปน็ อยา่ งดแี ลว้ เพราะเธอเหน็ การละอภชิ ฌาและโทมนสั ทงั้ หลายของเธอนน้ั ดว้ ยปญั ญา. ภิกษุท้งั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเผากเิ ลส มีสัมปชญั ญะ มสี ติ นำ�อภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกออกเสยี ได้. ภิกษุทง้ั หลาย ! อานาปานสตอิ นั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งน้ี ท�ำใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ชอื่ วา่ ท�ำสตปิ ฏั ฐานทงั้ ส่ี ใหบ้ ริบูรณไ์ ด.้ 35
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ 36
เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : อานาปานสติ โพชฌงค์บรบิ ูรณ์ เพราะสติปฏั ฐานบริบูรณ์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สตปิ ฏั ฐานทง้ั สี่ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อย่างไร ท�ำใหม้ ากแล้วอย่างไร จงึ ท�ำโพชฌงคท์ ง้ั เจ็ดให้ บรบิ ูรณ์ได้ ? [โพชฌงคเ์ จ็ด หมวดกายานุปัสสนา] ภกิ ษุทั้งหลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ หน็ กายใน กายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลสมสี มั ปชญั ญะมสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสยี ได้ สมยั นั้นสติของ ภกิ ษุผู้เข้าไปตง้ั ไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลมื หลง. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! สมัยใด สติของภกิ ษุผเู้ ข้าไปต้งั ไวแ้ ลว้ เปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง สมยั นน้ั สตสิ มั โพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อม เจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชือ่ ว่าถงึ ความเต็มรอบแหง่ การเจริญ. 37
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษนุ ั้น เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ยอ่ มท�ำการเลอื ก ย่อมท�ำการเฟน้ ยอ่ มท�ำการใครค่ รวญซึง่ ธรรมนั้นด้วย ปญั ญา. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นนั้ อยู่ ท�ำการเลอื กเฟน้ ใครค่ รวญธรรมนนั้ อยดู่ ว้ ยปญั ญา สมยั นนั้ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์ สมยั นน้ั ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคข์ องภกิ ษุชอื่ วา่ ถงึ ความเตม็ รอบแหง่ การเจริญ. ภกิ ษนุ นั้ เมอ่ื เลอื กเฟน้ ใครค่ รวญอยซู่ ง่ึ ธรรมนนั้ ดว้ ยปญั ญา ความเพยี รอนั ไมย่ อ่ หยอ่ น ชอื่ วา่ เปน็ ธรรมอนั ภกิ ษุนนั้ ปรารภแลว้ . ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! สมยั ใด ความเพยี ร ไมย่ อ่ หยอ่ นอนั ภกิ ษผุ เู้ ลอื กเฟน้ ใครค่ รวญในธรรมนนั้ ดว้ ย ปัญญา สมัยนน้ั วริ ยิ สมั โพชฌงค์ ก็เป็นอันวา่ ภิกษุนน้ั ปรารภแลว้ สมยั นนั้ ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ วริ ยิ สมั โพชฌงค์ สมัยน้ันวิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบ แห่งการเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื มคี วามเพยี รอนั ปรารภแลว้ ปตี อิ นั เปน็ นริ ามสิ กเ็ กดิ ขน้ึ .ภิกษุทง้ั หลาย ! สมยั ใดปตี อิ นั เปน็ นริ ามสิ 38
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : อานาปานสติ เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว สมัยนั้น ปตี สิ มั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ปตี สิ มั โพชฌงค์ สมยั นน้ั ปตี สิ มั โพชฌงค์ ของภิกษุช่ือว่าถงึ ความเต็มรอบแหง่ การเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ั เมอื่ มใี จประกอบดว้ ยปตี ิ แมก้ ายกร็ �ำงบั แมจ้ ติ กร็ �ำงบั . ภกิ ษุท้งั หลาย ! สมยั ใด ทงั้ กายและทงั้ จติ ของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมร�ำงับ สมัยน้ัน ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุน้ันปรารภแล้ว สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค์ สมยั นน้ั ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบ แห่งการเจริญ. ภิกษุน้ัน เมอ่ื มกี ายอนั ร�ำงบั แลว้ มคี วามสขุ อยู่ จิตย่อมตั้งม่ัน. ภิกษุท้ังหลาย ! สมัยใด จิตของภิกษุ ผมู้ ีกายอันร�ำงับแล้วมีความสุขอยู่ ย่อมต้ังม่ัน สมัยน้ัน สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุน้ันปรารภแล้ว สมัยน้ันภิกษุช่ือว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ สมัยน้ัน สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง การเจริญ. 39
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษุน้ัน ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิต อันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้นเป็นอย่างดี. ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งม่ันแล้ว อย่างน้ัน เป็นอย่างดี สมัยน้ัน อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุน้ันปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อม เจรญิ อุเบกขาสมั โพชฌงค์ สมัยน้นั อุเบกขาสมั โพชฌงค์ ของภิกษุช่ือว่าถึงความเต็มรอบแหง่ การเจริญ. [โพชฌงค์เจด็ หมวดเวทนานปุ สั สนา] ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! สมยั ใด ภกิ ษุเปน็ ผเู้ ห็นเวทนา ในเวทนาท้ังหลาย อยู่เป็นประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากิเลส มสี ัมปชัญญะ มีสติ น�ำอภิชฌาและโทมนสั ในโลกออก เสยี ได้ สมยั นนั้ สติของภิกษผุ เู้ ขา้ ไปตั้งไว้แลว้ ก็เป็น ธรรมชาตไิ ม่ลืมหลง. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! สมยั ใด สตขิ อง ภิกษผุ ู้เขา้ ไปตงั้ ไวแ้ ลว้ เป็นธรรมชาติไมล่ ืมหลง สมัยนนั้ สตสิ ัมโพชฌงค์ ก็เปน็ อนั ว่าภิกษุน้นั ปรารภแล้ว สมัยน้นั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ สตสิ มั โพชฌงค์ สมยั นนั้ สตสิ มั โพชฌงค์ ของภกิ ษุชื่อว่าถึงความเตม็ รอบแห่งการเจริญ. 40
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : อานาปานสติ ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ยอ่ มท�ำ การเลอื ก ยอ่ มท�ำ การเฟน้ ยอ่ มท�ำ การใครค่ รวญ ซง่ึ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญา (ต่อไปน้ี มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวดกายานุปัสสนา จนจบหมวด). [โพชฌงค์เจด็ หมวดจติ ตานุปสั สนา] ภิกษทุ ้ังหลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจิต อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได้ สมยั นน้ั สตขิ องภกิ ษุ ผเู้ ขา้ ไปตง้ั ไวแ้ ลว้ กเ็ ปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง.ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด สตขิ องภกิ ษผุ เู้ ขา้ ไปตง้ั ไวแ้ ลว้ เปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง สมยั น้นั สติสมั โพชฌงค์ กเ็ ป็นอนั ว่าภิกษนุ ้นั ปรารภแล้ว สมัยน้ันภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น สตสิ มั โพชฌงคข์ องภกิ ษชุ อ่ื วา่ ถงึ ความเตม็ รอบแหง่ การเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ยอ่ มท�ำ การเลอื ก ยอ่ มท�ำ การเฟน้ ยอ่ มท�ำ การใครค่ รวญซง่ึ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญา (ต่อไปน้ี มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวดกายานปุ สั สนา จนจบหมวด). 41
พทุ ธวจน - หมวดธรรม [โพชฌงคเ์ จ็ด หมวดธัมมานปุ ัสสนา] ภิกษุท้งั หลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ หน็ ธรรมใน ธรรมทั้งหลาย อยู่เปน็ ประจ�ำ มีความเพยี รเผากิเลส มี สมั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได้ สมยั น้ัน สติของภกิ ษุผู้เข้าไปต้ังไวแ้ ลว้ กเ็ ป็นธรรมชาติ ไม่ลืมหลง. ภิกษทุ ั้งหลาย ! สมัยใด สติของภกิ ษผุ ้เู ขา้ ไป ตง้ั ไวแ้ ลว้ เปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง สมยั นน้ั สตสิ มั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ สติสัมโพชฌงค์ สมัยน้ันสติสมั โพชฌงคข์ องภิกษชุ ื่อวา่ ถึง ความเตม็ รอบแหง่ การเจริญ. ภกิ ษนุ นั้ เมอื่ เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นนั้ อยู่ ยอ่ มท�ำการเลอื ก ยอ่ มท�ำการเฟน้ ยอ่ มท�ำการใครค่ รวญ ซงึ่ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญา (ต่อไปนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวดกายานุปัสสนา จนจบหมวด). ภิกษทุ ้ังหลาย ! สตปิ ฏั ฐานทงั้ สี่ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งน้ี ท�ำใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ชอื่ วา่ ท�ำโพชฌงค์ ทงั้ เจด็ ให้บรบิ ูรณไ์ ด.้ 42
เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : อานาปานสติ วชิ ชาและวมิ ุตตบิ ริบรู ณ์ เพราะโพชฌงค์บริบูรณ์ ภิกษทุ ง้ั หลาย ! โพชฌงคท์ ง้ั เจด็ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งไร ท�ำ ให้มากแลว้ อย่างไร จงึ ทำ�วิชชาและวมิ ตุ ติ ให้บริบรู ณ์ได้ ? ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อันอาศัยนโิ รธ (ความดับ) อันนอ้ มไป เพอื่ โวสสัคคะ (ความสละ ความปลอ่ ย) ยอ่ มเจรญิ ธมั มวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศัยวิราคะ อนั อาศยั นิโรธ อันน้อมไปเพอื่ โวสสคั คะ ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศยั วริ าคะ อันอาศยั นโิ รธ อันน้อมไปเพื่อโวสสคั คะ ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศัยวริ าคะ อันอาศัยนโิ รธ อนั นอ้ มไปเพ่ือโวสสคั คะ ยอ่ มเจรญิ ปสั สทั ธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวเิ วก อันอาศัยวิราคะ อนั อาศยั นโิ รธ อันน้อมไปเพือ่ โวสสัคคะ 43
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศัยวริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ อนั น้อมไปเพอ่ื โวสสคั คะ ยอ่ มเจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ อันอาศัยวเิ วก อันอาศัยวริ าคะ อนั อาศัยนโิ รธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ. ภิกษุท้ังหลาย ! โพชฌงค์ทั้งเจ็ด อันบุคคล เจริญแล้วอย่างนี้ ท�ำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่า ท�ำวชิ ชาและวิมตุ ติใหบ้ ริบรู ณ์ได้ ดงั น.ี้ (ขอ้ สงั เกต ดงั ทต่ี รสั ไว้ แสดงวา่ สตปิ ฏั ฐานทง้ั สี่ ในแตล่ ะ หมวด สมบรู ณใ์ นตวั เอง คอื เขา้ ถงึ โพชฌงคท์ บี่ รบิ รู ณจ์ นกระทงั่ วมิ ตุ ตไิ ดท้ กุ หมวด ดงั นนั้ สตปิ ฏั ฐานสนี่ น้ั ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะเจรญิ หมวด ใดหมวดหนง่ึ หรอื ทง้ั ๔ หมวด กไ็ ดเ้ หมอื นกนั เพราะสามารถยงั วมิ ตุ ตใิ หป้ รากฏไดด้ จุ เดยี วกนั ผรู้ วบรวม) 44
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : อานาปานสติ การเจริญอานาปานสติ 05 (ตามนยั แห่งมหาสติปัฏฐานสูตร) -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๓๒๒-๓๒๔/๒๗๔. -บาลี มู. ม. ๑๒/๑๐๓-๑๐๕/๑๓๓. ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุเป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็น กายในกายอยู่นน้ั เปน็ อย่างไรเลา่ ? ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรือเรอื นวา่ งก็ตาม ยอ่ มนั่งค้ขู าเข้ามาโดยรอบ (ขดั สมาธ)ิ ตง้ั กายตรง ด�ำรงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอเปน็ ผมู้ สี ติ หายใจเข้า มีสติหายใจออก (๑) เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รชู้ ดั ว่าเราหายใจเข้ายาว หรอื เมอื่ หายใจออกยาว กร็ ู้ชัด ว่าเราหายใจออกยาว หรือว่า (๒) เม่ือหายใจเข้าส้ัน กร็ ู้ชัดว่าเราหายใจเขา้ ส้ัน หรือเม่ือหายใจออกส้ัน ก็รูช้ ัด วา่ เราหายใจออกสนั้ (๓) เธอยอ่ มท�ำการฝึกหดั ศกึ ษาวา่ เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายท้ังปวง จักหายใจเข้า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงกายท้ังปวง จักหายใจออก (๔) เธอย่อมท�ำการฝึกหดั ศกึ ษาว่า เราท�ำกายสงั ขารให้ ร�ำงบั จกั หายใจเขา้ เราท�ำกายสงั ขารใหร้ �ำงบั จกั หายใจออก 45
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เช่นเดียวกับนายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึง ผชู้ �ำนาญ เมอ่ื เขาชกั เชอื กกลงึ ยาว กร็ ชู้ ดั วา่ เราชกั เชอื ก กลึงยาว เมอ่ื ชกั เชอื กกลึงส้นั กร็ ชู้ ดั ว่าเราชักเชือกกลงึ สน้ั ฉันใดกฉ็ นั นั้น. ดว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล ทภ่ี กิ ษเุ ปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณา เห็นกาย ในกายอนั เป็นภายในอยู่ บ้าง ในกายอนั เปน็ ภายนอกอยู่ บ้าง ในกายทั้งภายในและภายนอกอยู่ บ้าง และเปน็ ผู้มีปกตพิ จิ ารณา เหน็ ธรรม อนั เป็นเหตุเกดิ ขึ้น ในกายอยู่ บ้าง เห็นธรรมเป็นเหตุเส่อื มไปในกายอยู่ บ้าง เห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไปในกายอยู่ บ้าง กแ็ หละ สติ วา่ “กายมอี ย”ู่ ดงั นข้ี องเธอนน้ั เปน็ สตทิ ่ี เธอด�ำ รงไวเ้ พยี งเพอ่ื ความรู้ เพยี งเพอ่ื อาศยั ระลกึ ทแ่ี ท้ เธอเป็นผู้ทต่ี ณั หาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้ และเธอไมย่ ึดมน่ั อะไรๆ ในโลกน้.ี ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ภกิ ษชุ อ่ื วา่ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณา เห็นกายในกายอยู่ แม้ด้วยอาการอยา่ งน้.ี 46
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ เมอ่ื เจรญิ อานาปานสติ 06 กช็ ื่อว่าเจรญิ กายคตาสติ -บาลี อุปร.ิ ม. ๑๔/๒๐๔/๒๙๔. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมือ่ หายใจออกยาว กร็ ูช้ ดั ว่าเราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เม่ือหายใจออกสั้น กร็ ูช้ ัดว่าเราหายใจออกสน้ั เธอย่อมทำ�การฝกึ หดั ศึกษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซ่งึ กายทงั้ ปวง หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผรู้ ูพ้ รอ้ ม เฉพาะซ่งึ กายทง้ั ปวง หายใจออก” เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสงั ขารใหร้ �ำ งบั หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ กายสงั ขาร ให้รำ�งับ หายใจออก” 47
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เมอ่ื ภกิ ษนุ น้ั เปน็ ผไู้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี ร มตี น ส่งไปแล้วในการทำ�เช่นนั้นอยู่ ย่อมละความระลึกและ ความด�ำ รอิ นั อาศัยเรือนเสียได้. เพราะละความระลกึ และความด�ำ รนิ น้ั ได้ จติ ของเธอ ก็ตงั้ อยูด่ ้วยดี สงบรำ�งับอยู่ดว้ ยดี เปน็ ธรรมเอกผุดมขี น้ึ เป็นสมาธิอยใู่ นภายในนั่นเทียว. ภิกษุท้ังหลาย ! แม้อย่างน้ี ภิกษุน้ันก็ชื่อว่า เจรญิ กายคตาสติ. (ขอ้ สงั เกต สว่ นใหญเ่ รามกั จะเขา้ ใจวา่ กายคตาสติ คอื การพิจารณาอสุภะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือการเจริญมรรค เพ่ือการหลุดพ้นจะต้องผ่านการพิจารณาอสุภะเสียก่อนเสมอไป เทา่ นนั้ ในพระสตู รนจ้ี งึ เปน็ ค�ำตอบใหเ้ หน็ วา่ อานาปานสติ กเ็ ปน็ กายคตาสติ และสามารถเจริญมรรคนี้ จนถงึ วมิ ุตตหิ ลุดพน้ ได้ โดยตรง ดงั ในพระสตู รอนื่ ๆ ทพ่ี ระองคต์ รสั ไวใ้ นเลม่ น้ี นอกจากนน้ั กายคตาสติยังมคี วามหมายอกี หลายนัย เชน่ หมายถึง การเจรญิ ฌานหนงึ่ ถงึ ฌานส่อี กี ด้วย ผู้รวบรวม) 48
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : อานาปานสติ อานาปานสติ 07 เป็นเหตใุ หถ้ งึ ซ่ึงนพิ พาน -บาลี เอก. อํ. ๒๐/๓๙-๔๐/๑๗๙–๑๘๐. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ธรรมอยา่ งหนงึ่ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือความหน่ายโดย สว่ นเดยี ว เพอ่ื คลายก�ำหนดั เพอื่ ความดบั เพอื่ ความสงบ เพือ่ ความรูย้ งิ่ เพื่อความตรัสรู้ เพ่อื นิพพาน. ธรรมอยา่ งหนง่ึ คอื อะไร ? คอื ... อานาปานสติ ... ภิกษุทง้ั หลาย ! ธรรมอยา่ งหน่งึ นี้แล อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความหนา่ ย โดยสว่ นเดยี ว เพอ่ื คลายก�ำ หนดั เพอ่ื ความดบั เพอ่ื ความสงบ เพ่ือความรยู้ ่ิง เพอื่ ความตรสั รู้ เพ่ือนิพพาน. 49
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : อานาปานสติ อานาปานสตสิ มาธิ 08 เปน็ เหตใุ ห้ละสงั โยชน์ได้ -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๖-๔๒๗/๑๔๐๖-๑๔๐๗. ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แล้ว ท�ำ ให้มากแล้ว เปน็ ไปเพือ่ การละสัญโญชน์ ทง้ั หลาย. ภิกษุทง้ั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งไรเลา่ จงึ เปน็ ไปเพอ่ื การละ สญั โญชน์ทั้งหลาย ? ภิกษุท้ังหลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เม่อื หายใจออกยาว กร็ ู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เมอ่ื หายใจออกสั้น กร็ ชู้ ัดว่าเราหายใจออกสั้น 50
เปิดธรรมท่ีถูกปิด : อานาปานสติ (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๑–๔ ทกุ ประการ). ภิกษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อนั บคุ คล เจรญิ แล้ว ทำ�ใหม้ ากแล้ว อย่างนแ้ี ล ย่อมเปน็ ไปเพือ่ การละสัญโญชน์ทง้ั หลาย. 51
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : อานาปานสติ อานาปานสติสมาธิ 09 สามารถก�ำจดั เสียไดซ้ งึ่ อนุสัย -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๖/๑๔๐๘. ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื การก�ำ จดั เสยี ซง่ึ อนสุ ัย. ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแลว้ ท�ำ ใหม้ ากแล้ว อยา่ งไรเล่า จึงเปน็ ไปเพอื่ การ กำ�จดั เสียซ่ึงอนสุ ยั ? ภกิ ษุท้ังหลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เม่ือหายใจออกยาว ก็รชู้ ัดวา่ เราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เมอ่ื หายใจออกสั้น ก็รู้ชดั วา่ เราหายใจออกส้นั 52
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : อานาปานสติ (แต่นี้ได้ตรัสไว้อยา่ งเดียวกัน ซ่งึ เหมอื นในหนา้ ๑–๔ ทุกประการ). ภิกษุทง้ั หลาย ! อานาปานสตสิ มาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ ทำ�ใหม้ ากแลว้ อย่างนี้แล ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื การกำ�จดั เสยี ซ่ึงอนุสัย. 53
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : อานาปานสติ อานาปานสติสมาธิ 10 เปน็ เหตใุ หร้ อบรซู้ งึ่ ทางไกล (อวชิ ชา) -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๖/๑๔๐๙. ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ท�ำ ให้มากแล้ว ย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ความรอบรู้ ซง่ึ ทางไกล (อวชิ ชา). ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ ท�ำ ให้มากแล้ว อยา่ งไรเลา่ จึงเปน็ ไปเพ่อื ความ รอบร้ทู างไกล ? ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมอื่ หายใจออกยาว ก็รู้ชัดวา่ เราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เมอื่ หายใจออกสนั้ ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสัน้ 54
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : อานาปานสติ (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซงึ่ เหมอื นในหนา้ ๑–๔ ทกุ ประการ). ภกิ ษุทงั้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบคุ คล เจรญิ แลว้ ท�ำ ให้มากแล้ว อย่างนแ้ี ล ยอ่ มเป็นไป เพื่อความรอบรูท้ างไกล. 55
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : อานาปานสติ อานาปานสติสมาธิ 11 เปน็ เหตุใหส้ ิ้นอาสวะ -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๖/๑๔๑๐. ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไป แห่งอาสวะทั้งหลาย. ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างไรเล่า จึงเป็นไปเพื่อ ความส้นิ ไปแหง่ อาสวะทั้งหลาย ? ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เม่อื หายใจออกยาว กร็ ูช้ ดั ว่าเราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน เม่ือหายใจออกส้นั กร็ ้ชู ัดว่าเราหายใจออกส้ัน 56
เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : อานาปานสติ (แต่นี้ได้ตรสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๑–๔ ทุกประการ). ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบคุ คล เจรญิ แล้ว ทำ�ใหม้ ากแล้ว อย่างนแี้ ล ยอ่ มเป็นไป เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะท้ังหลาย. 57
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : อานาปานสติ แบบการเจริญอานาปานสติ 12 ท่มี ีผลมาก (แบบท่ีหนึ่ง) -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๔/๑๓๐๕-๑๓๐๖. ภิกษุท้ังหลาย ! ธรรมอนั เอก อนั บคุ คลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ธรรมอนั เอกนัน้ คืออะไรเล่า ? คือ อานาปานสต.ิ ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้วอยา่ งไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร จึงมผี ลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ? ภกิ ษุทั้งหลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมือ่ หายใจออกยาว กร็ ูช้ ดั ว่าเราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน เมอ่ื หายใจออกสั้น ก็ร้ชู ัดวา่ เราหายใจออกสั้น 58
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : อานาปานสติ (แต่น้ไี ดต้ รัสไว้อย่างเดียวกัน ซ่งึ เหมือนในหน้า ๑–๔ ทกุ ประการ). ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญ.่ 59
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : อานาปานสติ เจริญอานาปานสติ 13 มอี านสิ งสเ์ ป็นเอนกประการ -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๐๐-๔๐๔/๑๓๒๗-๑๓๔๗. ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญ กระทำ�ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มมผี ลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ กอ็ านาปานสติสมาธิ อันบคุ คลเจริญแลว้ กระทำ�ใหม้ าก แลว้ อย่างไร จึงมผี ลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ ? ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เม่อื หายใจออกยาว ก็รูช้ ัดว่าเราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกส้นั กร็ ชู้ ัดวา่ เราหายใจออกสัน้ (แตน่ ไี้ ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซงึ่ เหมอื นในหนา้ ๑–๔ ทกุ ประการ). 60
เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : อานาปานสติ ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสตสิ มาธิ อนั บคุ คล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญ.่ จิตหลุดพ้นจากอาสวะ ภิกษุทงั้ หลาย ! แม้เราเอง เม่อื ยังไมต่ รสั รู้ กอ่ น การตรสั รู้ ยงั เปน็ โพธสิ ตั วอ์ ยู่ ยอ่ มอยดู่ ว้ ยวหิ ารธรรมนเ้ี ปน็ อนั มาก. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื เราอยดู่ ว้ ยวหิ ารธรรมน้ี เปน็ อนั มาก กายกไ็ มล่ �ำ บาก ตากไ็ มล่ �ำ บาก และจติ ของเรา กห็ ลดุ พน้ จากอาสวะทง้ั หลาย เพราะไมถ่ อื มน่ั ดว้ ยอปุ าทาน. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาว่า “กายของเราไมพ่ งึ ล�ำ บาก ตาของเราไมพ่ งึ ลำ�บาก และจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะท้ังหลาย เพราะไม่ถือมัน่ ดว้ ยอุปาทาน” ดังนี้แลว้ ไซร้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ่ี หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจให้เปน็ อย่างดี. 61
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ละความดำ�รอิ นั อาศัยเรอื น ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอื่ งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “ความระลกึ และด�ำรอิ นั อาศยั เรอื นเหลา่ ใด ของเรามอี ยู่ ความระลกึ และความด�ำรเิ หลา่ นนั้ พงึ สน้ิ ไป” ดงั นแ้ี ลว้ ไซร้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ่ี หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจให้เปน็ อย่างดี. ควบคุมความร้สู กึ เก่ยี วความไม่ปฏิกลู ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ เปน็ ผมู้ สี ญั ญาวา่ ปฏกิ ลู ในสง่ิ ทไ่ี มเ่ ปน็ ปฏกิ ูลอยูเ่ ถิด” ดงั น้ีแลว้ ไซร้ อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ป็นอยา่ งดี. ภิกษทุ ้งั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพึงเปน็ ผมู้ สี ัญญาว่า ไมป่ ฏิกูลในสง่ิ ที่ ปฏิกลู อยเู่ ถิด” ดังนีแ้ ล้วไซร้ 62
เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : อานาปานสติ อานาปานสตินีแ้ หละ อันภิกษนุ นั้ พงึ ทำ�ไวใ้ นใจ ใหเ้ ปน็ อย่างด.ี ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ เปน็ ผมู้ สี ญั ญาวา่ ปฏกิ ลู ทง้ั ในสง่ิ ท่ี ไมป่ ฏิกูล และทง้ั ในส่ิงที่ปฏิกลู อยู่เถิด” ดงั น้ีแลว้ ไซร้ อานาปานสติน้ีแหละ อนั ภิกษุน้นั พงึ ทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ป็นอย่างด.ี ภกิ ษุทัง้ หลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในเร่อื งน้ี ถา้ ภิกษุ ปรารถนาว่า “เราพงึ เป็นผมู้ ีสญั ญาว่า ไมป่ ฏกิ ลู ทัง้ ใน สง่ิ ทป่ี ฏิกลู และในส่ิงไมป่ ฏกิ ูลอยู่เถิด” ดงั นแ้ี ล้วไซร้ อานาปานสตินแ้ี หละ อันภิกษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไวใ้ นใจ ให้เป็นอย่างดี. ภิกษุทงั้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอื่ งนี้ ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากความรสู้ กึ วา่ ปฏกิ ลู และความรสู้ กึ วา่ ไมเ่ ปน็ ปฏกิ ลู ทงั้ ๒ อยา่ งเสยี โดยเดด็ ขาด แล้วเป็นผ้อู ยอู่ เุ บกขา มีสติสัมปชญั ญะอย่เู ถดิ ” ดงั น้ี แล้วไซร้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ้ี หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจใหเ้ ป็นอยา่ งด.ี 63
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปน็ เหตุให้ไดส้ มาธิในระดับรูปสัญญาท้ังสี่ ภิกษทุ ัง้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาว่า “เราพงึ เปน็ ผู้สงัดจากกามทัง้ หลาย สงดั จาก อกศุ ลธรรมทง้ั หลาย เขา้ ถงึ ปฐมฌาน อนั มวี ติ กวจิ าร มปี ตี ิ และสุข อันเกดิ จากวเิ วกแลว้ แลอยู่เถดิ ” ดงั น้แี ลว้ ไซร้ อานาปานสตินีแ้ หละ อนั ภิกษนุ ้ันพงึ ทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ปน็ อย่างด.ี ภิกษุท้งั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาว่า “เพราะวิตกวิจารระงับไป เราพึงเข้าถึง ทตุ ิยฌาน อันเป็นเคร่อื งผ่องใสแหง่ จิตในภายใน เพราะ ธรรมอนั เอกคอื สมาธิ ผดุ มขี ึ้น ไม่มีวิตก ไม่มวี จิ าร มีปีติ และสขุ อันเกดิ จากสมาธแิ ล้วแลอยู่เถดิ ” ดงั นแี้ ลว้ ไซร้ อานาปานสตนิ ี้แหละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พึงทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ปน็ อยา่ งดี. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เพราะความจางคลายไปแหง่ ปตี ิ เราพงึ เปน็ ผอู้ ยู่ อเุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะ เสวยสขุ ดว้ ยกาย (สขุ จฺ กาเยน) ชนดิ ทพ่ี ระอรยิ เจา้ กลา่ ววา่ ผนู้ น้ั เปน็ ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ติ มกี าร อยเู่ ปน็ สขุ เขา้ ถงึ ตตยิ ฌาน แลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดงั นแ้ี ลว้ ไซร้ 64
เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : อานาปานสติ อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ป็นอยา่ งด.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งนี้ ถ้าภิกษุ ปรารถนาวา่ “เพราะละสขุ และทกุ ข์เสยี ได้ เพราะความ ดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน เราพึงเข้าถึง จตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความบริสุทธิ์ แห่งสติ เพราะอเุ บกขาแลว้ แลอยู่เถดิ ” ดังนีแ้ ล้วไซร้ อานาปานสติสมาธิน้ีแหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ� ไวใ้ นใจให้เปน็ อย่างดี. เปน็ เหตใุ ห้ได้สมาธิในระดบั อรปู สัญญาท้ังส่ี ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เพราะเหตุน้นั ในเรอ่ื งนี้ ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาว่า “เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียโดยประการ ทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญาท้ังหลาย เพราะการไมก่ ระท�ำ ในใจ ซง่ึ นานตั ตสญั ญามปี ระการตา่ งๆ เราพึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำ�ในใจว่า อากาศไมม่ ที ีส่ ดุ ดังน้แี ล้วแลอยเู่ ถิด” ดังนี้แล้วไซร้ อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ปน็ อยา่ งดี. 65
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทัง้ หลาย ! เพราะเหตนุ นั้ ในเรอ่ื งนี้ ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ กา้ วลว่ งอากาสานญั จายตนะโดยประการ ทงั้ ปวงเสยี แลว้ พงึ เขา้ ถงึ วญิ ญาณญั จายตนะ อนั มกี ารท�ำ ในใจวา่ วญิ ญาณไมม่ ที สี่ ดุ ดงั นแี้ ลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดงั นแ้ี ลว้ ไซร้ อานาปานสตินแ้ี หละ อนั ภิกษนุ นั้ พึงทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ป็นอย่างด.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ ก้าวลว่ งวญิ ญาณัญจายตนะเสียโดย ประการทง้ั ปวง เขา้ ถงึ อากญิ จญั ญายตนะ อนั มกี ารท�ำ ในใจ ว่าไมม่ ีอะไร แล้วแลอยูเ่ ถิด” ดังน้ีแลว้ ไซร้ อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เปน็ อย่างด.ี ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตนุ นั้ ในเรอื่ งนี้ ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ กา้ วลว่ งอากญิ จญั ญายตนะเสยี โดยประการ ทงั้ ปวง เขา้ ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะแลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดงั นีแ้ ลว้ ไซร้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ่ี หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจใหเ้ ปน็ อยา่ งดี. 66
เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : อานาปานสติ เป็นเหตุให้ได้สญั ญาเวทยติ นิโรธ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ นั้ ในเรอ่ื งนี้ ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ กา้ วลว่ งซง่ึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ เสียได้โดยประการท้ังปวง เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ แลว้ แลอย่เู ถิด” ดงั น้แี ลว้ ไซร้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ้ี หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจใหเ้ ป็นอยา่ งดี. รตู้ ่อเวทนาทกุ ประการ ภิกษุท้งั หลาย ! เมอ่ื อานาปานสตสิ มาธิ อนั ภกิ ษุ เจริญแลว้ ทำ�ใหม้ ากแล้วอยูอ่ ย่างน้ี ถ้าภิกษุนั้นเสวย เวทนาอันเป็นสุข เธอย่อม รู้ตัวว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อนั เราไมส่ ยบมวั เมาแล้ว ย่อมรู้ตวั วา่ เวทนานั้น อนั เรา ไม่เพลดิ เพลินเฉพาะแลว้ ดงั นี.้ ถ้าภิกษนุ น้ั เสวย เวทนาอนั เปน็ ทุกข์ เธอย่อม รู้ตัวว่า เวทนานั้นไม่เท่ียง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น 67
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อันเราไม่สยบมัวเมาแลว้ ยอ่ มรตู้ วั วา่ เวทนานั้น อนั เรา ไมเ่ พลดิ เพลนิ เฉพาะแล้ว ดังน้.ี ถา้ ภิกษุน้ันเสวย เวทนาอนั ไม่ใชส่ ุข ไมใ่ ชท่ ุกข์ เธอยอ่ มร้ตู วั ว่า เวทนานัน้ ไมเ่ ทยี่ ง เธอย่อมรตู้ วั ว่าเวทนา นั้น อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนาน้ัน อันเราไมเ่ พลดิ เพลินเฉพาะแลว้ ดังน้.ี ภกิ ษนุ ้ัน ถ้าเสวย เวทนาอันเป็นสุข ก็เป็นผู้ ไมต่ ดิ ใจพวั พนั เสวยเวทนานน้ั ถา้ เสวยเวทนาอนั เปน็ ทกุ ข์ ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนานั้น ถ้าเสวยเวทนา อนั เปน็ อทกุ ขมสขุ กเ็ ปน็ ผไู้ มต่ ดิ ใจพวั พนั เสวยเวทนานน้ั . ภกิ ษนุ น้ั เมอื่ เสวย เวทนาอนั มกี ายเปน็ ทส่ี ดุ รอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นท่ีสุดรอบ เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอนั มีชวี ติ เป็นทสี่ ุดรอบ. เธอยอ่ ม รู้ชัดว่า เวทนาทง้ั ปวงอนั เราไม่เพลดิ เพลนิ แล้ว จกั เปน็ ของดับ เยน็ ในอตั ตภาพนี้นน่ั เทยี ว จนกระทง่ั ถงึ ท่สี ุดรอบแหง่ ชวี ิต เพราะการแตกท�ำลายแหง่ กาย ดงั นี้. 68
เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : อานาปานสติ ภิกษุท้ังหลาย ! เปรียบเหมือนประทีปน�้ำมัน ไดอ้ าศยั นำ�้ มนั และไสแ้ ลว้ กล็ กุ โพลงอยไู่ ด้ เมอื่ ขาดปจั จยั เครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้�ำมันและไส้น้ันแล้ว ยอ่ มดบั ลง นีฉ้ ันใด ภิกษุทงั้ หลาย ! ขอ้ นกี้ ฉ็ นั นน้ั คอื ภิกษุเม่อื เสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนา อนั มกี ายเปน็ ทส่ี ดุ รอบ ดงั น.้ี เมอ่ื เสวยเวทนาอนั มชี วี ติ เปน็ ทส่ี ดุ รอบ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยเวทนาอนั มชี วี ติ ทส่ี ดุ รอบ ดงั น.้ี (เป็นอันว่า) ภิกษุน้ันย่อมรู้ชัดว่า เวทนาท้ังปวงอันเรา ไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของดับเย็นในอัตตภาพน้ี นัน่ เทียว จนกระทง่ั ถงึ ทส่ี ุดรอบแห่งชีวติ เพราะการแตก ท�ำ ลายแห่งกาย ดงั นี้. 69
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ 70
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : อานาปานสติ แบบการเจรญิ อานาปานสติ 14 ที่มผี ลมาก (แบบทีส่ อง) -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๕/๑๓๐๗-๑๓๐๘. ภกิ ษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบคุ คลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็ อานาปานสติ อนั บคุ คลเจริญแล้วอย่างไร กระท�ำ ให้มาก แล้วอยา่ งไร จงึ มีผลมาก มอี านิสงสม์ าก ? ภิกษทุ ้ังหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบดว้ ยอานาปานสติ อันเปน็ สมั โพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อาศยั นโิ รธ (ความดบั ) นอ้ มไปเพอ่ื โวสสคั คะ (ความสละลง) ย่อมเจรญิ ธมั มวิจยสมั โพชฌงค์ อนั ประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ 71
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ย่อมเจรญิ ปสั สทั ธิสมั โพชฌงค ์ อนั ประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ยอ่ มเจริญ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ อนั ประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลมาก มอี านสิ งสม์ าก. 72
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : อานาปานสติ เจริญอานาปานสติ มีอานสิ งส์ 15 เปน็ เอนกประการ (อีกสูตรหน่งึ ) -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๑๘๑/๖๕๕. ภกิ ษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็ อานาปานสติ อันบคุ คลเจรญิ แล้วอย่างไร กระท�ำให้มาก แล้วอยา่ งไร ย่อมมีผลมาก มอี านิสงสม์ าก ? ภิกษทุ ั้งหลาย ! ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นี้ ย่อมเจรญิ สติสัมโพชฌงค์ อนั ประกอบดว้ ยอานาปานสติ อาศัย วเิ วก อาศยั วริ าคะ (ความจางคลาย) อาศยั นโิ รธ (ความดบั ) น้อมไปเพอื่ โวสสัคคะ (ความสละลง) (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสต ิ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อย่างน้ี กระทำ�ใหม้ ากแล้วอยา่ งนแ้ี ล ย่อมมีผลมาก มอี านิสงสม์ าก. 73
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ได้บรรลมุ รรคผลในปัจจบุ ัน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ พงึ หวงั ผลได้ ๒ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ ง หนง่ึ คอื อรหตั ตผลในปจั จบุ นั หรอื เมอ่ื ยงั มคี วามยดึ ถอื เหลอื อยู่ ยอ่ มเป็น พระอนาคามี. กอ็ านาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งไร กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งไร พงึ หวงั ผลได้ ๒ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื อรหตั ตผลในปจั จบุ นั หรอื เมอ่ื ยงั มคี วามยดึ ถอื เหลอื อยู่ ยอ่ มเปน็ พระอนาคามี ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ยอ่ มเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อัน เป็นสัมโพชฌงค์ท่ีอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในการสละ (แตน่ ไี้ ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แล้วอย่างน้ี กระท�ำให้มากแล้วอย่างนี้แล พึงหวังผลได้ 74
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : อานาปานสติ ๒ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื อรหตั ตผลในปจั จบุ นั หรอื เม่ือยงั มีความยดึ ถือเหลืออยู่ ยอ่ มเปน็ พระอนาคาม.ี เพ่ือประโยชนม์ าก ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ ประโยชน์มาก (มหโต อตถฺ าย) กอ็ านาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งไร กระท�ำใหม้ ากแลว้ อยา่ งไร ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ประโยชนม์ าก. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ภกิ ษุในธรรมวินัยนี้ ยอ่ มเจริญ สตสิ มั โพชฌงค์ อันประกอบดว้ ยอานาปานสติ อันเปน็ สมั โพชฌงคท์ อ่ี าศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอ้ มไป ในการสละ (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุทงั้ หลาย ! อานาปานสติ อนั บุคคลเจริญ แล้วอย่างน้ี กระท�ำ ใหม้ ากแล้วอยา่ งนี้แล ยอ่ มเปน็ ไป เพื่อประโยชนม์ าก. 75
พุทธวจน - หมวดธรรม เพื่อความเกษมจากโยคะมาก ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเกษมจากโยคะมาก (มหโต โยคกเฺ ขมาย) กอ็ านาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างไร กระท�ำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมเป็นไปเพ่ือ ความเกษมจากโยคะมาก ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ยอ่ มเจริญ สตสิ ัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อนั เปน็ สมั โพชฌงค์ทอ่ี าศยั วเิ วก อาศัยวริ าคะ อาศัยนโิ รธ น้อมไปในการสละ (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซงึ่ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุทง้ั หลาย ! อานาปานสติ อันบคุ คลเจริญ แล้วอย่างนี้ กระท�ำ ให้มากแล้วอยา่ งน้ีแล ยอ่ มเป็นไป เพอ่ื ความเกษมจากโยคะมาก. 76
เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : อานาปานสติ เพอ่ื ความสังเวชมาก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือความสังเวชมาก (มหโต สเวคาย) ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร ย่อมเป็นไปเพ่ือ ความสังเวชมาก ? ภิกษุท้ังหลาย ! ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อัน เป็นสัมโพชฌงค์ท่ีอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในการสละ (แตน่ ไี้ ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซงึ่ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งนี้ กระทำ�ให้มากแลว้ อยา่ งน้แี ล ย่อมเป็นไป เพือ่ ความสังเวชมาก. 77
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เพ่ืออยู่เป็นผาสุกมาก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นผาสุกมาก (มหโต ผาสุวหิ าราย) กอ็ านาปานสติ อันบคุ คลเจริญแล้ว อย่างไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร ย่อมเป็นไปเพื่อ อยูเ่ ป็นผาสกุ มาก ? ภกิ ษุทั้งหลาย ! ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจรญิ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อัน เปน็ สมั โพชฌงค์ทอ่ี าศยั วิเวก อาศยั วิราคะ อาศยั นโิ รธ นอ้ มไปในการสละ (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อนั บุคคลเจริญ แลว้ อยา่ งนี้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งน้แี ล ยอ่ มเปน็ ไป เพ่ืออยเู่ ปน็ ผาสกุ มาก. 78
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204