บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๔๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ คาํ ว่า “คุม้ ” หมายถงึ บรเิ วณทม่ี ี “เฮอื น” รวมกนั อย่หู ลาย ๆ หลงั เป็นหม่อู ย่ใู นละแวก เดยี วกนั เชน่ คมุ้ วดั เหนือ คุม้ วดั ใต้ และคมุ้ หนองบวั เป็นตน้ คาํ ว่า “ตูบ” หมายถงึ กระท่อมทป่ี ลูกไว้ เป็นทพ่ี กั ชวั่ คราว มงุ ดว้ ยหญา้ หรอื ใบไม้ ชาวอสี านมคี วามเช่อื ในการสรา้ งเรอื นให้ด้านกว้างหนั ไปทางทศิ ตะวนั ออกและตะวนั ตก ใหด้ า้ นยาวหนั ไปทางทศิ เหนือและใต้ ซง่ึ เป็นลกั ษณะท่เี รยี กว่า วางเรอื นแบบ “ล่องตาเวน็ ” (ตาม ตะวนั ) เพราะถอื กนั ว่า หากสรา้ งเรอื นให้ “ขวางตาเวน็ ” แลว้ จะ “ขะลํา” คอื เป็นอปั มงคลทําใหผ้ อู้ ยู่ ไมม่ คี วามสขุ บรเิ วณรอบๆ เรอื นอสี านไมน่ ิยมทาํ รวั้ เพราะเป็นสงั คมเครอื ญาตมิ กั ทาํ ยงุ้ ขา้ วไวใ้ กลเ้ รอื น บางแห่งทําเพงิ ต่อจากยงุ้ ขา้ ว มเี สารบั มุงดว้ ยหญ้าหรอื แป้นไม้ เพ่อื เป็นท่ตี ดิ ตงั้ ครกกระเด่อื งไวต้ ํา ขา้ ว ส่วนใต้ถุนบา้ นซง่ึ เป็นบรเิ วณทม่ี กี ารใช้สอยมากทส่ี ุด จะมกี ารตงั้ หูกไว้ทอผา้ ก่ที อเส่อื แครไ่ ว้ ปนั่ ดว้ ย และเลย้ี งลกู หลาน นอกจากนัน้ แลว้ ใต้ถุนยงั ใชเ้ กบ็ ไหหมกั ปลารา้ และสามารถกนั้ เป็นคอกสตั วเ์ ล้ยี ง ใชเ้ กบ็ เครอ่ื งมอื เกษตรกรรม ตลอดจนใชจ้ อดเกวยี น รปู แบบของเฮือนอีสาน รปู แบบของเรอื นไทยอสี านสามารถแบ่งไดต้ ามประเภทของการพกั อาศยั เพอื่ ตอบสนอง ประโยชน์ใชส้ อยในวาระต่างๆ กนั ดงั ต่อไปน้ี ๑. ประเภทชวั่ คราว หรอื ใชเ้ ฉพาะฤดกู าล ไดแ้ ก่ “เถยี งนา” หรอื “เถยี งไร่” ส่วนใหญ่จะ ยกพน้ื สูง เสาเรอื นใชไ้ มจ้ รงิ ส่วนโครงใชไ้ มไ้ ผ่ หลงั คามงุ หญา้ หรอื แป้นไมท้ ร่ี อ้ื มาจากเรอื นเก่า พน้ื เป็นไมไ้ ผ่สบั ในกรณีทไ่ี ร่นาอย่ไู ม่ไกลจากเรอื นพกั สามารถไปกลบั ไดภ้ ายในวนั เดยี วจะไมน่ ิยมกนั้ ฝา หากต้องคา้ งคนื กม็ กั กนั้ ฝาดว้ ย “แถบตอง” คอื สานไมไ้ ผ่เป็นตารางขนาบใบต้นเหยี งหรอื ใบตน้ พวง ซง่ึ จะทนทายอยรู่ าว ๑-๒ ปี ๒. ประเภทกึ่งถาวร เป็นเรอื นขนาดเลก็ ทไ่ี ม่มนั่ คงแขง็ แรงนกั ชาวอสี านเรยี กว่า “เรือน เหย้า” หรอื “เฮือนย้าว” เป็นการเรมิ่ ต้นชวี ติ การครองเรอื น และค่อยๆ เกบ็ หอมรอมรบิ ไป ส่กู ารมี เรอื นถาวรในทส่ี ุดผู้ทจ่ี ะมี “เรือนเหย้า” น้ีจะเป็นเขยของบา้ นทเ่ี รม่ิ แยกตวั ออกไปจากเรอื นใหญ่ (เรอื นพ่อแม)่ เพราะในแงค่ วามเช่อื ของชาวอสี าน เรอื นหลงั เดยี วไมค่ วรใหค้ รอบครวั ของพน่ี ้องอยู่ รว่ มกนั หลายครอบครวั ในบา้ นหลงั หน่งึ ๆ ควรมเี ขยเดยี วเทา่ นนั้ หากมเี ขยมากกว่าหน่ึงคนมาอยรู่ ว่ ม ชายคาเดยี วกนั ถอื ว่าจะเกดิ “ขะลา” หรอื สงิ่ อปั มงคล เรอื นประเภทน้ีวสั ดุก่อสรา้ งมกั ไม่พถิ พี ถิ นั นกั อาจเป็นแบบ “เรือนเครื่องผกู ” หรอื เป็น แบบผสมของ “เรอื นเครื่องสบั ” กไ็ ด้
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๔๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ภมู ิปัญญาความเช่ือชาวอีสานเร่ืองฤกษย์ าม ความเช่อื เร่อื งฤกษ์งาม-ยามดขี องชาวอสี าน๙ คอื เวลาท่มี อี ิทธพิ ลในชวี ติ ประจําวนั ของ คนเราโดยเฉพาะเวลาในการประกอบพธิ กี รรมต่างๆ อาจจะเกดิ ปญั หาขดั ขอ้ งต่างๆ หากไมค่ ํานึงถงึ ฤกษ์ยาม นอกจากฤกษ์ยามจะทาํ ใหเ้ ช่อื ว่าสามารถทําใหค้ นเราอยดู่ กี นิ ดแี ลว้ ยงั ส่งผลในทางสงั คม อกี ดว้ ย เช่น หากเมอ่ื หาฤกษ์ยาม (วนั และเวลา) ทแ่ี น่นอนไวแ้ ลว้ ยอ่ มทาํ การนดั หมายกบั ญาตพิ น่ี ้อง ไดแ้ ละญาตพิ น่ี ้องยอ่ มมาตามฤกษ์ทน่ี ดั หมายไว้ ดงั นนั้ ผทู้ จ่ี ะประกอบพธิ กี รรมทเ่ี ป็นมงคล เช่น การ แต่งงาน การสรา้ รงบา้ น การบวชโกนผมไฟ หรอื การทาํ บุญขน้ึ บ้านใหม่ ซง่ึ ควรจะต้องมกี ารเรยี นรู้ เกย่ี วกบั ฤกษ์ยามและปรชั ญา-แนวคดิ เบอ้ื งเกย่ี วกบั ฤกษ์ยามทป่ี ระกอบพธิ กี รรมต่างๆ ดว้ ย ฤกษ์เดือน ๑. เดอื นเจยี ง (เดอื นอา้ ย) นาคนนั้ นอนหลบั หากปลกู เรอื นอยมู่ กั ตาย ๒. เดอื นย่ี นาคนอนต่นื ปลกู เรอื นอยดู่ ี ๓. เดอื นสาม นาคหากนิ ทางเหนอื มดิ ี อยฮู่ อ้ นไฟจกั ไหม้ ๔. เดอื นส่ี นาคหากนิ อยเู่ รอื น ปลกู เรอื นอยดู่ เี ป็นมงคล ๕. เดอื นหา้ นาคพา่ ยครฑุ หนี ปลกู เรอื นรอ้ นนอกรอ้ นใจ มดิ ี ๖. เดอื นหก จะบรบิ รู ณ์ดว้ ยทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง มติ รสหายมาก ๗. เดอื นเจด็ นาคพ่ายหนี จกั ไดพ้ รากจากเรอื นมดิ ี ๘. เดอื นแปด นาคเหน็ ครฑุ จกั ไดเ้ สยี ของมริ แู้ ลว้ ๙. เดอื นเกา้ นาคประดบั ตน ปลกู เรอื นมขี า้ วของกนิ มริ หู้ มด ๑๐. เดอื นสบิ นาคถอดเครอ่ื งประดบั ปลกู เรอื นเขญ็ ใจ และคนในเรอื นมกั เจบ็ ไขต้ าย ๑๑. เดอื นสบิ เอด็ จะเกดิ ทุกข์ภยั อนั ตรายต่าง ๆ มกั จะมคี นฟ้องรอ้ งกล่าวหา จกั มโี ทษ ทณั ฑ์ ๙ สวงิ บญุ เจมิ , ตารามรดกอีสาน, (อุบลราชธานี : สาํ นกั พมิ พม์ รดกอสี าน, ๒๕๕๔), หน้า ๒.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๔๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑๒. เดอื นสบิ สอง จะไดท้ รพั ยส์ นิ เงนิ ทอง ขา้ วของ และคนใชด้ หี ลแี ล ฤกษ์วนั ๑. วนั อาทติ ย์ ปลกู เรอื นจะเกดิ ทุกขอ์ ุบาทว์ ๒. วนั จนั ทร์ ทาํ แลว้ ๒ เดอื นจะไดล้ าภผา้ ผ่อนและของขาวเหลอื ง เป็นทพ่ี งึ พอใจ ๓. วนั องั คาร ทาํ แลว้ ๓ วนั ไฟจะไหมห้ รอื เจบ็ ไข้ ๔. วนั พธุ ปลกู เรอื นจะไดล้ าภเครอ่ื งอุปโภคมผี า้ ผ่อน เป็นตน้ ๕. วนั พฤหสั บดี ปลกู เรอื นจะเกดิ สขุ สบายใจ ทาํ แลว้ ๕ เดอื นจะไดโ้ ชคลาภมากมาย ๖. วนั ศุกร์ ปลูกเรอื นจะมคี วามทุกข์และความสุขก้ําก่ึงกนั ทําแล้ว ๓ เดือนจะได้ลาภ เลก็ น้อย ๗. วนั เสาร์ ปลูกเรอื นจะเกดิ พยาธหิ รอื เลอื ดตกยางออก ทําแล้ว ๔ เดอื นจะลําบาก หา้ ม ไมใ่ หท้ าํ แล ฤกษ์งาม หรือ ยามดีในการประกอบพิธีกรรมให้ถกู ต้องจึงจะมีผลสมบูรณ์ประเภท ของฤกษ์ยามมี ๒ ประการดงั น้ี วนั จม คอื วนั และเวลาทไี่ ม่ควรประกอบงานมงคลต่างๆ เพราะจะนาไปส่หู ายนะ ความลม้ จมและความวบิ ตั ฉิ ิบหาย วนั ฟู คอื วนั และเวลาทเี่ จรญิ วนั เฟืองฟูและเป็นวนั ทนี่ าไปสคู่ วามเจรญิ กา้ วหน้าควรแก่การ ทางานทเี่ ป็นมงคลทุกอย่างทพี่ งึ กระทา วนั จมวนั ฟูนัน้ ให้ยดึ ถอื เดอื นกบั วนั เป็นหลกั ในการศกึ ษา ดงั น้๑ี ๐ เดือน วนั จม วนั ฟู อา้ ย (เดอื น ๑) ศุกร์ จนั ทร์ ย่ี (เดอื น ๒) เสาร์ องั คาร สาม แปด อาทติ ย์ พธุ ส,่ี เกา้ จนั ทร์ พฤหสั บดี หา้ , สบิ องั คาร ศุกร์ หก, สบิ เอด็ พุธ เสาร์ เจด็ , สบิ สอง พฤหสั บดี อาทติ ย์ ๑๐ สวงิ บญุ เจมิ , ตารามรดกอีสาน, หน้า ๒๙.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๔๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ภมู ิปัญญาด้านความเชื่อและพิธีกรรมของชาวอีสาน แมว้ ่าชาวอสี านส่วนใหญ่จะนับถอื พระพุทธศาสนามาชา้ นานกต็ าม แต่กย็ งั พบว่ามกี ารนับ ถอื ผผี สนมผสานกบั ความเช่อื ในพระพุทธศาสนาดว้ ย เป็นเพราะว่าเร่อื งการนับถอื ผขี องเดมิ กย็ งั คง อยู่ และยงั ไดผ้ ที อ่ี ยใู่ นพระพทุ ธศาสนามาแต่เดมิ จากอนิ เดยี และลงั กาซง่ึ ตดิ พ่วงทา้ ยเขา้ มาดว้ ย คติ ความเชอ่ื ของอสี านจงึ เป็นแบบพทุ ธ พราหมณ์ ผี เจา้ เทพ ผสี อบ ผฟี ้า ผแี ถน ผปี ตู่ า เป็นตน้ ๑๑ ผคู้ นในภาคอสี าน ซง่ึ เป็นภาคทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งการพฒั นา ในทอ้ งถน่ิ และชนบทยงั มคี วามเช่อื และพธิ กี รรมต่างๆ อยมู่ ากโดยมคี วามเช่อื เหล่าน้ี ก่อใหเ้ กดิ กําลงั ใจในการทจ่ี ะประกอบกจิ การใดๆ อนั เป็นบ่อเกดิ พธิ กี รรม ซง่ึ ยงั มคี วามเช่อื เรอ่ื งเทพ เรอ่ื งผตี ่างๆ เป็นตน้ ๑. ความเชือ่ เรือ่ งเทพเจ้า ความเชอื่ ในเรอื่ งเทพจะทาให้เชอื่ หมอดู นางทรง กฤษณะ การขะลา เป็นตน้ ๑) หมอดู (หมอมอ) หมอดู คอื ผทู้ ม่ี คี วามสามารถในการทํานายทายชวี ติ อนาคต และเล่า เร่อื งถึงเร่อื งราวในอดตี ได้ การศึกษาโหราศาสตรแ์ ละสามารถในการถ่ายทอด ใหผ้ ู้อ่นื เกิดความ เชอ่ื ถอื หมอดจู ะมมี ากมายหลายประเภท อาทิ - หมอดไู พ่ จะใชไ้ พ่เป็นตวั ทาํ นาย - หมอดลู ายมอื จะใชล้ ายมอื ของผมู้ าดเู ป็นตวั ทาํ นาย - หมอดโู หราศาสตร์ จะทาํ นายจากการคาํ นวณ วนั เดอื น ปี เกดิ - หมอดนู งั่ ทรง จะทาํ นายดว้ ยการตดิ ต่อกบั ของรกั ษา - หมอดลู กั ษณะคน จะทาํ นายจากลกั ษณะ ชาย หญงิ การดูหมอจะต้องมคี ่ายกครู คือ ค่าดูนัน่ เองซ่งึ แล้วแต่หมอดูจะกําหนดซ่งึ การทํานาย อาจจะถกู หรอื ไมข่ น้ึ กบั ความเช่อื แต่ละบุคคล ๒) นางทรง นางทรง คอื รา่ งทรงทส่ี ามารถตดิ ต่อกบั เจา้ ปู่ หรอื เจา้ ผทู้ จ่ี ะมาเป็นนางทรง จะเป็นผูห้ ญงิ ทจ่ี ะมญี าตพิ ่นี ้องท่เี คยเป็นร่างทรง หรอื นางทรงมาก่อนจงึ จะเป็นร่างทรงได้ และร่าง ทรงน้ีเจา้ ปู่ หรอื ของรกั ษาจะเป็นผเู้ ลอื กเอง ถา้ รา่ งทรงอ่อนแอเจบ็ ไขป้ ว่ ยอย่เู สมอ เม่อื เป็นรา่ งทรงก็ จะแขง็ แรงหายปว่ ย ผทู้ เ่ี ป็นรา่ งทรงมกั จะถกู ทาบทามก่อนมไิ ดบ้ งั คบั ขนื ใจ จะตอ้ งสมคั รใจเอง นางทรง หรอื ร่างทรงน้ี จะสามารถส่อื สารตดิ ต่อกบั ของรกั ษาได้ และจะเป็นทเ่ี คารพนับ ถอื ของชาวบ้าน ชาวบ้านจะให้เกยี รตนิ างทรงมาก เพราะถอื ประหน่ึงเป็นตวั แทนในการตดิ ต่อกบั ของรกั ษาทช่ี าวบา้ นนบั ถอื ๑๑ พระยาอนุมานราชธน, ชีวิตไทยสมยั ก่อนและการศึกษาเร่ืองประเพณีไทย, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรง พมิ พค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๓๒), หน้า ๗๑.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๔๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๓) การบะ (การบา๋ ) เป็นความเช่อื อยา่ งหน่ึงของคนอสี านโดยทวั่ ไป เกดิ จากหากใครมี เร่อื งท่ีต้องการความช่วยเหลอื เช่น การเจบ็ ป่วยแล้วอยากให้หายจากการเจ็บป่วย ญาติพ่นี ้อง เดนิ ทางไปท่อี ่นื ไม่ทราบท่อี ย่แู ละไม่ทราบข่าวคราว หรอื จะเดนิ ทางไปแข่งขนั หรอื รบั การคดั เลอื ก ต่างๆ หรอื อ่นื ๆ ทไ่ี ดร้ บั ผลการตอบแทนทด่ี ี ผทู้ ไ่ี ปบะจะต้องมดี อกไมธ้ ูปเทยี นจดุ ตามทส่ี งิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ตามทต่ี นเช่อื ถอื เช่น พระธาตุพนม พระเจา้ องคห์ ลวง เจา้ ฟ้ามงุ เมอื ง เจา้ แม่สองนาง เป็นต้น และ อธษิ ฐานขอให้สําเรจ็ ดงั ปรารถนา ตามด้วยการบะว่า หากสําเรจ็ แลว้ จะเอาอะไรมาถวาย เป็นการ แกบ้ ะ อาจจะเป็น หมู เป็ด ไก่ พวงมาลยั น้ําอบ น้ําหอม ผา้ แพร แลว้ แต่ผอู้ ธษิ ฐานจะบะไว้ แลว้ ตอ้ ง ทาํ ตามนนั้ หากไมท่ าํ ตามหลงั จากทราบผลแลว้ กเ็ ช่อื วา่ จะเกดิ อาเพศแก่ตนเองและครอบครวั ๔) ขะลา /การกะลา (ขอ้ ห้าม) การขะลํา เป็นความเช่อื อกี อย่างหน่ึงของชาวภาคอสี าน ซง่ึ เชอ่ื ว่าหากปฏบิ ตั ไิ ดจ้ ะเกดิ ผลดแี ก่ตนเองและครอบครวั เป็นตน้ เช่น คนคลอดลูกใหม่อยไู่ ฟหรอื อยกู่ รรม จะตอ้ งไมก่ นิ เน้อื สตั วแ์ ละหน่อไม้ จะทําใหผ้ ดิ ไฟอาจทําใหถ้ งึ ตายได้ หรอื มคี นในครอบครวั เสยี ชวี ติ ทอ่ี ่นื จะไมเ่ อาเขา้ บา้ น ถอื ว่าจะทาํ ใหค้ รอบครวั เดอื นรอ้ นและมคี นตายตามไปอกี เป็นตน้ ซง่ึ ลกั ษณะของการขะลํา จะเป็นความเช่อื เฉพาะบุคคลและกลุ่มบุคคล ซ่งึ ปจั จุบนั กย็ งั มี หลงเหลอื อยตู่ ามชนบททวั่ ไปในภาคอสี าน ๒. การถือผี ความเชอื่ ในเรอื่ งผยี งั เป็นความเชอื่ ของคนแต่ละทอ้ งถนิ่ เกดิ ปญั หาในการ ดาํ รงชวี ติ ประจาํ วนั เช่น เม่อื ชวี ติ ถงึ คราววบิ ตั ิ เกดิ โรคภยั ไขเ้ จบ็ เกดิ ภยั ธรรมชาติ ปญั หาเหล่านัน้ เกินขดี ความสามารถทค่ี นธรรมดาจะแก้ไขได้ คนจงึ สรา้ งความเช่อื ว่าน่าจะมอี ํานาจลกึ ลบั เหนือ ธรรมชาตบิ นั ดาลใหเ้ ป็นไปเช่นนัน้ อํานาจน้ีอาจจะเป็นเทพ เจา้ ภตู ผี ปีศาจ วญิ ญาณ สตั วป์ า่ พระ อาทติ ย์ พระจนั ทร์ ดวงดาว ตลอดจน ดนิ น้ํา ลม ไฟ ฉะนนั้ เพอ่ื ป้องกนั ภยั พบิ ตั ทิ เ่ี กดิ กบั ตน มนุษย์ จงึ วงิ วอนขอความช่วยเหลอื จาก อํานาจลกึ ลบั โดยเช่อื ว่า ถา้ บอกกล่าวหรอื ทําให้อํานาจนัน้ พอใจ อาจจะช่วยให้ปลอดภยั เม่อื พ้นภยั ก็แสดงความรคู้ ุณด้วยการเซ่นสรวงบูชาหรอื ประกอบพธิ กี รรม ต่างๆ แต่ละสงั คมต่างมคี วามเช่อื เป็นมรดกสบื ต่อกนั มาจนถงึ ปจั จุบนั และชาวอสี านต่างเช่อื ในสงิ่ ต่อไปน้๑ี ๒ ๑) ผบี า้ น แต่ละหมบู่ า้ นในภาคอสี านจะนบั ถอื ผปี ระจาํ บา้ นทเ่ี รยี กว่า “ผีป่ ตู า” ผปี ตู่ าเป็น ผที ค่ี อยดแู ลรกั ษาป้องกนั อนั ตรายต่างๆ ทจ่ี ะมากระทาํ แก่คนในหม่บู า้ นทุกๆ ปี จะมกี ารเลย้ี งผปี ่ตู า มกั จะเป็นป่าท่มี ตี ้นไมอ้ ายุนับรอ้ ยปี เพราะชาวบ้านมคี วามเช่อื ว่า หากไปตดั ไมห้ รอื ยงิ นกภายใน บรเิ วณดอนปตู่ า ผปี ตู่ าจะโกรธาและบนั ดาลใหช้ วี ติ ประสบแต่อปั มงคล ในพธิ เี ลย้ี งผปี ตู่ านนั้ เฒ่าจ่าํ จะเป็นพธิ กี ร เพราะเฒ่าจ่าํ เป็นคนกลางในการตดิ ต่อระหว่างชาวบ้านกบั ผปี ่ตู า เม่อื วนั เลย้ี งผบี ้าน ชาวบา้ นจะจดั เตรยี มอาหารคาวหวานไปรว่ มในพธิ เี ช่น ขา้ วตม้ ไขต่ ้ม ไก่ต้ม เหลา้ ขาว ปนั้ ขา้ ว ขา้ ว ดาํ ขา้ วแดง กลว้ ย น้ําออ้ ย น้ําตาล ๑๒ สวงิ บุญเจมิ , ตารามรดกอีสาน, หน้า ๖๔-๖๕.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๔๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒) ผีนา หรือผีตาแฮก เป็นผที ท่ี ําหน้าทอ่ี ารกั ษ์ผนื นา คอยอํานวยผลให้ขา้ วกล้างดงาม น้ํา ปลา อุดมสมบรู ณ์ คลอดจนคอยคุม้ ครอง ววั ควาย ใหม้ สี ุขภาพดเี หมาะในการทํางาน ผตี าแฮก จะสถติ อยมู่ มุ ใดมมุ หน่งึ ของทน่ี า นาแปลงใดทต่ี าแฮกสถติ ชาวนาจะยกคนั นาใหส้ งู ข้ึน ก่อนจะลงมอื ทํานา จะต้องทําพธิ ีเล้ยี งผตี าแฮกเสยี ก่อน การเล้ยี งผตี าแฮก นัน้ จะกระทํากนั ในวนั พฤหสั บดี อาหารทน่ี ําไปเซ่นผตี าแฮก ไดแ้ ก่ ไก่ต้ม เหลา้ ขาว แกลบ ขา้ วต้มมดั ไขต่ ้ม ขา้ วดํา กล้วย น้ําออ้ ย น้ําตาล เมอ่ื เลย้ี งตาแฮกเสรจ็ แลว้ ชาวนาก็จะปีกดําขา้ วกลา้ ในนาแปลงทต่ี าแฮกอยกู่ ่อนเพ่อื เป็นการ เสย่ี งทายความงอกงามของขา้ วในนา ๓) ผีเชื้อหรือผีบรรพบุรุษ เป็นผเี ครอื ญาติท่ลี ่วงลบั ไปแล้ว ชาวบ้านมคี วามเช่อื ว่าผี บรรพบุรุษยงั ไม่ไดไ้ ปเกดิ ยงั คอยปกป้องคุม้ ครองลกู หลานของตนอยู่ แต่ถ้าหากลูกหลานประพฤติ ไมเ่ หมาะสม ผเี ชอ้ื กจ็ ะโกรธบนั ดาลใหเ้ จบ็ ปว่ ย ลกู หลานจะต้องทําการขอขมาจงึ จะหายโกรธ เม่อื ถงึ วนั โกน วนั พระหรอื วาระท่ที ําบุญ ขา้ วสากในเดอื นสบิ และบุญขา้ วประดบั ดนิ ในเดอื นเก้า ลูกหลาน จะตอ้ งใหท้ านอุทศิ สว่ นกุศลไปให้ ๔) ผีปอบ ผปี อบก็คอื คนท่เี ป็นผเี ขา้ สงิ ในร่างกายคนอ่นื เรยี กว่า ผปี อบเขา้ เพ่อื ทจ่ี ะกนิ ตบั ไตไสพ้ ุงคนนนั้ บางครงั้ คนทถ่ี ูกปอบเขา้ จะถงึ แก่ชวี ติ หากไม่มหี มอผมี าขบั ไล่ ผปี อบทส่ี งิ สถติ อยู่ ใหอ้ อกไป เช่อื ว่าสาเหตุทจ่ี ะทาํ ใหค้ นเป็นปอบนนั้ มอี ยู่ ๒ ประการ คอื - เกดิ จากการเรยี นเวทมนตรค์ าถาต่างๆ เช่น เสน่หย์ าแฝดอย่ยู งคงกระพนั แล้ว เวท มนตร์คาถานัน้ แก่กล้าจนเกินไป หรอื ประพฤติปฏิบตั ิผิดข้อห้ามของเวทมนตร์นัน้ ๆ ผลท่สี ุดก็ กลายเป็นผปี อบ - เกดิ จากการถ่ายจากบรรพบุรษุ หากพ่อหรอื แม่เป็นปอบเมอ่ื ตายไป ผปี อบจะรบี ออก จากร่างไปสงิ สถิตบุคคลท่อี ยู่ใกล้และบุคคลนัน้ จะกลายเป็นปอบทนั ที เม่ือผปี อบเข้าสิงร่างใคร บุคคลนัน้ จะมอี าการชกั กระตุกด้นิ ทุรนทุราย ส่งเสยี งรอ้ งโหยหวนน่ากลวั ญาตพิ ่นี ้องต้องไปตาม หมอผมี าทําพธิ ขี บั ไล่ผปี อบ โดยการใช้หวายวเิ ศษหรอื หางกระเบนและใชว้ ่านไฟเหน็บหรอื จล้ี งไป ตามสว่ นต่างๆ ของร่างกาย เม่อื ผปี อบทนไมไ่ ดก้ จ็ ะออกปากบอกว่าตนเป็นใคร มาจากไหน แลว้ จงึ ออกจากรา่ งไป แต่ในบางรายถา้ ผปี อบนนั้ มคี าถาแก่กลา้ กว่าหมอผี ผปี อบนนั้ กจ็ ะไมย่ อมออก คนท่ี ถูกผปี อบเขา้ กจ็ ะตายหากแก้ไขไม่ทนั เป็นท่นี ่าสงั เกตว่า คนท่ถี ูกผปี อบเขา้ สงิ ส่วนมากจะเป็นคน ปว่ ย คนอ่อนแอ และคนขวญั อ่อน ๕) ผีเป้ า มคี วามเช่อื ว่าผเี ป้าคอื คนท่กี ลายเป็นผดี บิ เพราะชอบกนิ ตบั คน ตบั สตั ว์ หรอื ชอบ กนิ อาหารทะเลสด อาหารคาว ผเี ป้าจะออกหากนิ ในเวลากลางคนื โดยเฉพาะในคนื เดอื นมดื ท่ตี รง กบั วนั พระมกั จะออกหากนิ คนทเ่ี ป็นผเี ป้าจะมแี สงออกทร่ี จู มกู ทงั้ สองขา้ ง หมอผี คือ ผู้ท่ีมีความนับถืออํานาจลึกลับและญาณวิเศษ ท่ีสามารถติดต่อขอความ ช่วยเหลอื จากอํานาจลกึ ลบั ได้ นอกจากน้ี หมอผยี งั เป็นตวั แทนในการบวงสรวง สงั เวยตดิ ต่อและ ส่อื สารกบั ผไี ดท้ าํ ใหเ้ กดิ พธิ กี รรมต่างๆ มากมาย เชน่ การฟ้อนผมี ด
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๔๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๖) การฟ้ อนผีมด ภาคอีสานเป็นดินแดนส่วนหน่ึงของประเทศไทย ซ่ึงอยู่ทางทิศ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ของประเทศทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยปา่ เขาลาํ เนาไพร แต่บางแหง่ กแ็ หง้ แลง้ และบางครงั้ ก็ ตอ้ งประสบอุทกภยั สรุปแลว้ จะเหน็ ได้ว่าเป็นภาคท่ไี ด้รบั ภยั ธรรมชาตมิ ากเหมอื นกนั และผู้คนใน ภาคน้ีอย่ตู ามชนบท ส่วนมากเช่อื ถอื เก่ยี วกบั ผสี างต่างๆ จงึ มพี ธิ กี ารฟ้อนชนิดหน่ึงเรยี กว่า “การ ฟ้อนมด” เป็นการปฏบิ ตั ติ ามแนวความเช่อื น้ี การฟ้อนมด คอื การฟ้อนราํ เพอ่ื เป็นการสงั เวยผบี รรพบรุ ษุ ประเพณกี ารฟ้อนผมี ดน้ี ตามท่ี ไดย้ นิ จากคําบอกเล่าของผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ไดความว่า มี ๒ อย่างดว้ ยกนั คอื การฟ้อนผมี ด และการฟ้อนผี เมง็ ซ่งึ มกี รรมวธิ ีอย่างเดยี วกัน เพยี งแต่แตกต่างกันบ้างเลก็ น้อยคอื การฟ้อนผมี ดไม่มกี ระบอก น้ําปลารา้ แต่การฟ้อนผเี มง็ จะมกี ระบอก ใส่น้ําปลารา้ สงั เวยผดี ว้ ยการทใ่ี ชน้ ้ําปลารา้ ท่านกล่าวว่าใส่ ตามธรรมชาตทิ ่ถี อื กนั มาแต่เดมิ สนั นิษฐานกนั ว่าเป็นเพราะว่าชาวภาคน้ีชอบรบั ประทานปลารา้ นนั้ เอง สําหรบั การฟ้อนผมี ดน้ีมกั จะทํากนั ในระหว่างเดอื นพฤษภาคม มถิ ุนายน ซ่งึ พวกฟ้อนผมี ด คนน้ีจะต้องเป็นพวกตระกูลเดยี วกนั และเมอ่ื ครบรอบปี บางตระกูลกท็ ํา ๓ ปีต่อครงั้ บางตระกูลกป็ ี ละครงั้ หรอื บางตระกูลกไ็ ม่มกี ําหนดแน่นอน เห็นว่ามเี ซ่นเม่อื ใดก็จดั ทํากนั เสยี ทหี รอื บางทคี นใน ครอบครวั เกดิ การเจบ็ ป่วยต้องบนบานผปี ู่ย่าตายาย อนั เป็นบรรพบุรุษ ก็ต้องทําพธิ เี ซ่นสรวงกนั ตามทไ่ี ดบ้ นบานไว้ ซง่ึ การฟ้อนผมี ดแต่ละครงั้ กจ็ ะตอ้ งใชจ้ า่ ยเงนิ ทองเก่ยี วกบั การเลย้ี งดูพวกญาตพิ ่ี น้องทม่ี ารว่ มในงาน ตลอดจนชาวบา้ นในละแวกเดยี วกนั ทม่ี าช่วยในงานนนั้ ดว้ ย ความเช่ือเกี่ยวกบั พิธีกรรมของชาวอีสาน ระบบความเช่อื และปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างมนุษยก์ บั สง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ งั้ หลาย เราอาจแบ่งแยกสงิ ศักดสิ ์ ิทธิใ์ นระบบความเช่ือต่างๆ ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คอื พลงั อํานาจเหนือธรรมชาติ (Supernatural force) และวญิ ญาณ หรอื เทพเจา้ หรอื สงิ่ มชี วี ติ ทม่ี อี ํานาจเหนือธรรม (Supernature being) ซง่ึ ในสว่ นของสงิ่ มชี วี ติ ทม่ี อี ํานานเหนอื ธรรมชาตนิ นั้ ยงั แบ่งออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ประเภท แรก คอื เทพเจา้ (Gods) ท่มี ไิ ดม้ ตี ้นกําเนิดมาจากมนุษย์ (Non-human origin) และประเภททส่ี อง จติ วญิ ญาณ (Spirit) คอื ผปี ีศาจ หรอื วญิ ญาณของมนุษยท์ ต่ี ายไปแลว้ ๑๓ ความเชอ่ื เรอ่ื งผแี ละวญิ ญาณ เป็นความเชอ่ื ในอาํ นาจลล้ี บั ทเ่ี หนือธรรมชาตทิ เ่ี ป็นชาวอสี าน ทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลการสบื ทอดมาจากบรรพบุรษุ มาชา้ นาน เชน่ ความเช่อื เกย่ี วกบั ผบี า้ น ผฟี ้า ศาลเจา้ ปู่ ดนิ ปู่ตา” ผตี ้นน้า ปีดอน ผเี หล่า ผกี ู่ “ขอื บ้าน” (หลกั บ้าน) “ผอี าฮกั ” เป็นต้น ในหมู่บา้ นอีสาน ลกั ษณะดังกล่าวน้ีจงึ เป็นโครงสร้างความคดิ ทางวฒั นธรรมพ้ืนฐานของชาวอีสาน (Indigenous culture construct)๑๔ ๑๓ ยศ สนั ตสมบตั ิ, มนุษย์กบั วฒั นธรรม, ฉบบั พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๔ แก้ไขเพม่ิ เติม, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๕๖), หน้า ๒๘๑. ๑๔ สรุ ยิ า สมทุ คุปต,ิ ์ ฮีตบา้ นคองเมอื ง, (โครงการจดั ตงั้ พพิ ธิ ภณั ฑท์ างมานุษยวทิ ยาของอสี าน สาํ นกั วชิ าเทคโนโลยสี งั คม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี รุ นาร,ี ๒๕๔๔), หน้า ๑๗๐.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๔๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ความเป็นมาและความผกู พนั ระบบความเชื่อของภมู ิปัญญาชาวอีสาน อสี านเป็นชุมชนเกษตรกรรม ท่สี บื ทอดมรดกจากบรรพชนมาอย่างต่อเน่ืองยาวนาน โดย ผูกพนั กบั ธรรมชาติป่าวฒั นธรรมชุมชนอย่างเน้นเฟ้น ได้รบั การสงั่ สมแนวคิด ภูมปิ ญั ญา ปลูก ศรทั ธา คติ ความเช่อื จนเป็นแบบแผนการดํารงชวี ติ ทม่ี คี ุณค่า อนั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเฉลยี วฉลาด ของทรพั ยากรบุคคลและสงั คมพน้ื ถน่ิ สงั คมอสี านเคร่งครดั ในรปู แบบของประเพณี พธิ กี รรม เช่อื ถอื ในเรอ่ื ง บาป-บุญ คุณ-โทษ ขวญั -วิญญาณ เทวดาอารกั ษ์ ตลอดจนผสี างนางไม้อย่างจรงิ จงั โดยมกี ารเซ่นสรวงบดั พลตี าม ฤดูกาลพรอ้ มกนั น้ี กงั ปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ทางศาสนาด้วยความมนั่ คงตามค่านิยมของชุมชน เพ่อื สร้าง ขวญั และกําลงั ใจ หรอื แกไ้ ขปญั หาชวี ติ ทพ่ี งึ มี อนั จะเป็นประหน่ึงภมู คิ ุม้ กนั ภยั พบิ ตั ทิ งั้ หลายทงั้ ปวงมิ ใหม้ ากล้าํ กรายตน หรอื ครอบครวั ตลอดจนทุกชวี ติ ในชุมชน นอกจากน้ียงั ได้แสดงถงึ ความกตญั ํู เชดิ ชคู ณุ ความดขี องบรรพชนผกู้ ลายเป็นผไี ปแลว้ อกี ดว้ ย คตคิ วามเช่อื เรอ่ื ง “ผ”ี นนั้ ชาวอสี านเช่อื กนั ว่า ผมี อี ยสู่ องกลุ่มใหญ่ กลุ่มหน่ึงเป็นผปี ระเภท แผ่คุณความดี ช่วยคุ้มครองปกป้องภยั พบิ ตั ทิ งั้ ปวงท่จี ะมากล้ํากราย ตลอดจนดูแลรกั ษาชุมชนให้ เกิดสนั ตสิ ุข ขณะเดยี วกนั ก็อาจบนั ดาลให้เกิดความเดอื ดรอ้ นยุ่งยากได้ หากผู้ใดล่วงละเมดิ ขาด ความเคารพยาํ เกรง หรอื มพี ฤตกิ รรมอนั ไม่พงึ ปรารถนาของชุมชน กลุ่มผดี งั กล่าวมผี เี จา้ ผนี าย ผี บา้ น ผเี รอื น ผเี จา้ ท่ี ผปี ยู่ ่า ผปี ่ตู า ผตี ายาย ผมี เหสกั ข์ หลกั เมอื ง ผฟี ้า ผแี ถน ผมี ด ผหี มอ ผเี จา้ ปู่ หลบุ ตา หรอื ผที ช่ี าวบา้ นนบั ถอื เฉพาะถนิ่ ซง่ึ มชี ่อื เรยี กแตกต่างกนั ออกไป เป็นต้น ส่วนผอี กี กลุ่มหน่ึง เป็นผรี า้ ยท่คี อยมุ่งทําลายล้าง เบยี ดเบยี น ก่อความวุ่นวายสบั สนให้เกดิ โทษภยั อย่เู นืองๆ เช่น ผี ปอบ ผเี ปรต ผแี มเ้ ลง้ ผหี า่ เป็นตน้ ๑๕ เมอ่ื ชาวอสี านไดก้ ่อตงั้ ชุมชนขน้ึ มา ณ บรเิ วณใดกต็ ามย่อมจะตอ้ งสรา้ งบา้ นเรอื น โรง หอ หรอื ศาล (ตูบ) ไวเ้ ป็นทพ่ี าํ นกั อาศยั ของกลมุ่ ผปี ระเภททใ่ี หค้ ุณไวเ้ สมอ ณ บรเิ วณใกลเ้ คยี ง เพ่ือเป็น ทพ่ี ง่ึ พงิ สาํ หรบั บชู าเซน่ สรวงสงั เวยเป็นทย่ี ดึ เหน่ียวทางใจ กลุ่มผใี หค้ ณุ ทช่ี าวอสี านดจู ะใหค้ วามเคารพศรทั ธาคอ่ นขา้ งมากนนั้ ดจู ะเป็น “ผปี ่ตู า” ซง่ึ ถอื วา่ เป็นกลมุ่ ผบี รรพชน หรอื กลมุ่ ผปี ระจาํ ตระกูลทล่ี ่วงลบั ไปแลว้ ของชาวอาน แต่ดวงวญิ ญาณยงั เป็น ห่วงบุตรหลานอยู่จงึ เฝ้าคอยดูแล รกั ษา คุ้มครอง ป้องกนั ภยั ร้ายทงั้ ปวงทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในชุมชนโดย มอบหมายกําหนดให้ “เฒ่าจ้ํา” ทําหน้าท่เี ป็นผู้ตดิ ต่อประสานงานส่อื สารระหว่างผบี รรพชนกบั ชาวบา้ น ความเช่อื ถอื ศรทั ธาเร่อื งผบี รรพชน หรอื “ผปี ่ยู า่ ตายาย” ของชาวอสี านนนั้ ปฏบิ ตั สิ บื ทอด กนั มาเป็นประเพณีทุกท้องถน่ิ ชุมชน และดูเหมอื นว่าชุมชนจะยดึ มนั่ เคารพในผเี พศชายเป็นสาํ คญั จงึ คงเหลอื ชอ่ื เป็น “ผปี ตู่ า” หรอื “ผตี าป”ู่ ส่วน “ผยี า่ ยาย” นนั้ กลบั เลอื นหายไป อย่างไรกต็ ามการคง ๑๕ ยศ สนั ตสมบตั ,ิ มนุษยก์ บั วฒั นธรรม, หน้า ๒๘๒-๒๘๔.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๕๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ช่อื “ป”ู่ และ “ตา” อาจมงุ่ หวงั เป็นบรรพชนทงั้ ฝา่ ยบดิ ามารดา ใหท้ ดั เทยี มกนั ดว้ ย “ป”ู่ เป็นญาตขิ า้ ง ฝา่ ยชาย และ “ตา” เป็นญาตขิ า้ งฝายหญงิ ๑๖ เงอ่ื นไขผกู พนั ระหว่างผกี บั ปา่ ในการเรมิ่ แรกตงั้ ชุมชนของชาวอสี านนนั้ มกั จะมคี รอบครวั เครอื ญาติเพยี งไม่ก่ีครอบครวั เขา้ มาบุกร้างถางพง ปลูกสร้างบ้านเรอื นและยดึ พ้นื ท่ที ําไร่นา ส่งิ สําคญั ทท่ี ุกชุมชนไม่ลมื จะเป็นเร่อื งการกําหนดเขตพ้นื ท่ปี ่าทบึ ออกเป็นสามส่วน ส่วนหน่ึงให้เป็น พน้ื ทพ่ี าํ นกั อาศยั ของผบี รรพชน “ผปี ตู่ า” โดยสรา้ งเรอื น โรง หรอื ศาล (ตูบ) ใหห้ น่ึงหรอื สองหลงั อยู่ ในทศิ ทางท่ตี ่างกนั ตามความเหมาะสม โดยทวั่ ไปแล้วมกั นิยมให้อยู่ดา้ นทศิ ตะวนั ออกของชุมชน บรเิ วณป่าอกี ส่วนหน่ึงจะกําหนดใหอ้ ยู่ดา้ นทศิ เหนือ หรอื ทศิ ใต้ของชุมชน เป็นป่าสําหรบั เลย้ี งสตั ว์ จําพวก ววั ควาย หรอื สตั วใ์ ชง้ านอ่นื ซ่งึ เรยี กว่า “ป่าทําเลเล้ยี งสตั ว์” โดยเฉพาะการกําหนดเลอื ก พน้ื ท่อี ยู่อาศยั ของผปี ู่ตานัน้ ต้องให้พน้ื ท่เี ป็นเนินสูง โนนโคกหรอื ดอน ซง่ึ น้ําท่วมไม่ถงึ มสี ภาพป่า หนาทบึ รม่ ครม้ึ มสี ตั วป์ า่ ชุกชุมหลากหลายพนั ธุ์ มบี รรยากาศน่าสะพรงึ กลวั ทงั้ เสยี งรอ้ งองส่ําสตั ว์ คลุกเคลา้ ประสานไปกบั เสยี งเสยี ดของต้นไมเ้ ครอื เถาทงั้ ปวง ซง่ึ ทาํ ใหอ้ าณาเขต “ปตู่ า” “ดอนป่ตู า” หรอื “ดงปตู่ า” ดขู ลงั และศกั ดสิ ์ ทิ ธยิ ์ ง่ิ นกั เรอื น โรง หอ หรอื โรงศาลทต่ี อ้ งสรา้ งไวเ้ ป็นทพ่ี กั อาศยั ของผปี ่ตู านนั้ บางทกี เ็ รยี กว่า “หอ ปตู่ า” “ศาลป่ตู า” “ตูบป่ตู า” หรอื “โฮงป่ตู า” นิยมสรา้ งกนั เป็นสองลกั ษณะกล่าวคอื ใชเ้ สาหลกั เพยี ง ตวั เดยี วเหมอื นศาลพระภมู ทิ วั่ ๆ ไป แลว้ สรา้ งเป็นเรอื นยอดบนปลายเสากบั ใชเ้ สาสต่ี ้นแลว้ สรา้ งโรง เรอื น หรอื ศาลาใหม้ หี ้องขนาดเลก็ หรอื ใหญ่ตามตอ้ งการ โดยทวั่ ไปแลว้ จะมหี อ้ งโถงเพยี งหอ้ งเดยี ว และภายในหอ้ งนนั้ ต้องใหบ้ รเิ วณสาํ หรบั เป็นทว่ี างสง่ิ ของเคร่อื งใชท้ จ่ี าํ เป็น พรอ้ มทงั้ วสั ดุทแ่ี กะสลกั ดว้ ยไมห้ รอื รปู ปนั้ ตามทเ่ี ช่อื ถอื กนั ว่าเป็นสงิ่ ของทม่ี ผี ปี ตู่ าตอ้ งการ เช่น เป็นรปู คน สตั ว์ ขา้ ทาส และ บรวิ าร ตลอดจนเครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชจ้ าํ เป็นไวส้ าํ หรบั ใหผ้ ปี ตู่ าไดใ้ ชส้ อยไมข่ าดแคลน ส่วนดา้ นหน้าตูบ หรอื ศาล มกั จะสรา้ งให้มชี านย่นื ออกมาสําหรบั เป็นทต่ี งั้ หรอื วางเครอ่ื งบูชาและเคร่อื งเซ่นสงั เวยไว้ ดว้ ย เฒ่าจา้ เป็นบุคคลทไ่ี ดร้ บั มอบหมายใหเ้ ป็นตวั แทนของชุมชนตดิ ต่อส่อื สารกบั ผปี ่ตู า หรอื รบั บญั ชาจากผปี ู่ตามาแจง้ แก่ชุมชน ตลอดจนมภี าระหน้าท่ีในการดําเนินกจิ การด้านพธิ กี รรมท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั ผปี ตู่ าและบรเิ วณทอ่ี ยอู่ าศยั เฒา่ จา้ํ อาจเรยี กไดห้ ลายชอ่ื แตกต่างกนั ไปตามทอ้ งถนิ่ เช่น กระจา้ํ ขะจา้ํ ขา้ วเจา้ เฒา่ ประจาํ เจา้ จา้ํ หรอื จา้ํ นอกจากเฒ่าจ้ําจะมภี ารกิจดงั กล่าวแล้ว เฒ่าจ้ํายงั ต้องเอาใจใส่ดูแลป้องกนั รกั ษาพ้นื ท่ี บรเิ วณปา่ ต้นไม้ สตั ว์ รวมไปถงึ ทรพั ยากรผลติ ผลจาก “ดงปู่ตา” เช่น เหด็ แมลง ฟืนไมแ้ ห้ง ผกั และพชื สมุนไพร เป็นต้น ต้องขออนุญาตผปี ตู่ าเป็นส่วนตวั และผ่าน “เฒา่ จ”้ี เสมอ มฉิ ะนนั้ จะถูกผปี ู่ ตาลงโทษใหผ้ นู้ นั้ ไดร้ บั ภยั พบิ ตั ติ ่างๆจนอาจถงึ แก่ชวี ติ ได้ ๑๖ สรุ ยิ า สมทุ คปุ ต,ิ ์ ฮีตบา้ นคองเมือง, (โครงการจดั ตงั้ พพิ ธิ ภณั ฑท์ างมานุษยวทิ ยาของอสี าน สํานักวชิ าเทคโนโลยสี งั คม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี ุรนาร,ี ๒๕๔๔), หน้า ๑๔๒-๑๔๓.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๕๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เม่ือเฒ่าจ้ํามีบทบาทผูกพันกับผีปู่ตาและชุมชนดังกล่าวแล้ว เฒ่าจ้ําจึงเป็นเสมือน สญั ลกั ษณ์แทนสถาบนั อนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ นชุมชนทุกสถาบนั นับตงั้ แต่ “ดงป่ตู า” พระภูมเิ จา้ ท่ี เทวดา หลกั เมอื ง มเหศกั ดิ ์และหลกั บา้ น บุคลกิ ลกั ษณะและพฤตกิ รรมของเฒ่าจ้าํ นัน้ น่าจะไดพ้ จิ ารณาเช่อื มโยงจากการเลอื กเฟ้น หรอื กําหนดตวั บุคคลใหท้ าํ หน้าทน่ี ้ี โดยปกตแิ ลว้ เมอ่ื เฒา่ จา้ํ ถงึ แก่กรรมลงจะตอ้ งหาเฒ่าจ้าํ คนใหมม่ า ทาํ หน้าทแ่ี ทนทนั ที โดยคดั เลอื กจากบุคคลในหม่บู ้านท่มี คี วามประพฤตดิ ี บุคลกิ น่าเล่อื มใส เป็นท่ี ยอมรบั ของชมุ ชน ในแต่ละชมุ ชนอาจมวี ธิ กี ารเลอื กเฒ่าจา้ํ แตกต่างกนั เป็นตน้ ว่าอาจเลอื กบุคคลทม่ี ี คุณสมบตั เิ ป็นทป่ี รารถนาในหมบู่ า้ นมา ๕ – ๑๐ ราย พรอ้ มไมค้ านหรอื ไมไ้ ผ่ทม่ี คี วามยางเท่ากบั วา ของแต่ละคน แลว้ มากําหนดวาอกี ครงั้ ต่อหน้าศาลป่ตู า และผอู้ าวุโสในหม่บู า้ นรว่ มเป็นพยานรเู้ หน็ ถา้ ผใู้ ดวดั วาแลว้ ปรากฏวา่ ไมค้ านหรอื ไมไ้ ผ่ยากเกนิ วา แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผปี ตู่ าจงใจเลอื กบคุ คลผูน้ นั้ ไว้ เป็นเฒา่ จา้ํ ในบางชุมชนอาจเลอื กเฒ่าจ้าํ โดยสบื ทอดบุคคลในตระกูลนนั้ ๆ อยา่ งไรกด็ ไี ม่ว่าจะได้เฒ่า จ้าํ มาโดยวธิ ใี ดกต็ าม ถอื ได้ว่าเฒา่ จ้าํ เป็นบุคคลท่ชี ุมชนมคี วามเคารพ ศรทั ธา เช่อื ถอื และผปี ู่ตาก็ ยอมรบั ไวว้ างใจเชน่ กนั ลกั ษณะการใช้ประโยชน์จากป่าดอนป่ตู า โดยทวั่ ไปนัน้ มอี ยู่ ๒ ประการใหญ่ๆ กล่าวคอื ประการแรก ใชเ้ ป็นสถานทใ่ี นการประกอบพธิ กี รรม โดยปกตแิ ลว้ ดอนปู่ตาเป็นสถานท่ศี กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ อนั เป็นทเ่ี คารพยาํ เกรงของชาวบา้ น ชาวบา้ นจะใชเ้ ป็นสถานทป่ี ระกอบพธิ กี รรมต่างๆ อนั เก่ยี วกบั ความศรทั ธาทม่ี ตี ่อผปี ตู่ า พธิ กี รรมต่างๆ มเี ช่น พธิ กี รรมเลย้ี งประจาํ ปีในเดอื นสาม และเดอื นหกซง่ึ เรยี กว่า “เลย้ี งขน้ึ ” (เป็นการเลย้ี งเมอ่ื เสรจ็ สน้ิ การเกบ็ เก่ยี ว) และ “เลย้ี งลง” (เป็นการเล้ยี งเม่อื จะ เรม่ิ ตน้ ฤดกู ารปกั ดาํ ) นอกจากน้ีมพี ธิ เี สย่ี งทายสภาพดนิ ฟ้า อากาศ ก่อนจะเรมิ่ ต้นไถหว่านและพธิ ี บนบานเฉพาะราย (ชาวอสี านเรยี กว่า “บ๋า”) ซง่ึ ทุกพธิ กี รรมจะมกี ารเซ่นไหว้บชู า และเลย้ี งดดู ้วย ความสํานึกในพระคุณ พรอ้ มกบั อญั เชญิ บวงสรวงผปี ่ตู าให้มาช่วยดลบนั ดาลใหช้ าวบา้ นอย่ดู กี นิ ดมี ี สุขโดยทวั่ หน้า นอกจากจาํ ใชเ้ ป็นสถานทป่ี ระกอบพธิ กี รรมดงั กล่าว ดอนปู่ตาบางพ้นื ทย่ี งั ใชเ้ ป็นสถานท่ี เผาศพในบางโอกาสอกี ดว้ ย ประการที่สอง เป็นสถานท่ใี ช้ประโยชน์ทวั่ ๆไปของชุมชน เช่น เล้ยี งสตั ว์ประเภทววั ควาย ชุมชนอาจร่วมมอื กนั จบั สตั วน์ ้ําตามหนองน้ําในบรเิ วณป่าดอนป่ตู าโดยมเี ง่อื นไข ในป่าดอนปู่ ตาเหล่าน้ีมตี ้นไมป้ ระเภทต่างๆ และมพี ชื พนั ธุ์ผกั เห็ด แมลง พชื สมุนไพร เป็นต้น คนในชุมชน สามารถขออนุญาตตดั ไม้ คน้ หาเกบ็ ผลติ ผลป่ามาสรา้ งบา้ นเรอื นท่อี ย่อู าศยั ตามความจาํ เป็นเฉพาะ ราย บางบา้ นเกบ็ ใบตองของไมบ้ างชนิดมาเยบ็ เป็นฝากนั้ หอ้ ง หรอื แมแ้ ต่ใชเ้ ศษไมแ้ ละกงิ่ ไมม้ าเป็น เชอ้ื เพลงิ ตลอดจนทาํ เป็นไมห้ ลกั สําหรบั พชื ประเภทแตงกวา แตงรา้ น เป็นต้น ซง่ึ การใชป้ ระโยชน์ ดงั กล่าวตอ้ งไดร้ บั ความนิยมจากกรรมการหมบู่ า้ นและเฒ่าจา้ํ
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๕๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ภาวะอานาจและการยอมรบั ชาวบ้านมคี วามเช่ือในเร่อื งอํานาจของผบี รรพชนและป่าดอนปู่ตาอย่างจรงิ จงั ปฏบิ ตั ิ ยดึ ถือ และละเว้นอย่างเคร่งครดั เป็นต้นว่า จะไม่มชี าวบ้านคนใดเข้าไปตดั ต้นไม้หรอื จบั สตั ว์น้ํา โดยเฉพาะเต่า ตะพาบน้ํา ตะกวด เป็นต้น ซง่ึ ชาวบ้านคนใดเขา้ ไปตดั ไมห้ รอื จบั สตั ว์น้ําโดยฝ่าฝืน บุคคลนนั้ กจ็ ะมอี นั เป็นไปต่างๆ ตามทผ่ี ปี ตู่ าบนั ดาลใหเ้ ป็นไป ปา่ ดอนปตู่ าบางแห่งยงั มขี อ้ หา้ มสาํ หรบั กจิ กรรมทไ่ี มเ่ หมาะสมทงั้ ปวง เป็นต้นว่า หา้ มหนุ่ม สาวมาพลอดรกั ในบริเวณป่าดอนปู่ตา ห้ามปสั สาวะหรอื อุจจาระในสถานท่ีศักดิส์ ทิ ธิน์ ้ีแม้เดิน ทางผ่านก็จะต้องแสดงความเคารพเสมอ อนั ท่ีจรงิ ความเช่อื เก่ียวกบั ผดี อนปู่ตาของชาวบ้านนัน้ ค่อนขา้ งจะส่งผลใหช้ าวบา้ นเช่อื ว่าหากล่วงละเมดิ ต่อป่าดอนป่ตู า ผปี ตู่ าจะโกรธและบนั ดาลใหเ้ กดิ ผลรา้ ยขน้ึ แก่ชุมชน และคนในหมบู่ า้ นไม่ยกเวน้ แมน้ ะเป็นสตั วเ์ ลย้ี งกต็ าม ทงั้ น้ีเน่ืองจากชาวบา้ นได้ เคยประสบพบเหน็ มาแลว้ และเล่าสบื ต่อกนั มา ชาวบา้ นจงึ เช่อื ถอื และยอมรบั ว่าดอนป่ตู าและผปี ตู่ า เป็นสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องหมบู่ า้ นทผ่ี ใู้ ดจะล่วงละเมดิ มไิ ด้ ขอ้ หา้ มและขอ้ ปฏบิ ตั กิ บั ปตู่ านัน้ ถอื ว่าเป็นกฎระเบยี บทท่ี ุกคนในชุมชนตอ้ งยอมรบั พรอ้ ม กบั ปฏบิ ตั ติ ามโดยเครง่ ครดั มฉิ ะนนั้ จะถูกลงโทษโดยมติชาวบา้ น นอกจากน้ียงั เช่อื ว่าหากบุคคลใด ไม่ปฏิบตั ิตาม หรอื แสดงกิรยิ าอาการอันส่ือแสดงว่าดูถูกสถาบนั ดอนปู่ตา หรอื ไม่ยอมรบั ภาวะ อํานาจของผปี ู่ตาลงโทษไม่ทางใดก็ทางหน่ึง เป็นต้นว่าให้เกดิ อุบตั เิ หตุต่างๆ เกดิ อาการปวดทอ้ ง ปวดศรี ษะ เป็นไข้ เจบ็ แขนขา หรอื เกดิ การอาเจยี นตลอดเวลา และบางรายอาจถงึ กบั เสยี ชวี ติ โดยไม่ ทราบสาเหตุ หรอื สุดท่แี พทยว์ นิ ิจฉัยได้ ซ่งึ ชุมชนกเ็ ช่อื ว่าลกั ษณะดงั กล่าวเป็นอํานาจของผปี ่ตู าท่ี บนั ดาลใหเ้ กดิ ขน้ึ ขอ้ ห้ามต่างๆ ในแต่ละชุมชนนนั้ อาจกําหนดขน้ึ จากมตทิ ่ปี ระชุมของชาวบา้ น หรอื เฒ่าจ้าํ จะเป็นผู้กําหนดข้นึ มาเองก็ได้ตามคําขอของผปี ่ตู า ซ่งึ ได้มาเข้าฝนั เฒ่าจ้าํ ให้กําหนดขอ้ ห้ามต่างๆ ขน้ึ มาเป็นตน้ ว่าหา้ มผใู้ ดยดึ ครองพน้ื ทบ่ี รเิ วณปา่ ดอนปตู่ า หรอื หา้ มจบั จองทรพั ยากรต่างๆ ในอาณา บรเิ วณปา่ ดอนปตู่ า เพอ่ื เป็นกรรมสทิ ธสิ ์ ่วนตวั โดยเดด็ ขาด เช่น -ห้ามจบั สตั ว์ทุกประเภทในบรเิ วณดอนปู่ตา ใหถ้ อื ว่าเป็นเขตอภยั ทาน บ้างก็เชอื่ ว่าสตั ว์ เลก็ สตั ว์ใหญ่ ทอี่ ยู่อาศยั ในบรเิ วณดอนปู่ตาคอื บรวิ ารของท่าน หา้ มผู้ใดล่าสตั วเ์ ดด็ ขาด จงึ มกั พบ เสมอวา่ ในพ้นื ทดี่ อนปตู่ าจะมสี ตั วห์ ลายประเภทอาศยั อยเู่ ป็นจานวนมาก -หา้ มตดั ไมท้ ุกชนิดในป่าปตู่ า จนกว่าจะไดร้ บั อนุญาตจากเฒา่ จ้าหรอื ไดร้ บั อนุญาตจากมติ ของชาวบา้ น จงึ จะสามารถเขา้ ไปตดั ไมม้ าใชป้ ระโยชน์ได้ ในบางพ้นื ทมี่ เี งอื่ นไขว่าจะตอ้ งปลกู ตน้ ไม้ ชดเชย ๑ ตน้ หรอื มากกว่านนั้ ในกรณที ตี่ ดั มา ๑ ตน้ -ห้ามแสดงกิรยิ า และพฤตกิ รรมอนั ไม่เหมาะสมต่อสถานที่ เช่นปสั สาวะอุจจาระในเขต พน้ื ทดี่ อนปตู่ า
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๕๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ -หา้ มประพฤตติ นในเชงิ กามารมณ์ในดอนปู่ตา หรอื มวั่ สุมเสพของมนึ เมา เพราะถอื ว่ามี เจตนาไมเ่ คารพต่อปตู่ า -หา้ มลบหลู่ และกล่าววาจาใดทสี่ ่อเจตนาไมเ่ คารพปตู่ า ดว้ ยเหตุทม่ี ขี อ้ หา้ มเหล่าน้ี พน้ื ทด่ี อนปตู่ าจงึ มกั เป็นพน้ื ทอ่ี ุดมสมบรู ณ์ มตี น้ ไมห้ นาแน่น มี สตั วอ์ าศยั อยเู่ ป็นจาํ นวนมาก ดอนป่ตู าจงึ กลายเป็นวธิ กี ารบรหิ ารจดั การการใชท้ รพั ยากรของชุมชน ไดอ้ ยา่ งคุม้ คา่ ทส่ี ุด ศกั ยภาพของชุมชน เน่ืองจากพ้ืนท่ปี ่าดอนปู่ตาส่วนใหญ่ อยู่ในชุมชนท่ีห่างไกลความ เจรญิ ความเช่อื ดงั้ เดมิ จงึ ยงั คงฝงั รากลกึ อย่ใู นจติ ใจของผูค้ น ชาวบ้านส่วนใหญ่เช่อื และศรทั ธาใน สถาบนั ดอนปู่ตาอย่างจรงิ จงั แมว้ ่าบางคนจะเช่อื บ้างไม่เช่อื บ้าง แต่ก็ยอมปฏบิ ตั ติ นต่อขอ้ ห้ามท่ี ชาวบ้านได้ร่วมกนั กําหนดขน้ึ มาโดยดี ข้อหา้ มต่างๆ เช่น หา้ มตดั ไม้ หา้ มล่าสตั ว์ หรอื แมแ้ ต่หา้ ม ประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ งิ่ ทไ่ี ม่ดไี ม่งาม ในพ้นื ทอ่ี าณาบรเิ วณดอนปู่ตา ดว้ ยเหตุดงั กล่าวทําให้ชาวบา้ นทุก คนเคารพในสทิ ธสิ ่วนบุคคลไมก่ ้าวก่ายซง่ึ กนั และกนั และต่างกใ็ หเ้ กยี รตกิ นั เป็นสําคญั อาจกล่าวได้ ว่า ผปี ตู่ าสามารถกําหนดบทบาทพฤตกิ รรม อนั เป็นศกั ยภาพของชุมชนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สถาบนั ป่าดอนปตู่ ายงั ถอื เป็นศูนยร์ วมจติ ใจของชาวบา้ นเฒ่าจ้าํ เป็นผสู้ ่อื สารนําคาํ สงั่ สอน ของปู่ตามมาอบรมสงั่ สอนชาวบ้าน ให้ทุกคนยดึ มนั่ ในจรยิ ธรรม ช่วยเหลอื เก้ือกูลต่อกัน ดงั นัน้ ชาวบา้ นจงึ มกั จะรกั ใครส่ ามคั คี เมอ่ื คราวมกี จิ กรรมสว่ นรวม กจ็ ะใหค้ วามรว่ มมอื กนั อยา่ งดี จากอดตี ทย่ี าวนานจนถงึ ปจั จบุ นั พบว่า บรเิ วณปา่ ดอนป่ตู านนั้ ชาวบา้ นยงั ใหค้ วามเคารพ และเกรงกลวั มาก อน่ึง การลงโทษของผปี ตู่ านนั้ ดเู หมอื นว่าจะมไิ ดม้ งุ่ ก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายอยา่ งจรงิ จงั นัก แต่ เพ่อื เป็นการสงั่ สอนให้คนรู้จกั กระทําในสง่ิ ท่ถี ูกท่คี วรเท่านัน้ ป่าดอนปู่ตาจงึ เป็นสถาบนั ทาง สงั คมทส่ี าํ คญั ของหมบู่ า้ นชนบทอสี าน ดว้ ยถอื ว่าเป็นท่สี งิ สถติ วญิ ญาณของบรรพชนจากอดตี เป็น ผู้ให้ความคุ้มครองป้องกนั ภยั พบิ ตั ิทงั้ ปวง แผ่อํานาจบนั ดาลให้ชาวบ้านอยู่อย่างเป็นสุขและยงั คุม้ ครองป้องกนั ภยั พบิ ตั ทิ งั้ ปวง แผ่อํานาจบนั ดาลให้ชาวบา้ นอย่อู ยา่ งเป็นสุขและยงั คุม้ ครองไปถงึ ทรพั ยส์ นิ ไร่ นา ววั ควาย อนั เป็นทรพั ยส์ นิ สมบตั ขิ องคนในหมบู่ า้ นไมใ่ หถ้ ูกลกั ขโมยหรอื สญู สลาย อกี ดว้ ย นอกจากน้ยี งั ป้องกนั ชาวบา้ นมใิ หป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ผิ ดิ ครรลองครองธรรม โดยยกเอาผปี ตู่ ามา เป็นขอ้ บงั คบั ใหช้ าวบ้านอย่ใู นกรอบประเพณีอนั ดงี ามของสงั คม เพ่อื ให้อย่รู ่วมกนั โดยสงบสุข ป่า ดอนป่ตู ายงั เป็นสถานท่ศี กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ชาวบ้านจาํ ไม่เขา้ ไปตดั ไมท้ ําลายทรพั ยากรป่าหรอื ทําอนั ตราย สตั ว์ทอ่ี ย่บู รเิ วณนัน้ ยกเวน้ กรณีทไ่ี ดร้ บั อนุญาตแลว้ แต่กป็ ฏบิ ตั ิดว้ ยความเช่อื ถอื เคารพและศรทั ธา ดอนปตู่ าจงึ เสมอื นเป็นวนอุทยานหรอื สวนปา่ สาธารณะของหม่บู า้ น บางกรณี ชาวบา้ นอาจบนบาน (การบ๋า) ขอรอ้ งหรอื ความอนุเคราะห์จากผปี ่ตู าใหอ้ ําเภอ ประโยชน์หรอื ขจดั ปดั เป่า ความทุกขร์ อ้ นท่พี ่งึ มใี นขณะนัน้ และเม่อื ทุกอย่างคลค่ี ลาย หรอื ประสบ
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๕๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ผลสําเรจ็ กจ็ าํ เป็นต้องมาทาํ พธิ แี บน (การปลงบ๋า) ซง่ึ จาํ เป็นต้องนําเคร่อื งเซ่นมาถวายโดยมเี ฒ่าจ้าํ เป็นผซู้ ง่ึ บอกกล่าวทาํ พธิ อี กี เชน่ กนั อาจกล่าวไดว้ า่ ผปี ตู่ า เฒา่ จา้ํ และชุมชน เป็นองคป์ ระกอบประสานรว่ มกนั ของสงั คม อนั ท่ี จะผลกั ดนั ใหช้ ุมชนเกดิ แรงศรทั ธา ความเช่อื ความสามคั คี ทจ่ี ะสบื ทอดเจตนารมณ์ของบรรพชนใน การอนุรกั ษ์ทรพั ยากร “ดงป่ตู า” ซ่งึ เป็นสาธารณะสมบตั สิ ่วนรวมของชุมชนนอกจากน้ีลกั ษณะ พธิ กี รรมเก่ยี วกบั การเลย้ี งผปี ตู่ า หรอื การบ๋ากต็ าม เป็นเง่อื นไขทอ่ี าจแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ปจั จยั ทางดา้ น วฒั นธรรมการกินอยู่ ความอุดมสมบูรณ์ด้านเกษตรกรรม และความมุ่งหวงั ในอนาคตเพ่อื ปรบั สภาวะจติ ใจให้มนั่ คงจากผลอันเกิดจากการเส่ยี งทายท่เี ป็นไปในลกั ษณะใดก็ได้ ทั้งน้ีเพ่อื จะได้ เตรยี มรบั สถานการณ์อนั อาจจะเกดิ ขน้ึ โดยไมป่ ระมาท ความขดั แยง้ และการกลืนกลายความเชื่อถือ ความจรงิ ทป่ี รากฏ ผปี ตู่ าจะมโี รงเรอื น หอ หรอื ศาล อาศยั อยใู่ นดงดอนทเ่ี ป็นปา่ ทบึ พน้ื ท่ี เฉล่ยี ๑- ๑๐๐ ไร่ เกือบทุกชุมชนในเขตภาคอีสาน และยงั เฒ่าจ้ําเป็นส่อื เช่ือมระหว่างผปี ู่ตากบั ชาวบา้ นมาอยา่ งต่อเน่อื ง ปา่ ดงบา้ นหรอื ผปี ตู่ า ซง่ึ เรยี กรวมกนั วา่ ปา่ ดอนป่ตู านนั้ ปจั จุบนั ในหลายชุมชน กําลงั ไดร้ บั ความกระทบกระเทอื นจากบุคลากร องคก์ ร ทงั้ ของรฐั และเอกชน บุกรกุ ทาํ ลายในรปู แบบต่างๆ อยู่ ตลอดเวลา เช่น ดอนปู่ตาบ้านตาหลุง บ้านเสอื กนิ ววั บ้านป่าชาด บ้านหนองแดง อําเภอแกดํา จงั หวดั มหาสารคาม ทท่ี างสภาตําบลต้องการสรา้ งโรงเรยี นมธั ยมบนพ้นื ทน่ี ้ี แต่ไดเ้ กดิ การทกั ทว้ ง จากชาวบา้ น ซง่ึ ไดเ้ ขา้ ช่อื รอ้ งเรยี นใหร้ ะงบั การดาํ เนินการโดยอา้ งเหตุผลความเช่อื ถอื ศรทั ธาผปี ่ตู า จากจารตี ประเพณีท่ีเคยปฏบิ ตั ิสืบต่อกนั มาแต่ครงั้ โบราณกาล ด้วยเป็นท่ีพ่งึ ทางใจท่สี ําคัญยิง่ จนกระทงั่ สภาตําบลต้องเลกิ ลม้ มตไิ ป แต่อกี หลายชุมชน สภาพป่าดอนปู่ตาต้องสูญสลายไป โดย ส้นิ เชงิ หรอื เบยี ดบงั พ้นื ท่ีบางส่วนหรอื ส่วนใหญ่ไป โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กลายเป็นสถานี อนามยั สถานีตํารวจ ท่ีว่าการอําเภอ โรงเรียน ค่ายลูกเสือ หรอื สถาบันทางสงั คมอ่ืนๆ หรือ กลายเป็นสาํ นกั สงฆต์ ลอดจนวดั ปา่ ซง่ึ ดจู ะเออ้ื ประโยชน์ทแ่ี ตกต่างกนั จากอดตี อยา่ งสน้ิ เชงิ ดงหรอื ดอนปู่ตา เป็นสถานท่สี าธารณะอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องชุมชนทช่ี าวบ้านใหค้ วามเคารพ ศรทั ธามาอยา่ งต่อเน่อื ง ผลของความเชอ่ื นัน้ อาจพสิ จู น์ใหเ้ หน็ เป็นรปู ธรรมไม่ได้ แต่การดํารงวถิ ชี วี ติ ทพ่ี ง่ึ พงิ ปา่ ดอนปตู่ า ทงั้ ทางจติ ใจและปจั จยั ทางกายทไ่ี ดร้ บั ประโยชน์จากทรพั ยากรและผลติ ผลจาก ป่าอนั อุดมสมบูรณ์ ย่อมบ่งช้ไี ด้ว่าชุมชนดําเนินชีวติ และมคี วามหวงั อยู่ได้ในทุกฤดูกาล และแม้ ผสมผสานความเช่อื ศรทั ธาจากผบี รรพชนมาเป็นพุทธศาสนาในรปู ลกั ษณ์ของสาํ นกั สงฆ์ และวดั ปา่ ซง่ึ ปฏเิ สธเรอ่ื งผโี ดยเดด็ ขาดนนั้ กด็ ูจะไม่สามารถเช่อื มโยงความคดิ ทศั นคตทิ เ่ี คยมหี รอื ปฏบิ ตั กิ บั ผปี ู่ ตาได้ เน่ืองจากผปี ตู่ ามคี วามผกู พนั อยา่ งแนบแน่นกบั ชาวบา้ นมาตงั้ แต่เรม่ิ ก่อสรา้ งชุมชน จะเหน็ ได้ วา่ ปจั จบุ นั ยงั มพี ธิ กี รรมบชู าเซ่นสรวงก่อนการปกั ดาํ หรอื แสดงความชน่ื ชมยนิ ดี เมอ่ื ไดผ้ ลผลติ จากไร่
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๕๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ นาแมก้ ารจากบา้ นเรอื นไปแสวงหาโชคลาภทอ่ี ่นื กต็ ้องมากราบลาขอพรผปี ่ตู าเพ่อื ใหเ้ กดิ สริ มิ งคล เป็นตน้ กลา่ วไดว้ ่า ผปี ่ตู ายงั คงมอี ํานาจแฝงลกึ ในหว้ งสาํ นึกของชาวบา้ น แม่จะขาดเหตุผลในการ พสิ ูจน์ความจรงิ ท่เี ป็นรูปธรรมก็ตาม อย่างไรก็ดสี ภาพสงั คมปจั จุบนั ท่คี ่อนข้างจะกลนื กลายปรบั สภาพให้คล้ายคลงึ กนั ไปทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นชุมชนเมอื งหรอื ชนบท แต่ในความเป็นจริงแล้ว มนุษยค์ งจะปฏเิ สธสง่ิ แวดลอ้ มท่เี ป็นธรรมชาตอิ ยา่ งแท้จรงิ มไิ ด้ ดว้ ยพน้ื เพดงั้ เดมิ ของเรานัน้ กําเนิด และดาํ รงชวี ติ มาพรอ้ มๆกบั การเกบ็ หาของปา่ เป็นสงั คมเกษตรกรรม แมจ้ ะเขา้ ส่ยู ุคอุตสาหกรรมหรอื ลกั ษณะอ่ืนใดก็ตาม มนุษย์จะหลกี เร้นธรรมชาตไิ ปมไิ ด้เด็ดขาดยงั ต้องโหยหา ช่นื ชมพ่งึ พงิ ทงั้ ประเทอื งอารมณ์ จติ ใจ และเลย้ี งชพี “ป่าดอนป่ตู า” ทบ่ี รรพชนไดห้ วงแหนยงั คงอนุรกั ษ์ไวไ้ ดน้ าน นบั ศตวรรษน้ีน่าจะเป็นบทพสิ จู น์ไดว้ ่า ปา่ ดอนปตู่ าเป็นปา่ วฒั นธรรมทม่ี คี ่ายงิ่ ของชุมชนอสี าน กระบวนการจดั การทรพั ยากรป่ าดอนป่ ตู าโดยภมู ิปัญญาของชมุ ชน เท่าทก่ี ลา่ วมา เป็นความเชอ่ื ถอื ศรทั ธาในผบี รรพชน “ผปี ตู่ า” ซง่ึ นบั เป็นภูมปิ ญั ญาอนั ชาญ ฉลาดของชุมชนชาวอีสาน ท่สี บื ทอดเก่ยี วโยงไปถงึ ความผูกพนั ระหว่างคนกบั ป่าอย่างแนบแน่น ด้วยเหตุท่ีชุมชนต้องพ่ึงพาป่า เพ่อื ยงั ชีพตงั้ แต่ก่อตัง้ บ้านเรอื นเป็นต้นมา จงึ ต้องกระทําตนให้ ประสานกลมกลนื กบั ปา่ ทงั้ ใชส้ อยทรพั ยากรผลติ ผลอยา่ งประหยดั ดว้ ยจติ สํานึกและรคู้ ุณค่าเร่อื ง “ผี ปตู่ า หรอื ผอี ารกั ษ์บา้ น” อย่างไรก็ดี องค์กรชุมชนหลายพ้นื ท่ยี งั มกี ลวธิ ใี นการบรหิ ารจดั การป่าดอนปู่ตาอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ แต่ในอกี หลายพน้ื ทย่ี งั ปล่อยปละละเลย ดจู ะเน่ืองมาจากหลายปจั จยั เป็นตน้ ว่าความ เขม้ แขง็ ของผูน้ ําชุมชน ความมจี ติ สํานึกร่วมกนั ของชาวบ้าน ความใส่ใจของพระ ทต่ี ่างไดเ้ ลง็ เหน็ คณุ คา่ ของปา่ วฒั นธรรม ทจ่ี ะสามารถอาํ นวยประโยชน์ต่อการดําเนินชวี ติ ของชุมชนไดอ้ ย่างต่อเน่ือง ครบวงจรนนั่ เอง ประกอบกบั การสรา้ งเสรมิ ภมู ปิ ญั ญาพน้ื บา้ นทส่ี บื ทอดเป็นมรดกมาในรปู แบบของ “ขะลํา” หรอื ขอ้ หา้ ม เป็นตน้ ว่า หา้ มกนิ เน้ือสตั ว์บางชนิด เช่น เต่า กระรอกเผอื ก ผู้ฝ่าฝืนจะทําให้ มนตเ์ สอ่ื มความศกั ดสิ ์ ทิ ธหิ ์ รอื มอี นั เป็นไปต่างๆ ในกรณีเกบ็ ยาสมนุ ไพรกเ็ ช่นกนั ต้องมพี ธิ กี รรมเซ่น สรวง บดั พลกี ยั ผี หรอื เทวดาทร่ี กั ษาตน้ ไมน้ นั้ ๆ เพ่อื ขออนุญาตก่อนทจ่ี ะลดิ รอน ขุด ตดั เอาเฉพาะ ราก หวั เปลอื ก กงิ่ ใบ ยอด ดอก ผล เท่านัน้ มไิ ดท้ ําลายต้น มฉิ ะนัน้ แล้วจะถอื ว่าผดิ ครทู ่ปี ระสทิ ธิ ์ ประสาทความรมู้ าแต่ตน้ ผลติ ผลทรพั ยากรป่าทไ่ี ดเ้ กบ็ เกย่ี วจดั หานนั้ ส่วนใหญ่กเ็ พ่อื การบรโิ ภคในครวั เรอื น ต่อมา ไดม้ กี ารแลกเปล่ยี นซอ้ื ขายกนั ไปตามตลาดย่อยในชนบท หรอื ตลาดในชุมชนเมอื ง เราจงึ มกั เหน็ ผลติ ผลพชื พนั ธุป์ า่ วางขายอยเู่ นืองๆ ซง่ึ จะแตกต่างกนั ออกไปตามลกั ษณะสภาพทเ่ี กดิ ขน้ึ ใน แต่ละ ฤดูกาล เป็นต้นว่า ฤดูฝนจะมเี หด็ ชนิดต่างๆ แมลงบางประเภท หรอื พชื พนั ธุ์ผกั บางชนิด เป็นต้น ฤดรู อ้ นจะมสี ตั วเ์ ลอ่ื ยคลานจาํ พวกแย้ แมลง ไขม่ ดแดง น้ําผง้ึ หรอื ฤดหู นาวกม็ แี มลงอกี บางประเภท
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๕๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พชื พนั ธุ์ผกั ชนิดท่แี ตกต่างกบั ในฤดูร้อนและฤดูฝน อาจกล่าวได้ว่า ผลติ ผลป่าในรอบปีนัน้ จะมี ต่อเน่อื งและปรบั เปลย่ี นไปตามสภาพลมฟ้าอากาศ แต่เดมิ มานนั้ เวลาเชา้ ตรใู่ นแต่ละวนั ตลาดสดจะคลาคล่าํ กลายเป็นชุมชนของชาวบา้ นจาก ชุมชนทม่ี ปี า่ วฒั นธรรม ซ่งึ นิยมนําผลติ ผลปา่ ในรูปลกั ษณ์ท่แี ตกต่างกนั ไปเท่าทจ่ี ะพงึ เกบ็ หาไดจ้ าก เวลาบ่ายถึงใกล้ค่ําของวนั ก่อนมาเสนอขาย ทงั้ กบั พ่อค้าคนกลาง หรอื อาจวางขายเองตามความ ประสงค์จนล่วงเวลาสายหรอื ใกล้เท่ยี วจงึ เดนิ ทางกลบั ภูมลิ ําเนา เพ่ือไปสร้างงานถกั ทอ สาน เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชจ้ าํ พวกกระบุง ตะกรา้ หวด-น่ึงขา้ ว กระจาด กระดง้ คราด ไมก้ วาด บุง้ กี๋ ชะลอม กระตบิ เป็นตน้ ซง่ึ กใ็ ชว้ สั ดุจากป่าเช่นเดยี วกนั ผลติ ผลดงั กล่าวมกั นํามาส่งตามหา้ งรา้ นเป็นรายได้ เสรมิ อกี ทางหน่ึงก่อนทจ่ี ะมงุ่ เขา้ ปา่ หาผลติ ผลสาํ หรบั เชา้ วนั ต่อไป จะเหน็ ได้ว่า ชุมชนเมอื งยงั ต้องพ่งึ พาผลติ ผลจากชนบทโดยเฉพาะของป่า “ดอนปู่ตา” อยา่ งมขิ าดสาย ปา่ จงึ เป็นเสมอื นสายใยชวี ติ ทเ่ี กย่ี วโยงใหผ้ ูค้ นในเมอื งกบั ชนบทไดม้ าพบปะทกั ทาย สร้างความคุ้นเคยต่อกนั เกิดกุศลจติ เอ้ือเฟ้ือเก้ือกูลกนั ทงั้ ได้เรยี นรู้พฤติกรรมตลอดจนวถิ ีการ ดาํ เนนิ ชวี ติ ของกนั และกนั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การพง่ึ พาป่า “ดอนป่ตู า” ของชุมชนดจู ะเป็นไปเพ่อื การยงั ชพี ซง่ึ เป็นเหตุใหช้ าวบา้ นต้อง ประสานกลมกลนื กบั ปา่ อยา่ งมเี งอ่ื นไข เป็นตน้ วา่ เกบ็ ผลติ ผลหรอื ใชป้ ระโยชน์จากปา่ อย่างประหยดั หวงแหน และดว้ ยความเคารพ ดว้ ยเป็นทพ่ี ง่ึ แหล่งสุดทา้ ยของชุมชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ใดก็ ตาม ป่ามปี ระวตั ศิ าสตรค์ วามเป็นมาท่เี ก่ยี วโยงถงึ การดํารงชวี ติ พน้ื ฐาน ซง่ึ มผี ลทําให้มนุษย์ ผูกพนั อยู่กับธรรมชาติอย่างเน้นแฟ้น แม้ช่วงเวลาจะเปล่ียนไปปจั จยั ทางด้านวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในชวี ติ ประจาํ วนั มากขน้ึ กต็ าม แต่ทรพั ยากรผลติ ผลทเ่ี กบ็ ไดจ้ ากปา่ ดู จะยงั มคี ุณค่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลติ ผล อาหาร พชื พนั ธุ์ผกั ลําต้น ราก เปลอื ก แก่น กง่ิ ใบ ยอด ดอก ผล ทน่ี ํามาใชป้ ระโยชน์โดยตรง หรอื เปลย่ี นแปรรปู มาเป็นสมุนไพร สยี อ้ มผ้า เครอ่ื งแต่งกาย อุปกรณ์เคร่อื งใช้ทงั้ ในบา้ นและครวั เรอื น เคร่อื งมอื ทางการเกษตรกรรมและวสั ดุในการจบั หรอื ดกั สตั ว์ตลอดจนแมลง อย่างไรก็ดกี ารใช้ประโยชน์จากป่าในลกั ษณะสภาพดงั กล่าว ชาวบ้านต่างมี สาํ นกึ และจาํ ไมท่ าํ ลายระบบนิเวศใหเ้ ส่อื มสภาพจนขาดความสมดุลลง อนั จะมผี ลกระทบต่อเน่ืองไป ถงึ แหล่งตน้ น้ําลาํ ธาร สภาพดนิ แรธ่ าตุและสตั วน์ ้อยใหญ่ทงั้ ปวง แต่ละชุมชนกจ็ ะอยกู่ นั อย่างเป็นสุข เพราะไดพ้ ง่ึ พงิ ธรรมชาตเิ กอื บทกุ ดา้ น องคก์ รชุมชนจงึ น่าจะมบี ทบาทอํานาจหน้าท่ี ในการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรปา่ วฒั นธรรม ของคนอยา่ งจรงิ จงั แขง็ ขนั โดยไม่ยอมใหป้ จั จยั ภายนอกเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลทาํ ลายพน้ื ทป่ี ่าวฒั นธรรม ลงเสยี ได้ โดยมขี อ้ กําหนดเง่อื นไขเป็นแนวปฏิบตั ิสําหรบั ชุมชน ซ่งึ อาจมรี ายละเอยี ดปลกี ย่อยท่ี แตกต่างกนั ออกไป ทงั้ น้ีเพ่อื อนุรกั ษ์ป่าวฒั นธรรมใหม้ สี ภาพดงั เดมิ หรอื เปลย่ี นแปลงน้อยทส่ี ุด ป่า
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๕๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ดอนปตู่ ากจ็ ะยงั คงเป็นทพ่ี าํ นกั ของผบี รรพชน เพ่อื การเคารพสกั การะ มพี ธิ กี รรมเสย่ี งทายเลย้ี งเซ่น สรวงบชู าเป็นหลกั ยดึ เหน่ยี วทางใจ ตามความเช่อื ถอื ศรทั ธากนั ต่อไป ป่าดอนปู่ตาเป็นสมบตั สิ ่วนกลางของชุมชนท่แี ต่ละคนก็เป็นเจา้ ของ มสี ทิ ธใิ นการเข้าไป เก็บผลติ ผลปา่ มาใชป้ ระโยชน์ไดต้ ามต้องการแต่ต้องไม่ทาํ ลายเพ่อื การพาณิชยจ์ นขาดความสํานึก ทงั้ น้ีก็น่าจะขน้ึ อยู่กบั องค์กรของแต่ละชุมชนจะวางนโยบายกําหนดกรอบเกณฑไ์ ว้เป็นแนวทาง ปฏบิ ตั ิ ซง่ึ ถา้ หากกระทาํ ไดเ้ ชน่ น้เี พยี งหมบู่ า้ นละ ๕๐ ไรโ่ ดยเฉลย่ี พน้ื ภูมภิ าคอสี านซง่ึ มอี ยปู่ ระมาณ ๒ หม่นื หมบู่ า้ นจะมปี า่ วฒั นธรรมชุมชนโดยเฉพาะปา่ ดอนป่ตู าถงึ ๑ ลา้ นไร่ สภาวะคามเป็นอยขู่ อง ชุมชนพ้ืนถิ่นอีสานก็จะมคี วามสมบูรณ์ ชาวบ้านสามารถดําเนินชีวิตท่ีปกติสุขได้ ไม่อดอยาก แรน้ แคน้ ถงึ กบั ตอ้ งทง้ิ ถน่ิ ฐานไปแสวงหาโชคลาภอยา่ งทเ่ี หน็ และเป็นอยู่ ๑. พิธีบวงสรวงเจ้าป่ ู ตงั้ แต่สมยั โบราณกาลมนุษย์เราเกิดมาในโลกและรวมกนั เป็นหมู่คณะ เช่นครอบครวั หม่บู า้ น ตําบล อําเภอ และจงั หวดั ซ่งึ เป็นหม่นู ้อยไปหาหม่ทู ใ่ี หญ่ย่อมมสี งิ่ ยดึ ถอื รวมกนั ดา้ นจติ ใจ นนั้ เพ่อื ใหห้ มคู่ ณะมคี วามสขุ ไมแ่ ตกแยกความสามคั คกี นั ปราศจากภยั อนั ตรายทงั้ หลาย มาบงั เบยี ด ก็ต้องมสี งิ่ นับถอื และศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ แล้วยดึ ถือและปฏบิ ตั ริ ่วมกนั ทําให้จติ ใจเป็นสุขและก็อยู่กนั อย่าง ผาสุก สาํ หรบั ภาคอสี าน กป็ รากฏว่ามกี ารบวงสรวงเจา้ ปู่ ซง่ึ ชาวบา้ นถอื ว่าเป็นทย่ี าํ เกรง ชาว ภาคอสี านกย็ งั ยดึ ศาสนาพราหมณ์ ซง่ึ เป็นศาสนาค่บู า้ นค่เู มอื งมา ในศาสนาน้ีมกี ารเช่อื ถอื เกย่ี วกบั ภตู ผปี ีศาจ การทม่ี กี ารเจบ็ ไขห้ รอื ปว่ ยเป็นโรคอะไรต่างๆ มกั บอกกนั ว่าผนี นั้ ผนี ้ีทํา จะตอ้ งทําพิธขี อ ชวี ติ เอาไว้ การทาํ ไรน่ าจะบุกเบกิ ป่าสกั แห่งกต็ ้องบอกกล่าวผปี ่าผูร้ กั ษาพงพนี นั้ เสยี ก่อนเพราะกลวั ผนี นั้ จะหกั คอ เมอ่ื ทาํ ไรท่ าํ นากย็ งั มกี ารสรา้ งศาลเป็นบา้ นหลงั เลก็ ๆ ขน้ึ ตามจอมปลวกหรอื ใต้รม่ ไม้ ใหญ่ ใกลๆ้ กบั บรเิ วณนาหรอื อย่ตู ามทุ่งนา เม่อื ถงึ ฤดทู ํานาหรอื ก่อนจะลงมอื ทํานาต้องมกี ารเลย้ี ง เจา้ ปเู่ สยี ก่อน เชน่ เลย้ี งขา้ วปลาอาหาร เหลา้ ยา แลว้ จดุ ธปู เทยี น อธษิ ฐานขอพรจากผนี า เป็นต้นว่า ขอใหน้ าของเราจงอุดมสมบรู ณ์ อํานวยผลใหข้ า้ วกลา้ ในนางอกงามและอ่นื ๆ อกี และยงั มภี ตู ผที ด่ี ุๆ และทุกคนกลวั กนั มากกม็ ี พธิ บี วงสรวงเจา้ ป่นู ้ี ไดป้ ฏบิ ตั กิ นต่อมากลายเป็นประเพณอี นั หนึง่ ของคนภาคอสี าน โดยมี จดุ ประสงคท์ ที่ าการบวงสรวง ดงั น้ี ๑. เพ่อื เป็นทเ่ี คารพบชู าของคนทวั่ ไป จะไดเ้ ป็นมง่ ขวญั ค่บู า้ นคเู่ มอื ง ๒. เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอนั ดงี ามมาแต่โบราณกาล ซ่งึ นับถอื กนั เป็นทอดๆ มา จนกระทงั่ บดั น้ี และเป็นการเช่อื ฟงั บรรพบุรุษของชาวอสี าน ซ่งึ ได้บุกเบกิ มาเป็นบ้านเป็นเมอื งท่ี รม่ เยน็
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๕๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๓. ทําให้จติ ใจดขี ้นึ หมายความว่าเม่อื ทุกคนภายในหมู่บ้านหรอื เขตแดนท่ใี กล้เคยี งกบั ศาลเจา้ ปู่ เม่อื ไดท้ ําพธิ บี วงสรวงท่านแล้วจะทําใหจ้ ติ ใจผ่องใสเบกิ บานไมเ่ ศรา้ หมอง อารมณ์รา้ ยจะ กลายเป็นอารมณ์ดใี นทส่ี ดุ ๔. ทําให้จติ ใจเขม้ แขง็ สงิ่ ใดก็ตามถ้าหากว่าเรายดึ ม่นและจะเป็นสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธนิ ์ ่าเคารพ บชู า ผลทไ่ี ดจ้ ะมจี ติ ใจเขม้ แขง็ ไมอ่ ่อนแอ ทงั้ จะทาํ ใหบ้ รรลผุ ลสาํ เรจ็ ในกจิ การทต่ี นทาํ ๕. เพ่อื การเสย่ี งทาย เม่อื ไดร้ บั ความทุกข์ เรามกั จะไปเสย่ี งทายโดยใหผ้ ูใ้ หญ่ท่นี บถอื กนั ทวั่ บ้านทวั่ เมอื งไปกล่าวอธิษฐาน เส่ียงทายหาโชคชะตาราศรตี ่อหน้าศาลเจ้าปู่ เช่น จะมานิมติ ทางการฝนั หรอื การเอาไปแสดงหาโชค และเม่อื ลูกบา้ นจะไปไหนมกั จะไปบอกกล่าวเจา้ ปเู่ สยี ก่อน เพ่อื ขอพรจากท่าน โดยการอธษิ ฐานแลว้ สํานึกในใจ สงบน่ิงสํารวมกาย ซง่ึ ใช้เวลาพอประมาณ ก็ เป็นการรบั พรจากท่านแลว้ ต่อไปจงึ ทาํ อะไร หรอื วา่ จะไปไหนมาไหนไดส้ บายใจ ๖. ผลพลอยได้อนั หน่ึงคอื เกิดความสนุกสนาน เดก็ ทงั้ หญิงชายตลอดจนหนุ่มสาวและ ผใู้ หญ่สนุกสนานรน่ื เรงิ ในขณะบวงสรวงเจา้ ปู่ คอื มกี ารฟ้อนราํ กนิ หลา้ เมาสุราเฮฮา โดยเฉพาะผูแ้ ก่ วยั ชรามกั จะดม่ื สุรากนั แลว้ สนุกสนานกนั เอง ๗. ทําให้เกิดความสามคั คี เม่อื สง่ิ หน่ึงสงิ่ ใดเกิดข้นึ เป็นสิ่งยดึ มนั่ เช่น ศาสนาหรอื การ บวงสรวงเจา้ ปู่นนั้ ต่างกม็ กี ารยดึ ถอื ความศกั ดสิ ์ ทิ ธริ ์ ่วมกนั แล้วย่อมจะบงั เกดิ ความสามคั คขี น้ึ ในหมู่ คณะ จะทําอะไรกต็ กลงกนั ง่าย ไมข่ ดั ขนื คาํ สงั่ ของนายบา้ น เช่น ผใู้ หญ่บา้ น เป็นตน้ ถา้ คดิ ว่าจะทาํ อะไรสกั อยา่ งหน่งึ กจ็ ะรว่ มกนั ทาํ อยา่ งไมท่ อ้ ถอย เมอ่ื งานทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งเสรจ็ ไดโ้ ดยการรว่ มมอื กนั ก็ จะทาํ ใหม้ คี วามสขุ ตลอดไป ๘. เพ่อื เกดิ ความสามคั คกี นเอง การปรบั ปรงุ บาํ รงุ บา้ นเมอื งใหเ้ จรญิ จะทาํ ไดง้ า่ ยมากและก็ สาํ เรจ็ ลงดว้ ยดี พิธีการบวงสรวงเจ้าป่ ู ทกุ ๆ ปีชาวบา้ นมกั จะไปบวงสรวงเจา้ ปู่ โดยเจา้ บา้ นคอื ผทู้ อ่ี าวุโส ซง่ึ ในหมบู่ า้ นตงั้ ขน้ึ เอง ทานกม็ หี น้าทเ่ี ตอื นใหล้ ูกบา้ นทราบโดยทวั่ กนว่า ในวนั นนั้ ๆ จะมกี ารทาํ พธิ บี วงสรวงเจา้ ปู่ ชาวบา้ น กม็ กั จะเตรยี มสง่ิ ของไปทาํ พธิ ี การกําหนดวนั เวลา และฤกษ์ยามมกั จะเป็นขา้ งแรมและมกั ทํากนั ใน ตอนเชา้ ส่ิงของที่ชาวบา้ นทกุ คนที่จะนาไปบวงสรวง กค็ ือ ๑. มไี ก่หน่งึ ตวั เอกไปทงั้ เป็นโดยไมต่ อ้ งฆา่ นําไปเลย ๒. น้ําหอมใสข่ วดหรอื ขนั น้ําหอมนนั้ ทาํ ดว้ ยขมน้ิ โดยนําขมน้ิ มาขดู ออกเป็นฝอย ผสมกบั น้ํานิดหน่อยแลว้ คนั้ เอาน้ํา จะได้เป็นน้ําสเี หลอื ง เอาน้ําผสมพอแก่ความต้องการ แลว้ บรรจุใส่ขวด หรอื ใสข่ นั ๓. นําเถา้ หรอื แกลบใสก่ ะลามะพรา้ ว ถอื วา่ ทาํ เหมอื นกบั เป็นเหลา้ ยา นําไปบวงสรวงเจา้ ปู่
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๕๙ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๔. ใชใ้ บมะพรา้ วทาํ เป็นรปู ขวดเขา้ แทนคนในครอบครวั มจี าํ นวนเท่าไรใชใ้ บมะพรา้ วแทน จาํ นวนเช่นกนั นอกนนั้ เป็นพวกววั ควาย หมู สุนัข เป็ด ไก่ ว่ามจี าํ นวนก่ตี วั ใชแ้ ทนเท่ากนั ดว้ ย คอื แสดงจาํ นวนสมาชกิ ในครอบครวั ใหเ้ จา้ ปไู่ ดร้ บั รทู่ กุ คนสกั การะท่านแลว้ ๕. นําธปู เทยี นและดอกไม้ ไปคนละ ๑ คู่ การดาเนิ นพิธี เจา้ บา้ นกจ็ ะเอาน้ําหอมเตม็ กะออมใหญ่ๆ แลว้ ท่านกเ็ ดนิ นําหน้าลูกบา้ นดว้ ยไปยงั ศาลเจา้ เม่อื ไปถงึ แล้ว ท่านก็บอกให้ทุกคนนําเอากะลาแกลบและทุกอย่างท่นี ํามาไปวางบนลานทท่ี ําไว้ใน ศาลเจา้ ปู่ แลว้ บอกใหท้ กุ คนนงั่ คุกเขา่ ประนมมอื โดยสาํ รวมใจสงบน่ิง พ่อบา้ นจะนําธปู เทยี นไปวาง แล้วจุด กล่าวทําพธิ บี วงสรวงเป็นคําถวายสง่ิ สกั การบูชาว่า ทน่ี ํามาน้ีขอใหท้ ่านไดร้ บั รไู้ ว้ ทุกคนมี จติ ใจพรอ้ มเพรยี งกนั มาบวงสรวงเจา้ ปู่ เจา้ บา้ นผูด้ ําเนินงานจะตกั เอาน้ําหอมไปบวงสรวงเจา้ ป่จู น หมกกะออม ต่อไปกเ็ ป็นหน้าท่ขี องลูกบ้านสรงท่านเจา้ บา้ นด้วยน้ําหอมท่เี ตรยี มมาเสรจ็ จากขนั้ น้ี แล้ว ก็ต้มไก่ ใช้ฟืนก่อเป็นกองไฟ ต้มไก่ในหมอ้ ดนิ ขณะต้มทุกคนจะตวี งลอ้ มนัง่ ดู การต้มไก่เป็น การเสย่ี งทายฝนฟ้าในปีน้เี ป็นอย่างไรจะแหง้ แลง้ หรอื ไม่ โดยใหเ้ จา้ บา้ นกล่าวคําอธษิ ฐานในขณะตม้ ไก่ว่า ถา้ หากว่าปีน้จี ะมฝี นตกฟ้าอํานวยใหข้ า้ วกลา้ เจรญิ งอกงามแลว้ ดว้ ยบุญญาธกิ ารของเจา้ ปู่ จง มาแสดงใหด้ วู า่ ขอใหน้ ้ําตม้ ไก่ในหมอ้ นนั้ เดอื ดแลว้ เป็นฟองลน้ ถา้ น้ําในหมอ้ ลน้ กแ็ สดงว่าฝนในปีน้ีดี แต่ถ้าหากว่าไม่ลน้ มนั อย่เู ฉยๆ ก็แสดงว่าฝนในปีน้ีแห้งแลง้ ขา้ วกลา้ ในนาไม่ได้ผลจะรบั ทราบจาก การเสย่ี งทายน้ี เม่อื ไก่สุกจะนําไปบวงสรวงเจา้ ปู่ส่วนหน่ึง ท่เี หลอื ลูกบ้านจะรบั ประทานกนั ตอนน้ี แหละ เดก็ ทงั้ หญงิ ชายกนิ กนั อย่างสนุก รอ้ งราํ ทําเพลงดว้ ยจติ ใจอนั ช่นื บาน ส่วนผูใ้ หญ่มกั ด่มื สุรา แลว้ เมาสนุกเฮฮาเพลดเพลนิ ตามไปดว้ ย เป็นอนั วา่ เสรจ็ พธิ ี จากนนั้ ทุกคนกลบั บา้ นช่อง ทํากจิ กรรม การงานหน้าทข่ี องตนต่อไป ประโยชน์ของการทาพิธีบวงสรวงเจ้าป่ ู ๑. เป็นการเช่อื ทางใจว่า เม่อื เจา้ ปู่มารบั อาหาร เคร่อื งเซ่นน้ี และขอรอ้ งผใี หช้ ่วยคุ้มครอง ป้องกนั อนั ตรายทงั้ ปวง ใหแ้ ก่ครอบครวั สบื ตระกูลตลอดไป ขอให้ทุกคนประสบความสุขสบายและ เจรญิ ยง่ิ ขน้ึ ๒. การเซน่ เจา้ ปู่ เพอ่ื เป็นการขมาโทษแก่เจา้ บา้ นเจา้ เมอื ง ไดแ้ ก่ การขอขมาต่อผเี จา้ ป่ผู ฟี ้า หลวง ซง่ึ ถอื ว่าเป็นผยู้ งิ่ ใหญ่มอี ทิ ธฤิ ทธิ ์พธิ นี ้จี ะเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ชาวนาไมว่ า่ หนุ่มสาว พ่อบา้ น แมเ่ รอื นได้ ร่วมพธิ ี การผดิ ประเพณี การผดิ จากขนบธรรมเนียมนิยม เขาถอื ว่าเป็นการผดิ เจา้ ปู่ ถ้าไม่ทําพธิ ี เสย่ี งผแี ลว้ จะประสบเหตุภยั อนั ตรายนานาประการ ๓. เวลาเจบ็ ปว่ ยเชอ้ื เชญิ หมอผมี าเสย่ี งทาย ตรวจดูว่า เพราะเซ่นไม่ดพี ลไี มถ่ ูกอยา่ งไร บน บานต่อเครอ่ื งเซ่นน้ี ใหห้ มอผกี ล่าวบชู าต่อแท่นเจา้ ปู่ หรอื ทเ่ี ขา้ ใจกนั ว่ามผี เี จา้ ปนู่ นั้ อยู่ ณ ทน่ี ัน้ ทาํ ให้
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๖๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เจบ็ ป่วย แล้วบนบานว่า พวกข้าได้มารบกวนท่าน ขอท่านจงดลบนั ดาลให้พวกข้าหายจากการ เจบ็ ปว่ ยน้เี ถดิ โดยเอาเครอ่ื งมาสกั การบชู า ๔. เพ่อื ใหเ้ จา้ ป่คู ุม้ ครองบา้ น ใหม้ คี วามอุดมสมบูรณ์มฝี นตก ไมใ่ หเ้ กดิ โรคภยั และทาํ ไร่ทํา นาใหไ้ ดผ้ ลดที กุ ปีตลอดไป ๒. ประเพณีการเลีย้ งป่ ตู า ปู่ตา หมายถงึ คนสองจําพวกทเ่ี ป็นบรรพชนของชาวอสี าน คําว่าปู่ หมายถงึ ปู่และย่า ท่ี เป็นพ่อแม่ของพ่อ ส่วนคาํ ว่า ตา หมายถงึ ตาและยายทเ่ี ป็นพ่อแมข่ องแม่ เม่อื บรรพบุรุษสองสายน้ี ล่วงลบั ไปหลายชวั่ อายคุ นจนไมส่ ามารถทจ่ี ะจาํ ช่อื ได้ ลกู หลานรนุ่ หลงั ๆ จงึ เรยี นเป็นกลางๆ วา่ ปตู่ า ทาไมจึงมีการเลีย้ งป่ ตู า การเลย้ี งปตู่ า เป็นการทาํ บุญอุทศิ ส่วนกุศลส่งไปใหบ้ รรพบุรษุ ทล่ี ่วงลบั ไปเพราะเม่อื ปตู่ ามี ชวี ติ อยนู่ นั้ ไดส้ รา้ งคณุ งานความดไี วก้ บั ลกู หลาน และสงั คมมากมายหลายประการ เช่น ใหก้ ารเลย้ี ง ดอู บรมสงั่ สอนใหเ้ ป็นคนดี สะสมสาธารณสมบตั ไิ วเ้ พอ่ื ลกู หลาน เพอ่ื แสดงถงึ กตญั ํกู ตเวที จงึ มกี าร เลย้ี งปตู่ าสบื ต่อไปเป็นประเพณี ประเพณีการเล้ียงปู่ตาจะกระทําพร้อมกันทัง้ หมู่บ้าน กําหนดเวลาเล้ียงปู่ตามกั จะทํา ระหวา่ งเดอื น ๖ - ๗ ชาวบา้ นจะเลย้ี งปตู่ าก่อนทจ่ี ะเลย้ี งตาแฮก สถานทเ่ี ลย้ี งป่ตู ากค็ อื คอนป่ตู า อนั เป็นสถานทป่ี ตู่ าสงิ สถติ อยู่ ชาวบา้ นแทบทุกหม่บู า้ นจะเลอื กปา่ ไมใ้ กลห้ ม่บู า้ นเป็นทป่ี ลูกหอหรอื โฮง ให้ปู่ตาอยู่ ภายในหอป่ตู านัน้ จะปรกอบด้วยรูปปนั้ ป่ตู า แท่นบูชา ขา้ ทาสชายหญงิ รูปปนั้ ช้าง มา้ ววั ควาย หอก พวงมาลยั ดอกไม้ ธปู เทยี น ผทู้ ด่ี แู ลรกั ษาหอปตู่ าเรยี กว่า “เฒา่ จ้าํ ” คําว่า จ้าํ มาจาก คาํ ว่า ประจาํ เฒา่ จา้ํ นอกจากจะมหี น้าทด่ี แู ลศาลปตู่ าใหเ้ รยี บรอ้ ยเป็นประจาํ อยแู่ ลว้ ยงั มหี น้าท่ี เป็น คนกลางในการตดิ ต่อระหว่างปตู่ ากบั ชาวบา้ น เฒา่ จา้ํ จงึ คลา้ ยกบั ทหารคนสนิทของปตู่ า ใครทาํ อะไร ผดิ ประเพณี ปู่ตาโกรธก็จะบอกผ่านเฒ่าจ้ําไปยงั บุคคลทก่ี ระทําผดิ ป่ตู าต้องการให้ชาวบา้ นปฏบิ ตั ิ อยา่ งไร กจ็ ะบอกผ่านเฒา่ จา้ํ ไป ชาวบา้ นจะตดิ ต่อกบั ปตู่ าโดนตรงไมไ่ ด้ ดอนปตู่ านนั้ จะเป็นบรเิ วณปา่ สงวนทช่ี าวบา้ นเคารพเกรงกลวั มาก ใครจะไปตดั โค่นตน้ ไม้ ยงิ สตั ว์ในเขตดอนปู่ตาไม่ได้ ท่านจะโกรธเพราะถือว่าล่วงเกนิ บรวิ ารท่าน ปู่ตาจะบนั ดาลให้ผู้ท่ี ลว่ งเกนิ มอี นั เป็นไป เช่น เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย ประกอบการงานไรผ้ ล ดงั นนั้ การทช่ี าวบา้ นเคารพปตู่ า จงึ เป็นการอนุรกั ษป์ า่ และอนุรกั ษส์ ตั ว์ ในเขตดอนปตู่ าไดเ้ ป็นอยา่ งดี พิธีเลี้ยงป่ ตู า ในระหว่างเดอื น ๖ - ๗ เฒ่าจ้าํ จะเป็นผกู้ ําหนดเอาวนั ใดวนั หน่ึง ในช่วงน้ี เป็นวนั เลย้ี งป่ตู า เม่อื กําหนดวนั ไดแ้ ล้ว เฒ่าจ้ํากจ็ ะบอกชาวบ้านใหต้ ระเตรยี มอาหารคาวหวานมา เล้ยี งปู่ตา พรอ้ มทงั้ แนะนําให้ชาวบ้านสะเดาะเคราะหร์ ้ายของครอบครวั ตนเองไปให้พ้นดว้ ย พธิ ี สะเดาะเคราะหน์ นั้ ทาํ ไดโ้ ดยมเี ครอ่ื งสงเคราะห์ ซง่ึ กค็ อื อาหารหวานคาวบรรจลุ งในกระทงกาบกลว้ ย รปู สามเหลย่ี ม วธิ ที ํากระทงกาบกลว้ ยใหม้ รี ปู ร่างตามทต่ี อ้ งการ ทําไดโ้ ดยใชไ้ มไ้ ผ่เป็นโครง ภายใน
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๖๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ กระทงจะคนั่ ใหเ้ ป็นชอ่ ง ๙ ช่อง แต่ละช่องจะบรรจุ หมาก ๑ คํา บุหร่ี ๑ มวน เมย่ี ง ๑ คํา ขนมต้ม ๑ ชน้ิ ขา้ วดาํ ขา้ วแดงอยา่ งละกอ้ น กระทงรปู สามเหลย่ี มจะเป็นเครอ่ื งส่งเคราะหร์ า้ ยของครอบครวั ไป ใหพ้ น้ เคร่ืองเซ่นป่ ตู า ไดแ้ ก่ น้ําหอม ดอกไม้ ธูปเทยี น เหลา้ โรง ไก่ต้ม ไขต่ ม้ เม่อื ถงึ วนั เลย้ี ง ป่ตู า ในตอนเช้าชาวบา้ นจะร่วมกนั บูรณะดอนปู่ตาใหเ้ ป็นระเบยี บ เช่น ช่วยกนั ถางหญ้า จดั แท่น บชู า เปลย่ี นเครอ่ื งนุ่งหม่ หรอื อาจจะซ่อมแซมหอป่ตู าใหด้ กี ว่าเดมิ โดยการเปลย่ี นเสามงุ สงั กะสใี หม่ เป็นตน้ เมอ่ื จะเรม่ิ พธิ เี ลย้ี งปตู่ า เฒา่ จ้าํ กจ็ ะนําเคร่อื งเซ่นและกระทงสงเคราะหว์ างบนแท่นบูชา เสรจ็ แลว้ เฒา่ จา้ํ จะแบง่ อาหารทช่ี าวบา้ นนําไปเซ่นออกเป็นสองส่วน ส่วนหน่ึงใหล้ ูกหลานเอากลบั ไปบา้ น อกี ส่วนหน่ึงมอบใหป้ ู่ตา หลงั จากเซ่นป่ตู าเสรจ็ แล้ว ชาวบ้านก็จะนําน้ําหอมท่บี ูชาปู่ตามาสาดกนั เพ่ือเป็นสญั ลกั ษณ์ว่า ปู่ตาประทานความร่มเยน็ มาให้แล้ว เม่อื ถึงเวลาบ่าย เฒ่าจ้ําจะเขา้ ไปใน หมบู่ า้ น เพ่อื เยย่ี มเยยี นชาวบา้ นแต่ละครวั เรอื น เจา้ ของบา้ นทเ่ี ฒา่ จา้ํ ไปเยย่ี มกจ็ ะสรงน้ําแก่เฒา่ จา้ํ ภมู ิปัญญาด้านวฒั นธรรมและประเพณีท้องถ่ินภาคอีสาน ความเช่อื เร่อื งภูตผวี ญิ ญาณของสงั คมไทยทุกภูมภิ าคนัน้ ได้ผสมผสานกบั พุทธศาสนา อยา่ งกลมกลนื แต่เราอาจจะพอแยกใหเ้ หน็ ว่าส่วนใดเป็นความเช่อื ทางพุทธศาสนา และส่วนใดเป็น ความเช่อื เร่อื งภูตผี แต่อย่างไรก็ตาม ถา้ เป็นพระพุทธศาสนาแบบชาวบา้ น (Popular Buddhism) นนั้ จะแยกได้ยากมาก เพราะพธิ กี รรมต่างๆ นนั้ เป็นความเช่อื เร่อื งภตู ผปี ะปนอย่มู าก เช่น คนไทย นิยมนําพระพุทธรูปมาเป็นเคร่อื งลางของขลงั ซ่งึ ตามปรชั ญาพุทธศาสนาแล้วจะปฏเิ สธอาถรรพ์ เวทย์ หรอื ไสยเวทย์อย่างส้นิ เชงิ แต่ตามท่คี นไทยชาวพุทธประพฤตปิ ฏบิ ตั ินัน้ หาได้ปฏเิ สธเร่อื ง คาถาอาคมและไสยเวทยแ์ ต่อย่างไร ยงิ่ ในสงั คมสมยั อดตี ความเช่อื เร่อื งไสยเวทยย์ งั มอี ทิ ธพิ ลต่อ สงั คมมากเท่านนั้ ส่วนการทรงเจา้ เขา้ ผนี นั้ อาจจะแยกออกจากพุทธศาสนาไดค้ อ่ นขา้ งจะชดั เจน ความเช่อื เร่อื งภูตผนี ัน้ ฝงั แน่นอยู่กบั คตินิยมของคนไทยอย่างแน่นแฟ้นตงั้ แต่สมยั อดตี แมแ้ ต่ทางบา้ นเมอื ง ยงั มรี าชพธิ เี ก่ยี วกบั ความเช่อื เรอ่ื งภตู ผอี ย่ไู ม่น้อยในรอบปีหน่ึงๆ เช่นการเซ่น สรวงพระเสอ้ื เมอื ง พระทรงเมอื ง และหลกั เมอื ง รวมทงั้ พธิ สี อบสวนคดคี วามสมยั อดตี โดยใชพ้ ธิ ลี ุย ไฟ ดาํ น้ํา เพ่อื แสดงความบรสิ ุทธขิ ์ องจาํ เลย ซง่ึ พธิ กี รรมดงั กล่าวเป็นความเช่อื ในเรอ่ื งภูตผวี ญิ ญาณ ทงั้ สน้ิ แมแ้ ต่สมยั กรุงสุโขทยั ซ่งึ ศาสนาพุทธกําลงั เจรญิ รุ่งเรอื ง แต่การนับถอื ผสี างก็ยงั นิยมกนั อยู่ เช่น พระขะพุงผี และถอื วา่ เป็นผที ใ่ี หค้ วามคุม้ ครองเมอื งสโุ ขทยั ดงั ปรากฏอยศู่ ลิ าจารกึ หลกั ท่ี ๑ ว่า เบอ้ื งหวั นอนเมอื งสุโขทยั น้ี… มพี ระขะพุงผี เทพดาในเขาอนั นนั้ เป็นใหญ่กวา่ ทุกผใี นเมอื งน้ี ขุนผใู้ ด ถอื เมอื งสุโขทยั น้ี แลไหว้ดพี ลถี ูก เมอื งน้ีเท่ยี งเมอื งน้ีดี ผไิ หว้ บ่ดพี ลบี ่ถูก ผใี นเขาอนั้ บ่คุ้มบ่เกรง เมอื งน้หี าย…”๑๗ ๑๗ คณาจารย์ มจร., เทศกาลและพิธีกรรมพระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔), หน้า ๑๙๓-๑๙๗.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๖๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ความเช่อื เร่อื งภตู ผี ในสงั คมอสี านนนั้ ยงั ฝงั แน่นอยใู่ นวถิ ปี ระชาของสงั คมในรอบศตวรรษ ท่ผี ่านมา นัน่ คือ ก่อนท่จี ะได้พฒั นาแนวคดิ ไปตามทศั นะของกระแสความคดิ ใหม่ๆ ซ่งึ เข้าไปมี อทิ ธพิ ลต่อวถิ ปี ระชาในสมยั การใชร้ ะบบโรงเรยี นตาม พ.ร.บ. ประถมศกึ ษา (พ.ศ. ๒๔๖๔) หรอื สมยั ทม่ี กี ารพฒั นาการคมนาคมหวั เมอื งอสี าน (น่าจะเรมิ่ นบั จากสมยั สรา้ งทางรถไฟ คอื ปลายรชั กาลท่ี ๕ และรชั กาลท่ี ๖) แม้ว่าในปจั จุบนั น้ีความเช่อื เร่อื งภูตผจี ะเจอื จางลงไปมากก็ตาม แต่ในชนบทท่ี ห่างไกลยงั มพี ธิ กี รรมเรอ่ื งภูตผใี นรอบปีอยู่ ความเช่อื เร่อื งภตู ผที ส่ี ําคญั ๆ ของอสี าน ซง่ึ เป็นบ่อเกดิ ในพธิ กี รรมต่างๆ น่าจะไดแ้ ก่ ๑. ผแี ถน หรือผฟี ้ าผแี ถน ในความเช่อื ของสงั คมอสี านนนั้ เช่อื ว่าผที ่ยี ง่ิ ใหญ่กว่าผที งั้ หลายนัน้ คอื ผแี ถน มลี กั ษณะ เป็นเทพมากกว่าเป็นผี นัน่ คอื ผแี ถนเป็นผสู้ รา้ งโลก สรา้ งสรรพสงิ่ ต่างๆ ใหแ้ ก่โลก คงปรากฏอยใู่ น นิทานเร่อื งขุนบรม และยงั เช่อื ว่ามนุษยน์ นั้ ตดิ ต่อกบั แถนได้ในสมยั ก่อน เช่น อาจจะขอรอ้ งให้พระ ยาแถนชว่ ยเหลอื ดบั ยคุ เขญ็ แก่มนุษยโลกได้ แต่ภายหลงั พระยาแถนอดทนต่อความราํ คาญของพวก มนุษยไ์ มไ่ หวจงึ ไม่ยอมใหต้ ดิ ต่ออกี นอกจากน้ีชนชนั้ ผู้ปกครองมเี ชอ้ื สายสบื มาจากพระยาแถนอกี ดว้ ย แต่ในการศกึ ษาพธิ กี รรมในรอบปีของสงั คมอสี านแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้มพี ธิ กี รรมใดๆ ท่ี เป็นพธิ กี รรมทเ่ี ซ่นสรวง บวงพลพี ระยาแถนโดยตรง แต่อาจจะมพี ธิ กี รรมเกย่ี วเน่ืองอย่บู า้ ง เช่น การ แห่บงั้ ไฟ ลําผฟี ้าผแี ถน (รกั ษาโรค) ซง่ึ พธิ กี รรมดงั กล่าวก็ไม่ไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ชดั แจง้ ว่าเป็นการเซ่น สรวงเพ่อื แสดงความขอบคุณทค่ี ุม้ ครองเพทภยั หรอื วงิ วอนใหค้ ุม้ ครองเพทภยั แก่สงั คมมากนกั แต่ จากความเช่อื ทต่ี ดิ ค้างอย่ใู นกระแสความคดิ ของปจั เจกบุคคลชาวอสี าน หรอื การอา้ งถงึ พระยาแถน นนั้ ดเู หมอื นวา่ สงั คมอสี านเคารพเกรงกลวั พระยาแถน เหมอื นเทพเจา้ สาํ คญั ทส่ี ุดในสงั คมนนั้ เพ่อื แสดงใหเ้ หน็ ความสาํ คญั ของพระยาแถนตามทศั นะ ความเช่อื ของสงั คมอสี านทป่ี รากฏ อยใู่ นพธิ กี รรม จงึ ใครจ่ ะกล่าวถงึ พธิ กี รรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งดงั น้ี ๑. พธิ แี ห่บงั้ ไฟ เพ่อื ใหพ้ ระยาแถนใหฝ้ นแก่มนุษย์ พธิ แี ห่บงั้ ไฟของชาวอสี านนนั้ มคี วาม เช่อื ว่าพระยาแถนลมื หน้าทท่ี จ่ี ะต้องใหฝ้ นแก่มนุษยโ์ ลก ฉะนนั้ จงึ ต้องจดั พธิ กี รรมน้ีขน้ึ เพ่อื เป็นการ เตอื นพระยาแถนใหท้ ราบว่าชาวบา้ นชาวเมอื งกําลงั เดอื ดรอ้ นตอ้ งการน้ําฝนเพ่อื การปลกู พชื และถงึ ฤดูการทํานาแล้ว ชาวอีสาน จงึ ต้องทําบงั้ ไฟ จุดให้พลุ่งขน้ึ ไปบนฟ้า เสมอื นหน่ึงเป็นการส่อื สาร ระหว่างมนุษย์ กบั พระยาแถน นอกจากน้ยี งั มกี ารเลน่ อวยั วะเพศผชู้ าย (ทาํ ดว้ ยไมท้ ่อนใหญ่ๆ นํามา แห่ด้วย) และการเซง้ิ การรําท่มี คี วามหมายในเชงิ หยาบโลน ในบางท้องท่อี าจจะทํารูปตุ๊กตาชาย หญงิ ประกบกนั และสามารถขยบั ขน้ึ ลงได้ การเซง้ิ กค็ ดกี ารเล่นอวยั วะเพศกด็ ี เป็นส่วนหน่ึงของพธิ ี การแห่บงั้ ไฟ และเช่อื กนั ว่าถ้าไม่เซง้ิ คําหยาบๆ หรอื เล่นอวยั วะเพศรวมอย่ใู นพธิ แี ห่ บงั้ ไฟแลว้ ฝน ฟ้าจะไมต่ ก เพราะพวกผเี ผต ผยี กั ษจ์ ะมาขดั ขวางไมใ่ หฝ้ นตกลงมาถงึ พน้ื ดนิ ในความคดิ ทม่ี กี ารเล่น สงิ่ สกปรกหยาบโลนน้ีน่าจะเป็นความเช่อื ท่วี ่า พวกภูตผไี มช่ อบคําหยาบคาย หรอื สงิ่ อปั มงคล ซ่งึ
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๖๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เราจะสงั เกตไดจ้ ากการตงั้ ชอ่ื เดก็ ของคนไทยมกั จะตงั้ ชอ่ื ในความ หมายทต่ี ่ําหยาบ เพ่อื ใหผ้ เี กลยี ดผี จะไมร่ บกวนเดก็ ทารก เชน่ อา้ ยหมา หมู หนู หรอื ชมเดก็ ทน่ี ่ารกั ว่า “น่าตาน่าเกลยี ด” หรอื อกี กระแส ความคดิ หน่ึงเช่อื ว่าเป็นการทําใหผ้ พี อใจ เพราะพวกผชี อบสงิ่ สกปรก และจะใหส้ ง่ิ ทม่ี นุษยต์ อ้ งการ แต่ความเช่อื ในกลุ่มชาวเกษตรกรรมโบราณเช่อื กนั ว่า อวยั วะเพศ (ชาย) เป็นเครอ่ื งหมายแห่งการ เจรญิ พชื พนั ธุ์ จะเป็นความเช่อื กระแสความคดิ ใดๆ กต็ าม ต่างกเ็ ป็นความเช่อื ทส่ี งั คมอีสานยดึ มนั่ และไดก้ ระทําพธิ กี รรมกนั สบื ต่อมา เพ่อื ต้องการผลแห่งพธิ กี รรม (คอื ฝน) โดยไม่ไดย้ ดึ มนั่ ในหลกั ปรชั ญาแห่งความเช่อื นนั้ ๆ วา่ จะเป็น กระแสความคดิ ใด ๒. การเทศน์เร่อื งพระยาคนั คากตํานานแห่บงั้ ไฟ ในบางท้องทจ่ี ะมกี ารเทศน์เร่อื งพระยา คนั คาก (คางคก) หรอื ทา้ วคนั คาก รวมอยใู่ นพธิ แี หบ่ งั้ ไฟดว้ ยเรอ่ื งทา้ วคนั คากน้ี เป็นตํานานพน้ื บา้ น กล่าวถงึ ท้าวคนั คากต่อสูก้ บั พระยาแถน เพ่อื ใหแ้ ถนส่งน้ําฝนลงมายงั มนุษยโ์ ลก เน่ืองจากพวกกบ เขยี ด อนั เบนบรวิ ารของทา้ วคนั คากเดอื ดรอ้ น เพราะไม่มนี ้ําอาศยั เป็นสงครามใหญ่ระหว่างสตั วก์ บั เทพเจา้ ในท่สี ุดพระยาแถนพ่ายแพ้จงึ ต้องใหฝ้ นตามฤดูกาล ซ่งึ เร่อื งราวคนั คากน้ีก็เป็นความเช่อื ส่วนหน่ึงเก่ยี วกบั พระยาแถนตามโลกทรรศน์ของชาวอีสาน จนมกี ารผูกเป็นตํานานและพระสงฆ์ นํามาเทศน์ในทป่ี ระชุมชนรวมอย่ใู นพธิ กี รรมการขอฝน ซ่งึ บางแห่งจดั เป็นพธิ ใี หญ่มกี ารตระเตรยี ม งานอย่หู ลายวนั รวมทงั้ นิมนต์ภกิ ษุมาสวดคาถาปลาคอ 108 จบ ในพธิ กี รรมเดยี วกนั น้ีด้วย (คาถา ปลาคอน้เี ป็นคาถาภาษาบาลคี ลา้ ยกบั คาถาทใ่ี ชส้ วดในพธิ พี ริ ณุ ศาสตรข์ องภาคกลาง) ๓. การราํ ผฟี ้าเพ่อื รกั ษาโรค บางแห่งเรยี กว่า “ราํ ผแี ถน” เป็นการรกั ษาโรคแบบหน่ึงของ ชาวอสี าน โดยมคี วามเช่อื ว่าโรคทเ่ี กดิ จากการกระทาํ ของภตู ผี หรอื โรคทไ่ี ม่ทราบสาเหตุ ญาตพิ น่ี ้อง จะหาหมอทํา (ธรรม?) มาทําพธิ ตี งั้ ขนั หา้ ขนั แปด (เคร่อื งบูชา) และมหี มอแคนมาเปา่ เจา้ พธิ จี ะรํา แบบหมอลาํ เน้อื ความในทาํ นองขบั ไลผ่ ี และเชญิ พระยาแถนมาชว่ ยปกป้องคุม้ ภยั แก่คนไข้ เจา้ พธิ จี ะ อยใู่ นลกั ษณะภวงั คเ์ หมอื นคนทรงสามารถถามไถ่อาการคนไขห้ รอื สาเหตุการเจบ็ ป่วยได้ เช่น ผดิ ผี หรอื ชะตาถงึ เคราะหจ์ ะต้องทําพธิ สี ะเดาะเคราะห์ หรอื เซ่นผี เสยี ผี ฯลฯ ซ่งึ รวมอยู่ในพธิ รี ําผฟี ้าผี แถนน้ีด้วยลกั ษณะการรกั ษาโรคโดยวธิ รี ําผฟี ้าผแี ถนน้ีเป็นความเช่อื เร่อื งภูตผวี ญิ ญาณของสงั คม อสี าน ซ่งึ ไมอ่ าจจะอธบิ ายตามแนววทิ ยาศาสตรไ์ ด้ แต่ผู้เจบ็ ป่วยกม็ กั จะหายจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ นัน้ หลงั ทาํ พธิ ี ๒. ผปี ่ ตู าวิญญาณบรรพบรุ ษุ ประจาหม่บู า้ น ผปี ่ตู า บางทอ้ งทเ่ี รยี กว่า “ผตี าป่”ู เป็นดวงวญิ ญาณบรรพบุรุษประจําหม่บู า้ นทท่ี ําหน้าท่ี ปกป้องคุม้ ครอง ไม่อาจจะกําหนดไดว้ ่าเป็นวญิ ญาณของบรรพบุรุษสายใด สกุลใด แต่ชาวบา้ นเช่อื ว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษของชาวหมู่บ้านนัน้ ทุกคน ในชนบทอีสานทุกหมู่บ้านจะมีศาลปู่ตา (เรยี กว่า ตบู ปตู่ า) สรา้ งดว้ ยไม้ มงุ หลงั คา (หญา้ สงั กะส)ี ไมใ่ หญ่มากนัก การตงั้ ตูบป่ตู าเป็นทําเลอ ยู่นอกหมู่บ้านไม่ไกลนัก (ไม่กําหนดทิศท่แี น่นอน) มกั จะยดึ พ้นื ท่เี ป็นดอนน้ําท่วมไม่ถึง มตี ้นไม้
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๖๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ใหญ่ๆ ขน้ึ อยหู่ นาแน่น (เพราะชาวบา้ นไมก่ ลา้ ไปตดั ไมใ้ นบรเิ วณนนั้ ) บางครงั้ เรยี กว่าดอนป่ตู า หรอื ดง ปตู่ ง จากความเช่อื ของชาวบา้ น เช่อื ว่า “เจา้ ปู่ (ผปี ่ตู า) จะเป็นผูค้ ุม้ ครองลูกบา้ นใหอ้ ยเู่ ยน็ เป็น สุข ปราศจากอนั ตราย และภัยพิบตั ิทงั้ ปวง วัวควายและสัตว์เล้ียงทุกอย่างก็ถือว่าอยู่ในความ คุม้ ครองของเจา้ ปดู่ ว้ ย นอกจากน้ีเจา้ ปยู่ งั แสดงอํานาจศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ ์ หป้ รากฏ โดยวธิ บี นั ดาลใหส้ งิ่ ต่างๆ เป็นไปตามความปรารถนาของผู้บนบาน (ในภาษาท้องถน่ิ ว่า-บา) เม่อื ไดส้ งิ่ ทป่ี รารถนาตามทบ่ี าปู่ ตาไวแ้ ลว้ ชาวบา้ นจะแกบ้ นหรอื เรยี กตามภาษาทอ้ งถน่ิ วา่ “เสยี ค่าคาย” ในการเสยี ค่าคายน้ีอาจจะมา ทาํ รวมในวนั ทม่ี พี ธิ เี ลย้ี งผปี ตู่ าประจาํ ปี ของหม่บู า้ นกไ็ ด้ โดยปกตจิ ะกําหนดในเดอื น ๖ (วนั กําหนด โดยชาวบา้ น) ฉะนัน้ ผปี ่นู ัน้ เป็นเสมอื นทพ่ี ่งึ ทางใจของชาวบ้านเมอ่ื ไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น เช่น ของ หาย เดนิ ทางไกลไปรบั หรอื เม่อื ถูกเกณฑท์ หาร ชาวบา้ นจะไปบาผปี ่ตู า ทต่ี ูบ เพ่อื วงิ วอนใหเ้ จา้ ปู่ ช่วยบนั ดาลใหส้ มกบั ความตงั้ ใจ ไมเ่ พยี งแต่เท่านัน้ ชาวบา้ นทุกคนยงั เกรงกลวั ต่ออทิ ธฤิ ทธขิ ์ องเจา้ ปู่ ไม่มใี ครทจ่ี ะดแู คลน หรอื ไม่ยาํ เกรง ฉะนนั้ เร่ืองเล่าทแ่ี สดงถงึ อทิ ธฤิ ทธขิ ์ องเจา้ ปยู่ งั คงจดจําและคดิ อย่ทู ป่ี ากชาวบา้ นทุกคน เช่น คนรนุ่ ใหมไ่ ม่เช่อื ไม่เคารพผปี ตู่ า กล่าววาจาเชงิ ดูถูกดูแคลน มกั จะมี อนั เป็นไป เช่น ปวดทอ้ ง เป็นไข้ หรอื มอี าการเพอ้ จงึ ต้องไปหาหมอจ้าํ (เจา้ พธิ ที ต่ี ดิ ต่อกบั วญิ ญาณ ผปี ตู่ า) เพ่อื ทาํ พธิ ขี อขมาผปี ตู่ าอาการดงั กล่าวจะหายไปทนั ที ฉะนนั้ คนไม้ สตั ว์ ในบรเิ วณดอนป่ตู า ชาวบา้ นจะไมก่ ลา้ ไปนํามาไวท้ บ่ี า้ น เพราะเกรงว่าจะมอี นั เป็นไป หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “ขวง” หรอื เขด็ ขวง ๑) สถานะของผปี ่ ตู าในความเช่ือของชาวอีสาน ผปี ่ตู า เป็นผบี รรพบุรุษของชาวบ้านท่เี ช่อื กนั ว่าเม่อื บรรพบุรุษของตนสน้ิ ชวี ติ ไปแล้วกจ็ ะ กลบั มาใหค้ วามคมุ้ ครองป้องภยนั ตรายแก่ลูกหลานของผตู้ าย และไม่อาจจะกําหนดเฉพาะไดว้ ่าเป็น บรรพบุรุษของสกุลใด มชี วี ติ อยู่ในสมยั ใด จงึ เป็นวญิ ญาณของบรรพบุรุษรวมๆ ของชาวบ้าน ใน สงั คมนัน้ ๆ เมอ่ื พจิ ารณาทางดา้ นเช่อื ทําให้เขา้ ใจว่าเป็นผบี รรพบุรุษของญาตทิ งั้ ฝ่ายหญงิ และชาย คอื ปู่ และตา ฉะนนั้ น่าจะสรปุ ไดว้ ่าเป็นผบี รรพบุรษุ ของเผา่ พนั ธุ์ ตามลกั ษณะของพธิ กี รรม และความเช่อื เร่อื งผปี ่ตู าน้ี ส่อใหเ้ หน็ ว่าชาวบา้ นอสี านมที ศั นะ เก่ยี วกบั โลกว่ามโี ลกของผแี ละโลกของมนุษย์ โลกของผอี นั เป็นทอ่ี ย่ขู องวญิ ญาณทล่ี ่วงลบั ไปแลว้ และอาจจะตดิ ต่อสอ่ื สารกนั ไดร้ ะหว่างโลกของผแี ละมนุษย์ โดยผ่านตวั กลางคอื หมอจา้ํ หรอื ขะจา้ํ ขะ จ้าํ จะถูกคดั เลอื กโดยเจา้ ปู่ เม่อื ขะจ้าํ คนเดมิ ล่วงลบั ไปแล้วขะจ้ํา จะทําหน้าทด่ี ูแลตูบปู่ตา และเช่น สรวงบชู าดว้ ยดอกไมธ้ ปู เทยี นประจาํ วนั พระ (๑๕ ค่าํ และ ๘ ค่าํ ) การส่อื สารระหว่างโลกมนุษยแ์ ละ โลกผนี นั้ จะกระทาํ ครงั้ ใหญ่ประจาํ ปีเรยี กว่าการเลย้ี งผี ปตู่ า ชาวบา้ นในหมบู่ า้ นจะมารวมกนั ออกเงนิ ซอ้ื หมู ๒ ตวั เหลา้ และอาหารอยา่ งอ่นื เท่าทห่ี าไดแ้ ลว้ แห่แหนดว้ ยกลองยาวมารวมชุมนุมกนั ทต่ี ูบ ปตู่ าตงั้ แต่บา่ ย เมอ่ื เจา้ ปมู่ าซนู (เขา้ ทรง) ขะจา้ํ แลว้ มนุษยก์ บั ผสี ามารถส่อื สารตดิ ต่อกนั ได้ ผปี ตู่ าจะ สงั่ สอนกล่าวตกั เตอื นชาวบ้าน หรอื ตอบคําถามของชาวบ้านทส่ี งสยั เร่อื งราวท่เี กย่ี วกบั ตนเอง หรอื ชุมชน ตลอดจนการทํานายดนิ ฟ้า นอกจากน้ียงั มกี ารขอร้องใหเ้ จา้ ป่ชู ่วยคุ้มครองป้องกนั ภยั เช่น
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๖๕ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ไมใ่ หว้ วั ควาย เป็นโรคห่า หรอื คุม้ ครองลกู หลานทอ่ี อกไปประกอบอาชพี ในต่างถนิ่ เป็นตน้ นอกจาก พธิ กี รรมประจาํ ปีน้ี ชาวบา้ น อาจจะตดิ ต่อกบั ผปี ่ตู าไดใ้ นบางครงั้ โดยไปหาขะจ้าํ เขา้ ทรง เพ่อื ขอรอ้ ง ใหข้ จดั ปดั เปา่ ภยั พบิ ตั ขิ องตนกไ็ ด้ ซง่ึ เป็นความ ตอ้ งการของปจั เจกบคุ คล หลงั จากนนั้ กม็ กี ารเสยี ค่า คายตามกาํ หนดหรอื ตามทเ่ี จา้ ตวั บาไว้ (บนบาน) จากแนวคดิ ท่วี ่าผหี รอื วญิ ญาณมโี ลกเฉพาะ และย่อมอยู่เหนือธรรมชาติ คอื อิทธฤิ ทธิ ์ ฉะนนั้ ขะจา้ํ ก่อนทจ่ี ะเชญิ วญิ ญาณเจา้ ปมู่ าซนู นนั้ จะตอ้ งเตรยี มตวั ตามขนั้ ต่างๆ เพ่อื ใหบ้ รสิ ุทธหิ ์ รอื อยใู่ นสภาพเหนอื มนุษยน์ นั้ คอื จะตอ้ งอาบน้ําชําระร่างกายใหส้ ะอาด แต่งกายดว้ ยเสอ้ื ผา้ เฉพาะเช่น เส้อื คลุมยาว สวมมงกุฎดอกไม้ และถอื ดาบเป็นอาวุธ ครนั้ เม่อื ผเี จา้ ป่มู าเขา้ ทรงแลว้ เสยี งพูดจะ เปลย่ี นไป ใชส้ รรพนามว่า “กู” เพ่อื แสดงถงึ ความอย่เู หนือกว่าชาวบ้าน ด่มื เหล้าไม่เมา (จํานวน มากๆ) สบู ยาโดยใชใ้ บตองหอ่ พรกิ แหง้ เป็นการแสดงใหเ้ หน็ “สภาพเหนือมนุษย”์ ของขะจา้ํ ในขณะ ทเ่ี จา้ ปมู่ าซนู ๒) ผปี ่ ตู าเป็ นสถาบนั ท่ีให้ความมนั ่ คงทางจิตใจของชาวบา้ น ความเช่อื เร่อื งผปี ู่ตาน้ีเป็นบ่อเกดิ ของการเขา้ เจา้ ทรงผี เพ่อื มนุษยจ์ ะตดิ ต่อกบั วญิ ญาณ และการเช่นสรวงสงั เวยกเ็ ป็นส่วนท่ีมนุษยจ์ ะอุทศิ สง่ิ ของมคี ่า อาหารต่อวญิ ญาณทม่ี อี ํานาจเหนือ ธรรมชาติ เพ่อื ให้ได้รบั ผลประโยชน์หรอื เพ่อื เป็นการตอบแทนผลประโยชน์ท่ตี นได้รบั จากความ ช่วยเหลอื ของวญิ ญาณ การทช่ี าวบา้ นไดก้ ระทํา พธิ เี ลย้ี งผปี ตู่ าประจาํ ปีหรอื เสยี ค่าคายในการบาเจา้ ปู่นัน้ ก็เป็นการเอาใจหรือแสดงความกตัญํูท่ีผีปู่ตาได้คุ้มครองรักษาเพทภัยต่างๆ แก่ตน ครอบครวั และชาวบา้ นส่วนรวมทงั้ หม่บู า้ น ใหอ้ ย่รู ว่ มกนั อย่างสงบสุขปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ และ ป้องกนั ภยั ธรรมชาตอิ นั ทจ่ี ะมาเบยี ดเบยี นชาวบา้ นใหเ้ กดิ ภยั พบิ ตั นิ านาประการ สถาบนั ของผปี ู่ตาไดร้ บั การรบั รองและร่วมมอื อย่างดี จากสงั คมของหม่บู ้านทางดา้ นการ จดั องค์การของผีปู่ตา มศี าลท่บี ูชา มกี ําหนดพิธีกรรมในการบวงสรวงท่ีแน่นอนมผี ู้แทนในการ ติดต่อส่ือสารระหว่างชาวบ้านกบั ผีปู่ตา (ขะจ้ํา) มผี ู้ช่วยขะจ้ําทําหน้าท่ชี ่วยเหลอื ในการทําพิธี ตลอดจนการเรย่ี ไรเงนิ เพ่อื ใชใ้ นพธิ กี รรมดว้ ย ถา้ เราพจิ ารณาถงึ ความ เช่อื และหน้าทข่ี องสถาบนั ผปี ู่ ตาแลว้ จะเห็นว่าเป็นสถาบนั กลางของสงั คมอนั เป็นท่ยี ดึ มนั่ ทางจติ ใจ สามารถช่วยขจดั ทุกข์รอ้ น ไมใ่ หส้ งั คม เกดิ ยคุ เขญ็ ทงั้ สว่ นรวมและส่วนบุคคล โดยเฉพาะความเช่อื เร่อื งอํานาจอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ อง ผปี ู่ตานัน้ มสี ่วนให้ชาวบ้านวางใจต่อเพทภยั ท่จี ะบงั เกดิ แก่ส่วนรวมและส่วนบุคคล ไม่เพยี งแต่ เท่านนั้ การทช่ี าวบา้ นไดร้ ว่ มกระทําพธิ กี รรมจะไดร้ ว่ มมอื รว่ มแรงกนั เป็นการเสรมิ สรา้ งสามคั คธี รรม ระหวา่ งบคุ คลในหมบู่ า้ น โดยปราศจากช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน และทน่ี ่าจะพจิ ารณาใหช้ ดั ไป ไดว้ ่า สถาบนั ผปี ตู่ านัน้ ทําหน้าท่คี วบคุมความประพฤตขิ องชาวบา้ น ไม่ใหผ้ ู้หน่ึงผู้ใดประพฤตนิ อก รดี ประเพณีของสงั คม โดยอาศยั อํานาจอนั ศกั ดสิ ์ ทิ ธเิ ์ หนือธรรมชาตขิ องเจา้ ปู่ ซง่ึ เป็นผลใหส้ งั คมอยู่ กนั อย่างถ้อยทถี ้อยอาศยั กนั และไม่ประพฤตผิ ดิ ฮตี บา้ นดองเมอื ง (จารตี ประเพณี) อนั จะนํามาซ่งึ ความสงบสุขของสงั คมอยา่ งแทจ้ รงิ
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๖๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ถงึ แมว้ ่าสงั คมชาวอสี านจะนบั ถอื ศาสนาพุทธโดยทวั่ ไป แต่กเ็ ป็นการผสมผสานเรอ่ื งความ เช่อื ผสี างเขา้ กบั พุทธศาสนาอย่างแยกกนั ไม่ออก เพราะเหตุว่าพุทธศาสนาใหค้ วามมนั่ คงทางจติ ใจ แก่ชาวบา้ นไมไ่ ด้ โดยเฉพาะอํานาจทอ่ี ยเู่ หนือธรรมชาตนิ นั้ เป็นความเช่อื ทพ่ี ุทธศาสนาปฏเิ สธอย่าง สนิ่ เชงิ แต่ชาวบา้ นหรอื ชาวพทุ ธหาไดป้ ฏเิ สธไม่ เช่นน้ําทว่ ม ฝนแลง้ โรคระบาค ชาวบา้ นเช่อื ว่าเป็น การทําของ สง่ิ ทม่ี อี ํานาจเหนือธรรมชาตฉิ ะนัน้ จงึ หนั เขา้ ยดึ มนั่ ในอํานาจของผปี ู่ตา และขอความ คมุ้ ครองจากผปี ตู่ า รวมทงั้ พระสงฆท์ เ่ี ป็นชาวอสี านเองกไ็ มไ่ ดป้ ฏเิ สธความเช่อื เรอ่ื งภตู ผิ วี ญิ ญาณ ๓. ผมี เหสกั ขห์ ลกั เมือง ผมี เหสกั ขห์ ลกั เมอื ง บางครงั้ เรยี กว่า “ผอี าฮกั ” (อารกั ษ์) มลี กั ษณะเช่นเดยี วกบั หลกั เมอื ง ของภาคกลาง ต่างแต่ว่าในภูมภิ าคอีสานนัน้ มใิ ช่จะมศี าลเจา้ พ่อหลกั เมอื งในเมอื งใหญ่ๆ เท่านัน้ (สว่ นใหญ่หลกั เมอื งไมค่ ่อยจะมี เพราะถูกหา้ มหลงั กบฏผบี า้ ผบี ุญ สมยั รชั กาลท่ี ๕) แต่ตามหม่บู า้ น นัน้ มที ุกหมู่บ้านเรยี กว่า “หลกั บ้าน” ซ่งึ มกั จะอยู่ในท่เี ด่นเห็นได้ชดั เช่น ทางสามแพร่งภายใน หม่บู ้าน หรอื บรเิ วณทางเขา้ หมู่บา้ น (แต่บางแห่งพบว่าอย่บู รเิ วณหน้าวดั แต่นอกเขตรวั้ ) บรเิ วณ ใกล้หลกั บ้านนัน้ จะมศี าลากลางบ้านเป็นส่วนใหญ่ สําหรบั ใช้ในพธิ กี รรมตอกหลกั บ้านหลกั เมอื ง หรอื เรยี กวา่ “บญุ ชาํ ฮะ” ในความเช่อื ท่วี ่าหมู่บ้านจะอยู่ได้ปกตสิ ุขนัน้ เพราะผอี าฮกั คุ้มครอง ให้ความเท่ยี งตรง สงั คมจะอยู่สงบสุข ถ้าบ้านเมอื งมโี จรผู้รา้ ยชุกชุม เจา้ นายวุ่นวายแย่งอํานาจเกดิ การตีรนั ฟนั แทง หรอื ผคู้ นในหมู่ บา้ นทะเลาะววิ าทกนั อยเู่ นืองๆ เช่อื ว่าหลกั บา้ นไมเ่ ทย่ี งตรง คอื หลกั บา้ นมนั เหงย่ี ง มนั หง่วย จะต้องทาํ พธิ ตี อกหลกั บา้ นหลกั เมอื ง คอื ถอดหลกั บา้ นแลว้ ตอกหลกั ใหม่ใหเ้ ทย่ี งตรง ใน พธิ กี รรมน้จี ะนมิ นตพ์ ระภกิ ษุ มาสวดมนต์ (ชยนั โต) ดว้ ย ตามปกตแิ ล้วถ้าไม่มเี หตุการณ์สําคญั อ่นื ๆ จะกระทําพธิ เี ซ่นสรวงหลกั บ้านในเดอื นเจด็ เรยี กว่า “บุญชําฮะ” ชาวบา้ นจะพากนั มาสรา้ งผาม (ปะราํ พธิ )ี ทบ่ี รเิ วณหลกั บ้าน (ถ้ายงั ไม่มศี าลา กลางบา้ น) นิมนตพ์ ระภกิ ษุมาเจรญิ พระพุทธมนต์เยน็ เชา้ ทําบุญถวายจงั หนั ชาวบา้ นทุกครวั เรอื น จะนําดอกไมธ้ ปู เทยี นอาหารมาร่วมพธิ ี พรอ้ มกบั โอน้ํา ดา้ ยหรอื มอี าการผดิ ปกตถิ ้าเป็นผใู้ หญ่ ฯลฯ ส่วนเหตุการณ์สําคญั ๆ บงั เกดิ แก่เครอื ญาตเิ ป็นหน้าทข่ี องทุกคนจะต้องมาท่บี า้ นต้นตระกูลเพ่อื จุด ธูปเทยี นบอกกล่าวพ่อเช่อื แมเ่ ช่อื เช่นแต่งงาน บวชนาค ขน้ึ บา้ นใหม่ หรอื ไปคา้ ขายไดก้ ําไร และมี เดก็ เกดิ ในตระกูล ฯลฯ เป็นตน้ ๔. ความเช่ือผอี ื่นๆ ความเช่อื เรอ่ื งผสี างในภาคอสี านนนั้ ยงั มอี กี จาํ นวนมาก และผบี างจาํ พวกไมเ่ คยทจ่ี ะใหค้ ุณ แก่มนุษยเ์ ลย เช่น ผโี พง ผกี ะ (ปอบ) ผเี ป้า (ผกี ระสอื ) ชาวอีสานถอื ว่าเป็นผชี นั้ เลว ชอบแต่ทจ่ี ะ รงั แกมนุษย์ จงึ ไมม่ พี ธิ กี รรมเซน่ สรวงบวงพลี แก่ผเี หลา่ น้ี จงึ ไมก่ ลา่ วถงึ
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๖๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ส่วนผเี ลก็ ๆ แต่สามารถใหค้ ุณใหโ้ ทษแก่มนุษย์ ทน่ี ่าจะตอ้ งกล่าวถงึ ไดอ้ กี เช่นผปี ระจาํ ไร่ นา ชว่ ยใหธ้ ญั พชื งอกงาม ไมถ่ กู รบกวนจากศตั รพู ชื หรอื วญิ ญาณอ่นื ๆ เรยี กว่า “ผตี าแฮก” การไหว้ ผตี าแฮกจะกระทาํ กนั ทกุ ปีในราวเดอื นหก คอื เรมิ่ จะทาํ นา ชาวบา้ นจะนําอาหารและไก่ตม้ ของหวาน ไปเลย้ี งผตี าแฮกทท่ี อ้ งนา และอธษิ ฐานใหพ้ ชื พนั ธดุ์ ี เจรญิ งอกงามและฝนตกลงตามฤดกู าล ฯลฯ ผที น่ี ่าจะต้องกล่าวถงึ อกี ประเภทหน่ึง คอื “ผฟี ้า” มกี ลุ่มบุคคลบางกลุ่มทน่ี ับถอื นยั ว่าจะ เป็นผฟี ้าผแี ถนนัน่ เอง ต่างแต่ว่าพวกคนทรงนับถอื และนํามาทําพธิ กี รรมในกลุ่มของตนเรยี กว่า “นางเทยี ม” ฉะนนั้ จงึ มกั เรยี กว่า “ผฟี ้า นางเทยี มนัน้ คอื คนทรงนนั่ เอง นางเทยี มจะเชญิ วญิ ญาณให้ มาซูน (ประทับทรง) พวกลูกค้าจะขอร้องให้ช่วยขจดั ปดั เป่า ความเดือดร้อน รวมทัง้ ทํานาย เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ พวกผฟี ้านางเทยี มกค็ อื การทรงเจา้ เขา้ ผขี องภาคกลางนัน่ เอง ครนั้ เม่อื ถงึ พธิ ี เลย้ี งผฟี ้าประจาํ ปี พวกนางเทยี มต่างๆ จะมารวมกนั ทบ่ี า้ นทพ่ี วกนางเทยี มถอื ว่าเป็นครู กระทําพธิ ี เซ่นสรวงดว้ ยอาหาร เหลา้ ยาพวกนางเทยี มจะอย่ใู นอาการภวงั ค์ และร่ายราํ ตามทํานองแคนและ กลอง ชาวบา้ นทเ่ี ป็นสานุศษิ ยก์ จ็ ะไปรว่ มพธิ ดี ว้ ย ภาคอสี านเป็นภูมภิ าคทม่ี คี วามหลากหลายทางศลิ ปวฒั นธรรมและประเพณี แตกต่างกนั ไปในแต่ละทอ้ งถน่ิ แต่ละจงั หวดั ศลิ ปวฒั นธรรมเหล่าน้ีเป็นตวั บ่งบอกถงึ ความเช่อื ค่านิยม ศาสนา และรปู แบบการดาํ เนนิ ชวี ติ ตลอดจนอาชพี ของคนในทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี สาเหตุทภ่ี าคอสี าน มคี วามหลากหลายทางศลิ ปวฒั นธรรมประเพณีส่วนหน่ึงอาจจะเป็นผลมาจาก การเป็นศูนยร์ วมของ ประชากรหลากหลายเช้ือชาติ และมกี ารติดต่อสังสรรค์กับประชาชนในประเทศใกล้เคียง จน ก่อให้เกดิ การแลกเปล่ยี นทางวฒั นธรรมข้นึ เช่น ประชาชนชาวอสี านแถบจงั หวดั เลย หนองคาย นครพนม มกุ ดาหาร อุบลราชธานี อาํ นาจเจรญิ ทม่ี พี รมแดนตดิ ต่อกบั ประเทศลาว ประชาชนของทงั้ สองประเทศมกี ารเดนิ ทางไปมาหากนั ทําให้เกิดการถ่ายทอดและแลกเปลย่ี นศลิ ปวฒั นธรรมและ ประเพณรี ะหว่างกนั ซง่ึ เราจะพบว่าชาวไทยอสี าน และชาวลาวแถบลุ่มแม่น้ําโขงมศี ลิ ปวฒั นธรรม ประเพณที ค่ี ลา้ ยๆ กนั และรปู แบบการดําเนินชวี ติ กม็ คี วามคลา้ ยคลงึ กนั ดว้ ย รวมทงั้ ชาวเวยี ดนาม ทอ่ี พยพเขา้ มาในช่วงสงครามเวยี ดนาม กไ็ ดน้ ําเอาศลิ ปวฒั นธรรมของเวยี ดนามเขา้ มาดว้ ย ถงึ แม้ ปจั จบุ นั ชาวเวยี ดนามเหล่าน้ีจะไดป้ รบั ตวั เขา้ กบั วฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ อสี าน (เพ่อื ใหก้ ารดํารงชวี ติ เป็นไปอย่างราบร่นื ) โดยเฉพาะชาวเวยี ดนามท่เี ป็นวยั รุ่นในปจั จุบนั ได้รบั การศกึ ษาท่ดี เี หมอื นกบั ชาวไทยทุกประการ จนแทบแยกไมอ่ อกว่า เป็นคนไทยอสี านหรอื คนเวยี ดนามกนั แน่ ส่วนใหญ่กจ็ ะ เห่อวฒั นธรรมตะวนั ตก (เหมอื นเดก็ วยั ร่นุ ของไทย) จนลมื วฒั นธรรมอนั ดงี ามของตวั เอง แต่กย็ งั มี ชาวเวยี ดนามบางกลุ่มส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุยงั คงยดึ มนั่ กบั วฒั นธรรมของตนเองอยู่อย่างมนั่ คง ทา่ นสามรถศกึ ษารปู แบบการดาํ เนนิ ชวี ติ แบบเวยี ดนามไดต้ ามชุมชนชาวเวยี ดนามในจงั หวดั ทก่ี ล่าว มาแลว้ ส่วนประชาชนทอ่ี ย่ทู างจงั หวดั สุรนิ ทร์ บุรรี มั ย์ ศรสี ะเกษ นครราชสมี า มกี ารตดิ ต่อกนั กบั ประชาชนชาวกมั พูชาก็จะรบั เอาวฒั นธรรมของกมั พูชามาประยุกต์ใช้ ซง่ึ ส่วนใหญ่แลว้ วฒั นธรรม ประเพณีของคนทงั้ สองเช้อื ชาตกิ ม็ คี วามคลา้ ยคลงึ กนั อยู่แลว้ จะเหน็ ได้อย่างชดั เจนว่าภาคอสี าน เป็นภมู ภิ าคทม่ี คี วามหลากหลายทางวฒั นธรรมและวฒั นธรรมต่างๆ กม็ คี วามแตกต่างกนั ตามแต่ละ
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๖๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ทอ้ งถน่ิ และแตกต่างจากภมู ภิ าคอ่นื ๆ ของไทยอย่างเหน็ ไดช้ ดั ทงั้ วฒั นธรรมทางด้านการดาํ รงชวี ติ และวฒั นธรรมทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ศาสนา ซง่ึ เราสามารถสงั เกตรปู แบบวฒั นธรรมทด่ี งี ามของชาวอสี าน ผ่านทางประเพณตี ่างๆ ทช่ี าวอสี านจดั ขน้ึ ซง่ึ สามารถถ่ายทอดวฒั นธรรมอสี านไดเ้ ป็นอย่างดี งานประเพณีบญุ บงั้ ไฟ ประเพณีบุญบงั้ ไฟ กําเนิดจากไหนนัน้ ยงั ไม่ปรากฏหลักฐานชดั เจน แต่ก็ยงั ปรากฏ ประเพณีน้ีในภาคเหนือ (เรยี กว่า ประเพณีจบิ อกไฟ) ส่วนหลกั ฐานเอกสารในภาคอสี าน ปรากฏใน วรรณกรรมท้องถน่ิ เร่อื ง ผาแดง-นางไอ่ ซ่งึ กล่าวถงึ ตํานานบุญบงั้ ไฟบ้าง ส่วนความเป็นมาและ ตํานานเก่ยี วกบั หลายท่านได้กล่าวไว้ เช่น สริ วิ ฒั น์ คําวนั สา ได้ให้ขอ้ สนั นิษฐานเก่ยี วกบั ต้นเหตุ ความเป็นมาของประเพณบี ญุ บงั้ ไฟ ในแงต่ ่างๆไวว้ ่าดา้ นศาสนาพราหมณ์ มกี ารบูชาเทพเจา้ ดว้ ยไฟ เป็นเคร่อื งบูชาเทพเจ้าบนสวรรค์ การจุดบงั้ ไฟ เป็นการละเล่นอย่างหน่ึงและเป็นการบูชาเพ่อื ให้ พระองคบ์ นั ดาลในสง่ิ ทต่ี นเองตอ้ งการดา้ นศาสนาพุทธ เป็นการฉลองและบชู าเน่อื งในวนั วสิ าขบชู า การรกั ษาศลี ใหท้ าน การบวชนาค การฮดสรง (การทรงน้ําพระ หรอื เถราภเิ ษก)๑๘ การ นิมนตพ์ ระเทศน์ ใหเ้ กดิ มกี ารนําเอาดอกไมไ้ ฟแบบต่างๆ บงั้ ไฟ น้ํามนั ไฟธปู เทยี นและดนิ ประสวิ มี อานสิ งส์ ดา้ นความเช่อื ของชาวบา้ น ชาวบา้ นเช่อื ว่ามโี ลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกบาดาล มนุษย์ อยภู่ ายใต้อทิ ธพิ ลของเทวดา การราํ ผฟี ้า เป็นตวั อย่างแห่งการแสดงความนับถอื เทวดา เทวดา คอื 'แถน' 'พญาแถน' เมอ่ื ถอื ว่ามพี ญาแถนก็ถอื ว่ามฝี น ฟ้า ลม เป็นอทิ ธพิ ลของพญาแถน หากทาํ ให้ พญาแถน โปรดปรานหรอื พอใจแถนกจ็ ะบนั ดาลความสุข จงึ มพี ธิ บี ชู าแถน การใชบ้ งั้ ไฟ เช่อื ว่าเป็นการบชู าพญาแถน ซง่ึ แสดงความเคารพและแสดงความจงรกั ภกั ดตี ่อแถน ชาว อสี านส่วนใหญ่จงึ เช่อื ว่าการจดุ บูชาบงั้ ไฟเป็นการ ขอฝนพญาแถน และมนี ิทานปรมั ปราลกั ษณะน้ี อยทู่ วั่ ไป แต่ความเช่อื น้ยี งั ไมพ่ บหลกั ฐานทแ่ี น่นอน ในวรรณกรรมอสี านยงั มคี วามเช่อื อยา่ งหน่ึง คอื เร่อื งพญาคนั คาก พญาคนั คากได้รบกบั พญาแถนจนชนะแล้ว ใหพ้ ญาแถนบนั ดาลฝนตกลงมายงั โลกมนุษย์ พระมหาปรีชา ปรญิ ญาโน เล่าถึงมูลเหตุการทําบุญบัง้ ไฟไว้ว่า บนสวรรค์ชนั้ ฟ้ ามี เทพบุตร นามวา่ วสั สการเทพบตุ ร เทพบตุ รองคน์ ้เี ป็นผบู้ นั ดาลใหฝ้ นตกลงมายงั โลกมนุษย์ สิ่งหน่ึงที่เทพเจ้าองค์นี้ชอบ ก็คอื การบูชาไฟ ใครบูชาไฟถอื ว่าบูชาท่าน แล้วท่านจะ บนั ดาลใหฝ้ นตกตอ้ งตามฤดกู าล อาศยั เหตุน้ีคนจงึ พากนั ทําการบชู าไฟดว้ ยการทาํ บุญบงั้ ไฟและถอื เป็นประเพณจี นทุกวนั น้ี จารุบุตร เรอื งสุวรรณ กล่าวถงึ มลู เหตุแห่งการทําบงั้ ไฟว่าเป็นการทดสอบ ความพรอ้ มของ ประชาชนว่ามคี วามสามคั คหี รอื ไม่ และเตรยี มอาวุธไว้ป้องกนั สงั คมของตนเอง เพราะสงิ่ ทใ่ี ชท้ ําบงั้ ไฟนนั้ คอื ดินปืนนอกจากน้ียงั เป็นโอกาสใหป้ ระชาชนมาร่วมชุมนุมกนั เพ่อื เปิด โอกาสใหม้ กี ารแสดงการละเล่นจนสุด เหวย่ี ง ใหม้ คี วามสนุกสนานก่อนทจ่ี ะเรม่ิ ทํางานหนักประจาํ ปี คอื การทาํ นา บุญเลศิ สดสุชาติ กลา่ วถงึ การทาํ บงั้ ไฟว่า มตี ํานานเล่าถงึ เมอื งธตี านครของทา้ วพญา ๑๘ ผศ.ดร.อภญิ วฒั น์ โพธสิ ์ าน, ฮดสรง ภมู ิปัญญาพนื้ บา้ น พิธีเถราภิเษกพระสงฆ์ในภาคอีสาน, (มหาสารคาม : หจก. อภชิ าตการพมิ พ,์ ๒๕๕๖), หน้า ๒๑.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๖๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ขอม เกดิ แล้งหนัก ท่านจงึ ปา่ วประกาศใหเ้ มอื งต่างๆ ทําบงั้ ไฟมาแข่งกนั ของใครขน้ึ สูงสุดจะเป็นผู้ ชนะไดอ้ ภเิ ษก สมรสกบั “นางไอ่” ผเู้ ป็นพระราชธดิ า ผลการแข่งขนั จุดบงั้ ไฟปรากฏว่าท้าวผาแดง เป็นผชู้ นะเลศิ เม่อื พญาขอม สน้ิ พระชนม์ ทา้ วผาแดงไดค้ รองเมอื งสบื ต่อมาดว้ ยความสงบสุขรม่ รน่ื กล่าวถงึ ท้าวภาคบี ุตรพญานาค เคยเป็นค่คู รองของนางไอ่ในชาตปิ างก่อน ยงั มอี าวรณ์ถงึ นางจงึ ได้ แปลงกายเป็นกระรอกเผอื กมาใหน้ างไอ่เหน็ เมอ่ื งนางไอ่เหน็ กอ็ ยากไดก้ ระรอกนนั้ เป็นกําลงั นางได้ ส่งบรวิ ารใหช้ ่วยกนั จบั บงั เอญิ บรวิ ารยงิ ธนูถูกกระรอก เผอื กถงึ แก่ความตาย ก่อนตายทา้ วภาคไี ด้ อธษิ ฐานใหร้ า่ งกายของตนใหญ่โต แมค้ นจะเชอื ดเพ่อื ไปกนิ มากมายอยา่ งไรกอ็ ยา่ ไดห้ มด ใครทก่ี นิ เน้ือตนจงถงึ แก่ชวี ติ พรอ้ มกนั ทงั้ แผ่นดนิ ถล่ม เมอื งธตี านครถงึ แก่จม หายไป กลายเป็นหนองหาน ทา้ วผาแดงและนางไอ่พยายามขม่ี า้ หนี แต่ไม่รอดได้เสยี ชวี ติ ในคราวน้ีด้วย จากผลแห่งกรรมดีท่ี สรา้ งไวท้ ้าวผาแดงได้ไปจุตเิ ป็นเทพเจา้ ช่อื ว่าพญาแถน ดงั นัน้ การทําบุญบงั้ ไฟก็ เพ่อื เป็นการบูชา พญาแถน จารุวรรณ ธรรมวตั ร กล่าวถงึ มูลเหตุการทําบงั้ ไฟดงั น้ี พญาแถนเป็นเทพยดาผู้มหี น้าท่ี ควบคมุ ฝนฟ้าใหต้ กตอ้ งตามฤดกู าล หากทาํ การเซ่นบวงสรวงใหพ้ ญาแถนพอใจ ท่านกจ็ ะอนุเคราะห์ ใหก้ าร ทาํ นาปีนนั้ ไดผ้ ลสมบรู ณ์ ตลอดจนบนั ดาลใหข้ า้ วปลาอาหารอุดมสมบรู ณ์ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ หากหม่บู า้ นใด ทาํ บุญบงั้ ไฟตดิ ต่อกนั มาถงึ สามปี ขา้ วปลาอาหารในหม่บู า้ นนัน้ จะบรบิ ูรณ์มไิ ด้ขาด พระยาอนุมานราชธน เขยี นเลา่ ไวใ้ นเรอ่ื ง 'อคั นกี รฑี า' ว่าดว้ ยวฒั นธรรมและประเพณตี ่างๆ ของไทย ว่า เร่อื งบ้องไฟน้ีโบราณเรยี กว่ากรวดหรอื จรวด เป็นการเล่นไฟของชาวบา้ น โดยอ้างถงึ หลกั ศลิ า จารกึ พ่อขนุ รามคาํ แหง เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๑๘๓๕ วา่ 'เมอื งสุโขทยั น้มี สี ปี ากประตู หลวงเทยี รญ่อมคน เสยี ดคนเขา้ ดู ท่านเผาเทยี นเล่นไฟ เมอื งสุโขทยั น้ีมดี งั จกั แตก' เป็นหลกั ฐานว่าการเล่นไฟประดษิ ฐ์ จรวด กรวด หรอื บอ้ งไฟ รวมทงั้ พลุ ตะไล และไฟพะเนียงไดร้ จู้ กั และทาํ เล่นกนั มานานเกอื บ ๗๐๐ ปีแล้ว เป็นการละเล่นท่สี นุกสนาน ผู้คนเบียดเสยี ดกนั เขา้ มาดูแทบว่ากรุงสุโขทยั แตก ส่วนงาน ประเพณีบงั้ ไฟ เมอื งยโสธรได้มมี านานแล้ว โดยมหี ลกั ฐานว่า มีมาก่อนท่กี รมหลวง- สรรพสทิ ธิ ประสงค์ จะข้นึ ไปเป็นขา้ หลวงเทศาภบิ าล คอื เร่อื งของกบฏผีบุญ หรอื กบฏชาวนา กรมหลวง - สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ จงึ หา้ มการเล่นบงั้ ไฟ จดุ ประสงคข์ องการทาบญุ บงั้ ไฟ มีหลายอย่าง เช่น ๑. การบูชาคุณของพระพุทธเจา้ สบื ต่ออายุพระพุทธศาสนา ขอน้ําฝน เช่อื มความ สมคั ร สมานสามัคคี แสดงการละเล่นการบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ชาวอีสานส่วนมากนับถือ พระพุทธศาสนา เม่ือถึงเทศกาลเดือน ๖ ซ่ึงเป็นวนั ประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานของ พระพทุ ธเจา้ ชาวอสี านจะจดั ดอกไมธ้ ปู เทยี นมาบชู า พระพุทธรปู การทาํ บุญบงั้ ไฟของชาวอสี านถอื ว่าเป็นการบชู าพระพุทธเจา้ ดว้ ยเชน่ กนั ๒. การสบื ต่ออายพุ ระพุทธศาสนา เน่ืองจากการทําบุญบงั้ ไฟ มกี ารบวชพระและบวชเณร ในครงั้ น้ดี ว้ ย จงึ ถอื ว่าเป็นการสบื ต่อพระพทุ ธศาสนา
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๗๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๓. การขอฝน การทํานาไม่ว่าจะเป็นของภาคใดก็ต้องอาศัยน้ําฝน ชาวอีสานก็เช่นกัน เน่ืองจากมนุษยไ์ ม่สามารถควบคุมธรรมชาตไิ ด้ จงึ มคี วามเช่อื เดยี วกนั กบั สง่ิ เหนือธรรมชาติจาก ตํานาน เร่อื งเล่าของชาวอสี านเช่อื ว่า มเี ทพบุตรช่อื โสกาลเทพบุตร มหี น้าทบ่ี นั ดาลน้ําฝนใหต้ กลง มา จงึ ทาํ บญุ บงั้ ไฟขอน้ําจากเทพบุตรองคน์ นั้ ๔. การเช่อื มความสามคั คี คนในบ้านเมอื งหน่ึงท่แี ตกต่างกันมาอยู่รวมกัน ถ้ามไิ ด้ทํา กจิ กรรม ร่วมกันก็จะมฐี านะต่างคนต่างอยู่ เม่อื บ้านเมอื งเกิดความยุ่งยากจะขาดกําลงั คนแก้ไข ดงั นนั้ เมอ่ื ทาํ บญุ บงั้ ไฟกจ็ ะเปิดโอกาสใหค้ นทงั้ หลายไดม้ ารว่ มแรงรว่ มใจกนั ประกอบกจิ กรรม สรา้ ง ความสามคั คใี หเ้ กดิ ขน้ึ ในหมคู่ ณะ ๕. การแสดงการละเล่น เป็นการเปิดโอกาสใหท้ ุกคนมาแสดงการละเล่น คนเราเม่อื ไดเ้ ล่น ไดก้ นิ รว่ มกนั จะเกดิ ความรกั ใครใ่ ยดตี ่อกนั การเล่นบางอยา่ งจะสภุ าพเรยี บรอ้ ย บางอย่างหยาบโลน แต่กไ็ ม่ ถอื สาหาความ ถอื เป็นการเล่นเท่านนั้ ชนิดของบงั้ ไฟ ชนิดของบงั้ ไฟมหี ลายชนิด ขน้ึ อยกู่ บั จุดมุ่งหมายในการทาํ อาจจะแยกเป็นแบบใหญ่ และ นิยมทํากันมากมี ๓ แบบ คือ แบบมหี าง แบบไม่มีหาง และบงั้ ไฟตะไลบัง้ ไฟมีหางเป็นแบบ มาตรฐาน เรยี กว่า 'บงั้ ไฟหาง' มกี ารตกแต่งใหส้ วยงามเม่อื เวลาเซง้ิ เวลาจดุ จะพุ่งขน้ึ ส่ทู อ้ งฟ้าไดส้ ูง มาก ควบคมุ ทศิ ทางไดเ้ ลก็ น้อยบงั้ ไฟแบบไม่มหี างเรยี กว่า 'บงั้ ไฟก่องขา้ ว' รปู รา่ งคลา้ ยกล่องใส่ขา้ ว เหนียว ชนิดมขี าตงั้ เป็นแฉก ถ้าจะเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ชดั กค็ ลา้ ยจรวดนนั่ เองบงั้ ไฟตะไล มรี ปู ร่าง กลม มไี มบ้ างๆ แบนๆ ทําเป็นวงกลมรอบหวั ทา้ ยของบงั้ ไฟ เวลาพุ่ง ขน้ึ ส่ทู อ้ งฟ้าจะพุ่งไปโดยทาง ขวาง บงั้ ไฟทงั้ สามแบบทก่ี ล่าวมา ถ้าจะแยกยอ่ ยๆ ตามเทคนิคการทําและลกั ษณะรปู รา่ งของบงั้ ไฟ จะแยกเป็นประเภทได้ ๑๑ ชนิด ดงั น้คี อื - บงั้ ไฟโมดหรอื โหมด - บงั้ ไฟมา้ - บงั้ ไฟชา้ ง - บงั้ ไฟจนิ าย - บงั้ ไฟดอกไม้ - บงั้ ไฟฮอ้ ยหรอื บงั้ ไฟรอ้ ย - บงั้ ไฟหมน่ื - บงั้ ไฟแสน - บงั้ ไฟตะไล - บงั้ ไฟตอ้ื
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๗๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ - บงั้ ไฟพลุ ความเช่ือเรื่องพระยาแถนของชาวอีสาน บทบาทของพระยาแถน กลุ่มชนชาติพันธุ์ไทย-ลาว มีความเช่ือว่า พระยาแถนมีบทบาทต่อชีวิตของพวกเขา มากมาย บทบาทแต่ละอย่างนัน้ มคี วามสําคญั ต่อชวี ิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างมาก อย่างไรกต็ าม ก่อนทจ่ี ะทราบถงึ บทบาทเหล่านัน้ ผูว้ จิ ยั ใคร่ขอเสนอความหมายของ “พระยาแถน” ตามความเช่อื ของกลุ่มชนชาติพนั ธุ์ไทย-ลาว ท่เี ช่อื ว่า พระยาแถนท่แี สดงบทบาทต่างๆ นัน้ มี ๒ ประเภท คอื ก. แถนหลวง คําว่า “แถนหลวง” หมายถงึ เทพเจา้ ผสู้ รา้ งโลกสรา้ งสรรพสงิ่ ในโลก และคาํ น้ีมชี ่อื เรยี ก ในนิทานเร่อื งขุนบรมว่า “แถนฟ้ าขืน่ ” แต่ในพงศาวดารลา้ นชา้ งเรยี กว่า “พระยาแถนหลวง”๑๙ พระยาแถนหลวงหรอื แถนฟ้าขน่ื มคี วามหมายตรงกนั ๒๐ กล่าวคอื พระยาแถน ไดแ้ ก่ เทพเจา้ หรอื พระเจา้ ผูย้ งิ่ ใหญ่สงู สุด เปรยี บเทยี บไดก้ บั พรหมนั ในศาสนาฮนิ ดู หรอื พระยะโฮวา ในศาสนาครสิ ต์ หรอื พระอลั เลาะหใ์ นศาสนาอสิ ลาม ความเช่อื เรอ่ื งพระยาแถนนนั้ ปรากฏในชาวไทยภาคเหนือ ชาว ไทยใหญ่ในพมา่ ชาวจนี ในสบิ สองปนั นา ชาวไทยในภาคอสี านและประชาชนในประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ความเช่อื น้ีได้ถอื สบื ทอดกนั มาหลายพนั ปีของประชาชนในประเทศ ต่างๆ ท่กี ล่าวมาแลว้ ขา้ งบนนนั้ ดงั นนั้ พระยาแถนคอื พระเจา้ สูงสุดตามความเช่อื ของกลุ่มชนชาติ พนั ธุไ์ ทย-ลาว ข. แถนบริวาร คําว่า “แถนบริวาร” หมายถงึ แถนทม่ี ศี กั ยภาพน้อยกว่าพระยาแถนและปฏบิ ตั กิ ารตาม หน้าทท่ี พ่ี ระยาแถนบญั ชา กลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาวมคี วามเช่อื ว่าแถนบรวิ ารท่จี ะกล่าวต่อไปน้ีมี บทบาทและหน้าท่ที ่จี ะสนองคําบญั ชาของพระยาแถนแตกต่างกนั แถนบรวิ ารแต่ละองค์ก็จะมี บทบาทและหน้าทเ่ี ป็นของตวั เองดงั น้ี๒๑ ๑. แถนหล่อ คอื แถนมหี น้าท่หี ล่อรูปร่างและใบหน้ามนุษย์ให้มคี วามแตกต่างกนั ลงมา เกดิ ๑๙ กรมศลิ ปากร, ประชมุ พงศาวดารฉบบั หอสมดุ แห่งชาติเล่ม ๑, (กรงุ เทพมหานคร : กา้ วหน้า, ๒๕๐๖), หน้า ๑๔๐. ๒๐ ธวชั ปุณโณทก, วฒั นธรรมพื้นบา้ น : ความเช่ือ, (กรุงเทพมหานคร : ฝา่ ยวจิ ยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หน้า ๑๕-๓๔. ๒๑ ภรี นัย โชตกิ นั ตะ, นิ ยายปรมั ปราเรื่องแถน, วิเคราะห์ความเช่ือพงศาวดารล้านช้าง, (กรุงเทพมหานคร : สาขาวชิ าสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา, จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑), หน้า ๘๗.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๗๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๒. แถนแต่ง คอื แถนท่มี หี น้าทป่ี ระสาธน์วชิ าความรตู้ ่างๆ ใหแ้ ก่มนุษย์ เช่นการทอไหม เลย้ี งไหม ตเี หลก็ สถาปตั ยกรรม การเพาะปลกู การเลย้ี งสตั ว์ เป็นตน้ ๓. แถนถม แถนตรง แถนเถอื ก แถนหูฮี คอื แถนประจาํ ๔ ทศิ ช่วยชภ้ี มู ปิ ระเทศอนั ดใี น การตงั้ เมอื ง การเพาะปลกู การพฒั นาบา้ นเมอื ง เป็นตน้ ๔. แถนคา คอื แถนผทู้ าํ หน้าทใ่ี นการสงคราม ๕. แถนชงั่ คอื แถนผทู้ าํ หน้าทใ่ี นการตดั สนิ พจิ ารณาคนดี คนชวั่ หรอื อาจเรยี กไดว้ ่า เป็น เทพผรู้ กั ษาความยตุ ธิ รรมนนั่ เอง ๖. แถนแพน คอื แถนผทู้ าํ หน้าทส่ี อนศลิ ปะ การละเล่น การรอ้ งราํ การกวแี ละดนตรี ๗. แถนลม คอื แถนผทู้ ําหน้าทเ่ี ป็นส่อื กลางระหว่างมนุษยแ์ ละองคพ์ ระยาแถน เช่น การ นํา ขอ้ ความต่างๆ ของมนุษย์ ไปกราบทลู องคพ์ ระยาแถน ๘. แถนแนน คอื แถนผทู้ ําหน้าทใ่ี นการรกั ษากกมง่ิ และสายแนนของมนุษยใ์ นสวนแนนข องพระยาแถนบนเมอื งสวรรค์ แถนบรวิ ารเหลา่ น้คี อื แถนทพ่ี ระยาแถนหลวงไดส้ ่งลงมาโลกมนุษยเ์ พ่อื ช่วยขุนบรมในการ พฒั นาบ้านเมอื งท่ขี ุนบรมปกครองอยู่ ดงั ขอ้ ความว่า เม่อื นัน้ พระยาแถนหลวงจงึ ให้แถนแต่ง และ พศิ ณุกรรมลงมาแต่งแปงแก่เขา แถนแต่งจงึ มาแต่ยามใหท้ าํ ไร่ ทํานา ปลกู ขา้ ว ปลูกผกั ปลูกลกู ไม้ หวั มนั ทงั้ มวลอนั จกั ควรกนิ ๒๒ เป็นต้น ดงั นัน้ แถนอ่นื ๆ ก็ทําหน้าทข่ี องตนตามบญั ชาของพระยา แถนหลวงทก่ี ลา่ วมาแลว้ ขา้ งบน บทบาทในการสร้าง พระยาแถน หรอื แถนหลวง หรอื แถนฟ้าข่นื ตามความเช่อื ของกลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาว นนั้ คอื พระเจา้ สงู สดุ มศี กั ยภาพสงู สุดในโลกและจกั รวาล ในเรอ่ื งการสรา้ งนนั้ พระองคท์ รงสรา้ งดนิ น้ํา ลม ไฟและสรรพสงิ่ ในโลก แต่เป็นทน่ี ่าสงั เกตในเรอ่ื งการสรา้ งมนุษยข์ องพระยาแถน ซง่ึ เป็นเรอ่ื ง ผดิ ปกตเิ ม่อื เทยี บกบั พระเจา้ ของศาสนาต่างๆ ดงั ขอ้ ความทป่ี รากฏในพงศาวดารลา้ นชา้ งทว่ี ่า เม่อื ขุนเดก็ ขุนคาน และปู่ลางเชงิ ขอพระยาแถนมาอยู่โลก หลงั จากโลกน้ําแห้งแล้ว พระยาแถนก็ พระราชทานควายเขาล่ตู วั หน่ึงแก่เขาทงั้ สามนนั้ ทงั้ สามกม็ าอย่นู าน้อยอ้อยหนู ใชค้ วายนนั้ ไถนาไถ ไร่ ทํานาอยู่ ๓ ปีควายนัน้ ก็ตาย “เขาละซากควายเสยี ท่นี าน้อยอ้อยหนูหนั้ แล้ว อยู่บ่นานเท่าใด เครอื หมากน้ํากเ็ กดิ ออกฮดู งั ควายตวั ตายนนั้ ออกยาวมาแลว้ กอ็ อกเป็นหมากน้ําเต้าป้งุ ๓ หน่วย”๒๓ แต่ละลูกใหญ่โตมาก เม่อื นานเขา้ มนั กแ็ ก่ พอลูกหมากน้ําเตา้ ปุ้งแก่กเ็ กดิ มคี นอยใู่ นหมากน้ําเต้าปุ้ง นนั้ พดู จากนั เสยี งดงั สนนั่ ในลกู หมากน้ําเตา้ ป้งุ นนั้ “ยามนนั้ ปลู่ างเชงิ จงึ เผาเหลก็ ชแี ดงชหี มากน้ํานนั้ ๒๒ กรมศลิ ปากร, ประชมุ พงศาวดารฉบบั หอสมดุ แห่งชาติ เล่ม ๑, หน้า ๑๔๑. ๒๓ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๘.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๗๓ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ คนทงั้ หลายจงึ บุเบยี ดกนั ออกมาทางฮูทช่ี นี ัน้ ออกมาทางฮูท่นี ัน้ ก็บ่เบงิ คบั คงั่ กนั ขุนคานจงึ เอาสว่ิ ไปสว่ิ ฮู ใหเ้ ป็นฮแู ควนใหญ่แควนกวา้ ง คนทงั้ หลายกล็ ุไหลออกมานานประมาณ ๓ วนั ๓ คนื จงึ หมด หนั้ แล”๒๔ น้คี อื การเกดิ มนุษยใ์ นพงศาวดารลา้ นชา้ ง แต่มใิ ช่การเกดิ มนุษยก์ ลุ่มแรก บทบาทการลงโทษ พระยาแถนกม็ ลี กั ษณะเหมอื นพระเจา้ ของศาสนาเทวนิยมทงั้ หลาย กล่าวคอื เมอ่ื มนุษยใ์ น โลกไม่เช่อื ฟงั พระองค์หรอื ละเมดิ สญั ญาท่พี ระองค์ให้ไว้ พระองค์ก็จะลงโทษมนุษย์ ตวั อย่างเช่น ศาสนายดู าย เม่อื พระเจา้ สรา้ งมนุษยค์ ่แู รกคอื อาดมั และอวี า แลว้ ใหอ้ ย่ใู นสวนเอเดนและตรสั สงั่ ว่า หา้ มกนิ ผลไมใ้ นสวน คอื แอปเป้ิล แต่ทงั้ สองคนละเมดิ คาํ สงั่ ของพระองค์ ดังนนั้ พระองคจ์ งึ สาป ใน เร่อื งของพระยาแถนก็เช่นเดยี วกนั กล่าวคอื พระยาแถนก็มขี ้อสญั ญาไว้กบั ชาวโลกเหมอื นพระ เจา้ ของศาสนาเทวนิยมอ่นื ๆ ดงั ขอ้ ความว่า “เมอื่ นัน้ ยงั มขี ุนใหญ่ ๓ คน ผหู้ นึง่ ชอื่ ขุนคาน อย่สู รา้ ง บา้ นเมอื งลุ่ม กนิ ปลาเฮด็ นาเมอื งลุ่มกนิ ขา้ ว เมอื่ นนั้ แถนจงึ ใช้ให้มากล่าวแก่คนทงั้ หลายว่า ในเมอื ง ลุ่มน้ีกนิ ขา้ วใหบ้ อกให้หมาย กนิ แลงกนิ งายกใ็ หบ้ อกแก่แถน ได้กนิ ช้นิ กใ็ ห้ส่งขา ได้กนิ ปลากใ็ หส้ ่ง รอยแก่แถน เมอื่ นัน้ คนทงั้ หลายก็บ่ฟงั ควมแถน แมน้ ใชม้ าบอกสองทสี ามทกี ็บ่ฟงั หนั้ แล”๒๕ น้ีคอื สญั ญาทพ่ี ระยาแถนไดใ้ หไ้ วแ้ ก่ชาวโลก เมอ่ื ชาวโลกหรอื เมอื งลุ่มไมเ่ ช่อื ไม่ยาํ เกรง พระองคใ์ นฐานะ พระเจา้ สูงสุดจงึ จาํ เป็นต้องสอนใหพ้ วกเขารู้ฤทธริ ์ ูเ้ ดชของพระองค์ โดยการบนั ดาลใหฝ้ นตกด้วย ฤทธขิ ์ องพระองค์ ดงั ขอ้ ความว่า “แต่นนั้ แถนจงึ ใหน้ ้าท่วมเมอื งลมุ่ ลดี เลยี งท่วมเมอื งเพยี งละลาย คน ทงั้ หลายกฉ็ ิบหายมากนกั ชะแล”๒๖ น้คี อื ทา่ ทกี ารลงโทษของพระองคท์ ม่ี ตี ่อมนุษย์ ในฐานะผสู้ รา้ งต่อ ผถู้ ูกสรา้ ง บทบาทในการปกครอง โลกมนุษย์หรอื เมอื งลุ่มนัน้ พระยาแถนก็ทรงปกครอง แต่พระองค์ปกครองโดยผ่านคน กลางท่พี ระองค์ไวพ้ ระทยั ดงั จะเหน็ ได้จากเร่อื งการปกครองในพงศาวดารลา้ นชา้ ง เม่อื คนเกิดมา จากน้ําเตา้ ปุ้งแลว้ ป่ลู างเชงิ เป็นคนหน่ึงในสามทพ่ี ระยาแถนส่งลงมาเมอื งลุ่มหลงั จากน้ําแหง้ ไปจาก โลกแลว้ จงึ สอนคนจาํ นวนมากทเ่ี กดิ มาจากน้ําเต้าปุ้งนัน้ ให้รูจ้ กั ทําไร่ไถนา ทอผ้าเล้ยี งไหม และ จบั ค่ใู หเ้ ขาเป็นผวั เมยี กนั เม่อื คนมากขน้ึ ๆ ป่ลู างเชงิ ขนุ เดก็ ขุนคาน สอนอย่างไร คนเขากไ็ ม่เช่อื เพราะขุนทงั้ สามไม่ใช่นายทถ่ี ูกแต่งตงั้ มา ดงั ขอ้ ความว่า “เมอื่ นัน้ คนแผ่พวกมามากนัก มากอย่าง ทราย หลายอยา่ งน้า ท่อว่าหาท้าวหาพระยาบ่ได้ ป่ลู างเชงิ ทงั้ ขุนเดก็ ขุนคาน บอกสอนเขาก็บ่แพ้ แมว้ ่าใครว่าเขากบ็ ่เอาคา ขุนทงั้ สามกจ็ งึ ข้นึ เมอื ขอหาท้าวพระยาแถนหลวง พระยาแถนจงึ ใหข้ ุนครู และขนุ ครองลงมาเป็นทา้ วเป็นพระยาแก่เขาหนั้ แล”๒๗ น้คี อื การปกครองของพระยาแถนโดยผ่านคน ๒๔ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๘. ๒๕ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๗. ๒๖ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๗. ๒๗ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๙-๑๔๐.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๗๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ กลางทพ่ี ระองคไ์ วพ้ ระทยั แมไ้ มไ่ ดม้ าปกครองโดยตรงกต็ ามที ปญั หาเกดิ ขน้ึ พระองคก์ ห็ าทางแก้ไข ดงั ขอ้ ความว่า “เมอื่ ขุนทงั้ สองลงมาสรา้ งบา้ นกเ็ ปลอื ง สรา้ งเมอื งกบ็ ่กวา้ ง สูกนิ เหลา้ ซุม้อื ซุวนั นาน มาไพร่คา้ งทุกขค์ า้ งยากกบ็ ่ดูนา เมอื่ นนั้ ขนุ เดก็ ขนุ คานจงึ ขน้ึ เมอื ไหวส้ าแก่พระยาแถนๆ จงึ ถกเอา ทงั้ สองหนีเมอื งบนหนเมอื งฟ้าดงั กล่าวเล่าแล”๒๘ น้ีคอื การแกไ้ ขปญั หาของพระยาแถน เพราะเม่อื พระองคไ์ ดร้ บั รายงานจากขุนเดก็ ขนุ คาน และตรวจสอบแลว้ ว่าจรงิ อยา่ งทร่ี ายงาน พระองคก์ ส็ งั่ ให้ ขุนครู ขุนครองกลบั เมอื งแถน และส่งคนใหมท่ ม่ี คี วามรคู้ วามสามารถมาปกครองต่อ ดงั ขอ้ ความว่า “ปางนนั้ พระยาแถนหลวงจงึ ใหท้ า้ วผมู้ บี ุญชอื่ ทา้ วบลู มมหาราชาธริ าช อนั ไดอ้ าชญาพระยาแถนแลว้ กจ็ งึ เอารพ้ี ลคนทงั้ หลายลงเมอื เมอื งลุม่ ลดี เลยี งเมอื งเคยี งคกั คอ้ ยมาอยทู่ นี่ าน้อยออ้ ยหนูอนั มลี ุ่มเมอื ง เพยี งคกั ค้อย มาอย่ทู นี่ าน้อยอ้อยหนูมลี ุ่มเมอื งแถนหนั้ ก่อนแล”๒๙ เม่อื ขุนบลู มซ่งึ ถอื ว่า เป็นลูกพระ ยาแถนลงมาปกครองแลว้ และพระองคก์ เ็ ป็นคนเอาใจใสไ่ พรฟ่ ้า ดแู ลสุขทกุ ขข์ องทุกคน คนทงั้ หลาย จงึ ใหค้ วามเคารพยาํ เกรงเช่อื ถอื พระองค์ บา้ นเมอื งทพ่ี ระองคป์ กครองจงึ เจรญิ กา้ วหน้า ดงั ขอ้ ความ ว่า “ทนี ัน้ คนทงั้ หลายฝงู ออกมาแต่น้าเต้าปุ้งนัน้ ผรู้ ูห้ ลกั นักปราชญ์นัน้ เขาก็มาเป็นลูกท่านบ่าวเธอ ขนุ บูลมมหาราชา และผูใ้ บบ้ า้ นนั้ เขากอ็ ยเู่ ป็นไพร่ไปเป็นปา่ สรา้ งไฮ่เฮด็ นากนิ แล”๓๐ จะเหน็ ว่า การ ปกครองของพระยาแถนนนั้ พระองคป์ กครองโลกผ่านคนกลางดงั กล่าวมาแลว้ วธิ กี ารปกครองอยา่ ง น้ีของพระยาแถนจงึ เหมอื นความเช่อื ของชาวยุโรปยุคกลางท่เี ช่อื ว่า พระยะโฮวาเจ้าปกครองโลก โดยผ่านกษัตรยิ ์ ทุกอย่างท่กี ษตั รยิ ์กระทําไปนัน้ จงึ เป็นการกระทําในนามของพระยะโฮวาเจ้า ความคดิ น้ขี องชาวยโุ รปยคุ กลางกบั ความเชอ่ื ของกลมุ่ ชนชาตพิ นั ธไุ์ ทย-ลาว จงึ ไมแ่ ตกต่างกนั ความเช่ือของชาวอีสานต่อพระยาแถน กลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาวมคี วามเช่อื ในเร่อื งบทบาทของพระยาแถนทม่ี ตี ่อพวกเขาดงั ได้ กล่าวไวแ้ ลว้ นนั้ พวกเขาจงึ แสดงบทบาทและหน้าทข่ี องพวกเขาเองต่อพระยาแถน ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั ใคร่ นําเสนอความเช่อื ของชาวอสี านทแ่ี สดงบทบาทและหน้าทข่ี องพวกเขาต่อพระเจา้ สูงสุดทพ่ี วกเขา เคารพบชู า มปี ระเดน็ ดงั ต่อไปน้ี ๑. เคารพต่อโองการของพระยาแถน คาํ ว่า “โองการ” หมายถงึ คาํ ศกั ดสิ ์ ทิ ธ๓ิ ์ ๑ ในกรณนี ้กี ค็ อื คาํ สงั่ ของพระยาแถนซง่ึ ใครจะล่วง ละเมดิ มไิ ด้ แต่ในยคุ ตน้ ๆ เมอ่ื ครงั้ พระยาแถนใหม้ นุษยป์ กครองกนั เองในโลกมนุษยห์ รอื เมอื งลุ่มนนั้ พระองคม์ บี ญั ชาว่า “ในเมอื งลุ่มน้ี กนิ ขา้ วใหบ้ อกใหห้ มาย กนิ แลงกนิ งายกใ็ หบ้ อกแก่แถน เมอ่ื นัน้ คนทงั้ หลายกบ็ ฟ่ งั ควมแถน แมน้ ใชม้ าบอกสองทสี ามทกี บ็ ่ฟงั หนั้ แล”๓๒ น้ีคอื พฤตกิ รรมของคนในยคุ ตน้ ๆ ท่ไี ม่ฟงั หรอื ไม่เช่อื โองการทพ่ี ระยาแถนสงั่ มา เมอ่ื ไม่ฟงั พระยาแถนจงึ ลงโทษ ดงั ขอ้ ความว่า ๒๘ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๔๐. ๒๙ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๔๐. ๓๐ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๔๐. ๓๑ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร : นานมบี ุค๊ สพ์ บั ลเิ คชนั่ ส,์ ๒๕๔๖), หน้า ๑๔๐๑. ๓๒ กรมศลิ ปากร, ประชมุ พงศาวดารฉบบั หอสมดุ แห่งชาติ เลม่ ๑, หน้า ๑๓๗.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๗๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ “แต่นัน่ แถนจงึ ให้น้าท่วมเมอื งลุ่ม ลดี เลยี งท่วมเมอื งเพยี งละลายคนทงั้ หลายก็ฉิบหายมากนักชะ แล”๓๓ ถดั จากนนั้ มา มนุษยท์ งั้ หลายกส็ าํ นึกผดิ ว่าพวกเขาเองไดก้ ระทาํ ผดิ ต่อเทพเจา้ สงู สุดของพวก เขา เม่อื ได้รบั บทเรยี นอนั ยง่ิ ใหญ่อย่างน้ีแล้ว กข็ ยาดกลวั ต่อโองการนัน้ ในกาลต่อมา เม่อื พระยา แถนสงั่ การอะไรลงมาทเ่ี มอื งมนุษย์ พวกเขากป็ ฏบิ ตั ติ ามโองการนนั้ ดงั ขอ้ ความว่า “ตงั้ แรกแต่น้ีเมอ่ื หน้า ชาวเมอื งลุ่มน้ีไดก้ นิ ชน้ิ ใหส้ ่งขาแก่แถน ไดก้ นิ ปลาใหส้ ่งรอยแก่แถนใหเ้ ฮด็ แหวน เฮด็ หวั ส่งแก่ ล่าม ใช้แถนแต่มอ้ื ลวงคะลําแก่ผู้ชาย มอ้ื ระวายให้คะลําแก่ผู้หญงิ เดอื นเจยี๋ งใหค้ ะลํามอ้ื กดมอ้ื กาบ เดอื น ใหค้ ะลําพ้นื มอ้ื เต่ามอ้ื ระวาย พกั บาทอย่าราน พกั บาทขวานอยา่ ป้ํา ฟ้ืนหาบน้ําอย่าตกั สาก อย่าตําอย่าร่อน ได้จงึ จะดกี ็สูตาย”๓๔ โองการน้ีกลุ่มชนชาติพนั ธุ์ไทย-ลาวได้ปฏบิ ตั ติ ามอย่าง เคร่งครดั กล่าวคอื เม่อื กลุ่มชนชาตพิ นั ธุ์ไทย-ลาวทําไร่ไถนาเก็บเก่ยี วขา้ วเสรจ็ ก่อนจะนําขา้ วไป เกบ็ ในยุง้ ในฉาง พวกเขากจ็ ะมอบขา้ วนัน้ แก่ผตี าแฮก ผปี า่ ผฟี ้า โดยเอาใบไมม้ าเยบ็ เป็นกระบอก แลว้ ใสข่ า้ วลงในกระบอกใบไมน้ นั้ แลว้ นําไปตงั้ ไวท้ ห่ี น้าศาลผตี าแฮก พรอ้ มกบั บอกว่า ไดน้ ําขา้ วมา ถวาย และขอฝากข้าวน้ีไปถึงผีป่า ผฟี ้ าด้วย ส่วนกรณีวนั ข้ึนปีใหม่ของชาวไทยก็เช่นเดยี วกัน กล่าวคอื ก่อนจะถงึ วนั ท่ี ๑๓-๑๔-๑๕ เมษายนของทุกปีนนั้ กลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาวจะเตรยี มการ ทุกอย่างเก่ียวกับสิ่งท่ีจะต้องใช้ในระหว่างวนั ท่ี ๑๓-๑๔-๑๕ ให้ครบหมด เพราะในระหว่างวัน ดงั กลา่ วนนั้ พระยาแถนสงั่ ไวว้ า่ “พกั บาทอยา่ ราน พกั บาทขวานอย่าป้ํา ฟ้ืนหาบน้ําอย่าตกั สากอยา่ ตําอย่ารอ่ น” ดงั นนั้ กลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาวจงึ งดทําทุกอย่าง มเี พยี งการเฉลมิ ฉลองในเทศกาลปี ใหมเ่ ทา่ นนั้ การงดทาํ กจิ กรรมทกุ อยา่ งในวนั ดงั กล่าวนนั้ ถอื ว่าเคารพต่อโองการของพระยาแถน ไม่ ละเมดิ เหมอื นกาลครงั้ ก่อนโน้น น้คี อื บทบาทและหน้าทท่ี ก่ี ลุ่มชนชาตพิ นั ธไุ์ ทย-ลาวแสดงออกต่อพระ ยาแถนดว้ ยความเคารพยาํ เกรงตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ๒. ถวายเครื่องบชู า การถวายเคร่อื งบูชาแด่พระยาแถนก็แสดงถงึ การเคารพอย่างหน่ึง และการถวายเคร่อื ง บูชาน้ีถอื ว่าเป็นสง่ิ สําคญั ยงิ่ เพราะว่ามนุษยเ์ รา ถ้าไม่ศรทั ธา ไมเ่ ล่อื มใส ไม่เคารพยกย่องกจ็ ะไม่ แสดงออกมาในเชงิ การใหอ้ ย่างน้ี กลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาวไดแ้ สดงออกถงึ การเคารพบูชาพระยา แถนดว้ ยวตั ถุสงิ่ ของตงั้ แต่อย่ใู นประเทศจนี ท่อี าณาจกั รหนองแสหรอื อาณาจกั รแถนจนถงึ ปจั จุบนั กลุ่มชนชาตนิ ้ียงั เช่อื อย่างนัน้ เหมอื นเดมิ แมว้ ่ากาลเวลาจะผ่านไปชา้ นาน วทิ ยาการใหม่ๆ เกดิ ขน้ึ มากมาย ความเช่อื นนั้ ยงั ฝงั อยใู่ นความรสู้ กึ ของกลมุ่ ชนชาตพิ นั ธุน์ ้ถี ามวา่ ความคดิ เร่อื งถวายสงิ่ ของ เพ่อื เป็นการบูชาพระยาแถนนนั้ กลุ่มชนชาตพิ นั ธุ์ไทย-ลาวคดิ ขน้ึ มาเองหรอื เป็นความประสงคข์ อง พระยาแถนดว้ ย ตอบว่า ไมใ่ ชค่ วามคดิ ของกลุม่ ชนชาตพิ นั ธนุ์ ้อี ยา่ งเดยี ว เป็นความประสงคข์ องพระ ยาแถนดว้ ย ดงั ขอ้ ความว่า “เมอื่ นัน้ แถนจงึ ใช้ให้มากล่าวแก่คนทงั้ กลายว่าในเมอื งลุ่มน้ี กนิ ขา้ วให้ บอกใหห้ มาย กนิ แลงกนิ งายก็ใหบ้ อกแก่แถน ได้กนิ ช้นิ กใ็ หส้ ่งขา ไดก้ นิ ปลากใ็ หส้ ่งรอยแก่แถน”๓๕ ๓๓ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๗. ๓๔ กรมศลิ ปากร, ประชมุ พงศาวดารฉบบั หอสมดุ แห่งชาติ เล่ม ๑, หน้า ๑๔๒-๑๔๓. ๓๕ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๓๗.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๗๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ นนั่ คอื ความประสงคข์ องพระยาแถน ต่อมา เมอ่ื คนทราบความประสงคน์ ้ีของพระยาแถน พวกเขา ซง่ึ มคี วามเช่อื ความศรทั ธาอยแู่ ลว้ จงึ ถวายเครอ่ื งสกั การะบชู าพระองคโ์ ดยวธิ กี ารต่างๆ มากไปกว่า ทพ่ี ระองคส์ งั่ ใหค้ นมาบอก เช่น สงิ่ ของเครอ่ื งใช้ ดนตรสี าํ หรบั ขบั กล่อม สตั วต์ ่างๆ เพ่อื เป็นพาหนะ หอเพ่อื บชู า เป็นต้น นอกเหนือจากน้ีแลว้ กลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาว “สรา้ งหอบูชาพระยาแถนและ สรา้ งหอบูชาผเี ชอ้ื ผเี รอื นทงั้ หลายซ่งึ ไดม้ ปี รากฏอย่ตู งั้ แต่ก่อนรชั สมยั พระเจา้ โพธสิ ารมหาราชของ ประเทศลาว”๓๖ และความเช่อื ท่วี ่า มนุษยท์ ุกคนคอื ผูท้ ่พี ระยาแถนสรา้ งมา เม่อื ตายไปก็เป็นผี ดงั นัน้ ผแี ละคนจงึ เป็นบรวิ ารของพระยาแถน กลุ่มชนชาตพิ นั ธุ์ไทย-ลาว จงึ สร้างศาลต่างๆ เช่น ศาลปตู่ า ศาลตาแฮก ศาลผบี รรพบุรุษ ศาลพระภมู ิ เป็นตน้ เพ่อื ผเี หล่าน้ีลว้ นแต่เน่ืองมาจากพระยา แถนทงั้ นัน้ และผเี หล่าน้ีต่างก็ไดร้ บั เคร่อื งเซ่นสรวงคลา้ ยคลงึ กบั พระยาแถนประเพณีโบราณของ กลุ่มชนชาตพิ นั ธุ์ไทย-ลาว ถอื ว่า “เดอื นเจย๋ี งหรอื เดอื นอ้าย และเดอื นยนี่ ัน้ ก็ไดม้ จี ารตี กาหนดใหม้ ี การเลย้ี งผฟี ้า ผแี ถนน้ีอยอู่ ยา่ งเครง่ ครดั ซงึ่ เรยี กวา่ เป็นการเลย้ี งยเี่ ล้ยี งเจยี ง”๓๗ ประเพณกี ารเลย้ี งยเ่ี ลย้ี งเจยี งนนั้ กค็ อื ประเพณีเลย้ี งผฟี ้า ผแี ถนนนั่ เอง ในสมยั สมเดจ็ พระ เจา้ ฟ้างมุ้ มหาราชของลาวนนั้ พระองคไ์ ดท้ รงกาํ หนดเอาเดอื นอ้ายเดอื นยเ่ี ป็นเดอื นเลย้ี งผฟี ้า ผแี ถน และทรงมพี ระราชโองการให้หวั เมอื งทงั้ หลายท่ขี น้ึ อยู่ในการปกครองของพระองค์ได้ปฏิบตั ิตาม ประเพณีน้ีด้วย พระราชโองการน้ีได้รวมมาถงึ ภาคอสี านของไทย ซง่ึ ในสมยั นัน้ เป็นอาณาเขตของ พระเจา้ ฟ้างมุ้ มหาราชดว้ ย ในพระราชโองการน้ีไดก้ ําหนดว่า ทุกๆ สามปีใหเ้ จา้ หวั เมอื งทงั้ หลายมา ประกอบพธิ กี ารเล้ยี งผฟี ้า ผแี ถนท่นี ครเชยี งทองของลาว ซ่งึ ทรงได้กําหนดให้มกี ารประกอบพธิ ี ต่อเน่ืองกนั ตลอดทงั้ สามเดอื นคอื เดอื นอ้าย เดอื นย่ี และเดอื นสาม เน่ืองจากในวนั ขน้ึ สบิ ห้าค่าํ ของ เดอื นสามหรอื ทเ่ี รยี กว่า เดอื นสามเพง็ นนั้ ถอื ไดว้ ่า เป็นวนั ชุมนุมพวกแถนอย่างใหญ่๓๘ ประเพณนี ้ี ไดถ้ อื สบื เน่อื งกนั มาของกลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาวเป็นเวลาหลายรอ้ ยปีก่อนทก่ี ลุ่มชนน้ีจะหนั มานับ ถอื พุทธศาสนา อยา่ งไรกต็ าม แมก้ ลุ่มชนน้ีจะมานับถอื พุทธศาสนา กใ็ ช่ว่าพวกเขาจะลมื ความเช่อื ความศรทั ธาในพระยาแถน ในปจั จุบนั น้ี พวกเขานับถอื พระยาแถนพรอ้ มๆ กบั นับถอื พุทธศาสนา ปฏบิ ตั ติ วั เป็นพุทธศาสนิกชน ในขณะเดยี วกนั กย็ งั เซ่นสรวง อ้อนวอนขอพรกบั พระยาแถน น้ีคอื บทบาทและหน้าทอ่ี นั หน่งึ ของกลุ่มชนน้ี ๓. การขอฝน การขอฝนถอื ว่า เป็นพฤตกิ รรมหรอื บทบาทอนั หน่ึงของกลุ่มชนชาตพิ นั ธุ์ไทย-ลาวทม่ี ตี ่อ พระยาแถน และประเพณขี อฝนน้ียงั ดาํ รงอยู่ แมใ้ นสมยั ปจั จบุ นั ไม่มใี ครกลา้ ยนื ยนั หรอื ปฏเิ สธไดว้ ่า ประเพณีขอฝนน้ีจรงิ หรอื เทจ็ แต่ทแ่ี น่ๆ ประเพณีน้ียงั ถอื ปฏบิ ตั กิ นั อย่ทู ่ามกลางความเจรญิ รุ่งเรอื ง ของวทิ ยาการสมยั ใหม่ถามว่า ประเพณีน้ีเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างไร คําตอบกค็ อื มนี ิทานพ้ืนบา้ นอสี านเร่อื ง ๓๖ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๔๑๑. ๓๗ สลี า วรี ะวงศ,์ ฮีตสิบสอง, (อุบลราชธานี : ศนู ยศ์ ลิ ปวฒั นธรรมมหาวทิ ยาลยั อุบลราชธาน,ี ๒๕๑๗), หน้า ๕๖. ๓๘ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๕๗.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๗๗ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พระยาคนั คาก เล่าสบื ๆ กนั มาว่า พระโพธสิ ตั วจ์ ตุ ลิ งมาเกดิ ในโลกมนุษย์ โดยเสวยชาตเิ ป็นคนั คาก หรอื คางคก ต่อมาได้เสวยราชยเ์ ป็นพระราชา จงึ มนี ามว่า พระยาคนั คาก พระองค์เป็นกษตั รยิ ท์ ่มี ี บุญบารมมี าก มปี ระชาชนและกษตั รยิ เ์ มอื งอ่นื ๆ ใหค้ วามเคารพยาํ เกรง และมาเฝ้าพระองคอ์ ยเู่ ป็น ประจาํ พระยาแถนอย่บู นสรวงสวรรคเ์ หน็ พฤตกิ รรมอย่างน้ีเกดิ ขน้ึ แก่พระยาคนั คาก กอ็ จิ ฉาเลยไม่ ดลบนั ดาลให้ฝนตกมายงั โลกมนุษย์เป็นเวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือนและ ๗ วนั พระยาคนั คากทราบ สาเหตุฝนไม่ตก เพราะพระยาแถนคดิ อจิ ฉาตนและพระยาแถนละเลยหน้าท่ขี องตนท่ปี ระพฤตมิ า ตงั้ แต่โบราณกาล จงึ ยกพลขน้ึ ไปรบกบั พระยาแถนบนสรวงสวรรค์ ผลปรากฏว่า พระยาคนั คากชนะ พระองคจ์ งึ ใหพ้ ระยาแถนปฏบิ ตั หิ น้าทท่ี พ่ี ระยาแถนเคยปฏบิ ตั มิ าคอื ดลบนั ดาลใหฝ้ นตกมายงั โลก มนุษยเ์ หมอื นเคยปฏบิ ตั มิ าในอดตี พระยาแถนกเ็ ลยถามเวลาทโ่ี ลกมนุษยต์ อ้ งการฝน ดงั ขอ้ ความว่า “แต่วาอยากฮ่วมฮู้เรอื่ งสแิ ต่งให้ฝนตก สใิ ห้ตกยามใดจงั่ สพิ อใจเจา้ สเิ อาหยงั เป็นเครอื่ ง สญั ญาณบนบอกชาวโลกคดิ อยากไดฝ้ นฟ้าเมอื่ ใดน้ีนอ”๓๙ นนั่ คอื สง่ิ ทพ่ี ระยาแถนกงั วลว่า ชาวโลก ตอ้ งการฝนเมอ่ื ใด พระองคจ์ งึ จะใหฝ้ นตกลงมายงั พน้ื โลก ถูกใจชาวโลกทต่ี อ้ งการฝน พระยาคันคาก จงึ ตรสั ว่า “ให้ฟงั เสยี งบงั้ ไฟหมู่คนเมอื งใต้ บุญบงั้ ไฟเขาขน้ึ จุดมาทางอากาศ ฟงั เสยี งทาดๆ ฟ้า สญั ญาเจา้ ใหแ้ ต่งฝนนนั้ เดอ้ ”๔๐ (การจดุ บงั้ ไฟในเดอื นหกของทุกปีนนั้ ใหถ้ อื ว่า มนุษยส์ ่งสญั ญาขอฝน ใหพ้ ระยาแถนรบี แต่งฝนลงมายงั โลกมนุษยไ์ ด้ การจุดบงั้ ไฟในเดอื นหกของทุกๆ ปีนัน้ เลยถอื เป็น สญั ญาการขอฝนจากพระยาแถนของกลุ่มชนชาตพิ นั ธุ์ไทย-ลาว และกลุ่มชนน้ีกถ็ อื ปฏบิ ตั กิ นั มาไม่ ขาดจนกลายเป็นประเพณขี อฝนจากพระยาแถนในปจั จุบนั พระยาแถนกก็ งั วลอกี ว่า จะรไู้ ดอ้ ย่างไร วา่ ฝนตก ดงั ขอ้ ความว่า “คนั ห่าฝนตกไปดงั ใดสเิ หน็ ฮู้ สงั เกตดอู นั ใดแท้ แลดอู นั ใดท่าน”๔๑ ขอ้ ความน้ี แสดงถงึ ความรอบคอบของพระยาแถนทถ่ี ามว่า เม่อื ฝนตกไปแลว้ นัน้ จะรไู้ ดอ้ ย่างไร สงั เกตอะไร และดอู ะไรเป็นสงิ่ บง่ บอกว่าฝนตกลงมาแลว้ พระยาคนั คากกท็ รงแนะใหส้ งั เกตสงิ่ เหล่าน้ี ดงั ขอ้ ความ ว่า “กบเขยี ดฮอ้ งนนั้ ละเจา้ แสดงวา่ ฝนตก มฝี นลงเขยี ดจา่ นามนั ฮอ็ ง หนองบงึ น้ํานาทามเตม็ แอ่ง คนั แมน่ ฟ้าแหง้ แลง้ กบน้อยกะแมน่ ตาย ใหเ้ จา้ ซอมดดู ว้ ยพอประมาณใหต้ กอกี อย่าใหเ้ หนิ ห่างล้าํ ทาํ ได้ แต่ประมาณนนั้ เดอ้ ”๔๒ พระยาคนั คากทรงแนะนําใหฟ้ งั เสยี งกบและเขยี ดมนั รอ้ ง ถ้าฝนตกลงมาพน้ื โลก กบและเขยี ดจะส่งสญั ญาณให้ได้ยนิ และพระองค์ทรงแนะนําต่อไปอีกว่า ให้สงั เกตด้วยว่า ปรมิ าณน้ําฝนมต่ี กลงไปนัน้ มากน้อยแค่ไหน อย่าเวน้ ระยะเวลานานจนปรมิ าณน้ําฝนทใ่ี หน้ ัน้ เหอื ด แหง้ ไป กบและเขยี ดจะตาย จงใหฝ้ นตกอกี ในปรมิ าณพอเหมาะพระยาแถนกส็ งสยั เรอ่ื งระยะเวลาท่ี ใหฝ้ นตก ดงั ขอ้ ความว่า “แปลงใหฝ้ นฮวยฮามากหลายหรอื หยอ่ ย พอประมาณได้จกั เดอื นจงั่ สแิ ม่น ฮอดเดอื นใดละเจ้า จงึ เซาให้แต่งฝนพระเอย”๔๓ พระยาแถนถามซ้ําเพ่อื ต้องการทราบระยะเวลา ๓๙ เตชวโร ภกิ ขุ (อนิ ตา กววี งศ)์ , นิ ทานพระยาคนั คาก, (ขอนแกน่ : ขอนแกน่ คลงั นานาธรรม, ๒๕๔๓), หน้า ๖๒. ๔๐ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๖๒. ๔๑ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๖๒. ๔๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๖๒. ๔๓ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๖๒.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๗๘ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ แน่นอนว่า ใหฝ้ นตกก่เี ดอื น จงึ จะเพยี งพอต่อความต้องการปรมิ าณน้ําฝน ในประเดน็ น้ี พระยาคนั คากกต็ อบไปว่า “ใหส้ เู หลยี วลงไปเบงิ่ นาคนบา้ งทางฮวงเขา้ เขามแี ลว้ หรอื ไป่ ฮวงเขา้ ใหญ่สามวาคนั คากน้ีฝนเจา้ จงั เซา อกี อนั หนึง่ ใหพ้ วกเจ้าฟงั เบงิ่ เสยี่ งซะนูเสยี งโหวดของชาวนาเป่ากนั ว่าพอแล้ว หากเขาพากนั เล่นขนั ซะนูแล่นว่าว เป่าโหวดพร้อมวะยามนัน้ แม่นพอ เซาฝนไว้อย่าตกไปเขาสดิ ่า เขาเกยี่ วขา้ วนนั้ คอกน่าฟงั แลว้ ใหจ้ อื เอา”๔๔ เมอ่ื พระยาแถนถามถงึ ระยะเวลาว่าจะใหแ้ ต่งฝนกเ่ี ดอื น พระยาคนั คากกต็ อบว่า ใหต้ รวจสอบดูโลกมนุษยว์ ่า ขา้ วของชาวนาเจรญิ เตบิ โตหรอื ยงั ถ้าเตบิ โต แลว้ ต้นขา้ วออกรวงหรอื ไม่ เม่อื ตน้ ขา้ วออกรวงและชาวนากําลงั เกบ็ เก่ยี วขา้ ว พวกชาวนากจ็ ะเล่น ว่าวและมเี สยี งสะนูจากว่าว หรอื พวกเขากจ็ ะเล่นโหวดเปา่ โหวด เสยี งสะนูกด็ ี เสยี งโหวดกด็ ี นนั่ คอื สญั ญาณบอกให้หยุดปล่อยฝน เพราะฝนตกในเวลานัน้ พวกเขาไม่ต้องการต่อไปอกี แล้ว ให้หยุด ปล่อยฝนได้ ภมู ปิ ญั ญาชาวอสี านเช่อื ว่า เรอ่ื งพระยาแถน เป็นผมู้ อี ทิ ธพิ ลในการทาํ ฝนใหต้ ก โบราณจงึ ใหท้ าํ บุญบงั้ ไฟ “ถวยแถน” หรอื ถวายแถน แต่ในนิทานเร่อื งพญาคนั คาก กล่าวว่า ทวงสญั ญาแถน ถา้ ไมท่ าํ บงั้ ไฟถวายแถน ฝนจะไมต่ กตอ้ งตามฤดกู าล ชาวอสี านจงึ นิยมทาํ บุญบงั้ ไฟทุกหมบู่ า้ น โดย ถอื เป็นงานประจาํ ปีเลยทเี ดยี ว๔๕ จากทก่ี ล่าวมาขา้ งต้นสรุปไดว้ ่า บทบาทท่พี ระยาแถนมตี ่อมนุษยชาตติ ามความเช่อื ของ กลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาว และความเช่อื ความศรทั ธาของกลุ่มชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาว ทม่ี ตี ่อพระยา แถนนนั้ มอี กี มากมายทผ่ี วู้ จิ ยั ไดค้ น้ ควา้ มา แต่ทน่ี ําเสนอมาน้ีเป็นเพยี งส่วนหน่ึงของการวจิ ยั เท่านนั้ อยา่ งไรกต็ าม ความเชอ่ื ความศรทั ธาของกล่มุ ชนชาตพิ นั ธุไ์ ทย-ลาวทม่ี ตี ่อพระยาแถน ตงั้ แต่อดตี คอื สมยั นครลงุ นครปา และนครเงย้ี ว จนถงึ ปจั จุบนั น้ี กนิ ระยะเวลายาวนานมากว่า ๕,๐๐๐ ปี แมว้ ่าจะ มศี าสนาต่างๆ เช่น พราหมณ์ พทุ ธศาสนา ครสิ ต์ อสิ ลามหรอื แมแ้ ต่วชิ าการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ มา เก่ยี วพนั กบั วถิ ชี วี ติ ของกลุ่มชนชาตนิ ้ี แต่ความเช่อื ความศรทั ธาต่อพระยาแถนของพวกเขายังฝงั แน่น เหมอื นกบั วา่ ความเป็นกลุ่มชนชาตนิ ้กี บั ความเชอ่ื เรอ่ื งพระยาแถนคอื สง่ิ เดยี วกนั ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั ความเชื่อเรื่องพญานาค พญานาค หรือ นาค (Nāga ; สนั สกฤต : नाग) เป็นความเช่อื ในภมู ภิ าคเอเชยี ใต้และ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยเรยี กช่อื ต่างๆ กนั แต่มลี กั ษณะร่วมกนั คอื เป็นงขู นาดใหญ่มหี งอน เป็นสญั ลกั ษณ์แห่งความยงิ่ ใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมวี าสนา อกี ทงั้ ยงั เป็นสญั ลกั ษณ์ของ บนั ไดส่จู กั รวาลอกี ดว้ ย ต้นกําเนิดความเช่อื เร่อื งพญานาคน่าจะมาจากอินเดยี ด้วยมปี กรณัมหลายเร่อื งเล่าถึง พญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ นาคถอื เป็นปรปกั ษ์ของครุฑ ส่วนในตํานานพุทธ ประวตั ิ กเ็ ลา่ ถงึ พญานาคไวห้ ลายครงั้ ดว้ ยกนั ๔๔ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๖๒. ๔๕ อุดม บวั ศร,ี วฒั นธรรมอีสาน, (ขอนแกน่ : โรงพมิ พค์ ลงั นานาวทิ ยา, ๒๕๔๖), หน้า ๖๒.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๗๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตย้ งั มตี ํานานเรอ่ื งพญานาคอยา่ งแพรห่ ลาย ชาวบา้ นในภูมภิ าคน้ี มกั เช่อื กนั ว่าพญานาคอาศยั อยู่ในแม่น้ําโขง หรอื เมอื งบาดาล และเช่อื กนั ว่าเคยมคี นเคยพบรอย พญานาคขน้ึ มาในวนั ออกพรรษาโดยจะมลี กั ษณะคลา้ ยรอยของงขู นาดใหญ่ ลกั ษณะของพญานาคตามความเช่อื ในแต่ละภูมภิ าคจะแตกต่างกันไป แต่พ้นื ฐานคือ พญานาคนนั้ มลี กั ษณะตวั เป็นงตู วั ใหญ่มหี งอนสที องและตาสแี ดง เกลด็ เหมอื นปลามหี ลายสแี ตกต่าง กนั ไปตามบารมี บา้ งกม็ สี เี ขยี ว บา้ งกม็ สี ดี ํา หรอื บ้างกม็ ี ๗ สี เหมอื นสขี องรุง้ และทส่ี าํ คญั คอื นาค ตระกูลธรรมดาจะมเี ศยี รเดยี ว แต่ตระกูลทส่ี ูงขน้ึ ไปนนั้ จะมสี ามเศยี ร หา้ เศยี ร เจด็ เศยี รและเกา้ เศยี ร นาคจาํ พวกน้ีจะสบื เชอ้ื สายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนนั ตนาคราช) ผูเ้ ป็นบลั ลงั ก์ของพระวษิ ณุ นารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนัน้ เล่ากนั ว่ามกี ายใหญ่โตมหมึ ามคี วามยาวไม่ ส้นิ สุด มพี นั ศีรษะ พญานาคนัน้ มที งั้ เกิดในนําและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มอี ิทธิฤทธิ ์ สามารถบนั ดาลใหเ้ กดิ คณุ และโทษได้ นาคนนั้ มกั จะแปลงรา่ งเป็นมนุษยร์ ปู ร่างสวยงาม ตาํ นานความเช่อื เรอื งพญานาคมคี วามเก่าแก่มาก สบื คน้ ไดว้ า่ มตี ้นกําเนิดมาจากอนิ เดยี ใต้ ดว้ ยเหตุจากภูมปิ ระเทศทางอนิ เดยี ใต้เป็นป่าเขาจงึ ทําให้มงี ูอยู่ชุกชุม และดว้ ยเหตุทง่ี นู ัน้ ลกั ษณะ ทางกายภาพคอื มพี ษิ รา้ ยแรง งจู งึ เป็นสตั วท์ ม่ี นุษยใ์ ห้ การนบั ถอื ว่ามอี ํานาจ ชาวอนิ เดยี ใตจ้ งึ นบั ถอื งู บ้างกว็ ่าเป็นสตั ว์ในป่าหมิ พานต์ มคี วามเช่อื เร่อื งพญานาคแพร่หลายในภูมภิ าคต่างๆ ทวั่ ทวปี เอเชยี โดยเรยี กชอ่ื ต่างๆ กนั นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มหี งอน สญั ลักษณ์แห่งความยง่ิ ใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมวี าสนา และนาคยงั เป็นสญั ลกั ษณ์ของบนั ไดสายรงุ้ สจู่ กั รวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้า บางแห่งกว็ ่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้ า ตํานานความเช่อื เรอื งพญานาคมคี วามเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอกี ด้วย สบื คน้ ไดว้ ่ามตี น้ กาํ เนิดมาจากอนิ เดยี ใต้ ดว้ ยเหตุจากภมู ปิ ระเทศทางอนิ เดยี ใตเ้ ป็นปา่ เขาจงึ ทาํ ใหม้ งี ู อย่ชู ุกชุม และดว้ ยเหตุทง่ี นู ัน้ ลกั ษณะทางกายภาพคอื มพี ษิ รา้ ยแรง งจู งึ เป็นสตั วท์ ม่ี นุษยใ์ หก้ ารนับ ถอื ว่ามอี าํ นาจ ชาวอนิ เดยี ใตจ้ งึ นบั ถอื งู เป็นสตั วเ์ ทวะชนดิ หน่งึ ในเทพนิยายและตํานานพน้ื บา้ น บา้ ง ก็ว่าเป็นสตั ว์ในป่าหมิ พานต์ มคี วามเช่อื เร่อื งพญานาคแพร่หลายในภูมภิ าคต่างๆ ทวั่ ทวปี เอเชยี โดยเรยี กช่อื ต่างๆ กนั ตน้ กําเนดิ ความเช่อื เรอ่ื งพญานาคน่าจะอยทู่ อ่ี นิ เดยี ดว้ ยมนี ยิ ายหลายเรอ่ื งเล่าถงึ พญานาค โดยเฉพาะในมหากาพยม์ หาภารตะ ซ่งึ ถอื เป็นปรปกั ษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตํานานพุทธประวตั ิ ก็ เล่าถงึ พญานาคไวห้ ลายครงั้ ดว้ ยกนั
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตย้ งั มตี าํ นานเรอ่ื งพญานาคอยา่ งแพร่หลาย ชาวบา้ นในภูมภิ าคน้ี มกั เช่อื กนั ว่าพญานาคอาศยั อยู่ในแม่น้ําโขง หรอื เมอื งบาดาล และเช่อื กนั ว่าเคยมคี นเคยพบรอย พญานาคขน้ึ มาในวนั ออกพรรษาโดยจะมลี กั ษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเม่อื ไปเล่นน้ําใน แมน่ ้ําโขงควรยกมอื ไหวเ้ พ่อื เป็นการสกั การะสง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ลกั ษณะของพญานาคตามความเช่อื ในแต่ละภูมภิ าคจะแตกต่างกันไป แต่พ้นื ฐานคือ พญานาคนนั้ มลี กั ษณะตวั เป็นงตู วั ใหญ่มหี งอนสที องและตาสแี ดง เกลด็ เหมอื นปลามหี ลายสแี ตกต่าง กนั ไปตามบารมี บา้ งกม็ สี เี ขยี ว บา้ งกม็ สี ดี าํ หรอื บา้ งกม็ ี ๗ สี และทส่ี าํ คญั คอื นาคตระกูลธรรมดาจะ มเี ศยี รเดยี ว แต่ตระกูลทส่ี งู ขน้ึ ไปนนั้ จะมสี ามเศยี ร หา้ เศยี ร เจด็ เศยี รและเก้าเศยี ร นาคจาํ พวกน้ีจะ สบื เชอ้ื สายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนนั ตนาคราช) ผเู้ ป็นบลั ลงั กข์ องพระวษิ ณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนัน้ เล่ากนั ว่ามกี ายใหญ่โตมหมึ ามคี วามยาวไม่ส้นิ สุด มพี นั ศรี ษะ พญานาคนนั้ มที งั้ เกดิ ในนําและบนบก เกดิ จากครรภแ์ ละจากไข่ มอี ทิ ฤทธสิ ์ ามารถบนั ดาลใหเ้ กดิ คุณ และโทษได้ นาคนนั้ มกั จะแปลงรา่ งเป็นมนุษยร์ ปู ร่างสวยงาม พญานาค เป็นราชาแห่งงู จดั เป็นสตั วใ์ นวรรณดดี ว้ ย และไมส่ ามารถบรรลุธรรมได้ แต่กจ็ ดั อยฝู่ า่ ยสคุ ตภิ มู ิ อย่สู วรรคช์ นั้ จาตุมหาราชกิ า นาคแบ่ง ออกเป็น ๔ ตระกูลใหญ่ คอื “ตระกูลวริ ปู กั ษ์ พญานาคตระกูลสีทอง ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขยี ว ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาค ตระกลู สรี งุ้ และตระกูลกณั หาโคตมะ พญานาคตระกูลสดี า” กาเนิดพญานาคในพระพทุ ธศาสนา การกําเนิดของพญานาคในพระพุทธศาสนานัน้ กล่าวถึงพญานาคท่ีมเี ช้อื สายของสุกิ นาคราชหรอื นาคสเุ นมิ ผเู้ ป็นพช่ี ายคนโตของสกุ นิ าคราช ในเรอ่ื งชมี ตู วานะ ไดก้ ล่าวถงึ นาคทงั้ หลาย เป็นลูกของนางกัทรูและยงั ได้เล่าถึง การท่นี าคต้องตกเป็นอาหารของครุฑในเร่อื งมหาภารตะ ในปญั จตนั ตระ๔๖ ในสุทธกสตู รกล่าวถงึ พญานาควา่ มกี าเนดิ ๔ อยา่ ง คอื (๑) เกดิ ในฟองไขเ่ รยี กว่า อณั ฑชะ (๒) เกดิ ในครรภเ์ รยี กว่า ชลาพุชะ (๓) เกดิ ในท่หี มกั หมมเรยี กว่าสงั เสทชะ และ (๔) เกดิ แล้วโตทนั ที เรยี กว่า โอปปาตกิ ะ๔๗ อกี พระสูตรหน่ึงคอื หติ สูตร ได้แบ่งพญานาคในกําเนิดทงั้ ๔ ดงั กล่าวออกเป็น ๔ ตระกูล คือ (๑) ตระกูลวิรูปกั ขะ เป็นพญานาคท่มี ผี วิ กายเป็นสที องคา (๒) ตระกูลเอราปกั ถะ มผี วิ สเี ขยี ว (๓) ตระกูลฉัพยาปุตตะ มผี วิ สรี ุง้ (๔) ตระกูลกณั หาโคตมะ มผี วิ สี ดา๔๘ นาคในคมั ภรี ส์ นั สกฤตนัน้ ถอื กําเนิดมาจากนางกทั รแู ละพระกศั ยพราหมฤ์ ษีและนางกทั รนัน้ อาจมชี ่อื อกี ช่อื หน่ึงว่า นางสุรสา ลกั ษณะการกําเนิดนนั้ มลี กั ษณะเป็นสตั ว์ คอื เกดิ จากฟองไข่และ ๔๖ พรี พล พสิ ณุพงศ,์ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งงกู บั มนุษย,์ (กรุงเทพมหานคร : แสงศลิ ป์การพมิ พ,์ ๒๕๑๐), หน้า ๑๗๙. ๔๗ ส .ข.อ. (ไทย) ๒๗/๕๑๙/๕๕๖. ๔๘ องฺ.จตุก.อ. (ไทย) ๓๕/๖๗/๒๑๕.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ จานวนท่เี กิดมาแต่ละครงั้ นัน้ เป็นจํานวนมาก ดงั เช่นนางกทั รูได้ให้กําเนิดลูกเป็นครงั้ แรก๔๙ ถึง ๑,๐๐๐ ตวั นาคในคมั ภรี บ์ าลี พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเหตุและปจั จยั ทบ่ี ุคคลเม่อื ตายไปแลว้ กําเนิดเป็น นาคไวใ้ นพระสุตตนั ตปิฏก สงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรคนาคสงั ยตุ ต์นาคทงั้ สป่ี ระเภท คอื อญั ฑะชะ ชลาพุชะ สงั เสทชะ และอุปาติกะ ล้วนกําเนิดด้วยอํานาจบุญ ได้แก่ การบรจิ าคทาน และการตงั้ ปรารถนาอยา่ งแรงกลา้ ของอดตี ชาตวิ า่ เมอ่ื ตนตายไปแลว้ ขอใหไ้ ดเ้ กดิ เป็นนาค จมั เปยยชาดก สงั ข ปาลชาดก วธิ ุรชาดก ก็ไดแ้ สดงคตเิ ก่ยี วกบั การกําเนิดของนาคไว้คล้ายกนั ว่า บุคคลท่ปี ารถนาใน กําเนิดนาคเมอ่ื สน้ิ ชวี ติ แลว้ กจ็ ะได้ไปบงั เกดิ เป็นนาค อย่ใู นนาคพภิ พอนั สวยงามพญานาคเป็นชาติ ภพอกี ชนั้ หน่งึ มคี วามละเอยี ดและพเิ ศษกว่าสตั วโ์ ลกหรอื งทู วั่ ไป คอื มสี ภาวะเป็นทพิ ย์ มกี ําเนิดใน ลกั ษณะเดยี วกบั เทวดาเป็นการเกดิ แบบทเ่ี รยี กว่า โอปปาตกิ ะ โดยมบี ุพกรรมเป็นตวั กําหนด ภพภมู ิ ของพญานาค คอื หน่งึ ในภพภมู ขิ องเทวดาซง่ึ มอี ยู่ ๑๖ ชนั้ (ดงั ทป่ี รากฏในบทสวดธมั มจกั กปั ปวตั น สุตร) โดยแบง่ เป็นกามสุคตภิ มู ิ ๗ ชนั้ และพรหมภมู ิ ๑๖ ชนั้ อรปู พรหม ๔ ชนั้ เมอ่ื กล่าวโดยภมู แิ ลว้ ภพภมู ขิ องพญานาคนนั้ อยชู่ นั้ แรกสุดคอื ขนั้ ภุมมานัง ซง่ึ ไม่มคี วาม โลภ แต่ยงั มรี าคะ และโทสะพญานาคจงึ มที งั้ คุณและโทษอยใู่ นตวั ภพภูมิ ชนั้ ภุมมานัง ยงั คงเป็นภพ ภมู ขิ องเทวดาทม่ี ที พิ ยอ์ ํานาจเหนือธรรมดาและอย่ใู กลช้ ดิ ภพภมู ขิ องมนุษยม์ ากทส่ี ุด แหล่งกําเนิด ของพญานาค มที งั้ บนบกและในนัน้ เรยี กตามพระไตรปิฎกว่า ถลชะ เกดิ บนบก และ ชลชะ เกดิ ใน นาคกําเนิดพญานาคในแบบอุบตั ขิ น้ึ เอง ท่เี รยี กว่า แบบโอปปาตกิ ะนัน้ เกดิ ได้ทงั้ บนบกและในน้ํา คอื นอกจากจะอาศยั บุพกรรมเป็นตวั กําหนดแล้วยงั อาศยั สญั ญาเป็นตวั พาใหเ้ กิดดว้ ย พญานาคท่ี เกดิ บนบกและในน้ํา มกี ารดาเนินชวี ติ เหมอื นกนั คอื เป็นไปดว้ ยอํานาจทพิ ยส์ ุดแต่จติ ปรารถนา โดย มเี รอื นกายท่ปี ระกอบด้วยธาตุ ๓ คอื ธาตุน้ํา ธาตุลม และธาตุไฟ สามารถไปไหนมาไหนได้ทุกท่ี และเสวยสมบตั ทิ พิ ยเ์ หมอื นเทวดา ในคมั ภรี ์ปรมตั ถโชตกิ ะ ว่าด้วยเร่อื งวถิ มี ุตตสงั คหะ ภูมจิ ตุกกะและปฏสิ นธจิ ตุกกะ ได้ กล่าวถงึ กาํ เนิดนาคไว้ ๒ อย่างคอื (๑) กําเนิดวสุนธระ (๒) กําเนิดภุมมเทวะ มอี ยู่ ๒ แห่ง คอื อย่ใู ต้ ดินธรรมดาแห่งหน่ึง อยู่ใต้ภูเขาแห่งหน่ึง นาคเทวดาท่อี าศัยอยู่ในสถานท่ี ๒ แห่ง ช่ือว่า ปฐวี เทวดา๕๐ นาคเทวดาเหล่าน้ี บางคราวกม็ กี ารสนุกสนานรน่ื เรงิ ดว้ ยการเล่นต่างๆ และในขณะทน่ี าค เทวดากําลงั เล่นกฬี าสนุกสนานอย่นู นั้ มคี วามกระเทอื นแรงมากจนเกดิ แผ่นดนิ ไหวขน้ึ ได้ แต่ไม่ใช่ เป็นทุกครงั้ ไป เพราะบางทแี ผ่นดนิ ไหวมขี น้ึ ดว้ ยอาํ นาจเหตุอ่นื กม็ ี ๔๙ อรพมิ พ์ บญุ อาภา, คมั ภีรป์ รุ ณะกาเนิ ดพญานาค, (กรุงเทพมหานคร : แสงศลิ ป์การพมิ พ,์ ๒๕๒๔ ), หน้า ๑๒–๑๓. ๕๐ พระสทั ธมั มโชตกิ ะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมตั ถโชติกะ : วิถีมตุ ตสงั คหะ ภมู ิจตกุ กะและปฏิสนธิจตุกกะ, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๘, (กรงุ เทพฯ : มลู นิธสิ ทั ธมั มโชตกิ ะ จดั พมิ พ,์ หจก.ทพิ ยวสิ ทุ ธ,ิ์ ๒๕๕๖), หน้า ๑๐๘.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ นาคเทวดาน้มี วี ชิ าเกย่ี วดว้ ยเวทมนตรค์ าถาต่างๆ ในพรหมชาลสตู รแสดงชอ่ื ของเวทมนตร์ คาถาน้ีว่า “วตั ถวุ ิชชา” บ้าง “ภูตวิชชา” บ้าง “อหิวิชชา”๕๑ นาคเทวดาเหล่าน้ี เม่อื ขณะท่ี ท่องเทย่ี วไปในมนุษยโลก บางทกี ็ไปในสภาพร่างกายเดมิ ของตน บางทกี เ็ นรมติ เป็นคน เป็นสุนัข เสือ หรือราชสีห์เท่ียวไป นาคเทวดาเหล่าน้ี มีอัธยาศัยจิตใจชอบในการลงโทษพวกสัตว์นรก เช่นเดยี วกนั กบั พวกยกั ขเทวดาและภุมมเทวดาทงั้ หลาย ฉะนัน้ ในบางคราวกล็ งไปสู่นิรยโลกเพ่อื ลงโทษพวกสตั วน์ รก และเนรมติ ตวั เป็นแรง้ ยกั ษ์ สขุ นั ยกั ษ์ แลว้ เทย่ี วจบั สตั วน์ รกเหลา่ นนั้ กนิ ๕๒ ความเช่ือเกี่ยวกบั คณุ ลกั ษณะและคณุ สมบตั ิ พญานาค หรอื งใู หญ่มหี งอน ในตํานานของฝรงั่ หรอื ชาวตะวนั ตก ถอื ว่าเป็นตวั แทนของ กเิ ลส ความชวั่ รา้ ย ตรงขา้ มกบั ชาวตะวนั ออก ทถ่ี อื ว่า งใู หญ่ พญานาค มงั กร เป็นสง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ พลงั อํานาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชดิ กบั เทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจา้ แห่งน้ํา เช่น อนันต นาคราช ทเ่ี ป็นบลั ลงั ก์ของพระนารายณ์ตรงกบั ความเช่อื ของลทั ธพิ ราหมณ์ ทเ่ี ช่อื ว่า นาค เป็นเทพ แห่งน้ํา เช่นปีน้ี นาค ใหน้ ้ํา ๑ ตวั แปลว่า น้ําจะมากจะท่วมทท่ี าํ การเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้ น้ํา ๗ ตวั น้ําจะน้อย ตวั เลขนาคใหน้ ้ําจะกลบั กนั กบั เหตุการณ์ เน่ืองจาก ถา้ นาคใหน้ ้ํา ๗ ตวั น้ําจะ น้อยเพราะนาคกลนื น้ําไว้ พญานาค งใู หญ่ มหี งอน สญั ลกั ษณ์แห่งความยงิ่ ใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมวี าสนา และ บนั ไดสายรุง้ สู่จกั รวาล เป็นผมู้ อี ทิ ธฤิ ทธิ ์ จากการจาํ ศลี บําเพญ็ ภาวนา ศรทั ธาในพุทธศาสนา ไม่เบยี ดเบยี นผู้อ่นื เราจะพบเหน็ เป็นรปู ปนั้ หน้าโบสถ์ ตามวดั ต่างๆ บนั ไดขน้ึ ส่วู ดั ในพุทธศาสนา ภาพเรอ่ื งราวทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั ศาสนาพทุ ธอกี มากมาย พญานาค เป็นสตั ว์มหัศจรรย์ ทม่ี คี ุณสมบตั พิ เิ ศษ คอื สามารถแปลงกายได้ พญานาค มี อทิ ธฤิ ทธิ ์ และมชี วี ติ ใกลก้ บั คน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวทแ่ี ปลงเป็นคนมาขอ บวชกบั พระพุทธเจ้า ในหนังสอื ไตรภูมพิ ระร่วง กล่าวถึงนาคท่ชี ่อื ถลชะ ท่แี ปลว่า เกดิ บนบก จะ เนรมติ กายได้เฉพาะบนบก และนาคช่อื ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ํา จะเนรมติ กายได้เฉพาะในน้ํา เทา่ นนั้ พญานาค ถงึ แมจ้ ะเนรมติ กายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ ๕ อย่างน้ี จะตอ้ งปรากฏเป็นงใู หญ่ เช่นเดมิ คอื ขณะเกดิ ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กนั ระหว่างนาคกบั นาค ขณะนอนหลบั โดยไม่มสี ติ และทส่ี าํ คญั ตอนตาย กก็ ลบั เป็นงใู หญ่เหมอื นเดมิ ๕๑ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑-๒๗/๑-๑๐. .... “องฺควชิ ฺชา วตฺถุวชิ ฺชา เขตฺตวชิ ฺชา สวิ วชิ ฺชา ภตู วชิ ฺชา ภรู วิ ชิ ฺชา อหวิ ชิ ฺชา วสิ วชิ ฺชา วจิ ฺ ฉกิ วชิ ฺชา มสู กิ วชิ ฺชา สกุณวชิ ฺชา วายสวชิ ฺชา” แปลว่าวชิ าดอู วยั วะ วชิ าดพู น้ื ท่ี วชิ าการปกครอง วชิ าทาํ เสน่ห์ เวทมนตร์ไล่ผี วชิ าตงั้ ศาลพระภมู ิ วชิ าหมองู วชิ าวา่ ดว้ ยพษิ วชิ าว่าดว้ ยแมงปอ่ ง วชิ าว่าดว้ ยหนู วชิ าว่าดว้ ยเสยี งนก วชิ าวา่ ดว้ ยเสยี งกา วชิ าทายอายุ วชิ า ป้องกนั ลกู ศร วชิ าว่าดว้ ยเสยี งสตั วร์ อ้ ง.... ๕๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๑๐๘-๑๐๙.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พญานาค อาศยั อยใู่ ตด้ นิ หรอื บาดาล คนโบราณเช่อื ว่าเมอ่ื บนสวรรค์มเี ทพอาศยั อยลู่ กึ ลง ไปใต้พน้ื โลก กน็ ่าจะมสี งิ่ มชี วี ติ อาศยั อยู่ ในหนงั สอื ไตรภูมพิ ระร่วง กล่าวว่า ทท่ี ่นี าคอยนู่ ัน้ ลกึ ลงไป ใต้ดนิ ๑ โยชน์ หรอื ๑๖ กโิ ลเมตร มปี ราสาทราชวงั ท่วี จิ ติ รพสิ ดารไม่แพ้สวรรค์ ท่มี อี ยู่ถงึ ๗ ชนั้ เรยี งซอ้ นๆ กนั ชนั้ สงู ๆ กจ็ ะมคี วามสุขเหมอื นสวรรค์ สามารถขน้ึ ลง ตงั้ แต่ใตบ้ าดาลพ้นื โลก จนถงึ สวรรค์ ในทุกตํานานมกั จะกล่าวถงึ นาคทข่ี น้ึ -ลง ระหวา่ งเมอื งบาดาล กบั เมอื งสวรรค์ ทจ่ี ะแปลงกาย เป็นอะไรตามทค่ี ดิ ตามสภาวะเหตุการณ์นนั้ ๆ นาค แบง่ ลาดบั ชนั้ ตามหน้าที่ไว้เป็ น ๔ พวกคือ ๑. นาคสวรรค์ มหี น้าทเ่ี ฝ้าวมิ านเทพ และเทวดา ๒. นาคกลางหาว มหี น้าทใ่ี หล้ มใหฝ้ น ๓. นาคโลกบาล มหี น้าทร่ี กั ษาแมน่ ้ําลาํ คลอง ๔. นาครกั ษาขมุ ทรพั ย์ เม่อื รวมนาคทงั้ ๔ พวกแล้ว จะมพี ญานาคทงั้ ส้นิ ประมาณ ๕๑๒ ชนิด และแบ่งออกเป็น ประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภทคอื ๑) กามรูปีพญานาค พญานาคท่เี สวยกามคุณ ๒) อพามรูปี พญานาค พญานาคทไ่ี มเ่ สวยกามคณุ พญานาคบางพวกมอี ายุสนั้ บางพวกกม็ อี ายุยนื อาจจะมอี ายุยาวนานเป็นกลั ป์กไ็ ด้ อยา่ ง พญานาคตวั หน่งึ ช่อื พญานาคกาละ มอี ายุยนื ยาวมาก ตงั้ แต่พระพุทธเจา้ กุสนั ธะจนถงึ พระสมณโคต มะ และจะมอี ายุไปจนถงึ พระศรอี ารยิ ะเมตไตรย์ ตามปกตพิ ญานาคจะกลวั พญาครุฑ พญานาคท่ี พญาครฑุ ไมส่ ามรถกนิ เป็นอาหารได้ มอี ยู่ ๗ พวกดว้ ยกนั คอื ๑) พญานาค ทม่ี ชี าตกิ ําเนดิ ทล่ี ะเอยี ดกว่า และภพภมู สิ งู สง่ กว่าพญาครฑุ ๒) กมั พลสตั รพญานาคราช ๓) รตรฐั พญานาคราช ๔) พญานาคราชทอ่ี าศยั อย่ใู นมหาสมทุ รสที นั ดรทงั้ เจด็ สมทุ ร ๕) พญานาคราชทอ่ี าศยั อยบู่ นพน้ื ดนิ ๖) พญานาคราชทอ่ี าศยั อยใู่ นภเู ขา ๗) พญานาคราชทอ่ี าศยั อยใู่ นวมิ พญานาคทก่ี ล่าวมาน้ี เป็นพญานาคทม่ี ปี รากฏอยใู่ นชาดกทางพุทธศาสนา
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๘๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ พิษของพญานาค พญานาคเป็นพญางู เมอ่ื นึกถงึ งกู ต็ อ้ งนึกถงึ พษิ ของงู ความน่าเกรงขามของพษิ พญานาค ใน “คมั ภรี ป์ รมตั ถโชตกิ มหาอภธิ มั มตั ถสงั คหฏกี า” ปรเิ ฉททห่ี า้ จดั หม่ขู องนาคไวต้ ามชนิดของพษิ แบง่ เป็น ๔ จาํ พวกคอื ๕๓ ๑) กฏั ฐมุข พญานาคมพี ษิ ชนิดหน่ึง ถ้ากดั ผูใ้ ดแล้วร่างกายจะแขง็ ไปหมดทงั้ ตวั อวยั วะ ต่างๆ แมจ้ ะยอ้ื หรอื หรอื เหยยี ดออกไปไมไ่ ดจ้ ะปวดทรมานมาก ๒) ปูติมุข พญานาคน้ีมพี ษิ ชนิดหน่ึง ถ้ากัดผู้ใดแล้วแผลจะเน่าเป่ือยมีน้ําเหลืองไหล ออกมาตลอดเวลา ๓) อคั คิมุข พญานาคน้ีมพี ษิ ชนิดหน่ึง ถ้ากดั ผู้ใดแล้วจะเกดิ ความรอ้ นไปทงั้ ตวั และรอย แผลทถ่ี กู กดั เป็นรว้ิ รอยคลา้ ยถกู ไปไหม้ ๔) สตั ถมขุ พญานาคน้มี พี ษิ ชนดิ หน่งึ ซง้ึ ผใู้ ดโดนกดั แลว้ กเ็ หมอื นกบั ถูกฟ้าผ่า บรรดาพญานาคทงั้ สป่ี ระเภทน้ี มวี ธิ ที จ่ี ะทาํ อนั ตรายดว้ ยวธิ ที แ่ี ตกต่างกนั ดงั น้ี (๑) ใชเ้ ขย้ี ว พษิ ขบกดั แลว้ พษิ ค่อยแผ่ซ่านไปทงั้ ตวั เรยี กว่า “ทฏั ฐวิสพญานาค” (๒) ใชต้ ามองดูแลว้ พ่นพษิ ออกมาทางตา เรยี กว่า “ทิฏฐวิสพญานาค” (๓) มพี ษิ ไปทวั่ ร่างกาย เพยี งแต่ใชร้ ่างกายกระทบเขา้ กเ็ ป็นพษิ แผอ่ อกมาได้ เรยี กว่า “ผฏุ ฐวิสพญานาค” (๔) ใชล้ มหายใจพ่นเป็นพษิ ออกมาและพษิ นนั้ จะแผซ่ ่านออกไปทวั่ รา่ งกาย เรยี กว่า “วาตวิสพญานาค”๕๔ ความเชื่อเกี่ยวพนั กบั ชีวิต น้า ธรรมชาติ นาคให้น้า พญานาค เป็นสญั ลกั ษณ์แห่งธาตุน้ํา “นาคใหน้ ้ํา” (ชลชพญานาค)๕๕ เป็นเกณฑท์ ช่ี าวบา้ น รแู้ ละเข้าใจดี ท่ใี ช้วดั ในแต่ละปี จํานวนนาคให้น้ํามไี ม่เกิน ๗ ตวั ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มนี ้ํามาก เรยี กว่า “นาคให้น้ํา ๑ ตวั ” แต่หากปีไหนแหง้ แลง้ เรยี กว่าปีนนั้ “มนี าคใหน้ ้ํา ๗ ตวั ” จะวดั กลบั กนั กบั จาํ นวนนาค กค็ อื ทน่ี ้ําหายไป เกดิ ความแหง้ แล้งนนั้ กเ็ พราะ พญานาคเกย่ี งกนั ใหน้ ้ํา แต่ละตวั จงึ กลนื น้ําไวใ้ นทอ้ งไม่ยอมพ่นน้ําลงมา และ ตามความเช่อื ของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ํา คอื วรณุ และ สาคร ทต่ี ่างกเ็ ป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั น้ําบนโลกแลว้ นาคยงั เกย่ี วขอ้ งกบั น้ําใน สวรรคอ์ กี ดว้ ย คนโบราณเช่อื ว่า สายรงุ้ กบั นาค เป็นอนั เดยี วกนั ทเ่ี ช่อื มระหว่างโลกมนุษยก์ บั โลก สวรรคข์ า้ งหน่งึ ของรงุ้ จะดูดน้ําจากพน้ื โลกขน้ึ ไปขา้ งบน เม่อื ถงึ จุดทส่ี ูงสุดกจ็ ะปล่อยน้ําลงมาเป็นฝน ทม่ี ลี าํ ตวั ของนาคเป็นทอ่ สง่ ๕๓ พระสทั ธมั มโชตกิ ะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมตั ถโชติกะ : วิถีมตุ ตสงั คหะ ภมู ิจตกุ กะและปฏิสนธิจตกุ กะ, หน้า ๕๐. ๕๔ เรอ่ื งดว้ ยกนั , หน้า ๕๑. ๕๕ เรอ่ื งดว้ ยกนั , หน้า ๕๑.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ความเกี่ยวกบั พญานาคกบั ตานานการบวชนาคในพระพทุ ธศาสนา ตามตํานานพญานาค มอี ยู่ก่อนสมยั พระพุทธเจา้ แลว้ ดงั เช่นหลงั จากพระสมั มาสมั พุทธ เจา้ ตรสั รธู้ รรมพเิ ศษแลว้ มบี นั ทกึ ไวใ้ นวนิ ยั ปิฎก มหาวรรคว่า ครนั้ ล่วงไป ๗ วนั พระผู้มพี ระภาคทรงออกจากสมาธนิ ัน้ แล้วเสด็จจากควงต้นอชปาล นิโครธไปยงั ควงตน้ มุจลนิ ท์ ครนั้ ถงึ แลว้ จงึ ประทบั นงั่ โดยบลั ลงั ก์เดยี วเสวยวมิ ุตตสิ ุขอยู่ ณ ควงต้น มจุ ลนิ ทเ์ ป็นเวลา ๗ วนั ครงั้ นนั้ ไดบ้ งั เกดิ เมฆใหญ่ขน้ึ ในสมยั มใิ ช่ฤดกู าล เป็นฝนเจอื ลมหนาวตกพราํ ตลอด ๗ วนั ลาํ ดบั นนั้ พญานาคมจุ ลนิ ทไ์ ดอ้ อกจากทอ่ี ยขู่ องตนไปโอบรอบพระกายของพระผมู้ พี ระ ภาคด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พงั พานใหญ่ปกคลุมเหนือพระเศยี รด้วยหวงั ว่า “ความหนาว อย่าได้ เบยี ดเบยี นพระผมู้ พี ระภาค ความรอ้ น อย่าไดเ้ บยี ดเบยี นพระผมู้ พี ระภาค สมั ผสั จากเหลอื บ ยุง ลม แดด สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานอยา่ ไดเ้ บยี ดเบยี นพระผมู้ พี ระภาค” ครนั้ ๗ วนั ผา่ นไป พญานาคมจุ ลนิ ทร์ วู้ ่า ฝนหายปลอดเมฆแลว้ จงึ คลายขนดออกจากพระ กายของพระผู้มพี ระภาค จําแลงร่างของตนเป็นมาณพ ยนื ประนมมอื ถวายอภิวาทอยู่เบ้อื งพระ พกั ตรล์ าํ ดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบเน้อื ความนนั้ แลว้ จงึ ทรงเปล่งอุทานน้ใี นเวลานนั้ วา่ “ความสงดั เป็นสขุ ของบุคคลผสู้ นั โดษ ผมู้ ธี รรมปรากฏแลว้ ผเู้ หน็ อยู่ ความไมเ่ บยี ดเบยี นคอื ความสารวมในสตั วท์ งั้ หลาย เป็นสุขในโลก ความปราศจากราคะคอื ความลว่ งกามทงั้ หลายได้ เป็นสขุ ในโลก ความกาจดั อสั มมิ านะ (ความถอื ตวั ว่าเป็นนนั ่ เป็นน)ี่ เสยี ไดเ้ ป็นสขุ อยา่ งยงิ่ ”๕๖ ความเชอ่ื ดงั กล่าวทาํ ใหช้ าวพุทธสรา้ งพระพุทธรปู ปางนาคปรก แต่มกั จะสรา้ งแบบพระนงั่ บนตวั พญานาค ซง่ึ ดูเหมอื นว่าเอาพญานาคเป็นบลั ลงั ก์ เพ่อื ให้เกดิ ความสง่างาม และทําใหค้ ดิ ว่า พญานาค คอื ผคู้ ุม้ ครองพระศาสดา ความเช่ือของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเช่ือมภาวะปกติ กับท่ีสถิตของเทพ ทางเดนิ สู่วษิ ณุโลก เช่น ปราสาทนครวดั จงึ ทําเป็น พญานาคราช ทท่ี อดยาวรบั มนุษยต์ วั เลก็ ๆ สู่ โลกแห่งความศกั ดิส์ ทิ ธิ ์ หรอื ก็บงั้ ไฟของชาวอีสานท่ที ํากันในงานประเพณีเดอื นหก ก็ยงั ทําเป็น ลวดลาย และเป็นรปู พญานาค พญานาคนนั้ จะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าใหป้ ลอ่ ยฝนลงมา ในสมยั พระพุทธเจ้า มพี ญานาคตนหน่ึงนัง่ ฟงั ธรรมเทศนาของพระพุทธเจา้ แล้วได้เกิด ศรทั ธา จงึ ไดแ้ ปลงกายเป็นมนุษยข์ อบวชเป็นพระภกิ ษุ แต่อย่มู าวนั หน่ึงเขา้ นอนในตอนกลางวนั หลงั จากหลบั แลว้ มนตไ์ ดเ้ สอ่ื มกลายเป็นงใู หญ่ จนพระภกิ ษุรปู อ่นื ไปเหน็ เขา้ ต่อมาพระพุทธเจา้ ทรง ทราบจงึ ใหพ้ ระภกิ ษุนาคนนั้ สกึ ออกไป เพราะเป็นสตั ว์เดรจั ฉาน นาคตนนนั้ ผดิ หวงั มาก จงึ ขอถวาย คาํ ว่านาค ไวใ้ ชเ้ รยี กผทู้ เ่ี ขา้ มาขอบวชในพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื เป็นอนุสรณ์ในความศรทั ธาของตน ๕๖ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕/๘-๙.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเกี่ยวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ต่อจากนัน้ มาพระพุทธเจา้ จงึ ทรงบญั ญตั ไิ ม่ใหส้ ตั ว์เดรจั ฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรอื สัตว์อ่ืนๆ บวชอีกเป็นอันขาด และก่อนท่ีอุปชั ฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อนั ตรายกิ ธรรม หรอื ขอ้ ขดั ขอ้ งทจ่ี ะทาํ ใหผ้ ู้นนั้ บวชเป็นพระภกิ ษุไม่ได้ รวม ๘ ขอ้ เสยี ก่อน ในจาํ นวน ๘ ขอ้ นนั้ มขี อ้ หน่งึ ถามว่า “ทา่ นเป็นมนุษยห์ รอื เปล่า”๕๗ (มนุสฺโส ส)ิ ความเช่ือในดินแดนต่างๆ ของไทย ในประเทศไทย ดนิ แดนท่มี คี วามเช่อื เร่อื งของนาคมกั จะเป็นภาคท่ตี ิดกบั แม่น้ําโขง คอื ภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ประตมิ ากรรมเศยี รพญานาคพน่ น้ํา ทร่ี มิ ทะเลสาบสงขลา จงั หวดั สงขลา ภาคเหนือ : มตี ํานานเก่ยี วกบั พญานาคอย่เู ช่นกนั ดงั ในตํานานสงิ หนวตั ซิ ง่ึ เป็นตํานาน เก่าแก่ของทางภาคเหนือเอง “เม่อื เจา้ เมอื งสงิ หนวตั อิ พยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกาย มาชว่ ยชท้ี ต่ี งั้ เมอื งใหม่ และขอใหอ้ ยใู่ นทศพธิ ราชธรรม พอตกกลางคนื กข็ น้ึ มาสรา้ งคูเมอื งเป็นเมอื ง นาคพนั ธสุ์ งิ หนวตั ิ ต่อมายกทพั ปราบเมอื งอ่นื ไดแ้ ละรวมดนิ แดนเขา้ ดว้ ยกนั จงึ เปลย่ี นช่อื เป็น แควน้ โยนกนคร ตน้ วงศข์ องพญามงั รายผกู้ ่อกาํ เนิดอาณาจกั รลา้ นนานนั่ เอง” ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ : นาคลว้ นมสี ่วนรว่ มในตํานานอย่างชดั เจน เช่น ผคู้ นทอ่ี าศยั อยบู่ รเิ วณลุ่มแม่น้ําโขงเช่อื ว่า แม่น้ําโขงเกดิ จากการแถตวั ของพญานาค นอกจากน้ียงั รวมถงึ บงั้ ไฟ พญานาค โดยมตี ํานานว่าในวนั ออกพรรษาหรอื เป็นวนั ท่พี ระพุทธเจา้ เสดจ็ จากสวรรค์ชนั้ ดาวดงึ ส์ พญานาคแห่งแม่น้ําโขงต่างช่นื ชมยนิ ดี จงึ เฮด็ (จุด) บงั้ ไฟถวายการเสดจ็ กลบั ของพระพุทธเจา้ จน กลายเป็นประเพณที ุกปี และเน่ืองจากเช่อื ว่าพญานาคเป็นเจา้ บาดาล เป็นผใู้ หก้ ําเนิดน้ํา ดงั นนั้ เม่อื ชาวนาจะทาํ พธิ แี รกไถนา จงึ ต้องดูวนั เดอื น ปี และทศิ ทจ่ี ะบ่ายหน้าควายเพ่อื ไมใ้ หค้ วายลากไถไป ในทศิ ทท่ี วนเกลด็ นาค ไม่อย่างนัน้ การทํานาจะเกดิ อุปสรรคต่างขน้ึ ลูกไฟแดงอมชมพู ทพ่ี ุ่งขน้ึ จาก แมน่ ้ําโขง สทู่ อ้ งฟ้าในวนั ออกพรรษา ทบ่ี รเิ วณเขต อําเภอโพนพสิ ยั เหน็ จนชนิ และเรยี กสง่ิ น้ีว่า “บงั้ ไฟพญานาค” เพราะลูกไฟท่วี ่าน้ีจะเป็นลูกไฟ สแี ดงอมชมพู ไม่มเี สยี งไม่มคี วนั ไม่มเี ปลว ขน้ึ ตรง ไม่โคง้ และตกลงมาเหมอื นลูกไฟทวั่ ไป จะดบั กลางอากาศ สงั เกตไดง้ ่ายจากลกู ไฟทวั่ ไป จะเกดิ ขน้ึ ในเขตตงั้ แต่ บรเิ วณค่าย ตชด. (อ่างปลาบกึ ), วดั หนิ หมากเป้ง อําเมอื งศรเี ชยี งใหม่, ท่าน้ําวดั หลวง ๕๗ ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๒๓/๓๔๖.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตําบลวดั หลวง เร่อื ยลงไปจนถงึ เขตบา้ นน้ําเป กง่ิ อําเภอ รตั นวาปี แต่ก่อนจะเหน็ เกดิ ขน้ึ เฉพาะท่า น้ําวดั หลวง, วดั จมุ พล, วดั ไทย และท่าน้ําวดั จอมนาง อําเภอ โพนพสิ ยั แต่ทุกวนั น้ีจะเหน็ เกดิ ทบ่ี า้ น น้ําเป, บา้ นทา่ มว่ ง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อาํ เภอบงึ กาฬ สงั เกตว่า ลูกไฟน้ีหากขน้ึ กลาง โขงจะเบนเขา้ หาฝงั่ หากขน้ึ ใกลฝ้ งั่ จะเบนออกกลางโขง ลกู ไฟน้ีจะขน้ึ เฉพาะวนั ออกพรรษาเท่านัน้ แต่ถา้ หากวนั พระไทยไม่ตรงกบั วนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ ของลาว ลูกไฟน้ีกจ็ ะไม่ขน้ึ ปีไหน (วนั ออกพรรษา) ตรงกนั ทงั้ ไทย และ ลาว ลกู ไฟน้จี ะขน้ึ มาก เช่อื กนั วา่ ท่ี เขต อ.โพนพสิ ยั มเี มอื งบาดาล อย่ใู ตพ้ น้ื ดิน และเป็นทางออกสเู่ มอื งมนุษย์ เรยี กว่า เป็นเมอื งหน้าด่านจงึ มบี งั้ ไฟพญานาค เกดิ ขน้ึ เป็นประจาํ ทน่ี ้ี ส่วนเมอื งหลวงนนั้ อย่ทู ่ี แก่งอาฮง อําเภอบงึ กาฬ ท่วี ่าอย่างนนั้ เพราะท่แี ก่งอาฮง เมอ่ื หน้าแลง้ จะมี สะดอื แม่น้ําโขง ตลอดความยาวของแม่น้ําโขง ท่ไี หลผ่านหลายประเทศ ตรงท่ีลกึ ท่สี ุดก็อยู่ท่แี ก่ง อาฮง นวล “บงั้ ไฟพญานาค” น้ีเกดิ ขน้ึ เฉพาะในเขต จงั หวดั หนองคายเท่านนั้ ตามแนวแม่น้ําโขง (ตํานานพระพทุ ธศาสนา กล่าวว่า เมอ่ื พระพุทธเจา้ เสดจ็ ขน้ึ ไปโปรดพระมารดา บนดาวดงึ ส์ ครบ ๓ เดอื น เม่อื เสดจ็ กลบั โลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมติ บนั ไดแก้ว เงนิ ทอง เสดจ็ ลงมา มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบงั้ ไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาค ดงั นัน้ ต่อมาเหล่า พญานาคจงึ ไดถ้ อื เอาวนั ออกพรรษาเป็นวนั สาํ คญั ) จดุ ทเ่ี กดิ บงั้ ไฟพญานาค ในเขตอาํ เภอสงั คม บรเิ วณหน้าทว่ี ่าการอําเภอสงั คม อ่างปลาบกึ บา้ นผาตงั้ อําเภอสงั คม ในเขตอาํ เภอศรเี ชยี งใหม่ วดั หนิ หมากเป้ง ตําบลพระพุทธบาท ในเขตอําเภอเมอื ง บ้านหนิ โงม ตําบลหนิ โงม อําเภอเมอื ง, หน้าสถานีตํารวจภูธรตําบล บา้ นเดอ่ื ตําลบบา้ นเดอ่ื อาํ เภอเมอื งหนองคาย ในเขตอําเภอโพนพสิ ยั ปากหว้ ยหลวง ตําบลหว้ ยหลวง อําเภอโพนพสิ ยั ในเขตเทศบาล ตาํ บลจมุ พล หน้าวดั ไทย วดั จมุ พล วดั จอมนาง ตาํ บลจมุ พล อําเภอโพนพสิ ยั หนองสรวง อําเภอโพนพสิ ยั , เวนิ พระสุก ท่าทรายรวมโชค ตําบลกุดบง อําเภอโพนพสิ ยั , บา้ นหนองกุง้ ตําบลกุดบง อําเภอโพนพสิ ยั ในเขตกงิ่ อําเภอรตั นวาปี ปากหว้ ยเป บ้านน้ําเป ตําบลน้ําเป กงิ่ อําเภอรตั นวาปีบา้ นท่า มว่ ง ,วดั เปงจาเหนอื กง่ิ อําเภอรตั นวาปี ในเขตอาํ เภอปากคาด บา้ นปากคาดมวลชล หว้ ยคาด อําเภอปากคาด ในเขตอําเภอบงึ กาฬ วดั อาฮง ตาํ บลหอคาํ อําเภอบงึ กาฬ ท่อี ่นื ๆ นอกจาก ๑๔ แห่งน้ีท่อี ่นื ก็อาจจะมขี น้ึ บ้าง นอกจากในลําน้ําน้ําโขงแล้วตามหว้ ย หนองคลองบงึ สระน้ํา กลางทุ่งนาท่มี นี ้ําขงั แมแ้ ต่บ่อบาดาลทช่ี าวบา้ นขุดเพ่อื เอาน้ํามาใช้ ในเขต จงั หวดั หนองคาย กม็ บี งั้ ไฟพญานาคขน้ึ เป็นทน่ี ่าอศั จรรย์
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๘๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พญานาคกบั ตํานานปรมั ปราของไทยว่าพญานาคมจี รงิ หรอื ไม่? เมอื งพญานาค หรอื เมอื ง บาดาล ในเม่อื มเี มอื งมนุษย์ หรอื โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรอื เมอื งสวรรค์ ก็ต้องมเี มอื งบาดาล (เมอื งพญานาค) สองเมอื งนอกจากเมอื งมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเห็นแน่ วสิ ยั ของ มนุษยช์ อบในสง่ิ ทท่ี า้ ทาย ยงิ่ หา้ มกย็ ง่ิ อยากพบ อยากเหน็ เมอื งบาดาลอย่ใู ต้เมอื งมนุษยล์ งไปในใต้ ดนิ 16 กโิ ลเมตร (ตามความเช่อื ) มคี ําเล่าลอื เก่ยี วกบั เมอื งบาดาลในเขต อําเภอโพนพสิ ยั จงั หวดั หนองคาย ใต้เมืองโพนพิสยั : ลกั ษณะของอําเภอโพนพสิ ยั จงั หวดั หนองคาย ท่ตี งั้ อย่รู มิ ฝงั่ แม่น้ํา โขง ดา้ นหวั เมอื งจะมลี าํ หว้ ยหลวงไหลออกมา เรยี กว่า ปากหว้ ยหลวง ตรงขา้ มกบั อําเภอโพนพสิ ยั คอื บ้านโดน ท่ขี น้ึ กบั เมอื งปากงมึ ทุกวนั น้ีมเี ร่อื งเล่าขานเก่ยี วกบั เมอื งบาดาลทเ่ี ช่ือว่าอย่ใู ต้อําเภอ โพนพสิ ยั ว่า ในหน้าแลง้ จะมหี าดทรายขน้ึ กลางแม่น้ําโขง แต่บรเิ วณอําเภอโพนพสิ ยั หาดทรายน้ีจะ ขน้ึ อย่ฝู งั่ ลาว บรเิ วณบา้ นโดน วนั หน่ึงในหน้าแล้งตอนเทย่ี งวนั ไดม้ หี ญงิ สาวชาวบา้ นโดนคนหน่ึง ได้ลงมาตกั เพ่อื ไปด่มื โดยมกี ระป๋ องน้ํา (หาบครุ) ลงมาทห่ี าดทราย เพราะบรเิ วณนัน้ มนี ้ําออกบ่อ (น้ํารนิ ) เมอ่ื ลงมาแลว้ ไดห้ ายไป ชาวบา้ นลงมาเหน็ แต่กระป๋ องน้ํา (หาบคร)ุ พ่อ แม่ ต่างกต็ ามหากนั แต่ไมพ่ บ จนครบ ๗ วนั เมอ่ื ไมเ่ หน็ ลกู สาว และคดิ วา่ ลกู สาวคงจมน้ําตายแลว้ จงึ ไดพ้ รอ้ มกบั ญาตพิ ่ี น้อง ชาวบา้ นจดั ทาํ บุญอุทศิ ให้ ในตอนกลางคนื กม็ หี มอลาํ สมโภชจนเวลาต่อมาเวลาประมาณเทย่ี ง คนื ลกู สาวคนทเ่ี ขา้ ใจว่าจมน้ําตาย กป็ รากฏตวั ขน้ึ ทบ่ี า้ น ขณะทช่ี าวบา้ นกําลงั ฟงั หมอลํากนั อยู่ ทํา ใหญ้ าตพิ น่ี ้องแตกต่นื กนั เป็นอย่างมาก บางคนกว็ ง่ิ หนีเพราะคดิ ว่าเจอผหี ลอกเขา้ สุดทา้ ยลกู สาวจงึ ไดเ้ ล่าเรอ่ื งราวทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหฟ้ งั หลงั จากทต่ี งั้ สตไิ ด้ และแลว้ ญาตพิ น่ี ้องกเ็ ขา่ มาร่วมวงนัง่ ฟงั หญงิ สาว เล่าใหท้ ุกคนฟงั ว่า “วนั นัน้ อากาศรอ้ นมาก น้ําด่มื หมดโอ่ง เมอ่ื ลงไปเพ่อื จะตกั น้ํา เม่อื วางกระป๋ อง น้ํา (หาบคร)ุ ปรากฏว่าเหน็ มหี มู เหมอื นกบั ว่าไดย้ กเทา้ หน้าเรยี กใหเ้ ขา้ ไปหา ตนได้เดนิ เขา้ ไปหา แลว้ หมตู วั นนั้ กบ็ อกว่าใหห้ ลบั ตา จะพาลงไปเมอื งบาดาล พอหลบั ตาไดส้ กั ครู่ หมตู วั นนั้ กบ็ อกใหล้ มื ตา เม่อื ลืมตาข้นึ ปรากฏว่าตนมาอยู่อีกเมืองหน่ึง ซ่ึงมลี กั ษณะเหมอื นกับเมอื งมนุษย์ มดี ิน มี บ้านเรอื นเรยี งรายกนั อยู่ แต่จะมแี ปลกก็ตรงท่ี ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมผี ้าพนั ศรี ษะเป็นสแี ดง เหมอื นกนั โดยดา้ นหน้าจะปล่อยใหผ้ า้ แดงหอ้ ยลงเหมอื นกบั หวั งู เมอ่ื เดนิ ตามชายคนนนั้ (กลบั รา่ ง หมู กลายเป็นคน) ก็มชี าวบ้านถามกนั ว่า นํามนุษยล์ งมาทําไม (เพราะกลน่ิ มนุษยต์ ่างกบั เมอื ง บาดาล) ชายคนนัน้ ก็บอกว่าพามาเท่ยี วดูเมอื ง ไดเ้ ดนิ ไปเร่อื ยๆ เม่อื แหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลบั ปรากฏว่าเป็นสนี ้ําตาลอ่อนๆ เหมอื นสขี ุ่นๆ ของน้ํา ชายคนนัน้ ได้บอกว่า น่ีเป็นเมอื งบาดาล และ เป็นเมอื งหน้าด่าน ส่วนตวั เมอื งหลวงนัน้ ยงั อย่อู กี ไกล และชาวเมอื งจะมงี านสมโภชเม่อื ถงึ วนั ออก พรรษาของเมอื งมนุษย์ ซง่ึ ถอื ว่าตลอด ๓ เดอื น ทเ่ี ขา้ พรรษานัน้ เหล่าชาวเมอื งทน่ี ่ีกจ็ ะจาํ ศลี ปฏบิ ตั ิ ธรรมเพ่อื เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลงั จากท่เี ดนิ ชมเมอื งอยู่ไม่นาน ชายคนนัน้ ก็ได้นําข้นึ มาส่ง โดยการเดนิ มาทางเดมิ กเ็ ป็นการเดนิ มาเรอ่ื ยๆ แต่ไดข้ น้ึ มายนื อย่บู รเิ วณหาดทรายเหมือนเดมิ แลว้ กไ็ ดข้ น้ึ มาหาพ่อ แม่ น้”ี
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๘๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พญานาคกบั สญั ลกั ษณ์ของวิชาแพทย์ : พญานาค หมายถงึ วชิ าแพทย์ ทพ่ี ระวศิ วา มติ รเ์ ลา่ ไวใ้ นบ่อเกดิ รามเกยี รตวิ ์ ่า เทวดาและอสูรตอ้ งการเป็นอมตะ จงึ ทาํ พธิ กี วนเกษยี รสมทุ ร โดย ใชเ้ ขามนทรครี เี ป็นไมก้ วน นําพญาวาสุกรี (พญานาค) เป็นเชอื ก เป็นผลใหเ้ กดิ ประถมแพทย์ “ธนั วนั ตะรี” ซง่ึ ผชู้ าํ นาญในอายรุ เวท พญานาคกบั พระร่วง : กษตั รยิ เ์ มอื งชมพูนนั้ มมี เหสตี งั้ ครรภแ์ ต่มเหสนี นั้ กลวั ความแตก ว่าตนเป็นธดิ าพญานาคแปลงกายมานางนนั้ จงึ นําไข่ไปทง้ิ แลว้ บอกกษตั รยิ เ์ มอื งชมพูว่าลูกนนั้ ตาย แลว้ มผี คู้ ุมเชลยให้ตกั น้ําทะเลไปใหข้ อมนัน้ เกบ็ ไข่ไดแ้ ละนําไปใหแ้ ม่ไก่ฟกั และเมอ่ื ฟกั กร็ บั มาเลย้ี ง เป็นลกู บุญธรรมแลว้ ตงั้ ช่อื ว่านายร่วง นายรว่ งมพี ลงั วเิ ศษเมอ่ื กนิ ปลากท็ ําใหป้ ลามชี วี ติ ไดแ้ ละเม่อื มี ผอู้ จิ ฉาจงึ ใส่รา้ ย กษตั รยิ ข์ อมจงึ สงั่ ให้ตามจบั นายรว่ งจงึ หนีไปอยทู่ ่กี รุงสุโขทยั แลว้ ไดบ้ วชเป็นพระ เมอ่ื กษตั รยิ ข์ อมรกู้ ส็ งั่ ใหท้ หารไปตามล่าและเมอ่ื ทหารขอมเหน็ ทหารสุโขทยั เยอะจงึ ดําดนิ เขา้ ไปและ ไปเจอพระร่วงก็กลายเป็นหนิ และเม่อื กษตั รยิ ส์ ุโขทยั สวรรคตและไม่มที ายาทมาปกครองเมอื งต่อ ชาวบา้ นจงึ ใหพ้ ระรว่ งมาปกครองเมอื งสุโขทยั หน้าท่ีแห่งองคพ์ ญานาค พญากาฬนาค ผู้รกั ษาถาดทองคําท่ีพระพุทธเจ้าทัง้ ๔ พระองค์ในกัปน้ีได้ทรงลอย อธษิ ฐาน และกล่าวว่าจะยงั คงอย่ไู ปถงึ อนาคตสมยั พระศรอี รยิ เมตตรยั ทรงลอยถาดทองคาํ แสดงว่า พญานาคท่านน้ีมอี ายุยนื ยาวท่านหน่ึง พญามจุ ลนิ ทร์ ทแ่ี ผ่พงั พานปกป้องพระพุทธเจา้ จากลมและ ฝน เมอ่ื ครงั้ ทรงนงั่ เสวยวมิ ตุ ตอิ ยู่ ๗ วนั ตน้ แบบพระปางนาคปรก ในสมยั พุทธกาล เหล่าพญานาคไดท้ ูลขอต่อองค์สมเดจ็ สมั มาสมั พุทธเจา้ เพ่อื ร่วมรกั ษา พระพุทธศาสนาให้ยืนยาวครบถ้วน ๕๐๐๐ ปี กล่าวคือพญานาคมีความเก่ียวเน่ืองกับ พระพุทธศาสนามายาวนานหลายยุคหลายสมัย ท่ีเป็นสัมมาทิฐิก็มาก แต่ท่ีเป็นมิจฉาทิฐิก็มี เหมอื นกบั มนุษยท์ ม่ี ที งั้ คนดี และคนไมด่ ปี ะปนกนั เพยี งแต่สว่ นใหญ่จะเป็นสมั มาทฐิ ิ เรอ่ื งราวของพญานาคจะมปี รากฏหลากหลายในตาํ นานทอ้ งถน่ิ ทวั่ ไปซง่ึ พอสรปุ ครา่ วๆ คอื -การเพาะปลกู : พญานาค เป็นสญั ลกั ษณ์แหง่ น้ํา และความอุดมสมบรู ณ์ของแผ่นดนิ -การกําเนิดแม่น้ําสายสําคญั ต่างๆ เช่น ตํานานการเกดิ แม่น้ําโขง การล่มสลายของเมอื ง โบราณต่างๆ -การก่อกําเนิดเมือง เช่น ตํานานกําเนิดประเทศกัมพูชา ท่ีพญานาคกลืนน้ําซ่ึงท่วม ดนิ แดนนนั้ อยจู่ นแผน่ ดนิ แหง้ กลายเป็นประเทศขน้ึ มา -กองทหารแห่งพระพุทธศาสนา หน้าท่ปี กป้องพระพุทธศาสนาในดา้ นต่างๆ เช่น ปกป้อง พระอรยิ สงฆ์ ปกป้องสถานทส่ี ําคญั ทางศาสนา กล่าวคอื พญานาค เป็นผูม้ พี ลงั เก่ยี วเน่ืองชดั เจน เก่ยี วกบั ความเป็นไปของแผ่นดนิ และผนื น้ํา หากมกี ารเปลย่ี นแปลงทส่ี ําคญั ดา้ นแผ่นดนิ และผนื น้ํา มนั าคาธบิ ดแี หง่ ไตรยุค ผอู้ ยเู่ หนอื ภยั ธรรมชาตกิ ล่าวว่ากลุ่มนาคราช หมายถงึ ไม่ใช่มเี พยี งนาคราช
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถิ่น” หน้า ๓๙๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ท่านเดยี ว แต่เป็นการรวมตวั ของ นาคราชสามพ่นี ้องผู้รบั หน้าท่หี ลกั ดูแลยุคทงั้ สาม ในการดูแล ปกป้องพระพุทธศาสนามาตงั้ แต่ สมยั พระพุทธเจา้ พระองคแ์ รก (สมเดจ็ องคป์ ฐม) เรอ่ื ยมาจนถงึ ยคุ พระพุทธเจา้ องคป์ จั จบุ นั และ รวมถงึ นาคราชผรู้ บั หน้าทจ่ี ะดูแลในอนาคตกาล สมยั ทพ่ี ระอรยิ เมตต รยั มาตรสั รธู้ รรม เรยี กรวมว่า ไตรยคุ คอื อดตี ปจั จบุ นั อนาคต รวมเป็นหน่ึง มาช่วยกนั ดาํ เนินงาน ... แต่ละท่านมจี าํ นวนเศยี ร ขนาด สแี ตกต่างกนั แต่ศกั ดศิ ์ รเี ท่าเทยี มกนั เมอ่ื รวมจาํ นวนบรวิ ารของ แต่ละทา่ นกม็ ากมายประดจุ กองทพั ... บง่ บอกวา่ งานครงั้ น้เี ป็นงานทส่ี าํ คญั ครงั้ หน่ึงในประวตั ศิ าสตร์ ท่สี มควร จารกึ ไว้ ในการกําหนดสัญลกั ษณ์ แทนนาคาธบิ ดีแห่งไตรยุค เน่ืองจากแต่ละท่านมี ลกั ษณะแตกต่างกนั เพ่อื ความสะดวก ทกุ ท่านตกลงใหใ้ ชเ้ ป็นรปู นาคราชสามเศยี ร เรยี กนามรวมว่า สตี กิ ะนาคราช ( สตี กิ ะนาคาธบิ ดี ) และใหม้ รี ปู ของพระพุทธเจา้ หรอื เคร่อื งหมายของพระรตั นตรยั ควบคู่กนั ไปเสมอ ดว้ ยพวกท่านมหี น้าทผ่ี ู้ดูแลปกป้องพระพุทธศาสนาในสามยุค มใิ ช่มาสรา้ งลทั ธิ ใดๆ ตามทไ่ี ดก้ ล่าวไวแ้ ลว้ ขา้ งตน้ พญานาค เป็นผมู้ พี ลงั พเิ ศษเกย่ี วกบั ความเป็นไปของแผ่นดนิ และ ผนื น้ํา งานในส่วนการเปลย่ี นแปลงครงั้ สําคญั ด้านแผ่นดนิ และผนื น้ําของโลกครงั้ น้ี ทงั้ สามภพจงึ มี มติให้เป็นหน้าท่ีของสีติกะนาคาธิบดีแห่งไตรยุคเป็นกองหน้าใน การดําเนินงานก็จะมีความ เกย่ี วเน่อื งกบั พญานาคเสมอ ประเพณีฮีตสิบสอง คองสิบส่ี (ฮีตคอง) คําว่า “ฮีต” หรอื “รีต” หรอื “จารีตประเพณี” หมายความว่า “ประเพณี อนั เน่ืองด้วย ศีลธรรมซ่งึ คนส่วนรวมถือว่ามีค่าแก่สงั คม ใครประพฤติฝ่าฝืนหรอื งดเว้น ไปไม่กระทํา ตามท่ี กําหนดไว้ ถือว่าผดิ เป็นชวั่ ” ฮตี สบิ สองของชาวอสี านเป็นฮีตทบ่ี รสิ ุทธิ ์ เป็นเร่อื งของความเช่อื ใน พระพุทธศาสนาและประเพณีนิยมพน้ื บา้ น เป็นประเพณีท่สี มาชกิ ในสงั คมจะได้มโี อกาสรว่ มชุมชน กนั ทําบุญประจาํ ทุกๆ เดอื นของรอบปี ผลทไ่ี ด้รบั คอื ทุกคนจะได้มเี วลาเขา้ วดั ใกล้ชดิ กบั หลกั ธรรม ทางพระพุทธศาสนายง่ิ ขน้ึ ทาํ ใหไ้ ดม้ โี อกาสพบปะและรจู้ กั มกั คุน้ กนั รวมทงั้ เป็นจารตี บงั คบั ใหท้ ุกๆ คนเสยี สละทาํ งานรว่ มกนั เมอ่ื วา่ งจากงานอาชาํ แลว้ ดงั นนั้ ประเพณีฮตี สบิ สอง กค็ อื ประเพณีสบิ สอง เดอื นนนั ่ เอง๕๘ ฮีตสิบสอง คลองสิบส่ี ประเพณีของดีอีสาน ภาคอสี าน เป็นภาคทม่ี ขี นบธรรมเนยี มประเพณวี ฒั นธรรม คตคิ วามเชอ่ื วถิ ปี ฏบิ ตั ทิ ่ี หลากหลายแต่ละฤดู เดอื น จะมพี ธิ ปี ฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามความเชอ่ื หลากหลาย ชาวอสี านจะรจู้ กั ดี คอื ฮตี สบิ สองคลองสบิ ส่ี ๕๘ มณุ ี พนั ทว,ี หมอลาหม่หู นังสือท่ีระลึกงานส่งเสริมศิลปะและวฒั นธรรมไทย ครงั้ ที่ ๑๗, (มหาสารคาม : อภชิ าต การพมิ พ,์ ๒๕๓๗), หน้า ๖๓.
บทท่ี ๗ “ภมู ิปัญญาเก่ียวกบั วฒั นธรรมท้องถ่ิน” หน้า ๓๙๑ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ฮตี สบิ สอง คอื ประเพณี ๑๒ เดอื นของชาวอสี านทต่ี ่างจากประเพณี ๑๒ เดอื นของภาคอ่นื หลายประเพณี คลองสบิ ส่ี คอื แนววถิ ที ค่ี วรทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ิ ๑๔ ประการเปรยี บไดว้ ่าเป็นกฎหมายทต่ี อ้ ง ทาํ ตามอยา่ งเขม้ งวดซง่ึ มที งั้ พธิ ขี องเจา้ ฟ้ามหากษตั รยิ ์ พระภกิ ษุสงฆแ์ ละประชาชนทวั่ ไป ฮตี สบิ สอง คลองสบิ ส่ี เป็นภมู ปิ ญั ญา มรดกอนั ล้าํ ค่าของปราชญ์อสี านทท่ี ุกคนควรศกึ ษา และทําความเขา้ ใจในพน้ื ฐานความเช่อื คตเิ ดมิ ชาวอสี านมากขน้ึ เป็นส่วนท่ที ําให้ชาวอสี านมคี วาม สงบสุขร่มเยน็ มาโดยตลอดเพราะมกี ารยดึ มนั่ ท่เี ปรยี บเหมอื นธรรมนูญชวี ติ ชาวอสี านตราบเท่าจน ปจั จุบนั (บางส่วน) แต่ก็มหี ลายแห่งทท่ี ง้ิ ฮตี เก่าคลองเดมิ นําวฒั นธรรมต่างชาตมิ าโดยไมพ่ จิ ารณา ทําให้สังคมส่วนนัน้ มีความวุ่นวาย เกิดปญั หาหลายๆอย่างข้นึ โดยฮีตสิบสองคลองสิบส่ีน้ี จะ ประกอบไปดว้ ย ฮีต ๑๒ ฮีต และคลอง ๔ ประเภท มี ๑๔ คลอง ไดแ้ ก่ ฮตี บญุ เขา้ กรรม (บุญเดอื น อ้าย) ฮตี บุญคณู ลาน เดอื นย่ี ฮตี บุญขา้ วจ่ี (เดอื นสาม) อตี บุญเผวสหรอื บุญมหาชาติ (เดอื นส่)ี ฮตี บุญสงกรานต์ (บุญเดอื นหา้ ) ฮตี บุญบงั้ ไฟ (บุญเดอื นหก) ฮตี บุญซําฮะ(บุญเดอื นเจด็ ) ฮตี บุญ เขา้ พรรษา ฮตี บุญขา้ วประดบั ดนิ ฮตี บุญขา้ วสาก ฮตี บุญออกพรรษา ฮตี บุญกฐนิ ฮตี สบิ สอง เป็นประเพณกี ารทําบุญทม่ี ปี ระจาํ เดอื นชาวอสี าน ประสมประสานระหว่างแนวคดิ ของพระพุทธเจา้ พราหมณ์และผี ก่อนทศ่ี าสนาพุทธเขา้ ส่ไู ทย โดยเฉพาะดนิ แดนอสี านนนั้ ประเพณตี ามฮตี คลองเดอื น ต่างๆ มมี านาน สมยั ก่อนจะเน้นพธิ ีทางของผีและพราหมณ์มากกว่าเพราะเช่อื เร่อื งภูตผปี ีศาจ วญิ ญาณ เปรตเทวดาอารกั ษ์ต่างๆ สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ภตู ผที ม่ี องไม่เหน็ ตวั จะมอี ทิ ธพิ ลต่อชวี ติ ตงั้ แต่เกดิ จนตาย ดงั นัน้ พธิ กี รรมส่วนใหญ่จงึ วนเวยี นอยกู่ บั เร่อื งผโี ดยมพี ่อกะจ้าํ เป็นผนู้ ําทางพธิ ี เม่อื ศาสนา เขา้ สู่ไทยดนิ แดนอสี าน ความเช่อื และพธิ กี รรมจงึ ได้เปล่ยี นไปบ้าง ได้นําพธิ กี รรมทางศาสนาเข้า ประสมประสาน มพี ระสงฆอ์ งคเ์ จา้ เขา้ มสี ่วนร่วมมพี ระเป็นผูน้ ําในบางพธิ ี แต่ส่วนใหญ่ยงั มปี ราชญ์ หมู่บ้านเป็นผู้นําและจะเอนไปทางแนวพราหมณ์และผมี ากกว่า คลองสบิ ส่ี มหี ลายประเภทแต่ สามารถแบ่งประเภท ได้แก่คลองประเภทสอนผู้ปกครอง คลองประเภทสอนพระสงฆ์ คลองสอน ประชาชนทวั่ ไปและสดุ ทา้ ยทส่ี าํ คญั คอื คลองสอนคนทุกเพศ วยั ทุกฐานะ เป็นสงิ่ ทท่ี ุกคนควรมเี พ่อื ขดั เกลาคอยบ่งช้ใี หผ้ ู้คนต้องปฏบิ ตั ติ ามทําให้สงั คมอสี านมคี วามสงบสุข ร่มเยน็ จงึ นําเสนอความ เป็นมา ความสําคญั ต่างๆ ของ ฮตี สบิ สองคลองสบิ ส่ี เพ่อื ใหร้ บั ทราบขอ้ ปฏบิ ตั ติ ่างๆ ทท่ี ําใหค้ นใน อดตี ทม่ี วี ถิ ชี วี ติ ทอ่ี ยดู่ มี สี ขุ และเป็นการอนุรกั ษ์ประเพณวี ฒั นธรรมชาวอสี านใหม้ สี บื ไป ฮติ สบิ สองเป็นจารตี ประเพณี ทชี่ าวอสี านปฏบิ ตั กิ นั ในโอกาสต่างๆ มที งั้ ส้นิ สบิ สองเดอื น ของแต่ละปี ฮติ สบิ สองของชาวอสี านประกอบดว้ ยประเพณตี ่างๆ ดงั ต่อไปน้ี๕๙ ๕๙ สาํ ลี รกั สทุ ธ,ิ ์ ฮีตสิบสองคองสิบส่ี, ฉบบั อบุ ลราชธานี ๒๐๐ ปี , (กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พ์ พ.ศ.พฒั นา จํากดั , ๒๕๔๙), หน้ ๑๑๒-๑๔๐, คณาจารย์ มจร., เทศกาลและพิธีกรรมทางพระพทุ ธศาสนา (เทศกาลและพิธีกรรมภาคอีสาน), หน้า ๑๙๓-๑๙๗.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 508
Pages: