Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาและวัฒนธรรม

Description: ภาษาและวัฒนธรรม

Search

Read the Text Version

ED12101 89 ภาษาและวฒั นธรรม กจิ กรรมประจาบทท่ี 4 1.ใหน้ ักศกึ ษาชมวิดิทัศน์ แล้ววิเคราะหค์ วามสาคญั ในกระบวนการเรียนการสอน 2.นาเสนอข่าวกรณีการส่ือความหมายในชั้นเรียน แล้วให้แต่ละกลุ่มร่วมกันพิจารณ์ลักษณะ การส่อื ความหมายระหว่างครูกับผูเ้ รียน 3. นักศกึ ษาวิเคราะห์ลกั ษณะและองคป์ ระกอบของการสื่อความหมายระหวา่ งครูกบั ผู้เรียน 4. แบ่งกลุ่มนักศึกษา กลุ่มละ 5 คน ให้นักศึกษาและวิเคราะห์ ทักษะการส่ือความหมายท่ี สาคัญในกระบวนการเรยี นการสอนสาหรับครู พรอ้ มทั้งสรปุ ดว้ ยแผนผังมโนทศั น์ (Mind mapping) 5. ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มฝึกใช้ทักษะการสื่อความหมายในกระบวนการเรียนการสอน ตาม สถานการณท์ ี่กาหนดให้

ED12101 90 ภาษาและวฒั นธรรม เอกสารอ้างองิ ภาษาไทย ชาญชัย ยมดิษฐ์. (2548). เทคนคิ และวิธีการสอนร่วมสมัย. กรงุ เทพมหานคร: หลักพมิ พ์. ทิศนา แขมมณี. (2555). ศาสตรก์ ารสอน : องค์ความรูเ้ พ่ือการจัดกระบวนการเรียนรูท้ ่ีมี ประสิทธิภาพ. (พมิ พ์คร้งั ท่ี 8). กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . เยาวพา ชูประภาวรรณ. (2547). การยอมรับนวัตกรรมใหม่. กรงุ เทพมหานคร: โอเดยี นสโตร.์ วนั เพ็ญ วรรณโกมล. (2542). การสอนสงั คมศึกษาในระดับมัธยมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: สถาบัน ราชภัฏธนบรุ .ี สมชาย ชชู าต.ิ (2538). เอกสารคาสอนวชิ า ศษ361 วธิ ีสอนทั่วไป. กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ภาษาตา่ งประเทศ Kibler, Robert J. (et al). 1970. “Behavioral objective and the Instruction Process”. In Selected Reading for The Introduction to The Teaching Profession. California: McCutchan Publishing Cooperation,.

ED12101 91 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจัดการเรียนรู้ บทท่ี 5 การใช้ภาษาไทยเพ่อื การสอื่ สารสาหรบั ครู สาระการเรยี นรู้ 1. ความหมายของภาษา 2. ความสําคญั ของภาษาไทย 3. หลักการใชภ๎ าษาเพื่อการสอื่ สาร 4. ข๎อระมัดระวังในการใช๎ภาษาเพ่ือการส่ือสาร 5. ขอ๎ คํานงึ ในการเรยี บเรียงประโยค วตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธิบายความหมายและความสาํ คญั ของภาษาได๎ 2. เลือกรูปแบบและภาษาในการส่อื สารได๎เหมาะสมกับสถานการณ๑การสอื่ สาร 3. ประยุกต๑ใช๎ภาษาไทยในการส่อื สารในชวี ติ ประจาํ วันได๎ 4. วเิ คราะห๑การใชภ๎ าษาและขอ๎ บกพรํองของการใช๎ภาษาได๎ กิจกรรมการเรียนรู้ 1. การบรรยาย 2. สถานการณ๑จําลอง 3. กจิ กรรมกลํมุ (วิเคราะห๑ภาษาจากสอ่ื หรือกิจกรรม) 4. การอภปิ รายกลมุํ 5. ฝึกการอาํ นโดยให๎แสดงวิธกี ารอํานทีถ่ ูกตอ๎ ง และแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่อําน 6. ผ๎ูเรยี นและผส๎ู อนรวมกันสรุปหลักการทเี่ รียน ใหน๎ ักศึกษาบันทึกสรุปลงสมดุ สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. สือ่ ส่งิ พิมพ๑ เชนํ ขาํ ว บทความ วารสาร 3. สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส๑ เชนํ ซีดี วดี ีทัศน๑ สไลด๑นําเสนอความรู๎ด๎วยพื้นฐานเก่ียวกับการสือ่ สาร 4. แบบฝกึ หัด การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมการตอบคําถาม การทํากิจกรรม และการนําเสนองานกลํุม 2. ตรวจแบบฝึก

ED12101 92 ภาษาและวฒั นธรรม บทที่ 5 การใช้ภาษาไทยเพื่อการสือ่ สารสาหรับครู ภาษาเป็นเครื่องมือสําคัญประการหนึ่งในกระบวนการส่ือสาร การสื่อสารให๎ได๎ผลตาม เจตนาของผ๎ูสํงสารนั้น ผ๎ูสํงสารจําเป็นต๎องเลือกใช๎ภาษาให๎ถูกต๎องตามหลักภาษา สื่อความหมาย ชัดเจนตามวตั ถุประสงคข๑ องการสือ่ สาร เหมาะสมกบั ระดับบุคคลและกาลเทศะในการสื่อสาร การท่ี ผู๎สํงสารมีทักษะในการใช๎ภาษา ยํอมสามารถใช๎ภาษาไทยสื่อสารในชีวิตประจําวันและงานอาชีพได๎ อยาํ งมีประสทิ ธภิ าพและสุนทรยี ภาพ ความหมายของภาษา ภาษาที่ใช๎ส่ือสารไมํวําจะเป็นคําพูดหรือถ๎อยคําท่ีมนุษย๑ใช๎เป็นเคร่ืองมือในการสื่อสารทําให๎ เกิดความเข๎าใจกันนั้น ต๎องอาศัยระเบียบทางภาษาเป็นเครื่องกําหนด นักวิชาการหลายทํานได๎ให๎ ความหมายของภาษาไว๎ดงั นี้ มยุเรศ รัตนานคิ ม (2542: 3) กลําววํา ภาษา หมายถึง รหัสชนดิ หน่งึ ซึ่งมนุษยใ๑ ช๎สอื่ ความหมายระหวํางกันในการทากิจกรรมตํางๆ โดยผํานส่ือท่ีเป็นเสียงสัญลักษณ๑ตามที่ได๎ตก ลงยอมรับกันในสังคมของผ๎ูใช๎รหัสเดียวกันนั้น เสียงสัญลักษณ๑ดังกลําวจะต๎องมีระบบแบบแผนท่ี แนนํ อนและมีความสมั พันธ๑กันกับระบบความหมายอันเปน็ ความหมายทีส่ ามารถเข๎าใจตรงกันได๎ในหมูํ ชนน้นั ๆ อุดม วิโรตม๑สิกขดิตย๑ (2547: 2) ได๎ให๎ความหมายของภาษาไว๎วํา ภาษา หมายถึง การส่ือ ความหมายที่ต๎องอาศัย เสียง ความหมาย ระบบ กฎเกณฑ๑ทางภาษาท่ียอมรับกันโดยทั่วไป กลําวคือ ภาษาท่ใี ชส๎ ่อื สารต๎องมีโครงสร๎าง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 258) ได๎ให๎ความหมายของคําไว๎วํา “คํา คือเสียงพูดหรือลายลักษณ๑อักษรที่เขียนหรือพิมพ๑ขึ้นเพื่อแสดงความคิด โดยปรกติถือวําเป็น หนวํ ยทีเ่ ล็กท่สี ุดทม่ี ีความหมายในตวั ” จากความหมายของภาษาข๎างต๎น จะเห็นได๎วํา ภาษานั้นมีความหมายครอบคลุมด๎านเสียง และความหมาย ซึ่งภาษาเป็นองค๑ประกอบสําคัญของการสื่อสาร การใช๎ภาษาถูกต๎องชัดเจนยํอม สํงผลใหก๎ ารสอ่ื สารเกิดผลสัมฤทธิไ์ ด๎งาํ ย หลกั การใช้ภาษาไทย การใช๎ภาษาเพื่อสื่อสารให๎ได๎ผลตามเจตนาของผู๎สํงสารน้ัน ผ๎ูสํงสารจะต๎องเลือกใช๎ภาษาให๎ ถูกต๎อง กะทัดรัด สละสลวย สื่อความหมายชัดเจน เหมาะสมกับระดับบุคคล วัตถุประสงค๑ และกาลเทศะในการส่ือสาร โดยคํานึงถึงหลักการใช๎ภาษา(นพดล จันทร๑เพ็ญ, 2557: 36-41) ดงั ตอํ ไปน้ี

ED12101 93 ภาษาและวัฒนธรรม 1.1 การเขยี นสะกดคาและออกเสียงคาใหถ้ ูกต้อง การเขยี นสะกดคําเป็นเรื่องสาํ คญั เพราะถา๎ เขียนสะกดคําผิดหรือออกเสียงคําผิด ความหมาย ก็จะเปล่ียนแปลงไป โดยเฉพาะการสื่อสารด๎วยการเขียน การสะกด การันต๑ให๎ถูกต๎องเป็นสิ่งที่สําคัญ ที่สุด เพราะถ๎าสะกดผิด อาจทําให๎การสื่อความหมายคลาดเคลื่อนไป ผู๎ใช๎ภาษาจึงต๎องสังเกตและ ศึกษาหลกั เกณฑ๑การเขียนคาํ ประเภทตําง ๆ ดงั นี้ 1. 1. 1. คาทีอ่ อกเสียง / อะ / เขียนได้ทงั้ แบบประวิสรรชนีย์ และ ไม่ประวิสรรชนยี ์ 1. คาที่ประวิสรรชนยี ์ มีหลกั ในการพิจารณาดังน้ี (1) คาํ ไทยแท๎ทุกคําท่อี อกเสยี ง / อะ / ขดั เจนเต็มมาตรา ตวั อยาํ งเชนํ กะทิ ขะมักเขม๎น มะลิ ชะลอ กะทนั หัน กระทะ ทะนง กระเทียม ทะนาน กระชับ ขยะ ตะแคง ตะแคง ขะมุกขะมอม ชะลอ (2) คําทเ่ี กิดจากการกรอํ นเสยี งมาเปน็ เสียง / อะ / ตัวอยํางเชํน ตะไคร๎ (ต๎นไคร)๎ มะมํวง (หมากมํวง) ตะปู (ตาป)ู สะใภ๎ (สาวได๎) ตะเคยี น (ต๎นเดียน) มะพรา๎ ว (หมากพร๎าว) ตะวนั (ตาวัน) ฉะน้นั (ฉนั นน้ั ) ตะขบ (ตน๎ ขบ) ตะเข็บ (ตวั เขบ็ ) สะดอื (สายถือ) ฉะน้ี (ฉนั นี้) (3) พยางคท๑ ๎ายของคาํ ท่มี าจากภาษาบาลี สนั สกฤต ซ่ึงออกเสยี ง / อะ / ตัวอยํางเชนํ ธรุ ะ อสิ ระ สัมปชญั ญะ สาธารณะ ศลิ ปะ อักขระ ภาชนะ พาหนะ ลกั ษณะ อาชีวะ พละ วศิ วะ สจั จะ สรณะ วชิระ 2. คาทีไ่ ม่ประวิสรรชนีย์ มหี ลกั การพิจารณาดังนี้ (1) คําทเี่ ป็นอักษรนํา เชํน กนก ตลง่ิ อรํอย เฉลยี ว สมาน ตลาด ฉลาด สงวน อราํ ม ผนวช ตลก สมคั ร อรํอย ถนอม ผนึก (2) คาํ ท่ีพยางคห๑ นา๎ ออกเสยี ง / อะ / ไมํเต็มเสียง ตวั อยาํ งเชนํ

ED12101 94 ภาษาและวฒั นธรรม สบาย ทรราช ชนวน ขโมย สบูํ สบง ชนดิ เมลด็ พนกั พนนั ขบวน ขจัดแมลง ขมา จรวด (3) คําที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต ที่ออกเสียง / อะ / ในพยางค๑อ่ืนๆ ซึ่ง มิใชํพยางค๑ท๎ายคํา รวมท้ังคําสมาส เชํน อาชีวศึกษา อิสรภาพ อารยธรรม กิจกรรม กรณี พลศึกษา รตั นตรยั ธรุ กิจ ธุรการ สรณะ วรี ชน มนุษยสมั พนั ธ๑ (4) คําไทยบางคํา ซึ่งสันนิษฐานวํา ยํอมาจากคําเต็มเชํน ณ (ใน) ธ (ทําน, เธอ) ทนาย (ทํานนาย, แทนนาย) พนักงาน (พํอนักงาน, ผู๎นักงาน) ฯพณฯ (พ่อเหนือหัวเจ้าท่านพระ เดชพระคณุ ) 1. 1. 2 การเขียนคาทใี่ ชส้ ระ ใ ไ และอยั มีดงั นี้ 1. คาํ ที่ใช๎สระ / ใอ / (ไม๎มว๎ น) โบราณทาํ นผูกเป็นกาพย๑ไว๎มี 20 คําคือ ผ๎ูใหญหํ าผา๎ ใหมํ ใหส๎ ะใภใ๎ ช๎คล๎องคอ ใฝใุ จเอาใสํหํอ มหิ ลงใหลใครขอดู ดูนํ้าใสและปลาปู จะใครลํ งเรือใบ มิใชอํ ยูํใต๎ต้ังเตยี ง สิง่ ใดอยใูํ นตู๎ หูตามัวมาใกลเ๎ คยี ง ย่ีสบิ ม๎วนจาํ จงดี บ๎าใบ๎ถือใยบวั เลาํ ทํองอยําละเลยี่ ง 2. คําทใ่ี ชส๎ ระ / ไอ / (ไม๎มลาย) นอกเหนือจากคําท่ีใช๎ไม๎ม๎วน 20 คํา คําอ่ืน ๆ และ คําท่ีรับมาจากภาษาตํางประเทศใช๎สระไอไม๎มลาย เชํน ไกํ ไขํ สไบ ไผท ไอศวรรย๑ ไพชยนต๑ ไต๎หวัน ไทเป ไต๎กง๐ ซามไู ร อะไหลํ ไลฟ์ ไวตามิน แมนํ ํ้าในล๑ ไมโครโฟน ฯลฯ 3. คําท่ีใช๎ / อัย / จากคําบาลี สันสกฤต เชํน วินิจฉัย อาลัย วินัย สงสัย อัยการ หทัย ภยั นสิ ยั ปัจจยั ปราศรัย ฯลฯ 4. คําที่ใช๎ / ไอย / จากคําบาลี สันสกฤต เชํน ประชาธิปไตย ไวยากรณ๑ อสงไขย ไทยทาน 1. 1. 3 การเขียนคาทใี่ ช้สระอา ใชก้ บั คาลักษณะ ดังนี้ 1. คําไทยทว่ั ไป เชํน จาํ ขาํ รํา ลาํ ไย 2. คําบาลี สันสฤต ทค่ี าํ เดิมมเี สียง / อะ / แล๎วมี / ม / ตาม เชนํ อํามาตย๑ (อมาตย๑) อํามหติ (อมหติ ) อาํ มฤต (อมฤต) 3. คาํ ท่ีแผลงมาจากคาํ อื่น เชํน

ED12101 95 ภาษาและวัฒนธรรม กาํ เนดิ (เกิด) ชํานาญ (ชาญ) ตํารวจ (ตรวจ) ชํารดุ (ทรุด) ดาํ เนนิ (เดนิ ) ตาํ หนิ (ติ) จาํ เนยี ร (เจียร) บําเรอ (เปรอ) 4. คําท่ีมาจากภาษาอ่ืนนอกเหนือจากภาษาบาลี สันสกฤต และภาษาอังกฤษ เชํน กํามะหยี่ สาํ เภา กํามะลอ กาํ ยาน กาํ มะถัน รํามะนา กาํ จร สาํ ป้ัน กาํ ธร 1. 1. 4 การเขยี นคาทใ่ี ช้อัม (อะ + ม) ใชก้ บั คาลกั ษณะ ดังน้ี 1. ใช๎เขยี นคาํ ทม่ี าจากภาษาบาลี สันสกฤต ซง่ึ เดมิ เปน็ เสยี ง / อะ / และมีเสียง/ ม / สะกด หรือ คาํ ท่นี ฤคหิต ( ) สนธกิ บั พยญั ชนะวรรค ปะ (ป ผ พ ภ ม) เชํน คมั ภีร๑ (คมฺภีร) สัมฤทธิ์ (สมฺฤทธิ) สัมมนา (สํ + มน) สัมผัส (สํ + ผสฺส) อัมพาต (อมฺพาต) อุปถัมภ๑ (อุปถมฺภ) สัมพันธ๑ (สํ + พนฺธ) สัมภาษณ(สํ + ภาษณ) 1. 1. 5 การเขียนคาทใี่ ช้ ทร, ซ ใหส้ ังเกตความหมายของคาเปน็ สาคัญ ไดแ๎ กํ 1. คําทีใ่ ช๎ ทร มักจะอาํ นออกเสียงเป็น / ซ / มดี งั นี้ ทรวดทรงทราบทรามทราย ทรุดโทรมหมายนกอินทรี มัทรอี ินทรีย๑มี เทรดิ นนทรพี ุทราเพรา โทรมนัสย๑ฉะเชงิ เทรา ทรวงโทรทรัพย๑แทรกวดั ออกสําเนียงเปน็ เสยี ง “ ซ \" ตวั “ ทร” เหลําน้ีเรา (กําชยั ทองหลํอ) 2. คําที่ใช๎ ซ มีท้ังท่ีเป็นคําไทยแท๎ และ คําท่ีรับมาจากภาษาอื่น เชํน ซาก ซึมซาบ ซมึ ทราบ ซอกแซก แซง ซกี ซวนเซ ซนิ แส เซ็น ซเี มนต๑ โซดา เซต ซกิ าร๑ ซอส ซกิ แซก็ ฯลฯ 1. 1. 6 การเขยี นคาทม่ี ีรูปวรรณยกุ ต์ มขี อ้ ควรสังเกต ดงั น้ี 1. คาํ ทีม่ ีพยัญชนะต๎นเป็นอักษรกลาง คําเป็น พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ รูปและเสียง วรรณยุกตจ๑ ะตรงกนั เชํน กา ดนิ วิ่ง ปาู ย แกว๎ ปวุ ย ตต๏ุ ะ๏ ปุ๋ย กว๐ ยเตี๋ยว ฯลฯ 2. คําท่มี ีพยัญชนะต๎นเป็นอักษรกลาง คําตาย พื้นเสียงเป็นเสียงเอก การเขียนจะไมํ มรี ูปวรรณยุกตก๑ ํากับ เชนํ กกั กลบั กระตกุ ตุกตกิ ดบั สะดดุ ฯลฯ 3. คําท่ีมีพยัญชนะต๎นเป็นอักษรตํ่า คําตาย ประสมด๎วยสระเสียงส้ัน พื้นเสียงเป็น เสียงตรี การเขียนจะไมํใช๎รูปวรรณยุกต๑กํากับ เชํน นะ คะ ชัก ซุบซิบ วิบวับ ยุกยิก รับ ครับ ยักษ๑ ฯลฯ

ED12101 96 ภาษาและวัฒนธรรม 4. คําทม่ี ีพยัญชนะตน๎ เป็นอักษรต่ํา คําเป็น หรืออักษรต่ําที่ประสมด๎วยสระเสียงยาว ท้ังคําเป็นและคําตายผันด๎วยวรรณยุกต๑โทจะเป็นเสียงตรี การเขียนจะใช๎รูปวรรณยุกต๑โทเสมอ เชํน คล๎ุง ครม้ึ ฟงุู เฟอู ฟูา ฟอู น น๎อม นี้ โว๎ย เฮ๎ย เชิ้ต รอ๎ ง โน๎ต พรอ๎ ม แงม๎ พนื้ โพล๎เพล๎ ฮา๎ ไฮ๎ ฯลฯ 1. 1. 7 คาท่ีมตี ัวการันต์ คําท่ีมีตัวการันต๑ หมายถึง ตัวอักษรท่ีไมํออกเสียง ได๎แกํ พยัญชนะท่ีมีเคร่ืองหมาย ทัณฑฆาต ( ๑ ) กํากับ อาจจะอยูํท๎ายคํา หรือกลางคํา ก็ได๎ เชํน ประจักษ๑ คัมภีร๑ ชนม๑ ต๎นโพธ์ิ สายัณห๑ อุปถัมภ๑ปาฏิหาริย๑ จันทร๑ พักตร๑ ภาพยนตร๑ กอล๑ฟ คอนเสิร๑ต ชอล๑ก เคาน๑เตอร๑ เสิร๑ฟ ฟิล๑ม เฟิรน๑ ปาลม๑ ฮอรโ๑ มน ฯลฯ 1. 1. 8 การเขียนคาพ้องเสียง การเขยี นคําพ๎องเสียง ต๎องพิจารณาความหมายของคาํ จากบรบิ ทในประโยค เชนํ โจด – โจทก๑จําเลย โจษจัน โจทย๑เลข พดู โจษ โจท (ฟูอง) โจทนา (การทักท๎วง) บาด – บาดทะยัก เงนิ บาท บาตรพระ บณิ ฑบาต บํวงบาศ ลกู บาศก๑ หนา๎ – หน๎าตา หน๎าตําง หนา๎ ผาก หนา๎ หนาว หน๎ารอ๎ น นาํ รกั นาํ ดู นาํ เกลยี ด 1. 1. 9 การเขียนคาสมาส การเขียนคําสมาส เชํน ธุระ + กิจ = ธรุ กจิ อาชีวะ + ศกึ ษา = อาชีวศกึ ษา มนษุ ย๑ + ศาสตร๑ = มนษุ ยศาสตร๑ นอกจากการเขียนสะกดคําให๎ถูกต๎องแล๎ว การออกเสียงคําให๎ถูกต๎องก็มีความสําคัญตํอการ สอื่ สารเชํนเดียวกัน ผสู๎ อื่ สารตอ๎ งออกเสียงคาํ ใหช๎ ัดเจน ถูกตอ๎ งตามอักขรวิธี และความนิยม ออกเสียง ควบกลาํ้ ร ล ได๎ชดั เจน อาํ นคําสมาส คําสนธิ คํายอํ ตําง ๆ ถูกตอ๎ ง โดยศึกษาคาํ อํานจากพจนานกุ รม 1. 2 การใชค้ าให้ตรงความหมาย ผูส๎ ํงสารควรเลือกใชค๎ ําให๎ตรงความหมาย เพราะหากใชค๎ าํ ไมถํ ูกต๎องตรงความหมายอาจทําให๎ การสื่อสารผดิ พลาด หรือส่ือสารได๎ไมชํ ัดเจนตรงตามความต๎องการ ผ๎ูใชภ๎ าษาจึงควรศึกษาความหมาย ของคํา ดงั นี้ 1. 2. 1 คามีความหมายหลายอย่าง คําบางคาํ มหี ลายความหมาย การใช๎คําจึงต๎องคํานึงถึงบริบท หรือถ๎อยคําที่แวดล๎อม เพื่อให๎เกิดความแจํมชัด หรือชดั เจน ไมํกํากวม เชํน

ED12101 97 ภาษาและวฒั นธรรม ขัด หมายความวํา 1. ฝาุ ฝนื เชนํ ขดั คา๎ ส่งั 2. ไมํคลํอง เชํน หายใจขดั 3. ไมลํ งรอยกนั เชํน สองคนนขี้ ัดกันอยํูเร่อื ย 1. 2. 2 คามคี วามหมายใกลเ้ คยี งกัน คําบางคํามีความหมายเหมือนกันหรือใกล๎เคียงกัน แตํไมํอาจใช๎แทนกันได๎เสมอไป คําเหลํานมี้ กั มคี วามแตกตํางกนั ไมํอยํางใดก็อยาํ งหนึ่ง เชนํ กนิ (ใช๎กับคนทั่วไป) ฉนั (ใชก๎ ับพระภิกษุ) เสวย (ใช๎กับเจ๎านาย) เกลียด มคี วามรนุ แรงกวาํ ชัง บาง ใชก๎ บั สิ่งไมมํ ชี วี ิต รกั มนี ํ้าหนักมากกวํา ชอบ ผอม ใช๎กับสิ่งมีชีวิต บดู ใชก๎ บั อาหาร เน่า ใช๎กับผักสด เนอ้ื สตั ว๑ 1. 2. 3 คามีความหมายแฝง คําบางคาํ นอกจากมคี วามหมายตามตัวแล๎ว ยังมีความหมายแฝงท่ีต๎องตีความ อาจมี ความหมายเชงิ อปุ มา หรอื ความหมายโดยนัย เชนํ ฉันชอบดอกหญ้า หมายถึง ดอกไม๎ (ความหมายตามตวั ) ฉันไมํใชดํ อกหญา้ หมายถงึ หญิงผูต๎ าํ่ ต๎อย (ความหมายแฝง) ดาวลอ๎ มเดอื น หมายถึง ดวงดาวลอ๎ มรอบดวงเดือนบนท๎องฟาู (ความหมายตามตวั ) คนที่เป็นบริวารบุคคลท่ีเดํนท่ีสุด ณ ที่นั้น (ความหมายแฝง) 1. 2. 4 คามคี วามหมายแคบ – กว้างตา่ งกนั คาํ บางคาํ มีความหมายเฉพาะเจาะจง คาํ บางคํามีความหมายโดยรวม การเลือกใช๎คํา ควรพิจารณาใช๎ให๎ถูกต๎องตรงตามความหมาย ตัวอยํางคําท่ีมีความหมายกว๎าง – แคบตํางกัน ตํอไปน้ี เรียงลําดับจากคอลัมน๑ท่ี 1 เป็นคําที่มีความหมายกว๎างท่ีสุดในกลุํม ถึงคอลัมน๑ท่ี 4 เป็นคาํ ที่มีความหมายแคบที่สุด เชํน

ED12101 98 ภาษาและวัฒนธรรม ตารางท่ี 5.1 แสดงความหมายของคาํ 1 2 3 4 เครอ่ื งเขียน ปากกา ปากกาลูกล่ืน - เครือ่ งมือชาํ ง คีม คีมปากจิ้งจก - เครอ่ื งดนตรี เครื่องตนตรีสากล กลอง กลองไฟฟาู สถานศกึ ษา วทิ ยาลัย วทิ ยาลยั เทคนคิ วิทยาลยั เทคนิคเพชรบรุ ี ท่อี ยํู บา๎ น บา๎ นไม๎ บ๎านไม๎สัก 1. 3 การใช้คาใหถ้ ูกต้องตามหน้าทีข่ องคา คํ า ในภาษาไทยจะมหี น๎าท่ใี นรปู ประโยคแตกตํางกันไป ดังนั้นต๎องเลือกใช๎คําให๎ถูกต๎องตามหน๎าท่ี เพื่อให๎ ส่อื สารไดช๎ ัดเจน ดังน้ี 1. 3. 1 การใช้คานาม ผ๎ูใช๎ภาษาบางคนนิยมทําคํากริยาให๎เป็นคํานาม (อาการนาม) ในบทที่ควรจะใช๎ คํากริยาทําใหภ๎ าษาไมํถกู ต๎อง ไมสํ ละสลวย เชํน พนักงานฝุายซอํ มบาํ รงุ ใหก้ ารต๎อนรบั หัวหนา๎ แผนกคนใหมํ ควรใชว้ ่า พนกั งานฝาุ ยซอํ มบาํ รุงต๎อนรับหัวหนา๎ แผนกคนใหมํ เจา๎ หน๎าทีเ่ ทศกิจทาการรอ้ื ถอนแผงลอยรมิ ทางเทา๎ ควรใช้วา่ เจา๎ หน๎าท่เี ทศกิจร้อื ถอนแผงลอยรมิ ทางเท๎า นอกจากน้นั บางครั้งยงั มีการใช๎คาํ นามในตําแหนํงคาํ กรยิ า เชนํ ผมปณิธานไว๎วําจะทําหนา๎ ที่ชาํ งให๎ดีทส่ี ดุ ควรใชว้ า่ ผมตงั้ ปณิธานไว๎วําจะทาํ หนา๎ ทช่ี าํ งใหด๎ ีทส่ี ุด 1. 3. 2 การใช้คาลักษณนาม โดยปกติคําลักษณนามจะอยูํหลังคําบอกจํานวน ยกเว๎นเป็นคําชี้เฉพาะ คําที่บํง จํานวน \"หนึ่ง\" คําบอกลําดับท่ี และคําวิเศษณ๑ขยายคํานามจึงจะนําคําลักษณนามน้ันมาไว๎ข๎างหน๎า เชํน ของช้ินน้ัน บ๎านหลังโน๎น รถคันแรก นกตัวใหญํ ในภาษาพูดเราอาจละคําลักษณนามได๎บ๎าง แตภํ าษาเขยี นต๎องใชค๎ ําลักษณนามให๎ถกู ต๎อง เชํน เขาซอํ มประตแู ผ่นนน้ั (ตอ๎ งใช๎ บาน) ชํางไฟฟาู กําลงั ประกอบเคร่อื งจักรตวั ใหมํ (ต๎องใช๎ เครือ่ ง) ชาํ งกอํ สร๎างมเี สยี มหลายดา้ ม (ตอ๎ งใช๎ เลม่ )

ED12101 99 ภาษาและวัฒนธรรม สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเปิดหลักสูตรวิชาชีพหลาย แขนง (ตอ๎ งใช๎สาขา) สนิ คา๎ ตัวนีม้ ยี อดจาํ หนาํ ยสูงมาก (ต๎องใช๎ ชนิด, ประเภท) 1. 3. 3 การใช้คาบุพบท คาํ บุพบทใช๎เชือ่ มคําหรอื กลมุํ คาํ เขา๎ กบั คาํ หรือกลุํมคําอื่นในประโยค ถ๎าใช๎คําบุพบท ตาํ งกนั จะทําใหค๎ วามหมายของประโยคแตกตาํ งกัน เชนํ ตารางท่ี 5.2 การใช้คาบพุ บทถกู ต้อง ความหมาย การใชบ้ ุพบท ได๎ขนาดพอดี รูปทรงเหมาะสม ควรแกํฐานะ หมวกใบน้ีเหมาะกบั เธอ ตดิ ตอํ บา๎ นหลังนีเ้ หมาะแกํครอบครัวเรา แสดงอาการให๎ นักศึกษาต๎องยืน่ คาํ ร๎องตํอแผนกทะเบียน นักศึกษาเขียนคําร๎องยืน่ แกํแผนกทะเบียน การใช๎คําบุพบทไมํถูกต๎องจะทําให๎สอื่ ความหมายผดิ พลาด เชนํ ตารางท่ี 5.3 การใช๎คาํ บุพบทไมถํ ูกตอ๎ ง การใชบ้ พุ บททีผ่ ดิ คาบุพบทท่ถี ูกต้อง พอํ แมํมีความสาํ คัญตํอลูก สาํ หรบั ปัจจบุ นั ชาํ งเทคนคิ ยังไมเํ พียงพอตํอความต๎องการของตลาดแรงงาน กับ คนไทยส่ังสิ่งของไปบริจาคให๎กับผ๎ปู ระสบภยั แกํ 1. 3. 4 การใชค้ าสันธาน คําสันธานเป็นคําที่ทําหน๎าท่ีเชื่อมคํา กลุํมคํา หรือประโยคให๎ติดตํอเป็นเรื่องเดียวกัน คําสันธานมีหลายประเภท ผู๎ใช๎ภาษาต๎องเลือกใช๎คําสันธานให๎ถูกต๎องสอดคล๎องกับความหมายของ ข๎อความ มิฉะนั้นอาจสือ่ ความหมายผิดพลาดได๎ ลกั ษณะการเชื่อมความของคําสันธานมี ดังนี้ 1. เช่ือมความคลอ๎ ยตามกนั เชนํ และ กับ ก็ รวมทัง้ ครน้ั .. จงึ ฯลฯ ท้งั ฉนั และเธอตํางเป็นลูกพระวิษณเุ ชนํ เดยี วกนั 2. เช่อื มข๎อความขดั แย๎งกนั เชนํ แตํ แตวํ าํ แตทํ วํา ถึง…กวํา กวํา... ก็ กว่าถ่ัวจะสุก งากไ็ หม๎ 3. เชอ่ื มความทีใ่ หเ๎ ลอื ก ไดแ๎ กํ หรอื มิฉะนั้น ไมํเชนํ นนั้ หรอื …ก็ ฯลฯ เธอจะตอ๎ งขยันกวํานี้มฉิ ะนน้ั โครงงานเสร็จไมทํ นั เวลาแนํ

ED12101 100 ภาษาและวฒั นธรรม 4. เช่ือมความทเี่ ป็นเหตุเป็นผลกัน เชํน เพราะ ด๎วย จึง ฉะนน้ั …จงึ ดงั น้นั เพราะเหตวุ าํ ฯลฯ เพราะเลอื กเรียนสายวชิ าชพี เธอจึงซํอมเครอ่ื งใชใ๎ นบ๎านได๎ 5. เชอ่ื มความที่บอกความคาดคะเนหรือแบํงรับแบํงสู๎ เชํน ถ๎า หาก ถ๎าหากวํา แม๎วํา เว๎นแตํ นอกจาก ฯลฯ ถา้ หากว่าฝกึ งานหนึง่ ปแี ลว๎ ได๎เบยี้ เลย้ี งด๎วยนักศึกษาคงมกี ําลังใจมากขึน้ 6. เชอ่ื มความตาํ งตอนกัน ไดแ๎ กํ ฝุาย สํวน อน่ึง อกี ประการหนึง่ ฯลฯ วจิ ิตรเรยี นแผนกชาํ งกอํ สร๎างสว่ นวิไลเรียนแผนกบญั ชี 7. เชอ่ื มความให๎สมบรู ณแ๑ ละสละสลวย เชนํ อยํางไรกต็ าม สดุ แตํวํา ฯลฯ สธุ ีชอบซํอมรถโดยเฉพาะอยาํ งย่งิ รถมอเตอร๑ไซค๑ 8. เช่ือมความเปรยี บเทียบกนั ไดแ๎ กํ เหมอื น ราวกบั วํา อยํางกับ ฯลฯ บางคนทาํ ทํารังเกียจราวกับว่าโรคเอดส๑ตดิ ตอํ กันไดท๎ างลมหายใจ ตวั อย่างประโยคทีใ่ ช้สันธานผดิ หนูดเี หน็ เพอ่ื นมเี ครื่องใช๎หรหู รา แต่ราคาแพงกอ็ ยากไดบ๎ า๎ ง (ควรใช๎ และ เพราะเช่ือมความที่สอดคล๎องกัน) ส่วนการเรยี นการสอนตามปกติ วิทยาลัยยงั ได๎ทาํ กิจกรรมรวํ มกับจังหวัดด๎วย (ควรใช๎ นอกจาก เพราะเช่อื มความท่ีสอดคล๎องกัน) หลายวันตํอมาแผนํ ดนิ ไหวจึงสงบลง (ควรใช๎ ก็ เพราะไมไํ ด๎เช่อื มความทเ่ี ป็นเหตุผลกัน) 1. 4 การใช้ภาษาใหถ้ ูกระดับ การแบํงระดับภาษาออกเป็นระดับตําง ๆ นั้นอาจแบํงได๎หลายแนวทาง ไมํเป็นการตายตัว ภาษาแตํละระดับอาจมีการเหล่ือมลํ้าคาบเกี่ยวกันบ๎าง ในท่ีนี้จัดแบํงระดับภาษาเป็น 2 ระดับ คือ ภาษาแบบเป็นทางการ และภาษาแบบไมเํ ปน็ ทางการ 1. 4. 1 ภาษาแบบเป็นทางการ ภาษาแบบเป็นทางการ คอื ภาษาทใ่ี ชอ๎ ยํางเป็นทางการ เครํงครัด ถูกแบบแผน และ ได๎มาตรฐาน เป็นภาษาที่ได๎รับการยอมรับกันโดยท่ัวไปวําถูกต๎องและประณีต มักใช๎ในภาษาเขียน มากกวําภาษาพูดหรือเป็นการเขียนต๎นฉบับสําหรับการพูดอยํางมีพิธีรีตอง เชํน ปาฐกถาโอวาท สนุ ทรพจน๑ คาํ ปราศรยั การแนะนาํ สุภาพสตรี การแนะนาํ บคุ คลสําคญั ตํอทปี่ ระชมุ ไดแ๎ กํ 1. ภาษาระดับพิธีการ มีลักษณะเป็นภาษาที่สมบูรณ๑แบบ ใช๎ถ๎อยคําระดับสูงท่ี ไพเราะ สละสลวย เรยี บเรยี งอยํางประณีต เป็นรูปแบบภาษาท่ตี อ๎ งใชค๎ วามระมัดระวังมากท่ีสุด มักใช๎ ในงานพระราชพธิ ี ใช๎กับบุคคลท่ีผูส๎ ํงสารตอ๎ งการใหค๎ วามเคารพอยาํ งสูง และใช๎ในวรรณกรรมชั้นสูง ผ๎ู สงํ สารมกั เป็นบคุ คลสําคัญหรอื มตี ําแหนงํ สูง ผรู๎ บั สารอาจเปน็ บคุ คลในวงการเดียวกันเป็นชนกลํุมใหญํ

ED12101 101 ภาษาและวฒั นธรรม หรือประชาชนท้ังประเทศ สํวนใหญํผู๎สํงสารเป็นผ๎ูกลําวฝุายเดียว ถ๎ามีการกลําวตอบก็กระทําอยําง เป็นทางการ มักเป็นการสํงสารด๎วยการอํานผํานมวลชนตํางๆ มีการเตรียมบทหรือวาทนิพนธ๑มา ลํวงหน๎าใช๎สื่อสารในที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นอยํางเป็นพิธีการ เชํน การกลําวสดุดี การกลําวในพระราชพิธี ตําง ๆ 2. ภาษาระดับทางการ หรือมาตรฐานราชการมีลักษณะเป็นแบบแผน ตรงไปตรงมากะทัดรัด สละสลวยใชค๎ าํ ส้ันแตไํ ดใ๎ จความชัดเจน อาจใช๎ศัพท๑เฉพาะวงการ ผ๎ูสํงสารและ ผูร๎ บั สารมักจะเป็นบุคคลซึ่งมีหน๎าท่ีและภารกิจโดยตรงในแตํละด๎านในวงการหรืออาชีพเดียวกัน เชํน วงการศึกษา วงการแพทย๑ วงการสถาปนกิ วงการวิศวกร ฯลฯ การใช๎ภาษาระดับทางการมีรูปแบบและลีลาการเขียนแตกตํางไปจากวงการอื่น ซึ่ง ต๎องใชใ๎ หถ๎ ูกต๎องตามระเบยี บแบบแผน เชนํ การกลาํ วคําปราศรัย การกลําวเปิดประชุม อภิปรายหรือ บรรยายในการประชุมอยํางเป็นทางการ มักใช๎สําหรับการเขียนเพ่ือสํงสารตํอสาธารณชนอยํางเป็น ทางการการติดตํอทางราชการหรือในวงการธุรกิจ เชํน การเขียนรายงานทางวิชาการ หนังสือราชการ ประกาศคําสง่ั ของทางราชการ จดหมายธุรกิจ เรียงความ การตอบข๎อสอบ สารคดี บทความสําคัญ ๆ บทวจิ ารณ๑ คาํ นําในหนังสือตําง ๆ ตาราแบบเรียน และหนงั สืออา๎ งอิง 1. 4. 2. ภาษาแบบไมเ่ ป็นทางการ เป็นภาษาท่ีใช๎ส่ือสารกันโดยท่ัวไปในชีวิตประจําวัน จัดแบํงได๎เป็น 3 ระดับ คือ ภาษาระดับถึงทางการ ภาษาระดับสนทนา และภาษาระดบั กันเองหรือภาษาปาก 1. ภาษาระดบั กงึ่ ทางการ ภาษาระดบั น้มี ีลกั ษณะไมซํ ับซ๎อน ใช๎ถอ๎ ยคําสํานวนท่ีทํา ใหร๎ สู๎ ึกค๎ุนเคยมากกวาํ ภาษาระดบั ทางการ อาจใช๎ศพั ท๑ทางวชิ าการบา๎ ง เน้ือหาของสารอาจเป็นเร่ืองท่ี เก่ียวกับความรู๎ท่ัวไป การแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการที่เก่ียวกับการดําเนินชีวิตหรือธุรกิจมักใช๎ใน การประชมุ กลํมุ ยอํ ย การอภิปรายการบรรยายในห๎องเรียน การสื่อสารกับบุคคลท่ีไมํสนิทสนมค๎ุนเคย กันหรืออยูํตํางฐานะ ตํางตําแหนํง และตํางวุฒิ การสนทนาท่ีมีสุภาพสตรีรํวมอยํูด๎วย การพูดในท่ี ประชมุ กบั ผ๎ฟู งั ทว่ั ๆ ไป เชนํ การอภปิ ราย การสมั ภาษณ๑อยํางไมํเป็นทางการ การแนะนําบุคคลอยําง ไมเํ ปน็ พธิ รี ีตอง ฯลฯ 2. ภาษาระดับสนทนา มีลักษณะไมํซับซ๎อน มักมีคําสแลง คําตัด (คําที่ตัดออกมา จากคําเต็ม) ปะปนอยูํ อาจมีถ๎อยคําที่ใช๎กันเฉพาะกลํุม เน้ือหาของสารเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปใน ชีวิตประจําวัน ใช๎ในการสนทนาระหวํางบุคคลท่ีสนิทสนมกันหรือกลุํมไมํเกิน 4-5 คน ในสถานท่ี และโอกาสท่ีไมํเป็นสํวนตัว เชํน การประกาศหรือประชาสัมพันธ๑ในชุมชน การเขียนจดหมายสํวนตัว ถึงผู๎ที่คุ๎นเคย การรายงานขําว การเสนอบทความในหนังสือพิมพ๑ และการประชุมที่ไมํเป็นทางการ ภาษาระดับสนทนา เหมาะสําหรบั งานเขยี นประเภทเร่อื งสน้ั นวนยิ าย หรือบทละคร เร่ืองตลก อนุทินสํวนตัว จดหมายสํวนตัว รายงานขําวสังคม กีฬา บันเทิง หรือบทความล๎อเลียน เสยี ดสี ประชดประชนั เชนํ

ED12101 102 ภาษาและวัฒนธรรม ปลานข้ี ายโลเทาํ ไหรํ? (กิโลกรัม) เดนิ ไปอกี 4 - 5 โลก็ถึง (กิโลเมตร) 3. ภาษาระดบั กนั เอง มลี กั ษณะเปน็ ภาษาพูดเทําน้ัน ไมํนิยมบันทึกเป็นลายลักษณ๑ อักษรอาจใช๎ประโยคไมํสมบูรณ๑ ไมํคํานึงถึงหลักไวยากรณ๑ อาจมีคําสแลง คําตัด คําภาษาถ่ินหรือคํา หยาบปะปนอยูํดว๎ ย เนือ้ หาของสารเชํนเดียวกบั ระดับสนทนามักใช๎ในวงจํากัดกับบุคคลท่ีมีความสนิท สนมกนั เป็นอยาํ งมาก เชนํ ภายในครอบครัว เพือ่ นสนทิ ในสถานที่ที่เป็นสํวนตัว ในการดํากัน หรือใช๎ ในงานเขยี นนวนิยาย บทละคร เรือ่ งส้นั 1. 5 การใช้ภาษาให้เหมาะสมแก่ฐานะของบคุ คล ภาษาไทยมีคําที่ใช๎กับบุคคลท่ีมีฐานะแตกตํางกัน เพราะคนไทยนิยมใช๎คํายกยํองบุคคลที่มี ระดับทางสังคมสูงกวํา เพื่อแสดงความเคารพนับถือ และเป็นการแสดงถึงความมีวัฒนธรรม ของผ๎ูใช๎ดว๎ ย ดังนี้ ตารางท่ี 5.4 การใช๎ภาษาตามระดบั ฐานะของบคุ คล การใช้ภาษา ระดับฐานะของบคุ คล ศพั ท๑สําหรบั พระสงฆ๑ 1. สถาบันศาสนา-พระสงฆ๑ (พระรัตนตรัย) คาํ ราชาศัพท๑ 2. สถาบันพระมหากษตั ริย๑ คําสภุ าพอยาํ งสงู 3. ญาติผใ๎ู หญํ บดิ ามารดา ครูอาจารย๑ คําสุภาพอยํางเป็นทางการ 4. ผู๎เป็นทีย่ อมรบั นับถือ เชนํ ผ๎ูมีอาวโุ สสงู กวาํ ผม๎ู ีพระคุณ คาํ สุภาพอยาํ งถงึ ทางการและอยําง ผมู๎ ีคุณธรรม ฯลฯ เปน็ กันเองตามความสนทิ สนม 5. ผู๎มีฐานะเทําเทยี มกัน เชํน เพอ่ื นผูม๎ วี ยั วุฒิ คาํ สุภาพ คุณวุฒริ ะดับเดียวกัน ฯลฯ 6. ผมู๎ อี าวุโสน๎อยกวํา เชนํ น๎อง หลาน ผม๎ู ีวยั วุฒิ คุณวุฒน๎อยกวํา 1.6 การใช้คาใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ การเลือกใชภ๎ าษาเพ่อื การส่อื สารนอกจากความถูกตอ๎ งแลว๎ ยังต๎องคํานึงถึงความเหมาะสมวํา ส่ือสารกบั ใคร สถานที่ เวลา และโอกาสใด เพราะการส่ือสารกับบุคคลตํางกลํุม ตํางกาลเทศะ ยํอมใช๎ ภาษาแตกตํางกันไป ถงึ แมจ๎ ะเป็นการส่ือสารในเรื่องเดียวกนั ก็ตาม เชนํ พํอพดู กบั ลูก : ต๋อง ลูกลมื กระเป๋านะ หมนู่ ้เี ปน็ อะไรไป เห็นใจลอยบ่อย ๆ ลูกชายพดู กบั แมํ : แม่ครบั แม่ลืมกระเปา๋ ครบั เพื่อนพดู กบั เพ่ือน : เฮ้ย ตอ๋ ง แกลืมหนังสือเรยี น แล้วเป็นอะไรหรือเปลา่ เห็นใจลอย ๆ

ED12101 103 ภาษาและวัฒนธรรม พนกั งานรักษาความปลอดภัย : นักศึกษาคุยกับเพื่อน : ยามคนใหมเ่ ปน็ กนั เองดีนะ นกั ศกึ ษาสนทนากบั ครู : รปภ. คนใหมอ่ ัธยาศยั ดนี ะครบั นักศึกษาเขยี นบนั ทกึ รายงาน : พนกั งานรกั ษาความปลอดภยั มีมนษุ ยสัมพนั ธ์ทด่ี ี โทรทศั น์ : นักศึกษาคยุ กับสมาชกิ ในบา๎ น : รายการทวี ีชว่ งเยน็ นา่ เบ่ือมากเลย นกั ศึกษาคุยกับญาตผิ ใ๎ู หญํ : รายการโทรทัศน์ภาคค่าไมน่ า่ สนใจเลย 1. 7 การใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกับรูปแบบการเขียน การใชภ๎ าษาในการเขยี นร๎อยแก๎วและร๎อยกรองมีลักษณะแตกตํางกัน คําบางคํามีความหมาย เหมือนกัน แตํนํามาใช๎ในรูปแบบที่ตํางกัน คําบางคําเหมาะสําหรับใช๎เขียนข๎อความที่เป็นร๎อยแก๎ว ท่ัวไป แตํคําบางคําเหมาะสําหรับการเขียนร๎อยกรอง ผู๎เขียนจึงต๎องมีความรู๎เรื่องคํา ร๎ูจักสรรหา ถอ๎ ยคาํ ทีเ่ หมาะสมมาใชใ๎ นการเขียน จงึ จะสํงสารไดอ๎ ยํางชดั เจน ตรงตามความตอ๎ งการ ดังตวั อยาํ ตารางท่ี 5.5 กลํุมคาํ ที่มคี วามหมายเหมือนกนั พ่อ บิตา ชนก บิดร ปิตรุ งค๑ แม่ มารดา มารดร ชนนี มาตุ มาตา ลกู ชาย บุตร โอรส ดนัย ตนุช ปรตั ยา ลูกสาว บตุ รี สดุ า ธดิ า ทุนิตา ธิตา พระอาทติ ย์ ตะวัน ทิวากร ทินกร ภาสกร รวิ ไถง สุรยิ ะ สุรยิ ัน ภาณุ ประภากร นา้ คงคา นที สนิ ธ๑ุ สาคร สมทุ ร ชลาลยั อุทก ชโลทร ชลธี ธาร สินธุ คําที่ใช๎ในร๎อยกรอง หากนําไปใช๎ในร๎อยแก๎ว จะทําให๎ข๎อความน้ันไมํสมจริง และ ไมรํ าบรื่น เชนํ ค่าํ คนื นี้ดวงดาราดาษดาเตม็ นภากาศ วันน้ีชนนีไมํอยูํเราตอ๎ งหาภกั ษาหารรับประทานเอง คนื นี้ศศธิ รเต็มดวงยลแล๎วชนื่ หฤทัย 1. 8 การใช้คายมื คําภาษาตํางประเทศที่ไทยรับเข๎ามาใช๎ในภาษาไทยนั้นมี 2 รูปแบบ คือ ศัพท๑บัญญัติ และคาํ ทบั ศัพท๑ 1. 8. 1 ศพั ท์บัญญัติ การบัญญัติศัพท๑ เป็นวิธีการนําภาษาตํางประเทศมาใช๎ โดยกําหนดคําในภาษาไทย ให๎มีความหมายตรงกับภาษานน้ั ๆ เพ่ือใช๎เปน็ มาตรฐานในการเขียนอยํางเป็นทางการ ศัพท๑บัญญัติจึง

ED12101 104 ภาษาและวัฒนธรรม เป็นการสร๎างคําข้ึนใหมํ เพื่อใช๎ในวงการตําง ๆ โดยผู๎ท่ีอยูํในวงการน้ันหรือจากหนํวยงานที่มีหน๎าท่ี บัญญัติศัพท๑โดยตรง คือ ราชบัณฑิตยสถาน ศัพท๑บัญญัติท่ีใช๎ในภาษาไทยมักจะมาจากภาษาอังกฤษ แบํงออกเป็นหมวดหมํูตําง ๆ เชํน คอมพิวเตอร๑ รัฐศาสตร๑ พลังงาน ปรัชญา ประกันภัย วรรณกรรม ฯลฯ ตวั อย่างศัพทบ์ ัญญัติ บัญชีดํา (Blacklist) ตลาดมืด (Black Market) ไฟฟาู (Electric) ดินเปรยี้ ว (Acid soil) นํ้าแขง็ แห๎ง (Dry ice) ตวั แปร (Variable) กจิ กรรม (Activity) โทรทศั น๑ (Television) ซักแหง๎ (Dry cleaning) นิทรรศการ (Exhibition) มลพิษ (Pollution) เสรีนยิ ม (Liberalism) คณิตกรณ๑ (Computer) ไปรษณยี บัตร (Post card) วิทยุ (Radio) คมนาคม (Communication) โทรศพั ท๑ (Telephone) ตาํ รวจ (Police) อาคาร (Building) ประจุ (Charge) เบรกลม (Air Brake) 1. 8. 2 คาทบั ศพั ท์ การทับศพั ท๑ คือ การถาํ ยเสยี งคาํ ในภาษาเดิมให๎ออกมาเป็นเสียงของคําในภาษาไทย การทบั ศัพท๑จะใช๎ตํอเมื่อไมํสามารถหาคํามาบัญญัติศัพท๑ได๎ หรือในกรณีท่ีศัพท๑น้ันใช๎กันแพรํหลายจน เป็นที่เข๎าใจกันในหมํูผู๎ใช๎แล๎ว หรือเป็นศัพท๑เฉพาะท่ีรู๎จักกันทั่วไปในภาษาไทย เชํน ครีม (Cream) โซฟา (Sofa) โบนสั (Bonus) คอมพิวเตอร๑ (Computer) ฯลฯ การใช๎คาํ ทบั ศัพทม๑ ี 2 ลกั ษณะ คอื 1. คําทับศัพท๑ท่ีนิยมใช๎ในภาษามาตรฐานทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน สํวนใหญํ มกั ไมํมีการสร๎างคําไทยขนึ้ ใชแ๎ ทน หรือคําไทยทีส่ รา๎ งขึน้ ไมํเป็นทน่ี ยิ ม เชนํ “เขาไปหาหมอที่คลนิ กิ ” “ปัจจุบันคอมพิวเตอร์กลายเป็นส่งิ สําคัญในชีวติ ประจาํ วัน” “คณะกรรมการจดั คอนเสริ ์ตการกศุ ลกําลงั ประชุมกันเพ่ือวางแผนงาน” “เอดส์ เปน็ โรคท่ีไมมํ ีทางรักษาและยงั ไมํมีวคั ซนี ปูองกัน” 2. คาํ ทบั ศัพท๑ทไี่ มํนิยมใชใ๎ นภาษามาตรฐาน มักเป็นคําทับศัพท๑ที่นิยมใช๎ในภาษาพูด แตํไมํนิยมใช๎ในภาษาเขียน เพราะมีคําเหลํานี้ใช๎อยูํแล๎ว ดังน้ันคําใดท่ีมีคําไทยใช๎อยูํแล๎ว ก็ควรใช๎ ภาษาไทย เพ่ืออนรุ กั ษ๑ภาษาไทย และเป็นการใชภ๎ าษาไทยอยํางถูกต๎องด๎วย เชํน ภาษาพดู : เอกพลเป็นไกด์ของบริษัททวั ร๑แหํงหนงึ่ ภาษาเขยี น : เอกพลเปน็ มคั คเุ ทศก์บริษัทนําเท่ยี วแหํงหนงึ่

ED12101 105 ภาษาและวฒั นธรรม ภาษาพูด : เดชาไปแบงก์เพือ่ เคลียรบ๑ ัญชีเงนิ กู๎ ภาษาเขยี น : เดชาไปธนาคารเพ่ือชําระบญั ชเี งนิ กู๎ ภาษาพูด : ในวันขึ้นปีใหมคํ นสํวนใหญํนยิ มสงํ การด์ อวยพรให๎แกํกนั ภาษาเขียน : ในวนั ขึ้นปใี หมคํ นสํวนใหญํนิยมสํงบตั รอวยพรให๎แกกํ ัน ตารางท่ี 5.6 ตัวอยํางคําทับศัพท๑ คาศพั ท์ เขียนถกู เขยี นผดิ กราฟิก (Graphic) โพสต๑ (Post) แพก็ เกจ (Package) ดิจิตอล (Digital) บล็อก (Blog) เบราว๑เซอร๑ (Browser) อินเทอร๑เน็ต (Internet) เว็บไซต๑ (Website) อีเมล (E-mail) คลกิ (Click) คอนเสิร๑ต (Concert) เซรามกิ (Ceramic) เฟชบุ๏ก (Facebook) โปรเจก็ ต๑ (Project) แฟชนั่ (Fashion) อิเล็กทรอนิกส๑ (Electronic) ซีเมนต๑ (Cement) กอล๑ฟ (Golf) การเขยี นคาํ ทบั ศพั ท๑ ควรศึกษาหลกั เกณฑก๑ ารเขียนคําทับศพั ท๑ของราชบัณฑิตยสถานและค๎า ทับศัพท๑ภาษาตําง ๆ ที่ราชบัณฑิตยสถานได๎รวบรวมไว๎ คําใดท่ีมาจากภาษาตํางประเทศและมีศัพท๑ บัญญัติข้ึนใช๎แล๎วควรใช๎ศัพท๑บัญญัติ โดยเฉพาะในการส่ือสารทางวิชาการ หรือการสื่อสารอยํางเป็น ทางการ (ศึกษาหลักเกณฑ๑การทับศัพท๑เพิ่มเติมได๎จากเว็บไซต๑สํานักงานราชบัณฑิตยสถาน http://www.royin.go.th) 1. 9 การใชส้ านวน สํานวน เปน็ คาํ พดู ที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีความหมายเป็นนัยแฝงอยูํไมํตรงไปตรงมานามาใช๎ ให๎มีความหมายแตกตํางไปจากความหมายเดิมของคําคํานั้น หรืออาจมีความหมายคล๎ายกับ ความหมายเดิมของคําที่นํามาประสมกัน แตํไมํเหมือนกันเลยทีเดียวเป็นความหมายในเชิงอุปมา เปรยี บเทียบ ต๎องอาศัยการตีความจงึ จะเขา๎ ใจ สํานวนมักใช๎ถ๎อยคําไมํยาวแตํกินความมาก เป็นถ๎อยคําที่เรียบเรียงไว๎ตายตัว สลับที่หรือตัด ทอนไมํได๎ เพราะความหมายจะเปล่ียนแปลงไป สํานวนมีความหมายรวมถึง คําพังเพย สุภาษิต ภาษติ ด๎วย การใช๎สํานวนต๎องร๎ูจักเลือกใช๎ให๎ถูกต๎อง เหมาะสมกับกาลเทศะ และสถานการณ๑จึงจะทําให๎ การสือ่ สารมปี ระสทิ ธิผลตามความมงุํ หมาย สาํ นวนชวํ ยใหภ๎ าษาที่ใช๎ในการสอื่ สารสละสลวย เห็นภาพ ได๎ชัดเจนมากข้ึน สํานวนเปรียบเทียบจะชํวยให๎การเขียนหรือการสนทนานั้นออกรสย่ิงข้ึน การใช๎ สาํ นวนควรคํานึงถงึ หลกั ดังนี้

ED12101 106 ภาษาและวฒั นธรรม 1. 9. 1 ใช้สานวนให้ถูกตอ้ งตรงความหมาย บางสํานวนอาจมีคําหรือความหมายคล๎ายคลึงกัน บางคร้ังอาจใช๎แทนกันได๎บ๎างแตํ ไมํอาจใชแ๎ ทนกันได๎ทุกโอกาส เชนํ นกสองหวั –จบั ปลาสองมอื – เหยียบเรือสองแคม งมเขม็ ในมหาสมทุ ร – เข็นครกข้ึนภูเขา – ฝนทงั่ ให๎เปน็ เขม็ ตาํ นาํ้ พรกิ ละลายแมํนา้ํ – ข่ีช๎างจับต๊กั แตน – เก่ยี วแฝกมุงปุา – ฆาํ ชา๎ งเอางา ก้ิงกาํ ไดท๎ อง – ววั ลืมตีน – คางคกข้นึ วอ – แมลงปอใสํตุ๎งตง้ิ – มะพร๎าวต่นื ดกยาจกต่นื มี ฉะน้ัน การทาํ ความเข๎าใจความหมายของสาํ นวนใหแ๎ จํมแจ๎งกํอนนําไปใช๎จึง เป็นเร่ืองสําคัญ บางสํานวนที่มีความหมายคล๎ายคลึงกันแตํอาจแตกตํางกันโดยนัย เชํน ใช๎แสดงความ อาฆาต ขมํ ขูํ เยาะเยย๎ ถากถาง เสียดสี หรอื ใช๎ด๎วยอารมณ๑ขัน ลอ๎ เลยี น เอ็นดู ฯลฯ บางสํานวนใช๎กับเด็ก บางสํานวนใช๎กับหญิงสาว บางสํานวนใช๎ในเชิงตอบรับ บางสํานวนใช๎ในเชิง ปฏิเสธ ผู๎ใช๎ต๎องร๎ูจักเลือกสํานวนให๎ถูกต๎องตรงความหมาย เหมาะสมกับกาลเทศะ จึงจะสามารถ ส่อื สารได๎ตรงตามความตอ๎ งการ เชํน ขอ๎ สอบวิชาภาษาไทยงํายยงิ่ กวาํ ปอกกลว้ ยเข้าปากเสียอีก ชมพูกํ ับโนต๎ เป็นคํูบําวสาวทีส่ มกันราวกิง่ ทองใบหยก งานชนิ้ นี้ยากเหมือนเขน็ ครกขน้ึ ภูเขา วนิ ัยจัดงานบวชอยาํ งเรียบงําย เพราะไมํอยากตานา้ พริกละลายแมน่ ้า 1. 9. 2 ใชส้ านวนให้ถูกตอ้ งตามรปู แบบ การใช๎สํานวนผิดไปจากรูปแบบเดิมท่ีกําหนดไว๎อาจทําให๎ส่ือสารผิดความหมายได๎ เชนํ กงเกวยี นกําเกวยี น ใช๎ผิดเปน็ กงกํากงเกวียน ข้รี าดโทษลํอง ใช๎ผดิ เป็น ชี้ราดโทษรํอง ผีซ้ําดํา้ พลอย ใช๎ผดิ เป็น ผซี ํ้าดา๎ มพลอย 1. 4. 3 ใชส้ านวนให้เหมาะสม การใช๎สํานวนไมํควรใช๎พรํ่าเพรื่อเกินความจําเป็น ควรใช๎ให๎เหมาะกับสถานการณ๑ เชํน ใช๎เพื่ออบรมสั่งสอน ตักเตือน ให๎ข๎อคิดช้ีแจงข๎อเท็จจริง เปรียบเทียบให๎เห็นชัดเจน หรือเพื่อวํา กลําวประชดประชนั ขอ้ ควรระมดั ระวังในการใช้ภาษาเพ่อื การสอ่ื สาร การใช๎ภาษาให๎ถูกต๎อง เป็นส่ิงที่ผู๎สํงสารควรพิถีพิถันเป็นอยํางยิ่ง โดยเลือกใช๎ถ๎อยคําด๎วย ความระมดั ระวงั เรียบเรยี งประโยคตามหลักการใชภ๎ าษา สอ่ื สารไดช๎ ดั เจน ดงั น้ี

ED12101 107 ภาษาและวัฒนธรรม 1. ใชบ้ ทประธาน บทกรรม ใหถ้ กู ต้อง เชนํ ประโยค – ในชีวิตของข๎าพเจ๎า มันมีแตํความเคราะหร๑ า๎ ย (ประธานซํ้า) ควรเป็น – ในชวี ติ ของขา๎ พเจา๎ มีแตํความเคราะห๑รา๎ ย ประโยค – งานแขํงขนั ทกั ษะวิชาชพี สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาจดั ให๎ มที ุกปี (วางบทกรรมไมถํ กู ที)่ ควรเป็น – สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจดั งานแขํงขนั ทักษะ วิชาชีพทุกปี หรือ – งานแขงํ ขนั ทักษะวชิ าชีพเปน็ งานทกี่ รมอาชวี ศกึ ษาจดั ข้นึ ทุกปี 2. วางสว่ นขยายใหถ้ กู ท่ี เชํน ประโยค – ผมชอบโกะ๏ ต้ี เพราะเขามคี วามสามารถในการพดู มาก ควรเปน็ – โต๏ะต๋ี มคี วามสามารถมากในการพดู ประโยค – เม่อื นกั ศกึ ษาทําแบบฝกึ หัดแลว๎ ให๎สงํ ครูทกุ คน ควรเปน็ – เมื่อนกั ศกึ ษาทําแบบฝกึ หัดแล๎วให๎ทกุ คนนาํ มาสงํ ครู 3. เรียบเรยี งประโยคใหส้ มบูรณ์ ไดใ๎ จความชัดเจน เชํน ประโยค – เขาสงสัยเรือ่ งคนร๎ายทไ่ี ดแ๎ จง๎ ตาํ รวจไว๎แล๎ว (ไมชํ ัดเจนวาํ ใครเป็น ผแู๎ จ๎งตํารวจ) ควรเปน็ – เขาสงสัยเรือ่ งคนร๎ายท่ีเขาได๎แจง๎ ตาํ รวจไวแ๎ ล๎ว (ชดั เจน) ประโยค – ปลาขาดนาํ้ ไมํได๎ฉันใด ผมก็ขาดคณุ ไมไํ ด๎ (นาํ้ หนกั ประโยคไมํเทาํ กัน) ควรเปน็ – ปลาขาดนํ้าไมํไดฉ๎ นั ใด ผมก็ขาดคุณไมไํ ดฉ๎ นั น้ัน 4. ใช้คาเชอ่ื มใหค้ รบถ้วน ถูกตอ้ ง สัมพนั ธ์กนั เชํน ประโยค – เขาเป็นคนขยันแตชํ ือ่ สัตย๑ ควรเป็น – เขาเป็นคนขยนั และซื่อสตั ย๑ ประโยค – วันขน้ึ ปใี หมํลูกหลานมกั จะไปเยยี่ มเยยี นและมอบของขวัญแกํญาตผิ ๎ูใหญํ ควรเปน็ – วันข้นึ ปใี หมลํ ูกหลานมักจะไปเย่ยี มเยยี นและมอบของขวัญ แดญํ าติผู๎ใหญํ 5. ไม่ใช้คาฟุ่มเฟอื ย เชํน ประโยค – เขาถูกยงิ ตายกลายเปน็ ศพ ควรเปน็ – เขาถูกยิงตาย ประโยค – เกิดอุบัตเิ หตุเคร่ืองบนิ ตก ผ๎ูโดยสารตายหมดไมํมีผู๎ใครรอดชีวิต ควรเปน็ – เกดิ อุบตั เิ หตุรถชนกัน ผโู๎ ดยสารตายหมด

ED12101 108 ภาษาและวัฒนธรรม 6. ไม่ใช้คาซา้ ซากในประโยคเดียวกัน เชํน ประโยค – สํานวนที่วํา คนดีแก๎ไข คนจัญไรแก๎ตัว เป็นสํานวนท่ีนําคิดสํานวนหน่ึง ควรเปน็ – คนดีแกไ๎ ข คนจัญไรแกต๎ วั เปน็ สาํ นวนท่นี ําคิดสํานวนหน่ึง ประโยค – หา๎ มไมใํ หข๎ า๎ มถนนกอํ นสญั ญาณไฟ ควรเปน็ – หา๎ มข๎ามถนนกอํ นสัญญาณไฟ 7. เรียบเรียงถ้อยคาตามหลักภาษาไทย ไมํใชส๎ าํ นวนตาํ งประเทศ เชํน ประโยค – นายกรัฐมนตรไี ดต๎ อบตํอข๎อซกั ถามของนกั หนังสือพิมพ๑ ควรเปน็ – นายกรฐั มนตรตี อบคําถามของนักหนงั สือพิมพ๑ ประโยค – เธอมาในชุดสแี ดงเพลงิ ควรเป็น – เธอสวมชดุ สแี ดงเพลงิ 8. ขอ้ ความเดยี วกนั ควรใช้ระดับเดียวกนั เชํน ประโยค – ลกู สาวของเขา ขยันเรียนมากกวาํ บุตรชาย ควรเป็น – ลกู สาว กบั ลูกชาย หรือ บตุ รสาว กบั บตุ รชาย ประโยค – เราไปเยี่ยมคนเจ็บด๎วยกนั เมื่อไปถึงคนไขฟ๎ ื้นแลว๎ ควรเปน็ – คนไข๎ หรอื คนเจ็บ คําใดคําหนึง่ 9. ใชค้ าเปรียบเทียบให้ถูกตอ้ ง เชํน ประโยค – ผ๎หู ญงิ คนนั้น ใจแขง็ เหมอื นก๎อนอฐิ ควรเปน็ – ผู๎หญิงคนนั้น ใจแข็งเหมอื นเพชร (หนิ ) ประโยค – คนอะไรใจเสาะเหมือนปลาเข็ม ควรเป็น – คนอะไรใจเสาะเหมอื นปลาซิว 10. การใช้คาท่ีมคี วามหมายขดั แย้งกัน เชนํ ประโยค – นักกีฬาคํอย ๆ วงิ่ ไปอยํางรวดเร็ว ควรเปน็ – นักกฬี าคอํ ย ๆ วง่ิ ไป / นกั กีฬาวง่ิ ไปอยํางรวดเร็ว ประโยค – นาน ๆ คร้ัง เขาจะไปเย่ียมคุณยายเสมอ ควรเปน็ – นาน ๆ ครั้ง เขาจึงจะไปเยีย่ มคณุ ยาย / เขาไปเยยี่ มคุณยายเสมอ 11. ไม่ใช้คาท่ีมีความหมายกากวม หรือถ๎อยคําที่มีความหมายโดยนัยไปในเชิงหยาบคาย เชนํ ประโยค – สุพลแตงํ งานกับนอ๎ งของสุนิสาท่เี ปน็ นกั รอ๎ ง อาจหมายถงึ สุนสิ าเป็นนกั ร๎อง หรือ น๎องของสุนสิ าเป็นนกั รอ๎ ง กไ็ ด๎ ประโยค – ทีน่ รี่ ับอัดพระ ควรเป็น – ท่ีนร่ี บั อดั กรอบพระ

ED12101 109 ภาษาและวฒั นธรรม 12. ไม่ควรใช้คาภาษาต่างประเทศทีส่ ามารถใชค้ าไทยแทนได้ เชนํ ประโยค – วันเกดิ ปีนผ้ี มแฮปป้มี ากเลย ควรเปน็ – วนั เกดิ ปนี ้ีผมมคี วามสขุ มากเลย ประโยค – เขาเป็นคนตรงไปตรงมา คอํ นข๎างแอนตีส้ ังคม ควรเปน็ – เขาเป็นคนตรงไปตรงมา คํอนขา๎ งตํอตา๎ นสงั คม 13. ไม่ควรใช้คาโดยไมค่ านึงถงึ ความหมายและชนดิ ของคา ตวั อยาํ งเชํน • ความสขุ ท่ีคุณด่ืมได๎ (ความสขุ ไมใํ ชํของเหลวจงึ ไมํอาจรับรสไดด๎ ๎วยการด่ืม) • สะอาดจนคุณดมความสะอาดได๎ (ความสะอาดไมํสามารถสัมผัสได๎ด๎วยการตม) • สามสบาย (สบายเปน็ คาํ วิเศษณไ๑ มํใชคํ าํ ลักษณนาม) • โดดเด่ียวรฐั บาล (โดดเด่ยี วเป็นคาํ วเิ ศษณ๑ไมํควรใช๎แทนคํากริยา) ข้อควรคานงึ ในการเรียบเรยี งประโยค 1. เรยี บเรียงประโยคให้ถกู ตอ้ ง ชดั เจน มีลกั ษณะดงั น้ี 1. เรียงลําดับคําให๎ถูกที่ คือ ต๎องเรียงประธาน กริยา กรรม หรือสํวนขยายให๎ตรง ตามตําแหนํง เพอื่ ให๎สื่อความหมายได๎ถกู ต๎อง ชัดเจน เชนํ • เธอชํวยปลอบความทกุ ข์เขาใหค้ ลาย – ไมชํ ัดเจน • เธอชํวยปลอบเขาใหค้ ลายความทุกข์ – ชัดเจน • เขาถูกฟอู งฐานหมน่ิ ประมาทในศาล – หมายถงึ เรือ่ งเกิดในศาล • เขาถูกฟูองในศาลฐานหม่ินประมาท – ชดั เจน • เขาชํวยเหลือนักเรียนโรงเรียนตาํ ง ๆ ที่ยากจน – ยากจน ขยาย นักเรียน ไมใํ ชํ โรงเรียน • เขาชํวยเหลอื นักเรยี นท่ยี ากจนในโรงเรียนตําง ๆ – ชัดเจน 2. เรียงคาตามแบบภาษาไทย อยําใช๎สํานวนภาษาตํางประเทศ เชํน • เขาเขา๎ มาพร้อมกับหนังสอื เลมํ ใหญํ ควรใช๎ เขาถอื หนังสือเล่มใหญ่ • ภาษาหนังสอื พมิ พเ๑ ป็นภาษาที่งา่ ยต่อการทาความเขา้ ใจ ควรใช๎ เข้าใจงา่ ย

ED12101 110 ภาษาและวัฒนธรรม 3. ใชค้ าให้สนิ้ กระแสความ คือ ใชค๎ ําใหค๎ รบถ๎วน ไมํขาดบทประธาน หรือบทกริยา เชํน • เขาสงสัยเร่ืองบา๎ นท่ีถกู ขโมยขน้ึ – ไมํชดั เจน • เขาสงสัยเร่อื งบา๎ นของเขาท่ีถกู ขโมยขึ้น – ชัดเจน อย่าใชค้ า่ หรอื สา่ นวนผิดความหมาย เชนํ • เขาต้ังปฏิภาณไว๎วาํ จะตง้ั ใจเรยี น ปฏิภาณ หมายถงึ ไหวพริบในการตอบโต๎ ควรใช๎วาํ ปณิธาน • ธรี ะเป็นคนมอื ไวพบผู๎ใหญํเม่ือใด ก็รบี ไหว๎ทันที มือไว หมายถงึ ข้ขี โมย ควรใช๎วาํ มอื ออ่ น • นักเรียนที่มว่ั สุมกบั การเรยี นมากเกินไป ยํอมไมํมโี อกาสไดร๎ ๎ูจกั โลกภายนอก เทําทค่ี วร ม่วั สมุ หมายถงึ ชุมนุมกนั เพื่อกระทาํ การในทางไมดํ ี ควรใช๎วาํ หมกมุน่ • ตามหมายกาหนดการผ๎ูอาํ นวยการจะใหโ๎ อวาทแกํนกั เรียนเวลา 10.00 น. หมายกําหนดการ ใช๎แตํในพระราชพิธที ีส่ ํานกั พระราชวงั รบั พระบรมราชโองการ ใหก๎ ําหนดการ ประโยคนี้ตอ๎ งใช๎วํา กาหนดการ 4. อย่าใช้คาที่ส่ือความหมายกากวม คําท่ีมีความหมายหลายอยํางต๎องเขียนประโยคให๎ ชดั เจน เชนํ • แมํค๎าขอหอมหนอํ ย ความหมายตํางกับ แมคํ ๎าขอหัวหอมหนํอย • ยายสายหยดุ ทาํ งาน มคี วามหมายวําได๎หลายอยาํ งดังนี้ -ยายของคนชอื่ สายหยดุ ทํางาน -ยายของคนชอื่ สายไมํเลกิ ทาํ งาน -คนช่ือสายหยดุ ทาํ งาน -คนชื่อสายไมทํ าํ งาน 5. อยา่ ใช้คาฟุ่มเฟอื ย เชํน • เขาถูกจบั ในขอ๎ หาลักทรัพย๑ของผ๎ูอ่นื • ผรู๎ า๎ ยถกู ยิงตายกลายเป็นศพ • คนงานกําลังทาํ การกํอสร๎างบ๎าน

ED12101 111 ภาษาและวฒั นธรรม • บ๎านเรอื นของผ๎ูคนมีอยูํหนาแนนํ คาํ ที่พมิ พ๑ดว๎ ยตัวพมิ พ๑ดํา เม่ือตดั ออกกย็ ังสื่อความหมายไดช๎ ัดเจน 6. อยา่ ใช้คาคนละระดบั เชํน • สตรีมลี กั ษณะหลาย ๆ อยาํ งท่ีแตกตํางจากผู๎ชาย ควรใช๎ สตรี - บรุ ุษ หรอื ผูห๎ ญงิ - ผช๎ู าย 7. อย่าใชค้ าผิดหน้าท่ี เชนํ • ผมขอแถลงการณ์ หลักการดาํ เนินงานของผมให๎ทุกคนรบั ทราบ ควรใช๎ แถลง • หมาเหําดังนน้ั มนั จงึ ไมํกดั ใช๎สันธานผิด ควรแก๎เปน็ หมาเห่ายอ่ มไม่กดั การใชภ๎ าษาได๎อยํางถูกต๎องเป็นหวั ใจสําคญั ของการสื่อสาร หากนกั ศึกษาเข๎าใจหลกั พนื้ ฐาน ของภาษาไทยไมํวาํ จะเป็นระเบียนทางหลักภาษา หรือการใหเ๎ หมาะสมกบั บคุ คล หรือการใชภ๎ าษาให๎ เหมาะสมกับรปู แบบทีจ่ ะส่อื สารจะทําให๎นักศึกษาสามารถสํงสารไปยงั ผร๎ู บั สารได๎อยํางมีประสทิ ธิภาพ มากยง่ิ ขนึ้ บทสรปุ การใช๎ภาษาเพื่อการส่ือสารให๎เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ผ๎ูสํงสารควรศึกษาระเบียบวิธีและ หลักการใช๎ภาษาไทยให๎ถูกต๎องและการใช๎ภาษาให๎เหมาะสมตามรูปแบบของการติดตํอส่ือสาร ไมํวํา จะเป็นหลักหรือวิธีการใช๎คํา การใช๎ประโยค การใช๎โวหารภาพพจน๑ สํานวนไทย การใช๎ภาษาให๎ ถกู ตอ๎ งตามระดับของภาษา เม่ือผ๎ูสํงสารสื่อสารมีความร๎ูความเข๎าใจพ้ืนฐานด๎านภาษาไทย จะทําให๎ ผู๎สงํ สารสือ่ สารกบั ผ๎ูรบั สารไดต๎ รงประเด็น ทําให๎เกิดปฏิกิริยาตอบกลบั จากผ๎ูรับสารตามวัตถุประสงค๑ ท่ีผู๎สํงสารต๎องการและทําให๎กระบวนการส่อื สารเกดิ ประสิทธภิ าพสูงสุด

ED12101 112 ภาษาและวัฒนธรรม กิจกรรมประจาบทท่ี 5 1.ใหน๎ กั ศกึ ษารวํ มกันอภิปรายหวั ข๎อ “ภาษาไทยในปัจจุบัน” 2.ให๎นักศึกษาสังเกตการใช๎ภาษา เชํน การใช๎คํา ประโยค จากสื่อตํางๆ ท่ีพบใน ชีวิตประจําวัน วําการใช๎ภาษาของส่ือในปัจจุบันเหมาะสมหรือถูกต๎องตามหลักการใช๎ภาษาหรือไมํ จากน้ันสํงตวั แทนรํวมนาํ เสนอแลกเปล่ียนกับกลํุมอน่ื ๆ 3. นักศึกษาสร๎างสถานการณ๑บทบาทสมติตามสํานวนท่ีอาจารย๑กําหนดให๎ พร๎อมท้ังหา ความหมายของสํานวน นาํ เสนอหน๎าชัน้ 4. นักศึกษาจับกลุํม กลุํมละ 5 คน สรุปโดยใช๎แผนผังมโนทัศน๑(Mind mapping) หัวข๎อข๎อ ระมดั ระวงั การใช๎ภาษาและประโยคในการสือ่ สาร

ED12101 113 ภาษาและวัฒนธรรม เอกสารอา้ งอิง นพดล จนั ทร๑เพ็ญ. (2557). หลักการใช้ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: เจเนซิส. ยรรยง มีสติ. (2544). เรื่องสน้ั การศกึ ษาเชิงความคิดเหน็ . สุรินทร๑: คณะมนุษยศาสตร๑และ สงั คมศาสตร๑ สถาบนั ราชภฏั สรุ นิ ทร๑. ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยหู ัว เนื่องในโอกาสพระราชพธิ ีมหามงคล เฉลมิ พระ ชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑติ ยสถานอุดม วิโรตม๑ สกิ ขดิตย๑. (2547). ภาษาศาสตร์เบ้อื งต้น (Introduction to Linguistics)(พิมพ๑คร้ังท่ี 18). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง.

ED12101 114 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจดั การเรยี นรู้ บทท่ี 6 ทักษะการฟังเพ่อื การส่อื สารสาหรบั ครู สาระการเรยี นรู้ 1. ความหมายของการฟัง 2. ความแตกต่างระหวา่ งการฟงั กบั การไดย้ ิน 3. ความสาคญั ของการฟงั 4. ขน้ั ตอนและกระบวนการฟัง 5. การเตรยี มความพรอ้ มในการฟังเพ่ือการส่อื สารอย่างมีประสทิ ธิภาพ 6. ประเภทของสารทฟี่ ัง 7. การฟงั ประเภทตา่ งๆ 8. หลักการฟงั อย่างสร้างสรรค์ 9. มารยาทในการฟงั 10. อปุ สรรคในการฟงั วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธบิ ายความหมายและความสาคัญของการสื่อสารได้ 2. เลอื กรูปแบบและภาษาในการสื่อสารได้เหมาะสมกับสถานการณ์การส่ือสาร 3. วิเคราะห์สถานการณใ์ นการสอื่ สารได้ 4. ประยุกตใ์ ชส้ ถานการณ์การสื่อสารในชวี ิตประจาวันได้ กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. การบรรยาย 2. นาเสนอสถานการณ์การสื่อสาร 3. กิจกรรมกลุ่ม (วเิ คราะห์ภาษาจากสอ่ื หรือกจิ กรรม) 4. อภปิ รายกลุ่ม 5. ฝึกการอา่ นโดยใหแ้ สดงวิธีการอา่ นท่ถี กู ต้อง และแสดงความคดิ เหน็ จากเร่ืองที่อ่าน 6. ผู้เรยี นและผู้สอนรวมกันสรปุ หลกั การทเี่ รยี น ให้นักศกึ ษาบนั ทกึ สรุปลงสมุด สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. สือ่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ สไลดน์ าเสนอความรู้เกย่ี วกบั การฟัง ซดี ี วดี ที ัศน์ 3. แบบฝึกหัด

ED12101 115 ภาษาและวฒั นธรรม การวดั ผลและการประเมินผล 1. ใบงาน/ใบกิจกรรม และแบบฝึกหัด 2. สงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทากจิ กรรม การแสดงความคดิ เหน็ และการ อภปิ รายกลุ่ม 3. การจับใจความ การวิเคราะห์ การตีความการฟงั ตามสถานการณ์ท่ีกาหนด

ED12101 116 ภาษาและวฒั นธรรม บทที่ 6 ทักษะการฟังเพื่อการสือ่ สารสาหรับครู การฟังเป็นทักษะการส่ือสารของมนุษย์ท่ีมีความสาคัญทักษะหนึ่ง ทักษะการฟังเป็นทักษะ สาคญั ทักษะหนึง่ ในการเรยี นรูส้ ิ่งตา่ ง ๆ รอบตัว การฟังทาให้ผู้ฟังส่ังสมจากการฟัง ในอดีตเน่ืองจาก เครื่องมือในการสื่อสารมีข้อจากัด ดังนั้นวรรณกรรมส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะจึงต้องอาศัย ทักษะการฟังในการถ่ายทอดความรู้สืบต่อมาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การท่ีผู้ฟังจะสามารถรับรู้ เร่ืองราวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิผลตามจุดมุ่งหมายที่ต้ังไว้ ผู้ฟังควรมีความรู้ เบือ้ งตน้ เก่ยี วกบั ทักษะการฟงั เพือ่ ใช้เปน็ แนวทางในการพฒั นาตนเองใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ท่ตี งั้ ไว้ ความหมายของการฟัง การฟังเป็นทักษะที่สาคัญในการดารงชีวิตประจาวันของมนุษย์ การฟังให้เกิดประสิทธิภาพ นน้ั จาเปน็ ท่ผี ู้ฟังตอ้ งมีความรู้พ้ืนฐานเกีย่ วกับการฟังเพราะจะทาให้เข้าใจลักษณะทั่วไปของการฟัง ซึ่ง จะเป็นพ้ืนฐานความเข้าใจอันจะช่วยให้การพัฒนาทักษะการฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหมาย ของการฟังนัน้ มนี กั วชิ าการได้ใหค้ วามหมายไว้ ดังน้ี ปรีชา ช้างขวัญยืน(2525: 4-5) ได้กล่าไว้ว่า “การฟัง คือ พฤติกรรมการใช้ภาษาท่ีเกิดขึ้น ภายในตัวบุคคลของบุคคลหนึ่งหลังจากได้ยินเสียงพูดหรือเสียงอ่าน ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ภาษา ภายนอกตัวบุคคลจากอีกบคุ คลหน่งึ เม่อื เสยี งนั้นมากระทบโสตประสาทของผรู้ ับ คือ ผู้ฟังแล้ว ผู้ฟังก็ จะนาเสียงพูดเหล่านั้น เข้าสู่กระบวนการทางสมอง คือ การคิด ด้วยการแปลความ ตีความจนเกิด ความเข้าใจ ทัง้ นถี้ า้ เสียงดงั กล่าวเป็นเสียงในภาษาเดยี วกันของทง้ั ผูพ้ ูดและผู้ฟัง การฟังก็จะเกิดผลได้ งา่ ย ถกู ตอ้ งและชัดเจน” วฒั นะ บุญจับ (2541: 34) ได้กล่าวไว้ว่า “การฟงั คือการรับรูเ้ ร่อื งราวขา่ วสารจากการได้ยิน แลว้ ทาความเขา้ ใจจนสามารถนาสารนน้ั ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้และการฟงั นั้นต้องหมายถึงการได้ยินอย่างรู้ เรือ่ งเข้าใจความหมาย ถูก ครบถ้วนตามจุดมุ่งหมายของผู้พูด รู้จักมีวิจารณญาณในการฟังตลอดจนมี มารยาทในการฟังด้วย” สนทิ สตั โยภาส (2545 : 44) ได้กล่าวถึงความหมายของการฟังว่า การฟัง หมายถึงการที่เรา ได้ยนิ เสียงของถอ้ ยคา พรอ้ มทง้ั ติดตามเร่อื งราวที่ไดย้ นิ จนเกิดความเขา้ ใจ สามารถ จับใจความสาคัญแล้วนาไปไตรต่ รองได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 858) ไดใ้ หค้ วามหมายของการฟังไว้ วา่ การฟงั หมายถงึ ตัง้ ใจสดบั คอยรบั เสียงดว้ ยหู ได้ยนิ นพดล จันทร์เพ็ญ (2557 : 42) ได้กล่าวถึงความหมายของการฟังไว้สรุปได้ว่า การฟัง หมายถึง การที่มนุษย์ได้ยินเร่ืองราวโดยผ่านประสาทสัมผัสทางหู อาจจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ได้ว่า ถ้าเรื่องราวท่ีฟังเป็นเรื่องท่ีส่ือความหมายได้ และมนุษย์สามารถนาไปคิดหรือปฏิบัติได้ถูกถือว่าเป็น กระบวนการฟงั ที่สมบรู ณ์

ED12101 117 ภาษาและวฒั นธรรม สรุปได้ว่า การฟัง หมายถึง การรับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ จากแหล่งของเสียง ซึ่งอาจจะรับรู้ผ่านผู้ พูดโดยตรง หรือรบั รูผ้ า่ นอปุ กรณบ์ ันทกึ เสียงแบบต่าง ๆ โดยแหล่งเสียงจะส่งผ่านประสาทสัมผัสทาง หูเข้ามา แล้วผู้ฟังเกิดการรับรู้ความหมายของเสียงที่ได้ยิน จากนั้นนาความหมายที่ได้รับรู้ไป พิจารณา ทาความเขา้ ใจวัตถุประสงค์ของผู้พูด ประเมินค่าสารทีไ่ ด้ฟัง และสามารถนาสารท่ีได้จาก การฟังไปปฏิบตั ใิ ห้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ของตนได้ ความแตกต่างระหว่างการฟังกับการได้ยนิ การฟังนั้นต่างจากการได้ยิน เน่ืองจากการฟังต้องอาศัยโสตประสาทท่ีอยู่ในหูเป็น เครื่องมือรับเสียง จากน้ันเมื่อเสียงผ่านโสตประสาทแล้วจะเข้าสู่กระบวนการทางานของสมอง ส่วน การได้ยินเป็นกลไกอัตโนมัติของโสตประสาทในการรับเสียงแต่ไม่ได้เชื่อมโยงกับกระบวนการทาง สมองเพื่อตีความในการทาความเข้าใจเสียงนั้น แผนภูมิต่อไปน้ีแสดงให้เห็นกระบวนการการฟังซ่ึงจะ ทาให้เหน็ ความแตกต่างระหว่างการฟังกับการได้ยิน แบ่งตามลาดบั ได้ 5 ขน้ั ตอน (แผนภูมทิ ่ี 1) ดังนี้ ภาพที่ 6.1 กระบวนการฟงั กับการได้ยิน (ดัดแปลงจาก ธิดา โมสกิ รัตน์, 2538: 168) จากแผนภาพจะเห็นว่า กระบวนการฟังเป็นข้ันตอนที่ต่อจากการได้ยิน การได้ยินจะสิ้นสุด เพียงระดับการรับรู้เสียงแต่การฟังน้ัน เม่ือผู้ฟังเกิดการรับรู้เสียงแล้วจะต้องใช้กระบวนการทางสมอง ในการตีความและแปลความเสียงที่ได้ยินนั้นออกมา ทาให้เกิดความเข้าใจและตอบสนองสารท่ีได้ฟัง เช่น เกิดความเข้าใจ เกิดอารมณ์ความรู้สึก เป็นต้น เป็นท่ีน่าสังเกตว่า ลักษณะการฟังน้ันจะต้องเร่ิม มาจากการตงั้ ใจหรือจงใจทีจ่ ะฟงั สว่ นการได้ยนิ จะไมไ่ ด้เริม่ จากการตั้งใจฟงั ความสาคญั ของการฟัง การฟังเป็นทักษะทางภาษาท่ีมนุษย์ใช้ในชีวิตประจาวันมากที่สุด จอห์น ดับบลิว เคล์ทเนอร์ พบว่า การใช้ทักษะทางภาษาได้แก่ ทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน มนุษย์ ทกั ษะภาษาทัง้ 4 ด้าน ดงั แผนผังตอ่ ไปนี้

ED12101 118 ภาษาและวฒั นธรรม ภาพที่ 6.2 ปรมิ าณการใช้ทกั ษะทางภาษาเพ่ือการส่ือสารในชวี ิตประวัน จากแผนผังการใช้ทักษะทางภาษาในการสื่อสารของมนุษย์จะเห็นได้ว่ามนุษย์ ใช้เวลาในการ ฟงั มากท่สี ุดทักษะทางภาษาดา้ นอน่ื ๆ มากถึง 42 % ใชเ้ วลาในการส่ือสารด้วยการพูด 32 % ใช้เวลา ในการอ่าน 15 % และใชเ้ วลาในการเขยี นน้อยท่สี ดุ เพยี ง 11% ความสาคัญของทักษะการฟังในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจาวัน สามารถจาแนก ความสาคัญได้ ดงั น้ี 1. การฟังเปน็ กระบวนการรับสารทีเ่ ราใชม้ ากท่ีสุดในชีวติ ประจาวัน เช่น การติดต่อส่ือสารใน ชวี ิตประจาวนั ของมนษุ ย์ มนุษยส์ ามารถติดต่อส่ือสารการฟังโดยผ่านสื่อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ จากสถิติการวิจัยของวิลเลียม เอฟ แมคคี เขียนไว้ในหนังสือ “Language Teaching Analysis” ว่า วันหนึ่ง ๆ ของคนเราจะมีการฟัง 48% การพูด 23% การอ่าน 16% และ การเขียน 13% (อ้างถงึ ใน สถาบันราชภัฏสวนดุสติ . 2539: 6) 2. การฟังเป็นเครื่องมือท่ีสาคัญในการแสวงหาความรู้ทุกสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ทางด้านการเรยี นทกุ ระดบั ทุกวิชาชพี ซ่งึ เป็นความรูท้ ีม่ นุษยต์ อ้ งการมากท่สี ดุ 3. การฟงั เป็นทักษะสง่ เสริมความคดิ และความฉลาดรอบรู้ เป็นพหสู ูต(ผูส้ ดบั ตรับฟังมาก) ทา ใหป้ ระสบความสาเรจ็ และก้าวหน้าในหนา้ ท่ีการงานไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ 4. การฟังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์สิ่งที่แปลกใหม่โดยการวิเคราะห์ ตีความ นามา ประยุกตป์ รบั เปล่ยี นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เกิดความงอกงามทางความรู้ ความคิด และสติปัญญา 5. การฟังเป็นทักษะท่ีก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เช่น การฟังเพลง นิทาน วรรณคดี เปน็ ตน้

ED12101 119 ภาษาและวฒั นธรรม 6. การฟังช่วยให้ผู้รับสารเป็นผู้พูดและผู้เขียนท่ีมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เพราะการ ฟังช่วยให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ประสบการณ์ด้านเน้ือหาสาระ ภาษาถ้อยคาท้ังร้อยแก้วและร้อยกรอง เพื่อเปน็ ขอ้ มูลในการพูดและการเขียนต่อไป ขน้ั ตอนและกระบวนการฟงั จากความหมายของการฟัง เราสามารถแบง่ ข้ันตอนการฟงั ได้ 6 ขน้ั ตอน (ธิดา โมสกิ รัตน์ และศรสี ุดา จรยิ ากุล 2546 : 321) ดงั นี้ 1. ขั้นได้ยินเสียง กระบวนการฟังจะเริ่มต้นต้ังแต่การได้ยินเสียงจากแหล่งของเสียงซึ่งแพร่ คล่ืนเสียงที่มีลักษณะเป็นคล่ืนไฟฟ้าผ่านอากาศเข้ามา ประสาทสัมผัสทางหู หรือโสตประสาทจะรับ เสียงเหล่าน้ันผา่ นเขา้ ไปยงั สมอง 2. ขั้นรับรู้ เมื่อเสียงผ่านเข้าไปยังสมองแล้ว สมองจะจาแนกเสียงพยางค์ไปตามลักษณะ โครงสร้างทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา หากเป็นเสียงในภาษาท่ีผู้ฟังรู้จักและเข้าใจจะเกิดการรับรู้ แต่หากผู้ฟังไมร่ ู้จักเสยี งทผ่ี ่านเขา้ มากจ็ ะไม่เกิดความหมายใด 3. ขน้ั ตคี วาม เป็นข้นั ทีผ่ ูฟ้ งั แปลความหมาย หรือตคี วามหมายของประโยคหรือสิง่ ท่ีได้ยิน ไดฟ้ งั 4. ข้ันเข้าใจ เป็นขั้นการฟังซึ่งผู้ฟังสามารถเข้าใจความหมายของใจความสาคัญของผู้พูดได้ อย่างถกู ต้อง 5. ข้ันพิจารณาหรือขั้นเช่ือ เป็นข้ันท่ีขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ฟังท่ีจะตัดสินว่าเรื่องที่ได้ ยินมานั้น เป็นความจริงเพียงใด น่าเชื่อถือได้หรือไม่ ยอมรับได้หรือไม่ และเป็นประโยชน์ต่อตนเอง หรือไม่ 6. ขน้ั การนาไปใช้ เม่ือพจิ ารณาสารเรียบร้อยแลว้ ผู้ฟังจะนาความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการ ฟงั ไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คมต่อไป จะเห็นได้ว่าการฟังท่ีดีมีประสิทธิภาพ คือ การฟังอย่างมีวิจารณญาณ คือ การฟังที่มี ประสิทธภิ าพ นอกจากการฟังเพอ่ื การรบั สารแลว้ ต้องมกี ารวิเคราะห์ ใคร่ครวญ วินิจฉัย ประเมินค่า และเพื่อใช้ประโยชน์ ในชีวติ ประจาวนั อย่างแท้จรงิ ตามจดุ ม่งุ หมายท่ตี งั้ ไวท้ ุกประการ การเตรียมความพร้อมในการฟังเพื่อการส่ือสารอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ทักษะการฟังท่ีดีนั้นจะนามาซึ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง ดังนั้นผู้ท่ีจะเป็นผู้ฟังที่ดีควรจะต้องมี หลักการฟังทีด่ เี พ่ือใช้เป็นวธิ ีในการฟงั อยา่ งมีประสิทธิภาพ สามารถสรปุ การฟังทีด่ ีได้ ดังนี้ 1. มสี มาธิในการฟงั การฟังแต่ละคร้งั ผฟู้ ังตอ้ งมีสมาธิในการฟัง การมีสมาธิในการฟัง ก็คือ การไม่ปล่อยให้ความคิดอ่ืนเข้ามาแทรกแซงในขณะฟัง ผู้ฟังจะต้องฝึกฝนสมาธิการฟังให้กับตนเอง พยายามให้ความสนใจในเร่ืองที่ฟัง 2. สนใจในเรื่องที่ฟัง ขณะฟังจะต้องให้ความสนใจ ความสนใจจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือเร่ืองที่ ฟังอยู่ในวงประสบการณ์ของผู้ฟัง ฉะนั้น ผู้ฟังจะต้องอ่านมาก ฟังมาก เห็นมาก เพื่อให้มี ประสบการณก์ วา้ งขวาง จะทาให้ความสนใจการฟงั ของผู้ฟงั กว้างขวางขน้ึ

ED12101 120 ภาษาและวฒั นธรรม 3. มีจุดมุ่งหมายในการฟัง ผู้ฟังจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายในการฟังจึงจะทาให้การฟังมี ประสิทธิภาพ การต้ังจุดมุ่งหมายการฟังข้ึนอยู่กับหัวข้อเรื่องท่ีจะฟัง เนื้อเร่ืองที่จะฟัง วิธีการพูดของ บุคคล จดุ มงุ่ หมายการฟังอาจจะแบง่ ได้หลายประการ เชน่ ฟังเพื่อติดต่อสือ่ สาร ในชีวิตประจาวัน ฟังเพ่ือแสวงหาความรู้และความรอบรู้ ฟังเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินและความ ซาบซึ้ง และฟังเพ่ือให้ได้ข้อคิด วิธีการฟังบางประเภทอาจไม่ต้องการสมาธิมากนัก ได้แก่ การฟัง ดนตรี การฟงั เพลง การฟังนิยาย เปน็ ต้น 4. มีความสามารถในการจับใจความ ผูฟ้ ังตอ้ งสามารถจบั ใจความและจบั ประเด็นสาคัญ ของเรื่องท่ีฟังได้ แล้วสรุปเป็นความคิดออกมา ตลอดจนทราบแนวความคิดของผู้พูด การสรุป สาระสาคญั อาจใช้การจดบนั ทกึ หรอื ยอ่ ความประกอบดว้ ยกไ็ ด้ 5. วิเคราะห์เรอ่ื งท่ฟี ัง เม่อื ฟังแล้วผฟู้ งั ตอ้ งวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจรงิ และความคิดเห็น ของผู้พูด พจิ ารณาดว้ ยเหตุผลและประเมนิ คา่ เร่ืองที่ฟัง 6. มีความพร้อมในการฟัง ความพรอ้ มในการฟัง ไดแ้ ก่ ความพรอ้ มทางกาย คอื การรบั รู้ ทางเสียงดี หูไม่ตึง สขุ ภาพรา่ งกายไม่ปวดศีรษะ เปน็ ไข้ หรือหวิ โหย ทางจิตใจ คือ มีความตั้งใจในการ ฟัง มีความสนใจที่จะฟัง อารมณ์ไม่เครียด ไม่มีความหวาดวิตก นอกจากนั้น บรรยากาศหรือ สภาพแวดลอ้ มในการฟังดี ไม่มเี สยี งรบกวน ไมม่ ีกลิ่นรบกวน อากาศไมร่ ้อนอบอ้าว เป็นต้น 7. มีความเป็นกลาง กล่าวคือไม่มีอคติต่อผู้พูดและต่อเรื่องท่ีฟัง การฟังโดยมีความลาเอียง หรือมีอคติต่อผู้พูดหรือเรื่องท่ีฟัง จะทาให้การพินิจพิจารณาเร่ืองที่ฟังมีความลาเอียงไปด้วย ผู้ฟังไม่ ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาตัดสินในเร่ืองท่ีฟัง ควรพึงระลึกอยู่เสมอว่าผู้พูดเป็นคนที่ควรเคารพ และมาใหค้ วามรแู้ ก่เรา 8. บนั ทกึ สิง่ ทฟ่ี งั ผ้ฟู งั ควรจดบนั ทึกสาระสาคัญไว้เพอ่ื เตือนความทรงจา ท้ังน้ียังสามารถ กลบั มาอา่ นได้ซา้ จากเรื่องทฟี่ ังและสามารถนาเอาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ 9. มีมารยาทในการฟังและฟังอย่างสารวม ผู้ฟังควรฟังด้วยอาการสารวมและมีมารยาท การในฟงั เชน่ ไมล่ กุ เดินเข้าเดินออกโดยไม่จาเป็น ถ้าจาเป็นต้องลุกออกจากท่ีประชุมและกลับเข้า ห้องควรจะทาความเคารพผู้เปน็ ประธานของท่ปี ระชมุ 10.ใหเ้ กียรตแิ ละให้กาลังใจแกผ่ ูพ้ ูด ในขณะท่ีผูพ้ ูดกาลังพดู ไม่ควรคุยหรือหยอกล้อกนั เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติผู้พูดและเป็นการเสียมารยาทในการฟัง ถึงแม้การฟังในบางคร้ังอาจมี ปญั หาและอปุ สรรคบา้ งก็ตอ้ งอดทนฟงั อยา่ งมีมารยาท ควรเคารพและยอมรับฟังเก่ียวกับเร่ืองท่ีกาลัง พดู แม้วา่ ผู้พดู จะมวี ัยวฒุ ิและคณุ วุฒนิ อ้ ยกวา่ ก็ตาม ประเภทของสารทฟี่ ัง การฟังสารประเภทต่าง ๆ ผู้ฟังควรรู้วิธีการฟังและลักษณะของสาร เพ่ือให้ได้รับประโยชน์ สงู สุด ประเภทของสารที่ฟงั สามารถแบง่ เป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 2.1 การฟังสารประเภทให้ความรู้ สารท่ีให้ความรู้จะมีลักษณะเนื้อหาท่ีมุ่งให้สาระความรู้ และข้อเท็จจริงแก่ผู้ฟังมากกว่ามุ่งให้ความเพลิดเพลิน เช่น เร่ืองทางวิชาการ เร่ืองท่ีมีสาระประโยชน์ ข่าวสาร ฯลฯ การฟังสารที่ให้ความรู้มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และสามารถนา ความรนู้ นั้ ไปปรับใชไ้ ด้ในการดาเนินชีวิต ตลอดจนทาให้เกิดการคิดและการตัดสินใจ โดยผู้ฟังเลือกฟัง

ED12101 121 ภาษาและวฒั นธรรม สารประเภทนี้ได้จากหลายแหล่ง เช่น ฟังบรรยายในช้ันเรียน ฟังสัมมนา ฟังวิทยุ ดังที่ ณรงศักด์ิ สอนใจ และทนิ วฒั น์ สร้อยกดุ เรือ (2551: 86-87) ได้กล่าวไว้ว่า “การฟังและการอ่านเพ่ือความรู้มิใช่ เพียงการอา่ นตารบั ตารา บทเรียนหรือการฟงั บรรยายในรายวิชาเท่านน้ั แตย่ งั หมายรวมถึงการรับสาร ในหลายลักษณะท่ีช่วยเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้รับสารทั้งการฟังวิทยุ ชมโทรทัศน์” การฟังสาร ประเภทใหค้ วามรู้จงึ เลือกฟังได้หลากหลาย หลักการฟงั สารประเภทใหค้ วามรมู้ ีดงั นี้ 1) ควรฟงั อยา่ งต้งั ใจและฟังตลอดท้ังเรื่อง 2) ควรจดบันทึกประเด็นสาคัญ เพ่ือให้เข้าใจเน้ือหาของสารและไว้เตือน ความจา 3) พยายามจับใจความสาคัญของเรอื่ งใหไ้ ด้ 4) ควรวิเคราะห์และตีความสารที่ได้ฟังว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็น ขอ้ คิดเหน็ และพจิ ารณาวา่ เชือ่ ถือได้มากน้อยเพียงใด 5) ฟังแล้วลองตั้งคาถามหรือนาเสนอประเด็นท่ีต้องการอภิปราย เพ่ือทบทวน ความเขา้ ใจและเพม่ิ พนู ความรู้ (ในกรณที ีเ่ ปน็ การฟังในชั้นเรียน งานสัมมนา หรืองานประชมุ กลุม่ ย่อย) 6) พิจารณาถ้อยคาภาษาว่ามีลักษณะอย่างไร โดยท่ัวไปแล้วสารประเภทให้ ความรู้มกั ใชถ้ ้อยคาภาษาทต่ี รงไปตรงมา ชัดเจน 7) หลังการฟงั ผฟู้ ังควรทบทวนสงิ่ ท่ีไดฟ้ ัง ท้ังนี้สารที่ให้ความรู้จะช่วยให้ผู้ฟังได้เพ่ิมพูนความรู้และได้ฝึกคิดพิจารณา ซึ่งเป็นการพัฒนา สติปญั ญา ผู้ฟังจงึ ควรฝึกฝนทกั ษะการฟังสารประเภทนอ้ี ย่างสม่าเสมอ เป็นทน่ี า่ สงั เกตว่า การฟังสาร ท่ีให้ความรู้บางประเภทกเ็ ข้าใจยาก เช่น เนื้อหาของบทเรียนที่มีความลึกซึ้งซับซ้อน ผู้ฟังต้องใช้ความ อดทนและต้ังใจเพ่ือให้เกิดความเข้าใจ นอกจากน้ี สารประเภทข่าว บทสัมภาษณ์หรือบทแสดงความ คิดเห็น ผู้ฟังก็ควรพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนที่จะปักใจเชื่อ ดังนั้นการฟังสารท่ีให้ความรู้บาง ประเภทผูฟ้ งั จงึ จาเปน็ ตอ้ งฟังอยา่ งเข้าใจและมีวจิ ารณญาณควบคู่กันไปดว้ ย 2.2 การฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ สารประเภทโน้มน้าวใจเป็นสารที่พบได้ในชีวิตประจาวัน มากที่สุด สารประเภทน้ีอาจมาจากสื่อมวลชน มาจากคาบอกเล่าจากปากสู่ปาก มักมีลักษณะโฆษณา ชวนเชื่อ ชักจูงและโน้มน้าวใจให้เชื่อหรือปฏิบัติตาม ด้วยการใช้ถ้อยคาที่น่าเชื่อถือ มีอิทธิพลต่อ ความรู้สึกนึกคิด เช่น การโฆษณาสินค้า การหาเสียง การขอร้อง วิงวอน ฯลฯ การฟังสารประเภทนี้จึง ควรใช้วิจารณญาณในการฟังเสมอ หลักการฟงั สารประเภทโน้มน้าวใจมดี ังนี้ 1) ตง้ั ใจฟงั ตลอดท้ังเรื่อง 2) ควรแยกแยะให้ได้ว่าผู้พูดมีจดุ หมายอยา่ งไร 3) พิจารณาวา่ จดุ มุ่งหมายนน้ั ดีหรือไม่ เปน็ ประโยชน์หรอื ไม่ 4) ควรใชว้ จิ ารณญาณในการฟัง พจิ ารณาความสมเหตุสมผล 5) พิจารณาการใชภ้ าษาวา่ เป็นอย่างไร โดยท่ัวไปแล้วสารประเภทโน้มน้าวใจ มักใช้ภาษาในลกั ษณะชักจูง ชวนเช่ือ และเร้าอารมณ์ 6) ประเมนิ ค่าว่าควรเชื่อถือหรือนาไปปฏิบตั ิตามหรือไม่ ไมค่ วรคลอ้ ยตามงา่ ยๆ

ED12101 122 ภาษาและวฒั นธรรม 2.3 การฟังสารประเภทจรรโลงใจ สารประเภทจรรโลงใจ คือสารที่มุ่งให้ผู้ฟังได้รับ ความสุข ได้ข้อคิด ทาให้คลายความทุกข์ ได้รับความเพลิดเพลิน เกิดความซาบซึ้ง เกิดจินตภาพ รวมถงึ ยกระดับจิตใจ อาจไดจ้ ากการฟังบทเพลง คาประพันธ์ บทละคร สุนทรพจน์ โอวาท พระธรรม เทศนา เป็นต้น หลักการฟงั สารทีจ่ รรโลงใจมดี งั น้ี 1) ทาจติ ใจให้ผอ่ นคลาย 2) ตง้ั ใจฟังและฟงั ใหต้ ลอดทงั้ เรอื่ ง 3) จับสาระสาคญั ใหไ้ ด้ว่าตอ้ งการสอื่ ความหมายอะไรโดยการฟงั อยา่ งเขา้ ใจ 4) พจิ ารณาสารที่ไดฟ้ งั ว่ามเี หตุมีผลสอดรับกนั อยา่ งไร 5) พิจารณาลักษณะการใช้ภาษาว่าเป็นอย่างไร เหมาะสมกับเน้ือหาหรือไม่ โดยทั่วไปสารประเภทจรรโลงใจมักจะใช้ภาษาที่สละสลวย มีภาพพจน์ ทาให้ เกดิ จินตภาพ 6) หลังการฟังสารประเภทโอวาทหรือพระธรรมเทศนา ผู้ฟังควรทบทวนว่า สารทีไ่ ดฟ้ งั นัน้ มีประโยชน์อย่างไร ควรแกก่ ารนาไปปฏิบตั ิตามหรอื ไม่ หลักการฟงั สารประเภทตา่ งๆ ข้างต้น เปน็ แนวทางในการฟังสารให้มีประสิทธิภาพ ซึ่ง ผู้ฟังควรนาไปฝึกฝน โดยอาจฝึกฝนจากเรื่องใกล้ตัว เช่น นักศึกษาเริ่มฝึกฟังสารท่ีให้ความรู้จากการ บรรยายบทเรียนของอาจารย์ในชั้นเรียน หรือลองฝึกฟังโฆษณาสินค้าในโทรทัศน์โดยใช้หลักการฟัง สารประเภทโน้มน้าว เป็นต้น การฝึกฝนทักษะการฟังอยู่เสมอจะทาให้สามารถพัฒนาการฟังให้มี คุณภาพได้ อย่างไรก็ดี การฟังสารคร้ังหนึง่ ๆ นั้นอาจมปี ระเภทของสารหลายประเภทปะปนกันอยู่ ผู้ฟงั ควรแยกแยะให้ได้วา่ สารท่ฟี งั อยนู่ น้ั มปี ระเภทใดบา้ ง แตล่ ะประเภทมจี ุดมุ่งหมายอย่างไร ใช้กลวิธี ในการนาเสนออยา่ งไร มีความน่าเชื่อถือ สมเหตุสมผลหรือไม่ และผู้ฟังได้รับประโยชน์หรือควรนาไป ปฏิบตั ิตามหรอื ไม่ ในขณะฟังผฟู้ ังควรจดบนั ทกึ ประเดน็ สาคญั ตามไปดว้ ย การฟงั ประเภทต่างๆ การฟังในชีวิตประจาวันมีความหลากหลายแตกต่างกันขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการฟังใน การส่อื สารแต่ละครั้ง การพัฒนาทักษะการฟังท่ีสาคัญเพื่อใช้ในการสื่อสารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อพัฒนาอาชีพน้ันเป็นส่ิงท่ีควรศึกษา ในบทนี้กล่าวถึงการพัฒนาทักษะการฟังท่ีสาคัญ คือ 1.การ ฟังเพื่อความเข้าใจ 2.การฟังตีความ 3. การฟังเพื่อวิเคราะห์ และ 4.การฟังเพื่อประเมินค่า ดัง รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 1.การฟงั เพือ่ ความเขา้ ใจ การฟงั แตล่ ะครั้ง ผฟู้ ังควรมีความรเู้ บ้ืองต้นเก่ยี วกับทักษะการฟงั เพื่อใช้เป็นแนวทางในการ พัฒนาตนเองใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงคท์ ตี่ ้งั ไว้ ดงั นัน้ การฟังเพ่ือจับใจความ เป็นการฟังเพ่ือจับสาระสาคัญของสารท่ีได้ฟัง การฟังประเภทนี้มี ประโยชนก์ บั นักเรียน นกั ศึกษา เพราะจะทาใหส้ ามารถจับประเดน็ สาคัญของเน้ือหาในบทเรยี นได้

ED12101 123 ภาษาและวฒั นธรรม การฟังเพื่อจับใจความเป็นการฟังเพ่ือให้เกิดความเข้าใจจึงถือเป็นการพัฒนาทักษะการฟัง ประเภทหน่ึงเพ่ือให้สามารถเข้าใจเร่ืองราวหรือเน้ือหาท่ีฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังที่จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และวีรวัฒน์ อินทรพร (2558 : 109-116) ได้กล่าวไว้ว่า การฟังเพ่ือความเข้าใจ คือ การ ฟงั ทีม่ จี ดุ มุ่งหมายเพือ่ แสวงหาขอ้ มลู และความรูท้ ีไ่ ด้จากเรื่องซึ่งเป็นความเข้าใจท่ีจาเป็นระดับพ้ืนฐาน เพราะหากต้องการมีทักษะการฟังในระดับที่สูงขึ้นผู้ฟังควรฟังแล้วสามารถวิเคราะห์ ตีความ และ ประเมินคา่ ของเรอ่ื งได้ หลกั การฟังเพ่ือจบั ใจความสาคญั 1. ควรเข้าใจความหมายของคาหรือข้อความ เน่ืองจากคาหรือข้อความที่ปรากฏใน เนื้อหา นั้นอาจไม่ได้มีความหมายตรงตามที่ได้ยินเสมอไป ความหมายท่ีแท้จริงของคาหรือข้อความอาจแฝง อยู่ในสีหนา้ แววตา ทา่ ทาง และนา้ เสียงของผู้พูด หรืออาจเป็นคาเปรียบหรือคาภาษาถิ่น ดังน้ันผู้ฟัง ควรหาความรู้ หากไมท่ ราบจะทาให้ฟงั สารท่ีไดร้ ับมาไมเ่ ขา้ ใจ ทาให้การฟงั ครัง้ นั้นไม่สมั ฤทธผ์ิ ล 2. สามารถบอกเน้ือหาของการฟังในครั้งนั้นๆ ได้ว่า ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เมื่อใด อย่างไร ตามหลักการ 1H5W 3. พิจารณาเหตุผล เพ่ือหาความเป็นไปได้ของเร่ืองที่ฟังว่า เหมาะสม น่าเช่ือถือ มคี ณุ คา่ เพียงใด ท้งั นีต้ อ้ งอาศยั การวิเคราะห์เพ่ือตดั สนิ ใจ 4. สามารถแยกแยะข้อเท็จจรงิ ออกจากความคิดเห็นของผู้พูด การฟังแต่ละคร้ัง โดยเฉพาะ การฟังโฆษณาสินค้า การฟังข่าว หรือการฟังหาเสียงนั้น เน้ือเร่ืองท่ีฟังอาจมีท้ังความรู้ ข้อเท็จจริง และความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้พูด ผู้ฟังต้องพิจารณาว่าส่วนใดคือ ข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็น ข้อคดิ เห็น 5. ควรจดบันทึกทุกครั้งเม่ือมีการฟัง โดยเฉพาะประเด็นสาคัญ เพราะผู้ฟังสามารถนาสิ่งท่ี จดไวไ้ ปใช้ในการอ้างอิงได้

ED12101 124 ภาษาและวฒั นธรรม ตวั อยา่ ง การจับใจความสาคญั ของเรือ่ งที่ฟัง การเรยี นรมู้ สี องแบบ หน่งึ คือ การเรียนรใู้ นระบบ โดยการเรียนจนจบมหาวิทยาลัยในสาขาใดสาขาหนึ่ง สอง คือ การเรียนรู้แบบครูพักลักจา เรียนตามท่ีตัวเองสนใจคลั่งไคล้หลงใหล หรือเรียนตาม พรสวรรคข์ องตัวเอง สองอย่างนี้เรียกว่าการเรียนรู้เหมือนกันถ้าพิจารณาให้ดีๆจะเห็นว่าบิล เกตส์ ลาออกจาก มหาวทิ ยาลยั แต่เขาไปเรียนรโู้ ลกของคอมพิวเตอร์ หรอื สตีฟ จอ๊ บส์ ก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย และไปเรียนรู้ โลกของคอมพิวเตอร์เช่นกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทอดทิ้งการเรียนรู้ แต่เขายิ่งเรียนรู้หนักข้ึน มาก ข้ึนกว่า คนท่ัวไปด้วยซ้า ฉะนั้นคนที่มองว่าคนที่ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ประสบความสาเร็จได้น้ัน ถือเป็น ความคิดที่ต้นื เขนิ ต้องมองว่าคนเหล่านี้ที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วประสบความสาเร็จได้ไม่ใช่เพราะเขาไม่เรียนรู้ ตรงกนั ขา้ ม เขากลบั เรยี นรู้อย่างหนกั หนาสาหัสที่สุดแตเ่ พราะเขาคน้ พบตวั เองและไปเรียนรู้ในอีกรูปแบบหน่ึง ท่เี ขารกั เขาชอบ เขาหลงใหล เขาจึงประสบความสาเร็จ กลับไปดูประวัติของบิล เกตส์ เขาฝึกเขียนโปรแกรมที่โรงเรียนตั้งแต่เท่ียงคืนถึงเช้า ฝึกแทบล้ม ประดาตาย ในทีส่ ดุ ก็ไปเรยี นฮาร์วาร์ดและต้งั บริษัทกับเพอ่ื น ฝึกแก้ปัญหา ฝึกทาโจทย์ และทาบริษัท กว่าเขา จะประสบความสาเร็จก็ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วตั้งเท่าไหร่ แท้ที่จริงเขาเรียนรู้ตลอดเวลาแต่เป็นการ เรยี นร้นู อกมหาวทิ ยาลยั เทา่ นัน้ เอง ดังน้ัน ถ้าคุณค้นพบตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว ได้ลองผิดลองถูกจนมั่นใจว่าจะเลี้ยงดูตัวเองได้เหมือน สตฟี จอ๊ บส์ กล็ าออกมาเถอะ แตถ่ ้าคุณยงั ไมค่ ้นพบตวั เอง แล้วยังดัดจรติ ออกจากมหาวิทยาลัย เพราะเขา้ ใจวา่ เท่ คงไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องนัก ออกมาอย่างน้ีมีแววท่ีจะอดตายมากกว่าประสบความสาเร็จ ทางที่ดีคือ ถ้า คณุ ยังไม่คน้ พบตัวเอง ควรเรียนให้จบมหาวทิ ยาลัยในสาขาใดสาขาหนึง่ จะดที ี่สดุ สังเกตว่าคนที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่หยุดทาในส่ิงท่ีเขารัก ดูจากกรณีบิล เกตส์ ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนเทอมสองเพราะตอนน้ันเขาเขียนโปรแกรมเป็นแล้ว จนคนต้องมาซ้ือ โปรแกรมจากเขาจากนนั้ เขาออกมาเรียนรู้ดว้ ยการตงั้ บริษทั กับเพ่ือน เรียกว่ามีหลักประกันอยู่แล้ว เขาจึงกล้า ออกมา หรือสตีฟ จ๊อบส์ ก็เหมือนกัน ตอนเขาลาออกจากมหาวิทยาลัยน้ัน เขาก็รู้จักคอมพิวเตอร์เรียบร้อย แลว้ ดงั นน้ั คนท่จี ะออกจากมหาวทิ ยาลัยควรจะมอี ะไรอยใู่ นมือสักอยา่ ง ถ้าคุณยงั ไม่คน้ พบตัวเอง งานการ กไ็ มม่ ที า ความเปน็ เลศิ ในตัวเองก็ไม่มีสกั อย่างแลว้ ลาออกมา แสดงว่าคณุ ออกมาเพ่อื ทจี่ ะตกงานล้วนๆ ออกมา เพ่อื จะหมดอนาคต ใจความสาคญั ตาหลัก 1H5W ใคร : สตีฟ จ๊อบส์ และบิล เกตส์ อะไร : เขาทั้งสองคนออกจากมหาวิทยาลยั ที่ไหน : - เม่อื ไหร่ : เม่อื เรยี นมหาวิทยาลัย ทาไม : เพอื่ เรียนรเู้ ร่ืองคอมพวิ เตอร์ด้วยตนเอง อยา่ งไร : การเรยี นรู้มีสองแบบ คอื การเรียนรู้ในระบบ โดยการเรียนจนจบมหาวิทยาลัยใน สาขาใดสาขาหน่ึงและการเรียนรู้แบบครูพักลักจา เรียนตามท่ีตัวเองสนใจคลั่งไคล้หลงใหล หรือเรียน

ED12101 125 ภาษาและวฒั นธรรม ตามพรสวรรค์ของตัวเอง สตีฟ จ๊อบส์ และบิล เกตส์ เป็นประเภทที่ 2 ท้ังนี้คนท่ีจะออกจาก มหาวิทยาลัยควรจะมีความรู้ความสามารถสักอย่าง หากเรายังไม่ค้นพบตัวเอง ไม่มีงานรองรับ การ ออกจากมหาวทิ ยาลัยขณะทยี่ งั เรยี นไม่จบจะทาให้หมดอนาคต จะเห็นว่าการจับใจความสาคัญของเรื่องทฟ่ี ัง ตามหลกั 1H5W นน้ั ไม่จาเปน็ ทีต่ ้องมใี จความ สาคัญครบทุกองค์ประกอบ ทง้ั นข้ี ึ้นอยกู่ บั เนื้อหาของสารทฟ่ี งั ตามตัวอย่างดังกลา่ วข้างต้น เมอ่ื ไดใ้ จความสาคัญแต่ละประเด็นแล้วว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ทาไม อย่างไร (ตาม หลัก 1H5W) ผู้อ่านต้องเรียบเรียงเนื้อหาใจความสาคัญที่ได้เรียบเรียงเป็นสานวนภาษาของตนเอง เพ่อื ใหส้ ามารถจดเน้อื หาทอี่ ่านไดอ้ ยา่ งแมน่ ยาย่ิงขนึ้ ดังนี้ ใจความสาคัญ การเรียนรู้มสี องแบบ คือ การเรยี นรใู้ นระบบ โดยการเรยี นจนจบมหาวทิ ยาลยั ในสาขาใด สาขาหนง่ึ และการเรยี นรู้แบบครพู กั ลักจา เรยี นตามที่ตัวเองสนใจคลั่งไคล้หลงใหล หรือเรยี นตาม พรสวรรคข์ องตัวเอง สตีฟ จอ๊ บส์ และบลิ เกตส์ เปน็ ประเภทที่ 2 เขาท้ังสองคนออกจาก มหาวิทยาลยั เพ่ือเรียนรูเ้ รือ่ งคอมพิวเตอรด์ ว้ ยตนเอง ดังนนั้ คนท่ีจะออกจากมหาวิทยาลยั ควรจะมี ความรู้ความสามารถสักอยา่ ง หากเรายังไมค่ ้นพบตวั เอง ไม่มีงานรองรับ การออกจากมหาวทิ ยาลัย ขณะทยี่ ังเรียนไมจ่ บจะทาให้หมดอนาคต 2. การฟังอยา่ งมีวิจารณญาณ การฟังอยา่ งมีวจิ ารณญาณนนั้ เป็นการรบั สารโดยเข้าใจเนื้อหาสาระ ใช้ปญั ญาคดิ ใครค่ รวญ อาศัยความรู้ ความคิด เหตุผล และประสบการประกอบ แล้วสามารถนาความรู้จากส่ิงที่ฟังไปใช้ได้ อยา่ งเหมาะสม การฟงั อยา่ งมวี ิจารณญาณนน้ั มขี ัน้ ตอนดงั ต่อไปนี้ 1) ฟังให้เข้าใจตลอดเรื่อง เมื่อรับสารเร่ืองใดก็ตามผู้รับสารจะต้องตั้งใจรับสารเร่ืองน้ันให้ เข้าใจตลอดเร่ืองให้รู้ว่าเน้ือเร่ืองเป็นอย่างไร มีสาระสาคัญประเด็นใดบ้าง และผู้ฟังต้องทาความ เข้าใจรายละเอียดของเรอ่ื งท่ฟี ังทัง้ หมด 2) วิเคราะห์เร่ือง ผู้รับสารจะต้องพิจารณาว่าเร่ืองเป็นประเภทใด เป็นข่าวบทความเร่ืองส้ัน นิทาน นิยาย บทสนทนา สารคดี ละคร เป็นเร่ืองร้อยแก้วหรือร้อยกรอง เป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้น ควรวเิ คราะหล์ ักษณะต่างๆ ของตวั ละครในเร่อื ง และวิธใี นการเสนอสารของผสู้ ง่ สารใหเ้ ข้าใจ 3) วินจิ ฉัยเรอ่ื ง คอื การพจิ ารณาเรื่องทร่ี ับสารวา่ เป็นข้อเท็จจรงิ ความรสู้ กึ ความคิดเห็น และ ผู้ส่งสารมีเจตนาอย่างไรในการพูดการแสดง อาจจะมีเจตนาทโี่ นม้ น้าวใจจรรโลงใจ หรอื แสดงความ คิดเห็น เป็นเร่ืองท่มี ีเหตุมีผลมหี ลกั ฐานนา่ เชื่อถือหรอื ไม่ มีคณุ คา่ และคุณประโยชนม์ ากนอ้ ยเพยี งใด การฟงั สารที่ใหค้ วามรู้อย่างมีวจิ ารณญาณ สารประเภทใหค้ วามรู้บางกรณีสามารถเข้าใจได้ง่าย แต่บางกรณีเป็นสารที่ซับซ้อนจนส่งผล ใหเ้ ขา้ ใจยาก ดังนนั้ ผู้ฟังจาเปน็ ต้องพิจารณาเน้อื หาของสารทฟี่ งั อย่างลึกซ้ึง ทัง้ นีย้ อ่ มข้ึนอยู่กับว่าผู้รับ สารมพี ้นื ฐานในเรอื่ งท่รี บั สารนัน้ มากน้อยเพยี งใด การรับสารแบบไมม่ ีความร้พู ้นื ฐานมาก่อนอาจส่งผล ให้ผ้รู บั สารเกดิ ความเข้าใจผิดในเน้ือหาของสารได้

ED12101 126 ภาษาและวฒั นธรรม หลักการฟงั สารที่ให้ความรู้อยา่ งมีจารณญาณ มดี งั น้ี 1. เมอ่ื ไดร้ บั สารที่ให้ความรู้เร่ืองใดแล้วน้นั ต้องพิจารณาวา่ เรื่องนั้นมีคณุ ค่าหรือมีประโยชน์ ควรแกก่ ารใชว้ จิ ารณญาณมากนอ้ ยเพยี งใด 2. เรอื่ งทีใ่ ช้วจิ ารณญาณในการรบั สาร เชน่ ขา่ ว บทความ สาระคดี ข่าว หรอื ความรู้เร่ืองใดก็ ตามควรรับสารดว้ ยความต้ังใจจบั ประเดน็ ให้ได้ ต้องตีความหรือพิจารณาว่าผู้ส่งสารต้องการส่งสารถึง ผู้รับคืออะไร และตรวจสอบเปรียบเทียบกับผู้รับสารด้วยการนามาพิจารณาเนื้อความว่าตรงหรือ ใกล้เคียงกันหรือไม่อย่างไร หากเห็นว่าการดูและการฟังของเราต่างจากผู้อ่ืนก็ควรปรับปรุงแก้ไขให้ ทัศนะในการรับสารตรงกับผอู้ ืน่ การฟงั เพอ่ื การวิเคราะหแ์ ละประเมินคา่ การฟังเพื่อวิเคราะห์และเมินค่าสารจากสิ่งที่ฟังน้ัน คือการนาข้อมูลที่ได้รับสารเข้ามา พิจารณาในตัวผู้รับสาร ในประเด็นด้านต่างๆ ท่ีก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ดังนั้น ประโยชนจ์ ากการรบั สารของผรู้ ับสารของแตล่ ะบุคคลจะไม่เท่ากนั ขัน้ ตอนการฟังเพ่อื การวิเคราะหแ์ ละประเมินค่าสารน้ัน สามารถจาแนกได้ดงั น้ี 1. การวิเคราะห์สาร เป็นการรับสารจากการฟังและการดู ผู้รับสารควรพิจารณาเน้ือหาเป็น ส่วนๆ โดยอาศยั การ ตรกึ ตรองดว้ ยเหตผุ ล สามารถแยกเนือ้ หาส่วนทเ่ี ป็นขอ้ เท็จจรงิ และข้อคิดเหน็ 2. การตีความ นอกจากผู้รับสารจะแยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นของสารได้แล้วข้ันตอน ต่อไปคือ จะต้อง พยายามเข้าใจความหมายท่ีแท้จริงของสารน้ันด้วย โดยอาศัยการตีความท้ังตีความ ตัวอักษร เนอื้ หา และน้าเสียงของสารเพราะสารบางประเภทจะมีความหมายโดยตรงและความหมาย โดยนัย 3. การวินิจฉัยเพ่ือประเมินค่า เป็นข้ันตอนการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบครอบเพ่ือหา คุณค่าของสารที่สาคัญคือต้องตรึก ตรองสารปราศจากอคติ และทาใจให้เป็นกลาง ไม่นาความรู้สึก หรือความชอบส่วนตัวมาตดั สินข้อมลู ทไ่ี ดร้ ับมา นอกจากน้ีการประเมนิ คา่ สารท่ฟี งั ในกรณที ี่ผูร้ บั สารสามารถเห็นผ้สู ง่ สารไดด้ ้วยตนเอง การ สงั เกตรปู ลักษณภ์ ายนอกและวธิ กี ารสือ่ สารพร้อมเนอื้ หา เป็นวธิ กี ารหนึ่งในการประเมนิ ค่าจากสารที่ ไดร้ ับ การประเมินค่าสารมดี งั น้ี 1. ท่าทีและการวางตวั ของผสู้ ่งสาร บุคลิกของผู้ส่งสาร เช่น การแต่งกาย การย้ิมแย้ม ความ เชื่อมั่นในตัวเอง ความกระตอื รอื ร้น ความสารถในการควบคมุ ตนเอง สง่ิ เหล่านส้ี ามารถนามาประเมิน คณุ ค่าการเช่อื ถอื ของการรบั สารในคร้ังนนั้ ได้ 2. น้าเสียง น้าเสียงของผู้ส่งสาร บ่งบอกถึงความม่ันใจในข้อมูลของตนเอง เช่น ความดัง ความนา่ ฟัง การออกเสยี งที่ถกู ต้องชดั เจน ความเปน็ กนั เอง ความนุ่มนวลน่าฟังของเสียง อัตราการเร็ว การย้า การเนน้ ของเสยี งในประเด็นทสี่ าคญั

ED12101 127 ภาษาและวฒั นธรรม 3. อากัปกิริยาท่าทาง การวางตัวการใช้อวัจนภาษาของผู้ส่งสาร เช่น การทรงตัว การ เคล่ือนไหว การประสานสายตากับผู้ฟัง การใช้กิริยาให้เหมาะสมกับคาพูดและบรรยากาศของที่ ประชมุ 4. ภาษาท่ีใช้ ภาษาที่ผู้ส่งสารใช้ในการส่ือสาร จะมีส่วนช่วยในเร่ืองของความน่าเชื่อถือของ ผู้รับสาร เชน่ ความชัดเจนของภาษาที่ใชส้ ื่อสารและความถกู ตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ไทย 5. การนาเสนอความคิดและเนื้อหาสาระ การนาเสนอแนวคิดที่แปลกใหม่อย่างสร้างสรรค์ การนาเสนอทมี่ จี ุดมุ่งหมายชัดเจนข้อเท็จจรงิ ถูกต้อง มีการอ้างอิงเหตุผลประกอบที่สัมพันธ์กันจะช่วย เสรมิ ในการสอ่ื สารนัน้ ประสบผลสาเร็จ 6. การเรียบเรยี งเนอ้ื เร่ือง การเรยี บเรยี งเน้ือเรื่องให้น่าสนใจ เชน่ เรม่ิ อารมั ภบททนี่ ่าสนใจ ลาดบั เนื้อหาสาระได้เหมาะสมและสรปุ ความคิดได้รัดกมุ หลักการฟงั อย่างสรา้ งสรรค์ การฟังท่ีดีน้ันผู้ฟังจะต้องรู้จักวิธีการฟังและการเลือกสารท่ีจะฟัง รวมไปถึงต้องรู้จัก วิธีการเลือกสื่อในการฟังเพื่อทาให้การฟังนั้นเป็นการฟังที่สร้างสรรค์ โดยการฟังอย่างสร้างสรรค์มี หลกั การดังนี้ 1. ผู้ฟังต้องศึกษาทาความเข้าใจความรู้พื้นฐานทางภาษา ความหมายของคา สานวน ขอ้ ความและประโยคทบ่ี รรยายหรอื อธบิ าย รวมถงึ หลกั ของการจับใจความสาคัญ เพ่ือทาให้เข้าใจสาร ตรงกบั ท่ผี ูพ้ ดู ต้องการสื่อสาร ซึ่งจะชว่ ยลดความขัดแย้งหรือเขา้ ใจผิดได้ 2. ผู้ฟังต้องศึกษาประเภทของสารและสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นประเภทอะไร เป็นสาร ประเภทใหค้ วามรู้ ให้ข้อเทจ็ จรงิ ข้อคดิ เหน็ หรอื เป็นคาทกั ทายปราศรัย ข่าว สารคดี จะได้จับประเด็น หรอื ใจความสาคญั ได้ง่าย ความสามารถในการแยกแยะประเภทของสารจะทาให้ผู้ฟังเลือกฟังเรื่องที่มี สาระประโยชนแ์ ละเหมาะกบั ตนเองได้ 3. ผู้ฟังต้องรู้จักเลือกสื่อให้เหมาะสมและสร้างสรรค์ โดยควรศึกษาประเภทของสื่อก่อนฟัง หากฟังจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเทอร์เน็ตหรือรายการวิทยุโทรทัศน์ ควรศึกษาช่ือเว็บไซด์ที่มี เน้ือหาสาระสร้างสรรค์เพ่ิมพูนความรู้ ควรเลือกที่เหมาะสมกับวัยและมีคุณค่าในการนาไปใช้ใน ชีวิตประจาวัน ควรเป็นรายการทไี่ มข่ ัดกับศีลธรรมประเพณีอันดงี าม และไมม่ อมเมาทาให้เกิดความงม งาย โดยขณะท่ีฟังน้ันควรวิเคราะห์ข้อความ พิจารณาภาษาภาพ การนาเสนอว่าเหมาะสมหรือไม่ น่าเชอื่ ถอื เพียงใดไปด้วย 4. ผู้ฟังต้องฟังอย่างมีวิจารณญาณ ผู้ฟังควรฟังเน้ือหาให้ครบถ้วน พิจารณาใคร่ครวญ แยกแยะส่วนท่ีเป็นเหตุเป็นผล ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นของผู้พูดว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด และเหมาะสมกบั การนาไปปฏบิ ตั ิหรอื ไม่ 5. ผ้ฟู ังควรศึกษาหาความรู้ด้านสังคมและวัฒนธรรมเพ่ือประกอบการทาความเข้าใจเนื้อหา สาระของสารน้นั ๆ

ED12101 128 ภาษาและวฒั นธรรม วธิ ีการเรยี นรหู้ ลักการฟังทดี่ อี ย่างหน่งึ คือผู้ฟังควรรู้ถึงลักษณะการฟังท่ีดีและไม่ ดีเพ่ือนามาใช้พัฒนาทักษะการฟังของตนเอง โดยส่วนใดดีก็นามาใช้ ส่วนใดไม่ดีให้ตระหนักรู้และละ เวน้ ลกั ษณะของสอ่ื ต่างๆ ประกอบการฟัง สามารถสรปุ ได้ดงั นี้ 1. ส่ือโฆษณา ส่ือประเภทน้ีเป็นสื่อท่ีมุ่งให้เกิดความคล้อยตาม อาจมีเนื้อหาท่ีเกินจริง ไม่ สมเหตุสมผล ใช้เสียงและภาพเพือ่ ชักจูงใจ ผู้ฟังตอ้ งพิจารณาไตรต่ รองก่อนเชือ่ หรอื กอ่ นตัดสนิ ใจ 2. ส่อื เพ่อื ความบันเทิง อาทิ เพลง เร่ืองเลา่ นยิ าย ละคร สื่อประเภทน้ีมุ่งให้ความบันเทิงเป็น หลัก ผู้ฟังผู้ชมควรใช้วิจารณญาณในการฟังว่าสิ่งใดท่ีเหมาะสม มีความสร้างสร้างสรรค์ และช่วย ยกระดับจิตใจ โดยผฟู้ งั ตอ้ งรู้เทา่ ทนั ไมเ่ ช่นนั้นอาจหลงเชือ่ ทาตามสิง่ ท่ีไมด่ ีทไ่ี ด้ฟังไดม้ า 3. สอื่ ทีม่ งุ่ นาเสนอข่าวสาร สื่อประเภทนี้ผู้ฟงั ตอ้ งมีความพรอ้ มพอสมควร เพราะควรตอ้ งร้จู ัก ลักษณะของข่าว ผู้นาเสนอข่าว รู้จักการจับประเด็น พิจารณาความมีเหตุมีผล ศึกษาเปรียบเทียบ เนือ้ หาจากทม่ี าของขา่ วหลายๆ แหง่ และพจิ ารณาความนา่ เชอ่ื ถอื ด้วยเสยี ลกั ษณะการฟังทดี่ ี สรปุ ไดด้ งั น้ี 1. มีสมาธิในการฟัง ผู้ฟังควรมีสมาธิในการฟัง ไม่นาเรื่องอื่นมาปะปนทาให้จิตใจฟุ้งซ่าน พยายามพงุ่ ความสนใจไปยังเรอ่ื งทีก่ าลงั ฟงั ผ้ฟู ังท่ีไม่มีสมาธิในการฟังจึงควรหมั่นฝึกสร้างสมาธิในการ ฟงั ของตนเอง เพอ่ื จะได้ฟงั เรอ่ื งได้อย่างครบถ้วนสมบรู ณ์และได้ประโยชนจ์ ากการฟังเตม็ ท่ี 2 ต้งั จดุ มงุ่ หมายในการฟัง การฟังท่ีดีจะต้องต้ังจุดมุ่งหมายไว้ทุกครั้งว่าฟังเพ่ืออะไร นาเร่ือง ทฟี่ ังไปใชป้ ระโยชน์ได้อยา่ งไร การฟงั อยา่ งไรจ้ ดุ มุ่งหมาย ผฟู้ งั จะไมไ่ ด้ประโยชน์ใดๆ จากการฟังเลย 3 สนใจและต้ังใจฟัง ผู้ฟังที่ดีควรให้ความสนใจเร่ืองท่ีผู้พูดพูด พร้อมกับตั้งใจฟัง แม้เรื่องท่ี ฟังจะไม่อยู่ในความสนใจหรือรสนิยมก็ตาม และพิจารณาว่าผู้พูดกาลังพูดถึงอะไร การสนใจฟังควร สนใจฟงั เฉพาะเรอ่ื ง ไม่ใชเ่ อาใจใสฟ่ งั เสียงทกุ เสยี งทผ่ี ่านเข้ามา 4 ตอ้ งไม่มีอคติ อคติ คอื ความลาเอียง เป็นได้ท้ังความชอบและความไม่ชอบท่ีมากเกินพอดี ความลาเอียงอาจทาให้ผู้ฟังเข้าใจเจตนาของผู้พูดผิดไป หรือแปลสารจากเร่ืองท่ีฟังผิดความหมาย คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผู้ฟังที่ดีจึงควรเปิดใจกว้าง มีใจเป็นกลาง ยอมรับความคิดเห็นของ ผอู้ ืน่ 5. ขณะท่ีฟัง ควรจดบนั ทึกประเดน็ สาคัญไว้อยา่ งมรี ะบบเพือ่ ช่วยจา 6. ถ้ามีช่วงใดที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ควรซักถามผู้พูดเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย การถามน้ัน ควรถามเมอื่ ผพู้ ดู พูดจบความแล้ว หรอื เมอ่ื ผพู้ ดู เปิดโอกาสให้ถาม 7. จับประเด็นสาคัญ ขณะท่ีฟังผู้ฟังควรจับประเด็นสาคัญของเรื่องที่ฟัง แล้วพยายามสรุป ความคดิ รวบยอด (Concept) จะทาใหผ้ ู้ฟงั เขา้ ใจสารท่ีผูพ้ ดู ส่งมาได้ 8. หลังการฟัง ผู้ฟังควรพิจารณาทบทวนส่ิงท่ีได้ฟังอีกคร้ัง ว่าสิ่งใดน่าเช่ือถือ ผู้ฟังได้รับ ความรคู้ วามคดิ อนั เป็นประโยชน์ตอ่ ตัวผูฟ้ ังอย่างไร

ED12101 129 ภาษาและวฒั นธรรม ลกั ษณะการฟงั ท่ีไมด่ ี สรปุ ไดด้ งั น้ี 1. คิดเอาเองว่าเรื่องท่ีฟังไม่น่าสนใจ ผู้ฟังบางคนชอบคาดเดาเร่ืองล่วงหน้า การคิดเอาเอง ล่วงหนา้ จะเป็นการตีกรอบความคดิ ของผฟู้ ังทาให้ความคิดและการรับรู้ถูกจากัดและมุ่งไปในทิศทางที่ ตนเองคิดไว้ ซง่ึ อาจทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจคลาดเคลอ่ื นและสรุปประเดน็ ผดิ 2. เลือกฟังเฉพาะบางตอนที่ตนรู้สึกสนใจหรือเลือกฟังเฉพาะข้อเท็จจริงเท่าน้ัน การฟัง ลักษณะน้ีจะเป็นการปิดกั้นโลกทัศน์และความรอบรู้ของผู้ฟังเอง และจะทาให้ไม่เข้าใจเนื้อเร่ืองได้ ท้ังหมด 3. ฟงั แลว้ คดิ คัดค้านอยู่ในใจตลอด การคิดคัดค้านมักเกิดมาจากการมีอคติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไมว่ า่ จะเปน็ ตวั ผพู้ ดู วิธกี ารพดู หรือเนอื้ หาทพี่ ดู ทาให้ผู้ฟังร้สู ึกไม่พอใจและคดิ ขดั แยง้ ตลอดเวลา 4. จดทุกส่ิงทุกอย่างท่ีผู้พูดพูด ผู้ฟังไม่ควรจดทุกอย่าง เพราะจะทาให้ไม่ได้ฟังเร่ืองราว พะวงแตก่ ารจด ผู้ฟังจงึ ควรเลือกจดแตป่ ระเดน็ สาคัญจากความเข้าใจของตนเอง 5. เสแสร้งว่าฟังเข้าใจ ผู้ฟังไม่ควรเสแสร้งทาเป็นว่าฟังเข้าใจ เมื่อฟังไม่เข้าใจหรือฟังตามผู้ พูดไม่ทนั ควรซกั ถาม ใหผ้ ู้พดู ขยายความหรือพดู อีกคร้งั ในเวลาทเี่ หมาะสม 6. ให้ความสนใจต่อส่ิงรบกวนภายนอก ผู้ฟังควรมีสมาธิในการฟัง ไม่ควรให้ความสนใจต่อ สิ่งรบกวนภายนอกมากเกินไป เพราะจะฟงั เนอื้ ความไดไ้ ม่ครบถว้ น 7. ปล่อยให้คาพูดท่ีสะเทือนอารมณ์เกาะกินใจตนเองมากเกินไป คาพูดบางคาพูดอาจ กระทบใจผู้ฟัง อาจเป็นได้ท้ังเรื่องดีและไม่ดี ผู้ฟังไม่ควรนาคาพูดเหล่าน้ันมาเป็นอารมณ์ เฝ้าครุ่นคิด และขุ่นเคอื งใจเป็นเหตุใหไ้ ม่สามารถรับรู้ความคิดของผพู้ ูดไดท้ ั้งหมด 8. ไม่มีมารยาทในการฟัง ผู้ฟังท่ีดีควรมีมารยาทในการฟัง คือ ให้เกียรติผู้พูดและผู้ฟังคน อื่นๆ ผฟู้ งั ควรตั้งใจ ไม่ส่งเสยี งดงั ไมพ่ ูดคุย ฯลฯ มารยาทในการฟงั มารยาทในการฟัง ถือเป็นวัฒนธรรมประจาชาติอย่างหน่ึงที่ผู้ฟังควรยึดถือและปฏิบัติให้ ถกู ต้องเหมาะสม การมีมารยาทในการฟงั ทีด่ ี ถอื เป็นการให้เกียรติต่อผู้พูด ให้เกียรติต่อสถานที่และให้ เกียรตติ ่อชุมชน มารยาทเหลา่ น้จี ึงเป็นเรื่องจาเป็นที่ทกุ คนควรยดึ ถือและปฏิบัตโิ ดยเคร่งครัด ผู้มีมารยาทในการฟังควรปฏบิ ตั ติ น ดังน้ี 1. เมื่อฟงั อยเู่ ฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ควรฟังโดยสารวมกิริยามารยาท ฟงั ด้วยความสุภาพ เรียบร้อย และตง้ั ใจฟงั 2. การฟังในที่ประชุม ควรเข้าไปน่ังก่อนผู้พูดเร่ิมพูด โดยน่ังที่ด้านหน้าให้เต็มก่อน และควรต้งั ใจฟงั จนจบเรื่อง 3. ใหเ้ กยี รตผิ พู้ ูดด้วยการปรบมือ เม่ือมีการแนะนาตัวผู้พดู หรือขอบคณุ ผพู้ ูด 4. หากมีข้อสงสัยเก็บไว้ถามเม่ือมีโอกาสและถามด้วยกิริยาสุภาพ เมื่อจะซักถาม ตอ้ งเลอื กโอกาสท่ผี ูพ้ ดู เปดิ โอกาสให้ถาม ถามด้วยถ้อยคาสุภาพและไมถ่ ามนอกเรอื่ ง 5. ระหวา่ งการพดู ดาเนนิ อยู่ควรรกั ษาความสงบเรยี บร้อยด้วยการฟังอย่างสงบสุขุม ไม่ทาเสียงรบกวนผู้อ่ืน ไม่เคาะโต๊ะ ไม่ส่งเสียงโห่ฮา เป่าปาก ส่ันขา กระทืบเท้า ไม่ลุกไปมาบ่อยๆ

ED12101 130 ภาษาและวฒั นธรรม หากมคี วามจาเปน็ ต้องลกุ จากเก้าอีค้ วรแสดงความเคารพผู้พูดหรือประธานเสียก่อน หากเดินเข้าไปใน ทป่ี ระชมุ ขณะทผ่ี ูพ้ ูดพูดอยคู่ วรแสดงความเคารพผู้พูดกอ่ นเข้าไปนั่ง 6. มปี ฏิกิริยาตอบสนองผู้พูดอย่างเหมาะสม ไม่แสดงสีหน้าหรือกิริยาก้าวร้าว เบ่ือ หน่าย หรอื ลกุ ออกจากท่ีนง่ั โดยไมจ่ าเป็นขณะฟงั 7. ฟงั ดว้ ยความอดทน แมม้ ีความคดิ เห็นขดั แย้งกับผ้พู ูดก็ควรมีใจกว้างรับฟังอย่างสงบ 8. ไม่แอบฟงั การสนทนาของผอู้ นื่ นอกจากนี้การฟังแต่ละโอกาสน้ันย่อมมีความแตกต่างกันตามสถานการณ์ที่ได้รับฟัง ดังนน้ั นอกจากมารยาทในการฟังแลว้ ผู้ฟงั ควรคานงึ เรือ่ งดงั ต่อไปนี้ 1) การน่ังฟัง ผู้ฟังควรนั่งฟังด้วยความสุภาพเรียบร้อย ไม่เหยียดขาออกมา ไม่นั่ง ไขว่ห้าง หากนงั่ กบั พื้นควรนงั่ พบั เพียบ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าพระสงฆ์หรือผู้ใหญ่ ในขณะฟังเทศน์ ควรพนมมือขณะฟังด้วย น่ังมือวางซ้อนกันบนตัก ไม่ควรพิงพนัก ตามองผู้พูด ลักษณะเช่นน้ีเป็นส่ิงท่ี ผ้ฟู งั ควรฝึกปฏบิ ตั ใิ ห้เคยชนิ 2) การยืนฟัง ขณะยืนฟังควรยืนตัวตรง ส้นเท้าชิด มือกุมประสานกันยกมือข้ึน เลก็ น้อย ตามองผูพ้ ดู ไมย่ ืนอย่างสบายเกินไป ไม่เทา้ สะเอว เท้าแขนบนโตะ๊ หรอื ยืนค้าศรี ษะผู้ใหญ่ 3) การฟังการสนทนาหรือฟังผู้ใหญ่พูดขณะเดิน ควรเดินเยื้องไปทางด้านหลัง ผู้ใหญด่ า้ นใดดา้ นหนึ่งเล็กน้อย ไม่เปล่ียนด้านไปมา เดินดว้ ยความสารวม และตั้งใจฟงั หลักปฏิบตั แิ ละมารยาทในการฟังท่ีกล่าวไปทั้งหมดข้างต้น เป็นส่ิงท่ีผู้ฟังต้องฝึกฝนและ พัฒนาเพ่ือการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการฟังที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสาคัญต่อการดาเนิน ชวี ิตประจาวัน โดยสามารถทาใหช้ วี ิตดาเนินไปไดอ้ ยา่ งมีคณุ ภาพและปกตสิ ุขได้ อปุ สรรคในการฟัง การฟังเป็นทักษะท่ีต้องมีการฝึกฝนจึงจะสามารถรับสารจากสิ่งท่ีฟังได้อย่างมี ประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามบางคร้ังการส่ือสารจากการฟังย่อมพบอุปสรรคได้ อุปสรรของการ ฟังมีหลายสาเหตุ ดังท่ี จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2555 : 143-156) ได้กล่าวถึง อปุ สรรคของการฟงั สรปุ ได้ ดังน้ี 1. สาเหตุจากผู้ฟัง สาเหตุจากผู้ฟังส่วนใหญ่เกิดมาการขาดความพร้อมของผู้ฟังและนิสัย การฟังที่ไม่ดี เช่น ทนฟังนานๆ ไม่ได้ ขาดสมาธิ เช่ือคนง่าย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเร่ืองที่ฟัง ขาดทักษะ การจับใจความสาคัญ ไม่ชอบบันทึกข้อมูล มีปัญหาสุขภาพ เป็นต้น ผู้ฟังที่ดีควรเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและนิสัยดังกล่าว และพยายามพัฒนาทักษะการฟังอยู่เสมอ อุปสรรคและปัญหาเหล่าน้ี ผฟู้ งั สามารถปรบั ให้ดขี ้นึ ไดเ้ พราะเกดิ มาจากตวั ผู้ฟงั เอง

ED12101 131 ภาษาและวฒั นธรรม นอกจากน้ี ธดิ า โมสกิ รตั น์ (2538: 195) กลา่ วถงึ ลักษณะนิสยั การฟงั ที่ไม่ดี สรปุ ได้ ดงั นี้ 1) ฟังเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของตนเองเป็นสาคัญ กล่าวคือ สนใจฟังเฉพาะ เรื่องทต่ี นเองชอบหรอื เรอ่ื งทเี่ ป็นประโยชน์ต่อตนเองเท่าน้ัน 2) ชอบฟังแต่เรื่องง่ายๆ เช่น สารประเภทบันเทิงคดีหรือสารที่ผู้ฟังคุ้นเคย ฯลฯ ถ้าเป็นเร่อื งเขา้ ใจยากจะไม่ฟงั 3) สนใจฟังเฉพาะผพู้ ดู ที่มีชอ่ื เสียงหรอื ผทู้ ต่ี นเองสนใจ 4) ไม่ชอบฟังเร่ืองซ้าๆ เพราะคิดว่าไม่น่าสนใจแล้ว และจะทาให้เสียเวลา ท้ังที่ผู้ พูดอาจพูดต่างไปจากครั้งทแี่ ลว้ ก็เป็นได้ 5) ชอบใชช้ อ่ งวา่ งระหวา่ งความคดิ กบั การพูด มักจะเกิดมาจากการท่ีผู้ฟังรู้สึกเบื่อ หน่ายเร่อื งทีไ่ ด้ฟังแลว้ ทาใหไ้ ปคิดถึงเรือ่ งอ่นื ๆ 6) มีชว่ งความสนใจสัน้ มักจะเกดิ มาจากการขาดความอดทนและขาดการฝึกฝน นอกจากนิสัยการฟังแล้ว ปัญหาในการฟังอาจเกิดมาจากการที่ผู้ฟังไม่รู้จักวิธีการฟังท่ี ถูกต้อง อาทิเช่น ผู้ฟังบางคนฟังไม่ถูกวิธีเช่นเข้ามาฟังอาจารย์บรรยายในชั้นเรียนแต่กลับฟังแบบ สบายๆ เหมือนการพักผ่อน หรือบางคนชอบฟังผ่านๆ ไม่ใช้กระบวนการคิดทาให้ความรู้ที่ได้รับมี ลักษณะผิวเผิน หรือบางคนชอบประเมินค่าส่ิงที่ได้ฟังตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์สาร วิเคราะห์กลวิธีพูดและบุคลิกภาพของผู้พูด ซึ่งอาจทาให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายหรือเข้าใจสารผิด วตั ถปุ ระสงค์ เชน่ ผพู้ ูดส่งสารท่ตี ลกขบขนั เพอื่ สรา้ งบรรยากาศท่ีสนุกสนาน แต่ผู้ฟังเอาแต่ประเมินค่า สารอยจู่ นอาจไม่ไดร้ บั สาระบันเทงิ ดงั กล่าวก็ได้ 2. สาเหตุจากผู้พูด ผู้พูดเป็นอีกฝ่ายหน่ึงท่ีมีส่วนสาคัญต่อกระบวนการฟังที่มีประสิทธิภาพ การฟังที่มีประสิทธิภาพนอกจากผู้ฟังจะต้องมีทักษะการฟังท่ีดีแล้ว ผู้พูดควรมีทักษะการพูดที่ดีด้วย เช่นกัน หากผู้พูดมีข้อบกพร่องเก่ียวกับวิธีการพูด การนาเสนอสาร หรือบุคลิกภาพอาจจะทาให้ผู้ฟัง เข้าใจประเด็นผิด ไม่เชอื่ ถอื และไม่สนใจฟงั ก็เปน็ ได้ สาเหตุจากผ้พู ูดพอสรปุ ได้ดงั นี้ 2.1 ผูพ้ ูดขาดทักษะการส่งสาร เช่น ไมส่ ามารถถา่ ยทอดความคิดหรือความรู้เป็นคาพูดได้ ไมค่ ้นุ เคยต่อการนาเสนอต่อหน้าทปี่ ระชุมชน ฯลฯ 2.2 ผู้พูดรสู้ ึกประหม่า ต่ืนเต้น หรือกลัวจนพูดไม่ออกหรือพูดติดขัด ซึ่งอาจทาให้ฟังแล้ว เขา้ ใจยากและอาจทาใหไ้ ม่อยากฟัง 2.3 ผู้พูดกังวลเร่ืองเน้ือหาที่จะพูดยังไม่สมบูรณ์ ปัญหานี้อาจทาให้ผู้พูดขาดความม่ันใจ จนทาใหก้ ารถา่ ยทอดสารขาดประสิทธภิ าพ ส่วนผ้ฟู ังจะได้รับสารไม่ครบถ้วนหรืออาจเข้าใจสารผิดไป ได้ 2.4 ขาดบุคลิกภาพที่ดีขณะพูด บุคลิกภาพท่ีดีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้พูดได้ การขาดบุคลิกภาพจะทาใหผ้ ู้ฟงั รู้สกึ สงสัยและไมเ่ ชื่อถือสิง่ ทผี่ ู้พดู พูด 3. สาเหตุจากสาร สาเหตุจากสารส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผู้ฟังไม่เข้าใจสาร โดยเกิดได้จาก หลายสาเหตุ พอสรปุ สาเหตุจากสารคร่าว ๆ เปน็ 2 ลกั ษณะ ดังน้ี

ED12101 132 ภาษาและวฒั นธรรม 3.1 สาเหตุจากเน้ือหา ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่มาจากเน้ือหาของสารมักจะเกิดจากสารที่ เขา้ ใจยาก สารที่มีความซับซ้อนและลึกซ้ึงมาก หรือมีตาราง แผนภูมิ กราฟท่ีเข้าใจยาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้ อาจทาใหฟ้ งั ไม่เข้าใจหรือเข้าใจสารผิดก็ได้ 3.2 สาเหตุจากภาษา ภาษาที่ปรากฏในสารน้ันอาจทาให้เกิดปัญหาได้ โดยสารน้ันมี คาศัพท์เฉพาะมากเกินไป เป็นศัพท์ท่ีไม่ได้ใช้อยู่ทั่วไป หรือใช้ศัพท์ภาษาต่างประเทศมากเกินไปหรือบท กวีท่เี ข้าใจยากซึ่งอาจทาใหผ้ ู้ฟังไม่เข้าใจสาร เกิดความรู้สึกงุนงงก็เปน็ ได้ ปัญหาการฟังที่มีสาเหตุมาจากสารข้างต้นน้ี ส่งผลให้ผู้ฟังไม่สามารถจับประเด็นหรือเข้าใจ เรือ่ งที่ฟงั ไดท้ ้ังหมด และอาจทาใหผ้ ้ฟู ังรสู้ ึกเบื่อหน่ายได้อีกดว้ ย 4. สาเหตจุ ากสื่อ ส่อื คือ วิธที างหรือช่องทางการนาเสนอสารของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร สื่อ มหี ลายประเภท เช่น สื่อท่ีเป็นบุคคล ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ สื่อทางธรรมชาติ เป็นต้น หากสื่อเกิดขัดข้อง หรือด้อยคุณภาพ เช่น ไมโครโฟนเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ หรือโทรทัศน์พร่ามัว สัญญาณไม่ดี หรือ บุคคลท่ีที่ฝากสารไปส่งต่อเข้าใจสารผิด ฯลฯ จะทาให้ผู้ฟังหรือผู้รับสารไม่เข้าใจสาร ส่งผลให้การ สอื่ สารขาดประสิทธิภาพ 5. สาเหตุจากสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมเป็นส่วนที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการฟัง แต่ หากสภาพแวดล้อมไม่เอ้ืออานวยอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟังได้ เช่น แสงสว่างน้อยเกินไป อยู่ใน บรเิ วณทมี่ เี สียงดงั เกนิ ไป ร้อนหรือหนาวเกนิ ไป เปน็ ต้น อุปสรรคและปัญหาในการฟังข้างต้น อาจทาให้ประสิทธิภาพในการฟังลดน้อยลง ท้ังนี้ ปัญหาบางปัญหาไม่ได้เกิดมาจากผู้ฟัง ทว่าผู้ฟังควรเตรียมความพร้อมในทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ ตาม ปัญหาของการฟังที่มาจากผู้ฟังเอง เป็นสิ่งที่ผู้ฟังควรแก้ไขและเป็นส่ิงท่ีแก้ไขได้เพราะเกิดจาก ตวั ผฟู้ งั เอง บทสรปุ การฟงั เปน็ ทกั ษะท่ีสาคัญยิง่ เพราะเป็นพน้ื ฐานแห่งการเรียนรู้ทั้งปวง เป็นทักษะแรกที่มนุษย์ ใชเ้ รยี นรู้วธิ ีการพูด ทาใหเ้ กดิ การเลยี นแบบการพูดส่งผลให้มนุษย์สามารถพูดจาสื่อสารกันได้ บุคคลท่ี ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพจะทาให้การสื่อสารสัมฤทธิผล ช่วยให้เกิดความเข้าใจระหว่างบุคคล และ ระหว่างคนในสังคม อันจะทาให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความสงบสุข ทักษะการฟังท่ีดียังจะนามาซึ่ง ความสาเร็จในชีวิต เน่ืองจากเป็นพ้ืนฐานสาคัญของทักษะการเข้าสังคม เพราะจะสามารถลดความ เข้าใจผิดและความขัดแย้งในการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน การฟังท่ีดีผู้ฟังจึงต้องฝึกทักษะการฟังของ ตนอย่างสม่าเสมอ

ED12101 133 ภาษาและวฒั นธรรม กิจกรรมประจาบทท่ี 6 1. การฟงั กับการได้ยนิ มีความเหมือนหรือความแตกต่างกนั อย่างไร จงอธบิ าย 2. ทาไมจึงกลา่ วว่าการฟงั มีกระบวนการรับสารคล้ายคลงึ กบั การอ่าน 3. นักศึกษาคดิ ว่าการฟงั ประเภทใดสาคญั กับนกั ศึกษามากทีส่ ุด เพราะเหตุใด จงอธิบาย 4. นักศกึ ษาร่วมกจิ กรรมข้ามเส้น (Diversity Line) เพือ่ ฝึกฟงั อย่างลึกซึ้ง (Deep listening) เมอ่ื ทากิจกรรมเสรจ็ แล้ว นกั ศกึ ษาแลกเปลย่ี นความคิดเห็นเก่ียวกิจกรรมการฟัง เพอ่ื สะทอ้ นความรู้ ในการทากิจกรรม 5. นกั ศกึ ษาวิเคราะห์ความสาคัญของการสาคญั ของการฟังอยา่ งลกึ ซ้ึงทั้งในฐานะผพู้ ดู และ ผู้ฟัง พร้อมทัง้ บอกความสาคัญของการฟงั อย่างลกึ ซงึ้ ในวิชาชพี ครู

ED12101 134 ภาษาและวฒั นธรรม เอกสารอ้างอิง จริ วัฒน์ เพชรรัตน์ และอมั พร ทองใบ. (2555). ภาษาไทยเพอื่ การส่ือสาร. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. จุไรรตั น์ ลักษณะศิริ และวรี วฒั น์ อินทรพร, บรรณาธกิ าร. (2558). ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2. นครปฐม : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. นพดล จนั ทรเ์ พญ็ . (2557).การใชภ้ าษาไทย. กรุงเทพฯ : ต้นออ้ . ปรชี า ชา้ งขวัญยนื . (2517). พน้ื ฐานของการใช้ภาษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ธิดา โมสกิ รตั น์. (2538). “ประเภทของการฟงั ” ใน เอกสารการสอนชุดวิชา การใช้ภาษาไทย (ฉบบั ปรบั ปรุง) หนว่ ยท่ี 1-8. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ธิดา โมสิกรตั น์ และศรสี ดุ า จรยิ ากุล. ( 2546). “การฟงั ” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชา ภาษาไทย หน่วยท่ี 1-8. กรงุ เทพฯ : ประชมุ ชา่ ง. สนทิ สัตโยภาส. (2554). ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสารและสืบคน้ . กรุงเทพฯ : เซน็ จรู ่ี. สุจรติ เพียรชอบ และ สายใจ อินทรมั พรรย์. (2538). วิธสี อนภาษาไทยระดบั มัธยมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ED12101 135 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจัดการเรยี นรู้ บทท่ี 7 การพูดเพอ่ื การสือ่ สารสาหรบั ครู สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของการพูด 2. ความสาคญั ของการพดู 3. องคป์ ระกอบของการพูด 4. วตั ถุประสงค์ของการพูด 5. สว่ นประกอบของเน้ือเร่ืองทจี่ ะพูด 6. การเตรียมตัวในการพดู 7. วธิ กี ารพดู เพ่ือการสื่อสาร 8. การพดู สอ่ื สารสาหรบั ครู 9. หลักสาคญั ในการพัฒนาทักษะการพูดเพ่ือสอื่ สารใหเ้ กิดประสิทธิภาพ วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. อธบิ ายความหมายและความสาคญั ของการสอื่ สารได้ 2. เลือกรูปแบบและภาษาในการสอื่ สารได้เหมาะสมกบั สถานการณ์การสอ่ื สาร 3. วเิ คราะหส์ ถานการณ์ในการสอื่ สารได้ 4. ประยกุ ต์ใชส้ ถานการณ์การส่ือสารในชีวติ ประจาวนั ได้ กิจกรรมการเรียนรู้ 1. การบรรยาย 2. นาเสนอสถานการณก์ ารส่ือสาร 3. กิจกรรมกลมุ่ (วิเคราะห์ภาษาจากสอ่ื หรือกิจกรรม) 4. อภปิ รายกลุ่ม 5. ฝกึ การอ่านโดยใหแ้ สดงวิธกี ารอ่านท่ถี กู ตอ้ ง และแสดงความคดิ เห็นจากเรื่องท่ีอา่ น 6. ผูเ้ รียนและผู้สอนรวมกนั สรปุ หลกั การท่เี รียน ให้นักศกึ ษาบนั ทกึ สรุปลงสมดุ ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ส่ือสิง่ พมิ พ์ เชน่ ข่าว บทความ วารสาร 3. สอื่ อเิ ล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดี วีดที ัศน์ สไลดน์ าเสนอความรู้ด้วยพนื้ ฐานเกยี่ วกบั การส่อื สาร 4. แบบฝึกหดั

ED12101 136 ภาษาและวฒั นธรรม การวัดผลและการประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทากจิ กรรม และการนาเสนองานกลุ่ม 2. ตรวจแบบฝึก

ED12101 137 ภาษาและวฒั นธรรม บทที่ 7 ทักษะการพดู เพ่อื การสอื่ สารสาหรับครู มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจาเป็นต้องติดต่อส่ือสารกับบุคคลอ่ืน ไม่ว่าจะเป็นคนท่ีอยู่ใกล้ชิดกัน เช่น ญาติพี่น้อง คนในครอบครัว หรือแม้กระทั่งคนที่อยู่ห่างตัวแต่อยู่ในสังคมเดียวกัน คือเพ่ือนฝูง เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน คนท่ีรู้จักกัน ซ่ึงแม้แต่คนท่ีไม่รู้จักกันมาก่อน ก็ยังอาจมีโอกาสส่ือสารกันได้ ดังนั้นหากสามารถพูดได้ดี สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทาให้ผู้พูดใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่าง ปกติสุขความหมายของการพดู ความหมายของการพดู การพูดเป็นทักษะการใช้ภาษาเพ่ือการส่ือสารท่ีสาคัญอีกทักษะหน่ึง เพราะการพูดเป็นทั้ง ศาสตรแ์ ละศิลป์ การพูดจงึ มคี วามสาคัญในชีวิตประจาวัน โดยเฉพาะการพูดเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ ผู้พดู จาเปน็ ทีจ่ ะเข้าใจหลักการพดู ทัง้ นี้ความหมายของการพูดมนี ักวิชาการไดใ้ ห้ความหมายไว้ ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 (2556: 843) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้ วา่ การพูดหมายถงึ การเปลง่ เสียงออกมาเปน็ ถ้อยคา สนิท ตั้งทวี (2538) ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า การพูดหมายถึง การส่ือความหมายของ มนษุ ย์โดยการใชเ้ สียงและกิริยาทา่ ทางเป็นเครื่องถ่ายทอดความรู้ความคิดและความรู้สึกจากผู้พูดไปสู่ ผูฟ้ งั เอกฉัท จารุเมธีชน (2539: 72) ได้กล่าวไว้ว่า การพูด คือ พฤติกรรมในการสื่อความหมาย ของมนุษย์โดยการใช้เสียงให้เป็นภาษาท่ีสามารถฟังเข้าใจได้ บางครั้งอาจใช้อากัปกิริยาท่าทาง ประกอบด้วยเพื่อถ่ายทอดความร้สู ึกนึกคิดไปยังผ้ฟู งั ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์ (2546 : 6) ได้กล่าวไว้ว่า คาว่า Speech น้ันแปลได้หลายความหมาย เช่น วาทการ วาทศลิ ป์ วาทศาสตร์ การพดู ฯลฯ นพดล จันทร์เพ็ญ (2557: 68) ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า การพูดคือการถ่ายทอด พฤติกรรมการสื่อสารของมนษุ ย์ โดยอาศยั ภาษา ถอ้ ยคา นา้ เสยี ง ตลอดจนกิรยิ าท่าทางและอื่นๆ เพื่อ ถ่ายทอดความรสู้ ึกนกึ คิดของตนเองแกผ่ ู้อ่ืน ใหเ้ กดิ ผลตอบสนองตามที่ตอ้ งการ จากความหมายของการพูดข้างต้นสรุปได้ว่า การพูด หมายถึง กระบวนการส่ือสาร โดยใช้ ภาษา ถ้อยคา น้าเสียง ตลอดจนกิริยาท่าทาง และเคร่ืองมือช่วยอื่นๆ เพ่ือถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ของตนแก่ผู้รับ สาร เพ่ือให้ผู้ฟังเกิดการรับรู้และเข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้พูด และผู้ฟังเกิดการ ตอบสนองตามทผี่ ู้พดู ต้องการ ความสาคญั ของการพดู ทักษะการพูดเป็นทักษะที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารกับผู้อ่ืน การพูดจึงมีความสาคัญใน ชีวิตประจาวันของเราเป็นอันมาก ดังที่ ศศิพงษ์ ศรีสวัสด์ิ(2529: 96) ได้กล่าวถึง ความสาคัญของ การพดู วา่ การพดู เป็นสิ่งจาเปน็ และสาคัญที่สุดสาหรับบุคคลทุกอาชีพในสังคม ประชาชนท่ัวโลกต่าง

ED12101 138 ภาษาและวัฒนธรรม เห็นความสาคัญของการพดู โดยมวี ัตถุประสงค์ที่สาคญั ของการพูดคอื เพื่อโน้มน้าวใจผู้ฟังให้คล้อยตาม ในเรื่องที่ตนพูด การพูดจึงเปรียบเสมือนบันไดสาคัญขั้นแรกของมนุษย์ในการส่ือสารกับสังคม และ เป็นสะพานเชอ่ื มไปสคู่ วามสาเรจ็ ในชวี ติ ได้ และจัดความสาคัญของการพูดแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังน้ี 1. การพูดเป็นการสอื่ สารเพอื่ สร้างความเขา้ ใจ การส่ือสารด้วยการพูดจะสร้างความเข้าใจระหว่างบุคลได้ง่ายกว่าการสื่อสารรูปแบบอื่น ดงั นน้ั การพดู จงึ เป็นการสอ่ื สารทีป่ ระหยดั และมีประสิทธภิ าพสูง เช่น การพดู คุยตกลงกนั ในการปฏิบัติ หน้าที่การงาน การเจรจาธรุ กิจ การพดู เพื่อประนปี ระนอมการชดใชห้ นีส้ ิน ฯลฯ 2. การพูดเปน็ เคร่ืองมอื ของการเขา้ ร่วมสมาคม การพูดส่งเสริมให้เกิดความสาเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน การพูดของแต่ละบุคคลนั้นเป็น เครื่องแสดงถึงความสามารถทางสติปัญญา อุปนิสัยใจคอของผู้พูดตลอดจนความมีไมตรีจิตต่อผู้รับ สาร เช่น การพดู แนะนาตนเองกบั เพื่อนใหม่ การพดู อวยพรในงานพิธีมงคล การพูดแสดงความเสียใจ ในงานพธิ อี วมงคล ฯลฯ 3. การพดู เป็นเครื่องมอื ประสานประโยชนใ์ หแ้ กส่ งั คม ในปจั จบุ ันการพูดนอกจากจะเป็นการประสานความสัมพันธ์ให้กบั ตนเองแลว้ การพูดยงั เป็น เครื่องมือช้ันยอดในการประสานประโยชน์แก่สังคม เช่น การพูดประชาสัมพันธ์โครงการต่างๆ ของ รฐั บาล การพูดประชาสมั พนั ธ์รณรงคต์ ่างๆ ของหน่วยงาน การพูดในหน่วยงานเพื่อสรา้ งความสมั พนั ธ์ อันดีกับคนในองคก์ าร ฯลฯ 4. การพดู เป็นการแลกเปล่ยี นทศั นคตซิ ึง่ กนั และกนั การพูดทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจอนั ดีระหว่างกนั ดงั นั้นการพูดจงึ เปน็ เคร่อื งมอื สร้างความเข้าใจ ระดับบุคคล ระดบั กล่มุ บุคคล ระดบั องค์กร จนถึงระดบั ชาติ เชน่ การปรบั ความเข้าใจกนั ระหวา่ งคน สองคน การสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดกันระหว่างหน่วยงาน การประชุมเพ่ือหาทางออกให้กับ องค์กรของตนเอง องค์ประกอบของการพูด ในการพูดแต่ละครัง้ มีองค์ประกอบของการพูดท่สี าคัญ ดังนี้ 1.ผู้พูด (Sender/Encoder) ผู้พูดหรือผู้ส่งสาร เป็นผู้ถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความตอ้ งการตา่ งๆของตนไปยังผู้ฟัง และทาให้ผู้ฟังเกิดปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหน่ึงตาจุดประสงค์ ของตน ลักษณะของผู้พูดที่ดคี วรมคี วามนา่ ประทบั ใจ มีเหตุผลทดี่ ีในการพดู และมีอารมณ์ร่วมกับผู้ฟงั เพียรศกั ดิ์ ศรที อง (2537) ได้กลา่ วไว้ว่า ส่ิงทผ่ี ูพ้ ูดหรอื ผสู้ ง่ สาร ควรคานงึ ถงึ ในการพูดแต่ละ ครง้ั เพ่ือใหก้ ารสอ่ื สารดว้ ยทกั ษะพูดเกิดประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) เสยี ง ใชเ้ สยี งท่มี รี ะดบั ชวนฟัง เสียงดังฟงั ชัด มีเสยี งหนกั เบาตามควรแกเ่ วลา และโอกาส ผพู้ ดู จะต้องรูจ้ กั ฝกึ พูดใหส้ อดคลอ้ งกบั ระดบั เสยี งของตน ดว้ ยลลี าการพดู ทต่ี นถนัด 2) บุคลิกภาพ ผพู้ ูดจาเป็นตอ้ งสรา้ งบคุ ลิกภาพของตนให้เป็นที่ประทบั ใจของ ผู้ชมหรือผู้พังในขณะที่พูด บุคลิกภาพภายในเป็นส่วนเสริมสร้างหรือสนับสนนุ การพูดของบุคคลให้ เป็นที่ จงู ใจผู้ฟังไดม้ าก