Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาและวัฒนธรรม

Description: ภาษาและวัฒนธรรม

Search

Read the Text Version

ED12101 39 ภาษาและวฒั นธรรม การวดั และประเมนิ ผล 1. สงั เกตความสนใจ ความตั้งใจในการเรียนการสอน 2. สงั เกตการร่วมทากิจกรรม การอภิปราย แลกเปล่ียนความคิดเห็นและการวิเคราะห์ใน ประเดน็ ที่กาหนดให้รวมท้ังการนาเสนอรายงานหน้าชั้น 3. การซกั ถามความรู้ ความเข้าใจในประเดน็ สาคญั ของเร่ือง 4. ตรวจผลงาน จากรายงาน ใบงานและจากการทาแบบฝึกหดั

ED12101 40 ภาษาและวฒั นธรรม บทที่ 3 ความรู้เบื้องตน้ เกย่ี วกับการสอื่ สาร มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจาเป็นที่จะต้องเก่ียวข้องกับบุคคลอ่ืนอยู่เสมอเพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูล ข่าวสาร การสื่อสารเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ท่ีถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ เรือ่ งราวขา่ วสารต่าง ๆ จากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลอื่น ดังนั้นการส่ือสารจึงเป็นกระบวนการท่ีสาคัญ ที่ทาให้เกดิ ความเข้าใจและความสมั พันธ์ระหวา่ งมนุษย์ การทากจิ กรรมต่างๆ ในชีวิตประจาวันของ มนุษยจ์ ึงจาเป็นต้องมีการสอ่ื สารกับบุคคลอน่ื เพ่อื ให้บรรลุเปูาหมายตามทต่ี ้องการได้ ความหมายของการสื่อสาร คาวา่ “การสือ่ สาร” มรี ากศัพท์มาจากภาษาลาตินคาว่า “Communis” ภาษาอังกฤษใช้ ว่า “Common” ซ่ึงมีความหมายว่า เหมือนกันหรือร่วมกัน ดังนั้นนัยสาคัญในการสื่อสารคือ กระบวนการทเ่ี รากาลงั สร้างความเหมอื นกันหรือทาบางสง่ิ บางอยา่ งรว่ มกนั น่นั เอง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2545(2556: 118) ได้ให้ความหมายของการ ส่ือสารไว้ว่า การสื่อสาร น.วิธีการนาถ้อยคา ข้อความ หรือหนังสือ เป็นต้น จากบุคคลหน่ึงหรือ สถานทหี่ นึ่งไปยังอกี บคุ คลหน่ึง หรืออีกสถานท่หี นงึ่ ความหมายของการสอ่ื สารน้นั มีนักวิชาการได้ใหค้ วามหมายของการสื่อสารไว้ ดงั น้ี จุมพล รอดคาดี (2531 : 2) อธิบายว่า การส่ือสาร หมายถึงพฤติกรรมการติดต่อสัมพันธ์ ระหวา่ งมนษุ ย์ โดยอาศยั กระบวนการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิด เจตคติ ตลอดจนประสบการณ์ระหวา่ งกันและกัน เพื่อให้เกิดผลตอบสนองบางประการท่ีตรงกับเปูาหมาย ท่ีวางไว้ คือ การเข้าใจร่วมกัน ความร่วมมือ ความตกลงเห็นพ้องต้องกัน ความผสมผสาน ประนปี ระนอม เป็นต้น อนั จะนามาซึ่งความคงอยู่ และการพัฒนาสงั คมของมนุษย์ วาสนา จันทรส์ วา่ ง และทัศนีย์ อินทรสขุ ศรี (2532 : 3) สรุปความหมาย ของการส่ือสาร หมายถึง การติดต่อสื่อสาร สื่อความหมายระหว่างกันและกันของมนุษย์ในสังคม เพื่อทาความ เขา้ ใจร่วมกันในการดารงอยขู่ องชวี ติ ในสังคม อริสโตเตลิ (Aristotle, 1960 : 7) ไดใ้ หค้ วามหมายของการส่อื สารในแง่วาทศิลป์(Rhetoric) ไว้ว่า การสอ่ื สาร คอื วธิ ีการพูดจงู ใจทพี่ ึงมีทกุ รูปแบบ วิลเบอร์ชแรมม์ (Wilber Schramm 1954: ออนไลน์) ได้ให้ความหมายของการสื่อสารไว้ วา่ การสอื่ สารคือการมีความเขา้ ใจร่วมกันต่อเครือ่ งหมายที่แสดงข่าวสาร ชาร์ล อีออสกุด (Charl E. Osgood.1949: 84) ได้ให้ความหมายของการสื่อสารไว้ว่า การ สื่อสารเกิดข้ึนเม่ือฝุายหน่ึงคือผู้ส่งสารมีอิทธิพลต่ออีกฝุายหน่ึงคือผู้รับสารโดยใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ซ่ึง ถูกสง่ ผา่ นส่ือทีเ่ ช่ือมตอ่ สองฝาุ ย ภิญโญ ช่างสาน (2542: 19) ได้กล่าวไว้ว่า การส่ือสาร คือ กระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของมนุษย์โดยผ่านช่องทาง การพูด การเขียน

ED12101 41 ภาษาและวฒั นธรรม อากัปกิริยา หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่จะทาให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและตอบสนองต่อความต้องการน้ัน ร่วมกัน ปรมะ สตะเวทิน (2545 : 14) ได้กล่าวไว้ว่า การสื่อสาร คือ กระบวนการของการ ถ่ายทอดสารจากบคุ คลหน่งึ ไปยงั บุคคลหน่งึ โดยผ่านสื่อ ธิติพัฒน์ เอี่ยมนิรันดร์ (2548:27) กล่าวว่าการส่ือสารหมายถึงกระบวนการส่ือความหมาย ของสารจากผูส้ ง่ สารผา่ นส่อื ไปยงั ผู้รบั สารเพอ่ื ให้เกิดความเข้าใจและ แสดงพฤติกรรมได้ตรงกนั จากการให้ความหมายของการสื่อสารดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การสื่อสาร คือ กระบวนการการติดต่อกันระหว่างมนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างเป็น ซ่ึงเป็นกระบวนการท่ีทาให้ ฝุายหนง่ึ รบั รคู้ วามหมายจากอีกฝุายหนึง่ และเกดิ การตอบสนองเรื่องท่ีรับตามความประสงค์และตรง ตาม ความหมายทอี่ ยู่ในใจของอกี ฝาุ ยโดยผ่านสอ่ื หรอื ช่องทางตา่ ง ๆ ความสาคญั ของการสื่อสาร การส่ือสารเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของมนุษย์อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่สามารถหลีกเล่ียงได้ ทั้งการส่ือสารกับตนเองและผู้อ่ืน ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทาให้การสื่อสารใน ปัจจุบันมีความสะดวกรวดเร็วเท่าทันเหตุการณ์มากยิ่งข้ึน ดังนั้นความสาคัญของการส่ือสารใน ปัจจุบันซงึ่ มบี ทบาทสาคญั ในชีวิตประจาวนั ของมนษุ ย์ สามารถแบง่ ไดด้ ังนี้ จันทิมา เขียวแก้ว และนฤมล รุจพิ ร (2551: 7-10) ได้กลา่ วถึงความสาคัญของการส่ือสารท้ัง ระดับจุลภาคและมหาภาคสรุปไดด้ งั นี้ 1. ความสาคัญต่อชีวิตประจาวัน ในการดารงชีวิตของมนุษย์ต้องมีการติดต่อส่ือสารกับ บุคคลอนื่ อยู่ตลอดเวลา ร่วมทงั้ มีกิจกรรมการส่ือสารอ่ืนๆ เช่น การอ่านหนังสือ การฟังวิทยุ การดู โทรทัศน์ การพูดคุย ฯลฯ ดังน้ันการสื่อสารจึงมีความสาคัญต่อการดารงชีวิตประจาวันของมนุษย์ หลายประการ 2. ความสาคัญต่อสงั คม การสอ่ื สารเป็นเครอื่ งมือท่ีสาคญั ประการหนึง่ ท่ีชว่ ยประสาน ความเข้าใจของคนในสงั คมท่ีมคี วามหลากหลายและแตกต่างกันให้อยู่รว่ มกันอย่างสงบสุข 3. ความสาคัญต่อการสร้างความร่วมมือ ตามหลักของการส่ือสารเป็นการสร้างความ ร่วมมือกันในกิจกรรมกิจกรรมหนึ่ง การสื่อสารระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารจึงทาให้เกิดความ ร่วมมือระหว่างบุคคลสามารถประสานพลังเพื่อความสาเร็จ นอกจากนี้การส่ือสารยังสามารถ เช่ือมโยงมนุษย์กับส่ิงต่างๆ ท่ีอยู่รอบตัวเพื่อให้สามารถปรับตัวและทาให้พฤติกรรมของมนุษย์แสดง ออกมาได้อย่างเหมาะสม 4. ความสาคัญในการแสวงหาความรู้ การแสวงหาความรู้น้ันจาเป็นต้องอาศัยการสื่อสาร ในการหาความรู้ เพราะการส่ือสารเป็นช่องทางหนึ่งท่ีสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารท่ีเราต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือภูมิปัญญาจากอดีตท่ีมีการส่ังสมมาอย่างยาวนานหรือข้อมูลข่าวสารใน ปัจจบุ นั 5. ความสาคัญในการรับรู้ของบุคคล การรับรู้ของบุคคลโดยเฉพาะการรับรู้เก่ียวกับ ตนเองซึ่งมอี ทิ ธพิ ลและมคี วามสาคญั ในการแสดงพฤตกิ รรมของบุคคลต่อการแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ

ED12101 42 ภาษาและวฒั นธรรม ในการรบั สาร การสื่อสารจึงเป็นเครื่องมือท่ีสาคัญประการหน่ึงที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ ของบคุ คลตอ่ ตนเองให้เปน็ ไปในทางทีส่ รา้ งสรรค์ได้ 6. ความสาคัญต่อการศึกษา การสื่อสารเป็นเคร่ืองมือสาคัญต่อการศึกษาในการแสวงหา และเพิ่มพูนความรู้ ช่วยให้การศึกษาหาความรู้ของมนุษย์เป็นไปอย่างกว้างขวางแพร่หลาย การ บันทึกข้อมูลที่ศึกษาไว้เป็นหลักฐานสาคัญท่ีทาให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาโดยการสืบค้นเพ่ือใช้ประโยชน์ ในการเรียนการสอน ทง้ั การเรียนการสอนในระบบและนอกระบบ 7. ความสาคญั ดา้ นการใหค้ วามบันเทิง การส่อื สารนอกจากเผยแพร่ขอ้ มลู ขา่ วสารแล้วยัง สามารถสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้รบั สารได้ โดยผา่ นสือ่ ต่างๆ หลายรูปแบบช่วยใหเ้ กดิ ความสมดุลใน จติ ใจ ลดความตรงึ เครียดและทาใหส้ ามารถดารงชวี ิตได้อยา่ งมีความสขุ 8. ความสาคัญด้านการรักษาพยาบาล ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทาง การแพทย์ทาให้สามารถคิดค้นวิธีการรักษาโรคหรืออาการบางอย่างให้ทุเลาหรือหายขาดได้ การ สื่อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างแพทย์กับผู้ปุวยนอกจากจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีแล้ว การสื่อสารยังส่งผลให้เกิดความร่วมมือกันของทุกฝุาย ช่วยให้การบาบัดรักษาโรคมีประสิทธิภาพ มากยง่ิ ข้นึ 9. ความสาคัญด้านจิตบาบัด อาการเจ็บปุวยนั้นบางครั้งสาเหตุไม่ได้เกิดขึ้นแค่อาการทาง กายเท่านั้น ความเครียดจากการเผชิญปัญหาต่างๆ บางครั้งทาให้เกิดอาการปุวยทางจิตใจซึ่ง ปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น การส่ือสารจึงเป็นหนทางหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการรักษาอาการทางจิตที่ เรียกว่า จิตบาบัด เพ่ือช่วยในการรักษา เช่น การใช้เสียงเพลงหรือดนตรี ที่เรียกว่า ดนตรีบาบัด หรอื การใช้การอ่านหนังสือ ทีเ่ รยี กวา่ บรรณบาบดั เป็นต้น 10. ความสาคัญด้านการเมืองการปกครอง การส่ือสารเป็นเครื่องมือสาคัญประการหนึ่ง ในการของรัฐในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับทราบและปฏิบัติตาม เพื่อให้เป็นไป ตามนโยบายท่ีรัฐกาหนด นอกนี้รัฐยังสามารถตรวจสอบความต้องการของประชาชนหรือความรู้สึก นึกคิดของประชาชนจากการทาประชามติเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกาหนดนโยบาย ดังน้ันการ สื่อสารจึงเป็นสิ่งสาคัญในการสร้างความเข้าใจด้านการเมืองการปกครอง ร่วมท้ังเป็นการสร้าง ภาพลกั ษณ์ท่ีดขี องรฐั ต่อประชาชนไดอ้ ีกทางหน่ึงด้วย 11. ความสาคัญต่อการเมืองระหว่างประเทศ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใน ปัจจุบันเป็นส่ิงสาคัญเพื่อให้เกิดความร่วมมือในด้านต่างๆ ร่วมกัน นอกจากรัฐต้องสื่อสารกับ ประชาชนภายในประเทศแลว้ การส่ือสารให้เกดิ ความเขา้ ใจอนั ดีกบั ประเทศอื่นก็มีความสาคัญเช่นกัน การพัฒนาเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้านการส่ือสารจะช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้ อย่าง สะดวกและรวดเรว็ เกิดการรวมกลุม่ ทาใหเ้ กิดประโยชน์ทางดา้ นการเมอื งและเศรษฐกจิ ได้ 12. ความสาคัญในการพัฒนาประเทศ การส่ือสารเป็นเครื่องมือสาคัญในการพัฒนาความ เจริญก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีของประเทศ นอกจากนี้การส่ือสารยังส่งผลให้ คุณภาพชวี ิตของประชาชนในประเทศดขี ึน้ จากการพฒั นาประเทศได้อีกทางหนึ่งดว้ ย 13. ความสาคัญต่อธุรกิจและอุตสาหกรรม การจาหน่ายสินค้าและบริการธุรกิจและ อุตสาหกรรมนั้นจาเป็นต้องจัดกรรมการประชาสัมพันธ์ข้อมูลสินค้าและบริการให้เข้าถึงผู้บริโภค

ED12101 43 ภาษาและวฒั นธรรม อย่างกว้างขวาง การสร้างแรงจูงใจให้เกิดการซื้อสินค้าต้องอาศัยการโฆษณา ดังน้ันการ ประชาสมั พนั ธ์และการโฆษณาตอ้ งอาศัยการส่อื สารเปน็ สาคัญ 14. ความสาคัญต่อการถ่ายทอดวัฒนธรรม วัฒนธรรมท่ีมนุษย์สร้างข้ึนเพื่อประโยชน์ใน การดารงชีวิต มีกระบวนการเรียน รู้ ถ่ายทอด ส่ังสมมาจากรุ่นสู่รุ่น การสืบทอดวัฒนธรรมน้ัน จาเป็นต้องอาศัยกระบวนการส่ือสาร ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดทางวาจาหรือการบันทึกการส่ือสาร เพื่อถ่ายทอดวัฒนธรรมทาให้ความรู้หรือภูมิปัญญาต่างๆเข้าสู่คนหมู่มากได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขนึ้ องคป์ ระกอบของการสอ่ื สาร องค์ประกอบของการสอื่ สารตามทฤษฎกี ารส่ือสารมีองค์ประกอบที่สาคัญ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. ผู้ส่งสาร(Sender) 2. สาร (Massage) 3. ส่ือหรือช่องทาง (Media or Channel) และ 4. ผ้รู บั สาร (Reciever) ดังแผนผงั ตอ่ ไปนี้ ผ้สู ่งสาร สาร ส่ือหรือช่องทาง ผ้รู บั สาร (Sender) (Message) (Media (Reciever) ----------- ----------- or Channel) ----------- ความรู้ รหสั ของสาร ----------- ความรู้ ทักษะ เนือ้ หาของสาร ทักษะ สังคม - ข้อเท็จจริง การมองเหน็ สงั คม วัฒนธรรม - ขอ้ คดิ เหน็ การไดย้ ิน วัฒนธรรม - ความร้สู กึ การไดก้ ล่นิ การสัมผสั การจัดสาร การลมิ้ รส ปฏกิ ิริยาตอบกลับ (Feedback) ภาพที่ 3.1 องค์ประกอบของการสื่อสาร

ED12101 44 ภาษาและวฒั นธรรม ในการสอ่ื สารแตล่ ะครัง้ องคป์ ระกอบที่สาคญั ในกระบวนการส่อื สามดี ังตอ่ ไปน้ี 1. ผสู้ ่งสาร (Sender) เปน็ ผ้เู รม่ิ ตน้ ในการส่อื สาร ผ้สู ่งสารอาจเป็นบุคคลเดียวหรือหมู่คณะ ก็ได้ เพอื่ ให้การสอื่ สารมปี ระสิทธิภาพ ผ้สู ่งสารตอ้ งมคี ุณสมบตั ิที่สาคญั ดงั ต่อไปนี้ 1.1 มีจุดมุ่งหมายในการส่ือสารชัดเจน การสื่อสารน้ันจาเป็นท่ีผู้ส่งสารต้องมี จดุ มงุ่ หมายในการสอ่ื สารแตล่ ะครัง้ ให้ชดั เจนวา่ ผสู้ ง่ สารต้องการอะไร ซึ่งเจตนาในการส่งสารสามารถ แบง่ ไดเ้ ป็น 4 ประการ คือ 1. แจ้งให้ทราบ 2. ถามให้ตอบ 3. บอกใหท้ า และ 4. ชน้ี าใหค้ ดิ เปน็ ต้น 1.2 เข้าใจในเนื้อหาของสารท่ีจะส่ือสารกับบุคคลอ่ืน นอกจากจะผู้ส่งสารจะมี จดุ ม่งุ หมายในการสือ่ สารชดั เจนแลว้ การเข้าใจเนื้อหาของสารท่ีจะสื่อสารกับบุคคลอื่นเป็นอย่างดีก็ เป็นส่งิ สาคญั ประการหน่ึง เพราะจะทาให้ผู้รับสารได้รับข้อมูลท่ีถูกต้องแม่นยาและได้รับการเช่ือถือ ทาให้การส่อื สารเกดิ ประสิทธิภาพมากย่ิงขึน้ 1.3 มีทักษะในการสือ่ สาร การสื่อสารให้บรรลจุ ุดมุ่งหมายท่ีตั้งไว้จาเป็นท่ีผู้ส่งสาร ต้องมีทักษะในการส่ือสารซึ่งต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์เป็นสาคัญ นอกจากนี้ความรู้และ ประสบการณ์เพียงอย่างเดียวไม่อาจทาให้การส่ือสารสัมฤทธ์ิผลได้ ดังน้ันผู้ส่งสารจะต้องมีกลวิธีใน การสง่ สารไปยังผู้รับสาร กลวธิ ีในการส่ือสารมควรมคี วามเหมาะสมแกโ่ อกาสของการสอ่ื สารทาให้ผู้ สง่ สารและผูร้ บั สารเกิดความเขา้ ใจสารตรงกันและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 1.4 มคี วามพร้อมในการสอื่ สาร ความพรอ้ มของผู้ส่งสารเปน็ ปจั จัยสาคญั ประการหนึง่ ทที่ าใหก้ ารส่อื สารจะสัมฤทธิ์ผลได้ หากผู้ส่งสารมีจุดมุ่งหมายในการส่ือสาร มีความรู้ใน เน้อื หาของสาร มีทักษะในการส่ือสาร แต่หากขาดความพร้อมในการสื่อสารคร้ังน้ันๆ การสื่อสารก็ ไมส่ ามารถสัมฤทธ์ผิ ลได้ 2.สาร (Massage) หมายถึง เรอ่ื งราวขา่ วสารต่าง ๆ ท่ีผูส้ ่งสารตอ้ งการจะสื่อไปให้ผู้อน่ื ได้รับรู้ ส่วนประกอบของสารท่สี าคญั มี 3 สว่ น ดงั น้ี เนอ้ื หาของสารมีอยู่ 3 ประเภท ดงั นี้ 2.1 รหสั ของสาร คอื ภาษา สญั ลักษณ์ หรือสัญญาณต่างๆ ทม่ี นุษยส์ รา้ งข้นึ ใช้ แทนความคดิ เพ่ือสอ่ื สารกับบุคคลอ่นื เชน่ สัญญาณไฟจราจร เพือ่ ใชค้ วบคมุ การขบั ข่ียานพาหนะ ซง่ึ สญั ญาณไฟสีแดง หมายถึง ให้หยดุ รถ สัญญาณไฟสเี หลืองอาพัน หมายถึง ให้เตรยี มหยุดรถ และสัญญาณไฟสีเขียว หมายถึง อนุญาตใหข้ ับรถผ่านไปได้ 2.2 เน้ือหาของสาร คือ เรอ่ื งราวทมี่ นุษยส์ รา้ งข้นึ เพือ่ ใชส้ ือ่ สารไม่วา่ จะเปน็ ความรู้ ความคดิ ปรือประสบการณต์ า่ งๆ เพ่ือใช้แลกเปลี่ยนทาความเข้าใจรว่ มกนั เน้ือหาของสาร ท่ีใช้สอ่ื สารแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 2.2.1 สารประเภทข้อเท็จจริง คอื เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดขนึ้ บนโลกใบน้ลี ว้ น เป็นข้อเท็จจริง หากตรวจสอบแลว้ วา่ ถูกตอ้ ง ใช่ เป็นจรงิ จะเรยี กว่า ข้อเท็จจรงิ ท่เี ปน็ จรงิ หาก สารนนั้ ตรวจสอบแลว้ ว่าไม่ใช่ ผิดหลักการหรือผิดหลักทฤษฎีจะเรียกว่า ข้อเทจ็ จริงท่ีเปน็ เท็จ ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี

ED12101 45 ภาษาและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานีตงั้ อยถู่ นนอุดร-สกล (ขอ้ เทจ็ จริงท่เี ป็น เทจ็ ) ข้าวเปน็ สมุนไพร (ข้อเท็จจรงิ ทีเ่ ป็น เท็จ) โรคไขห้ วดั นกเป็นโรคติดต่อประเภทหนึง่ (ข้อเท็จจรงิ ที่เป็น จรงิ ) ณเดชเป็นนกั แสดงท่ีเปน็ ทมี่ ชี ื่อเสียง (ขอ้ เท็จจรงิ ทเ่ี ป็น จริง) 2.2.2 สารประเภทขอ้ คดิ เห็น คือ สิ่งทแ่ี สดงออกมาจากความคดิ เหน็ ต่อสิ่งใดสิ่งหนงึ่ ซ่ึงสารประเภทขอ้ คิดเห็นมดี ังนี้ 1) ข้อคดิ เหน็ เชงิ สังเกต คือ สารทช่ี ้ใี หเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะท่ีน่าสนใจของ เหตุการณ์วตั ถุ หรอื พฤตกิ รรมของบุคคล เพื่อใหผ้ ู้รับสารนาไปพิจารณาไตร่ตรองอยา่ งถอ่ งแท้ 2) ข้อคดิ เหน็ เชิงแนะนา คือ สารที่บอกกล่าวว่าสงิ่ ใดควรทา ข้ันตอน ในการทาเปน็ อย่างไรและมเี หตุผลอย่างไรจงึ ให้ข้อแนะนาน้ัน 3) ข้อคิดเห็นเชิงประเมินค่า คือ สารท่ีบ่งช้ีว่าอะไรดีหรือไม่ดี ควร หรือไม่ควร ถูกหรือผิด ควรยกย่องหรือน่าตาหนิ ฯลฯ ซ่ึงผู้ประเมินอาจจะแสดงเหตุผล ประกอบดว้ ยเพ่ือใหข้ ้อคดิ เห็นน้ันสมบรู ณข์ ้ึน 2.2.3 สารประเภทความรู้สึก คือ สารท่ีแสดงสภาพอารมณ์ความรู้สึก ของมนุษย์ซงึ่ มมี ากมายหลายลกั ษณะ เชน่ ความรู้สึกดีใจ เศร้าใจ ภมู ิใจ หวงแหน เป็นต้น สาร ประเภทนี้อาจแสดงออกอย่างสนั้ ๆ เช่น คาทกั ทายปราศรยั ในชีวติ ประจาวัน หรือแสดงออกอย่าง ยดื ยาวลกึ ซง้ึ เชน่ บทกวนี พิ นธ์ กไ็ ด้ 2.3 การจัดสาร คือ วิธีการนาสารมาเรียบเรียงเพื่อให้ได้ใจความเน้ือหาตามท่ี ต้องการสื่อสารตามลาดับ รวมทั้งวิธีกลวิธีการเลือกใช้ภาษาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้รับสารให้ สามารถจดจาและปฏบิ ัตติ ามผู้สง่ สารตามทต่ี ้องการได้ 3. สอ่ื หรือชอ่ งทางการสือ่ สาร (Media or Channel) คือ ตัวกลางท่ีเชื่อมโยง ผู้ส่งสาร กับผรู้ ับสารให้ติดตอ่ เข้าใจ กันได้ โดยท่ัวไปสารจะถ่ายทอดเข้าระบบการรับรู้ของมนุษย์ผ่าน ประสาทสัมผัสทางใดทางหน่ึงหรือหลายทางร่วมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นช่องทาง ของผู้ส่งสารผ่านช่องทางของสารไปสู่ผู้รับสาร เช่น บทความใน หน้าหนังสือพิมพ์ ผู้เขียน บทความคือ ผู้ส่งสาร ผู้อ่านคือผู้รับสาร ข้อความของบทความคือสาร หนังสือพิมพ์ คือส่ือและตา คือชอ่ งทาง เปน็ ตน้ ถ้าหากจะแบง่ ประเภทของสื่อสามารถแบ่งได้ ดงั นี้ 3.1 สื่อสิ่งพิมพ์ เชน่ หนังสือพิมพ์ แผน่ พบั ใบปลิว วารสาร นิตยสาร ฯ 3.2 สื่อเฉพาะกิจ เช่น ปาู ยนิเทศ บอร์ด รวมไปถึงกิจกรรมบางอย่าง เช่น นิทรรศการ การประชุม ปาู ยชอื่ สถานท่ี ปูายโฆษณา ฯลฯ 3.3 สอื่ บุคคลหรอื ส่ือมนุษย์ คือ ตัวบุคคลท่ีทาหน้าท่ีเป็นผู้ส่งสารไปยังบุคคลอ่ืน เชน่ ฝากบอกขอ้ ความต่อๆ กนั ไป การใช้คนนาสาร 3.4 สื่อธรรมชาติ ได้แก่ บรรยากาศที่มีอยู่โดยธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนเป็น เจ้าของได้ เชน่ คลนื่ แสง คล่นื เสยี ง เป็นต้น

ED12101 46 ภาษาและวัฒนธรรม 3.5 ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ สื่อท่ีผลิตขึ้นจากความรู้ความก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น วิทยุกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ แถบบันทึกเสียง ดาวเทยี มส่อื สาร ฯลฯ 4.ผู้รับสาร (Reciever) มีบทบาทสาคัญต่อผู้ส่งสารในการกาหนดสารหรือเรื่องราวที่ ต้องการสื่อสาร ผู้รับสารอาจเป็นบุคคลเดียวหรือกลุ่มบุคคลเช่นเดียวกับผู้ส่งสาร ท้ังนี้ผู้รับสารมี บทบาทสาคญั ตอ่ การรับรู้ความหมายจากเรือ่ งราวของผสู้ ่งสารและแสดงปฏกิ ิริยาตอบกลับหลังจากที่ มีกระบวนการสอื่ สารแลว้ สวนติ ยมาภยั (2552: 9-26) ไดก้ ล่าวถงึ บทบาทของผรู้ บั สารไว้ ดังน้ี 1.พยายามรับรู้ข่าวสารต่างๆ อยู่เป็นประจา การพยายามรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เป็น ประจา ทาให้เป็นผู้สะสมความรู้ไว้มากย่ิงข้ึน ความรู้เหล่าน้ีเป็นพื้นฐานสาคัญในการรับความรู้อ่ืนๆ ในการส่ือสารกับบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การส่งสารการรับสารดาเนินไปอย่าง ราบรืน่ ไมว่ า่ จะอยใู่ นสถานการณ์ใดกต็ าม 2.เปน็ ผู้ไหวรู้สกึ รวดเรว็ และถกู ต้อง ปฏกิ ริ ยิ าตอบกลับทเี่ กดิ ขึ้นจากการสื่อสารเม่ือมีสิ่งเรา้ มากระทบสมั ผสั ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ผสู้ ่งสารสามารถรับและตีความไดว้ ่าสารจากส่งิ เร้า น้ันๆ มคี วามหมายอย่างไร 3. สามารถบังคับความสนใจของตนเองให้จดจ่อกับเร่ืองราวที่ผู้ส่งสารกาลังส่งสารได้ การกาหนดกาความสนใจต่อการรับรู้ส่ิงต่างๆ จากการสื่อสารนั้น ต้องอาศัยสมาธิของผู้รับสารเป็น สาคัญ หากผู้รับสารไม่สนใจเร่ืองราวที่ผู้ส่งสารส่ือสารอยู่ย่อมส่งผลให้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของ สารหรือเร่ืองราวต่างๆ และไม่สามารถปฏิบัติตนได้ตามความต้องการของผู้ส่งสาร ทาให้เสียเวลา และโอกาสในการดาเนินกจิ กรรมตา่ งๆ ได้ นอกจากองค์ประกอบของการสื่อสารทั้ง 4 องค์ประกอบดังกล่าวข้างต้นแล้ว หลังจากที่มี การสื่อสาร จะมีปฏกิ ิรยิ าตอบสนองหรือปฏิกิริยากลบั (Feedback) จากผู้รับสารทางใดทางหน่ึง จึง จะถือว่าการส่ือสารสัมฤทธิ์ผล ปฏิกิริยาในการตอบกลับหลังจากท่ีมีการส่ือสารนั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ปฏิกิริยาตอบกลับด้านบวก (Positive) และปฏิกิริยาตอบกลับด้านลบ (Negative) การแสดงปฏิกิริยาตอบกลับให้อีฝุายทราบได้นั้นต้องประเมินจากการส่งสารและบรรยากาศในการ ส่อื สารรว่ มดว้ ย วตั ถปุ ระสงค์ของการส่อื สาร การส่อื สารระหวา่ งบคุ คลทัง้ สองฝุายจะสัมฤทธิ์ผลหรอื ไม่น้นั ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องมี จุดมุ่งหมายในการสอ่ื สารอย่างชัดเจน เพื่อให้ทราบว่าการสื่อสารในแต่ละครั้งผู้ส่งสารต้องการอะไร และผรู้ บั สารมคี วามต้องการอะไร ดงั น้นั จดุ ม่งุ หมายของการสื่อสารท่ีแตกต่างกัน ย่อมส่งผลต่อการ สื่อสารในแต่ละครั้งแตกต่างกัน ดังที่ สนิท สัตโยภาส (2542: 5) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการ ส่ือสารท่สี าคัญไว้ดงั ต่อไปนี้

ED12101 47 ภาษาและวัฒนธรรม 1. เพ่ือให้ขอ้ มลู ข่าวสาร หรือความรู้ การสอื่ สารบ้างครง้ั มุ่งเน้นให้ผรู้ บั สารเกดิ ความเขา้ ใจเพิม่ ข้ึน ดังน้ันจาเป็นที่ผู้ส่งสารต้องให้ ข้อมูลข่าวสาร หรือความรู้แก่ผู้รับสาร เมื่อผู้รับสารได้รับข่าวสารเพิ่มข้ึนมีข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น จากเดิมส่งผลให้ผู้รับสารเป็นบุคคลที่รู้เท่าทันโลกรู้เท่าทันเหตุการณ์ และได้ชื่อว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ กว้างขวาง ผู้ส่งสารที่มจี ดุ ประสงคเ์ พ่อื ให้ข้อมูลจะต้องมีวิธีการเรียงลาดับข้อมูลให้น่าสนใจและง่าย ต่อการรับสาร ช่องทางในการสื่อสารตามจุดประสงค์ของการให้ข้อมูลข่าวสารหรือความรู้นี้จะ ออกมาในรูปของการเขียนบทความการเขียนสารคดี การเขียนตาราทางวิชาการ การเขียนข่าว การ พูดเชิงให้สาระความรู้ การสัมมนาทางวิชาการการอ่านข่าว การพูดวิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันด้าน ตา่ งๆ เปน็ ต้น 2. เพ่อื โน้มนา้ วใจ การโน้มนา้ วใจ คอื การสื่อสารท่ีมุ่งสร้างเจตคติ ความน่าเชื่อถือ ความศรัทธาให้แก่ผู้รับสาร ได้มีความคิดเห็นคล้อยตามและเกิดการปฏิบัติตามที่ผู้ส่งสารแนะนา การสื่อสารท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อ โน้มนา้ วนี้ ผสู้ ง่ สารจะต้องใช้จิตวทิ ยาในการเสนอสารใหน้ ่าเชือ่ ถือ และมีข้อมูลยืนยันท่ีหนักแน่นด้วย เช่น การเขียนหรือพูดโฆษณาสินค้าและบริการ การเขียนหรือพูดเชิงประชาสัมพันธ์องค์กรและ หน่วยงานการเขยี นหรอื พูดเชงิ ส่งั สอนผู้หลงผดิ เปน็ ตน้ 3. เพ่อื จรรโลงใจ การสื่อสารเพ่ือให้เกิดความจรรโลงใจนี้ ผู้รับสารจะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ต่อ ส่ิงแวดล้อมหรือต่อสังคมผู้ส่งสารจะพยายามส่ือสารท่ีมุ่งสร้างศรัทธาให้แก่สถาบันสาคัญต่างๆ เช่น สร้างศรัทธาในศาสนา การพูดยกย่องสดุดีวีรกรรมของบุคคล สร้างศรัทธาในสถาบันชาติและ พระมหากษัตรยิ ์ สรา้ งศรัทธาในการทาความดีสร้างศรัทธาในสัมมาอาชีพ หรือสร้างศรัทธาในคุณค่า ของการศกึ ษา เปน็ ตน้ 4. การตดิ ต่อส่ือสารเพ่อื ความบันเทงิ การสอ่ื สารนอกจากจะมุ่งเน้นการให้ข้อมลู ข่าวสารท่เี ปน็ ความร้แู ลว้ บางครง้ั ผู้สง่ สารมงุ่ ให้ ผรู้ ับสารผอ่ นคลายความเครยี ด เกดิ ความสุขสนุกสนานรนื่ รมย์ใจไปกบั การรบั สาร และหากสารนน้ั รวมไปถงึ กลวธิ ีในการส่ือสารซึ่งสอดคล้องกบั ความต้องการของผู้รับสาร ผูร้ ับสารกจ็ ะเกิดความพงึ พอใจ ขบขนั เกดิ ความบนั เทิงสบายใจตามความต้องการท่ีจะแสวงหา เช่น การฟงั เพลง การชม ละคร ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง ฟังหรืออ่านนวนยิ ายตา่ งๆ ชมรายการตลก เป็นต้น ภาษาท่ีใชใ้ นการสื่อสาร ภาษาท่ีใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจาวัน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1.ภาษาที่ใช้ถ้อยคา หรือวัจนภาษา (Verbal Language) 2. ภาษาท่ีไม่ใช่ถ้อยคาหรืออวัจนภาษา (Non-verbal Language) มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

ED12101 48 ภาษาและวัฒนธรรม 1. ภาษาทีใ่ ช้ถ้อยคาหรือวัจนภาษา (Verbal Language) คือภาษาพูดและภาษาเขียนท่ี ตกลงใช้ร่วมกนั ในสงั คมซ่ึงมีความหมายรวมไปถึงเสียงและลายลักษณ์อักษร เป็นภาษาท่ีมนุษย์สร้าง ขน้ึ อย่างมรี ะบบ มีหลักเกณฑ์หรือไวยากรณ์ทางภาษา และคนในสังคมต้องเรียนรู้และใช้สื่อสารไม่ วา่ จะเปน็ ทักษะการฟัง การพดู การอ่าน และการเขียน หลักการใช้วจั นภาษาในการสือ่ สาร ควรคานึงถึงเรื่องต่อไปน้ี 1) มีความถูกต้องและชัดเจน การใช้วัจนภาษาในการส่ือสารจาเป็นต้องเป็นภาษาท่ีผู้ส่ง สารและผู้รับสารเข้าใจตรงกัน มีความถูกต้องตามหลักภาษา โดยหลักภาษาไทยท่ีผู้ส่งสารควร คานึงถึงน้ัน ได้แก่ 1.1 ความหมายของคา เน่ืองจากคาในภาษาไทยน้ันมีทั้งความหมายตรงและ ความหมายแฝง ดังนั้นผู้ส่งสารควรมีการศึกษาความหมายของคาเหล่านั้นเพื่อขจัดปัญหาความ คลุมเครือของสารที่ต้องการส่ือสารไปยังผู้รับสาร นอกจากน้ีการสื่อสารบางคร้ังผู้ส่งสารจาเป็นต้อง ศึกษาบริบทของภาษา อาทิ การใช้คาขยายมาอประกอบเม่ือใช้วัจนภาษาในการส่ือสาร เพื่อให้ เกิดความเข้าใจเนือ้ หาของสารได้ชัดเจนมากย่ิงขึน้ 1.2 การเขียนและการออกเสียงคา การเขียนในการส่ือสารนั้นผู้ส่งสารจาเป็น จะตอ้ งระมดั ระวงั เรื่องการสะกดการันต์ ส่วนการพูดนั้นต้องระมัดระวังเร่ืองการออกเสียงให้ชัดเจน ทั้งน้ีหากเขียนผิดหรือออกเสียงผิด ความหมายของคาก็จะเปลี่ยนไปทาให้การรับสารเกิดความ คลาดเคลอื่ นได้ 1.3 การเรยี บเรียงประโยค การศึกษาโครงสร้างของประโยคเพ่ือวางตาแหน่งของ คาในประโยคใหถ้ กู ต้อง ถกู ท่ี ไมส่ ับสน ทาให้การเสื่อสารชัดเจนน้ันเป็นสิ่งสาคัญประการหนึ่งท่ีผู้ส่ง สารตอ้ งศกึ ษา เพอ่ื ให้การสือ่ สารเกิดความเข้าใจตรงกนั และเกิดผลสัมฤทธติ์ ามเจตนาของผ้สู ง่ สาร 2) มคี วามเหมาะสม เพื่อใหก้ ารสอื่ สารบรรลุเปูาหมาย ผสู้ ่งสารต้องคานึงถงึ 2.1 ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะกบั บุคคล การใชเ้ ลือกใช้ภาษาในการสือ่ สารเป็นสงิ่ คาคญั เป็นสิ่งสาคัญ ผู้ส่งสารต้องพิจารณาว่าส่ือสารคร้ังนั้นๆ กาลังส่ือสารกับบุคคล กลุ่มบุคคล หรือ มวลชน เพราะขนาดของผ้รู ับสารสง่ ผลตอ่ การเลอื กใช้ภาษา เชน่ การส่ือสารกับมวลชนต้องใช้ภาษา ท่ีเข้าใจง่าย ไม่มีศัพท์ทางวิชาการ เน่ืองจากการส่ือสารมวลชนเป็นการส่ือสารที่ผู้รับสารมีความ แตกต่างกนั ทง้ั เพศ วัย อายุ อาชีพ การศึกษา เปน็ ตน้ 2.2 ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะงาน เชน่ งานประพันธ์ งานโฆษณา งาน ประชมุ ฯลฯ เพราะแต่ละงานใช้ภาษาเฉพาะแตกต่างกันไป ผู้ส่งสารจาเป็นต้องเลือกใช้ภาษาและ เข้าใจลักษณะภาษาทีเ่ หมาะสมกบั งานนัน้ ๆ 2.3 ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกับส่ือ ผสู้ ่งสารจะต้องรู้จักความแตกต่างของส่ือและความ แตกตา่ งของภาษาท่ีใช้กับสอื่ แตล่ ะประเภท เช่น ส่อื บคุ คลอาจใช้จติ วทิ ยาทางภาษาเข้ามาเกยี่ วข้อง สอื่ โฆษณาต้องใช้ภาษาที่กระชบั กระตุ้นความสนใจของผูร้ ับสาร 2.4 ใช้ภาษาให้เหมาะสมกบั ผู้รับสารเปาู หมาย ซง่ึ ผูร้ ับสารเปาู หมาย คือ กลุ่มผูร้ ับ สารเฉพาะทผ่ี ู้สง่ สารสามารถคาดหวงั ได้ โดยผู้ส่งสารน้นั ตอ้ งวเิ คราะหก์ ารใชภ้ าษาและเลือกใช้ภาษา ให้เหมาะสมกับผูร้ บั สารนั้นๆ เชน่ วัยรนุ่ ตอ้ งใชภ้ าษาทสี่ ะดุดตา สะดดุ ใจ เปน็ ตน้

ED12101 49 ภาษาและวฒั นธรรม 2. ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคาหรืออวัจนภาษา (Non-verbal Language) ภาษาท่ีไม่ใช่ถ้อยคา เป็นภาษาซึ่งแฝงอยู่ในถ้อยคากริยาอาการต่าง ๆ ตลอด จนสิ่งอื่น ๆ ท่ีเกี่ยว ข้องกับการแปล ความหมาย เช่น น้าเสียง การตรงต่อเวลา การย้ิมแย้ม การสบสายตา การ เลือกใช้เสื้อผ้า เป็นต้น สิง่ เหล่านี้ แม้จะไม่ใช่ถอ้ ยคา แต่ก็สามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้ ในการสื่อสารมักมี อวัจนภาษา เข้าไปแทรกอยู่เสมออาจต้ังใจหรือ ไม่ต้ังใจก็ได้ บรรพต ศิริชัย (2533:21-23) ได้แบ่งอวัจนสารไว้ 7 ประเภทคอื 2.1 เทศภาษา หมายถึง อวจั นสารทีเ่ กิดจากลกั ษณะของสถานท่ที ่ีใชต้ ิดต่อ สื่อสารกัน ระยะห่างท่ีผู้สื่อสารอยู่ห่างกัน ทั้งสถานท่ีและช่วงระยะเวลา ซึ่งจะสื่อให้เราได้ทราบถึงความหมาย บางอยา่ งของผู้กาลงั สื่อสารกันได้อย่างชัดเจน ท้ังเนื้อที่ หรือระยะใกล้ ไกล ในการส่ือสารก็ย่อมที่จะ มี ความ หมายเช่นกัน เช่น สถานภาพของบุคคลในสถานที่ทางานคือ บุคคลที่เป็นผู้บังคับบัญชา อาจจะ นงั่ ทางานใน หอ้ งคนเดียว หากจาเปน็ ต้องอยู่รวมกบั ผูอ้ น่ื เนอื้ ทสี่ าหรบั โต๊ะทางานอาจจะใหญ่ กวา่ ส่วน ผูอ้ ย่ใู ต้บังคับ บัญชาอาจจะอยรู่ วม ๆ กัน เป็นต้น กริซ สืบสนธิ์ (2526:98-99) แบ่งระยะห่างระหว่างบุคคลได้ 4 ประเภท โดยกาหนดตาม ความ รู้สึก ทัศนคติ ตาม สภาพสังคมวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่ือสารและผู้รับสาร และ เนอื้ หาสาระของ สารคอื 1) ระยะใกล้ชิด (Intimatic Destance) เป็นระยะท่ีใกล้ที่สุดของทั้งสองฝุาย เช่น การ กอดรัด การสัมผัส การคุยชิดตัว เปน็ ต้น 2) ระยะส่วนบุคคล (Personal Distance) เป็นระยะห่างที่สงวนไว้สาหรับเพื่อนและ บุคคลท่ีใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหรือยืนจะอยู่ห่างกัน 1/12-4 ฟุต ซ่ึงจะข้ึนอยู่กับความสัมพันธ์ ของทั้งสองฝุาย 3) ระยะสังสรรค์ (Social Distance) เป็นระยะห่างท่ีออกไปจากระยะส่วนบุคคลใช้กัน มากใน การเจรจา ธรุ กจิ ต่าง ๆ ทัง้ แบบทางการและไมเ่ ป็นทางการ 4) ระยะห่างไกล (Public Distance) เป็นระยะท่ีห่างเกินกว่า 12-15 ฟุต หรือเกินกวา่ นน้ั 2.2 กาลภาษา (chonemics) หมายถึง ภาษาท่ีเกิดข้ึนจากลักษณะของเวลาหรือ ระยะเวลาขณะส่ือสาร กัน ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร จะเห็นได้ว่ากาลภาษานั้นก็มีความสาคัญ อยา่ งย่งิ ในการตดิ ตอ่ สือ่ สารกนั ในชีวิต ประจาวันไมว่ ่าจะในทางธรุ กจิ หรือสว่ นบุคคล เช่น ในการ นดั พบพูดคุยในทางธุรกิจนัน้ เราจะให้ความสาคัญมากต้องไปตรงกับเวลาท่ีนัดถ้าหากไปสายจะมี ความรู้สึกว่าผิดมาก ส่วนการนัด พบอื่น ๆ น้ัน จะไม่ค่อยให้ความสาคัญสักเท่าใดนักอาจจะหาข้อ แก้ตัวอน่ื ๆ ได้ นอกจากนี้สภาพสังคมวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม สภาพของชีวิตความเป็นอยู่จะมีอิทธิพล ต่อการใช้เวลาอย่างมาก เช่น ชาวต่างประเทศในสังคมยุโรปอเมริกาจะถือเรื่องเวลาเป็นสิ่งสาคัญ ถ้าไมต่ รงเวลาแสดงถือว่าเป็นการดูถูก ส่วนในสังคมไทยเราไม่ค่อยจะให้ความสาคัญกับเวลาเท่าไร นัก ดังน้ันกาลภาษามีความสาคัญอย่างยิ่ง ซ่ึงผู้ส่ือสารควรใช้กันอย่างระมัดระวังเพื่อให้การ ติดต่อสอื่ สารนัน้ สมั ฤทธิผ์ ล

ED12101 50 ภาษาและวัฒนธรรม 2.3 เนตรภาษา (oculesics) หมายถึง อวัจนสารที่เกิดจากการใช้ดวงตาหรือสายตา เพื่อถ่ายทอดถึง อารมณ์และความรู้สึก ทัศนคติ ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซ่ึงการส่ือสารจะ ดาเนินไป อย่างดีนั้น บางครั้งจาเป็นต้องใช้การสบตาหรือสายตานั้นเข้าช่วยซ่ึงการใช้ดวงตาหรือ สายตานน้ั สอื่ ให้ทราบ ถึง อารมณ์ความร้สู กึ นึกคิดของผสู้ ง่ สารได้ลกึ ซง้ึ กว่าคาพดู 2.4 สัมผัสภาษา (haptica) เป็นอวัจนสารที่เกิดจากการในอาการสัมผัส เพ่ือส่ือให้ ทราบถึง อารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ตลอดจนความปรารถนาในส่วนลึกของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร เช่น การอุ้ม การ กอดจูบ การลูบคลา เป็นต้น ซึ่งบางครั้งไม่จาเป็นต้องวัจนสารในการอธิบาย คือ การตบไหล่นั้น เป็น การแสดงให้เห็นถึงความชื่นชมยินดีอย่างสนิทสนมการโอบไหล่แสดงให้เห็นถึง การปลอบเพือ่ ใหเ้ กิด ความสบายใจ เปน็ ต้น 2.5 อาการภาษา (kinesics) หมายถึง อวัจนสารท่ีเกิดจากการเคล่ือนไหวของร่างกาย เพอ่ื การสือ่ สาร เช่น การเคลื่อนไหวศีรษะ แขน ขา ลาตัว ตลอดจนสีหน้าท่าทางต่าง ๆ ซึ่งในขณะ ท่ีมกี ารสนทนา กนั อยูค่ ูส่ นทนาอาจจะแสดงอาการต่าง ๆ ออกมาซึง่ จะสือ่ ให้ทราบถึงช่วงของอารมณ์ และ ความรู้สกึ ของเขาขณะนนั้ ไดเ้ ป็นอย่างดี 2.6 วัตถุภาษา (objectics) หมายถึง อวัจนสารที่เกิดจากการใช้วัตถุส่ิงของต่าง ๆ เพ่ือ สื่อความหมาย บางประการให้ปรากฏ ซ่ึงได้แก่ ส่ิงของทุกขนาดทุกชนิดท่ีสามารถใช้ส่งสารบาง ประการได้ รวมทั้ง เคร่ืองประดับตกแต่งร่างกายถือได้ว่าเป็นวัตถุภาษาแทบท้ังส้ิน วัตถุภาษาน้ัน สามารถสอ่ื ใหท้ ราบถงึ สถานภาพทางสังคมทางบุคคลเหล่าน้ันได้อาศัยอยู่ เช่น การเลือกใช้สีสันของ เครอื่ งแตง่ กาย การเลือก ใช้นา้ หอมกล่นิ ตา่ ง ๆ ซึง่ อาจจะบง่ บอกถึงความหมายบางประการซึ่งเส้ือผ้า เครื่องแต่งตวั ตา่ ง ๆ อาจ สอ่ื ให้ทราบ ถึงอาชีพ ความรู้สึก บุคลิกตลอดจนถึงสถานภาพได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันน้ีจะเห็นได้ว่าคนเราได้หันมาให้ความสาคัญต่อวัตถุกันมาก เช่น เสื้อผ้าที่มีย่ีห้อส่ือให้ทราบ ถึงความมีรสนิยมดี ซื้อรถราคาแพง ๆ ขี่ให้สมกับตาแหน่ง ฐานะเป็นต้น ซ่ึงไม่ได้หมายความว่าจะ สอ่ื ความ หมายได้ถกู ตอ้ งเสมอไปจาเปน็ ต้อง พิจารณาส่งิ อน่ื ประกอบดว้ ย 2.7 ปรภิ าษา (vocalics) หมายถงึ การใช้ เสียงประกอบถ้อยคาทีพ่ ดู ซ่ึงน้าเสียงจะ บ่งบอก ถึงอารมณ์ และความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ซ่ึงได้แก่ เสียงเบา อ่อนหวาน ตะคอก กระซิบ เป็นต้น ซึ่ง นา้ เสียงจะเปน็ ตัวกาหนดว่าคาพูดต่าง ๆ เหล่าน้ันมีความน่าเช่ือถือเพียงใด ซึ่งจะรวมไปถึงการออก เสยี งท่ีไม่ เปน็ ภาษาพดู ดว้ ย ไดแ้ ก่ ระดับเสียงสงู ตา่ ความดังคอ่ ย เปน็ ต้น ส่วนปริภาษาในการเขียนได้แก่ วรรคตอน ย่อหน้าขนาดตัวหนังสือ เป็นต้น นอกจากนี้ปริ ภาษาทเ่ี กยี่ วกับการพดู นน้ั ถือว่า “นา้ เสียงจะมีความสาคัญมากกว่าเนื้อหา ถ้าน้าเสียงและเนื้อหาวัด กัน ผู้ฟังจะตัดสินข้อความจากน้าเสียง” เพราะน้าเสียงจะถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของผู้พูด ออกมาและสามารถสอื่ ความหมายได้ดว้ ย ท้ังน้ีการส่ือสารแต่ละคร้ังจาเป็นท่ีผู้ส่ือสานต้องใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาควบคู่กันไป ซ่งึ อวจั นภาษาทง้ั 7 ประเภททใี่ ชส้ มั พันธ์กับวจั นภาษาสามารถจาแนกได้ 5 ลกั ษณะดว้ ยกัน คือ 1) ใช้ตรงกัน เป็นการใช้อวัจนภาษาท่ีมีความหมายตรงกับถ้อยคา เช่น การส่ายหน้า ปฏิเสธพร้อมพูดวา่ “ไมใ่ ช่”

ED12101 51 ภาษาและวัฒนธรรม 2) ใช้ขัดแย้งกัน เป็นการใช้อวัจนภาษาที่ขัดแย้งกับถ้อยคา เช่น การกล่าวชมว่า วันนี้ แตง่ ตัวสวย แต่สายตามองทอ่ี ื่น กล่าวคอื สายตาและคาพูดไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะสายตา ไมไ่ ดม้ องที่คสู่ นทนาผู้ฟงั อาจเกิดความสับสนไม่แนใ่ จว่าไดช้ มจรงิ ๆ หรือไม่ 3) ใช้แทนกัน เป็นการใช้อวัจนภาษาทาหน้าท่ีแทนวัจนภาษา เช่น การกวักมือแทนการ เรียก การปรบมอื แทนการกล่าวชม 4) ใช้เสรมิ กนั อวจั นภาษาท่ีชว่ ยเพ่มิ หรือเสริมน้าหนักของถอ้ ยคา เช่น เด็กบอกว่ารักแม่ เท่าฟาู พร้อมกบั กางแขนออก 5) ใช้เน้นกัน เป็นการใช้อวัจนภาษาช่วยเน้นหรือเพิ่มน้าหนักให้ถ้อยคา เช่น การบังคับ เสียงให้ดังหรือค่อยกว่าปกติเมื่อพูดนอกจากใช้ถ้อยคาแล้ว ยังใช้ปริภาษาการใช้เสียงหนักเบาเพื่อ บอกสภาวะหรอื อารมณ์ของผพู้ ดู ดว้ ย จะเห็นไดว้ ่าการส่อื สารแต่ละครง้ั ผู้สง่ สารควรเลอื กใชว้ จั นภาษาและอวัจนภาษาให้เหมาะสม กับสถานการณ์การสื่อสาร หรือบริบทของการส่ือสารในแต่ละคร้ัง เพื่อให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจ เน้ือหาของสารตรงกับสง่ิ ทผ่ี สู้ ่งสารต้องจะส่ือสาร ทาให้การสือ่ สารประสบผลสาเร็จได้ ประเภทของการสอ่ื สาร การจาแนกประเภทของการส่ือสารสามารถจาแนกได้หลายลักษณะตามเกณฑ์และวัตถุ ประสงคท์ ีจ่ ะนามาพจิ ารณา โดยทว่ั ไปสามารถจาแนกประเภทของ การสอ่ื สารตามเกณฑต์ า่ ง ๆ ดังนี้ 1. จาแนกประเภทตามเกณฑจ์ านวนผู้สอื่ สาร จาแนกได้ 5 ประเภท คอื 1.1 การส่ือสารภายในตัวบุคคล เป็นการส่ือสารท่ีเกิดขึ้นภายในตัวของบุคคล เดียว กล่าวคือบุคคลเดียวทา หน้าท่ีเป็นท้ังผู้ส่งสารและผู้รับสาร เช่น การพูดกับตนเอง การร้องเพลงฟัง คน เดียว การฝกึ อา่ นทานองเสนาะ การบันทกึ อนทุ นิ เป็นตน้ 1.2 การส่อื สารระหวา่ งบคุ คล เปน็ การสื่อสารทีม่ ีบุคคลตงั้ แต่สองคนขึ้นไป สื่อสารกันโดย เป็นทั้งผู้ส่งและผู้ รับสลับกันไป การส่ือสารประเภทน้ีถือได้ว่าเป็นการส่ือสารในลักษณะกลุ่มย่อย ที่ทุกคนสามารถได้ แลกเปลี่ยนสารกันได้โดยตรง เช่น การพูดคุยกัน การสอนหนังสือในกลุ่มย่อย การประชมุ กลุ่มย่อย การเขยี นจดหมายโต้ตอบกนั เปน็ ตน้ 1.3 การส่ือสารกลุ่มใหญ่ เป็นการส่ือสารกับคนจานวนมากซึ่งอยู่ในท่ีเดียวกันหรือ ใกล้เคียง สมาชิกใน กลุ่มไม่สามารถทาหน้าที่เป็นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารกันได้ทุกคน เช่น การ บรรยายในที่ ประชุม การ สอนหนังสือในห้องเรียน การกล่าวคาปราศรัย การพูดหาเสียงเลือกต้ัง เป็นต้น 1.4 การส่ือสารในองค์การ เป็นการส่ือสารระหว่างสมาชิกขององค์การ หรือ หน่วยงาน โดยเนื้อหาของสาร และวัตถุประสงค์ในการส่ือสารเป็นเรื่องที่เก่ียวกับภารกิจและงานขององค์การ หรือหน่วยงาน เช่น การ ส่ือสารในบริษัท การส่ือสารในหน่วยราชการ การส่ือสารในโรงงาน อุตสาหกรรม 1.5 การสอ่ื สารมวลชน เปน็ การสอื่ สารทม่ี ีไปยังประชาชนจานวนมากพร้อมกัน หรือ ใน เวลาใกลเ้ คยี งกัน และอย่กู ระจดั กระจายกนั ในทตี่ า่ ง ๆ ดังน้ันการสื่อสารประเภทนี้จึงมีความซับซ้อน

ED12101 52 ภาษาและวัฒนธรรม จาเปน็ ตอ้ งอาศยั ส่ือที่เป็นสื่อมวลชน คือ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และภาพยนตร์ เป็นเครื่องมือ ในการสื่อสาร 2. จาแนกประเภทตามเกณฑ์การใชภ้ าษา จาแนกได้ 2 ประเภท คอื 2.1 การสื่อสารที่ใช้ภาษาถ้อยคา หรือการสื่อสารเชิงวัจนภาษา ได้แก่ การสื่อสารที่ใช้ ภาษาพดู และภาษา เขียน เช่น การพดู บรรยาย การอภิปราย การเขยี นหนงั สอื เป็นต้น 2.2 การสอื่ สารที่ไม่ใช่ภาษาถ้อยคา หรือการสื่อสารเชิงอวัจนภาษา ได้แก่ การส่ือสาร ที่ใช้อากัปกิริยาท่า ทาง หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น กิริยาอาการ ส่ิงของ เวลา ร่างกาย สถานท่ี น้าเสียง เปน็ ต้น 3. จาแนกประเภทตามเกณฑ์การเห็นหน้ากัน จาแนกได้ 2 ประเภท คือ 3.1 การส่ือสารแบบเผชิญหน้า หรือการสื่อสารทางตรง เป็นการส่ือสารท่ีผู้ส่งสาร และผู้รับสารอยู่ในตาแหน่งท่ีสามารถมองเห็นกัน โต้ตอบซักถามกันได้ทันทีทันใด และมองเห็น อากปั กรยิ าซ่ึง กันและกนั ได้ เช่น การสนทนากัน การเรียนการสอนในห้องเรียน การประชุมสัมมนา เปน็ ตน้ 3.2 การสอ่ื สารแบบไมเ่ ห็นหนา้ หรือการสอื่ สารทางออ้ ม เปน็ การส่ือสารที่ผู้ส่ง สารอยู่ ในตาแหน่งที่ต่างกัน ทั้งสถานท่ีและเวลาไม่สามารถสังเกตกริยาท่าทางของฝุายตรงกันข้ามต้อง ใช้เครื่องมือเข้ามาช่วย เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ จดหมาย หนังสือพิมพ์ โทรเลข อนิ เทอรเ์ นต็ เปน็ ตน้ 4. จาแนกประเภทตามเกณฑ์ความแตกต่างระหว่างผู้รับสารกับผู้ส่งสาร จาแนกได้ 3 ประเภท 4.1 การสื่อสารระหว่างเชื้อชาติ เป็นการส่ือสารท่ีผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างเช้ือชาติ กัน ดงั นน้ั การสือ่ สาร ประเภทนีผ้ ู้ส่งสารและผู้รับสารต้องศึกษาภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ของ ผู้ทีต่ นเองสอ่ื สาร ด้วย เช่น ชาวไทยสอื่ สารกบั ชาวองั กฤษ เปน็ ตน้ 4.2 การสือ่ สารระหวา่ งวฒั นธรรม เป็นการสื่อสารของคนตา่ งวัฒนธรรมกัน ซึ่งผู้ ส่งสาร และผูร้ บั สารอาจ เป็นคนในประเทศเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน เช่น การสื่อสารระหว่างคนไทยภาค กลาง กับภาคเหนือ คนไทยพืน้ ราบกับคนไทยถเู ขา เปน็ ต้น 4.3 การส่ือสารระหว่างประเทศ เป็นการส่ือสารในระดับชาติ ผู้ส่งสารและผู้รับสาร จะต้องปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะเป็นตัวแทนของชาติ การสื่อสารประเภทนี้มักเป็นการสื่อสารท่ีเป็น ทางการ 5. จาแนกประเภทตามเกณฑ์ลักษณะเน้อื หาวิชา จาแนกได้ 8 ประเภท คอื 5.1 ระบบข่าวสาร เป็นการสื่อสารที่เน้นเอาสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับระบบข่าวสาร นาไปประยุกต์ใช้กับงาน ด้านการกระจายข่าว การส่งข่าว การนาข้อมูลท่ีเก็บไว้มาใช้ ตลอดจนการ พัฒนาวิธี วเิ คราะหร์ ะบบ ขา่ วสาร

ED12101 53 ภาษาและวัฒนธรรม 5.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล เป็นการสื่อสารที่มุ่งถึงทฤษฎีการส่ือสารใน สถานการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่การสื่อ สารแบบตัวต่อตัว การส่ือสารกลุ่มย่อย ตลอดจนการสื่อสารกลุ่ม ใหญ่ 5.3 การสื่อสารมวลชน เป็นการสื่อสารท่ีเก่ียวข้องกับอิทธิพลของส่ือมวลชน การ แลกเปลีย่ นข่าวสาร ระหว่างประเทศโดยผา่ นสือ่ มวลชน 5.4 การส่ือสารการเมือง เป็นการส่ือสารที่มีเน้ือหาไปในทางการเผยแพร่ข่าวสาร การ เมือง การประชา สัมพันธ์หาเสียง การเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับระบบการเมือง การเลือกต้ัง ตลอดจนระบอบ การปกครอง 5.5 การสอื่ สารในองค์การ เป็นการส่ือสารท่มี ีเนอ้ื หาให้ทราบถึงประสิทธิผลของ การ ดาเนินงานในองคก์ าร หรอื หนว่ ยงานทง้ั ในการบริหารและการจดั การ 5.6 การสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนเป็นการสื่อสารท่ีมีเนื้อหาการส่ือสารใน สถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การส่ือสารในกลุ่มย่อย การส่ือสารเชิงอวัจนะ อิทธิพลทางสังคมของการ ส่ือสาร ลีลา ในการสื่อสาร การวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ ความเข้าใจในสารและความขัดแย้งทางสังคม ซึ่งตอ้ งคานึงถึงทฤษฎแี ละพฤติกรรมทางวัฒนธรรมดว้ ย 5.7 การสื่อสารการสอน เป็นการส่ือสารที่มีเนื้อหามุ่งเน้นถึงหลักวิชาการระหว่าง ผู้สอนกับผู้เรียน ระบบการ สอน เทคโนโลยีการสอน เช่น การสอนในห้องเรียน การสอนระบบ ทางไกล เป็นต้น 5.8 การส่ือสารสาธารณสุข เป็นการส่ือสารท่ีมุ่งเน้นเน้ือหาในการพัฒนาสุขภาพ พฒั นาคุณภาพของชีวติ ของประชาชน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาระบบการสาธารณสุข การเผยแพร่ โน้มนา้ ว ใจใหป้ ระชาชน ตระหนักในการพฒั นาสุขภาพพลานามัย 6. จาแนกประเภทตามความสารถในการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารและผู้รบั สาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื 6.1 การสื่อสารทางเดียว คือ การสอื่ สารที่ผู้สง่ ขอ้ มูลข่าวสารไปยงั ผรู้ ับสาร จะไม่ เหน็ การตอบสนองโดยทันทีทนั ใด การตอบสนองจะมบี า้ งแต่ก็ตอ้ งใชเ้ วลา จงึ ดเู หมอื นว่าผสู้ ่งสาร มบี ทบาทสื่อสารเพยี งฝาุ ยเดียว เชน่ การส่งสารทางวิทยกุ ระจายเสยี ง โทรทศั น์ ภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ หรือเรยี กอกี อย่างวา่ “การสือ่ สารมวลชน” นั่นเอง 6.2 การส่ือสารแบบสองทาง คือ การสอื่ สารทมี่ กี ารแลกเปลี่ยนขอ้ มลู ข่าวสารกนั ระหว่างผ้สู ่ือสารด้วยกนั ไดแ้ ก่ การส่อื สารระหว่างบุคคล การส่ือสารในกลมุ่ บุคคล และการสอื่ สาร ในทส่ี าธารณะ เช่น การสนทนา การประชุมสัมมนา การพูดโทรศัพท์ การอภิปรายทว่ั ไป เป็นต้น ปัจจยั สาคญั อ่ืนๆ ท่สี ่งผลต่อการส่อื สาร ในบรรดาสือ่ ท้งั หลาย สื่อบุคคล จัดได้วา่ เปน็ สอ่ื ทมี่ ีประสทิ ธิภาพสูงในการสื่อสาร เนือ่ งจาก เปน็ การส่อื โดยตรง อาศยั การพดู เชน่ การให้สมั ภาษณ์ การประชมุ การพบปะพูดคุย การสนทนา การสอน การอภปิ ราย การปาฐกถา ในโอกาส ต่างๆ รวมถึงการส่อื ความผา่ นสื่อสารมวลชน สอ่ื โฆษณา ประชาสมั พนั ธ์ กจิ กรรมทจ่ี ดั ขนึ้ และถ่ายทอด สื่อความ แสดงความคดิ เห็นในพ้ืนท่ี สาธารณะ เชน่ ทาหน้าท่ถี ่ายทอดเร่ืองราวต่างๆ ผ่าน Social Media สเู่ ปาู หมาย โดยเฉพาะอย่างยิง่

ED12101 54 ภาษาและวัฒนธรรม ส่งผลตอ่ การสร้างความน่าเช่ือถือ โน้มนา้ วจิตใจ ปัจจยั สาคัญของการสื่อสารท่ีทาใหก้ ารสอื่ สาร เปน็ ไปอย่างราบร่ืนและบรรลเุ ปูาหมายทต่ี ้องการ มีดงั น้ี 1. การสร้างความคุ้นเคย การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่เป็นกันเองนั้น ทาให้เกิดการ คลอ้ ยตาม ชกั จงู ไดง้ า่ ย การส่อื สารแบบเผชญิ หน้า ทาให้สามารถปรบั ปรงุ เนอื้ หา ประเด็น วิธีการ ให้ เหมาะสมกับคู่สนทนา หรอื สถานการณไ์ ดง้ ่ายกวา่ 2. การสร้างช่องทางและการยอมรับด้วยเหตุผล ช่องทางการส่ือสารระหว่างบุคคล นบั เป็นอกี ช่องทางหนงึ่ ทไี่ ด้รับความสนใจในฐานะผู้ถ่ายทอดข่าวสาร เป็นแหล่งข้อมูลที่มีเสถียรภาพ และความนา่ ไว้วางใจ แต่จะไม่ไดร้ ับความนา่ เชื่อถอื ในแง่เนอ้ื หาของสารหากไม่มีเหตผุ ลที่พอเพยี ง เนือ้ หาสาระและเวลาในการนาเสนอของข้อมลู ข่าวสาร เนอื้ หามิใชเ่ ปน็ เพียงถ้อยคา หรอื ภาษา เทา่ น้ัน แต่ยงั รวมถึง ชว่ งเวลา โอกาสที่เหมาะสม ภาวะทางอารมณ์ ที่จะนามาซ่งึ ความพอใจ ที่ นาไปสคู่ วามรว่ มมือ ไมเ่ หน็ ด้วย ไม่พอใจ โกรธ นาไปสู่การขดั ขวางหรือตอ่ ตา้ น 3. การสร้างความน่าเชื่อถือ ผู้รับสารส่วนใหญ่มักจะเช่ือถือ ความคิดเห็นของผู้ท่ีรู้จัก คุ้นเคยและนับถือมากกว่าบุคคลที่ไม่รู้จักมาก่อน การส่ือความระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ บุคคลภายนอก หรือการที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลที่รับฟังได้ มีที่มาท่ีไป ชัดเจน การสนทนาของผู้รับสารท่ีมีความเช่ือขัดแย้ง หรือมีทัศนคติต่อต้านที่รุนแรง หรือแก้ไขได้ ทันท่วงทีกรณีเกิดวิกฤตท่ีคาดไม่ถึง ต้องมีการเตรียมตัวหรือมีข้อมูล ทางเลือกที่ดีพอ ต้องเข้าใจ เจตนารมย์ วตั ถปุ ระสงค์ หรอื เปาู หมายของการสอ่ื สาร ผสู้ ือ่ สารตอ้ งเข้าใจเจตนารมย์ของผู้รับสาร รวมทัง้ มที ักษะและระดบั ของการตดั สินใจในระดบั หนงึ่ 4. การประเมินและเตรียมรับการสื่อสาร การประเมินผลกระทบจากการส่ือสารรอบด้าน และมีแนวทางการรองรับ การใช้คาพูดอย่างเดียวโดยไม่มีข้อมูลหรือการเตรียมการที่ดี ทั้งน้ีวัจ นภาษา อาทิ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางยังเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดภายในของผู้รับ สาร พึงพจิ ารณาถึงความชดั เจนท่ีจะช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจและตอบสนองได้ง่าย การมีข้อมูลโดยขาด การศึกษาและสงั เกตอาจไม่เพียงพอ ต้องอาศัยการฝึกฝนมีความเช่ียวชาญในการสื่อสารที่ดีและต้อง หาข้อมูล สอ่ื สารให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จะทาให้ผู้รับสารมีความเข้าใจกระจ่างชัด ตัดสินใจรับ สารไดอ้ ย่างมั่นใจให้บรรลุเปูาหมายได้ การสื่อสารผ่านสื่อบุคคลต้องเข้าใจหัวใจสาคัญของการใช้สื่อบุคคลที่อาจเป็นผู้บริหาร ระดับสูง ผู้บริหารหน่วยงาน และบุคลากรทั้งหมดให้สามารถเป็นตัวแทนที่มอบหมายและตั้งข้ึนมา เพื่อรับผิดชอบในการสื่อความต่างๆ ได้เข้าใจ เห็นประโยชน์ต่อการติดต่อส่ือความ ซ่ึงเกิดเป็น ความสัมพนั ธแ์ ละส่งต่อความเข้าใจอันดี มีช่องทางในการเข้าถึงเนื้อหาท่ีใช้การติดต่อสื่อสาร สาหรับ ใหเ้ ป็นเครอื่ งมือสาหรบั นาข้อมูลหรือเน้ือหาสาระ มีแนวทางในการดาเนินงานที่เป็นรูปธรรม โดยนา เรื่องราวจากองค์กรไปยังกลุ่มเปูาหมายที่ต้องการ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับ กลุม่ หรือบุคคล ทเ่ี กี่ยวข้อง เพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจและความรว่ มมอื ในท่ีสุด

ED12101 55 ภาษาและวัฒนธรรม อปุ สรรคของการสอื่ สาร การสื่อสารแต่ละครั้งอาจมีทั้งบรรลุวัตถุประสงค์และไม่บรรลุวัตถุประสงค์ การพิจารณา องคป์ ระกอบของการสื่อสารแตล่ ะองคป์ ระกอบเปน็ วิธีหนง่ึ ท่ีสามารถลดอปุ สรรคของการสื่อสารได้ คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพ่ือการสือ่ สาร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ (2549: 24-29) ไดก้ ล่าวถึง อปุ สรรคของการสอ่ื สารไว้สามารถสรุปได้ดังน้ี 1.สาเหตจุ ากผู้ส่งสารและผู้รับสาร ผรู้ บั สารและผู้สง่ สารเป็นบคุ คลสาคัญ ในกระบวนการสื่อสาร เพราะการสื่อสารจะสาเรจ็ หรอื ไม่นัน้ ข้นึ อยู่กบั ผูร้ ับสารว่ามีความรู้ ความเข้าใจหรือมีการเปลย่ี นแปลงไปตามวตั ถปุ ระสงคท์ ีผ่ สู้ ง่ สารต้องการหรือไม่ ดังนน้ั สาเหตุที่จะทาใหก้ ารสื่อสารไมส่ ัมฤทธิผ์ ลเนอ่ื งจากตัวผู้รบั สารจงึ ข้ึนอยู่กบั หลายปจั จัย ดังน้ี 1.1 ความรคู้ วามสามารถและทกั ษะการสอื่ สาร (Knowledge and Communication Skills ) หมายถึง ผู้ส่งสารและผู้รับสารนอกจากจะมีความรู้และประสบการณ์ เก่ยี วกับเนื้อหาสาระของผรู้ บั สาร หากผู้สงสารและผู้รับสารมีทักษะการสอ่ื สาร ก็ย่อมจะทาให้เข้าถึง เน้ือหาสาระที่ผู้ส่งสารถ่ายทอดมาได้อย่างถูกต้องชัดเจนและครบถ้วน นอกจากน้ี ความรู้ ความสามารถของผู้ส่งสารและผู้รับสารยังหมายรวมถึงการมีความชานาญในด้านภาษาและการ ถอดรหัสสาร ได้แก่ ความสามารถในการอ่าน การฟัง การจับใจความและการตีความสารอย่าง ถูกต้องตามเจตนาของผู้ส่งสาร เช่น การตีความหมายของคา สานวนและคาประพันธ์ร้อยกรองที่มี โวหารเปรียบเทียบลึกซ้ึงได้ ตลอดจนมีความรู้เก่ียวกับกระบวนการสื่อสารและทราบบทบาทหน้าที่ ของตนเอง ไม่ทาตัวเป็นอุปสรรคของการส่ือสาร เช่น การต้ังใจฟังครูบรรยายเน้ือหาวิชา ไม่พูดคุย แข่งกบั ผู้พดู เพราะตระหนักว่าจะรบกวนการรับสารของตนเอง เป็นอุปสรรคต่อผู้อื่นด้วย หรืออาจมี การเตรยี มศกึ ษาขอ้ มลู ลว่ งหน้าเพือ่ ใหเ้ ข้าใจบทเรยี นได้รวดเร็วยงิ่ ขนึ้ 1.2 บคุ ลกิ ภาพ (Personalities) เป็นสงิ่ ที่เกิดจากการอบรมเลยี้ งดูและอาจ แตกตา่ งกนั ตามสภาพแวดล้อม บคุ ลกิ ภาพของผู้ส่งสารและผู้รับสารท่ีแตกต่างกันไปนั้นอาจแบ่งได้ 2 ลักษณะใหญ่ คือ บุคลิกภาพจากภายในและบุคลิกภาพจากภายนอก บุคลิกภาพทั้งจากภายใน และภายนอกต่างส่งของผู้รับสารและผู้ส่งสารย่อมส่งผลต่อการสื่อสารและแสดงออกให้เห็นได้อย่าง ชดั เจนไม่ว่าจะเปน็ พฤติกรรมของผู้ส่งสารหรอื ผู้รับสารรวมไปถงึ ทัศนคติความร้สู ึกนกึ คิดอกี ดว้ ย 1.3 ทัศนคติ (Attitudes) หมาย ถึง การรบั รู้ การมคี วามรู้สึกนกึ คดิ หรือมีความ คดิ เห็นต่อบคุ คลหรอื ส่งิ ใดสงิ่ หน่ึง อาจเป็นความคิดที่เปล่ียนแปลงได้ยาก เช่น ความคิดเห็นเกี่ยวกับ ศาสนา การเมือง และรปู แบบการดาเนนิ ชีวิต หรืออาจเป็นความรู้สึกนึกคิดท่ีผิวเผิน เปลี่ยนแปลงได้ ง่ายตามยุคสมัย เช่น แฟช่ัน ศิลปิน และแนวดนตรีต่างๆ เป็นต้น ทัศนคติของผู้รับสารมีความ เกย่ี วข้องกับการสื่อสารอย่างมาก เพราะถ้าผู้รับสารมีความรู้สึกท่ีไม่ดีหรือมีอคติต่อองค์ประกอบใดๆ ของการสื่อสาร ก็จะทาให้ผู้รับสารไม่สนใจ หลีกเล่ียงหรือปิดก้ันการรับข่าวสารจากผู้ส่งสาร ดังน้ัน เพือ่ ให้การสื่อสารสมั ฤทธผิ์ ลผู้รับสารควรมีทศั นคตทิ ่ดี ี 3 ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) ทัศนคตทิ ่ดี ีต่อตนเอง คือ มีความรสู้ กึ ที่ดตี อ่ ตนเอง ภมู ใิ จและมนั่ ใจในความรู้ ความสามารถของตนเองว่าเป็นผู้รับสารท่ีดีได้ หากผู้รับสารมีทัศนคติเชิงลบกับตนเอง ประเมินค่า ตนเองว่าเป็นคนโง่ ไม่เฉลียวฉลาด ไม่สามารถเรียนรู้และเข้าใจอะไรใหม่ๆ ได้ ก็จะส่งผลต่อ

ED12101 56 ภาษาและวัฒนธรรม ความสามารถในการรับรู้ การตีความ และทาให้กลายเป็นคนที่ปิดก้ันตนเองจากโลกภายนอก หรือ หลกี เลีย่ งการรับขา่ วสารต่างๆ 2) ทศั นคติที่ดตี อ่ เนื้อหาสาร หากผ้รู ับสารมคี วามรูส้ ึกที่ดีต่อข้อมูลข่าวสารกจ็ ะ สนใจติดตามเพ่ือเพิ่มเติมความรู้ให้ตนเองอยู่เสมอ แต่ถ้าผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเน้ือหาใดก็จะ พยายามหลีกเล่ียงข้อมูลข่าวสารนั้นๆ เช่น นักศึกษาสายวิชาศิลปศาสตร์ส่วนมากมีทัศนคติไม่ดีต่อ วชิ าคณิตศาสตร์ หากหลกั สูตรบงั คับใหเ้ รยี นวิชาด้านน้ี ก็ลงทะเบียนเรียนดว้ ยความจาเป็น 3 ) ทัศนคติทดี่ ตี ่อผู้สง่ สาร ผู้รบั สารควรความรสู้ ึกท่ดี ตี ่อผสู้ ่งสารไมว่ า่ จะ ประทบั ใจหรือชื่นชม ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกในเชิงบวก กระตือรือร้นในการรับข้อมูลข่าวสารจากผู้ ส่งสาร ในทางตรงกันข้าม หากผู้รับสารมีอคติต่อผู้ส่งสาร ก็จะพยายามหลีกเล่ียงไม่ตั้งใจ ไม่สนใจที่ จะรับข่าวสารจากผู้ส่งสาร ทาให้การส่ือสารไม่ประสบผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์ เช่น นักศึกษาที่มี ทศั นคติต่อครภู าษาไทยในเชิงลบเพราะคิดว่าไม่ทันสมัย จึงเข้าเรียนวิชาภาษาไทยอย่างฝืนใจ ไม่เอา ใจใสใ่ นการเรียน ทาให้ไมไ่ ด้รบั ความรู้ ไม่ได้ฝึกทักษะตามที่ครูสอน เป็นเหตุให้ทาข้อสอบไม่ได้และมี ผลการเรยี นที่ไมน่ ่าพอใจ 1.4 สภาพร่างกายและจติ ใจ (Physical and Mental Health) หากการสือ่ สาร ครั้งน้ัน เป็น ไป ใน ขณะที่ผู้รับสารมีสภาพ ร่างกายหรือจิตใจไม่พร้อม เช่น ปวดศีรษะ ไม่ได้ รบั ประทานอาหาร หรือเพ่งิ รับประทานอาหารจนอ่ิม อ่อนเพลียเพราะอดนอน เครียดและวิตกกังวล หรือมีเร่ืองเสียใจ ฯลฯ สาเหตุเหล่านี้ล้วนมีผลต่อประสิทธิภาพในการรับสารไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การฟัง หรือการดู ทาให้ไม่สามารถจับใจความสาคัญของเร่ืองที่อ่านหรือฟังและอาจตีความถ้อยคา สานวนผดิ พลาดไปจากท่ผี สู้ ง่ สารตั้งใจได้ 2.สาเหตจุ ากสาร สารเปน็ องคป์ ระกอบทสี่ าคญั ในกระบวนการส่อื สาร หากไม่มสี ารกไ็ มส่ ามารถส่งสารไปยงั ผูร้ บั สารได้ ทง้ั นส้ี ารมสี ว่ นประกอบสาคญั 3 ประการคือ 1. รหัสของสาร 2.เน้อื หาของสาร และ 3. การจดั สาร ดงั นนั้ ปญั หาและอปุ สรรคของการสอ่ื สารทเี่ กิดจากตวั สารมสี าเหตดุ ังนี้ 2.1 รหัสของสารไม่เหมาะสม เนอื่ งจากรหสั สารของสารกค็ อื การเลือกใช้ภาษา หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ท่ีกาหนดข้ึนมาเพื่อแสดงออกแทนความรู้ ความคิด และความรู้สึกของผู้ส่ง สาร ความแตกต่างของรหัสสารที่ใช้ในการส่ือสารของแต่ละชาติแต่ละวัฒนธรรมดังกล่าวอาจเป็น อุปสรรคและเป็นสาเหตทุ ่ที าให้การสอื่ สารไม่บรรลวุ ัตถุประสงค์ได้ 2.2 เน้ือหาของสารไมม่ ีความชดั เจน เน้ือหาของสารท่ีผู้ส่งสารต้องการถ่ายทอด ไปยังผู้รับสารนั้น หากมีเนื้อหาสาระค่อนข้างยาก หรือมีรายละเอียดซับซ้อนยากต่อการทาความ เข้าใจ หรืออาจมีคาศัพท์เฉพาะ ทาให้เน้ือหาท่ีต้องการส่ือสารไม่เหมาะสมกับบุคคลท่ีเราจะส่ือสาร ดว้ ยหรือไม่เหมาะกบั สถานการณท์ เ่ี รากาลังสือ่ สาร 2.3 การจดั เรยี งลาดบั ของสารไม่เปน็ ไปตามลาดับ คือ รปู แบบหรือวิธีการในการ นารหัสของสารมาเรียบเรียงไม่เป็นไปตามลาดับเน้ือหา เรียบเรียงเนื้อหาวกไปวนมา ไม่เรียงลาดับ

ED12101 57 ภาษาและวฒั นธรรม เน้ือหาตามความยากง่ายของสารให้เหมาะสมกับสื่อหรือกลวิธีการส่งสาร ทาให้ผู้รับสารไม่เข้าใจ เนอ้ื หาของสารไดอ้ ย่างถกู ต้องตามเจตนาของผู้สง่ สารทาให้การสือ่ สารไมส่ ัมฤทธ์ิ 3.สาเหตุจากสื่อหรือช่องทาง การส่ือสารในแต่ละครั้งหากใช้ส่ือไม่มีความเหมาะสมและ ขาดประสิทธิภาพย่อมส่งผลต่อช่องทางการส่งสารไปยังผู้รับสาร ทาให้การส่ือสารไม่บรรลุตาม วัตถุประสงค์ท่ีต้องการได้ การใช้ส่ือหรือช่องทางการสื่อสารทาให้เกิดอุปสรรคของการสื่อสาร จาแนกได้ ดังนี้ 3.1 การใช้ส่ือที่ไม่เหมาะสมกับผู้ส่งสาร การส่ือสารบางครั้งผู้ส่งสารอาจไม่มี ความชานาญในการใช้ส่ือบางประเภท เช่น การจัดการเรียนการสอนหากครูไม่มีความชานาญใน การใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอรข์ ณะสอนอาจทาให้การเรยี นการสอนเกิดการชะงกั ไมร่ าบร่ืนได้ 3.2 การใชส้ อื่ ท่ไี มเ่ หมาะสมกับเนอื้ หาของสาร สารทมี่ คี วามละเอียดซับซ้อนหาก เลือกใช้สื่อไม่เหมาะสมก็ทาให้การสื่อสารเกิดอุปสรรคได้ เช่น เน้ือหาของสารจานวนมากหาก เลอื กใช้วทิ ยแุ ทนสือ่ ส่งิ พิมพ์ อาจทาให้ผ้รู ับสารขาดความเข้าใจและรับสารไม่ครบถ้วนได้ เน่ืองจาก สือ่ สิ่งพิมพ์สามารถนากลับมาอา่ นทบทวนเพ่ือทาความเข้าใจซา้ ๆ ไดห้ ลายครัง้ 3.3 การใช้ส่ือไมเ่ หมาะสมกับผรู้ บั สาร การใช้สอ่ื เพยี งสื่อเดยี วในการรับสาร เชน่ การใช้ส่อื ภาพยนตร์ซึ่งเป็นสื่อราคาแพงเพียงสื่อเดียวเพ่ือประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนเรื่อง การปูองกันโรคมือเท้าปาก ผู้รับสารที่มีฐานะแตกต่างกันบางกลุ่มอาจเข้าไม่ถึงส่ือดังกล่าวทาให้ ได้รับข้อมลู ไมท่ ัว่ ถงึ ได้ 3.4 การใช้สื่อไม่เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม การใชส้ ่ือในการส่อื สารบางครงั้ จาเป็นต้องคานงึ ถงึ สภาพแวดล้อมด้วย เช่น หากต้องการส่ือสารด้วยเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุ หรือโทรทศั น์ควรพิจาณาว่าพื้นดังกล่าวสภาพอากาศแปรปรวน พื้นท่ีดังกล่าวระบบสาธารณูปโภค ยังเข้าไม่ถึงประชนชนผู้รับสาร หรือการสื่อสารด้วยการพูดในท่ีมีเสียงดังอึกทึก เช่น การทางาน ใกล้เครือ่ งจกั รกล เนอ้ื หาสาระของสารท่ีส่ือสารออกไปย่อมไมส่ ามารถไปถึงผูร้ บั สารได้ บทสรุป หากเราต้องการที่จะส่ือสารได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ัน จาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องทราบถึง ความรู้พื้นฐานของการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของการสื่อสาร ภาษาท่ีใช้สื่อสาร กระบวนการสื่อสาร ประเภทของการสื่อสาร ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคของการสื่อสาร ดังท่ีได้ กล่าวมาแล้ว นอกจากนแี้ ลว้ การส่ือสารในแต่ละครั้งผสู้ ่งสารต้องตั้งวัตถุประสงค์ของการสื่อสารให้ ชัดเจนว่าเพ่ือให้ผู้รับสารเข้าใจตรงกันกับผู้รับสารและปฎิบัติตามที่ผู้ส่งสารต้องการได้อย่างถูกต้อง การเลือกใช้คาหรือภาษา ตลอดจนการเรียบเรียงเนื้อหาท่ีจะสื่อสารให้ถูกต้องชัดเจน ใช้ส่ือหรือ ช่องทางให้เหมาะสมต่อการสื่อสาร ตลอดจนเปิดใจรับสารไม่ทาให้ตนเองเป็นอุปสรรคขัดขวาง กระบวนการสื่อสาร การสื่อสารในครั้งน้ันๆ ย่อมมีโอกาสสัมฤทธิ์ผลบรรลุวัตถุประสงค์ของการ สอื่ สารได้

ED12101 58 ภาษาและวฒั นธรรม กจิ กรรมประจาบทท่ี 3 1.ใหน้ ักศกึ ษารว่ มกันนาเสนอสถานการณ์การส่ือสารของแต่ละกลุ่มจากกิจกรรมผู้นา 4 ทิศ และวเิ คราะห์องคป์ ระกอบของการสอื่ สารจากสถานการณ์น้ันๆ 2.ให้นักศึกษาวิเคราะห์ กลุ่มละ 5 คน วิเคราะห์ “วัจนภาษา” และ “อวัจนภาษา” ท่ี นกั ศึกษาใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจาวัน และวิเคราะห์อวัจนภาษาที่ครูใช้ในการจัดการเรียนการ สอนในชั้นเรียน 3.นักศึกษาชมวีดีทัศน์เรื่องการส่ือสารในชีวิตประจาวัน แล้วให้แต่ละกลุ่มร่วมกันพิจารณ์ องค์ประกอบของการส่ือสาร ประเภทของการสื่อสาร ปัญหาและอุปสรรคของการส่ือสาร แล้ว อภิปราย 4.นักศกึ ษาวเิ คราะหล์ ักษณะของผู้ส่งสารและผู้รับสารโดยอาศัยสถานการณ์การส่ือสารจาก กิจกรรมผู้นา 4 ทิศ จากน้ันให้นักศึกษาเสนอแนวทางแก้ไขข้อบกพร่องในการส่ือสารของผู้ส่งสาร และผูร้ ับสาร

ED12101 59 ภาษาและวัฒนธรรม เอกสารอ้างองิ จันทิมา เขยี วแก้ว และนฤมล รจุ ิพร. (2550). การสอื่ สารกบั งานสารสนเทศ. ใน เอกสารการสอนชุด วิชาการสือ่ สาร หน่วยท่ี 1-8. หน้า 1-51. พิมพ์ครั้งที่ 6. นนทบุรี: สา นักพมิ พ์ มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. จมุ พล รอดคาดี.(2532). สือ่ มวลชนเพอื่ การพัฒนา . กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . คณะนิเทศศาสตร์. (2539). ตาราประกอบ การสอนภาษาเพอ่ื การ สื่อสาร . พมิ พ์ครง้ั ท่ี 4. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ (2530). หลักการส่ือสารที่มปี ระสทิ ธภิ าพ. พมิ พ์ครัง้ ที่ 4. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง. เทพสตรี ลพบุรี, สถาบันราชภฏั . (ม.ป.ป.). ภาษาไทยเพ่ือการสอื่ สาร และสืบค้น. ลพบุร:ี ภาควชิ า ภาษาไทย สถาบนั ราชภัฏเทพสตรี. นนั ทา วทิ วฒุ ศิ ักด์.ิ (2542). การสบื คน้ และสอื่ สารสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ สถาบนั ราชภัฏสมเดจ็ เจ้าพระยา. ประพิมพร เลศิ ธีระวิวฒั น.์ (2541). สารนิเทศเพอื่ การศกึ ษาคน้ คว้า. พิมพ์ครงั้ ที่ 10. นครราชสีมา : สถาบันราชภฏั นครราชสมี า. ประยอม ซองทอง. (2540). ภาษาไทยกบั ชีวิตประจาวนั .พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรงุ เทพฯ: ตน้ ออ้ . ศศธิ ร ธัญลักษณานนั ท์, พนติ นนั ท์ บญุ พามี, จนิ ตนา ดว้ งแพง, และแจม่ จันทร์ สวุ รรณณรงค์. (2542). ภาษาไทยเพ่อื การสื่อสาร และสืบค้น. กรงุ เทพฯ: เธิรด์ เวฟ เอด็ ดเู คช่นั . หอการค้าไทย, มหาวิทยาลยั . คณาจารยภ์ าควชิ าภาษาไทย เพ่ือการสื่อสาร. (2541). ภาษาไทยเพอื่ การสื่อสาร. กรงุ เทพฯ: ดอกหญ้า.

ED12101 60 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจัดการเรยี นรู้ บทท่ี 4 การส่อื ความหมายในกระบวนการเรยี นการสอน สาระการเรยี นรู้ 1. ความสาคัญของการสือ่ ความหมายในกระบวนการเรียนการสอน 2. องค์ประกอบการสื่อความหมายในกระบวนการเรยี นการสอน 3. ลักษณะการสือ่ ความหมายระหวา่ งครูกับผู้เรยี น 4. วธิ ีการปรบั การส่อื ความหมายกับกระบวนการเรียนการสอนให้เกดิ ประสทิ ธิภาพ 5. ทักษะการสอ่ื ความหมายที่สาคญั ในกระบวนการเรียนการสอนสาหรับครู วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 1. อธิบายความสาคัญและองค์ประกอบในกระบวนการเรยี นการสอนได้ 2. เลอื กรูปแบบและภาษาในการส่อื สารได้เหมาะสมกับสถานการณ์การสื่อสาร 3. วเิ คราะห์วิธีการสอนและเลือกใชส้ ื่อในกระบวนการเรยี นการสอนได้ 4. ประยุกตใ์ ช้ทักษะการส่ือความหมายในกระบวนเรียนการสอนในชีวติ ประจาวันได้ กิจกรรมการเรียนรู้ 1. การบรรยาย 2. นาเสนอสถานการณ์ขา่ วแล้ววิเคราะห์ลกั ษณะการสือ่ ความหมายระหว่างครูกบั ผเู้ รียน 3. อภิปรายกลุ่ม 4. ฝกึ ใช้ทกั ษะการสื่อความหมายท่สี าคัญในกระบวนการเรียนการสอนสาหรบั ครู 5. ผู้เรียนและผู้สอนรวมกนั สรุปบทเรียน ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ส่อื ส่ิงพิมพ์ เชน่ ข่าว บทความ วารสาร 3. ส่อื อิเลก็ ทรอนิกส์ เชน่ ซดี ี วดี ีทัศน์ สไลดน์ าเสนอความรู้ 4. แบบฝึกหดั การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทากิจกรรม และการนาเสนองานกลุ่ม 2. ตรวจแบบฝึก

ED12101 61 ภาษาและวฒั นธรรม บทที่ 4 การส่อื ความหมายในกระบวนการเรียนการสอน การสอื่ ความหมายเปน็ ทกั ษะทสี่ าคัญประการหนึ่งเพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพ การ สื่อความหมายจะแตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์และผู้รับสารแต่ละบุคคล การจัดการเรียนการ สอนเป็นกระบวนการหนึ่งท่ีต้องอาศัยทักษะการสื่อความหมาย เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ มีทักษะ และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามเป้าหมายของการศึกษา ดังนั้นการส่ือความหมายระหว่างครูหรือ ผูจ้ ัดการเรียนรู้กบั ผู้เรยี นจงึ จาเปน็ ต้องมีลักษณะที่แตกต่างไปจากการสื่อความหมายในชีวิตประจาวัน ทวั่ ไป ความสาคญั ในการส่ือความหมายของในกระบวนการเรียนการสอน ในการจัดการเรียนการสอนหรือการจัดการเรียนรู้น้ัน การส่ือความหมายเป็นส่ิงสาคัญ ประการหนึ่งท่ีจะทาให้การเรียนรู้สัมฤทธิ์ผล ผู้จัดการเรียนรู้หรือครู คือ ผู้ส่งสาร ท่ีพยายาม ถา่ ยทอดความรู้ และประสบการณข์ องตนใหแ้ ก่ผู้รับสาร น่ันคือ ผู้เรียนหรือนักเรียน ให้เปล่ียนแปลง พฤติกรรมไปในทางท่ีพึงประสงค์หรือตามท่ีได้กาหนดไว้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะเห็นได้ว่า การสอ่ื ความหมายมีความสัมพันธ์กบั การสอนอยา่ งไมส่ ามารถหลกี เลยี่ งได้ การส่ือความหมายในการเรียนการสอนที่ดีนั้น มีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องมีการพัฒนา นักเรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการศึกษาโดยสากล ดังที่ โรเบิร์ต เจ คิบเลอร์ (Robert J.Kibler et al , 1975: 45) ไดก้ ล่าวไวว้ ่า การสอ่ื ความหมายในการเรียนการสอนท่ีดี ควรทาให้เกิด การเปลี่ยนแปลงด้านการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการศึกษาแบบสากล กล่าวคือ ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ท้ังด้านสติปัญญา(Cognitive Domain) ด้านจิตใจ (Affective Domain) และดา้ นทักษะ(Psychomotor Domain) ให้เปน็ ไปในทางท่ีพงึ ประสงค์ ดังน้ันการส่ือสารในกระบวนการเรียนการสอนที่จะทาให้ผู้เรียนยอมรับและเกิดการรับรู้ เพอื่ ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมดังกลา่ วต้องอาศัยความสามารถและทักษะการสื่อสารของครูใน ฐานะผู้จัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการยอมรับ โรเจอร์และชูเมคเกอร์ (Rogers & Shoemaker, 1971) ได้กล่าวไว้วา่ การยอมรับวา่ เป็นกระบวนการทางจิตใจของบุคคลแต่ละคนท่ีเริ่มต้นต้ังแต่การ รับรู้ข่าวเก่ียวกับนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีหน่ึงๆ ไปจนถึงการยอมรับเอาเทคโนโลยีน้ันๆ ไปใช้อย่าง เปดิ เผย กระบวนการยอมรับของผู้เรียนน้นั จะเกดิ ขน้ึ ได้ก็ตอ่ เมื่อ เน้ือหาความรูน้ ้นั ผา่ นกระบวนการ ส่ือความหมายท่ีเหมาะสม เยาวพา ชูประภาวรรณ (2547) ได้กล่าวไว้ว่า กระบวนการยอมรับ เป็น กระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยอาศัยการส่ือสารสนับสนุน ซ่ึงข้ันตอนในกระบวนการยอมรับ ประกอบด้วย 5 ข้ันตอนดังน้ี 1. ขั้นแห่งการเร่ิมตระหนัก (Awareness Stage) ขั้นนี้ผู้เรียนจะต้องรับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ อัน เป็นเนื้อหาวิชาโดยผ่านการสังเกต ได้ยิน ได้ฟัง ได้พบเห็นเรื่องราวหรือส่ิงท่ีเป็นแนวคิด แต่ยังไม่

ED12101 62 ภาษาและวฒั นธรรม ชัดเจนในรายละเอียด เปน็ ข้นั ตอนของการรับทราบเท่านั้นว่านวัตกรรมหรือส่ิงต่างๆ ได้เกิดข้ึนและมี อย่จู ริง แตย่ งั ไดร้ ับข้อมลู ไมค่ รบถว้ น 2. ข้นั แหง่ ความสนใจ (Interest Stage) ผู้เรยี นเกดิ ความสนใจในสง่ิ ทีร่ ับรู้ตามขน้ั ท่ี 1 จงึ ได้ ขวนขวายหารายละเอียด หรือศึกษาเพ่ิมเติม พฤติกรรมนี้เป็นไปในลักษณะท่ีตั้งใจและใช้ กระบวนการคิดมากกว่าขั้นการรับรู้ในข้ันนี้จะทาให้บุคคลได้รับความรู้เก่ียวกับนวัตกรรมใหม่นั้นมาก ขึ้น บุคลิกภาพ ค่านิยม สังคมหรือประสบการณ์เก่าๆ จะมีผลต่อบุคคลนั้น และมีผลต่อการติดตาม ข่าวสาร 3. ขนั้ แหง่ การประเมนิ ผล (Evaluation Stage) ในข้นั นเ้ี ป็นข้ันไตร่ตรอง ผู้เรียนจะนาข้อมูล ท่ีได้นามาพิจารณาข้อดีข้อเสีย เพื่อตัดสินใจว่าควรจะทดลองนวัตกรรมใหม่หรือไม่ข้ันน้ีจะแตกต่าง จากข้ันอ่ืนๆ ตรงท่ีเกิดการตัดสินใจที่จะลองความคิดใหม่ๆ โดยผู้เรียนมักคิดว่า การใช้ส่ิงใหม่ๆ นั้น เป็นการเสี่ยงที่ไม่แน่ใจ ผลท่ีจะได้รับในข้ันน้ีจึงต้องการแรงเสริม (Reinforcement) เพ่ือสร้างความ ม่ันใจยิ่งข้ึนว่าส่ิงท่ีได้ตัดสินใจทดลองนั้นถูกต้อง โดยการให้คาแนะนาข่าวสารเพ่ือประกอบการ ตัดสินใจ ในข้ันนี้ผู้เรียนจะมีการชั่งใจในข้อดีข้อเสียก่อนท่ีจะนาความรู้หรือแนวคิดต่าง ๆ ท่ีได้รับจาก ครูนาไปทดลองปฏบิ ัติ 4. ข้นั แห่งการทดลอง (Trial Stage) ในขั้นน้ีผู้เรียนมีการทดสอบถึงความรู้ที่ได้รับเพื่อให้เกิด ความแน่ใจว่าความรทู้ ไ่ี ดร้ บั มานั้นนาไปใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใด เมื่อทราบผลการทดลองในขั้นน้ีแล้ว ผู้เรียนก็จะตัดสินใจตกลงใจปฏิบัติตามความรู้ท่ีได้รับ ท้ังน้ีการทดลองปฏิบัติทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อพิสูจน์ประโยชน์ของนวัตกรรมใหม่หรือสิ่งใหม่ๆ นั้น และรอตัดสินใจว่าจะยอมรับนวัตกรรมหรือ สิง่ ใหม่ๆ นั้นหรอื ไม่ ในขั้นนี้ผเู้ รยี นอาจจะแสวงหา ข่าวสาร ที่เฉพาะเจาะจงเก่ียวกับนวัตกรรมใหม่ซ่ึง ผลทดลองจะมีความสาคญั ยงิ่ ตอ่ การตัดสนิ ใจ ท่จี ะปฏเิ สธหรอื ยอมรับต่อไป 5. ข้นั แหง่ การยอมรบั และการปฏบิ ตั ิตาม (Adoption Stage) ขั้นน้เี ป็นข้ันสดุ ท้ายทผี่ ูเ้ รียน จะนาความรูท้ ่ไี ด้รับไปปฏิบัติ อนั ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่ีสมบูรณ์ โดยหลงั จากยอมรับ นวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ๆแล้ว ผู้เรียนจะมีการแสวงหาข่าวสารเพิ่มเติม เพ่ือสนับสนุนการตัดสินใจ ยอมรับ ถ้าข่าวสารที่ได้รับภายหลังมีผลว่าไม่สมควรรับนวัตกรรมนั้น อาจทาให้เกิดพฤติกรรมเลิก ยอมรับนวัตกรรมนน้ั ไดแ้ ต่ถา้ ไดร้ บั ขา่ วสาร ท่ีดภี ายหลัง อาจจะกลบั มา ยอมรับใหม่ได้อีก องค์ประกอบการส่ือความหมายในกระบวนการเรยี นการสอน กระบวนการเรียนการสอนเปน็ กระบวนการสื่อความหมายอีกรูปแบบหนง่ึ ซึง่ มีองค์ประกอบดังน้ี 1. ครูในฐานะเปน็ ผ้สู ง่ และผูก้ าหนดจดุ ม่งุ หมายของระบบการสอน ครูจงึ ควรมีพฤตกิ รรมดังนี้ 1.1 ตอ้ งมีความเข้าใจในเนื้อหาทส่ี อนเป็นอย่างดี 1.2 มคี วามสามารถในการส่ือความหมาย เช่น การพูด การเขียน ลลี า ท่าทาง 1.3 ต้องจดั บรรยากาศในการเรยี นใหเ้ อ้อื ต่อการเรยี นรู้ 1.4 ตอ้ งวางแผนจัดระบบการถ่ายทอดความรู้ใหเ้ หมาะสมกบั เนอื้ หาและผู้เรียน 2. เนือ้ หา หลักสตู ร ตลอดจนทัศนคติ ทักษะ และประสบการณ์เปน็ ส่ิงสาคัญที่ครูจะถา่ ยทอด ไปสผู่ ูเ้ รยี น ดังนน้ั เนอื้ หาควรมลี ักษณะดังนี้ 2.1 เหมาะสมกบั เพศและวยั ของผูเ้ รียน

ED12101 63 ภาษาและวฒั นธรรม 2.2 สอดคลอ้ งกับเทคนคิ วิธีสอน หรอื ส่ือตา่ ง ๆ 2.3 เนอ้ื หาท่ีเกยี่ วกบั กาลเวลา ควรปรบั ปรุงให้ทันสมยั อยเู่ สมอ 3. สือ่ หรือชอ่ งทาง เป็นตวั กลางหรอื พาหะทนี่ าเนอื้ หาจากครูผู้สอนเขา้ ไปสภู่ ายในของผเู้ รยี น ลกั ษณะของส่ือควรเป็นดงั น้ี 3.1 มีศักยภาพเหมาะสมกับธรรมชาตขิ องเน้อื หา 3.2 สอดคล้องกับธรรมชาติของประสาทสมั ผสั แตล่ ะช่องทาง 3.3 เดน่ สะดดุ ตา ดงู า่ ย สื่อความหมายได้ดี 4. นักเรียนหรอื ผเู้ รยี น เป็นเป้าหมายหลักของกระบวนการเรยี นการสอนทจ่ี ะทาให้ผูเ้ รียนเรยี นรู้ ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนจงึ ควรมีลักษณะดงั ต่อไปนี้ 4.1 มีความสมบูรณ์ทางดา้ นร่างกาย โดยเฉพาะประสาทสมั ผสั ทงั้ 5 4.2 มีความพรอ้ มทางดา้ นจติ ใจ อารมณ์มน่ั คงปกติ 4.3 มที กั ษะในการสอ่ื ความหมาย 4.4 มเี จตคติต่อครูผสู้ อนและเนื้อหาวิชา ลกั ษณะการส่อื ความหมายระหวา่ งผู้ครูกบั ผ้เู รียน 1. การถ่ายทอดความรู้และการอบรมสัง่ สอน อาจเป็นแบบทางเดียวหรือแบบสองทางก็ได้ 2. การมอบหมายส่งั การหลังจากการให้ความรู้แลว้ ควรมกี ารเน้นหรอื ทบทวนคาสั่ง เพอื่ ความ เข้าใจท่ีถูกต้อง 3. การให้คาแนะนาในการแกป้ ญั หาต่าง ๆ การส่ือความหมายจะเกดิ ขึ้นในรปู แบบต่าง ๆ ตาม ความเหมาะสม 4. การติชมผลงานเพือ่ การพัฒนาหรือการปรับปรุงแก้ไข การสื่อความหมายทีด่ จี ะนาไปส่กู าร สร้างสรรคง์ ่าย 5. การสนทนาโตต้ อบตามปกติ ซ่ึงเกดิ ข้นึ เปน็ ประจา การสอื่ ความหมายควรมลี ักษณะเป็น กันเอง เอือ้ อาทร และมีทัศนคติทดี่ ีต่อกัน วิธีการปรับการสอ่ื ความหมายกับกระบวนการเรยี นการสอนใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพ 1. ครผู ูส้ อนใช้การสื่อความหมายแบบสองทาง (Two-way Communication)เพอื่ ประเมินวา่ การถา่ ยทอดสารไปยงั ผู้เรยี นได้ผลสาเร็จหรอื ไม่ อย่างไร 2. ครผู ูส้ อนควรใชส้ ่ือหลาย ๆ ชนดิ หรือทเ่ี รยี กว่า สือ่ ประสม (Multi Media)เพื่อให้สอดคล้อง กบั ความสนใจของผู้เรยี นแตล่ ะคน 3. ควรใหผ้ ู้เรยี นมปี ระสบการณก์ ารเรียนรหู้ ลาย ๆ ด้าน ดว้ ยประสาทสมั ผสั หลาย ๆ ทาง 4. ครูผู้สอนควรมีทักษะในการถา่ ยทอด เช่น การพดู การฟงั การเขียน การใช้สื่อชนิดต่าง ๆ 5. จะต้องปอ้ งกนั หรือขจดั สงิ่ รบกวนทีจ่ ะเกิดขน้ึ ในระหว่างการเรยี นการสอนใหห้ มดส้ินหรอื เหลือนอ้ ยท่สี ดุ

ED12101 64 ภาษาและวฒั นธรรม 6. ผู้เรียนต้องเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการรบั รู้ ท้งั Verbal และ Non-Verbal เชน่ ให้ความสนใจ สังเกตศึกษาเพม่ิ เติม เปน็ ต้น ทกั ษะการสื่อความหมายทสี่ าคญั ในกระบวนการเรยี นการสอนสาหรบั ครู การการจัดการเรียนการสอนนั้นจาเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สอนต้องมีทักษะในการสื่อความหมาย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ และเพ่ือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ดา้ นตา่ งๆ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ทักษะการส่อื สารทีจ่ าเปน็ ในการจดั การเรยี นการสอนท่ีสาคัญสามารถ สรปุ ได้ดงั ต่อไปนี้ 1.ทกั ษะการบรรยาย วิธีสอนแบบบรรยาย วิธีการสอนแบบบรรยาย คือ กระบวนการท่ีผู้สอนใช้ในการช่วยให้ ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนรตู้ ามวัตถุประสงคท์ ก่ี าหนด โดยการเตรยี มเนื้อหาสาระ แล้วบรรยายคือ พูด บอก เล่า อธิบาย เน้อื หาสาระหรือสิง่ ทีต่ อ้ งการสอนแก่ผู้เรียนและประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธี ใดวิธีหนึ่ง (ทิศนา แขมมณี , 2555) ขั้นตอนการสอน จากการศึกษาเอกสารต่างๆ ที่นักการศึกษาได้ กล่าวถึงข้ันตอนของวิธีสอนแบบบรรยาย อาทิ สมชาย ชูชาติ (2538) วันเพ็ญ วรรณโกมล (2544) ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548) พบวา่ มีข้นั ตอนการสอนที่ไม่แตกต่างกัน โดยสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. ขั้นเตรียมการ ข้ันน้ีนับว่าเป็นข้ันท่ีมีความสาคัญ เพราะวิธีการสอนแบบบรรยายนี้ ความสาเร็จอยู่ท่ีความสามารถของผู้สอน ส่ิงแรก ท่ีผู้สอนต้องเตรียมคือ เนื้อหาสาระที่จะบรรยาย โดยต้องทาความเข้าใจตลอดเร่ือง โดยเฉพาะคาศัพท์ที่ยาก เน้ือหาท่ีซับซ้อน การจัดลาดับเนื้อหาเพ่ือ นาเสนอเป็นลาดับก่อนหลัง ต้องพยายาม ยกตัวอย่าง สร้างส่ือ เตรียมคาถาม ที่กระตุ้นเร้าอารมณ์ สรา้ ง ความสนใจแกผ่ เู้ รยี นไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับ ผูเ้ รียน นอกจากน้อี าจต้องดวู ่า เนื้อหาตอนใดต้องใช้สื่อประกอบการบรรยายต้องเตรียมสื่อนั้นๆ ไว้ให้ พรอ้ มใชไ้ ว้ ล่วงหน้า ตลอดจนตอ้ ง วิเคราะห์ว่า ผู้เรยี นมี พ้ืนฐานความรู้และประสบการณ์เดิมเพียงใด หาวิธีการให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรยาย โดยอาจกระตุ้นให้แสดงความ คิดเห็น หรือเปิด อภิปรายให้แสดงความเห็นในประเด็นต่างๆ ขณะมีการบรรยาย และที่สาคัญคือต้องเตรียมการ ประเมินผลผเู้ รียน ไวล้ ว่ งหนา้ ตามวตั ถุประสงคท์ ก่ี าหนดไว้ 2. ขั้นการจัดกิจกรรม ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนท่ีครูผู้สอนดาเนินการจัดกิจกรรมต่างๆ ท่ีได้ เตรียมมาใหก้ ับผูเ้ รยี น โดยมีข้นั ตอนย่อยๆ ที่ สาคญั ดังน้ี 2.1 บอกจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ทง้ั นี้เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนทราบวา่ หลงั จากเสร็จส้นิ การจัด กิจกรรมการเรยี นร้แู ลว้ เกิดการเรยี นรอู้ ะไร 2.2 ผู้เรียนโดยวธิ กี ารตา่ งๆ เช่น การต้ังคาถาม การยา้ เน้นประเด็น 2.3 ครผู ู้สอนอาจใช้เทคนคิ ตา่ งๆ ประกอบการจัดกจิ กรรมในข้ันนี้ เช่น การใช้ กราฟฟิค ข่าวเหตุการณ์ ประจาวัน สารสนเทศร่วมสมัย กรณีตัวอย่าง แต่ทั้งนี้ครูจะต้องเลือกให้ เหมาะสมกบั เนอ้ื หาสาระทีก่ าลังบรรยาย 3. ขัน้ สรุป ครูผูส้ อนตอ้ งสรปุ ประเด็นสาระสาคัญตามจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นระยะ เพ่ือให้ ผูเ้ รยี นเกดิ ความเข้าใจ สามารถ โยงความคดิ ไปสปู่ ระเด็นทผี่ า่ นมา และประเด็นถดั ไปได้

ED12101 65 ภาษาและวฒั นธรรม 4. ข้ันประเมินผล การประเมินผลควรประเมินผลผู้เรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีได้ กาหนดไว้ซึ่งอาจใช้วิธีการประเมิน เช่น การตรวจสมุดบันทึก การทดสอบ ซักถาม สัมภาษณ์ เปน็ ตน้ ขณะเดียวกันในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบบรรยายให้มีประสิทธิภาพนั้น สมชาย ชูชาติ (2538 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2555) ได้กล่าวไว้ว่า การบรรยายควรมีลักษณะ ดังต่อไปน้ี 1. การเตรยี มการบรรยาย การบรรยายที่ดีต้องอาศัยการเตรียมการที่ดี ครูผู้สอนจาเป็นต้อง ศกึ ษาเนอ้ื หาสาระที่จะ บรรยายใหเ้ ขา้ ใจแจม่ แจ้ง หากพบวา่ มจี ดุ ใดทต่ี นยังไมเ่ ข้าใจแจ่มแจ้ง หรือมีข้อ สงสัย ควรศึกษาค้นคว้าให้กระจ่างก่อน ต่อ จากน้ันควรคัดเลือกเน้ือหาสาระท่ีมีความจาเป็น หรือมี ประโยชน์ต่อผู้เรียน เนื้อหาใดไม่จาเป็นอาจตัดออก ขั้นต่อไปควรจัด ลาดับเนื้อหาสาระว่า ส่ิงใดควร พูดก่อน พูดหลัง และจะเชื่อมโยงกันอย่างไร เน้ือหาสาระแต่ละส่วนมีส่วนใดที่ เข้าใจยาก ควร หา ตัวอย่างประกอบหรือควรใช้สื่อใดช่วย และควรเลือกสรรเทคนิคในการนาเสนอสาระแต่ละส่วนให้ น่าสนใจ ท้าทายความ คิด และเข้าใจได้ง่าย ซ่ึงอาจจะเป็นการใช้คาถามกระตุ้น หรือการเล่า ประสบการณ์ท่ีแปลกใหม่ หรือนาเสนอปัญหาท่ีท้าทาย ความคิดก่อนการบรรยาย ผู้สอนควรจะมี โครงรา่ ง (Outline) สาหรบั การบรรยาย และมเี อกสารประกอบการบรรยายแจกให้ แก่ผู้เรียน 2. การบรรยาย เม่ือเริ่มการบรรยาย ผู้บรรยายควรดูความพร้อมของ ผู้เรียนก่อน และควรมี วิธีการเร้าความสนใจ ของผู้เรียน และพยายามรักษาความสนใจนั้นให้คงอยู่ตลอดเวลาการบรรยาย ด้วยเทคนคิ ตา่ งๆ เช่น 2.1 การใชป้ ัญหาเปน็ สิ่งเรา้ เชน่ ใช้ขา่ ว เหตุการณส์ าคัญและกรณีตวั อยา่ งตา่ งๆ 2.2 การใชก้ ารทดสอบกอ่ นเรียน และหลังเรยี น เพอื่ ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ หน็ ความสามารถของตนในเร่ืองนัน้ 2.3 การใชส้ ือ่ ประกอบ เช่น ใชแ้ ผ่นใส ภาพ สไลด์ เทปเสียง วดิ ิทศั น์ เป็นตน้ 2.4 การใชก้ ารซกั ถามประกอบการบรรยาย 2.5 การใชก้ จิ กรรมประกอบการบรรยาย เชน่ การอภิปรายกลุม่ ยอ่ ย การสาธติ การ แสดงบทบาทสมมติ การเลน่ เกม การทดลองปฏิบตั ิ เป็นต้น 2.6 การยกตวั อย่างประกอบการอธบิ าย 2.7 การใชอ้ ารมณข์ นั 2.8 การเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นซกั ถาม และแสดงความคดิ เห็น 3. การอภิปรายซักถาม และประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รยี น กอ่ นยตุ ิการบรรยาย ครผู สู้ อน ควรสรุปสาระสาคัญ ของการบรรยาย และควรเปิดโอกาสให้ ผู้เรียน ซักถาม หรือเปิดอภิปราย แลกเปล่ียนความคิดเหน็ กัน ต่อจากนั้นควรมีการ ทดสอบการเรียนรู้ของผู้เรียนในเร่ืองที่บรรยายด้วย วธิ ีการต่างๆ เชน่ การส่มุ ถามผ้เู รยี น หรอื การใหท้ าแบบทดสอบ เปน็ ตน้ 2. ทักษะการออกคาสง่ั การออกคาสัง่ ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนน้ัน ไม่ว่าจะเป็นการสอนแบบใด การออก คาสั่ง จะเป็นวิธีการท่ีสอดแทรกอยู่เสมอ เช่น ออกคาสั่งให้ทากิจกรรมต่าง ๆ ขณะท่ีมีการเรียนการ

ED12101 66 ภาษาและวฒั นธรรม สอน ออกคาส่งั ให้ทางานหรือกจิ กรรมพเิ ศษเพิม่ เติมนอกหอ้ งเรียน การทาแบบฝึกหัด การทาการบ้าน เป็นตน้ การออกคาสัง่ ที่ดีจะต้องนาไปสู่การปฏบิ ตั ทิ ่ีถูกต้องและมีประสิทธภิ าพ หลกั ในการออกคาสัง่ ของครใู นกระบวนการสอนมีดังนี้ 1) คานงึ ถงึ ระดบั ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลเป็นหลกั โดยครพู ิจารณาถึงความ ยากงา่ ยทีเ่ หมาะกับนักเรยี นแต่ละประเภท 2) คาสงั่ จะต้องมีความสมบูรณช์ ดั เจน นนั้ คือนกั เรียนจะต้องเข้าใจไดท้ นั ทวี ่า เขา ตอ้ งทาอะไร ท่ไี หน เม่ือไร และต้องทาอย่างไร 3) คาสงั่ ทีด่ คี วรจะมสี ่วนสนับสนนุ ใหน้ กั เรียนไดใ้ ชค้ วามคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรคใ์ ห้มาก ทส่ี ดุ 4) หลังจากที่ได้ออกคาส่ังไปแลว้ ครคู วรจะได้มีการติดตามและประเมินผล ความก้าวหนา้ ของนกั เรียนเปน็ ระยะ เพ่ือจะได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพรอ่ ง รวมท้งั ใหเ้ ห็นพัฒนาการท า งานของตนด้วย ข้อควรคานึงอีกประการหน่ึงในการออกคาสั่งก็คือน้าเสียง บุคลิกและกิริยาท่าทางของครู ขณะออกคาส่ัง ต้องสามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นและปฏิบัติตามคาสั่งได้อย่าง ถูกต้องและมีประสิทธภิ าพ 3. ทกั ษะการต้ังคาถาม กลวิธีการถามคาถามและการตอบคาถามเป็นเคร่ืองมือสาคัญสาหรับกระตุ้นให้ผู้เรียนตอบ คาถามโดยใช้กระบวนการคิดค้นคว้าด้วยตนเอง อาจใช้กับผู้เรียนเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มย่อย หรือทั้งชั้น เพ่ือกระต้นุ ให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดค้นคว้าหาคาตอบเพื่อแก้ปัญหาและสรุปแนวคิด ไดด้ ว้ ยตนเอง เปน็ การพฒั นาความคิดในระดับสงู เทคนิคการใช้คาถาม (Questioning Techniques)เป็นการพูดเพ่ือให้ผู้เรียนต้องขบคิดใน การหาคาตอบทีถ่ กู ต้องซ่ึงเป็นวิธีการหน่ึงท่ีจะเป็นการตรวจสอบได้ว่า การเรียนการสอนในแต่ละคร้ัง ประสบความสาเรจ็ มากนอ้ ยแคไ่ หน การตอบคาถามของผู้เรียนจะเป็นข้อมูลย้อนกลับในเร่ืองนี้ได้เป็น อย่างดีลักษณะของคาถามโดยทั่ว ๆ ไปมักจะมีคาท่ีแสดงว่าเป็นคาถามประกอบอยู่ด้วยเสมอ เช่น ใคร อะไร เมื่อไร ท่ีไหน อย่างไร เป็นต้น ลักษณะคาดังกล่าวจะแสดงจุดเน้นในการถามแตกต่างกัน ออกไปดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี้

ED12101 67 ภาษาและวฒั นธรรม ตารางท่ี 4.1 ลกั ษณะของคาถาม คาทใ่ี ช้ต้ังคาถาม ลักษณะ ใคร เปน็ การถามเกีย่ วกับบุคคล ชือ่ บคุ คล หรือตาแหน่งหน้าทเ่ี ก่ยี วกบั บคุ คลน้ัน ๆ เชน่ “ใครชอบวชิ าภาษาไทย” อะไร เปน็ การถามเกี่ยวกับสิ่งทกี่ ่อใหเ้ กดิ เหตกุ ารณ์ หรอื ส่ิงต่อเนื่อง เช่น “อะไรทาให้เธอคิดว่าจะไดเ้ กรดเอวิชานี้” เม่ือไร เป็นการถามเกย่ี วกับ เวลา (วัน เดือน ป)ี ระยะเวลา หรอื กาหนดเวลา “ห้องสมุดจะปิดเมือ่ ไหร่” ท่ไี หน เปน็ คาถามเกี่ยวกบั สถานท่ี อาจจะเปน็ สถานท่ีท่ัว ๆ ไป หรือสถานท่ีเฉพาะ เชน่ “เธอชอบไปเที่ยวพักผ่อนทไี่ หน” อยา่ งไร เป็นคาถามเกี่ยวกับระเบียบวิธี อาจเปน็ วธิ ีทา วธิ ดี ู วิธคี ิด หรือพฤติการณใ์ ดๆ ทเ่ี กย่ี วกับส่ิงต่าง ๆ ทีเ่ กดิ ขน้ึ เช่น “การทาไขเ่ คม็ ตอ้ งทาอยา่ งไร” ทาไม เป็นการถามเก่ียวกบั เหตผุ ล หรอื มูลเหตุทเ่ี กดิ เรอื่ งนนั้ ๆ ขึ้น เช่น “ทาไมเธอจึงมาสาย” เท่าไหร่ เปน็ การถามเกี่ยวกับจานวน หรอื ปรมิ าณของสิง่ นนั้ ๆ เช่น “รถคันนีร้ าคาเท่าไร” ใช่ไหม/หรอื ไม่ จะเปน็ การถามเก่ยี วกบั การยอมรบั หรอื ปฏิเสธอย่างใดอยา่ งหนึง่ เช่น “เธอจะเรยี นต่อหรอื ไม่” วตั ถปุ ระสงค์ของการใชค้ าถาม การใช้คาถามสามารถสอดแทรกอยู่ในทุกกิจกรรมของการเรียนการสอน ผู้สอนควรจะต้อง ทราบวัตถุประสงค์ของการใช้คาถาม เพ่ือจะได้ใช้คาถามให้เหมาะสมกับผู้เรียน อันจะมีผลต่อ ประสทิ ธภิ าพของการเรยี นการสอนต่อไป วตั ถปุ ระสงค์โดยทัว่ ไปของการใช้คาถามมดี ังนี้ 1) เพื่อกระตนุ้ ใหผ้ ้เู รยี นไดใ้ ช้ความคิดและค้นหาแนวคิดใหมๆ่ 2) เพื่อประเมนิ ความรเู้ ดิมของผ้เู รยี นและสามารถเชือ่ มโยงประสบการณเ์ ดิมของผู้เรียนกับ ประสบการณ์ใหมท่ ่จี ะจัดให้กับผ้เู รยี น เชน่ การถามเพ่ือทบทวนความรู้ หรือถามเพื่อตะล่อมเข้าสู่ จุดสาคัญของเร่อื งทกี่ าลงั จะเรียนรูเ้ พ่มิ เติมต่อไป 3) เพ่ือเตรียมผูเ้ รียนให้พรอ้ มก่อนทจ่ี ะเรียนบทเรยี นใหม่ และทบทวนหรอื สรุปบทเรียน จาก การเรยี นรทู้ ่ีผ่านมา ซ่งึ เปน็ การติดตามความกา้ วหน้าของการเรยี น เปน็ ระยะ ๆ และสรุป ความก้าวหน้าทง้ั หมด 4) เพื่อให้ผู้เรียนได้มีสว่ นรว่ มในกิจกรรมการเรยี นการสอน และวดั ผลประเมินผลการเรยี น 5) เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธร์ ะหวา่ งผสู้ อนกับผเู้ รียนใหม้ ีความเขา้ ใจอนั ดีต่อกนั และวัด จติ สมั พันธ์ระหวา่ งผเู้ รียนและผสู้ อน หลักการตั้งคาถาม การต้ังคาถามในการจัดการเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสมควรคานึงถึง ดังนี้ 1) คาถามต้องมลี ักษณะที่ชดั เจน ไมก่ ากวม นักเรียนฟงั แล้วเขา้ ใจได้ตลอด

ED12101 68 ภาษาและวฒั นธรรม 2) คาถามจะต้องสนั้ และรัดกุมไมย่ ดื ยาวจนนักเรยี นจบั จุดไมไ่ ด้ 3) ใชภ้ าษางา่ ย ๆ เหมาะกับระดับของนักเรียน 4) ลกั ษณะคาถามควรเปน็ ไปในทานองสนับสนนุ ให้ผู้ตอบไดแ้ สดงความคิดเหน็ อยูเ่ สมอ 5) คาถามจะต้องไม่ยากหรือง่ายจนเกนิ ไป ทั้งนี้จะต้องคานึงถงึ ความเหมาะสมของผู้เรียน และเน้อื หาเปน็ สาคญั จะเหน็ ไดว้ ่าแมจ้ ะมีคาถามมากมายหลากหลายท่ีครูใช้ในการจดั การเรยี นการสอน แต่คาถาม ท่วั ไปท่ีสาคญั เปน็ พเิ ศษในการเรียนการสอน 4 แบบทจี่ าเป็นตอ้ งใช้มีดังน้ี 1. คาถามท่ีเชื้อเชิญให้นกั เรียนคน้ หาข้อมูล 2. คาถามท่นี านักเรยี นให้วิเคราะห์เพอ่ื ความเข้าใจ 3. คาถามท่ีเช้ือเชิญความรสู้ ึกและประจักษ์พยาน 4. คาถามที่ส่งเสริมการประยุกตใ์ ช้ 4. ทักษะการเลือกใช้วธิ สี อนแบบตา่ ง ๆ ในกระบวนการเรียนการสอนก็เช่นกัน ครูจาเป็นต้องใช้วิธีสอนท่ีหลากหลาย ๆ ตาม ความสามารถและความเหมาะสมในสถานการณ์ท่ีจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทักษะในการเลือกใช้วิธีสอน แบบต่าง ๆ ของครู จงึ เปน็ เร่ืองทมี่ ีความสาคัญเปน็ อยา่ งมากทีจ่ ะสง่ ผลถึงการเรียนรู้ขอผู้เรียน วิธีสอน แต่ละแบบก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถแยกประเภทให้เห็นพอสังเขป อาทิ การ บรรยาย การสาธิต การทดลอง การแสดงบทบาทสมมติ กรณีตัวอย่าง ตามแนวคิดของ ทิศนา แขม มณี (2559) ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้ 1. วธิ ีการสอนโดยใชก้ ารบรรยาย (Lecture) การบรรยายเปน็ วธิ กี ารสอนที่อาศัยความสามารถของผูส้ อนในการเรียบเรยี งเนื้อหาสาระและ การใช้เทคนิคในการถ่ายทอดเนือ้ หาสาระให้น่าสนใจ 1.1 ความหมาย วธิ สี อนโดยใชก้ ารบรรยายคือกระบวนการท่ีผสู้ อนใชใ้ นการช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดการ เรยี นรตู้ ามวตั ถุประสงค์ท่ีกาหนด โดยการพูด บอก เล่า อธิบาย สิ่งท่ีต้องการสอนแก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียน ซกั ถาม แล้วประเมนิ การเรียนรูข้ องผู้เรยี นดว้ ยวธิ ใี ดวธิ หี นงึ่ 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ วิธีสอนโดยใช้การบรรยายเปน็ วธิ กี ารท่ีมุ่งช่วยให้ผู้เรียนจานวนมากไดเ้ รยี นรเู้ น้ือหา สาระหรือข้อความรจู้ านวนมากพร้อมๆ กันได้ในเวลาทีจ่ ากัด 1.3 องคป์ ระกอบสาคญั (ทขี่ าดไม่ได้) ของวธิ ีสอน 1.3.1 มเี นอ้ื หาสาระ หรอื ข้อความรูท้ ี่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 1.3.2 มกี ารบรรยาย (พดู บอก เล่า อธิบาย) 1.3.3 มผี ลการเรยี นร้ขู องผเู้ รียนท่เี กิดจากการบรรยาย 1.4 ขน้ั ตอนสาคญั (ที่ขาดไม่ได้) ของการสอน 1.4.1 ผสู้ อนเตรียมเนือ้ หาสาระที่จะบรรยาย

ED12101 69 ภาษาและวฒั นธรรม 1.4.2 ผ้สู อนบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย) เนื้อหาสาระท่ีต้องการใหผ้ ูเ้ รียนได้ เรียนรู้ 1.4.3 ผู้สอนเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนซกั ถาม และประเมินผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียน 1.5 เทคนคิ และขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ในการใชว้ ธิ สี อนโดยใชก้ ารบรรยายให้มีประสิทธิภาพ 1.5.1 การเตรียมการบรรยาย การบรรยายที่ดี ต้องอาศัยการเตรียมการที่ดี ผู้สอนจาเป็นต้องศึกษาเน้ือหาสาระที่ จะบรรยายให้เข้าใจแจ่มแจ้งหากพบว่า มีจุดใดที่ตนยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งหรือมีข้อสงสัย ควรศึกษา ค้นคว้าให้กระจ่างก่อน ต่อจากนั้นควรคัดเลือกว่า เน้ือหาสาระใดมีความจาเป็นหรือมีประโยชน์ต่อ ผู้เรียนของตนเพียงใด เน้ือหาใดไม่จาเป็นอาจตัดออก ต่อไปควรจัดลาดับเนื้อหาสาระว่าส่ิงใดควรพูด ก่อน พูดหลัง และจะเชื่อมโยงกันอย่างไร ในเนื้อหาสาระแต่ละส่วนมีส่วนใดท่ียังคลุมเครือ ควรหา ตัวอย่างประกอบ หรือควรใช้สื่อใดช่วย และควรแสวงหาเทคนิคในการนาเสนอสาระแต่ละส่วนให้ น่าสนใจ ท้าทายความคิดและเข้าใจได้ง่าย ซ่ึงอาจจะเป็นการใช้คาถามกระตุ้น หรือการเล่า ประสบการณท์ ี่แปลกใหม่ หรือนาเสนอปัญหาที่ท้าทายความคิดก่อนการบรรยาย ผู้สอนควรจะมีโครง ร่าง (outline) สาหรับการบรรยาย และมีเอกสารประกอบการบรรยายแจกให้แก่ผ้เู รยี น 1.5.2 การบรรยาย เมื่อเริม่ การบรรยาย ผู้บรรยายควรเร้าความสนใจของผู้เรยี น และพยายามรักษา ความสนใจน้นั ใหค้ งอยู่ตลอดการบรรยายดว้ ยเทคนิคตา่ ง ๆ เช่น 1) การใช้ปัญหาเปน็ สิ่งเร้า เช่น ใชข้ ่าว เหตุการณส์ าคัญและกรณีตัวอย่างต่าง ๆ 2) การใชก้ ารทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน เพื่อช่วยให้ผ้เู รียนได้เห็น ความสามารถของตนในเรื่องนน้ั 3) การใช้สือ่ ประกอบ เช่น ใช้แผ่นใส ภาพสไลด์ เทปเสยี ง วีดีทัศน์ ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ เปน็ ตน้ 4) การใชก้ ารซักถามประกอบกบั การบรรยาย 5) การใช้กจิ กรรมประกอบการบรรยาย เช่น การอภิปรายกลมุ่ ยอ่ ย การสาธติ การแสดงบทบาทสมมติ การเล่นเกม การทดลองปฏิบัติ เป็นตน้ 6) การยกตัวอยา่ งประกอบการอธบิ าย 7) การใช้อารมณ์ขัน 8) การเปิดโอกาสให้ผ้ฟู ังซักถาม และแสดงความคิดเห็น 1.5.3 การอภปิ รายซักถาม และประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องผูเ้ รียน ก่อนยุติการบรรยาย ผู้บรรยายควรสรุปสาระสาคัญของการบรรยาย และควรเปิด โอกาสให้ผู้ฟังซักถาม หรือเปิดอภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน ต่อจากน้ันควรมีการทดสอบการ เรียนรู้ของผู้เรียนในเรื่องท่ีบรรยายด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสุ่มถามผู้เรียน หรือการให้ทา แบบทดสอบ เป็นต้น

ED12101 70 ภาษาและวฒั นธรรม 1.6 ขอ้ ดแี ละข้อจากดั ของวิธสี อนโดยใชก้ ารบรรยาย 1.6.1 ขอ้ ดี 1) เป็นวิธีสอนทีใ่ ชเ้ วลานอ้ ย เมอื่ เทยี บกบั วธิ ีสอนแบบอน่ื ๆ 2) เป็นวธิ ีสอนทใ่ี ช้กับผู้เรียนจานวนมากได้ 3) เปน็ วิธสี อนทส่ี ะดวก ไม่ยงุ่ ยาก 4) เปน็ วิธสี อนที่ถา่ ยทอดเนื้อหาสาระไดม้ าก 1.6.2 ขอ้ จากดั 1) เปน็ วิธสี อนทีผ่ เู้ รียนมีบทบาทน้อย จงึ อาจทาใหผ้ เู้ รียนขาดความสนใจในการ บรรยาย 2) เปน็ วธิ ีสอนท่ีอาศยั ความสามารถของผู้บรรยาย ถา้ ผบู้ รรยายไม่มศี ิลปะใน การบรรยายที่ดึงดูดใจผู้เรยี น ผ้เู รยี นอาจขาดความสนใจ และถา้ ผ้สู อนขาดการเรียบเรยี งเน้ือหาสาระ อย่างเหมาะสม ผเู้ รยี นอาจเกิดความไม่เขา้ ใจ และไม่สามารถซกั ถามได้ (ถ้าผ้บู รรยายไมเ่ ปิดโอกาส) 3) เป็นวิธสี อนที่ไม่สามารถสนองตอบความตอ้ งการและความแตกตา่ งระหวา่ ง บคุ คล 2. วิธสี อนโดยใชก้ ารสาธติ (Demonstration) เป็นวธิ สี อนท่ชี ว่ ยใหผ้ เู้ รียนได้รบั ประสบการณ์ตรง เห็นสิ่งที่เรียนรอู้ ย่างเป็นรูปธรรม ทาให้ เกิดความเขา้ ใจและจดจาในเรื่องทส่ี าธติ ได้ดีและนาน 2.1 ความหมาย วิธีสอนโดยใช้การสาธิต คือกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ที่กาหนด โดยการแสดงหรือทาส่ิงท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ให้ผู้เรียนสังเกตดู แล้วให้ ผูเ้ รยี นซกั ถาม อภิปราย และสรปุ การเรียนรู้ทีไ่ ด้จากการสังเกตการสาธติ 2.2 วัตถุประสงค์ วธิ สี อนโดยใช้การสาธติ เป็นวิธกี ารท่ีม่งุ ชว่ ยให้ผู้เรยี นทัง้ ชนั้ ไดเ้ หน็ การปฏิบตั จิ รงิ ด้วยตาตนเอง ทาให้เกิดความร้คู วามเข้าใจในเร่อื งหรือการปฏบิ ตั นิ น้ั ชดั เจนขึ้น 2.3 องคป์ ระกอบสาคัญ (ท่ีขาดไม่ได้) ของวธิ สี อน 2.3.1 มีเร่ืองหรือสงิ่ ทีจ่ ะสาธติ 2.3.2 มกี ารแสดง/ การทา / ใหผ้ ู้เรียนสังเกตดู 2.3.3 มีผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนท่ีเกดิ จากการสาธติ 2.4 ข้ันตอนสาคญั (ทีข่ าดไม่ได้) ของการสอน 2.4.1 ผสู้ อนแสดงการสาธิต ผ้เู รยี นสงั เกตการสาธติ 2.4.2 ผสู้ อนและผเู้ รยี นอภปิ รายและสรปุ การเรยี นรูท้ ี่ไดจ้ ากการสาธติ 2.5 เทคนิคตา่ ง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใชก้ ารสาธิตให้มีประสิทธิภาพ 2.5.1 การเตรยี มการ ผู้สอนจาเป็นต้องมีการเตรียมตัวพอสมควร เพ่ือให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสะดวก และราบร่ืน การเตรียมตัวที่สาคัญ คือ ผู้สอนควรมีการซ้อมการสาธิตก่อนเพื่อจะได้เห็นปัญหา และ

ED12101 71 ภาษาและวฒั นธรรม เตรียมแก้ไข/ป้องกันปัญหาที่จะเกิดข้ึน ต่อไปจึงจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือ และสถานท่ีที่จะใช้ ในการสาธติ และจัดวางไว้อย่างเหมาะสมสะดวกแก่การใช้ นอกจากน้ันควรจัดเตรียมแบบสังเกตการ สาธติ และเตรียมคาถามหรือประเด็นทจ่ี ะให้ผู้เรียนได้รว่ มคดิ และอภปิ รายดว้ ย 2.5.2 ก่อนการสาธิต ผู้สอนควรให้ความรู้เก่ียวกับเรื่องที่สาธิตแก่ผู้เรียนอย่างเพียงพอท่ีจะทาให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจส่ิงที่สาธิตได้ดี โดยอาจใช้วิธีบรรยาย หรือเตรียมเอกสารท่ีให้รายละเอียดเกี่ยวกับ ลาดับข้ันตอนให้ผู้เรียน หรือใช้สื่อ เช่น วีดีทัศน์ หรือผู้สอนอาจมอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษาเนื้อหา สาระที่จะสาธิตมาล่วงหน้า และควรให้คาแนะนาแก่ผู้เรียนในการสังเกต หรือจัดทาแบบสังเกตการ สาธิตให้ผู้เรียนใช้ในการสังเกต นอกจากนั้น ผู้สอนอาจใช้เทคนิคการมอบหมายให้ผู้เรียนรายบุคคล สังเกตเปน็ พเิ ศษเฉพาะจดุ เฉพาะประเดน็ เพอื่ ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนตง้ั ใจสงั เกต และมสี ่วนร่วมอย่างท่ัวถึง 2.5.3 การสาธิต ผสู้ อนอาจใช้วธิ ีการบรรยายประกอบการสาธิต การสาธติ ควรเป็นไป อย่างมลี าดบั ขนั้ ตอน ใชเ้ วลาอยา่ งเหมาะสม ไม่เร็วเกินไป ขณะสาธติ อาจใชแ้ ผนภมู กิ ระดานดาหรอื Powerpoint ประกอบ และควรเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนซกั ถาม หรอื ซกั ถามผู้เรียนเปน็ ระยะ ๆ เพอื่ กระตนุ้ ความคดิ และความสนใจของผู้เรียน และในบางกรณีอาจให้ผู้เรียนบางคนมาชว่ ยในการสาธิตดว้ ย เทคนคิ การ สาธิตอกี เทคนคิ หนง่ึ คอื การใชก้ ารสาธิตเงยี บแทนการบรรยายประกอบการสาธติ และอาจมกี าร สาธติ ซ้าหากผเู้ รยี นยังไมเ่ กดิ ความเขา้ ใจชดั เจน นอกจากน้ันผู้สอนอาจใหผ้ ู้เรยี นเป็นฝา่ ยแสดงการ สาธิตด้วยก็ได้ ในกรณที ่กี ารสาธติ มสี ิง่ ท่อี าจเป็นอันตรายได้ ผูส้ อนจะต้องสอนใหผ้ ู้เรยี นรู้และ ระมดั ระวังในเรือ่ งความปลอดภัย และควรเตรียมการป้องกันและแกไ้ ขปัญหาไวด้ ้วย 2.5.4 การอภปิ รายสรปุ การเรยี นรู้ หลังจากการสาธิตแล้ว ผูส้ อนควรใหผ้ ู้เรยี นรายงานสิ่งทไี่ ดส้ ังเกตเหน็ แลกเปลย่ี นกัน เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนซักถาม ผสู้ อนควรเตรยี มคาถามไว้กระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นคิดดว้ ย ผเู้ รียนอภปิ ราย แลกเปลีย่ นความรู้ความคิดท่ีแต่ละคนไดร้ ับจากการสาธติ ของผ้สู อนและรว่ มกนั สรปุ การเรยี นรู้ทีไ่ ด้รบั 2.6 ขอ้ ดีและข้อจากดั ของวิธีสอนโดยใช้การสาธติ 2.6.1 ข้อดี 1) เป็นวธิ สี อนที่ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนไดร้ บั ประสบการณ์ตรง เห็นสง่ิ ที่เรียนรอู้ ย่างเปน็ รูปธรรม ทาให้เกดิ ความเขา้ ใจและจดจาในเรื่องทีส่ าธติ ไดด้ ีและนาน 2) เปน็ วธิ สี อนท่ีชว่ ยประหยัดเวลา อุปกรณแ์ ละค่าใชจ้ า่ ย ใช้ทดแทนการทดลอง 3) เปน็ วธิ ที ่ีสามารถสอนผู้เรยี นไดจ้ านวนมาก 2.6.2 ขอ้ จากดั 1) เป็นวธิ ที ผ่ี ูเ้ รยี นอาจไม่สังเกตเหน็ การสาธติ อย่างชดั เจนทวั่ ถึง หากเป็นกลมุ่ ใหญ่ 2) เปน็ วิธีท่ีผสู้ อนเป็นผูส้ าธติ จึงอาจไมเ่ หน็ พฤตกิ รรมของผเู้ รียน 3) เปน็ วธิ ที ่ีผู้เรียนอาจมสี ่วนร่วมไม่ทวั่ ถึง และมากพอ 4) เปน็ วิธที ี่ผเู้ รียนไมไ่ ด้ลงมอื ทาเองจึงอาจไมเ่ กดิ ความรู้ที่ลึกซ้ึงเพยี งพอ

ED12101 72 ภาษาและวฒั นธรรม 3. วธิ กี ารสอนโดยใช้การทดลอง (Experiment) การสอนโดยใช้การทดลองเป็นวิธีสอนท่ีผ้เู รยี นได้รบั ประสบการณ์ตรง ไดผ้ ่านกระบวนการ ตา่ ง ๆ ได้พสิ จู น์ ทดสอบ และเห็นผลประจกั ษด์ ้วยตนเอง จึงเกดิ การเรียนรู้ไดด้ ี มคี วามเข้าใจ และ จดจาการเรียนรนู้ น้ั ได้นาน 3.1 ความหมาย วิธีสอนโดยใชก้ ารทดลอง คือ กระบวนการทผี่ ูส้ อนใช้ในการช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรตู้ าม วัตถุประสงค์ที่กาหนด โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดปัญหาและสมมติฐานในการทดลองและลงมือ ทดลองปฏิบัติตามข้ันตอนที่กาหนดโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ท่ีจาเป็น เก็บรวบรวมข้อมูล สรุปอภิปรายผล การทดลอง และสรุปการเรียนรทู้ ไ่ี ด้รับจากการทดลอง 3.2 วัตถปุ ระสงค์ วิธีสอนโดยใช้การทดลอง เป็นวิธีการท่ีมุ่งช่วยให้ผู้เรียนรายบุคคลหรือรายกลุ่ม เกิดการ เรียนรู้โดยการเห็นผลประจักษ์ชัด จากการคิดและการกระทาของตนเอง ทาให้การเรียนรู้นั้นตรงกับ ความเปน็ จรงิ มคี วามหมายสาหรบั ผเู้ รยี นและจาไดน้ าน 3.3 องคป์ ระกอบ (ที่ขาดไม่ได้) ของวิธสี อน 3.3.1 มปี ญั หาและสมมติฐานในการทดลอง 3.3.2 มีวสั ดุอปุ กรณส์ าหรบั การทดลอง 3.3.3 มีการทดลอง 3.3.4 มผี ลการเรียนรู้ของผ้เู รียนที่เกิดขนึ้ จากการทดลอง 3.4 ขัน้ ตอนสาคญั (ท่ขี าดไม่ได้) ของการสอน 3.4.1 ผูส้ อน / ผู้เรยี นกาหนดปญั หาและสมมตฐิ านในการทดลอง 3.4.2 ผ้สู อนใหค้ วามรูท้ ีจ่ าเป็นตอ่ การทดลอง ใหข้ ัน้ ตอนและรายละเอยี ดในการ ทดลองแกผ่ ้เู รียน โดยใชว้ ิธกี ารต่าง ๆ ตามความเหมาะสม 3.4.3 ผ้เู รยี นลงมือทดลองโดยใชว้ ัสดอุ ปุ กรณ์ท่ีจาเป็นตามข้ันตอนท่ีกาหนดและ บนั ทกึ ข้อมลู การทดลอง 3.4.4 ผเู้ รยี นวเิ คราะห์และสรุปผลการทดลอง 3.4.5 ผ้สู อนและผู้เรยี นอภิปรายผลการทดลอง และสรปุ การเรียนรู้ 3.5 เทคนิคและขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ในการใช้วิธสี อนโดยใชก้ ารทดลองให้มีประสิทธิภาพ 3.5.1 การเตรียมการ ผู้สอนจะต้องกาหนดจุดมุ่งหมาย กาหนดตัวปัญหาท่ีจะใช้ในการทดลองและ กระบวนการหรือข้ันตอนในการดาเนินการทดลองให้ชัดเจน รวมท้ังจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ใน การทดลองให้พร้อม และลองซ้อมทาการทดลองด้วยตนเอง เพื่อจะได้เรียนรู้ประเด็นปัญหา ข้อขัดข้องหรืออุปสรรคต่าง ๆ ซ่ึงอาจนาใช้ในการปรับข้ันตอนการดาเนินการและรายละเอียดต่าง ๆ ใหร้ ัดกมุ ขน้ึ ผู้สอนอาจจาเป็นต้องทาเอกสารคู่มือการทดลองให้ผู้เรียน และควรจัดทาประเด็นคาถาม ท่ีจะให้ผู้เรียนหาคาตอบ หรือแนวทางที่จะให้ผู้เรียนสังเกตผลการทดลอง นอกจากน้ันในบางกรณีที่

ED12101 73 ภาษาและวฒั นธรรม การทดลองต้องอาศัยพ้ืนฐานความรู้ที่จาเป็น ซ่ึงหากผู้เรียนขาดความรู้ดังกล่าว จะไม่สามารถทาการ ทดลองได้ จึงควรมีการตรวจสอบความรู้ผู้เรียนก่อนให้ทาการทดลอง โดยผู้สอนจะต้องจัดเตรียม แบบทดสอบไว้ด้วย สาหรับการทดลองที่มีอันตราย เช่น การทดลองทางเคมี ผู้สอนจะต้องตรวจสอบ ความปลอดภยั รวมทั้งเตรยี มการทัง้ ทางด้านป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกดิ ขึ้นด้วย 3.5.2 การนาเสนอเรอ่ื ง / ตวั ปญั หาทจี่ ะใชใ้ นการทดลอง ผู้สอนอาจเป็นผู้นาเสนอปัญหาที่จะใช้ในการทดลอง แต่ถ้าทาให้ผู้เรียนมีความรู้สึก ว่าปัญหามาจากตัวผเู้ รียนเองได้ ก็จะยิ่งดี จะทาให้การเรียนรู้หรือการทดลองนั้นมีความหมายสาหรับ ผ้เู รยี นมากขนึ้ 3.5.3 การให้ความรู้ / ขัน้ ตอน / รายละเอียดในการทดลอง ผู้สอนอาจเป็นผู้กาหนดขั้นตอนและรายละเอียดในการทดลองเอง หรืออาจให้ ผู้เรียนร่วมกันวางแผนและกาหนดขั้นตอนในการดาเนินการทดลองก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมกับ วาระ แต่การให้ผู้เรียนร่วมกันดาเนินการนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นอีก และ ผู้เรียนจะกระตือรือร้นมากข้ึน เพราะเป็นผู้คิดเอง อย่างไรก็ตาม ผู้สอนจาเป็นต้องคอยดูแลให้ คาปรกึ ษาและความช่วยเหลอื อยา่ งใกลช้ ดิ 3.5.4 การทดลอง การทดลองทาได้หลายแบบ ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนลงมือทดลองตามขั้นตอนที่ได้ กาหนดไว้ท้ังหมด โดยผู้สอนทาหน้าที่สังเกต และให้คาแนะนาหรือให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียน หรือ ผู้สอนอาจลงมือทาการทดลอง ให้ผู้เรียนสังเกต แล้วทาการทดลองตามไปทีละขั้น หรือผู้สอนอาจลง มือทาการทดลองให้ผู้เรียนดูจนจบกระบวนการ แล้วให้ผู้เรียนไปทาการทดลองด้วยตนเอง ผู้สอนจะ ใช้เทคนิคใดนั้นข้ึนกับความเหมาะสมกับลักษณะของการทดลองคร้ังนั้น ผู้เรียนจะเรียนด้วยวิธีนี้ได้ดี หากมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่จาเป็น ผู้สอนจึงควรฝึกฝนทักษะดังกล่าวให้ผู้เรียน ก่อน ให้ผู้เรยี นทาการทดลอง หรือไม่ก็ต้องฝึกไปพร้อม ๆ กัน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว มี 13 ทกั ษะดังน้ี 1) ทักษะการสังเกต 2) ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมลู 3) ทักษะการจาแนกประเภท 4) ทักษะการวัด 5) ทกั ษะการใชต้ ัวเลข 6) ทักษะการส่อื ความหมาย 7) ทักษะการพยากรณ์ 8) ทกั ษะการหาความสัมพนั ธ์ระหว่างสเปส (space) กบั เวลา 9) ทกั ษะการกาหนดและควบคมุ ตัวแปร 10) ทักษะการตัง้ สมมตฐิ าน 11) ทกั ษะการกาหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ัติการของตัวแปร 12) ทกั ษะการทดลอง

ED12101 74 ภาษาและวฒั นธรรม 13) ทกั ษะการตีความหมายขอ้ มลู และการลงข้อสรปุ ผสู้ อนจะสอนด้วยวิธนี ้ีใหไ้ ดผ้ ลดีจาเปน็ ตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจและมีทักษะ 13 ประการดงั กลา่ ว จงึ จะสามารถชว่ ยฝกึ ฝนผ้เู รียนตามปญั หาและความต้องการของผ้เู รียนได้ 3.5.5 การรวบรวมข้อมูล ผู้สอนควรให้คาแนะนาแก่ผู้เรียนในการสังเกตการทดลอง บันทึกข้อมูลการทดลอง และเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ รวมทั้งให้ความเอาใจใส่ในกระบวนการทดลอง และ กระบวนการทางานร่วมกนั ของผู้เรยี นดว้ ย 3.5.6 การวิเคราะหส์ รปุ ผลการทดลอง และสรปุ การเรยี นรู้ ผู้สอนควรให้คาแนะนาแก่ผู้เรียนเกี่ยวกับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและการสรุปผล ซ่ึง จะช่วยใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ัฒนาทักษะกระบวนการคิด และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถ นาไปใช้ประโยชน์ในเร่ืองอ่ืน ๆ ได้อีกมาก นอกจากนั้น ผู้สอนควรให้ผู้เรียนมีการวิเคราะห์อภิปราย เก่ยี วกบั กระบวนการในการแสวงหาความรู้ กระบวนการทางาน และกระบวนการอื่น ๆ และสรุปการ เรียนร้รู ่วมกันด้วย 3.6 ขอ้ ดี และขอ้ จากัดของวิธีสอนโดยใช้การทดลอง 3.6.1 ข้อดี 1) เป็นวิธีสอนท่ีผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ได้ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ได้ พสิ จู น์ ทดสอบ และเหน็ ผลประจักษ์ดว้ ยตนเอง จึงเกิดการเรียนรู้ได้ดี มีความเข้าใจ และจะจดจาการ เรยี นรู้นนั้ ไดน้ าน 2) เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จานวนมาก เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ ทักษะ กระบวนการคดิ และทักษะกระบวนการกลุม่ รวมท้ังได้พฒั นาลกั ษณะนสิ ัยใฝร่ ู้ 3) เป็นวธิ ีสอนทผ่ี ู้เรยี นมีส่วนรว่ มในกิจกรรมมาก จะทาใหเ้ กิดความ กระตือรือร้นในการเรยี นรู้ 3.6.2 ข้อจากดั 1) เปน็ วธิ ีสอนท่ีมคี า่ ใช้จ่ายสงู เนือ่ งจากจาเปน็ ตอ้ งมีอุปกรณ์ เครอื่ งมือ วสั ดุ สาหรับผ้เู รยี นจานวนมากหรอื ในกรณีที่ตอ้ งออกไปเก็บข้อมูลนอกสถานท่ี กต็ ้องมีคา่ ใชจ้ า่ ยค่าพาหนะ ที่พัก และวสั ดตุ า่ ง ๆ ดว้ ย 2) เป็นวิธสี อนที่ใช้เวลามาก เน่ืองจากการดาเนนิ การแต่ละขน้ั ตอนต้องใชเ้ วลา 3)เปน็ วธิ สี อนทีผ่ ู้สอนตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และมที ักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ จึงจะสามารถสอนและฝึกฝนใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรูไ้ ดด้ ี 4. วธิ ีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) การแสดงบทบาทสมมติเปน็ การให้ผเู้ รยี นแสดงบทบาทสมมติ เพ่ือวัตถปุ ระสงค์ท่จี ะใช้ บทบาทเป็นเครื่องมอื ในการดึงความรสู้ ึกนกึ คิด การรับรู้ เจตคติ หรืออคติต่าง ๆ ท่ีซ่อนอยใู่ นสว่ นลึก ของผแู้ สดงออกมาเป็นข้อมลู ในการเรียนรู้

ED12101 75 ภาษาและวฒั นธรรม 4.1 ความหมาย วธิ ีสอนโดยใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ คอื กระบวนการทีผ่ ู้สอนใชใ้ นการชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การ เรยี นรูต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนด โดยการใหผ้ ูเ้ รยี นสวมบทบาทในสถานการณซ์ ่ึงมคี วามใกล้เคยี งกบั ความเปน็ จรงิ และแสดงออกตามความรสู้ ึกนึกคดิ ของตน และนาเอาการแสดงออกของผแู้ สดง ทง้ั ทางด้านความรู้ ความคิด ความรสู้ ึกและพฤติกรรมท่ีสังเกตพบ มาเป็นข้อมลู ในการอภิปราย เพอ่ื ให้ ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ 4.2 วัตถุประสงค์ วธิ ีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ เป็นวธิ ีการทมี่ ุ่งช่วยให้ผเู้ รียนได้เรยี นรู้การเอาใจเขามา ใสใ่ จเรา เกิดความเขา้ ใจในความรู้สกึ และพฤติกรรมทง้ั ของตนเองและผูอ้ ื่น หรอื เกิดความเข้าใจใน เร่ืองต่าง ๆ เกี่ยวกบั บทบาทสมมติทต่ี นแสดง 4.3 องค์ประกอบสาคญั (ทข่ี าดไม่ได้) ของวิธสี อน 9.3.1 มสี ถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ 9.3.2 มกี ารแสดงบทบาทสมมติ 9.3.3 มกี ารอภปิ รายเกย่ี วกบั ความรู้ ความคิด ความร้สู กึ และพฤตกิ รรมท่แี สดงออก ของผู้แสดง และสรปุ การเรยี นร้ทู ี่ได้รับ 4.4 ขน้ั ตอนสาคัญ (ทขี่ าดไม่ได้) ของการสอน 9.4.1 ผูส้ อน / ผู้เรยี น นาเสนอสถานการณส์ มมตแิ ละบทบาทสมมติ 9.4.2 ผ้สู อน / ผเู้ รียนเลือกผู้แสดงบทบาท 9.4.3 ผ้สู อนเตรียมผู้สังเกตการณ์ 9.4.4 ผู้เรียนแสดงบทบาทและสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก 9.4.5 ผสู้ อนและผูเ้ รยี นอภิปรายเก่ยี วกับความรู้ ความคดิ ความรสู้ ึก และพฤติกรรม ทแี่ สดงออกของผู้แสดง 9.4.6 ผสู้ อนและผู้เรยี นสรุปการเรียนรู้ทไี่ ด้รับจากการแสดงและการชมการแสดง 4.5 เทคนิคและขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ในการใชว้ ิธีสอนโดยใชก้ ารแสดงบทบาทสมมตใิ ห้มี ประสิทธภิ าพ 4.5.1 การเตรยี มการ ผู้สอนกาหนดวตั ถปุ ระสงค์เฉพาะให้ชัดเจน และสรา้ งสถานการณ์และบทบาทสมมติ ทจี่ ะช่วยสนองวัตถปุ ระสงคน์ ้ัน สถานการณแ์ ละบทบาทสมมตทิ กี่ าหนดขน้ึ ควรมีความใกลเ้ คียงกบั ความเปน็ จรงิ ส่วนจะมรี ายละเอียดมากน้อยเพียงใด ขนึ้ กับวัตถปุ ระสงค์ ผสู้ อนอาจใช้บทบาทสมมติ แบบละคร ซงึ่ จะกาหนดเรอื่ งราวใหแ้ สดง แตไ่ ม่มบี ทให้ ผสู้ วมบทบาทจะต้องคดิ แสดงเอง หรืออาจใช้ บทบาทสมมติแบบแกป้ ัญหา ซง่ึ จะกาหนดสถานการณท์ ี่มีปัญหาหรือความขัดแยง้ ให้ และอาจให้ ขอ้ มูลเพ่มิ เติมมากบา้ ง น้อยบ้าง ซ่งึ ผู้สวมบทบาทจะใช้ข้อมูลเหลา่ นั้นในการแสดงออก และแก้ปัญหา ตามความคดิ ของตน

ED12101 76 ภาษาและวฒั นธรรม 4.5.2 การเริม่ บทเรียน ผู้สอนสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้หลายวิธี เช่น โยงประสบการณ์ใกล้ ตัวผู้เรียน หรือประสบการณ์ท่ีผู้เรียนได้รับจากการเรียนครั้งก่อน ๆ เข้าสู่เร่ืองที่จะศึกษา หรืออาจใช้ วิธีเล่าเร่ืองราวหรือสถานการณ์สมมติที่เตรียมมาแล้วทิ้งท้ายด้วยปัญหา เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียน อยากคดิ อยากติดตาม หรืออาจใช้วิธีชี้แจงให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์จากการเข้าร่วมแสดง และช่วยกัน คิดแกป้ ัญหา 4.5.3 การเลือกผ้แู สดง ควรเลือกให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการแสดง เช่น เลือกผู้แสดงท่ีมีลักษณะ เหมาะสมกับบทบาทเพ่ือช่วยให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่นตามวัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็ว หรือ เลือกผู้แสดงที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับบทบาทที่กาหนดให้ เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนคนนั้นได้รับ ประสบการณ์ใหม่ ได้ทดลองแสดงพฤติกรรมใหม่ๆ และเกิดความเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรม ของผู้ท่ีมีลักษณะต่างไปจากตน หรืออาจให้ผู้เรียนอาสาสมัคร หรือเจาะจงเลือกคนใดคนหนึ่งด้วย วัตถุประสงค์ท่ีต้องการช่วยให้บุคคลนั้นเกิดการเรียนรู้ เมื่อได้ผู้แสดงแล้ว ควรให้เวลาผู้แสดง เตรียมการแสดง โดยอาจใหฝ้ ึกซอ้ มบา้ งตามความจาเป็น 4.5.4 การเตรยี มผสู้ ังเกตการณห์ รือผชู้ ม ผู้สอนควรเตรียมผู้ชม และทาความเข้าใจกับผู้ชมว่า การแสดงบทบาทสมมตินี้ จัด ขึ้นมิใช่มุ่งที่ความสนุกเพลิดเพลินเท่านั้น แต่มุ่งท่ีจะให้เกิดการเรียนรู้เป็นสาคัญ ดังนั้นจึงควรชมด้วย ความสงั เกต ผสู้ อนควรใหค้ าแนะนาวา่ ควรสังเกตอะไร และควรบันทกึ ข้อมูลอย่างไร และผสู้ อนอาจ จัดทาแบบสงั เกตการณใ์ หผ้ ูช้ มใชใ้ นการสงั เกตด้วยก็ได้ 4.5.5 การแสดง ก่อนการแสดงอาจมกี ารจัดฉากการแสดงให้ดูสมจริง ฉากการแสดงอาจเป็นฉากง่าย ๆ หรืออาจจะจัดให้ดูสวยงาม แต่ไม่ควรจะใช้เวลามาก และควรคานึงถึงความประหยัดด้วย เม่ือทุก ฝ่ายพร้อมแล้ว ผู้สอนให้เร่ิมการแสดง และสังเกตการแสดงอย่างใกล้ชิด ไม่ควรมีการขัดการแสดง กลางคัน นอกจากกรณีที่มีปัญหาเมื่อการแสดงออกนอกทาง ผู้สอนอาจจาเป็นต้องให้คาแนะนาบ้าง เมื่อมีการแสดงดาเนินไปพอสมควรแล้ว ผู้สอนควรตัดบท ยุติการแสดง ไม่ควรให้การแสดงยืดยาว เย่ินเย้อจะทาให้ผู้ชมเกิดความเบ่ือหน่าย การตัดบทควรทาเม่ือเห็นว่าการแสดงได้ให้ข้อมูลแก่กลุ่ม เพียงพอท่ีจะนามาวิเคราะห์และอภิปราย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตรงตามวัตถุประสงค์ หรือตัดบทเมื่อ การแสดงเร่ิมยืดเยื้อ หรือเมื่อผู้ชมพอจะเดาได้ว่า เรื่องราวจะดาเนินต่อไปอย่างไร หรือในกรณีท่ีผู้ แสดงเกิดอารมณ์สะเทือนใจมากเกนิ ไปจนแสดงต่อไปไม่ได้ ควรตดั บททันที 4.5.6 การวเิ คราะห์อภิปรายผลการแสดง ข้ันนี้เป็นขั้นสาคัญมาก เพราะเป็นข้ันที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีชัดเจนตาม วัตถุประสงค์ เทคนิคท่ีจาเป็นสาหรับการอภิปรายในช่วงน้ีมีหลายประการ ท่ีสาคัญคือการสัมภาษณ์ ความรู้สึกและความคิดของผู้แสดงและจดบันทึกไว้บนกระดาน ต่อจากน้ันจึงสัมภาษณ์ผู้ชมหรือผู้ สังเกตการณ์ถึงข้อมูลท่ีสังเกตได้ ผู้สอนควรจดบันทึกข้อมูลเหล่าน้ีบนกระดาน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเห็น ประเดน็ ในการอภิปรายและสรุปตอ่ จากน้นั จึงใหท้ กุ ฝา่ ยร่วมกนั อภปิ ราย แสดงความคิดเห็น และสรุป ประเด็นการเรียนรู้ สิ่งสาคัญมากท่ีผู้สอนพึงคานึงในการอภิปรายก็คือ การให้ผู้เรียนแสดงบทบาท

ED12101 77 ภาษาและวฒั นธรรม สมมตกิ ็เพื่อวตั ถปุ ระสงค์ท่ีจะใช้บทบาทเป็นเคร่ืองมือในการดึงความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ เจตคติ หรือ อคติต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของผู้แสดงออกมาเพ่ือเป็นข้อมูลในการเรียนรู้ ดังนั้นการอภิปรายจึง ตอ้ งมุ่งเนน้ และอภิปรายในเร่ืองของพฤติกรรมน้ันออกมา การซักถามจึงควรมุ่งประเด็นไปท่ีว่าผู้แสดง ได้แสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง ทาไมจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น และพฤติกรรมน้ันก่อให้เกิดผลอะไร ตามมา การอภิปรายไม่ควรมุ่งประเด็นไปท่ีการแสดงของผู้สวมบทบาทว่า แสดงได้ดี-ไม่ดี เพียงใด เพราะนอกจากจะเป็นการอภิปรายที่ผิดวัตถุประสงค์แล้ว ยังอาจทาให้ผู้แสดงเสียความรู้สึกได้ ใน กรณีท่ีการอภิปรายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และผู้เรียนเสนอแนะแนวคิดและแนวทางอื่น ๆ เพ่ิมเติมแตกต่างไปจากที่ผู้สวมบทบาทแสดง ผู้สอนอาจให้มีการแสดงและการอภิปรายเพ่ิมเติม และ สรุปบทเรยี นอีกคร้ังหนง่ึ 4.6 ขอ้ ดีและข้อจากัดของวิธสี อนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ 4.6.1 ขอ้ ดี 1) เป็นวธิ ีสอนที่ชว่ ยให้ผู้เรยี นเกดิ ความเข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้อน่ื ไดเ้ รียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเราเกิดการเรยี นรู้ทล่ี ึกซงึ้ 2) เปน็ วธิ ีสอนที่ช่วยใหผ้ เู้ รยี นมีความเขา้ ใจ และเกดิ การเปล่ยี นแปลงเจตคตแิ ละ พฤติกรรมของตน 3) เป็นวธิ สี อนท่ชี ว่ ยพฒั นาทักษะในการเผชิญสถานการณ์ ตัดสินใจและแกป้ ญั หา 4) เปน็ วธิ สี อนท่ชี ว่ ยใหก้ ารเรียนการสอนมีความใกลเ้ คยี งกับสภาพความเปน็ จรงิ 5) เปน็ วิธีสอนทเ่ี ปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นมีสว่ นรว่ มในการเรยี นมาก ผเู้ รียนได้เรยี นรู้ อย่างสนกุ สนาน และการเรยี นรู้มีความหมายสาหรบั ผู้เรยี น เพราะขอ้ มลู มาจากผเู้ รียนโดยตรง 4.6.2 ข้อจากัด 1) เป็นวิธสี อนที่ใช้เวลามากพอสมควร 2) เป็นวิธีสอนที่ต้องอาศัยการเตรียมการและการจัดการอย่างรัดกุมหากจัดการไม่ดี พอ อาจเกิดความยุ่งยากสับสนข้ึนได้ 3) เป็นวิธีสอนที่ต้องอาศัยความไวในการรับรู้ (sensitivity) ของผู้สอนหากผู้สอน ขาดคุณสมบตั นิ ้ี ไม่รบั รปู้ ัญหาที่เกดิ ขนึ้ กับผู้เรียนบางคน และไมไ่ ด้แกป้ ัญหาแต่ต้น อาจเกิดเป็นปัญหา ตอ่ เนอ่ื งไปได้ 4) เป็นการสอนที่ต้องอาศัยความสามารถของครูในการแก้ปัญหา เน่ืองจากการ แสดงของผเู้ รยี นอาจไม่เป็นไปตามความคาดหมายของผ้สู อน ผูส้ อนจะต้องสามารถแก้ปัญหาหรือปรับ สถานการณแ์ ละประเด็นใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้ได้ 5. วิธสี อนโดยใชก้ รณตี วั อย่าง (Case) การสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างนี้ มิได้มุ่งที่คาตอบใดคาตอบหน่ึง แต่ต้องการให้ผู้เรียนเห็น คาตอบและเหตผุ ลท่ีหลากหลาย อนั จะชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจมีความรอบคอบขึ้น

ED12101 78 ภาษาและวฒั นธรรม 5.1 ความหมาย วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนด โดยให้ผู้เรียนศึกษาเร่ืองที่สมมติขึ้นจากความเป็นจริง และตอบประเด็น คาถามเกย่ี วกบั เร่ืองน้นั แล้วนาคาตอบและเหตุผลท่ีมาของคาตอบน้ันมาใช้เป็นข้อมูลในการอภิปราย เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ตามวตั ถุประสงค์ 5.2 วตั ถปุ ระสงค์ วธิ ีสอนโดยใช้กรณตี ัวอย่าง เป็นวธิ กี ารทีม่ ุ่งช่วยใหผ้ ู้เรียนฝกึ ฝนการเผชิญและแก้ปัญหาโดยไม่ ต้องรอให้เกดิ ปัญหาจรงิ เปน็ วิธกี ารทีเ่ ปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ความคดิ ของผู้อื่น ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนมีมุมมองท่กี วา้ งขนึ้ 5.3 องคป์ ระกอบสาคัญ (ทขี่ าดไมไ่ ด้) ของวิธสี อน 5.3.1 มีกรณเี ร่ืองที่คลา้ ยกบั เหตุการณจ์ รงิ 5.3.2 มีประเด็นคาถามให้คดิ พิจารณาหาคาตอบ 5.3.3 มคี าตอบท่ีหลากหลาย คาตอบไม่มีถูกผดิ อย่างชัดเจนหรอื แน่นอน 5.3.4 มีการอภิปรายเกย่ี วกับสภาพการณ์ ปัญหา มุมมอง วธิ ีแกป้ ัญหาของผเู้ รยี น และสรปุ ผลการเรียนรทู้ ่ีไดร้ บั 5.4 ขน้ั ตอนสาคัญ (ทีข่ าดไม่ได้) ของการสอน 5.4.1 ผู้สอน / ผู้เรยี นนาเสนอกรณีตวั อยา่ ง 5.4.2 ผู้เรียนศกึ ษากรณตี วั อย่าง 5.4.3 ผูเ้ รียนอภิปรายประเด็นคาถามเพ่ือหาคาตอบ 5.4.4 ผ้สู อนและผ้เู รียนอภปิ รายคาตอบ 5.4.5 ผสู้ อนและผูเ้ รียนอภิปรายเกี่ยวกับปญั หาวธิ ีแก้ปัญหาของผเู้ รียน และสรปุ การ เรยี นรทู้ ี่ได้รบั 5.5 เทคนิคและขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วธิ สี อนโดยใช้กรณีตวั อย่างให้มี ประสทิ ธิภาพ 5.5.1 การเตรียมการ ก่อนการสอน ผู้สอนจาเป็นต้องเตรียมกรณีตัวอย่างให้พร้อม กรณีตัวอย่างท่ี เหมาะสมจะตอ้ งมีสาระ ซ่ึงจะช่วยทาใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ มีลักษณะใกล้เคียงกับ ความเป็นจริง กรณีท่ีนามาใช้ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องท่ีมีสถานการณ์ปัญหาขัดแย้ง ผู้สอนอาจใช้วิธีการ ต้งั ประเดน็ คาถามทีท่ ้าทายใหผ้ ้เู รียนคิดกไ็ ด้ ผู้สอนอาจนาเร่ืองจริงมาเขียนเป็นกรณีตัวอย่าง หรืออาจ ใช้เร่ืองจากหนังสือพิมพ์ ข่าวและเหตุการณ์ รวมทั้งจากสื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิดิทัศน์ เป็นต้น เม่อื ได้กรณีที่ตอ้ งการแล้ว ผ้สู อนจะตอ้ งเตรียมประเด็นคาถามสาหรับการอภิปรายเพื่อนาไปสู่ การเรยี นรูท้ ี่ตอ้ งการ 5.5.2 การนาเสนอกรณีตัวอย่าง ผู้สอนอาจเปน็ ผ้นู าเสนอกรณีตัวอยา่ ง หรืออาจใชเ้ รอ่ื งจริงจากผ้เู รยี นเปน็ กรณี ตวั อย่างก็ได้ (แต่ครูต้องมีความชานาญในการวเิ คราะห์กรณีตัวอย่างนนั้ และตั้งประเด็นคาถามไดเ้ ร็ว)

ED12101 79 ภาษาและวฒั นธรรม วธิ กี ารนาเสนอทาไดห้ ลายวิธี เชน่ การพิมพเ์ ป็นข้อมูลมาให้ ผเู้ รยี นอ่าน การเลา่ กรณตี วั อยา่ งให้ฟัง หรือนาเสนอโดยใชส้ ่อื เชน่ สไลด์ วิดทิ ัศน์ ภาพยนตร์ หรอื อาจให้ผู้เรยี นแสดงเปน็ ละครหรอื บทบาท สมมติก็ได้ 5.5.3 การศกึ ษากรณตี ัวอย่างและการอภปิ ราย ผสู้ อนควรแบ่งผู้เรียนเป็นกลุม่ ยอ่ ยและให้เวลาอยา่ งเพียงพอในการศึกษากรณี ตวั อยา่ งและคดิ หาคาตอบไม่ควรใหผ้ เู้ รยี นตอบประเด็นคาถามทันที ผเู้ รยี นแต่ละคนควรมีคาตอบของ ตนเตรยี มไว้ก่อน แลว้ จึงรว่ มกันอภปิ รายเป็นกลมุ่ และนาเสนอผลการอภิปรายระหวา่ งกลมุ่ เปน็ การ แลกเปลย่ี นกนั ผสู้ อนพึงตระหนกั ว่าการสอนโดยใชก้ รณีตัวอย่างนี้ มิได้มงุ่ ท่ีคาตอบใดคาตอบหน่ึง คาถามสาหรับการอภปิ รายนี้ ไมม่ ีคาตอบท่ีถูกหรอื ผิดอยา่ งชดั เจนแน่นอน แตต่ ้องการให้ผู้เรยี นเหน็ คาตอบและเหตุผลทีห่ ลากหลาย ซง่ึ จะชว่ ยให้ผเู้ รียนมคี วามคิดทีก่ ว้างข้ึน มองปัญหาในแง่มุมที่ หลากหลายข้ึน อันจะช่วยใหก้ ารตัดสนิ ใจมีความรอบคอบข้นึ ด้วยเหตุนี้การอภิปรายควรมุ่งความ สนใจไปทเ่ี หตุผลหรือท่มี าของความคิดทผี่ ู้เรยี นใชใ้ นการแก้ปญั หาเป็นสาคญั 5.6 ข้อดแี ละข้อจากดั 5.6.1 ข้อดี 1) เป็นวิธีสอนท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ และการคดิ แกป้ ญั หา ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมีมมุ มองทกี่ วา้ งข้ึน 2) เป็นวิธีสอนท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้เผชิญปัญหาท่ีเกิดขึ้นในสถานการณ์จริง และได้ฝึก แก้ปัญหาโดยไม่ต้องเสี่ยงกับผลที่จะเกิดข้ึน ช่วยให้เกิดความพร้อมท่ีจะแก้ปัญหาเมื่อเผชิญปัญหานั้น ในสถานการณ์จรงิ 3) เป็นวธิ สี อนทชี่ ่วยให้ผเู้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นสงู สง่ เสรมิ ปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่าง ผู้เรยี น และสง่ เสรมิ การเรียนร้จู ากกันและกัน 4) เป็นวธิ สี อนทใ่ี หผ้ ลดีมากสาหรับกลุ่มผู้เรียนที่มีความรู้ และประสบการณ์ หลากหลายสาขา 5.6.2 ข้อจากดั 1) หากกลุ่มผเู้ รยี นมีความรแู้ ละประสบการณไ์ มแ่ ตกตา่ งกัน การเรียนรูอ้ าจไมก่ ว้าง เท่าทีค่ วร เพราะผูเ้ รยี นมักมมี ุมมองคลา้ ยกนั 2) แม้ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้เกิดข้ึนจริง ๆ กบั ผู้เรยี น ความคิดในการแก้ปญั หาจึงมกั เป็นไปตามเหตุผลท่ีถูกที่ควรซ่ึงอาจไม่ตรงกับการปฏิบัติจริง ได้ 5.การใชส้ ่ือการสอน สื่อการสอน (Instruction Media) หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ หรือวิธีการใด ๆ ก็ตามที่เป็น ตัวกลางหรือพาหะในการถ่ายทอดความรู้ ทศั นคติ ทกั ษะและประสบการณไ์ ปสู่ผู้เรียน สื่อการสอนแต่ ละชนิดจะมีคุณสมบัติพิเศษมีคุณค่าในตัวของมันเองในการเก็บ และแสดงความหมายที่เหมาะสมกับ เนื้อหาทัง้ ยังมีเทคนิควิธกี ารใชอ้ ย่างมีระบบ

ED12101 80 ภาษาและวฒั นธรรม ประเภทของส่อื การเรียนการสอนตามลกั ษณะและการใช้ ในทางเทคโนโลยีการศึกษา 1. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Hardware) หรือส่ือใหญ่ (Big Media) หมายถึง สิ่งท่ีเป็นอุปกรณ์ ทางเทคนิคท้ังหลายท่ีประกอบดว้ ยกลไก ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงไม่ใช่สิ่งสิ้นเปลือง ได้แก่ เครื่อง ฉายประเภทต่าง ๆ เช่น เคร่ืองฉายภาพยนตร์ เคร่ืองฉายสไลด์ เคร่ืองฉายภาพข้ามศีรษะ เคร่ืองฉาย ภาพจากคอมพิวเตอร์ เคร่อื งรับโทรทัศน์ เครอื่ งเล่นซีดี/ดีวีดี เครอ่ื งเสียง รวมท้งั เคร่อื งมือหรืออุปกรณ์ ทางเทคนคิ อื่น ๆ ที่เป็นทางผา่ นของความรู้ เช่น เครอ่ื งฉายจลุ ชีวะ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เปน็ ต้น 2. วัสดุ (Software) หรือส่ือเล็ก (Small Media) ซึ่งเป็นวัสดุท่ีเก็บความรู้ในลักษณะของ ภาพเสยี ง และตวั อักษร ในรูปแบบต่าง ๆ โดยจาแนกได้ 2 ประเภทคอื 2.1. วัสดุท่ตี ้องอาศัยเคร่ืองมืออปุ กรณ์ (Hardware) เพ่ือการนาเสนอเร่อื งราว ขอ้ มลู หรือความรู้ออกมาส่ือความหมายแกผ่ ้เู รียน ไดแ้ ก่ ฟิลม์ แผน่ ใส เทปบันทกึ เสียง แผ่นซีดี/ดีวีดี วสั ดุบนั ทกึ ขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์ เป็นต้น 2.2. วสั ดทุ ี่เสนอความรู้ไดด้ ้วยตัวเอง โดยไมต่ ้องอาศัยเครื่องมือหรอื อุปกรณ์ใด ๆ เชน่ เอกสารตารา หนังสอื คมู่ ือ รปู ภาพ แผนภาพ ของจริง ของตัวอย่าง หุน่ จาลอง เปน็ ตน้ 3. เทคนิคหรือวธิ กี าร (Techniques or Methods) การส่ือความหมายในการเรียนการสอน บางคร้ังไม่อาจทาไดด้ ว้ ยเครื่องมืออุปกรณห์ รอื วสั ดุ แต่จะต้องอาศัยเทคนิคหรือวิธีการ เพื่อการให้เกิด การเรียนรู้ หรอื ใช้ทัง้ วัสดุอุปกรณ์และวิธกี ารไปพร้อม ๆ กัน แตเ่ น้นท่วี ิธกี ารเป็นสาคัญ เช่น การสาธิต ประกอบการใชเ้ ครื่องมือเคร่อื งจักร การทดลอง การแสดงบทบาท การศึกษานอกสถานท่ี การจัด นทิ รรศการ เปน็ ตน้ หลักการเลอื กส่ือ 1. เลอื กส่อื การสอนทีส่ อดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนควรศึกษาถึงวัตถุประสงค์ การเรียนรู้ท่ีหลักสูตรกาหนดไว้ วัตถุประสงค์ในที่นี้หมายถึงวัตถุประสงค์เฉพาะในแต่ละส่วนของ เน้ือหายอ่ ย ไมใ่ ช่วัตถุประสงค์ในภาพรวมของหลักสูตร 2. เลือกสอ่ื การสอนที่ตรงกับลักษณะของเนื้อหาของบทเรียน เนือ้ หาของบทเรยี นอาจมี ลกั ษณะแตกต่างกนั ไป เชน่ เปน็ ขอ้ ความ เปน็ แนวคดิ เป็นภาพนงิ่ ภาพเคลื่อนไหว เปน็ เสียง เป็นสี ซึ่ง การเลือกสื่อการสอนควรเลือกให้เหมาะสมกบั ลักษณะของเน้อื หา 3. เลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน ลักษณะเฉพาะตัวต่างๆ ของผู้เรียน เป็นสิ่งท่ีมีอิทธิพลต่อการรับรู้ส่ือการสอน ในการเลือกสื่อการสอนต้องพิจารณาลักษณะต่างๆ ของ ผู้เรียน เช่น อายุ เพศ ความถนัด ความสนใจ ระดับสติปัญญา วัฒนธรรม และประสบการณ์เดิม ตัวอย่างเชน่ การสอนผู้เรียนทีเ่ ปน็ นักเรยี นระดบั ประถมศึกษาควรใชเ้ ปน็ ภาพการ์ตูนมีสีสันสดใส 4. เลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับจานวนของผู้เรียน และกิจกรรมการเรียนการสอน ใน การสอนแต่ละคร้ังจานวนของผู้เรียนและกิจกรรมท่ีใช้ในการเรียนสอน ในห้องก็เป็นส่ิงสาคัญท่ีต้อง นามาพิจารณาควบคู่กันในการใช้สื่อการสอน เช่น การสอนผู้เรียนจานวนมาก จาเป็นต้องใช้วิธีการ สอนแบบบรรยาย ซึ่งสื่อการสอนท่ีนามาใช้อาจเป็นเคร่ืองฉายต่าง ๆ และเคร่ืองเสียง เพื่อให้ผู้เรียน

ED12101 81 ภาษาและวฒั นธรรม มองเห็นและไดย้ นิ อยา่ งทั่วถงึ สว่ นการสอนผู้เรียนเป็นรายบุคคล อาจเลือกใช้วิธีการสอนแบบค้นคว้า สือ่ การสอนอาจเป็นหนงั สือบทเรียนแบบโปรแกรม หรือบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน เป็นตน้ 5. เลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมในท่ีน้ี ได้แก่ อาคาร สถานที่ ขนาดพืน้ ท่ี แสง ไฟฟ้า เสียงรบกวน อุปกรณ์อานวยความสะดวก หรือ บรรยากาศ ส่ิงเหล่านี้ ควรนามาประกอบการพิจารณาเลอื กใชส้ ื่อการสอน ตัวอย่างเช่นการสอนผู้เรียนจานวนมากซึ่งควรจะ ใช้เครื่องฉายและเคร่ืองเสียง 6 .เลือกสื่อการสอนที่มีลักษณะน่าสนใจและดึงดูดความสนใจ ควรเลือกใช้ส่ือการสอนที่มี ลักษณะน่าสนใจและดึงดูดความสนใจผู้เรียนได้ ซ่ึงอาจจะเป็นเรื่องของ เสียง สีสัน รูปทรง ขนาด ตลอดจนการออกแบบและการผลิตด้วยความประณีต ส่ิงเหล่านี้จะช่วยทาให้สื่อการสอนมีความ น่าสนใจและดงึ ดูดความสนใจของผเู้ รียนได้ 7. เลือกสอื่ การสอนทีม่ วี ิธกี ารใช้งาน เก็บรักษา และบารงุ รักษาไดส้ ะดวก ในประเด็นสุดท้าย ของการพิจารณา ควรเลือกส่ือการสอนที่มีวิธีการใช้งานได้สะดวก ไม่ยุ่งยาก และหลังใช้งานควรเก็บ รักษาได้งา่ ยๆ ตลอดจนไมต่ อ้ งใช้วธิ กี ารบารงุ รักษาที่สลับซบั ซ้อนหรอื มีคา่ ใช้จา่ ยในการบารุงรกั ษาสงู หลกั การใช้ส่อื การสอน 1.การเตรียมตวั ของผสู้ อน เปน็ การเตรียมความพร้อมของตัวผสู้ อนในการใชส้ ่อื การสอน โดย การทาความเข้าใจในเนอื้ หาท่ีมีในส่อื ข้ันตอน และวิธีการใช้สื่อ เปน็ ตน้ 2. เตรียมจดั สภาพแวดลอ้ ม เชน่ สถานท่ี ห้องเรียน ห้อง Lab วัสดุอปุ กรณ์ เคร่ืองไม้ เครือ่ งมอื และสง่ิ อานวยความสะดวกตา่ งๆ 3. การเตรยี มตัวของผเู้ รียน เพ่ือให้มคี วามพร้อมที่จะเรยี น อาจมีการทดสอบ มีการอธิบาย วิธกี ารใชส้ ือ่ อปุ กรณ์ เคร่ืองมือตา่ งๆบอกวัตถปุ ระสงค์ แนะนาหรือใหค้ วามคิดรวบยอดของเนื้อหาใน สือ่ นัน้ ๆ เปน็ ตน้ 4. การใช้ส่ือให้เหมาะกับขั้นตอนและวิธีการตามท่ีได้เตรียมไว้แล้ว และควบคุมการนาเสนอ สอ่ื เพอ่ื ใหก้ ารเรยี นการสอนเปน็ ไปอย่างราบรื่น 5. การติดตามผล ( Follow Up ) หลังจากการใช้ส่ือการสอนแล้ว ควรมีการติดตามผลเพ่ือ เป็นการทดสอบว่า ผู้เรียนเข้าใจบทเรียน และเรียนรู้ จากส่ือท่ีนาเสนอไปนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่ เช่น การให้ผู้เรียนตอบคาถาม อภิปราย ทารายงาน เป็นต้น เพื่อผู้สอนจะได้ทราบจุดบกพร่อง สามารถ นามาแก้ไขปรบั ปรงุ สาหรับการสอนในครงั้ ตอ่ ไป ขน้ั ตอนการใช้สื่อการสอน 1.ข้ันนาเข้าสู่บทเรียนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาที่กาลังจะเรียนนั้น ส่ือท่ี ใช้ในข้ันน้ีจึงเป็นส่ือที่แสดงเนื้อหากว้างๆหรือเนื้อหาท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียนในครั้งก่อน ยังมิใช่ส่ือที่ เน้นเนื้อหาเจาะลึกอย่างแท้จริง และควรเป็นสื่อท่ีง่ายต่อการนาเสนอในระยะเวลาอันสั้น เช่น ภาพ บัตรคา เปน็ ต้น 2. ข้ันดาเนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นข้ันที่จะให้ความรู้ เน้ือหาอย่าง ละเอยี ดเพ่อื สนองวตั ถปุ ระสงค์ท่ีต้งั ไว้ ผู้สอนควรเลือกส่ือให้ตรงกับเนื้อหา และวิธีการสอน ต้องมีการ

ED12101 82 ภาษาและวฒั นธรรม จัดลาดับขั้นตอนการใช้ส่ือให้เหมาะและสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียน การใช้ส่ือในข้ันน้ีจะต้องเป็น สื่อที่เสนอความร้อู ยา่ งละเอยี ดถกู ต้องและชดั เจนแกผ่ ู้เรียน เชน่ สไลด์ แผนภูมิ วดี ีทัศน์ เป็นต้น 3. ข้ันวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนได้ ทดลองนาความร้ทู ่ีเรียนมาแล้วไปใช้แก้ปญั หาในขั้นฝกึ หดั โดยการลงมอื ฝึกปฏิบตั ิเองส่ือในข้ันนี้จึงเป็น สื่อที่เป็นประเด็นปัญหาให้ผู้เรียนได้ขบคิดโดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้สื่อเองมากที่สุด เช่น ภาพ บัตรปัญหา สมดุ แบบฝกึ หัด เปน็ ต้น 4. ขั้นสรุปบทเรียน เป็นการย้าเน้ือหาบทเรียนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงตาม วัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ ขั้นสรุปควรใช้เวลาเพียงสั้นๆ สื่อที่สรุปจึงควรครอบคลุมเนื้อหาสาคัญทั้งหมด เช่น แผนภมู ิ แผน่ โปรง่ ใส เป็นตน้ 5. ขน้ั ประเมินผู้เรยี น เปน็ การทดสอบว่าผ้เู รยี นเขา้ ใจในสิง่ ท่ีเรียนไปถูกต้องมากน้อยเพียงใด และบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ที่ตง้ั ไวห้ รอื ไม่ สอ่ื ในขนั้ การประเมินน้มี ักจะเป็นคาถามจากเน้ือหาบทเรยี น โดยอาจมภี าพประกอบดว้ ยก็ได้ การประเมนิ ผลการใชส้ ื่อการสอน 1. ประเมนิ การวางแผนการใช้ส่ือเพ่ือดวู ่าส่ิงตา่ งๆ ทวี่ างไวส้ ามารถดาเนนิ ไป ตามแผนหรอื ไม่ หรือเปน็ ไปเพยี งตามหลกั การทฤษฎีแต่ไม่สามารถปฏบิ ัตไิ ด้จรงิ จึงตอ้ งเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไว้เพอื่ การ แกไ้ ขปรบั ปรงุ ในการวางแผนครง้ั ตอ่ ไปให้การใชส้ ่อื การสอนเกิดความสอดคล้องและบรรลตุ าม วัตถุประสงค์ของการใช้ 2. ประเมินกระบวนการการใช้ส่ือ เพื่อดูว่าการใช้สื่อในแต่ละข้ันตอนประสบปัญหาหรือ อุปสรรคอย่างไรบ้าง มีสาเหตุมาจากอะไรและมีการเตรียมการป้องกันไว้หรือไม่ เช่น ผู้เรียนได้ยิน เสียงของสอื่ อย่างชัดเจนทัว่ ถงึ 3.ประเมินผลท่ีได้จากการใช้สื่อเป็นผลท่ีเกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยตรงว่า เม่ือเรียนแล้วผู้เรียน สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้หรือไม่ และผลท่ีได้น้ันเป็นไปตามเกณฑ์หรือต่า กว่าเกณฑ์ 6. การใช้วาจากริ ิยา ทา่ ทาง การใช้วาจากิริยา ท่าทางในการสอน นับว่าเป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่งของครูบุคลิกภาพของครู เป็นสงิ่ สาคญั อย่างหน่งึ รวมทงั้ ความสามารถในการสอ่ื ความหมาย ประโยชน์ของการใช้วาจากิรยิ าทา่ ทางเสรมิ บคุ ลกิ ภาพและส่ือความหมาย 1. ชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดความเคารพศรทั ธา และเกดิ เจตคติทีด่ ีต่อผสู้ อน เกิดความกระตือรือร้นท่ี จะร่วมกิจกรรม ทาให้ปัญหาความไม่สนในเรียนหมดไป 2. ชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดความเขา้ ใจในบทเรียนอย่างกระจ่างแจ้ง เพราะผู้สอนมีความสามารถใน การอธบิ ายบทเรียนหรอื มอบหมายงานต่างๆ ให้ผู้เรียนเข้าใจได้ดี อันเป็นผลให้ผู้เรียนสนใจและพอใจ ในการเรยี นวิชานน้ั 3. ช่วยใหก้ ารควบคมุ ชั้นมีประสิทธิภาพ เพราะผู้เรียนยอมรับผู้สอน เม่ือผู้สอนอบรมอย่างไร ย่อมเช่ือฟงั และปฏิบัตติ าม

ED12101 83 ภาษาและวฒั นธรรม พฤตกิ รรมของทักษะการใชว้ าจากริ ิยาทา่ ทาง ทกั ษะการใช้วาจากริ ยิ าท่าทาง ประกอบดว้ ยพฤติกรรม ดงั น้ี 1. การเคล่ือนไหวและเปลีย่ นอิริยาบถ 2. การใชม้ อื และแขน 3. การแสดงออกทางสหี นา้ สายตา 4. การทรงตัว การวางท่าทาง 5. การใชน้ า้ เสยี ง 6. การแตง่ กาย หน่วยศกึ ษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู (2520 : 3 – 11) ได้เสนอพฤติกรรมการใช้วาจากิริยา ท่าทางในดา้ นตา่ งๆ ไว้ ดังน้ี 1. การเคลือ่ นไหวและเปล่ียนอิริยาบถ พฤติกรรมที่ดีในการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนอิริยาบถระหว่าง สอน มดี งั นี้ 1) เดินดูใหท้ ัว่ ขณะคมุ ชนั้ เรียน หรือใหง้ านนักเรียนทา 2) เดนิ เขา้ ใกลน้ กั เรียน เมอื่ เหน็ นักเรียนไม่สนใจบทเรยี น 3) เดินอยา่ งสงา่ ไมช้ า้ หรือเร็วเกินไปจนลุกลนระหวา่ งการสอน 4) เปล่ยี นที่ยนื ขณะอธิบาย พฤตกิ รรมด้านลบของการเคลือ่ นไหวและเปล่ยี นอิริยาบถ มดี ังนี้ 1) เดินวนเวยี นหนา้ ชั้นจนนักเรยี นเวยี นศีรษะ 2) เดินชา้ อ้อยอง่ิ 3) เดนิ เอามือลว้ งกระเป๋าแบบนักเลงโต 4) เดินกระแอม กระไอ ตลอดเวลา 5) ยืนเกาะอยกู่ ับทีต่ ลอดเวลา 6) ยนื เขยา่ ขาไปมาอย่ตู ลอดเวลา 7) ยืน – เดนิ แคะขต้ี าขณะสอน 8) ชอบสะบัดผม เสยผม ปัดผม เกาผม 9) จับจมูก ไชจมูก แคะน้ามูก 10) ปดั มือไปมาตลอดเวลาขณะยืนสอน 11) เคาะหรือหักชอล์กเล่น หรือโยนชอล์กไปที่กระดานเม่อื เขยี นเสรจ็ 12) ใช้ชอลก์ เขียนบนโตะ๊ ครู หรือโตะ๊ นกั เรียนขณะสอน 13) บี้น้วิ มือไปมาตลอดเวลา 14) เลน่ หรอื บิดของต่างๆ ขณะสอน เชน่ กระดาษ สมดุ ฯลฯ 15) ขยบั กางเกง หรือเสอ้ื ผา้ ขณะสอน 16) ทา่ ทางไม่สุภาพ เชน่ หยบิ ของสูงหรือก้มเกบ็ ของโดยไม่ระมดั ระวังถึงการแตง่ กาย 17) ท่าทางเอยี งอาย เช่น ไมส่ บตาผู้เรยี น ฯลฯ

ED12101 84 ภาษาและวฒั นธรรม 18) มีกริ ิยาทา่ ทางรบี เรง่ ลุกลนในขณะสอน 2. การใชม้ ือและแขน พฤตกิ รรมท่ดี ขี องการใชม้ อื และแขนประกอบการสอน มีดงั นี้ 1) ใช้มือสง่ สัญญาณ เช่น กวักมือเรยี ก โบกใหถ้ อย ปรบมอื แสดงความยินดี ชมเชย 2) ครูใช้นิว้ ชแี้ ตะริมฝีปาก เพ่ือให้นกั เรียนเงียบ 3) เคาะโต๊ะเบาๆ เม่อื นักเรยี นใจลอย 4) ใช้นวิ้ แตะทีข่ มบั ในเชงิ ใชค้ วามคิด 5) แตะไหลน่ กั เรยี นเบาๆ เมือ่ นักเรียนเหม่อลอย 6) เคาะโตะ๊ เบาๆ เพอื่ เรียกความสนใจในบางโอกาส 7) กอดอกขณะรอใหน้ กั เรียนคดิ หาคาตอบ 8) ใชม้ อื ประกอบทา่ ทางตามเน้ือเร่ือง ตามระดบั เสียง ตามจังหวะ ฯลฯ พฤติกรรมดา้ นลบของการใช้มอื และแขนประกอบการสอน มดี ังน้ี 1) ใชน้ ิ้ว หรอื มือลบกระดาน 2) ตบ หรอื ใช้ไม้ฟาดโต๊ะแรงๆ 3) ผลักนกั เรียนให้ถอยห่าง 4) ใชศ้ อกกระทุ้งนกั เรียน 5) ตบศีรษะนกั เรียนแรงๆ 6) เขย่าชอลก์ ตลอดเวลา 7) หกั ชอลก์ ตลอดเวลา 8) โยนส่งิ ของใหน้ กั เรียนรับ 9) ขยับเกา้ อไี้ ปมาอยู่เสมอ 10) เท้าเอวเม่อื ไมพ่ อใจ 11) แกะ เกา ส่วนต่างๆ ขณะกาลงั สอน 12) ดึกระโปรง หรือกางเกง เวลาสอน 13) ทบุ ศรี ษะตนเองเม่อื ไมถ่ กู ใจ หรอื คิดไมอ่ อก 14) หักนิว้ มอื เลน่ ให้เกดิ เสียงดัง 15) ชอบถูมือไปมาขณะอธิบาย 16) เอาหัวแม่มอื ใสท่ ข่ี อบกางเกง 3. การแสดงออกทางสีหน้า สายตา พฤติกรรมของการแสดงออกทางสีหน้าและสายตาที่ดี มี ดงั ต่อไปน้ี 1) ยม้ิ พร้อมพยกั หน้ารับ เมื่อนกั เรียนทาความเคารพหรือขอโทษ หรอื ขอบคุณ 2) เม่อื นกั เรียนตอบคาถามหรอื ข้อคดิ เห็นที่ขบขนั ครคู วรมอี ารมณ์รว่ มด้วย 3) เมือ่ นักเรียนตอบนอกลนู่ อกทาง ควรแสดงสหี น้าเฉย หรือนง่ิ 4) เมอ่ื นกั เรียนตอบถูกตอ้ งหรือแสดงความคิดเห็นทีด่ ี ครูควรพยกั หน้าพร้อมกบั ยิ้ม 5) เมอ่ื นักเรียนตอบผิด ครคู วรสา่ ยหน้าพร้อมๆ กับยม้ิ น้อยๆ เพ่ือมิให้นักเรียนเสยี กาลงั ใจ 6) ขณะสอนควรมสี หี นา้ ยม้ิ แย้มแจ่มใส

ED12101 85 ภาษาและวฒั นธรรม 7) แสดงสหี นา้ ต้งั ใจฟงั ขณะนกั เรยี นถาม ตอบ หรือแสดงความคิดเหน็ 8) แสดงสหี น้าประกอบให้เหมาะสมกับบทเรยี นน้นั 9) ใช้สายตากวาดไปให้ทั่วห้อง และประสานสายตากับผู้เรียนพฤติกรรมท่ีไม่ดีของการ แสดงออกทางสหี น้า ใบหน้า สายตา มดี งั น้ี 1) สหี นา้ บึง้ ตึง เคร่งเครียด เยน็ ชา เม่ือเดนิ เข้าห้องสอน 2) เมอ่ื นกั เรียนตอบผดิ ครแู สดงสีหนา้ ไมพ่ อใจ หรือย้มิ เยาะหยันหรอื ทาท่าลอ้ เลียน 3) มองนักเรียนด้วยหางตา มองต้ังแตศ่ รี ษะจรดเท้า 4) แสดงสหี น้าราคาญเมอื่ นักเรยี นถาม 5) ไม่เก็บความรู้สึก เช่น หน้างอ เม้มริมฝีปาก หน้าบ้ึง เมื่อโกรธนักเรียน หรือแสดง ความร้สู กึ เหน็ดเหนอื่ ยเบอื่ หน่าย 6) แสดงสีหน้าเฉยเมยเมื่อนักเรียนมไี มตรีจิตด้วย เช่น ทกั ทายหรือทาความเคารพ 7) ทาตาหวานกรมุ้ กรม่ิ กับนักเรียน 8) หาวอยา่ งเปิดเผย 9) แลบลิ้นออกเลียรมิ ฝกี ปากเสมอ 10) พดู ไปหัวเราะไปอย่างไมม่ ีเหตุผล หรอื อย่างไมส่ มควร 11) ชอบระบายความรู้สกึ เหน็ดเหนื่อยทางสีหน้าเปน็ ประจา ฯลฯ 12) ดูนาฬกิ าบอ่ ยๆ จนเป็นท่ีสงั เกตได้ 4. การวางท่าทางและการทรงตัวขณะที่สอน พฤติกรรมท่ีดีของการวางท่าทางและการทรงตัวขณะ สอน มีดังน้ี 1) ไม่วางเท้าตามสบายเกินไป หรอื ตึงเครยี ดมากเกนิ ไป 2) เท้าท้งั สองข้างอย่หู า่ งกันพอสมควร 3) มีความเปน็ ตัวของตัวเอง พฤติกรรมทไ่ี มด่ ขี องการวางทา่ ทางและการทรงตัวมีดังน้ี 1) ตวั งอ หลังโกง ท้องป่อง 2) ยนื เกรง็ ยนื ไหลเ่ อียงไปข้างหนงึ่ หรอื ไหลห่ อ่ 3) ยืนพิงกระดานดา และกระดิกเทา้ 4) ยนื มองเพดาน หรือมองไปนอกห้องตลอดเวลา 5) ยนื ที่โตะ๊ ครถู อดรองเท้าเขา้ -ออกตลอดเวลา 6) ยืนชิดโต๊ะนกั เรียนมากเกินไปขณะอธิบาย 7) นั่งหลบั เวลานกั เรยี นทาแบบฝึกหดั 8) น่งั บนโตะ๊ นักเรียนหรอื โต๊ะครู 9) นงั่ เขย่าเท้า 10) จบั เนคไทเลน่ ไปมาขณะกาลงั อธบิ าย 11) ทาท่าทางเหมอื นไม่มชี ีวติ จิตใจ อ่อนเพลีย 12) ทาทา่ ทางแสดงตนเหมอื นนกั เรยี น เชน่ เทา้ สะเอว เอามอื ชี้กราด ฯลฯ

ED12101 86 ภาษาและวฒั นธรรม 5. การใช้นา้ เสยี ง พฤติกรรมท่ดี ีของนา้ เสียง มีดังน้ี 1) เสยี งดังฟังชัดเจน 2) ออกเสียง /ร/ล/ และควบกลา้ ได้ถกู ตอ้ ง 3) นา้ เสยี งมีเสยี งสงู ต่า ตามเน้อื หาท่ีสอน 4) เนน้ เสียงพอสมควร 5) มีหางเสียงพอสมควร 6) ใช้คาสุภาพนมุ่ นวลไพเราะ 7) ใช้ภาษาพดู กบั นกั เรยี นไดเ้ หมาะสม 8) ใชน้ า้ เสียงแสดงอารมณ์ไดด้ ี 9) ใชถ้ อ้ ยคาถูกต้องตามความนยิ ม 10) น้าเสียงแจ่มใส นุ่มนวลชวนฟัง 11) เสยี งท่พี ดู นนั้ เขา้ กับกาลเทศะพฤตกิ รรมทไี่ มด่ ขี องน้าเสียง มีดังน้ี 1) เสียงค่อยเกนิ ไปจนเดก็ นักเรยี นไม่ได้ยนิ ทวั่ ห้อง ขาดความหนักแนน่ 2) สาเนยี งไม่ชัดเจน เสียงเหนอ่ 3) พดู เสยี งกระแทกดดุ ัน กระโชกโฮกฮาก เสียงแข็งกระด้าง หรอื ตวาดนกั เรยี น 4) พูดเสยี งระดับเดยี วกนั ตลอด ไม่มกี ารเปลี่ยนระดบั เสียง 5) พูดเรว็ มากเกินไป จนนักเรียนฟงั ไม่ทัน 6) พูดจาหยาบคายไมส่ ภุ าพ พดู เสยี ดสีประชดประชนั สบถใหน้ ักเรยี นฟังเมอ่ื ไมส่ บอารมณ์ 7) ออกเสยี งควบกล้าตัว /ร/ล/ ไมช่ ดั 8) เสยี งดังจนเกินไปจนเกอื บจะเปน็ ตะโกน 9) พูดติดๆ ขัดๆ เหมือนคนติดอ่าง เสียงสน่ั เครือ เพราะประหม่า ไมม่ นั่ ใจตนเอง 10) ใช้ภาษาเขียนมาพูดกบั นกั เรียนเหมือนทอ่ งมาสอน 11) พูดไม่มีจงั หวะหยุด หรอื บางทีหยดุ นานเกนิ ไป 12) พูดเสียงสงู เกนิ ไป และต่าจนเกินไป 6. การแต่งกาย ลกั ษณะการแตง่ กายที่เหมาะสมมดี ังต่อไปนี้ 1) เสอ้ื ผา้ สภุ าพเรยี บร้อยตามสมัยนิยม 2) เสือ้ ผ้าสะอาด ไม่ยับย่ยู ่ี 3) เสื้อผา้ ไม่รดั รปู ไมค่ บั กระโปรงไมส่ ้ัน 4) ไมส่ วมเคร่ืองประดบั แวววาวมากเกินไป 5) แต่งหน้าและผม แตพ่ อสมควร ฯลฯลักษณะการแต่งกายท่ีไม่เหมาะสม 1) สวมเสื้อผา้ ที่สกปรก มีกลิ่นเหมน็ 2) สวมเส้ือผ้าท่ไี ม่รีด หรือรดี ไม่เรียบ 3) ปล่อยชายเสือ้ ให้หลุดลุ่ยจากกระโปรงหรือกางเกง 4) สวมเส้อื ผา้ คอกว้างมากเกนิ ไป 5) สวมเสอ้ื ท่คี บั หรอื หลวมมากเกนิ ไป 6) สวมเส้ือผา้ ไมเ่ หมาะสมกบั วัย

ED12101 87 ภาษาและวฒั นธรรม 7) ใสเ่ คร่ืองประดับแวววาวมากเกินไป 8) สวมรองเทา้ ไมส่ ุภาพเข้าสอน เชน่ รองเทา้ แตะ รองเท้าสฉี ูดฉาด รองเท้าทีส่ กปรก ฯลฯ 9) กระเปา่ ถอื มีลวดลายและสฉี ดู ฉาด ไม่สภุ าพ ฯลฯ 10) ใชเ้ ครอื่ งสาอางมากเกนิ ไป เทคนคิ การใช้วาจา กิรยิ า ท่าทางประกอบการสอนและบุคลิกภาพ 1.การเคล่ือนไหวแหละการเปลี่ยนอิริยาบถ ครูควรเดินด้วยท่าทางท่ีเหมาะสมสง่างามและดู เปน็ ธรรมชาติ 2.การใช้มือและแขน ใช้มือประกอบท่าทางในการสอน ซ่ึงจะเป็นการดึงดูดความสนใจของ นกั เรยี นเพราะนักเรียนสรใจดสู ิ่งท่เี คลื่อนไหวมากกว่าส่ิงทน่ี ิ่ง 3.การแสดงออกด้วยสีหน้า สายตา เป็นส่วนหน่ึงที่ใช้ส่ือความหมายกับผู้เรียน ผู้เรียนจะ เข้าใจความรสู้ ึก สหี นา้ ของครูต้องคลอ้ ยตามสมั พนั ธ์กับความร้สู ึกดงั กลา่ วดว้ ย 4.การทรงตัวและการวางท่าทาง ควรวางทา่ ทางให้เหมาะสมไม่เครยี ดเกินไป 5.การใช้น้าเสียง ต้องใช้ภาษา “ร” ”ล”ต้องชัดเจน ควรพูดด้วยน้าเสียงท่ีน่าฟังห้ามเสียงดัง หรอื ตวาด 6.การแต่งกาย การแต่งกายนับว่าเป็นส่ิงที่สาคัญกับครูในการเสริมบุคลิกภาพดึงดูดความ สนใจ ผู้สอนต้องแต่งกายให้เรียบร้อยตามสมัยนิยม โดยคานึงถึงวัย รูปร่างและความเหมาะสมถึง ทา่ ทางท่ีเราใช้เท่าไรนัก แต่ในการพูดต่อหนา้ ชุมชนการใช้ท่าทางประกอบจะเห็นชัดเจนยิ่งข้ึน ท่าทาง ท่ีไม่เข้ากับเร่ืองที่พูด ท่าทางที่เหมือนหุ่นยนต์ เป็นสิ่งท่ีไม่ได้ช่วยทาให้การพูดน่าสนใจข้ึนเลย ที่จริง แล้วการใช้ทา่ ทางประกอบในการพูดจะทาให้การพูดน่าสนใจมากข้ึน แต่หากท่าประกอบน้ันใช้โดยไม่ มีจดุ ประสงคห์ รือเหมือนเครอ่ื งจกั ร ก็เท่ากับเป็นการทาลายการพดู น้นั ลงอยา่ งนา่ เสียดาย บทสรปุ การส่ือความหมายในกระบวนการจัดการเรียนรู้หรือการสอนน้ัน ถือเป็นการส่ือสารอีก รูปแบบหน่ึง ซึ่งมีองค์ประกอบของการส่ือสารที่มี ผู้ส่งสาร คือ ครูผู้สอน มีสื่อหรือช่องทางซ่ึงเป็น กระบวนการเรียนการสอนประกอบด้วย เคร่ืองมือ ส่ือการเรียนการสอนต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งน้ีการจัดการเรียนรู้น้ันอาจจะจัดข้ึนในห้องเรียน หรือ นอกห้องเรยี นก็ได้ ขึ้นอย่กู บั ความเหมาะสม สว่ นสาร คือ เนื้อหา ความรู้ หรือประสบการณ์ที่จัดขึ้น ส่วนผ้รู ับสาร คือผู้เรียน และมีจุดหมายของหลักสูตรเป็นเครื่องนาทางในการจัดการเรียนการสอนแต่ ละครัง้ ดังนั้นการส่ือสารระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียนเป็นเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ถ่ายทอด ประสบการณ์ความคิด ครูท่ีมีการส่ือสารหรือการสื่อความหมายกับผู้เรียนได้อย่างเหมาะสมในช้ัน เรยี นจะช่วยให้ผูเ้ รียนเรียนรูไ้ ดอ้ ยา่ งมคี วามหมาย มีชีวติ ชวี า มีเจตคตทิ ่ดี ตี อ่ เนอ้ื หาวิชาและสิ่งที่เรียนรู้

ED12101 88 ภาษาและวฒั นธรรม ท้ังน้ีผู้เรียนต้องมีเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและบทเรียน เพราะจะทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างเข้าใจ เพ่ือให้ ผู้เรียนเกดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและความคิดพัฒนาไปในทิศทางท่ีดีงามเกิดความเจริญงอกงาม สืบต่อไป