๑ บทที่ ๑ บทนำ(ชาวเลในจงั หวดั กระบี่) ภูมหิ ลงั ประเทศไทยมีความหลากหลายทางประวตั ิศาสตร์ ภาษา และวฒั นธรรมของประชาชน ในชาติ นอกจากประชากรไทยทวั่ ไปแลว้ ยงั มีกลุ่มชาติพนั ธุ์ท่ีหลากหลายกระจายอยใู่ นภูมิภาคต่าง ๆ มี ภาษา วฒั นธรรมและประเพณีที่แตกต่างกันไปจากชนกลุ่มใหญ่ ซ่ึงเป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์ท่ีมีวฒั นธรรม ประเพณีเป็ นอตั ลกั ษณ์ของตนเอง ต้งั ถ่ินฐานกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ใน ๖๗ จงั หวดั จาํ นวน ๕๖ กลุ่ม มีประชากร รวมประมาณ ๖,๑๐๐,๐๐๐ คน หรือร้อยละ ๙.๖๘ ของประชากรประเทศ จาํ แนกพ้ืนท่ี ตามลกั ษณะการต้งั ถ่ินฐานได้ ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ต้งั ถ่ินฐานบนพ้ืนที่สูงหรือชนชาวเขา กลุ่มท่ีต้งั ถิ่นฐานบน พ้ืนที่ราบ กลุ่มชาวเล และกลุ่มอาศยั ในป่ า “กลุ่มชาติพนั ธุ์บนพ้ืนท่ีสูง” ต้งั ถ่ินฐานตามแนวเทือกเขาบน พ้ืนที่สูงทางภาคเหนือ เป็ นสังคมเกษตรกรรมที่อาศยั ป่ าเป็ นหลกั “กลุมชาติพนั ธุ์บนพ้ืนที่ราบ” เป็ นกลุ่ม ชาติพนั ธุ์กลุ่มใหญท่ ่ีมีวถิ ีการดาํ รงชีวติ คลา้ ยคลึงกบั คนไทยทว่ั ไป มีอาชีพเกษตรกรรมเป็ นหลกั “กลุ่มชาติ พนั ธุ์ที่ต้งั ถิ่นฐานตามหมู่เกาะหรือชายฝั่งทะเล” เรียกวา่ “ชาวเล” มีวิถีชีวติ อยูท่ ้งั บนเกาะและในทะเล มี อาชีพประมง เป็ นหลกั นอกจากน้ียงั มีกลุ่มชาติพนั ธุ์กลุ่มเล็กท่ีอาศยั ในป่ า ดาํ รงชีวิตดว้ ย การล่าสัตวแ์ ละ เก็บของป่ า (กลุ่มชาติพนั ธุ์พ้ืนที่ในจงั หวดั ลาํ ปาง ๒๕๖๓ : ๙) ในภาคใตข้ องประเทศไทย มีกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลที่มีอตั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรม ภาษา วถิ ี ชีวติ ภูมิปัญญา ความเช่ือ และประเพณีเป็นของตวั เอง กระจายกนั ต้งั หลกั แหล่งถ่ินฐาน ดงั ท่ี กนก ชู ลกั ษณ์ ๒๕๓๑ : ๘๒ – ๘๘) กล่าวถึงการต้งั หลกั แหล่งของชาวเลในภาคใตข้ องประเทศไทย สรุปได้ วา่ ชาวเลเขา้ มาต้งั หลกั แหล่งตามชายฝั่งทะเล และหมู่เกาะตา่ ง ๆ ของฝั่งทะเลตะวนั ตกเมื่อใดน้นั ไมม่ ี หลกั ฐานท่ีแน่ชดั รู้เพยี งวา่ ชาวเลเขา้ มาอยใู่ นประเทศไทยเป็นเวลามากกวา่ ร้อยปี สนั นิษฐานจาก หลกั ฐานท่ียงั เหลืออยใู่ นปัจจุบนั คือ สถานท่ีต่าง ๆ ท่ีชาวเลอาศยั และเคยอาศยั เรียกเป็นภาษาชาวเล เกือบท้งั สิ้น จึงสนั นิษฐานวา่ ชาวเลน่าจะเป็นคนพ้ืนเมืองด้งั เดิมของเกาะ ส่วนเขมชาติ เทพไชยและวสิ ิฎฐ์ มะยะเฉียว ๒๕๒๘: ๕๔ – ๖๓) กล่าวถึงการกระจายตวั ของชาวเลในภาคใต้ สรุปไดว้ า่ ชาวเลกระจาย อยตู่ ามจงั หวดั ต่าง ๆ ดงั น้ี จงั หวดั ภูเก็ต จงั หวดั กระบ่ี จงั หวดั พงั งา จงั หวดั ระนอง และจงั หวดั สตูล
๒ นฤมล อรุโณทยั และคณะ. (๒๕๕๗ : ๒๙) ไดแ้ บง่ กลุ่มชาวเลในเมืองไทยไว้ ๓ กลุ่ม ดงั น้ี อูรักลาโวย้ (Urak Lawoi) มอแกลน (Moklen) และมอแกน (Moken) ชาวเลอูรักลาโวย้ เป็ นหน่ึงในสามชาติพนั ธุ์ชาวเลในประเทศไทยที่มีอตั ลกั ษณ์ทางภาษา สังคม วฒั นธรรม ประเพณี การแต่งกาย ท่ีโดดเด่นแตกต่างจากกลุ่มชาติพนั ธุ์อื่น อาศยั ต้งั ถ่ินฐานบนเกาะ แก่งหรือชายฝ่ัง มีวถิ ีชีวติ ผกู พนั กบั ทอ้ งทะเล เป็ นคนรักสงบ ชอบสนุกสนาน มีการติดต่อสัมพนั ธ์ และ แตง่ งานดว้ ยกนั ระหวา่ งกลุ่ม มีความสามคั คี และเคารพนบั ถือผูอ้ าวโุ สอยา่ งเคร่งครัด ลกั ษณะครอบครัว ของชาวเล ส่วนมากเป็นครอบครัวเด่ียว เพราะบา้ นมีขนาดเล็ก ลูกที่แต่งงานแลว้ จะปลูกบา้ นใกล้ ๆ กบั บา้ นของพอ่ แม่ ผชู้ ายออกไปทาํ งานหาเล้ียงครอบครัว ผูห้ ญิงจะทาํ หนา้ ท่ีแม่บา้ น ดูแลบา้ น และเล้ียงลูก ในชุมชนชาวเล ผหู้ ญิงจะเป็นใหญ่ในการตดั สินใจเร่ืองต่าง ๆ ของครอบครัว การดาํ เนินชีวติ ชาวเล จะมี เอกลกั ษณ์เป็นของตวั เอง ในแบบท่ีชาวเลเป็ น มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเร่ืองการทาํ ประมง หาหอย หาปู ตกหมึก ตกปลา ตามฤดูต่างๆ เช่ียวชาญดา้ นการไหลเช่ียวของกระแสน้าํ ทะเลสามารถบอกตาํ แหน่งของ กระแสน้าํ วนได้ ชาวเลส่วนใหญ่ดาํ รงชีพดว้ ยการทาํ ประมงเป็ นหลกั เช่น ตกเบ็ด วางลอบ ออกอวน ดาํ น้าํ หาของทะเล เช่น ปะการัง กลั ปังหา เปลือกหอย ปลาสวยงาม และรับจา้ งเจา้ ของกิจการที่มีเรืออวน ออกอวน เป็ นตน้ ผูช้ ายชาวเลมีความชาํ นาญในการดาํ น้าํ และต่อเรือ ส่วนเด็กและผูห้ ญิงจะมีความ ชาํ นาญการตกเบด็ และหาหอย ชาวเลส่วนใหญม่ ีความเชื่อเร่ืองผเี หนียวแน่นมาก ชาวเลเช่ือวา่ การเจบ็ ป่ วยเกิดจาก “ผีกิน” ซ่ึงชาวเลจะมีผอี ยู่ ๒ ประเภท คือ ผีบรรพบุรุษ เรียกวา่ “ดาโต๊ะ” และผีจากธรรมชาติ เรียกวา่ “ผชี ิน” ทุกชุมชนของชาวเลจะมี “ศาลประจาํ ชุมชน” ชาวเลนบั ถือผสี างเทวดา และวญิ ญาณบรรพบุรุษ มีความ เช่ือทางไสยศาสตร์ โชคลาง เช่น การทาํ เสน่ห์ การขอที่ขอทาง การขบั ไล่ภูมิผปี ี ศาจ เป็ นตน้ ซ่ึงชาวเล จดั เป็นกลุ่มชาติพนั ธุ์ของไทยท่ีดาํ รงชีวิตแบบด้งั เดิม มีวถิ ีชีวิตผูกพนั กบั ธรรมชาติและส่ิงเหนือธรรมชาติ อยา่ งเหนียวแน่น และชาวเลยงั เช่ือวา่ นก เป็ นสัญลกั ษณ์ของสิ่งนาํ โชค หรือผปู้ กป้องคุม้ ครอง (ประสิทธ์ิ เอ้ือตระกลู วทิ ย์ ๒๕๓๔ : ๑๐๗) จงั หวดั กระบ่ี เป็ นหน่ึงในจงั หวดั ฝ่ังอนั ดามนั ท่ีมีชาวเลกลุ่มอูรักลาโวย้ อาศยั อยู่มานาน จาก รายงานของกระจายอยู่ตามพ้ืนท่ีต่าง ๆ ดงั น้ี อาํ เภอเมืองกระบ่ี ท่ีแหลมตง เกาะพีพี อาํ เภอเกาะลนั ตามี ชุมชนชาวเลกระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ไดแ้ ก่ บ้านศาลาด่าน บ้านคลองดาว บา้ นในไร่ บา้ น หวั แหลม และบา้ นสังกะอู้ อาํ เภอเหนือคลอง ที่เกาะจาํ กระจายอยู่ในชุมชนบา้ นเกาะจาํ ชุมชนบา้ น กลาโหม ชุมชนบ้านกลาง และชุมชนบ้านติงไหร มีจาํ นวนประชากร ๑,๔๙๑ คน ๔๘๖ ครัวเรือน (สํานกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั กระบ่ี ๒๕๖๓ : ๑๑) ซ่ึงมีวิถีชีวติ ด้งั เดิมผูกพนั กบั ทะเล มีความเป็ นอยูอ่ ยา่ ง สงบสุข
๓ ปัจจุบนั กลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบี่มีปัญหาเหมือนชาวเลเผา่ อื่น ๆ ในประเทศไทยท่ี ไดร้ ับผลกระทบจากการพฒั นาสมยั ใหม่ การขยายตวั ของเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ การขยายตวั ของอาํ นาจรัฐ และธุรกิจท่องเที่ยวอนั ทาํ ให้ระบบเศรษฐกิจแบบยงั ชีพภายในชุมชนเปล่ียนไปเป็ นระบบการผลิตเพื่อ การคา้ ทาํ ให้สังคม เศรษฐกิจ และวฒั นธรรมเปล่ียนแปลง เกิดอาชีพท่ีหลากหลายในชุมชน เช่น อาชีพ รับจา้ งทาํ งานในรีสอร์ท อาชีพนายหนา้ ดา้ นการเมืองการปกครอง ชาวเลมีส่วนร่วมในการพฒั นาหมู่บา้ น มากข้ึน หนา้ ท่ีของผนู้ าํ ชุมชนในอดีตคือ \"โต๊ะหมอ\" ถูกลดบทบาทลง มีการรับเอาวฒั นธรรมภายนอกเขา้ มาปฏิบตั ิ วฒั นธรรมประเพณีบางอยา่ งคนในชุมชนเขา้ ร่วมนอ้ ยลง แตด่ ว้ ยพ้ืนฐานความเป็นกลุ่มชาติพนั ธุ์ ท่ีมีบรรพบุรุษร่วมกนั ความเป็นเครือญาติในชุมชน ทาํ ใหช้ าวเลรักษาอตั ลกั ษณ์ทางชาติพนั ธุ์ผา่ นความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม ภาษา และวิถีการดาํ รงชีวิตไม่เขม้ ขน้ เหมือนในอดีต (เยาวลกั ษณ์ ศรีสุกใส ๒๕๔๕: บทคดั ยอ่ ) จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเล ท่ีเป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์ด้ังเดิม มีวิถีชีวิต วฒั นธรรมที่เป็นอตั ลกั ษณ์ กาํ ลงั ประสบปัญหาจากหลายปัจจยั ท่ีเส่ียงต่อการสูญหาย จึงเป็ นสาเหตุหลกั ใน การเก็บรวบรวมขอ้ มูลประวตั ิความเป็ นมาของกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบี่ ท่ีต้งั แหล่งที่อยูอ่ าศยั พ้นื ที่ทาํ กิน พ้ืนที่ทางจิตวญิ ญาณ จาํ นวนประชากร ภาษา วฒั นธรรม ประเพณี เทศกาล พิธีกรรม คติความ เชื่อตาํ นาน ศิลปะการแสดง ศิลปิ น ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น การละเล่น วถิ ีชีวติ ท่ีอยอู่ าศยั การแต่งกาย การรักษา โรค อาหาร การประกอบอาชีพ และสภาพปัญหาอุปสรรคในแต่ละพ้ืนท่ี อันจะเป็ นประโยชน์ต่อ การศึกษาและสืบคน้ ทางวิชาการต่อไป หน่วยงานราชการและเอกชนสามารถใชผ้ ลการศึกษาเป็ นขอ้ มูล ประกอบการพฒั นาคุณภาพชีวิตของชาวเลให้สอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั สภาพปัญหาและวิถีชีวิตใน ปัจจุบนั เป็ นประโยชน์ในทางวิชาการที่จะใช้เป็ นเอกสารอา้ งอิงและเป็ นแนวทางในศึกษาเรื่องทาํ นอง เดียวกนั หรือในประเด็นอื่นกบั กลุ่มชาติพนั ธุ์อื่น ๆ ต่อไป :
๔ บทที่ ๒ เอกสำรและงำนวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง ประวตั คิ วำมเป็ นมำของชำวเล นกั วชิ าการหลายคนไดศ้ ึกษาเก่ียวกบั ชาวเลไว้ ซ่ึงพอจะประมวลไดด้ งั น้ี ชำติพนั ธ์ุ ชาวเลเป็นชื่อเรียกของกลุ่มชาติพนั ธุ์กลุ่มหน่ึง ซ่ึงเป็นกลุ่มชนพ้นื เมืองด้งั เดิมของชาติมลายู ท่ีหลงเหลืออยู่ ชาวมลายเู รียกชาวเลวา่ “โอรัง ละอุต” แปลวา่ “คนทะเล” (ราชบณั ฑิตยสถาน. ๒๕๑๒ : ๖๒๒๕) ชนกลุ่มน้ีมีวฒั นธรรม ภาษาพูดและประเพณีเป็นของตนเอง มีความเป็นอยเู่ รียบง่าย ชีวติ ผกู พนั กบั ทะเล มีความรักพวกพอ้ ง อาศยั รวมกลุ่มอยูด่ ว้ ยกนั ยดึ ถือวฒั นธรรมประเพณีของกลุ่ม มี ความถนดั ในการประกอบอาชีพประมง ชาวเลในประเทศไทยอาศยั อยบู่ ริเวณชายหาดเกาะ หรือ ตามแนวชายฝั่งทะเลฝั่งตะวนั ตกทางภาคใต้ บริเวณทะเลอนั ดามนั นอกจากในประเทศไทยแลว้ ยงั มีชาวเลอาศยั อยใู่ นประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และพมา่ ประทีป ชุมพล (๒๕๒๔ : ๒๔) อุทยั หิรัญโต (๒๕๑๖ : ๔๗ - ๕๐) และประเทือง เครือ หงส์ (๒๕๓๙: ๕๒) กล่าวถึงเผา่ พนั ธุ์ของชาวเลสอดคลอ้ งกนั สรุปไดว้ า่ ชาวเลมีลกั ษณะคลา้ ยมอง โกล มีส่วนสูงใกลเ้ คียงกบั คนไทย ผวิ กร้านดาํ มีส่วนคลา้ ยคลึงกบั ชาวมลายมู าก สนั นิษฐานวา่ ชาวเลเป็นเช้ือชาติมองโกลเช่นเดียวกบั พวกอินเดียแดง จีน พมา่ ไทย มลายู อินโดนีเซีย และซา ไก ในทางชาติพนั ธุ์วทิ ยาชาวเลจดั อยใู่ นกลุ่มพวกเมเลนีเซี่ยนซ่ึงมีถิ่นฐานอยใู่ นแถบหมู่เกาะทะเล ใตข้ องมหาสมุทรแปซิฟิ ก เรียกชาวเลวา่ ซียปิ ซี (SEA GYPSY) เนื่องจากเป็นพวกที่อพยพเร่ร่อน ทาํ มาหากินไมเ่ ป็นหลกั แหล่ง มีการอพยพเคลื่อนยา้ ยโดยอาศยั เรือเป็ นพาหนะไม่มีถ่ินท่ีอยอู่ าศยั เป็ นของตนเองแน่นอน ฉนั ทสั ทองช่วย (๒๕๒๘ : ๒๕๕) กล่าวถึงชาวเล สรุปไดว้ า่ ชาวเลเรียกตนเองวา่ โมเคน็ (Moken) หรือเมาเค็น (MAWKEN) สิงคโปร์เรียกโอรังเลาต์ (ORANG LAUT) หรือรายตั (RAYAT) หรือยูรู (YURU) ในสุมาตราเรียกรายตั (RAYAT) หรือ กวั ลา (KUALA) ชาวพมา่ เรียกวา่ เซลงั (SELANG)เซลอง (SELONG) หรือเซลอน (SELON) และในขอ้ เขียนของย.ี อี. เยรินี (ย.ี อี.เยรินี ๒๕๓๓ : ๕) เรียกวา่ ชาวน้าํ
๕ เจน จรจดั (๒๕๒๕ : ๔๗ - ๔๘) กล่าวถึงชาวเลท่ีเกาะบอร์เนียว เรียกวา่ ดยคั ทะเล (SEA DYAK) เดวดิ โฮเกน ( David Hogan ๑๙๗๐ : ๒๐๕ – ๒๓๕) กล่าวถึงประวตั ิความเป็นมาของ ชาวเล สรุปไดว้ า่ ชาวเลเป็นเผา่ พนั ธุ์ที่มีในราวศตวรรษท่ี ๑๗ เรียกวา่ “ Orang Selat” หมายถึง ชนผู้ อาศยั อยตู่ ามช่องแคบ ซ่ึงเป็นพวกเดียวกบั พวกมอเกน็ ในปัจจุบนั เป็ นพวกเร่ร่อนอยใู่ นทะเลตามเกาะ ตา่ งๆ ส่วน ประพนธ์ เรืองณรงค์ (๒๕๑๗ : ๓๒ – ๓๘) กล่าวถึงชาวเลสรุปไดว้ า่ ชาวเลน่าจะเป็นบรรพ บุรุษของชนชาติมลายผู สมกบั ชาติอ่ืน ๆ ในระหวา่ งเกาะชวา เกาะสุมาตรา ส่วนอีกขอ้ สันนิษฐานหน่ึง กล่าววา่ ชาวเลน่าจะอพยพมาจากบริเวณประเทศมาเลเซีย จากการศึกษาประวตั ิความเป็ นมาของ ชาวเล โดยอาศยั การเปรียบเทียบรูปร่าง ลกั ษณะทางกายภาพ เพอื่ ต้งั ขอ้ สันนิษฐาน เก่ียวกบั เช้ือชาติชาวเล ถูกจดั ใหอ้ ยใู่ นกลุ่มมาลาโย-โปลีนีเซียน หรือกลุ่มชนพวกเมลานีเซียน (ประสิทธ์ิ เอ้ือตระกูลวทิ ย์ ๒๕๓๔ : ๑๙ – ๒๐) นฤมล อรุโณทยั และคณะ. (๒๕๕๗ : ๒๗) กล่าวถึงชาวเล สรุปไดว้ า่ ชาวเล หมายถึง กลุ่ม ชาติพนั ธุ์หรือชนพ้นื เมืองที่มีภาษาและวฒั นธรรมเฉพาะที่ผกู พนั กบั ทะเลและวถิ ีชีวติ ชายฝั่ง ทศั นะของนกั วชิ าการดงั กล่าว สรุปไดว้ า่ ชาวเล หมายถึงกลุ่มชาติพนั ธุ์หรือชนพ้นื เมือง ด้งั เดิมท่ีอาศยั อยตู่ ามริมฝ่ังทะเลและหมู่เกาะต่าง ๆ มีวฒั นธรรมและภาษาเฉพาะของตนเอง มีวถิ ีชีวติ ที่ ผกู พนั กบั ทอ้ งทะเล ชำวเลในประเทศไทยแบ่งออกเป็ นกลุ่ม ไดด้ งั น้ี อาภรณ์ อุกฤษณ์ (๒๕๓๒ : ๑๕ – ๑๖) แบ่งกลุ่มชาวเลในประเทศไทยออกเป็น ๒ กลุ่ม ตามแนวคติชนวทิ ยา โดยอาศยั ตาํ นานและคาํ บอกเล่าของชาวเลเป็นหลกั ดงั น้ี ๑.ชาวเลกลุ่มมอแกน (Moken) แบง่ เป็น ๒ กลุ่มยอ่ ย ไดแ้ ก่ ๑.๑ มอแกนปูเลา (MokenPulau) หมายถึง มอแกนเกาะหรือท่ีเรียกกนั วา่ สิงห์ทะเล ๑.๒ มอแกนตามบั (Mokentamub) หมายถึง มอแกนบกหรือท่ีเรียกกนั วา่ มอแกนข ละ หรือสิงห์บก มอแกนท้งั สองกลุ่มน้ี ใชภ้ าษามอแกนเป็นภาษาพูด โดยมีภาษามอแกนปูเลาเป็ น ภาษากลาง ส่วนภาษามอแกนตามบั เป็นภาษาทอ้ งถ่ิน ๒.ชาวเลกลุ่มอูรักลาโวย้ (Urak Lawoi) ชาวเลกลุ่มน้ีใชภ้ าษาอูรักลาโวย้ เป็ นภาษาพดู ไม่มี ภาษาเขียน นฤมล อรุโณทยั และคณะ (๒๕๕๗ : ๒๙) ไดแ้ บ่งกลุ่มชาวเลในเมืองไทยไว้ ๓ กลุ่ม ดงั น้ี
๖ ๑. อูรักลาโวย้ (Urak Lawoi) ๒. มอแกลน (Moklen) ๓. มอแกน (Moken) อภินนั ท์ บวั หภกั ดี (๒๕๓๑ : ๙๒ - ๑๐๕) กล่าวถึงชาวเลในประเทศไทย สรุปไดว้ า่ ชาวเลแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ ๆ ดงั น้ี กลุ่มอุรังลาโวย้ หรืออูรัก ลาโวย้ ๒. กลุ่มมอเกลน็ ๓. กลุ่มมอ แกน (มอเก็น) สิง มาซิง หรือมาซิง ประพนธ์ เรืองณรงค์ (๒๕๑๗ : ๓๒ – ๓๘) กล่าวถึงชาวเลสรุปไดว้ า่ แบ่งออกเป็ น ๓ พวก ไดแ้ ก่ พวกมะละกา พวกลิงคา และพวกมาซิงหรือพวกสิงห์ ทศั นะของนกั วชิ าการดงั กล่าว สรุปไดว้ า่ ชาวเลแบง่ ออกได้ เป็น ๓ กลุ่ม ดงั น้ี กลุ่มอูรักลาโวย้ กลุ่มมอแกน และกลุ่มมอแกลน ชำวเลกล่มุ อูรักลำโว้ย เป็นกลุ่มชาติพนั ธุ์ที่อพยพโยกยา้ ยบ่อย เปล่ียนถิ่นที่อยไู่ ปเร่ือย ๆ จากเกาะในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เร่ือยมาจนถึงเมืองไทย เดิมชาวอูรักลาโวย้ อาศยั อยใู่ นทะเล ดาํ รงชีวติ ดว้ ยการหาปลาตามเกาะ แก่งตา่ ง ๆ มีนิสัยกลวั คนแปลกหนา้ “อูรักลาโวย้ ” มีรากศพั ทจ์ ากภาษามลายู แปลวา่ “ คนทะเล” ภาษา ราชการไทยเรียกวา่ “ชาวไทยใหม่” นฤมล ขนุ วชี ่วย และมานะ ขนุ วชี ่วย (๒๕๕๓ : ๑๒) กล่าวถึงความเป็นมาของชาวเลอูรัก ลาโวย้ สรุปไดว้ า่ อูรักลาโวย้ เป็นเผา่ พนั ธุ์ด้งั เดิมกลุ่มหน่ึงของคาบสมุทรอนั ดามนั เดิมอาศยั อยแู่ ถบช่อง แคบมะละกา ประเทศมาเลเซีย ตอ่ มาบรรพบุรุษไดอ้ พยพมาสร้างหลกั ปักฐานทีเกาะลนั ตา ชาวอูรักลาโวย้ เรียกเกาะน้ีวา่ ปาตยั ซาตกั หรือปูเลาตอขา้ หมายถึง เกาะที่มีหาดทรายเป็ นแนวยาว และเกาะน้ีเหมาะแก่ การหลบลมมรสุม ตอ่ มาชาวเลไดอ้ พยพไปต้งั ถ่ินฐานในที่อ่ืน ๆ เช่น เกาะจาํ เกาะพพี ี เกาะสิเหร่ หาดรา ไวย์ เกาะอาดงั และเกาะลิเป๊ ะ ชาวเลจึงถือวา่ เกาะลนั ตาคือเมืองหลวงที่เป็นศูนยก์ ลางของชาวเลอูรักลา โวย้ จากการศึกษาของนกั วชิ าการหลายท่านเก่ียวกบั แหล่งท่ีมาและเช้ือชาติของชาวเล สนั นิษฐานวา่ ชาวเลอูรักลาโวย้ น่าจะมีความเก่ียวพนั กบั ดินแดนแถบประเทศมาเลเซีย ซ่ึงเป็นถ่ินกาํ เนิด ของบรรพบุรุษชาวเลหรือเป็ นดินแดนส่วนหน่ึงของเส้นทางการอพยพของชาวเล เพราะจากความเชื่อของ
๗ กลุ่มชาวเลมีตาํ นานและคาํ บอกเล่า โดยเฉพาะตาํ นานเทือกเขา “ฆูนุงฌึรัย” ซ่ึงชาวเลอูรักลาโวย้ ถือวา่ เป็นดินแดนศกั ด์ิสิทธ์ิท่ีบรรพบุรุษอาศยั อยู่ คือ ภูเขาเคดาห์ในรัฐไทรบุรี ประเทศมาเลเซีย ทต่ี ้งั แหล่งทอ่ี ย่อู ำศัย กนก ชูลกั ษณ์ (๒๕๓๑ : ๘๒ – ๘๘) กล่าวถึงการต้งั หลกั แหล่งของชาวเลในภาคใต้ ของประเทศไทย สรุปไดว้ า่ ชาวเลเขา้ มาต้งั หลกั แหล่งตามชายฝ่ังทะเล และหมูเ่ กาะต่าง ๆ ของฝ่ัง ทะเลตะวนั ตกเม่ือใดน้นั ไม่มีหลกั ฐานที่แน่ชดั รู้เพยี งวา่ ชาวเลเขา้ มาอยใู่ นประเทศไทยเป็นเวลามากกวา่ ร้อยปี สันนิษฐานจากหลกั ฐานท่ียงั เหลืออยใู่ นปัจจุบนั คือ สถานท่ีตา่ ง ๆ ท่ีชาวเลอาศยั และเคยอาศยั เรียกเป็นภาษาชาวเลเกือบท้งั สิ้น จึงสนั นิษฐานวา่ ชาวเลน่าจะเป็นคนพ้นื เมืองด้งั เดิมของเกาะ เขมชาติ เทพไชย และวสิ ิฎฐ์ มะยะเฉียว (๒๕๒๘ : ๕๔ – ๖๓) กล่าวถึงการกระจาย ตวั ของชาวเลในภาคใต้ สรุปไดว้ า่ จงั หวดั ภูเก็ตในเขตอาํ เภอเมืองภูเกต็ มีกลุ่มชาวเลท่ีบา้ นราไวย์ เป็ น ชาวเลกลุ่มอูรักลาโวย้ (UrakLawoi) และกลุ่มสิงห์หรือมาซิงหรือมอเก็น (มอแกน) เกาะสิเหร่ หรือ แหลมตุก๊ แก และสะปํ า เป็นชาวเลกลุ่มอูรักลาโวย้ ในเขตอาํ เภอถลาง ที่บา้ นเหนือ (บา้ นหินลูกเดียว) และบา้ นแหลมหลา (ท่าฉตั รไชย) เป็นชาวเลกลุ่มมอเกล็น จงั หวดั กระบ่ีมีกลุ่มชาวเลที่เกาะพีพี เกาะลนั ตา ซ่ึงมีชุมชนชาวเลกระจายอยตู่ ามบริเวณตา่ งๆ ไดแ้ ก่ บา้ นศาลาด่าน บา้ นคลองดาว บา้ นในไร่ บา้ น หวั แหลม และบา้ นสังกะอู้ ส่วนจงั หวดั พงั งา มีกลุ่มชาวเลที่ หมูเ่ กาะพระทอง เกาะยา่ นเชือก หมู่ เกาะสุรินทร์ ในอาํ เภอคุระบุรี บา้ นน้าํ เคม็ บา้ นบางขยะ และบา้ นบางสัก ในอาํ เภอตะกว่ั ป่ า บา้ นลาํ ปี ในอาํ เภอทา้ ยเหมือง เป็นชาวเลกลุ่มมอเกลน็ (Moklen) ในจงั หวดั ระนองมีชาวเลอาศยั อยทู่ ่ี เกาะสินไห่ เกาะลูกลดั และเกาะเหลา เป็นชาวเลกลุ่มมอเก็น (Moken) ส่วนจงั หวดั สตูล มีชาวเลอาศยั อยทู่ ่ี ๒ เกาะ หลกั คือ เกาะลิเป๊ ะ และหมู่เกาะบุโหลน พืน้ ทที่ ำกนิ แหล่งทาํ กินของชาวเลอูรักลาโวย้ ไดแ้ ก่ ทอ้ งทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ และหนา้ หาด (มูลนิธิชุมชน ไทย ๒๕๕๕ : ๑๙) สอดคลอ้ งกบั นฤมล อรุโณทยั พลาเดช ณ ป้อมเพชร และจิระวรรณ์ บรรเทาทุกข์ (๒๕๔๙ : ๒) ท่ีกล่าววา่ ชาวเลเดินทางไปทาํ กินตามเกาะและชายฝ่ังทะเล เคลื่อนยา้ ยบอ่ ยคร้ัง จึงมีแหล่งท่ี พกั ชวั่ คราว เรียกวา่ “บาฆดั ” พืน้ ทท่ี ำงจิตวิญญำณ ชาวเลอูรักลาโวย้ ราไวย์ จะมีบาลยั หรือหลาโตะ๊ ซ่ึงเปรียบเสมือนศาลเพยี งตา ที่ใชส้ กั การะ สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิของชุมชน คือ โตะ๊ แดง (อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร ๒๕๖๒ : ๔๖) สอดคลอ้ งกบั นฤมล อรุโณทยั
๘ พลาเดช ณ ป้อมเพชร และจีราวรรณ์ บรรเทาทุกข์ (๒๕๔๙ : ๕๘) กล่าวถึงสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิที่ปกป้องคุม้ ครอง ชุมชนแหลมตุก๊ แก คือ โตะ๊ ตาม่ีและโตะ๊ ปิ ราห์ ท่ีมีศาลอยบู่ นเนินขา้ งหมูบ่ า้ น ส่วนชาวเลบา้ นสะปํ า จะมี หลาโตะ๊ ปิ ราห์ โตะ๊ ตูงง โตะ๊ ตามี่ โตะ๊ อีตาํ โตะ๊ จีตาบูมี โตะ๊ สิตีอาวา โตะ๊ ซีบูมา เป็นพ้นื ท่ีทางจิตวญิ ญาณ (พวงผกา เชาวน์ไวย์ ๒๕๕๙ : ๒๑) ชุมชนชาวเลบา้ นในไร่ จะมีศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว เป็ นพ้ืนท่ีประกอบ พธิ ีกรรม และบา้ นหวั แหลม พ้ืนท่ีประกอบพธิ ีกรรมจะอยทู่ ี่บา้ นหวั แหลมกลาง (นฤมล ขนุ ชูช่วย และวรี ะ ขนุ ชูช่วย ๒๕๕๓ : ๕๑) ส่วนชาวเลที่เกาะหลีเป๊ ะ จะมีศาลเจา้ โตะ๊ ฆีรี ต้งั อยบู่ ริเวณหวั เกาะ (พิไลวรรณ ประฤติ ๒๕๕๘ : ๑๐๓) และพ้นื ที่สุสาน (ฌีไร้) กเ็ ป็ นพ้ืนท่ีทางจิตวิญญาณท่ีมีความสาํ คญั มากของชาวเล เช่นเดียวกนั ประชำกร ชาวเลบา้ นราไวย์ มีประชากร ๙๐๐ คน ชาวเลบา้ นแหลมตุก๊ แก มีจาํ นวนประชากร ๓,๐๖๔ คน ชาวเลบา้ นสะปํ ามีประชากร ๒๓๗ คน รวมชาวเลอูรักลาโวย้ ในจงั หวดั ภูเก็ต ๓,๒๐๑ คน (จารุวฒั น์ นวล ใย ๒๕๖๔:๒๘) จงั หวดั กระบ่ี มีจาํ นวนประชากร ๑,๔๙๑ คน (สาํ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั กระบี่ ๒๕๖๓ : ๑๑) และชาวเลสตูล ๓ ชุมชน มีจาํ นวน ๑,๓๕๕ คน (มูลนิธิชุมชนไทย ๒๕๖๓ : งานนาํ เสนอ) ภำษำ ฉนั ทสั ทองช่วย (๒๕๒๘ : ๒๕๘) ใหข้ อ้ สรุปในดา้ นภาษาวา่ ชาวเล เป็นชาติพนั ธุ์ที่มีภาษาพูด แต่ไมม่ ีภาษาเขียน ภาษาชาวเลเป็นภาษาหน่ึงในภาษาตระกลู ออสโตรนีเซียน (Austronesian) หรือ ภาษามลาโย-โปลีเนเซียน(Malayo - Polynesian) ซ่ึงมีพวกชวา บาหลี มาดูรีส มกั กะสนั บูกสั ตามเกาะตา่ ง ๆ ใช้ ภาษาของชาวเลมีสาํ เนียงคลา้ ยภาษามลายแู ละอินโดนีเซีย คาํ พดู บางคาํ คลา้ ยภาษามลายู ภาษาที่ใช้ พูดกม็ ีคาํ ศพั ทน์ อ้ ย เป็นคาํ ศพั ทท์ ี่สร้างข้ึนมาเพอื่ ใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั และอาชีพการงาน ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั อาภรณ์ อุกฤษณ์ (๒๕๓๑ : ๑๗ ) ท่ีกล่าวถึงภาษาชาวเล สรุปไดว้ า่ ชาวเลไม่มีการจดบนั ทึก การถ่ายทอด เรื่องราวเก่ียวกบั บรรพบุรุษใหล้ ูกหลานรับรู้จึงใชน้ ิทาน หรือตาํ นานโดยเล่าจากปากต่อปาก ตวั อยา่ งคาํ ในภาษาอูรักลาโวย้ เช่น เกอตบั แปลวา่ ปู, อีกดั แปลวา่ ปลา, กากี แปลวา่ เทา้ , บูบูอ้ ีกดั แปลวา่ ไซดกั ปลา, บางา แปลวา่ หมอ้ , บีตกั แปลวา่ ดาว, ซรัย แปลวา่ ตะไคร้ เป็นตน้ วฒั นธรรม ชาวเลอูรักลาโวย้ มีสงั คม วฒั นธรรม ไดแ้ ก่ การแต่งกาย ประเพณี เทศกาล พิธีกรรม คติ ความเช่ือตาํ นาน ศิลปะการแสดง ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น การละเล่น วถิ ีชีวติ การประกอบอาหารทอ้ งถิ่น สรุป ไดด้ งั น้ี
๙ เขมชาติ เทพไชย พลู ศรี รัตนหิรัญ และรวยรื่น รัตนพงศ์ (๒๕๒๙ : ๙๖๓ – ๙๗๓) กล่าวถึงสังคมและวฒั นธรรมของชาวเล สรุปไดว้ า่ - ความสมั พนั ธ์กบั สังคมภายนอก ชาวเลติดต่อสัมพนั ธ์กบั สังคมภายนอกมานาน โดย การแลกเปล่ียนสินคา้ และอาหาร และชาวเลหลายกลุ่มมีการแต่งงานกบั คนในทอ้ งถ่ิน ในชุมชนของ ชาวเลทุกกลุ่มจะมีผูน้ ําในชุมชนเพ่ือคอยประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ เช่น ผูใ้ หญ่บา้ น ผูช้ ่วย ผูใ้ หญ่บา้ น กรรมการหมู่บา้ น สมาชิก อบต. เป็ นตน้ และมีผูน้ าํ ตามธรรมชาติ คือ “โต๊ะ” หรือหมอ น้าํ มนตป์ ระจาํ ชุมชน ซ่ึงมีหนา้ ที่ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และมีบทบาทในการรักษาพยาบาล กลุ่มท่ีมี อิทธิพลต่อความเป็นอยขู่ องชาวเล อีกกลุ่มคือ กลุ่มนายทุน เจา้ ของที่ดิน และพอ่ คา้ - ความสมั พนั ธ์ในครอบครัว สามีและภรรยาจะช่วยเหลือกนั ภรรยาจะเป็นผดู้ ูแลเงินท้งั หมด ท่ีสามีหามาไดแ้ ละจะเป็นผตู้ ดั สินใจในการใชจ้ ่ายเงินของครอบครัว สังคมชาวเลจะให้ความเคารพพ่อแม่ ป่ ูยา่ ตายาย และญาติผใู้ หญ่ เพือ่ นบา้ นจะอยกู่ นั เหมือนเครื่อญาติ มีความผกู พนั ฉนั ทญ์ าติ (นฤมล ขนุ วชี ่วย และมานะ ขนุ วชี ่วย (๒๕๕๓ : ๕๓) ประเพณี - ประเพณลี อยเรือ ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ “ปื อลาจ้กั ” เป็ นงานประเพณีประจาํ ปี ท่ีสาํ คญั ท่ีสุดของชาวอูรักลาโวย้ จดั ข้ึนในช่วงคืนวนั เพญ็ เดือน ๖ และเดือน ๑๑ ของทุกปี ซ่ึงเป็นช่วงเปลี่ยนผา่ น ของฤดูกาล พิธีลอยเรือมีระยะเวลา ๓ วนั ๓ คืน เพ่อื ขจดั ปัดเป่ าส่ิงชวั่ ร้ายในครอบครัวและชุมชน รายละเอียดของพธิ ีในแต่ละชุมชนจะแตกตา่ งกนั บา้ ง บางชุมชนไม่มีพธิ ีลอยเรือแต่มีพิธีอ่ืน เช่น ท่ีหาดรา ไวย์ จงั หวดั ภูเก็ต มีพิธีอาบน้าํ มนต์ เป็ นตน้ - ประเพณอี ำบนำ้ มนต์ หมู่บา้ นชาวเลราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเกต็ จดั ข้ึนในช่วงเวลาเดียวกบั ประเพณีลอย เช่ือกนั วา่ จะช่วยชาํ ระส่ิงที่ไม่ดีใหห้ ลุดพน้ ไปจากตวั เอง ครอบครัว และชุมชน - ประเพณีแต่งงำน ชาวเลนิยมแตง่ งาน เมื่ออายยุ งั นอ้ ย หนุ่มสาวจะมีอิสระในการเลือกคู่ การใชช้ ีวติ คูอ่ ยใู่ นลกั ษณะผวั เดียวเมียเดียว การหยา่ ร้างจะมีนอ้ ยมาก ชาวเลนิยมแต่งงานกบั คนในกลุ่ม เดียวกนั หรือแตง่ งานกบั ชาวเลตา่ งถ่ินที่บรรพบุรุษเป็ นญาติกนั หรือเคยอาศยั อยดู่ ว้ ยกนั มาก่อน(นฤมล ขนุ วี ช่วย และมานะ ขนุ วชี ่วย (๒๕๕๓ : ๕๓) ส่วนนฤมล อรุโณทยั และคณะ (๒๕๕๗ : ๒๒๗ – ๒๒๘ ) กล่าวถึง ประเพณีแต่งงานของชาวอูรักลาโวย้ ไวว้ า่ เมื่อชายหญิงชอบพอกนั และตดั สินใจที่จะใชช้ ีวติ อยู่ ร่วมกนั พอ่ แม่ฝ่ ายชายก็ไปสู่ขอฝ่ ายหญิง และตกลงเร่ืองสินสอด ในแต่งงานเจา้ บา่ วจะนาํ สินสอดท่ีไดต้ กลง กนั ไว้ เช่น ธนบตั ร และเหรียญ สร้อย แหวนทอง เป็ นตน้ -ประเพณงี ำนศพ เมื่อมีคนตาย ชาวเลทุกครอบครัวจะส่งตวั แทนไปบา้ นคนตาย นาํ ขา้ วสาร น้าํ ตาล หรือส่ิงของอื่น ๆ มาช่วยเจา้ ภาพ ส่วนศพจะฝังในวนั ที่ตาย ถา้ ไม่ทนั ก็เก็บไว้ ๑ คืน ก่อนนาํ
๑๐ ร่างใส่โลงจะอาบน้าํ ผตู้ ายโดยเพศเดียวกนั ช่วงกลางคืนจะมีการเฝ้าศพ ดว้ ยการก่อกองไฟหรือจุดตะเกียงไว้ หนา้ ศพและตอ้ งไม่ใหแ้ สงไฟดบั รุ่งข้ึนจึงแห่ศพเพ่ือนาํ ไปฝัง บริเวณที่ฝังจะปลูกตน้ มะพร้าวเป็นสญั ลกั ษณ์ (อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร ๒๕๖๒ : ๔๔ – ๔๕) -ประเพณปี ื อตดั ฌีไร้ เป็นการตกแตง่ หลุมศพหรือเปรว และทาํ ความสะอาดหลุมฝังศพ ใน วนั ขา้ งข้ึน เดือน ๕ ช่วงเวลาใกลเ้ คียงกบั เทศกาลเชงเมง้ ของธรรมเนียมจีน (อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร ๒๕๖๒ : ๔๕ – ๔๖) -ประเพณีทำบุญเดือนสิบ ชาวเลชุมชนบา้ นสะปํ า อาํ เภอเมือง จงั หวดั ภูเก็ต จะเดินทางไปขอ ขา้ วสารจากพ่ีนอ้ งชาวเลที่จงั หวดั พงั งา เพื่อเอาขา้ วสารน้นั มาไหวใ้ นทะเล เป็นการทาํ บุญใหบ้ รรพบุรุษให้ มารับส่วนบุญ (พวงผกา เชาวนไ์ วย์ ๒๕๕๙: ๒๔) -ประเพณกี นิ ข้ำวกลำงบ้ำน จดั ข้ึนในวนั ๑๓ ค่าํ เดือนปี ของทุกปี เพ่ือเป็นการทาํ บุญใหเ้ จา้ ที่ เจา้ ทางท้งั บนบกและในทะเล โดยชาวบา้ นจะนาํ อาหารมารับประทานร่วมกนั กลางหมู่บา้ นและเผาใบไม้ เพอื่ สะเดาะเคราะห์ (จารุวฒั น์ นวลใย ๒๕๖๔ : ๑๖) พธิ ีกรรม ชาวเลมีพธิ ีกรรมที่เก่ียวขอ้ งกบั ชีวติ ประจาํ วนั ดงั ตอ่ ไปน้ี กำรเกดิ คนทอ้ งตอ้ งไปฝากครรภก์ บั หมอตาํ แย โดยนาํ หมาก ๓ คาํ พลู ๓ – ๕ ใบ และ เงินไม่จาํ กดั จาํ นวนใหก้ บั หมอตาํ แย ชาวเลจะนิยมคลอดลูกท่ีบา้ นก่อนคลอดชาวเลจะนาํ ขา้ วสาร ๑ กระป๋ องเล็ก ดา้ ยดิบ ๑ไจ เทียน ๑ เล่ม หมาก ๕ คาํ พลู ๕ ใบ และนาํ เงินแลว้ แต่จะให้ โดยนาํ ของท้งั หมด ใส่ลงในกระสอบราด มอบใหห้ มอตาํ แย หลงั จากคลอดเด็กแลว้ จะโกนผมไฟเมื่อเด็กมีอายคุ รบ ๑ เดือน กำรกนิ ข้ำวล่ำง เป็ นพิธีกรรมที่เชื่อวา่ สามารถป้องกนั โรค หรือสิ่งอปั มงคลได้ จะทาํ ต่อเม่ือ มีเหตุร้ายหรือมีโรคภยั ไขเ้ จบ็ ท่ีเกิดจากหมอประจาํ หมู่บา้ นฝันร้ายวา่ จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงข้ึนในชุมชน มกั จะสอดคลอ้ งกบั การเกิดโรคหรือคนในขมุ ชนลม้ ตาย ซ่ึงเช่ือวา่ เกิดจากมีคนในชุมชนทาํ ผอดผี จึงตอ้ งทาํ พธิ ีขอขมาลาโทษ กำรแก้บน (อูฆยั นียจั ) เมื่อชาวเลไดบ้ นบานหรือพนั ธะสญั ญาไวก้ บั ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ เมื่อสาํ เร็จ ตามท่ีไดบ้ นบานไว้ ก็ตอ้ งทาํ ตามสญั ญา เช่น บนบานวา่ ใหห้ ายป่ วยแลว้ จะไปนอนหาดหรือนอนเกาะ ก็ตอ้ ง ทาํ ตามท่ีไดส้ ญั ญาไว้ การแกบ้ นของชาวเลราไวยจ์ ะทาํ ในเดือนมีนาคม เป็นเวลา ๓ วนั และจะนอนเฉพาะ วนั ข้ึน ๗ – ๘ - ๙ ค่าํ (อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร ๒๕๖๒ : ๔๔) ส่วน พวงผกา เชาวนไ์ วย์ (๒๕๕:๒๗) กล่าวถึง การแกบ้ นของชาวเลบา้ นสะปํ า จงั หวดั ภูเกต็ ไวว้ า่ เป็นการบวงสรวงดว้ ยส่ิงของหรือการละเล่นตามที่บรรพ บุรุษชอบหรือนบั ถือ เช่น ชอบดูรองเงง็ ชอบกินอาหารประเภทไหน การแกบ้ นดว้ ยดนตรีรูเงก เม่ือประสบ ผลสาํ เร็จตามท่ีไดบ้ นบานไว้ พธิ ีกรรมแกบ้ นจะจดั ข้ึนในช่วงข้ึน ๑ ค่าํ ถึง ๓ ค่าํ ของทุกเดือน ไมน่ ิยมจดั
๑๑ ขา้ งแรมเพราะเชื่อวา่ เป็นเดือนดบั ทาํ อะไรไม่เจริญรุ่งเรือง (จารุวฒั น์ นวลใย เฉลิมศกั ด์ิ พกิ ุลศรี และเรวดี อ้ึง โพธ์ิ ๒๕๖๔ : ๒๓) พธิ ีตูละบำหลำ เป็นพธิ ีสะเดาะเคราะห์ของชาวเล ในกรณีที่มีส่ิงไมด่ ี สิ่งชว่ั ร้าย สิ่งร้ายแรง เกิดข้ึนในชุมชน เช่น ในชุมชนมีคนตายมาก พิธีน้ีจะทาํ ในช่วงเดือน ๔ โดยการสร้างเรือกบั หยวกกลว้ ย ตดั ผม ตดั เล็บใส่ไปในเรือ ของเซ่นไหว้ ไดแ้ ก่ ขา้ วเหนียวเหลือง ขา้ วเหนียว (พวงผกา เชาวนไ์ วย์ ๒๕๕๙ : ๒๔) พธิ ีไหว้เรือ ของชาวเลอูรักลาโวย้ บา้ นแหลมตุก๊ แกและบา้ นหาดราไวย์ ช่วงเวลา ๑ - ๑๕ ค่าํ เดือน ๓ พิธีไหวท้ ะเล ช่วงเวลา ๓ – ๑๕ ค่าํ เดือน ๔ (จิรวฒั น์ นวลใย ๒๕๖๔ : ๑๖) คติควำมเชื่อ ชาวเลมีความคติเชื่อในเรื่องต่อไปน้ี - ความสามารถของโตะ๊ หมอในเร่ืองการบาํ บดั รักษาโรคโดยใชว้ ธิ ีการทางไสยศาสตร์ - หา้ มนาํ คาถาอาคมที่ใชใ้ นการประกอบพธิ ีกรรมต่าง ๆ มาท่องเล่น เพราะจะทาํ ใหค้ าถา เส่ือม - ไมก้ างเขนที่ใชใ้ นพธิ ีลอยเรือ ซ่ึงชาวเลเชื่อวา่ ไมก้ างเขนท่ีใชใ้ นพิธีลอยเรือสามารถเป็น กาํ แพงป้องกนั ไม่ใหผ้ ที ่ีลอยไปกบั เรือกลบั มาข้ึนฝั่งไดอ้ ีก - เร่ืองผี ชาวเลเช่ือวา่ ผมี ี ๒ ประเภท คือ “กราโม” ซ่ึงเป็นผที ่ีช่วยคุม้ ครองดูแล และช่วย ใหม้ ีความสงบสุขในชุมชน ส่วน “ปิ ลาเกล” เป็นผญี าติพ่ีนอ้ งที่คอยช่วยเหลือเช่นเดียวกบั กราโม - การเกิดชาวเลเช่ือวา่ ทุกคนเกิดจากน้าํ อสุจิ ถา้ บุคคลภายนอกเรียกวา่ ชาวน้าํ ชาวเลจะไม่ พอใจ ดงั ที่ พวงผกา เชาวนไ์ วย์ (๒๕๕๙ : ๒๕ – ๒๖) กล่าวถึง ความเช่ือเรื่องการเกิดของของชาวเลสะปํ า ไวว้ า่ หญิงชาวเลท่ีต้งั ครรภจ์ ะตอ้ งดูแลตวั เองและปฏิบตั ิตามความเชื่อ เช่น หา้ มเดินเล่นนอกบา้ นหลงั พระ อาทิตยต์ กดิน เพราะผตี ายายจะติดตวั มา ถา้ จาํ เป็นตอ้ งออกไปใหพ้ ามีดไปดว้ ย หา้ มผกู เชือกหวั เรือเพราะเชื่อ วา่ จะทาํ ใหค้ ลอดยาก เป็นตน้ ตำนำน/นิทำน ชาวอูรักลาโวย้ บางกลุ่มมีตาํ นานเทือกเขา “ฆูนุงฌึรัย” ดินแดนศกั ด์ิสิทธ์ิที่ชาวอูรักลาโวย้ ตอ้ งทาํ พธิ ี ลอยเรือไปเซ่นสรวงทุกคร้ังท่ีถึงฤดูมรสุมพดั เปลี่ยนทิศทาง เชื่อกนั วา่ เม่ือ ๕๐๐ – ๖๐๐ ปี ก่อน เคยเป็นที่ต้งั ถ่ินฐานของบรรพบุรุษชาวอูรักลาโวย้ ก่อนท่ีจะอพยพเดินเรือเขา้ สู่น่านน้าํ ประเทศไทย (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๓๒ : ๑๒ – ๑๓) ส่วน จรัส งะ๊ สมนั (๒๕๓๔ : ๖๒) ไดศ้ ึกษานิทานชาวเลจงั หวดั สตูล ผลการศึกษา พบวา่ มีนิทานบางเรื่องกล่าวถึงโจรสลดั เช่น เร่ืองหาดทรายดาํ กล่าวถึงโจรสลดั ปลน้ เรือสาํ เภา ขนขา้ วสาร มาข้ึนฝั่งท่ีเกาะลงั กาวี แต่ถูก “วะลี” (คนศกั ด์ิสิทธ์ิ) สาปขา้ วสารใหเ้ ป็นเมด็ ทรายสีดาํ อยบู่ นหาดของเกาะ
๑๒ แห่งน้ี เรียกวา่ “หาดทรายดาํ ” และ อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร (๒๕๖๒ : ๔๗)ไดศ้ ึกษา วถิ ีชีวติ ชาวเลชุมชนบา้ นรา ไวย์ อาํ เภอเมือง จงั หวดั ภูเกต็ ผลการศึกษาพบวา่ มีนิทานพ้นื บา้ นเรื่อง พะยนู ซ่ึงภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ ดุห ยง หมายถึง หญิงสาวหรือผหู้ ญิงแห่งทอ้ งทะเล มีเรื่องเล่าวา่ มีผหู้ ญิงคนหน่ึงต้งั ครรภ์ แลว้ ตอ้ งการกินหญา้ ทะเลมาก สามีจึงไปหาหญา้ ทะเลมาให้ แตน่ างกินเท่าไหร่กไ็ มอ่ ่ิม นางจึงเดินลงไปในน้าํ เพอื่ หาหญา้ ทะเล กินเอง เมื่อน้าํ ทะเลข้ึนมา นางก็ไดก้ ลายเป็นปลาพะยนู นางจึงบอกกบั สามีวา่ เม่ือไหร่ที่ตอ้ งการพบนาง ให้ ปักเสาไมล้ งไปในทะเลหน่ึงเสา และใหเ้ รียกหานาง นางก็จะมาหาสามีที่เสาไมอ้ นั น้นั ศิลปะกำรแสดง /ศิลปิ น ๘.๑ รองเง็ง หรือชาวเล เรียกวา่ “รูเงก” สยามรัฐ (อนุรักษร์ ากเหงา้ ชาวอูรักลาโวย้ !! “รองเงง็ ชาวเล” สยามรัฐ (siamrath.co.th) ) กล่าวถึงรองเงง็ ไวว้ า่ เป็ นการแสดงท่ีมีเอกลกั ษณ์โดดเด่นและมี ลกั ษณะเฉพาะพ้ืนที่ ชาวเลในจงั หวดั สตูล ภูเกต็ และกระบี่ ใชภ้ าษามลายขู บั ร้องเน้ือหาเก่ียวกบั สภาพแวดลอ้ มของผคู้ นบนเกาะ ส่วน สาวติ ร์ พงศว์ ชั ร์ (๒๕๓๗,บทคดั ยอ่ ) กล่าวถึงการราํ รองเง็งไวว้ า่ ท่า ราํ ของชาวเลคงไดแ้ รงบนั ดาลใจจากการเคลื่อนไหวของสัตวท์ ะเลและไดร้ ูปแบบจากการรํารองเง็งที่นิยมใน ภาคใต้ รองเง็งมีเพลงหลกั ๕ เพลง คือ ลากดู ูวอ สะ ปาอีตู้ เมาะอินงั เจะ๊ ชูโล่ง อายมั ดีเตะ๊ นฤมล อรุโณทยั และคณะ (๒๕๕๗ : ๒๑๙) กล่าวถึงเครื่องดนตรีของรองเง็งประกอบดว้ ย ซอ (ไวโอลิน) ราํ มะนา ฉิ่ง กรับ กลอง และฆอ้ ง นิยมแสดงในงานลอยเรือ ๘.๒. ฆาโญกหรือรํามวยกาหยง เป็นศิลปะการป้องกนั ตวั ดว้ ยมือเปล่าและเทา้ ซ่ึงสืบทอด มาจากวฒั นธรรมมลายู แสดงในโอกาสตา่ งๆ ไดแ้ ก่ พิธีไหวค้ รูบูชาครู พธิ ีการแกบ้ น มีเครื่องดนตรี ประกอบ คือ ปี่ กาหยง กลองทน โหมง่ ไมแ้ กระ ๘.๓. การแสดงบรานา หรือดนตรีบรานา (ราํ มะนา) ใชป้ ระกอบพิธีกรรมและเพอ่ื ความ บนั เทิงในงานลอยเรือและพธิ ีทาํ น้าํ มนต์ ภูมิปัญญำท้องถ่นิ อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร (๒๕๖๒ : ๓๙ - ๔๑) ไดศ้ ึกษาวถิ ีชีวติ ชาวเลชุมชนบา้ นราไวย์ อาํ เภอ เมือง จงั หวดั ภูเก็ต ผลการศึกษา พบวา่ ชาวเลราไวยม์ ีภูมิปัญญาท่ีสมั พนั ธ์กบั วถิ ีชีวติ และใชใ้ นการทาํ มา หากิน ดงั น้ี ๙.๑ การสังเกตกระแสน้าํ เป็ นความชาํ นาญเฉพาะตวั ในช่วงเวลาที่น้าํ ลง ภาษาชาวเล เรียกวา่ ฌาลดั นูอาเยนะมือนีเลฮปี หมายถึง ทิศทางการไหลของกระแสน้าํ ซ่ึงเป็นตวั กาํ หนดปรากฏการณ์ ธรรมชาติหลายอยา่ ง และจะช่วยกาํ หนดพ้นื ท่ีทาํ กิน เช่น ช่วงน้าํ ลงจะดาํ น้าํ ดา้ นหลงั เกาะ (ทิศตะวนั ตก)
๑๓ เพราะกระแสน้าํ ไมเ่ ช่ียว จะไดเ้ ก็บหาของทะเลใตน้ ้าํ และเมื่อถึงช่วงน้าํ ข้ึน ก็จะเปลี่ยนมาดาํ น้าํ ท่ีหนา้ เกาะ (ทิศตะวนั ออก) เพราะกระแสน้าํ จะวนกลบั ๙.๒ กระแสน้าํ เยน็ (อาเยบือแฌะ) น้าํ จะลึกประมาณ ๕ – ๖ เมตร น้าํ จะเยน็ และข่นุ ขน้ ชาวเลจะสงั เกตผวิ น้าํ ดา้ นบน มองเห็นเกลียวคลื่นหนา เป็ นเส้นยาว ช่วงน้ีน้าํ จะข้ึนชา้ กวา่ ปกติ ตอนน้าํ ลง จะลงมากกวา่ ปกติ ทาํ ใหก้ ารมองเห็นตวั ปลา การพรางตวั การดาํ น้าํ ทาํ ไดย้ าก ๙.๓ น้าํ ข้ึน – น้าํ ลง (อาเยปาซกั – อาเยซูโรจ) ชาวเลจะคาํ นวณช่วงเวลาน้าํ ข้ึนลงไดแ้ ม่นยาํ โดยใชว้ ธิ ี อ่านน้าํ จาํ ลม อ่านฟ้าจาํ ดาว (ลีฮจั อาเยจบั ลาเงน ลีฮจั ลาแงะจบั บีตกั ) โดยการดูดวงจนั ทร์ ประกอบ ในรอบ ๑ วนั จะมีน้าํ ข้ึนลง ๒ คร้ัง โดยเฉลี่ยคร้ังละ ๖ ชว่ั โมง โดยแตล่ ะวนั น้าํ จะข้ึนลงชา้ กวา่ กนั วนั ละประมาณ ๕๐ นาที และมีการสังเกตดินบริเวณชายหาด ถา้ ผวิ ดินดา้ นบนแหง้ แสดงวา่ น้าํ ลงนานเป็ น เวลานาน และน้าํ กาํ ลงั จะกลบั ข้ึนมาอีกรอบ หรือสงั เกตจากคราบน้าํ ที่เป็นแอ่งขาว ๆ ท่ีติดอยตู่ ามพ้นื ดิน เม่ือถึงเวลาน้าํ ข้ึน คราบน้าํ จะถูกซดั เขา้ มาก่อน สอดคลอ้ งกบั วไิ ลวรรณ ประพฤติ (๒๕๕๘ : ๑๐๑) ได้ กล่าวถึงภูมิปัญญาของชาวเลเกาะหลีเป๊ ะ เกี่ยวกบั การสงั เกตแหล่งท่ีอยอู่ าศยั ของสัตว์ โดยสังเกตจาก น้าํ เดิน, การบินของนกนางนวลสีดาํ กลางทะเล, กองหินประการัง,สีน้าํ , คล่ืนลม,ยอดคล่ืนสีขาวหวั แตก,ทิศ ทางการวา่ ยน้าํ ของปลา,เสียงนกร้อง ๙.๔ การจกั สานเตยทะเล(ลาํ เจียก) เป็นภาชนะ เช่น สมุก (หมุก, กอตะ้ ) ไวใ้ ส่ใบยาสูบ ใส่ สิ่งของเบด็ เตล็ด ใส่หมากพลู (หมุกหมะ),ใส่เส้ือผา้ และกระสอบเตย เป็นตน้ ลวดลายท่ีปรากฏบน ภาชนะจกั สาน ไดแ้ ก่ ลายสอง ลายสาม และลายลูกแกว้ ส่วนชาวเลเกาะหลีเป๊ ะมีจกั สานหตั กรรม เครื่องมือประมง, เส่ือ, ตะกร้า, ฝาบา้ น และกระดง้ (พิไลวรรณ ประพฤติ ๒๕๕๘ : ๕๕) ๑๐. กำรละเล่น การละเล่นส่วนใหญไ่ ดร้ ับอิทธิพลจากการเรียนในระบบโรงเรียนของรัฐ เช่น การดีด ลูกแกว้ อีมอญซ่อนผา้ แขง่ ตะกร้อ แขง่ จบั ปลา เล่นโดดยาง เล่นฟุตบอลชายหาด เล่นดอกกลอ้ ง และ เล่น ขายขา้ วแกง เป็นตน้ (อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร ๒๕๖๒ : ๓๙ - ๕๒) ๑๑. วถิ ชี ีวติ ชาวเลอูรักลาโวย้ มีวถิ ีชีวติ ดา้ นวฒั นธรรมปัจจยั ๔ อยา่ ง ไดแ้ ก่
๑๔ ๑๑.๑ ทอี่ ย่อู ำศัย ชาวเลอูรักลาโวย้ เกาะหลีเป๊ ะ จะสร้างบา้ นแบบยกพ้นื สูง ตวั เรือนเดี่ยว สร้างดว้ ยวสั ดุ ท่ีหาไดบ้ นเกาะ เช่น ไมไ้ ผ่ มะพร้าว เป็นตน้ (พิไลวรรณ ประเพฤติ ๒๕๕๘ : ๕๔) ส่วน ชาวเลบา้ นสะปํ า สร้างบา้ นโดยปักเสาลงไปในทะเล สูงประมาณ ๓ – ๕ เมตร ใชเ้ สาไมว้ างบนฐานปูน พ้นื บา้ นปูดว้ ยไม้ กระดาน มีประตู หนา้ ตา่ ง ฝาบา้ นก้นั ดว้ ยสงั กะสี ไม้ หรือแผน่ ไมส้ าํ เร็จรูป หลงั คามุงดว้ ยสงั กะสี และ กระเบ้ือง หนา้ บา้ นจะมีชานยน่ื ออกมา บา้ นจะต่อเรียงรายกนั ออกไป โดยมีสะพานไมห้ รือสะพาน คอนกรีตเชื่อมต่อกนั ในแต่ละหลงั (พวงผกา เชาวน์ไวย ๒๕๕๙ : ๑๒) ๑๑.๒ อำหำร อาหารหลกั ของชาวเลอูรักลาโวย้ แหลมตก๊ แก เกาะสิเหร่ อาํ เภอเมือง จงั หวดั ภูเกต็ จะ เป็นอาหารทะเลท่ีหามาไดเ้ องเป็นส่วนใหญ่ อาหารคาวท่ีนิยมรับประทานคูก่ บั ขา้ วสวย ไดแ้ ก่ ฆูลยั อาซบั (แกงส้ม) กือตบั รือบุช, อีกดั รือบุช (ปูตม้ ,ปลาตม้ ), ซูเปา อีกดั บรานา(ห่อหมกปลาหูชา้ ง),แกงกะทิ, กราบู ซี)ย ลูละ(ยาํ หอยนมสาว), กราบู ซีโป้ย กูยอ่ ย (ยาํ ล่ินทะเล), มะนกั ลูกช้ืน อีกดั กะกะ๊ (ทอดมนั ปลาลูกทดั ) อาหารหวาน ไดแ้ ก่ ตือโปก ปี ซ้กั กือปิ (ขนมกลว้ ยทอดหรือกลว้ ยขยาํ ) ตือโปก โล่ย ปูโล่ย (ขนมหวั ลา้ น) (นฤมล อรุโณทยั พลาเดช ณ ป้อมเพชร และ จีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์ ๒๕๔๙ : ๔๕ - ๕๔) ส่วนอาหาร ของชาวเลอูรักลาโวย้ บา้ นราไวย์ อ.เมือง จงั หวดั ภูเก็ต จะนิยมรับประทานขา้ วเป็นอาหารหลกั ส่วนกบั ขา้ ว ส่วนใหญ่กจ็ ะเป็นอาหารทะเลที่หามาได้ เช่น ปลาทอด แกงส้ม ปลาเปร้ียวหวาน มีเน้ือหมู ไก่ และเน้ือววั เป็นบางม้ือ นาํ หมูหรือไก่มาผดั กบั ผกั ตา่ ง ๆ หรือ แกงเผด็ ผดั เผด็ เช่น ผดั เผด็ ปลากระป๋ อง หอยตม้ กินกบั น้าํ พริก เช่น หอยนางรม หอยพง ปูมา้ หรือปูดาํ ก็ตม้ กินเช่นกนั ส่วนแมงวายมีลกั ษณะคลา้ ยปลาหมึก จะ นาํ ไปหนั่ เป็ นชิ้นเลก็ ๆ และนาํ มาตม้ กิน กุง้ นาํ มาตม้ ยาํ ทอดมนั กงุ้ สะตอผดั กะปิ กงุ้ ผกั เหลียงผดั ไข่ ปิ้ ง งบเหลง(ลกั ษณะคลา้ ยกงุ้ (อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร ๒๕๖๒ : ๕๙ – ๖๐) ส่วนชาวเลเกาะหลีเป๊ ะ นิยม รับประทานกลว้ ยตม้ คลุกมะพร้าวเป็นอาหารเชา้ และรับประทานขา้ ว เป็ นหลกั หรือบางม้ือก็ทดแทนกบั เผอื ก มนั (พิไลวรรณ ประพฤติ ๒๕๕๘ : ๕๕) อาหารหวาน ไดแ้ ก่ ขนมหลากา้ เป็นขนมที่ทาํ ดว้ ยแป้งขา้ วเหนียว ป้ันเป็นกอ้ นกลม ๆ ตม้ ใส่น้าํ ขิง ขนมจูจ้ ุน (ขนมฝักบวั ) ขนมแป้งคลา้ ย ๆ ขนมโค.ขา้ งในใส่ไส้มะพร้าว,ขนมสาววา (อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร ๒๕๖๒ : ๖๐) ๑๑.๓ กำรรักษำโรค อรุณรัตน์ สรรเพช็ ร (๒๕๔๑ : ๘๑ – ๘๓) ไดศ้ ึกษาการบาํ บดั รักษาโรคของชาวเลใน จงั หวดั ภูเกต็ ผลการศึกษา พบวา่
๑๕ ๑.ข้นั ก่อนการรักษา แบ่งการปฏิบตั ิออกเป็ น ๖ ข้นั ตอน ดงั น้ี ๑. การวนิ ิจฉยั โรค หมอ จะพดู คุยสอบถามอาการจากผปู้ ่ วยหรือญาติ สงั เกตอาการ ๒. การจดั ขนั หมากครู หรือการต้งั เช่ียน ๓. การบนบาน ๔. การหาและการเตรียมสมุนไพร เพื่อนาํ ไปประกอบเป็นยา ๕. การเตรียมตวั ของหมอ ๖. การเตรียมตวั ของผปู้ ่ วย ๒.ข้นั การบาํ บดั รักษา ๒.๑ การรักษาดว้ ยเวชบาํ บดั ดว้ ยการใชส้ มุนไพรหลากหลายชนิดแตกตา่ งตาม อาการของโรค ส่วนใหญจ่ ะใชส้ มุนไพรสดในการรักษา โดยใชว้ ธิ ีการบาํ บดั รักษา ดงั น้ี วธิ ีทา ผกั บุง้ ทะเลตาํ ใหพ้ อแตกค้นั เอาเฉพาะน้าํ ทาบริเวณที่ถูกพิษปลา วธิ ีรมควนั เอาก่ิงไมแ้ หง้ มาสุมไฟ ให้ ผปู้ ่ วยนอนบนแคร่ที่ควนั ไฟสามารถผา่ นได้ และใหผ้ ปู้ ่ วยสวมเส้ือผา้ นอ้ ยชิ้น รักษาผปู้ ่ วยท่ีถูกพิษตะขาบ หรือผ้งึ กดั ต่อย วธิ ีพอก ตน้ ไมยราบตาํ ใหล้ ะเอียด พอกบริเวณที่เป็ นหิด วธิ ีกิน ใบยาหมู (ใบฝร่ัง) เคียว กินดิบ ๆ รักษาอาการทอ้ งเสีย วธิ ีพน่ ขา้ วสารเค้ียวใหล้ ะเอียดพน่ ลงบริเวณท่ีถูกไฟไหมห้ รือน้าํ ร้อนลวก วธิ ีบว้ น ใบแกม้ หมอ (เหงือกปลาหมอ) ตม้ จนน้าํ เป็นสีเขียวนาํ มาอมแลว้ บว้ นปาก รักษาอาการปวดฟัน วธิ ี อุด ขนเม่นทะเลนาํ มาฝนใหเ้ ป็นผงผสมกบั เกลือและพริกไทยป่ นนาํ มาละลายใหเ้ ขา้ กนั นาํ มาอุดฟันที่เป็น รู รักษาอาการปวดฟัน วธิ ีลา้ ง ตะปูนาํ มาเผาไฟใหร้ ้อนแลว้ แช่ในโอ่งท่ีมีน้าํ แลว้ ใชน้ ้าํ น้นั มาลา้ งหนา้ รักษา โรคตาแดง วธิ ีหยอด ใบลิ้นห่านค้นั เอาเฉพาะน้าํ นาํ มาหยอดหู รักษาโรคหูน้าํ หนวก วธิ ีประคบ ยอดอ่อน ของตน้ มะขามนาํ มาตม้ พออุ่น ๆ ใชน้ าํ มาห่อผา้ ใชป้ ระคบตามร่างกาย รักษาไขห้ วดั วธิ ีหมกั ใบนอ้ ยหน่า ตาํ ใหล้ ะเอียดผสมกบั สุราขาว นาํ มาหมกั ผม เพ่ือกาํ จดั เหา ๒.๒ การบาํ บดั รักษาดว้ ยจิตบาํ บดั เป็นการบาํ บดั รักษา ดว้ ยวธิ ีการทางไสยศาสตร์ เพราะชาวเลเชื่อวา่ โรคบางโรคท่ีหาสาเหตุไมไ่ ดเ้ กิดจาก “ผกี ิน” จึงตอ้ งใหโ้ ตะ๊ หมอเป็ นผบู้ าํ บดั รักษา วธิ ีการรักษา มีดงั น้ี การปัดรังควานประกอบคาถา, การปัดรังควานประกอบคาถาควบคู่กบั การบีบนวด และทาน้าํ มนั , การเสกคาถากาํ กบั สมุนไพร, การทาํ น้าํ มนต์ และการเขา้ ทรง ๒.๓ การบาํ บดั รักษาดว้ ยกายบาํ บดั เป็ นการบาํ บดั รักษาดว้ ยการบีบนวด เช่น เป็นลม หมดสติ ปวดศรีษะ การประคบ เช่น ฟกช้าํ ผหู้ ญิงเพิ่งคลอดบุตร และการทาน้าํ มนั ๒.๔ การปฏิบตั ิตามขอ้ หา้ ม ผปู้ ่ วยตอ้ งปฏิบตั ิตามคาํ สง่ั ของหมอ เช่น หา้ มกินของ แสลงต่อโรค เป็ นตน้ ๓. ข้นั หลงั การบาํ บดั รักษา จะมีการจดั ขนั หมากบูชาครู, ใหค้ า่ สมนาคุณหมอ และ แกบ้ น
๑๖ นฤมล ขนุ วชี ่วย และมานะ ขนุ วชี ่วย (๒๕๕๓ : ๕๔ – ๕๕) กล่าวถึงการรักษาโรค ของชาวเลอูรักลาโวย้ สรุปไดว้ า่ การรักษา ส่วนใหญ่จะรักษาโดยโตะ๊ หมอ เพราะชาวเลเชื่อวา่ การเจบ็ ป่ วย ไมส่ บายเกิดจาก “ผกี ิน” โตะ๊ หมอจึงตอ้ งทาํ หนา้ ที่ขบั ไล่หรือเชิญผใี หอ้ อกจากร่างกายผูป้ ่ วย ดว้ ยการใช้ เวทยม์ นต์ เป่ าคาถาอาคม หรือดูเทียน ซ่ึงโตะ๊ หมอสามารถติดตอ่ กบั วิญญาณบรรพบุรุษไดจ้ นรู้สาเหตุและ อาการ ตลอดจนวธิ ีรักษาผปู้ ่ วย และบางโรคใชส้ มุนไพรจากป่ ามารักษาโรค ส่วน พไิ ลวรรณ ประพฤติ (๒๕๒๘ : ๑๔๕) กล่าวถึงการใชส้ มุนไพรรักษาโรคของชาวเลเกาะหลีเป๊ ะ เช่น วา่ นหางจระเข้ (แก่พุพอง), แม่ยา่ นาง(แกง้ ูสวดั ),บะยยุ้ (แกพ้ ิษงู), สะเดา (แกเ้ บาหวาน), ลอลอ(แผลในปาก),ตะขบ(ยาระบาย) ผกั บุง้ ทะเล(แกพ้ ิษแมงกระพรุนไฟ),มะขาม(ลอดอาการเจบ็ จากปลากระเบน), ใบนอ้ ยหน่า (แกไ้ ข)้ ๑๑.๔ กำรแต่งกำย ไวยง่ิ ทองบือ และคณะ (๒๕๒๖ : ๗๐) กล่าวถึงการแตง่ กายของอูรักลาโวย้ สรุปได้ วา่ ในอดีตจะแต่งกายไมม่ ากช้ืน สวมใส่เครื่องประดบั เหมือนชนพ้ืนเมืองอื่น ๆ ผชู้ ายชาวเลอูรักลาโวย้ จะ นุ่งโสร่ง ผูห้ ญิงจะใส่ผา้ ซิ่นกระโจมอก ปัจจุบนั ชาวเลอูรักลาโวย้ จะแต่งกายเหมือนชาวบา้ นทว่ั ไป ผชู้ าย นุ่งกางเกงทรงกระบอก (ขาก๊วย) สวมใส่เส้ือเชิ๊ตหรือเส้ือยดื ผหู้ ญิงไดป้ ระยกุ ต์ิชุดแตง่ กายแบบมลายแู ละ อินเดีย มาเป็นชุดแตง่ กายของตนเอง นิยมสวมผา้ ถุง และสวมเส้ือท่ีมีลายดอกไมส้ ีสันโดดเด่น เกลา้ ผมมวย และทดั ดอกไม้ ใส่เคร่ืองประดบั ท่ีทาํ จากเปลือกหอยและไขม่ ุก ส่วน สาวติ ร์ พงศว์ ชั ร์ และยทุ ธพงศ์ ตน้ ประดู่ (สืบคน้ จาก https://so๐๕.tci-thaijo.org ๒๕๖๑: บทคดั ยอ่ ) ผลการวจิ ยั พบวา่ การแตง่ กายของกลุ่ม ชาติพนั ธุ์ชาวเล ผชู้ ายจะนุ่งผา้ ขาวมา้ หรือสวมกางเกงเล มีผา้ ขาวมา้ คาดเอว เปลือยทอ่ นบน ผหู้ ญิงจะนุ่งผา้ ปาเตะ๊ กระโจมอก เมื่อติดต่อกบั สงั คมภายนอก ผหู้ ญิงจะนิยมสวมเส้ือและนุ่งผา้ ปาเต๊ะแบบชาวจีนและชาว ไทย นิยมสวมเส้ือผา้ สีฉุดฉาด ปัจจุบนั การแต่งกายเปลี่ยนแปลงไมม่ ากนกั เม่ือออกไปติดต่อกบั คนขา้ ง นอกจะแต่งกายเรียบร้อยข้ึน ส่วนวยั รุ่นจะรับเอาวฒั นธรรมการแต่งกายแบบทนั สมยั จากสงั คมภายนอก ๑๒. กำรประกอบอำชีพ ชาวเลอูรักลาโวย้ ประกอบอาชีพประมงเป็นหลกั โดยการใชเ้ คร่ืองมือประมงอยา่ งง่าย เช่น วางลอบ ขนาดใหญ่ในน้าํ ลึก หรือดาํ น้าํ จบั ปลาโดยใชม้ ือเปล่า (นฤมล หิญชีระนนั ทน์ อรุโณทยั ๒๕๕๖ : ๖๒) การทาํ ไซปลา ไซปลาหมีก อวนปู อวนปู อวนกุง้ อวนจบั กงุ้ เคย ตกปลา ทอดแห ปัจจุบนั ประกอบ อาชีพอ่ืน ๆ ดว้ ย ไดแ้ ก่ รับจา้ งทว่ั ไป เป็นลูกจา้ งในโรงแรมหรือบริษทั ทวั ร์ ทาํ หนา้ ท่ีคนสวน แมบ่ า้ น ผชู้ ่วยในครัว พนกั งานเสิร์ฟ คนขบั เรือ เพาะปลูก คา้ ขาย (นฤมล ขนุ ชูช่วย และวรี ะ ขนุ ชูช่วย ๒๕๕๓ : ๕๕ – ๖๑ ) ส่วนพิไลวรรณ ประพฤติ (๒๕๕๘ : ๕๔) กล่าวถึงการประกอบอาชีพวา่ ชาวเลยงั ทาํ การทาํ ประมงแบบยงั ชีพตลอดปี ช่วงหนา้ แลง้ จะทาํ ประมงแบบ “บาฆ้ดั ” ใชเ้ วลา ๒ – ๓ วนั หรือหลายเดือน
๑๗ โดยใชเ้ ครื่องมือประมงที่ทาํ ข้ึนเองแบบง่าย ๆ ไดแ้ ก่ เรือ ฉมวก เบด็ ทาํ เกษตรบนเกาะ เช่น ปลูกขา้ ว มะพร้าว ๑๓. สภำพปัญหำและอุปสรรค มูลนิธิชุมชนไทย (๒๕๕๕ : ๑๕ – ๒๗) ไดร้ วบรวมสภาพปัญหาของชาวเล สรุปไดด้ งั น้ี ความ มนั่ คงดา้ นที่อยอู่ าศยั พ้ืนท่ีสุสานและพ้ืนท่ีทางจิตวญิ ญาณถูกคุกคาม ที่ทาํ กินด้งั เดิมในทะเล ดา้ นสุขภาพ การไร้สัญชาติ และไมม่ ีสิทธิข้นั พ้นื ฐาน ดา้ นการศึกษา ดา้ นอคติทางชาติพนั ธุ์ และดา้ นวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น ๓.๒ ชำวเลกล่มุ มอแกน ประวตั ิควำมเป็ นมำ จากการศึกษาของ นฤมล อรุโณทยั และคณะ.(๒๕๕๗ : ๓๗) สรุปไดว้ า่ ชื่อมอแกนเป็นคาํ ท่ียอ่ มาจากคาํ วา่ “ละมอ”(ภาษามอแกน แปลวา่ จมน้าํ ) และ “แกน” เป็นช่ือของ นอ้ งสาวราชินีชิเปี ยน ผคู้ รองแวน่ แควน้ หน่ึงริมฝั่งทะเล ในตาํ นานเก่าแก่ของมอแกน ไดเ้ ล่าวา่ นอ้ งสาว ของราชินีไดแ้ ยง่ คนรักของพ่ีสาว จึงถูกสาปแช่งใหต้ นเองและพรรคพวกตอ้ งมีชีวติ เร่ร่อนอยใู่ นทะเล ซ่ึง ชีวติ ของชาวมอแกนจะเดินทางไปตามเกาะต่าง ๆ จึงถูกกล่าวขานวา่ มีชีวติ คลา้ ยกลุ่มยปิ ซี มีท่ีพกั อาศยั อยู่ ไมเ่ ป็นหลกั แหล่ง เรียกวา่ “Sea gypsy” หรือ “ยปิ ซีทะเล” เป็นชาวเลกลุ่มหน่ึงสืบเช้ือสายมาจากโปโต มาเลย(์ Proto Malay) ชาวมอแกนเรียกตวั เอง วา่ มอแกน, บะซิง, มาซิงคนอื่นจะเรียกชาวมอแกนวา่ ชาวเล, ชาวน้าํ , ชาวไทยใหม,่ บะซิง, มาซิง, มอแกนปูเลาหรือมอแกนปอลาว, ชาวเกาะ, มอแกนเล, มอแกนเกาะ, สิงห์ กำรกระจำยตวั ชาวเลมอแกนร่อนเร่อยใู่ นทะเล อาศยั อยตู่ ามหมู่เกาะ และชายฝั่งทะเลต้งั แตห่ มู่เกาะมะริด ในเมียนมาร์ ลงไปทางใตแ้ ละทางตะวนั ออกในหมูเ่ กาะของทะเลซูลู ประเทศฟิ ลิปิ นส์ รวมถึงชายฝ่ังของ ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในหมู่เกาะมะริด ประเทศเมียนมาร์ และทะเลอนั ดามนั ในประเทศไทย ทต่ี ้ังแหล่งทีอ่ ย่อู ำศัย มอแกนอาศยั ตามเกาะต่าง ๆ เช่น เกาะเหลา เกาะสินไห่ เกาะชา้ ง และเกาะพยาม จงั หวดั ระนอง หมู่เกาะสุรินทร์ จงั หวดั พงั งา และบา้ นราไวย์ จงั หวดั ภูเก็ต
๑๘ ประชำกร มีประชากรประมาณ ๒,๑๐๐ คน ภำษำ มอแกนมีภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน ภาษามอแกน ภาษามอเกน็ ภาษาเมาเกน็ ภาษาบาซิง หรือ เซลุง, ซาลอง, ซะโลน และชาวเกาะ เป็นภาษาในตระกลู ภาษาออสโตรนีเชียน ภาษามาลาโย- โพโลนีเชียน สาขามาเลยอ์ ิก ซ่ึงพดู กนั ทางใตข้ องประเทศพมา่ ลงมา ต้งั แตเ่ มืองมะริดลงมาทางใต้ พบมากในบริเวณเกาะของพม่าภาคใต้ และคาบสมุทรเมกุย ไปจนถึงจงั หวดั ระนอง จงั หวดั พงั งา จงั หวดั ภูเก็ต และจงั หวดั กระบี่ ตวั อย่ำงภำษำมอแกน ก่าบาง แปลวา่ เรือ, บีดวก แปลวา่ ดาว,เอาะเกนแปลวา่ ทะเล, จีญมั จอนกะ แปลวา่ ฉนั กินขา้ วแลว้ พืน้ ทท่ี ำกิน ชาวเลมอแกนจะมีพ้นื ท่ีทาํ กินอยบู่ ริเวณชายฝ่ัง และเกาะแก่งต่าง ๆ ในทะเลอนั ดามนั แถบ จงั หวดั พงั งา ระนอง และภูเก็ต พืน้ ทที่ ำงจิตวิญญำณ สุสาน และศาลโตะ๊ หมอ จะเป็นสถานที่ศกั ด์ิสิทธ์ิทางจิตวญิ ญาณของชาวมอแกน วฒั นธรรม ประเพณี การแต่งงาน ชายหญิงมอแกนแต่งงานอยดู่ ว้ ยกนั ต้งั แต่อายยุ งั นอ้ ย มีการเก้ียวพาราสีเหมือนหนุ่มสาว ทวั่ ไป เมื่อรักชอบพอกนั ผใู้ หญเ่ ห็นพร้อมท้งั สองฝ่ ายกอ็ นุญาตใหไ้ ปอยดู่ ว้ ยกนั ฝ่ ายชายจะเขา้ ไปอยบู่ า้ น ฝ่ ายหญิง เม่ืออยรู่ ่วมกนั สักระยะ กย็ า้ ยออกจากบา้ นฝ่ ายหญิงเพ่อื ไปสร้างครอบครัวใหม่ ค่าสินสอด แลว้ แต่ฐานะของแตล่ ะคน ผชู้ ายบางคนกไ็ ม่มีให้ บางคนกใ็ หเ้ ป็นสร้อยคอ กาํ ไล เงิน การครองเรือน ยดึ ประเพณีผวั เดียวเมียเดียว จะไม่เปล่ียนคู่ครอง นอกจากสามีหรือภรรยาเสียชีวติ ลง หรือมีปัญหาขดั แยง้ กนั อยา่ งรุนแรงจึงแยกจากกนั พธิ ีกรรม
๑๙ กำรฉลองเสำวญิ ญำณบรรพบุรุษ (เหน่เอน็ หล่อโบง) จดั ข้ึนในเดือน ๕ ทางจนั ทรคติ ช่วงเปล่ียนผา่ นระหวา่ งฤดูแลง้ เขา้ สู่ฤดูฝน เป็นพิธีฉลอง เสาวญิ ญาณบรรพบุรุษ \" บวงสรวงบูชาผแี ละวญิ ญาณบรรพบุรุษ งานจะจดั เป็นเวลา ๓ วนั ๓ คืน และมี การลอยก่าบางจาํ ลอง ซ่ึงเช่ือวา่ เป็นการลอยความทุกขแ์ ละโรคภยั ไขเ้ จบ็ ใหพ้ น้ จากครอบครัว และจาก ชุมชน พธิ ีศพ เมื่อมีคนตาย เพื่อนบา้ นกจ็ ะช่วยกนั เฝ้าศพ เพื่อไมใ่ หญ้ าติพ่ีนอ้ งรู้สึกเศร้าและ เดียวดาย จะมีการร้องราํ ท้งั คืน อาจจะเฝ้าคืนเดียวหรือ ๒ – ๓ คืน ก็นาํ ศพไปฝังที่สุสาน ก่อนจะขดุ หลุมก็ ขอท่ีเจา้ ท่ีเนจา้ ทางก่อน เมื่อนาํ โลงศพหยอ่ นในหลุ่มกเ็ อาขา้ วสาร น้าํ สร้อยคอ พริก ถว้ ยชาม หมอ้ ขา้ ว ของใชต้ ่าง ๆ ของผตู้ ายใส่ไปใหค้ รบถว้ น ควำมเชื่อ ชาวมอแกนจะเช่ือในเร่ือง ดงั น้ี กำรเกดิ เม่ือผหู้ ญิงมอแกนคลอดลูก หมอตาํ แยจะเป็นผทู้ าํ คลอด ไม่มีพิธีกรรมใด ๆ พอ่ แมย่ งั ไม่ กลา้ ต้งั ช่ือลูก เพราะไมร่ ู้วา่ ลูกจะมีชีวติ รอดหรือไม่ การต้งั ช่ือพอ่ แม่จะตอ้ งมนั่ ใจวา่ ลูกจะมีชีวติ รอด จึงจะ ต้งั ช่ือให้ กำรตำย ความเชื่อเรื่องชีวติ หลงั ความตายชาวมอแกนจะถือวา่ การที่คนตายไปแลว้ เป็ นคนท่ีหมด ทุกขห์ มดกรรม ไม่ตอ้ งมาลาํ บากเหมือนคนท่ียงั มีชีวิตอยู่ ในงานศพของชาวมอแกนจะไมม่ ีความ โศกเศร้า จะมีงานร่ืนเริงตลอดท้งั คืน ดินนำ้ ป่ ำเขำ ชาวมอแกนเช่ือเร่ืองเก่ียวกบั ภูติทะเล ความเช่ือด้งั เดิมเร่ืองวญิ ญาณ เชื่อวา่ ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ รวมถึงผบี รรพบุรุษและผตี ่าง ๆ ในธรรมชาติ มีอาํ นาจในการบนั ดาลให้เกิดผลร้ายผลดี ปกป้องคุม้ ครอง หรือทาํ ใหเ้ จบ็ ป่ วยได้ ดงั น้นั จึงตอ้ งติดต่อกบั วญิ ญาณดว้ ยการเขา้ ทรง และเซ่นไหว้ ข้อห้ำม ชาวมอแกนเช่ือวา่ ถา้ สามีออกไปหารังนก หา้ มภรรยาหวผี ม แต่งตวั ออกไปเท่ียว ปัดกวาด พบั เส่ือ เพราะจะทาํ ใหส้ ามีประสบอุบตั ิเหตุ (นฤมล หิญชีระนนั ท์ อรุโณทยั ๒๕๕๖ : ๓๖)
๒๐ ตำนำน/นิทำน มอแกนมีตาํ นานเก่ียวกบั คล่ืนเจด็ ช้นั หรือคล่ืนใหญ่ท่ีชาวมอแกนเรียกวา่ “หละบูน” เชื่อ กนั วา่ เป็นคล่ืนยกั ษก์ ินคน ที่จะมากวาดลา้ งทาํ ความสะอาดแผน่ ดินจากความสกปรกของขยะและ สิ่งก่อสร้าง และความชว่ั ร้ายต่าง ๆ และมีนิทานเร่ือง นกกระสากบั หอยดู่กูน (หอยลิ่น ล่ินทะเล หรือหอย แปดเกล็ด) เป็ นนิทานที่สอนวา่ อยา่ ดูถูกคนอื่นหรือผทู้ ่ีดอ้ ยกวา่ ตน ศิลปะกำรแสดง ชาวมอแกนมีความสามารถในการร่ายราํ และขบั ร้องเพลงโตต้ อบท่ีใชป้ ฏิภาณไหวพริบ ประกอบการตีรํามะนา ฉ่ิง และเครื่องสีที่เรียกวา่ กาต๊ิง เน้ือหาของเพลง กล่าวถึงการเดินทางไปยงั สถานท่ีต่าง ๆ เช่น เกาะสองของพม่า การทาํ มาหากิน เพลงมอแกน หรือเพลงวนั เดซา เป็นเพลงร้องภาษา มอแกน ใชร้ ้องในพธิ ีฉลองวญิ ญาณบรรพบุรุษ ภูมิปัญญำท้องถิ่น ชาวมอแกนมีวถิ ีหากินกบั ทะเลมากกวา่ บนฝ่ัง จึงมีความเชี่ยวชาญเก่ียวกบั การเดินเรือ การ ดูทิศทางโดยอาศยั ดวงดาว ลม ฝน และคลื่น โดยสงั เกตลกั ษณะกอ้ นเมฆ น้าํ ทะเล ขอบฟ้า การสงั เกตเสียง นกร้อง รวมท้งั การวา่ ยดาํ น้าํ และการทาํ มาหากินทางทะเล มีความรู้เกี่ยวกบั ป่ าและพืชพรรณไมท้ ี่ หลากหลายในป่ า และชาวมอแกนยงั มีหตั ถกรรมการสานเส่ือเตย สมุกหมาก ไวใ้ ชใ้ นครัวเรือนอีกดว้ ย วถิ ชี ีวติ ชาวมอแกนมีวถิ ีชีวิตตามวฒั นธรรมปัจจยั ๔ ดงั ต่อไปน้ี ทอ่ี ย่อู ำศัย ในอดีตชาวมอแกน อาศยั อยใู่ นเรือที่เรียกวา่ “ก่ำบำง” เรือน้ีมีอตั ลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นคือ “ง่าม” หรือรอยหยกั เวา้ ท่ีหวั เรือและทา้ ยเรือ ใชป้ ี นและกา้ วข้ึนลงเรือเมื่อมอแกนลงทะเลเพ่ือวา่ ยน้าํ และดาํ น้าํ เป็น ที่จบั ยดึ เวลาลากเรือข้ึนและลงหาด ปัจจุบนั ชาวมอแกนใชไ้ มก้ ระดานทาํ เรือเพราะมีความแขง็ แรงคงทน มากกวา่ เรือไมร้ ะกาํ ท่ีมีอายกุ ารใชง้ านเพียง ๓ – ๖ เดือน ปัจจุบนั ชาวเลมอแกนสร้างบา้ นบนชายหาด เรียกบา้ นวา่ “ออมา๊ ก” มีลกั ษณะเป็นบา้ นเสา ไม้ ยกพ้นื สูง มีบนั ไดไวข้ ้ึนลง หลงั คามุงดว้ ยใบคอ้ ฝาผนงั ก้นั ดว้ ยใบคอ้ หรือใบหนามเตย นาํ มาเยบ็ ให้ ติดกนั เรียกวา่ “แชง” บา้ นหนั หนา้ ไปทางทิศตะวนั ออก – ตะวนั ตก และสร้างห่าง ๆ กนั ปูพ้ืนบา้ นดว้ ยไม้ กระดานหรือฟากไมไ้ ผ่ (สมเกียรติ สัจจารักษ์ ๒๕๕๔ : ๑๑๔) อำหำร
๒๑ ชาวเลมอแกนจะไดอ้ าหารสดจากทะเล เช่น ปลา หมึก หอยที่เกาะอยตู่ ามโขดหิน เจาะมา ปรุงอาหาร โดยการตม้ หรือผดั กบั น้าํ มนั และพชื ท่ีอยบู่ ริเวณที่พกั เช่น เผอื กมนั นาํ มาเผา ผกั หวานป่ า ยอดหวาย เป็ นตน้ เครื่องปรุงหลกั ไดแ้ ก่ พริกแหง้ หอม ตะไคร้ เกลือ กะปิ กำรรักษำโรค ชาวมอแกนยงั รักษาความเช่ือด้งั เดิมเรื่องสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ วญิ ญาณบรรพบุรุษ และวญิ ญาณ ต่าง ๆ ในธรรมชาติ วา่ มีอาํ นาจล้ีลบั ในการปกป้องคุม้ ครองและทาํ ใหเ้ จบ็ ป่ วยได้ การเจ็บป่ วยหนกั ๆ โตะ๊ หมอ หรือ “ออลางปุตี” จะมาเขา้ ทรงและเซ่นไหวด้ ว้ ยวธิ ีต่าง ๆ และมีการใชส้ มุนไพรควบคู่กนั ในบาง โรค มีหมอตาํ แย (เอบูมบายาย) เป็นผทู้ าํ คลอดใหค้ นที่จะคลอดลูก และมีการอยไู่ ฟเพ่ือใหม้ ดลูกเขา้ อู่เร็ว กำรแต่งกำย ผหู้ ญิงนุ่งกระโจมอกดว้ ยผา้ โสร่งหรือผา้ ถุง ไมส่ วมเส้ือ ปัจจุบนั แตง่ กายเหมือนคน พ้ืนเมืองมากข้ึน ผหู้ ญิงนุ่งผา้ ถุง สวมเส้ือ บางคนใชเ้ ครื่องสาํ อางและสวมเคร่ืองประดบั ในอดีต ผชู้ ายนุ่งโสร่งลวดลายคลา้ ยผา้ โสร่งพมา่ นุ่งแบบผา้ เต่ียว (คลา้ ยโจงกระเบน) ไม่สวมเส้ือ ปัจจุบนั หนั มา นุ่งกางเกงและสวมเส้ือ กำรประกอบอำชีพ ชาวมอแกนจะหากินกบั ทะเล งมหอย จบั ปู แทงปลา ตกปลา ดาํ ปลิงทะเล และสตั วท์ ะเล ต่าง ๆ เครื่องมือจบั สัตวใ์ นอดีต ไดแ้ ก่ซูม (เหล็ก ๓ ง่ามตอ่ ดา้ มดว้ ยไมไ้ ผใ่ ชแ้ ทงปลาขณะอยบู่ นเรือ) แลม้ (เหล็กแหลมต่อดา้ มดว้ ยไมไ้ ผใ่ ชแ้ ทงปลาขณะดาํ น้าํ ) กอโด (เหล็กเข่ียหอยตามซอกหิน) แป๊ ะตอก (เหล็ก สาํ หรับเจาะหอยตามโขดหิน) ไกววาด (ไมห้ วายสาํ หรับแหยล่ งในรูจบั เพรียงทรายตามชายหาด) (สมเกียรติ สจั จารักษ์ ๒๕๕๔ : ๑๓๐) ทาํ ประมงน้าํ ต้ืน, “รับจา้ งนายทุน” งมส่ิงของในทะเล เช่น เปลือก หอยแปลก ๆ หรือรับจา้ งทว่ั ไป ปัญหำและอปุ สรรค โครงการพฒั นาระบบฐานขอ้ มูลเพือ่ เสริมสร้างความเขม้ แขง็ ใหแ้ ก่ชนเผา่ พ้ืนเมืองใน ประเทศไทย (ชนเผา่ พ้ืนเมืองมอแกน มปป.: ๑๐) กล่าวปัญหาและอุปสรรคของชาวมอแกน สรุปไดด้ งั น้ี ๑.ปัญหาการไร้สัญชาติ ทาํ ใหข้ าดสิทธิข้นั พ้ืนฐานหลายอยา่ ง ๒. ปัญหาการขาดความมนั่ คงดา้ นที่อยอู่ าศยั ๓. ปัญหาพ้ืนท่ีท ามาหากินจ ากดั
๒๒ ๔.ปัญหาความไมเ่ ขา้ ใจ ไม่เห็นคุณคา่ ในวถิ ีวฒั นธรรมทาใหเ้ กิดการถูกดูแคลน เอารัดเอา เปรียบ หรือไม่ไดร้ ับความใส่ใจ ๓.๓ ชำวเลมอแกลน ประวตั ิควำมเป็ นมำ นฤมล อรุโณทยั และคณะ (๒๕๕๗ : ๑๒๒ - ๑๖๙) และ โครงการพฒั นาระบบฐานขอ้ มูล เพอื่ เสริมสร้างความเขม้ แขง็ ใหแ้ ก่ชนเผา่ พ้นื เมืองในประเทศไทย Development of community knowledge-based database system for empowering the most marginalized and vulnerable indigenous groups in Thailand (มูลนิธิชนเผาพ้ืนเมืองเพื่อการศึกษาและส่ิงแวดลอม (ม.ก.ส) : ๒ – ๑๐) ไดก้ ล่าวถึงชาวเลมอแกลน สรุปไดว้ า่ ชาวมอแกลนต้งั ถิ่นฐานอยใู่ นประเทศไทยต้งั แต่สมยั บรรพบุรุษ หมู่บา้ นของชาวมอแกลน ต้งั อยชู่ ายฝ่ังทะเลหรือดา้ นในแผน่ ดิน ไดต้ ้งั หลกั แหล่งอยกู่ บั ที่แทนการอพยพโยกยา้ ย ชุมชนด้งั เดิมอยใู่ น พ้ืนที่ริมฝั่งทะเลของจงั หวดั พงั งา เช่น ท่ีริมทะเลบางสัก เป็นท่ีอยอู่ าศยั ของชาวมอแกลนมาก่อนท่ีจะมี อุตสาหกรรมเหมืองแร่เขา้ มาใชพ้ ้ืนที่ บรรพบุรุษของชาวมอแกลนเล่าวา่ ชาวมอแกลนน่าจะอพยพมาจาก บา้ นในหยง อาํ เภอตะกวั่ ทุ่ง จงั หวดั พงั งา แลว้ มาต้งั ถิ่นฐานท่ีบา้ นลาํ ปี บา้ นเกาะนก บา้ นทบั ปลา บางส่วน ก็มาต้งั ถ่ินฐานบริเวณบางสกั ที่ “นากก” บุกเบิกพ้นื ที่ทาํ สวน ทาํ ขา้ วไร่ ทาํ ประมง หาปลา ปู กุง้ หอย และ สัตวท์ ะเลอื่นๆ เกบ็ ผกั ผลไมป้ ่ า ตอ่ มาก็ยา้ ยมาที่ ทุ่งเคด็ นายาว และพ้ืนที่อื่นๆ ในบริเวณน้ี กำรกระจำยตวั ชุมชนมอแกลน กระจายตวั ตามชุมชน ในพ้ืนท่ีจงั หวดั พงั งา และภูเก็ต ดงั น้ี เกาะนก ขนิม คลองญวนใต้ ลาํ แก่น ทุง่ หวา้ น้าํ เคม็ ลาํ ปี หินลาด ทบั ปลา บา้ นทา่ ใหญ่ บางสกั -ทบั ตะวนั บนไร่ บา้ น น้าํ เคม็ ท่าปากแหวง่ บางขยะ ทา่ แป๊ ะโยย้ ทุ่งดาบ เทพประทาน ท่าฉตั รไชย หินลูกเดียว พืน้ ทท่ี ำกนิ ชาวมอแกลนส่วนใหญ่ทาํ ประมงหาสัตวท์ ะเลตามชายฝ่ัง ชายหาดและตามป่ าชายเลน ชุมชนที่อาศยั อยรู่ ิมฝั่งทะเลท่ีมีหาดทรายและแนวปะการัง จะหาปลา กงุ้ หอยชนิดต่าง ๆ และปลาหมึกสาย นอกจาก อาชีพประมงแลว้ ชาวมอแกลนยงั ทาํ ไร่ ทาํ นา บางชุมชนเล้ียงสตั ว์ เช่น ไก่และหมู หลงั จากที่เริ่ม มีการทาํ สวนมะพร้าว สวนยางพารา อุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุก ชาวมอแกลนกม็ าทาํ งานรับจา้ งเพ่อื แลก
๒๓ กบั ขา้ วและของจาํ เป็นอ่ืนๆ เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเท่ียว การคา้ และ การบริการเติบโตข้ึนในพ้ืนท่ีริมฝ่ัง ทะเลอนั ดามนั ชาวมอแกลนในชุมชนที่ไม่ห่างจากแหล่งทอ่ งเท่ียว กท็ าํ งานรับจา้ งมากข้ึน พืน้ ทที่ ำงจิตวิญญำณ หลาโตะ๊ และสุสาน จะเป็นพ้ืนท่ีสาํ คญั ทางจิตวญิ ญาณของชาวมอแกลน ประชำกร จาํ นวนประชากรของชาวเลเผา่ มอแกลน มีดงั น้ี เกาะนก ๑๘๙ คน ขนิม ๗๓ คน คลองญวนใต้ ๔๘ คน ลาํ าแก่น ๑๑๒ คน ลาํ ปี ๑๓๐ คน หินลาด ๑๐๘ คน ทบั ปลา ๒๐๑ คน บางสกั -ทบั ตะวนั ๑๓๔ คน บนไร่ ๘๙ คน บา้ นน้าํ เคม็ ๓๘ คน ท่าปากแหวง่ ๘๑ คน บางขยะ ๑๒๖ คน ทา่ แป๊ ะโยย้ ๘๐ คน ทุง่ ดาบ ๓๓ คน เทพประทาน ๓๒ คน ทา่ ฉตั รไชย ๓๐๓ คน หินลูกเดียว ๙๐ คน รวม ๑,๘๖๗ คน (ท่ีมา จากการ สาํ รวจโครงการ kpemic ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๕๙- ๒๕๖๐) ภำษำ ชาวเลมอแกลน มีแตภ่ าษาพูด ไม่มีภาษาเขียน ชาวมอแกลนใชภ้ าษาใกลเ้ คียงกบั มอแกนและ สามารถส่ือสารกนั ได้ แต่มอแกลนจะไดร้ ับอิทธิพลจากภาษาไทยมากกวา่ มอแกน ตวั อยา่ งคาภาษามอแกลน ญาจอน หมายถึง กินขา้ ว ดกาตาไล้ หมายถึง จะไปไหน วฒั นธรรม ประเพณี -แต่งงาน เมื่อหนุ่มสาวชาวมอแกลนชอบพอกนั จนตดั สินใจใชช้ ีวติ คู่ดว้ ยกนั หรือพอ่ แมบ่ างคน เห็นสมควรใหล้ ูกมีคูค่ รอง ฝ่ ายชายกจ็ ะใหผ้ อู้ าวโุ สไปสู่ขอผหู้ ญิงให้ ในอดีตสินสอดทองหม้นั ไดแ้ ก่ ผา้ ถุง ๒ - ๓ ผนื หมากพลู ๙๙ คาํ เงินหนกั หน่ึงชง่ั (ประมาณ ๑.๒ กิโลกรัม) เป็นเหรียญเงินท่ีมีรูตรงกลาง นาํ มาร้อยเชือกใหเ้ ป็ นพวงขนาดเทา่ พวงมาลยั ก่อนจะตกลงปลงใจอยดู่ ว้ ยกนั ฝ่ ายหญิงจะลองใจฝ่ ายชาย ดว้ ยการใหห้ าบน้าํ มาเติมจนเตม็ ตุ่ม ถางหญา้ ถางไร่ หรือช่วยงานอ่ืน ๆ -นอนหาด เป็ นงานประเพณีประจาํ ปี ของชาวมอแกลนบา้ นแหลมหลาหรือบา้ นท่าฉตั รไชย และ บา้ นหินลูกเดียว จงั หวดั ภูเก็ต จดั ข้ึนในช่วงวนั ข้ึน ๑๓ – ๑๕ ค่าํ เดือน ๓ เป็นเวลา ๓ วนั ๓ คืน เป็นการ
๒๔ แสดงเคารพต่อสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิในพ้ืนท่ี คือ พอ่ ตาหินลูกเดียว การบูชาส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิทางทะเล และการแกบ้ น สะเดาะเคราะห์ -รับบุญสารทเดือนสิบ จดั ข้ึนช่วงวนั แรม ๑ ค่าํ ถึงวนั แรม ๑๕ ค่าํ เดือน ๑๐ ทางจนั ทรคติ ชาวไทย ปักษใ์ ตจ้ ะไปทาํ บุญท่ีวดั เพื่ออุทิศส่วนกศุ ลส่งใหก้ บั บรรพบุรุษผลู้ ่วงลบั ชาวมอแกลนจะไปรับ บุญ ขา้ วสาร ขนม และเงิน ใส่ในชอบหรือสอบ หรือกระบุงที่สานกบั ใบเตยหนาม ในอดีตมีการนาํ ส่ิงของ จากทะเลไปแลกเปลี่ยนกนั ดว้ ย -ลอยเรือ ของชาวมอแกลน บา้ นแหลมหลา ภูเก็ต จดั ข้ึนช่วง ๑๕ ค่าํ เดือน๖ และเดือน ๑๑ มีการ สร้างเรือลอยเคราะห์ ตดั ผมตดั เล็บใส่ในเรือ มีการร้องเพลงและร่ายราํ เป็นการสะเดาะเคราะห์ ใหพ้ น้ จาก โรคภยั ใหเ้ จา้ ท่ีเจา้ ทางปกป้องคุม้ ครอง เรือของชาวเลมอแกนแหลมหลาทาํ ดว้ ยหยวกกลว้ ยใบเรือทาํ ดว้ ย ผา้ ขาวมา้ พธิ ีกรรม พิธีสักการะวญิ ญาณบรรพบุรุษ หรือ ตายายถว้ ย เป็นพธิ ีไหวต้ ายายที่อยใู่ นถว้ ย จดั ข้ึนใน เดือนส่ี ทางจนั ทรคติทุกปี ในเวลากลางวนั จะจดั บริเวณป่ าใกลห้ มู่บา้ น มีผเู้ ฒา่ ชาวมอแกลนเป็นผปู้ ระกอบ พธิ ี ช่วงกลางคืนเป็นพธิ ีของแตล่ ะครอบครัว ไหวพ้ อ่ ตาสามพนั หนา้ ศาลเป็นประจาํ าปี ในเดือนสี่ทางจนั ทรคติ มีเสาไมไ้ ผส่ ูงท่ีมียอด เป็นรูปนกและประดบั ธงผา้ สีขาวยาวอยู่ ดา้ นหนา้ ศาล ปัจจุบนั ถูกคนั่ ดว้ ยถนน ภาพศาลพอ่ ตาสามพนั บริเวณหนา้ หาดบางสัก ไหวพ้ อ่ ตาหลวงจกั ร เป็นพธิ ีกรรมมราจดั ทุกปี ในเดือนหา้ ทางจนั ทรคติ การแกบ้ น ทาํ บุญเดือนสิบ งานศพ จะมีการอาบน้าํ ศพ และฝังศพภายใน ๑ วนั พธิ ีเชงเมง้ เป็นพิธีไหวบ้ รรพบุรุษ ทาํ ในช่วงเดือน ๔ ควำมเชื่อ ชาวมอแกลนมีความเช่ือเกี่ยวกบั สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิที่เป็น “วญิ ญาณบรรพบุรุษ” และ “วญิ ญาณ ในธรรมชาติ” วญิ ญาณบรรพบุรุษและบุคคลสาํ คญั ของกลุ่มหรือชุมชนของชาวมอแกลน ไดแ้ ก่ “พอ่ ตา สามพนั ” “พอ่ ตาหลวงจกั ร” “พอ่ ตาหินกอง” “พอ่ ตาหินลูกเดียว”
๒๕ . ตำนำน/นิทำน ชาวมอแกลนมีตาํ นานเร่ืองพ่อตาสามพนั บรรพบุรุษของชาวมอแกลน ผเู้ ป็นทหารกลา้ ใน ราชสาํ นกั โบราณ ปกครองแถบจงั หวดั นครศรีธรรมราชในปัจจุบนั พอ่ ตามสามพนั มีพี่นอ้ งผชู้ ายสองคน ถูกกลน่ั แกลง้ ใหอ้ อกไปผจญภยั ยงั แดนไกล แต่รอดมาไดท้ ุกคร้ังโดยมีปลากระเบนยกั ษใ์ หน้ ง่ั บนหลงั จน มาถึงฝ่ังบา้ นบางสัก จงั หวดั พงั งา ส่วนนิทานมี เร่ือง “เกาะเหา” ที่สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงเหตุการณ์น้าํ ท่วมใหญ่ นิทานกล่าวถึงหลงั เกิดภยั พิบตั ิก็มีแผน่ ดินผดุ ข้ึนมาจากทะเล ชาวมอแกลนเรียกเกาะที่เกิดข้ึนใหม่วา่ “บุ โล่ย” แปลวา่ “เหา” ต่อมาเกิดฝนตกใหญจ่ นน้าํ ทะเลท่วมแผน่ ดิน ผคู้ นกห็ นีไปอยใู่ นถ้าํ ที่ในเกาะ คนท่ีปี น เขา้ ถ้าํ ไม่ทนั ก็กลายเป็นเตา่ และปลาพะยนู เมื่อน้าํ ทะเลลดผคู้ นก็แยกยา้ ยออกจากเกาะแห่งน้ี ขา้ ง ๆ “เกาะ เหา” มีเกาะเลก็ ๆ ชื่อ “เกาะผ”ี เปรียบเสมือนสมอที่ยดึ “เกาะเหา” ไว้ และยงั มีนิทาน เรื่อง “ผหี ลงั โวง หรือผหี ลงั โหว”่ กำรดำรงชีวติ ชาวมอแกลนมีวถิ ีการดาํ รงชีวติ ตามวฒั นธรรมปัจจยั ๔ ดงั น้ี ทอี่ ย่อู ำศัย บา้ นแบบด้งั เดิมเป็นเรือนไมไ้ ผ่ หลงั คามุงดว้ ยใบจาก ใบคอ้ หรือใบไมท้ ่ีหาไดง้ ่ายใน ทอ้ งถิ่น ทรงสูงมีใตถ้ ุน ฝาก้นั ดว้ ยไมไ้ ผข่ ดั แตะ มีบนั ไดไมไ้ ผพ่ าดข้ึนบา้ นและสามารถยกตวั บนั ไดออกได้ เพือ่ ป้องกนั สัตวร์ ้ายหรือสัตวป์ ่ า พ้ืนท่ีภายในทาํ เป็นโถงโล่งไมไ่ ดก้ ้นั แบง่ เป็นหอ้ ง ยกเวน้ บริเวณครัว ตอ่ มากม็ ีการก้นั หอ้ งแบ่งพ้ืนที่ใชส้ อยภายในบา้ นอยา่ งเป็ นสัดส่วนมากข้ึน และมีหอ้ งน้าํ แยกจากตวั บา้ น ชาวมอแกลนรุ่นใหม่นิยมปลูกบา้ นเรือนคอนกรีตเป็ นบา้ นช้นั เดียว หลงั คามุงกระเบ้ืองหรือสงั กะสี อำหำร อาหารของชาวมอแกลนส่วนใหญ่เป็นอาหารห่ีหาไดเ้ องใกลช้ ุมชน ป่ าชายเลน คลอง นาํ มา ประกอบอาหารทีไมย่ งุ่ ยาก เช่น ผดั แกง ตม้ ยา่ ง คลา้ ยชาวบา้ นทว่ั ไป กำรแต่งกำย ผชู้ ายมอแกลนจะนุ่งผา้ ขาวมา้ หรือสวมกางเกงขายาว ส่วนผหู้ ญิงจะใส่เส้ือคอกระเชา้ และ สวมผา้ ถุง โดยผหู้ ญิงจะซ้ือเส้ือผา้ จากภายนอก กำรรักษำโรค
๒๖ ในอดีตเม่ือเกิดการเจบ็ ป่ วย ชาวมอแกลนจะใชร้ ักษาโดยใชไ้ สยศาสตร์ โดยโต๊ะหมอ เพราะเชื่ออาการเจบ็ ป่ วยเกิดจากผพี ลอย แปละใชส้ มุนไพรในการรักษา เช่น นาํ ห่ิงหอ้ ยมาควั่ ในกระทะ แลว้ บดทาํ ยาแกห้ อบใหเ้ ด็กกิน (พวงผกา เชาวนไ์ วย ๒๕๖๐ : ๒๒ - ๒๓) ศิลปะกำรแสดง ชาวเลมอแกลนมีศิลปะการแสดง ไดแ้ ก่ มวยกาหยง โนรากาบง รองเงง็ เพลงรํามะนา เพลง กล่อมเดก็ และเพลงลอยเรือ วถิ ีชีวติ กำรประกอบอำชีพ ชาวเลมอแกนส่วนใหญป่ ระกอบอาชีพประมง เช่น หาหอย ตกเบ็ด วางลอบ และดาํ น้าํ หาของ ทะเล ปัจจุบนั ชาวเลในวยั หนุ่มสาวจะทาํ งานในสถานประกอบการ เช่น โรงแรม ทาํ หนา้ ที่แม่บา้ น ผชู้ ่วย ก๊กุ พนกั งานเสริฟ และ บริษทั ทวั ร์ เช่น ขบั เรือสปี ดโบท๊ เป็นตน้ สภำพปัญหำ ปัจจุบนั ชาวเลมอแกลนมีปัญหา ความมน่ั คงดา้ นที่ดินที่อยอู่ าศยั ที่ทาํ กิน พ้นื ที่ทางจิตวญิ ญาณ การสูญเสียวฒั นธรรมด้งั เดิม เอกสำรเกย่ี วกบั จงั หวดั กระบี่ จากการการศึกษาเรื่อง “กลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเล จงั หวดั กระบี่” มีเอกสารที่เกี่ยวกบั จงั หวดั กระบี่ ดงั น้ี สาํ นกั งานพฒั นาสงั คมและความมนั่ คงของนุษยจ์ งั หวดั กระบี่ (๒๕๖๔ : ๘) และเวปไวด์ บรรยายสรุปจงั หวดั กระบี่ (krabi.go.th) ไดก้ ล่าวถึงจงั หวดั กระบ่ี สรุปไดด้ งั น้ี สภำพทว่ั ไปของจังหวดั กระบ่ี ๑.๑ ประวตั ิควำมเป็ นมำ จงั หวดั กระบ่ี ต้งั ข้ึนประมาณปี พ.ศ.๒๔๑๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กฐานะข้ึนเป็ นเมืองปกาสัย และทรงพระราชทาน นามวา่ “เมืองกระบ่ี” เมื่อไดป้ ระกาศต้งั ข้ึนเป็นเมืองแลว้ โปรดเกลา้ ฯให้ต้งั ที่ทาํ การอยทู่ ่ีตาํ บลกระบ่ี
๒๗ ใหญ่ (บา้ นตลาดเก่า) ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๑๘ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้แยกเมืองกระบี่ ออกจากการปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองจตั วาข้ึนตรงต่อกรุงเทพฯ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ไดย้ า้ ยท่ีต้งั เมืองไปอยูต่ าํ บลปากน้าํ อยูใ่ กลป้ ากอ่าวเป็ นร่องน้าํ ลึก เรือใหญ่สามารถเขา้ เทียบทา่ ไดส้ ะดวกเป็นท่ีต้งั ศาลากลางจงั หวดั จนถึงปัจจุบนั น้ี ๑.๒ ลกั ษณะทำงกำยภำพ ๑.๒.๑ทตี่ ้งั และอำณำเขต จงั หวดั กระบี่เป็ นจงั หวดั ที่มีทรัพยากรท่องท่ียวทางธรรมชาติ และมรดกทางวฒั นธรรมท่ี เก่าแก่ การผสมผสานการดาํ รงชีวิตของผูค้ นที่ต่างเช้ือชาติ ต่างศาสนา และความเชื่อท่ีแตกต่างอยา่ ง กลมกลืน ต้งั อยู่ทางดา้ นฝั่งทะเลตะวนั ตกของภาคใตต้ ิดกบั ทะเลอนั ดามนั อยูห่ ่างจากกรุงเทพฯ ไป ตามทางหลวงแผ่นดินประมาณ ๘๑๔ กิโลเมตร มีพ้ืนท่ี ท้งั หมด ๔,๗๐๘.๕๑๒ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๒,๙๔๒,๘๒๐ ไร่ มีอาณาเขตติดตอ่ กบั จงั หวดั ใกลเ้ คียง ดงั น้ี ทิศเหนือ จดจงั หวดั พงั งา และจงั หวดั สุราษฎร์ธานี ทิศใต้ จดจงั หวดั ตรัง และทะเลอนั ดามนั ทิศตะวนั ออก จดจงั หวดั นครศรีธรรมราช และจงั หวดั ตรัง ทิศตะวนั ตก จดจงั หวดั พงั งา และทะเลอนั ดามนั จงั หวดั กระบี่ประกอบไปดว้ ย ๘ อาํ เภอ ดงั น้ี อาํ เภอเมืองกระบ่ี อาํ เภอเหนือคลอง อาํ เภอ คลองทอ่ ม อาํ เภอเกาะลนั ตา อาํ เภอปลายพระยา อาํ เภออา่ วลึก อาํ เภอปลายพระยา อาํ เภอลาํ ทบั และ อาํ เภอเขาพนม ๑.๒.๒ ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ สภาพภูมิประเทศส่วนใหญเ่ ป็นภูเขาหินปูนท่ีมีลกั ษณะโดด ๆ เต้ีย ๆ มีบ่อน้าํ ร้อน และแอ่ง น้าํ ท่ีเกิดจากการยุบตวั ของพ้ืนดิน สลบั กบั พ้ืนท่ีลูกคล่ืนลอนลาด และท่ีราบเชิงเขาบริเวณตอนบน ของพ้นื ที่ มีพ้ืนที่ชายฝั่ง ดา้ นทิศตะวนั ตก และยงั ประกอบดว้ ยหมู่เกาะนอ้ ยใหญ่ จาํ นวน ๑๕๔ เกาะ แต่มีประชากรอาศยั อยเู่ พียง ๑๓ เกาะ เกาะที่สําคญั ไดแ้ ก่ เกาะลนั ตา เป็ นท่ีต้งั ของอาํ เภอเกาะลนั ตา และเกาะพีพี ซ่ึงอยใู่ นเขตอาํ เภอเมือง เป็นสถานที่ท่องเท่ียวท่ีสวยงามติดอนั ดบั ของโลก ๑.๒.๓ลกั ษณะภูมิอำกำศ จงั หวดั กระบ่ี มีภูมิอากาศแบบมรสุมในเขตร้อน และไดร้ ับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวนั ตก เฉียงใตแ้ ละลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทาํ ใหม้ ีฝนตกชุกตลอดปี และมีเพยี ง ๒ ฤดู ฤดูร้อน เริ่มต้งั เดือนมกราคมจนถึงเดือนเมษายน
๒๘ ฤดูฝน เริ่มต้งั แตเ่ ดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนธนั วาคม ๑.๖ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ๑.๖.๑ ดิน ลกั ษณะดิน สภาพทรัพยากรดินของจงั หวดั กระบ่ีประกอบดว้ ยกลุ่มชุดดิน ๒๑ กลุ่ม ลกั ษณะดินจะแตกต่างกนั ตามธรณีสณั ฐานและวตั ถุตน้ ก าเนิดดิน ผนื ดินที่ใชเ้ พาะปลูกเป็ นดินเหนียวและ ดินร่วนระบายน้ าไดด้ ี ใชใ้ น การเกษตรกรรม พืชเศรษฐกิจที่ส าคญั จากขอ้ มูลพ้ืนท่ีปลูกพืชเศรษฐกิจของ จงั หวดั กระบ่ี คือ ยางพารา เป็ นพืชที่ ปลูกมากที่สุด ประมาณ ๙๒๕,๙๓๐ ไร่ ปาล์มน้ ามนั เป็ นพืช เศรษฐกิจอนั ดบั ๒ จงั หวดั โดยมีพ้นื ท่ีเพาะปลูก ประมาณ ๘๙๑,๒๔๓ ไร่ ๑.๖.๒ ป่ าไมแ้ ละสัตวป์ ่ า จาํ นวนพ้ืนท่ีป่ าไม้ (อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน ป่ าสงวนฯ) จงั หวดั กระบ่ี มีเน้ือท่ี ๒,๙๔๒,๘๒๐ ไร่ มีพ้นื ท่ีป่ าสมบูรณ์ เน้ือท่ี ๖๑๕,๔๐๐ ไร่ คิดเป็ น ร้อยละ ๒๐.๙๑ของพ้ืนที่ จงั หวดั สภาพป่ าไมส้ ่วนใหญ่เป็นป่ าดิบช้ืนและป่ าเบญจพรรณ พนั ธุ์ไมท้ ี่สําคญั ของ จงั หวดั กระบี่ ไดแ้ ก่ ตะเคียนทอง กนั เกรา หลุมพอ ยางนา เค่ียม พะยอม -ป่ าสงวนแห่งชาติ จาํ นวน ๔๕ ป่ า เน้ือท่ี ๑,๔๑๕๙๕๒ไร่ ส่วนหน่ึงมอบให้สํานกั งานปฏิรูป ท่ีดินเพอื่ การเกษตร (สปก.) เน้ือที่ ๕๖๐,๖๒๗ ไร่ คงเหลือพ้ืนท่ีป่ า ๘๕๕,๓๒๕ ไร่ - อุทยานแห่งชาติ มีจาํ นวน ๔ แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา อุทยานแห่งชาติหาด นพรัตน์ ธารา – หมู่เกาะพีพี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลนั ตา และอุทยานแห่งชาติธารโบกธรณี รวมเน้ือท่ี ๔๒๒,๕๑๒ – ๐ – ๖๘ไร่ -. เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า มี ๒ แห่ง คือเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าคลองพระยา และเขตรักษาพนั ธุ์สัตว์ ป่ าเขาประ – บางคราม รวมเน้ือที่ ๑๙๓,๙๘๘ ไร่ อยใู่ นเขตทอ้ งที่จงั หวดั กระบ่ี ๑๔๐,๑๘๘ ไร่ - เขตห้ามล่าสัตวป์ ่ า จาํ นวน ๑ แห่ง ไดแ้ ก่ เขตหา้ มล่าสัตวป์ ่ าทุ่งทะเล อยูใ่ นทอ้ งท่ีตาํ บลเกาะ กลาง อาํ เภอเกาะลนั ตา เน้ือท่ี ๓๐,๖๓๓ ไร่ ๕. พ้ืนที่ป่ าชายเลน บริเวณริมฝ่ังทะเลในพ้ืนท่ี ๕ อาํ เภอ ไดแ้ ก่ อาํ เภอเมืองกระบ่ี อาํ เภออ่าวลึก อาํ เภอเหนือคลอง อาํ เภอคลองทอ่ ม และอาํ เภอเกาะลนั ตา เน้ือท่ีประมาณ ๒๒๑,๙๐๐ไร่ 1.3 ข้อมูลกำรปกครอง/ประชำกร ๑.๓.๑ ข้อมูลกำรปกครอง จงั หวดั กระบี่มีขอ้ มูลการปกครอง ประกอบดว้ ย ๘ อาํ เภอ ๕๓ ตาํ บล ๓๘๙ หมู่บา้ น ๑ องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั ๑ เทศบาลเมือง ๑๒ เทศบาลตาํ บล และ ๔๘ อบต. ๑.๓.๒ ข้อมูลประชำกรและครัวเรือน
๒๙ จงั หวดั กระบ่ี มีจาํ นวนประชากรท้งั สิ้น ๔๖๓,๕๓๙ คน ส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิงคิดเป็ นร้อย ละ ๕๐.๓๑ เพศชายคิดเป็นร้อยละ ๔๙.๖๙ ศำสนำ ประชากรจงั หวดั กระบ่ี นบั ถือศาสนาพุทธ ร้อยละ ๖๑.๖๖ ศาสนาอิสลาม ร้อยละ ๓๘.๐๖ ศาสนาคริสต์ ร้อยละ ๐.๒๑ ศาสนาซิกส์ ร้ยละ ๐.๐๕% ศาสนาอื่น ๆ ร้อยละ ๐.๐๒ โดยมีวดั ๘๑ แห่ง ท่ีพกั สงฆ์ ๓๓ แห่ง มสั ยิด ๑๘๖ แห่ง โบสถ์คริสตจกั ร ๘ แห่งศูนยอ์ บรมจริยธรรมฯ ๑๑๖ แห่ง และศูนยพ์ ระพทุ ธศาสนาฯ ๖ แห่ง กำรศึกษำ ในปี การศึกษา ๒๕๕๘ มีจาํ นวนโรงเรียนในเขตความรับผดิ ชอบของสาํ นกั งานเขตพ้ืนที่ ๆ จาํ นวน ๒๖๐ โรงเรียน (ในจาํ นวนน้ีมีโรงเรียนของเอกชน จาํ นวน๔๑ โรงเรียน ) สําหรับจาํ นวน โรงเรียนในเขตความรับผิดชอบของ อปท.มีจาํ นวนท้งั สิ้น ๑๕ โรง (โรงเรียนที่เปิ ดสอนในระดบั อนุบาล – ระดับประถมศึกษา จาํ นวน๑๔ โรง และระดับมัธยมศึกษา จาํ นวน ๑โรง) ระดับ มธั ยมศึกษา จาํ นวน ๑๗ โรง ระดบั การศึกษาตามอธั ยาศยั (กศน.) จาํ นวน ๘ แห่ง ระดบั วิทยาลยั (ปวช./ปวส.) จาํ นวน ๕ แห่ง ระดบั มหาวทิ ยาลยั จาํ นวน ๑ แห่ง ๑.๕ ประเพณแี ละวฒั นธรรม ลิเกป่ ำ เป็ นการแสดงพ้ืนบา้ นท่ีดดั แปลงมาจากลิเกสิบสองภาษา ลิเกป่ าเป็ นการแสดงท่ี ประสานวฒั นธรรมหลากหลายเขา้ ดว้ ยกนั อาทิ ดนตรีจะใชร้ ํามะนา ทบั โหม่ง กลอง ฉิ่ง บทกลอน จะมีการประสมทาํ นองมโนราห์กบั เพลงบุรันยาวา หนังตะลุง แสดงใหเ้ ห็นการผสมผสานกบั วฒั นธรรมอินเดีย ในจงั หวดั กระบี่ มีศิลปิ นหนงั ตะลุงหลายคณะ มโนรำห์ การแสดงพ้ืนบา้ นของจงั หวดั ทางภาคใตท้ ี่ข้ึนชื่อที่แสดงถึงวฒั นธรรมของชาว ภาคใตเ้ ป็นอยา่ งดี รองเง็งและเพลงตนั หยง ไดร้ ับอิทธิพลจากมลายู ซ่ึงดดั แปลงมาจากโปรตุเกสอีกทอดหน่ึง เดิมเพลงรองเงง็ นิยมแสดงในบา้ นขนุ นาง ภายหลงั ชาวบา้ นนาํ มาเล่นและพฒั นาดดั แปลงมาเป็ นเน้ือ ร้องภาษาไทย เรียกวา่ เพลงตนั หยง
๓๐ ประเพณลี อยเรือชำวเล จดั ตรงกบั วนั เพญ็ เดือน ๖ และวนั เพญ็ เดือน ๑๑ ของทุกปี ท่ีเกาะลนั ตานบั เป็ นงาน ประเพณีเก่าแก่ของชาวเลท่ีหาดูไดย้ าก งานน้ีจดั ตรงกบั วนั เพญ็ เดือน ๖ และวนั เพญ็ เดือน ๑๑ ของ ทุกปี โดยกลุ่มชาวเลในบริเวณเกาะลนั ตาและเกาะใกล้เคียงจะมาชุมนุมกนั ทาํ พิธีลอยเรือเพื่อ สะเดาะเคราะห์ ณ ชายหาดใกลๆ้ กบั บา้ นศาลาด่าน ในพิธีจะมีการร้องรําทาํ เพลง มีการร่ายรํารอบ ลาํ เรือดว้ ยจงั หวะและทาํ นองเพลงรองเงง็ งำนประเพณสี ำรทเดือนสิบ เดือนสิบเป็ นประเพณีสําคญั ของชาวใตเ้ พื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผูล้ ่วงลบั ไปแลว้ ขนมท่ีขาดไม่ไดค้ ือ ขนมลา ขนมเจาะหู ขนมพอง ขนมบา้ และขนมกงหรือขนมไข่ปลา เทศกำลกระบีเ่ บิกฟ้ำอนั ดำมนั จัดตรงกับเดื อนพฤศจิกายนของทุกปี เพื่อส่ งเสริ มการท่องเที่ยวและ ประชาสัมพนั ธ์จงั หวดั เป็ นงานเปิ ดฤดูกาลท่องเท่ียวของจงั หวดั เริ่มจดั คร้ังแรกเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๙ มีกิจกรรมร่ืนเริงและการแสดงทางวฒั นธรรมหลากหลาย เทศกำลลำนตำลนั ตำ จดั ข้ึนเพื่อเป็ นการประชาสัมพนั ธ์ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะลนั ตา อนุรักษ์ วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ท่ีมีวฒั นธรรมประเพณีที่หลากหลาย คำขวญั ประจำจังหวดั กระบี่เมืองน่าอยู่ ผคู้ นน่ารัก ตรำประจำจังหวดั รูปกระบี่ไขว้ เบ้ืองหลงั มีภูเขาและทะเล กระบ่ีไขว้ หมายถึง อาวธุ โบราณซ่ึงมีผคู้ น้ พบในทอ้ งที่ จงั หวดั จาํ นวน ๒ เล่ม ภูเขา หมายถึง เขาพนมเบญจาซ่ึงเป็นภูเขาสูงสุดของกระบี่ ซบั ซอ้ นกนั ถึง๕ ยอด จึงเรียกวา่ พนมเบญจา มีเมฆปกคลุมตลอดเวลา และก้นั เขตแดนกบั จงั หวดั อื่น ส่วนทะเล หมายถึง อาณาเขตอีกดา้ นหน่ึงของกระบี่ซ่ึงติดกบั ฝ่ังทะเลอนั ดามนั หรือมหาสมุทรอินเดีย ต้นไม้ประจำจังหวดั ตน้ ทุง้ ฟ้า (Alstonia macrophylla)
๓๑ จากขอ้ มูลขา้ งตน้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ จงั หวดั กระบี่ มีความอุดมสมบูรณ์ ลอ้ มรอบดว้ ยทะเล ภูเขาและทรัพยากรป่ าไม้ มีประชากรที่เป็นชาวไทยพทุ ธ ชาวไทยมุสลิม และชาวเล เป็นสงั คมพหุ วฒั นธรร มท่ีเก้ือกูลซ่ึงกนั และกนั และจงั หวดั กระบ่ียงั มีกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลโอรังลาโวยจ ท่ีมีอตั ลกั ษณ์ โดดเด่น น่าศึกษา การท่ีจะศึกษาเรื่องกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบ่ี น้นั ผศู้ ึกษาจาํ เป็นตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจถึงสภาพแวดลอ้ มและวฒั นธรรมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบี่ ซ่ึงเป็นประโยชน์ใน การนาํ ไปใชว้ เิ คราะห์ในดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี ประวตั ิความเป็ นมาของกลุ่มชาติพนั ธุ์กระบ่ี ท่ีต้งั แหล่งท่ีอยอู่ าศยั พ้ืนท่ีทาํ กิน พ้ืนท่ีทางจิตวญิ ญาณ จาํ นวนประชากร ภาษา วฒั นธรรม การแตง่ กาย ประเพณี เทศกาล พิธีกรรม คติความเชื่อตาํ นาน ศิลปะการแสดง ศิลปิ น ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น การละเล่น วถิ ีชีวติ การประกอบ อาชีพ อาหารทอ้ งถิ่น และสภาพปัญหาอุปสรรคในแต่ละพ้ืนท่ี เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งที่ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ไดแ้ ก่ เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั จงั หวดั กลุ่มชาติพนั ธุ์ ชาวเล เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกบั จงั หวดั กระบี่ ทาํ ใหเ้ ขา้ ใจประเด็นที่ศึกษาไดช้ ดั เจนมากข้ึน และเป็นขอ้ มูล สาํ คญั ท่ีนาํ ไปใชป้ ระกอบการวเิ คราะห์เรื่องกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลใน จงั หวดั กระบ่ี ในประเด็นต่าง ๆ ตามที่ กาํ หนดไว้
๓๒ บทท่ี ๓ วธิ ีดำเนินกำรศึกษำค้นคว้ำ การศึกษาเร่ือง “กลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบี่” ผศู้ ึกษากาํ หนดวธิ ีดาํ เนินการศึกษา คน้ ควา้ ดงั ต่อไปน้ี แหล่งข้อมูลและกล่มุ ตวั อย่ำง แหล่งข้อมูล การศึกษาเรื่อง “กลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบ่ี” ผศู้ ึกษากาํ หนดพ้นื ท่ีในการเก็บขอ้ มูล คือ พ้นื ท่ีอาํ เภอเกาะลนั ตา ตาํ บลศาลาด่าน ไดแ้ ก่ หมู่ท่ี ๑ บา้ นโตะ๊ บาหลิว, บา้ นในไร่ หมู่ท่ี ๓ บา้ นคลองดาว ตาํ บลเกาะลนั ตาใหญ่ ไดแ้ ก่ หมูท่ ี่ ๑ บา้ นหวั แหลม และหมูท่ ่ี ๗ บา้ นสงั กาอู้ อาํ เภอ เหนือคลอง ตาํ บลเกาะศรีบอยา ไดแ้ ก่ หมู่ท่ี ๓ บา้ นมูตู บา้ นกลาโหม บา้ นโตะ๊ บุหรง และหมูท่ ่ี ๕ บา้ นติงไหร และอาํ เภอเมืองกระบ่ี หมูท่ ่ี ๘ ตาํ บลอ่าวนาง บา้ นแหลมตง กล่มุ ตัวอย่ำง การศึกษาเร่ือง“กลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบี่” ผศู้ ึกษาคดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ งดว้ ย วธิ ีการกาํ หนดคุณสมบตั ิที่ใชศ้ ึกษา ดงั ต่อไปน้ี ๑. ศึกษาขอ้ มูลจากผทู้ ี่มีความรู้ดา้ นวถิ ีชีวติ วฒั นธรรมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบี่ ๒. ศึกษาขอ้ มูลจากผรู้ ู้ในชุมชนท่ีเป็นกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลโดยกาํ เนิด มีอายุ ๔๐ ปี ข้ึนไป นอกเหนือจากผใู้ หข้ อ้ มูลหลกั แลว้ ผูศ้ ึกษายงั เก็บขอ้ มูลเพ่มิ เติมจากผใู้ หข้ อ้ มูลอ่ืน ๆ ท่ีมี คุณสมบตั ิเหมาะสม เพื่อใหข้ อ้ มูลในการศึกษามีความสมบูรณ์มากข้ึน เครื่องมือและอปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผศู้ ึกษาใชเ้ ครื่องมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดงั น้ี
๓๓ ๑. แบบสมั ภาษณ์เป็นขอ้ คาํ ถามซ่ึงใชเ้ ป็นเครื่องมือหลกั ในการรวบรวมขอ้ มูล เพือ่ ใช้ สมั ภาษณ์ผใู้ หข้ อ้ มูลหลกั ที่สาํ คญั และขอ้ คาํ ถามที่ใหส้ ัมภาษณ์บุคคลทวั่ ไปท่ีใหข้ อ้ มูลรองจาก ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งที่กาํ หนดไว้ เป็ นขอ้ มูลท่ีช่วยใหง้ านคร้ังน้ีมีคาํ ตอบที่สมบูรณ์ตามที่ กาํ หนดไวใ้ นวตั ถุประสงคข์ องการศึกษา จึงเป็ นการสมั ภาษณ์ขอ้ มูลกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบี่ ในประเด็นต่าง ๆ เช่น พ้ืนท่ีทาํ กิน พ้นื ที่ทางจิตวญิ ญาณ ประเพณี ภูมิปัญญา เป็ นตน้ เน่ือง ดว้ ยการศึกษาคร้ังน้ีใชใ้ นวธิ ีวศิ ึกษาเชิงมานุษยวทิ ยา ขอ้ คาํ ถามจึงมีลกั ษณะที่ยดื หยนุ่ ไดต้ ามความ เหมาะสม ดงั ตวั อยา่ งลกั ษณะขอ้ คาํ ถามในการเกบ็ ขอ้ มูลท่ีกล่าวไวข้ า้ งตน้ ๑.๑ ขอ้ มูลส่วนตวั ของผใู้ หข้ อ้ มูล เช่น ช่ือ-สกุล อายุ อาชีพ ท่ีอยปู่ ัจจุบนั เป็นตน้ ๑.๒ พ้ืนที่ทาํ กินอยบู่ ริเวณใดบา้ ง, การรักษาโรคแบบพ้ืนบา้ นมีอะไรบา้ ง ๒. เคร่ืองมือบนั ทึกขอ้ มูล การบนั ทึกลงในสมุด การบนั ทึกดว้ ยอุปกรณ์เทคโนโลยี คือ กลอ้ งถ่ายภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว และเครื่องบนั ทึกเสียง วธิ ีดำเนินกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๑. ศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งท้งั เอกสารท่ีใหค้ วามรู้พ้ืนฐานในการกาํ หนดหวั ขอ้ เรื่อง และเอกสารท่ีใชเ้ ป็ นหลกั ในงานศึกษาวจิ ยั โดยตรง ๒. ศึกษาความรู้เกี่ยวกบั พ้นื ที่ท่ีศึกษาโดยศึกษาเกี่ยวกบั สภาพภูมิศาสตร์ การปกครองและ อ่ืน ๆ ซ่ึงไดศ้ ึกษาจากเอกสารและบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งเป็ นสาํ คญั ๓. ติดต่อบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ ง เพอ่ื สอบถามขอ้ มูลที่เกี่ยวกบั การศึกษา และเพอื่ ขอความ อนุเคราะห์ใหช้ ่วยอาํ นวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ๔.รวบรวมขอ้ มูลกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบ่ีเชิงลึกดว้ ยการสมั ภาษณ์ ซ่ึงมีวธิ ีการ เกบ็ ขอ้ มูล คือ การจดบนั ทึก บนั ทึกเสียง บนั ทึกภาพเคลื่อนไหว และถ่ายภาพ กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล ๑. ถอดขอ้ มูลจากแถบบนั ทึกเสียง แลว้ บนั ทึกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร
๓๔ ๒. นาํ ขอ้ มูลท่ีไดม้ าตรวจสอบความถูกตอ้ ง สมบูรณ์ และเก็บขอ้ มูลเพิ่มเติมในส่วนท่ียงั ไม่ สมบูรณ์ ๓. วเิ คราะห์ขอ้ มูลตามขอบเขตเน้ือหาที่กาํ หนดไว้ ดงั น้ี ๓.๑ ประวตั ิความเป็นมาของกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบ่ี ๓.๒ ท่ีต้งั แหล่งที่อยอู่ าศยั ๓.๓ พ้นื ท่ีทาํ กิน ๓.๔ พ้นื ที่ทางจิตวิญญาณ ๓.๕ จาํ นวนประชากร ๓.๖ ภาษา ๓.๗ วฒั นธรรม ๓.๗.๑ ประเพณี เทศกาล ๓.๗.๒ พธิ ีกรรม ๓.๗.๓ คติ ความเชื่อ ตาํ นาน ๓.๗.๔ ศิลปะการแสดง ศิลปิ น ๓.๗.๕ ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน ๓.๗.๖ การละเล่น ๓.๗.๘ วถิ ีชีวติ ๓.๗.๘.๑ ที่อยอู่ าศยั ๓.๗.๘.๒ การแตง่ กาย
๓๕ ๓.๗.๘.๓ การรักษาโรค ๓.๗.๘.๔ อาหาร ๓.๗.๙ การประกอบอาชีพ ๓.๗.๑๐ และสภาพปัญหาอุปสรรคในแต่ละพ้นื ท่ี กำรเขยี นรำยงำนผลกำรวจิ ัย เสนอผลการศึกษาคน้ ควา้ ตามขอบเขตของเน้ือหาโดยวธิ ีการพรรณนาวิเคราะห์ ดงั หวั ขอ้ สอดคลอ้ งกบั หวั ขอ้ ในการวเิ คราะห์
๓๖ บทที่ ๔ กล่มุ ชำติพนั ธ์ุชำวเลในจังหวดั กระบ่ี การศึกษาเร่ือง “กลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลในจงั หวดั กระบ่ี ”ผศู้ ึกษานาํ เสนอผลการศึกษาในพ้ืนท่ี ตาํ บลศาลาด่าน อาํ เภอเกาะลนั ตา ไดแ้ ก่ หมู่ที่ ๑ บา้ นโตะ๊ บาหลิว, บา้ นในไร่ หมูท่ ่ี ๓ บา้ นคลอง ดาว ตาํ บลเกาะลนั ตาใหญ่ ไดแ้ ก่ หมูท่ ี่ ๑ บา้ นหวั แหลม และหมู่ท่ี ๗ บา้ นสงั กาอู้ อาํ เภอเหนือคลอง ตาํ บลเกาะศรีบอยา ไดแ้ ก่ หมู่ท่ี ๓ บา้ นมูตู บา้ นกลาโหม บา้ นโตะ๊ บุหรง และหมู่ที่ ๕ บา้ นติงไหร และอาํ เภอเมืองกระบี่ ตาํ บลอ่าวนาง หมู่ที่ ๘ บา้ นแหลมตง ในที่กาํ หนดไว้ 1. ประวตั คิ วำมเป็ นมำของกลุ่มชำติพนั ธ์ุชำวเลจังหวดั กระบ่ี ชาวเลอูรักลาโวย้ ท่ีมีถิ่นฐานเดิมอยทู่ ี่เมืองไทรบุรี รัฐเคดาร์ ประเทศสหพนั ธรัฐมาเลเซีย เป็น กลุ่มแรกที่อพยพมาอาศยั ที่เกาะลนั ตา ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา (ศิริวรรณ ศิลาพชั รนนั ท์ มปป.: ๑๖๙) แต่เป็นการอพยพมาต้งั ถิ่นฐานท่ีไม่ถาวรเพราะตอ้ งยา้ ยถ่ินไปหากินตามเกาะต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามฤดูกาล เม่ือหมดหนา้ มรสุมกก็ ลบั มายงั ที่อยเู่ ดิม การต้งั บา้ นเรือนของชาวเลจึง ต้งั อยใู่ นสภาพภูมิศาสตร์ที่ใกลช้ ายทะเล หมู่เกาะ หรืออ่าว เพราะสามารถหลบคลื่นลมไดด้ ีและ ยงั เหมาะกบั การประกอบอาชีพของชาวเลดว้ ย บรรพบุรุษชาวอูรักลาโวย้ ไดเ้ ขา้ มาต้งั หลกั แหล่งบนเกาะลนั ตา และเรียกเกาะน้ีวา่ ปูเลาตอขา้ หรือปาตยั ซาตก๊ั หมายถึง เกาะที่มีหาด ทรายขาวทอดตวั ยาว ( แมน้ วาด กุญชร ณ อยธุ ยา, ๒๕๕๐. ๗). ปัจจุบนั ปาตยั ซาต้กั ของชาวเลอู รักลาโวย้ คือ เกาะลนั ตาใหญ่ อาํ เภอเกาะลนั ตา จงั หวดั กระบี่ สอดลอ้ งกบั ท่ี อาภรณ์ อุกฤษณ์ (๒๕๓๒:๓๖ – ๓๘ ) ไดก้ ล่าวถึงการเขา้ มาอยอู่ าศยั ของชาวเลเกาะลนั ตา จงั หวดั กระบี่ วา่ ชาวเลเริ่มข้ึนบก มาสร้างบา้ นเรือนดา้ นชายทะเลฝั่งตะวนั ออกและทางทิศเหนือของเกาะ เช่น บา้ นเจะ๊ หลี บา้ นบ่อแหน เป็ นตน้ ต่อมากอ็ พยพเคล่ือนยา้ ยไปตามริมอา่ วชายฝั่งทะเลตะวนั ออก ทางใตข้ องเกาะ จนมาถึงบา้ นหวั แหลมกลาง และบา้ นหวั แหลมสุด บริเวณอ่าวมาเละ และอา่ ว คลองปอ เพราะไมช่ อบอยรู่ ่วมกบั ผคู้ นและสังคมที่ต่างวฒั นธรรม เช่น บา้ นทุง่ หยเี พง็
๓๗ เคยเป็นท่ีอยูอ่ าศยั ของชาวเลมาก่อน ต่อมามี โตะ๊ หยเี พง็ ซ่ึงเป็นโจรมุสลิม หนีตาํ รวจเขา้ มาอยู่ อาศยั บริเวณน้ี และสร้างความเดือดร้อนใหก้ บั ชาวบา้ นท่ีอยอู่ าศยั มาก่อน ชาวเลจึงอพยพ ออกไปอยบู่ า้ นทุ่งส้าน ทุง่ โต๊ะเขียว และบา้ นเจะ๊ หลี ก็เคยเป็นท่ีอยขู่ องชาวเลมาก่อนเช่นกนั ตอ่ มามีชาวมุสลิมที่หนีการเกณฑท์ หารจากสตูล ปลิส กลนั ตนั เขา้ มาจบั จองที่ดิน ทาํ ใหช้ าวเล ตอ้ งอพยพออกมา ส่วนบริเวณบา้ นบ่อแหน กเ็ คยเป็ นท่ีอยูอ่ าศยั ของชาวเลมาก่อน จากหลกั ฐาน คือ สุสานเก่าแก่ของชาวเล ท่ีบา้ นบ่อแหน และบริเวณใกลเ้ คียง ไดแ้ ก่ บา้ นทา่ ทุ่งนาค คลองดาว และคลองทราย สาํ หรับที่บา้ นบอ่ แหน ยงั มีศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว ซ่ึงเป็นศาลบรรพบุรุษของ ชาวเลกลุ่มบอ่ แหน และชาวเลท่ีอพยพไปทาํ มาหากินบริเวณบา้ นในไร่ แหลมคอกวาง และบา้ น คลองดาว ท่ีตอ้ งเดินทางมาสักการะเป็นประจาํ อีกท้งั ตลาดศรีรายาก็เคยเป็นที่อยอู่ าศยั ของ ชาวเลมาก่อน ก่อนที่ชาวมุสลิมและชาวจีนจะเขา้ มาอาศยั จึงเป็นเหตุใหช้ าวเลตอ้ งอพยพไปอยู่ บริเวณบา้ นหวั แหลมกลาง ปี พ.ศ.๒๕๑๒ สมเดจ็ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี ไดจ้ ดั ต้งั โรงเรียนสาํ หรับเดก็ ชาวเล โดยเฉพาะ และไดพ้ ระราชทานท่ีดิน เพื่อใหช้ าวเลมีท่ีอยเู่ ป็นหลกั แหล่ง ( เยาวลกั ษณ์ ศรีสุกใส ,๒๕๔๕: ๓๗) ท้งั ไดพ้ ระราชทานนามสกุล เช่น ทะเลลึก ชา้ งน้าํ หาญทะเล และประมงกิจ เป็นตน้ ใหแ้ ก่ชาวเลอีกดว้ ย ปี พ.ศ.๒๕๑๖ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดช ฯ ไดเ้ สด็จเยย่ี มราษฎรอาํ เภอ เกาะลนั ตา และมีพระราชดาํ รัสใหพ้ ระราชประทานท่ีดินใหช้ าวเลมีกรรมสิทธ์ิ และ พระราชทานอนุญาตใหช้ าวเลไดร้ ับการยกเวน้ การเขา้ รับการคดั เลือกเขา้ เป็นทหารเกณฑ์ 2. ทตี่ ้ังแหล่งท่อี ย่อู ำศัย ปัจจุบนั มีกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลจงั หวดั กระบ่ี กระจายตวั อยใู่ นพ้นื ที่ตา่ ง ๆ ดงั น้ี อาํ เภอ เกาะลนั ตา ตาํ บลศาลาด่าน หมู่ที่ ๑ บา้ นโตะ๊ บาหลิว, บา้ นในไร่ หมู่ท่ี ๓ บา้ นคลองดาว ตาํ บลเกาะลนั ตาใหญ่ หมู่ท่ี ๑ บา้ นหวั แหลม และหมูท่ ี่ ๗ บา้ นสังกาอู้ ในอาํ เภอเหนือ คลอง ตาํ บลเกาะศรีบอยา หมู่ท่ี ๓ บา้ นมูตู บา้ นกลาโหม บา้ นโตะ๊ บุหรง และหมูท่ ่ี ๕ บา้ น ติงไหร และอาํ เภอเมืองกระบ่ี ตาํ บลอา่ วนาง หมู่ท่ี ๘ บา้ นแหลมตง จากการศึกษาคน้ ควา้ และเก็บรวบรวมขอ้ มูลภาคสนาม กลุ่มชาติพนั ธุ์ชาวเลจงั หวดั กระบ่ี หมู่ท่ี ๑ บา้ นโตะ๊ บาหลิว สามารถเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลตามประเด็น ดงั น้ี
๓๘ ๑.๑ ประวตั ิควำมเป็ นมำของกลุ่มชำตพิ นั ธ์ุชำวเลบ้ำนโต๊ะบำหลวิ ชาวเลอูรักลาโวย้ บา้ นโตะ๊ บาหลิว เดิมอาศยั อยบู่ ริเวณบา้ นบอ่ แหนมาต้งั แต่บรรพบุรุษ ตอ่ มามีนายทุนเขา้ มาขอสัมปทานพ้ืนที่ป่ าชายเลนเพอื่ ตดั ไมโ้ กงกางนาํ ไปเผาถ่าน ทาํ ให้มี บุคคลภายนอกเขา้ มาอาศยั อยใู่ นพ้ืนที่บา้ นบ่อแหนมากข้ึน ชาวเลอูรักลาโวย้ จึงอพยพ เคลื่อนยา้ ยออกมาอยู่ ณ สถานท่ีแห่งใหม่ เพราะความรักสงบ และไมช่ อบอยรู่ ่วมกบั คนตา่ ง วฒั นธรรม ชุมชนบา้ นโตะ๊ บาหลิว จึงเป็นพ้นื ท่ีท่ีชาวเลกลุ่มบา้ นบอ่ แหนเขา้ มาต้งั หลกั แหล่ง อีกท้งั บริเวณน้ี ยงั เป็ นพ้ืนที่ประกอบพิธีกรรมลอยเรือ และเป็นที่จอดเรือของชาวเลบา้ นในไร่ และคลองดาว ชาวเลจึงตอ้ งมาสร้างท่ีพกั บริเวณรอบ ๆ ศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิวเพอื่ เฝ้าเรือ ปัจจุบนั ที่ดินบริเวณน้ีอยใู่ นเขตป่ าชายเลน ๑.๒ ทต่ี ้ังแหล่งทอี่ ย่อู ำศัย บา้ นโตะ๊ บาหลิว หมูท่ ่ี ๑ ตาํ บลศาลาด่าน อาํ เภอเกาะลนั ตา จงั หวดั กระบ่ี ๑.๓ พืน้ ทท่ี ำกิน ชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิว ทาํ ประมงในเขตเกาะหา้ เกาะรอก หลงั เกาะ กระดาน เกาะไหง เกาะพพี ี เกาะหมา ในเขตจงั หวดั กระบ่ี และบริเวณกะหรังเทียม (หรือปะการัง เทียมท่ีมีแทง่ ปูนส่ีเหล่ียมเป็นหลกั เพ่ือใหป้ ลาวางไข่) รวมถึงป่ าชายเลนใกลท้ ี่อยอู่ าศยั ๑.๔ พืน้ ทที่ ำงจิตวญิ ญำณ ไดแ้ ก่ ศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว หลาโตะ๊ เขียว (ต้งั อยทู่ ี่บา้ นหลงั แรก ในชุมชนบา้ นโตะ๊ บาหลิว) ส่วนบริเวณท่ีเรียกวา่ โล๊ะดุหยง (ศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิวเก่า) ปัจจุบนั อยใู่ น สวนปาลม์ ของเอกชน บา้ นบ่อแหน จะเป็นสถานท่ีประกอบพิธีกรรมต้งั ของเซ่นไหวต้ อนงานลอย เรือ บ่อคุรี สุสานเก่าบ่อแหน (ปาดก๊ั บูแนน) เปลวปาดก๊ั บลก๊ั บลกั๊ (ทุ่งตวั นาก) เปลวปาดก๊ั ซอ้ ย (ต้งั อยใู่ กลเ้ กาะลนั ตานอ้ ย) ปัจจุบนั สุสานท่ีฝังศพอยบู่ ริเวณคลองสองปาก บา้ นในไร่ และบริเวณ ชุมชนบา้ นโตะ๊ บาหลิวยงั เป็นสถานที่ประกอบพธิ ีกรรมลอยเรือประจาํ ปี ของชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิว บา้ นในไร่และบา้ นคลองดาว
๓๙ ๑.๕ จำนวนประชำกร มีชาวเลอยอู่ าศยั ประมาณ ๓๘ ครัวเรือน จาํ แนกไดด้ งั น้ี ชาย ๘๐ คน หญิง ๗๖ คน รวมเป็ น ๑๕๖ คน ๑.๖ ภำษำ ภาษาชาวเลอูรักลาโวย้ ในบา้ นโตะ๊ บาหลิว ที่ใชส้ ื่อสารในชีวติ ประจาํ วนั จะมี แต่ภาษาพูดแตไ่ ม่มีภาษาเขียน จะมีคาํ ศพั ทท์ ่ีเขา้ ใจกนั เฉพาะกลุ่มแสดงถึงอตั ลกั ษณ์ของกลุ่มชาติ พนั ธุ์ เช่น กีกี หมายถึง ฟัน กากี หมายถึง เทา้ ปาฮู หมายถึง เรือ ตาลี หมายถึง เชือก ยาลา หมายถึง แห การับ หมายถึง เกลือ กูลา หมายถึง น้าํ ตาล ซูดู หมายถึง ชอ้ น บาเตน หมายถึง ขนั น้าํ ราฆา หมายถึง ตะกร้า ดกั ดกั หมายถึง รถจกั รยานยนต์ อารัก หมายถึง ถ่านไฟ บาจดั หมายถึง กะปิ เป็นตน้ ๑.๗ วฒั นธรรม ๑.๗.๑ ประเพณี/เทศกำล ชุมชนชาวเลโตะ๊ บาหลิว จะมีประเพณีที่สาํ คญั คือ ประเพณี ลอยเรือปาจกั๊ และประเพณีเปอตดั ฌีไร้ เป็นประเพณีสาํ คญั ของกลุ่ม
๔๐ ประเพณเี ปอตัดฌีไร้ (ประเพณีการแตง่ เปลว) เป็ นการทาํ ความสะอาด บูรณะ ซ่อมแซม เปลวหรือสุสานท่ีฝังศพ และหลุมศพของแตล่ ะครอบครัวแต่ละสายสกลุ พธิ ีจดั ใน วนั ข้ึน ๗ ค่าํ เดือน ๔ ของทุกปี หลงั จากที่ครอบครัวทาํ ความสะอาดสุสานและหลุมฝังศพเสร็จ แลว้ โตะ๊ หมอจะเป็ นผปู้ ระกอบพธิ ีบูชาบรรพบุรุษดว้ ยการนาํ เครื่องเซ่นไหว้ และอาหาร ท่ี สมาชิกนาํ มาร่วมประกอบพิธี เมื่อเสร็จพิธีแลว้ จะมีการรับประทานอาหารร่วมกนั ร่วมสนุก ดว้ ยการร้องราํ ทาํ เพลงจากวงราํ มะนา เพราะเช่ือกนั วา่ บรรพบุรุษจะมาร่วมสนุกกบั บรรดา ลูกหลานดว้ ย ประเพณลี อยเรือ (อำรีปำจ๊ัก) จดั ในช่วงวนั ข้ึน ๑๓ ค่าํ ถึงวนั แรม ๑ ค่าํ เดือน ๖ และเดือน ๑๑ ตามปฏิทินจนั ทรคติ ระยะเวลาจดั งานเป็ นเวลา ๓ วนั โดยมีข้นั ตอนพิธีกรรม สรุปได้ ดงั น้ี วนั ข้ึน ๑๓ ค่าํ ผหู้ ญิงจะเตรียมทาํ ขนมบวั ลอย ๗ สี เพ่ือใชใ้ นพธิ ี ผชู้ ายจะสร้างท่ี พกั ชว่ั คราวในบริเวณลานพิธี และจะไปรวมตวั กนั ท่ีศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว เพ่ือเซ่นไหว้ บอก กล่าว และเชิญใหบ้ รรพบุรุษมาร่วมในงานพิธี วนั ข้ึน ๑๔ ค่าํ ผชู้ ายจะเดินทางไปตดั ไมต้ ีนเป็ดมาทาํ “เรือปลาจก๊ั ” และไมร้ ะกาํ มาทาํ “ตุก๊ ตาไม”้ เม่ือไดไ้ มม้ าแลว้ กจ็ ะมีพิธีแห่รอบศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว ก่อนจะนาํ ไป ประกอบเป็นเรือปลาจกั๊ ท่ีมีความยาวประมาณ ๔ เมตร หรือมากกวา่ น้นั พร้อมท้งั ตกแต่ง เรือใหส้ วยงาม ช่วงบา่ ยจะมีการแห่เรือมายงั สถานท่ีประกอบพิธีกรรม จากน้นั ชาวเลจะนาํ อาหารและส่ิงของตา่ ง ๆ เช่น ขา้ วเปลือก ขา้ วสาร กะปิ เกลือ ไมข้ ีดไฟ หมาก พลู ใบจาก เงิน เลบ็ ผม เป็ นตน้ รวมท้งั ตุ๊กตาไมร้ ะกาํ แกะสลกั ต่างตวั เท่ากบั จาํ นวนคนในบา้ น ใส่ลง ไปในเรือปาจก๊ั ส่วนผหู้ ญิงจะเตรียมขนม ๗ สี ท้งั สุกและดิบ ขา้ วเหนียว ๗ สี หมาก พลู ใบจาก ยาเส้น ไก่ยา่ ง ไขไ่ ก่ดิบ กาํ ยาน ขา้ วตอก เทียน เงิน เครื่องใชไ้ มส้ อยและของจาํ เป็น อื่น ๆ เพือ่ ใชใ้ นพิธีบวงสรวงวญิ ญาณบรรพบุรุษในเวลาประมาณส่ีโมงเยน็ โดยมีโตะ๊ หมอ เป็นผปู้ ระกอบพธิ ีกรรม ตกกลางคืน ประมาณ ๑ ทุ่ม จะมีการฉลองเรือดว้ ยดนตรีและ เพลงรํามะนา วนั ข้ึน ๑๕ ค่าํ เชา้ มืด ชาวเลจะมารวมตวั กนั เพอ่ื นาํ เรือลอยออกไปจากฝั่ง เม่ือนาํ เรือ ลอยออกไปจากหมู่บา้ นไกลพอสมควรแลว้ กป็ ล่อยเรือลงน้าํ และเดินทางกลบั โดยมีขอ้
๔๑ แมว้ า่ หา้ มหนั กลบั ไปมองเรือปลาจก๊ั อีก ช่วงบา่ ยผชู้ ายจะไปตดั ไมแ้ ละหาใบกะพอ้ เพอ่ื ท ไมป้ าดกั๊ หรือไมก้ นั ผี และตอนกลางคืนกจ็ ะมีพธิ ีฉลองเหมือนคืน ๑๔ ค่าํ พอใกลส้ วา่ ง โตะ๊ หมอจะทาํ พธิ ีเสกน้าํ มนต์ ทาํ นายโชคชะตา และสะเดาะเคราะห์ใหค้ นที่เขา้ ร่วมพธิ ี ก่อนจะอาบน้าํ มนต์ และแยกยา้ ยกนั กลบั บา้ น พร้อมกบั นาํ ไมป้ าดกั๊ ไปปักรอบบริเวณ หมู่บา้ น หลงั พิธีลอยเรือหา้ มทุกคนออกทะเลเป็ นเวลาหน่ึงวนั ประเพณีลอยเรือปลาจกั๊ จดั ข้ึนเพอ่ื ลอยเคราะห์และส่งวญิ ญาญบรรพบุรุษกลบั ไป”ฆู นุงฌีไร” (ภูเขาตน้ ไทร ในรัฐไทรบุรี ประเทศสหพนั ธรัฐมาเลเซีย) ซ่ึงชาวเลเช่ือวา่ เป็น ดินแดนศกั ด์ิสิทธ์ิที่บรรพบุรุษเคยอยอู่ าศยั และชาวเลตอ้ งทาํ พิธีลอยเรือ “ปลาจกั๊ ” เพ่ือเซ่น สรวงทุกคร้ังท่ีลมมรสุมพดั เปลี่ยนทิศทาง และประเพณีน้ียงั ทาํ ใหญ้ าติพีน่ อ้ งที่อยูต่ า่ งถิ่น ตา่ งทิศไดม้ ีโอกาสพบปะกนั องคป์ ระกอบในงานประเพณีลอยเรือ ไดแ้ ก่ พิธีบูชาเซ่นไหวบ้ อกกล่าวหลาโตะ๊ (ศาล บรรพบุรุษ) แห่ไม้ การต่อเรือ แห่เรือ พธิ ีทาํ น้าํ มนตแ์ ละอาบน้าํ มนต์ การสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่ าส่ิงชวั่ ร้ายใหอ้ อกไปจากชุมชน หมดทุกขโ์ ศกโรคภยั และมีโชคลาภในการทาํ มาหา กิน ประเพณแี ต่งงำน ในอดีตหนุ่มสาวชาวเลจะแต่งงานอายปุ ระมาณ ๑๔ – ๑๘ ปี และมีพิธีสู่ขอหม้นั หมาย โดยผใู้ หญ่ฝ่ ายชายจะไปขอถึง ๓ คร้ัง ถา้ ตอบรับกจ็ ะไปขอหม้นั หรือ “ปากยั ตูนงั ก่อนแต่ง ๓ วนั ฝ่ ายชายจะตอ้ งอาสาทาํ งานบา้ นผหู้ ญิง เช่น หาน้าํ ผา่ ฟื น เป็นตน้ วนั แตง่ งานขบวนแห่จะใหเ้ จา้ บ่าวข่ีคอเดินวนซา้ ยรอบบา้ นเจา้ สาว ๓ รอบ ก่อน ยา่ งเขา้ ประตูบา้ นผใู้ หญฝ่ ่ ายเจา้ สาวจะถามวา่ มีเรือไหม มีแหไหม มีฉมวกไหม เจา้ บ่าวตอบ วา่ “มี” ก็จะมีคนลา้ งเทา้ ใหก้ ่อนขา้ มเขา้ ธรณีประตู เพอื่ นเจา้ บา่ วจะนาํ เส่ือและหมอนไปวาง ในหอ้ งเจา้ สาว เจา้ บ่าวถามจะประแป้งใหแ้ ขกที่มาร่วมงาน วนั รุ่งข้ึนพอ่ แม่และญาติพ่ี นอ้ งจะส่งตวั เจา้ บา่ วเจา้ สาวลงเรือไปผจญภยั ตามเกาะตา่ ง ๆ โดยมีขา้ วสาร น้าํ จืด เครื่องมือ จบั ปลาไปดว้ ย เพือ่ พิสูจน์วา่ ฝ่ ายชายจะสามารถเล้ียงดูภรรยาได้ ขาไปผชู้ ายจะเป็นคน กรรเชียงเรือโดยใหผ้ หู้ ญิงนง่ั หวั เรือ ขากลบั ผหู้ ญิงจะเป็นฝ่ ายกรรเชียงเรือใหผ้ ชู้ ายนง่ั หวั เรือ เป็นท่ีเขา้ ไดไ้ ด่วา่ ท้งั คู่เป็ นสามีภรรยาตามพฤตินยั แลว้ เมื่อแตง่ แลว้ ฝ่ ายชายจะตอ้ งเขา้
๔๒ ไปอยบู่ า้ นฝ่ ายหญิง (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔: ๑๙๙) ปัจจุบนั ชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิว จะมี พิธีแตง่ งานที่คลา้ ยกบั คนไทยพ้นื ถิ่น เริ่มต้งั แตห่ นุ่มสาวชอบพอกนั ใหผ้ ใู้ หญ่ไปสู่ขอ มี สินสอดของหม้นั มีงานเล้ียงในหมู่ญาติและคนรู้จกั งานเล้ียงจะข้ึนอยกู่ บั ฐานะของคูบ่ ่าว สาว บางคูก่ ็มีการกินเล้ียงที่บา้ น อาหารในงานเล้ียง เช่นปลาทอด น้าํ ชุบหยาํ แกงไก่ แกง หมู เป็นตน้ จะมีพิธีรดน้าํ ให้พร โดยมีโตะ๊ หมอเป็ นผทู้ าํ พิธี และญาติผใู้ หญ่ ชุดแตง่ งาน ของคู่บ่าวสาวก็เป็นไปตามสมยั นิยม ช่วงอายขุ องการแต่งงานจะอยทู่ ่ียส่ี ิบปี ข้ึนไป จะมี การแต่งงานงานระหวา่ งกลุ่มชาวเลดว้ ยกนั เองและตา่ งกลุ่ม และหลงั จากแตง่ งานแลว้ การที่ จะอยบู่ า้ นของฝ่ ายไหนกข็ ้ึนอยกู่ บั สะดวกและสถานที่ทาํ งานของฝ่ ายน้นั ประเพณสี ำรทเดือนสิบ ในอดีตชาวเลจะนาํ ของทะเล เช่น ปลาเคม็ ปลายา่ ง ปะการัง กลั ปังหา เปลือกหอย และกาํ ไลกระไปแลกเปลี่ยนกบั เส้ือผา้ อาหาร ในวนั สารทไทยหรือ สารทเดือน ๑๐ ของชาวไทยพทุ ธ และร่วมประเพณีชิงเปรต เพ่ือเกบ็ ขนมพอง ลา ขา้ วปลา อาหาร และเงิน เพราะชาวเลเช่ือวา่ ตอ้ งไปรับบุญเพื่อไม่ใหว้ ญิ ญาณบรรพบุรุษอดอดอยาก โดยจะเดินทางไปก่อนล่วงหนา้ ๒ – ๓ วนั ๗.๒.๑ พธิ ีกรรม พธิ ีศพ เมื่อมีสมาชิกในชุมชนเสียชีวติ จะก่อกองไฟไวห้ นา้ บา้ นผตู้ าย และจดั วาง อาหารไวห้ นา้ กองไฟตลอด ๓ วนั ๓ คืน ถา้ เสียชีวติ ในช่วงเชา้ จะฝังศพตอนเยน็ ถา้ เสียชีวติ หลงั เท่ียงวนั จะทาํ พธิ ีฝังในวนั รุ่งข้ึน ผูช้ ายจะช่วยกนั ทาํ โลง และมีการอาบน้าํ ศพ โดยโตะ๊ หมอจะอาบใหเ้ ป็นคนแรก ต่อดว้ ยญาติพน่ี อ้ ง เพอื่ นบา้ น หลงั จากน้นั จะแต่งตวั ใหผ้ ตู้ าย และทาน้าํ มนั หอมก่อนบรรจุลงในโลงศพที่ปูดว้ ยเสื่อ และใชผ้ า้ ขาวยาว ๙ ศอก คลุมบนศพ นาํ ขา้ วของเครื่องใชข้ องผูต้ ายใส่ไปในโลงศพดว้ ย แลว้ แห่ศพไปฝังยงั สุสาน เมื่อโตะ๊ หมอ ทาํ พธิ ี ญาติพ่ีนอ้ งจะช่วยกนั กลบหลุมศพ และปลูกมะพร้าวที่มีหน่อไวป้ ลายเทา้ ศพ หลงั จากน้นั อีก ๓ วนั จะเล้ียงอาหาร ดบั กองไฟ และทาํ บุญผตู้ ายอีกคร้ัง ในพธิ ีแตง่ เปลว (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔: ๒๐๑) ไหว้หวั เรือ หรือกำรทำนูหรีเรือ จะทาํ ตอนท่ีนาํ เรือเขา้ มาซ่อม หรือเม่ือเรือชาํ รุด เช่น ทาสีใหม่ ตอกหมนั เรือ ก่อนซ่อมจะมีการทาํ นูหรีเล้ียงคน โดยมีความเชื่อวา่ ถา้ มีคนมา
๔๓ ร่วมงานบุญนูหรีมาก กจ็ ะทาํ ใหต้ อนออกไปหาสัตวน์ ้าํ จะไดม้ ากเช่นกนั อาหารที่จดั เล้ียง ไดแ้ ก่ ขา้ ว หม่ีผดั เหนียวเหลือง ไก่ตม้ โดยมีโตะ๊ หมอเป็ นผปู้ ระกอบพธิ ีกรรมให้ ๗.๒.๓ พิธีแกบ้ น (แกเ้ หมรย) ชาวเลจะมีการแกบ้ น เพราะไดบ้ นบานศาลกล่าวกบั ส่ิงเหนือธรรมชาติที่ตนเคารพนบั ถือวา่ ใหต้ นเองและครอบครัวหายจากการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย หรือประสบผลสาํ เร็จในเรื่องใดเรื่องหน่ึง ถา้ เป็ นไปเป็นตามที่ไดข้ อหรือบนบานไว้ กต็ อ้ ง มาแกบ้ นตามที่ไดพ้ ูดไว้ เช่น บนวา่ ถา้ หายป่ วยจะจดั ใหม้ ีการแสดงรํามะนา หรือถวาย อาหารคาวหวาน ก็ตอ้ งมาทาํ ตามท่ีไดใ้ หพ้ นั ธะสญั ญาไว้ ๑.๗.๓ คติ ควำมเช่ือ ตำนำน ความเช่ือเรื่องฟ้าแดง ในเวลาหา้ หรือหกโมงเยน็ ถา้ เกิดฟ้าเป็นสีแดงหรือสีส้มโดย ไมม่ ีฝนต้งั เคา้ ให้รีบเขา้ บา้ นเพราะจะเกิดส่ิงไม่ดี ความเชื่อเรื่องหา้ มคนทอ้ งนงั่ ขวางประตูในเวลาฟ้าแดง และเวลาทวั่ ไป เพราะจะ ทาํ ใหค้ ลอดยาก ความเชื่อเรื่องใหค้ นทอ้ งกลดั เขม็ กลดั ไวท้ ี่เส้ือบริเวณเหนือสะดือ กลดั ไวจ้ นคลอด เพ่ือป้องกนั ภูติผปี ี ศาจ และป้องกนั เด็กหลุดออก ความเช่ือการวางอวน ตอนซ้ืออวนมาใหม่ ตอ้ งเอามารมควนั กาํ ยานแลว้ อธิษฐาน กบั เจา้ ทะเล เจา้ บาดาล เจา้ สมุทร เจา้ แม่คงคา ลูกหลานจะเอาเคร่ืองมือน้ีลงทะเลแลว้ ขอให้ ไดส้ ัตวน์ ้าํ มาก ๆ แลว้ จะถวายเน้ือ หรือแลว้ แต่จะบนบานไว้ ความเชื่อเร่ืองตดั ไมร้ ะกาํ หรือไมต้ ีนเป็ดเพื่อใชใ้ นพธิ ีลอยเรือ หา้ มลบหลู่สิ่ง ศกั ด์ิสิทธ์ิ หา้ มพูดจาไมด่ ี ความเช่ือเร่ืองพลิกแผน่ ดิน ตอ้ งขดุ ดินใตถ้ ุนบา้ น เอามาประมาณ ๓ กาํ มือ ตอนขดุ อยา่ ใหห้ นา้ ดินพลิก ตอ้ งใหห้ นา้ ดินอยดู่ า้ นบนเสมอ แลว้ เอาใหโ้ ตะ๊ หมอทาํ พิธี โตะ๊ หมอจะ พลิกหนา้ ดินเอาไวล้ ่าง แลว้ นาํ ไปวางไวท้ ี่เดิม ทาํ ในกรณีเกิดเร่ืองไมด่ ีในครอบครัว ถูกไสย ศาสตร์ อยไู่ ม่เป็ นสุข เจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย หรือเกิดอุบตั ิเหตุอยบู่ ่อยคร้ัง
๔๔ ตาํ นาน เช่น กาํ เนิดอูรักลาโวย้ กาํ เนิดปลาดุยง (ดุหยง) หรือปลาพยนู ตาํ นานคลื่น เจด็ ลูก หรือ อูมะฮ จูโญฮ ตาํ นานโตะ๊ บุหรง เป็นตน้ ๑.๗.๔ ศิลปะกำรแสดง รองเงง็ การร้องและรําคลา้ ยคลึงกบั การเล่นราํ มะนา บทเพลงจะขบั เป็นภาษา มลายกู ลาง จะเร่ิมตน้ ดว้ ยเพลงลาฆูดูวอ จะเล่นเพลงอื่น ๆ ไปตามลาํ ดบั รำมะนำ เป็นการแสดงพ้นื บา้ น เป็นการไหวค้ รูของชาวเลต่อบรรพบุรุษที่เสียชีวติ ไปแลว้ จะใชเ้ ล่นในงานลอยเรือ แต่งเปลว แกบ้ น เคร่ืองดนตรีประกอบกว้ ย กลอง รํามะนา ๒ – ๓ ใบ กลองทน ๒ ใบ ซอหรือไวโอลิน ๑ ตวั อาจจะเพ่มิ ฉิ่งหรือฉาบก็ได้ ๑.๗.๕ ภูมปิ ัญญำท้องถิ่น ภูมิปัญญาของชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิวที่ใชใ้ นการประกอบ อาชีพ ไดแ้ ก่ การทาํ บูบูอีกดั (ไซปลา) การทาํ บูบูนุยฮ (ไซปลาหมึก) การทาํ ปูกยั จ ฮูรัก (อวนกุง้ ) ภูมิปัญญาดา้ นกระแสน้าํ ทิศทางลม การโคจรของดวงจนั ทร์และดวงดาว ภูมิ ปัญญาดา้ นหตั ถกรรม ไดแ้ ก่ การตอ่ เรือปลาจก๊ั การจกั สานฝาบา้ น เยบ็ จากมุงหลงั คาบา้ น จกั สานราฆา (ตะกร้าหวายไวเ้ กบ็ หอย) ๑.๗.๖ กำรละเล่น ในอดีตเมื่อสามสิบกวา่ ปี เดก็ ผหู้ ญิงชาวเลจะเล่น หมากหยอดหลุม หมากเกบ็ เล่นกระโดดยาง เด็กผชู้ าย เล่นซ่อนแอบ เล่นตาํ รวจจบั ผรู้ ้าย เล่นยงิ ปื น ส่วน เดก็ ชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิวในปัจจุบนั มีการละเล่นตามสมยั นิยมเหมือนคนทว่ั ไป เช่น เล่นขาย ขา้ วแกง ขายก๋วยเตี๋ยว ร้องเพลงเตน้ รํา เล่นเป็ นครูสอนเด็ก เล่นตุก๊ ตา ส่วนเด็กผชู้ าย เล่นน้าํ ข่ีคอกระโดด เล่นยงิ ปื น ตกเบด็ เป็นตน้ ๑.๗.๗ วถิ ีชีวติ ทอ่ี ย่อู ำศัย ชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิว สร้างบา้ นอยรู่ ิมทะเลดา้ นทิศตะวนั ตกเฉียง เหนือของเกาะลนั ตาใหญ่ เป็ นดา้ นตรงขา้ มกบั ท่ีจอดเรือหลบพายุ มีป่ าชายเลนขนาบอยู่ หลงั หมูบ่ า้ น มีสะพานขา้ มคลองเขา้ ไปในชุมชน ปัจจุบนั บา้ นเรือนไดซ้ ่อมแซมใหม่ ฝา บา้ นเปลี่ยนเป็นฝาขดั แตะ ผา้ ยาง หรือสังกะสี หลงั คามุงสงั กะสี โครงหลงั คาทาํ ดว้ ยไมท้ ี่
๔๕ หาไดใ้ นพ้ืนที่ มีเสาบา้ นสร้างดว้ ยไมย้ นื่ ลงไปในทะเล พ้นื บา้ นยกสูงเหนือน้าํ ระดบั เดียวกบั ถนนหนา้ บา้ น ส่วนพ้ืนบา้ นปูดว้ ยเศษไมก้ ระดาน กำรแต่งกำย ในอดีตชาวเลจะแตง่ กายดว้ ยเส้ือผา้ ไมม่ ากชิ้น ผชู้ ายนุ่งผา้ ขาวมา้ ผนื เดียว หรือกางเกงชาวเลผา้ ขาวมา้ คาดเอว ไม่สวมเส้ือ ผหู้ ญิงเมื่ออยบู่ า้ นจะนุ่งผา้ กระโจม อก ไมส่ วมเส้ือ ถา้ ออกไปขา้ งนอกจะสวมเส้ือและนุ่งผา้ ปาเตะ๊ สีสด ๆ ปัจจุบนั ชาวเลส่วน ใหญแ่ ต่งกายตามสมยั นิยม ผชู้ ายใส่เส้ือยดื กางเกงยนี ส์ ส่วนผหู้ ญิงใส่เส้ือผา้ ตามแฟชนั่ ชอบสีสดใส แต่งหนา้ ยอ้ มสีผม และชอบใส่ เคร่ืองประดบั ส่วนชาวเลสูงวยั ผชู้ ายถา้ อยกู่ บั บา้ นจะนุ่งผา้ ขาวมา้ หรือกางเกงชาวเล ไม่สวมเส้ือ ส่วนผูห้ ญิงถา้ อยกู่ บั บา้ นจะนุ่งผา้ ปาเตะ๊ สวมเส้ือ กำรรักษำโรค ชาวเลมีความเช่ือวา่ การเจบ็ ป่ วย เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติหรือผี บรรพบุรุษ ถา้ เจบ็ ไขเ้ พียงเลก็ นอ้ ยก็จะรักษาเองดว้ ยสมุนไพร หรือให้โตะ๊ หมอรักษา และ ทาํ น้าํ มนต์ ปัจจุบนั ชาวเลเขา้ ถึงการรักษาโรคแผนปัจจุบนั มากข้ึน แต่การรักษาโรคแบบ พ้ืนบา้ นก็ยงั คงมีใชค้ วบคู่ไปกบั การรักษาแผนปัจจุบนั เช่น โรคตา จะใชน้ ้าํ จาํ นวนหน่ึงลา้ ง ครกและสากใหห้ มดรอยเครื่องแกงเป็นการลา้ งคร้ังแรก ส่วนคร้ังที่สองนาํ น้าํ มาลา้ งครก และสากอีกคร้ัง และนาํ น้าํ น้นั มาหยอดตาสักสองสามหยด หยอดคร้ังเดียว ไม่นานโรคตา แดงจะหาย หรือถา้ มีอาการไอ ใหเ้ อามะนาวอ่อนผา่ ซีกเอาปูนมาทาบาง ๆ แลว้ กิน อาการ จะทุเลาลง เดก็ ออ่ นเป็นไขห้ วดั ใหเ้ อาใบมะขาม และหวั หอมมาตม้ รวมกนั พอเดือดก็ยก ลงต้งั ไวใ้ หเ้ ยน็ แลว้ อาบใหเ้ ด็ก เด็กจะลดอาการตวั ร้อนลง เป็นตน้ อำหำร ในอดีตชาวเลจะมีอาหารทะเลเป็นอาหารหลกั ประเภท กุง้ หอย ปลา ปู ก้งั ปลาหมีก และเพรียงทะเล นาํ มาตม้ ยา่ ง เผา หรือกินสด ๆ เช่น หอยติเตบ (หอยนางรมตวั เลก็ ) ปัจจุบนั จะปรุงอาหารหลากหลายประเภท เช่น แกงมนั ปลา ยาํ หอยติบ แกงส้ม ผดั หมึกน้าํ ดาํ น้าํ ชุบหยาํ ปลาทอด แกงไก่ แกงหมู เป็ นตน้ ๓.๗.๘ กำรประกอบอำชีพ ชาวเลจะมีเรือประมงเป็นของครอบครัว เครื่องมือประมงท่ีชาวเล ใชใ้ นการประกอบาชีพ ไดแ้ ก่ ไซปลา ไซปลาหมึก อวนปู อวนกงุ้ อวนปลา อวนจบั กุง้ เคย (อวนลอ้ ม) ซ่ึงเคร่ืองมือแต่ละชนิดสามารถใชห้ มุนเวยี นกนั ไปตลอดฤดูกาล ปัจจุบนั ชาวเลหนั
๔๖ มาประกอบอาชีพอื่น ๆ ไดแ้ ก่ คา้ ขาย รับจา้ งทว่ั ไป เช่น แบกหาม ทาํ สวน ดายหญา้ ก่อสร้าง พนกั งานเสิร์ฟ แม่บา้ นในรีสอร์ทและโรงแรม เป็ นตน้ ๓.๗.๙ สภำพปัญหำอปุ สรรค ชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิวมีปัญหาดา้ นท่ีดินที่อยอู่ าศยั เพราะสร้าง ท่ีอยอู่ าศยั อยใู่ นเขตป่ าชายเลน บา้ นมีสภาพที่ไมม่ น่ั คงไม่แขง็ แรง สภาพแวดลอ้ มและความ เป็นอยแู่ ออดั ห้องน้าํ หอ้ งสุขาไม่ถูกสุขลกั ษณะ ปัญหาดา้ นสาธารณูปโภค น้าํ ปะปาเขา้ ไม่ถึง ตอ้ งซ้ือน้าํ จืดเพื่ออุปโภคและบริโภคในราคาแพง และกระแสไฟฟ้าไมเ่ พียงพอ ทาํ ใหต้ อ้ งจา่ ย ค่าไฟฟ้าในราคาท่ีแพงกวา่ ปกติ ตอ้ งเฉล่ียจ่ายค่าไฟฟ้าร่วมกนั ในชุมชน ปัญหาดา้ นพ้ืนที่ทาง จิตวิญญาณ สุสานคลองสองปาก หมู่ท่ี ๑ ตาํ บลศาลาด่าน เป็นท่ีฝังศพและประกอบพิธีกรรม ของชาวเลบา้ นโตะ๊ บาหลิว ยงั ไมม่ ีแนวเขตสุสานที่ชดั เจน ทาํ ใหไ้ ม่มีเอกสารสิทธ์ิในท่ีดิน และ พ้ืนที่สุสานบา้ นบ่อแหน หมู่ท่ี ๕ ตาํ บลศาลาด่าน ซ่ึงเป็นท่ีฝังศพของบรรพบุรุษชาวเลพ้ืนที่ อาํ เภอเกาะลนั ตา ปัจจุบนั อยใู่ นพ้ืนที่ของเอกชนเป็ นผถู้ ือครองเพราะมีเอกสารสิทธ์ิที่ดิน ทาํ ให้ ไมส่ ามารถเขา้ ไปประกอบพิธีกรรมได้ ปัญหาเรื่องการทาํ มาหากินและการเขา้ ถึงทรัพยากร เพราะถูกจบั จอง ครอบครอง และประกาศเป็นพ้นื ที่คุม้ ครอง ปัญหาขยะมูลฝอย ปัญหาท่ี เกี่ยวเน่ืองกบั การศึกษาเรียนรู้ ท่ีจะสนบั สนุนการศึกษาในระดบั ท่ีสูงข้ึน และสนบั สนุนอาชีพท่ี ต่อยอดจากความรู้และทกั ษะที่มีอยู่ ปัญหาการขาดความมน่ั ใจและภูมิใจในวถิ ีวฒั นธรรม ด้งั เดิม เช่น ศิลปะการแสดง การสืบทอดภาษาอูรักลาโวย้ เป็นตน้ บ้ำนในไร่ เป็นกลุ่มชาวเลที่อพยพมาจากบา้ นบ่อแหน ซ่ึงเป็นท่ีอยดู่ ้งั เดิมของบรรพบุรุษ ตอ่ มามีนายทุนเขา้ มาขอสมั ปทานป่ าชายเลนเพอื่ ทาํ นาํ ไมโ้ กงกางไปเผาถ่าน ทาํ ใหม้ ีคนจาก ภายนอกเขา้ มาอาศยั ทาํ กินในพ้ืนท่ีบา้ นบ่อแหนเป็ นจาํ นวนมาก ทาํ ใหช้ าวเลกลุ่มน้ีอพยพ ออกมาอยทู่ ี่บา้ นในไร่และบริเวณศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว ที่บา้ นในไร่ทางราชการไดจ้ ดั สรรท่ีดินให้ ชาวเลครอบครัวละ ๔ ไร่ เพื่อเป็นที่อยอู่ าศยั และมีทะเบียนบา้ น บ้านคลองดาว เป็นอีกพ้ืนที่ที่ชาวเลอพยพมาจากบา้ นบ่อแหน เช่นเดียวกบั ท่ีบา้ นโตะ๊ บา หลิว ในบา้ นในไร่ ดว้ ยเหตุผลเดียวกนั มาสร้างบา้ นพกั อาศยั บริเวณบา้ นคลองดาว
๔๗ บ้านหัวแหลม หรือบา้ นหวั แหลมกลาง หมู่ที่ ๗ ตาบลเกาะลนั ตาใหญ่ บา้ นหวั แหลมกลาง เป็นพ้นื ที่แรกสุดที่ชาวเลตดั สินใจมาต้งั รกรากบนพ้นื ดินท่ีเกาะลนั ตา และยงั เป็นชุมชนด้งั เดิม ท่ีมีชาวเลอูรักลาโวย้ รวมตวั กนั มากที่สุด เพราะบา้ นหวั แหลมเป็นสถานที่ที่ใชป้ ระกอบ พธิ ีกรรมสาคญั ของชาวเล บ้านสังกะอู้ สังกาอู้ มีความหมายวา่ ปลากระเบนราหู ซ่ึงชาวเลที่สงั กาอูเ้ ชื่อวา่ แต่เดิมที่ พวกเขายงั อาศยั อยใู่ นทะเล มีปลากระเบนราหูตวั หน่ึงไดน้ าทางใหพ้ วกเขามายงั เกาะลนั ตา และ ทาใหต้ ้งั ถิ่นฐานถาวรมาจนถึงปัจจุบนั มีกอ้ นหิน ท่ีเรียกกนั วา่ “อีสักกาอู้ (หินเหงือก)” ท่ี ชาวบา้ นนบั ถือ ศรัทธา วา่ เป็ นที่สถิตของปลากระเบนราหูตวั น้นั และเป็นเจา้ แห่งทอ้ งทะเล ชาวเลจึงขนานนามวา่ “โตะ๊ อีสกั กาอู”้ โดยชาวเลจะนาธงแดงไปปักเป็นสญั ลกั ษณ์ไวท้ ิ่กอง หิน และเพ่ือแสดงความเคารพ ปาตยั ซาตก๊ั หรือเกาะลนั ตาเป็ นแผน่ ดินแห่งแรกท่ีชาวเลอูรักลาโวย้ เขา้ มาต้งั ถิ่นฐาน ก่อน จะแยกยา้ ยถิ่นฐานไปยงั ที่อื่น ๆ เช่น เกาะจาํ เกาะพพี ี เกาะสิเหร่ หาดราไวย์ เกาะอาดงั เกาะหลี เป๊ ะ กลุ่มชาวเลจึงถือวา่ เกาะลนั ตาคือเมืองหลวงของพวกเขา (นฤมล ขนุ วชี ่วย ๒๕๕๔ : ๑-๒) ๑.๔ ประวตั ิควำมเป็ นมำของกลุ่มชำติพนั ธ์ุชำวเลบ้ำนหัวแหลม ชาวเลบา้ นหวั แหลม เดิมเคยต้งั เพงิ พกั อาศยั ยา่ งปลา หุงหาอาหาร หลบพายบุ ริเวณตลาด ศรีรายา เมื่อหมดหนา้ มรสุมก็อพยพออกไปทาํ มาหากินในทอ้ งทะเลและตามเกาะแก่งตา่ ง ๆ และหวนกลบั มาพกั อาศยั อีกเม่ือถึงหนา้ มรสุม แต่เม่ือหวนกลบั มาก็พบวา่ มีชาวมุสลิมมาอาศยั อยแู่ ลว้ จึงขยบั ไปใชพ้ ้นื ที่อา่ วถดั ไป คือบริเวณหวั แหลมแค่ (หวั แหลมใกล)้ ต่อมามีชาวจีนเขา้ มาอยอู่ าศยั บริเวณตลาดศรีรายา ชาวมุสลิมเลยขยบั ไปใชพ้ นิ้ ที่บริเวณหวั แค่ (หวั แหลมใกล)้ ชาวเลจึงตอ้ งขยบั ขยายไปสร้างท่ีพกั อาศยั บริเวณหวั แหลมกลาง ในอดีตมีชาวเลอยกู่ นั ประมาณ ๔๐ – ๕๐ ครัวเรือน แต่กม็ ีสาเหตุที่ทาํ ใหช้ าวเลบา้ นหวั แหลมตอ้ งอพยพอีก เช่น ประมาณปี พ.ศ.๒๔๘๐ ชาวเลบา้ นหวั แหลมพาลูกหนีการเขา้ โรงเรียนบา้ ง หนีการเกณฑท์ หารบา้ ง หนี โรคระบาดบา้ ง ก่อนไปก็ขายที่ดินใหค้ นอื่น เมื่ออพยพกลบั มากต็ อ้ งอาศยั ในท่ีดินท่ีขายใหค้ น อ่ืนไปแลว้ ในปี พ.ศ.๒๔๙๙ ชาวเลบา้ นหวั แหลมมีสิทธ์ิไดร้ ับสาํ เนาทะเบียนบา้ นในฐานะคน
๔๘ ไทย และตอ้ งเขา้ รับการคดั เลือกทหาร ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ ชาวเลคนหน่ึงไดร้ ับการคดั เลือก ทหารไมส่ ามารถผอ่ นผนั ได้ จึงหนีไปอยทู ่ีเกาะอ่ืน ทาํ ใหช้ าวเลคครอบครัวอ่ืน ๆ ทยอยตามไป จนบา้ นหวั แหลมแทบไม่มีชาวเลเหลืออยู่ แต่หลงั จากน้นั ก็หวนกลบั มาอีกแมจ้ ะมีปัญหาเร่ือง ท่ีดิน (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔:๗๘ – ๗๙) ๑.๒ ทต่ี ้ังแหล่งทอ่ี ย่อู ำศัย บา้ นหวั แหลม หมูท่ ่ี ๑ ตาํ บลเกาะลนั ตาใหญ่ อาํ เภอเกาะลนั ตา จงั หวดั กระบี่ ๑.๓ พืน้ ทที่ ำกนิ ชาวเลบา้ นหวั แหลม ทาํ ประมงในเขตเกาะหา้ เกาะรอก หลงั เกาะ กระดาน เกาะไหง เกาะพพี ี เกาะหมา ในเขตจงั หวดั กระบ่ี และบริเวณปะการังเทียม รวมถึงป่ าชาย เลนใกลท้ ่ีอยอู่ าศยั ๑.๔ พืน้ ทท่ี ำงจิตวญิ ญำณ ไดแ้ ก่ ศาลโตะ๊ อาโฆะ๊ เบอราตยั เป็นศาลบรรพบุรุษประจาํ บา้ น หวั แหมกลาง สุสานที่ฝังศพ ศาลาประกาํ อบพธิ ีลอยเรือ ๑.๕ จำนวนประชำกร มีชาวเลอยอู่ าศยั ประมาณ ๓๔ ครัวเรือน จาํ แนกไดด้ งั น้ี ชาย ๖๗ คน หญิง ๗๐ คน รวมเป็น ๑๓๗ คน ๑.๖ ภำษำ ภาษาชาวเลอุรักลาโวย๊ ในบา้ นหวั แหลม ที่ใชส้ ื่อสารในชีวติ ประจาํ วนั มีแต่ ภาษาพูดแตไ่ ม่มีภาษาเขียน มีคาํ ศพั ทน์ อ้ ย จะมีคาํ ศพั ทท์ ่ีเขา้ ใจกนั เฉพาะกลุ่มแสดงถึงอตั ลกั ษณ์ของ กลุ่มชาติพนั ธุ์ แบ่งเป็นหมวด ไดแ้ ก่ หมวดเครื่องมือเคครื่องใชใ้ นการทาํ มาหากิน เช่น ดกั ดกั หมานถึง รถจกั รยานยนต์ จาโตะ หมายถึง เคร่ืองมือเจาะหอย ญาเวาะ หมายถึง สวงื ตกั ปลา เป็นตน้ หมวดเคร่ืองใชใ้ นครัวเรือน เช่น จาลก หมายถึง แกว้ น้าํ เบอซี หมายถึง กระทะ ตีกอ หมายถึง กา้ มน้าํ เป็นตน้ หมวดธรรมชาติ เช่น กอมมวง หมายถึง กอ้ นเมฆ บาตู หมายถึง หิน บีตกั หมายถึง ดาว เป็นตน้ ๑.๗ วฒั นธรรม ๑.๗.๑ ประเพณี/เทศกำล ชุมชนชาวเลโตะ๊ บาหลิว จะมีประเพณีท่ีสาํ คญั คือ ประเพณี ลอยเรือปาจก๊ั และประเพณีเปอตดั ฌีไร้ เป็นประเพณีสาํ คญั ของกลุ่ม
๔๙ ประเพณเี ปอตดั ฌีไร้ (ประเพณีการแต่งเปลว) เป็ นการทาํ ความสะอาด บูรณะ ซ่อมแซม ตกแตง่ เปลวหรือสุสานและหลุมศพของแตล่ ะครอบครัวแตล่ ะสายสกุล พธิ ีแต่ง เปรวหินทรายจะทาํ ในเดือน เดือน ๔ ส่วนเปรวบา้ นเก่าจะทาํ ในเดือน ๕ ของทุกปี ช่วงเชา้ ผชู้ ายจะดายหญา้ ตกแตง่ หลุมศพ หลงั จากที่ครอบครัวทาํ ความสะอาดสุสานและหลุมฝังศพ เสร็จแลว้ ช่วงบา่ ยโตะ๊ หมอจะเป็นผปู้ ระกอบพิธีเซ่นไหวบ้ ูชาบรรพบุรุษ เม่ือเสร็จพิธีจะมีการ รับประทานอาหารร่วมกนั ร่วมสนุกดว้ ยการร้องรําทาํ เพลงจากวงรํามะนา เพราะเช่ือกนั วา่ บรรพบุรุษจะมาร่วมสนุกกบั บรรดาลูกหลานดว้ ย ประเพณลี อยเรือ (อำรีปลำจ๊ัก) จดั ในช่วงวนั ข้ึน ๑๓ ค่าํ ถึงวนั แรม ๑ ค่าํ เดือน ๖ และเดือน ๑๑ ตามปฏิทินจนั ทรคติ ระยะเวลาจดั งานเป็นเวลา ๓ วนั โดยมีข้นั ตอนพิธีกรรม สรุปได้ ดงั น้ี วนั ข้ึน ๑๓ ค่าํ ผหู้ ญิงจะเตรียมทาํ ขนมบวั ลอย ๗ สี เพื่อใชใ้ นพิธี ผชู้ ายจะสร้างที่ พกั ชวั่ คราวในบริเวณลานพธิ ี และจะไปรวมตวั กนั ที่ศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว เพื่อเซ่นไหว้ บอก กล่าว และเชิญใหบ้ รรพบุรุษมาร่วมในงานพธิ ี วนั ข้ึน ๑๔ ค่าํ ผชู้ ายจะเดินทางไปตดั ไมต้ ีนเป็ดมาทาํ “เรือปลาจกั๊ ” และไมร้ ะกาํ มาทาํ “ตุก๊ ตาไม”้ เม่ือไดไ้ มม้ าแลว้ กจ็ ะมีพิธีแห่รอบศาลเจา้ โตะ๊ บาหลิว ก่อนจะนาํ ไป ประกอบเป็นเรือปลาจกั๊ ที่มีความยาวประมาณ ๔ เมตร หรือมากกวา่ น้นั พร้อมท้งั ตกแต่ง เรือใหส้ วยงาม ช่วงบา่ ยจะมีการแห่เรือมายงั สถานท่ีประกอบพิธีกรรม จากน้นั ชาวเลจะนาํ อาหารและส่ิงของต่าง ๆ เช่น ขา้ วเปลือก ขา้ วสาร กะปิ เกลือ ไมข้ ีดไฟ หมาก พลู ใบจาก เงิน เล็บผม เป็ นตน้ รวมท้งั ตุก๊ ตาไมร้ ะกาํ แกะสลกั ตา่ งตวั เทา่ กบั จาํ นวนคนในบา้ น ใส่ลง ไปในเรือปาจกั๊ ส่วนผหู้ ญิงจะเตรียมขนม ๗ สี ท้งั สุกและดิบ ขา้ วเหนียว ๗ สี หมาก พลู ใบจาก ยาเส้น ไก่ยา่ ง ไขไ่ ก่ดิบ กาํ ยาน ขา้ วตอก เทียน เงิน เคร่ืองใชไ้ มส้ อยและของจาํ เป็น อ่ืน ๆ เพอื่ ใชใ้ นพธิ ีบวงสรวงวญิ ญาณบรรพบุรุษในเวลาประมาณส่ีโมงเยน็ โดยมีโตะ๊ หมอ เป็นผปู้ ระกอบพิธีกรรม ตกกลางคืน ประมาณ ๑ ทุ่ม จะมีการฉลองเรือดว้ ยดนตรีและ เพลงราํ มะนา
๕๐ วนั ข้ึน ๑๕ ค่าํ เชา้ มืด ชาวเลจะมารวมตวั กนั เพอ่ื นาํ เรือลอยออกไปจากฝั่ง เมื่อนาํ เรือ ลอยออกไปจากหมู่บา้ นไกลพอสมควรแลว้ กป็ ล่อยเรือลงน้าํ และเดินทางกลบั โดยมีขอ้ แมว้ า่ หา้ มหนั กลบั ไปมองเรือปลาจกั๊ อีก ช่วงบา่ ยผชู้ ายจะไปตดั ไมแ้ ละหาใบกะพอ้ เพอื่ ท ไมป้ าดก๊ั หรือไมก้ นั ผี และตอนกลางคืนก็จะมีพิธีฉลองเหมือนคืน ๑๔ ค่าํ พอใกลส้ วา่ ง โตะ๊ หมอจะทาํ พธิ ีเสกน้าํ มนต์ ทาํ นายโชคชะตา และสะเดาะเคราะห์ใหค้ นที่เขา้ ร่วมพธิ ี ก่อนจะอาบน้าํ มนต์ และแยกยา้ ยกนั กลบั บา้ น พร้อมกบั นาํ ไมป้ าดก๊ั ไปปักรอบบริเวณ หมู่บา้ น หลงั พธิ ีลอยเรือหา้ มทุกคนออกทะเลในหน่ึงวนั ประเพณีลอยเรือปลาจกั๊ จดั ข้ึนเพ่ือลอยเคราะห์และส่งวญิ ญาญบรรพบุรุษกลบั ไป”ฆู นุงฌีไร” (ภูเขาตน้ ไทร ในรัฐไทรบุรี ประเทศสหพนั ธรัฐมาเลเซีย) ซ่ึงชาวเลเชื่อวา่ เป็น ดินแดนศกั ด์ิสิทธ์ิที่บรรพบุรุษเคยอยอู่ าศยั และชาวเลตอ้ งทาํ พิธีลอยเรือ “ปลาจก๊ั ” เพื่อเซ่น สรวงทุกคร้ังที่ลมมรสุมพดั เปลี่ยนทิศทาง และประเพณีน้ียงั ทาํ ใหญ้ าติพ่ีนอ้ งที่อยตู่ า่ งถิ่น ต่างทิศไดม้ ีโอกาสพบปะกนั องคป์ ระกอบในงานประเพณีลอยเรือ ไดแ้ ก่ พธิ ีบูชาเซ่นไหวบ้ อกกล่าวหลาโตะ๊ (ศาล บรรพบุรุษ) แห่ไม้ การต่อเรือ แห่เรือ พธิ ีทาํ น้าํ มนตแ์ ละอาบน้าํ มนต์ การสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่ าส่ิงชว่ั ร้ายใหอ้ อกไปจากชุมชน หมดทุกขโ์ ศกโรคภยั และมีโชคลาภในการทาํ มาหา กิน ประเพณแี ต่งงำน ในอดีตหนุ่มสาวชาวเลจะแตง่ งานอายปุ ระมาณ ๑๔ – ๑๘ ปี และมีพธิ ีสู่ขอหม้นั หมาย โดยผใู้ หญฝ่ ่ ายชายจะไปขอถึง ๓ คร้ัง ถา้ ตอบรับก็จะไปขอหม้นั หรือ “ปากยั ตูนงั ก่อนแต่ง ๓ วนั ฝ่ ายชายจะตอ้ งอาสาทาํ งานบา้ นผหู้ ญิง เช่น หาน้าํ ผา่ ฟื น เป็นตน้ วนั แต่งงานขบวนแห่จะใหเ้ จา้ บ่าวขี่คอเดินวนซา้ ยรอบบา้ นเจา้ สาว ๓ รอบ ก่อน ยา่ งเขา้ ประตูบา้ นผใู้ หญ่ฝ่ ายเจา้ สาวจะถามวา่ มีเรือไหม มีแหไหม มีฉมกไหม เจา้ บ่าวตอบ วา่ “มี” ก็จะมีคนลา้ งเทา้ ใหก้ ่อนขา้ มเขา้ ธรณีประตู เพ่ือนเจา้ บ่าวจะนาํ เสื่อและหมอนไปวาง ในหอ้ งเจา้ สาว เจา้ ถามจะประแป้งใหแ้ ขกท่ีมาร่วมงาน วนั รุ่งข้ึนพอ่ แมแ่ ละญาติพ่ีนอ้ งจะ ส่งตวั เจา้ บา่ วเจา้ สาวลงเรือไปผจญภยั ตามเกาะตา่ ง ๆ โดยมีขา้ วสาร น้าํ จืด เครื่องมือจบั ปลา ไปดว้ ย เพอ่ื พสิ ูจน์วา่ ฝ่ ายชายจะสามารถเล้ียงดูภรรยาไดข้ าไปผชู้ ายจะเป็นคนกรรเชียงเรือ
Search