ส100 าดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี บทความน้ี ผู้เขียนซ่ึงเป็นชาวอีสานโดยก�ำเนิดพยายามที่จะน�ำเสนอเรื่องราวท่ีเป็น เรอื่ งเลา่ เกย่ี วกบั “บญุ เดอื นหา้ ” และ “สงกรานต”์ ทป่ี รากฏอยใู่ นลาวและภาคอสี าน ในลกั ษณะ ให้เห็นพัฒนาการหรือความเปล่ียนแปลงของกิจกรรมหรืองานบุญเดือนห้า-สงกรานต์ในลาว และอสี าน ทง้ั จากเอกสาร จากคำ� บอกเลา่ ของกลมุ่ เครอื ญาตผิ เู้ ขยี นซง่ึ มภี มู ลิ ำ� เนาอยใู่ นจงั หวดั หนองบัวล�ำภู และจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน เพ่ือเห็นความเปลี่ยนแปลง ท้ังใน แนวดงิ่ ตามพัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ และแนวราบของงานบญุ เดอื นหา้ -สงกรานต์ ในพนื้ ท่ี ลาวและอสี าน การศกึ ษาครง้ั นจี้ งึ เปน็ การนำ� เสนอแบบสงั เขปภาพรวมเทา่ นนั้ เนอ้ื หาอาจไมล่ ะเอยี ด ลุ่มลกึ มากนัก แตก่ ส็ ะทอ้ นให้เห็นภาพบริบทต่างๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั งานบญุ เดอื นห้า-สงกรานต์ ได้ในระดบั เบ้อื งต้น อันจะเปน็ ฐานข้อมลู สำ� หรับผทู้ ี่สนใจศกึ ษาคน้ คว้าได้ทำ� การตอ่ ยอดข้อมูล ให้ชดั เจนต่อไป ท่ีมาของบุญเดอื นหา้ -สงกรานต์ “สงกรานต์” ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า “เทศกาลเน่ืองในการข้ึนปีใหม่อย่างเก่า ซ่ึงก�ำหนดตามสุริยคติ ปรกติ ตกวนั ที่ ๑๓-๑๔-๑๕เมษายน วันที่ ๑๓ คอื วนั มหาสงกรานต์ วนั ที่ ๑๔ คอื วนั เนา และวนั ท่ี ๑๕ คอื วนั เถลิงศก” (ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๕๖: ๑๑๕๔) ซึ่งมีลกั ษณะใกล้เคียงกับรูปแบบ ประเพณบี ุญเดอื นหา้ หรือสงกรานต์ในลาวและอสี าน การอธบิ ายความเปน็ มาของบญุ เดอื นหา้ -สงกรานตใ์ นลาวและอสี านมคี วามคลา้ ยคลงึ กบั เรอื่ งมหาสงกรานตท์ ่ปี รากฏในศลิ าจารึกทว่ี ดั พระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม (วัดโพธ์ิ ท่าเตยี น) กรุงเทพมหานคร (ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน, ๒๕๔๔: ๒๘๙-๒๙๐) ซึ่งเป็นเรื่องราว การทายปญั หาระหวา่ งทา้ วกบลิ พรหมกบั ธรรมบาลกมุ าร จนนำ� ไปสกู่ ารตดั เศยี รทา้ วกบลิ พรหม ดังเร่ืองราวทถ่ี ูกเล่าสืบต่อกนั โดยสงั เขปมาว่า เศรษฐผี หู้ นงึ่ อยกู่ นิ กบั ภรรยามานานแตไ่ มม่ บี ตุ ร เศรษฐผี นู้ น้ั บา้ นอยใู่ กลก้ บั บา้ นนกั เลง สรุ า นกั เลงสรุ ามบี ตุ รสองคนผวิ เนอื้ เหมอื นทอง วนั หนงึ่ นกั เลงสรุ าไปกลา่ วคำ� หยาบชา้ ตอ่ เศรษฐี เศรษฐีจึงถามว่าเหตุใดจึงมาหมิ่นประมาทตนผู้มีสมบัติมาก นักเลงสุราจึงตอบว่า ถึงท่านมี สมบตั มิ ากกไ็ มม่ บี ตุ รตายแลว้ สมบตั จิ ะสญู เปลา่ เรามบี ตุ รเหน็ วา่ ประเสรฐิ กวา่ ทา่ น เศรษฐไี ดย้ นิ ดังน้ัน มีความละอาย จึงท�ำการบวงสรวง ต้ังอธิษฐานขอบุตรต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ ถงึ สามปี แตไ่ มเ่ ปน็ ผล จงึ ไปขอบตุ รตอ่ ตน้ ไทร เทวดาซง่ึ สงิ สถติ อยทู่ ต่ี น้ ไทรสงสาร ไดไ้ ปออ้ นวอน ขอบุตรต่อพระอินทร์ให้เศรษฐี พระอินทร์จึงโปรดให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาปฏิสนธิในครรภ์ ภรรยาเศรษฐี เม่ือประสูติแล้วเศรษฐีให้ช่ือว่า “ธรรมบาลกุมาร” ตามนามของเทวบุตร และ ปลูกปราสาทเจ็ดช้ันให้อยู่ที่ใต้ตน้ ไทรนนั้ ธรรมบาลกมุ ารเปน็ เดก็ ฉลาด โตขน้ึ อายเุ พียง ๗ ขวบ ก็สามารถเรียนจบไตรเพท รภู้ าษานกและมีความเฉลียวฉลาดมาก
สาดนำ�้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 101 ต่อมาท้าวกบิลพรหมจากพรหมโลกได้ลงมาถามปัญหาสามข้อกับธรรมบาล ปัญหา มวี ่า คนเราในวนั หน่งึ ๆ เวลาเช้าศรีอยูท่ ไ่ี หน เวลาเที่ยงศรีอยู่ทีไ่ หน และเวลาเยน็ ศรอี ยูท่ ่ไี หน โดยสญั ญาวา่ ถา้ ธรรมบาลแกไ้ ดท้ า้ วกบลิ พรหมจะตดั เศยี รของตนบชู า แตถ่ า้ ธรรมบาลแกไ้ มไ่ ด้ จะตอ้ งตดั ศีรษะธรรมบาลเสีย โดยผลดั ใหเ้ จด็ วัน คราวแรกธรรมบาลนึกตอบปัญหาน้ีไม่ได้ พอถึงวันถ้วนหก ธรรมบาลไม่สบายใจ เป็นอย่างย่ิงจึงเดินเข้าไปในป่า พอดีไปแอบได้ยินนกอินทรีสองผัวเมียพูดกันอยู่บนต้นตาล โดยนกอนิ ทรตี วั เมยี ปรารภกบั นกอนิ ทรตี วั ผซู้ ง่ึ เปน็ ผวั วา่ พรงุ่ นไี้ มท่ ราบวา่ จะไดห้ าอาหารอะไร สู่ลูกกนิ นกอนิ ทรตี วั ผจู้ งึ ตอบว่า อาหารมีอยแู่ ล้ว คอื จะไดเ้ น้ือธรรมบาล แลว้ นกอนิ ทรตี วั ผู้ ก็เล่าเรื่องราว ที่ท้าวกบิลพรหมมาถามปัญหาธรรมบาลให้เมียฟัง และคิดว่าธรรมบาลคงตอบ ปญั หาไม่ได้ ทา้ วกบิลพรหมก็จะตัดศรี ษะธรรมบาลตามที่พดู สญั ญาไว้ ในขณะที่พูดกันน้ันนกอินทรีตัวผู้ได้พูดค�ำตอบให้นกอินทรีตัวเมียฟังด้วย ธรรมบาล ได้ยินนกพูดเช่นน้ัน จึงสามารถแก้ปัญหาได้ ค�ำตอบคือ เวลาเช้าศรีอยู่ท่ีหน้า คนจึงเอาน้�ำ ล้างหน้าในตอนเช้า เวลากลางวันศรีอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่หน้าอกในเวลา กลางวัน และเวลาเย็นศรีอยู่ที่เท้า คนจึงเอาน้�ำล้างเท้าในเวลาเย็น เม่ือถึงวันถ้วนเจ็ด ท้าวกบิลพรหมได้มาทวงถามปัญหาธรรมบาล เม่ือธรรมบาลตอบได้ (ตามท่ีได้ยินนกพูดกัน) ทา้ วกบลิ พรหมจึงตดั เศยี รของตนบูชาธรรมบาลตามสญั ญา แตเ่ นอ่ื งจากเศยี รของทา้ วกบลิ พรหมศกั ดสิ์ ทิ ธถิ์ า้ ตกลงบนแผน่ ดนิ จะเกดิ ไฟไหม้ ถา้ ทง้ิ ไปในอากาศกจ็ ะทำ� ใหเ้ กดิ ฝนแลง้ และถา้ ทงิ้ ลงในมหาสมทุ รนำ�้ จะแหง้ ดงั นนั้ เมอ่ื ทา้ วกบลิ พรหม จะตัดเศียรของตน จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดเอาพานมารองรับเศียรของตนไว้ โดยส่งให้นางทุงษ ผู้ธิดาคนใหญ่ แล้วธิดาทั้งเจ็ดจึงแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นเวลา ๖๐นาที จึงน�ำ เศียรไปประดิษฐานไว้ท่ีมณฑปในถ�้ำคันธุลีเขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรม กเ็ นรมติ โรงแลว้ ดว้ ยแกว้ เจด็ ประการใหเ้ ปน็ ทปี่ ระชมุ เทวดา พอครบหนงึ่ ปธี ดิ าทงั้ เจด็ จะผลดั เปลย่ี น กนั มาอญั เชิญเอาเศยี รของทา้ วกบิลพรหมแห่ประทกั ษณิ รอบเขาพระสุเมรุ ธดิ าทง้ั เจด็ ของทา้ วกบลิ พรหมมชี อ่ื ดงั นี้ คอื ทงุ ษ, โคราด, รากษส, มณั ฑา, กริ นิ ,ี กมิ ทิ า และมโหทร พิธแี หเ่ ศยี รของทา้ วกบิลพรหมน้ี ท�ำใหเ้ กดิ พิธีตรุษสงกรานต์ขน้ึ ในทกุ ๆ ปี และถอื เปน็ ประเพณขี นึ้ ปใี หมข่ องชาวไทยโบราณตอ่ ๆ กนั มาดว้ ย (สาร สาระทศั นานนั ท,์ ๒๕๓๐ : ๒๔) จากเรื่องราวดังกล่าวท�ำให้ในเมืองหลวงพระบางได้เกิดพิธีแห่วอหรือการแห่เศียร ทา้ วกบลิ พรหมและธดิ าทง้ั เจด็ ในวนั เนาซงึ่ เปน็ กจิ กรรมสำ� คญั อกี กจิ กรรมหนง่ึ ในชว่ งสงกรานต์ ส่วนในท้องถิ่นอื่นๆ ก็จะมีการเล่นสาดน�้ำ เนื่องจากว่าหากเศียรของท้าวกบิลพรหมตกลง บนพนื้ ดนิ จะทำ� ใหเ้ กดิ ไฟไหม้ ถา้ ทงิ้ ไปในอากาศกจ็ ะทำ� ใหเ้ กดิ ฝนแลง้ และถา้ ทงิ้ ลงในมหาสมทุ ร นำ้� กจ็ ะแหง้ ดงั นน้ั จงึ จำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งสาดนำ�้ ใหเ้ ปยี กไวใ้ นชว่ งสงกรานต์ ซง่ึ เปน็ ชว่ งเวลาทธ่ี ดิ าของ ทา้ วกบลิ พรหมนำ� เศยี รทา้ วกบลิ พรหมออกมาแหป่ ระทกั ษณิ เขาพระสเุ มรจุ ะไดไ้ มเ่ กดิ ไฟไหม้ข้ึน
ส102 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย ในขณะเดยี วกนั นอกจากสาดนำ้� กนั แลว้ จะมกี ารสรงนำ้� พระพทุ ธรปู ดว้ ย จนทำ� ใหเ้ กดิ เปน็ ประเพณที ปี่ ฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มาจนเปน็ ประเพณหี นงึ่ ในฮตี สบิ สองของชาวลาวและชาวอสี าน บุญเดือนห้า-สงกรานต์จึงเป็นประเพณีที่ชาวลาวและชาวอีสานปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน ดังปรากฏในค�ำผญาซ่ึงเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นร่วมของชาวลาวและชาวอีสานที่บรรพบุรุษ ได้บอกกล่าวสั่งสอนสืบตอ่ กนั มาวา่ “...ฮตี หนึง่ นั้น พอเถงิ เดอื นห้าใหพ้ วกไพร่ชาวเมอื ง พากันท�ำเครื่องสรง องคพ์ ระสพั พัญญเู จา้ ทกุ วดั ใหท้ ำ� ไปอยา่ ไลหา่ ง ใหพ้ ากนั สบื สรา้ งบุญไวอ้ ย่าไล ทุกท่ัวทีปแผน่ หล้าให้ทำ� แทส้ ู่คน จ่งั สสิ ขุ ยงิ่ ลน้ ทำ� ถกื คำ� สอน คอื ฮตี คองควรถอื แตป่ างปฐมพนุ้ ...” (สำ� ลี รกั สทุ ธ,ี มปป.: ๕๑) บุญปีใหม่ : “สงกรานต์ลาว” ในอดีต สงกรานตใ์ นลาวนนั้ จะเรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ “บญุ ปใี หม”่ เนอื่ งจากถอื วา่ เปน็ การเรม่ิ ตน้ ของศักราชใหม่ของลาวในอดีต แต่กิจกรรมต่างๆ ในงานบุญปีใหม่ก็คล้ายกับสงกรานต์ท่ัวไป ลักษณะรูปแบบการท�ำกิจกรรมสงกรานต์ในอดีตก็จะคล้ายคลึงกับสงกรานต์ในปัจจุบัน ซ่ึง ในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนจะขอน�ำเสนอไปเฉพาะบรรยากาศกิจกรรมสงกรานต์ในเมืองหลวง พระบางเป็นหลกั เน่อื งจากเมืองหลวงพระบางเคยเปน็ ศนู ย์กลางการปกครองทเ่ี กา่ แกข่ องลาว เป็นศูนย์รวมกิจกรรมประเพณีด้ังเดิมตามธรรมเนียมแบบราชส�ำนักลาวเอาไว้ และมีกิจกรรม ท่โี ดดเดน่ เป็นท่รี ับร้ไู ปทว่ั โลก สงกรานต์เมืองหลวงพระบางในอดีต โดยเฉพาะช่วงก่อนหน้าที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรอื ยเู นสโก (UNESCO) ประกาศใหเ้ มอื งหลวงพระบางทงั้ เมอื ง ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกโลกเมอื่ เดอื นธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ จะมกี จิ กรรมปฏบิ ตั ติ อ่ เนอื่ ง กนั หลายวนั วนั แรกเรยี กวา่ “วนั สงั ขานลอ่ ง” หรอื วนั สง่ ทา้ ยปเี กา่ วนั ทสี่ องเรยี กวา่ “วนั เนา” เป็นวนั ทคี่ ัน่ ระหวา่ งปีเก่ากับปีใหม่ วันที่สามเรยี กว่า “วันสงั ขารขึ้น” ถอื เป็นวันขึน้ ปีใหมห่ รือ วันปากปี และวนั ทส่ี ่ีเรยี กวา่ “วนั แห่พระบาง” ซึ่งจะมกี ารอญั เชญิ ออกมาแห่เพอ่ื สรงน�้ำ ซ่งึ สว่ นใหญม่ กั จะอยใู่ นชว่ งระหวา่ งวนั ท่ี ๑๓-๑๖ เมษายน บางปวี นั งานกจ็ ะเคลอื่ นจากนเ้ี ลก็ นอ้ ย วนั สังขานลอ่ ง จะมีการอญั เชญิ พระพทุ ธรปู ลงจากสถานที่ประดษิ ฐานประจำ� เพ่อื ให้ ประชาชนได้สรงน้�ำ ส่วนบ้านไหนมีพระก็เอาพระลงจากหิ้งพระเพื่อช�ำระขัดสีและสรง ด้วยน้�ำหอม ตลอดท้ังการท�ำความสะอาดบ้านเรือนและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้าน การสรงน้�ำและการท�ำความสะอาดนี้มีความหมายว่า น้�ำใช้เพ่ือช�ำระล้างสิ่งสกปรกของปีเก่า ลา้ งสงิ่ ทไี่ มด่ แี ละบกพรอ่ งในปที ผี่ า่ นมา ความอบั โชคพรอ้ มทง้ั ทกุ ข์ โศก โรค ภยั ใหห้ ายไปพรอ้ ม
สาดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 103 กบั ปีเก่า เพือ่ ตอ้ นรบั ปใี หม่ด้วยความสะอาดบรสิ ุทธิ์ (สมสนกุ มไี ชย, ๒๕๔๙: ๒๘) ตลอดจน การ “ตบพระธาตทุ ราย” หรือการกอ่ เจดยี ท์ รายรมิ ฝ่ังแม่น้ำ� และจุดบง้ั ไฟ วนั เนา ซง่ึ เปน็ ชว่ งทส่ี องของประเพณสี งกรานต์ วนั เนา แปลวา่ “วนั อย”ู่ คำ� วา่ “เนา” แปลว่า “อยู่” หมายความว่าเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ย่างสู่ราศีตั้งต้นปีใหม่ วันเนาเป็นวันท่ี ดวงอาทิตย์เข้าท่ีเข้าทาง ในวนั ราศตี ง้ั ตน้ ใหม่เรียบร้อยแล้วคอื อยู่ประจำ� ท่แี ลว้ บางปอี าจจะมี ถึง ๒ วัน ขึ้นกบั ว่าปีนน้ั เดือนกุมภาพนั ธม์ ี ๒๘ หรอื ๒๙ วนั จะมีการ “แหว่ อ” ไปรอบเมือง โดยในวอจะประกอบด้วย วอท้าวกบิลพรหม วอพระสงฆ์ช้ันผู้ใหญ่ พระสงฆ์ช้ันผู้ใหญ่จะเป็น เจา้ อาวาสวดั ใหมส่ วุ รรณภมู า วดั เชียงทอง วดั อารามและวดั วิชุลราช (วรลัญจก์ บุณยสุรตั น์, ๒๕๕๕ : ๑๖๑) วอนางสงั ขานและสาวงามอกี ๖ คนซง่ึ เปน็ เสมอื นตวั แทนของธดิ าทา้ วกบลิ พรหม โดยมพี ระสงฆ์สวดมนต์ทำ� พิธี ก่อนทีน่ างท้งั ๗ จะเข้ามาเปน็ ส่วนหน่งึ ของขบวนแห่ ขบวนแห่จะเริ่มต้นจากวัดมหาธาตุมุ่งหน้าไปยังวัดเชียงทองโดยขบวนแห่จะมี “ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ” พรอ้ มกับสิงห์แกว้ สงิ หค์ ำ� ทฟ่ี ้อนรำ� อวยพรลกู หลานผูเ้ ฒ่าผแู้ ก่ หวั หนา้ แตล่ ะ ชมุ ชนหรือหวั หนา้ หมู่บา้ น ปูเ่ ยอ-ย่าเยอซึ่งถือว่าเป็นเสมอื นบรรพบุรุษของเมอื งท่ีจะขาดไม่ได้ ในขบวนแหว่ นั เนา มเี รอื่ งเลา่ วา่ นานมาแลว้ มเี มอื งหนง่ึ ชอื่ วา่ เมอื งแถนไดเ้ กดิ มเี ครอื เขากาดยกั ษ์ (คือเครอื เถาวัลยใ์ หญย่ ิ่ง) เครือหนงึ่ อยู่ทห่ี นองตู้ เครอื เขากาดได้สูงขึน้ ไปถงึ เมอื งสวรรคช์ น้ั ฟ้า ท�ำให้แสงอาทิตย์ไม่อาจสาดส่องให้ความอบอุ่นแก่ผืนดินได้ ผู้คนด�ำรงชีวิตด้วยความมืดมน และหนาวเยน็ วนั หนง่ึ ขนุ บรมไดเ้ รยี กเสนาอำ� มาตยม์ าประชมุ เพอื่ ปรกึ ษาหารอื วา่ จะทำ� อยา่ งไร จึงจะโค่นเครือเขากาดยักษ์น้ีได้ แต่ก็ไม่มีใครอาสาไปตัด ต่อมาไม่นานก็มีผู้เฒ่าสองผัวเมียมา กราบทลู ขนุ บรมวา่ พวกขา้ พเจา้ ชอื่ ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ มคี วามยนิ ดขี อรบั อาสาไปตดั เครอื เขากาดนนั้ ขนุ บรมแสดงความชืน่ ชมสองผู้เฒ่าทไ่ี ดย้ อมเสียสละอย่างสงู เพอ่ื ชาวเมืองทั้งหลาย ก่อนจะออกเดินทาง สองผู้เฒ่าได้ร้องขออย่างหนึ่งว่าถ้าหากพวกตนตายไป ขอให้ ชาวเมืองทุกคน อยา่ ลมื ช่ือพวกตนดว้ ย ขนุ บรมกร็ บั ปาก จากนน้ั ท้ังสองกม็ งุ่ หนา้ ไปท่หี นองตู้ ทนั ทพี รอ้ มดว้ ยขวานขนาดใหญ่ สองผเู้ ฒา่ ใชเ้ วลาตดั ทง้ั กลางวนั และกลางคนื เปน็ เวลา ๓ เดอื น ๓ วนั จึงสามารถตดั เครอื เขากาดยักษน์ ั้นลงได้ แต่ก็น่าโศกเศรา้ เสียดายย่ิง เครือเขากาดได้ล้ม ทับสองผู้เฒ่าตายทันที ในท่ีสุด แสงสว่างก็กลับมาสู่แผ่นดินอีกคร้ังหนึ่ง น�ำเอาความอบอุ่น มาสู่มวลมนุษยแ์ ละสัตว์ทงั้ หลาย การด�ำรงชวี ิตเร่ิมกลบั คืนส่คู วามเป็นปกตใิ หม่อกี ครง้ั ขนุ บรม พรอ้ มด้วยบ่าวไพรไ่ ดจ้ ัดพธิ ปี ลงศพปู่เยอ-ย่าเยออยา่ งสมเกยี รติ นับตัง้ แตน่ ้ัน เปน็ ตน้ มา เพอื่ จารกึ คณุ งามความดขี องปเู่ ยอ-ยา่ เยอ คนลาวจงึ มกั จะเพม่ิ คำ� ตอ่ ทา้ ยวา่ “เยอๆ” ในการพดู จาของตนเสมอ เช่น ในคำ� วา่ “ไปเยอ”, “เมอื เยอ”, “มาเยอ” ท้งั ไดท้ ำ� หัวโขนหรือ รูปสัญลักษณ์ของผู้เฒ่าท้ังสองไว้ให้สักการะบูชาสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ (นิทานเร่ือง ขนุ บรมราชา, ๒๕๑๒: ๒๖๙ ; สมสนุก มไี ชย, ๒๕๔๙: ๑๖-๒๕ ; สมทิ ธิ ธนานิธโิ ชติ, ๒๕๔๗: ๑๑๕-๑๒๑)
ส104 าดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี การฟ้อนร�ำของปู่เยอ-ย่าเยอในงานบุญ ปีใหม่ของเมืองหลวงพระบางในราวกลาง พทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ จากภาพถ่ายเก่า (ทม่ี า: http://www.sujitwongthes.com/ wp-content/ uploads/๒๐๑๑/๐๙/week- ly๓๐๐๙๒๕๕๔-๔.jpg) ปเู่ ยอ ยา่ เยอจะสถติ อยใู่ นหอเสอ้ื เมอื งหรอื หอเทวดาหลวงภายในวดั วาอาราม มลี กั ษณะ เปน็ หนุ่ สญั ลกั ษณแ์ ทนคน หวั ทำ� ดว้ ยไมแ้ กะสลกั รปู หนา้ กลมแปน้ ทาสแี ดงฉดู ฉาด มปี ากขยบั ได้ เขยี นคว้ิ เขยี นตาบง่ บอกเพศหญงิ ชาย ตามตวั มขี นยาวรงุ รงั สว่ นสงิ หแ์ กว้ สงิ หค์ ำ� นนั้ เปน็ หวั โขน สงิ หไ์ มแ้ กะสลกั ทาสที อง จมกู ปากยาวยนื่ อา้ ขยบั ได้ เสยี งดงั กบั ๆ ตามตวั มขี นยาวรงุ รงั เหมอื นกบั ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ แตส่ งิ หก์ บั จะใชค้ นเตน้ สองคนเปน็ หวั กบั หางเหมอื นเชดิ สงิ โตจนี เมอ่ื ใกลถ้ งึ วนั บญุ ปใี หม่ ผรู้ กั ษาเทวดาหลวงจะอญั เชญิ รปู หนุ่ เชดิ ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ ออกจาก หบี ทำ� พธิ ไี หวแ้ ละถวายเครอื่ งทาน จากนน้ั จงึ แห่ ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ และสงิ หแ์ กว้ สงิ หค์ ำ� ไปตกั นำ�้ ทร่ี มิ แมน่ ำ้� คานบรเิ วณผาบงั ซง่ึ เชอ่ื วา่ เปน็ ทอ่ี าศยั ของพญานาคตนหนง่ึ ชอ่ื “อา้ ยคำ� หลา้ ” นำ้� ทต่ี กั ขนึ้ มาจะถกู นำ� ไปบรรจใุ นไหดนิ ใหเ้ ดก็ ๆ แบกเพอื่ ใหป้ เู่ ยอ-ยา่ เยอนำ� ไปสรงนำ�้ พระบางเปน็ คแู่ รก ในฐานะบรรพบุรุษของชาวลาวแล้ว ปู่เยอ-ย่าเยอ จะฟ้อนร�ำเพื่ออวยพรให้ลูกหลานชาวลาว พบกบั ความสมบรู ณพ์ นู สขุ ชาวลาวเชอื่ กนั วา่ รปู หนุ่ เชดิ ปเู่ ยอ-ยา่ เยอเปน็ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ มี่ พี ลงั พเิ ศษ จงึ เกบ็ ขนปา่ นทหี่ ลดุ ออกจากหนุ่ เชดิ ไปผกู ขอ้ มอื เดก็ เพอื่ ปกปอ้ งจากอนั ตรายและโรคภยั ไขเ้ จบ็ (วรลญั จก์ บณุ ยสรุ ตั น,์ ๒๕๕๕: ๑๔๒-๑๔๓) นเ่ี ปน็ อกี สาเหตหุ นงึ่ ทที่ ำ� ใหผ้ ดู้ แู ล ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ ตอ้ ง ซอ่ มแซมเตมิ ขนใหก้ บั ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ และสงิ หแ์ กว้ สงิ หค์ ำ� ทกุ ปี วนั สงั ขานขน้ึ ชาวลาวถอื วา่ เปน็ วนั ขนึ้ ปใี หม่ ชาวลาวจะนยิ มพากนั ไปทำ� บญุ ตกั บาตร ในตอนเชา้ ไหวพ้ ระพทุ ธรปู และพระธาตสุ ำ� คญั ของเมอื ง และมกี ารเฉลมิ ฉลองกนั ตามประเพณี อย่างสนุกสนาน บางครอบครวั กจ็ ะมกี ารสดู เฮอื น (สู่ขวัญเรือน) ในวันสังขานขน้ึ น้ีดว้ ย วันแห่พระบาง จะมีการอัญเชิญพระบาง พระพุทธรูปส�ำริดปางห้ามสมุทร ซ่ึงเป็น พระพุทธรูปส�ำคัญคู่บ้านคู่เมืองและมีประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับราชส�ำนักล้านช้าง จากหอพระบางภายในพระราชวัง เมืองหลวงพระบาง มาประดิษฐานที่วัดเชียงกลาง ซ่ึงเป็น วัดเก่าแก่ท่ีอยู่ภายในวัดมโนรมย์สัททารามปัจจุบัน เจ้ามหาชีวิตลาวจะทรงช้างเสด็จ พระราชด�ำเนินไปสรงน�้ำพระบางในช่วงบุญปีใหม่ ต่อมาหลัง พ.ศ. ๒๕๐๕ ประเพณีนี้ได้ ล้มเลิกไป (วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์, ๒๕๕๕: ๑๕๖) และได้ย้ายพระบางมาประดิษฐานท่ี วดั ใหม่สุวรรณภมู ารามแทน
สาดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 105 ขบวนแหพ่ ระบางมาสรงน�้ำใน พ.ศ. ๒๕๕๘ (ทีม่ า : http://asean-focus.com/asean/ wp-content/uploads/๒๐๑๕/๐๔/๕๕๘๐ ๐๐๐๐๔๓๒๑๕๑๓.jpeg ส่วนกิจกรรมโดยภาพรวมตามชุมชนอื่นๆ ท่ีไม่ใช่ในเขตเมืองหลวงพระบาง พอถึง วนั สงกรานตก์ จ็ ะมกี ารปา่ วประกาศใหช้ าวบา้ นไปรวมกนั ทวี่ ดั เพอ่ื อญั เชญิ เอาพระพทุ ธรปู ลงมา ชำ� ระขดั สแี ละสรงนำ้� แลว้ นำ� ไปประดษิ ฐานไวใ้ นหอสรง เมอื่ พระสงฆแ์ ละชาวบา้ นพรอ้ มกนั แลว้ กจ็ ะน�ำพานดอกไม้ ธูป เทยี น น้ำ� หอม ตงั้ ไว้ตรงหน้าของแตล่ ะคน กล่าวคำ� บชู าดอกไม้ไหวพ้ ระ มกี ารกล่าวอัญเชญิ เทวดา อธษิ ฐาน วอนไหวข้ อให้ฟา้ ฝนชลธารตกตอ้ งตามฤดูกาลเพอ่ื ใหบ้ า้ น เมืองอยู่เย็นเป็นสุขทุกถ้วนหน้า แล้วสรงด้วยน�้ำหอม นำ้� ทสี่ รงพระพทุ ธรปู แลว้ ถอื กนั วา่ เปน็ นำ�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ถา้ เอาไปประพรมบา้ นเรอื น ลกู หลาน วัวควาย ก็จะเป็นมงคล ในวันต่อมาเวลาบ่ายสามโมงส่ีโมงเย็น พระสงฆ์สามเณรจะตีกลอง เพ่ือบอกเวลาให้เตรียมน้�ำอบน้�ำหอมมาสรงพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในหอสรง เสร็จแล้ว คนเฒ่าคนแก่หนุ่มสาวก็จะไปตักน�้ำตามบ่อตามท่ามานิมนต์พระสงฆ์สามเณรมาสรงน�้ำ เสร็จแล้วพระสงฆ์อนุโมทนาใหพ้ ร ทุกวันในช่วงสงกรานต์ก็จะมีชาวบ้านน�ำภัตตาหารหวานคาวไปท�ำบุญถวายสังฆทาน แด่พระสงฆ์ท่ีวัด ทั้งในช่วงเช้าและเพล เพ่ืออุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษท่ีล่วงลับไปแล้ว จากนน้ั ประมาณหา้ โมงเยน็ จะมกี ารตกี ลองตฆี อ้ งเรยี กชาวบา้ นไปทว่ี ดั เพอื่ พากนั ไปเกบ็ ดอกไม้ ในปา่ นำ� มาบชู าพระพทุ ธรปู เรยี กกนั วา่ “แหด่ อกไม”้ หรอื วา่ นำ� ดอกไมต้ อนกลางคนื มกี ารเจรญิ พระพทุ ธมนต์ สวดพระปรติ รอยทู่ ว่ี ดั และฉลองสมโภชดว้ ยเสยี งฆอ้ ง เสยี งกลอง หมอขบั หมอลำ� พอสมควรแก่เวลาแลว้ กเ็ ลกิ รากนั กลบั บ้าน (สมสนุก มไี ชย, ๒๕๔๙: ๒๘-๒๙) ประเพณบี ุญเดือนห้า-สงกรานตข์ องชาวอีสานในอดตี ประเพณบี ญุ เดอื นหา้ -สงกรานตข์ องชาวอสี านในอดตี กอ่ นทจี่ ะมกี ารเปลย่ี นแปลงและ มบี รรยากาศแบบปจั จบุ นั นี้ ถอื เปน็ กจิ กรรมทสี่ ำ� คญั ของชมุ ชน และมรี ะยะเวลาการทำ� กจิ กรรม งานบญุ นานกวา่ งานบญุ อน่ื ในฮตี สบิ สอง คอื จัดในชว่ งวนั ท่ี ๑๓-๑๕ เมษายนของทกุ ปี และมี รูปแบบกจิ กรรมงานบญุ ทีค่ อ่ นขา้ งสนุกสนานมากกวา่ งานบุญอ่ืน กิจกรรมต่างๆ มดี งั น้ี วันที่ ๑๒ เมษายน ถอื เปน็ วันเตรยี มงาน ตอนบ่ายทางวัดจะจดั เตรยี มทำ� ความสะอาด พระพทุ ธรปู เตรยี มสถานทภ่ี ายในวดั ซอ่ มแซมหอสรงนำ้� พระ ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะยกพน้ื สงู ในระดบั
ส106 าดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี สายตา เป็นหอไมข้ นาดเลก็ หอสรงบางแหง่ ก็จะใชไ้ มแ้ กน่ เจาะเป็นราง สลักลวดลายอยา่ ง สวยงามและรางอาจท�ำเปน็ รูปสัตว์ เช่น รปู พญานาค เปน็ ต้น หรอื รางไม้ไผ่ท่ีท�ำเปน็ รอ่ งยาว พาดออกมาข้างนอก ตรงรางบนพระพุทธรูปเจาะเป็นรูและต่อท่อเล็กๆ ให้น้�ำไหลพุ่งออกมา เพื่อใหน้ �ำ้ ไหลรดองคพ์ ระพทุ ธรปู ตรงรู หากไม่มรี างก็ใช้ภาชนะเลก็ ๆ เชน่ ขนั เปน็ ตน้ ทำ� การ สรงน้�ำพระพุทธรูปในช่วงสงกรานต์ (ส�ำลี รักสุทธี, มปป.: ๔๓) บางแห่งก็จะท�ำพิธีอัญเชิญ พระพุทธรปู ลงมาสรงน�ำ้ ในชว่ งบ่ายของวันน้ี วนั ท่ี ๑๓ เมษายน ถอื เปน็ วนั เรมิ่ ตน้ ของ งานบญุ เดอื นหา้ ชว่ งเชา้ จะมีการทำ� บุญตักบาตร ท่ีวดั ช่วงบา่ ยทางวดั จะตกี ลองโฮม (ตกี ลองรวม) เพอื่ นดั ชาวบา้ นใหจ้ ดั หานำ�้ อบนำ้� หอมและดอกไม้ ธปู เทยี นไปรวมกนั ทว่ี ดั บางทอ้ งถนิ่ หนมุ่ สาวกจ็ ะ ชวนกันไปหาดอกไมใ้ นปา่ เพ่ือนำ� มาบชู าพระ เมอ่ื ชาวบา้ นมาพรอ้ มกนั ทว่ี ดั แลว้ กจ็ ะมี การทำ� พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปลงจากสิม (โบสถ์) หอแจก (ศาลาการเปรียญ) และวิหารมา ประดิษฐานที่หอสรง ซ่ึงมักจะเรียกพิธีน้ีว่า “เอาพระลง” พระพุทธรูปทีอ่ ญั เชญิ ลงมาสรงน�้ำ หอสรงนำ้� พระในชว่ งสงกรานต์ วดั ศรพี นั ดอน ตำ� บล ก็จะเป็นพระพุทธรูปส�ำคัญของวัดท่ีสามารถ ร่องจิก อ�ำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ผ่านการใช้งานมา อญั เชญิ ลงมาสรงนำ�้ ได้ และพระพทุ ธรปู ขนาดเลก็ แลว้ ไม่ตำ�่ กวา่ ๓๐ ปี ทท่ี ำ� ดว้ ยโลหะตา่ งๆ และพระพทุ ธรปู ไม้ การทำ� พธิ ี ก็จะมีการเตรียมดอกไมบ้ ชู าทเี่ รียกวา่ “ขัน ๕” ซ่ึงจะประกอบด้วยดอกไม้ ๕ คู่ และเทยี น ๕ คู่ ใส่ไวใ้ นขัน พระสงฆ์เจ้าอาวาสกจ็ ะน�ำพระสงฆ์สามเณรและชาวบ้านอัญเชญิ พระพทุ ธรปู ลงมา สรงน�ำ้ โดยเปลง่ วาจากลา่ วคำ� อัญเชญิ พระพุทธรูปวา่ อุกาสะ ภันเต ภะคะวา อะยัง กาโลคิมหันตะอุตุ กาละสัมปัตโต อิจฉามะ ภะคะวนั ตัง อะภสิ ญิ จติ งุ สกั กัจจัง อาราธะนงั กะโรมะ (ค�ำแปล ข้าแตพ่ ระผ้มู ีพระภาคเจ้า ขอประทานพระวโรกาส เวลานเี้ ปน็ หนา้ รอ้ น ฝงู ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายปรารถนาอาราธนา พระผมู้ ีพระภาคลงสรงน้�ำ ด้วยความเคารพย่งิ ) (สวงิ บญุ เจมิ , ๒๕๓๙: ๔๕๐-๔๕๑) หลงั ทำ� พธิ ีอญั เชิญพระพทุ ธรูปลงมาที่หอสรงแล้ว ชาวบ้านกจ็ ะสรงนำ้� พระ น�้ำทผ่ี ่าน การสรงน�้ำพระในหอสรงแล้ว ชาวบ้านก็จะใช้ขันรองเอาน�้ำเพื่อกลับไปประพรมบ้านเรือน ล้อเกวียนและสตั ว์เลี้ยงเพอ่ื เป็นสิรมิ งคลและขับไลส่ ่งิ ช่ัวร้ายตา่ งๆ ออกไป เด็กๆ ก็มกั ชอบไป อยู่ใต้หอสรงเพื่อจะได้อาบน้�ำท่ีสรงน�้ำพระเป็นท่ีสนุกสนาน ท้ังน้ีเช่ือกันว่าจะท�ำให้หายจาก โรคภัยไขเ้ จบ็ และอยเู่ ยน็ เปน็ สุข (ส�ำลี รกั สุทธี, มปป.: ๔๓)
สาดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 107 วันที่ ๑๔ เมษายน ถือเป็นวันเนา วันนี้ถือเป็นวันหยุด ใครมีการงานอะไรจะต้อง หยุดพักไว้ก่อนแล้วมาเล่นสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน โดยในช่วงรุ่งสางราวตี ๔ ตี ๕ จะมี การยิงปนื และจุดประทดั เพ่ือขับไล่ภูตผีปศี าจและเสนียดจัญไรท้งั หลาย บางท้องถ่ินชาวบา้ นจะท�ำธุง (ธง) ด้วยด้ายสีตา่ งๆ ยาวประมาณ ๒-๓ วา นำ� ไปแขวน ท่ีวัด โดยใช้ไม้ไผ่ล�ำเล็กๆ เป็นเสาธง ช่วงน�ำธงไปแขวนก็จะมีพิธีแห่ด้วยความสนุกสนานและ เล่นสาดน�้ำกันจนกว่าจะไปถึงวัด ธงน้ีมีความเช่ือว่าเป็นการบูชาพระรัตนตรัยและเป็น เครอื่ งหมายแหง่ ชยั ชนะของชวี ติ กลา่ วคอื การมชี วี ติ อยยู่ นื ยาวจนถงึ รอบปถี อื วา่ เปน็ ชยั ชนะอนั ยงิ่ ใหญ่ของชวี ิต (สำ� ลี รกั สุทธ,ี มปป.: ๔๔) วันที่ ๑๕ เมษายน เป็นวันสุดท้ายของประเพณีนี้ บางท้องถ่ินจะมีการไปขุดทราย ตามแม่น้�ำหรือลำ� ห้วยใกลเ้ คียงมาตบปะทาย (ก่อเจดีย์ทราย) ในบริเวณลานวดั แลว้ น�ำดอกไม้ มาประดับตกแต่งเจดีย์ทรายของตนให้เกิดความสวยงาม บางแห่งก็จะเอาขันหรือแก้วน้�ำ ขนาดเลก็ ใส่ทรายเปียกควำ�่ ลงกบั พนื้ ดินรอบเจดียท์ รายกองใหญ่ คนหน่ึงท�ำใหเ้ กินอายุของตน ไว้ ๑ ขัน ซึ่งมีความหมายว่าขอให้มีอายุยืนยาวต่อไปอีก ท�ำให้มีกองทรายท่ีท�ำด้วยขันน้�ำ จ�ำนวนมาก ท�ำให้หลายแห่งเรียกเจดีย์ทรายกองใหญ่ว่า “กองพระทรายแปดหมื่น” ส่วน กองทรายท่ีท�ำด้วยขันมากมายเทียบกับ “สี่พันพระธรรมขันธ์” (ส�ำลี รักสุทธี, มปป.: ๔๕) บางแห่งก็มีการก่อกองทรายปั้นเป็นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของความอุดม สมบรู ณ์ตามความเชื่อของคนท้องถิ่น เช่น รูปจระเข้ ปลาช่อน เตา่ เป็นต้น (วเิ ชียร แสนค�ำ, สัมภาษณ)์ ภาพวาดกจิ กรรมสรงน�ำ้ พระและทำ� บญุ ในช่วงวนั สงกรานตข์ องชาวอีสาน (ท่ีมา: http://www.lampangvc. ac.th/lvcasean/ims/images/๕๖๖๓๑๘-img-๕.jpg) คณุ ย่าออ่ น แสนคำ� คณุ ยา่ ของผูเ้ ขยี นวยั ๙๙ ปี (เกดิ พ.ศ. ๒๔๖๐) ภูมิลำ� เนาเดมิ อยู่ ในเขตอำ� เภอโกสมุ พสิ ยั จงั หวดั มหาสารคาม ภายหลงั ไดย้ า้ ยครอบครวั มาอยอู่ ำ� เภอศรบี ญุ เรอื ง จังหวัดอดุ รธานี (ปจั จุบนั ขึน้ กับอำ� เภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลำ� ภ)ู เม่อื พ.ศ. ๒๔๙๘ ไดเ้ ล่า ใหผ้ เู้ ขยี นฟังว่าบุญเดือนห้าหรือสงกรานต์จะมี ๓ วันดว้ ยกนั คือวนั ท่ี ๑๓-๑๕ เมษายน ของ
ส108 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย ทกุ ปี สว่ นใหญจ่ ะเรยี กชว่ งวนั สงกรานตว์ า่ “เนา” ซง่ึ เปน็ ชว่ งทท่ี กุ คนในหมบู่ า้ นตอ้ งงดกจิ กรรม การทำ� งานตามไร่นาทง้ั หมด ห้ามต�ำข้าว ห้ามตดั ไม้ขนฝนื และใชแ้ รงงานวัวควาย การท�ำบุญในตลอดช่วงสงกรานต์หรือบุญเดือนห้านั้น ภาคเช้าก็จะมีการท�ำบุญ ตักบาตรและถวายภัตตาหารเช้าและภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่วัด ในการท�ำบุญก็จะมี การอุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ภาคบ่ายก็จะมีการแห่ดอกไม้ของชาวบ้าน และหนุ่มสาวออกไปยังวัดเพื่อสรงน้�ำพระ และถวายต้นเงินที่เรียกว่า “กันหลอน” ไปถวาย พระที่วัด โดยมีการร้องร�ำท�ำเพลง ตีกลอง เป่าแคน ดีดพิณขับกล่อมขบวนอย่างครื้นเครง ภาคค่�ำก็จะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์เย็นท่ีวัดตลอดท้ัง ๓วัน หลังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เสรจ็ ก็จะมีการรวมกล่มุ กันละเลน่ กจิ กรรมต่างๆ ภายในลานวดั อยา่ งสนกุ สนาน (อ่อน แสนคำ� , สมั ภาษณ์) คุณย่าอ่อน แสนค�ำ คุณย่าของผู้เขียน วยั ๙๙ ปไี ดเ้ ลา่ ความทรงจำ� เกยี่ วกบั บญุ เดอื น ห้า-สงกรานต์ ในท้องถ่ินอีสานเม่ือคร้ังอดีต และความเปล่ียนแปลงจนถึงปัจจุบันให้ ผู้เขียนฟังด้วยความจ�ำทย่ี ังแม่นย�ำอยู่ สว่ นกจิ กรรมในชมุ ชนนน้ั หนมุ่ สาวและเดก็ มกั จะนำ� การละเลน่ พน้ื บา้ นมาเลม่ รว่ มกนั ตามสแ่ี ยกในชมุ ชนหรอื รม่ ไมข้ นาดใหญท่ เี่ ปน็ ลานกวา้ ง การละเลน่ สว่ นใหญจ่ ะเลน่ เปน็ ทมี และ ใช้คนจ�ำนวนมากเพ่ือให้เกิดความสนุกสนาน เช่น การละเล่นหมากอี่ หมากเซิน เล่นหนอน ลิงชิงหลัก เสือกินวัว เตะตะกร้อวงกลม เป็นต้น บางการละเล่นที่ต้องการใช้พ้ืนที่มากก็จะ ออกไปเล่นตามรม่ ไม้นอกหมบู่ า้ น เช่น การละเล่นหมากหิงซ่ึงต้องให้พื้นท่ใี นการขวา้ ง ตี และ งดั ทอ่ นไม้ขนาดเลก็ ใหท้ ีมตรงขา้ มเอาชนะได้ยาก เป็นตน้ ใครมขี องอะไรมาขายกจ็ ะท�ำมาขาย บรเิ วณท่ีมีคนมารวมกลุม่ เล่นกัน (สมศักดิ์ คงกระเรียน, สัมภาษณ)์ การเล่นสาดน้�ำก็จะมีการเล่นตลอดท้ังวัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต่างจะเล่น สาดน�้ำกันอย่างสนุกสนานและไม่ถือสากันหากว่าตนเองต้องถูกสาดน้�ำจนเปียก หนุ่มสาว มักจะรวมกลุ่มกันเดินไปในชุมชน เล่นสาดน้�ำกันไปเร่ือยๆ เจอผู้สูงอายุก็ขอพรและสาดน้�ำ จนเปียก ใครท่ีหลบหนีการสาดน้�ำไปหลบในห้องนอนก็จะตามข้ึนไปสาดให้เปียกทั้งบ้าน สาวๆ มักจะแกล้งหนุ่มๆ โดยการสาดน้�ำใส่เส้ือผ้าและที่นอนของหนุ่ม แล้วบอกว่าซักผ้าให้ หนุ่มสาวก็สามารถถูกเน้ือต้องตัวกันได้โดยไม่ผิดครรลองคลองธรรม หิวเม่ือไรก็จะพัก รับประทานอาหารท่ีบ้านนั้นก่อนจะเดินต่อไปเร่ือยๆ นอกจากใช้น�้ำสาดกันแล้วยังสามารถ ใชน้ ำ�้ โคลนหรอื ดินหม้อมาสาดมาทากันได้ด้วย (ลอ้ ม จอ้ งกา่ , สัมภาษณ์)
สาดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 109 ทส่ี ำ� คญั คอื พระสงฆแ์ ละสามเณรกส็ ามารถมารว่ มเลน่ นำ้� และละเลน่ ตา่ งๆ กบั หนมุ่ สาว ชาวบ้านได้ทั้งที่ขัดต่อพระธรรมวินัย แต่ส�ำหรับชาวอีสานในอดีตแล้วการท่ีพระสงฆ์มาร่วม ละเลน่ เชน่ นใี้ นชว่ งสงกรานตไ์ มถ่ อื วา่ ผดิ ศลี ถอื เปน็ การอนโุ ลมใหก้ ระทำ� ไดเ้ ปน็ เวลา ๓ วนั โดยที่ ไม่มีชาวบ้านคนใดติเตียนพระสงฆ์สามเณรหรือกลัวต่อบาปกรรมที่จะเกิดขึ้นในการละเล่น กิจกรรมต่างๆ ร่วมกับพระสงฆ์สามเณร แต่พอถึงตอนเย็นวันสงกรานต์วันสุดท้ายก็จะมี การนิมนต์พระสงฆ์สามเณรมาสรงน้�ำท่ีวัด ท�ำพิธีขอขมาและขออโหสิกรรม หลังจากน้ัน พระสงฆ์สามเณรก็ต้องอยู่ในพระธรรมวินัยตามเดิมจนกว่าจะถึงสงกรานต์ในปีถัดไป (อ่อน แสนค�ำ, สัมภาษณ์) กิจกรรมการเล่นสาดน้�ำนี้บางแห่งจะมีการเล่นสาดน้�ำตลอดทั้งเดือนห้า ดังที่ ศาสตราจารย์ ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ ได้บรรยายบรรยากาศการเล่นน้�ำสงกรานต์ช่วงราวๆ กอ่ น พ.ศ. ๒๕๐๐ เลก็ นอ้ ยไวว้ า่ งานสงกรานตเ์ ปน็ งานทสี่ นกุ มาก งานนม้ี ใี นเดอื นหา้ ซง่ึ เปน็ เดอื น ท่ีร้อนจัด เมื่อเสร็จพิธีสรงพระและรดน้�ำผู้ใหญ่แล้วหนุ่มสาวและพวกไม่หนุ่มไม่สาวจะเล่น สาดน้�ำกัน เรียกว่า “ใส่น้�ำ” น้�ำที่น�ำมาสาดกันนี้ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นน�้ำสะอาด น�้ำโคลนก็ได้ กอ่ นนเ้ี หน็ เอาน้ำ� สสี าดกันดว้ ย สาดนำ�้ ยงั ไมพ่ อ เอาดนิ หมอ้ ทาหน้า ทาตวั กันก็ได้ ในวนั นี้ หนมุ่ สาวจบั มอื ถอื แขนกนั ได้ แตอ่ ยา่ ใหเ้ ลยเกนิ นไี้ ป การใสน่ ำ้� นไี้ มใ่ ชใ่ สแ่ ตค่ นรจู้ กั กนั ใสใ่ ครกไ็ ด้ คร้ังหน่ึงนั่งรถประจ�ำทางไปบ้าน รถจอดพักที่ป้าย มีคนเอาน้�ำมาขาย คนในรถก็ซื้อด่ืมกัน พอรถออกคนขายน้�ำเอาน้�ำที่เหลือในถังสาดเข้ามาในรถ สาดหมดทุกคน คนในรถเปียกปอน ไปตามๆ กัน หวั เราะกนั สนุกสนาน สว่ นบตุ รทไี่ ปดว้ ยแกโมโห วันนนั้ ไม่ใช่วนั สงกรานต์ เขาเลกิ ใส่น�้ำกันไปหลายวันแล้ว แกไม่เข้าใจว่าบางคนก็ใส่น้�ำกันตลอดเดือนห้า (ก่อ สวัสด์ิพาณิชย์, ๒๕๔๖: ๒๙๘) หากในชว่ งสงกรานตใ์ นชมุ ชนมคี นเสยี ชวี ติ การเลน่ สงกรานตก์ จ็ ะมกี ารประกาศขยาย เวลาออกไปอกี ๗ วนั เพอ่ื เปน็ การชดเชยกจิ กรรมทสี่ นกุ สนานของชมุ ชน เพราะหากมผี เู้ สยี ชวี ติ ชาวบ้านจะต้องมาช่วยงานศพ ท�ำให้ไม่สามารถละเล่นหรือท�ำกิจกรรมตามประเพณีได้อย่าง ปกติ (ออ่ น แสนค�ำ, สมั ภาษณ)์ พระพทุ ธรปู ทอี่ ญั เชญิ ลงมาสรงนำ้� ทห่ี อสรงนนั้ จะประดษิ ฐานอยตู่ อ่ มาเพอื่ ใหช้ าวบา้ น ได้สรงน�้ำจนกว่าจะถึงวันพุธในสัปดาห์ถัดไปหลังสงกรานต์ จึงจะมีการท�ำพิธีอัญเชิญ พระพทุ ธรปู ขนึ้ ประดษิ ฐานในทเี่ ดมิ ซงึ่ มกั จะเรยี กวา่ “เอาพระขนึ้ ” การทำ� พธิ กี จ็ ะมกี ารเตรยี ม ดอกไมบ้ ชู าทเี่ รยี กวา่ “ขนั ๕” พระสงฆเ์ จา้ อาวาสกจ็ ะนำ� พระสงฆส์ ามเณรและชาวบา้ นอญั เชญิ พระพทุ ธรปู ข้นึ แทน่ โดยเปล่งวาจากล่าวคำ� อัญเชญิ พระพุทธรปู ว่า อุกาสะ ภันเต ภะคะวา อัมเหหิ คันโธทะเกหิ นานาสักการะ ภูเตหิ สักกัตวา ครุกัตวา อะภิสัญจิโต อิทานิ ภะคะวันตัง ระตะนัตถานะ สังขาตัง ปัลลังกัง อารุยหิตุง
ส110 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย อาราธะนัง กะโรมะ (คำ� แปลข้าแตพ่ ระผูม้ พี ระภาค ขอประทานวโรกาส ขา้ พเจ้าทง้ั หลาย ได้ท�ำความสักการะท�ำความเคารพและได้สรงด้วยน้�ำหอม และสักการะนานาประการ ครบถว้ นวนั มหาสงกรานต์แล้ว บัดนข้ี ้าพระพุทธเจา้ ทั้งหลาย ขออาราธนาพระผมู้ ีพระภาค ขน้ึ สู่บลั ลังก์อนั เปน็ พระแทน่ ท่ปี ระทบั ดงั เดิม) (สวงิ บุญเจมิ , ๒๕๓๙: ๔๕๑-๔๕๒) เม่ืออัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นสู่ท่ีประดิษฐานดังเดิมแล้ว ก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดงานบุญ เดือนห้าอย่างเป็นทางการ เพราะตราบใดท่ียังไม่มีการอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นชาวบ้านก็ยัง สามารถมาท�ำบุญสรงน้�ำพระได้ แต่อย่างไรกด็ ี จะตอ้ งอัญเชญิ พระพทุ ธรปู ขน้ึ อย่างชา้ ไมเ่ กนิ วนั ขน้ึ ๑๕ ค่�ำ เดือน ๖ (สำ� ลี รักสทุ ธี, มปป.: ๔๓) บุญปีใหม่-สงกรานตล์ าวในปัจจุ บัน สงกรานต์ลาวหรือบุญปีใหม่ลาวในปัจจุบัน ถือเป็นงานบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ ประเพณีหนึ่งที่จัดขึ้นในเมืองหลวงพระบาง ได้รับความสนใจจากชาวลาวและนักท่องเท่ียว ชาวตา่ งประเทศเปน็ อยา่ งมาก โดยรปู แบบกจิ กรรมหลกั ๆ ในปจั จบุ นั กย็ งั คงยดึ ตามประเพณเี ดมิ ที่เคยปฏิบัติมาก แต่ก็มีหลายกิจกรรมท่ีถูกสร้างข้ึนมาใหม่ และมีกิจกรรมปลีกย่อยท่ี เปลย่ี นแปลงไป เพอื่ ใหส้ อดรบั การสงั คมทเ่ี ปลย่ี นแปลงและกระแสการทอ่ งเทย่ี วเชงิ วฒั นธรรม ของเมอื งมรดกโลก (ชศู กั ด์ิ วทิ ยาภัค, ๒๕๕๔: ๒๐๐-๒๐๑) ทำ� ให้กิจกรรมงานบุญปใี หมท่ ี่เมอื ง หลวงพระบางในปจั จุบนั มีดังน้ี วันสังขารล่องซ่ึงถือเป็นวันส้ินปีเก่า ในวันนี้ผู้คนจะออกมาจับจ่ายซ้ือของเตรียมตัว ทำ� บุญกันเป็นจำ� นวนมาก อีกท้ังในวนั น้ชี าวหลวงพระบางจะนิยมซ้ือธงรูปพระพุทธเจ้าและธง ตวั เพงิ่ ทเ่ี ปน็ ธงเสย่ี งทายโชคชะตาประจำ� ปี เพอ่ื นำ� ไปปกั ไวบ้ นพระธาตทุ รายทจี่ ะกอ่ ขนึ้ บนหาด ทรายริมแม่น�้ำโขง ซ่ึงธงดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นธงที่ผลิตข้ึนในประเทศไทยแล้วส่งไปขาย ธงรูป พระพุทธเจ้าและธงตัวเพ่ิงได้เข้ามาแทนท่ีดอกไม้ที่ใช้ในการตกแต่งเจดีย์ทรายและเป็นท่ีนิยม เป็นอย่างมากในปัจจุบัน นอกจากน้ี ยังมกี ารลอย “กระทงเสี่ยงขอ” ทที่ �ำจากใบตอง บรรจุกล้วย อ้อย ขา้ วด�ำ ข้าวแดง ดอกไม้ ดอกดาวเรือง ใบพลู ธปู เทยี น ชาวหลวงพระบางยงั ตดั เล็บ ตดั ผมใสก่ ระทง ลอยไปในแม่น�้ำ โดยมีความเช่ือว่าเรื่องร้ายๆ ความทุกข์โศก และส่ิงไม่ดีต่างๆ จะลอยไปกับ กระทง วนั เนาถกู ใหค้ วามสำ� คญั คอ่ นขา้ งมากอกี เพราะจะมกี ารแหว่ อหรอื แหเ่ กยี้ วจากวดั ธาตุ นอ้ ยไปตามถนนกลางเมอื งมายงั วดั เชยี งทอง โดยวอทสี่ ำ� คญั ประกอบดว้ ยวอทา้ วกบลิ พรหม วอ พระสงฆ์ วอนางสังขานหรือนางสงกรานต์ การแห่วอน้จี ะเริ่มในชว่ งบ่าย ขบวนแห่จะนำ� โดยปเู่ ยอ-ยา่ เยอ สว่ นวอนางสงั ขานซง่ึ เป็นองค์ประกอบส�ำคญั ในการเปล่ยี นจากปเี กา่ ไปสู่ปีใหม่ของลาว ในปัจจุบันจะมกี ารประกวด
สาดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย 111 นางสงั ขานเพอื่ คดั เลอื กหญิงสาวลูกหลานของชาวเมืองหลวงพระบางมาผลดั เปล่ยี นหมุนเวยี น เข้าท�ำหน้าที่ โดยหญิงสาวเหล่าน้ีจะต้องเป็นลูกหลานท่ีเกิดและเติบโตในเมืองหลวงพระบาง อายุระหวา่ ง ๑๗-๒๒ ปี นอกจากน้ันก็มีขบวนของพระสงฆ์จากวัดต่างๆ ในเมืองหลวงพระบางให้ผู้คนได้ร่วม กนั สรงน�ำ้ ตามมาดว้ ยขบวนแห่จากคมุ้ บ้านและหน่วยงานตา่ งๆ ในเมอื งหลวงพระบาง ซงึ่ ตา่ ง ก็แต่งกายด้วยเส้ือผ้าพื้นเมืองงดงามเข้ามาร่วมในขบวน แต่ละขบวนจะมีสาวงามท�ำหน้าท่ีถือ ป้ายบอกช่อื ขบวนอย่ดู ้านหน้าทกุ ขบวน ในวันสังขารขึ้นหรอื วนั ขึน้ ปใี หม่ ตอนเชา้ มดื ทกุ บา้ นจะจุดธูปและเทียน พรอ้ มทั้งวาง ดอกไม้ตามทางข้ึนบ้าน เพื่อเป็นการเคารพเจ้าท่ีเจ้าทางและเพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้อยู่ อาศัย และนอกจากการตักบาตรข้าวเหนียวท่ีท�ำเป็นปกติทุกเช้าแล้ว ชาวหลวงพระบางก็จะ แต่งตัวสวยงาม ถือกรวยดอกไม้บายสแี ละขนั ใสข่ า้ วเหนยี วรวมท้ังขนมลกู อมต่างๆ พากนั เดนิ ไปยังพูสี ภูเขากลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของพระธาตุพูสี สิ่งศักด์ิสิทธิ์คู่เมืองหลวงพระบาง โดย ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดไปยังองค์พระธาตุ ชาวหลวงพระบางก็จะหยิบข้าวเหนียวเป็นค�ำเล็กๆ รวมถงึ ขนมลูกอมวางไว้ตามหวั เสาบันไดไปตลอดทาง เรียกวา่ เป็นการ “ตกั บาตรพสู ี” ท้ังนี้ก็ เพ่ือเป็นการท�ำบุญท�ำทานให้กับวิญญาณเร่ร่อนท้ังหลาย รวมไปถึงเด็กน้อยชาวลาวและคน ยากจนทีจ่ ะมาคอยเกบ็ ขนมลูกอมเหลา่ นี้ไปด้วยเชน่ กนั สว่ นผทู้ เ่ี ดนิ ขนึ้ ไปถงึ พระธาตพุ สู ดี า้ นบนแลว้ กจ็ ะวางกรวยดอกไมเ้ พอ่ื เปน็ การบชู าพระ ธาตุ บางคนจะโยนกอ้ นข้าวเหนียวเล็กๆ ไปท่ีฐานขององคพ์ ระธาตเุ พ่ือเปน็ การเสี่ยงทาย แล้ว จงึ เขา้ ไหวพ้ ระพทุ ธรปู ในสมิ (โบสถ)์ ดา้ นบน เมอ่ื เสรจ็ พธิ แี ลว้ กจ็ ะกลบั บา้ นไปกนิ ขา้ วพรอ้ มหนา้ พรอ้ มตาญาติพ่ีนอ้ งทมี่ ารวมตัวกนั จากนน้ั ในชว่ งบา่ ยของวนั สงั ขารขนึ้ กจ็ ะมพี ธิ สี ำ� คญั อกี อยา่ งหนง่ึ คอื ขบวนแหน่ างสงั ขาน ที่จะอัญเชิญเศียรท้าวกบิลพรหมจากวัดเชียงทองไปยังวัดธาตุน้อยเพ่ือสรงน้�ำโดยรูปขบวน วดั เชียงทอง นครหลวงพระบาง ทม่ี า : ธนกฤต ละออสุวรรณ
ส112 าดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย ก็จะคล้ายกับขบวนแห่วอในวันเนา ท่ีน�ำหน้าด้วย ปู่เยอ-ย่าเยอ และสิงห์แก้วสิงห์ค�ำ ขบวนของพระสงฆ์ในเมืองหลวงพระบาง และขบวนแห่ของชาวหลวงพระบาง คุ้มบ้านต่างๆ ตามด้วยขบวนนางสังขาน โดยสองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยผู้ชมท่ีออกมายืนรอชมขบวนและ ชมนางสงั ขานกนั อยา่ งแนน่ ขนดั และหลงั จากขบวนผา่ นไปกจ็ ะแยกยา้ ยกนั ไปเลน่ นำ้� สงกรานต์ กันอย่างสนุกสนาน กจิ กรรมตกั บาตรพสู ซี ง่ึ ถกู ประดษิ ฐส์ รา้ งขน้ึ ใหม่ การเลน่ นำ้� สงกรานตอ์ ยา่ งสนกุ สนานทา้ ยขบวนแห่ ในวนั สงั ขานขน้ึ ท่เี มืองหลวงพระบาง บญุ ปีใหม่ของชาวหลวงพระบาง (ท่ีมา: http://mpics.manager.co.th/pics/ (ท่ีมา: http://mpics.manager.co.th/pics/ Images/ ๕๕๘๐๐๐๐๐๔๓๒๑๕๐๘.JPEG) Images/ ๕๕๗๐๐๐๐๐๔๓๙๘๕๑๑.JPEG) วนั สรงนำ้� พระบางซง่ึ เปน็ อกี หนง่ึ วนั ทช่ี าวหลวงพระบางตง้ั ตาคอย เนอ่ื งจากวนั นจ้ี ะมี การแห่พระบางจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง (พระราชวังเมืองหลวงพระบางเดิม) ออกมาประดษิ ฐานไว้ทีว่ ดั ใหม่สวุ รรณภูมารามซึ่งอยูไ่ ม่ไกลกันนกั เพอ่ื ใหช้ าวเมอื งได้สรงน�ำ้ กนั เปน็ เวลา ๓ วนั ในวันนี้จะมีการท�ำพิธีกันตั้งแต่เช้าที่หอพระบางในพิพิธภัณฑ์ โดยมีพิธีสงฆ์และ พิธีพราหมณ์ในการอัญเชิญพระบางข้ึนบนราชรถ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนขบวนมายัง วัดใหม่สุวรรณภูมาราม ชาวหลวงพระบางท้ังข้าราชการและประชาชนท่ัวไปหลายร้อยคน จะแต่งกายแบบพื้นเมืองงดงาม ถือกรวยดอกไม้บายศรีเข้าร่วมในขบวนแห่ โดยมีราชรถ ทปี่ ระดิษฐานพระบางอยู่กลางขบวน เมอื่ ขบวนแหพ่ ระบางเดนิ ทางมาถงึ วดั ใหมฯ่ กจ็ ะมพี ธิ อี ญั เชญิ พระบางขนึ้ ประดษิ ฐาน ทนี่ ี่ ตามดว้ ยพธิ สี งฆต์ า่ งๆ จากนน้ั ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ ซงึ่ มารออยทู่ ว่ี ดั แลว้ จะเปน็ คแู่ รกทจ่ี ะขน้ึ ไปสรง น�้ำพระบาง ตามด้วยพระสงฆ์ พราหมณ์ ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ และประชาชนท่ัวไปได้เข้าไป กราบไหว้ และข้ึนไปสรงน�้ำพระบางโดยผ่านรางฮดสรงกันได้ตลอดทั้ง ๓ วัน จึงอัญเชิญ พระบางกลับไปประดิษฐานยังหอพระบางตามเดมิ (ASTV ผู้จดั การออนไลน,์ ออนไลน์) จากกจิ กรรมในงานบญุ ปใี หมห่ รอื สงกรานตใ์ นเมอื งหลวงพระบางปจั จบุ นั กจ็ ะพบวา่ มีหลายกิจกรรมที่เปล่ียนแปลงไปและมีหลายกิจกรรมท่ีถูกเพ่ิมเติมเข้ามา เช่น การแห่วอ
สาดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 113 พระสงฆซ์ งึ่ เคยถกู ยกเลกิ ไปหลงั จากทเ่ี ปลยี่ นแปลงการปกครองประเทศจากราชอาณาจกั รลาว มาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เร่ิมกลับมามีการแห่วอพระสงฆ์อีกใน พ.ศ. ๒๕๒๓ แต่พระสงฆ์ที่น่ังในบนวอในขบวนแหน่ ั้นเปล่ยี นไป จากเดมิ ทีต่ อ้ งเปน็ พระสงฆ์ พระราชาคณะเจ้าอาวาสวัดหลวงเท่าน้ัน แต่ปัจจุบันเป็นพระสงฆ์เจ้าอาวาสวัดใดก็ได้ขอเพียง ให้ไดร้ ับนิมนตม์ าน่ังวอรว่ มขบวนแห่ (ศุภชยั สงิ ห์ยะบุศย์, ๒๕๕๓: ๒๑๒-๒๑๓) ขบวนแหใ่ นบญุ ปใี หมล่ าวกม็ จี ำ� นวนขบวนเพมิ่ ขน้ึ จากเดมิ จะมขี บวนแหเ่ พยี ง ๔ ขบวน เรยี งตามลำ� ดบั คอื ขบวน ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ ขบวนเฒา่ แกถ่ อื ดอกไมแ้ ละนำ�้ สรง ขบวนวอพระราชาคณะ พระสงฆ์สามเณรและขบวนนางวอหรือนางสังขาน โดยจะมีขบวนวอพระราชาคณะเป็น ศูนย์กลางและหัวใจของขบวนแห่ ปัจจุบันมีขบวนแห่เพ่ิมขึ้นโดยจากรายการล�ำดับขบวนแห่ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ของภาครฐั มจี �ำนวนมากถึง ๒๓ ขบวน มกี ารจัดล�ำดับและเนน้ ความส�ำคญั ของแต่ละขบวนให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ เช่น มีนางสาวสามเผ่าถือธงชาติน�ำหน้าขบวน ปู่เยอ-ย่าเยอ ขบวนวอนางสังขานกลายเป็นศูนย์กลางของขบวนแห่ทั้งหมด แทนที่ขบวนวอ พระราชาคณะ มขี บวนนางแกว้ ตามหลงั ขบวนวอนางสงั ขาน และชว่ งทา้ ยเปน็ ขบวนของกลมุ่ ชน เผ่าต่างๆ ในลาว ถือเป็นการจัดขบวนแห่ท่ีเพิ่งถูกประดิษฐ์สร้างขึ้นใหม่ตามแนวทางของรัฐ (ศภุ ชยั สงิ หย์ ะบศุ ย์, ๒๕๕๓: ๒๐๐-๒๒๐) ขบวนวอพระสงฆ์ในขบวนแห่บญุ ปีใหม่ ขบวนแหน่ างสงั ขานในงานบญุ ปใี หมท่ เี่ มอื งหลวงพระ (ทีม่ า: http://mpics.manager.co.th/ บางในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ pics/Images/๕๕๘๐๐๐๐๐๔๓๒๑๕๐๒.JPEG) (ทมี่ า:http://asean-focus.com/asean/wp-content/ uploads/๒๐๑๕/๐๔/๕๕๘๐๐๐๔๓๒๑๕๐๑.jpeg) นางสังขานซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงในขบวนแห่บุญปีใหม่ก็จะมีการคัดเลือกในลักษณะ การประกวดนางงาม เพราะนางสังขานเป็นนางงามท่ีถูกประดิษฐ์ข้ึนเพื่อเป็นตัวแทนของธิดา ท้าวกบิลพรหม ด้วยเครื่องแต่งกายของสตรีราชนิกุลและเจ้านายชั้นสูงของอดีตราชส�ำนัก เมอื งหลวงพระบาง การประกวดนางสังขานมกั จะจดั ขึน้ ในคืนวนั ที่ ๑๒-๑๓ เมษายน โดยจะมี หน่วยงานรัฐ และห้างร้านต่างๆ ส่งหญิงสาวเข้าประกวด และการประกวดก็จะได้รับ การสนบั สนนุ จากหลายหนว่ ยงาน เชน่ บรษิ ทั ทอ่ งเทย่ี ว หา้ งรา้ นและบรษิ ทั สารคดจี ากประเทศ จีน เป็นต้น การคัดเลือกก็จะใช้วิธีการเดียวกับการประกวดนางงามในเวทีการประกวดสากล
ส114 าดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย โดยคณะกรรมการจัดงานบุญปีใหม่ ผู้ได้รับคัดเลือกเป็นนางสังขานก็จะได้รับสายสะพายและ รับคว้านหม้อมาสวมครอบศีรษะ เพ่ือท�ำหน้าท่ีนางสังขานน่ังวอในขบวนแห่บุญปีใหม่ต่อไป (ศภุ ชัย สิงหย์ ะบุศย์, ๒๕๕๓: ๒๒๔-๒๓๓) นอกจากนี้ ในวันสังขารขึ้นได้เกิดพิธีท่ีเรียกว่าเป็นการตักบาตรพูสีข้ึนมา ชาวหลวง พระบางจะถือกรวยดอกไมบ้ ายสีและขันใสข่ า้ วเหนยี วรวมท้ังขนมลูกอมตา่ งๆ พากันเดนิ ไปยัง พสู ี ภูเขากลางเมอื งอันเปน็ ที่ตั้งของพระธาตพุ ูสี โดยระหว่างทเี่ ดนิ ขน้ึ บนั ไดไปยงั องคพ์ ระธาตุ กจ็ ะหยบิ ข้าวเหนียวเปน็ ค�ำเล็กๆ รวมถงึ ขนมลูกอมวางไว้ตามหัวเสาบันไดไปตลอดทางและยงั มพี อ่ คา้ แมค่ า้ จบั นกใสก่ รงมาจำ� หนา่ ยทเ่ี ชงิ เขาเพอ่ื ใหผ้ ทู้ ำ� บญุ ปลอ่ ยชวี ติ เพอ่ื สบื ชะตาของตนใน เช้าวนั สงั ขารขนึ้ อกี ดว้ ย ในกจิ กรรมงานบญุ ปใี หมเ่ มอื งหลวงพระบางทกุ ๆ ปจี ะมนี กั ทอ่ งเทย่ี วตา่ งถนิ่ เขา้ มาเพม่ิ มากขน้ึ เรอ่ื ยๆ กจิ กรรมประเพณตี า่ งๆ ทป่ี ฏบิ ตั จิ งึ มผี ลตอ่ การประชาสมั พนั ธท์ างการทอ่ งเทย่ี ว ในปีต่อไป ช่างภาพจากส่ือส�ำนักต่างๆ จึงค่อนข้างจะมีอภิสิทธิ์ในการละเมิดพื้นที่สักการะ เพอ่ื ใหไ้ ดภ้ าพทส่ี มบรู ณใ์ นโบสถว์ ดั เชยี งทอง หลายคนรกุ ลำ้� ปา่ ยปนี อยดู่ า้ นหลงั พระพทุ ธรปู เพอ่ื จะหามุมมองที่เหมาะเจาะให้กับกล้อง ได้เก็บบันทึกภาพพิธีกรรมที่ดูศักดิ์สิทธิ์และขรึมขลัง ไดด้ ที ีส่ ดุ ภายในโบสถ์ แมว้ า่ จดุ ทเ่ี ขายืนอยูจ่ ะกา้ วลว่ งพื้นท่ีสกั การะและพฤตกิ รรมของพวกเขา ไดส้ ลายสภาวะศกั ดิส์ ิทธข์ิ องพน้ื ทแ่ี หง่ นี้ในช่วงเวลาดังกลา่ วไปแล้วก็ตาม (ศุภชยั สงิ ห์ยะบศุ ย,์ ๒๕๕๓ : ๒๒๒) ภาพเชน่ นี้ยงั พบได้อกี ในหลายกิจกรรมท่ีจดั ข้ึนในงานบุญปใี หม่ของลาว ในลักษณะท่ีคล้ายคลึงกัน ปู่เยอ-ย่าเยอจากความเป็นสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษ ชาวลาวทมี่ คี วามศกั ดสิ์ ทิ ธอิ์ ยใู่ นตวั เอง ในปจั จบุ นั ปเู่ ยอ-ยา่ เยอกลายเปน็ สญั ลกั ษณเ์ ปน็ จดุ ขาย ทางการทอ่ งเทย่ี วอยา่ งหนง่ึ ของเมอื งหลวงพระบางอยา่ งปฏเิ สธไมไ่ ด้ รปู ปเู่ ยอ-ยา่ เยอ และสงิ ห์ แก้วสิงห์ค�ำ ถูกน�ำไปท�ำเป็นโปสการ์ด ปฏิทิน ป้ายโฆษณาเชิญชวนให้คนมาเท่ียวเมืองหลวง พระบางตามทตี่ า่ งๆ มากมาย โปสการด์ ทผ่ี มทำ� ขายกเ็ ชน่ กนั ทำ� ใหน้ กั ทอ่ งเทยี่ วสว่ นใหญเ่ ขา้ ใจ วา่ ปู่เยอ-ยา่ เยอ คอื การละเล่น กระทงั่ รู้สึกวา่ เป็น mascot ของเมอื งหลวงพระบางมากกวา่ เปน็ สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ค่ี นเมอื งหลวงพระบางเคารพ ความเปน็ ไปทำ� นองนคี้ งมมี ากขนึ้ ทกุ วนั รวมทงั้ เรือ่ งอืน่ ๆ ในยุคท่ีทุกสิง่ ทุกอยา่ งถกู ทำ� ให้กลายเป็นสนิ คา้ (สมิทธิ ธนานิธิโชติ, ๒๕๔๗ : ๑๒๑) ผทู้ จี่ ะเปน็ นางสงั ขานในขบวนแหบ่ ญุ ปใี หมต่ อ้ งไดร้ บั ตุ๊กตาปู่เยอ-ย่าเยอขนาดเล็กถูกผลิตข้ึนเพื่อจ�ำหน่าย คดั เลอื กผ่านเวทปี ระกวดแบบนางงาม เปน็ ทร่ี ะลกึ แกน่ ง่ั ทอ่ งเทยี่ วทม่ี ารว่ มงานบญุ ปใี หมแ่ ละ (ท่ีมา: http://www.louangprabang.net/pic_ มาเยอื นเมอื งหลวงพระบาง update/by_user/dsc๐๔๒๙๕cn๒.jpg) (ท่ีมา: http://farm๑.static.flickr.com/๑๔๗/ ๔๓๐๔๑๙๕๑๓_๒๔๓๔a๗f๐๙a.jpg)
สาดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย 115 วนั งานบญุ ปใี หมย่ งั มงี านตลาดนดั อยกู่ ลางถนนหลวงของตวั เมอื ง ประชาชนทมี่ าเทย่ี ว ตลาดนัดก็พากันซื้อสัตว์ไปปล่อยและซ้ือธงไปปักประดับเจดีย์ทราย นอกจากเคร่ืองท่ีใช้ ในพธิ กี รรมแลว้ สนิ คา้ สมยั ใหม่ทห่ี ลัง่ ไหลมาจากเมืองจีนดูจะเปน็ ท่ีสนใจมากทีส่ ุด เสือ้ ผ้าสมยั ใหม่หลากสีหลากสไตล์ ของใช้พลาสติกราคาถูก ของเล่นเด็ก ปืนฉีดน�้ำสีสด มีให้เลือกดูชม จบั จ่ายสมกบั เป็นงานรื่นเรงิ (สมิทธิ ธนานธิ โิ ชติ, ๒๕๔๗ : ๙๔) บรรยากาศสงกรานตอ์ สี านในปัจจุ บนั สงกรานตใ์ นอสี านจากอดตี ถงึ ปจั จบุ นั แมว้ า่ รปู แบบกจิ กรรมทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ติ ามประเพณี บุญเดอื นห้าทีส่ บื ต่อกนั มาชา้ นาน แตก่ จิ กรรมทช่ี าวบา้ นปฏบิ ตั ิในปจั จุบันก็เร่ิมเปล่ียนแปลงไป ตามบริบทสังคมท่ีได้รับการปะทะสังสรรค์กับสังคมอื่น อย่างเช่นในกรณีของท้องถ่ินจังหวัด หนองบัวลำ� ภซู ึง่ เป็นภมู ลิ �ำเนาของผเู้ ขยี น คุณปา้ บญุ เรือน คงกระเรยี น อายุ ๕๙ ปี ไดเ้ ล่าใหผ้ เู้ ขียนฟงั ว่าในวยั เด็กและวยั หนมุ่ สาวสงกรานตเ์ ปน็ งานบุญทีส่ นกุ สนานมาก ต่างรอคอยใหถ้ ึงบุญเดอื นห้า แตห่ ลังจากประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ - ๒๕๒๕ เปน็ ต้นมา กจิ กรรมสงกรานต์ในชุมชนได้เรมิ่ เปลีย่ นแปลง เน่ืองจาก เรม่ิ มีการตดั ถนนลกู รงั โดยหน่วยงานราชการเข้ามายังชมุ ชน ทำ� ให้ความสะดวกในการเดินทาง ไปมาระหวา่ งหมบู่ า้ นกบั ตวั เมอื งหรอื ตวั อำ� เภอสะดวกมากขน้ึ สนิ คา้ ตา่ งๆ ทสี่ อื่ ถงึ ความทนั สมยั ก็เริ่มทยอยเขา้ มา ทำ� ใหก้ ารละเล่นด้ังเดิมคอ่ ยๆ หายไป (บุญเรือน คงกระเรยี น, สัมภาษณ์) แต่การเปล่ียนแปลงของการเล่นสงกรานต์ท่ีเกิดขึ้นอย่างชัดเจนและเปล่ียนแปลงไป จากเดิมจนยากจะหวนคืนน้ัน เกิดข้ึนหลังจากท่ีมีการเดินสายไฟฟ้าเข้าถึงชุมชนในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๕ - ๒๕๓๕ การเขา้ มาของไฟฟา้ ทำ� ใหช้ าวบา้ นมโี ทรทศั น์ เหน็ ภาพการเลน่ สงกรานต์ ในต่างถ่นิ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในกรงุ เทพฯ และปรมิ ณฑล จนเกดิ กิจกรรมสงกรานตห์ ลายอย่าง เลียนแบบภาคกลาง และเร่ิมมีหนุ่มสาวค่อยๆ ทยอยลงไปท�ำงานที่กรุงเทพฯ จนท�ำให้คนวัย หนุ่มสาวซึ่งค่อนข้างจะมีบทบาทและเป็นกลุ่มท่ีมีส่วนขับเคลื่อนความสนุกสนานของงาน สงกรานต์ในชุมชนลดนอ้ ยลงตามไปดว้ ย (สำ� เอยี ง แสนคำ� , สัมภาษณ์) เพราะงานสงกรานต์จะ สนกุ สนานไดต้ อ้ งอาศัยความสามคั คแี ละผคู้ นร่วมท�ำกิจกรรมจ�ำนวนมาก กลมุ่ หนมุ่ สาวและวยั กลางคนชาวอสี านทลี่ งไปทำ� งานในกรงุ เทพฯ มเี พมิ่ มากขนึ้ เรอ่ื ยๆ จนท�ำให้เป็นภาพชินตาว่าคนในชุมชนจะมีเพียงกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุอาศัยอยู่เท่าน้ัน ยกเว้น ชว่ งฤดกู าลท�ำนาท่มี ีกล่มุ วัยกลางคนจะกลบั มาท�ำนาท่ีบ้าน กลุ่มคนทีไ่ ปทำ� งานกรุงเทพฯ หรือ ต่างถิ่นก็จะกลับมาบ้านเกิดในช่วงสงกรานต์ เพราะนอกจากจะเป็นงานบุญส�ำคัญของชุมชน แล้ว นายจ้างก็จะหยุดงานให้เป็นเวลานานกว่าการหยุดปกติหรือหยุดวันนักขัตฤกษ์ท่ัวไป เม่ือกลับมาชุมชนก็จะน�ำรูปแบบการเล่นสาดน�้ำสงกรานต์และกิจกรรมต่างๆ แบบท่ีตนเอง พบเจอ น�ำมาบอกเล่าและเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติส�ำหรับคนในชุมชนท่ีไม่มีโอกาสได้สัมผัส อปุ กรณ์การเล่นน�ำ้ สงกรานตแ์ บบใหม่ เชน่ ปืนหรอื กระบอกฉีดนำ้� แบบตา่ งๆ ก็จะถกู นำ� ขน้ึ มา ฝากลูกฝากหลานให้ได้เล่นสงกรานต์ตามแบบชาวกรุงหรือตามท่ีพบเห็นในโทรทัศน์ ซึ่งท�ำให้ ผู้ใช้อปุ กรณด์ เู ปน็ ผู้มีฐานะดแี ละดูหรูหรากวา่ คนอื่นๆ
ส116 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี ท่ีส�ำคญั คือ คนท่ไี ปทำ� งานแลว้ กลับมาจากกรุงเทพฯ ในช่วงสงกรานต์ จะถือว่าเป็น คนไปทำ� งานมเี งนิ เกบ็ บางสว่ น กจ็ ะซอื้ อาหารทห่ี ายากหรอื ราคาแพง เชน่ ปลาหมกึ ลกู ชนิ้ ขนม นมเนย เป็นต้น มาประกอบอาหารเลีย้ งฉลองกันในครัวเรอื นและกลมุ่ เครอื ญาติ นอกจากซอ้ื อาหารแลว้ ยงั มกี ารซอื้ สรุ า เบยี รห์ รอื เครอ่ื งดมื่ อนื่ ๆ มาดมื่ ดว้ ย จนเกดิ การตง้ั วงสนทนาสงั สรรค์ จนนำ� ไปสู่วัฒนธรรมการดื่มเหล้าและเลี้ยงฉลองในวันสงกรานต์ (วเิ ชียร แสนคำ� , สัมภาษณ)์ ในขณะเดียวกันการกลับมาของชาวบ้านท่ีไปท�ำงานต่างถิ่นเป็นจ�ำนวนมาก ก็ท�ำให้ เกดิ การรวมกลมุ่ กนั เพอื่ ทำ� ประโยชนใ์ หแ้ กช่ มุ ชนบา้ นเกดิ เพราะถอื วา่ คนทไ่ี ปทำ� งานตา่ งถนิ่ เปน็ คนมีเงนิ หรอื รำ�่ รวยกวา่ คนที่อย่บู ้านธรรมดา “ผา้ ป่าสามคั ค”ี กิจกรรมเปน็ ทเ่ี กดิ ขึ้นใหม่ในชว่ ง สงกรานต์ เริ่มแรกมีการถวายวดั เพอ่ื บำ� รงุ วดั วาอาราม ตอ่ มากเ็ รม่ิ มี “ผ้าป่าศษิ ย์เก่า” ที่น�ำเงนิ มามอบใหก้ บั โรงเรยี นประจำ� ชมุ ชนทต่ี นเองเคยรำ่� เรยี นศกึ ษา บางครง้ั กจ็ ะมนี ายทนุ หรอื เจา้ ของ ธุรกิจที่เป็นนายจ้างของคนใดคนหนึ่งร่วมบริจาคเงินเป็นเจ้าภาพหลักมาร่วมถวายผ้าป่าด้วย คนในชมุ ชนกจ็ ะเตรยี มการตอ้ นรบั คณะผา้ ปา่ สามคั คอี ยา่ งเตม็ ที่ บางชมุ ชนกจ็ ะมกี ารจดั มหรสพ สมโภชกองผ้าปา่ และมกี ารแสดงเพือ่ ตน้ รับคณะผา้ ป่าสามัคคดี ว้ ย ต้นเงินหรือต้นผ้าป่าท่ีชาวบ้านรวมกลุ่มกันท�ำบุญ การแหน่ างสงั ขานหรอื นางสงกรานตท์ อี่ ำ� เภอเชยี งคาน แล้วนำ� มาทอดถวายวัดในชว่ งสงกรานต์ จงั หวดั เลย ในชว่ งประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๒๐ (ทม่ี า: http://upic.me/i/๕๑/๕๐๒๒๘.jpg) (ท่ีมา: https://www.facebook.com/photo.php? fbidgm.๙๘๐๓๕๓๒๐๘๖๖๘๖๕๔&type=๓&theater) นอกจากน้ี ยงั เกิดการจำ� หนา่ ยดอกไม้ส�ำเร็จเพอื่ ตดิ หน้าอกผู้ร่วมงานผา้ ป่าเพ่ือหาทนุ เพ่ิมด้วย ผ้เู ขียนจ�ำได้วา่ ในชว่ งแรกๆ บางชมุ ชนจะมกี ลมุ่ หน่มุ สาวชาวบา้ นมาดักทางรอผ้คู นที่ สญั จรผ่านหมู่บา้ น เพ่ือขอรบั บริจาค ถา้ ใครไม่บรจิ าคกจ็ ะปิดทางไม่ใหผ้ า่ น จนชว่ งหลังมกี าร ประกาศหา้ มตง้ั ด่านเรี่ยไรในชว่ งเทศกาล กิจกรรมแบบน้ีจงึ คอ่ ยๆ หายไป กจิ กรรมการแหด่ อกไมใ้ นชว่ งสงกรานตเ์ รมิ่ หายไปจากงานบญุ เดอื นหา้ การเลน่ ดนตรี พ้นื บ้านขบั กล่อมแบบเดมิ ก็หายไป การเลน่ สาดน�้ำแบบดัง้ เดิมทส่ี นุกสนานแบบไมม่ ีเกรงใจกัน นน้ั ไมม่ แี ลว้ การเลน่ นำ้� ตอ้ งใชเ้ ฉพาะนำ้� สะอาดเทา่ นนั้ เพราะเปน็ การผดิ กฎหมายบา้ นเมอื ง ใคร ที่ยังเล่นน้�ำสกปรกแบบเดิมก็จะถูกประณาม เกิดการรดน�้ำขอพรพระสงฆ์ ผู้สูงอายุแบบเป็น ทางการซงึ่ จดั โดยองคก์ ารปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ทม่ี กี ารเชญิ ผสู้ งู อายมุ ารวมกนั เพอ่ื ใหข้ า้ ราชการ
สาดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 117 และลกู หลานรดนำ้� ขอพร โดยใชก้ ารแจกเบยี้ ยงั ชพี ของผสู้ งู อายปุ ระจำ� เดอื นเมษายนเปน็ ตวั แปร ส�ำคัญในการเชิญผู้สูงอายุมาร่วมกิจกรรม และมักจะรดน�้ำเฉพาะท่ีมือเท่าน้ัน ตามแบบ วฒั นธรรมรดนำ�้ สงกรานตท์ ปี่ รากฏในภาคกลาง บางแหง่ กจ็ ะมกี ารจดั กจิ กรรมกฬี าสามคั คแี ละ กจิ กรรมพืน้ บ้านสำ� หรบั ผสู้ งู อายแุ ละชาวบา้ นในวันสงกรานต์ด้วย ในทอ้ งถน่ิ บางแหง่ เกดิ การแหน่ างสงั ขานทเี่ ลยี บแบบเมอื งหลวงพระบาง และเกดิ การ ประกวดเทพีสงกรานต์เลียนแบบภาคกลาง เพ่ือท�ำหน้าท่ีเป็นนางสงกรานต์ในขบวนแห่ สงกรานตซ์ งึ่ ถูกประดษิ ฐข์ ึ้นใหม่ การประกวดและการแหน่ างสงกรานต์ในภาคอสี านไม่ปรากฏ แน่ชัดวา่ เรมิ่ ขึ้นเมื่อใด แต่อย่างนอ้ ยน่าจะเกิดขึน้ มาตัง้ แต่ราว พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๒๐ เปน็ ตน้ มา ดงั ปรากฏขอ้ มลู จากภาพถา่ ยเกา่ เกย่ี วกบั การแหน่ างสงั ขานหรอื นางสงกรานตท์ อ่ี ำ� เภอเชยี งคาน จังหวดั เลย ในชว่ งประมาณปี พ.ศ. ดงั กล่าว ปจั จบุ ันการประกวดเทพีสงกรานตม์ ักจะถูกจัดขึน้ โดยหนว่ ยงานราชการโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ชมุ ชนหมบู่ า้ นหรอื โรงเรยี น ก็จะส่งหญิงสาวเข้าประกวด ผู้ชนะนอกจากจะได้เป็นนางสงกรานต์ในขบวนแห่ประจ�ำปีแล้ว ยงั ไดร้ ับถ้วยเกียรตยิ ศและเงนิ รางวัลอีกจ�ำนวนหน่งึ การรวมกลมุ่ การละเลน่ พนื้ บา้ นแบบเดมิ ไดห้ ายไป หลงั จากทค่ี นวยั หนมุ่ สาวหลงั เรยี นจบ การศึกษาภาคบังคับก็เข้าไปท�ำงานท่ีกรุงเทพฯ ส่วนหนุ่มสาวรุ่นปัจจุบันก็ไปเรียนหนังสือ ตา่ งถน่ิ ในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ ทำ� ใหเ้ กดิ การขาดชว่ งการทำ� กจิ กรรมและรอยตอ่ ระหวา่ งเวลา การละเลน่ พื้นบ้านในช่วงสงกรานต์จึงหายไป แต่กลับพบการรวมกลุ่มกินเหล้าและเล่นการพนันของ ชาวบ้านเกิดข้ึนแทน ในชุมชนต่างๆ เร่ิมมีการรวมกลุ่มเล่นพนันโดยเฉพาะอย่างย่ิงไฮโลและ น้�ำเต้า ปู ปลา (ชาวอีสานเรียกวา่ “กงุ้ ไกไ่ ฮโล”) ในช่วงสงกรานต์มากยิง่ ขนึ้ มเี จ้ามือตั้งวงเล่น อย่างเป็นกิจลักษณะตามบ้านท่ีอยู่ท้ายหมู่บ้านหรือตามร่มไม้ใหญ่นอกหมู่บ้าน บางคนถึงกับ พดู ว่า “หาเงนิ ไว้เล่นกุ้งไก่ไฮโลยามสงกรานต์” เลยกม็ ี สว่ นพระสงฆส์ ามเณรนน้ั ไมส่ ามารถมารว่ มกจิ กรรมเลน่ นำ�้ สงกรานต์ และรว่ มการละเลน่ ต่างๆ กับหนุ่มสาวชาวบ้านได้ เพราะสถานะของพระสงฆ์สามเณรในปัจจุบัน ถูกยกขึ้นไว้ ในทสี่ งู ในฐานะเปน็ ผทู้ รงศลี ตอ้ งอยใู่ นพระธรรมวนิ ยั อยา่ งเครง่ ครดั ถา้ หากมาเลน่ นำ�้ สนกุ สนาน ก็จะมีบุคคลถ่ายคลิปถ่ายภาพไปลงในส่ือออนไลน์ต่างๆ และกล่าวโจมตีว่าไม่เหมาะสมกับ สมณสารูป พระสงฆ์จึงสามารถร่วมกิจกรรมสงกรานต์ได้เพียงแค่เป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ทางพระพทุ ธศาสนาที่จดั ขึน้ ภายในวดั เท่าน้ัน ในบางทอ้ งถน่ิ ทมี่ พี ระพทุ ธรปู สำ� คญั เพอ่ื ความเปน็ สวสั ดมิ งคลของชมุ ชนจงึ มกั มกี ารแห่ พระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิที่นับถือไปรอบๆ พื้นท่ีชุมชน ทว่าพระพุทธรูปบางองค์อาจมีขนาดใหญ่ เกินกว่าจะน�ำออมาจากโบสถ์หรือวิหาร หรือมีน้�ำหนักมากเกินจะอัญเชิญออกไปแห่แหนได้ ท�ำให้ต้องถ่ายแบบไปสร้างเป็นพระพุทธรูปท่ีมีขนาดเล็กลง เพื่อให้เหมาะกับการแห่แหนไป รอบๆ ชมุ ชน (รงุ่ โรจน์ ธรรมรงุ่ เรอื ง, ๒๕๕๓: ๖๓) เชน่ การแหห่ ลวงพอ่ พระใส จงั หวดั หนองคาย
ส118 าดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี การแหห่ ลวงพอ่ พระลบั จังหวดั ขอนแกน่ และการแหพ่ ระบางคู่ จงั หวัดหนองบวั ล�ำภู เป็นตน้ แม้ว่าเร่ิมต้นของกิจกรรมแห่พระพุทธรูปจะเกิดจากความศรัทธา แต่ปัจจุบันกิจกรรมการแห่ พระพทุ ธรปู บางแห่งก็เพอื่ ตอบสนองทางการท่องเทย่ี วของท้องถ่ินมากข้ึนดว้ ย พิธีแห่หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปส�ำคัญประจ�ำ ผู้คนจ�ำนวนมามาร่วมกิจกรรมเล่นน�้ำสงกรานต์ที่ จังหวัดหนองคายในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมี ถนนขา้ วเหนียว จงั หวดั ขอนแก่น ผู้คนมาร่วมพิธีในแตล่ ะปีนบั หมน่ื คน (ท่ีมา: http://img.painaidii.com/images/ (ทมี่ า: http://image.mcot.net/media/images/ ๒๐๑๔๐๔๑๒_๓_๑๓๙๗๒๙๕๐๕๗_๑๑๘๓๐๕.jpg) ๒๐๑๔-๐๔-๑๓/๑๓๙๗๓๗๘๘๗๗๙๓๕๑.jpg ในเมืองใหญ่ๆ เกิดการเล่นสาดน้�ำสงกรานต์ตามถนนต่างๆ ในลักษณะการปิดถนน เล่นน�้ำเลียนแบบการเล่นสงกรานต์ท่ีถนนข้าวสารในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดเล่นน้�ำสงกรานต์ ที่มีชื่อเสียงและเป็นท่ีรู้จักไปท่ัวโลก การเล่นสงกรานต์ในลักษณะรวมกลุ่มตาม “ถนนข้าว” ในภาคอสี านเรมิ่ ขนึ้ เมอื่ ราว พ.ศ. ๒๕๔๕ เปน็ ตน้ มาเชน่ ถนนขา้ วเหนยี ว จงั หวดั ขอนแกน่ , ถนน ขา้ วปนุ้ จังหวัดนครพนม, ถนนข้าวหอมมะลิ จงั หวดั ร้อยเอ็ด, ถนนข้าวเปยี ก จังหวดั อดุ รธานี, ถนนข้าวกล�่ำ จังหวัดกาฬสินธุ์, ถนนข้าวโพด จังหวัดนครราชสีมา และถนนข้าวฮาง จังหวัด หนองบวั ลำ� ภู เป็นตน้ (www.kapook.com, ออนไลน)์ ซึ่งการเล่นสงกรานต์แบบปิดถนนเชน่ นม้ี กี ารเลน่ นำ�้ ทง้ั ในชว่ งกลางวนั และกลางคนื ทำ� ใหว้ ยั รนุ่ หนมุ่ สาวเดนิ ทางจากชมุ ชนตนเองเพอื่ เขา้ ไปเลน่ น�ำ้ สงกรานตต์ ามถนนในตัวเอง นอกจากนี้ กิจกรรมในเทศกาลสงกรานต์ที่รัฐบาลประกาศให้เป็นกิจกรรมเก่ียวข้อง คือ วนั ที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันผสู้ ูงอายุ และวนั ท่ี ๑๔ เมษายน เป็นวันครอบครัว ก็ส่งผลใหช้ าว บา้ นปรบั ตวั ทำ� กจิ กรรมสอดคลอ้ งกบั ประกาศวนั สำ� คญั ของรฐั บาล ซง่ึ ในชว่ งเทศกาลสงกรานต์ กจ็ ะมีการทำ� กจิ กรรมระดบั ครอบครวั ข้นึ เชน่ การไปรดน้ำ� ขอพรปู่ย่าตายาย ไปทำ� บญุ อทุ ศิ ให้ บรรพบรุ ษุ ทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ และพาครอบครวั ออกไปเทย่ี วยงั สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วตา่ งๆ ทม่ี ชี อื่ เสยี ง นอกชุมชน เป็นต้น ท�ำให้ผู้คนท่ีท�ำกิจกรรมสงกรานต์ภายในชุมชนมีจ�ำนวนไม่มาก จนท�ำให้ การตีกลองโฮมเพ่อื ท�ำกจิ กรรมทีว่ ัดคอ่ ยๆ หายไป เชน่ เดยี วกบั การเจรญิ พระพุทธมนตภ์ าคค�ำ่ ตลอดช่วงวันสงกรานตท์ ีย่ ังปรากฏอยู่เฉพาะบางชุมชนเท่านน้ั ดงั นนั้ การท�ำบญุ ในชว่ งสงกรานตห์ รือบญุ เดือนห้าของชาวอีสานจงึ เร่มิ คอ่ ยๆ กลาย เป็นการทำ� บญุ ของปัจเจกมากกว่าการทำ� บุญในลกั ษณะภาพรวมท้ังชุมชน
สาดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 119 บทสง่ ท้าย จะเห็นได้ว่ากิจกรรมประเพณีบุญเดือนห้า-สงกรานต์ในลาวและอีสานโดยสังเขป ทผี่ เู้ ขยี นนำ� เสนอมาขา้ งตน้ นนั้ ไดค้ อ่ ยๆ เปลยี่ นแปลงไปตามบรบิ ททางสงั คม ซง่ึ กไ็ มใ่ ชเ่ รอ่ื งแปลก เพราะวฒั นธรรมนนั้ เปน็ สง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ จากมนษุ ย์ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของมนษุ ยส์ ว่ นใหญ่ และได้รับการปฏิบัติสืบทอดไปจากรุ่นสู่รุ่น แต่เราก็ไม่ควรลืมไปว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึน แล้วสามารถหายไปได้เม่ือวัฒนธรรมน้ันไม่ตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์แล้ว บุญเดือนห้า-สงกรานต์ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีฮีตสิบสองของชาวลาวและอีสานก็มีลักษณะ เชน่ เดยี วกนั ทมี่ คี วามเปลยี่ นแปลงในกจิ กรรมตา่ งๆ อยา่ งชดั เจนดงั ทผี่ เู้ ขยี นนำ� เสนอมาขา้ งตน้ คนรุ่นเก่าก็พยายามคิดฟื้นฟูรูปแบบกิจกรรมประเพณีดั้งเดิมให้กลับคืนมา แต่ทว่า บริบททางสังคมลาวและอีสานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ ดังน้ัน หลายกิจกรรมจึงถูกประดิษฐ์สร้างข้ึนมาใหม่เพ่ือตอบสนองความต้องการของสังคม สงิ่ เหลา่ นถี้ อื วา่ เปน็ พลวตั ทางวฒั นธรรมในทอ้ งถนิ่ ลาวและอสี านทเี่ รม่ิ เปลย่ี นแปลงไป ทา่ มกลาง ความเปล่ียนแปลงเชิงวัฒนธรรมและนโยบายในระดับประเทศ ที่ตอบสนองความต้องการ ด้านต่างๆ ของผู้คนในท้องถิ่นและคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะด้านการท่องเท่ียวที่มีอิทธิพล ต่อวฒั นธรรมท้องถิน่ เปน็ อย่างมาก เมอื่ เปน็ เชน่ น้ี คนรนุ่ เกา่ จงึ ไดเ้ พยี งถวลิ หาอดตี และบอกกลา่ วสงั่ สอนลกู หลานใหร้ กั ษา ธรรมเนียมปฏบิ ัติของบญุ เดอื นหา้ -สงกรานต์ไวเ้ ท่าท่จี ะทำ� ได้ ดังปรากฏถอ้ ยความในกลอนล�ำ ทางส้ันเร่ือง “ฮีตสิบสอง” ท่ีถูกแต่งข้ึนใน พ.ศ.๒๕๓๗เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนรู้และอนุรักษ์ วัฒนธรรมของทอ้ งถ่นิ ว่า “...ถึงเดอื นหา้ สงกรานต์ พากนั ใสบ่ าตร แนวท่เี ฮาบ่ขาด สรงพระยามแลง อย่าลมื ไปจดั แจง สรงน�้ำผใู้ หญ่ บ่จำ� เปน็ ต้องใส่ น�ำ้ ฮืน่ น้ำ� หอม นำ้� สะอาดกะสเิ ปน็ การออม เงินเฮาไว้ต่อ กราบขมาแมพ่ อ่ ป่ยู ่าตายาย สงกรานตน์ ้สี �ำบาย พกั แฮงจักหนอ่ ย...” (ประมวล พมิ พเ์ สน, ๒๕๓๗: ๑๔๕)
ส120 าดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย บรรณานกุ รม ก. หนังสอื กอ่ สวัสด์พิ าณิชย.์ (๒๕๔๖). อีสานเมอ่ื วันวาน. พมิ พ์คร้งั ที่ ๓. กรงุ เทพฯ: พ.ี วาทิน พบั ลเิ คชั่น. ชูศักดิ์ วิทยาภัค. (๒๕๕๔). การท่องเที่ยวกับการพัฒนา : พินิจหลวงพระบางผ่านการท่องเท่ียว เชงิ วัฒนธรรม. เชยี งใหม:่ ศนู ยว์ จิ ยั และบรกิ ารวชิ าการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ . (๒๕๔๐). ประวตั ิศาสตรล์ าว. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ: มูลนิธโิ ครงการตำ� รา สงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์. เตมิ วิภาคย์พจนกิจ. (๒๕๔๒). ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน. พิมพค์ ร้งั ท่ี ๓. กรุงเทพฯ: มลู นิธิโครงการ ต�ำราสังคมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์. “นิทานเร่ืองขุนบรมราชา”. (๒๕๑๒). ใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๓ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙-๗๐). พระนคร: องคก์ ารค้าของคุรสุ ภา. ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน. (๒๕๔๔). พิมพ์ครั้งท่ี ๖. กรุงเทพฯ: คณะสงฆ์วัดพระเชตุพน จดั พมิ พเ์ ปน็ ทร่ี ะลกึ สมโภชหริ ญั บฏั และฉลองอายวุ ฒั นมงคล ๘๕ปี พระธรรมปญั ญาบดี (ถาวร ติสสฺ านุกโร) เจา้ อาวาสวดั พระเชตุพน ๒๖ - ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔. ประมวล พิมพ์เสน. (๒๕๓๗). “หมอล�ำ เพลงพ้ืนเมืองส่ือท่ีเข้าถึงชาวบ้าน”. ในส�ำนักงาน ศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น: ส�ำนักงาน ศึกษาธิการจงั หวัดขอนแก่น. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๖). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน. วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์. (๒๕๕๕). ชื่นชมสถาปัตย์วัดในหลวงพระบาง. พิมพ์คร้ังท่ี ๓. กรุงเทพฯ: เมอื งโบราณ. ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์. (๒๕๕๓). หลวงพระบางเมืองมรดกโลก ราชธานีแห่งความทรงจ�ำและพ้ืนที่ พิธกี รรมในกระแสโลกาภวิ ัตน.์ กรงุ เทพฯ: สายธาร. สมสนุก มีไชย (เขียน) ค�ำวอน บนุ ยะพอน (แปล). (๒๕๔๙). ขอบคุณทเี่ หลียวมอง. กรุงเทพฯ: สายธาร. สมทิ ธิ ธนานธิ โิ ชต.ิ (๒๕๔๗). หลวงพระบาง บางสงิ่ ไมเ่ ปลย่ี นไป ใจทเ่ี ปลยี่ นแปลง. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒. กรุงเทพฯ: สายธาร. สวงิ บญุ เจมิ . (๒๕๓๙). ตำ� รามรดกอสี านหรอื มลู มงั อสี าน. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔. อบุ ลราชธาน:ี มรดกอสี าน. สาร สาระทศั นานนั ท์. (๒๕๓๐). ฮตี สิบสอง-คลองสบิ สี.่ เลย: ศนู ย์ศิลปวฒั นธรรม วิทยาลยั ครเู ลย.
สาดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี 121 สรุ ศักดิ์ ศรีส�ำอาง. (๒๕๔๕). ลำ� ดับกษตั ริยล์ าว. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : ส�ำนกั โบราณคดแี ละ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาตกิ รมศิลปากร. สำ� ลี รกั สทุ ธี. (มปป.). ฮีตสิบสอง คลองสบิ ส่ปี ระเพณขี องดอี ีสาน. กรงุ เทพฯ: พฒั นาศึกษา. ข. สมั ภาษณ์บคุ คล ๑. นางออ่ น แสนคำ� อายุ ๙๙ ป.ี , บา้ นเลขที่ ๑๑๑ หมทู่ ่ี ๒ ตำ� บลโนนเมอื ง อำ� เภอนากลาง จงั หวัดหนองบัวลำ� ภ,ู สัมภาษณ์วนั ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙. ๒. นายสมศกั ด์ิ คงกระเรียน อายุ ๕๔ ปี., บ้านเลขท่ี ๑๑๑/๓ หมูท่ ่ี ๒ ต�ำบลโนนเมอื ง อำ� เภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ล�ำภู, สัมภาษณว์ นั ท่ี ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙. ๓. นายวิเชียร แสนคำ� อายุ ๕๖ ป.ี , บ้านเลขที่ ๑๒๗ หมูท่ ่ี ๗ ต�ำบลโนนเมอื ง อ�ำเภอ นากลาง จังหวัดหนองบวั ล�ำภู, สัมภาษณ์วนั ท่ี ๒๑ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๙. ๔. นางล้อม จอ้ งกา่ อายุ ๗๘ ป.ี , บา้ นเลขที่ ๘๕ หมูท่ ่ี ๗ ต�ำบลนาอ้อ อำ� เภอเมืองเลย จังหวดั เลย, สัมภาษณ์วันที่ ๑๖ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๙. ๕. นางสาวส�ำเอยี ง แสนค�ำ อายุ ๖๔ ป.ี , บา้ นเลขท่ี ๑๑๑ หมทู่ ่ี ๒ ต�ำบลโนนเมอื ง อ�ำเภอ นากลาง จังหวดั หนองบัวล�ำภ,ู สมั ภาษณ์วันท่ี ๒๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๙. ๖. นางบญุ เรือน คงกระเรียน อายุ ๕๙ ป.ี , บ้านเลขที่ ๑๑๑/๓ หมทู่ ่ี ๒ ตำ� บลโนนเมือง อำ� เภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ล�ำภ,ู สัมภาษณว์ นั ท่ี ๒๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙. ค. สอื่ ออนไลน์ www.kapook.com. “รวมมิตรถนนข้าว...เลน่ นำ้� สงกรานต์ ๒๕๕๘”. สืบคน้ จาก http://travel. kapook. com/view๘๔๒๖๒.html. วนั ที่ ๒๓ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๙. ASTV ผจู้ ดั การออนไลน.์ “สงกรานตห์ ลวงพระบางชมนางสงั ขาร สรงนำ้� พระบาง ตกั บาตรพสู .ี .. สะบายดีปีใหม่ลาว”. สืบค้นจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews. aspx?NewsID=๙๕๘๐๐๐๐๐๔๑๖๘๕. วนั ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙.
à·ÈกาÅâÎÅÕ สงกรานตส์ ãÕ นÍนÔ àดÂÕ ¡µÔ µ¾Ô §È ºØÞà¡Ô´ บทน�ำ ÍÒ¨Òû ÃШíÒÀÒ¤ÇÔªÒÀÒÉÒµÐÇ¹Ñ ÍÍ¡ ¤³ÐÍ¡Ñ ÉÃÈÒʵà ¨ØÌÒŧ¡Ã³Á ËÒÇ·Ô ÂÒÅÑ เทศกาลแหง่ สสี นั คอื เทศกาลทเี่ ตม็ ไปดว้ ยความสนกุ สนานมากทส่ี ดุ ในประเทศอนิ เดยี การเฉลิมฉลองอันมีลักษณาการคล้ายคลึงมากกับเทศกาลสงกรานต์ของไทย กล่าวคือผู้คน จะเล่นป้ายผงสี หรือสาดน�้าซ่ึงผสมสีลงไปด้วย สาดใส่กันโดยไม่ถือสาหาความ ช่วงเวลา เฉลมิ ฉลองเทศกาลโฮลีในอินเดียกับเทศกาลสงกรานต์ของไทยก็ใกลเ้ คยี งกันมาก จึงมักถกู น�า มาเปรียบเทียบอยู่เสมอโดยกล่าวกันว่าโฮลีหรือสงกรานต์สีของอินเดียกับเทศกาลสงกรานต์ ของไทยมีความเก่ียวข้องกันบางประการ หากพิจารณาเพียงเผินๆ ก็อาจคล้อยใจไปได้ ไม่ยากนักว่าโฮลีและสงกรานต์ มีความสัมพันธ์กันอย่างวิเศษ หรืออาจถึงข้ันเชื่อว่าโฮลี เปน็ ทม่ี าของสงกรานต์ไทย ผู้เขียนเห็นว่ายังมีความรู้อีกมากมายหลายประเด็นเก่ียวกับเทศกาลโฮลีที่น่าศึกษา และท�าความเข้าใจ บทความฉบับนี้จึงมุ่งอธิบายความรู้อย่างกว้างขวางเก่ียวกับเทศกาลโฮลี หรือสงกรานต์สีของอินเดีย ทั้งเรื่องประวัติความเป็นมา รูปแบบการเฉลิมฉลอง ตลอดจน ประเด็นทางด้านสังคม-วัฒนธรรมท่ีเก่ียวข้อง แล้วท้ังหมดจะน�าไปสู่บทสรุปความคิดเห็น ของผู้เขียนในตอนท้ายบทความว่าโฮลีและสงกรานต์ เทศกาลทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกัน หรอื ไม่อย่างไร การฉลองเทศกาลโฮลี ณ เมืองมถุรา รฐั อุตตรประเทศ ปี ๒๕๕๘ (ภาพโดย วชิ ญา จาติกวณิช)
ส124 าดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี วิถีชีวิตของชาวภารตะมีความผูกพันอยู่อย่างแนบแน่นกับสภาพดินฟ้าอากาศ ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละฤดูกาลเป็นหน่ึงปัจจัยส�ำคัญที่ก่อให้เกิดเทศกาลทั้งหลาย ซ่ึงเป็น เสมือนพิธีต้อนรับจุดเปลี่ยนผ่านระหว่างฤดูกาลประเทศอินเดียมีความกว้างใหญ่ไพศาล จึงปรากฏลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศท่ีแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามศูนย์กลางส�ำคัญ ของอารยธรรมอนิ เดียต้ังอยบู่ รเิ วณตอนเหนอื คอื ตั้งแต่ใต้แนวเทอื กเขาหิมาลัย ผา่ นล่มุ แม่น้�ำ คงคา-ยมุนา ไปจนถึงแนวเทือกเขาวินธัยในตอนกลางของประเทศ ในเขตภูมิภาคดังกล่าว แบ่งฤดกู าลออกเปน็ ๖ ฤดู ได้แก่ วสนั ต์ (वसतं Vasant) ฤดูใบไมผ้ ลิ ราวกลางเดือนกุมภาพนั ธ์-กลางเดอื นเมษายน ครีษมะ (ग्रीष्म Grishma) ฤดูร้อน ราวกลางเดอื นเมษายน-มถิ นุ ายน วรษา (वर्षा Varsha) ฤดูฝน ราวกลางเดือนมิถุนายน-กลางเดอื นสิงหาคม ศรัท (शरद Sharad) ฤดใู บไมร้ ่วง ราวกลางเดือนสงิ หาคม-กลางเดือนตลุ าคม เหมนั ต์ (हेमतं Hemant) ฤดหู นาว (ตอนตน้ ) ราวกลางเดอื นตลุ าคม-กลางเดอื นธนั วาคม ศิศริ (शिशिर Shishir) ฤดนู ้ำ� คา้ งหรือฤดูหนาวตอนปลาย ราวกลางเดอื นธันวาคม-กลางเดอื นกุมภาพันธ์ ในบรรดาฤดูกาลเหล่านี้วสันต์หรือฤดูใบไม้ผลิถือว่าเลิศท่ีสุด ได้รับฉายาว่า “ฤตุราช” (ऋतरु ाज Rituraj) หรอื ราชาแห่งฤดู เพราะความเหนบ็ หนาวแห่งเหมนั ตแ์ ละศศิ ิร ได้ผ่านพ้นไปแล้วอากาศจึงเริ่มอบอุ่นข้ึน ความสดช่ืนของฤดูกาลใหม่ก�ำลังมาถึงต้นไม้ก�ำลัง ผลดิ อกผลใิ บจงึ ไมแ่ นแ่ ปลกใจวา่ การถอื วนั ขนึ้ ปใี หม่ หรอื การเรม่ิ นบั รอบปฏทิ นิ ใหมจ่ งึ อยใู่ นชว่ ง ฤดูใบไม้ผลิ และยังสัมพันธ์กับรอบฤดูกาลเพาะปลูกข้าวเมื่อปีกลายเก็บเก่ียวเสร็จแล้ว ไม่มี งานหนักในไร่นาเหลือแล้ว การเฉลิมฉลองเพ่ือต้อนรับฉากใหม่ของชีวิตจึงปรากฏออกมา ในลักษณะของเทศกาลงานรื่นเริงสนุกสนานต่างๆ และยังสัมพันธ์ไปถึงพิธีกรรมและต�ำนาน ตามความเช่ือทางศาสนาอีกด้วย เทศกาลโฮลีก็อยู่ในช่วงฤดูกาลนี้ ซึ่งโดยท่ัวไปจะเฉลิมฉลอง ๒ วนั เร่ิมในวันขึน้ ๑๕ ค่ำ� เดอื นผาลคุน นบั เป็นเดือนที่ ๑๒ หรอื เดือนสุดท้ายของระบบปฏิทนิ จันทรคติฮินดูตกอยู่ในราวเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมเทศกาลโฮลีเริ่มจากพิธีเผานางโฮลิกา ในตอนพลบคำ่� และเล่นสาดสีในเชา้ วนั รงุ่ ข้นึ ดงั จะกล่าวรายละเอียดตอ่ ไป
สาดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 125 ช่ือเทศกาล และตำ� นานความเป็นมา ความเก่าแก่ และหลากหลายในวัฒนธรรมอินเดียจึงท�ำให้เทศกาลโฮลีหรือโหลี (होली Holi) ยงั มชี ่ือเรียกอน่ื ๆ อกี เชน่ รงั โคตสวะ (रंगोत्सव Rangotsava), วสนั โตตสวะ (वसंतोत्सव Vasantotsava), มทโนตสวะ (मदनोत्सव Madanotsava), กาโมตสวะ (कामोत्सव Kamotsava), ผาลคนุ กิ า (फाल्गुनिका Phalgunika) หรอื บางทเี รยี ก ผาลคนุ ปี รู ณมิ า (फाल्गुनीपूर्णिमा Phalguni Purnima) แต่ละชื่อมีท่ีมาต่างๆ กัน เพราะมีการผสมผสานคติ ความเชื่อจากหลายแหล่งและหลายสมัย ความเป็นมาของช่ือ และต�ำนานท่ีเกี่ยวข้อง มีรายละเอียดดังน้ี ผาลคนุ ิกาและผาลคุนปี ูรณมิ าน้นั เรยี กตามดิถี หรอื วันของเทศกาล เนื่องจากตรงกบั วนั พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวงเดอื นผาลคนุ (ปรู ณมิ า แปลวา่ วนั พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง) สว่ นชอื่ วสนั โตตสวะ น้ันมาจากค�ำว่า วสันต์ แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ สนธิกับอุตสวะในภาษาฮินดีแปลว่าเทศกาล หรือ การเฉลมิ ฉลอง วสนั โตตสวะ จงึ มีความหมายวา่ “การเฉลิมฉลองเพือ่ ตอ้ นรบั ฤดูใบไม้ผล”ิ สว่ นชอื่ เทศกาล รงั โคตสวะ กเ็ ชน่ เดยี วกนั คอื เกดิ จากคำ� วา่ รงั คะ ทแ่ี ปลวา่ สี สนธกิ บั อตุ สวะ จึงมีความหมายว่า เทศกาลแห่งสี หรือการเฉลิมฉลองด้วยสี อน่ึง ค�ำวา่ อุตสวะ มที ีม่ าจาก ภาษาสนั สกฤต อตุ และ สวะแปลว่า การขจัดปัดเปา่ ความทกุ ข์ ความโชครา้ ย หรืออปุ สรรค การเฉลิมฉลองเทศกาลทงั้ หลายของอนิ เดยี จึงสมั พนั ธ์กบั ความเชอ่ื ทางศาสนาและมนี ยั เพอ่ื ขอ ใหเ้ กดิ ส่งิ ดีงาม เพือ่ ความผาสุกแก่ผฉู้ ลองเทศกาล และแกส่ งั คม (Guy R.Welbon & Glenn E.Yocum, ๑๙๘๒ : ๒๗) โดยนัยน้ีเทศกาลโฮลีก็คือการท�ำลายส่ิงชั่วร้าย ท�ำลายอุปสรรคในระยะของ การเปลย่ี นผา่ นจากหว้ งเวลาเกา่ ไปสูห่ ้วงเวลาใหมด่ ้วยความหวงั ว่าจะพบสง่ิ ทีด่ กี วา่ ส�ำหรับชอ่ื เทศกาล มทโนตสวะ และ กาโมตสวะ มาจากคำ� ว่า มทนะ และ กามะ ตาม ล�ำดบั ทั้งสองค�ำหมายถึงพระกามเทพ เมือ่ สนธิกบั อุตสวะ แล้ว มทโนตสวะ และ กาโมตสวะ จึงหมายถึงเทศกาลแห่งการบูชาพระกามเทพตามความเช่ือของชาวอินเดีย ฤดูใบไม้ผลิกับ พระกามเทพน้ันมีความสัมพันธ์เปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั บรรยากาศแหง่ ฤดใู บไมผ้ ลทิ น่ี า่ รนื่ รมย์ ธรรมชาตทิ สี่ วยงามทำ� ใหค้ วามรกั ความปรารถนาผดุ และเติบโตข้นึ มาในจติ ใจ เทศกาลโฮลีผูกต�ำนานกับเรื่องพระกามเทพว่า พระกามเทพผู้ยิงศรใส่พระศิวะ เพราะต้องการปลุกให้พระองค์ถอนออกจากสมาธมิ าพบกบั พระนางปารวตี เมื่อพระศวิ ะวิวาห์ กับพระนางปารวตีแล้ว จะได้ให้ก�ำเนิดพระกุมารผู้สามารถสังหารอสูรได้ตามค�ำท�ำนายของ พระพรหม ศรของพระกามเทพไมเ่ พยี งแคป่ ลกุ พระศวิ ะสำ� เรจ็ เทา่ นน้ั แตย่ งั ทำ� ใหพ้ ระองคก์ รว้ิ ดว้ ย จึงถูกไฟจากพระเนตรท่ีสามของพระศิวะเผาท�ำลายร่างกายไปและต่อมาด้วยการอ้อนวอน ของนางรตีผู้เป็นชายา พระกามเทพก็ได้รับการชุบชีวิตข้ึนมาใหม่แต่ไร้ร่างกายจึงได้นามว่า
ส126 าดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย อนังคะหรืออนงค์ (अनंग Ananga) แปลว่าผู้ไร้ร่างกาย โดยนัยนี้เทศกาลโฮลีในนามว่า มทโนตสวะและกาโมตสวะจงึ ถอื เปน็ เทศกาลแหง่ การบชู าพระกามเทพ ซงึ่ ไปปรากฏความนยิ ม ในอินเดียใต้ ส�ำหรับช่ือ โฮลี อันเป็นท่ีรู้จัก และแพร่หลายมากท่ีสุดนั้น สันนิษฐานว่ามาจาก ต�ำนานนางโฮลิกา (होलिका Holika) (บางแห่งสะกดว่า โหลิกา ตามขนบการปริวรรตอักษร จากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย แต่ส�ำหรับค�ำบางค�ำผู้เขียนเห็นว่า ควรถ่ายอักษรโดยค�ำนึง ถึงเสียงให้ใกล้เคียงกับการออกเสียงของชาวอินเดียในปัจจุบัน ในบทความนี้จึงสะกดว่า โฮลี และโฮลิกา) นางโฮลิกาเป็นน้องสาวของอสูรหิรัณยกัศยปุในเรื่องนรสิงหาวตาร หน่ึงใน ทศาวตารของพระวษิ ณหุ รอื ทไี่ ทยเราเรยี กวา่ นารายณ์ ๑๐ ปาง นางมผี า้ สา่ หรวี เิ ศษ หากหม่ แลว้ แม้ไฟก็ท�ำอันตรายใดๆ แก่นางมิได้ จึงขออาสาพ่ีชาย หิรัณยกัศยปุ ว่าจะใช้อุบายหลอก ประหลาท บตุ รชายวัย ๕ ขวบของหริ ณั ยกศั ยปุ ซึง่ กค็ ือหลานชายแทๆ้ ของนางเองให้มาตาย ในกองไฟ เนอื่ งจากอสรู หริ ัณยกศั ยปุเมอ่ื ได้รบั พรจากพระพรหมแลว้ กลับหยิ่งผยอง เหิมเกรมิ คดิ เปน็ ใหญ่ ถอื วา่ ตนเทา่ นนั้ เปน็ เจา้ สงู สดุ ในจกั รวาล ไมม่ ใี ครเหนอื กวา่ แตว่ า่ ประหลาท ลกู ชาย แท้ๆ ของตนไมย่ อมรบั เช่นน้ัน ประหลาทมคี วามศรทั ธาภกั ดตี อ่ พระวษิ ณุ สวดสรรเสรญิ พระวษิ ณตุ ลอดทง้ั วนั ทำ� ให้ บิดาขัดเคืองใจและแม้ห้ามปรามหรือแม้กระทั่งลงทัณฑ์หลายครั้งหลายครา ประหลาทก็รอด ปลอดภัยมาได้ทุกคร้ังอยา่ งน่าประหลาดและหาได้เลกิ สวดสรรเสริญบูชาพระวิษณไุ ม่ ในทส่ี ดุ จงึ วางแผนหลอกลอ่ วา่ จะจดั ยญั พธิ ขี นึ้ มาอยา่ งหนง่ึ โดยนางโฮลกิ าจะนงั่ อยใู่ น กองไฟแลว้ อมุ้ หลานประหลาทไวบ้ นตกั แตแ่ ลว้ เหตกุ ารณก์ ก็ ลบั ตาลปตั ร พรวเิ ศษทนี่ างโฮลกิ า ได้รับมาจากพระพรหมพลันเสื่อมฤทธ์ิไป บางแห่งกล่าวว่านางห่มผ้าส่าหรีผิดผืน ท�ำให้นาง ถูกไฟเผามอดไหม้จนกลายเป็นฝุ่นผง ส่วนประหลาทกลับรอด ไฟไม่ระคายตนเลยสักนิด ฝ่ายหิรณั ยกกศั ยปตุ ่อมาถกู ปราบโดย นรสงิ ห์ รูปอวตารของพระวษิ ณุ ต�ำนานเร่ืองนี้เป็นท่ีมาของพิธี โฮลิกาดะฮัน (โหลิกาทหัน) (होलिका दहन Holka Dahan) ซ่ึงถือเป็นพิธีที่ส�ำคัญมากในเทศกาลโฮลี จะประกอบในยามพลบค�่ำ ของวันก่อนการเล่นสงกรานต์สี หรือวันเพ็ญเดือนผาลคุน ซ่ึงถือเป็นวันสิ้นปีตามระบบปฏิทิน จันทรคติฮินดู ตามชุมชนต่างๆ ชาวบ้านจะออกมารวมกันบริเวณลานสาธารณะเพื่อจัด พิธีเผานางโฮลิกา โดยพากันน�ำเศษไม้ ข้ีวัวแห้ง และสิ่งของท่ีหาประโยชน์ใช้ไม่ได้แล้ว ในบา้ น หรอื ทงิ้ เกะกะอยใู่ นชมุ ชน เปน็ วตั ถทุ ส่ี ามารถตดิ ไฟไดม้ าสมุ กองรวมกนั สรา้ งรปู จำ� ลอง ของนางโฮลกิ าผกู ไวใ้ นกองไมน้ นั้ ดว้ ย แลว้ จดุ ไฟเผาในชนบทบางแหง่ นยิ มโยนเมลด็ ขา้ วบารเ์ ลย์ และขา้ วสาลลี งไปในกองไฟ แลว้ เดนิ เวยี นรอบกองไฟ ๓ รอบ (एस.पी.उपाध्याय, ๑๙๗๘ : ๕๒) ประเด็นน้ีสอดคล้องกับอีกข้อสันนิษฐานหน่ึงท่ีว่า โฮลี (โหลี) อาจมาจากค�ำว่า โหลากา (होलाका holaka) ในภาษาสนั สกฤต ซง่ึ หมายถงึ ข้าวท่ีค่วั หรือไหม้ไฟแลว้ มปี ระเพณี
สาดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 127 สบื มาแต่สมยั พระเวทว่าชาวบ้านจะไมก่ ินข้าวทีเ่ พง่ิ เก็บเกีย่ วเสร็จใหม่ๆ จนกวา่ จะน�ำขา้ วนนั้ ไปบวงสรวงเทพเจ้าก่อน โดยนัยน้ีเทศกาลโฮลีก็คือพิธีถวายข้าวใหม่แด่เทพเจ้า (Sadhu Mukundcharandas, ๒๐๑๐ : ๔๓) พิธีโฮลิกาดะฮนั ชาวบา้ นสามารถประกอบข้นึ กนั เองได้ ไมจ่ ำ� เป็นตอ้ งเชิญพราหมณ์ แต่อย่างใด นางโฮลิกาถือเป็นสัญลักษณ์ของการเบียดเบียนท�ำร้าย และความเลวทรามต่�ำช้า ในสงั คม พธิ เี ผานางโฮลกิ าจงึ มคี วามหมายวา่ ธรรมะมชี ยั ชนะเหนอื อธรรม ความดชี นะความชว่ั (एस.पी.उपाध्याय, ๑๙๗๘ : ๕๑) และอาจพิจารณาได้ว่าพิธีกรรมนี้คือการขจัดท�ำลาย เสนียดจญั ไรให้สนิ้ ไปพรอ้ มกับปเี กา่ ผงข้ีเถ้าท่ีได้จากพิธีโฮลิกาดะฮัน นิยมน�ำมาลูบหน้าผากในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น และ ในชนบทบางแห่งจะเก็บขี้เถ้าส่วนหนึ่งเอาไว้โดยมีความเชื่อว่าสามารถใช้เป็นยาทารักษา โรคผิวหนงั เชน่ โรคลมพษิ และโรคหดั ได้ (Sadhu Mukundcharandas, ๒๐๑๐ : ๔๔) ผคู้ นมารวมตัวกนั จดั พธิ โี ฮลิกาดะฮัน (โหลกิ าทหนั ) ในคืนก่อนวนั โฮลี ท่มี าwww.dailybackgrounds.com อาจเป็นไปได้ว่าการเอาผงสีมาป้าย มาซัดมาสาดกันในวันเล่นโฮลีท่ีมีมาจากผงขี้เถ้า ลูบหนา้ ผากทไี่ ดจ้ ากพธิ ีโฮลิกาดะฮนั นีเ้ อง พิธีโฮลิกาดะฮัน ยังมีอีกต�ำนานหน่ึงเล่าว่า นางยักษ์ฒุณฒี (ढुंढी Dhundhi) อาศัย อยู่ในอาณาจกั รปฤถุหรอื รฆุ เท่ยี วระรานผู้คนจนเดือดรอ้ นไปทวั่ นางได้ใจวา่ ตนไดร้ ับพรวิเศษ มาจากพระศวิ ะวา่ เทวดา มนษุ ย์ ความรอ้ น ความหนาวและสายฝนกท็ ำ� อนั ตรายใดๆ นางไมไ่ ด้ แต่พระศิวะได้สาปนางไว้ด้วยว่า นางจะมีภัยจากเด็กผู้ชายอันธพาล เม่ือชาวบ้าน เดือดร้อนเพราะนางหนักเข้าพระราชาจึงปรึกษาปุโรหิตหาหนทางแก้ไข ปุโรหิตท�ำนายว่า เมื่อวันเพ็ญเดือนผาลคุนมาถึง พวกเด็กผู้ชายจะพากันหอบเศษไม้จากบ้านออกมาสุมรวมกัน แลว้ จดุ ไฟเผาพรอ้ มกนั ภาวนามนตรา ปรบมอื และเดนิ เวยี นรอบกองไฟ ๓ รอบ นางยกั ษฒ์ ณุ ฒี จะถูกปราบด้วยเสียงร้องเพลง เสียงหัวเหราะ และเสียงสวดมนตราของพวกเด็กๆ เหล่าน้ัน และแล้วท�ำนายก็เป็นจริง นางยักษ์ฒุณฒีไม่อาจทนต่อเสียงดังและการกลั่นแกล้งจาก พวกเดก็ ๆ ได้ ในทส่ี ุดก็ตอ้ งหนีออกจากเมืองปฤถไุ ป
ส128 าดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย ต�ำนานนี้อาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเช่ือว่า ในช่วงเทศกาลโฮลี เด็กๆ สามารถเล่น ซกุ ซน และแกล้งหยอกล้อผใู้ หญไ่ ด้โดยจะไม่ถูกถอื สาหาความ๑ บ้างก็กลา่ วว่าเทศกาลโฮลีมาจากต�ำนานนางปูตนารากษสี ผพู้ ยายามฆ่าพระกฤษณะ ในวัยแบเบาะ โดยจ�ำแลงกายเปน็ พ่เี ลยี้ งเดก็ อมุ้ พระกฤษณะไว้ในอก แตแ่ ลว้ ก็ถกู พระกฤษณะ กัดหวั นมจนขาดใจตาย ชาวบา้ นจึงชว่ ยกันนำ� ร่างของนางไปเผานอกหมู่บ้าน และบ้างก็กล่าว วา่ เทศกาลโฮลคี อื วนั ครบรอบกำ� เนดิ มนู ผทู้ พ่ี ระพรหมสรา้ งขนึ้ เปน็ คนแรก จงึ ถอื เปน็ วนั กำ� เนดิ ของบรรพบรุ ษุ แหง่ มวลมนษุ ยชาติ (Sadhu Mukundcharandas, ๒๐๑๐ : ๔๓) แม้จะมีคตคิ วามเช่อื ทีม่ า และรปู แบบอันหลากหลายของเทศกาลโฮลีอยา่ งไรก็ตาม มีความเช่ือโดยทั่วไปในสังคมอินเดียว่า โฮลีเป็นเทศกาลที่เก่าแก่สืบมาแต่สมัยพระเวท ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์นารัทปุราณะและภวิษยปุราณะพบการกล่าวถึงโฮลี ในศิลาจารึก อายุ ๓๐๐ ปี กอ่ นครสิ ตกาล ทเี่ มอื ง รามครหะ (Ramgarh) ในสว่ นของภาคกลางของอนิ เดยี และในวรรณคดเี รอื่ งรตั นาวลี ของพระเจ้าหรรษะในศตวรรษท่ี ๗ นอกจากนีย้ ังพบภาพสลกั หิน การฉลองเทศกาลโฮลที ่ีวัดในฮมั ปิ เมอื งหลวงของวชิ ยั นคร ซ่งึ มอี ายอุ ยู่ราวในศตวรรษที่ ๑๖๒ แต่หลักฐานที่ชัดเจนท่ีสุดมีอายุอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ คือ ภาพ “วสันตราคินี” เพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิ จากเมืองอาหเมดนคร (Ahmednagar) เป็นรูปชายหญิงในราชส�ำนัก น่ังบนชิงช้าใต้ต้นมะม่วงซ่ึงเห็นอย่างชัดเจนว่าก�ำลังผลิใบใหม่เป็นสีแดงๆ และดอกมะม่วง แตกชอ่ สะพรง่ั ไปทงั้ ตน้ อนั แสดงถงึ ฤดใู บไมผ้ ลิ ดา้ นหนงึ่ มสี ตรยี นื ถอื เครอ่ื งดนตรแี ละอกี ดา้ นหนง่ึ สตรีสองคนก�ำลังใช้ ปิจการี (पिचकारी Pichkari) หรือปืนฉีดน�้ำโบราณท�ำจากกระบอกไม้ไผ่ ฉดี น�ำ้ ผสมสีหยอกสตรที ่นี ง่ั อยู่บนชิงชา้ ในปัจจบุ นั ก็ยังพบกระบอกฉีดนำ้� ปจิ การี ใช้เลน่ โฮลี กันอยู่ แม้จะมีปืนฉีดน้�ำสมัยใหม่เข้ามาจ�ำหน่าย เบียดตลาดมากขึ้นทกุ ทีกต็ าม เมื่อไวษณพนิกายสาขากฤษณะภักติ ก�ำลังรุ่งเรืองอยู่ในยุคกลางหรือยุคอิสลาม ในอินเดียภาคเหนือ ส�ำนักกฤษณะภักติจึงส่ง อิทธิพลต่อวรรณคดี ศิลปกรรม และประเพณี อย่างกว้างขวาง ท�ำให้เทศกาลโฮลีไปผูกอยู่กับ เรื่องพระกฤษณะ จึงมักปรากฏภาพวาด บทกวี และเพลงพ้ืนบ้านท่ีแสดงถึงการเล่นสาดสี และ การหยอกลอ้ อยา่ งสนกุ สนานระหวา่ งพระกฤษณะ กบั นางราธา และบรรดานางโคปี สาวเลยี้ งววั แหง่ วฤนดาวนั ความนยิ มนน้ั ยงั สบื ตอ่ ลงมาถงึ ปจั จบุ นั ภาพวสันตราคินี บทเพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิ สมัยคริสต์ ศตวรรษท่ี ๑๖ อกั ษรเทวนาครขี า้ งบนภาพเป็นบทกวี ๑www.holifestival.org/legend-dhundhi.html พรรณนาถึงความน่ารื่นรมย์แห่งฤดูใบไม้ผลิ ปัจจุบัน ๒www.holifestival.org ภาพวาดน้เี กบ็ รักษาอย่ใู นพิพิธภัณฑ์เมืองนวิ เดลี ทมี่ า www.indianart.ru/eng/of_the_deccan/4.php)
สาดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี 129 ภาพการหยอกลอ้ ระหว่างพระกฤษณะกับเหล่านางโคปี ทม่ี า: http://www.citieshub.in/radha-krishna-holi-images-free-download.html ดว้ ยจนทำ� ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจทว่ั ไปวา่ เทศกาลโฮลคี อื การละเลน่ ของพระกฤษณะเมอื งมถรุ า และ วฤนดาวัน แผ่นดินก�ำเนิดของพระกฤษณะ ได้กลายเป็นเมืองท่ีมีชื่อเสียงท่ีสุดส�ำหรับการเล่น สาดสีฉลองเทศกาลโฮลใี นปจั จบุ ัน สาดสี-ป้ายสีกนั ทำ� ไม หลังจากเสร็จส้ินพิธีโฮลิกาดะฮันเมื่อคืนวาน และแล้วปีใหม่ก็มาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น คอื วนั แรม ๑ คำ�่ เดอื นไจตระ (เนอื่ งจากปฏทิ นิ จนั ทรคตขิ องอนิ เดยี ภาคเหนอื ในสมยั โบราณนยิ ม เร่ิมนับเดือนใหม่ในวันแรม ส่วนของไทยนิยมเริ่มเดือนใหม่ในวันข้างข้ึน เหมือนกับวัฒนธรรม ของอนิ เดยี ใต)้ ผคู้ นจะพากนั ออกมาเลน่ โฮลใี นเวลาเชา้ ทัง้ ป้ายทง้ั ซดั ผงสใี สก่ ัน บา้ งก็ผสมผงสี กับน้�ำสาดใส่กันหรือฉีดด้วย “ปิจการี” กระบอกฉีดน�้ำลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ สมยั โบราณทำ� ดว้ ยไมไ้ ผ่ ปจั จบุ นั ทำ� ดว้ ยพลาสตกิ การเลน่ ปนื ฉดี นำ�้ แบบทเ่ี หน็ ในสงกรานตไ์ ทย ก็พบความนิยมมากขึ้นเร่ือยๆ ในปัจจุบัน เล่นโฮลีสาดสีกันไปพร้อมทั้งร้องเพลงและเต้นร�ำ อย่างคร้ืนเครง ถือได้ว่าเป็นโอกาสท่ีผู้คนจะได้สนุกสุดเหวี่ยงท่ีสุดคร้ังเดียวในรอบปี วันนั้น ไม่มีใครเลยที่ออกมานอกบ้านแล้วจะกลับไปได้โดยไม่เลอะสีส่วนใหญ่แล้วมักเล่นกันเพียงครึ่ง วันเท่าน้ัน หลังเท่ียงก็กลับบ้านไปอาบน�้ำ และพักผ่อนตกเย็นจึงออกมาอีกครั้งเพื่อพบปะ สังสรรค์กับญาติมิตร น�ำขนมหวานมาแจก และสวมกอดกัน คตินิยมในปัจจุบันของเทศกาล โฮลีเน้นไปในเร่ืองมิตรภาพ ความรัก ไมตรีจิต และความปรารถนาดีต่อกันและกัน ผู้ที่เคย ขัดแย้งกนั กจ็ ะไดป้ รบั ความเขา้ ใจ คืนดกี ันในวันนัน้
ส130 าดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย การสวมกอดแหง่ มติ รภาพของนกั ทอ่ งเทย่ี วชาวตา่ งชาตทิ รี่ ว่ มฉลองเทศกาลโฮลี ณ เมอื งมถรุ า รฐั อตุ ตระ ประเทศ ภาพโดย วิชญา จาตกิ วณชิ นา่ พจิ ารณาวา่ ศาสนาฮนิ ดมู คี วามเชอื่ เรอ่ื งวรรณะมาแตโ่ บราณ ความเขม้ งวดในระบบ วรรณะท�ำให้ผู้คนระมัดระวังการแตะเนื้อต้องตัว หรือแม้แต่สัมผัสส่ิงของของคนต่างวรรณะ ต่อมาเม่ืออิทธิพลของศาสนาอิสลามได้แพร่หลายลงไปอย่างกว้างขวางในสังคม-วัฒนธรรม อนิ เดยี ฮนิ ดจู งึ เรม่ิ ปรบั ตวั ความเชอื่ เรอ่ื งระบบวรรณะคอ่ ยๆ คลคี่ ลายลงไปบา้ ง ปญั ญาชนฮนิ ดู บางสว่ นยงั ลกุ ขนึ้ มาเปน็ ผนู้ ำ� ปฏวิ ตั สิ งั คม ตอ่ ตา้ นระบบวรรณะเสยี เอง การเลน่ โฮลปี า้ ยสี ซง่ึ คน จะตอ้ งถกู เนอื้ ตอ้ งตวั กนั จงึ นา่ เปน็ ผลมาจากอทิ ธพิ ลของวฒั นธรรมอสิ ลามทปี่ ฏเิ สธเรอ่ื งวรรณะ ถอื หลกั ภราดรภาพความเปน็ พน่ี อ้ งกนั เหน็ ไดช้ ดั เจนวา่ การสวมกอดกนั เพอื่ แสดงมติ รภาพเปน็ ประเพณขี องชาวมุสลมิ ในปัจจุบันการเล่นสีในเทศกาลโฮลีปรากฏความนิยมทั่วไปทุกภูมิภาคในอินเดีย ทุก กลุ่มศาสนา ทุกกลุ่มชาติพันธุ์แต่อย่างไรก็ตาม ทางอินเดียภาคเหนือมีความนิยมเล่นมากกว่า ขณะทใี่ นอนิ เดยี ใต้ โดยเฉพาะในรฐั ทมฬิ นาฑไู มพ่ บความนยิ มเทา่ ใดนกั และมไิ ดถ้ อื ดว้ ยวา่ เปน็ วันข้นึ ปใี หมอ่ ยา่ งทใี่ นอนิ เดียเหนอื ถือ วัฒนธรรมอินเดยี ใต้มวี ันปใี หมข่ องตนเองซงึ่ ตรงกับวนั สงกรานต์ของไทย ดงั จะกล่าวในรายละเอยี ดต่อไป สที ใ่ี ชเ้ ลน่ ในเทศกาลโฮลคี อื สสี นั แหง่ ความสดชน่ื ของฤดใู บไมผ้ ลทิ จ่ี ะเปอ้ื นไปทว่ั ทง้ั ตวั ตดิ ผวิ ตดิ ผา้ และไมส่ ามารถลา้ งออกใหเ้ กลยี้ งในทนั ทไี ดส้ งิ่ นม้ี คี วามหมายวา่ มติ รภาพจะเหนยี ว แนน่ และมน่ั คงตลอดไปไมม่ วี นั จดื จาง เสอ้ื ผา้ ทใ่ี สเ่ ลน่ โฮลจี งึ นยิ มสขี าวเพอ่ื ใหส้ ปี รากฏชดั นยิ ม เก็บเส้ือผ้าที่เปรอะสีเอาไว้เป็นท่ีระลึก การเล่นสีในสมัยก่อนใช้สีที่ท�ำมาจากพืช จึงเป็นวัสดุ ธรรมชาติที่ไม่มีอันตรายล้างออกได้ง่ายกว่าสีเคมีที่นิยมใช้มากในปัจจุบัน เพราะหาซ้ือง่ายมี
สาดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 131 จ�ำหน่ายอยู่ท่ัวไปในท้องตลาดมีสีเข้มสดกว่า และราคาไม่แพงเมื่อโดนป้ายสีแล้วต้องขัดถูอยู่ หลายวันกวา่ จะเกลยี้ งหมด และเปน็ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ (ภาพซ้าย) พ่อค้ากำ� ลงั หอ่ ผงสี หรือเรยี กวา่ กุลาลเตรียมจำ� หน่าย มมุ ขวาลา่ งของภาพจะเหน็ กระบอกฉีดน�ำ้ “ปิจการ”ี แบบสมัย ใหม่ท�ำจากพลาสติก (ภาพขวา) นักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวจีน และเพ่ือนชาวอินเดียใน มหาวทิ ยาลยั เมอื งวรธา รฐั มหาราษฏระ กำ� ลงั ใชป้ นื ฉดี นำ�้ เลน่ โฮลี ผงกลุ าลสีแดงและสสี ้มไดม้ าจากดอกทองกวาว อนิ เดยี เรยี ก ปลศั (पलश palash) หรอื เตสู (तसे ू tesu) พบตน้ ทองกวาวไดท้ วั่ ไปในอนิ เดยี
ส132 าดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย เด็กหญิงชาวเบงกอลอินเดียภาคตะวันออก แต่งกายชุดพ้ืนเมืองโดยเน้นสีเหลือง สีแห่งฤดูใบไม้ผลิ มาร่วมงาน วสันต์อุตสวะ VasantUtsav อันมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยศานตินิเกตัน จัดขึ้นทุกปี ในช่วงเทศกาลโฮลี ท่นี ่ีนิยมเล่นผงสลี ว้ นๆ ไมผ่ สมน�้ำ ภาพโดย อญั มณี วรรณวิชย์ ใช้ผงสีจากธรรมชาติ มสี รรพคณุ เป็นยาอายุรเวท การเลน่ โฮลโี ดยใชผ้ งสที ที่ ำ� มาจากธรรมชาตใิ นแงห่ นงึ่ กอ็ าจพจิ ารณาไดว้ า่ เปน็ กศุ โลบาย แห่งภูมิปัญญาโบราณ ดังกล่าวแล้วข้างต้นว่าเทศกาลโฮลีอยู่ในช่วงเปลี่ยนฤดู อากาศหนาว กำ� ลงั หมดไป สายลมอนุ่ ๆ กำ� ลงั เรมิ่ พดั เขา้ มา ผทู้ ปี่ รบั ตวั ไมท่ นั กอ็ าจไมส่ บายเปน็ ไขเ้ ปน็ หวดั ได้ ผงสซี ง่ึ ท�ำมาจากธรรมชาติเรยี กวา่ กลุ าลหรอื อบรี (गलु ाल gulal หรอื अबीर abeer) ไดส้ แี ดง และสสี ม้ จาก ดอกทองกวาว ดอกหางนกยงู หญา้ ฝรงั่ ไชเทา้ แดง สเี หลอื งไดจ้ ากขมิ้น สีเขยี ว จากใบสะเดา ใบมะตูม สีน�้ำเงินจากต้นคราม ดอกศรีตรัง สีน้�ำตาลจากใบชาแห้ง สีม่วงจาก บที รทู หรอื ผักกาดแดง ชาวอนิ เดียเชอ่ื ว่ามสี รรพคณุ เปน็ ยา
สาดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 133 ชาวอินเดยี เลน่ สาดสีทงั้ ชนดิ น้ำ� และชนิดผง พรอ้ มกับเต้นร�ำไปดว้ ยอย่างสนุกสนาน ทเี่ มอื งมถุรา รฐั อตุ ตระประเทศ ภาพโดย วิชญา จาตกิ วนชิ อนิ เดยี ใต้ไมน่ ิยมเลน่ โฮลี มปี ีใหม่ของตนซ่ึงตรงกับวนั สงกรานตข์ องไทย อินเดียใต้ เป็นดินแดนท่ีมีอารยธรรมของตนเก่าแก่มาแต่โบราณ วัฒนธรรมของ ชาวอนิ เดยี ใตม้ อี ตั ลกั ษณส์ งู แมจ้ ะไดร้ บั อทิ ธพิ ล หรอื ไดป้ ะทะสงั สรรค์ แลกเปลย่ี นทางวฒั นธรรม กับอนิ เดียเหนือเปน็ ระยะๆ ก็ตาม แต่พวกเขากย็ งั รกั ษาขนบธรรมเนยี มประเพณใี นแบบฉบับ ของตนไวไ้ ดอ้ ยา่ งดี การเลน่ สาดสใี นเทศกาลโฮลที ค่ี ลง่ั ไคลก้ นั อยทู่ วั่ ไปในอนิ เดยี เหนอื กลบั ไดร้ บั ความนยิ ม น้อยมากในอินเดียใต้อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่อินเดียเหนือก�ำลังจัดเตรียมพิธีเผานางโฮลิกา หรือโฮลิกาดะฮัน อินเดียใต้ซึ่งมีศูนย์กลางส�ำคัญอยู่ท่ีรัฐทมิฬนาฑูน้ัน ก็ก�ำลังเตรียมงาน กามดะฮะนัม (กามทหนัม kamadahanam) กนั อยู่ แตอ่ นิ เดียใต้ให้ความสำ� คัญกบั เทศกาลนี้ ไปอีกทางหนึ่งคือ เน้นเรื่องต�ำนานพระกามเทพ เทพแห่งความรักผู้มีคันศรเป็นต้นอ้อย อันมีหมู่ภมรขึงเป็นสายธนู พิธีเผานางโฮลิกานิยมอยู่ในอินเดียเหนือ พิธีเผาพระกามเทพ นิยมอยใู่ นอนิ เดยี ใต้ โดยถอื คตวิ ่าเพ่ือท�ำลายความปรารถนาด้านลบในใจ เพ่ือให้มีพลงั ควบคุม จิตใจให้ใฝ่ดีในช่วงเทศกาลนีต้ ามสถานท่ีตา่ งๆ จะจดั ให้มีการขบั รอ้ งบทกวีพรรณนาตำ� นานรัก อนั แสนเศรา้ ของนางรตีผูส้ ูญเสยี สวามไี ป เพราะถกู ไฟจากพระนลาฏพระศิวะเผาทำ� ลาย และ ต่อมาพระศิวะกช็ ุบชีวติ พระกามเทพกลบั คืนขึ้นใหม่แตไ่ รร้ ปู ร่าง ดังได้กล่าวแล้วข้างตน้ วนั รงุ่ ขน้ึ ขณะทอ่ี นิ เดยี เหนอื เลน่ โฮลสี าดสแี ละถอื เปน็ วนั ขนึ้ รอบปฏทิ นิ ใหม่ อนิ เดยี ใต้ อาจพบการเล่นสาดสไี ดบ้ ้าง แตไ่ ม่ถือส�ำคญั นกั และยงั ไมถ่ ือเปน็ วนั ปีใหม่ การไปบชู าพระเจ้า ในเทวาลัยเพื่อขอพรมงคลนั้นพบเห็นได้ทั่วไปอยู่แล้วไม่ว่าเทศกาลใดๆ ทว่า ส�ำหรับช่วงเวลา
ส134 าดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี เปลยี่ นผา่ นเขา้ สฤู่ ดใู บไมผ้ ลยิ อ่ มเปน็ ชว่ งเวลาทว่ี เิ ศษกวา่ ในคมั ภรี ภ์ าษาสนั สกฤต “ปาญจราตระ” วรรณคดสี ำ� คญั ในกลมุ่ อาคมะ แหง่ ไวษณวสมั ประทายของทา่ นรามานชุ ในทมฬิ นาฑู ซง่ึ แตง่ ขน้ึ ระหว่าง ๓๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล ถึงราวๆ กลางศตวรรษที่ ๙ กล่าวว่า “ในช่วงเทศกาล ฤดูใบไม้ผลิ จะมีพิธีอัญเชิญเทวรูปให้ไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติในสวน ถวายดอกไม้ ขับกล่อมให้บนั เทิงและถวายอาหาร ผู้ทเี่ ข้ารว่ มพิธนี จ้ี ะไดร้ ับพรเป็นพิเศษ” (Guy R.Welbon & Glenn E.Yocum, ๑๙๘๒ : ๓๕) E-greeting card เน่ืองในเทศกาล ปตุ ตาณฏุ หรือปีใหมข่ องชาวทมฬิ อนิ เดียใต้ เป็นรูปถาดบรรจผุ ลไม้ ดอกไม้ กระจก เป็นของมงคลเพ่ือบูชาเทพเจา้ ในวันข้ึนปีใหม่ ที่มา www.fancygreetings.com/send-greeting/73/tamil-new-year วนั ขน้ึ ปใี หมใ่ นวฒั นธรรมของชาวทมฬิ อนิ เดยี ใต้ และในศรลี งั กาถอื ตามปฏทิ นิ สรุ ยิ คติ กลา่ วคอื ถอื วา่ เมอ่ื ดวงอาทติ ยโ์ คจรเขา้ สรู่ าศเี มษ หรอื เรยี กวา่ “เมษสงั กรานต”ิ เปน็ วนั ขนึ้ ปใี หม่ ตรงกบั วนั ที่ ๑๔ เมษายน ของทกุ ปี นน่ั คอื ตรงกบั เทศกาลสงกรานตข์ องไทย เรยี กวนั ขน้ึ ปใี หมน่ ี้ ว่า ปุตตาณฏุ (Putṭānṭu) วันแรกของเดือนจิตเตไร เดือนที่ ๑ ตามระบบปฏิทินสุริยคติ ในวัฒนธรรมทมิฬจึงเร่ิมขึ้นในวันนี้ (อินเดียเหนือเรียกเดือนไจตระ) มีประเพณีเตรียมผลไม้ เช่น มะม่วง กลว้ ย ขนุน เปน็ ต้น อกี ทง้ั หมาก ใบพลู เครือ่ งประดับทองหรือเงนิ เงินเหรียญ ดอกไม้ และกระจกใส่ถาดเตรยี มไวต้ งั้ แต่คนื วานเพ่ือจะได้ตืน่ มาเหน็ ทนั ทเี ป็นมงคล ในตอนเช้าวันปีใหม่ แล้วน�ำถาดนั้นไปบูชาเทพเจ้า ในวันนี้ไม่มีเล่นสาดน�้ำอย่าง สงกรานตไ์ ทย และไมม่ เี ล่นสาดสอี ยา่ งเทศกาลโฮลใี นอินเดียเหนือ มเี พยี งการไปวัดทำ� บุญบชู า เทพเจา้ นยิ มตกแตง่ หนา้ บา้ นดว้ ยโกลมั หรอื สง่ิ ทอี่ นิ เดยี เหนอื เรยี กรงั โคลี คอื การเขยี นลวดลาย เรขาคณติ หรอื สญั ลกั ษณม์ งคลดว้ ยผงสี หรอื กลบี ดอกไม้ ประดบั ตกแตง่ บรเิ วณทางเขา้ หนา้ บา้ น นิยมทำ� โดยสตรี
สาดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 135 เด็กหญงิ ชาวมาทไุ ร รฐั ทมฬิ นาฑู ก�ำลงั ตกแต่ง โกลมั ดว้ ยดอกไม้เพอ่ื เป็นสริ ิมงคลในวนั ขึน้ ปใี หม่ ทม่ี า www.trekearth.com/gallery/Asia/India/South/Tamil_Nadu/Madurai/photo667157.htm บทสรุป คนทั่วไปมักเข้าใจว่าการเล่นสาดน้�ำในวันสงกรานต์ของไทยมีท่ีมาจากเทศกาลโฮลี ในอินเดีย แม้ว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมอินเดียจะปรากฏมากในสังคมวัฒนธรรมไทยก็ตาม แต่การมีทัศนะว่าอะไรๆ ของไทยล้วนแต่มาจากอินเดียนั้นจะปิดโอกาสรับรู้ ไม่ท�ำให้มี ความกา้ วหนา้ ทางความรไู้ ด้ วฒั นธรรมเปน็ สงิ่ ทเี่ ผยแพร่ แลกเปลยี่ นถา่ ยเทและผนั รปู รา่ งหนา้ ตา ไปตามกาลเวลา-สถานท่ี บางทีก็ยากที่จะระบุได้ว่าอะไรเป็นของใคร หรือใครคิดขึ้นก่อนแล้ว สง่ มอบตอ่ ไปใหใ้ คร ถา้ หากพจิ ารณาดว้ ยทศั นะวา่ วฒั นธรรมคอื สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ดำ� รงอยอู่ ยา่ งมพี ลวตั และดำ� เนนิ ตอ่ ไปโดยแจกจา่ ยแบง่ ปนั ทง้ั ในมติ ขิ องเวลา และสถานท่ี วฒั นธรรมกจ็ ะเปน็ ของกลาง ร่วมกันในชนกลุ่มต่างๆ ในภูมิภาคท่ีกว้างขวาง ในกาลเวลาที่ไร้ขอบเขต ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพียงคนเดียว อินเดียไม่ได้เล่นสาดน�้ำในวันสงกรานต์แบบที่นิยมกันในเมืองไทย สงกรานต์ไทยก็ ไม่รู้จักสาดสีป้ายสีอย่างโฮลีในอินเดีย ไม่รู้จักนางโฮลิกา ไม่รู้จักพิธีเผาพระกามเทพและ อนั ทจี่ รงิ กเ็ รมิ่ เปน็ ทแ่ี พรห่ ลายในวงวชิ าการแลว้ วา่ ประเพณสี าดนำ้� สงกรานตน์ นั้ เปน็ วฒั นธรรม ประดษิ ฐใ์ หม่ สงิ่ เดยี วทไี่ ทยและอนิ เดยี มตี รงกนั ในวนั นน้ั คอื “เมษสงั กรานต”ิ ดวงอาทติ ยโ์ คจร เขา้ สรู่ าศเี มษถอื เปน็ การขนึ้ รอบใหมข่ องปฏทิ นิ ทางสรุ ยิ คติ ไทยเรารบั เอาระบบปฏทิ นิ นมี้ าจาก พราหมณ์ทมิฬอินเดียใต้ ท�ำให้ราชส�ำนักในสมัยโบราณถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันเถลิงศก การเล่นโฮลีซัดผงสีสาดน�้ำสีเป็นวัฒนธรรมของอินเดียเหนือ มีคติความเช่ือและต�ำนานเป็นไป อีกทางหน่ึง อินเดียเหนือก�ำหนดวันโฮลีโดยใช้ปฏิทินจันทรคติ จึงเป็นคนละวัน ไม่ตรงกับ
ส136 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย คนไทยท่หี ลงใหลในวัฒนธรรมอินเดียรว่ มเลน่ สฉี ลองเทศกาลโฮลกี บั ประชาคมชาวอินเดยี ในไทย ณ หอการคา้ อินเดยี ไทย ซ.สาทร ๑ ภาพโดย คณุ วาดน้�ำ จนั ทรพ์ วง วนั สงกรานตไ์ ทย ไม่ตรงกับวนั ปตุ ตาณฏปุ ใี หมท่ มิฬทกี่ �ำหนดโดยปฏิทินสรุ ิยคติ ส่ิงทม่ี ตี รงกนั ก็คือ ทัง้ เทศกาลโฮลี ปุตตาณฏุ และสงกรานต์ ตา่ งเปน็ พิธกี รรมการเปลี่ยนผา่ น การก้าวพน้ จากห้วงเวลาเก่ามุ่งสู้ชีวิตใหม่ด้วยความหวัง และจิตใจท่ีสดช่ืนเบิกบานเตรียมขึ้นรอบปีหรือ ฤดกู าลใหม่ เพยี งมกี จิ กรรมแสดงออกในลกั ษณาการตา่ งกนั เทา่ นนั้ ซงึ่ จะขนึ้ อยกู่ บั คตคิ วามเชอ่ื และภูมหิ ลังของสงั คมเปน็ ปัจจยั ก�ำหนด
สาดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 137 บรรณานุกรม एस.पी.उपाध्याय.भारतीयपर्वऔरत्योहार.दिल्ली: साहित्यप्रचारक, ๑๙๗๘. Guy R.Welbon&GlennE.Yocum. Religious Festivals in South India and Sri Lanka. Delhi: Ramesh Jain Manohar Publications, ๑๙๘๒. SadhuMukundcharandas. Hindu Festivals. Delhi : Swaminarayan Aksharpith, ๒๐๑๐. www.holifestival.org ขอขอบคณุ คุณวชิ ญา จาติกวณชิ คุณอัญมณี วรรณวิชย์ คุณวาดน�ำ้ จนั ทรพ์ วง ทก่ี รณุ าเอื้อเฟอ้ื ภาพถ่ายประกอบบทความ
หนงั สอื รวมบทความประกอบการเสวนา สาดนา้� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี จดั เสวนาวนั พฤหัสบดี ท่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ หอ้ งประชมุ ริมน�้า คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ทา่ พระจนั ทร์ จัดโดย สา� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ รว่ มกบั คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล และฝ่ายวชิ าการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140