Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ilovepdf_merged

ilovepdf_merged

Published by Guset User, 2021-11-23 18:53:42

Description: ilovepdf_merged

Search

Read the Text Version

51 SKELETAL SYSTEM

52 หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วย กระดูก (bones) กระดูกอ่อน (Cartilages) ข้อต่อและเอ็นยึด กระดูก (Joint & Ligament) ทำหน้าที่ เป็นโครงร่างหลักของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถคงรูปร่าง และเคลื่อนไหวได้ เป็นกราะป้องกันอวัยวะภายใน รวมทั้งระบบประสาทส่วนกลาง ไม่ให้ได้รับอันตรายจาภายนอก กระดูกอ่อน (Cartilages) แบ่งเป็น 3 ชนิด Hyaline cartilage พบที่ Trachea, Costal cartilage, Cartilage of nose Elastic cartilage พบที่ Pinna, Epiglottis Fibrocartilage พบที่ Intervertebral discs, Pubic symphysis

กระดูก (Bone) 53 แบ่งตามความแตกต่างของเนื้อกระดูกเป็น 2 ชนิด 1. Compact bone : กระดูกเนื้อแน่น 2. Spongy (Cancelสous) bone : กระดูกเนื้อโปร่ง Compact bone มปีรเนืะ้อกแอนบ่นด้วแยข็งHสaีขvาeวrsคiลa้าnยsงyาsช้tาeงm (osteon) หลายชุดเรียงชิดกัน Haversian system 1 ชุดประกอบด้วย lamellae เรียงเป็น วงกลมซ้อนกันล้อมท่อยาว ที่อยู่ตรงกลาง คือ Haversian canal ที่นำหลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง และเส้นประสาท มาเลี้ยงเซลล์กระดูก Haversian canal แต่ละอันเชื่อมติดต่อกันทางท่อ Volkmann's canal ที่ต่อเป็นแนว ตั้งฉากกับแกนยาวของกระดูก

Spongy 54 (Cancellous) bone มีลักษณะเนื้อกระดูกโปร่ง คล้ายฟองน้ำ ประกอบด้วยแผ่นกระดูกชิ้นเล็กๆ เรียก ว่า trabeculaeเรียงสานกันไปมาเป็น ร่างแห ช่องระหว่าง trabeculae มี ไขกระดูกแดง (red bone marrow)บรรจุอยู่ ทำหน้าที่ สร้างเม็ด เลือด Osteoprogenitor cell : เซลล์ต้นกำเนิดรูปร่างคล้าย fibroblast มักพบที่ผิวใกล้เยื่อหุ้มกระดูก (Periosteum) เยื่อบุโพรงกระดูก (endosteum) เยื่อบุภายใน Harversian และVolkmann's canals (Endosteum) เมื่อถูกกระตุ้นจะเปลี่ยนเป็นเซลล์ Osteoblast : พบที่ผิวของกระดูกที่กำลังสร้างเนื้อกระดูก osteoblast : พบบริเวณผิวกระดูก ทำหน้าที่ย่อยละลายเนื้อกระดูก ทำให้เนื้อกระดูกบางลงและ ควบคุมปริมาณแคลเซียมในเลือด เช่นเดียวกับ osteocyte Osteocyte : อยู่ในช่อง lacunae ที่ติดต่อกันผ่านทางท่อขนาดเล็กเรียกว่า canaliculiทำหน้าที่ ป่ารุงรักษาและซ่อมแซมเนื้อกระดูก และช่วยควบคุมปริมาณแคลเซียมในเลือดภายใต้อิทธิพลของ PTH (Parathyroid hormone)

การเกิดและการเจริญเติบโตของกระดูกมี 2 วิธี 55 Intramembranous (Periosteal) ossification พบการเกิดแบบนี้ที่กระดูกแบน (flat bone) และที่ผิวของกระดูกยาว (long bone) กระดูกแบน (flat bone) 1. เริ่มจาก mesenchymal cell มาเรียงตัวชิดกันเป็นแผ่น (membrane) และเซลล์ทั้งแผ่นเปลี่ยนรูปร่างเป็น osteoblast สร้าง bone matrix 2. ต่อมามีการแคลเซียมจากเลือดมาตกผลึกทำให้ matrix แข็ง (calcification) อ้อมเซลล์ที่เปลี่ยนรูปร่าง เป็น osteocyte อยู่ในช่อง lacunae และ osteoclast จะตกแต่งกระดูกให้มี Spongy bone ด้านในและ Compact bone ด้านนอก เป็นการสร้างกระดูกโดยการแทนที่กระดูกอ่อนแม่พิมพ์ (cartilage model) พบการเจริญแบบนี้ที่ กระดูกยาว (long bone) โดยมี จุดเริ่มต้น (Primary ossification) ที่ตอน กลางกระดูกเจริญไปตามยาวทั้ง 2 ด้าน เรียก กระดูกส่วนนี้ว่า Diaphysis จุดต่อไป (Secondary ossification) ที่ปลาย กระดูกทั้ง 2 ด้าน เจริญแผ่เป็นรัศมีไปบรรจบกับ จุดเริ่มต้นที่ปลายกระดูกทั้งสองด้าน เรียกกระดูก ส่วนนี้ว่า Epiphysis ที่ปลายกระดูก 1. กระดูกเด็ก ยังแทนที่กระดูกอ่อนไม่หมดทำให้ เด็กยังสูงได้อีกและกระดูกอ่อนที่เหลือเรียกว่า epiphyseal plate 2. กระดูกผู้ใหญ่ การเจริญเป็นกระดูกหมดแล้ว พบเพียงรอยต่อ เรียกว่า epiphyseal line

56 ลักษณะทางมหกายวิภาคของกระดูกยาว (long bone) Metaphysis เป็นส่วนของ epiphyseal plate ที่เจริญ เป็นกระดูกในวัยเด็ก ประมาณอายุ 18-25 ปี จะกลายเป็นกระดูกทั้งหมด หน้าที่ของกระดูก ค้ำจุนโครงสร้างของร่างกายและทำหน้าที่ รองรับอวัยวะต่าง ๆ ให้คงอยู่ในตำแหข่งที่ การแบ่งกระดูกตามรูปร่าง (Shapes) เหมาะสม ป้องกันอวัยวะภายในร่างกายที่สำคัญ เช่น 1. กระดูกยาว (Long bone) สมอง หัวใจและปอด รวมไปถึงหลอดเลือดและ -กระดูกต้นแขน เส้นประสาทที่ทอดยาวอยู่ภายในแนวกระดูก -กระดูกต้นขา จากอันตรายและการกระทบกระเทือนต่าง ๆ 2. กระดูกสั้น (Short bone) เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นที่ทำให้เกิด -กระดูกข้อมือ การเคลื่อนไหว -กระดูกข้อเท้า ผลิตเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ และยังเป็นแหล่ง -กระดูกสะบ้า สำรองของแคลเซียมที่สำคัญ

57 คำศัพท์เกี่ยวกับรอยที่กระดูก 3. กระดูกแบน (Flat bone) -กระดูกหนัาอก รอยนูนที่ยื่นออกจากตัวกระดูก -กระดูกกะโหลก Head : ปุมกลมโต มีคอคอด (neck) 4. กระดูกรูปแปลก (Irregular bone) เช่น ส่วนปลายบนของกระดูก femur, Humerus -กระดูกสันหลัง Tubercle, tuberosity, trochanter ปุ่มยื่นเป็นที่เกาะของเอ็นหรือกล้ามเนื้อ Condyle : ปุ่มเรียบ ยื่นไปต่อกับกระดูกอื่น เช่น ที่ปลายกระดูก Femur ต่อกับส่วนบน ของกระดูก Tibla Crest (Ridge) : ส่วนยื่นที่เป็นสัน เช่น ที่กระดูก Ilium spine : ส่วนยื่นที่เป็นสันแหลม เช่น spine ของกระดูก Ilium

58 Process : ส่วนที่ยื่นออกมาชัดเจน เช่น Spinous process ของกระดูกสันหลัง Groove : ร่องยาวที่กระดูก เช่น intertubercular groove แอ่งหรือรูของกระดูก Fossa : แอ่งกระดูก เช่น cranial fossa Foramen : รูของกระดูกให้เป็นทางผ่านของโครงสร้างต่างๆ เช่น foramen magnum sinus : โพรงอากาศในกระดูกใช้ชื่อตามกระดูกที่ เช่น frontal sinus Meatus : ท่อในกระดูก เช่น external acoustic meatus (รูหูชั้นนอก)

Axial skeleton-กระดูกแกนกลางของลำตัว มี 80 ชิ้น 59 1. กะโหลก รkนll มี 28 ชิ้น -Cranial bones (8 ชิ้น) - Facial bones (14 ชิ้น) - Ear ossicles (6 ชิ้น) 2. กระดูกคอ Hyoid bone มี 1 ชิ้น 3. กระดูกสันหลัง-Vertebral column มี vertebrae 26 ชิ้น (เค็กมี 33 ชิ้น) - Cervical vertebrae มี 7 ชิ้น (C 1-7) - Thoracic vertebrae มี 12 ชั้น (T1-12 ) - Lumbar vertebrae มี 5 ชิ้น (L1-5) - Sacral vertebra - S มี 1 ชิ้น (เด็กมี 5 ชิ้น) - Coccyx vertebra-Co มี 1-2 ชิ้น (เด็กมี 4 ชั้น) 4. กระดูกโครงอก Thoracic cage มี 25 ชิ้น - กระดูกซี่โครง Rib (24 ชิ้น) - กระดูกหน้าอก Sternum (1 ชิ้น)

60 กะโหลกศีรษะ (Skull) (22 ขึ้น) แบ่งเป็น 3 ส่วน Cranial bones : ประกอบเป็นโพรงที่อยู่ของสมอง มี 8 ชิ้น กระดูกหุ้มสมอง (Cranial Bones) (8 ชิ้น) กระดูกข้างขม่อม (Parietal) (2 ชิ้น) กระดูกขมับ (Temporal) (2 ชิ้น) กระดูกหน้าผาก (Frontal) (1 ชื้น) กระดูกทัายทอย (Occipital) (1 ชิ้น) กระดูกเอทนอยด์ (Ethmoid) (1 ชิ้น) กระดูกสฟินอยด์ (Sphenoid) (1 ชิ้น) Facial bones : กระดูกหน้า มี 14 ชิ้น กระดูกใบหน้า (Facial Bones) (14 ชิ้น) กระตุกขากระไกรบน (Maxila) (2 ชั้น) กระดูกโหนกแก้ม (Zygomatic) (2 ชิ้น) กระดูกขากระไกรล่าง (Mandible) (1 ชิ้น) กระดูกจมูก (Nasal) (2 ชิ้น) กระดูกเพตานปาก (Palatine) (2 ชิ้น) กระดูกกันหอยของจมูกขึ้นล่าง (Inferior nasal concha) (2 ชิ้น) กระดูกแอ่งถูงน้ำตา (Lacrimal) (2 ชิ้น) กระดูกโวเมอร์ (Vomer) (1 ชั้น) Ear ossicles : เป็นกระดูกในหูชั้นกลางมี 6 ชิ้น กระดูกหู (Ossicles) (6 ชิ้น) กระดูกล้อน (Malleus) (2 ชิ้น) กระดูกทั่ง (Incus) (2 ชิ้น) กระดูกโกลน (Stapes) (2 ชั้น)

Frontal bone (กระดูกหน้าผาก) 61 เป็นส่วนของกระดูกกะโหลกศีรษะที่ประกอบเป็น - หน้าผาก - หลังคาของเบ้าตา (roof of orbit) - ส่วนของโพรงกะโหลกศีรษะทางด้านหน้า ที่เหนือเข้าตามีโพรงอากาศ 2 ข้าง เรียกว่า frontal sinuses Parietal bones มี 2 ชิ้น ประกอบเป็น - ผนังต้านข้างและด้านบนของโพรงกะโหลกศีรษะตอนกลาง - 2 ชั้น ต่อกันในแนวกลางลำตัว (Midine) ด้วย sagittal suture ด้านหน้า ต่อกับ frontal bone ด้วย coronal suture Temporal bones เป็นผนังและพื้นด้านข้างของโพรงกะโหลกศีรษะ อยู่ต่ำกว่า parietal bone แบ่งเป็น 4

62 1. squamous portion เป็นแผ่นแผ่กว้าคล้ายนัด อยู่เหนือรูหูชั้นนอกทางด้านหน้ามี zygomatic process ยื่นไปต่อกับ zygomatic bone 2. Tympanic portion เป็นผนังของหูส่วนนอกด้านล่าง มีกระดูกยื่นยาว เพรียว และแหลม เรียกว่า styloid process 3.Mastoid portion เป็นส่วนที่อยู่ด้านหลังและอยู่หลัง ชั้นนอกมีปุ่มนูนมน สั้น ยื่นลง ด้านล่าง เรียกว่า mastoid process

63 4. Petrous portion เป็นส่วนประกอบของโพรงกะโหลกศีรษะส่วนล่าง มีรูปทรง 3 เหลี่ยม (Prism) แทรกอยู่ระหว่าง sphenoid bone ทางต้านหน้ากับ occipital bone ทางด้านหลังภายในมื -หูชั้นกลาง : มีกระดูกหูข้างละ 3 ชั้น คือ malleus, incus และ stapes - หูชั้นใน : มือวัยวะเกี่ยวกับการได้ยิน และการทรงตัว Occipital bone (กระคุกท้ายทอย) อยู่ส่วนหลังของกะโหลก ประกอบเป็นผนังต้านล่างส่วนหลังของโพรงกะโหลก ศีรษะ ด้านล่าง มีรูขนาดใหญ่เรียกว่า foramen magmum เป็นทางผ่านของสมองส่วน medulla oblongata ไปเชื่อม ต่อกับไขลันหลัง Occipital bone ต่อกับ parietal bone ทั้ง 2 ข้าง ด้วย lambdoid suture

64 Sphenoid bone รูปร่างคล้ายผีเสื้อกางปีก ประกอบเป็นผนังต้านล่างของโพรงกะโหลกและผนังเบ้าตา แบ่งเป็น 3 ส่วน 1. Body คือส่วนกลางด้านล่าง เป็นผนังของโพรงจมูก ด้านบนเป็นแอ่ง เรียกว่า sella turcica เป็นที่อยู่ ของต่อมใต้สมอง (pitultary gland) มื sphenoid sinus 2. Greater wing 3. Lesser wing Ethmoid bone ส่วนประกอบของกระดูก ส่วนบนยื่นขึ้นไปในแนวกลางด้านหน้าของโพรงกะโหลกมี -ปุ่มกระดูก Crista galli อยู่ตรงกลาง - แผ่นกระดูกรูพรุนชื่อ Cribriform plate ขนาบ 2 ข้าง เป็นทางผ่านของเส้นประสาท สมองคู่ที่ 1 (CNI) ไปรับกลิ่นที่ผนังด้านบนของโพรงจมูก ส่วนล่าง เป็นผนังของโพรงจมูกด้านนอก (concha) และด้านในและบางส่วนของเบ้าตา

65 Fontanel (fontanelle) ขม่อม (กระหม่อม) ทารกแรกเกิด กะโหลกยังเจริญเป็นกระดูกไม่หมดเหลือเป็น membrane เรียกว่าFontanel Anterior fontanel (กระหม่อมหน้า) คือ รอยต่อระหว่างกระดูก frontal กับ parietal จะมีลักษณะเป็นช่องรูปลี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีแผ่นเนื้อยืดต่อปิดอยู่ คลำได้เป็นรอยปุ่ม ทางด้านหน้าของกะโหลกศีรษะ กระหม่อมหน้า จะเชื่อมกันสนิทเมื่อเด็กอายุประมาณ 18 เดือน Posterior fontanel (กระหม่อมหลัง) คือ รอยต่อระหว่างกระดูก parietal กับ occipital จะบิดเมื่อเด็กอายุประมาณ 2-3 เดือน กระคูกคอ-Hyoid bone มี 1 ชิ้น กระดูกคอ (HYOID BONE) มีรูปร่างเหมือนอักษร U อยู่บริเวณคอ ระหว่างกระดูกขากรรไกรล่างกับกล่องเสียง กระดูกชั้นนี้ ไม่ได้ประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูกอื่นแต่ห้อยอยู่กับ temporal bone โดยอาศัยเอ็นและกล้ามเนื้อ ทำหน้าที่ค้ำจนลิ้นและเป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อคอและคอหอย

66 กระดูกสันหลัง-Vertebrae กระดูกสันหลังในเด็กมีจำนวน 33 ชั้น แต่เมื่อโตป็นผู้ใหญ่จะเหลือเพียง 26 ชิ้น เนื่องจากมีบางขึ้นเชื่อมติดกัน กระดูกลันหลังแต่ละชิ้นจะเรียงตัวต่อกันเป็นแท่งเรียกว่า vertebral column เป็นแกนของตัว ซึ่งในเพศชายมีความยาว 70-75 เซนดิเมตร ส่วนในเพศหญิงมีความยาว 60-65 กระดูกสันหลังแบ่งเป็นส่วนต่างๆดังนี้ กระดูกสันหลังส่วนคอ (cervical vertebrae) ผู้ใหญ่ 7 เด็ก 7 กระดูกสันหลังส่วนอก (thoracic vertebrae) ผู้ใหญ่ 12 เด็ก 12 กระดูกสันหลังส่วนเอว (lumbar vertebrae) ผู้ใหญ่ 5 เด็ก 5 กระดูกลัมหลิงส่วนกันกบ (coccygeal vertebrae) ผู้ใหญ่ 1 เด็ก 4 กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (sacral vertebrae) ผู้ใหญ่ 1 เด็ก 5 กระดูกสันหลังส่วนคอ (cervical vertebra, C) = 7 ชิ้น กระดูกสันหลังส่วนคอมี body ขนาดเล็ก มีลักษณะพิเศษ คือ transverse process มีรูเรียกว่าtransverse foramen เป็นทางผ่านของ vertebral artery ไปเลี้ยงสมอง spinous process ของC2-C6 ตรงส่วนปลายมักจะแยกเป็น 2 แฉก กระดูกสันหลังสวนคอฮันที่ 1 (C1) มีชื่อเรียกฉมาะว่า atlas พิรูปรำาเหมือนลงแหวน เนื่องจากไม่มีส่วน body และ spinous process แต่ประกอบด้วย antericr และ pasterior arches ลื้อมseu vertebral foramen กระดูกสันหลังส่วนคออินที่ 2 (C2) เรียกว่า okis มีปุ่มยื่นขึ้นมาจากส่วนบนของ body เรียกว่า dens

67 กระดูกสันหลังส่วนอก (thoracic vertebra, T) = 12 ชิ้น มีขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่ากระดูกสันหลัง ส่วนคอ spinous process ยาว บริเวณ transverse process และ body มีส่วนที่จะไป ประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูกซี่โครงรอยบุ๋มด้าน ข้างของ body เรียกว่า demifacet กระดูกสันหลังส่วนเอว (lumbar vertebra, L) = 5 ชิ้น เป็นกระดูกสันหลังที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดใน vertebral column spinous process สั้นหนาเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม แตกต่างจากกระดูกสันหลังส่วนคอ คือ transverse process ไม่มีรู และต่างจากกระดูกลันหลังส่วนอกคือ body ไม่มี demifacet กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (sacrum) = 1 ชิ้น เป็นกระดูกรูปสามเหลี่ยมเกิดจากการเชื่อมติดกันของ sacral vertebra 5 อัน วางตัวอยู่ระหว่าง กระดูกสะโพกทั้ง 2 ข้าง ประกอบเป็นผนังส่วนหลังของช่องเชิงกราน ด้านหน้าและด้านหลังของ sacrum มีรูอยู่ต้านละ 4 คู่ เรียกว่า anterior และ posterior sacral foramina ตามลำดับ ทาง ด้านบนมืช่องที่ต่อเนื่องลงมาจากช่องโพรงไขสันหลัง เรียกว่า sacral cana! ด้านหน้าส่วนบนมีรอย นุนใหญ่เรียกว่า sacral promontory ซึ่งทางด้านข้างมิลักษณะเรียบแผ่ออกคล้ายปิกเรียกว่า ala

68 กระดูกสันหลังส่วนกันกบ (coccyx) = 1 ชิ้น เป็นกระดูกรูปสามเหลี่ยม ประกอบตัวย coccygeal vertebra 4 อัน ติดอยู่ที่ส่วนล่างของ sacrum เมื่อดู vertebral column ทางด้านข้าง จะเห็นมีส่วนโค้ง 4 แห่ง ส่วนโค้งบริเวณคอและเอวจะโค้งมา ทางด้านหน้า ส่วนโค้งบริเวณอกและกระเบนเหน็บจะโค้งไปทางด้านหลัง ส่วนโค้งเหล่านี้มีความสำคัญ ในการเพิ่มความแข็งแรง ช่วยให้เกิดความสมดุลในการทรงตัวขณะยืนและลดแรงกระแทกขณะเดิน ทรวงอก (THORAX) กระดูกที่ประกอบเป็นโครงร่างของทรวงอก ได้แก่ กระดูกหน้อก (sternum), กระดูกซี่โครง (ribs) และ body ของกระดูกสันหลังส่วนอก

69 กระดูกหน้าอก (STERNUM) = 1 ชิ้น เป็นกระดูกที่มีรูปร่างแบน แคบ วางตัวอยู่ตรงกึ่งกลางทางด้านหน้าของทรวงอก ประกอบด้วย ส่วนต่างๆ 3 ส่วนคือ Manubrium คือ ส่วนบนสุด ขอบบนมีรอยเว้าเรียกว่า suprastemal notch ทางด้านข้างมิ แอ่งสำหรับประกอบเป็นข้อต่อกับ clavicle และ rib คู่ที่ 1 body คือ ส่วนกลางซึ่งเป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทางด้านข้างเชื่อมติดต่อกับกระดูกซี่โครง โดยกระดูกอ่อนที่เรียกว่า costal cartilage xiphoid process คือ ส่วนปลายล่างสุด เป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง กระดูกซี่โครง (RIB) = 24 ชิ้น (12 คู่) มีจำนวน 12 คู่ ประกอบเป็นผนังด้านข้างของทรมงอก มีลักษณะยามเรียวและโค้ง ส่วนปลายสุด ทางด้านหลังเรียกว่า head เป็นส่วนที่ประกอบเป็นข้อต่อกับ body ของ vertebra ถัดจาก head มาจะเป็นส่วนคอดเรียกว่า neck ส่วนที่เหลือทั้งหมดเรียกว่า body บริเวณที่ neck เชื่อมต่อกับ body มีตุ่มนูนเรียกว่า tubercle ซึ่งจะไปประกอบเป็นข้อต่อกับ transverse process ของ vertebra

70 กระดูกซี่โครง 7 คู่บนแต่ละอันจะยึดกับ sterumทางต้านหน้าโดยตรง โดยมีกระดูกอ่อน ที่เริยกว่า costal cartilage เป็นตัวเชื่อม เรียก กระดูกซี่โครงกลุ่มนี้ว่า true ribs กระดูกซี่โคยง 5 คู่ต่างไม่ได้ยึดกับ sternum โดยตรงจึงเรียกว่า false ribs เนื่องจาก costal cartilage ของกระดูกซี่โครงคู่ที่ 8,9 และ 10 จะ มารวมกันแล้วไปเกาะที่ costal cartilage ของ กระดูกซี่โครงคู่ที่ 7 ส่วนกระดูกซี่โดรงคู่ที่ 1 และ 12 ปลายต้านหน้าไม่ได้ยึดกับ sternum เลยจิยอาจเรียกว่า floating ribs กระดูกระยางค์ appendicular skeleton กระดูกระยางค์ (Appendicular skelction) มีจำนวน 126 ชิ้น กระดูกของแขน (Upper extremities) มีทั้งหมด 64 ชิ้น ข้างละ 32 ชิ้น

71 กระดูกของขา (Lower extremities) มีรวมกันทั้งหมด 62 ชิ้น ข้างละ 31 ขึ้น ช่วงไหล (SHOULDER GIRDLE) เป็นส่วนที่ยืดกระดูกแขนไว้กับกระดูกแกน (axial skeleton) และรยางค์บน (upper limb) ทั้ง 2 ข้างของร่างกาย ประกอบด้วยกระดูก 2 ชื้น คือ กระดูกสะบัก (scapula) และกระดูก- ไหปลาร้า (clavicle) กระดูกไหปลาร้า (Clavicle bones) เป็นกระดูกสาขาของร่างกาย ยึดติดกับกระดูกส่วนกลางของลำตัวเป็นกระดูกรูปร่างแบน ยาวเรียว โค้งมีจำนวน 2 ชั้น วางขวางกึ่งขนาน 2 ข้างอยู่เหนือซี่โครงรี่ที่ 1 ช่วงปลายด้านในกลมนุนต่อเข้ากับ ส่วนกว้างตอนบนของกระดูก Sternum ส่วนปลายด้านนอกสุดมีลักษณะแบน เรียกว่า Acromial end ต่อเข้ากับกระดูกสะบัก กระดูกไหปลาร้ามีหน้าที่ ยึคหัวไหล่ ไม่ให้ไหล่ตก

72 กระดูกสะบัก (Scapula bones) เป็นกระดูกแบน รูปสามเหลี่ยม วางอยู่ทางด้านหลังของทรวงอกตรงระดับกระดูกซี่โครงคู่ที่ 2-7 ถูกยึดให้อยู่ตามตำแหน่งโดยอาคียการเกาะของกล้ามเนื้อที่ชับซ้อน ผิวด้านหลังของกระดูก scapulaมีสันนน ตามขวาง เรียกว่า spine ตรงส่วนปลายของ spine จะเป็นตุ่มแบนใหญ่เรียกว่ acromionซึ่งเป็นส่วนที่ ประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูก clavicle แอ่งที่อยู่เหนือและใต้ต่อ spine เรียกว่า supraspinous และ infraspinous fossa ตามลำดับ ขอบด้านนอกต่ำกว่าระดับของ acromionเล็กน้อย มีแอ่งกลม เรียกว่า glenoid cavity สำหรับประกอบเป็นข้อไหล่ ขอบด้านบนมีปุ่มยื่นไปทางด้านหนำ ลักษณะคล้ายตะขอ เริยกว่า coracold process เป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อส่วนแอ่งทางด้านหน้าทั้งหมด เรียกว่า subscapular fossa เป็นกระดูกแบบแบน (flat bone) ชั้นหนึ่งที่เป็นส่วน ประกอบสำคัญของกระดูกสัวนไหล่ (shoulder girdle) โตยมีส่วนที่ติดต่อกับกระตูกไหปลา (clavicle) นอกจากนี้ยังเป็นที่บัฒกาะของเอ็นเบื่อและกระดูกตันแขน (humerus) ประกอบเป็นข้อต่อไหล่ (shoulder joint.) กระดูกสะบักปันกระดูกที่มีความสำคัญในการเคลื่อนไหวของแขนรอบข้อต่อไหล่ แขน (UPPER EXTREMITY) แขนประกอบด้วยกระดูกจำนวน 60 ชั้น แบ่งเป็น 3 บริเวณ คือ ตันแขน (arm) ปลายแขน (forearm) และมือ (hand) กระดูกคันแขน (humerus bone)

73 1 Humerus เป็นกระดูกองตันแขน มีรูปร่างยาว ปลายบนมีลักษณะกลม เรียกว่า headไปประกอบ เป็นข้อไหล่กับ glenoid cavity ของกระดูก scapula 2 ใต้ต่อ head มีส่วนคอด 3 ถัดลงมามีปุ่มนุน 2 อัน เรียกว่า anatomical neck ปุ่มที่ยืนไปทางต้านข้างมีขนาดใหญ่ 4 ส่วนของแท่งกระดูกมีรูปร่าง เรียกว่า greater tubercle เป็นทรงกระบอกเรียกว่า Shaft อีกปุมยื่นมาทางต้านหนำมีขนาด เล็กว่า เรียกว่า lesser tubercle 6 ด้านข้างของปลายกระดูกมีอินนุน ขรุขระเป็นที่เกาะของกล้ามนื้อปลายแขน เรียกว่า medid uaะ lateral epicondyle ซึ่งอยู่ทางตำนในและต้านนอกตามลำดับ 5 ปลายล่างสุดมีปุ่ม 2 อัน - ปุ่มที่อยู่ทางต้านนอกมีลักษณะกลม เรียกว่า capitulum ประกอบเป็นข้อต่อกับ head ขอกระดูก radius - ปุ่มที่อยู่ทางดำนใน รูปร่างคล้ายรอก เรียกว่า trochlea ประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูก ulกa กระดูกปลายแขน radius bone (อยู่ทางนิ้วหัวแม่มือ) Radius เป็นกระดูกที่อยู่ทางต้านนอกของปลายแขน (ด้านนิ้วหัวแม่มือ) ปลายบนรูปร่างกลมแบนเรียกว่า head ประกอบเป็นข้อต่อกับ capitulum ของกระดูก humerus และ radial notch ของ กระดูก ปเna ถัดลงมาเป็น sาaft ซึ่งส่วนล่างค่อย ๆ กว้างขึ้น ปลายล่างสุดเป็นแอ่งเว้าประกอบเป็น ข้อต่อกับกระดูกข้อมือ lunate และ scaphoid ขอบด้านนอกของแอ่งมีปุ่มกระดูกเล็กแหลมเรียกว่า styloid process

74 กระดูกปลายแขน นlna bone (อยู่ทางนิ้วก้อย) ulna อยู่ทางด้านในของปลายแขน (ด้านนิ้วก้อย) ปลายบนงองุ้มคล้ายตะขอหรืออักษร C - ขาบนของ C เรียกว่า olecranon ตรงส่วนโค้งเรียกว่า trochlear notch เป็นแองสำหรับประกอบเป็น ข้อต่อกับ trochlea ของกระดูก ulna - ขาล่างของ C ยื่นเป็นปุ่มนูนออกทางต้านหน้าเรียกว่า coronoid process ใต้ต่อ trochlear notch ทางด้านนอกมีแอ่งว้าสำหรับรับ head ของกระดูก radius เรียกว่า radial notch - ปลายล่างของแท่งกระดุกเรียกว่า head ซึ่งทางด้านในมีปุ่มเล็ก ๆ ยื่นออกมา เรียกว่า styloid process กระดูกข้อมือ carpal bone ข้างละ 8 ชิ้น เป็นกระดูกที่อยู่บริเวณข้อมือ ประกอบด้วยกระดูกชั้นเล็ก ๆ จำนวน 8 ชิ้น เรียงตัวเป็นแถว ตามขวาง 2 แถว แถวละ 4 ชิ้น เรียกชื่อตามลักษณะรูปร่างดังนั้

75 กระดูกฝ่ามือ metacarpal ข้างละ 5 ชิ้น เป็นกระดูกที่อยู่บริเวณฝ่ามือ มีจำนวน 5 ชั้น เรียกชื่อตามลำดับว่า metacarpal bone ที่ 1 - 5 เริ่มตั้งแต่อันที่อยู่ตรงกับนิ้วหัวแม่มือ ลักษณะเป็นแท่งกระดูกยาว ประกอบด้วยส่วน base shaft และ head ส่วน base ประกอบเป็นข้อต่อกับ carpal bones และ head ประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูกนิ้วมือข้อตัน (proximal phalanges) กระดูกนิ้วมือ phalanges 14 ชิ้น เป็นกระดูกนิ้วมือมีข้างละ 14 ชั้น แต่ละนิ้ว ประกอบด้วยกระดูก 3 ชั้น เรียงจากโคนนิ้วไป ยังปลายนิ้ว คือ proximal, middle และdistal phalanx ตามลำดับ ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือมี กระดูกเพียง 2 ชิ้น ไม่มี middle phalank

กระดูกเชิงกราน (pelvic girdle) ข้างละ 1 ชิ้น 76 Pelvis ประกอบด้วยกระดูกสะโนก (hip bone, coxal bone) 2 ชั้น ทำหน้าที่ค่ำจุนส่วนขา ซึ่งรับน้ำ หนักของร่างกายไว้ กระดูกสะโพก 2 ข้าง เชื่อมติดกันทางด้านหน้าเป็นข้อต่อที่เรียกว่า pubic symphysis และทางด้านหลังประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูก Sacrum ทำให้เกิดเป็นเชิงกราน(pelvic girdle) ในทารกแรกเกิดกระดูกสะโพกแต่ละข้าง ประกอบด้วยกระดูกชื้นย่อยๆ 3 ชั้น คือ นm อยู่ทางด้านบน, pubis อยู่ทางด้านล่างค่อนมาทางด้านหน้า และ ischium อยู่ทางด้านล่างค่อนไปทางด้านหลัง เมื่อมีอาย มากขึ้นกระดุกทั้ง 3 ชั้นจะเชื่อมติดกันกลายเป็นกระดูกชั้นเดียว บริเวณที่เป็นรอยต่อของกระดูกทั้ง 3 ชั้น มิสักษณะเป็นหลุมลึก รูปร่างกลมอยู่ทางต้นข้างของกระดูกสะโพกเรียกว่า acetabulum ทำหน้ที่เป็นเบ้ารับ head ของกระดูก femur ซึ่งมาประกอบเป็นข้อสะโพก กระดูกสะโพก ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ 1. iliนm เป็นกระดูกชั้นใหญ่ที่สุดในจำนวนกระดูก 3 ชั้น ที่เป็นส่วนประกอบของกระดุกสะโพก ขอบบนมีสักษณะเป็นสันเรียกว่ lac crest สันนี้สิ้นสุดทางด้านหนำเป็นปุ่นกระดูกเรียกว่า anterior superior iliec spineและสิ้นสุดทางด้านหลังเป็นปุ่มกระดูกเรียกว่า postericr superior liac spine ต่ำ จากปุ่มกระดูกนี้เล็กน้อยมีปุ่นกระดูก-อีกปุมหนึ่ง เรียกว่า posterior Inferlior liac spine ปุ่มกระดูก เหล่านี้เป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง ขอบล่าง

77 ทางด้านหลังของกระดูก ilium มิลักษณะเว้าเรียกว่า greater sclatic notch ผิวต้านในม ลักษณะเป็นแอ่งตื้นๆ เรียกว่า iliac fosse กระดูก ilium ไปประกอบเป็นข้อต่อทางต้นหลังกักระ ดูก sacrum เป็น sacroliaic joint 2. Ischium อยู่ทางต้านลางค่อนไปทางด้านหลัง ประกอบด้วยปุมกระดูกนุนอยู่บริเวณขอบด้าน- หลัง เรียกว่า Ischial spine และต่ำลงมาเป็นขอบเว้าเรียกว่า lesser sclatic notch สันกระดูก นุนใหญ่อยู่ทางด้านล่างเรียกว่า ischial tuberosity ตรงกลางมีรูเรียกว่า obturator foramen 3. Pubis อยู่ทางด้านล่างค่อนไปทางด้านหน้า ประกอบด้วยส่วนลำตัว (body) ที่มีขาบน (superior ramus) และขาล่าง (Inferior , ramus) ยื่นไปเชื่อมกับกระดูก ischium ทางด้านหลังและ body จะไปประกอบเป็นข้อต่อกับ body ของ pubis ด้านตรงข้ามเรียกว่า pubic symphysis

78 กระดูก sacrum, coccyx และ hip bone ทั้งสองข้างประกอบกันขึ้นเป็นโครงสร้างลักษณะ คล้ายชามอ่างเรียกว่าเชิงกราน (pelvis) ซึ่งแบ่ง เป็นส่วนบนและส่วนล่างโดยอาศัยแนวระนาบ ของเส้นที่เชื่อมระหว่างปุ่มกระดูกใหญ่ของ sacrum (sacral promontory) ทางด้านหลังกับ pubic symphysis ทางต้านหน้า ขอบเขตของระนาบนั้ เรียกว่า pelvic brim กระดูกต้นขา (femur) ข้างละ 1 ชิ้น Femur เป็นกระดูกที่ยาวที่สุดและมีน้ำหนักมากที่สุดในร่างกาย ปลายบนประกอบด้วย ส่วนที่มีรูปร่างกลม เรียกว่า head ประกอบเป็นข้อต่อกับ acetabulum ของกระดูกสะโพกเป็นข้อ สะโพก (hip joint) ต่ำลงมาคอดลงเป็นส่วน neck ใต้ต่อ neck มีปุ่มนูนสำหรับเป็นที่เกาะของกล้า มนื้อสะโพกและตันขา 2 อัน ปุมใหญ่ เรียกว่า greater trochanter ปุมเล็กเรียกว่า lesser trochanter บริวณแห่งของกระดูก femur ทางด้านหลังมีสันนุนตามยาวเรียกว่าlinea aspera เป็นที่ เกาะของกล้ามเนื้อต้นขา ปลายล่างของ femur แผ่ออกเป็น medialและ lateral condyles อยู่ด้านใน และด้านนอกตามลำดับ condyles นั้ประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูก tibia เป็นข้อเข่า (knee joint) บริเวณที่อยู่เหนือต่อ condyle เรียกว่า epicondyle

กระดูกสะบ้า (patella) ข้างละ 1 ชิ้น 79 กระดูกสะบ้า (PATELLA) เป็นกระดูชิ้นเล็ก รูปสามเหลี่ยม วางอยู่ทางด้านหน้าของข้อ เข่า จัดเป็น Sesamoid bone ที่อยู่ในเอ็นของกล้ามเนื้อ quadriceps femoris กระดูกปลายขา (tibia) ข้างละ 1 ชิ้น (หน้าแข็ง) Tbia เป็นกระดูกหน้าแข็ง อยู่ทางด้านในของปลายขาปลายบนของกระดูก tibia แผ่ออกเป็น medial และ lateral condyles ซึ่งไปประกอบเป็นข้อเข่ากับ condyles ของกระดูก femur ด้านล่าง ของ condyle ของกระดูก tibia ยังประกอบเป็นข้อต่อกับกระดูก fibula ด้วย ผิวด้าน หน้า ใต้ต่อ condyles มีปุ่มนูนเรียกว่า tibial Iuberosity เป็นที่เกาะของ pateliar ligament ปลายล่างของกระดูก tbia เรียกว่า medial malleolus หรือตาตุ่มใน เป็นส่วนที่ไปประกอบ กับกระดูก talus เป็นข้อเท้า (ankle)

80 กระดูกปลายขา (fibula) ข้างละ 1 ชิ้น (น่อง) Fibula วางตัวขนานอยู่ทางด้านนอกต่อกระดูก tibia ปลายบนเรียกว่า head ประกอบเป็น ข้อต่อกับ lateral condyle ของกระดูก tibia ในระดับต่ำกว่าข้อเข่า ปลายล่างนุนเรียกว่า lateral malleolus หรือตาตุ่มนอก กระดูกข้อเท้า (tarsal) ข้างละ 7 ชิ้น Tarsal bone เป็นกระดูกที่อยู่บริเวณข้อเท้า ประกอบด้วยกระดูก 7 ชั้นคืe talus, calcaneus, cuboid, nevicular และ cuneiform ที่ 1 ถึง 3

กระดูกฝ่าเท้า (metatarsal) ข้างละ 5 ชิ้น 81 metatarsal bone เป็นกระดูกที่อยู่บริเวณฝาเท้า มีจำนวน 5 ชั้น เรียกชื่อตามลำดับว่า metatarsal bone ที่ 1 ถึง 5 เรียงจากด้านในออกไปด้านนอกตามลำดับ รูปร่างเหมือนกับกระดูก ของฝ่ามือ คือประกอบด้วยส่วน base, shaft และ head ส่วน base ประกอบเป็นข้อต่อกับ cuboid และ cuneiform ทั้ง 3 ชิ้น และ head ประกอบเป็นข้อต่อกับ proximal phalanges กระดูกนิ้วเท้า (phalank) ข้างละ 14 ชิ้น Phalanges กระดูกนิ้วเท้ามีลักษณะเหมือนกับนิ้วมือทั้งด้านจำนวนและการจัดเรียงตัวคือมี จำนวน 14 ชั้น เรียงตัวเป็น 3 แถว ยกเว้นนิ้วเท้าแรกมีเพียง 2 แถว ไม่มี middle phalanx

82 อ้างอิง HTTPS://NGTHAI.COM/SCIENCE/33254/HUMAN-BONES-SKELETAL-SYSTEM HTTPS://ANATOMYFIVELIFE.WORDPRESS.COM HTTPS://WWW.WIKIWAND.COM/TH HTTPS://SITES.GOOGLE.COM/SITE/WHATSABOUTBONES/WEBSITE-BUILDER HTTPS://WWW.NCBI.NLM.NIH.GOV/BOOKS/NBK66050.1/FIGURE HTTPS://WWW.HEALTH2CLICK.COM/2018/06/19/%E HTTPS://SITES.GOOGLE.COM/SITE/CHARNNARONGK009/RABB-KHORNG-KRADUK- SKELETAL-SYSTEM HTTPS://WWW.SCIMATH.ORG/LESSON-BIOLOGY/ITEM/7005-2017-05-17-15-18-32 HTTPS://TH.WIKIPEDIA.ORG/WIKI HTTPS://WWW.THAISCIENCE.INFO/JOURNALS/ARTICLE/SRMJ/10783731.PDF HTTPS://MIWEKUMAKO.WORDPRESS.COM หนังสือ ANATOMY PHYSIOLOGY | BY A.J.CHUTIPORN JARITNGARM

83 MUSCULAR SYSTEM

84 กล้ามเนื้อ (Muscle) เป็นเนื้อเยื่อที่หดตัวได้ในร่างกาย เปลี่ยนแปลงมาจากเมโซเดิร์ม (mesoderm) ของชั้นเนื้อเยื่อในตัวอ่อน และเป็นระบบหนึ่งของร่างกายที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย แบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal muscle) กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) และ กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) กล้ามเนื้อ ทำหน้าที่หดตัวเพื่อให้เกิดแรงและทำให้เกิดการเคลื่อนที่ (motion) รวมถึงการเคลื่อนที่และ การหดตัวของอวัยวะภายใน กล้ามเนื้อจำนวนมากหดตัวได้นอกอำนาจจิตใจ และจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น การบีบตัวของหัวใจ หรือการบีบรูด (peristalsis) ทำให้เกิดการผลักดันอาหารเข้าไปภายในทางเดินอาหาร การหดตัวของกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจมีประโยชน์ในการเคลื่อนที่ของร่างกาย และสามารถควบคุมการ หดตัวได้ เช่นการกลอกตา หรือการหดตัวของกล้ามเนื้อควอดริเซ็บ (quadriceps muscle) ที่ต้นขา หน้าที่สำคัญของกล้ามเนื้อ 1.คงรูปร่างท่าทางของร่างกาย (Maintain Body Posture) 2.ยึดข้อต่อไว้ด้วยกัน (Stabilize Joints) 3.ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว (Provide Movement) โดยการเปลี่ยนพลังงานที่ได้จากสารอาหารมาเป็น พลังงานกล (Mechanical Energy) หรือพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว 4.รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย(Maintain Body Temperature) โดยผลิตความร้อนออกมาตามที่ ร่างกายต้องการ

85 ประเภทของกล้ามเนื้อ ระบบกล้ามเนื้อ ร่างกายแบ่งกล้ามเนื้อออกเป็น 3 ชนิด คือ กล้ามเนื้อยึดกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle or striated muscle) กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) โดยที่กล้ามเนื้อลายนั้นถูกควบคุมอยู่ภายใต้อำนาจจิตใจหรือรีเฟล็กซ์ ส่วนกล้าม เนื้อเรียบและ กล้ามเนื้อหัวใจทำงานนอกอำนาจจิตใจ 1.กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อยึดกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย (skeleton muscle) ภาพกล้ามเนื้อลาย เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะติดกับโครงกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย เช่น กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขา จึงทำ หน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยตรง เมื่อนำเซลล์กล้ามเนื้อเหล่านี้มาศึกษาด้วย กล้องจุลทรรศน์ จะมองเห็นเป็นแถบลาย เซลล์กล้ามเนื้อนี้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกยาว แต่ละเซลล์ มีหลายนิวเคลียส การ ทำงานของกล้ามเนื้อยึดกระดูกถูกควบคุมโดยระบบประสาทโซมาติก การทำงานของกล้ามเนื้อชนิดนี้ ร่างกาย สามารถบังคับได้ซึ่งถือว่าอยู่ในอำนาจจิตใจ (Voluntary Muscle) ชนิดเดียวในร่างกาย 2.กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) ภาพกล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก แต่สั้นกว่าเซลล์กล้ามเนื้อยึดกระดูกและเห็นเป็นลายเช่นเดียวกัน แต่ตอนปลายของเซลล์มีการแตกแขนง และเชื่อมโยงติดต่อกับเซลล์ข้างเคียง การทำงานของกล้ามเนื้อ หัวใจถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนวัติ ดังนั้นร่างกายไม่สามารถบังคับได้ จึงเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ นอกอำนาจจิตใจ

3.กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) 86 ภาพกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อเรียบ เป็นกล้ามเนื้อที่พบอยู่ตามอวัยวะภายในของร่างกายและเป็นกล้ามเนื้อที่ทำงานอยู่ ตลอด กล้ามเนื้อแบบนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า กล้ามเนื้อนอกอำนาจจิตใจ (Involuntary Muscle) เรา ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อชนิดนี้ได้ สมองและร่างกายจะสั่งให้กล้ามเนื้อเรียบทำงานด้วยตัวของมัน เอง เช่น ผนังกระเพาะอาหาร ผนังลำไส้ ผนังหลอดเลือด และม่านตา เป็นต้น กล้ามเนื้อเหล่านี้ ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะยาว หัวท้ายแหลม แต่ละเซลล์มี 1 นิวเคลียส ไม่มีลายพาดขวาง การ ทำงานของกล้ามเนื้อเรียบถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนวัติ กล้ามเนื้อเหล่านี้จะหดตัวแน่นขึ้นและ ขยายตัวออก เพื่อให้อาหารเดินทางไปตามระบบย่อยอาหารส่วนอื่นๆของร่างกายได้ การทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อสมองสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อจะเกิดการหดตัวและคลายตัว ทำงานประสาน เป็นคู่ ๆ พร้อมกัน แต่ตรงข้ามกัน ในขณะที่กล้ามเนื้อมัดหนึ่งหดตัว กล้ามเนื้ออีกมัดหนึ่งจะคลาย ตัว การทำงานของกล้ามเนื้อในลักษณะนี้ เรียกว่า Antagonistic muscle มัดกล้ามเนื้อไบเซพ (Biceps) อยู่ด้านบน และไตรเซพ (Triceps) อยู่ด้านล่างของแขน ไบเซพหรือ (Flexors) คลายตัว ไตรเสพ หรือ (Extensors) หดตัว »» แขนเหยียดออก ไบเซพหรือ (Flexors) หดตัว ไตรเสพ หรือ (Extensors) คลายตัว »» แขนงอเข้า แสดงการทำงานของกล้ามเนื้อไบเซพ (Bicep) หรือ (Flexors) และกล้ามเนื้อไตรเซพ (tricep) หรือ (Extensors)

การรักษาให้ระบบกล้ามเนื้อแข็งแรง 87 ออกกำลังกาย (Exercise) การออกกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobics Exercise) จะช่วยทำให้หัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น ส่วนการออกกำลัง กายที่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ขึ้นนั้นเรียกว่า การออกกำลังกายแบบ แอนแอโรบิค (Anaerobics Exercise) โภชนาการที่เหมาะสม (Proper Nutrition) การรับประทานผัก ธัญพืช และผลไม้ รวมถึงการดื่มน้ำมากๆ ลดความเครียด จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ กลไกการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย เส้นเยื่อไมโอไฟบริล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย ประกอบด้วยเส้นที่ประกอบด้วย โปรตีน (Protein filament) 2 ชนิด คือ 1.เส้นหนาประกอบด้วยโปรตีนหรือที่เรียกว่า เส้นใยไมโอซิน (Myosin filament) 2.เส้นบางประกอบด้วยโปรตีนหรือที่เรียบว่า เส้นใยแอ็คทิน (Actin filament) เส้นใยทั้ง 2 เส้น ซึ่งมีจำนวนมากมายนี้ จะรวมตัวกันเป็นหน่วยเรียกว่า ซาร์โคเมีย (Sarcomere) และเส้นใยทั้ง 2 เส้น ซึ่ง มีจำนวนมากมายในแต่ละซาร์โคเมีย จะทำให้กล้ามเนื้อลายมีลักษณะเป็นลายมืดและลายสว่างสลับกันไป เส้นใยไมโอซินตั้งอยู่ในเขตที่มืดซึ่งเรียกว่า เอแบนด์ หรือ อนิโวทรอปปิคแบนด์ (A-Band or Anisotropic Bands) อย่างไรก็ดี เส้นใยแอคทินจะยื่นเข้าไปในเขตเอแบนด์ด้วยและเมื่อเส้นใยกล้ามเนื้อลายหดตัว เส้นใยแอ็คทินจะเคลื่อนตัว ไปซ้อนทับเส้นใยไมโอซินในเขตเอแบนด์มากขึ้น เส้นใยแอ็คทินจะอยู่ติดกับเส้นซีไลน์ (Z-line) ซึ่งอยู่ที่ปลายซาร์โคเมีย แต่ละข้าง เนื่องจากเส้นซีไลน์ตั้งอยู่ตลอดความยาวของเส้นใยกล้ามเนื้อลาย ฉะนั้น ช่วงซาร์โคเมียมีเขตเอแบนด์และ เขตไอแบนด์ (I-Band ) บรรจุอยู่ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เส้นใยกล้ามเนื้อลายมีลักษณะปรากฏเป็นลาย ถ้าเส้นใยกล้ามเนื้อลายถูกดึงออกจากกันแรงมากผิดปกติ ปลายของเส้นใยแอ็คทินภายในเขตเอแบนด์จะถูกดึงออกจาก กัน ซึ่งจะทำให้เขตเอชโซน (H -zone) ปรากฏอยู่ตรงกลางของเขตเอแบนด์ กล้ามเนื้อลายจะหดตัวเมื่อเส้นใยไมโอซินและแอ็คทินเลื่อนเข้าหากัน ในขณะที่กล้ามเนื้อลายหดตัว เนื่องจากเส้นใยแอ็ค ทินยึดแน่นอยู่กับเส้นซีไลน์ ดังนั้น เมื่อเส้นซีไลน์ถูกดึงเข้าหากันก็จะทำให้ช่วงไอแบนด์และช่วงซาร์โคเมียหดตัวสั้นลงตาม ไปด้วย ทฤษฎีการหดตัวของกล้ามเนื้อลายนี้เรียกว่า ทฤษฎีเส้นใยเลื่อนเข้าหากัน (Sliding over the filaments theory)

88 ชนิดของเส้นใยกล้ามเนื้อลาย ในสมัยก่อนนักกายวิภาคและสรีรวิทยาได้จำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลายออกเป็น 2 ชนิด คือ เส้นใย กล้ามเนื้อสีแดง และเส้นใยกล้ามเนื้อสีขาว การที่เส้นใยกล้ามเนื้อลายถูกจำแนกเป็นสีแดง และสีขาว เนื่องจากการสังเกตสีที่ประกอบเป็นส่วนใหญ่ของเส้นใยกล้ามเนื้อลายในการจำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อ ลายประเภทนี้ เส้นใยกล้ามเนื้อลายสีแดง ถูกพิจารณาว่าเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่หดตัวช้า (Slow twitch fiber) หรือที่เรียกย่อว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอสที (ST fiber) เส้นใยกล้ามเนื้อลายชนิดสี แดง เป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่เหมาะสมกับการทำงานระยะยาว ซึ่งมักจะพบมากในกล้ามเนื้อลายที่ ช่วยในการทรงรูปร่าง และกล้ามเนื้อลายที่มีหน้าที่ต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ส่วนเส้นใยกล้ามเนื้อ ลายสีขาวถูกพิจารณาว่าเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่หดตัวเร็ว (Fast twitch fiber) หรือเรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟที (Ft fiber) เส้นใยสีขาวมักจะพบมากในกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เกี่ยวการงอ ในปัจจุบันการจำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลาย จึงได้เปลี่ยนแปลงไปจากระบบเก่า ซึ่งจำแนกเส้นใย กล้ามเนื้อลายตามสีเป็นการจำแนกออกตามลักษณะการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อลาย มีการค้นพบ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายสีขาว ซึ่งเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่หดตัวเร็ว ยังสามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 2 ชนิด ซึ่งเส้นใยกล้ามเนื้อสีขาวทั้ง 2 ชนิด มีความแตกต่างกันในด้านการทำงานทางแง่สรีรวิทยา ปีเตอร์ และคณะ (Peter et al., 1972) ได้จำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลายตามลักษณะการทำงาน ให้เห็นได้ชัดเจน 3 ชนิด คือ 1.เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวช้าและต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหดตัว (Slow, Oxidative fiber) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอสโอ (SO Fiber) 2.เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวเร็ว และต้องใช้ออกซิเจนตลอดจนกลูโคสช่วยในการหดตัว (Fast, Oxidative, Glycolytic fiber) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟโอจี (FOG fiber) 3.เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวเร็ว และต้องใช้กลูโคสช่วยในการหดตัวเพียงชนิดเดียว (Fast glycolytic fiber) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟจี (FG fiber) ดูโบวิทซ์และบรู๊ค (Dubowitz and Brooke, 1973) ได้เรียกเส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอสโอว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายชนิดที่ 1 (Type I) และได้เรียกเส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟโอจีและแบบ เอฟจีว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายชนิด 2 เอ และชนิด 2 บี (Type IIaและ Type IIb)

89 กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยว (Muscle of mastication) กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยว (Muscle of mastication) มี 4 มัด คือ Tempolaris muscle อยู่ที่ขมับด้านข้างของกระโหลกศรีษะ แผ่เป็นรัศมีเต็ม ขมับทำหน้าที่อ้า หุบและยื่นปาก เวลาเคี้ยวอาหารMasseter muscle อยู่ด้าน นอกมุมขากรรไกรล่างของใบหน้ารูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำหน้าที่ยกกระดูกขา กรรไกรล่างขึ้นเวลาเคี้ยวอาหารPterigiod muscle เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกยื่น จากส่วนมาตรฐานของกระโหลกศรีษะไปยังบริเวณขากรรไกรล่าง มี 2 คู่ คือ External และ Internal pterigoid muscle ช่วยในการอ้าปาก หุบปาก เคลื่อนกรามไปทางด้านข้าง

90 กล้ามเนื้อใบหน้า กล้ามเนื้อใบหน้า เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ตื้น คือ อยู่ใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) ด้านหนึ่งเกาะกับกระดูกหน้า อีกด้านหนึ่งติดกับผิวหนังของใบหน้าทำ หน้าที่แสดงความรู้สึกบนใบหน้าในลักษณะต่าง ๆ เช่น ดีใจ เสียใจ โกรธ และแสดง อาการทางสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะร้องไห้ เป็นกล้ามเนื้อที่เน้นบุคลิกภาพของแต่ละ คนได้เป็นอย่างดี กล้ามเนื้อที่ใช้แสดงความรู้สึกของใบหน้า (Muscle of facial expression) ที่สำคัญ ได้แก่ Frontalis อยู่ที่หน้าผาก ทำหน้าที่ ยกคิ้วขึ้นลง ทำหน้าผากย่น Nasalis อยู่ที่จมูก ทำหน้าที่ หุบปีกจมูก เวลาดมกลิ่น Corrugator อยู่บริเวณคิ้ว เหนือคิ้ว ทำหน้าที่ ขมวดคิ้ว ครุ่นคิด Orbiculalisocculi อยู่รอบดวงตา ทำหน้าที่ ปิดตา หรือหลับตา Zygomaticus major เกาะอยู่บริเวณโหนกแก้ม ปากบน ทำหน้าที่ยกปาก Orbicularis oris อยู่บริเวณรอบปาก ทำหน้าที่ หุบปาก ทำริมฝีปากยื่น ทำปากจู๋ Risorius อยู่ถัดออกมาทางด้านข้างของปาก ทำหน้าที่เวลาแสยะยิ้ม

91 กล้ามเนื้อคอ (Muscle of the neck) กล้ามเนื้อคอ (Muscle of the neck) ที่สำคัญในการเคลื่อนไหวของคอ มีอยู่ 3 มัด คือ 1.Sternomastoidหรือ Sternocleidomastoideusเป็นกล้ามเนื้อที่ใหญ่ที่สุดของคอ เกาะพาดจากกระดูกหน้าอกกับกระดูกไหปลาร้าไปยังด้านนอกของกระดูก Mastoid และกระดูกท้ายทอย ทำหน้าที่เอียงคอ หันและหมุนคอ 2.Splenius capitisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านข้างของคอ มีจุดเกาะเริ่มจากกระดูกสันหลัง ส่วนลำตัว (thoracic spine) อันที่ 3 และ 4 ไปยังจุดเกาะปลายที่กระดูกท้ายทอย ทำ หน้าที่ยืดคอ เอียงคอและเงยหน้า 3.Semispinaliscapitisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของคอ จุดเกาะต้นเริ่มจากกระดูก สันหลังส่วนคอ (cervical spine) อันที่ 4 และ 5 ไปยังจุดเกาะปลายที่กระดูกท้ายทอย ทำหน้าที่ยืดคอ เอียงคอและเงยหน้า

92 กล้ามเนื้อส่วนลำตัว (Muscle of the trunk) กล้ามเนื้อส่วนลำตัว (Muscle of the trunk) แบ่งเป็นกล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้าน หน้าและด้านหลัง ดังนี้ 1.กล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหน้ากล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหน้าที่เห็นเด่นชัด และ มัดใหญ่ มีดังนี้ 1.1 Pectoralis minor เป็นกล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมแบนเล็กอยู่ภายใต้กล้าม เนื้อPectoralis major เกาะจากผิวนอกของกระดูกซี่โครงซี่ที่ 3 – 5 ไปยัง Coracoid process ของกระดูกสะบัก ทำหน้าที่ดึงหัวไหล่ไปทางด้านหน้าและลงล่าง และช่วยรับน้ำ หนักตัวขณะที่ยืนเอามือยัน 1.2 Pectoralis major เป็นกล้ามเนื้อทรวงอกมัดใหญ่รูปร่างคล้ายพัดคลุมอยู่บนอกและ ทับอยู่บนกล้ามเนื้อ Pectoralis minor และเป็นกล้ามเนื้อที่เกาะจากแนวกลางของ กระดูกหน้าอกไปยังกระดูกต้นแขน เป็นกล้ามเนื้อที่เน้นลักษณะเพศชายได้ชัดเจนคือมี ลักษณะอกผายไหล่ผึ่ง ทำหน้าที่หุบ งอ หมุนต้นแขนเข้าด้านใน ช่วยในการผลัก ขว้าง ปีน ป่าย การหายใจเข้ารั้งแขนให้มาทางด้านหน้าทำให้ไหล่คงรูปอยู่กับที่ 1.3 Rectus abdominisเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องมีลักษณะเป็นแถบยาวเป็นปล้อง ๆ เมื่อ ออกแรงเกร็งมีจุดเกาะต้นจากกระดูกหัวเหน่า (Pubic bone) ทอดขึ้นบนและค่อย ๆกว้าง

93 ขึ้นไปเกาะที่ปลายผิวหน้าของกระดูก Xiphoid และกระดูกซี่โครงที่ 5, 6,7 ทำหน้าที่ เกร็งช่องท้องเวลายกของหนัก ช่วยในการขับถ่ายและคลอดบุตร 1.4 Oblique externusหรือ External oblique เป็นกล้ามเนื้อลำตัวด้านข้างตั้งต้น จากกระดูกที่ 4 -12 ทอดเฉียงจากบนมาล่าง ยึดเกาะที่ Iliac crest ของกระดูก เชิงกรานทำหน้าที่เหมือนกับกล้ามเนื้อ Rectus abdominis 1.5 Serratus anterior เป็นกล้ามเนื้อด้านในของรักแร้ อยู่ทางด้านข้างของอกมีรูปร่าง เป็นแฉก ๆ ยึดติดกับกระดูกซี่โครงทางด้านหน้าไปยังกระดูกสะบัก ทำหน้าที่ยึดดึง กระดูกสะบักให้อยู่กับที่และช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ Deltoid เวลายกแขน 2.กล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหลังในส่วน ลำตัวด้านหลัง มีกล้ามเนื้อที่สำคัญดังนี้ 2.1 Trapezius เป็นกล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมคลุมบริเวณคอด้านหลังลงมาถึงหลังโดย ยึดเกาะจากแนวกลางของแผ่นหลังส่วนบนไปเกาะที่กระดูกไหปลาร้าทั้งซ้ายและขวา ทำ หน้าที่รั้งกระดูกสะบักมาข้างหลัง กล้ามเนื้อส่วนบนเมื่อหดตัวไหล่จะยกขึ้น ส่วนกลางหด ตัวจะดึงสะบัก 2 ข้างเข้ามาหากัน ส่วนล่างหดตัวจะทำให้ไหล่ถูกดึงลง 2.2 Latissimusdorsiเป็นกล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมแบนกว้าง คลุมอยู่ตอนล่างของแผ่น หลังและบั้นเอวทอดผ่านไปมุมล่างของกระดูกสะบัก ทำหน้าที่ดึงแขนเข้าชิดลำตัวดึง แขน ลงมาข้างล่าง ด้านหลังและหมุนแขนเข้าด้านใน กล้ามเนื้อนี้ใช้มากในการปีนป่าย ว่ายน้ำ และกรรเชียงเรือ จะหดตัวทันทีในขณะที่จาม

94 กล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่และแขน (Muscle of the upper limb) กล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่และแขน (Muscle of the upper limb) ที่ช่วยในการทำงานของ หัวไหล่และแขนที่สำคัญ คือ 1.กล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่ 1.1 Deltoid เป็นกล้ามเนื้อคลายขนนกหลาย ๆ อันมารวมกันเป็นมัดใหญ่หนารูป สามเหลี่ยมจุดเกาะอยู่ที่ไหปลาร้า และกระดูกสะบัก แล้วไปเกาะที่ตอนกลางของกระดูก ต้นแขน ทำหน้าที่ยกไหล่และยกต้นแขน เป็นส่วนที่บ่งบอกลักษณะเพศชายได้อย่างชัดเจน 1.2 Supraspinatus เริ่มเกาะจากกระดูกสะบักไปยังกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่ช่วยกล้าม เนื้อ Deltoid ในการยก หรือกางแขน 1.3 Infraspinatusเริ่มเกาะจากกระดูกสะบักไปยังกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่หมุนต้นแขน ออกด้านนอก และดึงแขนไปด้านหลัง 1.4 Teres minor และ Teres major เกาะที่กระดูกสะบัก แล้วมาเกาะที่กระดูกต้นแขน โดย Teres minor ทำหน้าที่หมุนแขนออกด้านนอก Teres major ทำหน้าที่หมุนแขนเข้า ด้านใน 1.5 Subscapularisมีจุดเกาะที่กระดูกสะบักและกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่หมุนต้นแขน เข้าด้านใน

95 2.กล้ามเนื้อแขนส่วนต้นที่สำคัญได้แก่ 2.1 Biceps brachiiเป็นกล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นแขน มีที่เกาะส่วนบนแยก 2 ทาง คือ เกาะจาก Coracoid process และ Supraglenoid tubercle ไปยัง Tuberosity ของกระดูกปลายแขนท่อนนอก (Radius) ทำหน้าที่งอต้นแขนและปลาย แขน หมุนแขนเข้าและดึงออก 2.2 Brachialis เป็นกล้ามเนื้อต้นแขนที่อยู่ตรงกลางค่อนมาด้านล่าง เกาะจาก กระดูกต้นแขนไปยัง Tuberosity ของกระดูกปลายแขนท่อนใน (Ulna) ทำหน้าที่งอ ข้อศอก 2.3 Coracobrachialisเกาะจาก Coracoid process ของกระดูกสะบักไปยัง กึ่งกลางของกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่งอต้นแขน 2.4 Triceps brachiiเป็นกล้ามเนื้อด้านหลังของต้นแขน ปลายบนแยก 3 ทางเกาะที่ กระดูกสะบักหนึ่งที่ และอีก 2 ทางเกาะที่กระดูกต้นแขน และมีจุดเกาะปลายที่กระดูก ปลายแขนท่อนใน (Ulna) กล้ามเนื้อมัดนี้จะทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับกล้ามเนื้อ Biceps brachiiคือ ทำหน้าที่เหยียดปลายแขน

96 3.กล้ามเนื้อส่วนปลายแขน 3.1 Brachioradialisเป็นกล้ามเนื้อด้านนอกของปลายแขน มีจุดเกาะต้นที่ตอนล่าง ของกระดูกแขน ไปเกาะที่ด้านนอกของกระดูกปลายแขนท่อนนอก (Radius) ทำหน้าที่ งอปลายแขน 3.2 Flexor carpi radialisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของปลายแขน มีจุดเกาะที่ กระดูกต้นแขนแล้วมาเกาะที่กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 2 และ 3 ทำหน้าที่งอข้อมือและกางมือ 3.3 Palmaris longusเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ทางด้านหน้าของแขน จุดเกาะต้นเริ่มจาก กระดูกต้นแขนไปยังกระดูกปลายแขน แล้วกลายเป็นเอ็น (Tendon) ไปเกาะที่ฝ่ามือทำ หน้าที่งอข้อมือ 3.4 Flexor carpi ulnarisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ทางด้านหลังของกระดูกปลายแขนท่อน ใน (Ulna) ผ่านมาที่ข้อมือ ทำหน้าที่งอข้อมือ 3.5 Extensor carpi radialislongusเป็นกล้ามเนื้อที่มีจุดเกาะต้นจากกระดูกต้นแขน แล้วไปเกาะที่กระดูกฝ่ามือทางด้านหลัง ทำหน้าที่กางและเหยียดข้อมือ 3.6 Extensor digitorumเป็นกล้ามเนื้อที่มีจุดเกาะต้นจากกระดูกต้นแขน และมีปลาย เป็นเอ็น 4 อัน ไปเกาะยังกระดูกนิ้วมือทั้ง 4 นิ้ว ทำหน้าที่เหยียดนิ้วมือและข้อมือ

97 4.กล้ามเนื้อส่วนมือและนิ้ว กล้ามเนื้อส่วนมือและนิ้วมือ เป็นกล้ามเนื้อขนาดเล็กและสั้น ส่วนมากจะเป็น เอ็นของกล้ามเนื้อซึ่งติดต่อมาจากแขนท่อนล่าง ทำหน้าที่ช่วยในการงอและเหยียด มือและข้อมือรวมทั้งช่วยให้นิ้วหัวแม่มือสามารถเคลื่อนไปแตะนิ้วอื่น ๆ ได้จึงเรียกว่า Opposition กล้ามเนื้อในกลุ่มนี้ที่สำคัญ ได้แก่ 4.1 Thenar eminence เป็นกล้ามเนื้อหัวแม่มือเกาะที่ฝ่ามือ โดยเฉพาะที่ได้ฐาน หัวแม่มือจะเห็นเป็นเนินชัดเจน ทำหน้าที่งอนิ้วหัวแม่มือ 4.2 Hypothenar eminence เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้นิ้วก้อย มีรอยนูนเด่นชัด ทำ หน้าที่งอนิ้วก้อย 4.3 Dorsal interosseusเป็นกล้ามเนื้อที่กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 1 และ 2 ผ่านมาเกาะ ที่นิ้วชี้ ทำหน้าที่กางนิ้วชี้และหมุนหัวแม่มือ 4.4 Abductor pollicisเกาะอยู่ที่ฐานของนิ้วหัวแม่มือ ทำหน้าที่งอนิ้วหัวแม่มือ

98 กล้ามเนกื้อล้สา่มวนเนืส้อะสโ่พวกนแสละโะพขากแ(Mละuขsาc(lMe uosfctlheeolfotwheer lower limb) ดังนี้ limb) ที่สำคัญ 1.กล้ามเนื้อส่วนสะโพกและก้นกบ 1.1 Gluteus maximusเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และหน้าที่สุดของส่วนสะโพก มีจุด เกาะที่ Ilium และ Sacrum ของกระดูกเชิงกราน แล้วไปเกาะยังกระดูกต้นขา ทำ หน้าที่เหยียดขา กางต้นขา หมุนต้นขา ไปทางด้านข้าง 1.2 Tensor fasciae lataeเป็นกล้ามเนื้อทางด้านข้างของสะโพก เกาะอยู่ที่ส่วนหน้า ของกระดูกเชิงกรานทำหน้าที่กางและหมุนขาเข้าด้านใน

99 2.กล้ามเนื้อส่วนโคนขา กล้ามเนื้อส่วนนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามตำแหน่งหน้าที่ และประสาทที่มาเลี้ยง ด้าน หลังของต้นขาเรียกว่า Flexor surface เป็นที่อยู่ของกล้ามเนื้อกลุ่มเอ็นหลังต้นขาด้า ล่าง(Hamstring group) อีกกลุ่มหนึ่งคือ กล้ามเนื้อกลุ่มดึงข้อ (Adductor group) และยังมีกล้ามเนื้อกลุ่มด้านหน้าของต้นขา (Anterior group) กล้ามเนื้อส่วนโคนขา มัดที่สำคัญ มีดังนี้ 2.1 Biceps femorisเป็นกล้ามเนื้อในกล้ามเนื้อกลุ่มเอ็นหลังต้นขาด้านล่าง จุดเกาะ เริ่มจากกระดูก Ischium และกระดูกต้นขาไปยังส่วนหัวของกระดูกปลายขาท่อนเล็ก (Fibula)ทำหน้าที่เหยียดต้นขาและงอเข่า 2.2 Rectus femorisเป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหน้าของต้นขา (Anterior group)เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่อยู่ทางด้านหน้าของต้นขา จุดเกาะเริ่มจากกระดูก lliumไปยังกระดูกปลายขาท่อนใหญ่ (Tibia) ทำหน้าที่งอต้นขาและเหยียดปลายขา 2.3 Satoriusเป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหน้าของต้นขา มีลักษณะยาวแบนพาดเฉียงบน โคนขา จุดเกาะเริ่มจาก Iliac spine ไปยังส่วนบนของกระดูกปลายขาท่อนใหญ่ (Tibia)ทำหน้าที่งอต้นขา และปลายขา

100 3.กล้ามเนื้อส่วนปลายขา กล้ามเนื้อส่วนปลายขาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มด้านหน้าของปลายขา(Anterior compartment) กลุ่มด้านข้างของปลายขา (Lateral compartment) และกลุ่มด้าน หลังของปลายขา (Posterior compartment) กล้ามเนื้อส่วนปลายขาที่สำคัญ ได้แก่ 3.1 Tibialisanticus เป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหน้าของปลายขา เกาะจากด้านข้าง ของกระดูกปลายขาท่อนใหญ่ (Tibia) และจากผังผืด ซึ่งยึดระหว่างกระดูกปลายขา ท่อนใหญ่และท่อนเล็ก และเกาะที่กระดูกฝ่าเท้าทำหน้าที่กระดกข้อเท้า และบิดข้อเท้า เข้าด้านใน 3.2 Gastrocnemius เป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหลังของปลายขา เป็นกล้ามเนื้อน่อง เกาะจากส่วนปลายของกระดูกต้นขาทั้งสองด้าน ส่วนปลายกลายเป็นเอ็นเกาะที่ กระดูกส้นเท้า (Achillis tendon) ทำหน้าที่งอหลังเท้า เหยียดนิ้วเท้า ถีบฝ่าเท้าลง และช่วยงอเข่าด้วย 3.3 Soleus เป็นกล้ามเนื้อใหญ่ รูปร่างคล้ายปลาอยู่ใน Gastrocnemius ทำหน้าที่ งอฝ่าเท้า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook