บทที่ 6 เทคโนโลยกี ารผลติ มะคาเดเมีย 6.1 ปจ จัยของสภาพแวดลอมทม่ี อี ิทธิพลตอ การเจรญิ เตบิ โตของมะคาเดเมยี จากการศึกษาการปลูกมะคาเดเมียต้ังแตระยะเริ่มแรกจนถึงปจจุบันและจากรายงานการวิจัย ของตา งประเทศสามารถสรุปปจจัยตา ง ๆ ท่มี ีผลตอ การเจรญิ เติบโตของมะคาเดเมีย ดังน้ี 6.1.1 อุณหภมู ิ อุณหภูมิเปนปจจัยที่สําคัญในการปลูกมะคาเดเมีย จากการศึกษาระดับอุณหภูมิบริเวณเมือง Kona เกาะฮาวาย ซงึ่ เปน แหลงท่ีมีผลผลิตตอพ้ืนที่สูงท่ีสุดในปจจุบัน พบวา มีชวงอุณหภูมิสูงสุด-ต่ําสุด ระหวาง 32 องศาเซลเซียส และ 9 องศาเซลเซียส อัตราการสะสมน้ําหนักแหงสูงสุดท่ีอุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซยี ส (Trochoulias and Lahav, 1983) และถา หากอุณหภมู มิ ากกวา 30 องศาเซลเซยี ส จะทํา ใหก ารสังเคราะหแ สงลดลงและมะคาเดเมียบางพันธุ เชน พนั ธุ #508 จะแสดงอาการใบไหมเนื่องมาจาก สภาพอากาศรอน (heat stress) โดยใบออนเหลืองซีดและปลายใบมีอาการไหม (Allan, 1983) นอกจากน้อี ณุ หภูมิกลางคืนยงั มีอิทธิพลตอการกาํ เนิดตาดอกของมะคาเดเมยี พบวา ท่ีอุณหภูมิ 18 องศา เซลเซียส ทําใหเ กิดตาดอกไดด ที ีส่ ดุ และหากไดร ับอุณหภูมิระดบั นีน้ านเกิน 30 วัน จะทําใหตาดอกมีการ พฒั นาเปนชอดอกไดด ี แตถ าอุณหภูมิลดลงเปน 12 องศาเซลเซียส หรอื เพ่ิมข้ึนเปน 21 องศาเซลเซียส มี ผลทําใหต าดอกลดลง (Nakata, 1976) ในสภาพแวดลอมของเครือรัฐออสเตรเลีย การพัฒนาของตาดอกเกิดขึ้นประมาณตนเดือน พฤษภาคมซึง่ เปน ชว งเวลาทกี่ ลางวันสน้ั และอุณหภูมิกลางคืนต่ําระหวาง 11-15 องศาเซลเซียส โดยเร่ิม จากตาดอกหยดุ พกั ตัว แลว ขยายเปนชอดอกใน 50-60 วัน ชวงต้ังแตกําเนิดชอดอกจนถึงดอกบาน และ ไดร บั การผสมแลวใชเวลา 137-153 วัน ทั้งนีข้ นึ้ อยูกับพนั ธุและสถานที่ (Moncur et al., 1985) อยางไร กต็ ามท่อี ณุ หภูมิกลางคืน 20 องศาเซลเซียส จะสงเสริมใหเ กิดการสะสมคารโบไฮเดรต หรือปรับสมดลุ ของ สารควบคุมการเจรญิ ของตาดอก มีผลทาํ ใหตน มะคาเดเมยี สรา งชอ ดอกขึ้นมาใหมเพอื่ ทดแทนชอดอกแรก ๆ ท่ีสูญเสียไปกอนการผสมเกสร (Jackson and Sweet, 1972; Nakata, 1976; Stephenson and Gallagher, 1986a) ในชว งการพฒั นาของผลถา อุณหภูมสิ ูงมากจะทําใหกะลาแข็งตัวเร็ว เนื้อในขยายไมไดทําใหผลมี ขนาดเล็ก กลา วโดยสรปุ คอื อณุ หภมู ทิ ่ีเหมาะสมตอ การเจรญิ เตบิ โตควรอยใู นชวง 10-30 องศาเซลเซียส (Trochulias et al., 1984) และชวงฤดูออกดอกควรอยูในชวง 18-20 องศาเซลเซียส และชวงท่ีผลกําลัง เจริญเตบิ โตควรมีอณุ หภมู ิระหวาง 20-25 องศาเซลเซียส และไมควรเกิน 30 องศาเซลเซียส (Stephenson and Gallagher, 1986b) 6.1.2 ปริมาณนา้ํ ฝนและความชน้ื ในแหลงปลกู มะคาเดเมยี ควรมปี ริมาณนํ้าฝนอยางนอย 1,000 มิลลิเมตรตอป และตกกระจายตลอดป (Storey, 1969) แตสว นใหญปริมาณนํ้าฝนในแหลงปลูกของประเทศไทยจะมีปญหาไมกระจายตลอดป ปรมิ าณนํ้าฝนจะอยูใ นชวง 1,200-2,500 มิลลเิ มตรตอป มีจาํ นวนเดือนทฝ่ี นตก 6-7 เดือน และมีชวงแลง 5-6 เดือน แลวแตพืน้ ที่ ชวงแลงจะเร่มิ ต้ังแตเดอื นพฤศจิกายนถงึ เมษายน ซง่ึ เปน ชวงเขาฤดูหนาว อากาศ หนาวเยน็ กระตนุ ใหมะคาเดเมยี ออกดอกตดิ ผลและชว งการติดผลจะผานตลอดชวงฤดูรอน ถาไมมีการให นํ้าชวงนี้ผลจะรวงและผลเล็ก ดังนั้นการปลูกมะคาเดเมียในประเทศไทยจะตองมีการใหน้ําชวงฤดูแลง (ดําเกงิ , 2534) ในพ้นื ท่ที ่มี คี วามสูง 800-1,300 เมตรจากระดับทะเล ในรอบ 1 ป มะคาเดเมียจะออกดอก 2 ชว งใหญ ๆ คอื ชวงเดอื นกรกฎาคม-สิงหาคม และ เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ ซึ่งในขณะออกดอกและ 42
ตดิ ผลในฤดูแลง โดยเฉพาะชวงเดอื นมกราคม-กุมภาพันธ มีความชนื้ สัมพัทธตาํ่ ประมาณรอ ยละ 50 จึงควร ใหนํ้าเพ่ือเพ่ิมความช้ืนใหสูงขึ้นประมาณรอยละ 70-75 จะชวยใหชอดอกมีการติดผลมากข้ึน อยางไรก็ ตามชวงฤดูฝนในพื้นที่ที่มีฝนตกมาก ในชวงออกดอกจะมีปญหาเกี่ยวกับความช้ืนสูง มีผลตอการ แพรกระจายของละอองเกสรในการผสมพนั ธุ 6.1.3 แสง จากการศกึ ษาของ Radspinner (1971) ในมลรัฐฮาวาย พบวา หากฝนตกมากชวง 2 เดือนกอน ออกดอก สง ผลใหข นาดผลเลก็ ลง เนือ่ งจากมีปรมิ าณแสงนอ ย ซ่งึ จะไปลดกระบวนการสงั เคราะหแสงและ สรา งคารโบไฮเดรตสาํ หรบั การเจริญเติบโตของสวนตาง ๆ ของตน ทําใหการสะสมคารโบไฮเดรตลดลง และไมสามารถไปสนับสนุนการเจริญเติบโตของผล พ้ืนที่ท่เี หมาะสมควรมีชวงแสงนาน 8-10 ช่วั โมงตอวัน อยา งไรก็ตาม อณุ หภูมเิ ปน ปจ จยั ทส่ี ําคญั กวา แสงในการออกดอกของมะคาเดเมยี 6.1.4 ดิน สภาพพน้ื ทีป่ ลูกมะคาเดเมียควรมกี ารระบายนํา้ ดี หากเปนดนิ เหนียวจะเปนปญ หาทีส่ ําคัญ ทําให รากมะคาเดเมียท่ีมีบางสวนฟูเหมือนรังบวบ (proteoid roots) ไมเจริญเติบโต ดังน้ัน ควรเลือกดินท่ีมี ช้ันดนิ ลึกอยางนอย 50 เมตร ความเปนกรด-ดาง อยูระหวาง 5.5-6.5 โดยท่ัวไปดินในประเทศไทยสวน ใหญเปนกรดถงึ กรดจัด จึงตอ งวิเคราะหดินและปรบั สภาพดินใหเหมาะสม ในระยะท่ีปลูกพืชอายุ 1-2 ป หากดินมีสภาพเปนกรด ควรใสปูนขาวตนละ 0.5 กิโลกรัม เม่ืออายุ 4-5 ปข้ึนไป เพิ่มเปนตนละ 1-2 กิโลกรัม (อุทยั และคณะ, 2551ก) 6.1.5 ไมบังลม ไมบังลมนับวาเปนปจจัยที่สําคัญท่ีจะตองพิจารณาในการเลือกพ้ืนที่สรางสวนมะคาเดเมีย เนือ่ งจากมะคาเดเมียเปนไมเ นอื้ แข็งแตเปราะหักงา ย ถามีพายุ ลมจะทําใหต นโคนลม กิ่งฉกี กิง่ หกั เสียหาย ได ถาปลูกไมบังลมกอนจะทําใหมะคาเดเมียเจริญเติบโตเร็ว เพราะตนไมถูกลมโยก ไมบังลม ไดแก ทองหลางใบมนจากฮาวาย (Wili wili; Erythrina lithosperma) สนอินเดีย (Silver oak or silky oak; Grevillea robusta) เสมด็ ฮาวาย (Paper bark; Melaleuca leucadendron L.) สนฉตั ร (Norfolka pine; Araucaria excelsa) หวา (Jambolan; Eugeinea cumini Druce.) ไผต ง และไผร วกตาง ๆ โดยสรปุ จะเห็นไดว า ปจ จัยดงั กลาวมผี ลตอ การเจริญเตบิ โต ผลผลิต และคุณภาพของมะคาเดเมีย ซ่ึงเปนพืชที่ตองการอุณหภูมิเย็นพอสมควร สําหรับประเทศไทย พื้นท่ีท่ีเหมาะสมท่ีสุดตอผลผลิตและ คุณภาพจะอยูที่ระดับความสูง 800-1,000 เมตรจากระดับทะเล ในเขตจังหวัดเชียงใหม เชียงราย แมฮองสอน ลําปาง แพร นาน ตาก เพชรบูรณ และเลย หากตองการปลูกในพื้นท่ีท่ีมีความสูง 400-800 เมตรจากระดับทะเล พ้นื ทนี่ ้ันควรอยเู หนือเสนรงุ ท่ี 19.8 องศาเหนอื ข้นึ ไป (อทุ ัย และคณะ, 2551ก) 6.2 การขยายพันธุม ะคาเดเมีย การขยายพันธุมะคาเดเมียมีหลายวิธีแตท่ีนิยมโดยท่ัวไปมี 2 วิธี คือ การทาบก่ิง และการเสียบ ยอด การจะเลือกใชว ธิ ีไหนขนึ้ อยูก บั ความเหมาะสม ความชํานาญ และความตองการของผูป ลูก ซ่งึ จะมที งั้ ขอ ดี ขอ เสีย แตกตา งกนั ไป การขยายพนั ธุทัง้ 2 วิธี จะตอ งใชตน ตอท่เี พาะจากเมล็ด ชนิดของมะคาเดเมียท่ีใชทําตนตอในตางประเทศ เดิมเปน Macadamia tetraphylla หรือ มะคาเดเมยี ชนิดเมล็ดผวิ ขรุขระ (rough shell type) ซึ่งมกี ารเจรญิ เตบิ โตเร็ว แข็งแรง ตนตอสามารถใช ทาบก่ิงไดเร็วกวาตนตอ M. integrifolia ที่เปนชนิดเมล็ดผิวเรียบ (smooth shell type) ถึง 6 เดือน หลังจากเสียบยอดแลว ตนจะเจรญิ อยา งรวดเร็วและสามารถใหผลเร็วกวา ตนตอ M. integrifolia ถึง 2 ป รากตนตอชนิดผิวขรุขระมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กไดดีกวา ออนแอเพียงเล็กนอยตอเชื้อรา 43
Phytophthora cinnamomi ที่เปนสาเหตุของโรครากและโคนตนเนา และเช้ือรา Dethiorella gregaria ซึ่งเปนสาเหตุโรคแคงเกอรกับก่ิงมะคาเดเมีย (Storey, 1948) การปลูกมะคาเดเมียในสภาพไรของ มลรฐั ฮาวาย และเครอื รฐั ออสเตรเลยี อดีตใชต นตอ M. tetraphylla (ชนดิ ผิวขรขุ ระ) รอยตอ เขา กันไมได ตนพันธุดีเจริญเร็วกวาตนตอ (Hamilton, 1988; Bittenbender and Hirae, 1990) เปนสาเหตุใหเกิด รอยแตกหกั หรอื เปลือกฉีกตรงบริเวณเหนือและใตรอยตอเมื่ออายุมากขึ้น ทําใหรูปทรงตนไมสม่ําเสมอ ปจจุบันใชพันธุ Hinde (H2) หรือ Renown (D4) เปนตนตอจากเมล็ดมะคาเดเมียชนิดผิวเรียบ ซึ่งเปน ชนดิ ทปี่ ลกู เปน การคา สําหรับพนั ธทุ ใ่ี ชเปน ตนตอ ในประเทศไทยใชตน ตอทไี่ ดจาก พนั ธุ H2 #344 OC และเชียงใหม 700 (#741) เนื่องจากระบบ รากมกี ารเจริญเตบิ โตดี และแผกวาง แตป จ จบุ นั ใชพนั ธุ H2 เปนหลกั ในการผลติ ตน ตอ 6.2.1 การเตรียมตน ตอ มีขนั้ ตอนตงั้ แตก ารเพาะเมล็ด ดงั นี้ 1) เลอื กพื้นท่ีทีน่ ํา้ ไมท ว มถงึ ขุดเปนรอง กวาง 1-1.5 เมตร ความยาวแลวแตพ้ืนที่ ลึกประมาณ 50 เซนติเมตร แยกหนาดนิ ไวห รอื อาจกอ ดวยอิฐบลอ็ กใหส งู ประมาณ 30-40 เซนติเมตร 2) เตรยี มวสั ดุเพาะ ไดแก แกลบเกา ปุยคอกหรือปุยหมัก หนาดิน อัตราสวน 1:1:1 ตามปริมาตร ของแปลงเพาะ 3) ใสวัสดุเพาะลงรองท่ีขุดหรือในกระบะ โดยการใสปุยคอกหรือปุยหมัก แกลบเกา และหนาดิน ตามลําดบั คลกุ เคลา ใหเ ขากัน วัสดุเพาะจะตองสูงพอดีกับขอบกระบะ เม่ือรดนํ้าจะตํ่ากวาขอบ กระบะประมาณ 5 เซนติเมตร สวนในรองดินใหผ สมสงู กวา ขอบรอ งประมาณ 16-20 เซนตเิ มตร 4) การคัดเมลด็ ที่เพาะ เมล็ดทีจ่ ะนาํ มาเพาะควรเปน เมล็ดสดและใหม จะมรี อยละความงอกดีกวาเมล็ดเกา เพราะเมล็ดมะคาเดเมยี มีระยะการพักตัวสั้น ถาเกบ็ ไวน านเกิน 3 เดือน รอยละความงอกจะลดลง 5) แชเมล็ดทั้งกะลา (nut in shell) ในน้ํา แยกเมล็ดลอยออกท้ิง สวนเมล็ดท่ีจมจะเปนเมล็ดที่ สมบูรณส ําหรบั นําไปเพาะ 6) นําเมล็ดแชไวในสารเคมีปองกันกําจัดโรคพืช แมนโคเซบ (mancozeb) 80% ดับเบิลยูพี อัตรา 20 กรมั ตอนาํ้ 10 ลติ ร แชป ระมาณ 1 คนื 7) ทําแนวแถวเพาะหางกัน 5 นิ้ว ลึก 1 น้ิว วางเมล็ดตามแนวใหหางกันประมาณ 2½-3 นิ้ว พ้ืนที่ 1 ตาราง เมตร จะไดประมาณ 100-125 ตน การวางเมล็ดควรหันเมล็ดดานท่ีมีรู (micropyle) และ แนวรอยแตก (suture) ขนานกับพ้ืน เพื่อใหรากแทงลงพื้นโดยตรง ถาวางหงายขึ้นหรือหันขาง รากแกวจะโคง งอ 8) กลบดว ยดินผสมหนาประมาณ 1 นิ้ว รดนา้ํ และราดสารเคมปี อ งกนั กําจดั โรคพืช แมนโคเซบ 80% ดับเบลิ ยูพี หลังจากนัน้ ประมาณ 25-30 วนั เมลด็ จะงอกและมีใบเลี้ยง ใหถ อนตนกลา ลงถงุ ขนาด 6x12 นิ้ว ถงึ 6x16 นิว้ เปน ตน ตอสําหรับการเสยี บยอด ในสว นของตนตอสาํ หรบั การทาบก่งิ เลย้ี ง ไวใ นกระบะเพาะใหม ีอายปุ ระมาณ 6-12 เดือน (ภาพท่ี 20) 44
(ก) แชเ มล็ดในน้ํา คัดแยกเมลด็ ลอยทง้ิ เมลด็ จม (ข) ทาํ แนวแถวเพาะหา งกนั 5 นิ้ว ลึก 1 น้ิว นาํ ไปเพาะ (ค) การวางเมลด็ ควรหนั เมลด็ ดา นทม่ี รี ู และแนว (ง) วางเมลด็ ตามแนวใหห างกันประมาณ 2½-3 นิ้ว รอยแตกขนานกบั พืน้ (จ) กลบดวยดินผสมหนาประมาณ 1 นว้ิ (ฉ) รดน้ําและราดสารเคมปี องกันกาํ จัดโรคพชื ภาพที่ 20 ขั้นตอนการเพาะเมล็ดตน ตอ (ก-ฉ) 6.2.2 การดูแลรกั ษาตนกลา หลังจากตนกลาตน ตอต้ังตัวดีแลวประมาณ 3 เดือน ใสปุยสูตร 15-15-15 อัตราตนละประมาณ 1 ชอ นชา หรือตารางเมตรละ 200-300 กรัม ในกรณีเพาะและดูแลรักษาในแปลง ใสปุย 2-3 เดือนครั้ง การเสียบยอดในแปลงเพาะเหมาะสําหรับการสงจําหนายไปปลูกแบบลางรากในพื้นท่ีหางไกลหรือ ตางประเทศ รดนํ้าเชา-เย็น เม่ืออายุ 6-12 เดือน หรือตนขนาดเสนผาศูนยกลาง 0.5-1.0 เซนติเมตร นาํ ขน้ึ ทาบได หรอื เสียบยอดในแปลงได 45
6.3 วิธีการขยายพนั ธุ 6.3.1 การขยายพนั ธมุ ะคาเดเมียโดยการทาบกิง่ สาํ หรบั วธิ ีการทาบกง่ิ ทาํ ไดห ลายวธิ ี ไดแ ก การทาบกิ่งแบบปาด (spliced approach grafting) การทาบก่ิงแบบเสียบขาง (modified veneer side grafting) การทาบกิ่งจะใชกับตนตอที่อายุนอย ในการทาบกิง่ จะมขี อเสยี คอื จะไดรากแกวที่ไมใชรากแรก เน่ืองจากตองตัดออกใหสั้น เพื่อใสถุงอัดขุย มะพราว (ตุม) ขึ้นทาบถา จะใหไ ดระบบรากแกวทสี่ มบูรณ และลึกอาจปลูกตนตอลงในสวนกอน สําหรับ ในสวนท่ีมคี วามพรอมทั้งดานบุคลากรและก่ิงพันธุ เม่ือตนอายุประมาณ 10-12 เดือน ทําการเสียบยอด ในแปลงเลยเนื่องจากมะคาเดเมยี เปนไมเ นือ้ แข็ง และไมผลดั ใบ เทคนคิ ทจ่ี ะทําใหรอ ยละการตดิ สูงกอนจะ นํากิ่งพันธุดีมาเสียบควรทําการคว่ันก่ิงพันธุดีกอน (girdle) ประมาณ 6-8 สัปดาห เพื่อตัดทอสงอาหาร และทําใหมีการสะสมคารโบไฮเดรตภายในก่ิงพันธุดี สวนที่จะนํามาเสียบควรมีใบสีเขียวออกเทาซ่ึงจะ ทําใหการเสียบยอดประสบความสําเร็จมากกวาใชก่ิงออน และควรทาบก่ิงมะคาเดเมียในชวงเดือน พฤษภาคม และเดือนพฤศจิกายน การเตรยี มตนตอสาํ หรบั การทาบก่ิงมะคาเดเมยี 1) นาํ ตนตอมะคาเดเมียที่เตรียมไวสาํ หรับเปนตนตอที่มรี ะบบรากดี ขนาดเสนผาศนู ยก ลาง 0.5-1.0 เซนตเิ มตร อายุ 6-12 เดือน เตรียมตนตอ โดยการขุดถอนทัง้ รากนน้ั จากกระบะเพาะกลา ตนตอ 2) ตดั แตง ใบออก ตัดแตงรากฝอยทีย่ าวเกินออกไป ตัดสว นรากแกวใหเหลือจากโคนตนถงึ ปลายราก ประมาณ 4 เซนตเิ มตร 3) การเตรียมขยุ มะพราว ตองเปน ขุยมะพรา วทีใ่ หม เตมิ นาํ้ สะอาดจนขยุ มะพรา วชมุ นํ้า 4) นําตนตอท่ีเตรียมตัดแตงรากแกว นําไปแชในฮอรโมน Indole-3-butyric acid (IBA) ความ เขม ขน 6,000 ppm ท่ีเตรียมไวน าน 10 วนิ าที (ภาพท่ี 21) 5) นําใสถุงพลาสติก ขนาด 4x6 เซนติเมตร เจาะรูดานขางถุง 1 รู เพื่อเปนที่ระบายน้ํา ใสขุย มะพรา วลงกนถงุ ประมาณ 2 เซนติเมตร ใสตนตอมะคาเดเมีย อัดขุยมะพราวใหแนน ใชเชือก ฟางมดั ปากถงุ ใหแนน ใชเชือกฟางอีกเสนยาวประมาณ 35-40 เซนติเมตร มัดระหวางกลางถุง โดยปลอ ยปลายเชอื กฟางไว 2 ขาง เผือ่ มัดกิง่ หลังจากการทาบกิ่ง การทาบก่ิงแบบปาด (Spliced approach grafting) 1) เลอื กกิ่งพนั ธดุ ขี นาดเทากับตน ตอ และเปน กิง่ แกทอี่ ายหุ ลายป ถาเปนกง่ิ ใหมร อยละการตดิ จะต่ํากวา 2) เฉอื นกง่ิ พันธดุ แี ละตน ตอเปนรูปโลยาว 1½-2 น้ิว เทา กับตนตอ ไมต องตัดยอดออก 3) ประกบแผลตน ตอและก่ิงพันธดุ ใี หเยือ่ เจรญิ (Cambium) ตรงกนั 4) พนั ผาพลาสตกิ ใหแ นน 2 รอบ จากบนลงลา งและจากลางขน้ึ บน 5) ผกู เชือกปากถุงตนตอยึดกบั ก่ิงพนั ธุดีใหแ นน 6) ประมาณ 30-45 วัน รอยแผลติดสนิทแลว หรือสังเกตรากของตนตอ เจริญดีแสดงวารอยทาบ ติดดี ตดั ยอดตนตอทง้ิ 7) ควั่นก่ิงพันธุดีใตรอยทาบ หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 สัปดาห ตัดลงจากตนไดและนําลงชําใน โรงเรอื น ควบคมุ ความช้ืน 46
การทาบกิง่ แบบเสียบขา ง (Modified veneer side grafting) 1) เลือกกิ่งพันธุดีขนาดเทาหรือใหญกวาตนตอเล็กนอย และเปนกิ่งอายุหลายปซึ่งจะใหรอยละ การติดสูงกวา ก่งิ ออน 2) เฉอื นกง่ิ พันธดุ เี ฉียงเขา เนอื้ ไมเลก็ นอย ยาว 1½ -2 นว้ิ และเฉอื นดานบนเฉียง 45 องศา ทาํ เปนลิ้น 3) เฉือนตน ตอเปนปากฉลามยาวเทากบั รอยแผลกิ่งพนั ธดุ ี และเฉอื นดานหลงั เลก็ นอย 4) สอดตน ตอเขากบั แผลก่ิงพันธุด ี ใหแ นวเย่ือเจริญตรงกนั ดานใดดา นหน่ึงหรอื ท้งั สองดาน 5) พันผา พลาสติกใหแ นน 2 รอบ จากบนลงลา งและพนั จากลางข้นึ บนอกี รอบหนง่ึ 6) ผูกเชอื กปากถุงยึดกับกิ่งใหแ นน 7) ประมาณ 30-40 วนั แผลติดกันดแี ลว หรอื สังเกตดูรากของตนตอเจริญดี แสดงวารอยแผลติดดี ตดั ยอดตน ตอทิ้ง ขอด:ี ของการทาบกงิ่ แบบน้ี คอื ทําไดร วดเร็ว รอยตอ แข็งแรง (ภาพที่ 22) (ก) ชง่ั สารบรสิ ทุ ธ์ิ IBA 3,000 มิลลกิ รัม (ข) ทําละลายสาร IBA ดวยโซเดยี มไฮดรอกไซด (NaOH) 30 มลิ ลลิ ิตร (ค) ผสมสารละลาย IBA ดว ยนา้ํ กลัน่ 500 มลิ ลิลติ ร (ง) การเกบ็ สารละลาย ควรเกบ็ ไวใ หพนแสงแดด ไดส ารละลาย IBA 6,000 ppm ภาพที่ 21 การเตรียมฮอรโ มน IBA 6,000 ppm (3,000 มลิ ลกิ รมั ตอ 500 มลิ ลลิ ติ ร) (ก-ง) 47
(ก) ถอนตน ตอในกระบะเพาะ อายุ 6-12 เดือน (ข) ตดั แตงรากฝอยทยี่ าวเกนิ ออกไปใหเ หลือ สูงประมาณ 45-50 เซนตเิ มตร ความยาวประมาณ 4 เซนตเิ มตร (ค) จมุ ฮอรโ มน IBA 6,000 ppm (ง) นาํ ตน ตอมาอดั ตุม (จ) เฉอื นกง่ิ พันธดุ ีเฉยี งเขาไปในเนอ้ื ไมเลก็ นอ ย (ฉ) เฉือนตนตอเปน ปากฉลาม ยาว 1½ -2 น้ิว ยาว 1½-2 นิ้ว และเฉือนดานบนทําเปนลม่ิ 48
(ช) สอดตนตอเขา รอยแผลก่ิงพนั ธดุ ใี หแนวเยื่อ (ซ) พันผา พลาสติกใหแ นนจากบนลงลา ง เจรญิ ตรงกนั ดานใดดา นหนงึ่ หรอื ทงั้ 2 ดาน และพนั จากลางข้นึ บน (ฌ) ผกู เชือกยึดเกบ็ กงิ่ ใหแนน (ญ) สังเกตการเจรญิ ของระบบราก ภาพท่ี 22 การทาบกิ่งแบบเสยี บขาง (Modified veneer side grafting) (ก-ญ) การปฏิบัติหลังการทาบกง่ิ 1) ตัดก่งิ พนั ธดุ เี ม่อื รอยแผลติดกันสนทิ และรากตนตอเจริญดี จากน้นั ทาํ การตัดก่ิง และแกะถุงออก แลว จมุ นํ้ายาเรง ราก 2) นําตนกลาลงถุงเพาะขนาด 4x12 น้ิว วัสดุที่ใชเพาะชํากลา ดินดํา (หนาดิน): แกลบเกา หรือ ขยุ มะพรา ว: แกลบเผา: ปุยคอกหรอื ปุยหมัก อัตรา 1: 1: 1: 1 ในสวนผสม 1 ลูกบาศกตารางเมตร ผสม กับโดโลไมต 1 กิโลกรมั 3) ไมหลักค้ํากันตนลม ใชไมไผผาซีกยาวประมาณ 50-60 เซนติเมตร ปกตรงกลางระหวางถุง ระหวา งตน กลาท่ชี ํา ผูกลําตนกลาท่ีชาํ ลงถุงกับไมค ้ําเพื่อปองกันการโคนลมของตน กลา จากกิ่งทาบ 4) นําตน กลามาเลย้ี งดใู นโรงเรือนพลาสติกควบคุมความช้ืน ประมาณ 2-3 เดอื น ใหระบบรากเจริญ ไดด แี ละแตกใบใหม 5) นํากลามะคาเดเมียพรอมปลูก ความสูง 60-80 เซนติเมตร ออกมาเล้ียงดูในโรงเรือนพรางแสงรอยละ 70-80 ประมาณ 5-6 เดือน เพ่ือใหป รับตัวกบั สภาพอากาศกอ นนําลงปลูกหรอื จําหนาย (ภาพท่ี 23) 49
(ก) ตดั ถงุ พันธดุ ีทาบ (ข) นํากงิ่ พันธุดีแชน ํ้ายาเรงราก (ค) นํากิง่ พันธุด ลี งถุงดํา (ง) จากน้นั นําไมมาปก ผกู ดวยเชอื กฟาง เพอ่ื ปอ งกันลาํ ตน โคน ลม (จ) นาํ ตนพันธดุ เี ขา โรงเรอื นพลาสตกิ ควบคุม (ฉ) หลงั จากนัน้ นําเขา โรงเรอื นพรางแสงรอ ยละ ความช้นื ประมาณ 2-3 เดือน 70-80 ประมาณ 5-6 เดอื น (ช) ตน พันธดุ ีอายุ 1 ปค รึ่ง ถึง 2 ป พรอมลงปลกู หรอื จาํ หนา ย ภาพที่ 23 การปฏิบตั หิ ลังการทาบกิ่ง (ก-ช) 50
6.3.2 การขยายพนั ธุมะคาเดเมียโดยการเสียบกิ่ง นยิ มขยายพันธุในตนทีม่ ีอายุมากแลว การเสียบกง่ิ เปน การขยายพนั ธุพืชแบบไมอาศัยเพศ โดยการนํากิ่งพืช 2 ชนิด มาเช่ือมตอกันให เจริญเปนตนเดียวกัน สวนของพืชที่เจริญเปนราก เรียกวา ตนตอ (rootstock) หรือ stock และสวนที่ นาํ มาตออยบู นตน ตอเปนสว นที่เจรญิ เปนกงิ่ กาน ออกดอกติดผลตอ ไป เรียกวา กิ่งพันธุดี (scion) ซึ่งเปน สวนหน่งึ ของก่งิ พชื ที่มีตามากกวาหนงึ่ ตาขน้ึ ไป มาเช่อื มตอกบั ตนตอ การเสยี บกงิ่ มะคาเดเมียจะประสบความสําเร็จไดนั้น ตองมีการเช่ือมตอระหวางเนื้อเยื่อตนตอ และกงิ่ พันธุด ี การลําเลยี งน้ําและอาหารสามารถผานรอยตอได เนอื้ เย่ือบรเิ วณรอยตอ (graft union) เกิด จากเนอื้ เย่อื ของตนตอและกง่ิ พนั ธดุ มี าเรียงตวั อยูดว ยกนั โดยไมม กี ารรวมตัวของเซลลระหวางพืชทั้งสอง ชนดิ เนื้อเยือ่ ท่เี กดิ ขึน้ ถกู สรางข้นึ มาสมานเปน แผล เซลลพาเรนไคมาจาํ นวนมากประกอบกันเปนเน้ือเยื่อ แคลลัส (callus) เกดิ ขึน้ ภายใน 2-3 วนั รอยแผลทเี่ กดิ จากการเฉือนก่ิงจะมีสวนท่ีตายไปและมีการสราง สาร Nicrotic เพือ่ รกั ษาแผล และสารน้ีจะหายไปเม่ือเนอ้ื เยื่อเกดิ การเช่ือมตอ กนั แลว หรือยงั อยใู นชองวา ง ระหวางเซลลก็ได อาจพบเห็นเซลลที่ตายและเปนจากเนื้อเยื่อ การเกิดรอยตอไดน้ันตองวางใหเน้ือเย่ือ แคมเบยี ม ตน ตอ และกิง่ พันธดุ ีอยแู นบหรือใกลกันมากท่ีสุด แลวจะมีการสรางแคลลัส (callus) ใหมข้ึน จากทั้งสองสวนจนเติมชองวางระหวางกันเรียกวา Callus bridge ซึ่งจะมีการพัฒนาเปนเนื้อเยื่อเจริญ Vascular cambium ภายใน 2-3 สัปดาห และมีการสรางทอน้ํา (xylem) และทออาหาร (ploem) เชือ่ มกนั ตอ ไป การปรับสภาพแวดลอมภายนอกใหเหมาะสมเปนปจจัยท่ีสําคัญในการเสียบกิ่ง อุณหภูมิท่ี เหมาะสมตอการแบงเซลลบริเวณรอยตออยูระหวาง 12.8-32.0 องศาเซลเซียส เมื่อเกิดเนื้อเยื่อเจริญ แคลลัส (callus) ข้ึน ตอ งควบคุมความชื้นบริเวณรอยตอ ใหเหมาะสม เนือ่ งจากเซลลมีผนงั บางและเตง จงึ แหง ตายไดง าย จาํ เปนตอ งพันดว ยพลาสตกิ หรือใชถ ุงพลาสติกคมุ ทบั และเปนการปอ งกันแผลไมใหมีการ ตดิ เชอ้ื ที่ทาํ ใหเนาตายไดเ ชน กนั นอกจากน้ันความสัมพันธของระยะการเจริญเติบโตของตาบนกิ่งพันธุดี จะตอ งพอเหมาะกับการพัฒนาของเนอื้ เย่ือบรเิ วณรอยตอดวย คือ ข้นั ตอนการเสรมิ ทอนํ้า ทออาหารตอง เกดิ ขึ้นอยางสมบูรณก อนทจ่ี ะมีใบใหมเจริญจากกิง่ พนั ธุดี มฉิ ะนน้ั จะเกดิ การแหงตายของตาได การเขา กนั ได (compatibility) ของพชื ทง้ั สองชนิดมสี ว นตอความสําเรจ็ ในการตอ กง่ิ การเลือกใช ตนตอ และกิ่งพันธุท่ีมีความใกลชิดกันทางพฤกษศาสตรจะตอกันไดดี และรอยตอเจริญเหมือนเปน ตนเดยี วกัน (สรุ นิ ทร, 2547) ทักษะและประสบการณของผูปฏิบัติงานมีสวนสําคัญ เชน มีดท่ีใชเฉือนกิ่งตองคมสามารถ เฉือนกิ่งไดโดยไมทําใหเน้ือเย่ือชอกชํ้าหรือเสียหาย การเลือกใชวิธีเสียบกิ่งกับตนพืชท่ีอยูในระยะการ เจริญเตบิ โต ลอกเปลอื กไดห รือระยะพักตัว และการดูแลเอาใจใสอยางใกลชิดภายหลังการปฏิบัติงานมี สวนตอความสาํ เรจ็ ของงานดว ย ตนตอจากการเพาะเมล็ด (seedling rootstock) นิยมใชต นตอจากเมล็ดชนิดผิวเรียบ ในประเทศไทย ใชตนตอพันธุ H2, #344, OC และพันธุเชียงใหม 700 (#741) ซึ่งเปนพันธุท่ีมีระบบรากเจริญเติบโตดี และแผกวา ง ปจจบุ นั นิยมใชต น ตอจากพนั ธุ H2 เปน หลกั การควนั่ กง่ิ เปนการเตรียมก่งิ พนั ธุสาํ หรับการเสียบกง่ิ เน่ืองจากการควั่นก่ิงหรอื ใชลวดรัดกิ่งเปน การตัดทออาหาร (phloem) ของพืชทําใหอาหารที่ถูกสรางจากใบและกิ่งสวนบนไมสามารถสงไปยัง สว นลาง จงึ เกิดการสะสมอาหารและฮอรโ มนท่กี ง่ิ และใบในสว นบน ทําใหกงิ่ ควน่ั เปนกง่ิ พนั ธุดีท่ีเหมาะสม สําหรบั การเสยี บกง่ิ 51
การเตรียมตอตอสําหรับการเสียบก่ิงมะคาเดเมีย 1) หลงั จากเพาะเมลด็ ประมาณ 25-30 วัน เมล็ดจะงอก และมใี บเล้ยี งใหถอนลงถงุ เพาะขนาด 6x12 น้วิ ถึง 6x16 นว้ิ 2) วางถุงเพาะในโรงเรือนพลางแสงประมาณรอยละ 50 เรียง 4-5 ถุง เวนรองทางเดินประมาณ 50 เซนติเมตร 3) การดูแลรักษาตนกลาเมื่อตนกลาตั้งตัวดีแลวประมาณ 3 เดือน ใสปุยสูตร 15-15-15 อัตราตนละ 1 ชอนชา หรือตารางเมตรละ 200-300 กรัม ใสปุย 2-3 เดือนตอครั้ง ใสปุย 46-0-0 ประมาณ 50 กรมั ผสมน้าํ 1 บวั (5 ลิตร) รดสลับกับปุย 15-0-0+โบรอน กอนที่จะเตรียมเสียบยอด 2-3 เดอื นตอคร้ัง และพน ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมทางใบ และสารปองกันกําจัดโรคและ แมลง เพ่ือใหตนตอมีความสมบูรณ เลี้ยงตนตอมีความสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร เสนผาศูนยกลาง 0.5-1 เซนติเมตร อายุประมาณ 12-18 เดือน กอนท่ีจะเสียบยอดประมาณ 15 วัน ใหตัดปลายยอดมะคาเดเมยี จากปลายลงมาประมาณ 10-15 เซนติเมตร การเตรยี มกง่ิ พันธุสาํ หรับการเสียบกง่ิ มะคาเดเมยี 1) การดแู ลการเตรียมก่ิงพันธุที่จะใชสําหรับการเสียบก่ิง ตองคัดเลือกตนพันธุท่ีเปนพันธุดีท่ีไดรับ การแนะนํา ตนพนั ธตุ อ งมีความสมบรู ณ มีการบํารุงรกั ษา การใสปุย รดนํ้า ใหไดก ่ิงที่สมบูรณ 2) การคัดเลือกก่ิงกระโดงท่ีมีความสมบูรณ ก่ิงกึ่งออนมีสีนํ้าตาลออน มีขนาดเสนผาศูนยกลาง ประมาณ 0.5-1 เซนตเิ มตร ใบยอดอยูในชว งระยะเพสลาด 3) การควั่นกิ่ง เหมือนกับการตอนกิ่ง โดยการควั่นเปลือกผิวก่ิงบนและลางหางกันประมาณ 1.5 เซนตเิ มตร เอาเปลือกออกและขดู เพ่อื ใหเย่ือท่ีผวิ ลอกออก โดยคว่ันทิง้ ไว 1 เดือนคร่ึง ถึง 2 เดือน เพือ่ ใหกงิ่ สะสมอาหารเพียงพอ 4) การเตรียมกง่ิ พนั ธทุ ่ีตัดจากตนพันธุ ตองเก็บดวยความระมัดระวัง หลังจากตัดลงมาจากตนพันธุ ตองตดั แตงใบออก แลวพันกิ่งดวยกระดาษหนังสือพิมพ หรือผาฝายชุบนํ้าใสถุงพลาสติกขนาด 20x30 น้ิว นํากิ่งพนั ธุใสตูเยน็ อณุ หภมู ิ 7 องศาเซลเซียส ประมาณ 1-3 วัน 5) นําก่ิงพันธุแชดวยสารปองกันกําจัดโรค ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิลยูจี (fosetyl- aluminium) อัตรา 50 กรัมตอน้ํา 20 ลิตร ประมาณ 30 นาที และโมโนไนโตรฟนอล (Mono- nitrophenol) อัตรา 10 มลิ ลิลติ รตอนาํ้ 20 ลติ ร ประมาณ 15 นาที การตอ กงิ่ แบบเสียบลมิ่ (Cleft grafting) 1) กอนนํากง่ิ พนั ธุด ีมาเสยี บตอ งควน่ั กิง่ พนั ธดุ ีทง้ิ ไว 6-8 สปั ดาห 2) ตัดตนตอสูงจากดินประมาณ 25-30 เซนติเมตร กรณีตนตอเพาะในถุงและสูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตดั ใหต รงตัง้ ฉากกับกงิ่ 3) ผาตนตอใหล กึ 1-2 น้วิ ไมค วรผากลางลาํ ตน ใหผ า หางจากกกลางลําตน เล็กนอ ย 4) ตัดกิ่งพันธดุ ยี าว 7-10 เซนติเมตร หรือมีขอ 3-4 ขอ พันพาราฟลมจนถึงปลายยอด พัน 2 รอบ เนน บริเวณขอ พนั ใหแ นบสนทิ เฉอื นโคนกิง่ ใหเปน รูปลม่ิ ยาวเทา รอยผา ตน ตอ รอยเฉือนก่ิงพันธุดี ตอ งเรยี บ 5) สอดกิง่ พนั ธดุ ีใหแนวเยือ่ เจรญิ ตรงกัน ถา ตนตอใหญใหวางชิดดา นใดดา นหนง่ึ ของตน ตอ 6) พนั ผา พลาสตกิ หรือเชือกฟางใหแนน หมุ รอยแผลใหมดิ พนั จากขา งบนลงลา งแลว พนั กลบั ขนึ้ บน อีกที พันใหแนนและปดสนิทเพ่ือปองกันนํ้าและเช้ือราเขาแผล หุมดวยถุงพลาสติกเพื่อรักษา ความช้นื และปอ งกนั น้าํ ฝน และหมุ กระดาษนอกถงุ เพ่อื ปอ งกันแดด 52
7) การดูแลตนกลาที่เสียบก่ิงแลว ชวง 1-4 สัปดาห การรดนํ้าตองระวังไมใหถูกแผลและก่ิง สังเกต แตกยอดกิง่ พันธุดจี ะแทงทะลพุ าราฟลมออกมา คอยปลดิ กง่ิ ที่แทงจากตน ตอออกใหห มด เลย้ี งกงิ่ ยอด พนั ธุด ีใหสมบูรณแ ละเหลอื ไวเพยี ง 1 กงิ่ (ภาพท่ี 24) (ก) อุปกรณใ นการเสยี บกงิ่ (ข) ตน กลาหลงั เพาะเมลด็ ประมาณ 25-30 วนั (ค) ถอนลงถุงเพาะขนาด 6x12 น้ิว ถึง 6x16 น้วิ (ง) ตนตออายุประมาณ 12-18 เดอื น (จ) ตดั ตนตอสงู ประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร (ฉ) ผาตรงกลางตน ตอลกึ 2.5-5 เซนตเิ มตร 53
(ช) เตรียมก่งิ พันธดุ ที ี่คว่ันทิ้งไว 6-8 สปั ดาห (ซ) การเฉอื นกง่ิ พันธุ 2 ดา นเปนรูปลม่ิ พันพาราฟลมจนถึงปลายยอด (ฌ) สอดก่ิงพันธุดใี หแ นวเนอ้ื เยอื่ ตรงกนั พันพลาสติก (ญ) ตนพันธุดหี ลงั เสียบก่ิง บริเวณแผลเสียบก่งิ (ฎ) ตน พันธดุ ีหลังเสียบกง่ิ 1 เดือนคร่ึง (ฏ) ตนพันธุดหี ลงั เสียบกงิ่ 3 เดอื น 54
(ฐ) ตนพนั ธุดหี ลังเสยี บกิง่ 6 เดือน (ฑ) ตนพันธดุ หี ลงั เสียบกิ่ง 1 ปครง่ึ ภาพท่ี 24 การตอ กงิ่ แบบเสียบลิ่ม (Cleft grafting) (ก-ฑ) การปฏบิ ัติหลงั การเสยี บกิ่ง 1) ดูแลในโรงเรอื นสภาพปรกติพรางแสงรอยละ 70-80 รดน้ําเชาเย็น ไมควรรดนํา้ ใหโดนบริเวณแผล เสยี บกง่ิ โดยตรง 2) ตัดแตงตนพันธุดี โดยใหเหลือก่ิงหรือลําตนประธานเพียง 1 ตน จนตนสูงจากโคนตนประมาณ 70-80 เซนติเมตร ใหเ ลี้ยงแตกกิง่ แขนงออก 2-3 กิ่ง 3) พนสารเคมีปอ งกนั เชอ้ื รา ทกุ ๆ 1 เดือนตอ ครัง้ 4) ตนพนั ธุดีอายปุ ระมาณ 2 ป นับต้ังแตการเพาะเมล็ด พรอมลงปลกู จําหนา ยหรือจาํ หนาย 5) หลังจากนาํ ตนพันธุด ีลงปลูกใหต น พันธุเจรญิ เตบิ โตประมาณ 3 เดือน ใหกรีดพลาสติกบริเวณจุด เสียบก่งิ ออก 6.4 การจัดทรงตน และการตัดแตง กง่ิ 6.4.1 การจดั ทรงตน การจดั ทรงตนในระยะแรกหลังการปลูก มคี วามจาํ เปน อยางมากเพ่อื ทจี่ ะไดท รงพุมที่ลักษณะตรง ตามความตองการและมีทรงตนที่ดีตอไปในอนาคต ซึ่งปกติจะเริ่มจัดทรงตนในชวง 6-12 เดือนแรก เน่ืองจากตนยังมีขนาดเล็กและอายุยังนอยอยู หากเราทําการตัดแตงกิ่งเพื่อบังคับทรงตนใหเปนไป ตามความตองการชาเทา ไหร ก็จะย่งิ ทําไดล ําบากและทําใหพชื โตชาเทา น้ัน 6.4.2 การตัดแตง กิง่ การจัดทรงตนในระยะแรกหลังการปลูก จะตองบังคับใหมีก่ิงหรือลําตนประธานเพียง 1 ก่ิง เทา นั้น ก่งิ แขนงอน่ื ๆ ควรตดั ออก และเมอ่ื ก่งิ ประธานสูง 80-100 เซนติเมตร และยังไมแตกก่ิงขางใหตัด ยอดประธานออกเพือ่ ใหแตกยอดใหมแ ละใหม กี ง่ิ ขา งออกอยา งนอย 3 ก่งิ กิง่ ท่แี ตกยอดใหมเ ลอื กไวเปนก่งิ ประธานท่ีจะข้นึ ตรงตอ ไป และเลือกกิง่ ขา งหรอื ก่ิงแนวท่ีทํามุมกวางกับลาํ ตน ไวประมาณ 2 ก่งิ ก่ิงอ่ืนท่ีทํา มุมแคบจะตองเดด็ หรอื ตดั ออก (ภาพที่ 25) การตดั แตงระยะท่ีใหผลผลิตแลวจะตัดเฉพาะกิ่งที่เปนโรค ทํามุมแคบ ก่ิงหัก และกิ่งท่ีทรงพุม ชนกันหรอื ทับซอนกนั ดานนอกเทาน้ัน หรอื ตัดเพอ่ื ควบคุมทรงพุมดานนอก โดยตัดแตงกิ่งในรูปแบบทรง ปรามดิ เนอ่ื งจากการตดั แตงกิง่ ในรูปทรงน้ี สามารถฟนฟูตนมะคาเดเมียท่ีมีอายุมาก ตนทรุดโทรมใหตน สมบูรณ มปี รมิ าณผลผลติ ท่ีไดคณุ ภาพเพ่ิมมากยิ่งข้ึน 55
(ก) ตัดยอดสงู จากพน้ื ดนิ 80 เซนติเมตร เพอ่ื กระตุน (ข) หลงั ตดั ยอด มีกง่ิ เกิดมากเลอื กกงิ่ ขางไว 2-3 ก่ิง ใหแ ตกก่ิง และตัดกง่ิ ทอี่ ยสู งู ระดบั เขาทิ้ง และกง่ิ กลาง 1 กิ่งทเี่ หลือใหตดั ทงิ้ (ค) ลกั ษณะตน หลงั ตดั คร้งั แรก (ง) เกดิ กงิ่ ใหมทป่ี ลายกิ่งกลางเหนอื ฉตั รแรก เลอื กกง่ิ ทาํ มมุ กวา งไว 2 กงิ่ และกงิ่ กลางตงั้ ตรงขนึ้ ไป (จ) ก่ิงทท่ี ํามุมแคบกบั ลําตนควรตัดออก (ฉ) ตดั กิ่งกระโดงหรอื กง่ิ ทเี่ กดิ จากตน ตอระดบั ดิน และกงิ่ ทเี่ กดิ โคนลําตน ออก ภาพที่ 25 การจัดทรงพมุ ตน (ก-ฉ) 56
6.5 การจดั การน้าํ และเขตกรรม 6.5.1 การจัดการนา้ํ การวางระบบนํ้าจะแบงออกเปน 2 ชวงอายุ โดยชวงแรก อายุ 1-4 ป ใหแบบพนฝอยขนาด เลก็ มาก หรือน้าํ หยด (ภาพที่ 26) ชว งทีส่ อง อายุ 5 ปข้ึนไป ใหแ บบพน ฝอยขนาดเล็ก หรือแบบขอเหวี่ยง ขนาดเลก็ (ภาพที่ 27) โดยตน มะคาเดเมยี แตล ะชวงอายุมคี วามตองการนํ้าในปรมิ าณทแ่ี ตกตา งกัน ดังน้ี ตน มะคาเดเมยี อายุ 2 เดอื นแรก ควรไดรับน้าํ ตน ละ 20-30 ลติ รตอ สปั ดาห ตน มะคาเดเมยี อายุ 1-3 ป ควรไดรบั น้ําตน ละ 130-150 ลิตรตอ สปั ดาห ตน มะคาเดเมยี อายุ 4-7 ป ควรไดร บั นาํ้ ตน ละ 200 ลติ รตอสปั ดาห ตน มะคาเดเมียอายุ 7 ปข้นึ ไป ควรไดรบั นาํ้ ตน ละ 800 ลติ รตอสัปดาห ชวงการออกดอกและติดผลระยะแรกบนทสี่ ูงของประเทศไทย จะเปนชวงฤดูหนาว จนถึงเขาฤดูรอน เดือนเมษายน ควรมกี ารใหนาํ้ อยางสมํ่าเสมอ สว นชวงการพฒั นาของผล เดือนพฤษภาคม จนถงึ เดอื นสงิ หาคม เปนชวงฤดูฝนไมจ ําเปน ตอ งใหน ํา้ ยกเวน กรณที สี่ ภาพอากาศมีความแหง แลง ภาพที่ 26 การใหน้าํ ชวง อายุ 1-4 ป แบบพนฝอยขนาดเล็กมากหรือน้าํ หยด 57
ภาพท่ี 27 การใหนํา้ ชว ง อายุ 5 ปข้นึ ไป แบบพนฝอยขนาดเลก็ หรอื แบบพนเหวย่ี งขนาดเลก็ ภาพท่ี 28 ระบบนา้ํ สาํ หรับแปลงมะคาเดเมยี 58
6.5.2 การคลุมโคน การคลมุ โคนจะเปน ประโยชน ในฤดแู ลง ชวยรักษาความช้ืนของดิน ปองกันการพังทลายของดิน ถาปลูกในพ้ืนท่ีลาดเอียงในสวนท่ีระยะปลูกชิด จะมีใบรวงคลุมดินอยูมาก และใบแหงท่ีสะสมอยูใตตน ยงั คงสภาพไดน านไมยอ ยสลายงาย ในการตดั แตงกงิ่ ประจําปแลวนําใบหรอื กง่ิ ขนาดเล็ก ๆ มาบดหรอื ยอย แลวคลุมทับใบแหงท่ีรวงอยูกอนแลวใหหนา 2-5 เซนติเมตร จะชวยปองกันการชะลางหนาดินได (ภาพท่ี 29) (อุทัย และคณะ, 2551ก) ภาพท่ี 29 คลมุ โคนดวยฟางชวยรักษาความช้นื ของดนิ ชวงฤดูแลง 6.6 การจัดการปุย มะคาเดเมียเปนพืชท่ีตองการธาตุอาหารใชในการเจริญเติบโตและติดดอกออกผลในปริมาณมาก ปรมิ าณทใ่ี สค วรคํานึงถงึ ธาตอุ าหารในแปลงปลูก ลักษณะดิน อายุตนและความสมบูรณของตน ธาตุอาหาร หรือปยุ ท่จี าํ เปนมี 2 ประเภท คือ 6.6.1 ปยุ อินทรยี เปนปุยท่ีไดจ ากวสั ดอุ นิ ทรีย มธี าตอุ าหารทีเ่ ปน ประโยชนสําหรับการเจริญเติบโต ของพชื ผลิตจากวสั ดอุ นิ ทรยี เชน มูลวัว มูลไก มูลคา งคาว ปยุ หมกั เศษใบไม การใสป ุย อนิ ทรียม ะคาเดเมยี ในชวงอายุ 1-3 ป ควรใสป ยุ คอก ปละ 10-20 กโิ ลกรัมตอตน อายุ 4 ป ข้ึนไปควรเพิม่ ปรมิ าณเปน 30-50 กิโลกรัมตอตน และคลุมดินใตทรงพุมหางจากโคนตน 30 เซนติเมตร ดวย ฟางขาว เศษหญา หรอื ปุย หมกั เพื่อรักษาความชน้ื เพม่ิ ธาตอุ าหารแกร ากบริเวณผิวดิน และเพิ่มปริมาณราก ขนออน 6.6.2 ปยุ เคมี ปท ี่ 1 ใชป ุย 15-15-15 อตั รา 600 กรมั ตอ ตนตอ ป ผสมปุยยูเรีย 120 กรัม ปท ่ี 2 ใชปยุ 15-15-15 อตั รา 1,200 กรมั ตอ ตน ตอป ผสมปุยยูเรีย 240 กรัม ปท ่ี 3 ใชป ยุ 15-15-15 อตั รา 1,800 กรมั ตอ ตน ตอ ป ผสมปยุ ยูเรีย 360 กรัม ปท ่ี 4 ใชปุย 15-15-15 อตั รา 2,400 กรัมตอตนตอป ผสมปุยยูเรีย 480 กรมั ปท่ี 5 ใชปุย 12-12-17-2 (Mg) อตั รา 3,000 กรัมตอ ตน ตอป ผสมปุย ยูเรยี 600 กรัม 59
หลงั จาก 5 ปข้ึนไป ใหเพ่ิมข้ึนปละ 500-600 กรัมตอตน และเพิ่มแมปุยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม ในสดั สว น 2:1:2 โดยใช 46-0-0 อตั รา 18 กิโลกรมั 18-46-0 อัตรา 9.5 กิโลกรัม และ 0-0-60 อตั รา 13.5 กโิ ลกรัม ผสมกันรวมนา้ํ หนักปยุ ท่ีใส 41 กโิ ลกรมั ตอ ไร (จิตอาภา และคณะ, 2562) แบงใส 4 ครั้งตอ ป คอื ครั้งที่ 1 ปลายตลุ าคม ถงึ ตน พฤศจกิ ายน ครัง้ ท่ี 2 เดอื นมกราคม ถึง กมุ ภาพนั ธ คร้ังท่ี 3 เดอื นพฤษภาคม ถงึ มิถนุ ายน ครงั้ ท่ี 4 เดือนสงิ หาคม ถึง กันยายน อัตราปุยท่ีใชขึ้นอยูกับสภาพดินซ่ึงจะตองวิเคราะหดินอยางนอยปละ 1 ครั้ง หรือรวมกับ การวเิ คราะหใ บพชื ประกอบดว ยเพอื่ เพิ่มความแมนยํา (ภาพท่ี 30) ภาพที่ 30 วิธีการใสป ุย เคมี 60
6.7 ศตั รูพชื และการปอ งกนั กําจดั ศัตรูพืช (Pest) ไดแก สัตวศัตรู (Animal pest) โรคพืช (Plant disease) แมลงศัตรู (Insect pest) และวัชพืช (Weed) จัดวาเปนปญหาสําคัญของการทําการเกษตร เนื่องจากสรางความเสียหาย ใหกับพืช ผลผลิตและคุณภาพลดลง ทําใหตนพืชออนแอลง โทรมลง และอาจตายในที่สุด ทําใหตอง หาแนวทางและวิธีการตาง ๆ เพ่ือควบคุมศัตรูพืชใหมีปริมาณลดลง จนไมกอใหเกิดความเสียหาย ทางเศรษฐกิจตอพืช ในแตละปเกษตรตองสูญเสียท้ังเงิน เวลา และความรูตาง ๆ ในการควบคุมศัตรูพืช เปน จาํ นวนมาก ดงั นั้น จงึ จาํ เปนตองศกึ ษาเก่ยี วกับศัตรพู ชื และวธิ ีการควบคมุ เพอื่ ใชเปนพ้นื ฐานของการ จัดการศัตรูพชื ในการผลติ พชื ใหไ ดผ ลผลติ ตามศกั ยภาพของพนั ธุกรรมพืช 6.7.1 สตั วศัตรูและการปองกนั กาํ จัด กลุมกระรอก (Squirrel family; Sciuridae) ไดแก กระรอกดินขางลาย (Menetes berdmori), กระรอกหลากสี (Variable Squirrel, Collosciurus finlaysoni) และ กระเลน็ (Himalayan striped squirrel, Tamiops macclelend) (ภาพที่ 31) (ก) กระรอกดนิ ขางลาย (Menetes berdmori) (ข) กระรอกหลากสี (Collosciurus finlaysoni) (ค) กระเล็น (Tamiops macclelend) ภาพที่ 31 สัตวฟ น แทะในกลมุ กระรอก (Squirrel family; Sciuridae) ศตั รมู ะคาเดเมียทพี่ บในแปลง ทดลองมะคาเดเมีย ณ ศูนยว ิจยั เกษตรหลวงเชียงใหม (แมจอนหลวง) ต.แมนาจร อ.แมแจม จ.เชียงใหม (ก-ค) กลุมหนู (Rat and mice family; Muridae) ไดแก หนูฟานเหลือง (Maxomys surifer), หนูปา อินโดจีน (Indochinese forest rat, Rattus andamanensis) หนูขนเสี้ยน (Spiny rats, Niviventer sp.) หนูทองขาวบาน (Rattus rattus) และ หนหู ริ่งปาเล็กขนเส้ยี น (Mus pahari) (ภาพที่ 32) 61
(ก) หนฟู านเหลอื ง (Maxomys surifer) (ข) หนูขนเส้ยี น (Niviventer fulvescens) (ค) หนหู ริ่งปาเลก็ ขนเสย้ี น (Mus pahari) ภาพที่ 32 สตั วฟนแทะในกลมุ หนู (Rat and mice family; Muridae) ศัตรูมะคาเดเมียทีพ่ บในแปลง ทดลองมะคาเดเมีย ณ ศูนยว ิจยั เกษตรหลวงเชยี งใหม (แมจ อนหลวง) ต.แมน าจร อ.แมแจม จ.เชยี งใหม (ก-ค) กลมุ อน (Mole rat family; Rhizomyidae) ไดแก อน ใหญ (Rhizomys sumatrensis) ลกั ษณะการทาํ ลาย จะเริ่มทําลายผลมะคาเดเมยี เม่อื ผลแกใ กลเ กบ็ เกยี่ ว และยังนําเอาผลไปกิน ในรังหรอื ที่อน่ื ๆ ทําใหผลผลิตเสียหาย ผลผลติ และคุณภาพลดลง (ภาพที่ 33) การปองกันกาํ จัดสัตวฟ นแทะในมะคาเดเมยี โดยวธิ ีผสมผสาน กรณกี ระรอก วางกรงดักท่ีมีกลวย หรือขนุนเปน เหยือ่ ลอ มัดติดกบั กิง่ ไมในทรงพุมบนตน หรือบริเวณคาคบ และในกรณีหนู วางกรงดักท่ีมี ขา วโพดหรอื ผลมะคาเดเมียเปนเหย่ือลอ โดยวางท่ีโคนตน รอยทางว่ิงหนู หรือบริเวณที่พบรอยกัดทําลาย การใชสารกําจัดหนูประเภทออกฤทธ์ิชา ไดแก โบรไดฟาคูม (brodifacoum 0.005 เปอรเซ็นต) หรือ โฟลคมู าเฟน (flocoumafen 0.005 เปอรเซ็นต) ชนิดกอนขี้ผ้ึง หนักกอนละ 5 กรัม โดยวางใสทอพีวีซี เสนผาศูนยกลางประมาณ 9 เซนติเมตร ยาวประมาณ 50 เซนติเมตร หรือผูกแขวนดวยลวดมัดติดกับ กิ่งไมในทรงพุมบนตน และวางบริเวณโคนตน หรือบริเวณท่ีพบรองรอยของสัตวฟนแทะ จุดละ 3 กอน ใหค รอบคลมุ พื้นที่ทั้งหมด เริ่มวางสารกําจัดหนูตั้งแตมะคาเดเมียเร่ิมออกดอก จนกระท่ังเก็บเก่ียวหรือ เมื่อพบวา ประชากรสตั วฟ น แทะเริ่มสูงขึ้นและพบรอยกัดทําลายมากขึ้น โดยแตละครั้งวางสารกําจัดหนู หา งกนั 3-4 สปั ดาห จํานวนคร้งั ในการวางข้ึนอยกู บั ประชากรสตั วฟนแทะขณะนั้น จนกระทั่งเกบ็ เกยี่ วผล (วชิ าญ และคณะ, 2562) 62
อน ใหญ (Rhizomys sumatrensis) ภาพที่ 33 สัตวฟนแทะในกลุมอน (Mole rat family; Rhizomyidae) ศัตรูมะคาเดเมียท่ีพบในแปลง ทดลองมะคาเดเมีย ณ ศูนยวิจยั เกษตรหลวงเชยี งใหม (แมจ อนหลวง) ต. แมนาจร อ. แมแ จม จ. เชียงใหม ภาพท่ี 34 ลักษณะการเขา ทาํ ลายของสัตวฟนแทะศตั รมู ะคาเดเมยี 6.7.2 แมลงศตั รแู ละการปองกนั กาํ จัด เพลีย้ ออ นดําสม (black citrus aphid: Toxoptera aurantii (Boyer de Fonscolombe)) ลกั ษณะการทาํ ลาย ตัวออ นและตวั เต็มวยั ของเพล้ียออนจะดูดกินนํ้าเล้ียงจากยอด ใบออน และ ชอดอกตมู สว นของพืชที่ถกู ทาํ ลายจะบดิ งอ และเกดิ ราดาํ จากนาํ้ หวานที่เพลย้ี ออ นผลติ ออกมา การปอ งกันกําจัด 1) ตัดแตง กง่ิ ใหโ ปรง ลดความทึบของทรงพมุ เพอ่ื ลดการสะสมของแมลง 2) หมั่นสาํ รวจยอด ใบออ น และชอดอกอยเู สมอ 3) เมือ่ พบการเขา ทาํ ลาย ใหตัดสว นท่ีพบเพลี้ยออนออกไปทําลายนอกแปลง 63
เพลี้ยไฟ พบ 4 ชนดิ คอื เพลี้ยไฟหลากสี (color thrips: Thrips coloratus Schmutz) เพล้ียไฟพริก (chili thrips: Scirtothrips dorsalis Hood) เพลย้ี ไฟมะละกอ (papaya thrips: Thrips parvispinus Karny) และ เพล้ียไฟดอกถัว่ (flower bean thrips: Megalurothrips usitatus Bagnall) ลกั ษณะการทาํ ลาย ตัวออนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ําเล้ียงบริเวณยอดออน ใบออน ชอดอก และ ผลออ น พบมากชวงดอกบาน การทําลายทําใหใ บบดิ งอ ดอกแหง และรว ง ผลเปนแผลข้กี ลากสีน้ําตาล การปอ งกนั กําจดั 1) หมั่นสํารวจยอด ใบออน ดอก และผลออน 2) หากพบการระบาด พนดว ยสารฆา แมลง ฟโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มลิ ลิลติ รตอ น้าํ 20 ลิตร หรือ อมิ ดิ าโคลพริด 70% ดับเบิลยูจี อตั รา 3 กรมั ตอน้าํ 20 ลิตร หรือ สไปนีโทแรม 12% เอสซี อตั รา 10 มลิ ลิลิตรตอ นาํ้ 20 ลติ ร หรือ คารบ าริล 85% ดับเบิลยูพี อัตรา 60 กรมั ตอน้ํา 20 ลติ ร อยางใดอยางหน่ึง เพลีย้ แปง แปซฟิ ก (Pacific mealybug : Planococcus minor (Maskell)) ลักษณะการทําลาย ตัวออนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ําเล้ียงบนยอด ใบ ก่ิง และขั้วผล มักพบอยู เปน กลมุ รวมกับมด สว นของพชื ทถี่ กู ทาํ ลายมกั พบราดําจากน้ําหวานทเี่ พลย้ี แปง ผลิตออกมา การปองกนั กําจดั 1) ตัดแตง ก่ิงใหโปรง ลดความทึบของทรงพมุ เพอ่ื ลดการสะสมของแมลง 2) หม่นั สํารวจยอด ใบ ก่งิ และผล อยูเสมอ หากพบเพลย้ี แปงใหตัดสวนท่ีพบออกไปทําลาย นอกแปลง เพลีย้ หอยเกล็ด (lesser snow scale : Pinnaspis buxi (Bouché)) ลักษณะการทาํ ลาย ดูดกินน้ําเล้ยี งจากกิง่ กาน ใบ ผล และลําตน การปองกนั กาํ จัด 1) ตดั แตง ก่งิ ใหโ ปรง ลดความทึบของทรงพุม เพอ่ื ลดการสะสมของแมลง 2) หมัน่ สาํ รวจกง่ิ กา น ใบ และผล อยเู สมอ หากพบเพลยี้ หอยใหต ัดสวนท่ีพบออกไปทําลาย นอกแปลง หนอนเจาะผล พบ 2 ชนดิ คอื หนอนเจาะผลเงาะ (rambutan fruit borer : Deudoric epijarbas (Moore)) และ หนอนเจาะผล (yellow peach moth : Conogethes punctiferalis (Guenée)) ลักษณะการทาํ ลาย หนอนเจาะเขา ไปกัดกนิ อยูภายในผล ทาํ ใหผ ลผลิตเสียหาย รว งหลน การปองกนั กาํ จัด 1) ตัดแตง กิ่งใหโ ปรง ลดความทึบของทรงพมุ เพ่ือลดการสะสมของแมลง 2) ระยะผลหมนั่ สํารวจ หากพบการเขาทาํ ลาย ใหเกบ็ ผลท่ีถูกทาํ ลายออกไปท้งิ นอกแปลง (บุษบง และคณะ, 2561) 64
ภาพท่ี 35 เพลีย้ ออ นดาํ สม และลักษณะการเขา ทาํ ลาย ภาพที่ 36 ลกั ษณะการเขา ทําลายของเพลีย้ ไฟในผลมะคาเดเมยี ภาพท่ี 37 เพลี้ยแปง และลักษณะการเขาทาํ ลาย 65
ภาพที่ 38 หนอนเจาะผล และลกั ษณะการเขาทาํ ลายผลมะคาเดเมยี 6.7.3 โรคและการปอ งกันกําจัด โรคใบไหม (leaf blight) เกิดจากเชอื้ รา Neopestalotiopsis clavispora ลักษณะอาการ อาการเร่มิ จากเปนจุดแผลขนาดเลก็ สีนํ้าตาล ขอบแผลมสี เี หลือง กระจายท่ัวใบ และเม่ืออาการรนุ แรงจดุ แผลจะขยายรวมกัน ทาํ ใหเ กดิ เปนใบไหม (ภาพท่ี 39) การปองกันกําจัด 1) ทําลายสว นท่ีเปน โรค โดยการนําไปเผาท้งิ นอกแปลงปลกู 2) ตดั แตงก่ิงใหโ ปรง ลดความทบึ ของทรงพมุ เพือ่ ลดการสะสมของโรค ภาพที่ 39 ลกั ษณะอาการใบไหมท ีเ่ กดิ จากเช้ือรา Neopestalotiopsis clavispora ในใบมะคาเดเมยี โรคใบจดุ (leaf spot หรือ anthracnose) เกดิ จากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides ลักษณะอาการ อาการเริ่มจากเปนจุดแผลขนาดเล็ก สีน้ําตาล จากน้ันจะขยายใหญขึ้นเปน จุดกลม ขอบแผลมสี ีนาํ้ ตาลแดง กระจายท่วั ใบ และเมอ่ื อาการรนุ แรงจุดแผลจะขยายรวมกนั ทาํ ใหใบแหง ตาย แสดงอาการทั้งบนใบออน ใบแก เปลือกผล และทําลายผลท่ีใกลจะแกดวย ทําใหผลแหงแข็ง คาเปลอื ก และผลหอ ยตดิ อยูกับตน (ภาพท่ี 40) 66
การปอ งกนั กาํ จัด 1) ทาํ ลายสว นที่เปน โรค โดยการนําไปเผาทิ้งนอกแปลงปลูก 2) ตดั แตงกงิ่ ใหโปรง ลดความทบึ ของทรงพมุ เพือ่ ลดการสะสมของโรค ภาพที่ 40 ลักษณะอาการใบไหมท่ีเกดิ จากเช้อื รา Colletotrichum gloeosporioides ในใบมะคาเดเมีย โรคโคนเนาหรอื เปลอื กผุ (Phytophthora trunk and stem canker) เกดิ จากเชอ้ื รา Phytophthora cinnamomi ลกั ษณะอาการ ระยะตน กลา จะเกิดเปน แผลช้ําบริเวณโคนตนในระดับดิน ทําใหโคนตนคอดลง ตนเหี่ยวแหงและตายอยางรวดเร็ว ในระยะตนโต สีของเนื้อไมบริเวณโคนตนจะเปล่ียนเปนสีเขมขึ้น ตองเอาเปลอื กไมดานนอกออกจึงสงั เกตเห็นอาการ อาการสามารถลุกลามจากโคนตน ข้นึ ไปยงั สวนของก่ิง ได (ภาพที่ 41) การปอ งกันกําจดั 1) ใชต น กลาที่มาจากแหลง ท่ีปลอดโรค 2) จัดทํารองระบายนา้ํ ในบรเิ วณสวนที่มพี ื้นทีต่ ํ่า เพอ่ื ไมใหม นี าํ้ ทว มขัง 3) ใชเ ชอ้ื ราไตรโคเดอรมา รองกน หลุม โดยคลุกเคลาเชื้อสดปริมาณ 150–300 กรัม กับดิน ในหลมุ กอ นนํากลาพืชลงปลูก 67
ภาพท่ี 41 ลกั ษณะอาการใบไหมทีเ่ กิดจากเชอ้ื รา Phytophthora cinnamomi (ทมี่ า: Plant Village, 2015) 6.7.4 วชั พชื และการปอ งกนั กาํ จดั วชั พชื ทีพ่ บมที ัง้ ชนดิ ใบแคบและใบกวา ง ไดแ ก หญา ตีนนก หญาตนี กา หญานกสีชมพู หญา ปาก ควาย หญาคา กระดมุ ใบเลก็ สาบแรง สาบกา ผกั ปลาบ หญา ยาง ลกู ใตใบ และตนี ตกุ แก การกําจัดวชั พืชในมะคาเดเมีย 1) ปลูกพชื คลุมดนิ ตระกลู ถวั่ 2) ปลูกพืชแซม 3) ใชรถหรือเครอื่ งตัดวัชพืชระหวางแถวปลูก 4) การใชส ารกาํ จัดวัชพชื * ไมค วรใชส ารเคมปี อ งกันกําจดั ศตั รมู ะคาเดเมยี และวชั พืชโดยไมจําเปน 6.7.5 การควบคมุ วัชพืช 1) ในการปลูกมะคาเดเมียระยะแรกทต่ี นยังเล็ก บรเิ วณใตทรงพุมจะตอ งกาํ จัดวัชพืชดวยการ ใชจอบถาง หรือถอนดวยมือ และคลุมดินดวยหญาแหง เปลือกถั่วหรือวัสดุอื่น หรือใช สารเคมี 2) การกาํ จัดวัชพืชในระหวางแถวปลูก ควรใชว ิธีผสมผสานโดยการใชวิธีกล เชน ปลกู ถ่ัวคลุมดิน หรือพชื แซมรว มกับการใชสารเคมบี างเพ่อื รกั ษาสภาพแวดลอ มและสรา งรายไดเพม่ิ ระยะที่ มะคาเดเมียยังไมใหผลผลิตหรือใหผลผลิตแลวก็ตามแตทรงพุมยังไมชนกัน (ภาพที่ 43) (อทุ ยั และคณะ, 2551ก) ภาพที่ 42 การปลูกพชื แซมชว ยในการควบคมุ วชั พืช 68
บทท่ี 7 เทคโนโลยหี ลงั การเกบ็ เกีย่ ว และการแปรรปู 7.1 วิทยาการหลงั การเก็บเกี่ยว การเก็บเก่ียวและการแปรรูป มีผลโดยตรงตอผลิตภัณฑมะคาเดเมีย ทั้งดานคุณภาพผลผลิต การลดความสูญเสียผลผลิต คุณภาพของผลิตภัณฑ และการเพ่ิมมูลคาสินคา ดังน้ันจึงเปนข้ันตอนที่มี ความสําคัญเพ่ือใหไดคุณภาพผลิตภัณฑที่ดี การเก็บเกี่ยวในชวงเวลาที่เหมาะสมจะทําใหไดคุณภาพและ ปริมาณผลผลิตทดี่ ี การแปรรูปเปน ผลิตภัณฑท ่ีหลากหลายชว ยเพิม่ ทางเลอื กใหผ ูบ รโิ ภคและเพ่ิมมูลคาสินคา อกี ทั้งยงั ลดปริมาณวสั ดุเหลือใชทางการเกษตรดว ยการแปรรูปเปน ผลิตภณั ฑท ่สี รางมูลคา สรางรายไดใหกับ เกษตรกร และผปู ระกอบการไดอ ีกทางหนึ่ง การเกบ็ เกยี่ วและการแปรรปู จงึ มขี ้นั ตอนทส่ี าํ คญั ดังตอไปนี้ 7.1.1 การเตรียมการเก็บเกี่ยว 1) พนื้ ทส่ี วนใหญไมสามารถใชเคร่อื งจกั รไดตองใชแ รงงานคนเก็บและเตรียมถุงหรือภาชนะสําหรับ เก็บผล 2) เตรียมเครอ่ื งมืออุปกรณก ารกะเทาะใหพ รอม 3) ทาํ ความสะอาดโรงปฏบิ ัตงิ าน และโรงเก็บเมล็ด 7.1.2 การเกบ็ เกีย่ ว 1) ใชแ รงงานคนเก็บผลแกท่ีรวงใตด ิน และตอ งกะเทาะเปลือกเขยี วออกภายใน 24 ชั่วโมง เนือ่ งจาก จะมีผลทําใหคณุ ภาพเนือ้ ในลดลง 2) การเกบ็ ผลที่รวงบนพน้ื ดนิ ทุก ควรทําทุก 3-4 วนั ในฤดฝู น เพราะถา ปลอ ยทง้ิ ไวน านเช้อื รา อาจ เขาทําลายผล สว นในฤดแู ลง หากผลถูกแสงอาทิตยโ ดยตรงนาน ๆ ผลจะแตกทําใหเ นื้อใน เหม็นหืนได (rancidity) (อทุ ยั และคณะ, 2551ก) ภาพที่ 43 เก็บผลแกท รี่ ว งใตต น เพ่ือนําไปกะเทาะเปลือกเขยี วออก 69
7.2 การแปรรูป 7.2.1 กะเทาะเปลอื กนอก (Dehusking) 1) ควรกะเทาะภายใน 24 ช่ัวโมง 2) หลังกะเทาะเปลือกนอกออก ตอ งนาํ ไปผ่ึงในทม่ี ลี มพัดผานหรือวางบนตะแกรงเปนช้ัน ๆ และใชพัดลมเปาเพ่ือลดความช้ืน ไมควรวางซอนทับกันมากเกินไป (อุทัย และคณะ, 2551ก) (ก) มะคาเดเมียท่ีไมไ ดกะเทาะเปลือก (ข) นํามะคาเดเมยี มากะเทาะเปลือกนอกออก (ค) เมลด็ มะคาเดเมยี หลงั กะเทาะเปลือกออก (ง) ผ่งึ ลมหลังกะเทาะเปลอื ก ภาพท่ี 44 กะเทาะเปลอื กนอก (Dehusking) และผงึ่ ลมเพอ่ื ลดความชนื้ (ก-ง) 7.2.2 การคดั เมล็ด (Sorting nut in shell) 1) แชเ มล็ดท่ีกะเทาะเปลอื กนอกออก คัดเมล็ดท่ีลอยนา้ํ ทงิ้ 2) ใชเครื่องคัดขนาดเมล็ด ถาเมล็ดมีเสนผาศูนยกลางต่ํากวา 1.8 เซนติเมตร ใหคัดทิ้ง เพราะมคี ุณภาพตาํ่ (อทุ ยั และคณะ, 2551ก) (ก) แชเ มลด็ (ข) คัดเมล็ดทล่ี อยนํา้ ทง้ิ ภาพที่ 45 การคดั เมล็ด (Sorting nut in shell) (ก-ข) 70
7.2.3 การลดความชื้นเมลด็ (Drying) ผึ่งเมล็ดในพน้ื ท่ีที่มีลมพัดผานสะดวกประมาณ 3-7 วัน ความชื้นจะลดลงเหลือประมาณ รอ ยละ 10-15 ขึน้ อยกู ับอุณหภมู ิและฤดกู าล (ก) มะคาเดเมยี ท่ีผานการคดั เมล็ด (ข) ผ่งึ เมลด็ เพ่ือลดความช้ืน ภาพท่ี 46 การลดความชน้ื เมล็ด (Drying) (ก-ข) 7.3 การเกบ็ รักษาผลผลติ 7.3.1 เมล็ดทัง้ กะลา (Nut in shell) 1) ลดความชื้นใหเหลือประมาณรอยละ 10 สามารถเก็บไวไดนานถึง 1 เดือน เพ่ือรอการกะเทาะ หรือขาย โดยการควบคุมและรกั ษาระบบการหมุนเวยี นของอากาศ 2) ถาเมล็ดมีไมมากนักอาจเก็บโดยการเทเมล็ดบนช้ันลวดตาขาย เกล่ียเมล็ดหนา 10-15 เซนติเมตร ต้ังในทีร่ ม มีการถายเทอากาศดี เมล็ดสามารถเก็บไวไดนานถึง 6-12 เดือน ซึ่ง แตกตา งไปตามสภาพอากาศ (อทุ ัย และคณะ, 2551ก) 7.3.2 การอบเพ่อื กะเทาะเมล็ด 1) เมล็ดทั้งกะลาสดมคี วามชืน้ รอยละ 20-25 หลงั จากผึ่งเมล็ด 3-7 วนั ความชืน้ ลดลงเหลอื รอยละ 10-15 นาํ เขา เครอ่ื งอบความรอนใชอุณหภูมิ 41 องศาเซลเซียส 3 วัน และ 51 องศาเซลเซียส อีก 3 วนั หรอื เมอ่ื เขยา เมลด็ ดูจะคลอนแสดงวาเนอื้ ในลอ นไมตดิ กะลา นํามากะเทาะกะลาออก (อุทัย และคณะ, 2551ก) (ก) เครือ่ งอบความรอน (ข) นําเมลด็ ทง้ั กะลาเขา เครอื่ งอบความรอ น 71
(ค) กะเทาะกะลาออก (ง) มะคาเดเมยี หลงั ทาํ การกะเทาะกะลาออก ภาพท่ี 47 การอบเพ่ือกะเทาะเมล็ด (ก-ง) 7.4 การขนสง เมล็ดท้ังกะลา ถาขนสงภายในประเทศ ใสกระสอบตาขายไนลอนโปรงหรือลังพลาสติก และ ระยะทางขนสง ไมเกิน 3 วัน (อุทยั และคณะ, 2551ก) ภาพท่ี 48 เมลด็ ทั้งกะลาใสก ระสอบตาขายไนลอนโปรง เตรยี มขนสง 72
7.5 การกาํ หนดมาตรฐาน มะคาเดเมยี จัดเปนพชื สวนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และเปนท่ีนิยมของผูบริโภค ท่วั โลก มรี าคาสูง มีคุณคา ทางโภชนาการสูง สามารถใชแ ปรรปู เปนผลิตภัณฑไ ดหลากหลายชนิด จึงทําให การผลิตมะคาเดเมียของประเทศไทยมีการเพิ่มขึ้นในแตละป เน่ืองจากผูบริโภคในประเทศไทยมี ความตองการผลผลติ เพื่อใชบรโิ ภคสงู ดังนัน้ คณุ ภาพของเมลด็ มะคาเดเมียแบบท้ังกะลา และแบบเนื้อใน จึงเปน ส่ิงสําคญั ท่ีเกษตรกร และผูประกอบการแปรรปู มะคาเดเมีย ตองคาํ นงึ ถงึ ในการผลติ มะคาเดเมียให ไดคุณภาพ และมาตรฐาน เน่ืองจากคุณภาพจะเปนตัวกําหนดราคาในการซื้อขายใหไดราคาสูงหรือตํ่า การกําหนดมาตรฐานมะคาเดเมียแบบท้ังกะลา และที่มีเฉพาะเน้ือใน ซึ่งเปนมาตรฐานท่ีถูกกําหนดโดย United Nations Economic Commission for Europe (UNECE) Standard DDP-22 และ DDP-23 ดงั น้ี 7.5.1 การควบคมุ คุณภาพข้ันตํา่ 1) การควบคมุ คุณภาพขัน้ ตํา่ สาํ หรบั มะคาเดเมยี แบบทงั้ กะลา คณุ ภาพของกะลา คุณภาพของเมล็ดเนอื้ ใน คุณภาพผลผลติ โดยรวม - ปราศจากการแตกหัก - ปราศจากกล่นิ เหม็นหืน - เมล็ดสมบรู ณ - สะอาด - เมลด็ มีการเจรญิ เตม็ ที่ - ปราศจากเสน ใยเชอ้ื ราท่มี องเห็นได - ปราศจากขอ ตาํ หนิ - ปราศจากขอตาํ หนิ - ปราศจากแมลงศตั รูพืช สีท่ไี มส ม่ําเสมอ หรือเปนรอยดา ง สที ีไ่ มส ม่ําเสมอ หรือ - ปราศจากรอยสัตวกดั แทะ - ปราศจากความเสียหาย เปน รอยดา ง - ลักษณะภายนอกไมมีความบกพรอง - ปราศจากเสน ใยราทม่ี องเห็นได ที่เกิดจากความชนื้ - มรี ปู ทรงทดี่ ี - ปราศจากกลน่ิ หรือรสชาติผิดปกติ ทม่ี า: International Nut and Dried Fruit Council (2018) 2) การควบคมุ คุณภาพขนั้ ตา่ํ สําหรับมะคาเดเมยี แบบเฉพาะเมล็ดเนอ้ื ใน - ปราศจากการแตกหกั - เมลด็ สมบรู ณ - สะอาด - เมล็ดมีการเจรญิ เต็มท่ี - ปราศจากขอ ตาํ หนิ สที ่ไี มสมํา่ เสมอ หรือเปนรอยดาง - มรี ูปทรงทีด่ ี - ปราศจากแมลงศัตรพู ืช - ปราศจากรอยสตั วก ัดแทะ - ปราศจากเสนใยราทมี่ องเหน็ ได - ปราศจากกลิ่นเหมน็ หนื - ลกั ษณะภายนอกไมมีขอ บกพรองทเ่ี กดิ จากความชน้ื - ปราศจากกลิ่นหรอื รสชาตผิ ิดปกติ 73
3) ปจ จัยดานองคประกอบทางเคมีและเช้อื จลุ นิ ทรีย Australian Southern African Brazilian Macadamia Association (ABM) ปจจัย Macadamia Society Macadamia Growers’ 1.5% ± 0.3% (AMS) Association (SAMAC) ≤1.0% 1) องคประกอบทางเคมี ≤3 meq/kg or ≤5 ความชื้น < 1.8% ไมเ กิน 2% meq/kg (some markets) ปราศจากไขมันอ่มิ ตัว ≤0.5% ≤0.5% < 30,000 cfu/g ระดับสาร peroxide ≤2 meq/kg ≤3 meq/kg < 20,000 cfu/g < 350 cfu/g (2 years shelf life); < 3 cfu/g 2< x <3 meq/kg ไมพ บเช้อื ในปริมาณ นํา้ หนัก 250 กรมั (1 year shelf life) 2) เชอื้ จลุ ินทรีย ปริมาณจุลินทรียท ม่ี ีชีวิตทง้ั หมด < 30,000 cfu/g < 20,000 cfu/g ปรมิ าณยสี ตแ ละรา < 20,000 cfu/g < 20,000 cfu/g ปรมิ าณเช้ือโคลฟิ อรม - < 300 cfu/g ปริมาณเชื้อ E. coli < 3/g ไมพ บ (AS 2013.15-2006 (BS 5763 method) test method) ปริมาณเชื้อ Salmonella ไมพบเชื้อในปริมาณ ไมพบ น้ําหนัก 250 กรัม (ISO 6579 or BAM (AS 2013.10-2009 method) test method) ทีม่ า: International Nut and Dried Fruit Council (2018) 4) การควบคมุ การปนเปอน โดยควบคุมปรมิ าณการปนเปอ นของสารอะฟลาทอ็ กซนิ เปนหลัก ประเทศ Aflatoxin B1 (ppb) Total Aflatoxin (B1-B2-G1-G2) (ppb) ออสเตรเลยี - 15 บราซลิ - 10 สหภาพยุโรป 2 4 อนิ เดีย - 10 สหรฐั อเมรกิ า - 20 ทม่ี า: International Nut and Dried Fruit Council (2018) 5) การควบคุมคุณภาพดานความเช่ือมน่ั 5.1) มมี าตรการปฏิบตั ิดานการเกษตรท่ีดี (Good Agricultural Practices: GAP) 5.2) มมี าตรฐานการปฏบิ ตั ดิ า นการผลิตอาหารที่ดี (Good Manufacturing Practices: GMP) 5.3) มมี าตรการปฏบิ ัติดา นการเกบ็ รักษาผลผลติ ทีด่ ี 5.4) มแี นวทางการวิเคราะหจ ุดวกิ ฤตทีต่ องมีการควบคมุ 74
7.5.2 มาตรฐานและการคัดเกรดมะคาเดเมยี มาตรฐานและการคัดเกรดมะคาเดเมีย ไดมีการกําหนดเกณฑคุณภาพดวยการจัดจําแนก มะคาเดเมียแบบทั้งกะลาและที่มีเฉพาะเมล็ดเน้ือใน ในสายพันธุตาง ๆ ท่ีเจริญมาจากสปชีส Macadamia integrifolia, M. tetraphylla, M. ternifolia และพนั ธลุ ูกผสม โดยมะคาเดเมียแบบทั้งกะลาและที่มีเฉพาะ เมล็ดเน้ือในจะถูกจดั แบง ประเภทตามพ้ืนฐานความเสยี หายท่ีเกดิ ขึ้นกบั ผลผลิต 1) คณุ ภาพ เปลือกของมะคาเดเมียจะตองไมมีความเสียหาย สมบูรณ แข็งแรง ปราศจากขอตําหนิและ เสน ใยเชอ้ื ราท่ีมองเห็นได มีรูปทรงทีด่ ีไมผ ิดปกติ สําหรบั เมลด็ เนือ้ ใน เมล็ดจะตองปราศจากกล่นิ เหมน็ หนื มีการเจริญเตม็ ที่ ปราศจากขอ ตําหนิ ไมป รากฏสีทไ่ี มส มาํ่ เสมอหรอื เปน รอยดางท่ีเดนชัดเมื่อเปรียบเทียบ กบั บริเวณสวนทเี่ หลือของเมลด็ กลิ่นดานผลผลิตโดยรวม (แบบทั้งกะลาและท่ีมีเฉพาะเน้ือใน) จะตองมีความสมบูรณและ ปราศจากเสนใยเชือ้ ราทม่ี องเห็นได ปราศจากศัตรูพืช รอยสตั วก ัดแทะ ลกั ษณะภายนอกไมม ขี อ บกพรอง ทเี่ กิดจากความชน้ื ปราศจากหรอื รสชาตทิ ผ่ี ดิ ปกติ 2) การจดั ประเภทมะคาเดเมยี การจดั จําแนกใชเกณฑข อ บกพรอ งที่ยอมรับได 2.1) การจัดประเภทมะคาเดเมียแบบท้ังกะลา ขอบกพรองทยี่ อมรับได ระดบั การรบั ได* ประเภท 1 ประเภท 2 (1) การยอมรับไดส าํ หรับกะลาทไี่ มผา นขอ กาํ หนดขัน้ ตํ่าสุด จะตองไมเกิน 57 กะลามเี ศษวัตถอุ ื่น ๆ เกาะติด 12 มรี อยสตั วก ดั แทะ 23 มีโรคแมลงศัตรูพืช 00 (2) การยอมรบั ไดโ ดยรวมสาํ หรบั เมล็ดเนอ้ื ในทีไ่ มผ านขอกาํ หนดข้ันตา่ํ สดุ จะตองไมเกิน 7 10 มเี ชือ้ รา 0.5 1 มรี สชาตหิ รือกลนิ่ ผดิ ปกติ 23 เมลด็ เนื้อในหดตวั 23 มีเน้อื เหนียวหรอื มีจดุ สนี ้ําตาล 23 เมลด็ เน้อื ในไมส มบรู ณ และสายพันธุแตกตา งกนั 23 เสือ่ มสภาพ และถูกทาํ ลายจากสตั ว 35 (3) การยอมรับไดดา นขนาด มะคาเดเมยี แบบทั้งกะลาทไ่ี มเ ขาเกณฑขั้นตํา่ สุดท่ีขนาดเสนผา ศนู ยก ลาง 00 15.87 มม. (5/8 นิว้ ) ไมผ า นการรับรองดานขนาด 10 10 (4) การยอมรบั ไดจ ากขอบกพรองอืน่ ๆ มีการปนเปอ นจากวสั ดุแปลกปลอม 12 * รอยละของขอบกพรองบนเปลือกกะลามะคาเดเมีย โดยเปรียบเทยี บจากปรมิ าณหรือน้ําหนัก 75
2.2) การจัดประเภทมะคาเดเมียทีม่ ีเฉพาะเมล็ดเนอ้ื ใน ขอบกพรองทยี่ อมรับได ระดับการยอมรบั ได* ประเภท 1 ประเภท 2 (1) การยอมรบั ไดสาํ หรบั เมล็ดเนอ้ื ในทไ่ี มผา นขอกาํ หนดข้นั ต่ําสุด 7 10 จะตอ งไมเ กนิ เมลด็ เจรญิ ไมเต็มที่ เน้อื ในไมส มบูรณ 35 มีเชือ้ รา 11 มีกลนิ่ เหม็นหนื หรือถกู ทําลายจากสตั ว มกี ารเนา หรือเสือ่ มสภาพ 12 ไมมีกลิน่ หรอื รสชาติ 00 มโี รคแมลงศตั รพู ชื 00 (2) การยอมรบั ไดด านขนาด ขนาดผลผลติ ทไี่ ดไมเ ปนไปตามท่กี าํ หนด 77 (3) การยอมรบั ไดด านขอบกพรองอื่น ๆ มกี ารปนของมะคาเดเมยี พันธุอ ื่น หรือชนิดพนั ธไุ มต รงตามเกณฑ 10 10 ทางการคา มกี ารปนเปอ นจากวสั ดุแปลกปลอม มกี ารแตกหกั เปนผง 0.25 0.25 *รอ ยละของขอบกพรองของเมล็ดเนอ้ื ในมะคาเดเมยี โดยเปรยี บเทียบจากปริมาณหรือนํ้าหนัก ที่มา: International Nut and Dried Fruit Council (2018) 3) ขอกําหนดดา นขนาด ขอ กําหนดดานขนาดของมะคาเดเมียจะถูกนํามาพิจารณารวมกับการจัดประเภทของมะคาเดเมีย ดงั น้ี - มะคาเดเมยี แบบท้ังกะลา จะใชเกณฑจากการวัดขนาดเสนผาศูนยกลางท่ีระยะส้ันที่สุด ของเปลอื กกะลา (มีหนวยเปน มิลลเิ มตร หรือ นิว้ ) - มะคาเดเมียที่มีเฉพาะเมล็ดเนื้อใน จะใชเกณฑจากการวัดขนาดเสนผาศูนยกลางที่ ระยะกวางทส่ี ดุ รวมกบั ขอกําหนดดานขนาดทีก่ ําหนดไว 3.1) ขอกาํ หนดดานขนาดของมะคาเดเมยี แบบท้งั กะลา ขนาดทก่ี าํ หนด เสนผา ศูนยกลาง (มิลลเิ มตร) เสนผา ศูนยก ลาง (นวิ้ ) ใหญ (พิเศษ) ใหญกวาหรือเทากบั 28 มิลลเิ มตร ใหญก วา หรอื เทากับ 1.1 นว้ิ ใหญ 23-28 มลิ ลเิ มตร 0.9-1.1 น้วิ กลาง 18-23 มิลลเิ มตร 0.7-0.9 นิว้ เลก็ 16-18 มิลลเิ มตร 0.6-0.7 น้ิว ต่าํ กวากาํ หนด เลก็ กวา 16 มลิ ลเิ มตร เล็กกวา 0.6 น้วิ ทมี่ า: International Nut and Dried Fruit Council (2018) 76
3.2) ขอ กําหนดดานขนาดของมะคาเดเมียทีม่ ีเฉพาะเมลด็ เนอ้ื ใน ชนิด ลกั ษณะ ขนาด 0 เมล็ดเต็ม (wholes): ควรประกอบดวย เมล็ดผา นตารางขนาด 6.25 มิลลิเมตร เมลด็ ทีส่ มบรู ณไ มม ีการแตกหกั อยา งนอย หรอื 0.25 นวิ้ นอ ยกวารอยละ 1 รอ ยละ 95 1 เมล็ดเต็ม (wholes): ควรประกอบดวย เมลด็ ผานตารางขนาด 6.25 มิลลิเมตร เมลด็ ทส่ี มบรู ณไ มม ีการแตกหกั อยางนอย หรอื 0.25 น้วิ นอยกวารอ ยละ 1 รอยละ 90 2 เมล็ดเต็ม และซีกใหญ (wholes and เมล็ดผานตารางขนาด 7.8 มลิ ลิเมตร halves): ควรประกอบดวยเมล็ดที่สมบูรณ หรือ 0.3125 นิ้ว นอยกวารอยละ 2 ไมม ีการแตกหักอยางนอ ยรอยละ 50 3 เมล็ดซกี ใหญและหักครึง่ (cocktail): เมลด็ ผา นตารางขนาด 6.25 มลิ ลเิ มตร ควรประกอบดวย หรือ 0.25 น้วิ นอยกวา รอ ยละ 2 - เมลด็ ที่แตกหักครง่ึ หนึ่งหรอื ยงั มีเมลด็ เนอ้ื ในสวนใหญอ ยา งนอยรอยละ 90 - เมล็ดทสี่ มบรู ณไ มม กี ารแตกหกั อยา งนอ ยรอ ยละ 15 4 เมล็ดหักครง่ึ (halves and pieces): เกรด L: เมล็ดขนาดใหญกวา 16 ควรประกอบดว ย มิลลเิ มตร - เมลด็ ท่แี ตกหักครงึ่ หน่ึงอยางนอย เกรด M: เมล็ดมีขนาดอยรู ะหวาง รอ ยละ 50 14-16 มลิ ลเิ มตร - เมลด็ ท่ยี ังมเี นอื้ ในสวนใหญจ ะตอ ง เกรด S: เมลด็ มีขนาดอยรู ะหวา ง ไมเกินรอ ยละ 5 ของเมลด็ ท่แี ตกหกั 10-14 มลิ ลเิ มตร ครึง่ หนงึ่ 5 เมล็ดซีกเลก็ (large diced): - เมลด็ ผานตารางขนาด 7.8 ควรประกอบดว ยเนือ้ ในทม่ี ขี นาดเลก็ มิลลิเมตร x 25 มิลลเิ มตร กวา เมลด็ ท่ีแตกหกั คร่งึ หนงึ่ นอ ยกวารอ ยละ 5 - เมล็ดผา นตารางขนาด 2.34 มลิ ลเิ มตร หรือ 0.09 น้ิว นอ ยกวารอยละ 2 77
ชนดิ ลักษณะ ขนาด 6 เมล็ดแตกหักเปนช้นิ เล็ก (chips): - เมลด็ ผา นตารางขนาด 7.8 x 25 ควรประกอบดว ยเนือ้ ในขนาดเล็ก มลิ ลิเมตร หรอื 0.3125 x 1 นวิ้ อยางนอ ยรอ ยละ 95 - เมล็ดผา นตารางขนาด 2.34 มลิ ลิเมตร หรือ 0.09 นิ้ว นอยกวา รอ ยละ 2 7 เมลด็ แตกหกั เปนเกลด็ (bits and - เมล็ดขนาดเลก็ กวา เมล็ดทแ่ี ตกหกั diced): ควรประกอบดว ยเนอ้ื ใน ไปแลวครึง่ หน่งึ คอื ขนาดเล็ก - เมลด็ ผา นตารางขนาด 7.8 มลิ ลเิ มตร หรอื 0.3125 นวิ้ อยางนอยรอ ยละ 95 - เมล็ดผา นตารางขนาด 2.34 มลิ ลิเมตร หรอื 0.09 นว้ิ มากกวารอ ยละ 10 8 เมลด็ แตกหกั ละเอียด (fines): - เมลด็ ท้ังหมดจะตองผา นตาราง ควรประกอบดว ยเนือ้ ในท่ีแตกหกั ขนาด 6.25 หรือ 0.25 นว้ิ มขี นาดเล็ก หรือถกู สบั - เมลด็ สว นมากจะตองผานตาราง ขนาด 2.34 มิลลิเมตร. หรอื 0.09 น้ิว ที่มา: International Nut and Dried Fruit Council (2018) 7.6 ปจจัยทมี่ ผี ลตอการกําหนดราคา 1) ปริมาณไขมัน เพื่อใหไดมะคาเดเมียท่ีมีรสชาติท่ีดีที่สุด ควรเก็บเกี่ยวผลผลิตในชวงท่ีมีปริมาณ นํ้ามนั สูงสดุ 2) สีของเนื้อใน โดยท่ัวไปเปนสีขาวครีมสม่ําเสมอ ถาสีน้ําตาลเขมหรือสีดําแสดงถึงการท่ีเนื้อใน มีอายุการเก็บรักษานานและเหม็นหนื 3) ขนาดของเน้ือใน เปนปจจัยท่ีสําคัญตอการประเมินคุณภาพ ถาขนาดเน้ือในเพ่ิมขึ้น คาจัดการ จะลดลง ขนาดเนื้อในควรมขี นาดใหญและสมบรู ณ ไมมกี ารแตกหัก ไมม ีสง่ิ ปนเปอน 7.7 เครือ่ งมือแปรรูปมะคาเดเมีย ศูนยวิจัยเกษตรวิศวกรรมเชียงใหม โดยไดรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสนับสนุน การวิจัยกรมวิชาการเกษตร ไดวิจัยและพัฒนาชุดเคร่ืองมือแปรรูปมะคาเดเมีย 4 เคร่ือง ไดแก เคร่ืองกะเทาะเปลือกเขียว เครื่องอบลดความช้ืน เคร่ืองกะเทาะกะลาระดับอุตสาหกรรม และ เคร่ืองกะเทาะกะลาระดับเกษตรกรรม ซ่ึงสามารถแปรรูปไดครบวงจรและลดตนทุนจากการนําเขา เคร่ืองมอื ราคาแพงจากตางประเทศ ดังน้ี 78
7.7.1 เครอ่ื งกะเทาะเปลือกเขียวมะคาเดเมยี เครื่องกะเทาะเปลือกเขียวมะคาเดเมียนี้ไดพัฒนามาจากเครื่องกะเทาะเปลือกเขียวของ เครือรฐั ออสเตรเลยี หลกั การทํางานของเคร่อื งเร่มิ จากการปอนผลมะคาเดเมยี ใสใ นชองปอน ผลมะคาเดเมีย จะถูกลําเลียงเขามาในเคร่ืองกะเทาะ โดยในเคร่ืองมีชุดเกลียวกะเทาะยาว 1,150 มิลลิเมตร เสนผาศูนยกลาง 90 มิลลิเมตร ชุดเกลียวกะเทาะมีระยะพิตช 68 มิลลิเมตร ชุดถายทอดกําลังโดยใช มอเตอรไฟฟาขนาด 1 แรงมา เปนตนกําลังขับผานเกียรทดสอบอัตราทดที่ใช 1:10 โดยสงกําลังดวย เฟองโซขนาด 8 นวิ้ ไปขบั เฟองโซขนาด 6 น้ิว ความเร็วรอบ 330 รอบตอนาที เกลียวกะเทาะทําหนาที่ 2 อยาง คอื ทําหนาท่ลี ําเลียงผลมะคาเดเมยี พรอมกบั กะเทาะเปลอื ก มชี ุดแผน กดผลมะคาเดเมยี อัดติดกับ ชุดเกลียวลําเลียง เม่ือโดนแรงแผนกดเมล็ดมะคาเดเมียไดอัดกับเกลียวกะเทาะทําใหเปลือกแตกรวง ลงดานลาง สวนผลมะคาเดเมียซึ่งมีขนาดโตกวาชองทางออกเปลือกจะถูกลําเลียงออกยังดานทาย ของเครื่อง ความสามารถในการกะเทาะเปลือก 600 กิโลกรมั ตอชั่วโมง และสามารถกะเทาะเปลือกออกได รอยละ 99.5 เครื่องท่ีวิจัยและพัฒนาใชวัสดุท่ีมีอยูภายในประเทศไทย มีระบบการทํางานที่ไมซับซอน เกษตรกรสามารถใชงานงา ย การดูแลรกั ษางายและซอมแซมไดงาย มีจุดคุมทุนอยูที่ 5,181 กิโลกรัมตอป ที่อายุการใชงาน 5 ป ราคาเครื่อง 30,000 บาท (ภาพท่ี 49) โดยมีการถายทอดตนแบบเครื่องกะเทาะ ใหภ าคเอกชนนาํ ไปผลิตเปนเชิงการคา (สนอง และคณะ, 2553ก) ภาพที่ 49 เครือ่ งกะเทาะเปลอื กเขียวและหลกั การกะเทาะภายในเคร่อื ง (ทมี่ า: สนอง และคณะ, 2553ก) 7.7.2 เครอ่ื งอบเมล็ดมะคาเดเมยี โดยนําเคร่ืองอบลําไยทั้งเปลือกแบบสลับทิศทางลมรอนขนาดบรรจุลําไย 2 ตัน มาพัฒนา อบเมล็ดมะคาเดเมยี เคร่ืองอบประกอบดว ย 4 สว นหลกั คือ ตวั เครื่องอบกระบะ ชุดสลับทิศทางลมรอน ชดุ ทอ กระจายลมรอ น และชดุ ฝาครอบกระบะรวมท้งั ดัดแปลงเพิม่ ชอ งทางเปด-ปดระบายอากาศรอนช้ืน ออกทางดานลางของกระบะขนาดเคร่ืองอบ 2.4x2.4x0.9 เมตร ชุดสลับทิศทางลมรอนอยูดานหนา เครื่องอบตอจากหัวพัดลมเปาแบบไหลตามแกน ปริมาตรลม 1.27 ลูกบาศกเมตรตอวินาที ภายในมี แผนวาลว ปกผเี สื้อ ขนาด 50x50 เซนติเมตร ใชโยกเปด-ปดเพื่อสลับทิศทางไหลของอากาศรอนใหไหล ผา นทอกระจายลมทางดานบนและลางของกระบะชวยใหลมรอนกระจายท่ัวเตาชุดทอกระจายลมรอน เปนปลองลมเจาะรูรอบปลอง 3 ดาน ขนาด 5 เซนติเมตร ดานละ 13 รู โดยปลองลมมี 4 ทอ ติดต้ัง ดานบน 2 ทอ ดานลาง 2 ทอ ชุดฝาครอบกระบะแบบปดกระบะใหอากาศรอนไหลวนอยูภายในได มีชอ งทางเปด-ปด ไดสาํ หรบั ระบายความชื้นออกทางดา นบน สามารถอบแหงกะลามะคาเดเมียไดมากสุด คร้ังละ 2,000 กโิ ลกรมั (ภาพที่ 50) (สนอง และคณะ, 2553ก) 79
ภาพท่ี 50 เคร่ืองอบเมล็ดมะคาเดเมยี แบบกระบะและหลกั การสลับลมรอ น (ที่มา: สนอง และคณะ, 2553ก) 7.7.3 เครื่องกะเทาะเมลด็ มะคาเดเมียระดับเกษตรกร เคร่ืองกะเทาะแบบใชแรงคนในการทํางานโดยการจับหมุนพวงมาลัยท่ีมีน้ําหนักสมดุลกับ ตุมน้ําหนักหนาซึ่งมีใบมีดบน ทําใหการทํางานไมตองออกแรงมาก ใบมีดบนเคล่ือนลงดวยความเรง เล็กนอยกระแทกตรงแนวราวของเมล็ดซึง่ วางอยกู ับใบมีดลา งทําใหกะลามะคาเดเมียแตกออกเปน 2 ซีก เหมอื นการผา คร่ึงกะลา เนื้อในเมล็ดสะอาดไมมีเศษกะลาฝงเน้ือ ความสามารถในการกะเทาะ ไดเน้ือใน เต็มเมล็ดสูงกวารอยละ 90 จุดเดนของเคร่ืองกะเทาะระดับเกษตรกร คือ ใชแรงนอยในการทํางาน ทาํ งานไดต อเนอ่ื งไมเ ม่ือยลา กะเทาะไดเ นื้อในเต็มเมล็ดสูงกวาเครื่องกะเทาะแบบอื่น ๆ ท้ังแบบใชตนกําลัง และใชแรงคน มีความสามารถในการทํางาน 5.5 กิโลกรัมตอชั่วโมง มีจุดคุมทุนอยูท่ี 2,852 กิโลกรัมตอป ท่ีอายุการใชงาน 5 ป โดยมีการถายทอดตนแบบเคร่ืองกะเทาะใหภาคเอกชนนําไปผลิตเปนเชิงการคา (ภาพที่ 51) (สนอง และคณะ, 2553ข) ภาพท่ี 51 เครื่องกะเทาะเมลด็ มะคาเดเมียระดบั เกษตรกร (ทม่ี า: สนอง และคณะ, 2553ข) 80
7.7.4 เครื่องกะเทาะเมลด็ มะคาเดเมยี ระดบั อตุ สาหกรรม เครอ่ื งตนแบบท่ีพัฒนาหลักการทํางานจากเครื่องกะเทาะเมล็ดมะคาเดเมียของโรงงานแปรรูป มะคาเดเมยี โครงการพระราชดาํ รดิ อยตงุ สวนประกอบหลกั มี 3 สวน คือ โครงเคร่ือง ชุดใบมีดเคลื่อนที่ และชุดใบมีดอยูกับท่ี นอกจากนี้ยังมีชุดประกอบแยกอีก 2 สวน คือ ชุดเกลียวลําเลียงเมล็ด และ ชุดคัดขนาดเมล็ดหลักการทํางานใชการเบียดอัดและเฉือนเมล็ดระหวางชุดใบมีดเคล่ือนท่ีกับชุดใบมีด อยูกับทกี่ ะเทาะไดเ มลด็ เนื้อในเต็มเฉล่ียรอยละ 61.68 เมล็ดแตกรอยละ 11.97 กะเทาะบางสวนรอยละ 11.64 ไมถ ูกกะเทาะรอ ยละ 4.99 ความสามารถในการทาํ งาน 191.87 กโิ ลกรมั ตอ ชว่ั โมง มีจดุ คมุ ทนุ อยูที่ 2,334 กโิ ลกรัมตอป ทอี่ ายกุ ารใชง าน 5 ป โดยมีการถายทอดตนแบบเคร่ืองกะเทาะใหภาคเอกชนนําไป ผลติ เปนเชิงการคา (ภาพที่ 52) (สนอง และคณะ, 2553ก) ภาพที่ 52 เครื่องกะเทาะเมลด็ มะคาเดเมียระดบั อตุ สาหกรรม (ท่มี า: สนอง และคณะ, 2553ก) 7.8 การแปรรปู เพ่ือเพ่ิมมูลคา ปจ จุบนั มีการพัฒนาการแปรรปู มะคาเดเมียเปนผลิตภัณฑใหมีความหลากหลาย เพ่ือเพ่ิมมูลคา สินคา และเปนการขยายตลาดและกลุมลูกคา ทั้งมะคาเดเมียสําหรับการบริโภคท่ีมีทั้งแบบดั้งเดิม คือ มะคาเดเมยี อบเกลือ และแบบทเ่ี อาใจกลุม วัยรุนและผูรักสุขภาพ เชน มะคาเดเมียอบสมุนไพร มะคาเดเมีย เคลือบชอ็ กโกแลตและไวทช็อก และแมคบอล (มะคาเดเมียผสมตะไคร) รวมทั้งการแปรรูปมะคาเดเมีย เปนผลติ ภณั ฑเ ครอื่ งสําอาง อาทิ น้ํามนั มะคาเดเมีย โลชนั ครมี บาํ รุงผวิ เปน ตน นอกจากนี้ภาคเอกชนได นาํ มะคาเดเมียมาแปรรปู ผลิตภณั ฑห ลายชนดิ เชน ผลิตภณั ฑเนยถั่วมะคาเดเมีย น้ําผ้ึงจากดอกมะคาเดเมีย มะคาเดเมยี กระจก มะคาเดเมยี บอลรสขิง มะคาเดเมียอบรสตาง ๆ แปรรูปเปนผลิตภัณฑเคร่ืองสําอาง เชน มะคาเดเมีย มอยสเ จอไรซิง โลชนั คาเดเมยี บตั เตอร ครมี เปนตน ซ่ึงผลิตภณั ฑท ี่มีความหลากหลาย เหลาน้ี เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมใหมเพ่ือเพมิ่ มูลคาสินคา ซงึ่ จะชว ยสรางโอกาสทางการตลาด และเพมิ่ รายได ใหก ับผูป ระกอบการ ทําใหส ามารถแขงขันในตลาดไทยและตลาดโลกได กรมวิชาการเกษตร ไดด าํ เนินการแปรรปู ผลติ ภณั ฑม ะคาเดเมยี สําหรับบรโิ ภค ไดแ ก มะคาเดเมีย อบเกลือ คกุ กี้เนยสด (ผสมมะคาเดเมีย) ไอศกรีมมะคาเดเมีย ผลติ ภณั ฑมะคาเดเมียสําหรับเครื่องสําอาง ไดแก โลชันมะคาเดเมีย นํ้ามันนวดมะคาเดเมีย แชมพูนํ้ามันมะคาเดเมีย สบูน้ํามันมะคาเดเมีย และ ผลติ ภัณฑมะคาเดเมียสําหรบั ใชใ นครวั เรือน ไดแ ก ถานอัดแทงจากเปลอื กมะคาเดเมยี ดังน้ี 81
7.8.1 การแปรรปู มะคาเดเมียอบเกลือ อปุ กรณ ลําดับ อปุ กรณ 1 เคร่ืองคัดขนาดเมล็ดกะลามะคาเดเมยี 2 ตอู บลดความชืน้ 3 เครื่องกะเทาะเมลด็ มะคาเดเมีย 4 เครอื่ งบรรจุแบบสุญญากาศ 5 ถงุ บรรจุแบบสญุ ญากาศ ขนาด 100 กรัม 6 ตาชัง่ 7 เกลอื ปน วิธีทาํ 1) นาํ เมลด็ มะคาเดเมยี คดั ขนาดดวยเคร่ืองคดั 2) ลดความช้นื ดว ยวธิ กี ารอบที่อุณหภมู ิ 50 องศาเซลเซยี ส เปน เวลา 5 วนั 3) กะเทาะเมลด็ และคัดแยกเนอื้ ในจากกะลามะคาเดเมีย 4) คดั แยกเน้อื ใน แบงเปน 3 เกรด คือ เมลด็ เตม็ เมล็ดแตก และเมล็ดเนาเสีย 5) ลางทําความสะอาดเนอ้ื ใน และทิง้ ไวใ หพอหมาด 6) ชั่งนํ้าหนักเนอ้ื ในและเกลอื อัตราสว น เนอื้ ใน 1 กโิ ลกรมั ตอ เกลือ 4 กรัม 7) นําเน้อื ในคลกุ เคลา กบั เกลือใหเขากัน 8) อบดวยตอู บไฟฟา ท่ีอุณหภมู ิ 70 องศาเซลเซียส เปนเวลา 3 วัน 9) บรรจถุ ุงแบบสุญญากาศ สามารถเก็บไดท อ่ี ณุ หภมู ิ 4 องศาเซลเซียส เปนเวลา 1 ป ภาพท่ี 53 มะคาเดเมียอบเกลือ 82
7.8.2 คุกกี้เนยสด (ผสมมะคาเดเมยี ) ปรมิ าณ หนว ย สวนประกอบและสตู ร 400 กรัม ลาํ ดับ สว นผสม 1 ชอ นชา ½ ชอ นชา 1 แปงสาลีอเนกประสงค (ตราบัวแดง) 300 กรัม 2 ผงฟู 230 กรมั 3 เกลอื ปน 1 ฟอง 4 เนยสด (ชนิดเค็ม) 1 ชอ นชา 5 นาํ้ ตาลทรายปน 100 กรัม 6 ไขไก 7 วานิลลา 8 มะคาเดเมยี วธิ ีทํา 1) รอนแปง ผงฟู เขาดว ยกัน 1-2 คร้งั แลวพักไว 2) ตเี นย เกลอื ใหเ ปน ครีม คอย ๆ ใสน้ําตาลทลี ะนอ ยจนหมด 3) ใสไขไกลงไป ตผี สมใหเขากันดี ใสว านิลลา 4) ผสมแปง สาลี โดยแบงแปงเปน 2-3 สวน ใสทลี ะสว นผสมมะคาเดเมยี และผสมใหเขา กนั (อยาผสมนานจะทาํ ใหแปง เหนียว) พักแปง ไวประมาณ 10-15 นาที 5) ชอ นตักสวนผสมใสถ าดทท่ี าเนยขาว ใชช อ นสอมกดใหเ ปน รปู ทรง นําเขาอบอุณหภมู ิ 180-200 องศาเซลเซยี ส ประมาณ 20-25 นาที หรอื จนกระทัง่ ขนมมสี ีเหลอื งทองสวย ภาพที่ 54 คกุ กี้มะคาเดเมยี 83
7.8.3 ไอศกรมี มะคาเดเมยี สวนผสม ปริมาณ หนวย สวนประกอบและสูตร 400 กรมั ลาํ ดับ 600 กรัม 1 นมสด 2½ ชอนชา 2 วปิ ปง ครมี 4 ฟอง 3 วานิลลา 4 ไขไ ก (เฉพาะไขแดง) 150 กรมั 5 นํา้ ตาลทราย ¼ ชอ นชา 6 เกลอื 100 กรมั 7 มะคาเดเมยี วิธีทํา 1) ผสมไขแ ดง นาํ้ ตาลทราย เกลือปน และวานลิ ลาเขาดวยกนั 2) ผสมนมสด และวิปปง ครีมเขากนั 3) นําสว นผสมในขอ ท่ี 2 คอ ย ๆ เทลงไปในสวนผสมขอที่ 1 คนไปเร่อื ย ๆ จนเปน เนือ้ เดยี วกนั 4) นําสว นผสมทไี่ ดจ ากขอที่ 3 ไปตงั้ ไฟ ประมาณ 30 นาที หรือใหได อุณหภมู ิ 82-90 องศาเซลเซยี ส 5) นาํ สวนผสมทีต่ งั้ ไฟแลวไปกรอกลงในถังปน ไอศกรีม 6) เครือ่ งจะทาํ การปนไอศกรีม ประมาณ 30-45 นาที หลังจากน้ันเติมเมล็ดมะคาเดเมียที่แตกหัก เปนชิ้นเล็ก (chips) ลงไป ปน จนเปนไอศกรมี ใชเ วลารวมประมาณ 60 นาที 7) นําไอศกรมี บรรจลุ งกลอ งพลาสติก แลวนําไปแชจ นแขง็ 24-48 ชัว่ โมง 8) เสริ ฟไอศกรมี โรยหนาดวยมะคาเดเมยี (chips) ภาพท่ี 55 ไอศกรมี มะคาเดเมยี 84
7.8.4 โลชันมะคาเดเมยี สวนประกอบและสตู ร ลําดับ สารเคมี ปริมาณ คุณสมบตั ขิ องสาร (รอยละ) 1 น้ํา 67.0 ใชท าํ ละลาย 2 Propylene glycol 2.0 สารใหค วามชุมชน้ื 3 2% carbopol 934 solution 20.0 สารเพม่ิ ความขน 4 Stearic acid 3.0 ใหความชมุ ช้นื 5 น้าํ มนั มะคาเดเมยี 3.0 ใหความชมุ ชื้น 6 Cremophor A25 2.0 สารทช่ี ว ยใหน ํา้ กบั น้ํามันเขากันได 7 Triethanolamine 1.2 สารเพ่มิ ความขน 8 Phenoxy ethanol 0.4 สารกันเสีย 9 Paraben conc. 1.0 สารกันเสีย 10 น้ําหอม qs ใหก ลน่ิ หอม รวม 100 ท่มี า: เหรียญทอง และคณะ (2556) หมายเหตุ: ปริมาณทีแ่ สดงในตารางสําหรบั การทาํ โลชันมะคาเดเมยี 100 กรมั หากเพิ่มปรมิ าณ สามารถเพ่มิ ตามสดั สวน ขา งตน qs คือ ใสใ นปรมิ าณที่เหมาะสม วธิ ที าํ 1) นําน้ํามาละลายกับ Propylene glycol และ 2% carbopol 934 solution ไดของเหลวขุน นาํ ไปตม จนไดอ ณุ หภูมิประมาณ 75 องศาเซลเซียส 2) นํา Stearic acid, นํ้ามันมะคาเดเมีย และ Cremophor A25 มาชั่งรวมกัน นําไปตมจนได อุณหภูมปิ ระมาณ 70 องศาเซลเซียส 3) คอย ๆ เทสว นผสมขอ 2 ลงในขอ 1 แลวคอย ๆ กวนจนเขา กนั 4) นํา Triethanolamine คอ ย ๆ เติมลงขอ 3 กวนใหเขา กัน จะไดข องเหลวทีม่ คี วามเขม ขนมากข้นึ 5) ลดอุณหภูมิของโลชันโดยนําภาชนะไปแชน้ําแลวกวนไปดวยพรอม ๆ กัน จนเหลืออุณหภูมิ ประมาณ 40 องศาเซลเซยี ส 6) นาํ Phenoxy ethanol Paraben conc. และ นา้ํ หอม เติมลงไปใหขอ 5 แลวกวนใหเขากันอีก ครั้ง จะไดโลชนั มะคาเดเมยี สขี าวทบึ (เหรยี ญทอง และคณะ, 2556) 85
7.8.5 นํ้ามนั นวดมะคาเดเมีย สว นประกอบและสตู ร ลาํ ดบั สารเคมี ปริมาณ คุณสมบัตขิ องสาร (เปอรเซน็ ต) 1 Mineral oil 9 ใหค วามชมุ ชน้ื 2 Macadamia oil 60 ใหค วามชุม ชน้ื และบาํ รงุ ผวิ 3 Rice bran oil 30 ใหค วามชุม ชน้ื และบํารงุ ผวิ 4 Essential oil 1 ใหกลิ่นท่ผี อ นคลาย รวม 100 ทีม่ า: เหรยี ญทอง และคณะ (2556) หมายเหตุ: ปรมิ าณท่ีแสดงในตารางสาํ หรบั การทํา 100 กรมั หากเพ่ิมปรมิ าณ สามารถเพิ่มตามสัดสวนขางตน วธิ ีทํา 1) นําสาร Mineral oil, Macadamia oil และ Rice bran oil ชั่งรวมกนั กวนใหเ ขากันไดของเหลว ใสสีเหลือง 2) แตง กลน่ิ โดยเตมิ Essential oil ลงไปกวนใหเขา กนั ไดน้ํามันนวดตวั สีเหลอื งใส มกี ลิน่ หอม ภาพที่ 56 นํ้ามนั นวดมะคาเดเมยี 86
7.8.6 แชมพนู า้ํ มนั มะคาเดเมีย สวนประกอบและสตู ร ลาํ ดับ สารเคมี ปรมิ าณ คุณสมบัตขิ องสาร (เปอรเซ็นต) 1 นํ้า 73.4 ใชท ําละลาย 2 Propylene glycol 2.0 สารใหความชมุ ช้ืน 3 Texapon-8000 15.0 สารชาํ ระลาง 4 Comperlan KD 5.0 สารใหฟอง 5 Cocamidopropyl Betain (KT) 3.0 สารเพม่ิ ความคงตัวใหฟอง 6 Cremophor RH-40 0.5 ชวยละลายนํา้ มัน ใหเ ขากับนํ้า 7 น้ํามันมะคาเดเมยี 0.1 ใหความชุมชน้ื 8 นา้ํ หอม qs ใหก ล่ินหอม 9 Paraben conc. 1.0 สารกนั เสีย 10 สี qs ใหค วามสวยงาม รวม 100 ทีม่ า: เหรยี ญทอง และคณะ (2556) หมายเหต:ุ ปรมิ าณทแี่ สดงในตารางสําหรับการทํา 100 กรมั หากเพ่ิมปริมาณ สามารถเพ่ิมตามสดั สวนขางตน qs คือ ใสในปริมาณท่เี หมาะสม วธิ ีทํา 1) นาํ นา้ํ มาละลายกบั Propylene glycol จนไดของเหลวใส 2) นาํ Texapon-8000, Comperlan KD และ Cocamidopropyl Betain (KT) มาชง่ั รวมกัน คอย ๆ กวนใหเขากันจะไดของเหลวทีม่ ีความขนเหนียว 3) คอ ย ๆ เทสว นผสมขอ 1 ลงขอ 2 แลวคอ ย ๆ กวนจนเขากนั จะไดของเหลวทม่ี ีความขน และ ใส 4) นาํ Cremophor RH-40, นาํ้ มันมะคาเดเมยี และ น้ําหอม ผสมใหเ ขากัน แลว คอ ย ๆ เตมิ ลง ขอ 3 กวนใหเ ขากัน จะไดของเหลวทีม่ คี วามขน ขนุ มัวเลก็ นอย ไมใ ส 5) นาํ Paraben conc. และ สีเตมิ ลงไปในขอ ที่ 4 แลวกวนใหเขา กนั อีกครั้ง จะไดแ ชมพูทีม่ ีความขน ขนุ มวั เลก็ นอย ไมใส 7.8.7 สบนู า้ํ มันมะคาเดเมยี สว นผสม ปริมาณ หนวย สวนประกอบและสูตร 1 กิโลกรมั ลําดับ 40 มิลลลิ ิตร 10 มลิ ลิลิตร 1 เบสสบกู ลเี ซอรนี 10 มิลลิลิตร 2 กลเี ซอรนี เหลว 4 มิลลิลติ ร 3 น้ําผ้งึ 4 น้ํามันมะคาเดเมีย 5 หัวน้ําหอม 87
วิธีทาํ 1) หน่ั เบสสบกู ลเี ซอรีนใหเ ปน ชิ้นเล็ก ๆ 2) นําไปน่ึงดว ยหมอ สองชั้น หรอื ตัง้ ไฟออ น ๆ ใหเ บสสบกู ลเี ซอรนี ละลาย 3) ปดไฟ เติมน้าํ ผง้ึ และกลเี ซอรีนเหลว คนใหเขากัน 4) เตมิ นํา้ หอม คนใหเ ขา กนั 5) เทสว นผสมทง้ั หมด ลงในพมิ พส บู ตงั้ ทง้ิ ไวใ หส บูแ ขง็ ตัว 6) แกะสบอู อกจากพมิ พ ตกแตงขอบสบูใหสวยงาม 7) หอ ดวยฟลม พลาสติกใส และตดิ ฉลากใหเ รยี บรอ ย ภาพท่ี 57 สบนู ้าํ มันมะคาเดเมยี 7.8.8 การทําถา นอัดแทงจากเปลือกกะลามะคาเดเมยี ประโยชนของการผลิตถานอดั แทง จากเปลือกมะคาเดเมีย ไดแก ใชเปนเช้อื เพลิงทดแทนฟนและ ถา นในการใหความรอ นสําหรบั ใชในครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม เปนการเพ่ิมมูลคาวัสดุและผลผลิต ทางการเกษตร ลดคาใชจาย ประหยัดเงิน เวลา และแรงงาน ชวยนําวัสดุเหลือใชทางการเกษตรมาใช ประโยชนอยา งคุมคา และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดปริมาณขยะ ลดการบุกรุก ทําลายปาไม ชวยในการ อนรุ ักษทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอม และลดภาวะโลกรอ น ถา นอัดแทง จากเปลือกกะลามะคาเดเมีย โดยนําเอากะลาท่ีผานการกะเทาะเปลือกออกแลวไป แปรรูปใหเ ปนถานโดยการเผา จากนั้นจงึ ทาํ การอัดแทง โดยเลือกใชว ธิ กี ารอัดแทงแบบเย็น ซง่ึ เปน การอัด วัสดุท่ีเผาเปนถานมาแลว จากน้ันนํามาผสมกับตัวประสาน คุณสมบัติของถานอัดแทงดวยวิธีน้ี คือ กอใหเกิดควนั นอยลง คาความช้นื ลดลง แตม ีคาความรอ นสงู ขึ้น ทง้ั นีข้ ึ้นอยูกับอัตราสว นผสมของวัสดุและ ตวั ประสาน (ฐานขอมลู สงเสริมและยกคุณภาพสนิ คา OTOP, 2563) ถานอดั แทงหนึง่ กอ นจะใหค วามรอ น ไดน านประมาณ 2 ช่งั โมง 88
ภาพที่ 58 ถานกะลามะคาเดเมยี วิธีทาํ ถานอดั แทง จากเปลอื กกะลามะคาเดเมยี (พจิ ิตร, 2556) 1) นําเปลอื กทก่ี ะเทาะจากเมล็ดมะคาเดเมียผสมรวมกับแกลบ ในอัตราสวน 1: 1 จากนั้นนําไปใส ภาชนะเพื่อเผาท่รี ะยะเวลา 24 ชั่วโมง แลวทง้ิ ไวใ หเย็นลง 2) นําถา นทไ่ี ดม าบดดว ยเคร่ืองบดถานใหม ีลักษณะเปนผงละเอียดมากข้นึ 3) นําผงถานที่ไดไปผสมรวมกับแปงมันและน้ํา ในอัตราสวน 1: 0.5: 0.075 คลุกเคลาสวนผสม ท้ังหมดใหกลายเปน เนอื้ เดยี วกัน 4) นําสว นผสมทไ่ี ดใ สล งไปในเครอื่ งอัดถานแทง แบบเยน็ 5) นําไปตากแดดใหแ หง เปนระยะเวลา 24 ชงั่ โมง 6) นําถา นอดั แทงเก็บใสร ักษาไวภ าชนะท่ีเหมาะสม 7.8.9 การทําถา นมะคาเดเมียเพอื่ สขุ ภาพ ดวยคุณสมบตั ิของถา นอัดแทงจากเปลือกมะคาเดเมีย ท่ีสามารถดูดซบั กล่นิ และความชนื้ ไดด ี และ สามารถปลอ ยประจลุ บและแผร ังสชี ว งคล่ืนส้ัน จึงมีประโยชนตอสุขภาพโดยกระตุนระบบการไหลเวียน โลหติ ในรางกาย อยา งไรก็ตามถานมะคาเดเมยี ทม่ี ีอายุการใชงานประมาณ 6 เดือน หลังจากน้ันสามารถ จะนาํ ไปเผาเพอื่ ทําอาหารปง ยางไดอีก เพราะใหความรอ นสงู มขี เ้ี ถานอย ไมแ ตกสะเก็ดไฟระหวา งเผาไหม และไมมีกา ซพษิ ทเี่ ปนอันตรายตอ สขุ ภาพระเหยออกมา หรอื จะนาํ ไปวางไวใตตนไมก็จะสามารถชวยเพ่ิม แรธาตใุ นดินได นอกจากนถี้ า นมะคาเดเมียยังมอี ิเล็กตรอนอสิ ระที่จับกบั อนุมูลอิสระ เชน ซูเปอรออกไซด ท่ีมีอยูใ นธรรมชาติ และยังสามารถแผร ังสอี นิ ฟราเรดไกล หรอื ฟารอนิ ฟราเรด (FIR) ซงึ่ มคี วามยาวคลืน่ 6 - 14 ไมโครเมตร เปน รังสีความรอ นที่มีพลังในการทะลทุ ะลวงสงู การนาํ ถา นมะคาเดเมยี นําไปประยุกตใช ในการประกอบอาหาร สามารถประหยัดพลังงานไดถงึ 20 เปอรเซ็นต เมื่อใชเสร็จก็นํามาตากใหแหงแลว นํากลบั มาใชใ หมไดอกี ประมาณ 1 เดือน แรธ าตุในถานจะหมดไป นอกจากประโยชนในการดูดกลิ่นอับชื้นและสารพิษของถานมะคาเดเมียแลว ยังสามารถใชทํา นาํ้ แรส าํ หรับดืม่ หรืออาบไดดวย โดยนําถานมะคาเดเมียไปตมในน้ําเดือดประมาณ 10-20 นาที เพ่ือฆา เช้ือ จากนั้นนําไปแชในน้ําดื่มซึ่งจะชวยดูดคลอรีน ขณะเดียวกันก็ปลอยแรธาตุอ่ืน ๆ ออกมาแทนที่ สาํ หรับการอาบนํา้ ไมจําเปนตองฆาเชือ้ กอ น ซงึ่ ใชไ ดน าน 3 เดอื น (จิตตล ดั ดา, 2554) สาํ หรบั การเผาถา นจากเปลือกมะคาเดเมียเพ่ือใหมีประสิทธิภาพสูงในการดูดกล่ินและใชในการ ทําน้าํ แรส ําหรับดืม่ และอาบ มวี ธิ ผี ลิตคอื เผาที่อุณหภูมิตํ่านาน 4 ชั่วโมง และคอย ๆ เพ่ิมอุณหภูมิจนได 89
ความรอนถึง 1,000 องศาเซลเซียส นาน 1 วัน พบวา ถานมะคาเดเมีย 1 กรัม ประกอบดวย รูพรุน ประมาณ 350 ตารางเมตร (จิตตล ดั ดา, 2554) ภาพท่ี 59 ถานมะคาเดเมยี ชว ยใหข า วหรืออาหารสกุ เรว็ ขึน้ (จติ ตลดั ดา, 2554) ในการนาํ ถานมะคาเดเมยี มาใชในผลิตภัณฑส ิ่งทอ โดยผสมถา นมะคาเดเมียลงไปในเสน ใยเพอ่ื ทอ เปนเสือ้ ผา สนับเขา สนบั ขอ แขน เสื้อก๊ัก ถุงนอง ถงุ เทา โดยประยุกตใชเพ่ือชวยขยายหลอดเลือด ชะลอ การสะสมไขมันในหลอดเลือดและบรรเทาอาการบวมคั่งของนํ้าหลอเล้ียงตรงไขขอ ลดการบวมของ กลามเนื้อ ผาทีม่ ีถา นมะคาเดเมยี FIR ทาํ ใหขนาดของโมเลกลุ น้ําและสารอื่น ๆ เล็กลง (ทําใหเคล่อื นทอ่ี อกจากทอ โลหติ งา ยและเรว็ ขนึ้ ) ทาํ ใหโมเลกลุ นํ้าสน่ั แลว ขนาดของโมเลกลุ น้ําและสารอนื่ ๆ มขี นาดใหญ ยากท่ีจะ กระตนุ การไหลเวียนของ ผา นทอ โลหิต (ทาํ ใหเกดิ การคง่ั คา งของสารท่เี ปนของเสยี ) กระแสเลอื ด ภาพท่ี 60 การนําผงถานมะคาเดเมียมาประยกุ ตใชล งไปในเสนใย เพ่อื ทอเปนเส้อื ผาหรอื สนบั เขา (ท่ีมา: จิตตล ัดดา, 2554) ภาพท่ี 61 ผลิตภณั ฑจ ากถานมะคาเดเมียเพ่อื สุขภาพ (ทม่ี า: จิตตลัดดา, 2554) 90
เอกสารอางอิง กรมวชิ าการเกษตร. 2538. มะคาเดเมยี . กระทรวงเกษตรและสหกรณ. 62 หนา. กรมวิชาการเกษตร. 2544. มะคาเดเมีย. กระทรวงเกษตรและสหกรณ. 71 หนา. กรมสงเสรมิ การคาระหวางประเทศ. 2561. เมืองหลนิ ชางเตรยี มสรางศูนยกลางการซือ้ -ขาย แมคคาเดเมีย ในมณฑลยูนนาน. กรมสงเสริมการคาระหวางประเทศ กระทรวงพาณิชย. เขาถึงไดจาก : https://www.ditp.go.th/contents_attach/212109/212109.pdf. (11 ก.พ. 63) จิตตลัดดา ศักดาภิพาณิชย. 2554. ถานแมคคาเพื่อสุขภาพ. ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร สถาบัน ชีววิทยาศาสตรโมเลกุล วิทยาเขตศาลายา มหาวิทยาลัยมหิดล . เขาถึงไดจาก: https://old.mahidol.ac.th/th/research_innovation/2554/magca_coal/Macca_coal.pdf (25 เม.ย. 63) จติ อาภา จจิ ุบาล กุลธดิ า ดอนอยูไพร ธัญพร งามงอน และเยาวภา เตาชัยภูมิ. 2562. การทดสอบการ เพ่ิมประสิทธิภาพการผลิตมะคาเดเมีย โดยการใชปุยแบบเกษตรกรมีสวนรวมในพื้นที่จังหวัด เพชรบรู ณ. ศนู ยวิจยั เกษตรที่สงู เพชรบูรณ สถาบนั วจิ ัยพชื สวน กรมวชิ าการเกษตร. จํารอง ดาวเรือง. 2538ก. ลักษณะสัณฐานวิทยาและสรีรวิทยาของมะคาเดเมียในจังหวัดเชียงใหม. วิทยานิพนธว ทิ ยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพืชสวน บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม, เชยี งใหม. 172 หนา . จํารอง ดาวเรือง. 2544ข. มะคาเดเมีย (MACADAMIA NUTS). เอกสารวิชาการมะคาเดเมียประจําป 2544 สํานักวจิ ยั และพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 1 เชียงใหม กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตร และสหกรณ. 71 หนา จํารอง ดาวเรือง มานพ หาญเทวี สุภัทรา เลิศวัฒนาเกียรติ ประสงค ม่ันสลุง กําพล เมืองโคมพัส เสงย่ี ม แจมจํารูญ ววิ ัฒน ภานุอําไพ มนตรี ทศานนท ธวัชชัย ศศิผลิน และอุทัย นพคุณวงศ. 2543. การทดลองเปรียบเทียบพันธุมะคาเดเมียท่ีใชปลูกเพ่ือเปนการคาตามแหลงตางๆ ที่ คัดเลอื กแลว . เอกสารการประชุมวิชาการประจําป 2543 สถาบันวิจัยพืชสวน ระหวางวันที่ 28 ก.พ. ถึง 3 มี.ค. 2543 ณ. โรงแรมธรรมรนิ ทรธ นา จงั หวดั ตรัง. ฐานขอมูลสงเสริมและยกคุณภาพสินคา OTOP. 2563. การพัฒนาคุณภาพถานอัดแทง. เขาถึงไดจาก: http://otop.dss.go.th/index.php/en/knowledge/informationrepack/344-2019-12-24- 03-18- 08?showall=1&limitstart= (14 กันยายน 2563) ดําเกงิ ชาลีจนั ทร. 2534. มะคาเดเมีย: พืชสอู นาคต. สถาบันวิจยั พืชสวน กรมวิชาการเกษตร. 53 หนา . เทคโนโลยชี าวบา น. 2563. ปลกู มะคาเดเมีย เจาะตลาดคนรกั สุขภาพ ไมตอ งหวงเรอ่ื งผลผลิตลน ตลาด ราคาซอื้ ขายในระดับมาตรฐานสากล. เขาถึงไดจาก: https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_24234 (9 เม.ย. 63) บุษบง มนัสมั่นคง สุนัดดา เชาวลิต สุเมธ พากเพียร และฉัตตนภา ขมอาวุธ. 2561. ชนิดและฤดูกาล ระบาดของแมลงศัตรูมะคาเดเมีย. กลุมบริหารศัตรูพืช สํานักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร. ประชาชาติธุรกิจ. 2561. “เมืองเลย” เรงเพ่ิมมูลคา “แมคาเดเมีย” เสริมรายได. เขาถึงไดจาก : https://www.prachachat.net/local-economy/news-101942 (6 ก.พ. 63) พิจิตร ศรีปนตา. 2556. การทําถานอัดแทงจากเปลือกมะคาเดเมีย. หนา 1. ใน รายงานฉบับสมบูรณ โครงการ ถายทอดเทคโนโลยีการปลกู การดแู ลรักษา การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยวมะคาเดเมีย 91
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109