Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย = Buddhism and Thai culture

พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย = Buddhism and Thai culture

Description: พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย = Buddhism and Thai culture

Keywords: พระพุทธศาสนา,ภูมิปัญญาไทย,พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ -ปาก เป็นอวยั วะทท่ี ําใหเ้ ราส่อื สารกบั ผู้อ่นื เข้าใจกนั และกนั ควรทําความสะอาดและ ควรทําเป็นประจํา เม่อื มปี ญั หาโรคเหงอื ก หรอื ฟนั ผุ ต้องรบี พบทนั ตแพทย์ เพราะปญั หาโรค เหล่าน้ีจะทําให้เกดิ กลนิ่ ปาก การรบั ประทานอาหารบางชนิด ต้องมวี ธิ กี ารท่จี ะทําใหก้ ลนิ่ ปาก จากสงิ่ ทเ่ี รารบั ประทานหมดไปโดยไม่ทําใหผ้ ทู้ เ่ี ราพดู คุยดว้ ย รสู้ กึ ไดก้ ลน่ิ ออกจากปากของเรา ตลอดเวลา -เสยี ง รจู้ กั ประมาณในการใชเ้ สยี งไมเ่ บาหรอื ไม่ดงั เกนิ ไป ผทู้ ่ไี ด้รบั การอบรมมาแลว้ จะไม่เคาะแก้ว เคาะจาน ตบหรอื ทุมโต๊ะเพ่อื เรยี กพนักงานในรา้ นนัน้ เป็นอนั ขาด รวมทงั้ การ โบกมอื สง่ เสยี งดงั ดว้ ย -การผวิ ปาก ผมู้ มี ารยาทจะไมผ่ วิ ปากในทส่ี ารธารณะเป็นอนั ขาด -การรจู้ กั ใชค้ าํ ตามสมควรแก่โอกาส คอื ‚ขอบใจ ขอบคณุ และสวสั ดี‛ คาํ เหล่าน้ีผไู้ ดร้ บั การอบรมสงั่ สอนจะใชต้ ดิ ปากเป็นประจําในโอกาสท่คี วร แสดงถงึ มารยาทอนั ดี แสดงถงึ ผูท้ ไ่ี ด้รบั การอบรมสงั่ สอนมาดี เพราะใชไ้ ดท้ ุกสถานทแ่ี ละทุกโอกาส การให้ของสินน้าใจ การใหข้ องสนิ น้าใจ คอื การใหป้ นั กนั ตามการอนั ควรมี ๓ ลกั ษณะดงั น้คี อื ๑. การให้ของกานัล หมายถึง ‚ของท่ีให้กนั ด้วยความนับถือ‛ แต่ในทางปฏบิ ตั ิท่รี ู้ ทวั่ ไป หมายถงึ การหวงั ผลประโยชน์บางอย่างค่อนไปในทางทไ่ี ม่ชอบนัก เช่น เอาของกํานัลไปให้ เพ่อื ขอความช่วยเหลอื บางอยา่ งซง่ึ อาจปิดกฎระเบยี บ ดงั นนั้ ในการคบหาสมาคมจงึ ไม่ควรมกี ารให้ ของกํานลั กนั เพ่อื ป้องกนั ผลทต่ี ามมาในทางเสยี หาย ๒. การให้ของฝาก ถอื เป็นธรรมเนียมปฏบิ ตั ทิ ท่ี ําดว้ ยน้ําใสใจจรงิ ของคนไทยมาช้านาน แล้ว ของฝากอาจเป็นสง่ิ เลก็ น้อยไม่มรี าคาสูง แต่แสดงว่าในระหว่างเวลาทไ่ี ม่อย่นู ัน้ ผู้ฝากได้มใี จ ระลกึ ถงึ ผนู้ นั้ ทาํ ใหผ้ ใู้ หไ้ ดร้ บั ของฝากเหน็ ความมนี ้ําใจ ซง่ึ เป็นการเช่อื มสายสมั พนั ธอ์ นั ดงี ามใหส้ บื ต่อไป ๓. การให้ของขวญั เป็นธรรมเนียมปฏบิ ตั ขิ องคนไทยมานานแล้วสําหรบั โอกาสพเิ ศษ ของชวี ติ เช่น การโกนจุก งานบวช เราเรยี กว่า ‚เงินทาขวญั ‛ ถ้าเป็นงานแต่งงานเรยี กว่า ‚เงิน รบั ไหว้‛ สําหรบั ผนู้ ้อยมโี อกาสใหผ้ ใู้ หญ่ทเ่ี คารพนบั ถอื ทอ่ี ายุมากกว่า ๖๐ ปีขน้ึ ไป จุดม่งุ หมาย คอื การมอบของเลก็ ๆ น้อยๆ เพอ่ื เป็นการแสดงน้ําใจและความเคารพนบั ถอื ทผ่ี นู้ ้อยมตี ่อผใู้ หญ่ ๕.๗ วฒั นธรรมไทยมมุ มองปัจจบุ นั ‚โลกาภิวตั น์กบั การจดั การวฒั นธรรม‛ ปจั จบุ นั ความรวู้ ่าดว้ ยการจดั การวฒั นธรรมเป็นเร่อื งทท่ี า้ ทายคนทาํ งานวฒั นธรรม ใหต้ ้อง พจิ ารณาคาํ ว่าวฒั นธรรม ในความหมายทก่ี วา้ งมากขน้ึ กว่าในอดตี วฒั นธรรมไมใ่ ช่เร่อื งของการสบื สานขนบธรรมเนียมประเพณีเพียงอย่างเดยี ว และไม่ใช่เป็นเร่อื งของการจดั งานประเพณีตาม เทศกาลเท่านนั้ ยงั มสี ง่ิ ต่างๆ อกี มากมายทค่ี นทาํ งานงานวฒั นธรรมต้องพฒั นาใหเ้ ท่าทนั ก่อนทจ่ี ะ

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พดู ถงึ การจดั การวฒั นธรรม เราอาจจะต้องพูดถงึ ปญั หาต่างๆ ทร่ี ุมเรา้ งานวฒั นธรรม จนทําใหเ้ กดิ แนวคิดเร่อื งการจดั การวฒั นธรรมข้นึ เราลองมาถอดรหสั ดูซวิ ่ามปี ญั หาอะไรบ้างท่ีท้าทายงาน วฒั นธรรมในปจั จุบนั อะไรบา้ งท่สี ่งผลกระทบโดยตรง สง่ิ เหล่าน้ีประกอบดว้ ย กระแสโลกาภวิ ตั น์ หรอื ยคุ ทข่ี อ้ มลู ขา่ วสารหรอื ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในมมุ หน่ึงของโลกส่งผลกระทบถงึ ส่วนอ่นื ๆของ โลกได้อย่างรวดเรว็ หรอื ท่บี างคนเรยี กว่าโลกไร้พรมแดน เช่น เร็วๆ น้ี มงี านท่ยี งิ่ ใหญ่ของโลก เกดิ ขน้ึ และส่งผลกระทบกบั คนไทยมาก นัน่ ก็คอื บอลโลก ซง่ึ จริงๆ แล้วไมใ่ ช่กฬี าประจําชาตไิ ทย เลย แต่เวลามกี ารแข่งขนั ก็ส่งผลกระทบในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เร่อื งของการพนัน เกิดการ รวมกล่มุ ของแฟนบอลทมี ชาตติ ่างๆ มกี ารทายผลฟุตบอล ฯลฯ โลกาภวิ ตั น์ส่งผลต่อการเรง่ อตั ราการเคล่อื นยา้ ยถ่ายเทวฒั นธรรมโลก จากซกี โลกหน่ึง ไปอกี ซกี โลกหน่ึง เป็นการเคล่อื นย้ายถ่ายเท อย่ามองว่าโลกาภวิ ตั น์ทําใหเ้ รารบั กระแสวฒั นธรรม ตะวนั ตกฝา่ ยเดยี ว จรงิ ๆ แลว้ โลกตะวนั ตกกร็ บั ของเราไป เชน่ เขารบั เรอ่ื งการดแู ลสขุ ภาพ เอาโยคะ เอาอะไรดๆี ของเราไป แลว้ ผลติ เป็นส่อื ต่างๆ ทส่ี รา้ งกระแสไดแ้ ลว้ เอากลบั มาขายในโลกตะวนั ออก ทงั้ ๆ ท่ีโยคะ มตี ้นกําเนิดอยู่ท่อี ินเดีย ถ้าถามว่าให้คนไทยเรยี นโยคะ อาจไม่มใี ครสนใจ แต่ถ้า เมอ่ื ไหรม่ นั ไปผ่านกลนิ่ ไอของขนมปงั ทอ่ี เมรกิ าแลว้ กลบั มา เราจะรสู้ กึ ว่ามนั น่าสนใจมากขน้ึ ฉะนัน้ โลกาภวิ ตั น์ เองทาํ ใหเ้ กดิ กระแสการเคล่อื นยา้ ยถ่ายเท สงิ่ ท่เี ขา้ มากบั กระแสโลกาภวิ ตั น์ คอื บรโิ ภค นิยม และวตั ถุนยิ ม ดงั จะเหน็ ไดว้ ่าเราหลายคนนยิ มซอ้ื ของทม่ี ี อาจจะเกนิ ความตอ้ งการ รถยนต์กลายมาเป็นปจั จยั ท่ี ๕ โทรศพั ทม์ อื ถอื เป็นปจั จยั ท่ี ๖ มอี ะไรเต็มไปหมดทงั้ ๆ ท่ี เม่อื ก่อนเราอยู่ได้โดยไม่มวี ตั ถุบางชนิด แต่พอวฒั นธรรมบรโิ ภคนิยม เข้ามา เรารสู้ กึ ว่าอยู่ไม่ได้ เพราะผคู้ นรอบขา้ งเราเปลย่ี นไปหมด เมอ่ื เพ่อื นทุกคนมโี ทรศพั ทม์ อื ถอื เรากต็ ้องมี ลูกไปโรงเรยี นก็ เกดิ ความห่วงใย อาจจะต้องซอ้ื โทรศพั ท์มอื ถือใหเ้ กดิ เป็นกระแสวตั ถุนิยมท่นี ําไปสู่ประเดน็ ปญั หา ทางวฒั นธรรมท่เี กิดข้นึ เช่นในอดีต เรามองคนและให้ความเคารพคนท่คี ุณงามความดี ความรู้ ปราชญ์ท้องถ่ินหลายๆ ท่าน เรายกย่องท่านอย่างมากในฐานะผู้รู้ หรอื เป็นปูชนียบุคคล ท่ีจะ ถ่ายทอดองคค์ วามรูใ้ ห้กบั คน แต่ภายใต้กระแสบรโิ ภคนิยม วตั ถุนิยม ในปจั จุบนั คนส่วนใหญ่เรมิ่ ตดั สนิ คนจากวตั ถุ การแต่งกาย ช่ืนชมคนทม่ี ฐี านะ มบี า้ นหลงั ใหญ่ๆ มากกว่า ซ่งึ อาจไม่ใช่กบั ทุก คน แต่กม็ กี ระแสทาํ ใหเ้ กดิ ความคดิ น้ขี น้ึ มาทา้ ทายวฒั นธรรมเดมิ ๆ ของเรามากขน้ึ ทุกทอี กี สง่ิ หน่ึง ท่ี เหน็ กนั อย่ทู วั่ ไป ก็คอื ความเป็นทาสเทคโนโลยี ทุกวนั น้ีแทบทุกบ้านมคี อมพวิ เตอร์ เพราะคดิ ว่า คอมพวิ เตอรม์ ปี ระโยชน์ เช่นเดยี วกบั ทเ่ี ม่อื ก่อนทุกบ้านต้องมโี ทรทศั น์เพ่อื รบั ข่าวสาร แต่เดี๋ยวน้ี คอมพวิ เตอรน์ ําพาอะไรต่างๆ นานา จนเกดิ ปญั หาเดก็ ตดิ เกมส์ การส่อื สารออนไลน์ทน่ี ําไปส่ปู ญั หา สงั คมอกี มากมาย เพราะการใชเ้ วลาว่างเปลย่ี นไปจากเดมิ อย่ทู ว่ี ่าเดก็ เลอื กทจ่ี ะตามใคร เลอื กตาม เพ่อื น หรอื ตามทพ่ี ่อแม่ช่วยดชู ่วยคดั สรรให้ ส่อื ก็เป็นสงิ่ สาํ คญั ทเ่ี ขา้ มาทา้ ทายวฒั นธรรมอนั ดีงาม ของเรา เราจะเหน็ ว่าส่อื ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทศั น์ นิตยสาร หนงั สอื ต่างๆ เป็นแรงจูงใจใหค้ นทํา ตาม ถา้ ใครอ่านหนงั สอื หวั นอกทเ่ี ราซอ้ื แฟรนไชสจ์ ากต่างประเทศ ไดส้ รา้ งกระแสใหด้ าราไทย สรา้ ง ความโดง่ ดงั ใหต้ วั เอง โดยเดนิ ตามแฟชนั่ ดาราฮอลลวี ๊ดู

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ถ้ากระแสโลกาภวิ ตั น์ ผนวกเขา้ กบั เงนิ ทุนก็ยง่ิ สามารถสรา้ งสนิ ค้าท่ที รงอทิ ธพิ ลในการ สรา้ งค่านิยมแบบใหม่ๆ ให้กบั คนมากได้ยงิ่ ขน้ึ เกดิ ต้นแบบหรอื แม่พมิ พ์ทางวฒั นธรรมในโลกยุค ใหม่ กระแสแฟชนั่ กางเกงลวี ายสใ์ นกลุ่มวยั รุ่น ทผ่ี ผู้ ลติ สามารถทาํ เงนิ ไดม้ ากมาย น่ีอาจจะเรยี กว่า การสรา้ งต้นแบบวฒั นธรรมใหม่ขน้ึ มาใหม่หรอื เปล่า ทําให้คนรุ่นใหม่มกี ระแสความนิยมในเร่อื ง แฟชนั่ หรอื รปู แบการใชช้ วี ติ ทเ่ี หมอื นกนั ไป กระแสบรโิ ภคนิยมทส่ี รา้ งค่านิยมใหก้ บั คนรุน่ ใหม่ๆ น่ี เป็นสงิ่ ทน่ี ่าเป็นห่วงสําหรบั คนทํางานวฒั นธรรม จนเกิดคําว่า เฝ้าระวงั ขน้ึ มา จะเหน็ ว่ากระทรวง วฒั นธรรมกเ็ รมิ่ จะงานในลกั ษณะน้ีแล้ว และในหลายๆ ประเทศกเ็ รมิ่ ต่อตา้ นกระแสบรโิ ภคนิยมกนั มากขน้ึ โดยเฉพาะในองค์กรนอกภาคราชการ เพราะว่ารฐั บาลในหลายประเทศไปทําความตกลง อะไรระหว่างกนั กม็ กั จะมุ่งผลทางเศรษฐกจิ เป็นหลกั จนลมื ผลกระทบทางสงั คมและทางวฒั นธรรม หน่วยงานนอกภาคราชการจงึ ตอ้ งลุกขน้ึ มาคดั คา้ นและขอให้รฐั บาล ต้องตดั สนิ ใจและทบทวนอะไร ใหม่ เช่น กรณีให้ทบทวนการเปิดเขตการคา้ เสรี (FTA) กบั อเมรกิ า เป็นตน้ กระแสการพยายาม ปกป้องอตั ลกั ษณ์หรอื ผลประโยชน์ของชาตเิ พม่ิ มากขน้ึ เกดิ เป็นการผลติ สนิ คา้ ทางวฒั นธรรมขน้ึ มา ต่อสกู้ บั สนิ คา้ วฒั นธรรมจากตะวนั ตก ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจน คอื ภาพยนตรท์ างโทรทศั น์ ชุด แดจงั กมึ ซง่ึ เป็นกรณศี กึ ษาทน่ี ่าสนใจ เพราะรฐั บาลเกาหลที ม่ี องเร่อื งการพฒั นาประเทศจากรากฐานวฒั นธรรม ของตวั เอง (culture based development) และพฒั นามาเป็นสนิ คา้ วฒั นธรรมส่งออกไปขายใน ประเทศแถบเอเชีย และได้รบั การตอบรบั เป็นอย่างดีในอดตี การพฒั นาทางเศรษฐกจิ ข้นึ อยู่กับ ทรพั ยากรธรรมชาติ เช่น กลุ่มประเทศทม่ี นี ้ํามนั กจ็ ะรวยไดเ้ รว็ แต่ปจั จุบนั เม่อื ทรพั ยากรธรรมชาติ เรมิ่ ร่อยหลอลง ทรพั ยากรทางวฒั นธรรมได้กลายมาเป็นวตั ถุดบิ สําคญั ในการพฒั นาเป็นสินค้า ประเทศท่มี ที ุนทางวฒั นธรรม มอี งค์ความรู้ มเี อกลกั ษณ์ ค่อนขา้ งเด่นชดั ยาวนาน กเ็ รมิ่ จะพฒั นา สนิ คา้ วฒั นธรรมขน้ึ ในรปู แบบต่างๆ การสนับสนุนเงนิ ทุนการผลติ สนิ คา้ วฒั นธรรมจงึ เป็นสง่ิ จาํ เป็น ประเทศเกาหลเี ป็นตวั อย่างท่ดี ใี นการท่รี ฐั บาลให้ความสําคญั ต่อการลงทุนเพ่อื พฒั นาสินค้าทาง วฒั นธรรม โดยกําหนดนโยบายเร่อื งการผลติ สนิ คา้ ทางวฒั นธรรมสู่ตลาดเอเชยี ชดั เจนและใหก้ าร สนับสนุนในทุกๆ ด้าน เช่นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ อุตสาหกรรมเพลง เกมส์คอมพวิ เตอร์ ฯลฯ ภาพยนตรท์ างโทรทศั น์ ชุด แดจงั กมึ ซ่งึ เป็นกรณีศกึ ษาทน่ี ่าสนใจ เพราะรฐั บาลเกาหลที ม่ี องเร่อื ง การพฒั นาประเทศจากรากฐานวฒั นธรรมของตวั เอง (culture based development) และพฒั นามา เป็นสนิ คา้ วฒั นธรรมสง่ ออกไปขายในประเทศแถบเอเชยี และไดร้ บั การตอบรบั เป็นอยา่ งดี ประเทศไทยมที ุนทางวฒั นธรรมอยู่มากมาย เช่น อาหารไทย ซง่ึ คนทวั่ โลกรจู้ กั ประเทศ ไทยจากอาหารทม่ี ชี ่อื เสยี ง คอื ตม้ ยาํ กุง้ เมอ่ื เราผลติ สนิ คา้ ทางวฒั นธรรมใหม่ คอื ภาพยนตรท์ ต่ี อ้ งการเปิดตัวส่ตู ลาดโลก กต็ งั้ ช่อื ว่า ตม้ ยาํ กุ้ง ทงั้ ๆ ทใ่ี นเรอ่ื งไมม่ ตี ้มยาํ กุ้ง เพ่อื เปิดตวั ว่าเป็นภาพยนตรจ์ ากประเทศไทยซง่ึ มฉี ากต่อสูท้ ่ี เผ็ดร้อนแบบรสชาดต้มยํากุ้ง และศิลปะการต่อสู้ในหนังก็เป็นสินค้าทางวฒั นธรรมอย่างหน่ึงท่ี สามารถขายได้ เป็นการนําการตลาดเข้ามาใช้โฆษณา การสร้างสินค้าวัฒนธรรมต้องมี กระบวนการพฒั นาท่ดี เี พ่อื ทจ่ี ะตอบสนองกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสมการจดั การทางวฒั นธรรม

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เป็นเคร่อื งมอื หน่ึงท่จี ะช่วยให้ทุนทางวฒั นธรรมท่เี ปรยี บเสมอื นวตั ถุดิบ ถูกนําไปแปรรูปให้เกิด มลู คา่ เพม่ิ ในเรอ่ื งเศรษฐกจิ การนํามาพฒั นาประเทศ และอ่นื ๆ ไดอ้ กี มากมาย อกี สง่ิ ท่เี ราน่าจะต้องพจิ ารณา คอื มุมมองเก่ยี วกบั วฒั นธรรมทแ่ี ตกต่างกนั ของคนต่างวยั หรอื มชี ่องว่างระหว่างวยั ในการมองวฒั นธรรม ในฐานะคนทาํ งานวฒั นธรรม เราน่าจะต้องคดิ ว่ามวี ธิ ี ไหนบา้ ง ทจ่ี ะลดช่องว่างในการมองวฒั นธรรมลงได้ และหาวธิ กี ารท่เี หมาะสมทค่ี นต่างวยั สามารถ เดินไปด้วยกันอย่างเข้าใจ เพราะช่องว่างท่เี ห็นในทุกวนั น้ี คือ ผู้สูงอายุมกั มองไปท่ีการรกั ษา วฒั นธรรมแบบเดมิ ผใู้ หญ่หลายคนอาจจะมองว่าวฒั นธรรมเป็นสง่ิ ทสี บื ทอดมาจากบรรพบุรษุ เป็น สง่ิ ท่เี ก่ยี วเน่ืองกบั ของเก่า เป็นแบบแผนอนั ดงี ามทต่ี ้องปฏบิ ตั ใิ ห้ถูกต้อง ไม่สามารถสรา้ งใหม่ให้ ทดแทนของเดมิ ได้ ต้องพยายามสืบทอดใหย้ าวนานท่สี ุดเท่าทจ่ี ะทําได้ และคาดหวงั ว่าคนรุ่นใหม่ ควรจะต้องสนใจและช่วยสบื สานวฒั นธรรมแบบเดมิ หลายคนมองว่า ของเก่าย่อมดกี ว่าของใหม่ และกล่าวหาว่ากระแสวฒั นธรรมตะวนั ตก เป็นตวั ทาํ ลายวฒั นธรรมไทย ทงั้ ๆ ทว่ี ฒั นธรรมตะวนั ตกมี กระแสคลน่ื ทเ่ี ขา้ มาในสงั คมไทยในช่วงเวลาต่างๆ ตงั้ แต่อดตี เพยี งแต่ว่าความแรงความเรว็ มนั จะ เปล่ยี นไป แต่ในช่วงเวลาท่เี ราเป็นวยั รุ่นเราจะเห่อกบั สงิ่ เรา้ ใจใหม่ๆ มากกว่าจะสนใจวฒั นธรรมท่ี ผู้ใหญ่เห็นว่าดงี าม อนั น้ีก็เป็นการมองวฒั นธรรมท่ตี ่างมติ ิเวลา คนช่วงหน่ึงๆ จะรบั อะไรใหม่ๆ เหมอื นกนั พอเราอายมุ ากขน้ึ กอ็ าจจะมองว่าสงิ่ ทเ่ี รารบั มามนั เป็นวฒั นธรรมทม่ี คี ุณค่า เดก็ รุ่นใหมก่ ็ มองว่าวฒั นธรรมไทยมคี ุณค่า แต่อาจจะดูล้าสมยั ไม่เรา้ ใจในวัยของเขาท่ตี ้องการการแสดงออก มากๆ เคา้ ตอ้ งการความสะใจทนั ใจ เขา้ สมยั ไมต่ กยคุ สรปุ ว่าเดก็ ร่นุ ใหมร่ วู้ ่าของเก่ามคี ุณค่าแต่มนั ไม่น่าสนใจ ในฐานะคนทาํ งานวฒั นธรรมและ อยใู่ นแวดวงวฒั นธรรม เราอาจจะตอ้ งมองหาแนวทางทจ่ี ะทาํ ใหช้ อ่ งวา่ งทางความคดิ แบบน้ลี ดลง ในงานวฒั นธรรมปจั จบุ นั เราอาจจะไมไ่ ดม้ องเรอ่ื งขอ้ มลู ทางวฒั นธรรมหรอื การสบื ทอดทาง วฒั นธรรมเพยี งอยา่ งเดยี ว แต่มคี ําใหม่ๆ ทผ่ี ุดขน้ึ มาให้เราไดย้ นิ อย่เู สมอๆ เช่น คาํ ว่าทุนวฒั นธรรม หรอื สนิ คา้ ทางวฒั นธรรมและอุตสาหกรรมวฒั นธรรม ฯลฯ วฒั นธรรมมคี วามหลากหลาย และมอี งค์ ความรู้มากมายท่อี ยู่ในงานวฒั นธรรมท่สี ามารถพฒั นามาเป็นทุนวฒั นธรรมได้ ซ่งึ ในแง่ของการ จดั การนนั้ ทุนวฒั นธรรมอาจ แบ่งออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คอื ประเภทแรก คอื ทนุ ทเ่ี ป็นวตั ถุ เช่น โบราณสถาน โบราณวตั ถุ งานหตั ถกรรม เราจะเหน็ อยทู่ วั่ ไป ซง่ึ มหี น่วยงานทร่ี บั ผดิ ชอบอยแู่ ลว้ อยา่ งโบราณสถาน และโบราณวตั ถุทม่ี คี ุณค่าระดบั ชาติ ก็อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร แต่ขณะเดียวกันก็มีโบราณวัตถุอีกมากมายท่ีอยู่ในความ ครอบครองของวดั ชมุ ชน โรงเรยี น สถาบนั การศกึ ษาสง่ิ เหล่าน้ีเป็นทุนทางวตั ถุทส่ี ามารถนํามาใช้ พฒั นาเป็นสนิ คา้ ทางวฒั นธรรมได้ ประเภทท่ีสอง คอื ทนุ ภมู ปิ ญั ญา ซง่ึ เป็นองคค์ วามรทู้ ซ่ี ่อนอย่ใู นวตั ถุ หรอื เทคโนโลยดี า้ น ต่างๆ มากมาย ทต่ี ้องอาศยั การเรยี นรแู้ ละถ่ายทอดระหว่างกนั ซง่ึ บางครงั้ เรานึกไม่ออกว่ามนั เป็น ทุนจรงิ ๆ จนกระทงั่ มคี นเอาภมู ปิ ญั ญาของเราไปใช้ประโยชน์ เช่น กรณีทญ่ี ่ปี ุ่นไปจดลขิ สทิ ธิ ์ ฤาษี ดดั ตน ซ่งึ เป็นทุนภูมปิ ญั ญาของเรา ท่ญี ่ปี ุ่นนําไปอ้างสทิ ธวิ ์ ่าเป็นทุนวฒั นธรรมของเขา เกิดเป็น

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ปญั หาเร่อื งลขิ สทิ ธติ ์ ามมา เมอ่ื ก่อนเราอาจมองว่าวฒั นธรรมเป็นอะไรท่ไี ม่มใี ครเป็นเจา้ ของมนั เป็น ของร่วมกนั ใครจะเอาไปศกึ ษาเผยแพร่กไ็ มม่ ปี ญั หา แต่พอนําวฒั นธรรมมามาใช้เป็นสนิ คา้ จงึ เรมิ่ มี การมองว่าต้องมีลิขสิทธิแ์ สดงความเป็นเจ้าของ เพ่ือป้ องกันการแสวงกําไรท่ีไม่มีการคืน ผลประโยชน์ใหเ้ จา้ ของทแ่ี ทจ้ รงิ การเกบ็ ขอ้ มลู จงึ เป็นสงิ่ สาํ คญั เราตอ้ งมหี ลกั ฐานยนื ยนั ว่าเป็นมรดก ทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ของวฒั นธรรมไทย เราจงึ จะสามารถเรียกรอ้ งสทิ ธคิ ์ นื มาได้ ถ้าอย่ดู ๆี ญป่ี ุ่นเอาไป จดลขิ สทิ ธแิ ์ ล้วเราไม่มหี ลกั ฐานข้อมูลรวบรวมเอาไว้เลย เราก็คงไม่มหี ลกั ฐานท่ไี ปบอกได้ว่าภูมิ ปญั ญาน้เี ป็นของเรา ขอ้ มลู วฒั นธรรมมหี ลายรปู แบบ หลายเรอ่ื งราว เม่อื เราไปเกบ็ ขอ้ มลู ภาคสนามมาแลว้ เรา นํามาใช้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ขอ้ มูลเหล่าน้ีเป็นทุนทางวฒั นธรรมด้านไหนบ้าง หลายครงั้ ท่ี วฒั นธรรมท่เี รารวบรวมหรอื ศกึ ษาวจิ ยั ถูกเกบ็ ไว้ในสํานักงาน โดยขาดการต่อยอดท่เี กดิ ประโยชน์ เพราะขาดการจดั การขอ้ มูลลองถามตวั เองว่า บนั ทกึ หรอื ภาพถ่ายท่เี ราเกบ็ ขอ้ มลู ภาคสนามมกี าร นํามาจดั ระบบทด่ี พี อหรอื ไม่เพราะทุกอย่างทเ่ี ราลงไปเกบ็ ขอ้ มลู มนั กจ็ ะหายไปกบั กาลเวลา บางคน ทเ่ี ราสมั ภาษณ์วนั น้ี พรงุ่ น้ีเขาอาจจะไมอ่ ย่ใู หเ้ ราสมั ภาษณ์ แลว้ ขอ้ มลู ทเ่ี ราไดจ้ ากเขาเป็นภูมปิ ญั ญา และองค์ความรู้ มากมาย รปู ถ่ายท่เี ราถ่ายมา เรามกี ารจดั การระบบหรอื ยงั ทุกวนั น้ีเราถ่ายรูปไป แลว้ แต่ไมไ่ ดจ้ ดั ระบบขอ้ มลู พอเรายา้ ยแผนก ยา้ ยฝา่ ย ขอ้ มลู รปู กไ็ ม่มใี ครอ่านเลย ไม่มใี ครบอกได้ ว่าถ่ายมาจากทไ่ี หน เม่อื ไหร่ ภาพถ่ายท่เี ก็บไวโ้ ดยไม่มขี อ้ มูลประกอบกไ็ ม่เกดิ ประโยชน์ ปญั หาท่ี พบอยบู่ อ่ ยๆ ในหน่วยงานวชิ าการหลายแห่ง กค็ อื บางทเี ราเจอรปู ถ่ายเก่าทน่ี ่าสนใจมาก แต่ไมม่ ใี คร รรู้ ายละเอยี ด ตอ้ งมาสบื คน้ กนั ใหมใ่ นฐานะคนทาํ งานวฒั นธรรมและเกบ็ ขอ้ มลู ทางวฒั นธรรมเราตอ้ ง ถามตวั เองก่อนว่า เราจดั การขอ้ มูลท่เี รามซี ง่ึ เป็นต้นทุนทางวฒั นธรรมทเ่ี ป็นประโยชน์ดพี อหรือยงั เพราะข้อมูลเหล่าน้ีสามารถนําไปพฒั นาเป็นส่อื การเรยี นรูร้ ูปแบบต่างๆ เช่น พมิ พ์เผยแพร่ หรอื ผลติ เป็นซดี ี และทําอะไรไดอ้ กี มากมาย เอกชนหลายแห่งทจ่ี ดั ทาํ ศูนยข์ อ้ มลู ทน่ี ํารายไดม้ าส่อู งคก์ ร ได้ เช่น ศูนยข์ อ้ มลู ภาพถ่ายของมตชิ น ทถ่ี ้าเราอยากไดภ้ าพถ่ายของเขา เราต้องเสยี สตางคใ์ หเ้ ขา เป็นธนาคารภาพทข่ี ายได้ ส่วนการใชป้ ระโยชน์จากขอ้ มลู เสยี งกม็ ตี วั อยา่ ง เช่น สถาบนั สมธิ โซเนียน ของอเมรกิ าทเ่ี กบ็ ขอ้ มลู เสยี งเพลงดนตรพี น้ื บา้ นจากทวั่ โลกแลว้ ใหบ้ รกิ ารแก่คนทวั่ ไป โดยเขาจดั ส่ง เจา้ หน้าทม่ี าบนั ทกึ เสยี งดนตรพี น้ื บา้ นทวั่ โลก เสรจ็ แลว้ กเ็ อาไปใส่ใน อนิ เตอรเ์ น็ต ใครจะดาวน์โหลด กไ็ ดต้ อ้ งเสยี ๙๕ เซนต์ หรอื ประมาณ ๓๐ กวา่ บาทต่อเพลง แต่มกี ารแบ่งผลประโยชน์ใหก้ บั เจา้ ของ เพลง สถาบนั ไดค้ ่าจดั การส่วนหน่ึง เขาทําแบบไม่หวงั ผลกําไร แต่เป็นการอนุรกั ษ์ดนตรพี น้ื บ้านท่ี กําลงั จะหายไป ขอ้ มลู ทเ่ี รามอี ยมู่ ากมาย มแี ฟ้มจดบนั ทกึ ภาพถ่าย มว้ นวดี โี อเตม็ ไปหมดเลย ไม่รู้ จะพฒั นาระบบขอ้ มูลยงั ไง ก่อนอ่นื เราต้องนํามาสู่กระบวนการคดั สรรว่า เราจะพฒั นาขอ้ มูลเป็น อะไร เชน่ ถา้ เราจะทาํ เป็นหนงั สอื เราอาจจะตอ้ งกําหนดหวั ขอ้ เร่อื ง และกรอบเรอ่ื ง แลว้ จดั ขอ้ มลู ทม่ี ี ลงไปตามหวั ขอ้ นัน้ ๆ หรอื หากจะทําเป็นแผนทแ่ี หล่งท่ตี งั้ กไ็ ด้ เช่น แผนทแ่ี หล่งหตั ถกรรมประเภท ต่างๆ โดยกําหนดการกระจายตวั ของแหล่ง กจ็ ะช่วยใหค้ นทใ่ี ชแ้ ผนทน่ี ําไปใชป้ ระโยชน์ไดม้ ากขน้ึ ขอ้ มูลวฒั นธรรมจําเป็นจะต้องมกี ารพฒั นาต่อยอดไปเร่อื ยๆ ในรุ่นเราเราอาจจะคดั สรร เร่อื งราวนํามาถ่ายทอดเป็นส่อื ต่างๆ ไดใ้ นระดบั หน่ึง แต่ขอ้ มูลเหล่าน้ีน้ีจะเป็นประโยชน์กบั คนรุ่น

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ต่อไป และเม่อื นําไปต่อยอดกบั องค์ความรู้ด้านอ่นื ๆ ก็จะมกี ารเช่อื มต่อให้เกดิ ภาพรวมขององค์ ความรู้ ทเ่ี พมิ่ พนู ขน้ึ เรอ่ื ยๆ แต่ก่อนอ่นื เราตอ้ งถามตวั เองว่า ขอ้ มลู ทเ่ี รามอี ยไู่ ดม้ กี ารคดั สรรแลว้ หรอื ยงั ถ้ายงั ก็เป็นท่นี ่าเสยี ดายท่เี ราเก็บทุนทางวฒั นธรรมโดยไม่ทําให้เกิดประโยชน์ และก็จะสูญ หายไปกบั ตวั เรา คนรุ่นใหม่ไมส่ ามารถหาขอ้ มลู ทเ่ี พ่ิมเตมิ ได้ นอกจากหอ้ งสมุด บางทีในหอ้ งสมดุ ก็ ตอ้ งยอมรบั วา่ ไมม่ เี รอ่ื งทล่ี กึ ซง้ึ ความรหู้ ลายอยา่ งดา้ นวฒั นธรรมมอี ยใู่ นตวั บคุ คล วฒั นธรรมไทยกบั การเข้าส่ปู ระชาคมอาเซียน วฒั นธรรมเป็นสงิ่ สาํ คญั ของคนไทยในการดําเนินชวี ติ ประจาํ วนั ของมนุษยท์ ถ่ี ูกกําหนดขน้ึ ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านจติ รกรรม สถาปตั ยกรรม ความคดิ ความเช่อื ความรู้ ท่แี สดงถงึ ความเจรญิ งอกงาม ปรากฏเป็นภาษา ศลิ ปะ ความเช่อื ถือ ระเบยี บ ประเพณี ความกลมเกลยี ว ความกา้ วหน้าของชาตแิ ละศลี ธรรมอนั ดงี ามของประชาชน วฒั นธรรมของประเทศไทย ก็มคี วามเหมอื นกนั และแตกต่างกนั บ้างตามแต่ละพ้นื ท่หี รอื แต่ละภาคของประเทศไทย รวมทงั้ การสบื ทอดหรอื อาจมกี ารดดั แปลงบา้ ง เพ่อื ใหม้ เี หมาะสมกบั ความเป็นสมยั นิยมมากขน้ึ เช่น วฒั นธรรมดา้ นการแต่งกาย ดา้ นภาษา ดา้ นอาหาร และวฒั นธรรมอ่นื ๆ อกี มากมาย เพราะใชเ้ ฉพาะ กนั ในชมุ ชน หมบู่ า้ นของแต่ละทอ้ งถนิ่ การเขา้ ส่ปู ระชาคมอาเซยี นในปี ๒๕๕๘ ไม่ไดม้ คี วามสําคญั เฉพาะการรวมตวั กนั ของกล่มุ สมาชกิ อาเซยี น ๑๐ ประเทศ ในดา้ นเศรษฐกจิ การคา้ การลงทุน เป็น หลกั เท่านนั้ สง่ิ สาํ คญั ทป่ี ระชาชนชาวไทยไมค่ วรมองขา้ มหรอื ละเลยไปกค็ อื วฒั นธรรมของประเทศไทย ท่ปี จั จุบนั เรม่ิ จะสูญหายไปจากสงั คมไทยอย่างไม่รู้ตวั ท่เี ห็น เป็นเอกลกั ษณ์เด่นชดั คอื ดา้ นการแต่งกายทใ่ี ชผ้ า้ ไทยทําจากผา้ ไหม ผา้ ทอมอื ต่างๆ หรอื ผา้ ขาวมา้ ซ่งึ ยงั พอมอี ย่บู ้างโดยส่วนใหญ่จะพบในวยั ผูส้ ูงอายุหรอื ผู้ทท่ี ํางานในภาคราชการ หรอื องคก์ รบาง แหง่ เทา่ นนั้ ส่วนดา้ นอาหารประเทศไทยเรามไี มน่ ้อยหน้าประเทศใดๆและมชี ่อื เสยี งไปทวั่ โลก ไดแ้ ก่ ตม้ ยาํ กุง้ ผดั ไทย สาํ หรบั ดา้ นภาษาประเทศไทยมภี าษาเป็นของตนเองมาตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั จะ แตกต่างไปบา้ งตามแต่ละภาค แต่ภาษากลางกค็ อื ‚ภาษาไทย‛ ประชาชนคนไทยไม่ว่าจะอย่ใู น จงั หวดั ใด ภาคไหนของประเทศไทยก็สามารถส่อื สารเขา้ ใจกนั ได้วฒั นธรรมของประเทศไทยเป็น เอกลกั ษณ์ทเ่ี ราในฐานะทเ่ี ป็นประชาชนชาวไทย ไมว่ ่าจะเขา้ ส่ปู ระชาคมอาเซยี นหรอื ไมเ่ รากค็ วรจะ ชว่ ยกนั รกั ษา นอกจากวฒั นธรรมทก่ี ล่าวขา้ งตน้ แลว้ ยงั มวี ฒั นธรรมดา้ นอ่นื ๆ อกี อาทิ ขนบธรรมเนียม ประเพณี กริ ยิ ามารยาท เช่น ปจั จุบนั เราจะพบว่าประชาชนชาวไทย หรอื เยาวชนไทยไม่เขา้ ใจในภาษาไทย หรอื ใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง ใชผ้ ดิ ใช้ถูก เช่น คําว่า “ขอโทษ ขอบใจ ขอบคณุ ” มกั ใช้กนั สบั สนคําเหล่าน้ีถงึ แมจ้ ะขน้ึ ต้นดว้ ย ขอไข่ เหมอื นกนั แต่กม็ กี ารใชท้ แ่ี ตกต่างกนั ไดแ้ ก่ ๑. ขอโทษ ใชไ้ ดท้ งั้ วยั เดก็ วยั ผใู้ หญ่ ในกรณีทก่ี ระทาํ ผดิ เลก็ น้อยไมว่ ่าจะเป็นการกระทํา ทางกาย วาจา หรอื ใจกบั บุคคลอ่นื โดยไม่ตงั้ ใจหรอื ตงั้ ใจแลว้ รู้สกึ ว่าผดิ ไม่ถูกต้อง ให้ใช้คําว่า ‚ขอ โทษ‛

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒. ขอบใจ ใชก้ รณผี ทู้ ม่ี อี ายมุ ากกว่าพดู กบั ผทู้ ม่ี อี ายุน้อยกว่า เช่นใชเ้ ดก็ หยบิ ของให้ กใ็ ช้ คาํ วา่ ‚ขอบใจ‛ ไมใ่ ช่ขอบคุณ และ ๓. ขอบคณุ ใชส้ ําหรบั ผู้ทอ่ี ายุน้อยกว่ากล่าวขอบคุณผูท้ ่อี ายุมากกว่า ทใ่ี ห้ความเมตตา ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ใหค้ าํ แนะนําทเ่ี ป็นประโยชน์หรอื มอบสง่ิ ดๆี ให้ กจ็ ะใชค้ าํ ว่า ‚ขอบคุณ‛ ฯลฯ และ ยงั มคี ําอ่ืนๆ ในภาษาไทยอีกมากมายท่ีใช้กันผิดเสมอภาษาไทยเป็นภาษาท่ีเข้าใจง่ายและไม่ ซบั ซอ้ น ชาวต่างชาตหิ ลายๆ คน เขา้ มาเรยี นภาษาไทย สามารถพดู ภาษาไทยไดช้ ดั เจน แต่คนไทย เอง กลบั ไม่เขา้ ใจ และใช้สบั สนกนั จนเป็นความเคยชนิ ยง่ิ แย่ไปกว่านัน้ บางคนพูดไทยคํา ภาษา ต่างชาตคิ าํ เน่อื งจากรสนิยม หรอื ค่านิยมอะไรกแ็ ลว้ แต่แต่ไมค่ วรลมื พน้ื ฐานของความเป็นไทย ดงั นนั้ ก่อนการเขา้ ส่ปู ระชาคมอาเซยี นชาวไทยทุกคนต้องช่วยกนั ส่งเสรมิ วฒั นธรรมของ ไทยใหช้ าวต่างชาตไิ ดร้ บั รแู้ ละเขา้ ใจ ไมค่ วรใหช้ าตติ ่าง ๆเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลมากเกนิ ไป ไม่มขี อ้ ยกเวน้ ว่าจะเป็นวฒั นธรรมด้านใดเพราะวนั หน่ึงเราจะถูกซมึ ซบั วฒั นธรรมจากต่างชาติจนอาจไม่เหลอื วฒั นธรรมไทยหรอื มอี ะไรให้จดจําอีกเลยวนั น้ียงั ไม่สายหรอื ช้าเกินไปท่เี ราจะร่วมมอื กนั อนุรกั ษ์ วฒั นธรรมไทย กา้ วเขา้ สปู่ ระชาคมอาเซยี นใหป้ ระเทศกลมุ่ สมาชกิ ไดร้ บั รู้ เขา้ ใจและยอมรบั ประเทศ ไทย และอนุรกั ษไ์ วใ้ หล้ กู หลานไทย ในปจั จบุ นั ไดต้ ระหนกั และมองถงึ อนาคต โดยไมล่ ุ่มหลงไปกบั วฒั นธรรมต่างชาตจิ นลมื ถงึ วฒั นธรรมไทยทบ่ี รรพบุรุษทร่ี กั ษาดว้ ยชวี ติ ไวใ้ หล้ ูกหลานไทยไดพ้ ูดถงึ ประเทศไทยอย่างเตม็ ความ ภาคภูมใิ จ มาช่วยกนั ร่วมมอื กนั ส่งเสรมิ ความเอกลกั ษณ์ไทยใหค้ งอย่ตู ลอดไป ไม่ใช่เพยี ง คําว่า “สวสั ดีค่ะ” กบั “สวสั ดีครบั ” หรอื เพยี งแค่ “รอยย้ิม” ของประชาชนชาวไทยในการเขา้ สู่ ประชาคมอาเซยี นเทา่ นัน้ บทบาทวฒั นธรรมเชิงพทุ ธในกล่มุ ประเทศอาเซียน วฒั นธรรมเชิงพทุ ธ สามารถแสดงถงึ นยั อยู่ ๒ ประเดน็ ใหญ่ ไดแ้ ก่ (๑) บทบาทของแต่ละประเทศทก่ี ระทาํ กนั อย่ใู นภายในแต่ละประเทศในฐานะทเ่ี ป็นสมาชกิ อาเซยี น ซง่ึ ก็เป็นปกตขิ องแต่ละประเทศทน่ี บั ถอื พระพุทธศาสนาทจ่ี ะต้องมขี อ้ วตั รปฏบิ ตั ติ ามแนว พระพุทธศาสนาทงั้ ในฝา่ ยพระสงฆแ์ ละฝา่ ยของคฤหสั ถ์ และ (๒) อกี นัยหน่ึงหมายเอาบทบาทของพระพุทธศาสนาท่จี ะทําร่วมกนั ในอนาคตในฐานะท่ี เป็นประชาคมอาเซยี นรว่ มกนั ดงั นนั้ เพอ่ื การมองหาจดุ รว่ มกนั ในการผลกั ดนั พระพุทธศาสนาใหเ้ ขา้ สเู่ สาหลกั ท่ี ๓ ของประชาคมอาเซยี น ทต่ี อ้ งการสรา้ งความมนั่ คงทางสงั คมและวฒั นธรรมรว่ มกนั ได้ อยา่ งไร ขอ้ ควรทราบเบอ้ื งตน้ พระพทุ ธศาสนาเป็นวฒั นธรรมทางสงั คมทป่ี รบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมของ คนไปสู่ทิศทางท่สี มบูรณ์ท่ีสุด เป็นวฒั นธรรมสําหรบั การดําเนินชีวิต เพราะเราอาจกล่าวได้ว่า พระพทุ ธศาสนาเป็นตน้ ตํารบั วฒั นธรรมทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุด แต่ยงั ทนั สมยั และมหี ลกั อารยธรรม คอื การนํา ให้พ้นความป่าเถ่ือนท่ที ํากนั อยู่เดมิ ไม่ว่าการกีดกนั ทางวรรณะ การบูชายญั เป็นต้น วฒั นธรรม พระพุทธศาสนาทงั้ ปฏวิ ตั แิ ละปฏริ ปู สงั คมใหด้ ขี น้ึ เช่น ปฏวิ ตั ริ ะบบวรรณะ (Caste System) ไม่ให้ ยดึ ถอื การเป็นคนดไี ม่ดอี ย่ทู ่ชี าตกิ ําเนิด แต่ใหอ้ ย่ทู ่กี ารกระทํา ปฏวิ ตั เิ ร่อื งการบูชายญั ด้วยการฆ่า

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๔๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สตั วแ์ ลว้ ไดบ้ ุญ แต่ใหบ้ ูชายญั ดว้ ยการรกั ษาศลี ปฏบิ ตั สิ มาธแิ ละเจรญิ ปญั ญาแทน ปฏวิ ตั คิ วามเช่อื ในพรหมลขิ ติ มาเป็นกรรมลขิ ติ แทน ปฏริ ปู การไหวท้ ศิ ทไ่ี รค้ วามหมายมาเป็นทศิ ทม่ี คี วามหมาย เป็น ตน้ ทงั้ หมดน้เี ป็นแนวทางพระพุทธศาสนาทไ่ี ดท้ าํ ไวเ้ ป็นตวั อยา่ งในสมยั พุทธกาลและสบื ทอดกนั มา จนถงึ ปจั จบุ นั แต่ปจั จุบนั เรมิ่ มคี วามอ่อนแอทางด้านการเน้นย้ําวฒั นธรรมทางพระพุทธศาสนาให้เป็น รูปธรรมจะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนานัน้ เป็นรากเหง้าแห่งวัฒนธรรมท่ีสามารถพฒั นาคนให้ ปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมให้ประเสรฐิ ยิง่ กว่าสรรพสตั ว์ใดๆ ได้ ดงั พุทธศาสนสุภาษิตท่ีว่า ‚วชิ ฺชา จรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส : ผทู้ สี่ มบูรณ์ดว้ ยความรแู้ ละความประพฤตจิ งึ ชอื่ ว่าประเสรฐิ ใน หมเู่ ทวดาและมนุษยท์ งั้ หลาย‛๔๙ พุทธวฒั นธรรมจงึ เป็นวถิ กี ารดาํ เนินชวี ติ ของมนุษยท์ ด่ี งี ามและมี คุณค่าเป็นมรดกแห่งสงั คมทค่ี วรรกั ษา ในทน่ี ้ีจงึ ขอเสนอกรอบการแสดงบทบาทพระพุทธศาสนาใน ฐานะรากฐานสําคญั ของสงั คมและวฒั นธรรมในกลุ่มประเทศอาเซยี นทน่ี ับถือพระพุทธศาสนาเป็น หลกั และท่กี ําลงั ไดร้ บั การเผยแผ่เข้าไปสู่ประเทศอ่นื ๆ ตามกรอบของวฒั นธรรมทงั้ ๔ ดา้ น ได้แก่ กรอบคตธิ รรม เนตธิ รรม วตั ถุธรรม และสหธรรม โดยมุ่งหมายใหป้ ระชาคมอาเซยี นยดึ ตามกรอบน้ี กาํ หนดบทบาทของพระพทุ ธศาสนารว่ มกนั ดงั น้ี ๑. บทบาททางด้านคติธรรมในพระพทุ ธศาสนา : ‚คติธรรม‛ (Moral) คอื ความเช่อื ท่ี มตี ่อหลกั ธรรมในพระพุทธศาสนาและต่อหลกั ความเช่อื ๔ ประการ จะทาํ อยา่ งไรทจ่ี ะผลกั ดนั ใหเ้ กดิ ความร่วมมอื กนั ปฏบิ ตั กิ นั ตามคตธิ รรมน้ีอย่างเป็นรปู ธรรม หลกั ธรรมสาํ คญั ในพระพุทธศาสนา คอื หวั ใจพระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ การไมท่ าํ ความชวั่ ทงั้ ปวง (สพฺพปาปสฺส อกรณํ) ทําความดใี หส้ มบูรณ์ (กุสลสฺสูปสมปทา) และทําจติ ใจใหผ้ ่องใส (สจติ ฺตปรโิ ยทปนํ)๕๐ ส่วนการปฏบิ ตั ติ ามหลกั สทั ธาทงั้ ๔ ประการ ไดแ้ ก่ หลกั ความเช่อื ในกรรม หรอื การกระทํา (กมฺมสทฺธา) หลกั ความเช่อื ในผลของกรรม หรอื ผลของการกระทํา (วิปากสทฺธา) หลกั ความเช่อื ว่าทุกคนมกี รรมเป็นของของตน (กมฺม- สกตฺตาสทฺธา) และ หลกั ความเช่อื ทม่ี ตี ่อการตรสั รพู้ ระพุทธเจา้ (ตถาคตโพธสิ ทฺธา)๕๑ การผลกั ดนั กรอบแห่งคตธิ รรมขอ้ น้ีร่วมกนั เช่อื ว่าจะเป็นหลกั พน้ื ฐานใหส้ งั คมในประชาคมอาเซยี นมคี วามเช่อื ท่ี ถูกต้อง บุคคลจะเป็นเช่นไรกด็ ว้ ยการกระทําของบุคคลผนู้ นั้ เอง หากทํางานกย็ อ่ มไดร้ บั ผลของงาน หากทําความชวั่ กย็ ่อมได้รบั ผลของความชวั่ แน่นอนทงั้ ในระดบั ภายในและภายนอก ภายในไดแ้ ก่ ความทุกขใ์ จ ภายนอกไดแ้ ก่ความเส่อื มจากลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข ตามหลกั แห่งกรรมทป่ี รากฏใน มชั ฌมิ นิกาย อุปรปิ ณั ณาสก์ จฬู กมั มวภิ งั คสูตรว่า “มาณว สตฺตา กมฺมทายาทา กมฺมโยนี กมฺมพนฺธู กมฺมปฏสิ รณา. กมฺมํ สตฺเต วภิ ชต,ิ ยททิ ํ หนี ปปฺ ณีตตายาติ : มาณพ สตั วท์ งั้ หลายมกี รรมเป็นของ ๔๙ สนงั กุมารพรหมกล่าวไวว้ ่า ‘ในหมชู่ นทถี่ อื ตระกลู เป็นใหญ่กษตั รยิ จ์ ดั ว่าประเสรฐิ ทสี่ ดุ สว่ น ทา่ นผเู้ พยี บพรอ้ มดว้ ยวชิ ชา และจรณะ จดั ว่าเป็นผปู้ ระเสรฐิ ทสี่ ุดในหมเู่ ทพและมนุษย์’….....ในหม่ชู นทถี่ อื ตระกลู เป็นใหญ่กษตั รยิ จ์ ดั ว่าประเสรฐิ ทสี่ ุด ส่วน ท่านผู้ เพยี บพรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ จดั ว่าเป็นผปู้ ระเสรฐิ ทสี่ ุดในหมเู่ ทพและมนุษย์’ อา้ งใน ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๐/๑๒๐., ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/ ๒๗๗/๙๙, ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๒/๒๕๓, ส.ํ น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๔๕/๓๓๘, องฺ.เอกาทสก. (ไทย) ๒๔/๑๐/๔๐๙. ๕๐ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๙๐. ๕๑ อภ.ิ ว.ิ (บาล)ี ๓๕/๘๒๒/๔๓๓.

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๕๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตน เป็นทายาทแห่งกรรม มกี รรมเป็นกําเนิด มกี รรมเป็นเผ่าพนั ธุ์ มกี รรมเป็นทพ่ี ง่ึ อาศยั กรรมยอ่ ม จาํ แนกสตั วท์ งั้ หลาย ใหเ้ ลวและดตี ่างกนั ”๕๒ นอกจากนนั้ ในการดาํ เนินชวี ติ ควรถอื แนวคตขิ องพระโพธสิ ตั ว์ ดงั ทพ่ี ระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๓) เคยปฏบิ ตั มิ าแลว้ ทําใหบ้ า้ นเมอื งสงบร่มเยน็ เพราะพระโพธสิ ตั ว์นนั้ มชี วี ติ เพ่อื ช่วยเหลือผู้อ่ืน ปดั เป่าทุกข์ภยั ให้กบั ผู้อ่นื คติธรรมเช่นน้ีเข้าได้กับความเช่อื ในจติ อาสา ถ้า สามารถสรา้ งจติ อาสา สรา้ งคตแิ หง่ พระโพธสิ ตั วใ์ นการดาํ เนินชวี ติ ย่อมทําใหภ้ มู ภิ าคน้ีโดดเด่นขน้ึ มา ในดา้ นความสุข สงบของสงั คมแน่นอน ๒. บทบาททางด้านเนติธรรมในพระพุทธศาสนา : “หลกั เนติธรรม” (Legal) เป็น หลกั ท่แี สดงถงึ ความเช่อื ในกฎเกณฑก์ ตกิ าในสงั คม กล่าวไดว้ ่าเนตธิ รรมทเ่ี ป็นกฎหมายบา้ นเมอื ง นนั้ สรา้ งวฒั นธรรมใหค้ นกลวั การลงโทษ แต่เนตธิ รรมทเ่ี ป็นความเช่อื ทางสงั คมนนั้ จะทําใหเ้ กดิ ความ กลวั ทม่ี าจากใจ ไมก่ ลา้ ทาํ ผดิ เป็นการมหี ลกั หริ ิ และโอตปั ปะต่อการกระทําความผดิ แมไ้ มม่ คี นเห็น กไ็ มก่ ลา้ ทาํ เน่อื งจากเกรงจะเป็นเภทภยั กบั ตนและครอบครวั การใชร้ ะบบเนตธิ รรมทเ่ี รยี กว่า การขดั เกลาทางสงั คม (Socialization) นัน้ มคี วามยงั่ ยนื และแน่นอนกว่าการบบี บงั คบั เนตธิ รรมตามหลกั แนวของพระพุทธศาสนา ตงั้ อย่บู นพ้นื ฐานของศลี ๕ คอื การไม่เบยี ดเบยี นสงิ่ มชี วี ติ ให้ได้รบั ความ เดอื ดรอ้ น ไมถ่ อื เอาสงิ่ ของทเ่ี ขาไมไ่ ดใ้ ห้ ไมผ่ ดิ ประเวณโี ดยการครอบครองของรกั ของหวงของผอู้ ่นื ไม่พูดกลบั กลอกหลอกลวง และไมด่ ่มื น้ําเมาและสงิ่ เสพตดิ ทท่ี าํ ใหเ้ ป็นทม่ี าของความประมาท และ ตงั้ อย่บู นพน้ื ฐานของธรรม ๕ คอื ความมเี มตตากรุณา การรจู้ กั เสยี สละ การยนิ ดใี นภรรยาของตน การมสี จั จะรกั ษาคําพูด และการมสี ตสิ มั ปชญั ญะ ประชาคมอาเซยี นทน่ี บั ถอื พระพุทธศาสนาจะตอ้ ง ผลกั ดนั ใหป้ ระชาชนในแต่ละประเทศของตนยดึ ถอื เนตธิ รรมทางพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรปู ธรรม เพ่อื สรา้ งสงั คมคมดี คนดี สรา้ งสงั คมสนั ติ ไมล่ ะเมดิ ทางทงั้ กาย วาจา และใจต่อผอู้ ่นื และสรา้ งสงั คม เสมอภาค กล่าวคอื มนุษยท์ ุกคนยอ่ มไดร้ บั ผลกรรมทต่ี นไดก้ ระทําไวไ้ ม่ว่าดหี รอื ชวั่ กต็ ามดงั คําสอน ในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า ‚ถ้าเธอทงั้ หลายกลวั ความทุกข์ ถ้าความทุกขไ์ ม่เป็นทรี่ กั ของเธอ ทงั้ หลาย ก็อย่าได้ทาบาปกรรมในทแี่ จง้ หรอื บาปกรรมในทลี่ บั เพราะถ้าเธอทงั้ หลายจกั ทา หรอื กาลงั ทาบาปกรรมอย่ถู งึ จะเหาะหนีไป เธอย่อมไม่พ้นจากความทุกขไ์ ปได้‛๕๓ เบอ้ื งต้นใหท้ ําเป็น โครงการนําร่องปฏบิ ตั ใิ นแต่พน้ื ท่หี รอื แต่ละโซน (zoning) เป็นลําดบั โดยใหแ้ ต่ละประเทศเขา้ มามี ส่วนร่วมในการผลกั ดนั บทบาทด้านน้ีประสบความสําเรจ็ ตามระยะเวลาท่กี ําหนด เพ่อื ใหก้ ลายเป็น บรรทดั ฐานทางวฒั นธรรมและสามารถเชอ่ื มโยงหลกั ศลี ธรรมน้ใี นการพฒั นาสงั คมใหส้ งบสุขได้ ๓. บทบาททางด้านสหธรรมในพระพทุ ธศาสนา : “สหธรรม” (Social) เป็นวฒั นธรรม ทางสงั คมในดา้ นการมปี ฏสิ มั พนั ธต์ ่อกนั และกนั ตามหน้าท่ี และสถานะทางสงั คม เช่น หน้าทรี่ ะหว่าง มารดาบิดากบั บุตรธดิ า ครูอาจารย์กับศิษย์ สามกี ับภรรยา มติ รกบั มติ ร นายกับบ่าว และสมณ ๕๒ ม.อ. (ไทย) ๑๔/๒๘๐/๓๖๐. ๕๓ ข.ุ อุ. (ไทย) ๒๕/๔๔/๒๖๒. คาํ วา่ “บาปกรรมในที่แจ้ง” หมายถงึ กรรมชวั่ ทางกาย และทางวาจา อา้ งใน ขุ.อุ.อ. (บาล)ี ๔๔/๓๑๕., คาํ วา่ ‚บาปกรรมในที่ลบั ” หมายถงึ กรรมชวั่ ทางใจ อา้ งใน ข.ุ อุ.อ.(บาล)ี ๔๔/๓๑๕.

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๕๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พราหมณ์กบั ฆราวาส เป็นต้น๕๔ นอกจากนัน้ ยงั มีเร่อื งการอยู่ร่วมกนั การปฏบิ ตั ิร่วมกัน ความ เอ้อื เฟ้ือ การเดนิ การยนื และการรบั ประทานอาหาร ความเคารพ ความอ่อนน้ อม การใช้ภาษา กรยิ ามารยาททม่ี ตี ่อกนั และกนั ในสงั คมบทบาทในดา้ นน้ีควรเรม่ิ ทภ่ี าษา ควรผลกั ดนั ใหม้ กี ารศกึ ษา ภาษาบาลใี นคมั ภรี ใ์ หเ้ ป็นรปู ธรรมร่วมกนั นอกจากนนั้ ยงั รวมไปถงึ การใชภ้ าษาทม่ี รี ากฐานเดยี วกนั อกี ดว้ ย เพราะใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจในสายใยรว่ มกนั ทเ่ี ช่อื มโยงทางดา้ นภาษา ๔. บทบาททางด้านวตั ถธุ รรมในพระพุทธศาสนา : วฒั นธรรมในด้านวตั ถธุ รรม (Material) เป็นเร่อื งเก่ียวกับสถาปตั ยกรรม ปติมากรรม จติ รกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นท่ี ประจกั ษแ์ ลว้ วา่ วตั ถุธรรมทางดา้ นน้ขี องพระพทุ ธศาสนานนั้ งดงาม แสดงใหเ้ หน็ ถงึ อารยธรรมชนั้ สูง ของสงั คมในประเทศอาเซยี น จําเป็นต้องกําหนดร่วมกนั ผลกั ดนั ใหพ้ ุทธศิลป์ทงั้ หมดเหล่าน้ีได้รบั การศกึ ษา รกั ษาไว้ และเผยแผ่ออกไปเพ่อื ให้ผูอ้ ่นื ไดร้ บั ประโยชน์ ให้ชาวโลกได้เสพความงดงาม ทางดา้ นน้ี พุทธศลิ ป์ทงั้ มวลสรา้ งขน้ึ บนพ้นื ฐานพุทธปรชั ญาเพ่อื ใช้ศิลปะให้เข้าถงึ จรยิ ธรรม เป็น การเติมเต็มความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ยง่ิ ข้นึ บทบาทของประชาคมอาเซยี นต้องร่วมมอื กนั จดั กจิ กรรมส่อื วตั ถุธรรมใหโ้ ดดเด่น ใหเ้ ป็นประโยชน์ทุกมติ ิ ทงั้ มติ ศิ าสนา ศลิ ปะ วฒั นธรรม เศรษฐกจิ และการทอ่ งเทย่ี วเชงิ วฒั นธรรมดว้ ย นอกจากนัน้ ปจั จุบนั กําลงั จะมกี ารสรา้ งธนาคารพระพุทธศาสนา โดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่อื ทํานุ บํารุงพระพุทธศาสนาเป็นหลกั และเป็นองค์กรทางการเงนิ ร่วมกนั ในการสนับสนุน ส่งเสรมิ และผลักดันกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาทุกด้านให้เป็นรูปธรรมข้ึนมา สถาบันการเงินทาง พระพุทธศาสนาขนาดใหญ่อย่างน้ีจะเป็นการเช่อื มประสานการเงนิ ระหว่างประชาคมอาเซยี นเพ่อื กจิ กรรมทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะกย็ งิ่ ทาํ ใหบ้ ทบาททางดา้ นสหธรรมเด่นชดั เป็นรปู ธรรมยง่ิ ขน้ึ สรปุ ท้ายบท คาํ วา่ “วฒั นธรรม” หมายถงึ แบบแผนการดาํ เนินชวี ติ ทม่ี นุษยใ์ นสงั คมสรา้ งขน้ึ และยอมรบั ร่วมกนั วฒั นธรรมในความหมายกว้าง หมายถึงทุกสง่ิ ท่มี นุษย์สร้างขน้ึ วฒั นธรรมในความหมาย แคบ หมายถงึ เฉพาะสง่ิ ทด่ี งี าม คาํ วา่ “วฒั นธรรมเชงิ พุทธ” หมายถงึ วฒั นธรรมทม่ี พี ระพุทธศาสนาเป็นฐาน หรอื วฒั นธรรม ทม่ี คี วามเช่อื โยงสมั พนั ธก์ บั ความเชอ่ื และคาํ สอนในพระพุทธศาสนา หรอื พระพุทธศาสนาอนั เป็นบ่อ เกดิ ของวฒั นธรรมหรอื วฒั นธรรมไทย สว่ นคาํ วา่ “พทุ ธวฒั นธรรม” ความถงึ หลกั ธรรมคาํ สอนในพระพุทธศาสนาทเ่ี ก่ยี วกบั ความรู้ ความเชอ่ื ศลิ ปะ ศลี ธรรม กฎหมาย ประเพณี จารตี กฎระระเบยี บขอ้ บงั คบั ทเ่ี ป็นวนิ ยั ศลี สกิ ขาบท อภสิ มาจาร เสขยิ ธรรม ตลอดถงึ พธิ กี รรม และสงั ฆกรรมต่างๆ เป็นต้น อนั เป็นคาํ สงั่ สอนท่ีก่อใหเ้ กดิ ความดงี ามทงั้ ทางดา้ นนามธรรมและวตั ถุธรรม ภมู ปิ ญั ญาทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมเชงิ พุทธทาใหค้ นไทยมลี กั ษณะดงั น้ี ๕๔ ดรู ายละเอยี ดใน ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๕๔-๒๖๕/๒๐๗-๒๑๒.

บทท่ี ๕ “ภมู ิปัญญาไทยในฐานะวฒั นธรรมเชิงพทุ ธ” หน้า ๒๕๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑. ทางดา้ นคตธิ รรม ในดา้ นหลกั การทวั่ ไป : คตธิ รรม เป็นปรชั ญา แนวคดิ ศาสนา ความ เชอ่ื ถอื ทย่ี ดึ ถอื เป็นแนวทาง ส่วนมากเป็นเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั จติ ใจ ศรทั ธา ฯลฯ เป็นวฒั นธรรมทเ่ี กย่ี วกบั หลกั ในการดาํ รงชวี ติ ส่วนใหญ่เป็นเร่อื งของจติ ใจและไดม้ าจากศาสนา ใชเ้ ป็นแนวทางในการดําเนิน ชวี ติ ของสงั คม เช่นความเสยี สละ ความขยนั หมนั่ เพยี ร การประหยดั อดออกม ความกตญั ํู ความ อดทน ทาํ ดไี ดด้ ี เป็นต้น ส่วนในดา้ นปจั เจกบุคคล มคี วามเช่อื ในกฎแห่งกรรมคอื ทาํ ดไี ดด้ ี ทําชวั่ ได้ ชวั่ คนไทยจงึ มคี วามอดทน รกั ความเป็นอสิ ระ แต่กย็ อมรบั สภาพความทุกขท์ ไ่ี ดร้ บั โดยถอื ว่าเป็น ผลแห่งกรรมเก่าของตน แต่กม็ คี วามหวงั ว่าชวี ติ ใหม่จะดขี น้ึ ถ้าทําแต่ความดี ผลแห่งความดกี ็จะ สนองใหเ้ หน็ ทนั ตา ๒. ทางดา้ นเนตธิ รรม ในดา้ นหลกั การทวั่ ไป เนตธิ รรม เป็นเร่อื งว่าดว้ ยกฎระเบยี บ แบบ แผนความประพฤตทิ ่กี ําหนดข้นึ เพ่อื ให้คนในสงั คมอยู่ร่มกนั ได้อย่างปกตสิ ุข โดยมกั มบี ทลงโทษ ผู้ฝ่าฝืน ไม่ปฏบิ ตั ติ าม เช่น กฎหมาย ระเบยี บวนิ ัยต่างๆ ฯล ส่วน ในด้านปจั เจกบุคคล มคี วาม เคารพในสทิ ธขิ องผู้อ่นื มรี ะเบยี บวนิ ัย เพราะมหี ลกั คําสอนทางพุทธศาสนา ท่หี ้ามลกั ทรพั ย์ ห้าม ประพฤตผิ ดิ ทางเพศ ห้ามโกหก ฯลฯ หลกั กฎหมายต่างๆ ท่คี นไทยบญั ญตั ิขน้ึ ก็ใช้หลกั ทางพุทธ ศาสนา ๓. ทางด้านวตั ถุธรรม ในดา้ นหลกั การทวั่ ไป วตั ถุธรรม คอื วตั ถุต่างๆ ท่มี นุษยส์ รา้ งขน้ึ เพ่อื ประโยชน์ในการดํารงชวี ติ เช่น บา้ นเรอื น ขา้ วของเคร่อื งใช้ เสอ้ื ผา้ อาหาร ยารกั ษาโรค ฯลฯ โบสถ์ วหิ าร ถาวรวตั ถุ โบราณสถาน โบราณวตั ถุ เป็นตน้ ส่วนในดา้ นปจั เจกบุคคล มศี รทั ธามนั่ คง ในการทําบุญและให้ทาน ด้วยเหตุน้ีคนไทยนิยมสร้างวดั วาอาราม พระเจดยี ์ พระพุทธรูป ดงั นัน้ ศลิ ปกรรม สถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม จติ รกรรมต่างๆ จงึ เก่ยี วขอ้ งกบั พระพุทธศาสนาเป็นส่วน ใหญ่ ๔. ทางดา้ นสหธรรม ในดา้ นหลกั การทวั่ ไป สหธรรม คอื วฒั นธรรมในการอย่รู ่วมกนั เป็น แบบแผนความประพฤติท่ยี อมรบั กนั ดวี ่า มคี วามเหมาะสม แต่ไม่มบี ทลงโทษชดั เจนเหมอื นเนติ ธรรม เช่น การเขา้ แถวเพ่ือรบั บรกิ ารต่างๆ ระเบยี บในการประชุม มารยาทท่คี วรปฏบิ ตั ใิ นโอกาส ต่างๆ มารยาทในการรบั ประทานอาหาร มารยาทในการตดิ ต่อกบั บุคคลต่างๆ ในสงั คม ฯลฯ ในส่วน ปจั เจกบุคล มคี ุณธรรมต่างๆ ทท่ี าํ ใหอ้ ย่รู ่วมกนั ไดด้ ว้ ยความสงบสุข เช่นมจี ติ ใจโอบอ้อมอารี ไมผ่ ูก พยาบาทนอบน้อมถ่อมตน มคี วามเกรงใจผู้อ่นื เช่อื ฟงั เคารพนับถอื บุคคลตามลําดบั อาวุโสและยดึ มนั่ ในความกตญั ํตู ่อผมู้ พี ระคณุ

บทท่ี ๖ อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) ๖.๑ ความนา ความสําคัญของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทยในฐานะเป็ นศาสนาประจําชาติ พระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็นศาสนาประจําชาติ เพราะคนส่วน ใหญ่ ร้อยละ ๙๕ นับถือ พระพทุ ธศาสนา และอยเู่ คยี งค่กู บั ชาตไิ ทยมาโดยตลอด ดงั นนั้ พระพุทธศาสนาจงึ มคี วามสําคญั ต่อ สงั คมไทย ดงั น้ี พระพุทธศาสนาเป็นหลกั ในการดําเนินชวี ติ ของคนไทย เพราะคนไทยนําหลกั ธรรมมา ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วนั และลกั ษณะนิสยั ของคนไทยมจี ติ ใจทด่ี งี ามในทุกๆ ดา้ น มคี วาม เป็นมติ รกบั ทกุ คน เป็นตน้ พระพุทธศาสนาเป็นหลกั ในการปกครองประเทศ กษตั รยิ ท์ ุกพระองค์ของไทยไดน้ ําเอา หลกั ธรรมพระพุทธศาสนาไปใช้ในการปกครองประเทศ เช่นทศพธิ ราชธรรมตลอดมาหรอื ใช้หลกั ธรรมาธปิ ไตย และหลกั อปารหิ านยิ ธรรม เป็นหลกั ในการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย เป็นตน้ พระพุทธศาสนาเป็นศูนยร์ วมจติ ใจ เน่ืองจากหลกั ธรรมในพระพุทธศาสนามุ่งเน้นให้เกิด ความรกั ความสามคั คกี นั มคี วามเมตตากรณุ าต่อกนั เป็นตน้ จงึ เป็นศูนยร์ วมจติ ใจของชนชาวไทย ใหม้ คี วามเป็นหน่งึ เดยี วกนั พระพุทธศาสนาเป็นท่ีมาของวัฒนธรรมไทย ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยผูกพันกับ พระพุทธศาสนา จงึ เป็นกรอบในการปฏบิ ตั ติ นตามหลกั พธิ กี รรมในพระพุทธศาสนาต่างๆ เช่น การ บวช การแต่งงาน การทาํ บญุ เน่อื งในพธิ สี าํ คญั ต่างๆ ๖.๒ ความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนาต่อสงั คมไทยในฐานะเป็ นสถาบนั หลกั ของ สงั คมไทย พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาท่สี งั คมไทยส่วนใหญ่นับถอื และสบื ทอดกนั มาเป็นช้านาน ดงั นนั้ พระพุทธศาสนาจงึ มบี ทบาทสาํ คญั ของวถิ ชี วี ติ ของคนไทย พระพุทธศาสนาจงึ มคี วามสาํ คญั ใน ดา้ นต่างๆ ดงั น้คี อื ๑. ด้านการศึกษา ในอดีตท่ีผ่านมาวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนในด้านการศึกษา พระสงฆเ์ ป็นผูอ้ บรมสงั่ สอนจดั การศกึ ษาเล่าเรยี น ถงึ แมใ้ นปจั จุบนั บทบาทเหล่าน้ีจะลดน้อยลงไป

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๕๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เน่อื งมาจากสาเหตุใดกต็ าม สงิ่ ทค่ี วรคาํ นึงถงึ กค็ อื พระพุทธศาสนามคี วามสําคญั ทางการศกึ ษา โดย มีบทบาทท่ีสําคัญอยู่ ๒ ประการท่ีเป็ นพ้ืนฐานของสภาพปจั จุบันในทางการศึกษาของ พระพุทธศาสนาคอื ๑.๑) ประเพณีท่วี ดั เป็นศูนยก์ ลางการศกึ ษาเล่าเรยี นของชุมชน และพระสงฆเ์ ป็นครูผูท้ ํา หน้าทอ่ี บรมสงั่ สอน ๑.๒) ประเพณีบวชเรยี น นัน่ คอื การบวชเพ่อื ทจ่ี ะเรยี นหนังสอื ซง่ึ อาจจะเรยี นทงั้ ทางโลก และทางธรรม นอกจากน้ีวดั ยงั เป็นแหล่งศิลปวิทยาการ เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าต่างๆ เช่น มคี มั ภีร์ โบราณ มศี ลิ าจารกึ มจี ารกึ ถงึ องคค์ วามรตู้ ่างๆ ทงั้ ดา้ นการแพทยแ์ ผนโบราณ ดา้ นยาสมนุ ไพร ด้าน ภาษา ดา้ นวฒั นธรรมประเพณตี ่างๆ ดา้ นศลิ ปะ เป็นตน้ ๒. ด้านสงั คม พระพุทธศาสนาม่งุ เน้นความสาํ คญั ในเร่อื งการสรา้ งสนั ตสิ ุขภายในของแต่ ละคน และเมอ่ื แต่ละคนมคี วามสุขแลว้ กจ็ ะส่งผลต่อสงั คมทม่ี สี ันตสิ ุขไปดว้ ย จะเหน็ ไดจ้ ากหลกั พุทธ ธรรมเพ่อื ความดงี ามแห่งสงั คม เช่น ทาน ธรรมท่คี ุม้ ครองโลก สงั คหวตั ถุ เป็นต้น นอกจากหลกั พทุ ธธรรมแลว้ วดั ยงั เป็นศูนยก์ ลางในดา้ นพิธกี รรม ขนมธรรมเนียมประเพณตี ่างๆ เป็นแหล่งสงั คม สงเคราะห์ เช่น เป็นศูนย์ฝึกวชิ าชีพของชุมชน ศูนย์รบั เล้ยี งเด็กเล็ก ศูนย์สงเคราะห์ผู้ป่วยโรค รา้ ยแรงต่างๆ เป็นต้น ส่วนพระกจ็ ะทําหน้าทเ่ี ป็นผนู้ ําทางจติ ใจและผูน้ ําทางสงั คม เช่น ผนู้ ําในการ อนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ผูน้ ําในการส่งเสรมิ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ และผนู้ ําทางการ อบรมจติ ใจของคนในสงั คมใหด้ งี าม เป็นตน้ ๓. ด้านศิลปกรรม พุทธสถานตัง้ แต่ในอดตี จนถึงปจั จุบนั มกี ารก่อสร้างข้นึ มาด้วยจติ ศรทั ธาต่อพระพทุ ธศาสนาของพทุ ธศาสนิกชน จงึ ก่อใหเ้ กดิ ความปราณีต งดงาม แสดงถงึ ความเป็น ศลิ ปะอย่างสูงส่ง และแสดงถงึ ความรงุ่ เรอื งของพระพุทธศาสนาในแต่ละยุคสมยั การก่อสรา้ งพุทธ สถานเหล่าน้ีนอกจากจะทุ่มเทด้วยกําลงั กายและกําลงั ทรพั ย์แล้ว ยงั ทุ่มเทจติ ใจท่ดี งี าม เคารพ เล่อื มใสในพระพทุ ธศาสนาดว้ ย เป็นการทาํ บญุ กุศลและเป็นสถานทป่ี ฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ของพระภกิ ษุและ พุทธศาสนิกชน เป็นสถานทส่ี บื ทอดพระพุทธศาสนาใหย้ งั่ ยนื ถาวรและเพ่อื เชดิ ชูความรุ่งเรอื ง ของ พระพุทธศาสนา ดังนั้นวัดจึงเป็ นแหล่งรวมศิลปกรรมแขนงต่างๆ ทัง้ ในการวิจิตรศิลป์ สถาปตั ยกรรม และประตมิ ากรรม เป็นตน้ ๑ ความสาํ คญั ของพระพุทธศาสนาต่อสงั คมไทยในฐานะเป็นสภาพแวดลอ้ มทก่ี วา้ งขวางและ ครอบคลุมสงั คมไทย พระพุทธศาสนาเขา้ มามบี ทบาทสําคัญต่อการดําเนินชวี ติ ของคนไทยในทุกๆ ดา้ น จงึ มลี กั ษณะทเ่ี ป็นสภาพทก่ี วา้ งขวางและครอบคลุมสงั คมไทยในเกอื บทุกมติ ิ ความสาํ คญั ของ พระพุทธศาสนา ไว้อย่างครอบคลุมประเด็น พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นศาสนาประจําชาติ ทงั้ น้ี เพราะการทพ่ี ระพุทธศาสนากบั ชนชาตไิ ทยไดม้ คี วามสมั พนั ธแ์ นบแน่นเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ทงั้ ๑ ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ , พระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทย, (พษิ ณุโลก : บรษิ ทั โฟกสั พรน้ิ ต้งิ จาํ กดั , ๒๕๕๗), หน้า ๔๘-๕๐.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๕๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรม ในทางประวตั ิศาสตร์ ความเป็นมาของชนชาตไิ ทย เน่ืองมา ดว้ ยกนั กบั ความเป็นมาของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะนับตงั้ แต่สมยั ทช่ี นชาตไิ ทยมปี ระวตั ศิ าสตร์ อนั ชดั เจน ชาวไทยก็ได้นับถอื พระพุทธศาสนาต่อเน่ืองตลอดมาจนกล่าวได้ว่าประวตั ศิ าสตรข์ อง ประเทศไทย เป็นประวตั ศิ าสตรข์ องชนชาตทิ น่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา ในด้านวฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ ของคนไทยได้ผูกพนั ประสานกลมกลนื กบั หลกั ความเช่อื และ หลกั ปฏบิ ตั ใิ นพระพุทธศาสนาตลอดเวลายาวนาน จนทําให้เกดิ การปรบั ตวั เข้าหากนั และสนอง ความตอ้ งการของกนั และกนั ตลอดจนผสมคลุกเคลา้ กบั ความเช่อื ถอื และขอ้ ปฏบิ ตั สิ ายอ่นื ๆ ทม่ี มี า ในหม่ชู นชาวไทย ถงึ ขน้ึ ทท่ี ําใหเ้ กดิ มรี ะบบความเช่อื และความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ างพระพุทธศาสนา ทเ่ี ป็นแบบของคนไทยโดยเฉพาะ อนั มรี ูปลกั ษณะและเน้ือหาของตนเอง ทเ่ี น้นเด่นบางแง่บางด้าน เป็นพเิ ศษ แยกออกได้จากพระพุทธศาสนาอย่างทัว่ ๆ ไป เรยี กว่าพระพุทธศาสนาแบบไทยหรอื พระพุทธศาสนาของชาวไทย วฒั นธรรมไทยทุกด้านมรี ากฐานสําคญั อยู่ในพระพุทธศาสนา คํา มากมายในภาษาไทยมตี น้ กําเนิดมาจากภาษาบาลี และมคี วามหมายสบื เน่ือง ปรบั เปลย่ี นมาจากคติ ในพระพุทธศาสนา แบบแผนและครรลองตามหลกั การของพระพุทธศาสนา ได้รบั การยดึ ถอื เป็ น แนวทาง และเป็นมาตรฐานสาํ หรบั ความประพฤติ การบําเพญ็ กจิ หน้าท่ี และการดําเนินชวี ติ ของคน ในสงั คมไทยทกุ ระดบั ทงั้ สถาบนั พระมหากษตั รยิ แ์ ละประชาชนทวั่ ไป คนไทยตงั้ แต่พระเจา้ แผ่นดนิ ลงมา จงึ ถงึ ชาวบา้ นสามญั ทวั่ ไป ได้บวชเรยี นรบั การศกึ ษา จากสถาบนั พระพทุ ธศาสนา ดงั มปี ระเพณีบวชเรยี นเป็นหลกั ฐานสบื มา วดั เป็นศูนยก์ ลางการศกึ ษา ของสงั คมไทย เป็นแหล่งคําสงั่ สอน การฝึกอบรมและอํานวยความรทู้ งั้ ทางตรงแก่ผูบ้ วชเรยี นและ โดยอ้อมแก่ทุกคนในชุมชนและในสงั คม วดั จงึ เป็นศูนย์รวมจติ ใจและเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของ ชมุ ชน กจิ กรรมส่วนใหญ่ทม่ี คี วามสาํ คญั ของรฐั กด็ ี ของชุมชนกด็ ี จะมสี ่วนประกอบของพธิ กี รรมทาง พระพุทธศาสนา เพ่อื เน้นย้าํ ความสําคญั และเสรมิ คุณค่าทางจติ ใจ รวมทงั้ กจิ กรรมในชวี ติ ประจาํ วนั เชน่ ต่นื นอน ลา้ งหน้า ออกเดนิ ทาง กน็ ําหลกั ธรรมทางศาสนาเขา้ แทรกเป็นส่วนนําสําหรบั เตอื นสติ หรอื เพ่อื ความเป็นสริ มิ งคล เหตุการณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ ในช่วงวยั เช่น การเกดิ การแต่งงาน และการตาย ก็ ทาํ ใหม้ คี วามสาํ คญั และดงี ามดว้ ยกจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนา กล่าวไดว้ า่ ชวี ติ ของคนไทยผกู พนั องิ อาศยั กนั กบั พระพุทธศาสนาตลอดเวลา สภาพท่กี ล่าวมาน้ีไดเ้ ป็นมาชา้ นาน จนฝงั ลกึ ในจติ ใจและ วถิ ชี วี ติ ของชาวไทย กลายเป็นเคร่อื งหล่อหลอม กลนั่ กรองนิสยั ใจคอ พ้นื จติ ใจของคนไทยให้มี ลกั ษณะเฉพาะตน นอกจากนนั้ พระพุทธศาสนาจงึ อย่ใู นฐานะทเ่ี ป็นสภาพแวดลอ้ มทก่ี วา้ งขวาง และ ครอบคลมุ สงั คมไทย ในประเดน็ ต่อไปน้คี อื ๑. พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของประชากรสว่ นใหญ่ของประเทศ ๒. พระพุทธศาสนาเป็นแกนนําและเป็นรากฐานสําคญั ของวฒั นธรรมไทย ๓. พระพทุ ธศาสนาเป็นศนู ยร์ วมจติ ใจ ทาํ ใหเ้ กดิ ความสามคั คใี นหมชู่ นชาวไทย ๔. พระพทุ ธศาสนาเป็นหลกั การทช่ี ว่ ยดาํ รงรกั ษาเสรภี าพในการนบั ถอื ศาสนา ๕. พระพทุ ธศาสนาเป็นสถาบนั ค่ชู าตไิ ทย

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๕๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๖. พระพทุ ธศาสนาสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะนิสยั ของคนไทยท่รี กั ความเป็นอสิ ระเสรี ๗. พระพทุ ธศาสนาเป็นแหลง่ สาํ คญั ทห่ี ลอ่ หลอมเอกลกั ษณ์ของชาตไิ ทย ๘. พระพุทธศาสนาเป็นมรดกและเป็นคลงั สมบตั อิ นั ลา้ํ ค่าของชนชาตไิ ทย ๙. พระพุทธศาสนาเป็นหลกั นําทางในการพฒั นาชาตไิ ทย ๑๐. พระพุทธศาสนาเป็นแหล่งของดมี คี ่าทช่ี นชาตไิ ทยมอบใหแ้ ก่อารยธรรมของโลก๒ ๖.๓ ลกั ษณะทวั่ ไปของภมู ิปัญญา ก่อนทจ่ี ะรูจ้ กั ว่าลกั ษณะทวั่ ไปของภูมปิ ญั ญาไทยเป็นอย่างไรนัน้ ก็จะต้องรู้ว่าภูมปิ ญั ญา เกิดข้ึนได้อย่างไร จากการศึกษาของผู้เช่ียวชาญและนักวิชาการต่าง ๆ พบว่าภูมิปญั ญามี กระบวนการท่เี กดิ จากการสบื ทอด หรอื ถ่ายทอดองคค์ วามรทู้ ม่ี อี ย่เู ดมิ ในชุมชนท้องถน่ิ ต่างๆ แล้ว พฒั นาเลอื กสรร ปรบั ปรงุ องคค์ วามรเู้ หล่านนั้ จนเกดิ ทกั ษะ และความชํานาญทส่ี ามารถแกไ้ ขปญั หา และพฒั นาชวี ติ ไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั ยุคสมยั แล้วเกดิ ภูมปิ ญั ญา (องคค์ วามรู้ใหม่) ทเ่ี หมาะสม และ สบื ทอดพฒั นาต่อไปอยา่ งไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ และเป็นปจั จยั ทเ่ี กอ้ื หนุนต่อการสบื ทอดพฒั นาหรอื พฒั นาการ ของภมู ปิ ญั ญามดี งั น้คี อื ๑. ความรเู้ ดมิ ในเรอ่ื งนนั้ ๆ ผสมผสานกบั ความรใู้ หมท่ ไ่ี ดร้ บั ๒. การสงั่ สม การสบื ทอด ของความรใู้ นเรอ่ื งนนั้ ๓. ประสบการณ์เดมิ ทส่ี ามารถเทยี บเคยี งกบั เหตุการณ์ หรอื ประสบการณ์ใหมไ่ ด้ ๔. สถานการณ์ทไ่ี มม่ นั่ คง หรอื ปญั หาทย่ี งั หาทางออกยงั ไมไ่ ด้ ๕. รากฐานทางพระพทุ ธศาสนาวฒั นธรรมและความเช่อื ดว้ ยเหตุน้จี งึ พบว่าลกั ษณะภมู ปิ ญั ญาไทย มดี งั น้ี คอื ๑. ภูมปิ ญั ญาไทย เป็นเร่อื งของการใช้ความรู้ (Knowledge) ทกั ษะ (Skill) ความเช่ือ (Belief) และพฤตกิ รรม (Behavior) ๒. ภูมปิ ญั ญาไทย แสดงถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนกบั คน คนกบั ธรรมชาตแิ วดลอ้ มและ คนกบั สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ ๓. ภมู ปิ ญั ญาไทย เป็นองคร์ วมหรอื กจิ กรรมทุกอยา่ งในวถิ ชี วี ติ ๔. ภูมปิ ญั ญาไทย เป็นเร่อื งของการแก้ไขปญั หา การจดั การการปรบั ตวั การเรยี นรู้ เพ่อื ความอยรู่ อดของบคุ คล ชุมชน และสงั คม ๕. ภมู ปิ ญั ญาไทย เป็นแกนหลกั หรอื กระบวนทศั น์ในการมองชวี ติ เป็นพน้ื ความรใู้ นเร่อื ง ต่างๆ ๖. ภมู ปิ ญั ญาไทย มลี กั ษณะเฉพาะหรอื มเี อกลกั ษณ์ในตนเอง๓ ๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๑. ๓ พระครวู นิ ยั ธรประจกั ษ์ จกฺกธมฺโม, พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕), หน้า ๒๔-๒๕.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๕๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๖.๔ ความสมั พนั ธข์ องภมู ิปัญญาไทย ภมู ปิ ญั ญาไทย สามารถสะทอ้ นออกมาใน ๓ ลกั ษณะทส่ี มั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กนั คอื ๑. ความสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กนั ระหว่างคนกบั โลก สง่ิ แวดลอ้ มสตั ว์ พชื ธรรมชาติ ๒. ความสมั พนั ธข์ องคนกบั คนอ่นื ๆ ทร่ี ว่ มกนั ในสงั คมหรอื ในชมุ ชน ๓. ความสมั พนั ธ์ระหว่างคนกบั สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ สงิ่ เหนือธรรมชาติ ตลอดทงั้ สง่ิ ทไ่ี มส่ ามารถ สมั ผสั ได้ทงั้ หลาย๔ ทงั้ ๓ ลกั ษณะน้ี คอื สามมติ ิของเร่อื งเดยี วกนั ซ่งึ แสดงถึงชวี ิตของชาวบ้าน สะท้อนออกมาทางภูมปิ ญั ญาในการดําเนินชวี ติ อย่างมเี อกภาพเหมอื นสามมุมของรปู สามเหล่ยี ม ภูมปิ ญั ญาจงึ เป็นรากฐานในการดําเนินชวี ติ ของคนไทยซ่งึ สามารถแสดงใหเ้ หน็ โดยชดั เจนได้ดว้ ย แผนภาพ ดงั น้ี คน สงั คม -อาชพี - ศลิ ปะและนนั ทนาการ -ปจั จยั ส่ี - จารตี ขนบธรรมเนียมประเพณี - ภาษาวรรณกรรม -การจดั การ ภมู ิปัญญาไทย ธรรมชาติ คน สง่ิ แวดลอ้ ม สง่ิ เหนอื ธรรมชาติ -ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ -ศาสนา -ความเชื่อ จากแผนภาพ จะเห็นได้ว่าลกั ษณะภูมปิ ญั ญาท่เี กิดจากความสมั พนั ธ์ระหว่างคน กับ ธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม จะแสดงออกมาในลกั ษณะภูมปิ ญั ญาในการดาํ เนินชวี ติ ขนั้ พน้ื ฐานดา้ นปจั จยั ส่ี การบรหิ ารจดั องคก์ าร ตลอดทงั้ การประกอบอาชพี ต่างๆ เป็นตน้ ๔ สามารถ จนั ทรส์ รู ย,์ ภมู ิปัญญาชาวบา้ นคืออะไร อยา่ งไร วฒั นธรรมก้าวไป คามเปลี่ยนแปลง, (กรุงเทพมหานคร : อมรนิ ทรต์ ้งิ กรุฟ, ๒๕๓๓), หน้า ๒๐-๒๑.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๕๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ภมู ปิ ญั ญาทเ่ี กดิ จากความสมั พนั ธค์ นกบั สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ สงิ่ เหนือธรรมชาตจิ ะแสดงออกมาใน ลกั ษณะของสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ศาสนา ความเชอ่ื ต่างๆ เป็นตน้ ภูมปิ ญั ญา หรอื ภูมคิ วามคดิ ในสงั คมไทยจะเหน็ ว่าศาสนามบี ทบาทต่อภูมปิ ญั ญาหรอื ภูมิ ความคดิ ของคนไทยอยา่ งมากมาย ระยะเรม่ิ แรกของความเป็นชาติ (ช่วงตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๓ ) คนไทยเราไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศาสนาพราหมณ์ในระยะแรก โดยนํามาผสมกลมกลนื กบั ลทั ธวิ ญิ ญาณ นิยม (animism) และในระยะต่อมาไดย้ อมรบั นบั ถอื พระพุทธศาสนาซง่ึ ผ่านเขา้ มาหลายรปู แบบและ ในกาลเวลายุคสมยั ท่ตี ่างกนั โดยท่กี ระแสแนวคดิ ของศาสนาเหล่านัน้ มลี กั ษณะส่งเสรมิ หรอื อย่าง น้อยๆ ก็ไม่ปฏเิ สธความเช่อื ถือลทั ธวิ ญิ ญาณนิยม๕ และในบางกรณียงั ทําให้ความเช่อื มนั่ ดงั้ เดมิ ชดั เจนขน้ึ อกี ดว้ ย จากขอ้ เทจ็ จรงิ ศาสนาเหล่านนั้ (โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา) ได้ทําหน้าท่ตี อบสนองความประหลาดใจและคามสงสยั ของคนไทยท่มี ตี ่อโลกและชวี ติ อย่างดีหรอื อย่างน้อยๆ กเ็ ป็นคําตอบท่นี ่าพ่อใจในบรบิ ทของสงั คมช่วงนัน้ เช่น ไตรภูมกิ ถาหรอื ไตรภูมพิ ระ ร่วง (พ.ศ. ๑๘๘๘) และจกั รวาลทปี นี (พ.ศ. ๒๐๖๓) เป็นต้น ซ่งึ ถอื ได้ว่าเป็นความพยายามของ นักปราชญ์ไทยหรอื ภูมปิ ญั ญาไทยท่จี ะให้คําตอบต่อความสงสยั ในแง่จกั รวาลวทิ ยาและภววทิ ยา อย่างเต็มท่ี และโลกทศั น์ในส่วนน้ีดูจะเป็นทย่ี อมรบั กันอย่างกวา้ งขวางและยาวนาน อย่างน้อยๆ กก็ ่อนไดร้ บั อทิ ธพิ ลโลกทศั น์จากตะวนั ตก จากอทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์และพทุ ธอยา่ งลกึ ซง้ึ น้ี ความสนใจของคนไทยตงั้ แต่สมยั กรงุ สโุ ขทยั เรอ่ื ยมาจงึ อยทู่ ห่ี ลกั การดํารงชวี ิตในปจั จบุ นั หรอื พดู ใหช้ ดั กค็ อื ทาํ อยา่ งไรจงึ จะสามารถ ดําเนินชวี ติ ให้ราบร่นื สรา้ งสรรค์ และมคี วามสุข ท่ามกลางภาวะของสงั คมและสภาพชวี ติ ในตอน นนั้ ๆ ทเ่ี ป็นเช่นน้ีเพราะเม่อื มกี ารยอมรบั แนวความคดิ (อภปิ รชั ญาหรอื ทฤษฎ)ี ความจรงิ เก่ยี วกับ โลกและชวี ติ ซง่ึ มลี กั ษณะตายตวั (Reality) แลว้ สง่ิ ทเ่ี หลอื อยจู่ งึ ไดแ้ ก่เรอ่ื งจรยิ ธรรมหรอื ศีลธรรมทจ่ี ะ นําไปสู่ความจรงิ นัน้ และนัน่ ก็คือหลกั การดํารงชีวิตซ่ึงมีลักษณะเป็นความจรงิ ท่ีเป็นอยู่จรงิ ๆ (Actuality) นนั่ เอง จงึ เหน็ ไดว้ ่าภมู ปิ ญั ญาหรอื ทเ่ี รยี กว่าปรชั ญา (Philosophy) ในภาษาตะวนั ตกใน ทศั นะของคนไทยกค็ อื หลกั การดาํ รงชวี ติ ในภาวะของชวี ติ ทด่ี าํ เนินไปในปจั จุบนั หรอื อกี นัยเป็นเร่อื ง ของปญั ญาความรสู้ ําหรบั ดําเนินชวี ติ ให้เกดิ ผลดงี ามในชวี ติ น้ีและสงั คมน้ี และขอ้ น้ีก็สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะทางพทุ ธธรรมทเ่ี น้นความรเู้ พอ่ื ชวี ติ มใิ ช่ความรเู้ พอ่ื ความรู้ เฉกเช่น ภมู ปิ ญั ญาหรอื ปรชั ญา ตะวนั ตก๖ การพฒั นาการทางสงั คมไทยเรา จากกรุงสุโขทยั เป็นราชธานีเรอ่ื ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั ในช่วง ระยะเวลาเกอื บ ๘๐๐ ปี ท่ามกลางการปรบั เปล่ยี นและการเปลย่ี นแปลงทงั้ อทิ ธพิ ลจากภายนอก และภายในเองตามแรงผลกั ดนั ของสง่ิ แวดล้อมซง่ึ ทงั้ ความคดิ และสง่ิ แวดลอ้ มต่างกป็ รุงแต่งซง่ึ กนั ๕ เอกวทิ ย์ ณ ถลาง และคณะ, ภมู ิปัญญาและกระบวนการเรียนร้ขู องชาวบ้านไทย, (นนทบุรี : โครงการกติ ตเิ มธ,ี สาขาศกึ ษาศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๓๙), หน้า ๖. ๖ มหาจฬุ าฯ วชิ าการ, ปรชั ญาบรุ พทิศ, (กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒) หน้า ๑๑๔.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๕๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ และกันตลอดเวลาจนตกผลึกก่อรูปเป็นภูมปิ ญั ญาไทยข้นึ มาในท่สี ุด ทําให้เราสามารถกําหนด ลกั ษณะความเชอ่ื มนั่ พน้ื ฐาน หรอื ลกั ษณะทวั่ ไปของภมู ปิ ญั ญาไทยไดด้ งั น้ี คอื ๖.๕ ภมู ิปัญญาไทยเกิดขึน้ จากอิทธิพลความคิดทางพระพทุ ธศาสนา ในปจั จุบัน ศาสนาท่ีมีคนไทยจํานวนไม่น้อยยอมรับนับถือมีอยู่ ๓ ศาสนา คือ พระพุทธศาสนา ครสิ ตศ์ าสนาและศาสนาอสิ ลาม พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาทค่ี นนับถอื เป็นจาํ นวน มากท่ีสุด โดยท่ีพระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่จนเป็นท่ีเคารพเล่ือมใสกันมานาน รวมทัง้ พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริย์ แ ล ะ ฝ่ า ย ป ก ค ร อ ง ล้ ว น เ ค า ร พ ศ ร ัท ธ า ใ น พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า พ ร ะ บ ร ม ศ า ส ด า แ ห่ ง พระพุทธศาสนา และได้ทํานุบํารุงอุปถัมภ์พระพุทธ ศาสนามาโดยตลอดจึงกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติไทย และมีอิทธิพลหล่อหลอมชีวิตของคนไทย จนมี เอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมทแ่ี ตกต่างจากชาตอิ ่นื ๆ ในแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ดงั จะกล่าวถงึ ความเป็นมาท่ที ําใหพ้ ระพุทธศาสนามอี ทิ ธพิ ลและเป็นบ่อเกดิ ทางความคดิ ของภมู ปิ ญั ญาไทยโดยสงั เขป ดงั น้ี ๖.๕.๑ พระพทุ ธศาสนาในสงั คมไทย พระพุทธศาสนาในสังคมไทยมีความสัมพันธ์กันมานานตัง้ แต่อดีตจนถึงปจั จุบัน พระพทุ ธศาสนาทป่ี ระดษิ ฐานมนั่ คงในประเทศไทย มี ๒ นิกาย คอื นิกายอาจารยวาท หรอื มหายาน และนิกายเถรวาท หรอื หนิ ยาน โดยมลี กั ษณะท่ผี สมผสานกบั ศาสนากบั ศาสนาพราหมณ์และคติ ความเช่อื ดงั้ เดมิ เก่ยี วกบั ผสี างเทวดา๗ พระพุทธศาสนาได้สรา้ งสรรค์วฒั นธรรมของไทยในด้าน ต่างๆ ทงั้ ทางดา้ นจติ ใจ บุคลกิ ภาพของคนไทย รวมทงั้ วฒั นธรรมทางวตั ถุ เช่น โบสถ์ วหิ าร เจดยี ์ พระพุทธปฏมิ ากร เป็นต้นพระพุทธศาสนาเจรญิ รุ่งเร่อื งนับแต่อาณาจกั รสุโขทยั ต่อเน่ืองถงึ อยุธยา และมาเส่อื มโทรมในคราวกรุงศรอี ยุธยาพ่ายแพแ้ ก่พม่า จนกระทงั่ พระยาตากกอบกูเ้ อกราชและตัง้ ราชธานีใหม่ท่กี รุงธนบุรแี ล้ว สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชได้ทรงฟ้ืนฟูศาสนาให้เป็นปึกแผ่นข้นึ ใหม่ แต่กย็ งั ไมบ่ รรลุผลจนถงึ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ ทรงจดั ระเบยี บการปกครองพระสงฆ์ ทรงตงั้ กรมสงั ฆการขี น้ึ ใหม้ บี ทบาทหน้าทด่ี แู ลพระสงฆโ์ ดยตรง ปจั จบุ นั รปู แบบการปกครองพระสงฆไ์ ดเ้ ปลย่ี นแปลงเป็นการปกครองโดยมหาเถรสมาคม ซง่ึ เป็น องคก์ รของสงฆท์ าํ หน้าทด่ี แู ลรบั ผดิ ชอบและบรหิ ารกจิ การของสงฆท์ วั่ ราชอาณาจกั ร แต่เดมิ พระพุทธศาสนาทเ่ี ขา้ มาในประเทศไทยเป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน ดงั ปรากฏ หลกั ฐานคอื ประติมากรรม ในสมยั ก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๓) ต่อมาพระสงฆ์ ศรลี งั กาเดนิ ทางเขา้ มาถงึ สุโขทยั และได้นําพุทธศาสนานิกายเถรวาทเขา้ มาเผยแพร่คนไทยได้นับ ถือพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางมาโดยลําดบั จนจึงสมยั รชั กาลท่ี ๓ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ พระพุทธศาสนาไดแ้ บ่งย่อยออกเป็นมหานิกายกบั ธรรมยุต (แบ่งย่อยจากนิกายเดยี วกนั คอื นิกาย ๗ มหาจฬุ าฯ วชิ าการ, ปรชั ญาบรุ พทิศ, หน้า ๑๑๕.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ หนิ ยานหรอื เถรวาท) ซ่งึ มธี รรมทศั นะและวตั รปฏบิ ตั ทิ ่มี รี ายละเอยี ดแตกต่างกนั แต่โดยหลักธรรม ยงั คงยดึ ถอื ตามพระพทุ ธบญั ญตั ใิ นพระไตรปิฎกเป็นสาํ คญั เช่นกนั ๘ ๖.๕.๒ ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนา พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่าพระพุทธศาสนาประกอบดว้ ยธรรมเป็นเน้ือหา และวนิ ยั เป็นภาคปฏบิ ตั ๙ิ หมายความวา่ ธรรมะทเ่ี ป็นเน้อื หานนั้ เป็นสจั ธรรมหรอื เป็นแก่นคําสอน ซง่ึ ว่าด้วยข้อเท็จจริงของส่ิงต่างๆ หรือโลกธาตุทัง้ มวลตามสภาวะท่ีเป็นจริง นัน่ คืออริยสัจ ๔ ประกอบดว้ ย ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ และมรรค โดยเน้นทางสายกลาง หรอื ความถูกต้องโดยอาศยั ศลี สมาธิ ปญั ญา ส่วนวนิ ัยอันเป็นวธิ ีการหรอื การลงมอื ปฏบิ ตั ิให้ได้ผลตามเน้ือหาศาสนานัน้ ก็คือ จรยิ ธรรมซง่ึ นําธรรมคาํ สอนมาประยุกตใ์ ชเ้ ป็นแนวทางปฏบิ ตั เิ พ่อื ใหก้ ารดําเนินชวี ติ ราบรน่ื ใหม้ สี นั ติ สขุ ด้วยลักษณะของพระพุทธศาสนาดังกล่าว ประกอบกับวิวัฒนาการการนับถือ พระพุทธศาสนาต่อเน่ืองมาตงั้ แต่ในอดตี การนับถอื พระพุทธศาสนาของคนไทยจึงอาจแบ่งออกได้ เป็น ๒ กลุ่ม คอื กลุ่มผู้รซู้ ง่ึ ยดึ ถอื ธรรมะอนั เป็นเน้ือหาทแ่ี ท้จรงิ ของศาสนา กบั กลุ่มประชาชน หรอื เรยี กว่าพระพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน ซ่ึงเน้นการปฏิบัติหรือจริยธรรมเป็นสําคัญ มกี ารแปล ความหมายของธรรมะผสมผสานกบั คตคิ วามเช่อื ในศาสนาพราหมณ์ และความเช่อื ผสี างเทวดา จงึ นับถอื ศาสนาโดยเน้นเร่อื งของพธิ กี รรมมากกว่าแก่นคาํ สอนหรอื ธรรมะในศาสนา ดงั นนั้ การนบั ถอื พระพุทธศาสนาในสงั คมไทย จงึ อาจเปรยี บได้กบั เจดยี ์ ดงั น้ี “...ผู้ทรงคุณความรู้มปี ญั ญารู้จกั ใช้ เหตุผล...เหมอื นส่วนต่างๆ ของพระเจดยี ์ซงึ่ ลดหลนั่ กนั ลงมาตามลาดบั จนถงึ ชนั้ ล่างสุดกถ็ งึ ตอนที่ เป็นฐานเจดยี ์ ตวั ฐานเจดยี ก์ เ็ ป็นชนั้ ๆ เหมอื นกนั เป็นฐานเขยี งฐานปทั ม์ ฐานเทา้ สงิ ห์ เป็นต้น คนที่ เป็นชนั้ ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ซงึ่ เป็นพวกชาวบา้ นรา้ นถนิ่ กเ็ ปรยี บไดเ้ หมอื นชนั้ ฐานเจดยี ”์ ๙ อย่างไรก็ตามการเปรียบเทียบการนับถือพระพุทธศาสนาดงั กล่าว(อาจหมายรวมกับ ศาสนาอ่นื ๆ ในสงั คมไทยไดด้ ้วย) ได้จดั ประเภทออกเป็นพระพุทธศาสนาในส่วนของผูร้ ู้ และพุทธ ศาสนาในส่วนของประชาชน๑๐ ซง่ึ มแี นวปฏบิ ตั ติ ่างกนั แต่จะมจี ุดหมายปลายทางคอื การนิพพาน หรอื การปฏบิ ตั เิ พ่อื ความดี และการหลุดพน้ จากความชวั่ อย่างเดยี วกนั เพยี งแต่กลุ่มหน่ึงปฏบิ ัติ โดยตรง ส่วนอกี กลมุ่ อาศยั แนวปฏบิ ตั โิ ดยทางออ้ ม ดงั นนั้ จะเหน็ ว่าวนิ ัยหรอื ทางปฏบิ ตั ทิ างศาสนาของบุคคลมคี วามแตกต่างกนั ตามปญั ญา ความรแู้ ละการยดึ ถอื ในความเช่อื ดงั้ เดมิ ประกอบกบั เป็นผลมาจากการแปลความหมายของศาสนิก ชนในแต่ละยคุ สมยั ๘ เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง), การศึกษาเรื่องประเพณีไทย, (กรุงเทพมหานคร : หน่วยพมิ พ์และจาํ หน่ายศาสนาภณั ฑ,์ ๒๕๑๔), หน้า ๑๙๖. ๙ ฟ้ืน ดอกบวั , พระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทย, (กรงุ เทพมหานคร : ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๕๔๒), หน้า ๒๑-๓๙. ๑๐ เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง), การศกึ ษาเรื่องประเพณีไทย, หน้า ๑๘๗.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ไดก้ ล่าวว่า “พระพทุ ธศาสนาฝ่ายธรรมวนิ ัย โดยเฉพาะพุทธ ธรรม ไม่มีการเสือ่ ม ไม่มกี ารเจรญิ เพราะเป็นคามจริงทีด่ ารงอยู่ตามธรรมดาของมนั และเป็น หลกั การทเี่ ป็นกลางๆ สุดแต่ใครจะศกึ ษาและนามาใชใ้ หไ้ ด้ผลดเี หมาะกบั กาลเทศะอย่างไร คาพูด ทีว่ ่าพระพุทธศาสนาเจริญหรือเสือ่ มนั้น หมายถึงพระพุทธศาสนาฝ่ายวัฒนธรรมหรือ พระพทุ ธศาสนาทเี่ ชอื่ ถอื และปฏบิ ตั กิ นั อยใู่ นวถิ ชี ติ ของหมชู่ นเน้นๆ”๑๑ ๖.๕.๓ ความสมั พนั ธข์ องพระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทยในปัจจบุ นั พระพุทธศาสนามบี ทบาทต่อสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง และศลิ ปวฒั นธรรมมาโดยตลอด ในขณะเดยี วกนั ก็ไดร้ บั ผลกระทบจากสภาพสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงดว้ ยเช่นกนั กล่าวคอื พุทธศาสนา เป็นสถานบนั ท่เี อ้อื อํานวยใหส้ งั คมดํารงอยู่อย่างเป็นปึกแผ่นมนั่ คงมาตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั ใน ทาํ นองเดยี วกนั สงั คมกไ็ ด้อุปถมั ภแ์ ละส่งเสรมิ ให้ศาสนามคี วามเจรญิ และเป็นทย่ี อมรบั นับถอื อย่าง กว้างขวาง โดยมวี ดิ และพระสงฆท์ ําหน้าทส่ี นับสนุนการเมอื ง เศรษฐกจิ วฒั นธรรม และค่านิยมให้ ตอบสนองต่อวตั ถุประสงคข์ องสงั คม และใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อประชาชนดงั ท่ี สมบูรณ์ สุขสาํ ราญ ได้ กลา่ ววา่ วดั ไดท้ าํ หน้าทต่ี ่อสงั คมไทยในดา้ นต่างๆ ต่อไปน้ี ก. เป็นสถานศึกษา ซง่ึ ชาวบา้ นส่งลูกหลานมารบั การฝึกอบรมทางศลี ธรรมหรอื มารบั ใช้ พระเป็นการเลา่ เรยี นวชิ าความรตู้ ่างๆ ทางออ้ มจากพระไดท้ ุกเวลาและโอกาส ข. เป็ นสถานสงเคราะห์ เป็นทพ่ี กั ของคนเดนิ ทางและสําหรบั คนยากจนได้มาอย่อู าศยั เป็นทป่ี รกึ ษาแกป้ ญั หาชวี ติ ครอบครวั และความทุกขต์ ่างๆ และช่วยไกล่เกลย่ี ขอ้ พพิ าทของชาวบา้ น รวมทงั้ รกั ษาผเู้ จบ็ ปว่ ยตามความรขู้ องพระในขณะนนั้ ค. เป็ นศูนย์กลางของชุมชน ท่ชี าวบ้านมาพบปะสงั สรรค์ทํากิจกรรมและพกี รรมต่าง รวมทงั้ ชาวบา้ นจะหาความบนั เทงิ ในงานเทศกาลและการมหรสพต่างๆ ทว่ี ดั ได๑้ ๒ จงึ กล่าวไดว้ ่าวดั เป็นศูนยก์ ลางซ่งึ รวมจติ ใจในดา้ นความเคารพเช่อื ถอื และการร่วมมอื ซง่ึ กนั และกนั นับตงั้ แต่พระมหากษตั รยิ จ์ นถงึ คนธรรมดาสามญั โดยมพี ระสงฆท์ ําหน้าทแ่ี ละมบี ทบาท สาํ คญั นอกจากน้ีพุทธศาสนาเป็นเคร่อื งยดึ เหน่ียวจติ ใจทําให้มคี วามสามคั คี สามารถรวมตวั เป็น สงั คมทม่ี คี วามมนั่ คงเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยและมคี วามเป็นปึกแผ่นไดจ้ นตราบเท่าทุกวนั น้ี บทบาทของพระพุทธสาสนาได้มสี ่วนส่งเสรมิ ให้ศาสนาเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลต่อสงั คมในแง่ท่ี ธรรมะและการปฏบิ ตั ทิ างศาสนาเป็นความเช่อื และวถิ ชี วี ติ ของคนไทยในสงั คมใหเ้ ป็นอย่างเดยี วกนั เสรมิ สรา้ งสงั คมใหเ้ ป็นเอกภาพและมกี ารผสมผสานชนเผ่าต่างๆ ทอ่ี าศยั อยใู่ นสงั คมไทยและนับถอื พระพุทธศาสนาใหเ้ กดิ การบูรณ์การเป็นพวกเดยี วกนั ทาํ ใหส้ งั คมไทยไม่มคี วามขดั แยง้ ระหว่างชน เผ่า นอกจากน้ีหลกั ธรรมคําสอนยงั เป็นส่อื อบรมให้รจู้ กั ระเบยี บของสงั คม ช่วยให้สมาชกิ ในสงั คม ปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑแ์ ละประเพณขี องส่วนรวม ๑๑ เรอ่ื งเดยี วกนั . ๑๒ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), ลกั ษณะสงั คมพทุ ธ, (กรุงเทพมหานคร : มลู นิธโิ กมลคมี ทอง, ๒๕๒๗), หน้า ๒๐๑-๒๐๒.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สรุปแลว้ จะเหน็ ว่าพระพุทธศาสนามอี ทิ ธพิ ลทางความคดิ ทท่ี ําใหเ้ กดิ ภูมปิ ญั ญาไทย ดว้ ย เหตุดงั ต่อไปน้ี ๑. พระพทุ ธศาสนาเป็นสถาบนั สงั คมทใ่ี หญ่และสาํ คญั มากในประเทศไทย ๒. พระพุทธศาสนาเป็นสภาพแวดลอ้ มทางสงั คมทแ่ี ผ่กวา้ งครอบคลุมสงั คมไทย ๓. พระพทุ ธศาสนาเป็นเน้อื หาสาระส่วนสาํ คญั และเป็นรากฐานของวฒั นธรรมไทย ๔. พระพุทธศาสนาเป็นเอกลกั ษณ์และเป็นมรดกของชาตไิ ทย ๕. พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาซง่ึ คนไทยส่วนใหญ่นับถอื และเป็นศาสนาประจาํ ชาตไิ ทย ๖. พระพทุ ธศาสนาเป็นหลกั คาํ สอนและระบบจรยิ ธรรมสาํ หรบั พฒั นาชวี ติ และสงั คม ๗. พระพุทธศาสนาเป็นวชิ าการซง่ึ เสรมิ สรา้ งความเจรญิ ก้าวหน้าทางปญั ญาให้แก่สงั คม มนุษย์ ๘. พระพุทธศาสนาเป็นแหล่งหน่งึ แหง่ อารยธรรมของมนุษยช์ าติ ศาสนากบั ความเช่ือ ความเช่อื ของคนไทยเป็นการผสมผสานระหว่างความเช่อื ดงั้ เดมิ คอื เร่อื งผี คตคิ วามเช่อื ทางศาสนาพราหมณ์และท่ีสุดคือพุทธศาสนา ท่านเปรยี บเทียบพุทธศาสนากับไสยศาสตร์ว่า พระพุทธศาสนาสอนใหค้ นรจู้ กั ใช้ปญั ญาและคดิ ดว้ ยเหตุผลในขณะทไ่ี สยศาสตรเ์ ป็นเร่อื งของความ เช่ือมากกว่าเป็นเร่อื งของปญั ญา หลกั ธรรมของพระสมั มาสมั พุทธเจ้านัน้ เป็นหลักธรรมสูงส่ง พระองคท์ รงสอนเป็นชนั้ ๆ จากต่าํ สุดไปหาสงู สดุ เชน่ อนุปพุ พกิ ถา๑๓ “ธรรมท่กี ล่าวเหล่าน้ี เหมาะแก่ผู้ทรงความรู้ มปี ญั ญา รูจ้ กั ใช้เหตุผลในสงิ่ ท่ตี นเช่อื แต่ ท่านเหล่าน้ีมอี ยู่ก่คี นถ้าเทยี บส่วนกบั คนอ่นื ๆ ทงั้ หมด ซง่ึ ปญั ญาและความรู้ลดหลนั่ กนั ลงไปเป็น ชนั้ ๆ ทจ่ี ะมเี ทา่ กนั หมดกห็ ามไี ม่ ถา้ มไี ดก้ ม็ ใิ ชค่ นรวมกนั ทงั้ หมด เปรยี บเหมอื นพระสถูปเจดยี ซ์ ง่ึ เคย กลา่ วไวท้ อ่ี ่นื แลว้ เรอ่ื งความภกั ดศี าสนาและจรยิ ธรรมว่า คนมปี ญั ญาสงู เปรยี บเหมอื นส่วนยอดของ เจดยี ์ คนมปี ญั ญาต่ําลงมากเ็ ปรยี บเหมอื นส่วนต่างๆ ของเจดยี ์ ซง่ึ ลดหลนั่ กนั ลงมาตามลาํ ดบั จนถงึ ชนั้ ล่างสุดกถ็ งึ ตอนทเ่ี ป็นฐานเจดยี ์ ซง่ึ ในตวั ของมนั เองกม็ ชี นั้ ๆ เหมอื นกนั ถ้าเจดยี ไ์ ม่มฐี านไว้เป็น สงิ่ ทร่ี องรบั ตวั เจดยี จ์ ะอยไู่ ดไ้ ฉน เพราะฉะนนั้ ศาสนาต่างๆ ไมว่ ่าศาสนาใด จงึ มลี กั ษณะเปรยี บเทยี บ เหมอื นรูปเจดยี ท์ งั้ นัน้ เหตุน้ีภายในศาสนาเดยี วกนั จงึ ต้องมแี ยกกนั อย่ทู างทฤษฎเี ป็นสองพวก คอื ศาสนาของผรู้ ู้ (intellectual religion) และศาสนาของประชาชน (popular religion) แต่ในทางปฏบิ ตั ิ แยกกนั ใหเ้ ดด็ ขาดไมไ่ ด้ เพราะมลี กั ษณะล้าํ กนั อยทู่ ุกระยะ เปรยี บเทยี บเร่อื งเจดยี ก์ บั ความเช่อื เรอ่ื งผี ศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาไว้ว่า “ชน ชาตไิ ทยนับถอื ศาสนาต่างๆ ซอ้ นอย่างรปู เจดยี อ์ กี เหมอื นกนั คอื นับถอื ผสี างเทวดาเป็นพน้ื ฐาน ถดั ๑๓ อนุปพุ พิกถา ๕ คอื ๑. ทานกถา (เรอ่ื งทาน) ๒. สลี กถา (เรอ่ื งศลี ) ๓. สคั คกถา (เรอ่ื งสวรรค)์ ๔. กามาทนี วกถา (เรอ่ื ง โทษ ความต่ําทราม ความเศรา้ หมองแห่งกาม) ๕. เนกขมั มานิสงั สกถา (เรอ่ื งอานสิ งสแ์ ห่งการออกจากกาม) แก่ยสกุลบุตรผนู้ งั่ อยู่ ณ ทส่ี มควร อา้ งใน ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๖/๓๒.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ขน้ึ ไปนบั ถอื ไสยศาสตร์ ซง่ึ มอี ยใู่ นศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮนิ ดู แล้วจงึ นับถอื พุทธศาสนา เป็น ดงั ชนั้ ยอดของเจดยี ์ ความเช่อื ทงั้ สามคตนิ ้ีนับถอื เคลา้ คละกนั ไป จะถอื อย่างไหนมากหรอื น้อยกว่า กนั ก็สุดแล้วแต่ชาตชิ นชนั้ และการศึกษาของคนในหม่ซู ่งึ มไี ม่เท่าเทยี มกนั ใครจะถือหนักไปทาง ไหน ถา้ ไมเ่ ป็นเครอ่ื งเบยี ดเบยี นหรอื เดอื ดรอ้ นเสยี หายแก่ตนหรอื คนอ่นื กถ็ อื ไป ไมม่ ใี ครว่าอะไร”๑๔ อย่างไรก็ดี การวเิ คราะห์ทางมานุษยวทิ ยาและสงั คมวทิ ยาท่ดี กี ็ย่อมจําเป็นต้องอาศยั วธิ กี ารทางปรชั ญา ไม่ว่าจะเป็นปรชั ญาสํานักไหน แต่กรณีน้ีแตกต่างไปจากกรณีแรกตรงทว่ี ่าใน กรณแี รกนนั้ ทงั้ เน้ือหาและวธิ กี ารเป็นเร่อื งปรชั ญาและศาสนา เป็นเรอ่ื งหลกั การแนวคดิ หลกั ธรรม และอุดมคติ ไมใ่ ช่สถานการณ์ทเ่ี ป็นจรงิ การมองจากล่างขน้ึ บนและมองจากบนลงล่างย่อมไดท้ ศั น วสิ ยั และความรคู้ วามเขา้ ใจทไ่ี มเ่ หมอื นกนั น่เี ป็นความแตกต่างของการเดนิ บนดนิ และการบนิ บนฟ้า คนท่เี ขา้ ไปสมั ผสั ชวี ติ จรงิ ของชาวบา้ น และพยายามซมึ ซบั เอาความรสู้ กึ นึกคดิ ของพวก ชาวเขามาเป็นของคนใหม้ ากทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะมากได้ จะสามารถมองภาพทใ่ี กลเ้ คยี งกบั ความเป็นจรงิ ได้ มากท่ีสุด การไปชนบทจึงไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจชนบท การเข้าไปในหมู่บ้านก็ไม่ได้ หมายความว่าจะเขา้ ใจหมบู่ า้ น ชาวบา้ น วถิ ชี วี ติ ความเช่อื และความคดิ ของพวกเขา ตรรกะของคน สมยั ใหมท่ ่อี า้ งว่ามกี ารศกึ ษายงั แตกต่างห่างไกลจากตรรกะของชาวบ้านมากนกั ตราบใดท่ใี จเรายงั ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นใจเขา ตราบนนั้ คงยงั หาความเขา้ ใจทแ่ี ทจ้ รงิ ไมไ่ ด้ การเขา้ ใจชาวบา้ นไมไ่ ดอ้ าศยั เหตุผล แต่เพยี งอย่างเดยี ว แต่อาศยั ความรสู้ กึ นึกคดิ ชวี ติ จติ ในและหวั ในทงั้ หมดเป็นสําคญั แต่ในอกี ดา้ น หน่ึงก็ไม่ไดแ้ ปลว่า คนท่มี คี วามรสู้ กึ นึกคดิ อย่างชาวบ้านจะสามารถ “เขา้ ใจ” ชาวบ้านได้อย่างมี หลกั เกณฑ์ และเข้าใจได้แจ่มแจ้ง จําเป็นต้องอาศยั กรอบความคดิ บางประการเขา้ ช่วย เพ่อื ให้ สามารถวเิ คราะหว์ จิ ารณ์และสงั เคราะหส์ งิ่ ทไ่ี ดเ้ หน็ ไดร้ สู้ กึ สมั ผสั ดว้ ยชวี ติ จติ ใจนนั้ ออกมาอยา่ งเป็น ระบบและสอ่ื กบั คนสมยั ใหมท่ ม่ี กี ารศกึ ษา มโี ลกทศั น์และกระบวนทศั น์อกี แบบหน่งึ ได้ วถิ ีชวี ติ ของชาวบ้านแต่เดมิ นัน้ ขน้ึ อยู่กบั ใกลช้ ดิ กบั ธรรมชาติ เป็นชุมชนเล็กๆ ทางภาค อสี านและภาคเหนือชาวบ้านตงั้ บ้านเรอื นอยู่ใกลก้ นั เป็นหย่อมๆ ส่วนใหญ่เป็นญาตพิ ่นี ้องตระกูล เดยี วกนั หรอื ไมก่ ่ตี ระกูล ทางภาคกลางและภาคใตอ้ าจจะรวมกลุ่มกนั น้อยกว่า แต่กย็ งั สามารถไป มาหาส่แู ละพง่ึ พาอาศยั กนั ได้ ประเพณขี องชุมชนมอี ยเู่ ป็นประจาํ ดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวมาแต่ต้นแลว้ ชวี ติ ของ ผูค้ นจงึ มคี วามสมั พนั ธ์ท่สี ําคญั อยู่สามลกั ษณะ คอื ความสมั พนั ธ์กบั ผูอ้ ่นื ๆในชุมชนและใกล้เคยี ว ความสมั พนั ธ์กบั ธรรมชาตริ อบตวั และความสมั พนั ธก์ บั สง่ิ ท่เี รยี กว่าเหนือธรรมชาติ ผสี างเทวดา ต่างๆ คตคิ วามเช่อื และประเพณีทแ่ี สดงออกไดร้ บั การถ่านทอดมาจากบรรพบุรุษ การเปลย่ี นแปลง สังคมท่ีเช่ืองช้ามาจนถึงเม่อื ไม่ก่ีสิบปีมาน้ีทําให้คติความเช่ือและประเพณีต่างๆแทบจะไม่ได้ เปลย่ี นแปลงไปตลอดระยะเวลาหลายชวั่ อายคุ น โลกของคนโบราณเป็นโลกท่ี “สมบรู ณ์แบบ” เป็นโลกทอ่ี ธบิ ายไวห้ มดแลว้ ดว้ ยภูมปิ ญั ญาท่ี บรรพบุรุษไดถ้ ่ายทอดมาให้ “สมบรู ณ์แบบ” ในทน่ี ้ีหมายถงึ โลกทศั น์ทเ่ี บด็ เสรจ็ มคี าํ ตอบสําหรบั ทุก อยา่ ง และมกี ฏเกณฑส์ าํ หรบั ทุกอย่างเช่นเดยี วกนั มโี ครงสรา้ งทแ่ี น่นอนชดั เจนและเครง่ ครดั ไมไ่ ด้ ๑๔ ประพฒั น์ ศรกี ลู กจิ , พระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทย, หน้า ๕๙-๖๑, คณาจารย์ มจร., ศาสนาทวั่ ไป, หน้า ๘-๙.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ “หลวม” อยา่ งทน่ี กั วชิ าการฝรงั่ และไทยบางคนเคยเช่อื ฮตี สบิ สองคองสบิ สข่ี องชาวอสี านเป็นเพยี บ ตวั อยา่ งเลก็ น้อยสาํ หรบั แนวประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องผคู้ นและชุมชน มกี ฎเกณฑแ์ ละรายละเอยี ดอ่นื ๆอกี มากมายนักท่เี ก่ยี วกบั เร่อื งเหล่าน้ี และวถิ ชี วี ติ ของชาวบ้าน โลกทศั น์ท่สี มบูรณ์แบบพรอ้ มกบั คติ ความเช่อื ประเพณีทแ่ี สดงออกในวถิ ชี วี ติ คอื องค์ประกอบของสง่ิ ท่เี รยี กกนั ว่า กระบวนทศั น์ ในวถิ ี ชวี ติ ของชาวบา้ นมกี ระบวนทศั น์สองอย่างอย่รู ่วมกนั และถูกหลอมใหเ้ ป็นอนั เดยี วกนั คอื กระบวน ทศั น์ดงั้ เดมิ ทม่ี คี วามเช่อื เรอ่ื งผสี างเทวดา ซง่ึ มมี าจากความเชอ่ื เดมิ และจากอทิ ธพิ ลของคตคิ วามเช่อื ทางศาสนาพราหมณ์เป็นหลกั กระบวนทศั น์น้ีเป็นพ้นื ฐานสําคญั ท่สี ุด เป็นรากเหง้าของวถิ ีปฏบิ ตั ิ ต่างๆ อย่างทส่ี องคอื กระบวนทศั น์อนั มาจากพุทธศาสนาโดยหลกั ปรชั ญาแลว้ แนวคดิ และอุดมคติ ของทงั้ สองแตกต่างกนั โดยพน้ื ฐานเลยทเี ดยี ว ประการแรก เป้าหมายสูงสุดแห่งพุทธศาสนา คอื นิพพาน ซง่ึ ไม่ใช่สวรรค์หรอื ความสุข หากแต่ไปจนหลุดพ้นจากทงั้ ทุกข์และสุข ไม่ไดเ้ วยี นว่ายอยู่ใน “ชวี ติ ” แห่งการเกดิ ดบั อกี ต่อไป “ศูนยก์ ลาง” แหง่ ชวี ติ ไมใ่ ช่ตวั มนุษยแ์ ต่เป็นธรรมะ ไมใ่ ชอ่ ตั ตาแต่เป็นอนตั ตา ไมใ่ ช่สง่ิ ทเ่ี ป็นอย่แู ต่สงิ่ ทไ่ี มเ่ ป็นอยหู่ รอื สญู ญตา อุดมคตนิ ้ีมที รรศนะเกย่ี วกบั “เวลา” และ “ท”่ี ดว้ ยหลกั ของปฏจิ จสมุปบาท หรอื หลกั อทิ ปั ปจั จยตา หลกั ของเหตุและผล หลกั ของ “กรรม” ว่าทุกสงิ่ ทุกอย่างยอ่ มเก่ยี วขอ้ งกนั เป็นเหตุและเป็นผลแก่กนั สําหรบั มนุษยน์ ัน้ การกระทําของเราย่อมกําหนดตวั ของเราเอง สงิ่ อ่นื ๆ ทงั้ หลายย่อมอย่ภู ายใต้กฎเกณฑข์ องมนั หรอื ภายใต้ “ธรรมะ” พุทธศาสนาไม่ไดแ้ ย้งเร่อื งผสี าง เทวดา แต่ถา้ จะมองหลกั การของพทุ ธศาสนาแลว้ สงิ่ เหลา่ น้ถี า้ มจี รงิ กอ็ ยภู่ ายใต้กฎเกณฑเ์ ดยี วกนั มี เกดิ มดี บั ยงั ไมพ่ น้ ทกุ ขอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ ความเช่ือเร่อื งผีสางเทวดาและไสยศาสตร์นัน้ ไม่ได้มเี ป้าหมายท่ไี กลเกินไปกว่าการมี “ชวี ติ ” ทด่ี มี คี วามสุขมอี ยมู่ กี นิ มสี ุขภาพดที งั้ กายและใจ ถา้ ตายไปกใ็ หไ้ ดไ้ ปเกดิ เป็นเทพเทวดาบน สวรรค์ หรอื ถา้ เกดิ มาเป็นคนอกี กข็ อใหม้ ที ุกสงิ่ ทุกอยา่ งพรอ้ ม จะไดม้ คี วามสุข เป้าหมายของความ เช่อื น้ี คอื ตวั มนุษยเ์ อง สง่ิ อ่นื ๆรอบตวั มนุษยก์ ็อยู่ส่วนของสง่ิ เหล่านัน้ มนุษยใ์ ช้สง่ิ เหล่านัน้ เพ่อื ความสุขของตวั เองตามธรรมชาตขิ องตน ต้องมปี จั จยั สเ่ี ป็นหลกั มที อ่ี ยู่อาศยั อาหาร เคร่อื งนุ่งห่ม และยารกั ษาโรค ไม่ไปเบยี ดเบยี นธรรมชาตมิ ากเกนิ ความจําเป็นพ้นื ฐาน ผสี างเทวดาก็มี “ชวี ติ ” เหมอื นคน แตกต่างจากคนตรงทม่ี องไมเ่ หน็ สมั ผสั ไมไ่ ด้ มนุษยต์ ้องการความช่วยเหลอื จากคนดแี ละ ผดี ี ป้องกนั ตนเองจากคนร้ายและผรี า้ ย เม่อื เจบ็ ไขไ้ ด้ป่วยในลกั ษณะท่เี ขา้ ใจดว้ ยเหตุผลธรรมดา ไม่ได้กต็ ้องเขา้ ใจว่าคนรา้ ยทําหรอื ผรี า้ ยทํา คนรา้ ยใส่ของ ผรี า้ ยมาสง่ิ สู่ มาทํารา้ ยเน่ืองดว้ ยสาเหตุ ต่างๆ ประการทีส่ อง สบื เน่ืองจากประการแรก คอื พระพุทธศาสนาไม่ไดถ้ ือว่าพธิ กี รรมต่างๆ และส่ิงท่ีเก่ียวข้องกับพิธีกรรมหรือสัญลักษณ์เหล่านั้น เช่นบทสวดมนต์ ดอกไม้ธูปเทียน พระพุทธรปู หนังสอื คมั ภรี ์ น้ํา และพธิ กี รรมต่างๆ เป็นสง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธแิ ์ ละมจี ุดมงุ่ หมายในตวั มนั เองสง่ิ เหล่าน้ีเป็นแต่เพยี งเคร่อื งมอื ท่ชี ่วยใหค้ นทย่ี งั ต้องการพธิ กี รรมเหล่าน้ีอย่ใู ห้สามารถพฒั นาตนเอง ไปส่ขู นั้ หรอื ระดบั แห่งธรรมะทส่ี งู กว่า บทสวดมนต์จงึ ไมใ่ ช่คาถาอาคมทจ่ี ะดลบนั ดาลใหเ้ กดิ สงิ่ ทต่ี น

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ปรารถนา แต่เป็นบททช่ี ่วยใหค้ นมศี ลี สมาธิ ปญั ญามากยงิ่ ขน้ึ จะได้ประกอบกรรมดแี ละก้าวไปสู่ จดุ หมายสุดทา้ ยทแ่ี ทจ้ รงิ ของชวี ติ คอื ความหลุดพน้ พระพุทธรปู พระเคร่อื ง พระกรงิ่ หรอื วตั ถุมงคล ต่างๆ กเ็ ช่นเดยี วกนั ไม่ได้มคี วามศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ ์ นตวั เองทจ่ี ะทําให้เกดิ อภนิ ิหารหรอื ปาฏหิ ารยิ ์ แต่เป็น สงิ่ ช่วยเตอื นสตใิ หค้ นอย่ใู นหลกั ธรรม ใหถ้ อื ศลี ให้มสี มาธแิ ละปญั ญาเท่านัน้ เม่อื มปี ญั ญามากขน้ึ ก็ จะสามารถหลดุ พน้ จากการยดึ ตดิ กบั สงิ่ เหลา่ น้ี ในความเช่อื ไสยศาสตร์ คาถาอาคมมคี วามสาํ คญั สถานทแ่ี ละเวลาเป็นสง่ิ สาํ คญั พธิ กี รรม และองคป์ ระกอบทงั้ หมดมคี วามสําคญั ท่จี ะต้องยดึ ถอื อย่างเคร่งครดั เพราะสง่ิ เหล่าน้ีมคี วามศกั ดิ ์ สทิ ธ์ในตวั เอง มอี ํานาจท่จี ะควบคุมอํานาจลกึ ลบั ต่างๆ ให้มาสนองตอบความต้องการของมนุษ ย์ ผเู้ ก่ยี วขอ้ งในพธิ กี รรมนัน้ เช่น การรกั ษาคนป่วย การใส่เสน่ห์ยาแฝด การทําคุณไสย ถ้าหารท่อง คาถาไมค่ รบ เครอ่ื งยกครไู มค่ รบ พธิ กี รรมไมส่ มบรู ณ์ พธิ กี รรมนนั้ กจ็ ะไมไ่ ดผ้ ล ฤกษ์แต่งงานไมด่ แี ต่ ฝืนแต่งกจ็ ะตอ้ งเกดิ วบิ ตั เิ ช่น หยา่ รา้ ง ประการทสี่ าม ซง่ึ เกย่ี วกบั ประการแรกและประการทส่ี อง คอื พระพุทธศาสนาเป็นอุดมคตทิ ่ี นํามนุษยไ์ ปสู่ความหลุดพน้ พธิ กี รรมและการปฏบิ ตั ติ ่างๆ จงึ เป็นส่วนหน่ึงขนั้ หน่ึงของพฒั นาการ ของมนุษย์ เป็นพฒั นาการระยะยาวของชวี ติ ทงั้ หมด ขณะท่ไี สยศาสตรเ์ ป็นเร่อื งระยะสนั้ เป็นการ แก้ปญั หาเฉพาะหน้า ต้องการผลใหเ้ กดิ ทนั ทใี นขณะปจั จุบนั อยากใหค้ นป่วยหาย อยากให้ฝนตก อยากใหค้ นหรอื ผรี กั ชอบ อยากทาํ รา้ ยคนอ่นื เป็นตน้ มนุษยเ์ ป็น “สตั ว์” ทม่ี สี ตปิ ญั ญาและเหตุผล มคี วามคดิ ความฝนั อนั ไม่มขี อบเขต มกี าร ประดษิ ฐ์สร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์มขี อบเขตจาํ กดั มคี วามเปราะบางอ่อนแอ ความกลัว ความไมม่ นั่ ใจในตวั เอง ความโลภ ความอยากรู้ เพราะธรรมชาตดิ งั กล่าว มนุษยจ์ งึ มคี วามพยายาม มหาวธิ ที ่จี ะเอาชนะจุดอ่อนของตวั เองและหาวธิ ตี อบสนองความอยากต่างๆ ทุกวนั น้ีแม้ว่าสงั คม เปล่ียนไปอย่างรวดเร็วแต่พ้ืนฐานธรรมชาติมนุษย์ก็ไม่ได้เปล่ยี นแปลงไป ความก้าวหน้าทาง วทิ ยาศาสตรแ์ ละศาสตรต์ ่างๆ ยงั ไม่สามารถตอบสนองทุกอย่างทม่ี นุษยต์ ้องการ สง่ิ ทเ่ี รยี กกนั ว่า “ไสยศาสตร”์ จงึ ยงั คงอยใู่ นคนทุกระดบั ชนั้ ทุกเพศ ทุกวยั ทุกชาตภิ าษาและวฒั นธรรม ไสยศาสตร์ จงึ เป็นวธิ คี ดิ และวธิ ปี ฏบิ ตั ซิ ง่ึ ปะปนอย่กู บั เร่อื งต่างๆ ในวถิ ชี วี ติ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา อาชพี การงาน ชวี ติ ในครอบครวั หรอื ในสงั คม จงึ ไมแ่ ปลกทจ่ี ะมคี นมหี น้ามตี าในสงั คมและความรกู้ ารศกึ ษาดไี ปหา อาจารยท์ ม่ี ชี ่อื ทางปลุกเสก ทํารปู อวยั วะเพศชายเป็นเครอ่ื งรางของขลงั ไมแ่ ปลกทผ่ี คู้ นจะหลงั่ ไหล ไปหาหมอเกจอิ าจารยเ์ พ่อื ขอหวย ไปหา ”หมอน้อย” เพ่อื อภนิ ิหารแห่งการรกั ษา ไปไหว้ปลาไหล ทองและด่มื น้ําทข่ี งั ปลาไหลตวั นนั้ แทนทเ่ี ร่อื งเหล่าน้ีจะลดน้อยลงไปในสงั คมทเ่ี รยี กกนั ว่า “พฒั นา” กลบั มมี ากข้นึ ก็คงจะสอดคล้องกบั สภาวการณ์ของความอยากท่สี งั คมบรโิ ภคหยบิ ย่นื ให้ ความ ยากจนขาดทุกสิ่งทุกอย่างท่กี ารพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแบบใหม่ก่อให้เกิด เร่อื งพาดหวั ข่าว หนังสอื พมิ พร์ ายวนั อยา่ ง “กลนื พระแลว้ คลงั่ ควงอโี ตเ้ ฉาะหน้าครสู าว” สะทอ้ นความจรงิ ของสงั คม ปจั จบุ นั ไดด้ ี และนบั วนั จะกลายเป็นเรอ่ื ง “ธรรมดา” หรอื จะกลายเป็นข่าวว่า “คนไทยคลงั่ ไสยศาสตร์

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ คนระดบั ปรญิ ญาโทมากกว่าพวกจบชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๔” หรอื ศาลพระพรหมท่มี ุมโรงแรม เอราวณั เงนิ บรจิ าคในตูม้ นี บั ลา้ นบาท และชา้ งไมน้ บั แสนๆ เชอื ก ศาสนากบั การพฒั นาสงั คมไทย สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง๑๕ ได้กล่าวถึงความสําคญั ของพุทธศาสนาในการพฒั นาว่า พุทธ ศาสนามคี วามเหมาะสมกบั การพฒั นาสงั คมไทยเป็นอย่างยง่ิ เพราะหลกั พุทธธรรมเป็นการสร้างคน ทม่ี คี ณุ ภาพชวี ติ ทาํ ใหค้ นในสงั คมดาํ เนินชวี ติ บนฐานแห่งความจรงิ รจู้ กั พง่ึ พาตนเอง ขยนั ประหยดั เรยี บงา่ ย ใฝ่สนั ติ มศี ลี ธรรม เผ่อื แผ่ความรกั และปราศจากความเหน็ แก่ตวั ดงั นนั้ ในการแก้ปญั หา ดา้ นศลี ธรรมของชาวชนบท จงึ จาํ เป็นตอ้ งมกี าร นําหลกั พุทธศาสนาซง่ึ มหี ลกั การและแนวทางแห่ง การพฒั นาอย่างเหมาะสม เข้าไปเผยแพร่ ฟ้ืนฟูให้แก่ชาวชนบท เพ่อื ทําให้สงั คมชนบทสามารถ ประสานการพฒั นาทางดา้ นวตั ถุและจติ ใจใหส้ อดคลอ้ งกลมกลนื กนั เพ่อื เป้าหมายแห่งความพน้ ทุกข์ ไดอ้ ยา่ งหมดจด ทงั้ น้ีต้องเน้นว่าการทจ่ี ะมกี ารพฒั นาทางดา้ นจติ ใจมไิ ดห้ มายความว่าจะตอ้ งเลกิ ละ การพฒั นาทางดา้ นวตั ถุและสงั คมซง่ึ เปลย่ี นแปลงไปดว้ ย เพ่อื ทจ่ี ะใหก้ ารพฒั นาทางใจนนั้ ไมข่ ดั แยง้ กบั การพฒั นาดา้ นวตั ถุและสงั คม ทงั้ กลบั เป็นเครอ่ื งหนุนใหม้ กี ารพฒั นาในแนวทางทเ่ี หมาะสม เป็น การนําใหส้ ว่ นความตอ้ งการของชวี ติ ทงั้ ๓ ดา้ นของคนเราประสานกลมกลนื กนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ในเวลาท่ปี ระเทศไทยเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ พระพุทธศาสนามบี ทบาทสําคญั ในการ แก้ไขปญั หาของประชาชนให้อยู่อย่างสงบสุข ท่เี ป็นเช่นน้ีเพราะว่าประเทศไทยเรามพี ้นื ฐานทาง สงั คมและวฒั นธรรมท่ดี ี คือมี “ทุนทางสงั คม” ได้แก่ มฐี านทางเศรษฐกิจท่มี นั่ คงโดยเฉพาะ การเกษตรฐานทางทรพั ยากรธรรมชาตทิ ม่ี นั่ คงโดยมที รพั ยากรของประเทศมากมาย มดี นิ ดี น้ําดี เหมาะแก่การเพาะปลูก และฐานทางวฒั นธรรมแข็งแกร่ง คือมพี ระพุทธศาสนาเป็นวฒั นธรรม ทางด้านจติ ใจสามารถแก้ปญั หาในยามวกิ ฤตได้ วฒั นธรรมแบบพุทธได้โอบอุ้มสงั คมไทยให้สงบ รม่ เยน็ ไดด้ ว้ ยองคป์ ระกอบ ๒ ประการคอื ประการแรก องคก์ รทางพุทธศาสนาเป็นท่พี ง่ึ ของสงั คมในยามวกิ ฤต ดงั เช่นปจั จุบนั วดั หลายๆ แห่ง กลายเป็นศูนยก์ ลางในการช่วยเหลอื ชาวบา้ น ดว้ ยการใชว้ ดั เป็นสถานสงเคราะห์ฝึก อาชพี และกจิ กรรมต่างๆ แก่ผู้ตกงาน วดั ในชนบทหลายแห่งกลายเป็นท่พี ่งึ สําหรบั ผูต้ กงานเป็ น สนามกีฬาสําหรบั เยาวชน (ในโครงการลานวดั ลานใจ ลานกีฬา) โดยมพี ระสงฆเ์ ป็นผู้นําในการ สง่ เสรมิ อาชพี แก่ประชาชน ประการที่ ๒ หลักธรรมทางพุทธศาสนาท่ีแทรกซึมอยู่ในจิตใจของผู้คนท่ีสามารถ ประยกุ ตใ์ ชก้ บั สถานการณ์ปจั จุบนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมจะโดยรตู้ วั หรอื ไม่รตู้ วั กต็ าม แต่กม็ อี ทิ ธพิ ลต่อ วถิ ชี วี ติ ของคนไทย ทาํ ใหไ้ มเ่ กดิ ความวนุ่ วายระส่าํ ระสายเกดิ ขน้ึ หลกั ธรรมเหล่านนั้ ไดแ้ ก่ ๑๕ สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง, พระสงฆ์กบั การพฒั นาชนบท ในการแสวงหาเส้นทางการพฒั นาชนบทของพระสงฆ์ไทย , (กรุงเทพมหานคร : กองแผนงาน กรมการศาสนากระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ๒๕๒๖), หน้า ๘๓-๘๖.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑. ความเมตตาปราณี เออ้ื เฟ้ือเผ่อื แผ่ต่อเพ่อื นมนุษยด์ ว้ ยกนั มกี ารช่วยเหลอื คนตกงาน ดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ ไมด่ ถู ูกซ้าํ เตมิ เชน่ ช่วยจดั หางานใหจ้ ดั โรงทานอาหารฟรใี ห้ และใหก้ ําลงั ใจในการ ต่อสชู้ วี ติ ทงั้ จากการแนะนําของผใู้ กลช้ ดิ และจากส่อื มวลชนต่างๆ ๒. ให้อภยั และโอนอ่อนผ่อนตาม เม่อื มปี ญั หาเกิดข้นึ เช่นปญั หาระหว่างลูกจ้างกบั นายจา้ ง หรอื ระหวา่ งหน่วยงานเอกชนกบั รฐั ทต่ี อ้ งปิดกจิ การ กไ็ ม่มเี หตุการณ์รนุ แรงเกดิ ขน้ึ ดว้ ยการ ใชถ้ อ้ ยทถี อ้ ยอาศยั ผอ่ นปรนต่อกนั ได้ ๓. ความสนั โดษ แมจ้ ะถูกออกจากงานท่ที ํากย็ นิ ดเี ตม็ ใจท่จี ะทํางานอ่นื แมจ้ ะมรี ายได้ น้อยกว่าก็ยนิ ดีทํา เคยเป็นผู้จดั การบรษิ ัทมาก่อนแต่มาขบั รถแท็กซ่กี ็ทําได้ เคยเป็นพนักงาน ธนาคารแลว้ มาขายกลว้ ยทอดกท็ ําได้ อกี ประการหน่ึงคอื การรปู้ ระมาณในการบรโิ ภคในการใชจ้ ่าย มงุ่ ใหป้ ระหยดั ทาํ ใหเ้ กดิ เศรษฐกจิ แบบพอเพยี ง ๔. ความสมานสามคั คี ความเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ของประชาชนในชาตใิ นอนั ทจ่ี ะ พรอ้ มใจกนั กอบกู้เศรษฐกจิ ให้กลบั มาอย่ดู กี นิ ดี แมจ้ ะเสยี สละเงนิ ทองบรจิ าคช่วยชาตกิ เ็ ต็มใจทจ่ี ะ บรจิ าคการนําหลกั ธรรมของพุทธศาสนามาใช้ในการพฒั นาสงั คมไทย เพ่อื ให้คนรจู้ กั คดิ พจิ ารณา ไตร่ตรอง ไม่เช่อื งมงาย แก้ไขปญั หาให้ดํารงชวี ติ อย่างมคี วามสุข มคี วามเอ้อื เฟ้ือเผ่อื แผ่ต่อเพ่อื น มนุษย์ ดงั น้๑ี ๖ ๑. การพจิ ารณาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจถึงลกั ษณะของชวี ติ และสงั คมท่ถี ูกต้อง โดยเฉพาะ ลกั ษณะท่เี ป็นปญั หา สาเหตุของปญั หาความเป็นไปได้ของการแก้ไขปญั หาและแนวทางของการ ดําเนินชวี ติ ไปสู่เป้าหมายอย่างไม่มปี ญั หาดว้ ยความเขา้ ใจทุกขนั้ ตอน ในหลกั พุทธธรรมจะต้องเป็น ความเขา้ ใจทม่ี าจากการพจิ ารณาไตรต่ รองตลอดจนการทดลองปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง มใิ ช่จากความเช่อื ในธรรมเนียมท่มี มี าแต่โบราณ หรอื เช่อื ในตํารา หรอื เช่อื ในบุคคล หรอื เช่อื เพราะการนึกคาดเดา หรอื เพราะเหน็ วา่ ตรงกบั ความเช่อื เก่าของตน เป็นตน้ การทห่ี ลกั พุทธธรรมเน้นการสรา้ งความเขา้ ใจ เป็นพน้ื ฐานตงั้ แต่ตอนตน้ นนั้ ก่อใหเ้ กดิ ผลดหี ลายประการ คอื (๑) ทาํ ใหค้ นดาํ รงชวี ติ อยบู่ นรากฐานแหง่ สจั จะหรอื ความเป็นจรงิ ไมห่ ลงงมงาย (๒) การท่ตี ้องเรยี นรู้และทดลองปฏบิ ตั ิด้วยตนเอง จะทําให้คนรู้จดั การพ่งึ พาตนเอง เพราะพุทธเจา้ กท็ รงยา้ํ ว่า “อตฺตา หิ อตฺตาโน นาโถ” ตนนนั ่ แลเป็นทพี่ งึ่ แห่งตน๑๗ (๓) ความเขา้ ใจน้ีจะเป็นรากฐานแห่งศรทั ธาทม่ี นั่ คง คอื มคี วามเช่อื มนั่ และความชดั เจน ถงึ แนวทางการพฒั นาตนเอง และสงั คมไปสู่ชวี ติ ทล่ี ดละความทุกข์ ศรทั ธาท่มี นั่ คงน้ีจะก่อใหเ้ กดิ ความวริ ยิ ะอุตสาหะ ทจ่ี ะพฒั นาไปใหถ้ งึ เป้าหมายอย่างไม่ยอ่ ทอ้ มคี วามปีตใิ นการพฒั นา ฉะนนั้ จงึ ทําให้คนในสงั คมเป็นคนพากเพยี รทําดี มคี วามกระตอื รอื รน้ ท่จี ะพฒั นาความดีงามทงั้ แก่ตนและ สงั คมสว่ นรวม ๑๖ สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง, พระสงฆก์ บั การพฒั นาชนบท ในการแสวงหาเส้นทางการพฒั นาชนบทของพระสงฆ์ไทย , หน้า ๘๓-๘๖. ๑๗ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๖๐/๘๒.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒. แนวทางการดําเนินชวี ติ ตามหลกั พุทธธรรมนัน้ เน้นความเป็นอย่ทู ่เี ป็นสุขกบั ความ เรยี บงา่ ย สอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั ธรรมชาติ ขอ้ น้จี ะนําตนใหร้ จู้ กั การดาํ รงอยอู่ ย่างประหยดั ไม่ฟุ่มเฟือย จนเกนิ เหตุทงั้ ไมท่ าํ ลายธรรมชาติ เพอ่ื สนองความเหน็ แก่ตวั และความอยากในทางวตั ถุของตน ๓. หลกั พทุ ธธรรมยงั เน้นถงึ การดาํ รงชวี ติ ทส่ี งบ น้อมนําใหเ้ กดิ ความใฝใ่ นสนั ติ ๔. หลกั พทุ ธธรรมสอนใหค้ นรจู้ กั เผอ่ื แผค่ วามรกั พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวว่าการพฒั นาสงั คมไทยหรอื พฒั นาชุมชนนัน้ จะต้องมี การพฒั นาคนก่อน เพอ่ื สรา้ งคนใหม้ คี วามเขม้ แขง็ ๓ ประการ คอื ๑. ความเขม้ แขง็ ทางพฤตกิ รรม ไดแ้ ก่ ความขยนั ขนั แขง็ จรงิ จงั ในการทํางาน ๒. ความเข้มแขง็ ทางจติ ใจ ไดแ้ ก่ การช่วยเหลอื ตนเอง ไม่รอคอยความช่วยเหลอื จาก ภายนอก ๓. ความเขม้ แขง็ ทางปญั ญา ไดแ้ ก่ ความพยายามทําดว้ ยตวั เอง ใชป้ ญั ญาเป็นเครอ่ื งมอื ในการแก้ปญั หา ก่อใหเ้ กดิ ภาวะผูน้ ําทางปญั ญา ซง่ึ เป็นผูน้ ําทแ่ี ทจ้ รงิ นัน่ เองเม่อื สรา้ งคนใหม้ คี วาม เขม้ แขง็ แล้วกจ็ ะสามารถแก้ไขปญั หาท่เี กดิ ขน้ึ ในสงั คมได้ อกี ทงั้ ยงั ส่งผลให้ชุมชนเขม้ แขง็ โดยยดึ หลกั ธรรมเป็นแนวทางในการพฒั นา ดงั น้ี (๑) ถอื หลกั ทาํ การใหส้ าํ เรจ็ ดว้ ยความเพยี รพยายาม ทเ่ี รยี กวา่ “หลกั กรรม” (๒) ถอื หลกั เรยี นรฝู้ ึกฝนพฒั นาชวี ติ ให้ดยี ง่ิ ขน้ึ เร่อื ยไป ทงั้ ทางพฤตกิ รรม ทางจติ ใจ และ ทางปญั ญา ทเ่ี รยี กวา่ “ไตรสกิ ขา” (๓) ถือหลกั ทําการทงั้ หลายอย่างเร่งรดั ไม่รอเวลาด้วยความไม่ประมาท ท่เี รยี กว่า “หลกั อปั ปมาทะ” (๔) ถอื หลกั ทาํ ตนใหเ้ ป็นทพ่ี ง่ึ เพ่อื พง่ึ ตนเองไดแ้ ละเป็นอสิ ระ ทเ่ี รยี กว่า “หลกั อสิ รภาพแห่ง การพง่ึ ตนได”้ ๑๘ จากขอ้ ความดงั กล่าวขา้ งตน้ สอดคลอ้ งกบั คตธิ รรมของไทย ทว่ี ่า “จะปลกู พืช ต้องเตรียมดิน จะกิน ต้องเตรียมอาหาร จะพฒั นางาน ต้องพฒั นาคน จะพฒั นาคน ให้พฒั นาที่จิตใจ จะพฒั นาอะไร ให้พฒั นาท่ีตนเองก่อน” การพฒั นาสงั คมไทยนัน้ ต้องพฒั นาคนควบคู่ด้วย เพ่อื ให้คนมคี วามเขม้ แขง็ ทงั้ ร่างกาย จติ ใจและปญั ญา โดยการประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยใู่ นศลี ธรรมอนั ดงี าม ดํารงชวี ติ อย่บู นรากฐานแห่งสจั จะ ๑๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โต), ธรรมกบั ไทย ในสถานการณ์ปัจจบุ นั , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๑), หน้า ๒๙-๓๑.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๖๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ หรอื ความจรงิ ไม่หลงงมงาย มคี วามพอเพยี ง รูจ้ กั ช่วยเหลอื ตนเอง ใหส้ ามารถพง่ึ ตนเองได้ และ ดาํ รงชวี ติ อย่างมคี วามสุข หลกั ธรรมทน่ี ํามาใชใ้ นการพฒั นาสงั คม ไดแ้ ก่ หลกั กรรม คอื ความเพยี ร หรอื ความพยายาม หลกั ไตรสกิ ขา คอื การพฒั นาพฤตกิ รรม จติ ใจ และปญั ญาใหด้ ยี งิ่ ขน้ึ หลกั อปั ป มาทะ คอื การไม่รอเวลาและไม่ประมาท และหลกั อสิ รภาพแห่งการพง่ึ ตนได้ คอื การพง่ึ ตนเองและ เป็นอสิ ระ ๖.๖ ลกั ษณะของภมู ิปัญญาไทยเน้นหลกั ปฏิบตั ิในชีวิตประจาวนั สบื เน่อื งมาจากอทิ ธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาดงั กล่าวมาแลว้ แสดงใหเ้ หน็ ว่า วถิ ชี วี ติ ของคน ไทยได้ผูกพนั ประสานกลมกลนื กบั หลกั ความเช่อื และหลกั ปฏบิ ตั ิในพระพุทธศาสนาตลอดเวลา ยาวนานจนทําให้เกดิ การปรบั ตวั เข้าหากนั และสนองความต้องการของกนั และกนั ตลอดจน ผสม คลกุ เคลา้ กบั ความเช่อื ถอื และขอ้ ปฏบิ ตั สิ ายอ่นื ๆ ทม่ี มี าในหมชู่ นชาวไทยจนพฒั นามาถงึ ขนั้ ทท่ี ําให้ เกิดมีระบบความเช่ือ และความประพฤติปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาท่ีเป็นแบบของคนไทย โดยเฉพาะ๑๙ จงึ เป็นลกั ษณะของการดาํ เนินชวี ติ ท่ี เสาะแสวงหาหลกั การดาํ รงชวี ติ ในภาวะของชวี ติ ทด่ี ําเนินไปในปจั จุบนั โดยเฉพาะในสภาพของชวี ติ และสงั คมทต่ี นประจกั ษ์อย่หู รอื อาศยั อยู่ หลกั และคตสิ ว่ นใหญ่ไดม้ าจากพระพุทธศาสนาและจากประสบการณ์ของผรู้ ู้ ซง่ึ ปรากฏออกมาในรปู และ สาระของคาํ ในสุภาษติ ต่างๆ คาํ พงั เพย คาํ ผญา ตลอดจนสาํ นวนโวหาร และคตชิ าวบา้ น เป็นตน้ ๒๐ ๖.๖.๑ คาสภุ าษิตและคาพงั เพย “สุภาษิต” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕๒๑ ได้ให้ความหมายว่า “สุภาษติ น. ถอ้ ยคําหรอื ขอ้ ความทก่ี ล่าวสบื ต่อกนั มาชา้ นานแลว้ มคี วามหมายเป็นคตสิ อนใจ เช่น รกั ยาวให้บนั่ รกั สนั้ ให้ต่อ น้ําเข่ยี วอย่าขวางเรอื (ส., ป.สุภาษิตว่าถ้อยคําท่กี ล่าวดแี ล้ว)”ส่วนคํา พงั เพยนนั้ “พงั เพย น. ถ้อยคําหรอื ขอ้ ความทก่ี ล่าวสบื ต่อกนั มาชา้ นานแลว้ โดยกล่าวเป็นกลางๆ เพ่อื ให้ตีความหมายเข้ากบั เร่อื ง เช่นกระต่ายต่ืนตูม”๒๒ นักปราชญ์ทางภาษาส่วนมากจะจดั คํา สุภาษติ และคําพงั เพยอย่ใู นขอ้ เดยี วกนั ดว้ ยเหตุผลทว่ี ่าดงั หลวงวจิ ติ รวาทการ ได้อธบิ ายว่า คํา พงั เพยคลา้ ยสุภาษติ มลี กั ษณะเกอื บเป็นสุภาษติ เป็นคาํ ทม่ี ลี กั ษณะตชิ ม หรอื แสดงความคดิ เหน็ อยใู่ นตวั เชน่ ทาํ นาบนหลงั คนคาํ พงั เพยไมเ่ ป็นสุภาษติ เพราะไม่เป็นคาํ สอนแน่นอน และไม่ไดเ้ น้น ๑๙ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), “ทาไมคนไทยจงึ เรียนพระพทุ ธศาสนา” ในทศวรรษธรรมทศั น์พระธรรมปิฎก (ป.อ.ป ยุตฺโต), (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๒), หน้า ๑๒๘. ๒๐ สมบูรณ์ สุขสําราญ, บทบาทของวดั และพระสงฆ์ในอนาคต, (กรุงเทพมหานคร : คณะกรรมการศาสนาเพอ่ื การ พฒั นา, ๒๕๒๕) ๒๑ ราชบญั ฑติ ยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕, (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พ์ อกั ษรทศั น์, ๒๕๒๘), หน้า ๘๔๖. ๒๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๕๙๑.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ คาํ สอนในตวั เอง สว่ นสภุ าษติ เป็นขอ้ ความสนั้ ๆ แต่เน้นความลกึ ซง้ึ และตอ้ งเป็นคาํ กลอนไปในตวั หรอื ใหห้ ลกั เกณฑอ์ นั ใดอนั หน่งึ แสดงความเป็นไปของโลก หรอื ชใ้ี หเ้ หน็ สจั จะแหง่ ชวี ติ ๒๓ สรปุ ไดว้ ่าสุภาษติ คอื คาํ กล่าวทด่ี งี าม เป็นจรงิ ทุกยุคทุกสมยั อาจจะเป็นคําสงั่ สอนชใ้ี ห้เหน็ สจั จะแหง่ ชวี ติ กไ็ ด้ เชน่ แพเ้ ป็นพระชนะเป็นมารอนั ออ้ ยตาลหวานลน้ิ แลว้ สน้ิ ซาก แต่ลมปากหวานหู ไมร่ หู้ าย หรอื แมน้ มคี วามรดู้ งั่ สพั พญั ํู ผบิ ่มคี นชหู อ่ นขน้ึ เป็นตน้ ส่วนคาํ พงั เพย เป็นคาํ กลา่ วเป็นกลางๆ เพ่อื นําไปใชใ้ หเ้ ขา้ กบั เร่อื งหรอื สถานการณ์ต่างๆ เช่น น้ําขน้ึ ใหร้ บี ตกั ถล่ี อดตาชา้ ง ห่างลอดตาเอน็ ววั หายลอ้ มคอก ตวี วั กระทบคราด ชา้ งแล่นอยา่ ง ยงุ่ หางเป็นตน้ สุภาษติ ของไทยนัน้ มรี ากฐานจากพระพุทธศาสนาเป็นสาํ คญั ส่วนคาํ พงั เพยนั้นสรา้ งจาก ประสบการณ์ของคนเก่า ซ่งึ มลี กั ษณะเป็นของไทยเราโดยตรง (มเี อกลกั ษณ์) ภาษติ ของไทยไดร้ บั การรวบรวมขน้ึ เป็น ครงั้ แรกทม่ี หี ลกั ฐานปรากฏผรู้ วบรวมคอื พนั เอกพระสารสาสน์พลขนั ธ์(เยรนิ ี) ชาวเยอรมนั ท่านผู้น้ีได้รวบรวมภาษิตไว้เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๗ โดยพระสารสาสน์พลขนั ธ์กล่าวว่า “สุภาษิตไทยแสดงให้เห็นอุปนิสัยใจคอและความคิดอันเฉียบแหลมของคนไทยอย่างดีเลิศ”๒๔ สุภาษิตคําพงั เพยของไทยเรามลี กั ษณะเฉพาะ กล่าวคอื มกั จะเป็นคําคลอ้ งจองเพ่อื สะดวกในการ จดจาํ อาจเป็นกลุ่มคําซอ้ นคลอ้ งกนั สระพยญั ชนะ เป็นช่วงพยางค์ เช่นว่า ๔-๓๐ พยางค์ การแบ่ง ประเภทสภุ าษติ คาํ พงั เพย อาจแบ่งตามทม่ี าของขอ้ มลู เช่นหมวดทเ่ี กดิ จากอาชพี และสงิ่ แวดลอ้ ม ในชีวิตประจําวัน เช่น ตีวัวกระทบคราด วัวหายล้อมคอก เป็นต้น หรืออาจแบ่งตามการ เปรยี บเทยี บ เช่น หมวดสตั ว์ หมวดน้ํา หมวดของใชใ้ นบา้ น อาทิ ในหมวดสตั ว์ – หมา,เช่นหมาข้ี ไมม่ ใี ครยกหาง หุงขา้ วประชดหมา เป็นตน้ ดร.กิง่ แก้ว อตั ถากร ไดส้ รปุ โครงสรา้ งของสภุ าษติ พงั เพยไวด้ งั น้ี๒๕ ๑. เป็นประโยค ประโยคเดยี ว หรอื เอกรรถประโยค เชน่ อยา่ งงา้ ง ภเู ขา ผดู้ เี ดนิ ตรอก เป็นตน้ มปี ระโยค หรอื วลี พ่วงเป็นเหตุเป็นผลกนั เช่น ความวนั ไม่ทนั หาย ความควายเขา้ มา แทรกเป็นตน้ มคี าํ วา่ “อยา่ ” แทรกอยรู่ ะหวา่ งประโยค เชน่ ตวั เป็นไทยอยา่ คบทาส ตวั เป็นปราชญ์อยา่ คบพาล เป็นตน้ ละประธาน เช่น เขา้ ป่าอย่าเสยี เมอื ง ไม่พบววั อย่าฟนั่ เชอื ก ทํานาอย่าเสยี ไร่ เลย้ี งไก่ อยา่ เสยี รงั กนิ บนเรอื นขร้ี ดหลงั คา เป็นตน้ ๒๓ บุปผา บุญทพิ ย์, คติชาวบ้าน, (กรุงเทพมหานคร : ฝ่ายตําราและอุปกรณ์การศกึ ษามหาวทิ ยาลยั รามคําแหง, ๒๕๓๒), หน้า ๙๓. ๒๔ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๙๔. ๒๕ บุปผา บญุ ทพิ ย,์ คติชาวบา้ น, หน้า ๙๕.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ มคี ําว่า “มกั ” อย่รู ะหว่างประโยค เช่น กล้านักมกั บนิ่ ทุกข์นักมกั เศรา้ ดน้ิ นักมกั เจบ็ ด่วนนกั มกั สะดดุ เป็นตน้ ขน้ึ ตน้ ดว้ ยคาํ วา่ “มกั ” เช่นมกั ความพลนั ได้ มกั ไขพ้ ลนั ตาย เป็นตน้ มคี ําว่า “ให้” อย่รู ะหว่างประโยค เช่น เขยี นเสอื ให้ววั กลวั ดกั ลอบใหห้ มนั่ กู้ เจา้ ชู้ให้ หมนั่ เก้ยี ว รกั ยาวให้บนั่ รกั สนั้ ใหต้ ่อ คบคนให้ดูหน้าซ้อื ผา้ ใหด้ ูเน้ือ ปนู อย่าใหข้ าดเต้า ขา้ วอย่า ใหข้ าดโอ่ง เป็นตน้ ๒. เป็นนามวลี เช่นผดู้ แี ปดสาแหรก ทาสในเรอื นเบย้ี ชา้ งเทา้ หลงั ฯลฯ ๓. เป็นกริยาวลี เช่น หลบั ตายงิ่ กระสนุ ตกั น้ํารดหวั ตอ ขช่ี า้ งจบั ตกั๊ แตน จะขอยกสุภาษติ พงั เพยในวรรณกรรมขน้ึ มากลา่ วไวแ้ ต่เพยี งสงั เขป ดงั น้ี สภุ าษิตสอนหญิง ผู้หญิงเปรยี บเหมอนดอกไม้งาม ยงิ่ มสี สี นั สวยและกลนิ่ หอมจรุงใจด้วยแล้ว มวลหมู่ ภุมรนิ ก็บนิ มาไต่ตอม ในบทพระราชนิพนธ์เร่อื ง “สาวติ ร”ี ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้า ฯ ทรงเปรยี บไวด้ งั น้ี “สุมาลหี ลากหลายมากมวลมี ต่างต่างสรี าวลายวเิ ลขา เหมอื นแสรง้ แต่งล่อแมลงใหบ้ นิ มา เพราะหมายว่ามกี ลน่ิ อนั รนิ รวย เปรยี บเหมอื นนางดรณุ อี ยากมคี ู่ แต่งกายาล่อชใู้ หเ้ หน็ สวย เพ่อื จะลวงชายหลงใหง้ งงวย แลว้ เอออวยรบั รกั สมคั รกนั ” ฯ ผหู้ ญงิ ทง่ี ามแต่รปู กต็ อ้ งสรา้ งเสน่หใ์ หช้ ายหลง ผหู้ ญงิ จาํ พวกน้ีท่านว่าจะอยกู่ บั ชายไม่ยดื ตรงกนั ขา้ มกบั ผู้หญงิ ท่งี ามดว้ ยคุณสมบตั ดิ งั ท่ลี น้ เกลา้ ฯ รชั กาลท่ี ๖ ได้ทรงพระราชนิพนธไ์ วใ้ น เรอ่ื ง “สาวติ ร”ี ดงั น้ี “แต่มบี างมาลสี อี ่อนอ่อน กลน่ิ ขจรรน่ื รมยล์ มพาผนั ภุมรนิ ยนิ ดที ส่ี ุคนั ธ์ เพราะรจู้ กั เลอื กฟนั้ ทด่ี จี รงิ เปรยี บสตรผี มู้ สี ุขมุ ชาติ มรรยาทน่าชมสมกบั หญงิ บรุ ษุ ดใี ฝถ่ นอมกลอ่ มเลย้ี งจรงิ เพราะรกั ยง่ิ ยงยอดจอดดวงใจ” ฯ ผูห้ ญงิ ประเภทน้ี เปรยี บเหมอื นดอกไมท้ ม่ี กี ลน่ิ หอมเยน็ คอื มคี วามสุภาพอ่อนโยน มี คณุ สมบตั เิ ป็นกุลสตรี “อนั ธรรมดานาไร่ จะไมร่ บั ไถใช่ท่ี ฉนั ใดธรรมดานารี พงึ มสี ามไี วแ้ นบกาย” ฯ สุนทรภู่ท่านกล่าวไว้อย่างน้ี ท่านเปรียบเหมือนไร่นาสาโทท่ีต้องไถต้องหว่าน เช่นเดยี วกบั หญงิ จะตอ้ งมคี ่คู รองหรอื มเี หยา้ มเี รอื น

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สภุ าษิตเก่ียวกบั สตั ว์ เกลือเป็ นหนอน “พวกพอ้ งตนคนใกลไ้ วใ้ จนกั กลบั คดิ หกั หลงั ไดเ้ ล่นไมซ่ ่อื แอบคบศตั รรู า้ ยหมายรว่ มมอื เปรยี บกค็ อื เกลอื เป็นหนอนบอ่ นทาํ ลาย” หมายถงึ คนทค่ี วรจะชว่ ยเหลอื ป้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ เรอ่ื งเสยี หายกลบั เป็นตวั ก่อความเสยี หาย เสยี เอง เหมอื นเกลอื ซง่ึ มหี น้าทป่ี ้องกนั ไมใหอ้ าหารเน่าหรอื เป็นหนอน กลบั กลายเป็นหนอนเสยี เอง ไก่ได้พลอย “ของสงู ค่าแมน้ ไมร่ ดู้ ตู ่าํ ตอ้ ย เปรยี บเหมอื นพลอยงามลา้ํ จรสั แสง ไก่ไดเ้ หน็ มองขา้ มหยามพลอยแดง กลบั แสวงถวั่ งาค่าเกนิ พลอย” มาจากนิทานอสี ป เรอ่ื งไก่ไดพ้ ลอยแต่ไม่เหน็ ค่าพลอยเพราะพลอยไม่มปี ระโยชน์สําหรบั ไก่ เปรยี บกบั คนไดข้ องดแี ต่ไมร่ คู้ า่ กเ็ ปล่าประโยชน์ สภุ าษิตเก่ียวกบั น้า น้าข่นุ ไว้ใน น้าใสไว้นอก “เอาน้ําขนุ่ ไวใ้ นใสไวน้ อก แสดงออกแต่สงิ่ ทไ่ี มตรจี ติ ทข่ี ดั เคอื งขนุ่ ใจซอ่ นไวม้ ดิ หดั ปกปิดอารมณ์รขู้ ม่ ใจ” เป็นการสอนใหร้ จู้ กั ปกปิดอารมณ์ ถงึ ไมพ่ อใจกค็ วรเกบ็ ไวใ้ นหน้า ไมแ่ สดงออกมาใหเ้ หน็ คงแสดงแต่กริ ยิ า ทด่ี เี สมอ น้าท่วมปาก “ปากจมอยใู่ นน้ําจาํ ตอ้ งปิด อา้ เพยี งนดิ พดู สกั คาํ ทาํ ไมไ่ ด้ รคู้ วามจรงิ แน่แทอ้ ยแู่ ก่ใจ จะพดู ไปเหมอื นน้ําหลากท่วมปากคอ” ตกอยู่ในสภาพพูดไม่ออก พูดไม่ได้ ต้องสงบปากสงบคํา เพราะถูกบบี บงั คบั ให้จํายอม เหมอื นน้ําทว่ มปากน้ํากไ็ หลเขา้ ปาก ๖.๖.๒ สานวนโวหาร เป็นเร่ืองของการกล่าวเชิงเปรียบเทียบ หรือเป็ นความหมายท่ีไม่ตรงตามอักขระ (ความหมายโดยนัย หรอื Second meaning ) เช่นทําหน้าเหมอื นโนราโรงแพ้ ทาํ หน้าเหมอื น หมาเลยี น้ํารอ้ น ยุ่งเหมอื นยุงตกี นั หนังหน้าไฟ จบั ปใู ส่กระด้ง อาภพั เหมอื นปนู คางคกขน้ึ วอ แมงปอใสต่ ุง้ ตง้ิ ฯลฯ สาํ นวนนนั้ เกดิ จากมลู เหตุต่างๆ เป็นต้นว่าเกดิ จากธรรมชาตเิ กดิ จากการกระทํา เกดิ จาก เคร่อื งแวดล้อม เกดิ จากอุบตั เิ หตุ เกดิ จากแบบแผนประเพณี เกดิ จากลทั ธศิ าสนา เกดิ จากความ ประพฤติ เกิดจากการเล่น เกิดจากเร่ืองแปลกๆ ท่ีปรากฏข้ึนเกิดจากนิยาย นิทาน ตํานาน

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตลอดจนพงศาวดาร หรอื ประวตั ศิ าสตร์ และอะไรต่อมอิ ะไรอ่นื ๆ อกี มากแลว้ แต่สมยั เวลา มลู เหตุ ต่างๆ ดงั กล่าว ใครช่างคดิ ช่างนึกช่างสงั เกตและเป็นคนมโี วหารกน็ ําเอาแต่ใจความสนั้ ๆ เป็นการ เปรยี บบา้ ง เทยี บบา้ ง เปรยบา้ ง กระทบบา้ ง ประชดประชนั บา้ ง พูดเล่นสนุกๆ กม็ ี พดู เตอื นสตใิ ห้ คดิ กม็ ตี ่างๆ กนั ซง่ึ ในทน่ี ้ขี อยกตวั อยา่ งของแต่ละมลู เหตุขน้ึ มาเป็นอาทิ ดงั น้ี ท่ีเกิดจากธรรมชาติ เช่น “ต่นื แต่ไก่โห่” คอื ธรรมชาตขิ องไก่ย่อมขนั ในเวลาเชา้ มอื เสมอ ต่นื แต่ไก่โห่ กค็ อื ต่นื แต่ไก่ขนั หมายถงึ ต่นื แต่เชา้ มดื นนั่ เอง ทเ่ี กดิ จากการกระทาํ เช่น “ไกลปืนเทย่ี ง” คอื เม่อื ปี พ.ศ.๒๔๓๐ ในรชั กาลท่ี ๕ เรม่ิ ยง่ิ ปืนใหญ่เวลา ๑๒.๐๐ น. ในพระนครรู้ว่าเป็นเวลาเท่ยี งวนั คนอยู่ในพระนครได้ยนิ คนอยู่ไกล ออกไปไมไ่ ดย้ นิ จงึ เกดิ เป็นสาํ นวน หมายถงึ ไมร่ บั รขู้ า่ วสารต่างๆ คาํ พดู ในมนุษยท์ เ่ี ป็นสาํ นวนดงั กลา่ ว เช่อื ไดว้ ่ามมี าแต่โบราณดกึ ดําบรรพ์และเกดิ ขน้ึ ตาม ยคุ ตามสมยั ทเ่ี หตุการณ์บา้ นเมอื งเปลย่ี นแปลงมา สาํ นวนเก่าทส่ี ญู ไปกค็ งมาก ทค่ี งอยกู่ ม็ ไี ม่น้อย ท่ี กําลงั เกดิ ขน้ึ ใหม่กม็ าเร่อื ยๆ คงจะเป็นดงั น้ีเหมอื นกนั หมดทุกชาตทิ ุกภาษาสาํ นวนพดู ไม่ว่าในเชงิ เปรยี บ เชงิ เทยี บ เชงิ เปรย เชงิ กระทบ เชงิ ประชดเชงิ ประชนั ดเู หมอนจะมเี หมอื นๆ กนั การกระทาํ เครอ่ื งแวดลอ้ ม และอะไรต่างๆ ดงั กลา่ วมาขา้ งตน้ นนั้ ยอ่ มจะมเี ชน่ เดยี วกนั จะต่างกนั กเ็ พยี งถ้อยคาํ ทแ่ี ปลกออกไป แต่ใจความกค็ งเป็นอยา่ งเดยี วกนั ทน่ี ้ีจะยกตวั อย่างสํานวนทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั บา้ งสกั เลก็ น้อยโดยแบ่งออกเป็นหมวดสตั ว์ หมวดรา่ งกาย และหมวดทวั่ ไปดงั น้ี สานวนโวหารเก่ียวกบั สตั ว์ ความววั ไม่ทนั หาย ความควายเข้ามาแทรก : เป็นสํานวนหมายความว่า มเี ร่อื ง เกดิ ขน้ึ ยงั ไมท่ นั จะเสรจ็ กม็ เี รอ่ื งใหมเ่ กดิ ขน้ึ ซอ้ นขน้ึ มาอกี ววั หายล้อมคอก : เป็นสํานวนหมายความว่า อะไรกต็ ามไมค่ ดิ ป้องกนั ความเสยี หายซง่ึ อาจเกดิ ขน้ึ ไดเ้ สยี ตงั้ แต่ทแี รก ต่อเกดิ ความเสยี หายขน้ึ แลว้ จงึ คดิ ป้องกนั ซง่ึ เป็นการเปลา่ ประโยชน์ ทานาเสียไร่ เล้ียงไก่อย่าเสียรงั : เป็นสํานวนเฉพาะการทํานาและเลย้ี งไก่ ซ่งึ เป็น พน้ื ฐานการทํากนิ ของคนไทยมาแต่โบราณ หมายความว่าเมอ่ื ทาํ นากอ็ ยา่ ปล่อยใหพ้ น้ื นาว่างเปล่า สน้ิ ฤดทู าํ นากใ็ หท้ าํ ไรเ่ พราะปลกู อยา่ งอ่นื ไป เมอ่ื เลย้ี งไก่กอ็ ยา่ ปล่อยตามแต่จะไป ใหส้ รา้ งรงั ใหไ้ ก่อยู่ เป็นทเ่ี ป็นทาง ไก่จะไดไ้ ข่เป็นประโยชน์ไมเ่ ปลอื งข้าวเปลอื กเสยี เปล่า สรปุ ความว่าอย่าเกยี จครา้ น ปล่อยใหเ้ วลาล่วงไปเปลา่ พยายามทาํ ใหเ้ ป็นล่าํ เป็นสนั เกดิ ผลประโยชน์จรงิ ๆ สานวนโวหารเกี่ยวกบั ร่างกาย ตีตนก่อนไข้ : เป็นสาํ นวนหมายความว่า ไดข้ ่าวหรอื ไดร้ วู้ ่าจะมอี ะไรทไ่ี มด่ เี กดิ ขน้ึ จะจรงิ หรอื เทจ็ กย็ งั ไมท่ ราบ เพราะเหตุการณ์ยงั มาไมถ่ งึ แต่กระวนกระวายทุกขร์ อ้ นหวาดกลวั ไปเสยี ก่อน สาํ นวนอยา่ งน้มี คี ลา้ ยๆ กนั หลายๆ ชาติ เปอรเ์ ซยี รม์ วี า่ “วนั น้ไี มค่ วรรอ้ นตวั ถงึ ความทุกขจ์ ะมใี นวนั

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พรุ่งน้ี” องั กฤษว่า “ปล่อยพร่งุ น้ีจนถงึ วนั พรุ่งน้ี” สเปนว่า “พร่งุ น้ีก็เป็นอกี วนั หน่ึงต่างหาก” เป็น ตน้ สาํ นวน “ตตี นก่อนไข”้ พดู อกี อยา่ งวา่ “ตตี นตายก่อนไข”้ ชุบมือเปิ บ : สํานวนน้ีมาจากกนิ ขา้ ว สมยั ก่อนเรากนิ ขา้ วดว้ ยมอื เวลากนิ เราเอามอื ชุบ น้ําใหเ้ ปียกเสยี ก่อนเป็นการลา้ งมอื และเมด็ ข้าวสุกจะไดไ้ มต่ ดิ มอื นุงนังดว้ ย แลว้ จงึ เปิบขา้ ว “เปิบ” แปลว่า เอาขา้ วเขา้ ปากตอนทาํ ครวั หรอื ทําอาหารปกตติ ้องช่วยกนั ทํา เช่น ตดิ ไฟ ขดู มะพรา้ ว ตํา น้ําพรกิ ฯลฯ ใครไม่ช่วยทํา แต่พอถงึ เวลากนิ กเ็ ขา้ มากนิ เรยี กว่าชุบมอื เปิบ คาํ ว่าชุบมอื เปิบก็ เลยกลายมาเป็นสาํ นวนว่าคนทถ่ี อื โวหารเขา้ ฉวยเอางานทเ่ี ขาทําสาํ เรจ็ มาดว้ ยความยากลําบากแลว้ นนั้ มาเป็นประโยชน์ แก่ตวั โดยตนเองไมไ่ ดท้ าํ อะไรมาก่อนเลย แกว่งเท้าหาเส้ียน : การพดู หรอื ทาํ อะไรก้าวก่ายไปถงึ ผอู้ ่นื อยา่ งไม่บงั ควรจะทาํ ซง่ึ เม่อื ทาํ ไปยอ่ มจะเกดิ เรอ่ื งขน้ึ กบั ตวั เอง แลว้ พดู เป็นสาํ นวนว่า “แกวง่ เทา้ หาเสย้ี น” สานวนโวหารเก่ียวกบั เร่ืองทวั่ ไป กรวดน้าควา่ กะลา : คาํ ว่า “ควา่ กะลา” คําเดยี ว มคี วามหมายอย่างเดยี วกบั “ควา่ บาตร” “ควา่ บาตร” แปลตามตวั ว่า พระสงฆค์ ว่ําบาตรของท่านเสยี ไม่รบั ของทใ่ี ส่บาตร เม่อื พระสงฆ์ไม่รับของจากใครก็เท่ากับว่าผู้นัน้ ไม่ได้บุญ แล้วเราก็เลยเอากิริยาท่ีพระสงฆ์ไม่รับ บณิ ฑบาตมาใชใ้ นทางทว่ี า่ พระสงฆท์ า่ นไมใ่ หผ้ นู้ นั้ ไดบ้ ญุ รว่ มดว้ ย เรยี กกนั วา่ คว่าํ บาตร คาํ ๆ น้ีเลย กลายเป็นสาํ นวนใชห้ มายถงึ ว่า ไม่คบคา้ สมาคมดว้ ย คําว่า “คว่าํ กะลา” ม่งุ ถงึ กะลาอนั เป็นภาชนะท่ี ใช้ใส่กรวดน้ํา ซง่ึ เม่อื กรวดน้ําแลว้ คว่าํ กะลานนั้ เสยี เป็นการแสดงว่าเป็นเดด็ ขาดจากกนั ทาํ นอง เดยี วกบั “คว่าํ บาตร” กรอบ : สํานวนน้ีมกั ใช้หมายถงึ คนมเี งนิ แลว้ อยากจนลง เช่นพูดว่าแต่ก่อนมงั่ มเี ดยี๋ วน้ี กรอบเตม็ ที เคยหาเงนิ คลอ่ งหมนู่ ้กี รอบจะแย่อย่แู ลว้ บางทพี ดู ว่า “จนกรอบ” กม็ ี พดู ว่า “กรอบเป็น ขา้ วเกรยี บ” กม็ ี กลิ้งครกขึน้ ภเู ขา : เป็นสาํ นวนเก่าพดู กนั มาแต่โบราณซง่ึ เป็นทเ่ี ขา้ ใจกนั ดี คอื ไมว่ ่าอะไร ทท่ี าํ ยาก ปฏบิ ตั ยิ าก หรอื แนะนําสงั่ สอนยาก จนสงิ่ นนั้ เร่อื งนนั้ ไมอ่ าจจะสาํ เร็จล่วงไปไดง้ ่าย กจ็ ะ พดู กนั ว่า “กลง้ิ ครกขน้ึ ภเู ขา” และใชไ้ ดต้ ลอดไปจนถงึ ทส่ี ําเรจ็ ลุล่วงไปดว้ ยความมานะพยายามบาก บนั่ อยา่ งเตม็ ทก่ี ไ็ ดเ้ ชน่ กนั ธรรมชาติของภาษาย่อมมเี จรญิ และเส่อื มคละเคล้ากนั ไปกล่าวคอื ภาษานัน้ ย่อมขยาย ออกไปเสมอ เม่อื ขยายออกไปในทางทเ่ี ป็นภาษาดี ความคงทนกอ็ ย่ไู ด้นาน แต่ถ้าขยายออกไป ในทางท่เี ป็นภาษาเลว ก็ทําใหภ้ าษาโทรมลง ท่าท่สี งั เกตดูรสู้ กึ ว่าชาวชนบทมสี ํานวนโวหารดีๆ มาก เช่นเขาพดู วา่ “หนามมนั ตําคนยอ่ ง” คอื คนหน่งึ จะมุดเขา้ ไปในซุม้ ไมเ้ หน็ ท่พี น้ื ดนิ มพี วกหนาม เลก็ ๆ อย่บู า้ ง กจ็ ดๆ จอ้ งๆ เม่อื ไดย้ นิ จะรเู้ ลยว่าเขาพูดคมคายฟงั ตดิ หูทนั ที ชาวชนบทส่วนมาก ขากดการศกึ ษา แต่พูดเป็นสาํ นวนคมกว่าคนชาวกรุงมาก สํานวนอย่างน้ีแหละไมม่ วี นั ตาย ทงั้ จะ ทาํ ใหภ้ าษาเจรญิ ดว้ ย

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ปจั จบุ นั บา้ นเมอื งเจรญิ ก้าวหน้ามาก มกี ารตดิ ต่อกบั ฝรงั่ มากขน้ึ คาํ พูดทเ่ี ป็นสาํ นวนแบบ ฝรงั่ ดูจะเรม่ิ มากขน้ึ เช่น “บนิ ” อย่างบนิ ไปองั กฤษ บนิ ไปอเมรกิ า ความจรงิ เราไม่ไดบ้ นิ ไปอยา่ ง นก เราไปโดยเครอ่ื งบนิ แต่เราไมก่ ล่าวถงึ เครอ่ื งบนิ เลย พดู แต่ว่า “บนิ ” คลา้ ยกบั เป็นนก คําว่า “บนิ ” จงึ เป็นสํานวนใหม่ข้นึ คอื “บิน” หมายความว่า “ไปโดยเคร่อื งบิน” หรอื ช่อื ว่า “กรม ประชาสมั พนั ธ์” เราก็เอาช่อื “ประชาสมั พนั ธ์” มาใช้กนั เป็นกริ ยิ าประปรายแล้วซ่งึ จะต้องเป็น สํานวนใหม่ข้นึ อีก ต่อไปสํานวนจะต้องเกิดใหม่เสมอ มที างเดยี วกนั ก็แต่ว่าช่วยกนั ระวงั อย่าให้ ภาษามนั แปรปรวนไปนกั เท่านนั้ ๖.๖.๓ คาผญา ผญาเป็นคําภาษาไทยอีสาน สนั นิษฐานกนั ว่าน่าจะมาจากคําว่า “ปรชั ญา” ภาษาอสี าน ออกเสยี งควบ “ปร” ไปเป็นเสยี ง “ผ” ดงั ในคาํ วา่ เปรต เป็น เผต, โปรด เป็น โผด, หมากปราง เป็น หมากผางดงั นัน้ คําว่าปรชั ญา อาจเป็นผชั ญาแล้วเป็น ผญา อีกต่อหน่ึง๑๗ ผญา คอื คําพูด นักปราชญ์ซง่ึ แฝงไว้ด้วยคติ แง่คดิ และคําพูดทเ่ี ป็นหลกั วชิ าอนั แสดงถงึ ความรอบรคู้ วามสามารถ ของผพู้ ดู นบั วา่ เป็นคาํ พดู ของผทู้ ม่ี ปี ญั ญา เดมิ ผทู้ จ่ี ะพดู ผญาไดต้ ้องเป็นปราชญไ์ ดร้ บั ยกยอ่ งว่าเป็น คนมปี ญั ญารหู้ ลกั นกั ปราชญแ์ ละฉลาดในพระธรรมวนิ ยั กล่าวโดยสรปุ แลว้ คาํ ผญาคอื คาํ ภาษติ นนั่ เอง และถอื ว่าเป็นคาํ ปราชญ์ ต่อมามผี คู้ ดิ ผูก คาํ ผญาเป็นทาํ นองเกย้ี วพาราสี เพ่อื หลกี เลย่ี งการพดู ฝากรกั กนั ตรงๆ โดยใหผ้ ฟู้ งั สงั เกตเอาจากนัย แห่งคําพูดเอง ดงั นัน้ จงึ แบ่งออกเป็นผญาภาษิต และผญาเก้ียว ผญาภาษิตใช้พูดสงั่ สอนหรอื เตอื นใจในโอกาสต่างๆ เหมอื นภาษิตภาคกลาง เช่น ต้องการสงั่ สอนบุตรธดิ า ท่านก็เล่านิทาน เป็นอุทาหรณ์แทรกคตธิ รรมและภาษติ ทเ่ี ป็นผญาเตอื นใจ ทาํ ใหผ้ ฟู้ งั เกดิ ความซาบซง้ึ ประทบั ใจและ จดจาํ ไวเ้ ป็นแบบอย่างของการครองชวี ติ ต่อไป คาํ ผญาส่วนใหญ่เป็นคําคลอ้ งจอง บางทมี ลี กั ษณะ คลา้ ยโคลงสส่ี ุภาพของภาคกลาง เช่น “น้องอยากถามขา่ วออ้ ย ป้องถ่ี บรู พา ถามขา่ วพลใู บหนา ปง่ ซอน ใบซอ้ น ถามขา่ วพลลู ามค่าง ปลายซาน อา้ ยเขยี วก่อน เหลยี วเบง่ิ สองยอดเกย้ี ว เขยี วออ้ นอ่อนลง” “บุญมแี ลว้ แนวดปี ้องใส่ บญุ บไ่ ดแ้ นวขฮ้ี า้ ยแลน่ โฮม ( = เมอ่ื มบี ุญแลว้ จะประสบแต่ความดี งาม ครนั้ หมดบญุ กจ็ ะประสบแต่ความเลวรา้ ย ), น้องเอยความฮกั อ้ายน่ีมนั กลุม้ หรอื กะสุ่มงมุ หวั (= น้องเอยความรกั ทาํ ใหพ้ ก่ี ลุม้ เหมอื นเอาสุ่มคลุมหวั ), คนั น้องตายลงหมอ้ อเวจจี มจุ่ม อ้ายสดิ นั้ ลอด พน้ื เอาน้องออกล่ําแขง็ หนั่ แหล่ว (= แมน้ น้องจะตกอย่ใู นขมุ อเวจขี ุมใดกต็ าม พ่กี จ็ ะดนั้ ดน้ ตดิ ตาม น้องนํากลบั มาเป็นค่คู รอง) ฯลฯ”๒๖ ๒๖ สุพรรณ ทองคลา้ ย, “ผญา มรดกทางปัญญาของชาวพื้นถ่ินอีสาน”, ศลิ ปวฒั นธรรม, ปีท่ี ๓ ฉบบั ท่ี ๑๐ สงิ่ หาคม ๒๕๒๕), หน้า ๗๐-๗๒.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๖.๖.๔ คติชาวบ้าน คติชาวบ้าน หมายถงึ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเช่อื นิทาน ศลิ ปหตั ถกรรม ระบาํ การเตน้ ราํ ดนตรี ศาสนาและรวมถงึ การละเล่นต่างๆ ซง่ึ ชาวบา้ นไดย้ ดึ ถอื กนั มาหลายชวั่ อายคุ น เจ. รสั เซล รีฟเวอร์ (J. Russel Reaver) และยอรช์ ดบั บลิว. บอสเวลล์ (George W. Boswell) ไดแ้ บง่ ประเภทของขอ้ มลู คตชิ าวบา้ นเป็น ๔ ประเภท คอื ๒๗ ๑. คติชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกบั การกระทา ๒. คติชาวบ้านท่ีเก่ียวข้องกบั วิทยาศาสตร์ ๓. คติชาวบ้านท่ีเกี่ยวข้องกบั ภาษาศาสตร์ ๔. คติชาวบ้านที่เก่ียวข้องกบั วรรณกรรม คติชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกบั การกระทา ได้แก่ การส่อื ความหมายดว้ ยการใช้สญั ญาณ กิรยิ าท่าทาง การละเล่น การล้อเลยี นด้วยการกระทํา (ท่าทาง) ประเพณี มหรสพต่างๆ การ ประกอบพธิ ที างศาสนา ตลอดจนพธิ อี ่นื ๆ การเตน้ ราํ และดนตรี คติชาวบ้านท่ีเกี่ยวข้องกบั วิทยาศาสตร์ ได้แก่ความเช่อื ต่างๆ ความเช่อื เก่ียวกับ ปรชั ญาชาวบา้ น เทพนิยาย ผสี าง วญิ ญาณ การทํานาย วธิ กี ารรกั ษาโรค คตชิ าวบ้านดา้ นน้ีต้อง อาศยั รปู แบบของวรรณกรรม หรอื ภาษาศาสตร์ ตวั อย่างเช่น ถ้อยคาํ เก่ยี วกบั ความเช่อื เร่อื งเล่า เกย่ี วกบั เทพนิยาย นทิ านเรอ่ื งผวี ญิ ญาณการทาํ นายทต่ี ่อมาเป็นวรรณกรรม คติชาวบ้านที่เก่ียวข้องกบั ภาษาศาสตร์ ได้แก่การศกึ ษาในเร่อื งวาทการสทั ศาสตร์ ภาษาทอ้ งถนิ่ (หน่วยคํา, การสมั พนั ธป์ ระโยค ฯลฯ) วลี ขอ้ ความ มุขตลก (คําพูด) ขบขนั เวท มนต์ หรอื คาถาคําอวยพร คําแช่งด่า ภาษิตพังเพยและปริศนาคําทาย คติชาวบ้านประเภท ภาษาศาสตรน์ ้เี กย่ี วขอ้ งกบั ประเภทวรรณกรรม คติชาวบา้ นท่ีเก่ียวข้องกบั วรรณกรรม ไดแ้ ก่นิทานปรมั ปรานิทานทอ้ งถ่ิน มหากาพย์ เพลง กาพย์กร่อน ท่ใี ช้กนั แม้นักคติชาวบ้านและนักมานุษยวิทยาจะแบ่งประเภทคตชิ าวบ้าน แตกต่างกนั แต่เน้ือความกอ็ ยใู่ นบรบิ ทดงั กลา่ ว และถอื ว่าคตชิ าวบา้ นเป็นมรดกหรอื สมบตั ขิ องชาติ เป็นพน้ื เรอ่ื งเกย่ี วกบั ชวี ติ ของมนุษยแ์ ต่ละชาตแิ ต่ละภาษา มกี ารจดจาํ และถอื ปฏบิ ตั กิ นั ต่อๆ มา๒๘ คติชาวบ้าน เป็นภูมิปญั ญาท่ีมคี วามสมั พนั ธ์กับประเพณี และวัฒนธรรมอย่างมาก เพราะวฒั นธรรมประเพณเี ป็นพน้ื ฐานความคดิ ความเช่อื ของชาวบา้ น ขณะเดยี วกนั เน้ือหาสาระของ ความเป็น “คติชาวบ้าน” จะกินความทงั้ คําสุภาษิต คําพงั เพย สํานวนโวหาร และคําผญาใน ๒๗ พระครวู นิ ยั ธรรมประจกั ษ์ จกฺกธมฺโม, พระพุทธศาสนากบั ภมู ปิ ญั ญาไทย, อ้างใน J.Russell Reaver G George w. Boswell,Fundamentals of Folk Literature, p.p. 12-13. ๒๘ เทอื ก กุสุมา ณ อยุธยา, คติชาวบ้าน, ค่มู ือวิชาภาษาไทย เล่ม ๓, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : สํานกั พมิ พ์ แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๖), หน้า ๓๐๓-๓๐๕.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ฐานะเป็นสว่ นหน่งึ ของคตชิ าวบา้ น ในทน่ี ้ีจงึ นําเอาหรอื กล่าวถงึ วฒั นธรรมและประเพณคี วบค่ไู วก้ บั คตชิ าวบา้ นแต่เพยี งเลก็ น้อย ดงั น้คี อื “วฒั นธรรม คอื วถิ ี หรอื ดาํ เนินของชวี ติ ของชุมนุมชนหมหู่ น่ึงซง่ึ รวมอยรู่ วมกนั ในทห่ี น่ึง หรอื ประเทศหน่งึ โดยเฉพาะ” และ “เพ่งเลง็ ถงึ ความเป็นอยขู่ องคนในส่วนรวมไมเ่ ฉพาะเอกชน หรอื คนๆ เดยี ว สง่ิ ต่างๆ ทุกสง่ิ ทุกอย่างซ่งึ มนุษยเ์ ป็นผู้ทํา หรอื ปรุงแต่งสรา้ งขน้ึ หรอื ดดั แปลงแก้ไข เฉพาะสง่ิ ท่มี อี ยู่แล้วตามธรรมชาติ เพ่อื ประโยชน์แห่งความเป็นอยู่ของตนโดยส่วนรวมไม่ได้มุ่ง เฉพาะตวั คนเดยี ว กเ็ ป็นวฒั นธรรมทงั้ สน้ิ ”๒๙ “วฒั นธรรม คอื ผลรวมแหง่ การสรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ ซง่ึ ไดม้ าจากประสบการณ์ของกลุ่ม ชนในอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั วฒั นธรรมยอ่ มหมายรวมถงึ สงิ่ ทงั้ ปวงทม่ี นุษยไ์ ดท้ ําขน้ึ ในรปู ของเคร่อื งมือ อาวุธ ท่อี ยู่อาศยั สนิ ค้า และความเป็นไปทางวตั ถุอ่นื ๆ หมายรวมถึงสง่ิ ทงั้ ปวงท่มี นุษย์ทําให้ ประณีตขน้ึ พฒั นาขน้ึ ไม่ว่าจะเป็นกริ ยิ าท่าทางความเช่อื กฎหมาย ศลิ ปะ ความรตู้ ่างๆ ปรชั ญา และองคก์ ารทางสงั คมต่างๆ” นักมานุษยวิทยา ช่อื เฮอรส์ โควทิ ส์ (Heraskovits) จําแนกองค์ประกอบ หรอื ประเภท ของวฒั นธรรมไวเ้ ป็น ๕ กลมุ่ ดว้ ยกนั คอื ๓๐ ๑. วฒั นธรรมทางวตั ถุ และการใช้ (Material Culture) เป็นพวกเครอ่ื งใชไ้ มส้ อย โต๊ะ เกา้ อ้ี บา้ นเรอื น เสอ้ื ผา้ รวมถงึ เทคโนโลยี เศรษฐกจิ การผลติ การบรโิ ภคดว้ ย ๒. สถาบนั สงั คม (Social Institution) สถาบนั คอื สถานท่ที ม่ี คี น กลุ่มคน ทํางาน ร่วมกนั มเี ป้าหมายร่วมกนั การทํางานสมั พนั ธก์ นั อาจเป็นกลุ่มคน หรอื บุคคลท่รี วมอํานาจหรอื เป้าหมาย เช่น กษัตรยิ ์แบ่งเป็น สถาบนั กษัตริย์ สถาบนั ศาสนา สถาบนั ครอบครวั เป็นต้น สถาบนั แต่ละสถาบนั จะมลี กั ษณะเฉพาะตวั มบี ทบาทแตกต่างกนั ไป ตวั บุคคลแต่ละคนมหี น้าท่ี ต่างๆ กนั และองคป์ ระกอบของโครงสรา้ งของสถาบนั หน่งึ ยอ่ มแตกต่างกบั อกี สถาบนั หน่งึ ๑. มนุษย์กับจักรวาล เป็ นเร่ืองของความเช่ือท่ีเก่ียวข้องกับศาสนา อํานาจ ความสามารถของมนุษย์ และสง่ิ แวดลอ้ ม อุดมการณ์ความลกึ ลบั ของจกั รวาล ฯลฯ ๒. สนุ ทรยี ภาพ (Aesthetics) ไดแ้ ก่ ดนตรี ศลิ ปะ วรรณกรรม เรอ่ื งของสุนทรยี ภาพน้ีมี คคุ า่ เหนือประโยชน์การใชส้ อยเน้นศลิ ปะ และความงาม ๓. ภาษา นักวชิ าการและผู้เช่ยี วชาญด้านน้ี แต่ละคนจะแบ่งย่อยเป็นประเภทๆ ของ วฒั นธรรมไมเ่ หมอื นกนั แต่โดยภาพรวมแลว้ สามารถมองโครงสรา้ ง หรอื องคป์ ระกอบของวฒั นธรรม ได้เป็น ๒ ลกั ษณะคือ หนึ่ง วฒั นธรรมที่เกี่ยวข้องกบั การดารงชีวิตโดยตรง เช่น อาหาร เคร่อื งใชไ้ มส้ อย ท่อี ย่อู าศยั เส้อื ผ้า มรรยาทต่างๆ กฎหมาย ภาษา การปกครอง ฯลฯ และ สอง ๒๙ พระยาอนุมานราชธน, วฒั นธรรมและประเพณีต่างๆ ของไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์เจรญิ ธรรม, ๒๕๑๖), หน้า ๙. ๓๐ บปุ ผา บญุ ทพิ ย,์ คติชาวบา้ น, (กรงุ เทพมหานคร : ประชาชน, ๒๕๓๑), หน้า ๑๓.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ วฒั นธรรมที่ไมเ่ ก่ียวข้องกบั การดารงชีวิตโดยตรง แต่ช่วยจรรโลงใจ ยดึ เหน่ียวจติ ใจ เป็นเคร่อื ง สง่ เสรมิ สตปิ ญั ญาเชน่ ศลิ ปะต่างๆ ความเชอ่ื ศาสนา ฯลฯ สาํ หรบั ประเพณี คอื ความประพฤตทิ ช่ี นหม่ใู ดหม่หู น่ึงอย่ใู นทแ่ี ห่งหน่ึง ถอื เป็นแบบแผน กนั มาอย่างเดียวกันและสืบต่อกันมาช้านานถ้าใครในหมู่เหล่าประพฤติออกนอกแบบก็เป็นผิด ประเพณี ถา้ เป็นธรรมเนยี มประเพณี การทาํ ผดิ นนั้ ไมถ่ อื วา่ เป็นเรอ่ื งรนุ แรง หากเป็นจารตี ประเพณี การทาํ ผดิ จารตี ประเพณอี าจมกี ารถูกลงโทษ หรอื เป็นทร่ี งั เกยี จของสงั คม ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคตชิ าวบา้ น ประเพณแี ละวฒั นธรรม คอื ประเพณี เป็นส่วนหน่ึงของ วฒั นธรรม ขณะเดยี วกนั ประเพณีชาวบ้านเป็นส่วนหน่ึงของคตชิ าวบ้าน และคตชิ าวบ้านเป็นส่วน หน่งึ ของวฒั นธรรม เพราะวฒั นธรรมกนิ ความกวา้ งกวา่ คตชิ าวบา้ น ดงั แสดงเป็นแผนผงั วฒั นธรรม คติชาวบ้าน ประเพณี ๖.๗ ลกั ษณะที่เป็นภมู ิปัญญาไทย ภมู ปิ ญั ญาไทย หมายถงึ ความรคู้ วามสามารถ วธิ กี ารผลงานทค่ี นไทยไดค้ น้ ควา้ รวบรวม และจดั เป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรบั ปรุง จากคนรุ่นหน่ึงมาส่คู นอกี รนุ่ หน่ึงจนเกดิ ผลติ ผลทด่ี ี งดงาม มี คุณคา่ มปี ระโยชน์ สามารถนํามาแกป้ ญั หาและพฒั นาวถิ ชี วี ติ ไดแ้ ต่ละหมบู่ า้ น แต่ละชุมชนไทย ลว้ น มกี ารทาํ มาหากนิ ทส่ี อดคลอ้ งกบั ภูมปิ ระเทศ มผี ูน้ ําท่มี คี วามรู้ มฝี ีมอื ทางช่าง สามารถคดิ ประดษิ ฐ์ ตดั สนิ ใจแกป้ ญั หาของชาวบา้ นได้ ผนู้ ําเหล่าน้ี เรยี กว่า ปราชญช์ าวบา้ น หรอื ผทู้ รงภมู ปิ ญั ญาไทย ๖.๗.๑ ลกั ษณะของภมู ิปัญญาไทย ๑. ภมู ปิ ญั ญาไทยมลี กั ษณะเป็นทงั้ ความรู้ ทกั ษะ ความเชอ่ื และพฤตกิ รรม ๒. ภูมปิ ญั ญาไทยแสดงถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม และคนกบั สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ ๓. ภมู ปิ ญั ญาไทยเป็นองคร์ วมหรอื กจิ กรรมทุกอยา่ งในวถิ ชี วี ติ ของคน ๔. ภมู ปิ ญั ญาไทยเป็นเร่อื งของการแกป้ ญั หา การจดั การ การปรบั ตวั และการเรยี นรู้ เพ่อื ความอยรู่ อดของบคุ คล ชุมชน และสงั คม ๕. ภมู ปิ ญั ญาไทยเป็นพน้ื ฐานสําคญั ในการมองชวี ติ เป็นพน้ื ฐานความรใู้ นเรอ่ื งต่างๆ

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๗๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๖. ภมู ปิ ญั ญาไทยมลี กั ษณะเฉพาะหรอื มเี อกลกั ษณ์ในตวั เอง ๗. ภมู ปิ ญั ญาไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงเพ่อื การปรบั สมดลุ ในพฒั นาการทางสงั คม จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ สามารถสรปุ ยอ่ ลกั ษณะของภมู ปิ ญั ญาในมติ ศิ าสนาไดด้ งั น้ี ๖.๗.๒ ภมู ิปัญญาไทยมีลกั ษณะเป็นปัจเจกนิยม ลกั ษณะปัจเจกนิยม อาจเกดิ จากอทิ ธพิ ลคาํ สอนเรอ่ื งบญุ กรรมทค่ี นไทยเขา้ ใจและตคี วาม นนั่ คอื ความเช่อื ของคนไทยทว่ี ่า ตนเองเกดิ มาเพ่ือชดใชก้ รรมทไ่ี ดท้ าํ ไวแ้ ต่ชาตปิ างก่อน และแต่ละ บุคคลควรจะสะสมบุญเพ่อื ตนเองจะไดใ้ ชช้ วี ิตทส่ี ุขสบายกว่าในชาตหิ น้า การสรา้ งบุญกุศลเป็นเร่อื ง ของปจั เจกบคุ คล ซง่ึ จะตอ้ งรบั ผดิ ชอบต่อตนเองไม่เกย่ี วขอ้ งกบั ผอู้ ่นื ๓๑ ลกั ษณะความเช่อื ดงั กล่าวน้ี ถอื วา่ เป็นพทุ ธศาสนาแบบชาวบา้ น หรอื แบบประชานิยม (Poppular Buddhism) ทผ่ี ศู้ กึ ษานําเอา บางแง่บางมุมมาเน้นแทนการมองพระพุทธศาสนาทงั้ หมด ซ่งึ มคี ําสอนหลายลกั ษณะลกั ษณะ ปจั เจกนิยมกม็ กี ารสอนไวด้ ้วยมุ่งในแง่ปฏบิ ตั นิ ิยมในลกั ษณะสงั คมนิยม หรอื อญั ญนิยม (Altruism) อนั หลากหลาย และปจั เจกนิยมของคนไทยกม็ ลี กั ษณะเชงิ ปฏบิ ตั เิ ช่นเดยี วกนั ดงั ทไ่ี ตรภูมพิ ระรว่ ง ประกาศว่า “ผู้ใดกระทาบุญแต่ก่อน คอื ว่าไดป้ ฏบิ ตั บิ ูชาแก่พระศรรี ตั นตรยั แล้วรจู้ กั คุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจา้ พระสงั ฆเจา้ และใหท้ า่ นรกั ษาศลี เมตตาภาวนา ครนั้ ตายกเ็ อาตนไปเกดิ ในสวรรค์ ลาง คาบเลา่ ไดไ้ ปเกดิ เป็นทา้ วเป็นพญาผใู้ หญ่และมศี กั ดม์ิ ยี ศบรวิ ารเป็นอเนกอนนั ตไ์ ส”๓๒ น้ีคอื การช้ใี ห้เห็นว่า “บุญกรรม” ทําให้คนเราไม่เท่ากนั การท่ผี ู้ใดใครผู้หน่ึงเกิดมามน ตระกลู ขนุ นางทม่ี งั่ คงั่ หรอื ไดต้ าํ แหน่งทส่ี งู ๆ นนั้ เป็นเพราะผลบุญทผ่ี นู้ นั้ ได้ สรา้ งสมไวน้ นั่ เอง และ มองทางดา้ นการเมอื งผู้ปกครองกม็ สี ทิ ธอิ นั ชอบธรรมท่จี ะปกครองคนอ่นื ส่วนสุภาษติ พระรว่ งทว่ี ่า “ทมี่ ภี ยั พงึ หลกี ตนไปโดยด่วน” ก็ดี หรอื สุนทรภู่ใหพ้ ระฤาษสี อนสุดสาคร ว่า “รสู้ งิ่ ไดไม่รสู้ ู้วชิ า รู้ รกั ษาตวั รอดเป็นยอดด”ี กด็ ี กม็ ลี กั ษณะ เช่นเดยี วกนั แต่จะตคี วามใหม้ ลี กั ษณะ “รหู้ ลบเป็นปีก รู้ หลกี เป็นหาง”ไมย่ อมออกมาต่อสเู้ พ่อื แก้ไขสถานการณ์ขาดจติ สาํ นึกทางสงั คม หรอื ทาํ นอง “มอื ใคร ยาวสาวไดส้ าวเอา” กม็ ที างเป็นไปได้ เพราะคนไทยเช่อื ว่าคานิยม “บา้ นใครใครอยู่ อู่ใครใครนอน” อยู่แล้ว ซ่งึ เป็นอิทธพิ ลจากธรรมชาติของตนเองท่รี กั อิสระหรอื ความเป็นไท และอาจเกิดจาก ลกั ษณะพเิ ศษของคนไทยเองดว้ ยกไ็ ด้ “วา่ ถงึ การนบั ถอื พระพุทธศาสนาของคนไทยกม็ ลี กั ษณะพเิ ศษของตนเอง แมจ้ ะนบั ถอื สบื ต่อกันมาแต่บรรพบุรุษแต่ก็ไม่อยู่ในฐานะท่ีงมงาย เป็นแต่คนไทยรู้จกั ดัดแปลงรบั เอาแต่สงิ่ ท่ี เอ้อื อํานวยต่อประโยชน์สุขและเหมาะสมกบั อธั ยาศยั ของตนเองมาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ด้วยคนไทย ยอมรบั พระพุทธศาสนาวา่ เป็นศาสนาประจาํ ชาตกิ เ็ พราะมงุ่ ประโยชน์ปจั จบุ นั มากกว่าอนาคต”๓๓ ๓๑ ยศ สนั ตสมบตั ิ และคณะ, “บคุ ลิกภาพและวฒั นธรรมไทย : การวิเคราะหข์ ้อมลู เบอื้ งต้น” วารสารธรรมศาสตร์, ปี ท่ี ๑๓ เลม่ ท่ี ๓ กนั ยายน ๒๕๒๗), หน้า ๑๑๖. ๓๒ ไตรภมู ิพระรว่ งของพระยาลิไท, (พระนคร : คลงั วทิ ยา ๒๕๑๕), หน้า ๙๔. ๓๓ เฉลมิ จนั ปฐมพงศ์ กบั คณะ, ประวตั ิศาสตรก์ บั สงั คมไทย (นนทบรุ ี : สนพ. เสถยี รไทย, ๒๕๒๐), หน้า ๑๖๖.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ สรุปความว่าภมู ปิ ญั ญาไทยมลี กั ษณะเป็นปจั เจกนิยม อนั เป็นผลจากธรรมชาตคิ วามเป็น คนไทยบวกกบั ค่านยิ มทางศาสนาทต่ี นยดึ ถอื เอามาตาม ลกั ษณะพเิ ศษของตน๓๔ ๖.๗.๓ ภมู ิปัญญาไทยมีลกั ษณะเป็นวิญญาณนิยมและเจตภตู นิยม ดงั กล่าวแลว้ ในเบอ้ื งต้นว่าศาสนาพราหมณ์ และพระพุทธศาสนามไิ ดป้ ฏเิ สธความเช่อื ถอื ดงั้ เดิมของคนไทย การนับถือผีหรือเทพในลกั ษณะต่างๆ จงึ ดําเนินไปพร้อมๆ กับการนับถือ พระพุทธศาสนาดงั คาํ ในศลิ าจารกึ ของพ่อขนุ รามคําแหงว่า “เบอ้ื งหวั นอนเมอื งสุโขทยั มกี ุฏิ วหิ าร ป่คู รูอยู่ มสี รดี ภงค์ มปี ่าพรา้ ว มปี ่าลาง มปี ่าม่วง ป่าขาม มนี ้ําโคก มพี ระขะพุงผี เทพดาในเขา อนั นนั้ เป้ฯใหญ่กว่าทุกผใี นเมอื งน้ี ขนุ ผใู้ ดถอื เมอื งสโุ ขทยั น้แี ลไ้ หวด้ ี พลถี ูก เมอื งน้ีเทย่ี ง เมอื งน้ีดี ผไิ หวบ้ อ่ ี พลบี ่ถูก ผใี นเขาอนั้ บค่ ุม้ บ่อเกรง เมอื งน้หี าย”๓๕ ดงั นัน้ การนับถอื ผหี รอื เทพจงึ เป็นผลของววิ ฒั นาการทางศาสนาในระยะแรกๆ ซ่งึ เป้นค วามเช่อื ของชนหลายชาตหิ ลายภาษาทวั่ โลก ความเช่อื ว่าผหี รอื เทพมอี ํานาจบนั ดาลสุขทุกขใ์ ห้แก่ คนเราและสงั คมได้เป็นความเช่อื ท่ปี ระจกั ษ์โดยทวั่ ไป อดอล์ฟ บาสเตยี น (Adolf Bastian) เดนิ ทางมาเมอื งไทยในสมยั รชั กาลท่ี ๔ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทรไ์ ดเ้ ล่าเร่อื งผแี ละเทพเจา้ ของคนไทยไว้ เป็นอเนกประการ เรม่ิ ต้นแต่ภมู เิ จา้ ทเ่ี ร่อื ยไปจนถงึ ผเี สอ้ื น้ําหรอื ยกั ษ์ตลอดการเล่นคุณไสย๓๖ เช่น ควายธนูของคนไทย มผี ศู้ กึ ษาเรอ่ื งผขี องคนไทยปจั จบุ นั ไดส้ รปุ ออกมา ๔ ประเภทคอื ๑) เจ้าพ่อ : ใช้เรยี กเทพเจา้ หรอื ผชี นั้ สูงโดยเฉพาะเทพเจา้ ในศาสนาพุทธและฮนิ ดู ตลอดจนผคี นสาํ คญั ทเ่ี คยประกอบคุณงามความดสี มยั ทย่ี งั มชี วี ติ เชน่ ทา้ วเวสสุวณั , ทา้ วมหาพรหม , พระเจา้ อ่ทู อง, สมเดจ็ พระนเรศวร, เจา้ พอ่ เขาตก ฯลฯ เจา้ พ่อทห่ี มายถงึ เทพเจา้ ในพระพุทธศาสนาและฮนิ ดู ตลอดจนผคี นสําคญั ทเ่ี คยประกอบ คุณงามความดมี าสมยั ทย่ี งั มชี วี ติ อยนู่ นั้ เป็นผลสบื เน่อื งมาจากความเช่อื ในเร่อื งวญิ ญาณของมนุษย์ มาตงั้ แต่ยุคดกึ ดําบรรพ์ ซง่ึ เป็นความเช่อื อย่างบรสิ ุทธใิ จ เป็นความพยายามของมนุษยท์ จ่ี ะเจา้ ใจ ใหไ้ ดว้ ่าเมอ่ื วญิ ญาณมอี ยใู่ นร่างกายมนุษย์ และเม่อื มนุษยส์ น้ิ ลมหายใจไปแลว้ วญิ ญาณจะเดนิ ทาง ไปอยไู่ หน ความคดิ เหน็ ในเรอ่ื งน้มี ไี ปคนละทรรศนะ มสี ่ิงทน่ี ่าวงั เกตอยา่ งหน่ึง คอื มนุษยบ์ ุพกาลมี ความเหน็ วา่ กระทาํ ของมนุษยเ์ ป็นการกระทาํ ของวญิ ญาณทม่ี อี ยใู่ นร่างกายของมนุษย์ วญิ ญาณเป็น เจา้ ของกจิ กรรมทงั้ หมดของมนุษย์ สตั วด์ ุรา้ ย มนุษยด์ ุร้าย กเ็ พราะมวี ญิ ญาณดุรา้ ย ยงิ่ กว่านัน้ วญิ ญาณมชี วี ติ อย่อู ย่างต่อเน่ือง ความเช่อื เช่นน้ีเป้นความเช่อื ท่สี ําคญั เป็นความเช่อื ทท่ี ําให้เกดิ อารยธรรมขน้ึ มา แต่เร่ืองวิญญาณได้กลายมาเป็นเร่อื งศักดิส์ ิทธิ ์ เพราะตัง้ แต่บุพกาลมาจนถึงปจั จุบนั คําตอบเร่อื งวญิ ญาณในหมู่มวลมนุษย์ก็ยงั ไม่กระจ่างชดั กลายเป้ฯความคิดเหน็ นานาทรรศนะ ๓๔ มหาจุฬาฯ วชิ าการ, ปรชั ญาบรุ พทิศ, หน้า ๑๑๖-๑๑๘. ๓๕ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๑๕. ๓๖ เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง), การศึกษาเรื่องประเพณีไทย, (กรุงเทพมหานคร : หน่วยพมิ พ์และจาํ หน่ายศาสนาภณั ฑ,์ ๒๕๑๔), หน้า ๑๙๖.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ อย่างเช่นเดิมจึงทําให้วิญญาณกลายเป็นส่ิงล้ีลับดังท่ี รูดอล์ฟ อ๊อตโต เรียกว่า Mysterium Tremendum๓๗ โดยเรมิ่ ตน้ มาจากการบชู าวญิ ญาณบรรพบุรษุ ความสมั พนั ธท์ างจติ ใจในครอบครวั เป็นความสําคญั ทล่ี กึ ซง้ึ มาก แมแ้ ต่ความตายกย็ งั ไมส่ ามารถจะตดั สายสมั พนั ธน์ ้ีได้ ความรกั ความ อาลยั ยงั คงอยซู่ ง่ึ ก่อใหเ้ กดิ ความเชอ่ื ว่า ผตู้ ายยงั อยใู่ นรปู ของผี หรอื วญิ ญาณ เม่อื วญิ ญาณยงั อยกู่ ม็ ี การปฏบิ ตั ติ ่อวญิ ญาณในลกั ษณะต่างๆ ก่อนอ่นื ก็ต้องกําหนดท่ีอยู่ให้วญิ ญาณ บางวฒั นธรรมก็ กําหนดใหอ้ ย่ภู ายในบา้ นเรอื นนนั้ เอง บางวฒั นธรรมกก็ ําหนดใหอ้ ยโู่ ดยสรา้ งอาคารขนาดเลก็ ใหอ้ ยู่ ภายในอานาบรเิ วณบ้านเรอื น บางวฒั นธรรมก็ให้อยู่ท่หี ลุมฝงั ศพซ่ึงตกแต่งไว้เป็นอย่างดี บาง วฒั นธรรมกใ็ หอ้ ยู่ในศาลท่สี รา้ งไวต้ ามหวั ไร่หวั นา ทม่ี ที อ่ี ยแู่ ลว้ กจ็ ะมกี ารปฏบิ ตั บิ ํารุงโดยวธิ ใี ห้ขา้ ว น้ํา และดอกไมธ้ ปู เทยี น บนบานศาลกลา่ วเป็นประจาํ หรอื เป็นครงั้ คราว แมก๊ ซ์ มุลเลอร์ เห็นว่าการบูชาบรรพบุรุษน้ีเองอาจนําไปสู่แนวคิดเร่อื ง พระเจ้าผู้ ยง่ิ ใหญ่ เขาเขยี นไวว้ ่า “มนุษยต์ งั้ แต่สมยั ดกึ ดาํ บรรพม์ าแลว้ ได้คน้ พบว่ามอี ะไรบางอย่างในพ่อแม่ และในบรรพบุรุษซง่ึ ไม่ใช่ “มนุษยธ์ รรมดา” แต่มลี กั ษณะ “เหนือมนุษย์” เฉพาะอย่างยง่ิ เม่อื ท่าน ล่วงลบั ไปแลว้ ดงั นัน้ จงึ มกี ารอนุรกั ษ์ช่อื ท่านไว้ ทําพธิ รี ะลกึ ถงึ ท่าน บนั ทกึ คําพูดของท่านไว้ จน คาํ พดู เหล่านนั้ ไดก้ ลายเป็นบทบญั ญตั ทิ ม่ี อี ํานาจแบบกฎหมายไป เมอ่ื ความทรงจาํ เกย่ี วกบั พ่อ ปู ปูทวดและบรรพบุรุษท่หี ่างไกลออกไปเรมิ่ เลอื นลาง ลงนามของท่านกเ็ รมิ่ มรี งั สแี ห่งศาสนาอ่อนๆ เขา้ ห่อหุม้ พรรพบรุ ษุ ทงั้ หลายซง่ึ ไมใ่ ชม่ นุษยธ์ รรมดาอกี ต่อไปแลว้ กเ็ ขา้ ใกลค้ วามเป็น “อภิมนุษย”์ เขา้ ไปทุกที และอยใู่ นฐานะไมห่ ่างไกลจากเทพเจา้ ”๓๘ เคร่อื งสงั เวยชนิดทเ่ี คยถวายแก่เทพเจา้ แห่งปรากฏการณธรรมชาตกิ ไ็ ดถ้ ูกนํามาถวายแก่ วญิ ญาณของบรรพบุรุษด้วย ต่อมาก็เกดิ มคี ําถามขน้ึ มาโดยธรรมชาติว่าใครเป็นบรรพบุรุษของ บรรพบรุ ษุ ทงั้ ปวงเป็นบดิ าของบดิ าทงั้ ปวง คาํ ตอบโดยธรรมชาตกิ ค็ อื ว่าหาใช่ใครอ่นื ไมก่ ไ็ ดแ้ ก่ บดิ า ผู้สรา้ ง และคุ้มครองเอกภพผู้เต็มดว้ ยความรกั คนเดมิ ท่คี นคน้ พบว่าอย่เู บ้อื งหลงั ธรรมชาตนิ ัน่ เอง องค์ปฐมบรรพบุรุษน้ี ชาอารยนั โบราณเรยี กว่า ดยาอสุ ซง่ึ ไดแ้ ก่ทอ้ งฟ้าและเทพเจา้ ผู้ยงิ่ ใหญ่ซง่ึ ต่อมาไดน้ ามว่า ดยาอสุ ปิ ตาร (พระบดิ าแหง่ สวรรค)์ ขาวกรกี เรยี กว่า ซอี ุส-ปาตรี ์ และจู ปีเตอร์ ในภาษาละตนิ ๓๙ ชาวมงโกลไซบเี รยี ถอื ว่าวญิ ญาณของบรรพบุรษุ เป็นพลงั อํานาจอนั ยงิ่ ใหญ่ประเภทหน่ึง ต่างหากจากเทพเจา้ แต่กเ็ คารพบชู าและปรนนิบตั ทิ งั้ วญิ ญาณบรรพบรุ ษุ และเทพเจา้ โดยถอื ว่าเป้ฯ ตวั แทนในโลกวญิ ญาณเชน่ เดยี วกนั แต่ชาวมงโกลเผ่าตุงกูเชเคารพนบั ถอื บรรพบุรุษมากกว่า เวลา ฟ้ าฝนไม่ตกเขาจะทําพิธีบูชาขอฝนพอเป็นพิธีตามธรรมเนียมเท่านัน้ แต่จะวิงวอนขอความ ชว่ ยเหลอื จากวญิ ญาณบรรพบุรษุ อยา่ งจรงิ จงั ๔๐ ๓๗ ฟ้ืน ดอกบวั , พระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทย, (กรงุ เทพมหานคร : ศลิ ปาบรรณาคาร, ๒๕๔๒), หน้า ๒๑-๓๙. ๓๘ พระครูวนิ ัยธรประจกั ษ์ จกฺกธมฺโม, พระพุทธศาสนากบั ภูมปิ ญั ญาไทย, อา้ งใน Max Muller, Natural Religion, p. 575. ๓๙ Ibid. p. 305. ๔๐ พระครวู นิ ยั ธรประจกั ษ์ จกฺกธมฺโม, พระพทุ ธศาสนากบั ภมู ิปัญญาไทย, หน้า ๕๖.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ วญิ ญาณของหวั หน้าเผ่าของกษตั รยิ แ์ ละของนักรบคนสําคญั มกั จะได้รบั การเคารพนับถอื เป็นพิเศษเสมอ วญิ ญาณเหล่านัน้ อยู่ในฐานะเกือบเท่าหรอื เท่าเทพเจ้า และยงั คงเอาใจใส่ต่อ สวสั ดกิ ารของเผ่าอย่างใกลช้ ดิ มกี ารมาเขา้ ทรง แจง้ ข่าวสาร และให้คาํ แนะนําต่างๆ แก่คนในเผ่า ของตน บางครงั้ ก็ถึงกับปรากฏตวั ช่วยในการรบกับเผ่าอ่ืนท่เี ป็นศัตรูในสงั คมไทยนัน่ เอง เม่อื ประเทศชาตติ กอยใู่ นภาวะคบั ขนั กจ็ ะมกี ารบนบานบวงสรวงต่อวญิ ญาณของอดตี วรี กษตั รยิ ์ เจา้ พอ่ เช่น ทา้ วเวสสุวรรณ ทา้ วมหาพรหม พระเจา้ อู่ทอง สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เจา้ พ่อเขาตก สมเดจ็ พระปิยะมหาราช ฯลฯ กม็ คี วามเป็นมาตามนยั ดงั กล่าว ๒) หลกั เมือง : เรยี กกนั ทวั่ ไปว่า “เจา้ พอหลกั เมอื ง” เกดิ ขน้ึ จากความเชอ่ื ทว่ี ่าเมอ่ื สรา้ ง เมอื งขน้ึ มากย็ อ่ มมผี คี อยเฝ้าดแู ล “หลักเมือง”๔๑ พจนานุกรฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้คํานิยามไว้ว่า “เสาเอกของเมือง” ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤตมคี ําศพั ท์ “อินฺทขีล” แปลว่าหลกั เมอื งและเสา เขอ่ื น ประเพณีแต่โบราณได้ยดึ ถือและปฏบิ ตั ิสบื ๆ ต่อกนั มกลาวคือการสร้างบ้านสรา้ งเมอื ง จาํ เป็นจะต้องทําพธิ ยี ก “เสาเอกของเมือง” หรอื “เสาหลกั เมือง” เพ่อื เป้ฯสริ มิ งคลแก่บ้านแก่ เมอื ง ส่วนสถานทจ่ี ะยกหลกั เมอื งนนั้ จาํ เป้ฯตอ้ งแสวงหาทอ่ี นั เหมาะสมและประกอบไปดว้ ยชยั ภูมอิ นั เป็น “มงคลสถาน” จงึ จะควรแก่ท่จี ะยกหลกั เมอื ง การสร้างบ้านสร้างเมอื งย่อมมคี วามสําคญั เพราะเป็นสถานทอ่ี ยอู่ าศยั ของประชาชน หลกั เมอื งทย่ี กขน้ึ นนั้ ย่อมจะเป็นกําลงั ใจและมง่ิ ขวญั ของ ประชาชน ถ้าประชาชนมกี ําลงั ใจโน้มน้าวใหบ้ งั เกดิ ความเช่อื มนั่ ในหลกั บา้ นหลกั เมอื งนัน้ เมอื นัน้ ประชาชนกจ็ ะอยเู่ ป็นสุข มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งสถาพร หลักเมองส่วนมากทําด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ท่ีทําด้วยหินก็มี อย่างเสาหลักเมืองข้าง กระทรวงกลาโหม ตามเอกสารโบราณกล่าวว่าทําดว้ ยไมช้ ยั พฤกษ์ และมไี มแ้ ก่นจนั ทน์ประดบั นอก สูง ๑๕๗ น้ิว สูงพ้นจากพ้นื ดินข้นึ มา ๑๐๘ น้ิว ฝงั ลกึ ลงดิน ๗๙ น้ิว เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ประมาณ ๒๙.๕ น้วิ ฐานเป็นแทน่ กวา้ งประมาณ ๖๙.๕ น้วิ ตวั เสาหลกั เมอื งลงรกั ปิดทอง ปลาย เสาทําเป็นบัวตูมหรือหัวเม็ดทรงมัณฑ์ภายในกลวงเป็นช่องสําหรบั บรรจุดวงชะตาพระนคร รตั นโกสนิ ทรห์ ลกั เมอื งดงั กล่าวน้ี พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาดลกมหาราชพระปฐมบรม ราชจกั รวี งศ์ โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาประกอบราชพธิ ยี กหลกั เมอื งเม่อื วนั อาทติ ย์ ข้นึ ๑๐ ค่ํา เดอื น ๖ ปีขาล จุลศกั ราช ๑๑๔๔ ตรงกบั วนั ท่ี ๒๑ เมษายน พุทธศกั ราช ๒๓๒๕ เวลา ๐๖.๕๔ นาฬกิ า ในประเทศพบว่ามกี ารสรา้ งหรอื ยกเสาหลกั เมอื งมานานแลว้ สมเด็จพระบรมวงศเ์ ธอ กรม พระยาดํารงราชานุภาพ ได้พระราชทานอธบิ ายเรอ่ื งหลกั เมอื งแก่หมอ่ มราชวงศ์สุมนชาตสิ วสั ดกิ ุล ๔๑ เทมิ มเี ตม็ , หลกั เมอื ง ในสารานุกรมวฒั นธรรมไทยภาคกลาง เลม่ ๑๕, (กรงุ เทพมหานคร : มลู นิธสิ ารานุกรมวฒั น ไทย ธนาคารไทยพานชิ , สยามเพรส แมเนจเมน้ ท์, ๒๕๔๒), หน้า ๗๐๗๔–๗๐๘๓.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ว่า ตวั อยา่ งหลกั เมอื งทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดในสยามประเทศ คือหลกั เมอื งศรเี ทพในแถบจงั หวดั เพชรบูรณ์ ทาํ ดว้ ยศลิ าจารกึ ขณะน้ีอย่ทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาตจิ งั หวดั เพชรบูรณ์ หลกั เมอื งศรเี ทพทาํ เป็น รปู ตาปหู วั เหด็ พิธียกเสาหลักเมืองคงจะทํากันมาแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุง รตั นโกสนิ ทร์ แต่พยี กเสาหลกั เมอื งเฉพาะกรงุ สโุ ขทยั ยงั ค้นไม่พบหลกั ฐานการยกหลกั เมอื งหรอื เสา หลกั เมอื ง พบแต่ซากโบราณสถานขนาดเลก็ ปรากฏอยู่ อาจารยต์ รี อมาตยกุล พดู ถงึ หลกั เมอื งกรงุ สุโขทยั ว่า อย่ทู ร่ี มิ คูวดั มหาธาตุกลางเองสุโขทยั ตรงหลงั วดั ชนะสงคราม รมิ ทางหลวงสุโขทยั – ตาก เป้ฯศาลขนาดเลก็ ๆ แต่ไดป้ รกั หกั พงั หมด เหลือแต่ซากพ้นื ฐาน และเสาบางต้น ขนาดความ กวา้ งของฐาน ๓ เมตร ยาวประมาณ ๔ เมตร พน้ื ฐานเดมิ คงจะทําใหส้ ูงจากพ้นื ดนิ ประมาณ ๑ เมตร ฐานชนั้ ล่างก่อดว้ ยศลิ าแลง มบี นั ได้ขน้ึ ทางทศิ ตะวนั อออก และบนฐานน้ีได้พบเสาศลิ าแลง ซ่งึ หกั พงั อยู่ทงั้ ๔ มุมส่วนหลงั คาไม่ทราบว่าเป็นรูปอย่างไร คงทราบแต่ว่าเคร่อื งบนเป็นไมม้ ุง กระเบอ้ื งดนิ เผา ส่วนตวั หลกั เมอื งนนั้ อาจมผี ยู้ า้ ยไปไวท้ อ่ี ่นื กไ็ ด้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั รชั กาลท่ี ๖ ขณะดํารงพระราชอิสรยิ ยศเป็น สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงพบเสาศลิ าหลกั หน่ึงท่เี รยี กกนั ว่า “ขอมดํา ดนิ ” ไดท้ รงพระราชนพิ นธพ์ ระราชทานเก่ยี วกบั “หลกั เมอื ง” ไวใ้ นเรอ่ื ง เทย่ี วเมอื งพระรว่ ง วา่ “...จงึ เหน็ ศลิ านนั้ ได้ถนัด แรกเหน็ อยากจะใครเ่ ดาว่าเป็นศลิ าจารกึ อะไรสกั อย่างหน่ึง แม้ เมอ่ื ไดพ้ จิ ารณาแลว้ จงึ เหน็ ว่าเป็นศลิ าจารกึ เกลย้ี งๆ อย่ยู งิ่ เป็นทพ่ี ศิ วงยง่ิ นกั เหตุไฉนจงึ เอาก้อน ศลิ าเช่นน้ีมาฝงั ไวท้ น่ี ้ีอยา่ งไรๆ กเ็ ชอ่ื วา่ ไมใ่ ชศ่ ลิ าทเ่ี กดิ อยใู่ นพน้ื ทน่ี นั้ เอง เพราะทอ่ี ่นื ๆ กไ็ ม่เหน็ กอ้ น ศลิ าจารกึ เช่นนัน้ จงึ ต้องเขา้ ใจว่ามผี ูน้ ํามาปกั ไว้ จงึ เกดิ เป็นปญั หาขน้ึ มา เอามาปกั ไว้ทําไม นึก อยากจะเดาวา่ นํามาปกั ไวท้ าํ “หลกั เมอื งเพราะทต่ี รงนนั้ กด็ เู กอื บจะเป็นกลางเมอื ง...” ตามนัยแห่งพระบรมราชาธบิ ายดงั กล่าวนัน้ น่าจะเป็นหลกั ฐานท่บี ่งบอกการสรา้ ง “หลกั เมอื ง” ในสมยั กรงุ สุโขทยั และหลกั เมอื งทส่ี รา้ งขน้ึ นนั้ คงจะสรา้ งทก่ี ลางเมอื งนนั่ เอง ครนั้ สบื มาสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เมอ่ื สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑ (พระเจา้ อู่ทอง) ทรงสถาปนา พระนครศรอี ยุธยาโปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกอบราชพี “กลบบาตร” เม่อื ปีขาล โทสก จลุ ศกั ราช ๗๑๒ (พ.ศ. ๑๘๙๓) พธิ กี ลบบาตรน่าจะหมายถึงพธิ ี “กลบบตั รสุมเพลงิ ” เป็นช่อื พธิ อี ย่างหน่ึงของ พราหมณ์ทาํ ขน้ึ เพ่อื แกเ้ สนยี ด และพระราชพธิ ี “กลบบตั รสมุ เพลงิ ” เป็นช่อื พอี ยา่ งหน่ึงของพราหมณ์ ทาํ ขน้ึ เพอ่ื แกเ้ สนียด และพระราชพธิ ี “กลบบาตร” ทโ่ี ปรดเกลา้ ฯ ใหท้ าํ ขน้ึ ในครงั้ นนั้ น่าจะหมายถงึ พี “ยกหลกั เมอื ง” ก็อาจเป็นไดอ้ าจารยฉ์ ันทชิ ย์ กระแสสนิ ธุ์ไดพ้ ูดถงึ เร่อื งหลกั เมอื งในสมยั กรุงศรี อยธุ ยาว่า “พธิ กี ลบบาตรคงจะเป็นพธิ ฝี งั หลกั เมอื งหรอื อยา่ งไร น่าจะไดว้ นิ ิจฉยั กนั ใหแ้ น่ชดั และเป็น ท่นี ่าเสยี ดายท่เี รายงั หาศาลหลกั เมอื งแห่งกรุงศรอี ยุธยาไม่พบจนบดั น้ี แต่บงั เอญิ ขา้ พเจา้ ได้พบ สมดุ ขอ่ ยสายมอื เขยี นรชั กาลท่ี ๓ ฉบบั หน่งึ วาดแผนพระนครศรอี ยุธยาไวอ้ ยา่ งละเอยี ด จากแผน ท่นี ัน้ มกี ารแสดงทต่ี งั้ หลกั เมอื งไว้ชดั เจนว่าอย่ขู ้างวดั พระสรรเพชร (วงั เดมิ ทถ่ี วายเป็นวดั ) และ

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ นอกจากนัน้ เราพบศาลพระกาฬ ศาลเทพารกั ษ์อ่นื ๆ ครนั้ เสยี กรุงศรอี ยุธยาแก่ขา้ ศกึ แล้ว สมเด็จ พระเจา้ กรงุ ธนบุรไี ดเ้ สดจ็ สรา้ งกรงุ ธนบรุ ี ซง่ึ เป็นเมอื งเก่าเป็นราชธานีแต่หาปรากฏว่าไดท้ ําพธิ กี ลบ บาตฝงั หลกั เมอื งไม่ ต่อเม่อื ส้นิ สมยั พระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาดลกมหาราช โปรดใหย้ า้ ยพระนครขา้ มฟากมาตงั้ อยู่ ณ สถานทท่ี เ่ี รยี กว่าทะเลตมอนั เป้ฯของพระยาราชาเศรษฐี แล้วโปรดใหต้ งั้ พยี กหลกั เมอื ง เม่อื ณ วนั อาทติ ย์ เดอื นหก ขน้ึ สบิ ค่ํา (ปีขาล จตั วาศก จ.ศ. ๑๑๔๔) ตาทก่ี ล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ ประเพณีการยกหลกั เมอื ง พจิ ารณาดูแล้วน่าจะเป็นพที ่เี ก่ยี วเน่ืองในทาง “ไสยศาสตร”์ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการขดุ หลุมฝงั อาถรรพฝ์ งั แผ่นทองแผ่นเงนิ ฝงั เสาหลกั เมอื ง ลว้ นแต่เป็นพธิ ที าง ไสยศาสตรห์ รอื พขี องพราหมณ์ สมเดจ็ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ไดป้ ระทาน อธบิ ายวา่ “หลกั เมอื งเป็นประเพณพี ราหมณ์มมี าแต่อนิ เดยี ไทยตงั้ หลกั เมอื งขน้ึ ตามธรรมเนียมของ พราหมณ์ ทจี ะเกดิ หลกั เมอื งนัน้ คงเป็นดว้ ยประชาชนประชุมชนนัน้ ต่างกนั ท่อี ยู่เป็นหม่บู ้านก็มี หมบู่ า้ นหลายๆ หมบู่ า้ นมารวมกนั เป็นตําบล ตําบลตงั้ ขน้ึ เป็นอําเภอ อําเภอเดมิ เรยี กว่าเมอื ง เมอื ง หลายๆ เมอื งรวมกนั เป้ฯเมอื งใหญ่ เมอื งใหญ่หลายๆ เมอื งเป็นมหานคร คอื เมอื งพระมหานคร” พธิ ฝี งั เสาหลกั เมอื ง หรอื หลกั พระนคร นบั เป็นพธิ ที ่สี าํ คญั ท่จี ะต้องดําเนินการและปฏบิ ตั ิ ใหถ้ กู ตอ้ งตามแบบอยา่ งและประเพณที โ่ี บราณาจารยไ์ ดก้ าํ หนดและวางแบบอยา่ งขน้ึ ไว้ ทงั้ น้ีเพ่อื จะ ใหบ้ งั เกดิ สมั ฤทธแิ ์ ละลุลว่ งไปดว้ ยดี หลกั เมอื งของทางภาคกลาง แต่ทางภาคอสี านเรยี กว่าหลกั บา้ น คอื ๔๒เสาหลกั สําคญั ของ หมบู่ า้ นภาคอสี าน ซง่ึ มกั จะตงั้ กลางห่บู า้ นเป็นทส่ี ถติ ของผมี เหสกั ข์ หรอื มกั จะเรยี กรวมๆ กนั ว่า “ผี มเหสกั ขห์ ลกั เมือง”๔๓ ชาวอสี านจะทําพเี ซ่นไหวผ้ มี เหสกั ขก์ นั ทุกปีในเดอื นเจด็ เรยี กว่า บุญเบกิ บา้ น หรอื บางแหง่ เรยี กว่า บญุ ซาํ ฮะ ฉะนนั้ บางหมบู่ า้ นไดส้ รา้ งศาลาบุญไวบ้ รเิ วณใกลเ้ คยี งกบั หลกั บ้าน เรียกว่า “ศาลากลางบ้าน” เพ่ือไว้เป็นท่ีประกอบพิธีบุญเบิกบ้าน หรือใช้เป็นท่ีประชุม ปรกึ ษาหารอื ระหว่างกรรมการหมู่บ้าน หรอื ใช้เป็ นท่จี ดั กิจกรรมอ่นื ๆ หากหมู่บ้านใดไม่มศี าลา กลางบ้าน ชาวบ้านจะช่วยกนั สรา้ ง “ผามบุญ” (ปะรําพธิ )ี ใช้ประกอบพธิ ใี นงานบุญเบกิ บา้ นเป็น คราวๆ ไป บรเิ วณศาลหลกั บ้านและศาลากลางบ้านน้ี ชาวอีสานมกั จะเรยี กว่า “บือบ้าน” (บือ = สะดอื ) หมายถงึ ศนู ยก์ ลางหมบู่ า้ น บุญเบกิ ฟ้า จะกาํ หนดทาํ กนั ระหว่างเดอื นเจด็ ถงึ เดอื นเจด็ ถงึ เดอื นแปดทุกปีโดยจะกําหนด วนั ใดนัน้ จะต้องดูฤกษ์ยามเช่อื กนั ว่าบุญเบกิ ฟ้านัน้ เป็นพธิ ขี จดั ปดั เป่าและชําระลา้ งสง่ิ ชวั่ รา้ ย หรอื เสนียดจญั ไรใหพ้ น้ ไปจากหมบู่ า้ น เพ่อื ความเป็นศริ มิ งคลแก่หมบู่ า้ นและความสนั ตสิ ุขแก่ชาวบา้ น ๔๒ ธวชั ปณุ โณทก, วรรณกรรมอีสาน, (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พโ์ อเดยี สโตร,์ ๒๕๒๕), หน้า ๔๕-๔๖. ๔๓ยศ สนั ตสมบตั ิ, มนุษย์กบั วฒั นธรรม, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๔ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๕๖), หน้า ๒๘๑-๒๘๒.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ หากปีใดมเี หตุการณ์ภยั ในหมู่บ้าน เช่น มโี จรขโมยเกิดขน้ึ ในหม่บู ้าน เกิดโรคระบาด หรอื ผคู้ นทะเลาะเบาะแวง้ กนั มาก ฝนฟ้าไมต่ กตามฤดกู าล หรอื เจา้ บา้ นผ่านเมอื งถงึ แก่กรรม หรอื ขดั แยง้ กนั ชาวอสี านถอื ว่าหลกั บา้ นหลกั เมอื งไม่เทย่ี งตรง นัน่ คอื มกั จะกล่าวว่า “หลกั บา้ นหลกั เมอื งมนั เงย่ี งมนั โหง่ย” (เงย่ี ง = ตะแคง, โหง่ย = ลม้ ) ตอ้ งทาํ พถี อนหลกั บา้ น และตอกหลกั เมอื ง ใหม่ ในพธิ บี ญุ เบกิ บา้ นปีนนั้ จะทาํ พธิ ใี หมม่ ากกว่าปกติ เรยี กวา่ “บญุ ซาํ ฮะ” คอื มพี ธิ ถี อดถอนหลกั บา้ นและทําพตี อกหลกั บ้านใหม่ เพ่อื ขบั ไล่ความชวั่ รา้ ยและเสนียดจญั ไรไปกบั หลกั บา้ นเก่า และ เป็นนมิ ติ ทไ่ี ดห้ ลกั บา้ นใหมท่ เ่ี ทย่ี งตรงและเป็นศริ มิ งคลแก่หมบู่ า้ น ๓) เชื้อบา้ น : เชื้อบ้าน หมายถงึ ภตู ผคี มุ้ ครองหมบู่ า้ น ทางภาคอสี านเรยี กวา่ ป่ตู าเรา มคี าํ พดู ตดิ ปากสบื ต่อกนั มาจนทกุ วนั น้ี คอื คาํ วา่ ผสี างเทวดาซง่ึ เมอ่ื แปลแลว้ ไมว่ ่าแยกคาํ หรอื รวม คาํ มคี วามหมายเดยี วกนั คอื ผี ผคี อื สง่ิ ลกึ ลบั ทม่ี สี ภาพเกนิ คน ดงั นนั้ ตามปกตผิ จี งึ มีอํานาจอยเู่ หนอื คนอาจทาํ คนใหไ้ ดด้ หี รอื ใหไ้ ดภ้ ยั กไ็ ดไ้ ทยแต่เดมิ นบั ถอื ผี ถงึ เดยี๋ วน้กี ย็ งั นับถอื อยู่ พระอนิ ทร์ พระ พรหม และพระอะไรต่อพระอะไรกเ็ ป็นผี พระเจา้ หรอื พระเป็นเจา้ กเ็ ป็นผี โดยเหตุทท่ี า่ นเหล่าน้ี เขา้ ใจกนั ว่าอยบู่ นฟ้า สงู ลบิ ขน้ึ ไปบนโน้น ไทยแต่เดมิ จงึ เรยี กทา่ นเป็นคาํ รวมวา่ ผฟี ้า ภายหลงั เมอ่ื ไทยนบั ถอื พระพุทธศาสนา แลว้ กเ็ ปลย่ี นเป็นเรยี กท่านวา่ เทวดา และเรยี กทอ่ี ยขู่ องทา่ นวา่ สวรรค์ และมคี าํ เดมิ เอาไปซอ้ นเขา้ คเู่ ป็นสวรรคช์ นั้ ฟ้า๔๔ ส่วนคําว่า สาง แปลว่าผี และเป็นผีท่ีสถานภาพสูงกว่าผีฟ้ า(เทวดา) ทัว่ ๆ ไปใน ภาษาไทยใหญ่คําว่า สาง หมายถงึ พวกพรหมอกี ความหมายหน่ึง คอื ความศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ เราพอจะ จาํ แนกผอี อกเป็นประเภทต่างๆ อยา่ งกวา้ งๆ คอื ประเภทแรก สาง คอื ผรี ะดบั ชนั้ พรหม ซง่ึ มคี วามศกั ดสิ ์ ทิ ธแิ ์ ละมอี ทิ ธพิ ลต่อภูมปิ ญั ญา ของมนุษยม์ าก ประเภทท่ีสอง ผฟี ้า มนุษยไ์ ม่ค่อยสนใจท่านเท่าไรนักนอกจากมคี วามเคารพนบนอบ ท่านเท่านัน้ นานๆ จงึ มกี ารบูชาสงั เวยท่านสกั ที ในเทศกาลพเิ ศษเป็นลางครงั้ ลางคราวเท่านัน้ เชน่ เมอ่ื วนั ปีใหม่ เมอ่ื ทาํ บุญครบรอบใหญ่และเรอ่ื งปนั้ เมฆเสกคาถาและจดุ บงั้ ไฟ ประเภทที่สาม เป็นผจี าํ พวกอยตู่ ่ําลงมาจากเมอื งฟ้า แต่ว่ามลี กั ษณะเหล่อื มล้าํ กนั อยู่ คอื จะว่าเป็นครง่ึ เทวดากไ็ ด้ เพราะอยใู่ นอากาศบา้ ง บนต้นไม้บา้ ง เป็นตน้ และมกั เรยี กกนั เป็นเทวดา เชน่ อากาศเทวดารกุ ขเทวดา นอกนนั้ ยงั มผี ที เ่ี ป็นชนั้ หวั หน้า เป็นใหญ่อย่ใู นแผ่นดนิ ณ ทใ่ี ดทห่ี น่ึง เป็นทเ่ี ฉพาะ และมชี ่อื เรยี กไปตามลกั ษณะของทอ้ งถนิ่ ทท่ี ่านสงิ สถติ อยู่ เป็นเจา้ ท่ี เจา้ ทุ่ง เจา้ พ่อ เจา้ ป่า เจ้าเขา เป็นต้น เรยี กว่าเจ้า แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ หรอื เป็นนายในภาษาไทยเดมิ แต่ใน ภาษาไทยปจั จุบนั เรยี กท่านว่า เทพารกั ษ์ หรอื อารกั ขเทวดา แปลว่าท่านเป็นเทวดามหี น้าท่ี คุม้ ครองดแู ล โดยเฉพาะในทอ้ งถนิ่ ทท่ี ่านเป็น ๔๔ เสฐียรโกเศศ (นามแฝงพระยาอนุมานราชธน), ชีวิตชาวไทยสมยั ก่อนและการศึกษาเรื่องประเพณีไทย, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พค์ ลงั วทิ ยา, ๒๕๑๕), หน้า ๑๙๕-๑๙๗.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ประเภทสุดท้าย พวกผใี นฐานะอนั ดบั ต่ําสุด คอื จาํ พวกผเี ลว เลว แปลว่า สามญั ในคํา ไทยเดมิ ผเี หล่าน้ีรวมเรยี กกนั หมดนัน่ ว่าผรี า้ ย ซง่ึ ตรงขา้ มกบั ผดี ี หรอื ผฟี ้า ผรี า้ ย มอี ํานาจเพยี ง สาํ แดงเดชใหค้ นกลวั และตกใจ เรยี กวา่ ผหี ลอก คาํ ฟ้องอยใู่ นตวั ผวี ่าทาํ อะไรเราไมไ่ ด้ นอกจากจะ หลอกคอื ทาํ ใหเ้ ราเขา้ ใจผดิ หรอื สาํ คญั ผดิ ไปเทา่ นนั้ เอง ปเู่ จา้ ตาคอยปกปกั รกั ษาคุม้ ครองหมบู่ า้ น ชาวบา้ นใหค้ วามเคารพยาํ เกรงและถอื ว่ามคี วาม ศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ ์ ครจะละเมดิ หรอื ลบหล่ไู มไ่ ดแ้ ละชาวบา้ นจะสรา้ งศาลไวใ้ หท้ ่านสถติ โดยทวั่ ไปตมคตนิ ิยม จะปลูกศาลทางทศิ ตะวนั ออกของหมู่บา้ น เพราะถอื ว่าเป็นทศิ มงคล บางคนจะจดั ผเี ชอ้ื บา้ นอยู่ใน ประเภทผชี นั้ ทส่ี อง คอื ผฟี ้า บางคนจดั อยู่ประเภทท่สี ามคอื ผอี ารกั ษเทวดาและบางคนจดั ท่านอยู่ ประเภทแรก คอื สาง หมายถงึ พรหม รวมความแล้วท่านจดั เป็นผที ด่ี มี บี ารมใี ห้คนเคารพยําเกรง สงั คมพลอยอยไู่ ดอ้ ยา่ งสนั ตสิ ุข นบั ไดว้ ่าสามารถจบั เขา้ ลกั ษณะภมู ปิ ญั ญาไทยกไ็ ดอ้ กี ลกั ษณะหน่งึ ชาวยอ้ ในเขตจงั หวดั นครพนม และสกลนคร โดยเฉพาะอําเภอท่าอุเทน จงั หวดั นครพนม นบั ถอื ผแี จหรอื ผเี ชอ้ื ๓๕ อยา่ งเครง่ ครดั ในสมยั อดตี (ปจั จุบนั หยอ่ นยานไปมาก) ทุกบา้ นจะทาํ ทส่ี ถติ ของผแี จหรอื ผเี ช้อื ไว้ท่มี ุมห้องนอนด้านซ้ายมอื ซง่ึ เป็นห้องนอนของพ่อแม่หรอื ผู้เป็นหวั หน้าของ ครอบครวั ชาวยอ้ เช่อื ว่าวญิ ญาณของบรรพบุรษุ ทล่ี ่วงลบั ไปแลว้ ไม่ไดไ้ ปเกดิ ยงั ลอยวนเวยี นอย่กู บั ลลู กหลาน เพ่อื ปกป้องคุม้ ครองดแู ลความสุขทุกขข์ องลูกหลาน หากลกู หลานประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นไม่ เหมาะสมเช่น ฝ่าฝืนจารตี ของชุมชน หรอื ไม่ (สมั มา) คารวะต่อวญิ ญาณ (ผ)ี ทเ่ี รยี กว่าผดิ ผี ผี บรรพบรุ ษุ จะโกรธ และลงโทษใหเ้ จบ็ ปว่ ย จงึ ตอ้ งทาํ พธิ ขี อขมาโทษ เรยี กว่า “เสยี ผ”ี วญิ ญาณของ บรรพบุรุษจงึ จะหายโกรธการทําพธิ เี สยี ผนี ัน้ ต้องหาอาจารยผ์ ู้รพู้ ธิ กี รรมมากระทําพธิ ใี ห้ พร้อมทงั้ ตอ้ งหาเครอ่ื งเซ่น (ค่าคาย) เช่น เหลา้ ไก่ ขนั หา้ ฯลฯ เป็นตน้ ฉะนนั้ ชาวยอ้ จงึ อย่ใู นระเบยี บของ สงั คม ถอื จารตี ประเพณีอย่างเครง่ ครดั ไมม่ ผี ใู้ ดกลา้ จะล่วงละเมดิ จารตี ประเพณที ว่ี ่า “ผดิ ผ”ี สงั คม จงึ อยอู่ ยา่ งสงสุข พธิ เี ชญิ ผแี จหรอื ผีเช้อื ข้นึ เรอื น ชาวย้อจะทําพธิ ีเชิญผแี จ หรอื ผีเช้อื ข้นึ เรอื นคอื ประจํา บ้านเรอื นเม่อื ข้นึ บ้านใหม่ โดยสร้างศาล (สร้างด้วยไม้ไผ่ขดั แตะ) ขนาดเล็กวางไว้ท่ีมุมห้อง ด้านซ้ายของบ้าน (แจบ้าน)บางบ้านอาจใช้ม้วนเส่อื หรอื ม้วนไม้ไผ่ขดั แตะวางไว้ท่มี ุมห้อง (เป็น สญั ลกั ษณ์ของผแี จ) กม็ ี การทาํ พเี ชญิ ผแี จหรอื ผเี ชอ้ื ขน้ึ บา้ นนนั้ เป็นพธิ กี รรมเฉพาะครอบครวั ไมไดบ้ อกแขกหรือ ญาติมติ รมาร่วมพธิ ี เจา้ พจี ะร่ายมนต์คาถาและบอกกล่าวเชญิ วญิ ญาณบรรพบุรุษมาประจาํ เรอื น เป็นผแี จ หรอื ผเี ชอ้ื ผบี รรพบุรุษน้ีเจา้ ของบา้ นอาจไม่รจู้ กั ก็ได้ ไมจ่ าํ เป็นจะต้องเป็นวญิ ญาณของ

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ บดิ ามารดาเสมอไป และในอดตี นนั้ ชาวยอ้ ไดป้ ฏบิ ตั ติ ่อผแี จหรอื ผเี ชอ้ื อยา่ งเคร่งครดั เพราะเช่อื ว่า ผี แจหรอื ผเี ชอ้ื น้จี ะเป็นผคู้ ุม้ ครองปกปกั รกั ษาบุคคลในครอบครวั ใหอ้ ยเู่ ยน็ เป็นสขุ ๔๕ ๔) ผเี รือน : ผเี รือน คอื ผที ร่ี กั ษาบา้ นเช่อื สบื ต่อกนั มาว่า บา้ นทกุ บา้ นมผี ี ถา้ คนในบา้ น ประพฤตดิ ตี ่อผี ผกี จ็ ะชว่ ยคุม้ ครอง ถา้ ทาํ ไมด่ ี ผกี จ็ ะโกรธและก่อใหเ้ กดิ ทกุ ข์ภยั ต่างๆ๔๖ ลกั ษณะทางภมู ปิ ญั ญาของไทยในเร่อื งน้ี ทําใหม้ องเหน็ ว่าคนไทยเช่อื ว่าในโลกน้ีมใิ ช่มแี ต่ คนสตั วแ์ ละพรรณไมเ้ ท่านนั้ แต่ยงั มภี ตู ผแี ละสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธอิ ์ กี เป็นจาํ นวนมากซง่ึ กเ็ ทา่ กบั เป็นโลกทศั น์ เชงิ ภววทิ ยาขอคนไทย และขณะเดยี วกนั กม็ ผี ลต่อ จรยิ ศาสตรห์ รอื การดาํ รงชวี ติ ของเราดว้ ย นนั่ คอื การนําไปสเู่ รอ่ื งความเช่อื เรอ่ื งผดิ ผขี องชาวเหนอื และชาวอสี าน ในบา้ นเรอื นทม่ี คี นอยู่อาศยั นอกจากมปี ่ยู ่าตายายแล้ว กย็ งั มผี เี รอื นอย่ดู ว้ ย ผเี รอื นนัน้ ตามคตแิ ละประเพณพี มา่ ๓๗ วา่ สงิ สถติ อยบู่ นยอดเสาเรอื น เพราะฉะนนั้ ตรงหวั เสาทุกต้นจงึ มผี า้ จาว คลุมไวท้ ่านจะไดเ้ ลอื กอยสู่ บายตามใจท่าน ซ่งึ คล้ายคลงึ กบั ประเพณีปลูกเรอื นของชาวไทยทม่ี ผี ้า แดงเจาะรตู รงกลางสวมลงไปในหวั เทยี นปลายเสา (หวั เทยี น คอื เดอื ยหวั เสาสาํ หรบั รบั ข่อื ) แล้วจงึ เอาผา้ อกี ผนื หน่ึงเป็นสขี าวทบั ลงบนผา้ แดง ผดิ กนั ตรงขา้ มกบั ผา้ ปบู าหง้ิ ผขี องชาวพายพั ผา้ ปเู ป็น อาสนสงฆ์ และผา้ ปบู นทน่ี อนบา่ วสาวซง่ึ ใชป้ บู นผา้ ขาวแลว้ จงึ ผกู ผา้ แดงทบั บนอกี ทเี พ่อื กนั เป้ือนผา้ ขาว ผเี รอื นทางจงั หวดั กาญจนบุรแี ละจงั หวดั ใกล้เคยี งมผี า้ ขาวผา้ แดงวางสอดทบั กนั ไวท้ ป่ี ลายหวั เสาของเรอื นว่าทต่ี รงน้แี หละเป็นทอ่ี ยขู่ องผเี รอื น ผา้ ทท่ี บั หวั เสาน้ี ในเร่อื งเกย่ี วกบั พธิ ปี ลูกเรอื นเรยี กกนั ว่า ถนอมพระบาทพระเป็นเจา้ ผา้ ทห่ี วั เสาน้ีบางทกี ็ลงเลขยนั ต์ว่าเป็นเคร่อื งกนั เสนียดจญั ไร และกนั เสาตกน้ํามนั ดว้ ย นอกจากมผี ้า หวั เทยี นแลว้ ยงั เอาหน่อกลว้ ยน้ําและต้นออ้ ยผกู มดั ทป่ี ลายเสาเรยี กว่า เรอื นแกว้ ประเพณภี าคอีสาน ใชไ้ หม ฝ้าย ใบคณู ใบยอ ใบกลว้ ย ใบเงนิ ใบคํา (ใบทอง) ผูกตดิ ไวป้ ลายเสาแรกเสาขวญั เสา เดยี ว ไมใ่ ช่ทาํ ทกุ เสาเหมอื นในภาคกลาง นอกจากน้ี ยงั ผกู หน่อกลว้ ยและตน้ ออ้ ย แลว้ เอาผา้ งามๆ หมุ้ เสาอกี ที เรอ่ื งทท่ี าํ เหล่าน้เี กย่ี วกบั พธิ ที าํ เสาขวญั ทนี ้ีมาดูประเพณขี องมอญ เรอื นของมอญมกั จะมผี ลมะพรา้ วหอ้ ยไวท้ ข่ี า้ งเรอื นทางทศิ ใต้ มะพรา้ วน้ีมผี า้ สเี หลอื งหรอื ผ้าสแี ดงพนั ไวด้ ว้ ย นยั ว่าเป็นเคร่อื งสงั เวยบูชาผเี รอื นจะเปลย่ี นผา้ ใหม่ เม่อื ย่างเขา้ ฤดูฝนหมดฤดูฝนแล้วจงึ มกี ารสงั เวยบูชากนั ใหม่ เคร่อื งสงั เวยบูชามี เงนิ ทอง ขา้ ว เหนียว ไข่ น้ําตาลปึก และผลไมต้ ่างๆ ท่ตี อ้ งสงั เวยบชู าในระยะน้ีเพ่อื ขอใหท้ ่านช่วยป้องกนั คน ในบา้ นเรอื นใหพ้ น้ จากความเป็นไข้ ความจรงิ กใ็ ช่ว่าท่านจะต้องโปรดปรานรกั ใคร่คนทจ่ี ดั สรา้ งทส่ี งิ่ สถติ ให้ท่านอย่อู ยา่ งสบายกห็ าไม่ แมจ้ ะจดั หาเคร่อื งสงั เวยอย่างมากมายสาํ หรบั ถวายท่านอย่าไร ๔๕ ธวชั ปุณโณทก, ผีแจ (ผีเช้ือ) : ความเชือ่ ในสารานุกรมวฒั นธรรมภาคอีสาน เล่ม ๓,(กรุงเทพมหานคร : มลู นิธิ สารานุกรมวฒั นไทย ธนาคารไทยพานิช, สยามเพรส แมเนจเมน้ ท์, ๒๕๔๒), หน้า ๒๘๐๒. คาว่า ผแี จ (ผเี ช้อื ) คอื ผบี รรพบุรุษของ ชาวยอ้ , ๔๖ ศรศี กั ดิ ์วลั ลโิ ภดม, การถอื ผีในเมอื งไทย : ศิลปวฒั นธรรม, ปีท่ี ๕ ฉบบั ท่ี ๔ กมุ ภาพนั ธ,์ ๒๕๒๗), หน้า ๑๑-๑๖.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ท่านก็เฉยไม่ว่ากระไรแต่ทว่าหากละเลยเสยี ไมค่ ่อยเอาใจใส่เซ่นสงั เวยท่านเป็นไม่ไดท้ เี ดยี ว เพราะ ท่านจะสาํ แดงความโกรธบอกใหร้ ทู้ นั ทโี ดยใหเ้ กดิ เหตุเภทภยั และเป็นไขไ้ ดท้ ุกขแ์ ก่คนในบา้ นทนั ที เรอ่ื งประเพณีเอา อฐั ิ ปู ยา่ ตา ยายใส่หมอ้ ใหม่ขนาดใหญ่ใส่สาแหรกแขวนไวท้ ข่ี ่อื สมยั รชั กาลท่ี ๓ เคยออกประกาศหา้ มในเร่อื งน้ีดว้ ยเป็นทเ่ี กลยี ดกลวั แก่คนอ่นื แต่ทน่ี ครสวรรคย์ งั มกี าร ถอื ประเพณนี ้อี ยใู่ นหมคู่ นลาวกลุ่มในปจั จบุ นั ซง่ึ ถอื ไดว้ ่าเดมิ เหน็ จะเป็นเช่นนนั้ จรงิ เพราะไปเขา้ คติ การถอื ผขี องชาวไทยทไ่ี ม่กลา้ นอนขวางข่ือ ดว้ ยกลวั ผจี ะลงมาเหยยี บบอก ทําใหร้ สู้ กึ อดื อดั หายใจ ไมอ่ อก ทางภาคอสี านสมยั โบราณ และในบางแห่งในชนบทอสี านปจั จบุ นั เขานอนกนั ในเรอื นเป็น สดั ส่วนไม่มผี ากัน้ นอกจากกัน้ เป็นห้องเล็กสําหรบั ละลาบละล้วงข่อื เข้าไป ด้วยเป็นการผิดผี เพราะฉะนนั้ แต่เดมิ ขอ่ื เป็นทอ่ี ย่ขู องผเี รอื นกอ็ าจเป็นไปได้ น่ีจดั ว่าเป็นภมู ปิ ญั ญาอกี อยา่ งหน่ึงของ ชาวบา้ น๔๗ ๖.๗.๔ ภมู ิปัญญาไทยมีลกั ษณะเกี่ยวกบั ความเช่ือเร่อื งขวญั และโชคลางต่างๆ ลกั ษณะน้สี บื เนอื่ งมาจากภมู ปิ ญั ญาไทย ลกั ษณะที่ ๔ ดงั จะกลา่ วถงึ โดยสงั เขป ดงั น้ี ความเช่ือเร่ืองขวญั คําว่า “ขวญั ” พจนานุกรมราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕๔๘ อธบิ ายว่า “ขวญั (ขวนั ) น. ผมหรอื ขนท่ขี น้ึ เวยี นเป็นต้นหอย : มงิ่ มงคล,สริ ,ิ ความด,ี เช่น ขวญั ท้าว, ขวญั เรอื น,” นอกจากน้ยี งั ไดเ้ กบ็ ความหมายไวอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง ทงั้ โดยพยญั ชนะ โดยนยั และโดยปรยิ ายกล่าว โดยทวั่ ไป “ขวญั ” ไมใ่ ช่จติ หรอื วญิ ญาณ หากแต่ขวญั คอื สาระสาํ คญั ของชวี ติ และวญิ ญาณ นิยมกนั ว่าขวญั มอี ยปู่ ระจาํ ชวี ติ ของคนตงั้ แต่เกดิ มาเช่อื กนั ว่าถ้าขวญั อยกู่ บั ตวั กเ็ ป็นสริ มิ งคล เป็นสุขสบาย จติ ใจมนั่ คงเรยี กว่าขวญั ดี หากขวญั หายหรอื ขวญั หนีก็จะทําให้ผู้นัน้ ได้รบั ความทุกข์เดอื ดร้อน เจบ็ ปว่ ยไดไ้ ข้ และประสบเภทภยั ต่างๆ “แต่ในบางครงั้ บางคราวขวญั กไ็ มอ่ ย่กู บั คนวกี ารเดนิ ทางไป จากคนของขวญั กค็ อื หนีโดย วบี นิ จงึ เรยี กว่าขวญั บนิ บา้ ง ขวญั หนีบา้ ง แต่ถา้ ผใู้ ดขวญั หนีผนู้ ัน้ มกั จะดฝี อ่ ..แต่ในกรณที ต่ี กใจขวญั ยงั ไมบ่ นิ ออกจากตวั ขวญั กอ็ าจแขวนอย่ทู ใ่ี ดท่หี น่ึง เช่นตากง่ิ ไม้ ใกลๆ้ ตวั ในกรณที ผ่ี คู้ นใดขวญั แขวน ผนู้ นั้ กม็ กั จะอกสนั่ ดว้ ย” ใชเ้ รยี กผตู้ กใจง่าย คอื เดก็ หรอื หญงิ ซง่ึ มกั จะขวญั หายหรอื ขวญั หนีอยบู่ ่อยๆ กจ็ ะเรยี กผู้ นัน้ ว่าเป็นคนขวัญอ่อน สัตว์และสิ่งบางอย่าง เช่น ม้าช้าง ตัว เรือน ฯลฯ ก็อนุโลมว่ามขี วัญ เช่นเดยี วกบั คนเหมอื นกนั สาํ หรบั เดก็ อ่อนทน่ี อนผวาและสะดุง้ หรอื รอ้ งให้ ผอู้ ยใู่ กลก้ จ็ ะเอมอื ตบท่ี อกของเดก็ เบาๆ และปลอบขวญั ว่า “ขวญั เอยมาอย่กู บั เน้ือกบั ตวั อย่าหลบลห้ี นีไป ขอใหอ้ ย่เู ยน็ เป็นสุข อยา่ รไู้ ขร้ ทู้ กุ ข”์ น้เี รยี กวา่ รบั ขวญั จากนนั้ กก็ ระทําพผี กู ขวญั คอื การเอาดา้ ยดบิ ผกู ทข่ี อ้ มอื ๔๗ เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง), การศึกษาเรอื่ งประเพณีไทย, หน้า ๒๒๑-๒๒๔. ๔๘ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานุกรมราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พ์อกั ษรเจรญิ ทศั น์, ๒๕๒๘), หน้า ๑๓๑.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๘๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เพ่อื ไม่ให้ขวญั หนีหาย หากพระทําพี เช่น รดน้ํามนต์ให้เสกเป่าให้หรอื กล่าวปุกใจต่างๆ เพ่อื ให้ ขวญั ดมี ใี จกลา้ หาญ เรยี กวา่ บาํ รงุ ขวญั สรปุ แลว้ ภมู ปิ ญั ญาไทยทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ความเช่อื เร่อื งขวญั ส่งผลใหค้ นผนู้ นั้ มคี วามเช่อื มนั่ ในตนเองท่จี ะทําการงานใดๆ ให้บงั เกดิ ผลดแี ละขณะเดยี วกนั เป็นพกี รรมช่วยหรอื ส่งเสรมิ ความ สามคั คีต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม ในท่ีสุดเป็นเคร่อื งยดึ เหน่ียวต่อการดํารงชีวิตของแต่ละคน ตวั อยา่ ง คาเรียกขวญั ศรศี รไี ชยะมงั คะลงั มอ้ื น้แี มน่ มอ้ื สนั มอ้ื ประกอบวนั ดี วนั เศรษฐอี ุตตมโชค สทิ ธโิ ชคพรอ้ มฝงู หมลู่ กั ษณะ จงึ ไดผ้ กู แขนเจา้ ไวใ้ นมอ้ื น้วี นั น้ี ขวญั เจา้ ไปอยเู่ มอื งดา่ นทง่ หมคู่ า กใ็ หม้ ามอ้ื น้วี นั น้ี ขวญั เจา้ ไปอยเู่ มอื งลา้ นนาหมแู่ กว้ กใ็ หม้ ามอ้ื น้วี นั น้ี ขวญั เจา้ ไปสอดแสว่ ควั่ หลายเมอื ง กใ็ หม้ ามอ้ื น้วี นั น้ี ขวญั เจา้ ไปเคอื งการหลายเวยี ก กใ็ หม้ ามอื น้วี นั น้ี ขวญั เจา้ ไปเขยี นศาสตรเพทเพย่ี งแดนไกล กใ็ หม้ ามอื น้วี นั น้ี ขวญั เจา้ ไปพบเจา้ ใหญ่หลายขนุ กใ็ หม้ ามอ้ื น้วี นั น้ี ขวญั เจา้ ไปทาํ บุญในวดั กใ็ หม้ ามอ้ื น้วี นั น้ี ใหเ้ จา้ มาหมดมาถว้ น มาเขา้ มวนกนั อยสู่ ่ตู นสตู่ วั นอนหลบั ใหเ้ จา้ ยนิ ชน่ื

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๙๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ต่นื เชา้ ไดย้ นิ ดี ขวญั เจา้ อยา่ ไปหาควั่ ในดง ขวญั เจา้ อยา่ ไปกดทรงอยปู่ า่ ๔๙ ฯลฯ (รา่ ยดนั้ บทสขู่ วญั ของชาวไทยอสี าน) คาทใี่ ชใ้ นการเชอื่ เรยี กขวญั ในสงั คมไทยพอประมวลได้ ดงั น้ี ๑. ขวญั หาย ขวญั หนี ขวญั บิน หมายถงึ คนท่ตี กใจหรอื เสยี ขวญั ขวญั ก็ออกจากรา่ งไป เสยี ซง่ึ เป้ฯผลใหค้ นนนั้ ไดร้ บั ผลรา้ ยต่างๆ ๒. ขวญั อ่อน ใชเ้ รยี กผทู้ ต่ี กใจงา่ ย คอื เดก็ หรอื หยงิ ซง่ึ มกั จะขวญั หายบ่อยๆ ๓. ขวญั เมอื ง หมายถงึ ยอดกําลงั ใจของเมอื ง ๔. ขวญั ดี หมายถงึ กาํ ลงั ใจดี ๕. หมอขวญั คอื ผรู้ พู้ ธิ ที าํ ขวญั ๖. เรียกขวญั คอื การทาํ พเี ชญิ ขวญั ใหม้ าอยกู่ บั เน้อื กบั ตวั ๗. ทาขวญั หมายถงึ การเสยี เงนิ คา่ ปรบั ใหแ้ ก่ผถู้ กู ทาํ รา้ ยหรอื ถูกหมนิ่ ประมาท ๘. ผกู ขวญั หมายถงึ การเอาเสน้ ดา้ ยผกู ขอ้ มอื เดก็ แลว้ กล่าวเรยี กขวญั ว่า “ขวญั เอ๋ยมาอยู่ กบั เน้อื กบั ตวั ” แลว้ กล่าวใหพ้ รต่อไปตามสมควร ๙. รบั ขวญั คอื การเรยี กขวญั หรอื เชญิ ขวญั ๑๐. บารงุ ขวญั คอื การกระทําพี เช่น รดน้ํามนต์ให้ เสกเป่าให้ หรอื กล่าวปลุกใจต่างๆ เพอ่ื ใหข้ วญั ดมี ใี จกลา้ หาญ ๑๑. ของขวญั หมายถงึ สง่ิ ของทใ่ี หแ้ ก่เจา้ ของขวญั เมอ่ื เสรจ็ พที าํ ขวญั แลว้ หรอื สงิ่ ของท่ี ใหก้ บั ในเวลาอ่นื เป็นการถนอมขวญั หรอื เพอ่ื อธั ยาศยั ไมตรี ๑๒. ข้าวขวญั คอื ขา้ วบายศรี ๑๓. ไข่ขวญั คอื ไขป่ อกทว่ี างไวบ้ นขา้ วบายศร,ี ไขข่ า้ วกเ็ รยี ก ๑๔. ลกู ขวญั หมายถงึ ลกู คนทร่ี กั มากทส่ี ุด ๑๕. จอมขวญั หมายถงึ ผทู้ เ่ี ป็นมง่ิ ขวญั อยา่ งยอดเยย่ี มหมายถงึ หญงิ ทร่ี กั ๑๖. เสียขวญั คอื กําลงั ใจเสยี ๑๗. ขวญั เกี่ยง คอื ขวญั รา้ ย เชน่ ขวญั เกย่ี งไดเ้ ป็นดี (ม.คาํ หลวง สกั บรรพ) ๔๙ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๑.

บทท่ี ๖ “อิทธิพลแนวคิดพระพทุ ธศาสนาที่มีต่อภมู ิปัญญาไทย” หน้า ๒๙๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑๘. ขวญั ข้าว มี ๒ ความหมาย ความหมายแรก หมายถงึ มงิ่ ขวญั ของขา้ ว ซง่ึ เจา้ ของทํา พธิ เี ชอ้ื เชญิ เรยี กว่า ทาํ ขวญั ขา้ ว อกี ความหมายหน่ึงกค็ อื ค่าสนิ บนซง่ึ เจา้ ของไขบนไวต้ ่อหมอเม่อื ไขห้ ายกย็ กขวญั ขา้ วน้ไี ปเป็นค่ารกั ษา ๑๙. ขวญั แขวน หมายถงึ ขวญั ไปคา้ งทอ่ี ่นื หมายความว่า ตกใจ เช่น ตกใจอกสนั่ ขวญั แขวน ๒๐. ขวญั ใจ คอื ยอดกําลงั ใจ ๒๑. ขวญั ดี หมายถงึ กาํ ลงั ดี ๒๒. ขวญั ตา คอื มงิ่ ขวญั ดวงตา, สงิ่ ทเ่ี หน็ เป็นทเ่ี จรญิ ตา ๒๓. ขวญั บา่ คอื ขวญั ไหลไปกบั ตวั ๒๔. ขวญั บิน ขวญั หนี ขวญั หนีดีฝ่อ คอื ตกใจ ใจหาย๕๐ ฯลฯ ๖.๗.๕ ภมู ิปัญญาไทยมีลกั ษณะเกี่ยวกบั ความเชื่อเร่ืองโชคลางต่างๆ ในเร่อื งความเช่อื เร่อื งโชคลางต่างๆ ของผู้คนนัน้ พจนานุกรรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ “โชค น. สงิ่ ทน่ี ําผลมาใหโ้ ดยคาดหมายไดย้ าก เช่นโชคดี โชค รา้ ย มกั นิยมใชใ้ นทางท่ดี ี เช่น นายแดงเป็นคนมโี ชค”๕๑ ส่วน “ลาง” มคี ามหมายว่า “ลาง น. เคร่อื งหมายท่ปี รากฏใหเ้ หน็ อนั บอกผลรา้ ยหรอื ผลดี เช่น ลางดลี างรา้ ย๕๒ แต่มกั จะนิยมใช้ในทาง รา้ ย เชน่ เขาพดู เป็นลาง”๔๓ นนั่ แสดงวา่ โชคเป็นผลท่ี ไดเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ แต่ลางเป็นสงิ่ บอกเหตุก่อนผลจะเกดิ ดว้ ยเหตุน้ีโดยทวั่ ไปจงึ นิยม ใชก้ ล่าว ตดิ กนั วา่ “โชคลาง” คาํ เตม็ ของ “ลาง” คอื ลางสงั หรณ์ เร่อื งโชคลางหรอื ลางสงั หรณ์ เช่อื กนั ว่าผหี รอื เทวดาผู้ท่ที ําหน้าท่คี ุ้มครอง แต่ไม่อาจ พดู จากบั มนุษยไ์ ด้ จงึ แสดงเหตุการณ์ใหม้ นุษยร์ ตู้ วั ขอ้ เทจ็ จรงิ ในเรอ่ื งน้จี งึ ไดม้ ี ผสู้ งั เกตและรวบรวม ไวแ้ บบนกั สถติ ใิ นเรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอนขนุ ช้างพาพลายงามไปฆ่า กม็ ลี างบอกเหตุ “ครานนั้ วนั ทองผอ่ งโสภา เมอื่ ลกู แกว้ แววตาจะอาสญั คว้ิ กระเหมน่ เป็นลางแต่กลางวนั ใหห้ วนั่ หวนั่ หววิ หววิ หวิ หาวนอน” หรอื ตอนขนุ แผนจะฆ่าขนุ ช้าง “เงอ้ื มดาบจะฟาดใหข้ าดกลาง ๕๐ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕, หน้า ๒๗๗. ๕๑ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๑. ๕๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๒๗๗.