ส50 าดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย จารกึ ของอาณาจกั รเขมรโบราณ (ขอมโบราณ) ท่ปี ัจจบุ นั เป็นพนื้ ท่ีของประเทศไทย อาทจิ ารกึ พระศรสี รู ยลกั ษมี ดา้ นที่ ๓ พุทธศตวรรษ ๑๗ อักษรขอมโบราณภาษาเขมร, สนั สกฤตพบท่ี อำ� เภอพล จงั หวัดขอนแกน่ ความว่า ... ศก ๙๔๔ ขึน้ ๕ ค่�ำ เสวยฤกษ์กฤตตกิ า วนั พธุ ดว้ ยกมั รเตงอญั เทวีศรสี รู ย ลกั ษมี ไดถ้ วายกัลปนา เหลา่ นแี้ กพ่ ระ แห่งสิงหลที าสทีถ่ วาย ทรัพย์ ไตปะโรงเฉวงทรพั ย์ ไตเนก ทรพั ย์โฆเชน ตระพาง คน ๗๐ คน นาต้นเปรยี ง ถงึ นาเตฏเกทําถงึ นาตน้ สําโรง นาเลวงววมึ นาลากกาง ไม่ถวายแกพ่ ระท่มี า ผจญพธิ สี งกรานต์ ขา้ วสาร . . . กระเชอ .... (ชะเอม แกว้ คล้าย และบญุ เลิศ เสนานนท,์ ๒๕๓๕ : ๑๐๙ - ๑๒๑) ในจารกึ วดั สระกำ� แพงใหญ่ ดา้ นท่ี ๑ อกั ษรขอมโบราณภาษาเขมร พทุ ธศกั ราช ๑๕๘๕ พบทซี่ มุ้ ประตกู ำ� แพงศาสนสถาน วดั สระกำ� แพงใหญ่ ตำ� บลสระกำ� แพงใหญ่ อำ� เภออทุ มุ พรพสิ ยั จงั หวดั ศรีสะเกษ กลา่ วถึงชว่ งเวลาของสงกรานตไ์ ว้เช่นกนั ดงั นี้ .... มหาศกั ราช ๙๖๔ ขึน้ ๒ ค่�ำ เดอื น ๕ แหงวศิ วุ สงกรานต๒์ ด้วยพระกัมรเตงอัญ ศิวทาส คณุ โทษ พระสภาแห่งกัมรเตงชคต ศรพี ฤทเธศวร เมอื งสดกุ อาํ พิล ซึ่งไดร้ ว่ มกนั กับ พระกัมรเตงอัญ ขทุรอุปกัลปดาบส พระกัมรเตงอัญ ศิขเรสวัต พระธรรมศาสตร์และ พระกัมรเตงอัญผู้ตรวจราชการ แต่ละปักษ์และพระกัมรเตงอัญ ศิวทาส ซ้ือท่ีดินนี้ซึ่งอยู่ ติดกับตระพังพราหมณ์แก่กําเสตงโขลญมุขประติปักษ์และได้แนะนํา พระกัมรเตงอัญ พยาบาร เพื่อปักหลักเขต และทําการถวายเจาะจงสงกรานต์ใน กัมรเตงชคต ศรพี ฤทเธศวร ข้าวสาร ๑ กระบงุ ข้าทท่ี ํากัลปนานน้ั มีไตกนั โส ไตกันโสอีก ไตกําพฤกไต ถะเกน ไตกะเชณ สฤิ ทธบิ รู นใี้ นกศุ ลปกั ษก์ ฤษณปกั ษ์ มไี ตกนั ธณ ไตกาํ สด สกิ าํ พดิ ไตสมากลุ สาํ สาํ อบ สกิ าํ ไพ รวมทาส สไิ ต ซึ่งบําเรอ สงกรานตท์ ้ัง ๒ ปักษ์ ….(อำ� ไพ ค�ำโท, ๒๕๒๙ : ๑๗๑ - ๑๗๕.) อย่างไรก็ตาม ยังมีจารึกอีกจ�ำนวนหนึ่งที่กล่าวถึง “สงกรานต์” ในความหมายของ ตำ� แหนง่ หรอื บคุ คล ดังปรากฏใน จารกึ วัดพระธาตเุ ชิงชุม ด้านที่ ๑ อักษรขอมโบราณ ภาษา เขมร พทุ ธศตวรรษ ๑๗ พบทกี่ รอบประตูทางเขา้ อโุ มงค์วดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ วรวิหาร (พระธาตุ เชิงชมุ ) ตำ� บลธาตเุ ชิงชมุ อ�ำเภอเมอื ง จังหวดั สกลนคร ... แรม ๘ ค�่ำ เดือน ๗ ชยานักษัตร วันอังคาร ด้วยพวกเราพากันไปชี้แจงต่อ ขโลญพลผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านพะนุรพิเนา ตามคําแนะนําของกําเสตงว่า ท่ีดินท่ีชระเลง ซ่ึงอยู่ภายในหลักเขตนั้น เราได้มอบให้หัวหน้าท่ีดินซึ่งอยู่ในหลักเขตใหญ่ขึ้นอยู่กับโลญ ผู้เป็นหัวหน้าแห่งหมู่บ้านชระเลง สวนนอกหลักเขตให้ ข้ึนอยู่กับโลญ ผู้เป็นหัวหน้าแห่ง หมู่บ้านพะนุรพิเนา มัทยนักษัตร วันอาทิตย์โขลญพลแห่งชระเลงถวายทาส ๔ คน ๒“วศิ วุ สงกรานต”์ เปน็ วนั ทพี่ ระอาทติ ยอ์ ยตู่ รงศรี ษะคอื เวลาเทยี่ ง มเี วลากลางวนั และกลางคนื เทา่ กนั (อำ� ไพ คำ� โท, ๒๕๒๙ : ๑๗๑ - ๑๗๕.)
สาดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย 51 แด่เทวรปู วัว ๖ ตัวข้าวเปลอื กและนาแด่สงกรานต๓์ และไว้ประจําแก่โขลญพล เพอ่ื ให้ ดแู ลในสิง่ ทั้งปวง ....(อำ� ไพ คำ� โท, ๒๕๒๙ : ๒๘๔ - ๒๘๖) ในสมยั กอ่ นสโุ ขทยั อาจกลา่ วไดว้ า่ ยงั ไมม่ ขี อ้ มลู ชดั เจนถงึ สงกรานตข์ องคนไทย มเี พยี ง หลักฐานของเขมรโบราณท่ีอยู่บนดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน ท้ังยังไม่ปรากฏการใช้ค�ำ “สงกราน ต”์ ในจารึกภาษาไทยด้วย ๑.๒ สงกรานตใ์ นวรรณกรรมอยธุ ยา ในสมยั อยธุ ยานบั ไดว้ า่ เปน็ ยคุ ทปี่ รากฏการใชค้ ำ� “สงกรานต”์ มบี นั ทกึ ในกาพยห์ อ่ โคลง นริ าศธารท องแดง ของเจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร์ ทรงพรรณนาถงึ การทำ� บญุ ในชว่ งสงกรานตไ์ วว้ า่ เดือนหา้ อ่าโฉมงาม การออกสนามตามพ่ไี คล สงกรานตก์ ารบุญไป ไหว้พระเจ้าเขา้ บณิ ฑถ์ วายฯ เดอื นหา้ อา่ รูปล�ำ้ โฉมฉาย การออกสนามเหลือหลาย หลากเหลน้ สงกรานตก์ ารบุญผาย ตามพี่ พระพุทธรปู ฤๅเว้น แตง่ เข้าบณิ ฑถ์ วายฯ (กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๑ : ๒๖๑) นอกจากนี้ยังมีกล่าวไว้ในพิธีทวาทศมาศของเก่า ท่ีกล่าวถึงรายละเอียดของพิธี สงกรานตไ์ ว้ชดั เจนดังความว่า พระราชพธิ ลี ะแลงสุก (เถลิงศก) เม่ือสงกรานต์ (๑) พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสด็จไปสรงน้�ำพระ (พุทธปฏิมากร) ศรีสรรเพชญ์ (และเทวรูป) พระพฆิ เณศวร (๒) โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะเข้ามาสรงนำ้� แลรับพระราชทานอาหาร บณิ ฑบาตและจตุปัจจัยที่ในพระราชวงั ๓ วนั (๓) ทรงกอ่ พระเจดยี ท์ รายทวี่ ดั พระศรสี รรเพชญ์ และมกี ารฉลองพระเจดยี ท์ รายดว้ ย (๔) ตง้ั โรงทานเล้ยี งพระแลราษฎรซ่งึ มาแต่จตุรทิศ มเี ครอ่ื งโภชนาหารคาวหวาน นำ้� กนิ นำ้� อาบแลยารกั ษาโรคท้ัง ๓ วัน (สุภาพรรณ ณ บางช้าง, ๒๕๓๕ : ๒๙๐) ๓“สงกรานต”์ ในบรบิ ทนี้ เมอ่ื ไดส้ นทนากบั รองศาสตราจารย์ ดร.ปรดี ี พศิ ภมู วิ ถิ ี แลว้ ไดข้ อ้ สนั นษิ ฐานทนี่ า่ สนใจวา่ อาจหมายถงึ “สงั ขานต”์ ซง่ึ มนี ยั เชอ่ื มโยงไปสผู่ บี รรพบรุ ษุ นอกจากนี้ ศาสตราจารยส์ กุ ญั ญา สจุ ฉายา แสดงทศั นะวา่ “สงั ขานต”์ อาจเปน็ รอ่ งรอยของการบชู าผบี รรพบรุ ษุ และภายหลงั ใช้ “ขนุ สงั ขานต”์ เปน็ ตวั แทน ขณะทใี่ นลาวใช้ ปเู่ ยอ ยา่ เยอ ซง่ึ เปน็ มนษุ ยค์ แู่ รกและ บรรพบรุ ษุ ของมนษุ ยร์ ว่ มแหใ่ นขบวนสงกรานต์ ผเู้ ขยี นขอกราบขอบพระคณุ ทง้ั ๒ ทา่ นทกี่ รณุ าแสดงทศั นะอนั เปน็ ประโยชนย์ งิ่ ตอ่ บทความนี้
ส52 าดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี สงกรานต์ในวรรณกรรมสมัยอยุธยา ให้ภาพรายละเอียดของแนวปฏิบัติในเทศกาล สงกรานตไ์ ดค้ อ่ นขา้ งชดั เจน เหน็ ความพยายามในการผกู คตเิ รอื่ งสงกรานตก์ บั พระพทุ ธศาสนา มาแตต่ น้ และไดก้ ลนิ่ อายของวฒั นธรรมเขมรในเทศกาลสงกรานต์แห่งราชส�ำนักสยาม ๑.๓ สงกรานตใ์ นวรรณกรรมรตั นโกสนิ ทร์ วรรณกรรมรัตนโกสินทร์มีการบันทึกถึงเทศกาลสงกรานต์ไว้หลายเรื่อง เห็นภาพ ท้ังสงกรานต์แบบชาวบ้านและแบบชาววัง สงกรานต์แบบชาววัง มีบันทึกไว้ในวรรณกรรม ที่มีลักษณะเป็นวรรณกรรมต�ำราแบบแผนพระราชพิธี คือ พระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธี สิบสองเดือน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งให้รายละเอียดของพระราชพิธี ไว้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในพระราชพิธีเดือนห้า ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งเทศกาลสงกรานต์ ชาววังจะมีการสังเวยเทวดา สมโภชเครื่องและเล้ียงโต๊ะปีใหม่พระราชพิธีคเชนทรัศว-สนาน และพิธสี งกรานต์ซ่งึ ประกอบดว้ ยการพระราชพธิ พี ระราชกศุ ลตา่ งๆ วนั สงกรานตเ์ รมิ่ เมอ่ื วนั ขนึ้ หนง่ึ คำ่� เดอื นหา้ ซง่ึ เปน็ กำ� หนดขน้ึ ปใี หม่ นบั เปน็ วนั นกั ขตั ฤกษ์ ส�ำคัญ ส�ำหรับชาวไทยมาแต่โบราณ ส�ำหรับการภายในมีพระราชพิธีพระราชกุศลนักขัตฤกษ์ ในวนั นพ้ี ระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการถวายบังคมถือน�้ำพระพพิ ฒั น์สจั จา แลพระราชทาน เบย้ี หวดั ผา้ ปแี กข่ า้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทฝา่ ยหนา้ ฝา่ ยใน นอกจากนม้ี พี ระราชกศุ ลกอ่ พระทราย และถวายขา้ วบณิ ฑ์ ในวนั สงกรานต์ พธิ สี งกรานตแ์ บง่ ออกเปน็ สามตอนสามวนั วนั มหาสงกรานต์ วนั เนาและวันเถลิงศก ตามล�ำดบั อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าน้ีมีวรรณกรรมที่กล่าวถึงแบบแผนพระราชพิธีในลักษณะนี้ เช่นกัน แต่มิได้ให้รายละเอียดมากเท่าพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน แต่งเป็นโคลง คือ โคลงพระราชพิธีทวาทศมาส พระราชนิพนธ์ใน สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบ�ำราบ ปรปักษ์ มเี น้อื หากลา่ วถึงพระราชพิธเี ดือน ๕ ดงั น้ี ร�ำ่ กล่าวราวเรอื่ งสน้ั เสรจ็ สนาม เป็นสขุ แสนส�ำราญ ทว่ นหน้า จกั เรยี งเร่ืองสงกรานต์ เตมิ ต่อ แบบบุราณทว่ั หล้า โลกล้วนเคยมี ก�ำหนดสรุ ิยยาตรเย้ือง รอบจกั ร เป็นทเี่ ปล่ียนศักราช ใหมไ่ ด้ ขนึ้ สู่เมศราษพี รัก พร้อมนบั ถือนา บังคบั แหง่ โหรให ้ เรยี กรู้ทวั่ แดน จิตรมาสสคี่ ่ำ� ขนึ้ กำ� หนด แมว้ ่าจกั ถอยถด ห่อนได้ ออกจนสุดเดือนหมด สิ้นปกั ษ์ แรมแฮ เดอื นหกขนึ้ ส่ีไซร้ นอกนั้นฤามี
สาดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 53 บอกบุญใหก้ ่อสรา้ ง เจดยี ์ ทรายเฮย ตามพระอารามหลวงมี ใหมส่ รา้ ง เปล่ียนผลัดวัดละปี ฉนั สวด ฉลองเฮย ขา้ ราชการเกณฑบ์ ้าง กบั ท้ังประยรู วงศ์ วันเนานั้นต้ังพระ ชัณษา หกสิบรูปพระราชา- คณะถ้วน ฉนั แลว้ รดน้�ำมา ฉันอกี เพลเฮย ถวายแตไ่ ตรแพรล้วน ทว่ั ถ้วนทกุ ปี วันเถลิงศกขึ้นใหม ่ มีการ ต้งั มุรธาภเิ ษกสนาน ราชไท้ มวลหมู่เหล่าพนกั งาน ถวายโสรจ สรงนา เตรียมอยคู่ อยรบั ใช้ พรักพร้อม เพรียงกนั นอกจากวรรณกรรมต�ำราที่บันทึกเทศกาลสงกรานต์แล้ว ยังมีวรรณคดีท่ีบันทึกภาพ และบรรยากาศของเทศกาลสงกรานตใ์ นสมยั ต้นกรงุ รตั นโกสนิ ทรไ์ วห้ ลายเร่ือง ดังน้ี เสภาขนุ ชา้ งขนุ แผน เปน็ เรอ่ื งเกา่ ทแี่ ตง่ สมยั ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ ลา่ บรรยากาศเทศกาล สงกรานตข์ องชาวเมอื งสพุ รรณบรุ ไี วอ้ ยา่ งนา่ สนใจ โดยกลา่ วถงึ กจิ กรรมตา่ งๆ และการมสี ว่ นรว่ ม ของชาวบา้ น ความสนกุ สนานรน่ื เรงิ และบรรยากาศแหง่ การเฉลิมฉลอง โดยเน้ือเรื่องแทรกไว้ ในตอนท่ีพลายแก้ว (ขุนแผน) เมื่อครง้ั เป็นเณรแกว้ ได้มาอาศยั บวชเรียนกับสมภารมี ซ่ึงเปน็ เจา้ อาวาสทว่ี ดั ปา่ เลไลยน์ ้ี จนขนุ แผนเทศนไ์ ดเ้ กง่ ตงั้ แตอ่ ายยุ งั นอ้ ย เมอื่ ถงึ เทศกาลสำ� คญั รวมถงึ เทศกาลสงกรานต์ ดงั น้ี ๏ ทีนจ้ี ะกล่าวเรอื่ งเมืองสุพรรณ ยามสงกรานตค์ นนนั้ กพ็ รอ้ มหนา้ จะทำ� บญุ ใหท้ านการศรทั ธา ต่างมาท่ีวดั ปา่ เลไลย์ หญิงชายน้อยใหญไ่ ปแออัด ขนทรายเขา้ วัดอยขู่ วักไขว่ กอ่ พระเจดีย์ทรายเรยี่ รายไป จะเลี้ยงพระกะไวใ้ นพรงุ่ นี้ นิมนตส์ งฆ์สวดมนต์เวลาบ่าย ตา่ งฉลองพระทรายอย่อู ึงมี่ แลว้ กลบั บา้ นเตรยี มการเลย้ี งเจ้าชี ปง้ิ จีส่ ารพดั จัดแจงไว้ ท�ำนำ�้ ยาแกงขมต้มแกง ผ่าฟกั จกั แฟงพะแนงไก่ บ้างท�ำหอ่ หมกปกปดิ ไว ้ ตม้ ไข่ผัดปลาแหง้ ท้งั แกงบวน บ้างกท็ ำ� วุน้ ชาสาคู ขา้ วเหนียวหน้าหมูไว้ถีถ่ ้วน หนา้ เตยี งเรียงเล็ดขา้ วเมา่ กวน ของสวนสม้ สูกท้งั ลกู ไม้ มะปรางลางสาดลกู หวายหว้า ส้มโอสม้ ซ่าทั้งกล้วยไข่ ทกุ บ้านอลหม่านกนั ทว่ั ไป จนดกึ ดื่นหลบั ใหลไปฉบั พลัน คร้ันรุง่ แจง้ แสงทองสอ่ งฟา้ ตา่ งตกแต่งกายาขมีขมนั หนุ่มสาวเถ้าแก่มาแจจัน พรอ้ มกันทว่ี ดั ป่าเลไลย์ ฯ
ส54 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี ๏ ฝ่ายว่านางพมิ กับมารดา พาบ่าวไพรอ่ อกมาหาช้าไม่ ข้าวปลาธารณะจดั หาไป ธูปเทียนดอกไมใ้ สพ่ านมา ถึงวดั นง่ั ลงตรงพระทราย แลว้ ถวายนมัสการถ้วนหน้า หญงิ ชายเต็มไปในวดั วา ปูเสอ่ื สาดคอยทา่ พระสงฆไ์ ว้ ฝา่ ยพระสงฆ์หม่ ดองครองผา้ เสรจ็ แลว้ ลงมาศาลาใหญ่ เถรเณรน่งั จัดถัดกันไป สัปปุรุษกราบไหว้ดว้ ยยนิ ดี ตา่ งถวายเภสชั จดั พานเรยี ง ห่มผ้าสไบเฉยี งอยตู่ ามท่ี อาราธนาศลี ขน้ึ ทันท ี สมภารมีกใ็ หศ้ ีลไปพลัน แลว้ ถวายพรพระตงั้ นโม พวกสีกาหาโออย่ตู วั สนั่ จดั ของใส่สำ� รบั ลงฉับพลัน ตงั้ ถวายเป็นหลนั่ กันลงมา ลกู ศษิ ย์เถรเณรประเคนบาตร องั คาสข้าวของไว้ตรงหน้า ช่วยเหลือคอยสำ� รวจตรวจตรา นา้ํ ยาพรอ่ งตอ้ งตกั เอาเตมิ ไป ฯ ๏ ฝา่ ยว่านางพิมมศี รัทธา กล้วยขนมสม้ ซ่าใส่ถาดใหญ่ หยบิ ขนั ขา้ วบาตรเดินนาดไป ใส่แต่หวั โตง่ ลงมาพลัน ครัน้ วา่ มาถงึ เจ้าเณรแกว้ แลแลว้ เรรวนนกึ หวนหนั เจา้ เณรน้ีทเี หมอื นรู้จกั กัน นางกต็ ักจังหันทัพพีโต หมผู ดั ปลาแห้งท้งั แกงไก ่ ไข่พอกซีกใหญใ่ สอ่ กั โข ไส้กรอกปลาแห้งแตงโม แกงโถหนึ่งใสใ่ หพ้ อแรง เณรแกว้ ก้มหนา้ ไมท่ ันร้ ู เห็นของมากเงยดกู ็ตาแข็ง ปะหน้าสีกาพิมย้ิมตะแคง สกี าน้ีมิแกลง้ ข้าฤๅไร ตักบาตรเหลือลน้ จนโอสน้ิ จะรู้ทีเ่ ปบิ กินกะไรได้ หวานเค็มก็เต็มสำ� รบั ไป ส่วนท่ีของชอบใจมิใหเ้ รา นางพมิ ยมิ้ ไปลไ่ ฮ้เจ้าเณร ขา้ คิดว่าหลวงเถนเหน็ โอเปล่า เขาใส่ให้อกั โขพาโลเอา จะใหเ้ ขาเสยี ศรทั ธาขนื ว่าไป เณรใจบกึ ๆ นกึ เป็นครู่ เหมือนเคยเลน่ กบั กกู จู ำ� ได้ ช่ือวา่ สกี าพมิ พิลาไลย สาวข้นึ สวยกะไรเพียงบาดตา ครน้ั พระสงฆฉ์ ันเสรจ็ ส�ำเร็จพลนั ทา่ นสมภารมนี ้ันกย็ ถา อนั ดับรบั สพั พีโมทนา สปั ปรุ ุษสีกาก็กรวดนํา้ ตา่ งคนยนิ ดีปรีดา เสร็จแล้วกลับมาอยู่คลาคล�่ำ เสียงแซ่ซอ้ งบ้างรอ้ งเป็นลำ� น�ำ บา้ งฟอ้ นรำ� ฉลองทานสำ� ราญครนั ฯ ในวรรณกรรมของสุนทรภู่มีกล่าวถึงเทศกาลสงกรานต์ไว้ในร�ำพันพิลาปซึ่งสุนทรภู่แต่ง ขณะครองเพศเป็นสมณะและจ�ำพรรษาอยู่ ณ วัดเทพธิดาราม มีเนื้อหากล่าวถึงวิถีชีวิตไทย ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดังนี้
สาดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 55 ๏ ฤดรู ้อนก่อนเก่าทำ� ข้าวแช่ นา่ ชมแตเ่ ครือ่ งกับส�ำรบั ฉัน ชา่ งทำ� เป็นเชน่ ดอกจอกเปน็ ดอกจนั ทน ์ งามจนชนั้ กระชายทำ� เหมอื นจำ� ปา มะมว่ งดิบหยบิ ดูจึง่ รู้จัก ท�ำนา่ รกั รูปสตั ว์เหมือนมจั ฉา จะแลลบั กลบั กลายสุดสายตา เคยไปมามิได้เห็นจะเวน้ วาย ๚ ๏ ตรษุ สงกรานตท์ า่ นแตง่ เครอื่ งแปง้ สด ระรื่นรสราเชนพุมเสนกระสาย น�ำ้ กหุ ลาบอาบอรุ ะแสนสบาย ถงึ เคราะหร์ า้ ยหายหอมใหต้ รอมทรวง เหมือนแสนโง่โอเ้ สยี แรงแตง่ หนังสือ จนมีชื่อลอื เลื่องทัง้ เมืองหลวง มามืดเหมอื นเดือนแรมไมแ่ จ่มดวง ตอ้ งเหงางว่ งทรวงเศรา้ เปลยี่ วเปลา่ ใจ จ�ำจากเพอื่ นเหมอื นจะพาน้�ำตาตก ต้องระหกระเหนิ หาที่อาศยั โอแ้ สนอายปลายอ้อยเลอื่ นลอยไป เจบ็ เจบ็ ใจไมร่ หู้ ายซงั ตายทน ๚ ในนริ าศพระปฐมของหลวงจกั รปาณี (ฤกษ)์ กลา่ วถงึ สงกรานตไ์ วเ้ ลก็ นอ้ ย โดยกลา่ วถงึ ชวี ติ ในวยั หนมุ่ กบั หญงิ คนรกั และเทศกาลสงกรานตเ์ ปน็ หนง่ึ ในชว่ งเวลาทไ่ี ดส้ านสมั พนั ธก์ บั หญงิ คนรกั คดิ ถึงคร้งั ร่นุ หน่มุ ได้ชุ่มเชย ปานเสวยยาทิพยห์ ยิบดาวเดือน แตล่ ะค�ำดุจอ�ำมฤตรส มาย้อยหยดยาใจใครจะเหมือน พี่หลงใหลใฝฝ่ ันจนฟัน่ เฟอื น แตเ่ วยี นเยอื นเยย่ี มเจา้ ทกุ เชา้ เยน็ ถ้าวันไรไม่พบประสบพกั ตร์ กำ� เรบิ รกั โรคเบยี นสกั เกวยี นเขน็ ถ้าเหน็ หน่อยค่อยฟน้ื เหมอื นคืนเป็น เคยไปเล่นสงกรานต์ที่บ้านโนน้ ควรเปน็ จอมหมอ่ มพระยาน่าสวาท มารยาทยศอยา่ งเหมอื นนางโขน ทัง้ สาระแนแง่งอนทั้งออ่ นโยน สะเอวโอนออ้ งแอง้ เหมอื นแกลง้ กลงึ นิราศเดอื นของ หม่ืนพรหมสมพัตสร หรอื นายมี พรรณนาคร่�ำครวญถงึ คนรกั โดยใช้เวลา ในแตล่ ะเดอื นเปน็ แกนในการดำ� เนนิ เร่ือง ในเดือน ๕ นายมกี ลา่ วถึงบรรยากาศของงานสงกรานต์ ของชาวบา้ นในสมยั รชั กาลที่ ๓ ท่ีเตม็ ไปด้วยมหรสพและการละเล่นร่ืนเริงตา่ งๆ จำ� นวนมาก ดงั นี้ ๏ โอ้ฤดูเดอื นห้าหน้าคมิ หนั ต์ พวกมนุษย์สุดสขุ สนุกครัน ได้ดูกันพศิ วงเมื่อสงกรานต์ ท้ังผู้ดเี ข็ญใจใสอ่ ังคาส อภวิ าทพุทธรปู ในวิหาร ลว้ นแต่งตัวท่ัวกนั วนั สงกรานต ์ ดสู คราญเพริศพริ้งท้งั หญงิ ชาย ท่เี ฒา่ แก่แมห่ ม้ายไม่ใคร่เท่ยี ว สอู้ ดเปรย้ี วกนิ หวานลกู หลานหลาย ท่กี �ำดดั ขดั สีสวยทัง้ กาย เทยี่ วถวายนำ้� หอมน้อมศรทั ธา บา้ งก็มีท่ีสวาด์มิ าดพระสงฆ์ ต่างจ�ำนงนึกก�ำดดั ขัดสิกขา ได้แต่เพยี งพดู กนั จำ� นรรจา นานนานมากลบั ไปแลว้ ใจตรอม ฯ ๏ ล้วนแต่งตวั เตม็ งามทรามสวาด์ิ ใสส่ ฉี าดฟุ้งเฟื่องดว้ ยเครอื่ งหอม สงกรานต์ทีตรุษทีไมม่ มี อม ประดบั พรอ้ มแหวนเพชรเมด็ มกุ ดา
ส56 าดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย มีเท่าไรใส่เทา่ นนั้ ฉันผ้หู ญงิ ดเู พรดิ พรง้ิ เพราเอกเหมอื นเมขลา รามสรู เดินดนิ สน้ิ ศกั ดา เท่ียวไล่คว้าบางทกี ็มีเชิง บา้ งเลน่ เบย้ี เสยี ถั่วจนมัวมดื ใครขต้ี ดื ถากถางวางกันเหลิง บา้ งฉดุ มอื ยื้อผ้าด่ากันเปงิ ทีร่ ู้เชงิ ทำ� แปดเกา้ เป็นเจ้ามือ เขาตัดไพต่ ายแพ้เหลือแต่ผา้ ส้ินปญั ญาบน่ พลางครางหือหอื น่งั เสยี ใจเต็มทตี ้องหนีมือ ไม่สตั ย์ซอื่ ทำ� ไพ่ตายเขาเอง ดูเขาเล่นเปน็ ฤดูไม่รขู้ าด นชุ นาฏพงึ่ กระเตาะขนึ้ เหมาะเหมง บา้ งกห็ ลงเลยเลน่ เป็นนกั เลง ฉนั นเ้ี กรงกลัวนกั ไมร่ ักเลย ท้งั หนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น บา้ งซมุ่ เปน็ ผัวเมียกันเสียเฉย แตต่ ัวเราเปล่าไปมไิ ด้เชย โอ้อกเอ๋ยคิดไปแล้วใจตรม ให้เจบ็ จุกทุกขเ์ ทา่ ครี ศี ร ี ดว้ ยไมม่ ีคู่ชดิ สนทิ สนม ทกุ วนั นี้ใครมซี ึง่ คู่ชม ส�ำราญรมย์เรงิ จติ เป็นนจิ กาล เมอ่ื ไรเล่าเราน้จี ะมบี า้ ง จะได้ว่างเวน้ ทุกข์สนกุ สนาน แต่นึกปองตรองหามาชา้ นาน ทอดสะพานเขา้ ที่ไหนไมไ่ ด้เลย ฯ นอกจากน้ี ส.พลายนอ้ ย (๒๕๔๗: ๕๙) กลา่ วถงึ นริ าศรำ� พงึ ของพระอยู่ วดั สทุ ศั นเทพวราราม ที่เล่าถึงชาวบ้านท่ีมักหาความสนุกรื่นเริงตามความพอใจในระหว่างเทศกาลสงกรานต์ หน่ึงในนั้นคือ การเล่นการพนนั ซึ่งในสมัยโบราณอนญุ าตใหเ้ ล่นไดโ้ ดยเสรี ..... แลว้ เลยคิดถึงเดอื นสข่ี ึ้นปีใหม่ แรมสิบสค่ี �ำ่ สมมติวา่ ตรษุ ไทย คิดตดิ ไพ่เล่นท่เี รอื นเหมอื นทกุ ปี เรยี กภรรยามาพร้อมล้อมเล่นไพ่ ถา้ แม้นใครเสียเจ๊งต้องเฉง่ ป๋ี ใครไดเ้ สียจดจ�ำทำ� บญั ช ี เสยี งอึงม่เี รยี กเคา้ เอามากอง ใครเจา้ มอื แจกไพ่ใหเ้ ขาเสรจ็ คนละสิบเอ็ดเจ้ามือถือสบิ สอง แลว้ ทง้ิ ไปใบหน่งึ ถงึ มอื รอง ทง้ิ ไม่ตอ้ งจ่วั ไพ่ในกองมา เลน่ ไพ่ผ่องร้องเถยี งกนั เสยี งแส้ จ่วั แลว้ แบดูก่อนสหิ ล่อนจ๋า คนจ่ัวร้องผ่องหรอื จะเอยี่ วพระยา คนหน่ึงวา่ ผอ่ งฉนั น้ันเปน็ ไร บา้ งเลน่ ลงคู่ส�ำเหนียกเรียกว่าก๊า ถา้ จ่ัวมาโดนตองเป็นตอ้ งได้ บ้างว่าเล่นกนิ ชอ่ งสักสองไพ ข้ึนช่องใครแลว้ หัวร่อเสยี พอแรง เล่นสนุกคนื ยงั รงุ่ อกี ค้งุ ค�่ำ สามคนื ซ�ำ้ สามทิวาจนตาแขง็ ผวั ก็เพลยี เมียก็ออ่ นนอนตะแคง เสยี งแหบแหง้ เพราะไพต่ องรอ้ งผอ่ งองึ สามวันตรุษหยุดเลน่ นักขตั ฤกษ ์ แม้นไมเ่ ลิกผูกหวั เบีย้ เสยี สลงึ ไม่ผูกเขาจับปรับซ�้ำสบิ ต�ำลงึ เอาไปตงึ๊ ขาเลีย้ วหนา้ เซียวไป วรรณกรรมไทยดังน�ำเสนอมาข้างต้นได้ร่วมกันบันทึกภาพของเทศกาลสงกรานต์ไว้ในฐานะ เป็นส่วนหนึ่งของผลิตผลของสังคมไทย น�ำเสนอภาพทั้งสังคมชาวบ้านและสังคมชาววัง ผสมผสาน กบั จินตนาการและโลกทศั น์ของกวี ทำ� ให้เกดิ เป็นวรรณกรรมทรงคุณค่าในที่สุด
สาดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 57 ๒. ต�ำนานสงกรานตไ์ ทยกล่ินอายมอญ? ต�ำนานถือเป็นคัมภีร์อธิบายมูลเหตุของการท�ำพิธีกรรมดังที่มาลินอฟสกี (อ้างใน ศิราพร ณ ถลาง, ๒๕๔๘: ๓๒๓) กล่าวว่า ต�ำนานปรัมปราบรรจุรหัสของความเช่ือเกี่ยวกับ ส่งิ ศักดส์ิ ทิ ธิ์ซง่ึ น�ำมาใชใ้ นการอธิบายพธิ กี รรม ก�ำหนดศลี ธรรม ก�ำหนดกฎเกณฑแ์ ละแนวทาง ปฏิบัติให้สมาชิกในสังคม ต�ำนานปรัมปราไม่ได้เป็นเพียงเร่ืองเล่าธรรมดา แต่เป็นเรื่องเล่า ที่มีพลงั ไมใ่ ช่มีหนา้ ท่ีแคอ่ ธบิ าย แต่เป็นบทบัญญัตสิ �ำหรับความเชื่อ ศลี ธรรม และภมู ิปัญญา ใหแ้ ก่สมาชกิ ในสงั คมดง้ั เดิม อย่างไรก็ดี แม้จะมีหลักฐานว่าคนไทยรู้จักเทศกาลสงกรานต์มาแต่โบราณกาล ดงั ปรากฏในวรรณกรรมยคุ ตา่ งๆ หากแตก่ ลบั พบหลกั ฐานลายลกั ษณท์ เี่ กา่ ทสี่ ดุ ทบ่ี นั ทกึ ตำ� นาน สงกรานตค์ อื จารึกวดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลารามจำ� นวน ๗ แผ่น ติดอยู่บนผนงั ในศาลาเฉลยี ง ดา้ นทศิ เหนอื เป็น ๑ ใน ๔ ศาลาเฉลยี งรอบทิศใหญท่ ้งั สีท่ ิศของพระมณฑป (หอไตรจตรุ มุข) ท่ีเพ่ิงสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ใกล้กับจารึกรามัญหุงข้าวทิพย์ จารึกเหล่าน้ีน�ำมาติดใน ศาลาเฉลียงเม่ือคราวปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตามปัจจุบันพบว่าจารึกดังกล่าวมิได้มีติดอยู่ในต�ำแหน่งเดิม สันนษิ ฐานว่าคงสูญหายไปในคราวบูรณะพระอารามวัดพระเชตุพนฯ เมอ่ื หลายสบิ ปกี ่อนทง้ั น้ี แมว้ ่าจะเปน็ ต�ำนานไทย แตเ่ นอ้ื หาในตอนต้นกลับกล่าววา่ มาจาก “พระบาลฝี า่ ยรามัญ” ๒.๑ จารกึ ต�ำนานสงกรานตว์ ดั พระเชตุพนฯ : ตำ� นานสงกรานตข์ องไทยท่เี กา่ ทส่ี ุด จารึกเร่ืองมหาสงกรานต์ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามน้ี นับเป็นต�ำนานสงกรานต์ ฉบับลายลักษณ์ท่ีเก่าแก่ท่ีสุด ที่มีการค้นพบ ณ ปัจจุบันนี้ จารึกด้วยตัวอักษรไทย สมัยรัตนโกสินทร์ แม้มิได้ระบุปีที่จารึก แต่สามารถก�ำหนดอายุจากประวัติการสร้างจารึก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๓) ซึ่งปรากฏในจดหมายเหตุ เรอ่ื ง “การปฏสิ งั ขรณว์ ดั พระเชตพุ น” โดยถอดจากโคลงดนั้ พระนพิ นธใ์ นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมสมเด็จพระปรมานชุ ิตชิโนรสจารึกลงบนแผ่นหินรวม ๗ แผน่ มเี นือ้ ความดังนี้ จารึกเรอื่ งมหาสงกรานต์ แผน่ ที่ ๑ ๏เรอ่ื งมหาสงกรานตน์ ม้ี พี ระบาลฝี า่ ยรามญั วา่ เมอ่ื ตน้ ภทั รกปั อนั นี้ มเี ศษฐคี นหนงึ่ หาบตุ รม์ ไิ ด้ อยบู่ า้ นใกลก้ บั นกั เลงสรุ าๆ นน้ั มบี ตุ รส์ องคนมผี วิ เนอื้ ดจุ ทอง วนั หนงึ่ นกั เลงสรุ า นนั้ เขา้ ไปสบู่ า้ นเศษฐี กลา่ วคำ� หยาบชา้ แกเ่ ศษฐตี า่ งๆ เศษฐไี ดฟ้ งั จงึ กลา่ ววา่ เรามที รพั ยส์ มบตั ิ เปนอันมากไฉนท่านจึงหม่ินเรา นักเลงสุราจึงตอบว่าท่านมีสมบัติมากก็จิง แต่หามีบุตร์ไม่ ถา้ ทา่ นถงึ แกค่ วามตายแลว้ สมบตั กิ จ็ ะเสอ่ื มสญู เปลา่ เรามบี ตุ รช์ ายสองคน มฉี ววี รรณดจุ ทอง เหนว่าประเสรอฐกว่าท่าน เศษฐีได้ฟังก็มีความลอายจึงบวงสรวงแก่พระจันท์ พระอาทิตย์ ต้งั อธิทฐานขอบตุ ร์ถึง ๓ ปี กม็ ิได้บุตร
ส58 าดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี จารึกเรอ่ื งมหาสงกรานต์ แผน่ ท่ี ๒ ๏ แผ่นสอง ว่าเม่ือเศษฐีขอบุตร์แก่พระจันท์ พระอาทิตย์มิได้แล้ว วันหนึ่งเปน คิมหันตรระดูเจตมาศ ชนทังหลายเล่นนักขัตฤกษต้นปี ใหม่ท่ัวชมพูทวีป คือพระอาทิตย์ ออกจากราษรี มญั ประเวศส่เู มศราษี โลกยส์ มมุติว่าวนั สงกรานต์ ขณะนั้นเศษฐีจึ่งภาบรวิ าร ไปยังต้นไทรย์ริมฝั่งน�้ำ อันเปนที่อยู่แห่งปักษาชาติทังหลาย จึ่งเอาข้าวสารล้างน�้ำ ๗ คร้ัง แลว้ หงุ ขน้ึ บชู ารกุ ขไ์ ทรย์ พรอ้ มดว้ ยสปุ เพยญนาหรร แลว้ ประโคมดรุ ยิ างค์ ดลตรี ตง้ั อธทิ ฐาน ขอบุตรแ์ ก่รกุ ข์พระไทรยๆ์ กม็ คี วามกรั รูณาเหาะไปขอบุตรแ์ กพ่ ระอนิ ท์เพอื่ จะให้แกเ่ ศษฐี จารกึ เรื่องมหาสงกรานต์ แผน่ ท่ี ๓ ๏ แผ่นส�ำม ว่ารุกข์พระไทรย์ขอบุตรแก่พระอินท์ๆ จึ่งให้ธรรมบาลเทวบุตร์ลง ปติสนธิ ในครรภ์ภรรยาเศษฐ.......................ก็คลอดจากครรภบ์ ิดามานดา ไห้ชือ่ ธรรมบาล กมุ ารแล้ว จ่ึงปลูกปราสาท ๗ ช้นั ใหก้ ุมาร อยทู่ ่ใี ตต้ น้ ไทรย์รมิ ฝงั นำ้� น้ัน ครันกุมารเจรอญขนึ้ กร็ ภู้ าษานก แลว้ เรยี นไตรเพทจบเมอ่ื อายศุ มไ์ ด้ ๗ ขวบ กไ็ ดเ้ ปนอาจารยิ บ์ อกมงคลการตา่ งๆ แกม่ นษุ ทงั ปวงทวั่ ชมพทู วปี ในขณะนนั้ โลกยท์ งั หลายกน็ บั ถอื ทา้ วมหาพรหม แลกระบลิ พรหม องคห์ นง่ึ ได้สำ� แดงมงคลการแกม่ นุษทังปวง จารึกเรือ่ งมหาสงกรานต์ แผ่นที่ ๔ ๏ แผน่ สี่ ว่าเม่ือกระบลิ พรหมแจ้งเหตุนั้น จงึ่ ลงมาถามปัณหา ๓ ข้อ แก่ธรรมบาล กุมารให้มาตัดศีศะเราบูชาท่านถ้าท่านแก้มิได้เราจะตัดศีศะท่านเวียนมหาสมุทร ๗ วัน กระบลิ พรหมกก็ ลบั ไปยงั พรหมโลกย์ ฝา่ ยธรรมบาลกมุ ารพจิ ารณาปณั หานน้ั ลว่ งไปได้ ๖ วนั แล้ว ยังไม่เหนอุบายจึงคิดว่าวันพรุ่งน้ีเราจะตายด้วยท้าวกระบิลพรหม หาต้องการไม่ จาหนีไปซุกซ้อนตายเสียดีกว่าคิดแล้วลงจากปราสาทเท่ียวไป นอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น มีนกอินทรยี ์สองตัวผัวเมยี ทารงั อาไศรยอ์ ยบู่ นตน้ ตาลนัน้ จารกึ เร่อื งมหาสงกรานต์ แผน่ ท่ี ๕ ๏ แผ่นห้า ว่านางนกอินทรีย์เมียจึงถามว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน นก อนิ ทรยี ผ์ วั ตอบวา่ พรงุ่ นคี้ รบ ๗ วนั ทท่ี า้ วกระบลิ พรหมถามปญั หาธรรมบาลกมุ ารฯ แกไ้ มไ่ ด้ ทา้ วกระบลิ พรหมกจ็ ะตดั ศรี ษ์ ะเสยี เราจะไดก้ นิ มนษุ ยเ์ ปน็ อาหาร นางนกอนิ ทรยี เ์ มยี ถามวา่ เจา้ รจู้ กั ปญั หานน้ั หรอื ไม่ นกอนิ ทรยี ผ์ วั ตอบวา่ รู้ แลว้ กเ็ ลา่ ใหน้ กอนิ ทรยี เ์ มยี ฟงั แตต่ น้ จนปลาย ธรรมบาลกมุ ารนอนอยใู่ ตต้ น้ ไมไ้ ดย้ นิ กจ็ ำ� ได้ มคี วามโสมนสั เปน็ อนั มากจงึ กลบั มาสเู่ รอื นของตน จารึกเรือ่ งมหาสงกรานต์ แผ่นที่ ๖ ๏ แผน่ หก ว่าครั้นวารเปนเคารพ ๗ ทา้ วกระบิลพรหมลงมาถามปัณหา ๓ ข้อ แก่ ธรรมบาลกุมารๆ ก็วิสัชนาปัญหาตามนกอินทรีย์กล่าวนั้น ท้าวกระบิลพรหมก็ตรัสเรียก เทวธิดาท้ัง ๗ อันเปนบริจาริกพระอินท์ คือ นางทงษ ๑ นางรากษ์ ๑ นางโคระ ๑ นางมลทากิณี ๑ นางมณฑา ๑ นางมิศระ ๑ นางมโหธระ ๑ อันโลกย์สมมุติว่า องค์มหาสงกรานต์กับเทพบรรพสัช มาพร้อมกันแล้ว ท้าวกระบิลพรหมก็บอกว่าพระเศียร
สาดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 59 เรานี้จะตดั ออกบูชาธรรมบาลกมุ ารบดั น้ี ถา้ จะตั้งไวย้ ังแผน่ ดนิ กจ็ ะเปนไฟไหม้ท่วั โลกยธ์ าตุ ถ้าจะทิ้งข้ึนบนอากาษฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุท น้�ำก็จะแห้ง เจ้าทัง ๗ จึงขอภาน มารับเศียรบิดาแล้ว ท้าวกระบิลพรหมก็ตัดเศียรส่งให้นางมลทากิณีบุตรีผู้ใหญ่ ไนขณน้ัน โลกธาตุก็เกิดโกลาหลยง่ิ นัก จารึกเร่ืองมหาสงกรานต์ แผ่นที่ ๗ ดา้ นที่ ๑ ๏ แผ่นเจด ว่าเม่ือนางทงษมหาสงกรานต์เอาภานรับพระเศียรท้าวกระบิลพรหม บิดา แล้วให้เทพบริษัทแห่ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุราช ๖๐ นาทีแล้วก็เชิญ เข้าประดิษถานไว้ในมณฏป ณ ถ้�ำคันท์ชุลี เขาไกรลาศ กระท�ำบูชาด้วยเครื่องทิพต่างๆ แล้ว พระเวศกุ รรมกน็ ฤมติ รโรงแล้วด้วยแกว้ ๗ ประการ ชื่อ ภัควะดใี หเ้ ทพยดาแลนางฟ้า นั่งแล้ว เทพยดาก็นามาซ่ึงเถาฉนุมุนาศลงล้างน�้ำในอโนดาสระ ๗ ครั้ง แล้วแจกกันสังเวย ทกุ ๆ พระองค์ ครั้นถงึ วารก�ำหนดครบ ๓๖๕ วันโลกสมมุติวา่ ปี ๑ เปนวันสงกรานต์ ธิดา ทงั ๗ องค์ ทรงเทพพาหนต่างๆ ผลัดเวรกนั มาเชญิ พระเศียรท้าวกระบลิ พรหมออกแห่กับ ดว้ ยเทพบรรพษทั แสนโกฏิ ประทกั ษิณเขาพระเมรุราชบรรพตทกุ ปี แล้ว กก็ ลับไปเทวโลกย์ จบเรื่องมหาสงกรานต์เท่าน้ี แม้จารึกดังกล่าวจะจารึกในสมัยรัชกาลท่ี ๓ หากแต่ความรับรู้เนื้อเรื่องต�ำนาน สงกรานต์น่าจะแพร่หลายมาแตค่ ร้ังอยธุ ยา (นยิ ะดา เหลา่ สนุ ทร, ๒๕๕๖ : ๕๓) แสดงทศั นะวา่ เนื้อหาดังกล่าวได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องการทายปัญหาระหว่างพรหม ๒ องค์ และอีกฝ่าย รคู้ ำ� ตอบไดจ้ ากนกมาจากนทิ านของพราหมณท์ เ่ี ลา่ ตอ่ ๆ กนั มาโดยสมยั อยธุ ยามบี นั ทกึ เรอื่ งเลา่ เช่นนี้ คือรูปแบบการถามปัญหาเร่ืองสิริท่ีมีเดิมพันถึงชีวิตท่ีเรียกว่า \"ปกรณัม\" ซ่ึงมีที่มาจาก นทิ านอนิ เดยี และนิทานเปอร์เซยี ปกรณมั ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ตำ� นานนีค้ ือ ปักษปี กรณัม ท้ังนป้ี ัญหา ที่ว่าด้วยเร่ืองสิริมงคลของมนุษย์น้ัน เป็นเร่ืองท่ีแพร่หลายรู้กันท่ัวไปในสมัยอยุธยาแล้ว และ คนไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นรับรู้กันค่อนข้างแพร่หลาย ดังจะเห็นได้จากงานประพันธ์ ของสนุ ทรภ่ใู น \"สวัสดิรกั ษาคำ� กลอน\" ขณะทขี่ อ้ มลู ตำ� นานสงกรานตใ์ นฝา่ ยขา้ งมอญ ทมี่ เี นอื้ หาใกลเ้ คยี งกบั เรอื่ งกบลิ พรหม ผเู้ ขยี นยงั ไมพ่ บ พบเพยี งเรอ่ื งทา้ วมหาสงกรานตข์ องพมา่ ทพี่ ระยาอนมุ านราชธน (๒๕๒๒ : ๒๓) กล่าวถึงท้าวสักระ หรือสักกะ คือพระอินทร์ กับพรหมช่ืออสิเกิดโต้เถียงปัญหาบางประการ ในพระพุทธศาสนา ท้าวสกั ระวา่ ศีลเป็นยอดของบุญ แตอ่ สพิ รหมแยง้ วา่ ทานเปน็ ยอดของบญุ เถียงกันจนตกลงไม่ได้จึงเสด็จลงมาโลกมนุษย์ไปหาพราหมณ์ผู้เป็นปราชญ์คนหน่ึงชื่อ กะลาไมเอง ให้เปน็ ผตู้ ดั สินว่าฝา่ ยใดถกู ฝ่ายใดผดิ สญั ญากนั ว่าหากฝ่ายใดไดร้ บั ค�ำตดั สินว่าผิด ฝ่ายน้ันจะถูกตัดเศียรของตน ที่สุดอสิพรหมเป็นผู้ผิดจึงถูกตัดเศียร แต่ท้าวสักระมาทราบว่า เศียรอสิพรหมน้ีร้ายแรงมาก ถ้าโยนลงไปในมหาสมุทร น้�ำในน้ันจะแห้ง ถ้าเอาไว้บนดินจะ แหง้ แลง้ ทา้ วสกั ระจงึ มอบเศยี รแกน่ างฟา้ ๗ คน เปน็ ผรู้ กั ษา มหี นา้ ทถ่ี อื เศยี รอสพิ รหมไวต้ ลอด
ส60 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย เป็นเวรผลัดเปลี่ยนกันปีละคน และเปลี่ยนกันในวันปีใหม่ แต่ก่อนจะเปลี่ยนเวรกันต้องเอา เศยี รอสิพรหมไปสรงนำ�้ เสียก่อน จงึ ได้เกิดมีการสรงน�ำ้ สาดนำ้� กนั ในวนั สงกรานต์ ต�ำนานสงกรานต์ในจารึกแผ่นท่ี ๖ ที่ว่าด้วยชื่อนางสงกรานต์ท้ัง ๗ น้ีเองท่ีน�ำมาสู่ การสรา้ งสรรค์ “ประกาศสงกรานตฉ์ บบั ราษฎร”์ ขน้ึ เพอ่ื พยากรณช์ ะตาบา้ นเมอื งประจำ� ศกั ราช โดยมีการก�ำหนดเครื่องทรง เคร่ืองประดับ อาวุธ และสัตว์พาหนะ ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์แสดง คุณลักษณะประจ�ำตนของนางสงกรานต์ซึ่งสัมพันธ์กับค�ำพยากรณ์บ้านเมือง คุณลักษณะ ของนางสงกรานตท์ งั้ ๗ วนั นไ้ี มป่ รากฏในจารกึ ไมป่ รากฏวา่ เรมิ่ มมี าแตส่ มยั ใด ทงั้ นใ้ี น “ประกาศ สงกรานต์ฉบับหลวง” เป็นธรรมเนียมมีมาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ท่ีทางการคือราชส�ำนัก จะแจ้งแก่ราษฎร ปรากฏหลักฐานในค�ำพยากรณ์สงกรานต์ในรัชกาลท่ี ๓ ประชุมพระบรม ราชาธิบายรัชกาลท่ี ๔ และ ราชกิจจานุเบกษารัชกาลที่ ๕ ซ่ึงพบว่ามีการระบุเรื่องราวของ นางสงกรานต์เร่ือยมาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ ๔ มีการตัดส่วนท่ีกล่าวถึงนางสงกรานต์ออก และไมม่ ปี รากฏอกี คงเหลือเพยี งการบอกวนั ส�ำคัญประจ�ำปี แจง้ วนั มงคล ฤกษง์ ามยามดี และ การเคลือ่ นยา้ ยราศีตา่ งๆ เมือ่ ตรวจสอบกบั ต�ำราพรหมชาติ ซงึ่ เปน็ คัมภีร์พยากรณ์ส�ำคัญในหมู่ราชส�ำนักและชาวบ้าน พบวา่ มกี ลา่ วถงึ นางสงกรานตไ์ วอ้ ยา่ งละเอยี ดเชน่ กนั และสื่อนัยแห่งการท�ำนายไว้ จึงท�ำให้สันนิษฐานว่า รายละเอียดของนางสงกรานต์ในแต่ละปี เกิดจาก วธิ คี ดิ ของโหราจารย์ ทพี่ ยายามผกู โยงนางสงกรานต์ กบั การทำ� นายดวงชะตาบา้ นเมอื งเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ทงั้ น้ี ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะท�ำหน้าที่ ผลัดเปลย่ี นกนั ตามวันมหาสงกรานต์ ดงั น้ี ปฏทิ นิ สงกรานตใ์ นสมยั รชั กาลท่ี ๘ ๑. นางสงกรานต์ทุงษเทวี ทุงษเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจ�ำวันอาทิตย์ ทัดดอกทบั ทมิ มปี ัทมราค (แกว้ ทบั ทิม) เปน็ เคร่อื งประดับ ภักษาหาร คือ อุทุมพร (มะเด่ือ) อาวธุ ค่กู าย พระหัตถ์ ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถอื สงั ข์ เสด็จไสยาสน์เหนอื ครฑุ ๒. นางสงกรานต์โคราคเทวี โคราคเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจ�ำวันจันทร์ ทดั ดอกปีบ มมี กุ ดาหาร (ไข่มุก) เป็นเครือ่ งประดับภกั ษาหาร คอื เตละ (นำ้� มนั ) อาวธุ ค่กู าย พระหัตถข์ วาถือพระขรรค์ พระหตั ถซ์ า้ ยถือไม้เท้า เสดจ็ ประทบั เหนอื พยคั ฆ์ (เสอื )
สาดน�้ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย 61 ๓. นางสงกรานต์รากษสเทวี รากษสเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจ�ำวันอังคาร ทัดดอกบัวหลวง มีโมรา (หิน) เป็นเคร่ืองประดับ ภักษาหาร คือ โลหิต (เลือด) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถอื ตรศี ลู พระหัตถซ์ ้ายถือธนู เสด็จประทบั เหนอื วราหะ (หม)ู ๔. นางสงกรานต์มัณฑาเทวี มัณฑาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจ�ำวันพุธ ทัดดอกจำ� ปา มไี พฑรู ย์ (พลอยสเี หลอื งแกมเขยี ว) เปน็ เครอ่ื งประดบั ภกั ษาหาร คอื นมและเนย อาวธุ คกู่ าย พระหตั ถ์ ขวาถอื เหลก็ แหลม พระหตั ถซ์ า้ ยถอื ไมเ้ ทา้ เสดจ็ ไสยาสนเ์ หนอื คสั พะ (ลา) ๕. นางสงกรานต์กิริณีเทวี กิริณีเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจ�ำวันพฤหัสบดี ทัดดอกมณฑา(ยี่หุบ) มีมรกตเป็นเคร่ืองประดับ ภักษาหาร คือ ถั่วและงา อาวุธคู่กาย พระหตั ถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถซ์ ้ายถือปืน เสด็จไสยาสนเ์ หนอื คชสาร (ช้าง) ๖. นางสงกรานต์กิมิทาเทวี กิมิทาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจ�ำวันศุกร์ ทัดดอกจงกลนี มีบุษราคัมเป็นเคร่ืองประดับ ภักษาหาร คือ กล้วยและน�้ำ อาวุธคู่กาย พระหตั ถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหตั ถ์ซา้ ยถือพณิ เสดจ็ ประทับยืนเหนือมหิงสา (ควาย) ๗. นางสงกรานต์มโหทรเทวี มโหทรเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจ�ำวันเสาร์ ทัดดอกสามหาว (ผกั ตบชวา) มีนลิ รัตนเ์ ปน็ เครอื่ งประดับ ภกั ษาหาร คอื เนอื้ ทราย อาวุธค่กู าย พระหัตถข์ วาถอื จกั ร พระหตั ถซ์ า้ ยถือตรศี ูล เสดจ็ ประทับเหนอื มยรุ าปักษา (นกยูง) อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ในล้านนาเล่าต�ำนานสงกรานต์เร่ืองเดียวกับภาคกลาง คือ เร่ืองท้าวกบิลพรหม หากแต่ในพิธีของล้านนาไม่มีนางสงกรานต์ กลับมี “ขุนสังขานต์” ซึ่งเป็นชาย ซึ่งไม่ปรากฏเร่ืองราวในต�ำนานใดๆ ทั้งของล้านนาและของภาคกลาง อาจเป็น ร่องรอยของตำ� นานเกา่ กอ่ นทีจ่ ะรับต�ำนานในภาคกลางไปใชก้ ็เป็นได้ ๒.๒. ความแพร่หลายของตำ� นานสงกรานต์ในแตล่ ะภูมิภาค ตำ� นานเกย่ี วกบั สงกรานตม์ ชี อื่ เรยี กตา่ งๆ กนั ไปในแตล่ ะภมู ภิ าคเชน่ ตำ� นานสงกรานต์ ต�ำนานมหาสงกรานต์ พระมหาสงกรานต์ชาดก อานิสงส์มหาสงกรานต์ (ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคอีสาน) ต�ำนานปีใหม่เมือง (ภาคเหนอื ) ดว้ ยความแพร่หลายของตำ� นานสงกรานต์ และความเป็นพุทธศาสนกิ ชนของคนไทย ท่ีนิยมท�ำบุญในเทศกาลต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล จึงเกิดการน�ำต�ำนานสงกรานต์ ไปสร้างสรรค์เป็นนิทานชาดก เรียกว่า พระมหาสงกรานต์ชาดก ส�ำหรับให้พระภิกษุใช้เทศน์ ในวนั มหาสงกรานต์ ในเทศกาลสงกรานต์ โดยก�ำหนดให้นกอินทรผี ู้เปน็ สามีเปน็ พระโพธิสตั ว์ นอกจากนย้ี งั พบวา่ ในบางทอ้ งถนิ่ ใชเ้ รยี กวา่ เทศนาอานสิ งสพ์ ระมหาสงกรานต์ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม อานิสงส์พระมหาสงกรานต์ ในบางส�ำนวนก็มิได้กล่าวถึงเร่ืองธรรมบาลกุมารและกบิลพรหม หากแตก่ ลา่ วถงึ พระพทุ ธพจนเ์ ปน็ เหตกุ ารณท์ พ่ี ระเจา้ ปเสนทโิ กศลทลู ถามพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เกยี่ วกบั ความรอ้ นของพระอาทติ ยท์ ชี่ ว่ งเทศกาลสงกรานตท์ เ่ี ปน็ ภยั แกม่ นษุ ยแ์ ละวธิ กี ารทม่ี นษุ ย์
ส62 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี จะพน้ จากภยั อันเกิดจากความรอ้ นของดวงอาทติ ย์ ตลอดจนทูลถามถึงอานสิ งสข์ องการรดนำ�้ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ พระพุทธรูป พระเจดีย์และต้นโพธิ์ นอกจากน้ียังมี การเล่าตำ� นานการปล่อยนกปล่อยปลา แทรกไวใ้ นเร่อื งด้วย ปัจจุบันมีการน�ำต�ำนานสงกรานต์ไปใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเทศกาล สงกรานต์อยา่ งแพรห่ ลาย ทงั้ การแสดงประกอบแสงสเี สยี ง การใชเ้ ปน็ แนวคดิ ในการออกแบบ และตกแต่งขบวนรถบุปผชาติ ในงานเทศกาลสงกรานต์ ตลอดจนการจัดการประกวด นางสงกรานต์ แสดงให้เห็นถึงความรับรู้และความแพร่หลายของต�ำนานสงกรานต์ท่ีมีมา อย่างต่อเน่ืองตราบจนปจั จุบนั ๓. ต�ำนานสงกรานต์ของคนไทกลมุ่ ต่างๆ สงกรานต์ ไมใ่ ชพ่ ธิ กี รรมของคนไทมาแตด่ งั้ เดมิ ดงั นน้ั จงึ พบวา่ สงกรานตม์ ใี นประเพณี ของคนไท-ไทยบางกลมุ่ ขณะทค่ี นไทบางกลมุ่ ไมม่ ี ผเู้ ขยี นสงั เกตวา่ คตเิ รอื่ งสงกรานตแ์ ละตำ� นาน สงกรานตพ์ บในกลมุ่ คนไท-ไทย ทร่ี บั พระพทุ ธศาสนา สว่ นคนไททไ่ี มไ่ ดร้ บั พระพทุ ธศาสนา เชน่ จ้วง ไทด�ำ จะไม่มีเทศกาลสงกรานต์ จึงเข้าใจได้ว่าเม่ือไม่มีพระพุทธศาสนา คือ วัฒนธรรม อินเดีย จึงเป็นเหตุให้ไม่มีสงกรานต์ การรับคติสงกรานต์เป็นการรับวัฒนธรรมอินเดีย ซ่ึงใน แง่นี้คือผ่านการเผยแผ่ศาสนา จึงท�ำให้กลุ่มคนไทท่ียังคงนับถือผีและไม่รับพระพุทธศาสนา ไมม่ ีเทศกาลสงกรานต์ไปดว้ ย๔ อย่างไรก็ตามในบรรดาคนไทกลุ่มที่นับถือพระพุทธศาสนาต่างก็เล่าเร่ืองต�ำนาน สงกรานตต์ า่ งจากต�ำนานสงกรานต์ของไทย โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี ๓.๑ ตำ� นานสงกรานตข์ องคนไทใตค้ ง ในประเพณปี อยซอ้ นนำ้� ของคนไทใตค้ ง (ไทใหญ)่ ทเี่ มอื งขอน มณฑลยนู นาน ประเทศ จนี ถือเปน็ ประเพณีใหญแ่ ละมคี วามสำ� คัญ ปอย คอื งานบุญ ซอ้ นนำ้� คอื ชอ้ นนำ้� หรอื รดนำ้� นน่ั เอง เนอ่ื งจากแนวคดิ หลกั ของประเพณปี อยซอ้ นนำ�้ คอื การสรงนำ�้ พระพทุ ธรปู และการรดนำ�้ ในหม่หู นุ่มสาวนน่ั เอง ปอยซอ้ นน�ำ้ นีม้ ีทมี่ าจากต�ำนานทีก่ ลา่ วถึงขนุ สาง หรือขุนผี บ้างก็ว่าเป็น ขนุ ยกั ษ์ มีเน้อื หาดงั นี้คือ คร้ังหนึ่งมีขุนสางองค์หนึ่ง มีนิสัยโลภโมโทสัน ชอบแย่งแผ่นดินและข้าวของ ของคนอ่ืน มีภรรยาอยู่แล้วหกนางก็ยังไม่พอใจ ไปแย่งผู้หญิงมาเป็นภรรยาคนที่เจ็ดอีก ขุนสางหลงรักภรรยาคนที่เจ็ดมาก วันหนึ่งขณะที่ขุนสางก�ำลังอารมณ์ดี ภรรยาคนท่ีเจ็ด ได้ถามข้ึนว่า ได้ยินว่าท่านตกน้�ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ หอกแทงไม่เข้า ดาบก็ฟันไม่เข้า ถา้ เปน็ อยา่ งนน้ั จรงิ ทา่ นกไ็ มต่ ายอยใู่ นโลกตลอดไปเลยใชไ่ หม ขนุ สางตอบวา่ เสน้ ผมของตน จะห่ันคอของตนเองขาดได้ แต่ห้ามบอกใคร พอขุนสางนอนหลับนางก็ถอนเส้นผมขุนสาง ๔แนวความคิดน้ีได้รับค�ำแนะน�ำจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ประคอง นิมมานเหมินท์ และศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา ซง่ึ นา่ สนใจและมคี วามเปน็ ไปได้มาก ผู้เขยี นขอกราบขอบพระคณุ ครูทั้งสองทา่ นไว้ ณ โอกาสนี้
สาดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 63 แล้วใชต้ ัดคอขนุ สาง หัวขนุ สางกต็ กลงบนพนื้ ดิน แลว้ เกิดไฟลุก นางตะโกนเรียกใหค้ นมาดู ภรรยาอีกหกคนของขุนสางก็วิ่งมาดู ช่วยกันยกหัวขุนสางขึ้น เมื่อยกหัวขุนสางขึ้นไฟก็ดับ เมื่อวางลงไฟก็ลุกอีก นางท้ังเจ็ดจึงผลัดกันยกหัวขุนสางคนละปี ขณะที่ยกหัวขุนสางนั้น เลือดที่ศีรษะก็ไหลคนจึงน�ำน�้ำมารดให้สะอาดและไม่ให้ไฟลุก เป็นเวลาเจ็ดปีแล้วไฟจึงดับ สนทิ ตงั้ แต่นั้นคนไทจงึ เล่นรดนำ้� กนั ปลี ะครั้งทุกปี (ประคอง นิมมานเหมินท์ และ ตาว เซิงหวา, ๒๕๔๒ : ๕๖) ๓.๒ ตำ� นานสงกรานต์ของคนไทสิบสองปนั นา คนไทลื้อในเขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา มณฑลยูนนานมีเทศกาล สาดนำ้� ถอื เปน็ ประเพณเี กา่ แกข่ องคนไทสบิ สองปนั นา คนไทลอ้ื สบิ สองปนั นามตี ำ� นานสงกรานต์ ทมี่ ีเน้ือหาเดียวกันกบั ของไทใต้คงดว้ ย ดังที่ ส.พลายนอ้ ย (๒๕๔๗ : ๑๐ - ๑๑) เลา่ ไว้ นอกจาก น้ี ไทสบิ สองปนั นายงั มตี ำ� นานสงกรานตท์ คี่ ลา้ ยกนั กบั ของคนไทยในประเทศไทย คอื เปน็ พรหม และอ้างถงึ กบิลพรหม รวมทง้ั นางท่เี ชิญเศียรเปน็ ลูก ดงั น้ี มีพระพรหมองค์หน่ึงมีธิดาอยู่ ๑๒ นาง ต่อมาพระพรหมองค์น้ีถูกตัดเศียรขาด ตามเรื่องไม่บอกว่าเพราะเหตุใด เศียรของพระพรหมองค์นี้มีฤทธิ์เช่นเดียวกับเศียร ทา้ วกบลิ พรหม คือตกบนแผ่นดนิ ก็เปน็ ไฟ ตกในทะเลนำ�้ ก็แหง้ ทีนกี้ ็รอ้ นถึงนางทง้ั ๑๒ น้ัน ตอ้ งมีหนา้ ทเี่ ชญิ พานรบั พระเศยี รของบดิ า นางละปีเวียนกันไป (ส.พลายนอ้ ย, ๒๕๔๗ : ๑๐ - ๑๑) ไทล้ือท่ีสิบสองปันนายังเล่าต�ำนานของเทศกาลสาดน�้ำไว้อีกส�ำนวนหนึ่ง มีใจความ โดยสรุปว่า คร้ังหนึ่ง มีพญามารโหดเห้ียมตนหน่ึง มีฤทธ์ิมากไม่สามารถมีส่ิงใดหรือผู้ใด มาท�ำอันตรายได้จึงกระท�ำการหยาบช้ารังแกผู้คนจนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว พญามารฉุด ลกู สาวชาวบ้านไปเปน็ เมียถงึ ๑๑ คน เมียทั้ง ๑๑ คนนี้ ล้วนแต่เกลยี ดชงั พญามาร ต่างคดิ หา วิธีก�ำจัดพญามารทุกคืนวัน แต่ยังไม่สามารถหาวิธีการได้ กระท่ังต่อมา พญามารฉุดหญิงสาว มาเปน็ เมียคนที่ ๑๒ หญิงสาวผ้นู ้เี ป็นผ้มู ปี ญั ญา คืนหนึ่งได้ไหลอกถามพญามารถึงวธิ กี ารก�ำจดั พญามาร ด้วยความหลงรักหญิงสาวพญามารจึงบอกวิธีการว่า ให้ถอนเส้นผมของพญามาร แล้วน�ำมารัดคอพญามารก็จะท�ำให้พญามารส้ินชีวิตได้ ในคืนเดียวกันน้ันเองนางจึงทดลอง ท�ำตามท่ีพญามารพูด และสามารถตัดศีรษะของพญามารได้ด้วยเส้นผมของพญามารเอง จนพญามารถึงแกค่ วามตายในท่สี ุด เมียท้งั ๑๒ ของพญามารคดิ จะนำ� ไฟมาเผาศรี ษะของพญามารให้ส้นิ ไป แตเ่ มอื่ ศรี ษะ พญามารถูกไฟเผา กลับลกุ ลามเผาไหม้ไปทุกแหง่ คร้นั ฝงั ลงในดนิ ก็ส่งกลิน่ เหม็นจนทนไม่ไหว ครัน้ โยนลงแม่น�ำ้ น้ำ� กลบั เดอื ดและทว่ มนองไปทกุ หนแห่ง นางทัง้ ๑๒ คน จึงตกลงกนั ผลดั เวร อุ้มศีรษะพญามารไว้เพ่ือช่วยขจัดภัยพิบัติทั้งปวง โดยนางจะผลัดเปล่ียนเวียนกันอุ้มคนละวัน (เวลา ๑ ปีบนโลกเท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์) ทุกคร้ังท่ีเปล่ียนเวรกันก็จะใช้น�้ำรดล้างศีรษะ
ส64 าดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี พญามารดว้ ย และเพอื่ เปน็ การแสดงความขอบคณุ นางท้ัง ๑๒ คนทชี่ ว่ ยขจดั ภัยพบิ ตั ิจากโลกนี้ คนไทจงึ ชว่ ยพวกนางลา้ งศรี ษะพญามารปลี ะครง้ั (หลนิ ม,ู่ ใน ทรงศกั ด์ิ ปรางวฒั นากลุ , ๒๕๓๙ : ๙๖ - ๙๗) นอกจากนี้ ยงั มีต�ำนานสงกรานต์ที่มีลักษณะเปน็ “ตำ� นานสร้างโลก” ด้วย มีเล่าอกี ๒ ส�ำนวน (ตาว ป่าว เหย้า, ใน ทรงศกั ดิ์ ปรางวฒั นากุล, ๒๕๓๙ : ๑๐๐) ดังน้ี ต�ำนานสงกรานต์-สร้างโลก เร่อื งที่ ๑ แต่เก่าก่อนนานมาแล้ว ได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ท�ำให้พ้ืนดินทั้งหมดถูกเผาไหม้ กลายเป็นเถ้าถ่าน ไฟไหม้ผ่านพ้นไปก็เกิดพายุใหญ่ลมพายุพัดหอบเอาเถ้าถ่านมารวม เปน็ กองๆ ตอ่ จากนนั้ เกดิ ฝนตกหนกั นำ�้ ทว่ มไปทั่วทุกแหง่ หน เถา้ ถา่ นเป็นกองๆ ลอยอยูบ่ น ผวิ นำ�้ ตอ่ มาพอนำ�้ แขง็ ตวั เถา้ ถา่ นทล่ี อยมาเปน็ กองๆ กก็ ลบั กลายเปน็ ภเู ขา เกดิ เปน็ แผน่ ดนิ ขึ้นมา ในเวลาเดียวกันมีเทพยาดา ๙ องค์ลงมาจากสวรรค์ ทวยเทพท้ัง ๙ องค์ ทั้งอ้วน และเต้ียทั้งยังไม่มีผมอีกด้วย หน้าตาคล้ายๆ กัน เหมือนเนื้อก้อนกลมใหญ่ เทพท้ังเก้า กินเถ้าถ่านท่ีถูกไฟไหม้จนมีกล่ินหอม รูปร่างหน้าตาของเหล่าทวยเทพสวยงามข้ึน แต่ทว่า ไม่สามารถเหาะกลับสวรรค์ได้ ตอ่ มาเทพ ๕ องคก์ ลบั กลายเป็นผชู้ าย อกี ๔ องคก์ ลายเปน็ ผู้หญงิ ชาย ๔ หญิง ๔ จบั ค่กู นั เป็น ๔ คู่ ลกู หญิง ลกู ชายทเ่ี กิดมาจากเทพทัง้ ๔ คู่ กจ็ บั คกู่ นั อีก มากขึ้นรุ่นแล้วรุ่นเล่า จ�ำนวนคนก็เพิ่มมากข้ึน ต่อมามีบางคนไปอยู่ท่ีอื่น ดังน้ันโลกน้ี จึงแบง่ เปน็ ประเทศกับชนชาติ ชายหนมุ่ ทีไ่ มม่ คี ู่ ๑ คนนน้ั แรกทีเดยี วพยายามแยง่ ชิงผูห้ ญิง จากผชู้ ายทง้ั สดี่ ว้ ย แตถ่ กู ชายทงั้ สฆี่ า่ ตายเสยี กอ่ น ศรี ษะเขาตกถงึ พน้ื ไมไ่ ด้ ถา้ ตกถงึ พน้ื กเ็ กดิ ไฟไหม้ใหญ่ เหตนุ ้พี วกเขาจงึ ต้องผลัดเวรกันอุ้มศีรษะเขาไว้ และยงั ใช้น้ำ� เย็นรดลา้ งด้วย ต�ำนานสงกรานต-์ สรา้ งโลก เร่ืองที่ ๒ เม่ือก่อนเก่านานมาแล้ว บนโลกนี้เป็นทุ่งหญ้าใหญ่ท่ีกว้างสุดลูกหูลูกตา มีถ้�ำ ท่ีกว้างใหญส่ องร้อยหกสบิ ส่ีถ้ำ� หุ่นซเี จีย่ เอาเมลด็ พนั ธุ์พืชไปใสไ่ ว้จนเต็มทกุ ถ้�ำ ทกุ ปีกจ็ ะไป เอาเมล็ดพันธุ์พืชออกมาจากถ้�ำเมล็ดหนึ่ง ตอนท่ีเขาเก็บเอาเมล็ดพืชออกมาเสร็จแล้ว ก็จะเกิดไฟไหม้คร้ังใหญ่ครั้งหน่ึง หลังจากไฟไหม้ผ่านไปแล้ว น�้ำก็จะท่วมใหญ่ เกิดน้�ำ ทว่ มใหญท่ ง้ั หมด ๗ ครง้ั ทกุ ครง้ั ทนี่ ำ้� ทว่ มกจ็ ะตอ้ งเกดิ ลมพายใุ หญ่ พดั หนา้ ผวิ หนา้ นำ้� ขน้ึ เปน็ ลูกโตๆ ย่ิงพัดลูกคลื่นก็จะย่ิงโตขึ้น โตขึ้นจนกลายเป็นภูเขาและทะเล ถึงตอนนี้หุ่นซีเจี่ย กจ็ ะลงมาหวา่ นเมลด็ บวั ตอ่ มาพอดอกบวั เรม่ิ ออกดอกบานทลี ะดอกๆ แลว้ หนุ่ ซเี จยี่ กเ็ นรมติ ใหก้ ลายเปน็ ทวปี ใหญ่ ๔ ทวปี เมอ่ื ดอกบวั กลายเปน็ พน้ื ดนิ แผน่ ดนิ ไปแลว้ เทพยาดา ๓๖ องค์ กล็ งมาจากสวรรค์ แยกยา้ ยกันอยูใ่ นทวปี ท้ัง ๔ ทวปี ละ ๙ องค์ เทพทั้งหลายจะกินดินหอม แยกเพศเปน็ ชายหญิง แลว้ จับคู่กันทกุ ทวปี จะมเี หลอื อยู่ ๑ คนท่ไี มม่ ีคู่ พวกเขาก็จะพากนั เหาะกลบั ขน้ึ สวรรคไ์ ป หนมุ่ สาวทง้ั ๔ คขู่ องทกุ ทวปี ตา่ งออกลกู ออกหลานมามากมาย จำ� นวน ประชากรก็เพ่มิ ข้ึน หุ่นซีเจ่ียจงึ ให้เทพอีก ๔ องค์ลงมาจัดการเรอ่ื งฤดกู าล หุ้นส่งเป็นหน่ึงใน จ�ำนวนเทพทั้งสี่เขาเสนอให้ก�ำหนดว่าเดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน แต่เทพท้ังสามไม่เห็นด้วย พวกเขาเสนอว่าให้แบ่งเป็นเดือนที่มีวันมาก (๓๑ วัน เดือนท่ีมีน้อย ๓๐ วัน) และเดือน
สาดนำ�้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี 65 ทมี่ ีวันเพ่ิม (เชน่ เดือนกมุ ภาพันธ์ทม่ี ี ๒๙ วนั ) ทง้ั สองฝ่ายจงึ ทะเลาะกนั ขน้ึ มา หุ้นส่งพูดว่า “คอยดูอกี ๑๐ ปีแล้วกัน ถ้าฉันผิด พวกนายตัดหัวฉนั ได้แต่ถา้ พวกนายผิดฉันจะตดั หัวพวก นายเอง” เวลา ๑๐ ปี ผ่านพ้นไป ฤดฝู นกลายเปน็ ฤดแู ลง้ ฤดูแล้งกลายเปน็ ฤดฝู น ฤดูหนาว ฤดูร้อนแปรปรวนไปหมด ข้าวกล้าในนาเสียหาย ชีวติ ผคู้ นเดือดร้อนล�ำเคญ็ เม่ือเหตกุ ารณ์ เปน็ เชน่ น้ี หนุ่ ซเี จยี่ จงึ เรยี กเทพทงั้ สามขน้ึ ไปปรกึ ษาหารอื วา่ จะหาทางกำ� จดั หนุ้ สง่ ไดอ้ ยา่ งไร เพราะการจะฆ่าหุ้นส่งไม่ใช่เร่ืองง่าย ทวยเทพทั้งหลายจนปัญญา จึงจ�ำต้องไปถามเมีย คนหนึง่ ของหุ้นส่ง เมียของหนุ้ สง่ คนน้ีแอบรักห่นุ ซเี จย่ี อยู่ นางจึงใช้เสน้ ผมของห้นุ สง่ รดั คอ จนหุ้นส่งตาย แต่พอศีรษะของหุ้นส่งตกถึงพื้นก็จะเกิดไฟลุกไหม้ข้ึน บรรดาเมียของหุ้นส่ง เลยตอ้ งผลดั เปลยี่ นกนั อมุ้ ศรี ษะของหนุ้ สง่ ไวค้ นละวนั และเอานำ้� เยน็ ราดลา้ งดว้ ย หนุ่ ซเี จย่ี กับเทพทั้งหลายก็จัดการก�ำหนดแบ่งฤดูกาลในโลกน้ีใหม่ให้ถูกต้อง นับแต่น้ันเป็นต้นมา พืชสวนไรน่ ากเ็ จริญเติบโตสมบูรณด์ ี ชีวติ ความเปน็ อยู่ของผู้คนท้ังหลายก็ดขี ้ึน ต�ำนานสงกรานต์ของคนไทใหญ่ท่ีใต้คง และไทล้ือสิบสองปันนา ในมณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี อธบิ ายถงึ บอ่ เกิดของเทศกาลสาดนำ้� ในวฒั นธรรมของคนไท ได้อย่างน่าสนใจ แสดงใหเ้ หน็ ทง้ั ลกั ษณะร่วมและลักษณะต่างกับตำ� นานสงกรานตข์ องไทย ๔. มองคนไท-ไทยผ่านวรรณกรรมและต�ำนานสงกรานต์ การบันทึกเรื่องสงกรานต์ในวรรณกรรมไทยนับแต่อยุธยามาบันทึกไว้ใน ๒ ลักษณะ คือ บันทึกไวเ้ ปน็ ต�ำรา และบนั ทึกไว้เพื่อให้เหน็ สีสันของท้องถิน่ (local color) ในวรรณกรรม ในแงน่ ก้ี ารทเ่ี รอื่ งสงกรานตม์ กี ารบนั ทกึ ไวใ้ นรายการทจ่ี ะตอ้ งรวบรวมเปน็ ตำ� รา แสดงใหเ้ หน็ วา่ เป็นเทศกาลส�ำคัญ ทั้งนี้ความส�ำคัญดังกล่าวได้ถ่ายทอดให้เห็นในงานวรรณกรรมท่ีบันทึก เรื่องสงกรานต์ไว้ในฐานะที่เป็นวิถีชีวิตชาววังและชาวบ้าน งานเทศกาลสงกรานต์ได้รับ การพูดถงึ ท้ังกวีราชสำ� นกั และกวชี าวบ้าน หากแตท่ ่ีน่าสงั เกตคอื ไมม่ วี รรณกรรมที่อายุเกา่ กว่า จารึกเรื่องมหาสงกรานต์ของวัดพระเชตุพนที่เล่าเรื่องต�ำนานสงกรานต์ หรืออ้างถึงตัวละคร ในตำ� นานสงกรานตเ์ ลย ท้งั ที่เป็นเทศกาลและงานประเพณที ี่ส�ำคญั อย่างไรก็ตามเมื่อมาพิจารณาต�ำนานสงกรานต์ของคนไท-ไทย จะพบว่ามีเหตุการณ์ ในต�ำนานสงกรานต์ท่ีมรี ่วมกนั ของคนไทกลุ่มต่างๆ กลา่ วคือ มีเรือ่ งความขัดแย้งของตวั ละคร และมีคู่ขัดแย้ง (พญามารกับเมีย, ขุนสางกับเมีย, กบิลพรหมกับธรรมบาลกุมาร, เทพมีคู่กับ เทพไรค้ ู)่ คูข่ ดั แย้งน้ีอาจเปน็ ร่องรอยของความขดั แย้งทางความคดิ ที่เกิดขึ้นในกลมุ่ ชน ท้ังอาจ เกดิ จากการรบั ศาสนาใหม่ ความเชอ่ื ใหม่ ผปู้ กครองหรอื วถิ แี บบใหม่ แลว้ สมมตใิ หฝ้ า่ ยทมี่ อี ำ� นาจ ในขณะนนั้ เปน็ ฝา่ ยดหี รือชนะ และสมมติให้อกี ฝ่ายเปน็ ฝ่ายรา้ ยหรอื ผ้แู พ้ ประเด็นอีกประเด็นหน่ึงท่ีน่าสนใจคือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในต�ำนาน ในส�ำนวน ของไทยเปน็ สำ� นวนเดยี วท่ีเปน็ “ความขัดแย้งกับคนนอกครอบครัว” (กบิลพรหม – ธรรมบาล กุมาร) ในขณะที่ส�ำนวนอื่นๆ เป็น “ความขัดแย้งกับคนในครอบครัว” สามีกับภรรยา หรือ พี่นอ้ ง (เทพทม่ี แี หลง่ ก�ำเนดิ เดยี วกัน)
ส66 าดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี นอกจากนย้ี งั มเี หตกุ ารณก์ ารตดั เศยี รของคขู่ ดั แยง้ (ตดั เศยี รผแู้ พ,้ ตดั เศยี รคนชว่ั ) และ เศียรตกพ้ืนไม่ได้ต้องมีผู้รองรับไว้ (ลูก/เมีย) ถึงปีหน่ึงจึงจะเชิญมารดล้างด้วยน้�ำ ประเด็น เรื่องการตัดเศียร หรอื ตดั หวั น้ีเม่อื มองเชิงสัญลกั ษณ์ ทำ� ให้เห็นการเน้นเรื่อง “หวั ” ซึง่ หมายถงึ “หัวป”ี หรอื “ตน้ ปี” คือการเร่มิ ต้นเปลยี่ นศกั ราช หรือ การเคลือ่ นย้ายราศี หรอื การเปลย่ี น ปีนักษัตร การเปล่ียนหรือเคลื่อนย้ายใช้พฤติกรรม “ตัด” มาเป็นสัญลักษณ์นั่นเอง ส่วน ผเู้ ชญิ เศยี รนนั้ บางตำ� นานวา่ ลกู สาว บางตำ� นานวา่ เมยี สรปุ คอื เปน็ ผหู้ ญงิ และตำ� นานของชนชาติ ไทยังเน้นให้เห็นว่าผู้หญิงเป็นคู่ขัดแย้งและเป็นผู้ชนะ ในแง่น้ีสะท้อนสังคมบรรพกาลท่ี หญงิ เปน็ ใหญ่ เปน็ ผู้จดั การสงั คมจึงเป็นผ้ทู ่ไี ด้รบั การไว้ใจใหด้ ูแล “เศยี ร” น้ี ซึง่ หากผดิ พลาด บา้ นเมอื งกจ็ ะเกิดภยั พบิ ตั ิ อนง่ึ การตดั เศยี รแลว้ โยนไปทตี่ ่างๆ น้ีมีเล่าในทกุ ส�ำนวนแตไ่ ม่ปรากฏในสำ� นวนของ คนไทย ดว้ ยเหตนุ ค้ี นไทยจงึ ไมม่ คี �ำอธิบายเรื่องการสาดน�้ำสงกรานต์ ขณะที่ในกลุ่มชนชาติไท ไดก้ ลา่ วถงึ ความพยายามโยนเศยี รไปทง้ิ ตามทต่ี า่ งๆ ทำ� ใหเ้ กดิ ไฟไหม้ จนชาวบา้ นตอ้ งมาชว่ ยกนั “สาดน�้ำ” และเป็นธรรมเนียมเม่ือมีการเชิญเศียรมาในแต่ละปีจะมีการรดล้างเศียรน้ันด้วยนำ้� ซึ่งในส�ำนวนของไทยขาดหายไป ในเร่อื งจ�ำนวนของลกู สาวหรือเมียนน้ั บางต�ำนานวา่ ๗ คน บางต�ำนานว่า ๑๒ คน หากพิจารณาดูจ�ำนวน ๑๒ คน มคี วามสอดคลอ้ งกับเนือ้ เรือ่ งมากกว่า คอื จ�ำนวน ๑๒ ตรงกับ ปนี กั ษตั ร การท่ีตอ้ งเชญิ เศียรมาแห่ทุกปจี งึ สอดคลอ้ งกนั ส่วนจำ� นวน ๗ ในต�ำนานอธบิ ายว่า เป็นไปจ�ำนวนวันทั้ง ๗ อย่างไรก็ตามจ�ำนวน ๗ , ๑๒ นี้ ต่างก็เป็นตัวเลขในวัฒนธรรมของ คนไท-ไทย ทใ่ี ชใ้ นการเลา่ นิทานด้วย เช่น นางสบิ สอง นางมโนราหก์ ับพ่ีน้อง ๗ คน เดนิ ทาง ๗ วัน ๗ คืน เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาต�ำนานและการปรากฏต�ำนานในกลุ่มคนไทแล้ว จะพบ ดงั ทกี่ ลา่ วไปแลว้ วา่ ตำ� นานและเทศกาลสงกรานตม์ อี ยเู่ ฉพาะในกลมุ่ คนไททรี่ บั พระพทุ ธศาสนา ด้วยเหตุดังน้ีเรื่องในต�ำนานสงกรานต์จึงได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนา ทั้งการกล่าวถึงพรหม หรือพระอินทร์ (สามีของลูกผู้ที่ถูกฆ่า) ซี่งเป็นตัวละครในวรรณคดีพุทธศาสนา การเล่าเร่ือง ก�ำเนิดโลกแบบอัคคัญญสูตร หรือต�ำนานสร้างโลกในแบบฉบับของพระพุทธศาสนา ซึ่งท�ำให้ มขี อ้ สนั นิษฐานวา่ ตำ� นานสงกรานตน์ า่ เกิดขึน้ หลังจากการรับพระพทุ ธศาสนาของชนชาติไท ความสง่ ท้าย ตำ� นานสงกรานต ์ นบั ได้ว่าเปน็ ตำ� นานส�ำคัญทีอ่ ธิบายบอ่ เกิดของประเพณสี งกรานต์ ไว้อย่างชัดแจ้ง การศึกษาเรื่องราวที่มาของประเพณีผ่านต�ำนาน ไม่เพียงจะเข้าใจเหตุผล ของการสร้างสรรค์ประเพณีเท่านั้น หากแต่จะเข้าใจวิธีคิดและโลกทัศน์ของกลุ่มชนอันเป็น รากของวัฒนธรรมในปัจจุบันด้วย หากคนไทยหันมาท�ำความเข้าใจวัฒนธรรมของตนเอง อย่างถ่องแท้ การสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ที่จะเกิดมีข้ึนก็จะม่ันคงและเกิดประโยชน์ต่อชนในชาติ อย่างสูงสดุ
สาดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 67 บรรณานุกรม คมั ภรี นเิ ทศ (ค�ำ), พระคร.ู (๒๔๙๑). เทศนาเร่อื ง มหาสงกรานต์ ปจุ ฉาวสิ ัชนา ๒ ธรรมมาสน.์ ขอนแกน่ : บริษทั คลังนานาธรรมจ�ำกดั . จ.เปรยี ญ (นามแฝง). (มปป.) อานสิ งส์ ๑๐๘ กัณฑ์ ฉบับเพ่ิมเตมิ ใหม่. กรุงเทพฯ : อำ� นวยสาสน์ . คณะกรรมการวรรณคดแี หง่ ชาต.ิ (๒๕๕๖) วรรณคดีแห่งชาติ เล่ม ๑. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร กระทรวงวัฒนธรรม. ชะเอม แกว้ คลา้ ย และบญุ เลศิ เสนานนท.์ (๒๕๓๕) “จารกึ พระศรสี รู ยลกั ษม,ี ” ศลิ ปากร ฉบบั ท่ี ๓๕ ปีที่ ๕. ทรงศกั ด์ิ ปรางคว์ ฒั นานกุ ลุ , บรรณาธกิ าร. (๒๕๓๙). สงกรานตใ์ น ๕ ประเทศ : การเปรยี บเทยี บ ทางวฒั นธรรม. การประชมุ ทางวชิ าการระดบั นานาชาติ วนั พธุ ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๙ ณ หอ้ งบา้ นแสนตอ โรงแรมโลตัสปางสวนแกว้ จงั หวัดเชยี งใหม.่ เชียงใหม่ : สำ� นัก ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ กรมสารนิเทศ กระทรวง การต่างประเทศ. ธรรมพนื้ เมอื ง : ตำ� นาน-อานสิ งสป์ ใี หมพ่ น้ื เมอื ง (ปใ๋ี หมเ่ ดอื นเมษายน). ลำ� พนู : รา้ นภญิ โญ. มปป. นิยะดา เหลา่ สุนทร. (๒๕๕๔). “จารกึ เรอื่ งมหาสงกรานต,์ ” ใน ประชมุ จารกึ วดั พระเชตุพน. กรุงเทพฯ : คณะสงฆ์วัดพระเชตพุ น. นยิ ะดา เหลา่ สนุ ทร. (๒๕๕๖). นทิ านเรอื่ งตำ� นานสงกรานตท์ ไ่ี มไ่ ดม้ าจากมอญ. ศลิ ปวฒั นธรรม. ปที ี่ ๓๔ ฉบบั ท่ี ๖เมษายน. ประคอง นมิ มานเหมินท์. (๒๕๕๔). ประเพณสี งกรานต.์ กรุงเทพฯ: กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม. ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์ และเรอื งวทิ ย์ ลม่ิ ปนาท (บรรณาธกิ าร). (๒๕๓๘). คนไทใตค้ ง: ไทใหญ่ ในยนู นาน. กรงุ เทพฯ: สถาบนั ไทยศกึ ษา ฝา่ ยวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกบั ส�ำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ. ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์ และ ตาว เซงิ หวา. (๒๕๔๒). อาปม่ ไทใตค้ ง: นทิ านกบั สงั คม. กรงุ เทพฯ: แมค่ ำ� ผาง. ยศ สันตสมบัติ. (๒๕๔๓). หลักช้าง: การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของไทในใต้คง. กรุงเทพฯ: วิถที รรศน์. ศริ าพร ณ ถลาง. (๒๕๔๘). ทฤษฎีคตชิ นวทิ ยา: วิธีวิทยาในการวเิ คราะหต์ ำ� นาน นิทานพื้นบา้ น. กรงุ เทพฯ:ศนู ยค์ ตชิ นวทิ ยา โครงการตำ� ราคณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ศลิ ปากร, กรม. (๒๕๓๑). วรรณกรรมสมัยอยุธยา เลม่ ๓. กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร.
ส68 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย ส.พลายนอ้ ย. (๒๕๔๗). ตรษุ สงกรานต์ : ประวตั คิ วามเปน็ มาของปใี หมไ่ ทยสมยั ตา่ งๆ. กรงุ เทพฯ : ศลิ ปวัฒนธรรม. สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ, บรรณาธกิ าร. (๒๕๕๐). สงกรานต:์ ขนึ้ ฤดกู าล (ปใี หม)่ ของพราหมณส์ วุ รรณภมู .ิ กรงุ เทพฯ : ส�ำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเทยี่ ว กรุงเทพมหานคร. เสฐยี รโกเศศ (นามแฝง). (๒๕๒๙). เทศกาลสงกรานต.์ พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : องค์การค้า ของครุ ุสภา. อภิลักษณ์ เกษมผลกลู . (มปป.). บทปรวิ รรตเรอ่ื ง พระมหาสงกรานตช์ าดก. ฉบับวดั ใหญพ่ ลิ้ว ต.พลว้ิ อ.แหลมสงิ ห์ จ.จนั ทบรุ ี. หอสมดุ รัชมังคลาภิเษกจนั ทบุรี (เอกสารตวั เขยี น) อ�ำไพ ค�ำโท. (๒๕๒๙). “จารกึ วดั สระกำ� แพงใหญ,่ ” ใน จารกึ ในประเทศไทย เลม่ ๓ : อกั ษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖. กรงุ เทพฯ : หอสมุดแหง่ ชาติ กรมศลิ ปากร. อ�ำไพ คำ� โท. (๒๕๒๙). “จารกึ วัดพระธาตเุ ชิงชมุ ,” ใน จารึกในประเทศไทย เลม่ ๓ : อกั ษรขอม พุทธศตวรรษท่ี ๑๕-๑๖. กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร.
“สงกรานต์” à·ÈกาÅสาดนา้� ¶Ôèน¨Õน ÇนÑ ÇานáÅÐÇนÑ น้Õ ÈÔÃÔÇÃó ÇêÑÂÂØ·¸ » ÍÒ¨ÒÃÂÀ Ò¤ÇªÔ ÒÀÒÉÒ¨Õ¹ ¤³ÐÈÅÔ »ÈÒʵà ÁËÒÇÔ·ÂÒÅѸÃÃÁÈÒʵà ระเพณสี งกรานตข์ องชนชาวไทในจนี นน้ั มชี อ่ื เรยี กวา่ “泼水节”(pōshuǐjíe โพวสยุ่ เจยี๋ ) มีความหมายว่า เทศกาลสาดนา�้ เป็นเวลาที่มแี ตค่ วามสุขสนุกสนานโดยประเพณี สงกรานต์ของชาวไทนั้นมีจุดก�าเนิดมาจากศาสนาพุทธ ชาวไทให้ความส�าคัญกับประเพณี สงกรานต์หรือสาดน้�าอย่างมาก และสืบทอดกันตลอดมา โดยจะมีการเฉลิมฉลองในโอกาส ปีใหม่ร่วมกับชนชาติอื่นท่ีมีวัฒนธรรมร่วมด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการแสดงความหมายถึง ความสามคั คีระหวา่ งชนชาตติ า่ งๆ ในจีนอีกดว้ ย ก�ำเนิดเทศกำลสำดน้�ำถ่นิ จนี ชาวไท (ไต) ภาษาจีนเรียกว่า“傣族”(dǎizúไต่จู๋) ของจีนเป็นชนกลุ่มน้อย ท่ีมีวัฒนธรรมท่ีสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ประชากรชาวไทในแผ่นดินจีนมีมากกว่าล้านคน โดยมีถ่ินอาศัยกระจายอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา และเขตปกครองตนเองชนชาติไทและจ่ิงพัวเต๋อหง โดยกระจายกันอยู่ตาม พนื้ ทต่ี า่ งๆ ของมณฑลยูนนาน ประวตั ศิ าสตร์ของชาวไทมมี ายาวนาน ภาษาที่ชาวไทใช้สือ่ สาร คือภาษาไท อยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได ประชากรทั้งหมดมีความศรัทธาพุทธศาสนา มีการประกอบพิธีกรรมตามพุทธศาสนาและความเชื่อเดิมพบเห็นได้ทั่วไป เช่น การเซ่นไหว้ เทพดาที่อารักป่าเขา ไหว้ผี ไหว้เทพเพื่อการเพาะปลูก การล่าสัตว์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตาม ความเชือ่ ต่างๆ เทศกาลสาดน�้า คือการฉลองปีใหม่ของชาวไท ภาษาไทเรียกว่า“比迈” (bǐmàiปี๋ไม่) ออกเสียงใกล้เคียงกับภาษาไทยทางเหนือ ซึ่งความหมายก็คือ “ปีใหม่” นนั่ เอง ชาวไทยทอ่ี ยใู่ นเชยี งรงุ้ สบิ สองปนั นา ยงั เรยี กวนั นอี้ กี ชอื่ หนง่ึ คอื “尚罕”(shànghàn ซา่ งฮ่าน) กับ“尚键”(shàngjiàn ซา่ งเจ้ยี น) หรือ “สงกรานต”์ น่นั เอง ทั้งสองชอ่ื ตา่ งเป็น คา� เรยี กมาจากภาษาบาลสี นั สกฤต ซงึ่ ตา่ งกห็ มายถงึ การกา้ วขน้ึ ยา่ งขน้ึ หรอื การยา้ ยที่ เคลอ่ื นท่ี หมายถึง การเคล่ือนท่ีของพระอาทิตย์ท่ีจะหมุนเปล่ียนรอบข้ึนสู่ราศีใหม่ซ่ึงเป็นการแสดงว่า ได้เข้าสู่ปีใหม่แล้ว นอกจากชาวไทแล้ว ยังมีชาวอาซาง ชาวปลัง ชาวเต๋ออังและชนกลุ่มน้อย อืน่ ๆ ในพน้ื ที่ตา่ งก็เฉลมิ ฉลองเทศกาลนีด้ ้วยเช่นกัน
ส70 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี เทศกาลสาดน�้ำ นอกจากเป็นการฉลองปีใหม่ของชาวไท ยังเป็นเทศกาลที่สืบทอด กันมาที่ยิ่งใหญ่ท่ีสุดในสิบสองปันนาด้วยเช่นกัน โดยจะจัดขึ้นกลางเดือนหกตามปฏิทิน ของชาวไทหรอื ตามปฏทิ นิ จนั ทรคติ (หลงั จากเทศกาลเชง็ เมง้ ประมาณ ๗ วนั ) ซงึ่ ตรงกบั ปปี ฏทิ นิ สุรยิ คติทใ่ี ช้กนั ทว่ั ไปในเดอื นสหี่ รือเดือนเมษายน (褚建芳, ๒๐๑๐ : ๑๐๔) คือวนั ท่ี ๑๓ – ๑๕ ในเดอื นส่ี โดยมีระยะเวลาการจดั กิจกรรมเฉลิมฉลองเปน็ เวลา ๓-๔ วัน ในวันแรกของการฉลองเรยี กตามภาษาไทเรยี กว่า “宛墨” (wǎnmò หวั่นม่อ) หรือในสงกรานต์ล้านนาคือ “วันสงกรานต์ล่อง” ก็จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ในวันน้ีชาวไท ทกุ ครวั เรือนจะทำ� ความสะอาดบา้ นเรอื น จัดเตรยี มขา้ วของสำ� หรบั การฉลองปใี หม่ เตรียมตวั ส�ำหรบั งานรืน่ เริงทจี่ ะจดั ในวันรุ่งข้ึน ซึ่งทุกคนจะมาอยรู่ ว่ มกนั ส่งทา้ ยปเี ก่าต้อนรับปีใหม่ วันที่สองของการฉลองภาษาไทเรียกว่า “宛恼” (wǎnnǎo หวั่นเหน่า) หรือ ในสงกรานต์ล้านนาคือ “วันเนา” ตามต�ำนานพื้นบ้านคือวันท่ีพญามารชั่วร้ายถูกฆ่าท�ำลาย ซงึ่ กิจกรรมท่ีทำ� ในวันนคี้ อื การละเล่นสาดน�ำ้ ตามนยั ว่าเปน็ การชำ� ระล้างสง่ิ ช่ัวร้าย สิง่ ไมด่ ี ส�ำหรับวันท่ีสามของการฉลองภาษาไทเรียกว่า“宛帕雅宛玛”(wǎ n pàyāwǎnmǎหว่ันพ่ายาหวั่นหม่า)หรือในสงกรานต์ล้านนาคือ “วันพญาวัน” ซ่ึงเป็น วันเฉลิมฉลองเร่ิมต้นปีใหม่ มีกิจกรรมมากมายท้ังทางพุทธศาสนา เช่น การขนทรายเข้าวัด เพอ่ื กอ่ เจดีย์ทราย การสรงนำ้� พระ การรดน�้ำดำ� หัว การประพรมน้�ำอวยพรปใี หม่ และกิจกรรม การละเล่น เชน่ การแขง่ เรอื การเตน้ ระบ�ำรำ� ฟอ้ นต่างๆ เอกสารขอ้ มลู เกย่ี วกบั เทศกาลสาดนำ้� ของประเทศจนี มกั กลา่ ววา่ วนั สงกรานตแ์ รกเรมิ่ ถือก�ำเนิดท่ีอินเดีย เป็นพิธีกรรมหน่ึงทางศาสนาของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งในทุกปีพราหมณ์ จะมีพิธีกรรมทางศาสนาคือการไปช�ำระล้างร่างกายท่ีริมแม่น้�ำ เพื่อช�ำระส่ิงชั่วร้ายส่ิงที่ไม่ดี ออกจากร่างกาย แต่ทว่าสำ� หรับพราหมณ์ที่มีอายุมากไม่สะดวกในการเดินทางไปยังริมแม่น�้ำ เพ่ือประกอบพิธีกรรมนั้น ลูกหลานหรือญาติมิตรก็ตักน้�ำจากแม่น้�ำกลับไปรดอาบท่ีบ้าน เพื่อประกอบพิธีกรรมช�ำระล้างที่บ้านแทน จากพิธีกรรมน้ี ภายหลังศาสนาพุทธได้รับมา ในชว่ งปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๒ ถงึ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ผา่ นการเผยแพร่ทางพุทธศาสนา จากพมา่ เขา้ สพู่ น้ื ที่ของชาวไท มณฑลยนู นานของจนี มกั มผี กู้ ลา่ ววา่ พทุ ธศาสนากบั วฒั นธรรมไทนน้ั ไมส่ ามารถแยกจากกนั ได้ แมพ้ ทุ ธศาสนา จะเป็นศาสนาต่างชาติ แต่ก็สามารถเข้าถึงจิตใจของชาวไท และผสมกลมกลืนเข้ากับ วัฒนธรรมไทได้เป็นอย่างดี พุทธศาสนาเร่ิมเข้ามาสู่สิบสองปันนาในราวช่วงปลายคริสต์ ศตวรรษที่ ๑๔ และต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ พุทธศาสนาในสิบสองปันนาเป็นพุทธเถรวาท เชน่ เดยี วกบั พทุ ธศาสนาในรฐั ไทยอนื่ ๆ ทมี่ กี ารผสมผสานกบั ลทั ธฮิ นิ ดู มหายานและความเชอ่ื ผี เป็นลักษณะของพุทธศาสนาในรัฐไทสามารถสร้างความเป็นเอกภาพในความแตกต่างของ ความเชอ่ื ท้ังหลายได้ (ยรรยง รตั นาพร, ๒๕๔๔ : ๒๓๙)
สาดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 71 อิทธิพลของพุทธศาสนาท่ีเข้มข้นส่งผลต่อวิถีชีวิตของชาวไทท�ำให้สงกรานต์ กลายเป็นประเพณีที่สืบทอดกันเร่ือยมา จนถึงปัจจุบันกว่าหลายร้อยปี ในช่วงระยะเวลา ที่สืบทอดต่อมานั้น ได้มีการผสมผสานกันของความเชื่อเทพปกรณัมพื้นบ้านชาวไท ท�ำให้ ประเพณสี าดน้ำ� มีเรือ่ งราวที่น่าอัศจรรยใ์ จ และมีสีสันทางวัฒนธรรมมากขึ้นจากแตเ่ ดมิ ตำ� นานเทศกาลสาดน้�ำถ่นิ จีน วันสงกรานต์ หรือเทศกาลสาดน้�ำเป็นเทศกาลพ้ืนบ้านอันย่ิงใหญ่ท่ีสืบทอดต่อกันมา ยาวนานของชนชาตไิ ท ซึง่ มีเรื่องราวต�ำนานเกย่ี วกบั ความเปน็ มาของประเพณนี ้ี เป็นเรอ่ื งเลา่ สืบต่อกันมาหลายตำ� นานท่คี ุน้ เคยแพร่หลายมดี ังน้ี ต�ำนานท่ีหนึ่งเล่ากันว่าเมื่อก่อนนานมาแล้วมีพญามารท่ีดุร้ายโหดเหี้ยมอยู่ตนหนึ่ง มีอิทธิฤทธ์ิมาก มีวิชาอาคม ตกน้�ำก็ไม่ตาย ไฟครอกก็ไม่ตาย มีดพร้าหรืออาวุธมีคมต่างๆ แทงฟันอย่างไรก็ไม่อาจท�ำร้ายมันได้ มันถือว่าตนเองจะกระท�ำส่ิงชั่วร้ายอย่างไรก็ได้ ฆ่าคนบริสุทธิ์ มักเที่ยวสร้างความหายนะให้ประชาชน ผู้คนต่างได้รับความเดือนร้อน แต่ก็ไมม่ ใี ครกล้าไปยงุ่ กบั พญามาร เจ้าพญามารมีเมีย ๗ คน ซ่งึ ได้มาจากการฉุดพรากมาจาก หมู่บา้ น ซึ่งกม็ ีความคบั แคน้ ใจตอ่ พฤตกิ รรมของมนั เชน่ กนั ทกุ คนตา่ งคดิ หาวธิ กี ำ� จดั พญามาร แตก่ ็หาวิธไี ม่ไดส้ กั ที พญามารโปรดปรานเมยี คนทเี่ จด็ ซงึ่ มคี วามงามและฉลาดมาก ใหค้ วามเอน็ ดเู ปน็ พเิ ศษ จนวันหนึ่งพญามารกินเหล้าจนเมามาก เมียคนท่ีเจ็ดก็แสร้งยกยอว่า “ท่านพ่ีมีความสามารถ สงู สง่ หาผใู้ ดเปรยี บได้ มดี ดาบฟนั แทงฆา่ ไมต่ าย ไฟกเ็ ผาทา่ นไมไ่ ด้ ในโลกนมี้ แี ตท่ า่ นทคี่ งกระพนั ไมม่ วี ันตาย” พญามารได้ฟังก็รู้สึกดีใจยิ่ง ไม่ทันระวังตัวก็เผลอเผยความลับของตนออกมาว่า “ขา้ ก็ต้องตายเหมอื นกนั นะ นี่..ขา้ บอกเจา้ คนเดียวเทา่ นัน้ อย่าพดู ใหค้ นอื่นล่วงร้เู ป็นอนั ขาด” วา่ แลว้ กก็ ระซบิ ทขี่ า้ งหนู างวา่ “ในโลกนมี้ เี พยี งวธิ เี ดยี วเทา่ นนั้ ทจี่ ะฆา่ ขา้ ใหต้ ายได้ กค็ อื ถอนผม ออกมาจากหวั ข้าเพียงหนึ่งเสน้ แลว้ นำ� มารดั คอข้า ขา้ ก็ตายไดแ้ ลว้ รู้ไหม? ” นางไดย้ นิ ดงั นน้ั กแ็ อบดใี จอยเู่ งยี บๆ แตก่ ไ็ มค่ อ่ ยปกั ใจเชอ่ื เทา่ ไหร่ นางรอจนพญามาร เผลอหลับไป จึงค่อยๆ ดึงเส้นผมออกจากหัวของเจ้าพญามารมาเส้นหนึ่งแล้วนำ� มารัดคอมัน ทนั ใดน้นั เองหวั ของพญามารกห็ ลุดรว่ งตกจากเตยี งไป พญามารตายดว้ ยวธิ นี ้เี อง เมยี ทั้งหกคน และชาวบ้านทงั้ หลายพอรวู้ า่ พญามารตายแลว้ ต่างก็พากันดใี จ เพราะ ไมต่ ้องถูกพญามารระรานท�ำรา้ ยอกี แลว้ นางทั้ง ๗ คนคิดจะเอาไฟเผาศีรษะพญามารใหส้ น้ิ ไป แต่คาดไม่ถึงว่าพอหัวของพญามารแตะถูกไฟ ไฟก็กลับลุกลามเผาไหม้บ้านเรือนไปทั่วทุกแห่ง พอพวกนางนำ� ฝังลงดนิ ก็สง่ กลิ่นเหมน็ จนใครๆก็ทนกล่ินเหม็นเนา่ ไม่ไหว นางจงึ โยนลงแมน่ ำ�้ ก็ปรากฏว่าน�้ำในแม่น�้ำกลับเดือดท่วมนองไปทุกที และไม่ว่าจะจัดการด้วยวิธีใดก็ไม่สามารถ
ส72 าดนำ�้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย ท�ำได้ แต่เมื่อหยิบขึ้นมาอุ้มไฟก็ดับ ด้วยเหตุน้ีพวกนางจึงตกลงกันว่าจะผลัดเปลี่ยนกันอุ้ม คนละวัน ทกุ ครั้งทเี่ ปลี่ยนเวรกันกจ็ ะใชน้ ำ้� รดล้างศรี ษะของพญามารด้วย เพ่ือเป็นการแสดงความนับถือและขอบคุณนางท้ัง ๗ คน ที่ช่วยกันขจัดภัยพิบัติ ให้หมดส้ินไปจากโลกน้ี ชาวไทจึงช่วยพวกนางล้างศีรษะพญามารปีละคร้ัง คือเวลาหน่ึงปี ในโลกมนุษย์นัน้ เท่ากบั เวลาหนงึ่ วนั บนสวรรค์ ชาวไทจึงเลือกเอาวันท่ี ๗ หลังจากวันเทศกาล เช็งเม้งของทุกปี เป็นวันล้างศีรษะให้พญามาร และต่อมาจึงได้กลายเป็นประเพณี “เทศกาลสาดนำ้� ” ซ่งึ สบื ต่อมาจนถงึ ปจั จบุ นั ภาพวาดตามต�ำนานเทศกาลสาดน้�ำ ทมี่ า : 远程,泼水节的传说 (เรอ่ื งเลา่ ตำ� นานเทศกาลสาดนำ้� )《中国民族》,๑๙๘๗年๐๔期。 ต�ำนานที่สองเล่ากันว่า นานมาแล้วบริเวณริมแม่น้�ำจินซาในป่าลึกเป็นถ่ินอาศัย ของหมบู่ า้ นชาวไท ได้เกดิ ไฟไหมป้ ่าลกุ ลามมาจนถึงหมู่บ้าน ผคู้ นในหมู่บา้ นตกอยู่ในอนั ตราย มีชายหนมุ่ ชาวไทคนหนึ่งชือ่ “หล่ีเหลียง” เพอื่ ปกป้องหมู่บา้ นให้รอดพน้ จากภัยพิบัติในครง้ั นี้ โดยไม่เกรงกลัวต่ออันตรายชาวบ้าน ว่ิงทะลุควันไฟเพื่อตักน�้ำมาดับไฟที่หมู่บ้าน ใช้เวลานาน เปน็ วนั จนกระทงั่ ไฟมอดดบั ไป ผคู้ นในหมบู่ า้ นไดร้ บั การชว่ ยชวี ติ ไวไ้ ด้ หนมุ่ นอ้ ยเหนอื่ ยเสยี เหงอื่ จนเป็นลมล้มลงดังนั้นชาวบ้านจึงช่วยกันตักน้�ำสะอาดมาให้หล่ีเหลียงดื่มเพ่ือดับกระหาย ด่ืมจนถึง ๙๙ แก้ว ก็ยังไม่สามารถดับกระหายได้ ต่อมาหล่ีเหลี่ยงได้จุ่มหัวลงในน้�ำ แล้วได้ กลายเปน็ มังกร และว่ายน้ำ� ไป บ้างก็เล่ากันว่าเขากลายเป็นต้นไม้ใหญ่เพื่อต้องการร�ำลึกถึงความกล้าหาญและ คุณความดีแด่หล่ีเหลียง ทุกปีในวันขึ้น ๓ ค่�ำ เดือน ๓ ตามปฏิทินจันทรคติชาวไททุกบ้าน ทุกครัวเรือนก็จะท�ำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ โรยด้วยใบสน รวมท้ังในวันนี้จะสร้างอุโมงค์ ต้นไม้สีเขียวใกล้บ่อน้�ำหรือแหล่งน้�ำ โดยสองข้างทางจะวางถังน�้ำซึ่งบรรจุน้�ำไว้เต็มถัง เม่ือถึง
สาดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย 73 เวลาเทีย่ งวนั ซง่ึ เปน็ ช่วงทพี่ ระอาทติ ย์ขึ้นตรง ทกุ คนกจ็ ะเดินลอดอุโมงค์ตน้ ไมแ้ ล้วประพรมนำ�้ สาดน�้ำแก่กัน เพ่ือแสดงความระลึกถึงหลี่เหลียง และอวยพรปีใหม่ ซึ่งได้มีการสืบทอดและ กลายเป็นประเพณีส่งท้ายปีเกา่ ต้อนรับปีใหม่ของชาวไทตอ่ มา ตำ� นานทส่ี าม เลา่ วา่ มแี มล่ กู คหู่ นง่ึ ซงึ่ ลกู ชายเปน็ คนมนี สิ ยั มทุ ะลดุ อื้ ดา้ น อยมู่ าวนั หนงึ่ หลังจากวันเช็งเม้งผ่านไปเจ็ดวันลูกชายได้ขึ้นเขาไปท�ำงาน และได้เห็นภาพของแม่นกคู่หนึ่ง ปอ้ นอาหารใหก้ นั กพ็ ลนั สำ� นกึ ไดถ้ งึ บญุ คณุ ของแม่ คดิ ไดด้ งั นน้ั กต็ ง้ั ปณธิ านวา่ ตอ่ ไปนจี้ ะปฏบิ ตั ิ ตวั ดีปรนนิบัติแม่ ในเวลาเดยี วกนั แมก่ เ็ ดนิ ขน้ึ เขามาเพอ่ื สง่ ขา้ วใหก้ บั ลกู ชาย แตไ่ มร่ ะวงั กล็ นื่ ลม้ ลกู ชาย หันมาเหน็ จะรบี พ่งุ เข้าไปรบั ชว่ ยประคองตวั แม่ แตแ่ ม่เขา้ ใจผิดคดิ วา่ ลกู ชายโมโหหวิ จะท�ำร้าย ก็หมุนตัวหลบลูกจนไม่ทันระวังศีรษะไปกระแทกต้นไม้เสียชีวิต ลูกชายเสียใจกับเหตุการณ์ ทเี่ กดิ ขนึ้ จงึ โคน่ ตน้ ไมต้ น้ นน้ั แลว้ แกะสลกั เปน็ รปู เสมอื นแมข่ องตน ทกุ ปหี ลงั จากเทศกาลเชง็ เมง้ ไป ๗ วนั ก็จะนำ� รปู สลักออกมาเช็ดลา้ งทำ� ความสะอาด ซึง่ ต่อมาได้กลายเป็นทม่ี าของเทศกาล สาดนำ้� ภาพวาดการร่ายรำ� ในการฉลองเทศกาล ทม่ี า:远程,泼水节的传说(เรอ่ื งเลา่ ตำ� นานเทศกาลสาดนำ้� )《中国民族》,๑๙๘๗年๐๔期。 นอกจากตำ� นานขา้ งตน้ แลว้ ยงั มีการกล่าวว่าเดมิ ทตี ้นก�ำเนิดของประเพณสี าดนำ้� นัน้ เกดิ ขนึ้ เมอ่ื ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๕ ณ ดนิ แดนเปอรเ์ ซยี โดยมาจากการแสดงรา่ ยรำ� ชดุ “泼寒胡戏” (pōhánhúxì โพวหานหูซี่) เพ่ือร�ำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคเส้นทางสายไหมว่า
ส74 าดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย มีดินแดนแห่งหนึ่งที่ประสบภัยพิบัติเกิดความแห้งแล้งล�ำบาก แต่ทว่ามีราชาท่ีมีความสามารถ องคห์ นง่ึ ไดไ้ ปชว่ ยใหผ้ คู้ นในดนิ แดนนนั้ พน้ จากภยั พบิ ตั ิ ภายหลงั ในการรา่ ยรำ� ไดม้ กี ารใชน้ ำ�้ สาด ซึ่งกันและกัน ต่อมาเร่ืองราวประเพณีเหล่านี้ได้แพร่กระจายมายังอินเดีย และถูกส่งต่อมายัง พม่า ไทยและสบิ สองปนั นาดินแดนทางใตข้ องจีน นอกจากนยี้ งั มขี อ้ มลู ทไ่ี ดอ้ ธบิ ายถงึ ประเพณสี าดนำ้� ในสารานกุ รมจนี ฉบบั ชนกลมุ่ นอ้ ย เร่ืองก�ำเนิดของเทศกาลสาดน�้ำในจีนได้กล่าวว่าเทศกาลสาดน้�ำมีความเกี่ยวข้องอันแนบแน่น กับการเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศจีนของพุทธศาสนาเถรวาท โดยเป็นเทศกาลท่ีก�ำเนิดมาจาก ความปรารถนาทจี่ ะเอาชนะความแหง้ แล้ง และภัยพบิ ัตทิ างธรรมชาติ ในสว่ นของ คำ� อธิบายที่ ปรากฏในพจนานุกรมประเพณีจีน ฉบับเทศกาลสาดน้�ำ ก็เขียนไว้ว่า “เทศกาลสาดน�้ำนี้มีต้น ก�ำเนดิ ทอี่ ินเดีย หลงั จากน้นั ไดต้ ดิ ตามการเผยแพร่ของพทุ ธศาสนาเถรวาทมายงั พมา่ ไทย และ ลาวจนกระทงั่ เข้าส่ดู ินแดนถิน่ อาศยั ของชาวไท และเรยี กเทศกาลนีว้ า่ “เทศกาลสรงน้�ำพระ” (李佳芸瑞, ๒๐๑๔ : ๔๐๒) ซงึ่ จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จะพบวา่ ประเพณเี ทศกาลสาดนำ้� นนั้ สมั พนั ธ์ กับแนวคิดทางศาสนาและความปรารถนาท่ีจะเอาชนะภัยธรรมชาติของมนุษย์ เม่ือสังคมได้ เกิดการพฒั นาปรับเปล่ียนประเพณีและความหมายของเทศกาลก็ไดถ้ กู ปรบั ไปตามยุคสมัย พิธกี รรมและการละเลน่ ในเทศกาลสาดน้�ำของชาวไท ในชว่ งเทศกาลสาดนำ�้ ของชาวไทนนั้ มพี ธิ กี รรมและการละเลน่ ทส่ี บื ทอดกนั มามากมาย อันสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีวัฒนธรรมท้องถ่ินกับศาสนาและความเช่ือได้อย่างลงตัว โดยจะ อธบิ ายโดยสังเขปดังนี้ ในช่วงงานประเพณีสงกรานต์มีจ�ำนวน ๓ วัน โดยในวันแรก ผู้คนจะเข้าวัดเพื่อจะ ไปช่วยกันท�ำความสะอาดวัดซ่ึงเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมให้สะอาดสวยงาม มีการสรงน้�ำ พระพุทธรูป รวมท้ังจัดให้มีการฟังเทศน์ เมื่อเสร็จแล้วก็ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ท้ังหลาย ด้วย สว่ นในวันที่ ๒ กจิ กรรมหลักจะเป็นประเพณีและการละเลน่ ต่างๆ ในบริเวณวัด การจดั ให้ มีการขนทรายเข้าวัด เพื่อจะก่อใหเ้ ป็นรูปต่างๆ ก่อรปู เจดียเ์ ป็นตน้ และในวนั ที่ ๓ จะเริ่มงาน เมื่อตอนพระอาทิตย์ขึ้นตรงศีรษะหรือตอนเที่ยงผู้คนก็จะถือถังที่บรรจุน้�ำที่ลอยดอกไม้ ไปประพรมคนอื่นๆ เพ่ือท่ีจะได้อวยพรซ่ึงกันและกัน ซ่ึงผู้คนต่างก็เล่นสาดน�้ำกันไปเรื่อย จนกระทง่ั อาทิตยต์ กดิน ในเวลากลางคืนก็จดั ให้มกี ารแสดง รอ้ งรำ� ทำ� เพลงตามประเพณี การสาดนำ�้ เปน็ การละเลน่ ทส่ี ำ� คญั ของเทศกาลนี้ โดยจะมกี ารจดั เตรยี มนำ�้ และใบไม้ เพื่อนำ� มาใชใ้ นการประพรมน�้ำชาวไทใชน้ �ำ้ เพอื่ เป็นสญั ลกั ษณใ์ นการอวยพรซ่ึงกนั และกนั การสรงน้�ำพระ โดยจะประกอบพิธีกรรมนี้ในวันที่สามของเทศกาล โดยทุกคนจะ จดั เตรยี มนำ�้ สะอาดบริสุทธิ์ และเตมิ น้�ำหอมลงไปในนำ้� เพ่ือนำ� ไปสรงนำ�้ พระพุทธรปู เพือ่ ขอพร ใหเ้ กดิ แตค่ วามโชคดตี ลอดปีใหม่
สาดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย 75 การจดุ บั้งไฟ เป็นการละเลน่ ทสี่ ร้างความคกึ คักให้กับเทศกาลสาดน้ำ� อย่างมาก โดย ชาวบ้านจะจัดเตรียมบั้งไฟซ่ึงท�ำจากกระบอกไม้ไผ่ ท�ำลักษณะคล้ายจรวดเพื่อยิงข้ึนฟ้า มีความหมายในการแสดงความปรารถนาที่จะให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ท่ีมาถึง ซึ่งใน ระยะหลงั มกี ารประกวดบง้ั ไฟกนั ดว้ ยวา่ ของชมุ ชนใดตกแตง่ ไดส้ วยงาม และยงิ ขน้ึ ฟา้ ไดส้ งู ทส่ี ดุ การโยนถุงผ้า เป็นการละเล่นของหนุ่มสาวชาวไท โดยหนุ่มสาวชาวไทท่ียังไม่ได้ แต่งงานจะโปรดปราณการละเลน่ น้อี ยา่ งมาก ซ่งึ การละเล่นน้กี ็คือประเพณกี ารเลือกคสู่ บื ทอด กันมาน่ันเอง โดยวันเทศกาลหนุ่มสาวชาวไทจะจัดเตรียมถุงผ้าท่ีปักเป็นลวดลายสวยงาม ด้วยฝีมือตนเอง ในวันงานพวกเขาจะแต่งกายด้วยเส้ือผ้างดงามเป็นพิเศษ เมื่อหนุ่มสาว มาพร้อมกันท่ีสถานที่จัดการละเล่นก็จะยืนเป็นแถวหน้ากระดานฝ่ายหญิงฝั่งหน่ึงและฝ่ายชาย อกี ฝง่ั หนงึ่ เมอื่ ถงึ เวลาใหต้ า่ งฝา่ ยโยนถงุ ผา้ ของตนเองใหก้ บั บคุ คลทต่ี นเองพงึ ใจและหมายตาไว้ อยู่แล้ว ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้เริ่มก่อนโดยโยนไปที่ชายท่ีตนเองพึงใจ หากฝ่ายชายรับถุงไม่ได้ จะต้องเตรียมดอกไม้ท่ีเตรียมมาไปเสียบบนศีรษะของฝ่ายหญิง ซึ่งฝ่ายชายก็ต้องปฏิบัติ เช่นเดียวกันหากฝ่ายหญิงรับดอกไม้ไม่ได้ก็จะต้องน�ำดอกไม้ที่เตรียมมาไปเสียบที่หน้าอก ของฝ่ายชาย การละเล่นนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้มีโอกาสได้ท�ำความรู้จักและ ใกล้ชิดกัน หากมีความพึงใจซึ่งกันและกันก็สานต่อความสัมพันธ์จนกระทั่งแต่งงานสร้าง ครอบครัวกันไป ภาพบรรยากาศการสาดน�ำ้ ในสบิ สองปนั นา Available at : http://www.sxfj.org/html/๓๙๘.html [Accessed on: 6th March 2016]. การลอยโคม ซงึ่ มชี อ่ื เรยี กเปน็ ภาษาไทเรยี กวา่ “贡菲”(gòngfēi กง้ เฟย) ใกลเ้ คยี ง กบั ภาษาไทยวา่ “โคมไฟ” ซง่ึ โคมไฟลกั ษณะนเี้ ขา้ มาบรเิ วณสบิ สองปนั นาหลงั จากทพี่ ทุ ธศาสนา เข้ามา โดยมีการประดิษฐ์ไฟอย่างสวยงามและแข่งขันกันด้วยว่าโคมของผู้ใดจะลอยสูงที่สุด โดยระหว่างท่ีปล่อยโคมขึ้นท้องฟ้าก็จะมีการร้องร�ำท�ำเพลง แสงไฟท่ีเคลื่อนลอยข้ึนท้องฟ้า ส่องสว่างความหวังในการประสบโชคดปี ใี หม่
ส76 าดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี การแข่งเรือมังกร เปน็ การละเล่นท่ีมสี ีสันมากอยา่ งหน่งึ ในเทศกาลสาดน้ำ� โดยทัว่ ไป จะจัดให้มีการแข่งขันเรือพายในวันที่สามของการเฉลิมฉลอง ในวันปีใหม่ซ่ึงผู้คนต่างแต่งกาย อย่างสวยงามมาพร้อมเพรียงกันท่ีริมน้�ำบริเวณที่จัดการแข่งขัน โดยกลางแม่น้�ำมีเรือมังกร ที่ตกแต่งมาอย่างสวยงามจอดนิ่ง บนเรือมีฝีพายนับสิบชีวิตเตรียมพร้อมรอเสียงสัญญาณ เม่อื ได้ยินเสียงนกหวีดกจ็ ะออกแรงพายเรอื พงุ่ ไปขา้ งหนา้ อยา่ งรวดเร็ว ตลอดเสน้ ทางการพาย ทัง้ ทอ้ งน�ำ้ ไดย้ นิ เสียงกลอง เสียงโหร่ อ้ งเชียรก์ นั อย่างสนกุ สนาน การก่อเจดยี ท์ ราย ประเพณดี ัง้ เดมิ นนั้ เปน็ กิจกรรมท่ปี ฏิบัตกิ ันภายในบรเิ วณวัด โดย ชาวบ้านในชุมชนจะช่วยกันขนทรายเข้าวัดและก่อเจดยี ์ทรายสูงประมาณ ๑-๒ เมตร น�ำไม้ไผ่ ซง่ึ ไดร้ บั การตดั แตง่ กบั กระดาษใหเ้ ปน็ ธงอนั เลก็ ๆ ประดบั ตกแตง่ เจดยี ์ หลงั จากนนั้ นง่ั ลอ้ มรอบ กองทรายนั้น พร้อมกับฟังพระสวดมนต์ เพ่ือรับพรในโอกาสข้ึนปีใหม่ แต่ในปัจจุบันนี้ได้มี การปรบั เปลยี่ นรปู แบบบา้ งโดยนอกจากพธิ กี รรมในวดั แลว้ กจ็ ดั ใหม้ กี ารกอ่ เจดยี ท์ รายรมิ แมน่ ำ�้ พร้อมกบั การจดั ให้มกี ารประกวดความสวยงาม การลอยกระทง ส�ำหรับการลอยกระทงน้ันจะจัดกันหลังจากการแข่งขันเรือมังกร เสรจ็ สิ้นแล้ว โดยชาวไทจะน�ำไมไ้ ผ่ และไม้กระดานมาจดั ท�ำเป็นกระทงรปู ลกั ษณะต่างๆ แล้ว ลอยนำ�้ มีความหมายเพือ่ เปน็ การพ่งุ ทะยานไปสู่ความส�ำเร็จในปีใหม่ การเต้นระบ�ำพื้นเมือง ชาวไทเป็นชนกลุ่มน้อยที่รักความคร้ืนเครงดังน้ันกิจกรรม การรอ้ งเพลงเตน้ ระบำ� จะขาดมไิ ด้ โดยจะมารวมตวั กนั ทลี่ านกลางหมบู่ า้ น แลว้ จดั ใหม้ กี ารแสดง การเตน้ รำ� ตา่ งๆ เชน่ ระบำ� ชา้ ง ระบำ� นกยงู หลงั จากนน้ั กม็ กี ารลอ้ มวงเตน้ รำ� กนั อยา่ งสนกุ สนาน การปล่อยสัตว์น้ำ� ชาวไทในสิบสองปันนาเมอ่ื ถงึ เทศกาลสาดนำ้� ก็จะมกี ารปลอ่ ยปลา หรือสตั วน์ �ำ้ อื่นๆ พร้อมทัง้ เชิญให้ผ้เู ฒ่าผแู้ กข่ องหมู่บ้านสวดมนต์ใหพ้ รในการเรม่ิ ต้นปใี หม่ พิธีกรรมและการละเล่นต่างๆ เหล่านี้ปัจจุบันได้มีการปรับเปล่ียนรูปแบบไปตามยุค สมัยที่เปลีย่ นไป และตามสภาพแวดลอ้ มท่ีแตกต่างกนั ออกไปของแตล่ ะพ้นื ที่ ภาพบรรยากาศการแขง่ เรือมงั กรในเทศกาลสาดน้ำ� Available at: http://minsu.๙๑ddcc.com/c_๑๕๐๘๑.html [Accessed on: 6th March 2016].
สาดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 77 เทศกาลสาดน้ำ� กบั วฒั นธรรมแหง่ สายน้�ำของชาวไท ดว้ ยเหตทุ รี่ ะหวา่ งการเฉลมิ ฉลองเทศกาลสาดนำ�้ มกี จิ กรรมทเี่ กยี่ วพนั กบั นำ�้ เปน็ สำ� คญั และชื่อน้ียังมีนัยยะสะท้อนให้เห็นถึงภูมิหลังในความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทกับวัฒนธรรมน�้ำ อยา่ งแนบแน่น ด้วยเหตนุ ี้จงึ อาจสะทอ้ นความสัมพันธ์ความเช่อื ของชาวไทกับสายน้ำ� ไดด้ งั น้ี ๑. เทศกาลสาดน้�ำกับต�ำนาน สะท้อนถึงแนวคิดในการบูชาให้ความเคารพสายน้�ำ การทเี่ กดิ สงิ่ ชว่ั รา้ ยแลว้ นำ� นำ�้ มาเปน็ สญั ลกั ษณใ์ นการชำ� ระกำ� จดั สงิ่ ชวั่ รา้ ย หรอื การประพรมนำ�้ เพอื่ อวยพรแกก่ นั กอ็ าจสะทอ้ นใหท้ ราบถงึ ความเชอ่ื ของชาวไททม่ี ตี อ่ นำ�้ เชอ่ื วา่ นำ้� เปน็ สง่ิ บรสิ ทุ ธิ์ นำ� มาชำ� ระล้างสง่ิ สกปรกไมด่ ี หรือภัยพิบัตทิ ี่มองไมเ่ ห็นได้ ๒. เทศกาลสาดน้�ำกับเทพแห่งสายน้�ำ ชาวไทมีความเชื่อว่าน�้ำเป็นสัญลักษณ์ของ การด�ำรงชีวิต น้�ำเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างเทพเทวดา และภูตผี ในการประกอบพิธีกรรม สรงนำ้� พระ ชาวไทจะตกั นำ้� สะอาดจากบา้ นเพอ่ื นำ� ไปประพรม สรงนำ้� พระพทุ ธรปู ทว่ี ดั พวกเขา คิดว่าเม่ือสรงน้�ำพระแล้วพระพุทธองค์ก็จะรับรู้ความปรารถนาโดยผ่านเทพแห่งน�้ำส่งต่อไปให้ พระพทุ ธองคไ์ ดร้ ับรู้ ด้วยเหตุน้ีในนำ�้ ท่ีน�ำมาสรงน้�ำพระยังได้ใส่เครอ่ื งหอมลงไปดว้ ย ๓. เทศกาลสาดน�้ำกับความโชคดีของน้�ำ ชาวไทมีความเช่ือว่าน้�ำเป็นของมีค่า มีความมงคล น้�ำสามารถช่วยขจดั ความวนุ่ วายใจ ช�ำระลา้ งโรคภัยและภยั พิบตั ติ า่ งๆ ทีเ่ กดิ ขึ้น เพื่อน�ำมาซึ่งส่ิงดีๆ ในการพิธีสรงน้�ำพระไม่เพียงจะน�ำน�้ำที่ตระเตรียมมาสรงองค์พระแล้ว ยังน�ำแก้วใบเล็ก ตักน�้ำแล้วยกข้ึนเหนือศีรษะตั้งจิตอธิษฐานแล้วน�ำประพรมลงท่ีต้นเสาของ อุโบสถทุกต้น ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านจะต้องปฏิบัติโดยต้องมาประกอบพิธี ดว้ ยตนเอง เน่อื งจากมคี วามเช่อื วา่ เมอื่ ปฏบิ ตั ิเชน่ นแ้ี ลว้ ความโชคดีจะอยกู่ ับตนตลอดปี และ หากเกิดส่ิงใดท่ีไม่ดีไม่ปรารถนาก็จะถูกขับไล่ออกไป เป็นการขอพรให้เริ่มต้นปีใหม่ด้วย ความโชคดี เทศกาลสาดน้�ำ การสบื ทอดและววิ ฒั นาการ ๑. ประเพณีเทศกาลสาดน�ำ้ คือการสืบทอดวัฒนธรรมของชาวไท เทศกาลของชนกลมุ่ นอ้ ยตา่ งๆเปน็ หนา้ ตา่ งบานสำ� คญั ทชี่ ว่ ยประชาสมั พนั ธค์ วามเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ใหค้ นภายนอกตา่ งวฒั นธรรมไดร้ จู้ กั พวกเขามากขน้ึ โดยตรง ความนา่ สนใจ ของประเพณีสาดน�้ำอยู่ท่ีความเป็นประเพณีพื้นเมืองท่ีสดใหม่ แปลกตา มีต�ำนาน เร่ืองเล่า และพฒั นาการทปี่ ระกอบเขา้ ดว้ ยกนั กอ่ ใหเ้ กดิ ความนา่ ประทบั ใจในตวั ของมนั เอง ขอ้ มลู ทบี่ นั ทกึ เป็นอักษร เร่ืองเล่ามุขปาฐะแสดงให้เห็นถึงการผสมสานอันลงตัวระหว่างความเชื่อท้องถิ่น กับความศรัทธาทางพุทธศาสนาที่สะท้อนผ่านวิถีชีวิตของชาวไท ศาสนาความเช่ือ ความงาม ด้านศิลปะดนตรี การเต้นร�ำ อาหาร และการแต่งกายที่ได้กลายเป็นวัฒนธรรมอันงดงาม ได้รับการสืบทอดต่อกันมายาวนานสิ่งเหล่านี้ล้วนยืนยันว่า การสืบทอดเทศกาลสาดน�้ำกับ การสบื ทอดวัฒนธรรมของชาวไทเป็นเร่อื งเดยี วกัน
ส78 าดนำ�้ สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี ๒. ประเพณีเทศกาลสาดน�ำ้ คอื คอื การสะท้อนหวั ใจอันเป็นมติ รของชาวไท ชาวไท เป็นชนกลมุ่ นอ้ ยทมี่ ีนสิ ยั ใจคอที่ดีงาม มวี ิถชี ีวติ ทเ่ี ปิดเผย มนี �้ำใจตอ้ นรับขบั สู้ ผู้มาเยือนด้วยความเป็นมิตร ด้วยเหตุนี้ในช่วงเทศกาลสาดน้�ำ ชาวไทในทุกหมู่บ้านจะได้มา รว่ มตวั กนั ในการตระเตรยี มงานเพอื่ เฉลมิ ฉลองในวนั ปใี หม่ และเนอ่ื งจากชาวไทใหค้ วามสำ� คญั กับเทศกาลน้ีมาก ในวันงานทุกคนก็จะช่วยกันตักน้�ำจากแหล่งน�้ำที่ชาวหมู่บ้านเช่ือว่าเป็น น้�ำศักด์ิสิทธิ์ แล้วไปรวมตัวกันที่วัดเพื่อร่วมกันประกอบพิธีสรงน้�ำพระ หลังจากนั้นก็จะ ประพรมน้�ำ และอวยพรใหแ้ กก่ ัน ส�ำหรบั วันเทศกาลสาดน�ำ้ ไม่วา่ จะมมี ติ รต่างถ่ินมาเยอื น จะเป็นใครมาจากไหนกต็ าม ชาวไทต่างต้อนรับขับสู้ด้วยความยินดี พร้อมกับอวยพรให้ประสบความโชคดี ความร่วมแรง ร่วมใจกนั ของชาวไทสะท้อนให้เห็นถงึ ความสมัครสมานสามัคคี และมติ รภาพท่ดี ขี องชาวไท ๓. ประเพณเี ทศกาลสาดน้�ำ คอื การส่งเสรมิ เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมชาวไท เมอ่ื ปี ๒๐๐๖ เทศกาลสาดนำ้� ได้รบั การพิจารณาใหเ้ ป็นเทศกาลทไ่ี ด้รบั การยกย่องให้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจากรัฐบาลจีนและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้ามาสู่การจัดการ ประเพณซี ่ึงเดมิ ทเี ป็นการเฉลมิ ฉลองของคนทอ้ งถน่ิ ท่ีต่อมาได้รับการสง่ เสริมให้เป็นประเพณีที่ ส�ำคัญของชาติด้วยค�ำขวัญในการประชาสัมพันธ์ท่ีสวยงามว่า “เป็นเทศกาลแห่งความร่ืนเริง ตะวันออก” การได้รบั ความสำ� คัญจากภาครฐั รวมถงึ คณุ คา่ ในตนเองของประเพณที ่สี บื ทอดกนั มา ทำ� ให้เทศกาลสาดน�ำ้ ของชาวไทในปจั จุบนั ตอ้ งเผชิญกบั ผลกระทบทั้งผลด้านบวกและด้านลบ ผลด้านบวกน้ันคือการได้รับการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงคุณค่า ทางวัฒนธรรมประเพณีท่ีดีงามมีการเผยแพร่ประเพณีให้เป็นท่ีรู้จักส่ิงเหล่าน้ีเป็นการอนุรักษ์ และช่วยให้เทศกาลสาดน�้ำของชาวไทได้รับการสืบทอดต่อไปในภายหน้าหากแต่การสืบทอด กต็ อ้ งเปน็ ในพน้ื ฐานของความเขา้ ใจประเพณพี ธิ กี รรมและการละเลน่ ทดี่ งี ามดว้ ยไมเ่ ชน่ นนั้ แลว้ ก็จะเกิดผลด้านลบได้ ผลด้านลบที่เกิดกับเทศกาลสาดน้�ำภายหลังจากท่ีได้รับการประชาสัมพันธ์ดึงดูด ผคู้ นมากมายใหเ้ ขา้ มาสมั ผสั ประเพณนี เี้ ปน็ จำ� นวนมากขนึ้ การแพรห่ ลายอยา่ งรวดเรว็ ของขอ้ มลู และการให้ความสนใจกับประเพณีการเล่นสาดน้�ำเพื่อความสนุกสนานอย่างเดียวท�ำให้คุณค่า และความหมายท่ีซ่อนอยู่ในประเพณีต่างๆ ในเทศกาลของชาวไทได้ถูกลดทอนลงจากอดีต ท่ีปฏิบัติการตามความเช่ือความหวังว่าประเพณีนี้จะช่วยปัดเป่าช�ำระล้างส่ิงช่ัวร้ายและ ขอพรให้เกิดความโชคดีในปีใหม่ก็จืดจางลงเหลือเพียงกิจกรรมให้ความบันเทิงและไปให้ ความส�ำคญั ในเชงิ ธุรกิจมากเกินไป
สาดน�้ำสงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย 79 ภาพชาวไทเลน่ นำ้� รปู แบบใหมใ่ นเทศกาลสาดนำ�้ Available at: http://www.yn.chinanews.com/ pub/๒๐๑๓/yunnan_๐๔๑๒/๗๑๔๕๒.html[Accessed on: 6th March 2016]. บทสง่ ทา้ ย กล่าวโดยสรุปงานสงกรานต์ของไทยมีที่มาจากเทศกาลสาดน้�ำของชาวไทในพ้ืนท่ี สบิ สองปนั นา เชยี งรงุ้ และพนื้ ทบี่ รเิ วณทางตอนใตข้ องมณฑลยนู นาน ประเทศจนี เปน็ เทศกาล ที่จัดขึ้นเพอ่ื เฉลิมฉลองปีใหม่ โดยรับเอาวฒั นธรรมผ่านทางพุทธศาสนาเถรวาทและผสมผสาน เข้ากับวัฒนธรรมและตำ� นานเทพปกรณมั พืน้ บ้านกบั พธิ กี รรมทางพุทธศาสนา ปัจจุบันประเพณีอันดีงาม เตม็ ไปดว้ ยคณุ คา่ ทางวฒั นธรรมนไี้ ด้ รับความสนใจจากภาครัฐและผู้คน ตา่ งวฒั นธรรมอยา่ งมาก ถงึ กระน้ัน เทศกาลสาดน้�ำของชาวไทจะได้รับ การสืบทอดอย่างยั่งยืนต่อไปน้ันคง ไม่อาจอาศัยแค่แรงประชาสัมพันธ์ หรือการส่งเสริมความงามแต่เพียง เปลือกนอกหรือการให้คุณค่าทาง ธุรกิจท่องเท่ียวเพียงอย่างเดียว ห า ก แ ต ่ ช า ว ไ ท ซ่ึ ง เ ป ็ น เ จ ้ า ข อ ง แผนที่มณฑลยูนนานแสดงพื้นท่ีถ่ินชาวไทอาศัยอยู่ Available at: วฒั นธรรมนต้ี า่ งหาก จะตอ้ งไมล่ มื ราก http://www.johomaps.com/as/china/yunnan/yunnan๑_ch. ลืมแก่นของประเพณี และควรร่วม html[Accessed on: 6th March 2016]. แรงร่วมใจช่วยกันอนุรักษ์สืบสาน เทศกาลสาดน้�ำ ร่วมกันเชิดชูจิตวิญญาณของประเพณี ท่ีแสดงออกซึ่งการอยู่ร่วมกันของ มนุษย์กับธรรมชาติที่ถือเป็นคุณค่าสูงสุดที่แฝงอยู่ในเทศกาลน้ีเอาไว้ ประเพณีดังกล่าวจึงจะมี โอกาสด�ำรงอยู่ตอ่ ไปได้อยา่ งยัง่ ยนื
ส80 าดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย บรรณานกุ รม ทรงศักด์ิ ปรางคว์ ัฒนากลุ . (๒๕๓๙). สงกรานต์ใน ๕ ประเทศ : การเปรียบเทยี บทางวัฒนธรรม: เชยี งใหม่ : ส�ำนกั สง่ เสริมศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่. ยรรยง จิระนคร. (๒๕๔๔). ประวัติศาสตร์สิบสองปันนา: กรุงเทพฯ : สถาบันวิถีทรรศน์ มูลนิธิ วถิ ที รรศน์, 褚建芳.制造传统——关于傣族泼水节及其相关新年话语的研究 (การผลิต สร้างประเพณี : การศึกษาเทศกาลสาดน�้ำและค�ำศัพท์ปีใหม่ที่เกี่ยวข้องของชาวไท) 《开放时代》, ๒๐๑๐年๐๒期。 覃娜娜. (๒๐๐๙). 傣族的泼水节及其文化内涵探析 (บทวิเคราะห์เบ้ืองต้นเกย่ี วกบั เทศกาลสาดนำ้� และคณุ คา่ ทางวฒั นธรรมของชาวไท《民俗•文化》,年๐๒期。 远程. (๑๙๘๗). 泼水节的传说(เรื่องเล่าต�ำนานเทศกาลสาดน้�ำ)《中国民族》 年๐๔期。 李佳芸瑞. (๒๐๑๔). 泼水节传统文化在傣族民族文化建设中的传承与发展 (การสืบทอดและการพัฒนาเทศกาลสาดน้�ำวัฒนธรรมที่สืบทอดในวัฒนธรรมชาวไท) 《云南社会主义学院学报》年第๔期。 เวบ็ ไซต์ 中国文化网:Available at: http://www.chinaculture.org/gb/cn_whyc/๒๐๐๖- ๑๐/๑๙/content_๘๗๔๔๑.htm [Accessed on: 6th March 2016].
ด‹Ð¨าน : สงกรานต์¾Áา‹ à·ÈกาÅà»ÅÂèÕ น¼า‹ น Ç¶Ô àÕ กÉตรกºÑ ¤ÇาÁËÇงÑ ¢Íง¼¤ŒÙ น ÊÔ·¸Ô¾Ã ๵ùÔÂÁ à ¹Ñ¡»¯ºÔ ѵԡÒÃÇ¨Ô ÂÑ Ê¶Òº¹Ñ Ç¨Ô ÑÂÀÒÉÒáÅÐÇ²Ñ ¹¸ÃÃÁàÍàªÕ ÁËÒÇ·Ô ÂÒÅÑÂÁËÔ´Å มื่อลมแล้งแห่งฤดูร้อนของเดือนเมษายนพัดหวนมา ความชุ่มชื่นในเทศกาล งานเปล่ียนผ่านช่วงเวลาส�าคัญของประชาคมชาวพุทธเถรวาทอุษาคเนย์ ในภาคพ้ืนทวีป ท่เี รยี กว่า “สงกรานต”์ กเ็ วยี นมาเป็นประจ�าทุกปี ทัง้ ชาวไตในสิบสองปันนา ไทย พม่า กมั พูชา และลาว ต่างก็มวี ฒั นธรรมร่วมรากในเทศกาลน้ีคล้ายๆ กนั ทั้งช่วงเวลา ช่ือเทศกาล ความเชือ่ และวิถีปฏิบัติอันเป็นเอกลักษณ์ของงานคือการสาด สรงกันด้วยน้�าเพ่ือความเป็นมงคลและ สนุกสนาน กเ็ ปน็ ทัง้ ประเพณแี ละเสนห่ ท์ ย่ี งั คงสบื ทอดมาในปจั จบุ ัน “ดะ่ จาน” () ๑ คอื “สงกรานต”์ ในภาษาพมา่ ทสี่ นั นษิ ฐานกนั วา่ มรี ากศพั ท์ มาจากภาษาบาลี สันสกฤตวา่ “สงฺกนต”(มยะเกต,ุ ๑๙๖๖ : ๑๒๘) หรอื “สงฺกรานต”ิ แปลวา่ “การเปลยี่ นผา่ น”๒ นอกจากนั้นค�าวา่ “ดะ่ จาน” ของพมา่ ยงั มีความหมายถงึ “ช่วงเวลาแห่ง การเปลย่ี นจากปเี กา่ เขา้ สปู่ ใี หม”่ และ “เทศกาลสาดนา�้ ปใี หม”่ (เมยี นมา่ อภธิ าน, ๒๐๐๘ : ๓๘๑) อีกดว้ ย อดีตสงกรำนต์ในพม่ำ กำรสรงสนำน เทศกำลเปล่ยี นผ่ำน งำนกษัตรยิ แ์ ละวถิ เี กษตร “ดะกู-ละ” () คือ เดือนหน่ึง (ตกราวเดือนเมษายน) ในปฏิทินของพม่า สันนิษฐานว่ามาจากภาษาปยูโบราณวา่ “ตา่ -ก่-ู หลา่ ” () จากค�าว่า “ตา” แผลง เปน็ “ติ๊ด” () แปลว่าเลข ๑ ในภาษาพมา่ “ก”ู่ คือ กู () ในภาษาพม่าปัจจุบันแปลว่า “การย้ายข้าม” และ “หล่า”แผลงเปน็ “ละ” () แปลว่า “เดือน” ดังน้ันค�าวา่ “ดะกู-ละ” จงึ มีความหมายวา่ “เดือนท่ีสิ้นสดุ ปเี ก่าขา้ มเข้าส่ปู ใี หม่”๓ ๑ถอดรปู อกั ษรไทยไดเ้ ปน็ “สงกรน” อา่ นตรงตวั ว่า “ธิง่ -จาน” thin-gjan (ติ่ง-จาน) แตใ่ ห้ออกเสียงว่า “ดะจาน” dha-gjan ๒มยะเกตุ, ๑๙๖๖ : ๑๒๘ / เมียนม่าอภิธาน, ๒๐๐๘ : ๓๘๑ ในภาษาบาลีมีศัพท์ค�าว่า “สงฺกนฺต” แปลว่า ก้าวไปแล้ว, เปลย่ี นไปแลว้ และ “สงกฺ นตฺ กิ ” แปลวา่ เคลอ่ื นจากทห่ี นง่ึ ไปอกี ทห่ี นง่ึ (พจนานกุ รม บาล-ี ไทย สา� หรบั นกั ศกึ ษา, ๒๕๓๘ : ๔๓๐) สา� หรับ ภาษาพมา่ ใชค้ า� วา่ “ก-ู ปยอง-ฉง่ิ ” ( ) แปลวา่ “การกา้ วเคลอ่ื น” หรอื “ปยอง-ชว่ ย-ฉงิ่ ” ( ) “การเคล่ือนย้าย” ๓http://bwarsara.blogspot.com/2010/01/blog-post_2751.html
ส82 าดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย ในอดตี ชาวพมา่ ใหค้ วามสำ� คัญกบั ช่วงเวลาดงั กล่าว ดว้ ยกิจกรรมของการขจดั ปดั เป่า และช�ำระล้างมลทินท้ังหลายที่มีอยู่ในตนและที่เกี่ยวข้องให้หมดส้ินไปด้วยการอาบน�้ำ ชำ� ระร่างกาย สระผม และปดั กวาดบา้ นเรือนให้สะอาดดงั นนั้ ค�ำว่า “ด่ะจาน” อกี นัยหนงึ จงึ มี ความหมายถงึ “การชำ� ระลา้ งเพอ่ื ใหล้ กั ษณะอนั เปน็ สง่ิ ดมี มี งคลเจรญิ ขนึ้ มา” (มยะเกต,ุ ๑๙๖๖ : ๑๒๘) นอกจากการสระผม ชำ� ระรา่ งกาย และปดั กวาดบา้ นเรอื นใหส้ ะอาดแลว้ การไปหาญาติ ผู้ใหญ่ที่นับถือพร้อมเคร่ืองขมาคารวะที่เรียกว่า “กะเดาะ-ปฺแว” ( ) อันได้แก่ ถาด ขนั พานหรอื ภาชนะอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดทบ่ี รรจไุ วด้ ว้ ยสง่ิ ของเครอ่ื งใช้ เชน่ เสอ้ื ผา้ และอาหาร หวานคาวทจี่ ดั มาพรอ้ มกนั กเ็ ปน็ ประเพณปี ฏบิ ตั สิ ำ� คญั ทม่ี ลี กั ษณะรว่ มกนั กบั ประเพณสี งกรานต์ ในภาคเหนือของไทยที่เรียกว่าการ “รดน�้ำด�ำหัว” ที่จัดขึ้นในช่วงวันสุดท้ายของเทศกาล ท่ีเรียกว่า “วันปากปี” ที่พม่าเรียกว่า “น๊ิดซัน-ตะแยะก์-เนะ” หรือ “วันที่หนึ่งของการขึ้น ปใี หม่” ในชว่ งสงกรานต์ของพมา่ ด้วยซึ่งจะกล่าวต่อไป ภาพสญั ลกั ษณ์เดอื นดะกูมรี ูปใบหว้าบนขนั น�ำ้ สงกรานต์ กับชาววังเลน่ นำ�้ สงกรานต์ สงกรานตใ์ นงานพระราชส�ำนักพม่า ในยุคที่พม่ายังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ คำ�ว่า“สงกรานต์”ในราชสำ�นัก มีความสำ�คัญกว่าการเป็นเพียงเทศกาลรื่นเริงประจำ�ปี แต่สงกรานต์นั้นมีพิธีกรรมท่ีเกี่ยวกับ การชำ�ระสระเกศเพื่อความเป็นมงคลของกษัตริย์และแผ่นดิน ท่ีเรียกว่า “กาวง์-เซ-มิงกลา” () ที่แบ่งตามช่วงเวลาและจุดมุ่งหมายของพิธีกรรม มี ๓ ประเภท ได้แก่ ๑. พิธีชำ�ระสระเกศของกษัตริย์ มีกำ�หนดเจ็ดวันคร้ังไปจนถึงเดือนละคร้ัง เรียกว่า “ปกติ-ด่ะจาน” ( ) หรอื “ปกติสงกรานต”์ ๒. พธิ สี รงสนานชำ�ระสระเกศ ของกษัตริย์เพื่อความรุ่งเรืองของแผ่นดิน เสริมดวงพระชะตาหรือเพ่ือขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัย ตา่ งๆ ของบา้ นเมอื ง เรยี กวา่ “ดะ่ จานดอ่ -ลตั ” ( ) หรอื “พระสงกรานต์ อย่างกลาง” และ ๓. พิธีที่จัดขึ้นเพื่อบูชาเทวดานพเคราะห์ในวันก่อนท่ีจะจัดให้มีพิธีรับ เครื่องราชสักการะ ที่มักจะตรงกับวันเถลิงศกสงกรานต์หรือไม่ก็ในวันบรมราชาภิเษกเรียกว่า “มหา-ด่ะจาน-ดอ่ -จีญ์” ( ) หรือวนั “พระมหาสงกรานต์ใหญ”่ หรอื “ดะ่ จานด่อ-ขอ่ ” ( ) คือพิธี “เรียกพระสงกรานต”์
สาดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชยี 83 ภาพวาดโดยสยาชง แสดงรูปแบบการเข้าเฝา้ ในทอ้ งพระโรงของกษตั รยิ พ์ ม่า พระราชพิธีเรียกพระสงกรานต์น้ี จะเริ่มด้วยการส่งหมายรับสั่งเรียกบรรดาเจ้าเมือง ลูกหลวง หลานหลวง เจ้าฟ้าหัวเมืองประเทศราช และผู้มีอ�ำนาจปกครองบ้านเมืองทั้งหลาย ในพระราชอาณาจกั รให้เขา้ มายังราชสำ� นัก เพอ่ื รว่ มประกอบพระราชพธิ ดี ังกล่าว ซง่ึ โดยปกติ จะอยใู่ นชว่ งเทศกาลสงกรานตน์ นั่ เอง สำ� หรบั ในสว่ นของพธิ กี รรมนน้ั จะเรม่ิ ดว้ ยการสรา้ งมณฑป ประดิษฐานรูปเทวดานพเคราะห์ซึ่งแกะสลักจากไม้ให้ได้รูปลักษณ์ต้องตามคัมภีร์สรเทวะ และคมั ภรี โ์ ชตสิ ตั ตะ เมอ่ื ประดษิ ฐานรปู เทวดานพเคราะหท์ ง้ั ๙ แลว้ พระเจา้ อยหู่ วั ซงึ่ ทรงเครอื่ ง อันสะอาดจะเสด็จออกพร้อมกระบวนแห่เข้าสู่มณฑลแห่งเทวดานพเคราะห์ โดยเริ่มด�ำเนิน สู่มณฑปพระสุริยเทพก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อเรียกพระสงกรานต์ ในเวลาน้ันให้พนักงาน ชาวดนตรบี รรเลงถวายบูชาขึ้นพร้อมกันดว้ ย พระราชพิธีเรียกพระสงกรานต์นี้สามารถจัดข้ึนได้ตามพระราชประสงค์ เพื่อให้เกิด ความเป็นสิริมงคลแก่พระองค์เอง หรือผู้รับพระราชทานในงานพระราชพิธีต่างๆ เช่น งานพระเกศากันต์ของบรรดาเจ้าชาย งานเจาะพระกรรณของบรรดาเจ้าหญิง ตลอดไปจนถึง งานเฉลิมพระยศพระมเหสี เป็นต้น ส�ำหรับต�ำนานการของพระราชพิธีดังกล่าว พม่าได้ดึง เอาเรื่องราวในพุทธศาสนาบางตอนมาเปน็ แกนหลกั สำ� หรับกระบวนการปฏิบตั ิ เช่น เร่ืองมหา สุทัศนสูตร ท่ีกล่าวถึงทานบารมีของพระอินทร์มีผลท�ำให้เหล่าเทวดาสรรเสริญ ดังนั้น งานเรียกพระสงกรานต์จึงเป็นพิธีการที่ประกอบไปด้วยกรรมการบริจาคทานเป็นการใหญ่ ของกษัตริย์ร่วมอยู่ด้วย อีกกระแสหน่ึงก็กล่าวว่ามาจากชาดกเร่ืองพระเจ้าสุตโสม เมื่อคร้ังถูก พระเจา้ โปริสารทจบั ก็ทรงทำ� พธิ เี รยี กพระสงกรานตใ์ ห้เข้ามาแวดลอ้ มปอ้ งกันตนจนพ้นภัย
ส84 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี มีบันทึกกล่าวถึงพระราชพิธีเรียกสงกรานต์ในสมัยพระเจ้าภจีดอว่า ทรงมีหมายให้ จัดขึน้ ในช่วงทีด่ าวกฤติกา เสวยฤกษเ์ ขา้ สู่เดือนพฤศจิกายน มกี ารจดั สร้างมณฑปประดิษฐาน รปู เทวดานพเคราะหท์ ั้ง ๙ องคไ์ ว้ทางด้านทศิ ตะวนั ออกของพระบรมหาราชวัง ส่วนมุขกระสนั ด้านใต้จัดให้มีเคร่ืองดุริยางคดนตรีประโคมบูชา ในเวลาเรียกพระสงกรานต์ให้เตรียมน�้ำคงคา และน�้ำท่คี นั้ จากใบไม้มงคลหลายชนดิ คร้ันไดฤ้ กษเ์ วลาเหลา่ แมท่ พั นายกองก็เฝ้าแหนน�ำเสดจ็ พระเจ้าอยู่หัวเข้าสู่มณฑปอันประดิษฐานรูปเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ เพ่ือทรงบูชาและ เรียกพระสงกรานตใ์ นคราวเดียวกนั สารสงกรานตจ์ ากราชสำ� นัก การทำ� นาย และแผนการงานการเกษตร จากนั้นเหล่าพราหมณ์ชุดขาวและพราหมณ์ชุดน�้ำตาลกับเหล่าราชบัณฑิตโหราจารย์ ก็จะค�ำนวณและพยากรณ์ไปตามหลักโหราศาสตร์ว่าปีน้ีจะมีพรรษากาลก่ีหน ดาวเคราะห์ เสวยฤกษ์ตัวไหน ปนี จี้ ะร้ายดปี ระการใด มแี ผ่นดินไหวหรือไม่ มีศึกสงครามไหม ฯลฯ เปน็ ต้น เมอ่ื พยากรณเ์ ปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ยแลว้ ขอ้ มลู ตา่ งๆ จะถกู รวบรวมขน้ึ กราบบงั คมทลู ใหพ้ ระเจา้ อยหู่ วั ทรงทราบเปน็ ประจ�ำทกุ ปี ดังน้ัน “ด่ะจาน-ส่า” ( ) หรอื “สารสงกรานต์” จงึ เปน็ เสมอื นตำ� ราโหรรายปที ถ่ี กู นำ� ออกประกาศ หลงั จากทพี่ ระเจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงสง่ ขอ้ กราบทลู เหล่าน้ันไปยังพระสังฆราชเพ่ือให้ทรงวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่งว่า ค�ำพยากรณ์ข้อไหนควรน�ำออก ประกาศเป็นหมายรับสั่งเพ่ือใช้ในพระราชอาณาจักรต่อไป ส�ำหรับพื้นที่รอบนอกท่ีอยู่ไกล จากราชธานี จะมีเจ้าหน้าท่ีคัดลอกหมายประกาศสงกรานต์ส่งออกไปอ่านยังหมู่บ้านต่างๆ ประชาชนกจ็ ะลอ้ มวงกนั เขา้ มาฟงั สารประกาศสงกรานตว์ า่ ปนี จ้ี ะมอี ะไรเกดิ ขน้ึ บา้ ง เชน่ งจู ะชมุ หนูจะชุม โรคระบาดจะเกิด วัวควายจะตายหรือหาย เร่ือยไปจนถึงว่าปีนี้พระอินทร์ทรงสัตว์ อะไรเป็นพาหนะ ทรงอะไรเป็นศัตราวุธ เช่น ถ้าพระอินทร์ทรงครุฑ “แปลว่าจะเกิดลม แปรปรวน และเรอื่ งยงุ่ เหยงิ ถอื ไมเ้ ทา้ หรอื คบเพลงิ ถอื วา่ เปน็ นมิ ติ ด.ี ..” (วริ ชั -อรนชุ นยิ มธรรม, ๒๕๕๑ : ๙๑) ดงั นนั้ สารประกาศสงกรานตใ์ นยคุ จารตี ของพมา่ จงึ มคี วามสำ� คญั ตอ่ ระบบความสมั พนั ธ์ ระหว่างราชส�ำนักกับประชาชน เพราะนอกจากจะเป็นการส่ือข่าวและแจ้งเตือนประชาชน ไม่ใหอ้ ยู่ในความประมาทในแต่ละปีแลว้ ก็ยังมีขอ้ กำ� หนดกฏเกณฑส์ ำ� หรับช่วงเวลาทเี่ กีย่ วข้อง กับการท�ำการเกษตรซ่ึงเป็นปัจจัยส�ำคัญต่อความม่ันคงของรัฐด้วย เช่น ปีนี้ต้องปลูกพืชผล ในชว่ งเวลาใดจงึ จะมผี ลผลติ มาก หรอื จะตอ้ งคราดไถไรน่ าดว้ ยวธิ ใี ดจงึ ผลติ ผลไดเ้ จรญิ งอกงาม ทง้ั นีก้ เ็ พอื่ ส่งเสรมิ ใหป้ ระชาชนเอาใจใสต่ ่อการประกอบอาชพี เลีย้ งตนและรฐั ไปพรอ้ มกัน
สาดนำ�้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี 85 หนา้ ปกหนงั สอื ประกาศสงกรานตข์ องโหราจารยช์ าวพมา่ ยคุ ปจั จบุ นั บอกศกั ราชปี ๑๓๗๖ (พ.ศ. ๒๕๕๗) จะเห็นรูปของมหาเทวีถือเศียรของท้าวอาจิพรหมด้านซ้ายและรูปพระอินทร์ทรงงูใหญ่ ถืออาวุธ อยู่ด้านขวา ซงึ่ มคี วามหมายสมั พันธก์ ับค�ำท�ำนายในแต่ละปี สงกรานต์กับช่ วงเวลาของการเพาะปลกู กษัตริย์พม่าทรงมีพระราชก�ำหนดในการจัดแบ่งช่วงเวลาส�ำหรับกระบวนการผลิต ทางการเกษตรในปีหนึ่งไว้ ด้วยการเฝ้าดูปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ ๓ สว่ นได้แก่ ๑. การปรากฏข้นึ ของดาวฤกษ์ ๒. สภาพแหง่ ฤดูกาล ๓. อายขุ องพชื พนั ธุท์ ี่ทำ� การเพาะปลูกไปถึงการเกบ็ เกี่ยว ดังปรากฏอยูใ่ นบทรอ้ ยกรองเรอื่ ง “มฆเทวะลงิ กาต๊ดิ ” ของ พระครมู ันแลญ์สยาดอ ซึ่งเมี๊ยะเกตุ (๑๙๖๖ : ๑๓๗) ได้น�ำมากลา่ วไว้วา่ “เริ่มจากวันขึ้นสงกรานต์ปีใหม่ถึงเดือนสิงหาคมรวม ๑๔๐ วันในยามเช้ารุ่งอรุณจะ มองเห็นดาวกฤตกาอยู่บนท้องฟ้า เรียกปรากฏการณ์นี้ว่ากฤติกาเที่ยงตรง จากวันท่ีหน่ึงของ ปใี หมถ่ งึ เดอื นกนั ยายนเปน็ เวลา ๑๕๔ วนั เตม็ เปน็ ชว่ งเวลาแหง่ ฝนในราศกี นั ตท์ เี่ รยี กวา่ ฝนดาว ลกู ไก่ เปน็ ช่วงเวลาแห่งการหว่านงา ระยะเวลา ๑๘๐ วนั เต็ม ดาวลูกไก่คล้อยเขา้ เดอื นตุลาคม ดาวฤกษ์สรวันเที่ยงตรง ยามน้ีเป็นช่วงเวลาที่กล่าวได้ว่าข้าวกล้าสมบูรณ์ รวมระยะเวลาได้ ๒๒๕ วันเตม็ ถงึ เดือนพฤศจกิ ายนเขา้ สกู่ ฐินกาล เรียกชว่ งเวลานว้ี า่ ดาวลูกไก่ใกลห้ ายตกดนิ ระยะเวลารวม ๒๔๔ วันเต็ม เข้าเดือนธันวาคม พระเจ้าอยู่หัวทรงเปล่ียนเคร่ืองทรงใหม่ ทั้งเหล่าขุนนางก็ได้รับพระราชทานเครื่องแบบบริโภคและยศศักดิ์ ในช่วงเทศกาลดังกล่าว พระเจ้าอยู่หวั จะทรงสละเรอื พระท่นี ัง่ เกา่ ๆ ซง่ึ เทียบอยใู่ กล้พระราชฐานน้ันเสยี ส่วนบรเิ วณท่ี สละเรือพระท่ีนั่งนั้นก็ให้สร้างพระเจดีย์ยังมีชื่อปรากฏอยู่มาจนทุกวันน้ีว่าพระเจดีย์นาวาจม จากต้นปีมีระยะเวลาได้ ๒๕๘ วันกเ็ ข้าสเู่ ดอื นมกราคม เปน็ เดือนทดี่ าวนาคาบนทอ้ งฟา้ หายไป เป็นช่วงเวลาแห่งการเพาะปลูกข้าวริมหว้ ยรมิ หนอง๔ เริ่มจากวนั แรกของปีใหม่นับได้ ๓๑๘ วัน กเ็ ขา้ สเู่ ดอื นกมุ ภาพนั ธเ์ ปน็ ชว่ งทขี่ า้ วกลา้ เจรญิ งอกงาม ระยะเวลานพี้ ระเจา้ อยหู่ วั แตโ่ บราณมา ๔พมา่ เรยี กวา่ “มยงี -สะบา”( ) เปน็ ขา้ วอายสุ น้ั ปลกู ในนารมิ หว้ ยรมิ หนองในฤดหู นาว (เมยี นมา่ อภธิ าน, ๑๙๙๑ : ๒๗๐)
ส86 าดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย ภาพดาวฤกษ์ ๒๗ ดวง และจกั รราศที งั้ ๑๒ เดอื นของพมา่ (ทม่ี า: เมยี นมา่ อภธิ าน กระทรวงศกึ ษาธกิ ารพมา่ ๒๐๐๘) จะเอาพระทัยใส่ในกิจการเกษตรและนาไร่ว่าต้องปลูกอะไรช่วงเวลาใด จะต้องเก็บเกี่ยวเวลา ไหน กิจกรรมเหล่านี้จะถูกก�ำหนดลงไปสู่ชาวไร่ไพร่นาให้ดูแลไร่นา เอาใจใส่ผลผลิตด้วย สารสงกรานตท์ ี่ทางการได้ออกประกาศไว”้ (เมย๊ี ะเกตุ, ๑๙๖๖ : ๑๓๘) ต�ำนานสงกรานต์ และการเลน่ น้ำ� ของพม่า ต�ำนานสงกรานต์ของพม่าน้ัน มีความเกี่ยวพันกับต�ำนานการก�ำเนิดของพระคเณศ ท่พี มา่ เรียกว่า “มหา-ปิงแน” ปนอย่ดู ว้ ย จงึ มที แ่ี ตกตา่ งจากไทยอยู่บา้ ง ในขณะทไ่ี ทยกลา่ วถึง ทา้ วกบลิ พรหม ทา้ พนนั ถามปญั หากบั ธรรมบาลกมุ าร วา่ ราศขี องมนษุ ยแ์ ตล่ ะชว่ งเวลาอยทู่ ไ่ี หน ถ้าธรรมบาลตอบได้ พระพรหมจะยอมมอบศรีษะถวายธรรมบาลกุมาร ในท่สี ุดธรรมบาลกุมาร ก็หาค�ำตอบได้พระพรหมแพ้ เลยต้องตัดศรีษะแล้วให้ธิดาทั้งเจ็ดถือไว้ ปีละองค์ เพราะเศียร พระพรหมมีอานุภาพมาก ถ้าท้ิงลงน�้ำ น้�ำจะแห้ง ถ้าทิ้งลงดิน ดินเป็นไฟ ถ้าท้ิงไปในอากาศ ฝนจะแล้ง แต่ส�ำหรับต�ำนานสงกรานต์ของพม่าน้ัน ก็มีเรื่องการท้าพนันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เหมือนกัน แต่เป็นการพนันระหว่างพระอินทร์ กับท้าวอาจิพรหม (พระพรหม) สุดท้าย ท้าวอาจิพรหมแพ้เลยต้องตัดศรีษะถวายพระอินทร์ พระอินทร์ก็น�ำหัวช้างมาต่อร่าง ทา้ วอาจพิ รหมกลายเป็น “พระคเณศ” แตน่ น้ั มา ส่วนศรีษะนัน้ มีอานภุ าพเหมอื นเรื่องของไทย คือ ถ้าทิ้งลงน�้ำ น�้ำจะแห้ง ถ้าท้ิงลงดิน ดินเป็นไฟ ถ้าท้ิงไปในอากาศฝนจะแล้ง ด้วยเหตุน้ี จงึ ต้องใหธ้ ดิ าทา้ วอาจพิ รหมถือไวป้ ลี ะองค์ ซ่งึ ตรงนเี้ หมอื นกบั ตำ� นานของไทย
สาดน้�ำสงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี 87 สว่ นเรอื่ งทพี่ ระอนิ ทรก์ บั ทา้ วอาจพิ รหมทมุ่ เถยี งกนั นน้ั ในตำ� นานของพมา่ บอกวา่ เปน็ เรอื่ งวนั เวลาในมนษุ ยโ์ ลก ทา้ วอาจพิ รหมบอกกบั พระอนิ ทรว์ า่ “ในสมยั กอ่ นทพ่ี ระกสั ปะพทุ ธเจา้ จะตรัสรู้ ในมนุษย์โลกหนึ่งอาทิตย์เคยมีอยู่ ๘ วัน แต่เวลาน้ีเปล่ียนไปเป็น ๗ วันเท่าน้ัน” พระอนิ ทรไ์ ม่เห็นด้วยกเ็ กดิ ทา้ พนนั กันวา่ ถา้ ใครแพ้จะยอมหัวขาด พระอนิ ทรล์ งไปหาค�ำตอบ ยังโลกมนุษย์พบกับฤษีผู้มีญาณบารมีกล้าได้อภิญญาญาณ กล่าวว่า “มนุษย์โลกในเวลาน้ีเร่ิม จากอาทิตย์ ไปสิ้นสดุ ท่เี สารม์ เี พยี ง ๗ วันเท่านนั้ ” มิเคยมมี าก่อนว่า ๘ วนั ทา้ วอาจิพรหมแพ้ เลยอธษิ ฐานสละเศยี รตามสญั ญา ดว้ ยอำ� นาจเศยี รแหง่ พรหม พระอนิ ทรจ์ ะวางหรอื ทงิ้ ขวา้ งไป มิได้ ดว้ ยจะเปน็ เหตใุ หโ้ ลกเกดิ ทภุ ิขภยั พระอินทร์จงึ ให้ธิดาทัง้ ๗ ของท้าวอาจิพรหมผลดั กนั ถอื เศยี รของทา้ วอาจพิ รหมไวเ้ วยี นกนั ไปองคล์ ะปี (นนั ทวงั สะ, http://lokachantha.mahasiusa. org/?p=๔๗๕๗) เลน่ น้ำ� สงกรานตใ์ นพม่า เมอื่ กลา่ วถงึ ประเพณสี งกรานตค์ งเลย่ี งไมพ่ น้ ทจ่ี ะตอ้ งกลา่ วถงึ การเลน่ สาดนำ้� สงกรานต์ ซึง่ ภาษาพม่าเรยี กว่า “เหย่-แปะก์-ผยาน” ( ) คือการ “สาดพรมน้�ำ” หรือ “เหย-่ แปะก์-กะซา” () แปลวา่ การ “เลน่ สาดนำ�้ ” ในพระราชส�ำนกั พม่า แต่โบราณก็มีการเล่นน้�ำสงกรานต์เป็นงานรื่นเริงในวันท่ีกษัตริย์ทรงสระพระเกศา พม่าอ้างอิง ถงึ ตำ� นานการเกดิ ประเพณนี ี้วา่ เมอื่ เหลา่ กษตั รยิ ศ์ ากยะวงศแ์ หง่ เมอื งกบลิ พศั ด์ุ มพี ระราชวงั อนั จดั ไวแ้ ลว้ ดว้ ยภมู ทิ ศั นท์ ี่ สวยงาม มีสระน้�ำขนาดใหญ่ท่ีไขน้�ำเข้ามาในเขตพระราชฐาน มีการจัดงานเป็นท่ีร่ืนเริง ดว้ ยการเล่นสาดน้�ำสบื มาในพมา่ จนทุกวันนม้ี ไิ ดข้ าด ในสมยั พุกามมบี ันทกึ กล่าวถึงการเลน่ นำ้� สงกรานต์ไว้ในรัชสมัยของพระเจ้านรสีหบดีที่เสด็จจากวังไปยังริมฝั่งแม่นำ้� แล้วโปรดให้สร้าง พลบั พลาชวั่ คราวไวใ้ กลพ้ ระบรมมหาราชวงั เพอ่ื ประทบั เลน่ นำ�้ สงกรานต์ (เมย๊ี ะเกต,ุ ๑๙๖๖ : ๑๔๒) ภาพวาดโดยศลิ ปนิ สมัยพกุ ามแสดงการเล่นนำ�้ สงกรานต์ (ท่มี า:https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Bagan_era_painting_of_Thingyan.jpg)
ส88 าดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมรว่ มรากเอเชีย ในหนังสือเรื่อง “กลอนสิบสองราศีบทกวีแห่งเมืองอังวะ” ซึ่งบันทึกข้ึนในยุคตองอู ตอนปลายไดก้ ลา่ วถงึ การเลน่ สาดนำ�้ สงกรานตว์ า่ “ตา่ งเลน่ นำ้� สงกรานตแ์ บบอยา่ งแตก่ าลกอ่ น เป็นประเพณีสืบมาจนทกุ วนั นี้” (ออู า่ วงจ์ ี, ๑๙๖๕ : ๗) ในรชั กาลพระเจา้ ปะกนั มนิ แหง่ ราชวงศค์ องบอง มีบันทึกพระราชโอการในปี พ.ศ.๒๔๒๑ กล่าวถึง เหตุการณ์ในวันมหาสงกรานต์ หรือ ด่ะจาน-อ่ะจ๊ะ-เนะ ว่า มีการยิงปืนใหญ่ขึ้นหนึ่งนัดในวันดังกล่าว จากนั้น ให้นิมนต์พระสงฆ์เข้าประจ�ำในพระบรมมหาราชวัง สภาขุนนาง หอกลอง กองทหารล้อมวัง ๔ แห่ง ส�ำนัก ข้างหน้า ส�ำนกั ขา้ งใน ศาล พระทวารกลางแหง่ พระนคร ท้งั ๔ ช่อง แห่งละแปดรปู เพือ่ สวดพระปริตร ทั้งกลางวัน กลางคืน เมอื่ รุง่ เช้าใหเ้ ลีย้ งภัตตาหารถวายพระ สว่ นน�ำ้ พระปริตรให้เหล่าพราหมณ์ท้ัง ๘ น�ำไปประพรมให้ทั่ว ท้ังส่ีมุมพระนคร ในพระบรมมหาราชวังทั่วทั้งหมด แต่ละแห่งซ่ึงมีเทพอารักษ์ดูแลอยู่ให้จัดเคร่ืองพลีกรรม ภาพวาดการเลน่ นำ้� สงกรานตใ์ นสมยั องั วะ บชู า ทง้ั สถปู เจดยี ก์ จ็ ดั ใหม้ พี ธิ สี ระสรงบชู า สว่ นไพรบ่ า้ น จากบนั ทกึ ของชาวตะวันตก พลเมืองก็ให้ประกอบการประพรมสระสรงต่อกัน ด้วยน�้ำบริสุทธิ์ ในวันที่สงกรานต์ย้ายราศี (เถลิงศก) นั้นให้ยิงปืนใหญ่ขึ้น ๓ นัด (เมี๊ยะเกตุ, ๑๙๖๖ : ๑๔๓) จากบันทึกทั้งหมดที่กล่าวมาท�ำให้เห็นว่าเอกลักษณ์ร่วมกันของประเพณีสงกรานต์ ประการหนึ่งก็คือการเล่นสาดน้�ำที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เราพบภาพวาดในสมัย อาณานิคมช่วงปี ๑๘๕๒ เป็นภาพ ชาวพมา่ กำ� ลงั รมุ เลน่ นำ้� กบั ชาวตะวนั ตก ด้วยปืน และกระบอกฉีดน�้ำ ดังน้ัน การเล่นน�้ำของชาวพม่าเม่ือร้อยกว่าปี ที่แล้ว จึงดูเหมือนสงครามน้�ำที่มี ความทันสมยั คลา้ ยกับยคุ ปจั จุบนั มาก ก า ร รุ ม ฉี ด น้� ำ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ดังกล่าวของชาวพม่าต่อคนผิวขาว เจ้าอาณานิคมในเชิงจิตวิทยาอาจเป็น ภาพวาดการใช้ปืน และกระบอกฉีดน�้ำเล่นกันในวันสงกรานต์ สมัยอาณานิคม ที่มา : THE ILLUSTRATED LONDON การปลดปลอ่ ยความไมพ่ อใจบางอยา่ ง NEWS, MARCH ๑๓, ๑๘๕๒ ของชาวพ้ืนเมือง ผู้รู้สึกว่าต่�ำต้อยให้ละลายหายไปกับการเล่นน้�ำ ตามประเพณีท่ีดูจะรุนแรง สาแกใ่ จอยู่ไดเ้ หมอื นกัน
สาดนำ้� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย 89 จวบจนกระท่ังปี ๑๙๖๐ การเล่นน�้ำสงกรานต์ด้วยการสาด การฉีด การยิงก็ยังคง ปรากฏอยู่ในสังคมพม่าจากภาพของนายกรัฐมนตรีอูนุ ที่ร่วมเล่นน้�ำในประเพณีสงกรานต์ กบั ประชาชนในยา่ งกงุ้ ดงั นนั้ การเลน่ สงกรานตน์ ยั อาจเปน็ การละลายเสน้ แบง่ ทางชนชนั้ ระหวา่ ง ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง หรือผู้ใหญ่กับผู้น้อยลงภายใต้กติกา คือประเพณีท่ีอนุญาตให้สาด หรอื รดนำ�้ แกก่ นั ไดโ้ ดยไมโ่ กรธ งานอยา่ งนผี้ นู้ อ้ ยกค็ ลายใจผใู้ หญก่ ไ็ ดค้ ะแนนนยิ มดว้ ยโดยเฉพาะ ในทางการเมือง ภาพนายกรัฐมนตรีอูนุ ออกเล่นสงกรานต์กับประชาชนในปี ๑๙๖๐จะเห็นทั้งผู้น้อยยิงปืนฉีดน้�ำ ใส่ผ้ใู หญ่ และผู้ใหญ่สาดนำ�้ ใส่ประชาชน สงกรานต์ วนั เวลา เทศกาล งานร่ืนเริง และสัญลกั ษณ์ ประเทศพม่ากำ�หนดเอาเทศกาลสงกรานต์เป็นวันปีใหม่อย่างเป็นทางการ ปัจจุบัน รฐั บาลกำ�หนดใหเ้ ทศกาลนมี้ ีวนั หยุดราชการยาวติดต่อกนั ไปถึง ๑๐ วนั เริ่มตงั้ แตว่ นั ท่ี ๒ ของ เดือน “ตะกู” ( ) หรอื เดือน ๑ ของพม่า ซึง่ อยใู่ นช่วงวันท่ี ๑๑ หรือ ๑๒ เมษายนตาม ปฏทิ นิ สากล เรอื่ ยไปจนถงึ วันที่ ๒๐ หรือ ๒๑ เมษายนของทุกปี แต่ในสว่ นของวนั เทศกาลตาม ประเพณนี ั้นมกี ำ�หนดเพยี ง ๕ วนั คือเรม่ิ ต้งั แต่วนั ที่ ๑๓ เมษายนไปจนถึงวนั ที่ ๑๗ เมษายน ซึ่ง แต่ละวันจะมีชอ่ื เรียกและพิธกี ารตา่ งๆ กันไป สงกรานตพ์ ม่ากบั วันส�ำคัญทั้ง ๕ ในช่วงเทศกาล “ด่ะจาน อ่ะโจ่ อ่ะจ๊ะ อ่ะแจ๊ด อ่ะแต๊ะก์ หฺนิ๊ดสั่น” คือวันท้ัง ๕ ในช่วงเทศกาล ตามประเพณีสงกรานต์ท่ีผู้หลักผู้ใหญ่ชาวพม่าส่วนใหญ่จะยกนิ้วขึ้นมานับและทราบทันทีว่า วันนั้นวนั นีจ้ ะต้องจัดเตรยี มอะไรบา้ ง วนั สำ� คัญในชว่ งเทศกาลทั้ง ๕ มีรายละเอยี ดดังน้ี วนั ที่๑ “อะ่ โจ-่ เนะ”() หรอื “ดะ่ จาน-อะโจ-่ เนะ”( ) แปลว่า “วันรับสงกรานต์”เริ่มต้ังแต่วันท่ี ๑๓ เมษายน ซ่ึงถือเป็นวันแรกของเทศกาล เป็น วนั สกุ ดบิ เตรยี มรบั เทศกาลสงกรานตท์ จี่ ะมาถงึ ในวนั รงุ่ ขนึ้ ในวนั นห้ี นว่ ยงานภาครฐั และเอกชน
ส90 าดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี รวมถึงซุ้มตามหมู่บ้านต่างๆ จะจัดเตรียมงาน เช่น สร้างเวทีการแสดง จัดสถานท่ี เตรียม อาหาร ฯลฯ เพื่อต้อนรับวันสงกรานต์ทจี่ ะมาถึงในวันรุ่งขนึ้ วันท่ี ๒ “อะ่ จ๊ะ-เนะ่ ” () หรอื “ดะ่ จาน-อะจะ๊ -เนะ”( ) แปลวา่ “วนั ตกสงกรานต์”คือ วนั ตกล่วงเขา้ ส่ชู ่วงสงกรานต์ ตรงกับวนั ท่ี ๑๔ เมษายน นับเป็น วันที่สองตามประเพณี วันนี้เวลาเช้าชาวพม่าจะมีการท�ำบุญถวายภัตตาหารแด่ภิกษุสงฆ์ รวมถึงเลี้ยงอาหารผู้คนท่ีเข้ามาในสถานท่ีจัดงานที่ตระเตรียมไว้เม่ือวานโดยไม่เลือกชาติ ช้นั วรรณะ พอตกบ่ายกจ็ ะเริ่มเปดิ สถานทจี่ ดั งาน หรอื เวทีสงกรานตห์ รอื “ด่ะจาน-มัณด่ะป”์ ( ) อย่างเป็นทางการ ส�ำหรับพิธีการบนเวทีก็จะเริ่มด้วยการเชิญ แขกผู้ใหญ่ขึ้นมาเป็นประธานเปิดงาน จากนั้นผู้ใหญ่ในพิธีจะน�ำก่ิงหว้าจุ่มลงในขันน�้ำ แล้วประพรมทุกคนบนเวทีถือเป็นการเปิดเทศกาลเล่นน�้ำกันอย่างเป็นทางการ เสร็จแล้ว ก็จะมีการแสดงบนเวทีทั้งแบบประเพณีและสมัยนิยม รวมไปถึงการเล่นสาดน�้ำ ฉีดน้�ำ และ พ่นน�้ำด้วยเคร่ืองมือต่างๆ มีขัน ปืนฉีดน้�ำ สายยางและเคร่ืองสูบน�้ำไปยังผู้ร่วมงานด้านล่าง อยา่ งสนุกสนานดว้ ย ภาพเวทีสงกรานต์ของพมา่ เปน็ ทั้งเวทกี ารแสดง และทีฉ่ ีดน�ำ้ ไปพร้อมกัน (ที่มา : myanmartravel.org/festivals/thingyan.html) สมัยก่อนชาวพม่าจะรู้ก�ำหนดว่าวันไหนคือ “อ่ะจ๊ะ-เนะ” หรือ “วันตกสงกรานต์” ด้วยการใชว้ ิธีนับวนั อยา่ งงา่ ยๆเรมิ่ จากวันข้นึ สงกรานต์ปีทีแ่ ล้ว นับเร่ือยมาจนได้จำ� นวน ๓๖๔ วนั ก็วนั นน้ั แต่ถา้ จะใหแ้ น่ใจขึ้นไปอกี ก็ให้นบั ตั้งแต่วันตกสงกรานตป์ ที ่ีแลว้ เรื่อยมาจนได้ ๓๖๕ วัน ๖ ช่วั โมง ๑๒ นาที ๓๗ วินาทเี ต็มนแ่ี หละคอื ชว่ งเวลาแห่งวันตกสงกรานต๕์ วั น ที่ ๓ “ อ่ ะ แจ๊ ด - เ น่ ะ ” ( ) ห รื อ “ ด่ ะ จ า น - อ่ ะ แจ๊ ด - เ น ะ ” ( ) แปลวา่ “วนั คราส๖ สงกรานต”์ คือ “วนั ท่อี ยู่ระหว่างชว่ งวนั ตก และวันข้ึนของเทศกาลสงกรานต์” (เมียนม่าอภิธาน, ๑๙๙๑ : ๓๙๗) เปรียบเหมือนวันที่อยู่ ๕ http://www.hittai.org ๖คราส [ครฺ าด] ก. กนิ จับ ถอื (ส.) (พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕, ๒๕๓๑ : ๑๗๐)
สาดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี 91 ในเงามืดชั่วขณะ๗ เป็นช่วงหัวเล้ียวหัวต่อที่ยังไม่ละจากปีเก่าและยังไม่ก้าวสู่ปีใหม่ วันนี้ อยู่ในช่วงวันที่ ๑๕ เมษายน ถือเป็นวันที่สามตามประเพณี แต่โบราณชาวพม่าเช่ือกันว่า “ดะ่ จามงี ”( )๘ หรอื “พระอนิ ทร”์ กบั “หมา่ ตะล”ิ () หรอื “พระมาตลุ ”ี เทพผู้ขับราชยานของพระอินทร์จะเสด็จมายังโลกมนุษย์พร้อมกับสมุดข่อยเพื่อจดบันทึก ความดี ความชวั่ ของมนุษย์แตล่ ะคนไวใ้ นวนั นี้ ดังนน้ั วันน้ีทุกคนจะตอ้ งรกั ษากาย วาจา ใจให้ดี มกี ารรกั ษาศีล ฟงั ธรรม ให้ทาน ไม่พดู คำ�หยาบ เพอ่ื ใหพ้ ระอินทรท์ รงจดบันทกึ ไวแ้ ตส่ ิง่ ดีๆ ภาพประดับตามวัดต่างๆในเมืองเชียงตุง รัฐฉานประเทศพม่า ท�ำเป็นรูปพระอินทร์ทรงถือสมุดข่อย จดบนั ทกึ ความดีความช่วั ของมนษุ ย์ ส่ิงดีๆ ท่ีควรท�ำในวันท่ีพระอินทร์เสด็จมาตามความเช่ือของชาวพม่าแต่โบราณ ก็คอื สิง่ ควรหลีกเล่ยี งในช่วงส้ินปีเก่าข้ามเข้าปีใหม่ ๑๐ ประการไดแ้ ก่ ๑.ห้ามรอ้ งไห้หรอื โห่ร้อง โอดครวญ ๒.ห้ามมีกจิ กรรมทางเพศ ๓.ห้ามฆ่าสตั วต์ ัดชีวิต ๔.ห้ามดม่ื เหลา้ เมายา ๕.หา้ มโมโห ฉุนเฉียว ๖.ห้ามเลือดตกยางออก ๗.ห้ามทายาอันประกอบด้วยน�้ำมัน ๘.ห้ามตัดฟืนตัดต้นไม้ ๙.ห้ามซอ้ื สนิ คา้ มาเก็บตนุ ๑๐.หา้ มคา้ ขายสินคา้ ออกรา้ น๙ วันท่ี ๔ \"อ่ะแต๊ะก์-เน่ะ\" () หรือ “ด่ะจาน-อ่ะแต๊ะก์-เนะ” ( ) แปลวา่ \"วนั ขนึ้ สงกรานต\"์ ถา้ จะเรยี กแบบไทยกค็ อื วนั “เถลงิ ศก” จะตรงกบั วนั ที่ ๑๖ เมษายน นบั เปน็ วนั ทสี่ ี่ของเทศกาล วนั นเ้ี ป็นวนั ทพี่ ระอินทรก์ บั พระมาตลุ ี เสด็จกลับขึ้นไปยังสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ ถือเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ตามประเพณี เป็นวันสิ้นสุดการเปลี่ยนผ่านย้ายของดวงอาทิตย์จากราศีมีน เข้าสู่ราศีเมษอย่างเต็มตัว ซึ่งตำ�ราโหราศาสตรพ์ ม่าเรียกวา่ “มิสสะ-ด่ะจาน” ( ) วันน้จี ะมกี ารเล่นสาด น�ำ้ รื่นเรงิ กนั อย่างเต็มท่ีเปน็ การสง่ ท้าย ๗ตรงกับภาษาพมา่ วา่ แจ๊ด () แปลวา่ “แสงของดวงอาทติ ย์และดวงจนั ทร์หายไปช่วั ระยะหนึง่ ๘เขยี นวา่ “ธ-ิ กยา-มง” อา่ นว่า “ดะ่ จา-มงี ” dhagja-min แปลวา่ “เจ้าผรู้ แู้ ละไดย้ ิน” ๙ http://www.hittai.org
ส92 าดน�ำ้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี วันท่ี ๕ \"หนฺ ิด๊ ซัน-ตะแยะก์-เนะ่ \" ( ) แปลว่า “ขน้ึ ปีใหม่ วนั ทหี่ นงึ่ ” ถอื เปน็ วนั แรกของปใี หม่ หรอื วนั ปากปี วนั นช้ี าวพมา่ จะนำ� นำ้� อบนำ�้ หอม ขมน้ิ สม้ ปอ่ ย และเคร่อื งขมา มเี สือ้ ผ้าแพรพรรณ เครื่องใชเ้ คร่ืองกนิ ใสห่ ่อ ใสพ่ านท่เี รียกวา่ “กัน่ เดาะ-ปแว” () ไปมอบให้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ บางชุมชนอาจจัดร่วมกันเป็นงานใหญ่ นำ�เอาผู้สูงอายุทั้งหลายในชุมชนมานั่งเป็นประธานรวมกันให้ผู้อ่อนวัยท้ังหลายในชุมชนได้ ทำ�ทาน กล่าวคำ�ขอขมาลาโทษ ซึ่งชาวพม่าจะเรียกพิธีนี้ว่า “อะแตะก์-จี-ปู่ส่อ-ปฺแว” () คืองาน “คารวะผู้สูงอายุ”นอกจากนั้นก็มีการทำ�บุญปล่อยนก ปลอ่ ยปลา ตงั้ โรงทานเลยี้ งอาหารแกค่ นและสตั วท์ ว่ั สารทศิ ทเี่ รยี กวา่ \"ซะดดุ ติ า่ \" ( ) คอื คำ�วา่ \"จตุรทศิ \" ในภาษาบาลนี ่ันเอง ในช่วงบ่ายวันนี้ทุกคุ้มหมู่บ้าน หรือชุมชนแต่ละแห่งจะจัดพ้ืนท่ีท�ำบุญกลางบ้านขึ้น ซ่ึงส่วนใหญ่จะเลือกสถานท่ีตรงบริเวณทางแยกของหมู่บ้านมีลักษณะเป็นทางสามแพร่งบ้าง สีแ่ พรง่ บา้ งแลว้ นมิ นต์พระสงฆ์จำ� นวน ๕ รปู บา้ ง ๙ รูปบา้ ง มาสวดพระปริตร เหตุท่ตี อ้ งทำ� พิธี ตามแยกต่างๆ เพราะชาวพม่าเช่ือว่าวิญญาณสัมภเวสี คือผู้ก�ำลังแสวงหาแดนเกิดท้ังหลาย มีวิญญาณเร่ร่อน ผไี ร้ญาตทิ ี่ตายดว้ ยอบุ ตั เิ หตบุ นท้องถนนจะได้รับส่วนบญุ จากตรงนี้ ในพิธีดังกล่าวชาวบ้านจะน�ำอาหารหวานคาว มีขนม ผลไม้ น้�ำส้มน�้ำหวาน มารว่ มทำ� บญุ เลยี้ งคนทมี่ ารว่ มพธิ พี รอ้ มกบั นำ� นำ้� ทราย หรอื ขา้ วสารจำ� นวนหนงึ่ มาเพอื่ เขา้ รว่ ม พธิ ี หลงั จากเสรจ็ พธิ แี ลว้ กจ็ ะนำ� ทราย หรอื ขา้ วสารทผี่ า่ นการสวดพระปรติ รซงึ่ ชาวพมา่ เรยี กวา่ “ปะเยก-เหย่” () น้ำ� พระปริตร “ปะเยก-แต” () ทรายพระปรติ ร และ “ปะเยก-ส่าน” ( ) ขา้ วสารพระปริตร ไปซัดไว้รอบๆ บา้ นเรือนทอ่ี ยอู่ าศัยของตน เพ่ือป้องภูตผีปีศาจและกันสิ่งไม่ดีไม่ให้เข้ามาอาศัยในบ้านถือเป็นการเสริมสิริมงคลในวันแรก ของปใี หม่ หรอื วนั ปากปี งานท�ำบญุ ในวันปากปี กลางสีแ่ ยกของหมู่บ้านหน่งึ ในเมืองเมียวดี มนี ้�ำ ทราย และข้าวสาร ที่น�ำมาเขา้ รว่ มพิธสี วดพระปริตร กอ่ นน�ำไปซดั รอบบ้าน
สาดน�ำ้ สงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชยี 93 สัญลักษณว์ นั สงกรานต์ของพม่า เมอ่ื เทศกาลน้เี กี่ยวพนั กบั น้�ำ กับการตอ้ นรบั บชู าพระอนิ ทร์ อันเปน็ เทพสำ� คญั แหง่ วนั สงกรานต์ หรอื “ดะ่ จาน-มงี ” ( )แลว้ ดอกไมใ้ บพฤกษน์ าๆ ทผ่ี ลดิ อกออกชอ่ มาในยามแลง้ กเ็ ปน็ สญั ลกั ษณท์ สี่ ำ�คญั ของเทศกาลนไี้ ปดว้ ย “ปะเดา้ ก-์ ปาน” ( ) คือ “ดอกประดู่” สีเหลืองมักจะผลดิ อกบานสะพร่งั ในหนา้ รอ้ นโดยเฉพาะตอนทฝ่ี นเปลย่ี นฤดู โปรยลงมา พม่าจะเรียกฝนนี้ว่า “ด่ะจาน-โม”() หรือ “ฝนสงกรานต์” ทำ�ให้ ดอกประดบู่ านหอมฟงุ้ ทกุ คนจะรวู้ า่ ชว่ งเวลาสงกรานตก์ ำ�ลงั ใกลเ้ ขา้ มาแลว้ นะ ในชว่ งสงกรานต์ สาวพมา่ มักนยิ มน�ำช่อดอกประดู่มาปักไว้ในแจกัน ขนั หรือหม้อนำ�้ เพอ่ื บชู าพระ และยังเอาไว้ แซมผมอีกด้วย นอกจากน้ันกม็ ี “งหุ ว่า-ปาน” ( ) คอื “ดอกคูณ” เหล่าน้ีคอื ดอกไม้ สญั ลกั ษณใ์ นเทศกาลสงกรานตข์ องพมา่ ทม่ี กั นยิ มนำ�มาประดบั ตกแตง่ สถานทจี่ ดั งานกนั ในชว่ ง เวลาดังกล่าว ดอกคณู ประดิษฐท์ ่วี างขายในตลาดเมอื งพะอาน รฐั กะเหร่ียงประเทศพมา่ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กับดอกประดบู่ นตน้ นอกจากดอกไม้แล้วใบไม้ก็เป็นอีกสัญลักษณ์หน่ึงซึ่งต้องใช้ในการตกแต่งบูชาใน เทศกาลนด้ี ว้ ยเชน่ กนั “ตา่ -โอ” ( ) คอื “หมอ้ ดอกไมใ้ บพฤกษ”์ ทต่ี อ้ งมตี ง้ั ไวใ้ นการบชู า พระ เทวดา หรอื สง่ิ ศกั ดต์ิ า่ งๆ เราจะพบวา่ แมแ้ ตเ่ ครอ่ื งตกแตง่ ทางสถาปตั ยกรรมประเภทเจดยี ์ สว่ นใหญข่ องพมา่ กจ็ ะมปี นู ปนั้ ทำ�เปน็ รปู “แจกนั ” หรอื “หมอ้ ”ปกั ดอกไมโ้ ลหะปดิ ทองคำ�เปลว เอาไวน้ น่ั กค็ อื “ตา่ โอ”่ แบบหนง่ึ ซง่ึ พมา่ เรยี กวา่ “กละ่ -ตา่ -โอ” ( ) ซง่ึ มาจากภาษา บาลวี ่าหมอ้ “กลส” นน่ั เอง ส�ำหรับ ต่า-โอ่ ที่ใช้ในงานสงกรานต์ คือ หม้อด้วยดินเผาใส่น้�ำจนเต็มแล้วปักด้วย ใบไม้มงคลทงั้ ๗ ชนดิ ทีใ่ ชใ่ นเทศกาลสงกรานต์ ไดแ้ ก่ ใบมะพร้าว ยอดหว้า ใบสะเดา ใบพทุ รา หญ้าแพรก ยอดบุนนาค และดอกไม้ไม่จ�ำกัดชนิด แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ดอกกุหลาบเสียบลง เพอื่ ถวายการตอ้ นรบั พระอนิ ทร์ ใหช้ วี ติ พบแตค่ วามชมุ่ เยน็ เปน็ สขุ เปน็ มงคล และเจรญิ รงุ่ เรอื ง หม้อน้�ำนี้มีคติจากอินเดียที่เรียกว่า“หม้อบูรณฆฏะ” เป็นหม้อน้�ำแห่งความอุดมสมบูรณ์
ส94 าดน้ำ� สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชีย เป็นสัญลักษณ์ท่ีนิยมท�ำกันมากในงานตกแต่งทางสถาปัตยกรรมของพุทธศาสนาในพม่า และ ภาคเหนอื ของไทยด้วย ปัจจุบันในช่วงเทศกาล สงกรานต์ หรือก่อนสงกรานต์หนึ่ง วนั จะมพี อ่ คา้ แมค่ า้ เกบ็ ใบไมด้ อกไม้ มงคลพวกน้ีมาขายพร้อมกับหม้อ ดนิ เผา และฉตั รชอ่ ตุง ดงั นนั้ อาจมี ใบไม้ดอกไม้ครบตามตำ�ราบ้างไม่ ครบตามตำ�ราบ้างแต่ชาวพม่าส่วน ใหญ่ก็ไม่ถือสากัน เพราะอาจมี หลายตำ�รา บ้างก็ว่าให้จัดหา “...ใบไม้ดอกไม้อะไรก็ได้ ๗ ชนิด ภาพหมอ้ บรู ณฆฏะบนประตวู หิ ารวดั บา้ นแสน เมอื งเชยี งตงุ ตามชอ่ื อกั ษรอนั เปน็ ตวั แทนของวนั และต่าโอ หมอ้ ดินเผาใสน่ �ำ้ ปกั ดอกไมใ้ บพฤกษ์ ทัง้ ๗...” (สมั ภาษณ์ นายโส่ทนู ถ. ทมี่ า : หมอ้ ตาโอ http://shanmalay.com/tag/thingyan/ ๑๑/๑ ไดหวนุ่ กวงี มะละแหมง่ ) เชน่ “โอง-ยแวะก์” ( ) คือ “ใบมะพร้าว” อกั ษร อ คอื วนั อาทติ ย์ สะแป () คือ “มะล”ิ อักษร จ คือวนั อังคาร ดงั นีเ้ ปน็ ตน้ ดงั น้นั จึงไมม่ ปี ัญหาเร่ืองครบตามตำ�ราหรอื ไมค่ รบ เพราะทุกคนมใี จมุ่งไปท่ีการบูชา และร่วมเทศกาล ตา่ งกม็ ่งุ เอาหมอ้ ดอกไม้ทจี่ ัดไว้งามแล้วนน้ั ไปตงั้ ไวบ้ นห้งิ หน้าบา้ น เพื่อต้อนรบั พระอินทร์ทจี่ ะเสดจ็ มาในช่วงสงกรานต์ ดอกไม้ ใบพฤกษ์ น�้ำหมอ้ ชอ่ ตงุ ท่แี มค่ า้ น�ำมาขายในตลาดก่อนวนั สงกรานต์ ตลาดเมืองพะอาน รฐั กะเหรย่ี ง ประเทศพม่า
สาดนำ�้ สงกรานต์ วัฒนธรรมร่วมรากเอเชยี 95 อาหารคาวหวานสงกรานตพ์ ม่า ชว่ งหนา้ รอ้ นคนไทยสว่ นใหญใ่ นภาคกลางมกั จะทำ� ขา้ วแชร่ บั ประทานกนั ในบา้ นแลว้ แจกจ่ายไปในหมู่เครือญาติใกล้ชิด ย่ิงในช่วงวันสงกรานต์ทุกบ้านโดยเฉพาะในแถบจังหวัด นนทบุรี ปทุมธานี บางกะดี่ และชุมชนมอญตา่ งๆจะตอ้ งไดส้ �ำรบั ข้าวแช่เปน็ ของฝาก มไี ชโป้ว ผดั ไข่ กะปทิ อด เนอ้ื หวาน ปลาหวาน พรกิ สอดไส้ ยำ� มะมว่ ง และขา้ วแชใ่ นนำ�้ เยน็ ลอยดอกมะลิ อบควนั เทียนหอมๆ ท่เี มล็ดขาวถูกขัดจนใส ไม่มยี างเม่ือใส่นำ้� แลว้ ก็จะใสไม่ขุ่นดูสวยงาม สำ�หรบั พมา่ กม็ ขี า้ วแบบนเ้ี หมอื นกนั เขาเรยี กวา่ “ดะ่ จาน-ทะมงี ” ( ) เปน็ อาหารชดุ พเิ ศษทม่ี กี นิ มขี ายกนั เฉพาะชว่ งเทศกาลสงกรานต์ ๕ วนั เทา่ นน้ั ลกั ษณะของขา้ ว ก็เหมือนกับไทยทุกประการ คือเป็นข้าวสวยหุงแล้วล้างเม็ดข้าวจนสะอาดเวลาใส่น�้ำลงไป จะไม่ขุ่น ส�ำหรับน้�ำข้าวแช่จะใช้น�้ำสะอาดธรรมดา หรือน้�ำสะอาดที่อบด้วยควันเทียน หรือ ควนั ไมห้ อมกไ็ ด้ สว่ นกบั ขา้ วสงกรานตท์ เี่ รยี กวา่ “ดะ่ จาน-ทะมงี -แนะ-ตแฺ วแพะก-์ ซา-ตอ-อะจอ่ ” ( ) คอื “ผดั ทีก่ นิ กับขา้ วสงกรานต”์ ก็ มเี พยี งสอง หรอื สามอยา่ งไดแ้ ก่ ปลาผดั กบั หอมแดง ทำ�ดว้ ยการนำ�ปลาแหง้ ปลาเคม็ ปลาทู หรอื กุ้งแห้งมาต้มให้เปื่อยแล้วเอาเนื้อมาโขลกหรือยีให้ละเอียด แล้วน�ำลงผัดกับน้�ำมันใส่หอมแดง เกลอื กะปิ ผงขม้นิ ผงคนอร์ผดั ใหเ้ ข้ากัน รสชาติจะออกเค็มๆ มัน ๆ เวลากนิ อาจเพ่ิมความเผ็ด ดว้ ยพรกิ ชฟ้ี า้ แหง้ ทอดกรอบ บางสตู รอาจซอยมะมว่ งดบิ รสเปรยี้ ว หรอื กะทอ้ นหน่ั ชนิ้ เลก็ ๆ ใสล่ งไป ผดั เพือ่ เพม่ิ รสชาตดิ ว้ ยกจ็ ะถอื วา่ เปน็ ผัดปลาทค่ี รบสูตร พม่าเรียกเมนนู ้ีว่า “งาปุเชา้ ก์-จ่อไล่ก์” ( ) กบั ขา้ วอกี อยา่ งทก่ี นิ กบั ขา้ วแชข่ องพมา่ คอื “แป-ปะยก่ -จอ่ ไล”่ ( ) ได้แก่ “ถ่ัวตม้ ผัดน้�ำมนั ” ท�ำดว้ ยการนำ� ถั่วแปจี ถัว่ เหลืองหรอื ถัว่ ลกู ไกไ่ ปตม้ จนสกุ แล้วนำ� มายี ให้เละแล้วน�ำไปผัดกับน�้ำมันใส่เกลือ ใส่ผงขม้ินนิดหน่อยชิมให้พอเค็ม โรยหน้าด้วยหอมเจียว รสชาตกิ จ็ ะเคม็ ๆ มนั ๆ อกี เชน่ กนั กบั ขา้ วสองอยา่ งนถี้ อื เปน็ จานหลกั ของกบั ขา้ วสงกรานตใ์ นพมา่ บางบา้ นอาจมี “ยำ�มะมว่ ง” หรอื “ตะแยะก์-ต-ี โตะก”์ () ดว้ ยก็ได้ ขา้ วสงกรานต์ กบั ขา้ วสเี หลอื งทางซา้ ยคอื ถว่ั ตม้ ผดั ดา้ นซา้ ยคอื ปลาผดั ใสห่ อมแดงและมะมว่ ง
ส96 าดนำ้� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชีย นอกจากข้าวแช่ หรือข้าวสงกรานต์จะเป็นอาหารขึ้นหน้าข้ึนตาของเทศกาลนี้แล้ว “ขนมจีนแกงหยวก” แบบพม่าที่เรียกว่า “โม่ง-ฮิงกา” () ก็เป็นอาหารคาว อีกชนิดหนึ่งที่นิยมและเลี้ยงกันในเทศกาลสงกรานตด์ ว้ ย ขนมตม้ สงกรานต์ เม่ือรบั ประทานอาหารคาวเรยี บรอ้ ยแลว้ ก็มอี าหารหวานทนี่ ยิ มกันในเทศกาลน้ีกต็ ้อง เปน็ ขนมทก่ี นิ แลว้ ใหค้ วามชมุ่ เยน็ อยา่ ง “ชเว-หยง่ิ -เอ” ( ) หรอื “รวมมติ ร” ทใ่ี ส่ ของหวานสารพดั อยา่ ง เชน่ สาคเู มด็ ใหญ่ เมด็ แมงลกั วนุ้ ขนมปงั แผน่ ลกู ชดิ ลอดชอ่ ง และตา่ งๆ ตามแตอ่ ยากจะใส่ กบั “โมง่ -และก-์ ซอง” คอื “ขนมลอดชอ่ ง” ใสก่ บั นำ�้ กะทเิ จอื นำ้� ตาลหวานมนั ขนมอกี ชนดิ หนงึ่ ทสี่ ำ� คญั สำ� หรบั เทศกาลนพ้ี อๆ กบั ขา้ วแชก่ ค็ อื “ขนมลกู ลอยนำ้� ” หรอื “โมง่ -โลง-เหย-่ บอ่ ” ( ) ทไ่ี ทยรจู้ กั กนั ในนามวา่ “ขนมตม้ ขาว” มกี ระบวนการ ทำ�เหมือนไทยทกุ ประการ ตา่ งกันแต่เพยี งวา่ ขนมต้มของไทยจะใสไ่ สด้ ้วยมะพร้าวขดู เคี่ยวกบั นำ้� ตาลแบบทเี่ รยี กกนั วา่ “หนา้ กะฉกี ” แตข่ องพมา่ จะใสน่ ำ้� ตาลโตนดเปน็ กอ้ นลงไปในขนมเลย ทเี ดยี ว บางครง้ั กม็ กี ารใสเ่ มด็ พรกิ ขหี้ นสู ดลงไปในขนม เพอ่ื เพมิ่ ความสนกุ สนานในการเสยี่ งโชค สำ� หรบั การรบั ประทานดว้ ย ทพี่ มา่ เรยี กขนมชนดิ นวี้ า่ “ขนมลกู ลอยนำ�้ ” เพราะไดจ้ ากการสงั เกต ความสกุ ของแป้งเม่ือนำ� ลงต้มในนำ�้ เดอื ด พอขนมสุกกจ็ ะลอยขึ้นมาเหนอื น้ำ� ขนม “ชเว-หยงิ่ -เอ” ใสเ่ ส้นลอดช่อง และ “โม่ง-โลง-เหย-่ บ่อ” ขนมสงกรานต์ ทงิ้ ทา้ ยและสรุป เทศกาล “สงกรานต”์ คอื วฒั นธรรมรว่ มของกลมุ่ ชาวพทุ ธเถรวาทในภาคพนื้ ทวปี ของ อุษาคเนย์ ท่ีได้น�ำเอาระบบการนับเวลาและเคล่ือนตัวของจักรราศีจากอินเดียมาประยุกต์ใช้ ให้เข้ากับระบบความเช่อื ในพทุ ธศาสนา นกิ ายเถรวาท และสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาตขิ อง ทอ้ งถน่ิ กลายเปน็ ประเพณแี ละวฒั นธรรมรว่ มของภมู ภิ าค ทมี่ กี ารแตกยอ่ ยออกไปเปน็ ลกั ษณะ เฉพาะของแตล่ ะประเทศในสว่ นลายละเอียดเลก็ ๆ นอ้ ยๆ หลายเร่ืองราว
สาดน้�ำสงกรานต์ วฒั นธรรมร่วมรากเอเชีย 97 แตอ่ ยา่ งไรก็ดี การสน้ิ สดุ ลงของปีเกา่ เพื่อการกา้ วเข้าสูป่ ีใหม่ สายน้�ำกับการสาดสรง เพอ่ื ความหมดจด สมบรู ณแ์ ละสริ มิ งคล การใหท้ านทำ� บญุ อทุ ศิ แกบ่ รรพชน ความเชอื่ ถอื ศรทั ธา ในศาสนา การบนั ทกึ ความดคี วามชว่ั กบั เทวดาทชี่ อ่ื วา่ พระยาอนิ ทร์ และตำ� นานการทา้ พนนั กบั พระพรหม การยอมตายเพื่อรักษาสัจจะและการคงอยู่ของเศียรพระพรหม การเวียนแห่ไปใน วนั ทง้ั เจด็ รอบจกั รวาล คอื จุดเชอื่ มร่วมกันของไทย พม่า ลาว กัมพชู า และสบิ สองปนั นา ทำ� ให้ เห็นกระบวนการสืบต่อแนวคิดเรื่องความเกิด-ดับ กับการปฏิบัติตนอย่างไรให้อยู่รอด หรือ สอดคล้องกับเหตุการณ์ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต เหล่าน้ีคือความหวังและการเติมเต็มชีวิตให้มี จุดม่งุ หมายต่อไปขา้ งหน้า การท�ำนายทายทักจากสถติ ิ ฤดกู าล ฤกษ์ยาม ล้วนถูกบอกเลา่ ผ่าน สัญลักษณ์เพื่อก�ำหนดหมายให้มนุษย์ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท แต่ก็มิให้ขาดซึ่งความสุข สนกุ สนานในชวี ิต การเลน่ นำ้� สงกรานต์ นอกจากเพอื่ การชำ� ระรา่ งกายใหบ้ รสิ ทุ ธติ์ อ้ นรบั ความเปน็ มงคล ซ่ึงเป็นเร่ืองของจิตใจ ความไร้โรคพาธมาเบียดเบียนซึ่งเป็นเร่ืองของกาย ก็ยังมีเรื่องของ การขอขมาลาโทษ ไมถ่ ือโกรธต่อกนั ผา่ นสายน�ำ้ ในช่วงเวลาน้ันดว้ ย เป็นการจำ� ลองทงั้ ชว่ งเวลา ของความโกลาหล ไร้ระเบียบ เมามาย สนุกล้นจนลืมตายก่อนจะข้ามเข้าสู่เขตช่วงเวลาใหม่ ทีม่ รี ะเบียบ ปราณตี และปกติอีกครงั้ หนงึ่ ดังน้ันงานสงกรานต์จึงเป็นภาพจ�ำลองการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลา ความคิด ผู้คน พิธีกรรมและความหวังจากอดีตมาสู่ปัจจุบันและอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติกลุ่มหน่ึง ซ่ึง นับถอื พุทธศาสนานกิ ายเถรวาทในภาคพนื้ ทวปี อุษาคเนย์
ส98 าดน้ำ� สงกรานต์ วฒั นธรรมรว่ มรากเอเชยี บรรณานุกรม เม๊ยี ะเกตุ. (๑๙๖๖). นันทะเละมดั ตานมยา ( ). ยา่ งกุง้ : สำ�นกั พิมพ์ นะโลงละ. ออู า่ วงจ์ .ี (๑๙๖๕). องิ วะมโย้ แสน่ ะหยา่ ต่ี ( ). ยา่ งกงุ้ : สำ�นกั พิมพฮ์ านตาวด.ี กระทรวงศึกษาธิการพมา่ . (๑๙๙๑). เมยี นม่าอภธิ าน ( ). ยา่ งกุ้ง: สำ�นักพิมพ์ มหาวิทยาลยั . กระทรวงศกึ ษาธกิ ารพม่า. (๒๐๐๘). เมยี นม่าอภิธาน ( ). ยา่ งกงุ้ : สำ�นกั พมิ พ์ เหน่ลงิ . อรนชุ -วิรัช นิยมธรรม. (๒๕๕๑). เรียนร้สู ังคมวมั นธรรมพม่า. พิษณโุ ลก: โรงพิมพต์ ระกลู ไทย. Available at: http://www.hittai.org [Accessed on 5th Match 2016]. นนั ทวังสะ, Available at: http://lokachantha.mahasiusa.org/?p=๔๗๕๗ [Accessed on 5th Match 2016]. ดะกู-ละ (), Available at: http://bwarsara.blogspot.com/๒๐๑๐/๐๑/ blog-post_๒๗๕๑.html[Accessed on 5th Match 2016]. สมั ภาษณ์ Mr.Min Soe Tun ๑/๕ หมู่ ๒ ต.บางม่วง อ.ตะกัว่ ป่า จ.พงั งา
“บÞØ àดÍ× นËŒา-สงกรานต์” ãนÅาÇáÅÐÍสÕ านâดÂสงÑ à¢» ¤วำมนำ� ¸ÕÃÐÇѲ¹ áʹ¤íÒ ÍÒ¨ÒÃÂÁËÒÇÔ·ÂÒÅÂÑ ÁËÒ¨ÌØ Òŧ¡Ã³ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÑ ÇÔ·ÂÒÅÂÑ Ê§¦à Å หากพิจารณาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ดินแดนบ้านเมือง ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ของราชอาณาจกั รไทยกจ็ ะมพี ฒั นาการทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมรว่ มกนั เนอื่ งจากพนื้ ท่ี ส่วนใหญ่ของภาคอีสานก็เคยเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรล้านช้างที่มีอาณาเขตปกครอง สองฝง่ั แมน่ า�้ โขงในบรเิ วณลมุ่ นา้� โขงตอนกลาง (เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ , ๒๕๔๐ ; เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ , ๒๕๔๒ ; สุรศักดิ์ ศรีสา� อาง, ๒๕๔๕) ดงั นนั้ รปู แบบวิถชี ีวติ และวัฒนธรรมของผู้คนท้ังสองฝั่งโขงในลาวและอีสานปัจจบุ นั จงึ มคี วามคลา้ ยคลงึ กนั ในหลายประการ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ วถิ ปี ฏบิ ตั ิ “ฮตี สบิ สอง” ซงึ่ เปน็ งาน บญุ ประจ�าเดือนทตี่ อ้ งปฏบิ ัติครบทงั้ ๑๒ เดอื นในรอบหน่งึ ปีได้แก่ เดอื นอา้ ย-บุญเข้ากรรม, เดือนย่ี-บุญคูณลาน, เดือนสาม-บุญข้าวจ่ี, เดือนสี่-บุญผะเหวด (พระเวสสันดร), เดือนห้า-บุญสงกรานต,์ เดอื นหก-บุญบงั้ ไฟ, เดอื นเจ็ด-บญุ ซ�าฮะ, เดอื นแปด-บุญเขา้ พรรษา, เดือนเก้า-บุญข้าวประดับดิน, เดือนสิบ-บุญข้าวสาก, เดือนสิบเอ็ด-บุญออกพรรษา และ เดือนสิบสอง-บญุ กฐิน (สาร สาระทัศนานันท์, ๒๕๓๐) “บญุ เดือนหา้ ” จะจดั ขน้ึ ในชว่ งเดอื น ๕ ตามปฏิทนิ จันทรคติ ซึง่ จะตรงกบั ชว่ งเดอื น เมษายนตามปฏทิ นิ สรุ ยิ คติ เปน็ อกี งานบญุ หนง่ึ ทช่ี าวลาวและชาวอสี านใหค้ วามสา� คญั เปน็ อยา่ ง มาก เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับการเคารพนับถือบรรพบุรุษและเป็นงานบุญท่ีท�าให้เกิด ความสนกุ สนานขน้ึ ในชมุ ชน เพราะเปน็ กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วกบั การสาดนา�้ ทา่ มกลางความแหง้ แลง้ และอากาศทีร่ อ้ นระอุ จึงเปน็ งานบุญที่หลายคนตง้ั ตารอคอยเพอ่ื ใหเ้ วียนมาถงึ เรว็ ๆ บญุ เดอื นหา้ ของชาวลาวและชาวอสี านจงึ มลี กั ษณะเดยี วกนั กบั “ประเพณสี งกรานต”์ ทป่ี รากฏในประเทศไทยปจั จบุ นั เพราะจดั ขน้ึ ในชว่ งเดยี วกนั คอื ระหวา่ งวนั ที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ของทุกปี และมีความเป็นมาของประเพณีร่วมกัน โดยการอธิบายผ่านนิทาน “ปัญหา ท้าวกบิลพรหม” แต่ก็จะมีรูปแบบกิจกรรมงานบุญที่แตกต่างกันออกไปผ่านบริบททางสังคม และกาลเวลา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140