101 4.กล้ามเนื้อส่วนเท้า เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะคล้ายบริเวณมีข้อมือแตกต่างกันตรงที่เป็นกล้ามเนื้อที่ ควบคุมส้นเท้าระหว่างการเดิน กล้ามเนื้อส่วนเท้าที่สำคัญ มีดังนี้ 4.1 Flexor hallucislongusเกาะจากด้านหลังของกระดูกช่วงล่าง ส่วนปลาย เป็นเอ็นเกาะที่กระดูกหัวแม่เท้า ท่อนปลายทำหน้าที่งอปลายนิ้วหัวแม่เท้า ทำ หน้าที่กระดกข้อเท้าลง และบิดเท้าเข้าด้านใน 4.2 Extensor digitorumbrevisเป็นกล้ามเนื้อด้านหลังเท้า ตรงปลายเป็นเอ็นไป เกาะที่นิ้วเท้าทั้ง 4 ยกเว้นนิ้วหัวแม่เท้า ทำหน้าที่เหยียดข้อของนิ้วเท้าทั้ง 4 4.3 Adductor hallucisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกสุด ทำหน้าที่เหยียดหัวแม่เท้า 4.4 Flexor digitorumbrevisเป็นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเท้า ทำหน้าที่ช่วยในการ เคลื่อนไหว เป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้าเวลาเดิน
102 การหดตัวของกล้ามเนื้อแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1. การหดตัวแบบแรงตึงกล้ามเนื้อคงที่ (Isotonic contraction) เป็นการหดตัวโดยที่ แรงในการหดตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่กล้ามเนื้อหดสั้นลง การหดตัวแบบนี้เกิดขึ้น เนื่องจากนำหนักของสิ่งของที่ยกน้อยกว่าแรงที่กระทำจึงทำให้เกิดการทำงานได้ เช่น การ หดตัวของกล้ามเนื้อแขนเพื่อพยายามยกของน้ำหนัก 0.5 กิโลกรัม ขึ้นจากพื้น จะมีการหด ตัวของกล้ามเนื้อต้นแขน แต่ความตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่เปลี่ยนแปลง ผล ออกมาจะได้งาน เพราะวัตถุเคลื่อนที่ได้ 2. การหดตัวแบบความยาวคงที่ (Isometric contraction) เป็นการหดตัวโดยที่ความ ยาวของกล้ามเนื้อไม่เปลี่ยนแปลง แต่แรงในการหดตัวของกล้ามเนื้อเปลี่ยนไป เกิดขึ้น เนื่องจากน้ำหนักของสิ่งของที่ยกมีมากกว่าแรงในการยก เช่น การหดตัวของกล้ามเนื้อแขน ที่จะยกของน้ำหนัก 20 กิโลกรัมขึ้นจากพื้น ซึ่งไม่สามารถจะยกขึ้นได้ ทำให้มีการออกแรง มาก และมีการหดตัวของกล้ามเนื้อมากการหดตัวแบบความยาวคงที่ จะทำให้กล้ามเนื้อ แข็งแรงคือมีการเพิ่มความตึงตัวของกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนักค้างไว้ (Weight lifting)
103 ในสภาพจริงขณะที่มนุษย์ทำงานหรือเคลื่อนไหว จะมีการหดรัดของกล้ามเนื้อทั้ง สองแบบ (Mixed contraction) เช่น การยกของที่ไม่หนักขึ้นจากพื้น กล้ามเนื้อแขนจะ ต้องมีแรงตึงกล้ามเนื้อมากขึ้น โดยไม่มีการหดตัวช่วงนี้เป็นการหดตัวแบบความยาวกล้าม เนื้อคงที่ เมื่อกล้ามเนื้อมีแรงดึงเพิ่มขึ้นมีมากกว่าน้ำหนักของสิ่งของที่จะยก ก็จะมีการหด ตัวแบบแรงตึงกล้ามเนื้อคงที่และตามมาวัตถุก็จะถูกยกขึ้นจากพื้น การหดตัวของกล้าม เนื้อจะแรงมากหรือน้อยเป็นสัดส่วนสัมพันธ์กับแรงตึงกล้ามเนื้อ คือ ถ้าแรงตึงกล้ามเนื้อ มาก การหดตัวของกล้ามเนื้อจะหดตัวได้มาก ถ้ากล้ามเนื้อมีแรงตึงกล้ามเนื้อน้อย การหด ตัวจะลดลง จากการทดลองตรวจสอบการทำงานของกล้ามเนื้อ พบว่าแรงตึงกล้ามเนื้อมี ความสัมพันธ์กับความยาวของกล้ามเนื้อ (Length tension relationship) กลไกการหดตัวของกล้ามเนื้อ 1. เมื่อเกิดสัญญาณไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Muscle Action Potential) Sarcoplasmic Reticulum ซึ่งเป็นที่เก็บแคลเซี่ยม จะหลั่งแคลเซียมออกมา 2. แคลเซี่ยมทำหน้าที่ 2 อย่าง - ไปจับกับ Tn – C ของ Actin ทำให้เกิดการเปิดตำแหน่ง Active Site - ไปจับที่หัว Myosin (Myosin Head) ซึ่งไปกระตุ้นแอนไซม์สำคัญชื่อ Myosin ATPase ณ บริเวณนั้นให้สลาย ATP ออกเป็นพลังงาน 3. หัวของ Myosin ไปจับกับ Actin เกิดเป็น Actin – Myosin Crossbridge 4. พลังงานจาก ATP ทำให้เกิดการตึง Actin เข้าหา Myosin โดยอาศัยการงอพับได้ของ Mysin Head เกิดกระบวนการที่เรียกว่า Sllding Fllament Theory
104 สิ่งที่เกิดขึ้นขณะกล้ามเนื้อหดตัว 1. แรงที่เกิดขึ้นมาจากการหดสั้นโดยการดึง Actin จาก 2 ปลายของ Sarcomere เข้าหาMyosin 2. แรงหดตัวของกล้ามเนื้อเป็นแรงดึง (Pull) ทั้งสิ้น ไม่ใช่แรงผลัก (Push) 3. ความยาวของ Thick (Myosin) และ Thin (Actin) Filament ไม่เปลี่ยนแปลง 4. ความยาวของ Sarcomere สิ้นลง สามารถแบ่งกล้ามเนื้อลายออกเป็นสองชนิดย่อยๆ Slow twitch (Red muscle) กล้ามเนื้อชนิดนี้มีสีแดงเพราะเส้นเลือดเลี้ยง เยอะ ใช้พลังงานจากออกซิเจน หดตัวได้ช้า แต่ทนทานทำงานได้เรื่อยๆ เพิ่ม จำนวนเซลล์ได้ดี Fast twitch (White muscle) กล้ามเนื้อชนิดนี้มีสีขาวเพราะเส้นเลือดเลี้ยง น้อยกว่า ใช้พลังงานหลักคือพลังงานสำรองในเซลล์ กล้ามเนื้อชนิดนี้หดตัวเร็ว แรง แต่ทำงานได้ไม่นานนัก เพิ่มขนาดเซลล์ได้ดี
105 การทำงานของกล้ามเนื้อยังแบ่งออกเป็นสองแบบหลักๆ Isometric contraction การหดตัวแบบความยาวกล้ามเนื้อเท่าเดิม เช่น การ เกร็ง แต่ไม่เคลื่อนไหว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือความตึงตัวของกล้ามเนื้อ Isotonic contraction การหดตัวแบบความตึงตัวเท่าเดิม เช่นการยกของขึ้นลง มีการเคลื่อนไหว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือความยาวของกล้ามเนื้อ อ้างอิง http://musclemwit22room9.blogspot.com/วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557//Muscular System//พ30105 สุขศึกษาและพลศึกษา 5 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ http://www.ipesp.ac.th/learning/Physiology/html/chapter1/Unit1_1_5.html สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุพรรณบุรี ระบบกล้ามเนื้อ https://www.l3nr.org/posts/475072 กล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ (Muscle of Head)sarawutyukasem https://sites.google.com/site/muscularsys/rabb-klam-neux/chnid-khxng-klam-neux/klam-neux-la- taw นายปฏิยุทธิ์ ศิริสุขโภคา the muscular system https://anatomyfivelife.wordpress.com http://musclemwit2241.blogspot.com/2012/06/blog-post_1860.html http://www.idoctorhouse.com/library/physiology-muscle/ หนังสือAnatomy Physiology | by A.J.Chutiporn Jaritngarm
106 NERVOUS SYSTEM
107 ระบบประสาท (nervous system) เป็นระบบที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ประกอบด้วยการทำงานร่วมกัน 2 ระบบ คือ 1. ระบบประสาท (Nervous System) ทำงานได้อย่างรวดเร็ว 2. ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ทำงานอย่างช้าๆ เป็นระบบที่ทำหน้าที่สั่งการและควบคุมระบบต่างๆ และความรู้สึกต่างๆมีอวัยวะที่ เกี่ยวข้อง คือ สมอง ไขสันหลัง อวัยวะรับสัมผัสต่างๆ เช่น ตา หู จมูก ตัวการที่สำคัญของระบบประสาท คือ เซลล์ประสาท (Neuron)
108 เซลล์ประสาท (NEURON) เซลล์ประสาทเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของระบบประสาท เซลส์ประสาทหนึ่งเซลล์ มีส่วน ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 1.ตัวเซลส์ (CELL BODY) เป็นจุดศูนย์กลางของเซลล์ประสาท ประกอบด้วย นิวเคลียส (NUCLEUS) อยู่ตรงกลางเซลล์ ล้อมรอบด้วยของเหลวที่เรียกว่า ไซโตพลาส (CYTOPLAST) มีผนังเซลล์ (CELLMEMBRANE) ทำหน้าที่เป็นผนังห่อหุ้มเซลล์ 2.เดนไดรท์ (DENDRITE) เป็นเส้นใยที่ยื่นออกจากตัวเซลล์มีหน้าที่รับความรู้สึกมี กิ่งก้านสาขาเป็นแขนงสั้น ๆ มีลักษณะคล้ายรากแขนงของต้นไม้ 3.แอกซอน (AXON) เป็นเส้นใยเดี่ยว ๆ ที่ยื่นออกจากตัวเซลล์ ทำหน้าที่ส่งความ รู้สึกของเซลล์นั้นไปยังเซลล์ประสาทตัวอื่น ๆ แอกซอนมีเปลือกหุ้มเรียกว่า ไมอิลินชีท (MYELIN SHEATH) ปลายสุดของแอกซอนเป็นพุ่มต่อกับอวัยวะเรียกเอนด์บลาส (END BRUST) ใยแอกซอนจะมีความยาวมากเป็นพิเศษ แต่ละเซลล์จะมีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ปลายแขนงย่อยของแอกซอน ทุกแขนงจะมีตุ่มเล็ก ๆ เรียกว่าตุ่มปลายประสาท (TERMINAL BUTTONS) การทำงานของแอกซอนจะเกิดขึ้น เมื่อตัวเซลล์ได้รับกระแส ประสาทความรู้สึกจากเดนไดรท์จากนั้นจะส่งกระแสความรู้สึกนั้นไปยังแอกซอน แล้ว แอกซอนจะส่งกระแสประสาทความรู้สึกนั้น ต่อไปยังเซลล์ประสาทตัวอื่น ๆ หรือส่งไป ยังอวัยวะต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดความรู้สึก หรือแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
109 เซลล์ประสาท(Neuron) แบ่งตามการทำงานได้ 3 แบบ คือ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก (Sensory Neuron) : รับความรู้สึกจากส่วนต่างๆ เข้าสู่สมองและไขสันหลัง เซลล์ประสาทนำคำสั่ง (Motor Neuron) : นำกระแสประสาทออกจากสมอง และไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆของร่างกาย เซลล์ประสาทประสานงาน (Association Neuron) : เป็นตัวเชื่อมระหว่างเซลล์ รับความรู้สึกและเซลล์สั่งการ
110 ระบบประสาท (nervous system) คือ ระบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทำให้สามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบ ตัวอย่างรวดเร็ว ช่วยรวบรวมข้อมูลเพื่อให้สามารถตอบสนองได้ เป็นระบบแรกที่พัฒนาขึ้นมาหลังกระบวนการปฏิสนธิของสเปิร์มและไข่ ทำหน้าที่ ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย รวมถึงการรับรู้ และการตอบ สนองต่อสิ่งเร้าภายนอก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทรอบนอก ระบบประสาทส่วนกลาง(Central Nervous System) คือ ระบบศูนย์กลางการควบคุมการทำงานของ ร่างกาย ทั้งด้านกลไกการเคลื่อนไหวของกล้าม เนื้อโครงร่างและกระดูก รวมถึงการตอบสนองทาง ปฏิกิริยาเคมีภายใต้อำนาจของจิตใจ ประกอบด้วยเส้นประสาทจำนวนหลายล้านเส้น ทำหน้าที่จัดส่งข้อมูลในรูปของกระแสประสาทจาก ศูนย์กลางการควบคุม ประกอบด้วยอวัยวะสำคัญ 2 ส่วน คือ สมอง และ ไขสันหลังที่ทำงานร่วมกันผ่านเซลล์ประสาท มีหน้าที่ประสานงานการรับและส่งข้อมูล หรือ กระแสประสาท จากทุกส่วนของร่างกาย
111 1. สมอง (Brain) เป็นศูนย์กลางการควบคุม และการสั่งการของระบบภายในร่างกายทั้งหมด ทั้งควบคุมการเคลื่อนไหว การแสดงออกด้านพฤติกรรม รวมไปถึงการรักษา สมดุลภายในร่างกาย เป็นแหล่งที่มาของความสามารถทางด้านสติปัญญา ความคิด ความรู้สึก และ การแสดงออกทางด้านอารมณ์ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ การจดจำ การ ใช้เหตุผล และการตัดสินใจ
112 ส่วนประกอบของสมอง 1.สมองส่วนหน้า (Forebrain) ขนาดใหญ่ที่สุด มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก แบ่งออกได้ ดังนี้ ซีรีบรัม (Cerebrum) - มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก - การเรียนรู้ ความสามารถต่างๆ - เป็นศูนย์การทำงานของกล้ามเนื้อ การพูด การมองเห็น การดมกลิ่น การชิมรส ทาลามัส (Thalamus) เป็นสถานีถ่ายทอดกระแสประสาทเข้าสู่สมอง และไขสันหลัง ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ควบคุมการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ น้ำและเกลือแร่ การนอนหลับ ความหิว อิ่ม กระหายอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ 2.สมองส่วนกลาง (Midbrain) เป็นสถานีรับส่งประสาท ระหว่างสมอง ส่วนหน้ากับส่วนท้าย และส่วนหน้ากับ นัยน์ตา ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลูก ตา และม่านตา เจริญดีในสัตว์พวกปลา กบ ฯลฯ ในมนุษย์สมองส่วน obtic lobe นี้ จะ เจริญไปเป็น Corpora quadrigermia ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน
113 3.สมองส่วนท้าย (Hindbrain) ประกอบด้วย พอนส์ (Pons) ควบคุมการเคี้ยว การหลั่งน้ำลาย การเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้า ควบคุมการหายใจ เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างเซรีบรัมกับเซรีเบลลัม และ ระหว่างเซรีเบลลัมกับไขสันหลัง เมดัลลา ออบลองกาตา (Medulla Oblongata) เชื่อมต่อกับไขสันหลัง ควบคุม การหายใจ การเต้นของหัวใจ ความดันเลือด เเละการกลืน เป็นศูนย์กลางการ รีเฟลกซ์ของการไอ การจาม การกลืน การสะอึก เเละการอาเจียน ซีรีเบลลัม (Cerebellum) ควบคุมและประสานงานของการเคลื่อนไหวของ ร่างกายให้เป็นไปอย่าง ราบรื่น สละสลวย และเที่ยงตรง สามารถทำงานที่ ต้องการความละเอียดอ่อนได้ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย
114 สรุปหน้าที่ของสมอง 2. ไขสันหลัง (Spinal Cord) เป็นเนื้อเยื่อประสาทที่ทอดยาวจากก้านสมองเข้าไปยังโพรงกระดูกสันหลัง มีลักษณะเป็นรูปแท่งทรงกระบอก ห่อหุ้มด้วยเยื่อหุ้มไขสันหลัง รูปร่างคล้ายผีเสื้อ (Butterfly Shape) เนื้อเยื่อไขสันหลังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เนื้อสีขาวด้านนอก (White Matter) ซึ่งเป็นที่อยู่ของใยประสาท และเนื้อเยื่อสีเทาด้านใน (Grey Matter) ซึ่งประกอบ ขึ้นจากเซลล์ประสาทจำนวนมาก
115 หน้าที่หลักของไขสันหลัง คือ การถ่ายทอดกระแสประสาท (Neural Signal) ระหว่างสมองกับส่วนต่างๆของร่างกาย กระแสประสาทถูกส่งผ่านไขสันหลังทั้งกระแสประสาทเข้า และออกจากสมอง รวมถึงกระแสประสาทที่ส่งเข้ามายัง ไขสันหลังโดยตรง เป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ตอบสนองการ สัมผัสทางผิวหนัง นอกจากนี้ ไขสันหลังยังควบคุมการเกิดปฏิกิริยาการตอบ สนองหรือ “รีเฟล็กซ์” (Reflex) อีกด้วย รีเฟล็กซ์แอกชัน (Reflex Action) การทำงานเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าของ ระบบประสาทที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัตินอก อำนาจจิตใจ (involuntary) ช่วยให้สัตว์สามารถตอบสนองต่อการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่เกิดอย่าง ฉับพลัน หรือการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ที่อาจเป็นอันตรายต่อสมดุลในตัวสัตว์ เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นที่อวัยวะรับสัมผัส เช่น ผิวหนัง กระแสประสาทจะส่งไปยังไขสันหลัง และไขสันหลังจะสั่งการตอบสนองไปยังกล้ามเนื้อ โดยไม่ผ่านไปที่สมอง เช่น การสะดุ้งเพื่อขยับมือหนีออกจากวัตถุที่ร้อน การหลับตาเมื่อมีวัตถุเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ตา รวมถึงรีเฟล็กซ์ภายในร่างกายที่เรามองไม่เห็น เช่น การทำงานเพื่อปรับความดันเลือด
116 เมื่อมีเปลวไฟมาสัมผัสที่ปลายนิ้วกระแสประสาทจะส่งไปยังไขสันหลังไม่ผ่านไปที่สมอง ไขสันหลังทำหน้าที่สั่งการให้กล้ามเนื้อที่แขนเกิดการหดตัว เพื่อดึงมือออกจากเปลวไฟทันที ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System) แตกแขนงออกมาจากระบบประสาท ส่วนกลาง ทำหน้าที่นำสัญญาณเข้า-ออก CNS และควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมภายในร่างกาย ประกอบด้วย - เส้นประสาทสมอง (cranial nerve) : รับกระแสความรู้สึกเข้า สู่สมอง นำคำสั่งจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย - เส้นประสาทไขสันหลัง (spinal nerve) : รับกระแสความรู้สึกเข้าสู่ ไขสันหลัง นำคำสั่งจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
117 เส้นประสาทสมอง 12 คู่
118 ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System) จำแนกการทำงานออกเป็น 2 ลักษณะ คือ - ระบบประสาทภายใต้อำนาจจิตใจ (somatic nervous system) : ควบคุมการทำงานของ กล้ามเนื้อลาย - ระบบประสาทนอกอำนาจจิตใจ (autonomic nervous system) : ควบคุมการทำงานของ อวัยวะภายใน โดยควบคุมกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจ และต่อมต่างๆ แบ่งได้ 2 แบบคือ 2.1 ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic nervous system) เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้เมื่ออยู่ในสภาวะถูกกระตุ้น เพิ่มการใช้พลังงานและเพื่อทำให้ร่างกายตื่นตัว 2.2 ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic nervous system) เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้เมื่ออยู่ในสภาวะปกติ เพิ่มการทำงานของอวัยวะ เพื่อให้ได้พลังงานและเก็บรักษาพลังงานไว้
119
120 การดูแลรักษาระบบประสาทให้ทำงานตามปกติ โดยตรวจสมรรถภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ / ยา ที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผัก ผลไม้และธัญพืชที่มีวิตามินและ เกลือแร่ที่จำเป็นต่อการทำงานของสารสื่อประสาทเพื่อจะทำให้ระบบประสาททำงานได้ อย่างเต็มที่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ ควรระมัดระวังและป้องกันการบาดเจ็บของสมองและไขสันหลัง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที หากมีการบาดเจ็บหรือได้รับการกระทบ กระเทือนต่ออวัยวะที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระบบประสาท อ้างอิง https://www.google.com/search? https://th.wikipedia.org/wiki http://www.kruseksan.com/book/keyhuman1.pdf http://cms574.bps.in.th/group7/nervous https://ngthai.com/science/26788/central-nervous-system/ https://www.pobpad.com https://sites.google.com/site/akadahtwongrat/1-sing-mi-chiwit-kab- krabwnkar-darng-chiwi https://sites.google.com/site/systembody302/nervous_system https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/87737/-scibio-sci- หนังสือAnatomy Physiology | by A.J.Chutiporn Jaritngarm
121 บทที่ 5 ระบบไหลเวียนโลหิต The Circulatory System
122 ระบบหมุนเวียนเลือด เป็นระบบที่เลือดทำหน้าที่ลำเลียงสารต่างๆ ไป ยังเซลล์ทั่วร่างกาย เช่น สารอาหาร แก๊สต่างๆ เกลือแร่ ฮอร์โมน และรับของเสียส่งออกนอก ร่างกายโดยลำเลียงไปตามเส้นเลือด เช่น CO2 ยูเรีย ยูริก แอมโมเนีย วิลเลี่ยม ฮาร์วีย์ (William Harvey) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นผู้ค้นพบระบบการ หมุนเวียนเลือดของคน ว่ามีระบบปิด คือ มีการไหล ของเลือดภายในหลอดเลือดเป็นทิศทางเดียวกัน ซึ่ง ระบบจะทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารต่างๆไปยังเซลล์ และกำจัดของเสียที่เซลล์ไม่ต้องการออกจากร่างกาย อวัยวะในระบบหมุนเวียนเลือด 1. หัวใจ (Heart) 2. เส้นเลือด (Blood vessels) 3. เลือด (Blood)
123 หัวใจ (Heart) เป็นอวัยวะสำคัญ ตั้งอยู่บริเวณทรวงอกของมนุษย์ อยู่ระหว่างปอดทั้งสองข้าง ค่อนไป ทางด้านซ้ายเล็กน้อย หัวใจทำหน้าที่รับทำหน้าที่เสมือนเครื่องสูบฉีด ทำให้เกิดแรงดัน ให้แก๊สไหลไปกับเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊ส หลังจาก นั้นเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจตามเดิม หัวใจของคนมีขนาดเท่ากำปั้นของเจ้าของ หัวใจ มี 4 ห้อง แต่ละห้องทำหน้าที่ดังนี้ 1.ห้องบน (atrium) ทำหน้าที่รับเลือดเข้าสู่หัวใจจากหลอดเลือดเวน - left atrium รับเลือดแดงที่มาจากปอดผ่าน pulmonary veins - right atrium รับเลือดจากร่างกายส่วนบนและส่วนล่างผ่านหลอดเลือดดำใหญ่ 2 เส้น คือ superior vena cava และ Inferior vena cava 2.ห้องล่าง (ventricle) ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดจากหัวใจไปยังหลอดเลือดอาร์เทอรี - left ventricle สูบฉีดเลือดแดงไปยังส่วนต่างๆของร่างกายผ่าน Aortic valve และ หลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta) - right ventricle รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา และส่งต่อไปยังปอดผ่าน pulmonary valve และหลอดเลือดแดงพัลโมนารี (pulmonary arteries)
124 หลอดเลือด (Blood vessels) แบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ 1. เส้นเลือดดำ (vein) นำเลือดจากส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้า้สู่หัวใจ แรงดันเลือดต่ำผนัง เส้นเลือดบาง ส่วนใหญ่เป็นเลือดที่มีออกซิเจน ต่ำ ยกเว้นเส้นเลือดดำที่นำเลือดที่ฟอกแล้ว จากปอดมาสู่หัวใจจะมีออกซิเจนสูง 2. เส้นเลือดแดง (artery) นำเลือดออก จากหัวใจไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ผนังเส้นเลือดหนาและมีความยืดหยุ่น มากเพื่อต้านทานต่อแรงดันเลือดที่ถูก บีบออกจากหัวใจ เลือดที่อยู่ในเส้นเลือด แดงโดยทั่วไปมีสีแดงหรือออกซิเจนสูง ยกเว้นเส้นเลือดแดงที่นำเลือดไปยังปอด เพื่อนำเลือดดำไปฟอก 3. เส้นเลือดฝอย (capillary) เป็น เส้นเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างอาร์เทอรีและ เวน มีขนาดเล็ก จำนวนมาก ผนังบาง แทรกอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็น บริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนอาหาร แก๊สสาร ต่างๆ และของเสียระหว่างเลือดกับเซลล์
125 เลือด (Blood) ร่างกายของมนุษย์มีเลือดอยู่ประมาณ 6,000 ลูกบาศก์เ์ซนติเมตร (6 ลิตร) หรือ ประมาณร้อยละ 7-8 ของน้ำหนักตัว ทำหน้าที่เป็นตัวนำอาหาร แก๊ส สารและของเสีย เข้าและออกจากเซลล์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. ส่วนที่เป็นของเหลวมีร้อยละ 55 ซึ่งเรียกว่าน้ำเลือด หรือ plasma 2. ส่วนที่ไม่เป็นของเหลวมีร้อยละ 45 ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด น้ำเลือด (plasma) คือ ส่วนประกอบของโลหิตที่มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใส มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ร้อยละ 91 ที่เหลือเป็นสารอาหารและโปรตีน ทำหน้าที่ลำเลียงเอ็นไซม์ ฮอร์โมน แร่ ธาตุ วิตามิน แก๊ส สารอาหารต่างๆไปให้เ้ซลล์ และรับของเสียส่งไปกำจัดนอกร่างกาย
126 เซลล์เม็ดเลือด (Blood cell) เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red blood cell) - เกิดใหม่มีนิวเคลียส โตเต็มที่จะ ไม่มีนิวเคลียส - ผู้ใหญ่สร้างมาจากไขกระดูก // เด็กสร้างที่ตับ ม้าม และไขกระดูก - มี hemoglobin เป็นองค์ประกอบ - ลำเลียงออกซิเจน - มีอายุ 120 วัน แหล่งทำลายคือตับ และม้าม - ในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร มี เม็ดเลือดแดงประมาณ 5 ล้านเม็ด เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cell ) - ขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดง กลม ไม่มีสี - มีนิวเคลียส - สร้างที่ไขกระดูก ม้าม และต่อมน้ำเหลือง - ทำลายเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกาย และหลั่งสาร แอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันออกมาทำลายเชื้อ โรค มีอายุ 7 - 14 วัน - ถูกทำลายโดยต่อมน้ำเหลืองและม้าม - เลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตรจะมีเม็ดเลือด ขาวประมาณ 6 - 8 พันเซลล์ แต่ถ้ามีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะมีจำนวนเพิ่ม มากถึง 15,000 เซลล์
127 เกล็ดเลือด (Platelets) หรือทรอมโบไซท์ (Thrombocytes) ไม่มีนิวเคลียส ไม่มีสี รูปร่างไม่แน่นอน ช่วยใน การทำให้เลือดแข็งตัว และลดการสูญเสียเลือดจากร่างกายเวลาเกิดแผล เกล็ดเลือดถูกสร้างขึ้นในไขกระดูกพร้อมกับเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดแต่ละชุดจะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 8-10 วัน เมื่อหลอดเลือดถูกทำลาย หลอดเลือดจะส่งสัญญาณไปยังเกล็ดเลือด แล้วเกล็ดเลือดก็ จะหลั่งเอนไซม์ที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวออกมา พร้อมกับยึดเกาะกันเป็นก้อนเลือดเพื่อหยุด การไหลของเลือด จากนั้นเมื่อปากแผลถูกอุด และเลือดหยุดไหลแล้ว เกล็ดเลือดก็จะ ลดขนาดของลิ่มเลือดที่อุดปากแผลอยู่ให้เล็กลง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการไหล เวียนของเลือด
128 ปริมาณเกล็ดเลือดปกติของคนเราจะอยู่ที่ 150,000-450,000 ต่อไมโครลิตร หาก จำนวนเกล็ดเลือดลดลง หรือน้อยกว่า 150,000 ต่อไมโครลิตร ก็จะเข้าสู่ภาวะเกล็ด เลือดต่ำ ทำให้เกิดเลือดออกง่าย หรือร่างกายมีปัญหาในการทำให้เลือดหยุดไหล ยิ่ง หากมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่า 50,000 ต่อไมโครลิตร ก็ยิ่งเสี่ยงเกิดปัญหาเลือดออก ผิดปกติขั้นรุนแรง จนอาจเป็นอันตรายได้
129 การหมุนเวียนของเลือด
130 ความดันเลือด (Blood คือ ความดันที่เกิดจากการบีบและคลายตัวของหัวใจ โดยหัวใจบีบเลือดดันออกจากหัวใจ ด้วยความดันสูง และเส้นเลือดที่นำเลือดเข้าสู่หัวใจมีแรงดันต่ำ การวัดความดันเลือดจะ วัดจากหลอดเลือดที่อยู่ใกล้หัวใจเพื่อให้ได้ค่าใกล้เคียงกับความดันในหัวใจมากที่สุด (หลอดเลือดอาร์เตอร์รีที่ต้นแขน) เครื่องมือวัดความดันเลือด เรียกว่า มาตรความดัน เลือด (Sphymonanomiter) ใช้คู่กับหูฟังหรือ สเตทโทสโคป (Stethoscope) ใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิเมตรของปรอท มีค่าตัวเลข 2 ค่า คือ 1. Systolic pressure คือค่าความดันที่วัดขณะหัวใจบีบตัว (เขียนไว้ด้านหน้า) 2. Diastolic pressure คือค่าความดันที่วัดขณะหัวใจคลายตัว (เขียนไว้ด้านหลัง) ความดันเลือด (Blood Pressure) ความดันของผู้ใหญ่ (ญ) มีค่าประมาณ 110/70 มิลลิเมตรของปรอท (ช) มีค่าประมาณ 120/80 มิลลิเมตรของปรอท - ปกติค่าความดันสูงสุดมีค่าประมาณ 100 + อายุของผู้ถูกวัด - ความดันเลือดขณะหัวใจรับเลือดไม่ควรเกิน 90 มิลลิเมตรของปรอท ถ้าเกินถือว่าเป็นโรค ความดันโลหิตสูง - อาจมีสาเหตุ มาจากโกรธง่าย เครียด หลอดเลือดตีบ คอเลสเตอรอลในเลือดสูง พบในผู้ สูงอายุเุป็นส่วนใหญ่ และหากปล่อยไว้อาจทำให้มีผลตามมาคือ เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดในสมองแตก และโรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
131 ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด การจับชีพจร ชีพจร ( pluse ) หมายถึง อัตราการ เต้นของหัวใจ จังหวะการยืดหยุ่นของ เส้นเลือดอาร์เทอรีเป็นไปตามจังหวะ การเต้นของหัวใจ สำหรับการเต้นของ หัวใจปกติประมาณ 70-80 ครั้ง/นาที แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะ ต่างๆ เช่น เพศ วัย อิริยาบท โรคภัย ไข้เจ็บ เป็นต้น
132
133 ระบบน้ำเหลือง ระบบน้ำเหลืองเป็นระบบลำเลียงสารต่าง ๆ ให้กลับเข้าสู่เส้นเลือด โดยเฉพาะสาร อาหารพวกกรดไขมันที่ดูดซึมจากลำไส้เล็ก ระบบน้ำเหลืองจะไม่มีอวัยวะสำหรับสูบ ฉีดไปยังส่วนต่าง ๆ ประกอบไปด้วย น้ำเหลือง ( Lymph ) ท่อน้ำเหลือง ( Lymph vessel ) และอวัยวะน้ำเหลือง ( Lymphatic organ ) น้ำเหลือง ( Lymph ) ส่วนประกอบของน้ำเหลืองคล้ายกับในเลือดแต่ไม่มีเม็ดเลือด แดง เป็นของเหลวที่ซึมผ่านผนังเส้นเลือดฝอยออกมาอยู่ระหว่างเซลล์หรือรอบ ๆ เซลล์ เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ ในน้ำเหลืองจะมีโปรตีน โมเลกุลเล็ก เช่น อัลบูมิน และสาร ที่มีโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น ก๊าซ น้ำ น้ำตาลกลูโคส ท่อน้ำเหลือง ( Lymph vessel ) เป็นท่อตันมีอยู่ทั่วร่างกายมีขนาดต่าง ๆ กัน มี ลักษณะคล้ายเส้นเลือดเวน คือมีลิ้นกั้นป้องกันการไหลกลับของน้ำเหลือง น้ำเหลืองไหลไปตามท่อน้ำเหลือง โดยอาศัยปัจจัย 3 ประการ คือ – การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อที่จะไปกดหรือคลายท่อน้ำเหลือง – ความแตกต่างระหว่างความดันไฮโดรสเตติก ซึ่งท่อน้ำเหลืองขนาดเล็กมีมากกว่า ท่อน้ำ เหลืองขนาดใหญ ่ – การหายใจเข้า ซึ่งไปมีผลขยายทรวงอกและลดความดันทำให้ท่อน้ำเหลืองขยายตัว ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่มี 2 ท่อที่สำคัญคือ – ท่อน้ำเหลืองทอราซิก (Thoracic duct ) เป็นท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่รับ น้ำเหลืองจากส่วนต่างๆของร่างกาย ยกเว้นทรวงอกขวาแขนขวาและส่วนขวาของหัวกับ คอ เข้าเส้นเลือดเวน แล้วเข้าสู่เวียนาคาวาก่อนเข้าสู่หัวใจ อยู่ทางซ้ายของลำตัว – ท่อน้ำเหลืองทางด้านขวาของลำตัว ( Right lymphatic duct ) รับน้ำเหลืองจากทรวง อก ขวาแขนขวา และส่วนขวาของหัวกับคอเข้าเส้นเลือดเวน แล้วเข้าสู่เวียนาคาวา เข้าสู่หัวใจ จากนั้นน้ำเหลืองที่ อยู่ในท่อน้ำเหลือง จะเข้าหัวใจปนกับเลือดเพื่อลำเลียงสารต่างๆต่อไป
134 อ้างอิง หนังสือ Anatomy Physiology | by A.J.Chutiporn Jaritngarm https://www.health2click.com https://bio.flas.kps.ku.ac.th/courses/111/Circulatory_system.pdf https://th.wikipedia.org/wiki https://www.youtube.com/watch?v=_Jw46OgGJ1c https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=799 https://www.nestle.co.th/th/nhw/3e/exercise/workout-good-circulation https://scholar.google.co.th/scholar? http://www.kruseksan.com/book/Circulatory.pdf http://www.digitalschool.club/digitalschool/science1_2_2/science9_2/pdf_teacher1.pdf https://nachuakpit.ac.th/client-upload/np/uploads/files/blood.pdf http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type1/science03/15/web/015.html http://tamrayngan.blogspot.com/2013/12/white-blood-cells.html https://sites.google.com/a/web1.dara.ac.th/sci-m2/2-rabb-hmunweiyn-leuxd/2-3- khorngsrang-swn-prakxb-laea-hnathi http://www.student.chula.ac.th/~56370912/Human%20Heart%203.html http://www.oknation.net/blog/koli/2009/02/26/entry1 https://maulchon.wordpress.com http://www.siamhealth.net/public_html/Health/Lab_interprete/cardio/ecg.html#.Vu0h WflTLIU http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/Circulatory/program/unit2/p4_1.html
135 THE RESPIRATORY SYSTEM
136 ระบบทางเดินหายใจแบ่งตามหน้าที่ได้ ดังนี้ ทำหน้าที่เป็นการลำเลียงอากาศ : มีหน้าที่นำอากาศจากภายนอกเข้าสู่ปอด เป็นทาง ผ่านเข้าออกของอากาศเท่านั้น ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนแก๊ส ได้แก่ จมูก, คอหอย, กล่องเสียง, หลอดคอ, หลอดลมใหญ่, หลอดลมฝอย, และปลาย หลอดลมฝอย ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส : เป็นบริเวณที่แลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊ส ออกซิเจนกับเนื้อเยื่อ ได้แก่ หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส, ท่อลม, ถุงลม, ถุงลมเล็ก การหายใจของคนประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ 1.การหายใจภายนอก (external respiration) เป็นการนำอากาศเข้าสู่ปอด การแลก เปลี่ยนแก๊สระหว่างปอดกับเลือด 2.การหายใจภายใน (internal respiration) การขนส่งแก๊สจากเลือดไปยังเซลล์และ เนื้อเยื่อ ซึ่งจะทำให้ได้พลังงานในรูปของความร้อนทำให้ร่างกายอบอุ่นและ ATP ที่นำ ไปใช้ในกิจกรรมต่างๆของเซลล์ซึ่งเป็นจุดประสงค์สำคัญที่สุดของการหายใจ
137 ระบบหายใจของคนประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้คือ 1.ส่วนนำอากาศเข้าสู่ร่างกาย (conducting division) ส่วนนี้ประกอบด้วยอวัยวะที่ทำ หน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศเข้าสู่ส่วนที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊ส โดยเริ่มตั้งแต่รูจมูก โพรงจมูก (nasal cavity) คอหอย (pharynx) กล่องเสียง (larynx) หลอดลมคอ (trachea) หลอดลมหรือขั้วปอด (bronchus) หลอดลมฝอย (bronchiole) ซึ่งยังแบ่ง ออกเป็น 2 ส่วนคือหลอดลมฝอยเทอร์มินอล (terminal brochiole) และหลอดลม ฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory bronchiole) 2.ส่วนแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory division) ส่วนแลกเปลี่ยนแก๊สเป็นส่วนของ หลอดลมฝอยที่ต่อจากหลอดลมฝอยเทอร์มินอล คือ หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส ซึ่ง จะมีการโป่งพองเป็นถุงลมย่อย (pulmonary-alveoli) ซึ่งทาให้แลกเปลี่ยนแก๊สได้ สำหรับส่วนที่ต่อจากท่อลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊สจะเป็นท่อลม (alveolar duct) ถุงลม (alveolar sac) และถุงลมย่อย(pulmonary alveoli)โครงสร้างตั้งแต่หลอดลม (bronchus) ที่มีการแตกแขนงและมีขนาดเล็กลงไปเรื่อย ๆ คือหลอดลมฝอย ท่อลม ถุงลม ถุงลมย่อย จะเรียกว่า บรอนเคียลทรี(broncheal tree) ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ใน ปอดยกเว้นหลอดลมตอนต้น ๆ ที่อยู่นอกปอด นอกจากนี้โครงสร้างที่กล่าวมาแล้วยังมี ส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบร่วม คือกระดูกซี่โครง (rib) และกล้ามเนื้อยึด กระดูกซี่โครง (intercostal muscle)ซึ่งจะร่วมกันทำงานให้เกิดการหายใจเข้า หายใจ ออกและป้องกันอันตรายให้แก่ระบบหายใจด้วย
138 โครงสร้างอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ จมูกและปาก(nose and mouth) ทั้งจมูกและปากจะต่อถึงคอหอยและหลอดลมคอได้ อากาศเมื่อผ่านเข้าสู่รูจมูกแล้วก็จะ เข้าสู่โพรงจมูก ที่โพรงจมูกจะมีขนเส้นเล็กๆและต่อมน้ำมันช่วยในการกรองและจับฝุ่น ละอองไม่ให้ผ่านลงสู่ปอด นอกจากนี้ที่โพรงจมูกยังมีเยื่อบุจมูกหนาช่วยให้อากาศที่เข้า มามีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นและมีอุณหภูมิสูงขึ้นเนื่องจากเส้นเลือดจำนวนมากที่อยู่ใต้เยื่อ บุผิวของโพรงจมูก ถ้าหากเป็นหวัดนาน ๆ เชื้อหวัดอาจทำให้เยื่อบุในโพรงอากาศ บริเวณจมูกเกิดการอักเสบ และทำให้ปวดศีรษะซึ่งเรียกว่า เป็นไซนัสหรือไซนัสอักเสบ (sinusitis) ขึ้นได้ ในจมูกจะมีบริเวณที่เรียกว่า ออลแฟกเทอรีแอเรีย (olfactory area) หรือบริเวณที่ทำหน้าที่รับกลิ่นโดยมีเซลล์เยื่อบุผิวซึ่งเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่โดยเฉพาะ เรียกว่า ออลแฟกทอรีเซลล์(olfactory cell) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 10 ตารางเซนติเมตร และจะมีขนาดเล็กลงเมื่ออายุมากขึ้น คอหอย (pharynx) คอหอย (pharynx)เป็นบริเวณที่พบกันของช่องอากาศจากจมูกและช่องอาหารจากปาก อากาศจะผ่านเข้าสู่กล่องเสียง (larynx) ที่กล่องเสียงจะมีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการปิด เปิดกล่องเสียงเรียกว่า ฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis) ป้องกันไม่ให้อาหารตกลงสู่ หลอดลม ที่กล่องเสียงจะมีเยื่อเมือกที่มีใยเอ็นยืดหยุ่นได้เรียกว่า เส้นเสียง (vocal cord) เมื่อลมผ่านกล่องเสียงจะทำให้เส้นเสียงสั่นและเกิดเป็นเสียงขึ้น
139 หลอดลมคอ (trachea) หลอดลมคอ (trachea)เป็นท่อกลวงมีผนังแข็งและหนาเพราะมีกระดูกอ่อนเรียงเป็นรูปเกือก ม้าทำให้หลอดลมคอไม่แฟบและการที่กระดูกอ่อนของหลอดลมคอเป็นรูปเกือกม้าทำให้ หลอดอาหาร ซึ่งอยู่ด้านหลังสามารถขยายขนาดได้เมื่อมีการกลืนอาหารผ่านหลอดอาหารลง สู่กระเพาะอาหาร หลอดลมคอของผู้ใหญ่ยาวประมาณ 9-15 เซนติเมตร โดยจะเริ่มจาก กระดูกคอชิ้นที่ 6 จนถึงกระดูกอกชิ้นที่ 5 แล้วจึงแตกแขนงเป็นหลอดลม (bronchus) เข้าสู่ ปอดอีกทีหนึ่ง หลอดลมคอส่วนแรก ๆ จะมีต่อมไทรอยด์ (thyroidgland) คลุมอยู่ทางด้าน หน้า ทางด้านนอกของหลอดลมจะมีต่อมน้ำเหลือง หลอดลมเล็กหรือขั้วปอด( bronchus) เป็นส่วนที่แตกแขนงแยกจากหลอดลม แบ่งออกเป็น 2 กิ่งคือซ้ายหรือขวา โดยกิ่งซ้ายจะ เข้าสู่ปอดซ้าย และกิ่งขวาแยกเข้าปอดขวาพร้อม ๆ กับเส้นเลือดและเส้นประสาท
140 หลอดลมฝอย (bronchiole)แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.หลอดลมฝอยเทอร์มินอล (terminal bronchiole) เป็นท่อที่แยกออกจากหลอดลม แขนงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-1 มิลลิเมตร พบกล้ามเนื้อเรียบและเยื่ออิลาสติก ไฟเบอร์(elastic fiber)เป็นองค์ประกอบของผนังหลอดลมฝอยเทอร์มินอล แต่ไม่พบ โครงสร้างที่เป็นกระดูกอ่อน 2.หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส(respiratory bronchiole) เป็นส่วนแรกที่มีการแลก เปลี่ยนแก๊ส เนื่องจาก มีถุงลมย่อยมาเปิดเข้าที่ผนัง ซึ่งจะพบในส่วนที่อยู่ท้าย ๆ ซึ่งจะมี มากกว่าส่วนที่อยู่ติดกับหลอดลมฝอยเทอร์มินอล ท่อลม (alveolar duct) ท่อลม (alveolar duct) เป็นท่อส่วนสุดท้ายของส่วนที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory division)ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ถุงลม (alveolar sac)
141 ถุงลมและถุงลมย่อย ถุงลมและถุงลมย่อย(alveolus หรือ alveolar sac และ pulmonary alveoli) ถุง ลมเป็นช่องว่างที่มีถุงลมย่อยหลาย ๆ ถุงมาเปิดเข้าที่ช่องว่างอันนี้ ส่วนถุงลมย่อยมี ลักษณะเป็นถุงหกเหลี่ยมมีเซลล์พิเศษหลั่งสารพวกฟอสโฟลิพิด (phospholipid) เรียก ว่า เซอร์แฟกแทนท์(surfactant) เข้าสู่ถุงลมย่อยเพื่อลดแรงตึงผิวของถุงลมย่อยไม่ให้ ติดกัน เมื่อปอดแฟบเวลาหายใจออกผนังของถุงลมย่อยที่อยู่ติดกันจะรวมกันเป็นอินเต อร์อัลวีโอลาร์เซปทัม(interalveolar septum) ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยอยู่ภายใน นอกจาก นี้ยังมีรูซึ่งเป็นช่องติดต่อระหว่างถุงลมย่อยทำให้อากาศภายในถุงลมย่อยมีแรงดันเท่า กันทั้งปอด ทั้งถุงลมและถุงลมย่อยจะรวมเรียกว่า ถุงลมปอด ปอดแต่ละข้างจะมีถุงลม ปอดประมาณ 300 ล้านถุง แต่ละถุงจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยประมาณ 0.25 เซนติเมตร คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมดของการแลกเปลี่ยนแก๊สของถุงลมปอดทั้งสองข้าง ประมาณ 90 ตารางเมตรหรือคิดเป็น 40 เท่าของพื้นที่ผิวของร่างกาย การที่ปอด ยืดหยุ่นได้ดีและขยายตัวได้มากและการมีพื้นที่ของถุงลมปอดมากมายขนาดนั้นจะ ทำให้ร่างกายได้รับแก๊สออกซิเจนอย่างเพียงพอและคายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ เป็นอย่างดีอีกด้วยปอดของคนมีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงอย่างมากมายจึงทำให้เกิดการ แลกเปลี่ยนแก๊สได้มากและรวดเร็วจนเป็นที่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
142 ปอด(lung) ปอด(lung) เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการหายใจ ปอดตั้งอยู่ภายในทรวงอกมีปริมาตร ประมาณ 2 ใน3ของทรวงอก ปอดขวาจะสั้นกว่าปอดซ้าย เนื่องจากตับซึ่งอยู่ทางด้าน ล่างดันขึ้นมา ส่วนปอดซ้ายจะแคบกว่าปอดขวาเพราะว่ามีหัวใจแทรกอยู่ ปอดมีเยื่อหุ้ม ปอด (pleura) 2 ชั้น ชั้นนอกติดกับผนังช่องอก ส่วนชั้นในติดกับผนังของปอด ระหว่าง เยื่อทั้งสองชั้นมีของเหลวเคลือบอยู่ การหุบและการขยายของปอดจะเป็นตัวกำหนด ปริมาณของอากาศที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนถ่ายเท คาร์บอนไดออกไซด์ออกตามที่ร่างกายต้องการ การหายใจเข้า (inspiration) และการหายใจออก(expiration) รวมเรียกว่า การหายใจ (breathing) โดยมีกล้ามเนื้อกะบังลม กล้ามเนื้อยึดกระดูก ซี่โครงซี่โครงด้านนอกและกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงด้านในเป็นตัวกระทำ การหายใจ ที่เกิดจากกล้ามเนื้อกระบังลมเรียกว่า การหายใจส่วนท้อง (abdominal breathing)ซึ่งมีความสำคัญประมาณ 75% และการหายใจซึ่งเกิดจากกระดูกซี่โครง และกล้ามเนื้อยึดซี่โครงด้านนอกเรียกว่าการหายใจส่วนอก (chest breathing) ซึ่งมี ความสำคัญประมาณ 25% การหายใจส่วนท้องและการหายใจส่วนอกนี้จะทำงานร่วม กันทำให้เกิดการหายใจเข้าและหายใจออกอย่างสม่ำเสมอ
143 เมื่อกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อยึดซี่โครงด้านนอกหดตัว จะทำให้ทรวงอกและ ปอดขยายตัวขึ้นปริมาตรภายในปอดเพิ่มขึ้น ดังนั้นความดันภายในปอดจึงลดลงและต่ำ กว่าบรรยากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนตัวเข้าสู่ปอด จนทำให้ความดัน ภายนอกและภายในปอดเท่ากันแล้วอากาศก็จะไม่เข้าสู่ปอดอีก เรียกว่า การหายใจเข้า (inspiration) เมื่อกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อยึดซี่โครงด้านนอกคลายตัวลง ทำให้ปอดและทรวงอกมีขนาดเล็กลง ปริมาตรของอากาศในปอดจึงลดไปด้วย ท าให้ ความดันภายในปอดสูงกว่าบรรยากาศภายนอก อากาศจึงเคลื่อนที่ออกจากปอดจน ความดันในปอดลดลงเท่ากับความดันภายนอก อากาศก็จะหยุดการเคลื่อนที่ซึ่งเรียกว่า การหายใจออก (expiration) การหายใจเข้าและการหายใจออกนี้จะเกิดสลับกันอยู่ เสมอในสภาพปกติผู้ใหญ่จะหายใจประมาณ 15 ครั้งต่อนาที ส่วนในเด็กจะมีอัตราการ หายใจสูงกว่าผู้ใหญ่เล็กน้อย ในขณะที่ร่างกายเหนื่อยเนื่องจากทำงานหรือเล่นกีฬา อย่างหนักอัตราการหายใจจะสูงกว่านี้มาก การเปลี่ยนแปลงขณะหายใจเข้าออก
144 ความจุของปอด ปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าปกติ แต่ละครั้งมีประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ถ้า บังคับให้มีการหายใจเข้าเต็มที่มากที่สุด จะมีอากาศเข้าไปยังปอดเพิ่มมากขึ้นจนอาจถึง 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับที่ปอดจะจุอากาศได้เต็มที่เช่นเดียวกับการ บังคับการหายใจออกเต็มที่ อากาศจะออกจากปอดมากที่สุดเท่าที่ความสามารถของ กล้ามเนื้อกะบังลมและกล้ามเนื้อซี่โครงจะทำได้ ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อหายใจออกเต็มที่แล้ว ยังคงมีอากาศตกค้างในปอด ประมาณ 1,100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ปริมาตรของอากาศในปอดขณะหายใจเข้า-ออกปกติและขณะหายใจเข้า-ออกเต็มที่
145 การแลกเปลี่ยนแก๊สในร่างกาย การแลกเปลี่ยนแก๊สในร่างกายของคนเกิดขึ้น 2 แห่งคือที่ปอดและที่เนื้อเยื่อ 1.ที่ปอดเป็นการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างในถุงลมปอดกับเส้นเลือดฝอย โดยออกซิเจน จากถุงลมปอดจะแพร่เข้าสู่เส้นเลือดฝอยรอบ ๆถุงลมปอดและรวมตัวกับฮีโมโกลบิน (haemoglobin; Hb) ที่ผิวของเม็ดเลือดแดงกลายเป็นออกซีฮีโมโกลบิล (oxyhemoglobin; HbO2)ซึ่งมีสีแดงสด เลือดที่มีออกซีฮีโมโกลบินนี้จะถูกส่งเข้าสู่ หัวใจและสูบฉีดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย 2.ที่เนื้อเยื่อออกซีฮีโมโกลบินจะสลายให้ออกซิเจนและฮีโมโกลบิน ออกซิเจนจะแพร่เข้า สู่เซลล์ทำให้เซลล์ของเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจน ในขณะที่เนื้อเยื่อรับออกซิเจนนั้น คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในเซลล์ก็จะแพร่เข้าเส้นเลือด คาร์บอนไดออกไซด์ส่วน ใหญ่จะทำปฏิกิริยากับน้ำในเซลล์เม็ดเลือดแดงเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก(H2CO3) ซึ่ง แตกตัวต่อไปได้ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน (HCO3-) และไฮโดรเจนไอออน (H+) เมื่อเลือดที่มีไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนมากไหลเข้าสู่หัวใจจะถูกสูบฉีดต่อไปยัง เส้นเลือดฝอยรอบ ๆ ถุงลมปอด ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนและไฮโดรเจนไอออนจะ รวมตัวกันเป็นกรดคาร์บอนิกแล้วจึงสลายตัวเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้าในเซลล์ เม็ดเลือดแดง เป็นผลให้ความหนาแน่นของคาร์บอนไดออกไซด์ในเส้นเลือดฝอยสูงกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ในถุงลมปอด จึงเกิดการแพร่ของคาร์บอนไดออกไซด์จากเส้นเลือด ฝอยเข้าสู่ถุงลมปอดดังภาพ
146 ศูนย์ควบคุมการสูดลมหายใจ ศูนย์ควบคุมการหายใจ (the respiratory centers) อยู่ที่สมองส่วนเมดัลดาออบลอง กาตา(medulla oblongata) โดยเป็นเซลล์ประสาทกระจายอยู่ทางด้านข้างทั้งสอง ข้าง ศูนย์นี้จะมีความไวต่อปริมาณของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์หรือไฮโดรเจน คาร์บอเนตไอออนและไฮโดรเจนไอออน ซึ่งสารต่างๆเหล่านี้จะกระตุ้นทำให้เกิดการ หายใจเข้าเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นถ้าหากมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดเพิ่มขึ้นก็จะ ทำให้เกิดการการกระตุ้นเพิ่มขึ้นด้วย การควบคุมการสูดลมหายใจแสดงดังแผนภาพ ศูนย์ควบคุมการหายใจ
147 อ้างอิง https://anatomyfivelife.wordpress.com http://www.mwit.ac.th/~t2050108/Bioelearning/files/Chapter5_respira tory%20system.pdf หนังสือ Anatomy Physiology | by A.J.Chutiporn Jaritngarm https://www.naturebiotec.com/respiratory-systems/ http://www.bwc.ac.th/e-learning/virachai02/haijai.htm https://meded.psu.ac.th/binlaApp/class02/B4_311_241/Intro2Respira tion/index.html https://ngthai.com/science/17617/respirstorysystem/ http://www.ckphosp.go.th/diapo
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147