เพราะฉะนั้น พอถึงเดือนธันวาคมของทุก ๆ ปี หลวงพ่อก็จะเริ่ม สำ รวจการสร้างบุญบารมีของตนเองในรอบปีนั้น แรก ๆ ก็ทำ เป็นการ เฉพาะตัว ไม่ได้บอกใคร จนกระทั่งหลังจากบวชแล้วก็ตั้งโครงการฝึก ธรรมทายาทขึ้นทันที ธรรมทายาทตั้งแต่รุ่น ๑ เป็นตันมา ซึ่งเมื่อถึง สินปี เขามักก็จะพาหยู่คณะมากราบขอพรจากหลวงพ่อ แรก ๆ ก็ให้พรไปว่าให้ทุกคนที'มากราบอยู่ดีมีสุข เข้าถึง พระธรรมกายโดยพลัน ตอนหลังหลวงพ่อ ก็มาคำนึงว่า เขาอุตส่าห์ เดินทางมาตังไกล เสียงานเสียการมากมาย เพื่อมากราบเรา มากราบก็ ไม่กราบเปส่า ยังเอาดอกไม้^เทียนมาบุชาด้วย บางคนก็เอาปัจจัยมา ถวายอีก บางคนตัวเองมาคนเดียวยังไม่พอ จูงลูกจูงเมียลูงผัวมากราบ ด้วยอีก ถ้าเราไม่มีพรที่เป็นชิ้นเป็นอันให้กับเขา เพื่อส่องทางปฏิบัติให้ เขาสามารถสร้างบุญสร้างบารมีได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่างนี้ใช!ม่ได้แล้ว เกิด ความรู้สืกตะขิดตะขวงใจ เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงถูกบังคับโดย ปริยายให้ต้องค้นหาพรดี ๆ เหมาะ ๆ เตรียมมาให้แก่ทุกคน ที่มาใน วันคล้ายวันเกิด อย่างที่ทำอยู่นี่แหละ หลักการให้'พร วันนี้หลวงพ่อก็จะถือโอกาสให้หลักในการให้พรกับลูก ๆ ทั้งชาย หญิงเอาไว้ เพราะเราแต่ละคน นับวันก็อายุมากขึ้นด้วยกันทั้งนั้น ก็จะ เริ่มมีนัอง ๆ มาขอพรกันบ้างแล้ว 1 ' การทบทวนคุณrmม <5r<r แด่...นกสร้างบารมึ น1
คำ ว่า \"พร\" มาจากคำว่า \"วร\" แปลว่า ประเส่ริฐ ลามว่าความประ(.สิ9ฐขั้นด้นของคนอยู่ตรงไหน ? ตอบว่าอยู่ที่สัจจะ เพราะสัจจะ คือ ความจริงจังจริงใจ ความตรง ไปตรงมา ความไม'กสับกลอก ไม'คดในข้องอในกระดูก แสดงความ เป็นธาตุแท้ของคนและเป็นแกนหสักแห่งคุณธรรมทั้งหลาย อุปมาเหมือนกระดูกสันหลัง หรือแกนกลางของคนเรา ถ้าแข้งหัก ขาหัก ก็ยังพอรักษาได้ ตาบอดหูหนวกไป อวัยวะที่เหลือก็ยังพอทำ ประโยชน์ได้บ้าง แต่ถ้ากระดูกสันหลังหักเลืยแล้ว ก็พยุงตัวเองไม'ขึ้น จะยีน เดิน นั่ง หรือทำอะไรไม่ได้เลย ต้องเป็นอัมพาต นอนรอความ ตายสถานเดียว เพราะแกนกลางของร่างกายมันหักเสียแล้ว คนไหนถ้าเสียสัจจะก็หมดคน เพราะแกนหสักแห่งคุณธรรมขึ้ง เป็นแก่นของใจมันหักเสียแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า \"ไม่มีความชั่วอะไรในโลกนี ที่คน โกหกทั้ง ๆ ที่รู้จะทำไม่ได้\" พูดง่าย ๆ คนไหนที่ยังโกหกทั้ง ๆรู้ คน นั้นหมดดี เป็นคนเลวแท้ ๆ เลย แกนแห่งคุณธรรมหักสะบั้น แย่กว่า คนกระดูกสันหลังหักเสียอีก เพราะคนกระดูกสันหลังหัก ยังมืโอกาส พูดดีและคิดดี แม้จะทำดีได้!ม่เต็มที่ พระพุทธองค์ตรัสกับพระราหุลว่า \"ราหุลเอ๊ย...กะลาที่ควํ่าแล้ว ย่อมไม่มีนํ้าติดอยู่เลย ฉันใด คนโกหกทั้ง ๆ รู้นะราหุล คุณความดี ไม่เหลือหรอก เหมือนอย่างล้บกะลาควิ้า ไม่มีนํ้าติดอยู่ ฉันนั้นแหละ แด่...นักสร้างบารร ใฮ (iff การทบทวนคุณธราม www.kalyanamitra.org
เพราะฉะนั้น ราหุ!) จำ ไว้นะ อย่าโกฬฑแม้เพียงพูดล้อเล่น สนุก ๆ\"\" ฟังให้ดีนะลูก แม้เพียงล้อเล่นสนุก ๆ อำ เพื่อนกันสนุก ๆ ก็อย่า ทำ เพราะกรรมเวรมันมีอยู่ เอาเถอะกรรมหนัก ๆ จะไม่พูด เอาแค่ กรรมสถานเบาก็แล้วกัน คือคนที่พูดโกหก ก่อนอื่นเขาจะต้องล้มภาพ ความจริงที่เกิดขึ้นในใจทิ้งเสีย แล้วสร้างภาพลวงขึ้นมาใหม่ เหมือน อย่างทีวี เวลาเครื่องเสีย ภาพในจอจะล้ม แม้ยังมีเสียงชัดเจน แต่ดู ภาพไม'ออก คนที่โกหกบ่อย ๆ ภาพในใจก็จะล้มบ่อย ๆ ในที่สุด ความจริงคืออะไรก็แยกไม่ออก แล้วความเสียหายต่าง ๆ จะตามมาอีก มากมาย ทั้งด้านส่วนตัวและสังคม ย้อนกสับมาเรื่องสัจจะ ถ้าไปดูในฆราวาสธรรม ๔ คือ ๑) สัจจะ - ความจริงจัง จริงใจ ๒) ทมะ - ความกระตีอรีอร้นในการฝึกฝนตนเอง ๓) ขันติ - ความทรหดอดทน อันเป็นต้นเหตุแห่งความขยัน หมั่นเพียร ๔) จาคะ - การตัดใจเสียสละ จะเห็นได้ว่า คนที่เป็นคนสมพูรณ์อย่างโลก ๆ จะต้องมีสัจจะเป็น คุณธรรมขั้นแรกเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถก้าวไปยู่คุณธรรมอื่น ๆ ที่ สูงขึ้นไปได้ ถ้าใครสัจจะล้มเหลวเสียแล้ว คุณธรรมอื่น ๆ ก็ยากจะเกิด ขึ้น ° ■รูฬราทุโลวาทสูตร, ม.ม. ๒๐/®๒๙-๑๒๗/๒๖๓-๒๖๕(มมร.) การทบทวนคุณธT5»J art) นด่...นักสร้างบารมี ใอ
พูดง่าย ๆ อยากจะรู้ว่า คนไ'พนมีบุญ ไม่มีบุญ ก็มีวิธีสังเกต ง่าย ๆ ถ้าจับได้ว่าใคร่[กหก รู้เลยว่าคน'แนไม่มีบุญ ถ้าบุญเดิมมีติดตัว ข้ามภพข้ามชาติมามาก'แอยเท่าไร นับแต่น!ปก็มีแค่'แน ต่อแต่นื้!ปยาก 'กี่จะสร้างบุญใหม่เ'พิ่มขึ้นอีก เพราะมันเป็นกะลากี่ควรแล้ว จนตลอด ชาติเก็บ'นาคือความดีใหม่ บุญใหม่ เ'กี่มขึ้นไม่ได้อีก จำ ไว้นะลูกนะ อย่าโกหก ถ้ามีเรื่องอะไร ไม่สมควรพูด ก็อย่าไป พูด แต่ถ้าพูด ต้องพูดจริง\"กุกค่า ไม่จริงต้องไม่พูด อุตส่า'ห์มีบุญได้เกิด เป็นคน แต่กลับพูดคำไม่จริง ค่ากี่พูดจะมีค่าต่างจากเสียงนกเสียงกา ตรงไหน ด้กดคธีของความเรนคนจะเหลืออยู่ได้อย่างไร สัจจะของโสเภเน ® คนจะต้องรักษาสัจจะยิ่งกว่าชีวิต เ'พี่อป้องกันไม่ใ'ห้ตนตกตํ่ายิ่งไปกว่า \"นั้น และเมื่อถึงคราวคับขัน เขาจะเอาบุญจากสัจจะนั่นแหละมาช่วย ตนเองใ'ห้'พ้นจากอันตรายได้ หลวงพ่อจะยกตัวอย่างใ'ห้ฟัง มีโล๓ณีคนหนึ่ง เดิมทีแกก็ไม่ได้ อยากเป็นโสเภณีเลย แต่ถูกบังคับ เพราะแกสวยมาก ถ้าใครได้แกเป็น ภรรยาแล้ว คนนั้นย่อมไม่ปลอดภัย จะต้องมีการฆ่าแกงแย่งชิงนางเป็น \" คณะสืษยานุลษย์หลวงพ่อวัดปากนํ้า. รวมพระfiรรมเทศนา พระมงคลเทพ>{นื (สด จไ^ทสโร). กรุงเทพฯ : เอกพิมพ์ไท, ๒๕๕๕. หน้า ๔๘®-๙{ร๒. นด่...ฟักสร้างบารมี ไอ arc* ก■ททบทวนคุณrrsม www.kalyanamitra.org
แน่ เพราะฉะนัน เขาจึงลงมติให้ผู้หญิงคนนั้นฟ็นของสาธารณะ ว่าแล้ว ก็บังคับให้เป็นโส๓ณี ทั้งนี้ก็เพราะกรรมเจ้าชู้ในอดีตชาติตามมาทัน บังคับให้ต้องเป็นไปอย่างนั้น พูดง่าย ๆ ภพชาติที่แล้ว ๆ สมัยยังเป็น ผู้ชาย ไปก่อเวรข่มขืนผู้หญิงเอาไว้มาก พอถึงคราวตัวเป็นผู้หญิงเอง บ้าง กรรมก็เลยส่งผล ถูกบังคับให้เป็นโส๓ณี ถึงคราวที่โส๓ณี หรือโบราณท่านเรียกว่า หญิงแพศยาคนนั้นจะ หมดเวร ก็มีเหตุสำคัญเกิดขึ้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากนํ้าท่านเทศน์ไว้ว่า \"พระเจ้า แผ่นดินยกพยุหเสนาไปพักอยู่ที่เฟนํ้าใหญ่ ว่ายข้ามก็จะไม่พัน นํ้าไหล เชี่ยวเป็นฟอง ไหลปร้าดทีเดียว เมื่อเขาตั้งพลับพลาไห้พักอยู่ที่ฝืงแม่นํ้า ใหญ่เซ่นนั้น พระองค์ก็ทรงดำริว่า แม่นํ้าใหญ่ไหลเชี่ยวขนาดนี้ จะมีไศร ผู้ไดผู้หนึ่งอาจสามารถท่าไห้นํ้าไหลกลับได้บ้าง ทรงดำริดังนี้ แล้วรับลัง แก่มหาดเล็กเด็กชาของพระองค์ มหาดเล็กเด็กชาของพระองค์ก็เที่ยวปาวร้องหาว่า ผู้ไดใครผู้หนึ่ง อาจสามารถทำไห้นํ้าไนเฌ่นํ้านี้!หลกลับขึ้นได้บ้าง หญิงแพศยาคนนี้ออกรับทีเดียวว่า ฉันเอง ฉันจะทำไห้นํ้าไหล กลับได้ นางคนนี้เป็นหญิงแพศยาก็จริง ชายไดไม่ว่าข้นสูงชั้นตํ่า ไห้เงิน เพียงค่าบาทหนึ่ง ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ไห้เงินค่าสองบาทปฏิบัติเพียงเท่านี้ สามบาทปฏิบัติเพียงเท่านี้ ปรนนิบัติไห้พอแก'ค่าเงินเท่านั้น ปฏิบัติ เหมือนกันไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นตํ่า ไม่เสือกที่รัก มักที่ข้ง ทำ ไปตามหน้าที่ของตัว ศวามชี่อสัตย์ของนางมือย่างนี้ ก?5ทบทวนคฺณรรร>| sa นด่...นักสฑ้งบารมี 1ฮ
เมื่อมหาดเล็กพานางไปเฝ็าพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินทรง ร้บส์งว่า \"เจ้าหรืออาจจะทำให้นํ้าไหลกลับได้\" \"พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันอาจสามารถทำให้นํ้าไหลกลับได้\" \"เจ้าจะต้องการอะไรไหม ? ธูปเทียนดอกไม้จะหาให้ ถ้าเจ้าทำให้ นํ้าไหลกลับได้ตามค่ากล่าวของเจ้าแล้ว เราจะรางวัลให้หนักมือทีเดียว แต่ถ้าว่าเจ้าทำให้นํ้าไหลกลับไม่ได้ เจ้าจะมีโทษหนัก\" นางจุดธูปเทียนตั้งสัตยาธิษฐานห้นหน้าไปทางด้านแม่นํ้า แล้วยก เอาความลัตย์สุจริตนั่นเองเป็นเครึ่องอธิษฐานว่า \"เดชะ ปุญญาภินิหาร ความลัตย์ความจริงใจของหม่อมฉัน ที่ได้ลังสมอบรมมาตลอดเวลาที่ เป็นหญิงแพศยา ได้ปฏิบัติชายผู้หนึ่งผู้ใดที่มาหาข้าพเจ้า โดยค่าควรแก่ บาทหนึ่ง ควรแก่สองบาท ควรแก่สามบาท ตามหน้าที่ความจริง ทำ อยู่ ดังนี้ไม่ได้เคลื่อนคลาดไปแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าความลัตย์จริงอันนี้ของหม่อมฉัน จริงด้งหม่อมฉันอธิษฐาน แล้ว ขออำนาจความชื่อลัตย์นี้ จงบันดาลให้นํ้าไหลกลับโดยฉับพลัน เถิด\" พออธิษฐานขาดค่าเทำนั้น นํ้าไหลกลับลู้เลย ไหลลงเชี่ยวเท่าใด ก็ไหลขึ้นเชี่ยวเท่านั้นเหมือนกัน พอกันทีเดียว พระเจ้าแผ่นดินเห็นอัศจรรย์เช่นนั้น ก็ให้เครื่องรางวัลแก'นาง หญิงแพศยานั้นอย่างจุใจ แล้วก็ให้เป็นนายของหญิงแพศยาต่อไป ก็ให้ บ้านส่วยสำหรับพักพาอาด้ยอยู่ไม'ขาดตกบกพร่องใด ให้อยู่เป็นสุข สำ ราญเบิกบานใจทีเดียว...\" นฅ{...นกสร้างบารมี ไอ sroc กา•รทบทวนคุณ!T!ม www.kalyanamitra.org
หลวงพ่อวัดปากนํ้าท่านเล่าไว้อย่างนี้ นี่แค่สัจจะของ'faเภณี แต่ ว่าเป็นสัจจะประ๓ทเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะฉะนั้น จึงมีฤทธี้ทำให้ เฌ่นํ้า ชึ่งแม!ม่มีชีวิต ต้องไหลย้อนกลับได้อย่างน่าอัศจรรย์ สัจจะของปริพาชก ® อีกต้วอย่างหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังปาเพ็ญบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นปริพาชก คือนักบวช นอกศาสนา ไม่มีมรรศผลนิพพานเป็นแก่นสารอะไร หลังจากบวชเป็น ปริพาชกแล้ว ก็ชี่นชมการบวชของตนเองได้เพียง ๗ วันเท่านั้น พันจาก นั้นแล้วก็รู้สืกต้วว่าท่านคิดผิด ไม'น่าโง่เข้ามาบวชเป็นปริพาชกเลย ไม่ได้เรื่องได้ราวไร้ประโยชน์ ครั้นจะสักกลับออกไปเป็นฆราวาสตามเดิม ก็ไม'ได้เสียแล้ว เพราะสมัยนั้น ถ้าใครบวชแล้วสีกออกมา ชาวบ้านเขาจะประชาทัณฑ์ เอาถึงตาย ก็เลยต้องทนอยู่เป็นปริพาชกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งบวชมาได้ ๕๐ ปี เนึ่องจากพระโพธิสัตว์ท่านมีความ ประพฤติงดงามมาแต่เดิม ในที่สุดก็ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น มาเป็น หัวหน้าของปริพาชกทั้งแผ่นดิน ครั้งนั้นปริพาชกมีการปกครองกันแบบ คณะกรรมการ มีคณะกรรมการบริหารประมาณ ๕ - ๑๐ คน เห็น จะได้ \" กัณหทีปายนจริยา. ชุ.จริยา. ๗๔/๓๑/๔®๒-(tercr(มมร.) การทบทวนคุณธรรม <4๐ นฅํ...นกลร้างบารมี 1อ
วันหนึ่งถึงคราวจะหมดเวร ก็เกิดเหตุ ลูกสืษย์หัวแก้วหัวแหวน ของท่านล้มปวยอย่างกะทันหัน แล้วก็สลบไสลหมดสติ แน่นึ่งไป กลายฟ้นเจ้าชายนิทรา หมอทั้งเมืองทุ่มเทรักษาเท่าไร ๆ ก็ไม่หาย เมื่อ หมดหนทางรักษา ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารก็คิดจะเอาฤทธของ สัจจะมาเป็นโอสถ เพี่อรักษาลูกคิษย์ ในบรรดาคณะกรรมการบริหาร ปริพาชก ใครมีสัจจะอะไรดี ๆ แต่ละคน ก็จะระลึกถึงสัจจะของตน แล้วอธิษฐานให้อำนาจแห่งสัจจะนั้น ช่วยรักษาลูกคิษย์คนนี้ให้หาย จากโรค ปรากฏว่า อธิษฐานผ่านไปแล้วกี่คน ๆ ลูกคิษย์ก็ยังไม่ฟืน มาถึงท่านพระโพธิสัตว์เป็นคนสุดท้าย รู้ดีว่า ถ้ารักษาไม่สำเร็จ ลูกคิษย์ก็ต้องตายแน่ ท่านก็เลยตั้งสัจจะอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ดีอเอาความจริงที่ว่า \"ตั้งแต่บวชมา ๕๐ ปี ท่านมีความยินดีในเพศ ปริพาชกอยู่เพียง ๗ วัน เท่านั้น หลังจากนั้นมา ไม่เคยมีความยินดีเลย เพราะเห็นว่าการเป็นปริพาชกนี้ ไม่มีแก่นสารอะไร อยากจะลึกออกไป ทุกวัน แต่ลึกไม'ได้ เพราะว่าผิดธรรมเนียม ถ้าลึกออกไปวันนี้ก็ถูก ประชาทัณฑ์ตาย ด้วยสัจวาจานี้ ขอให้ลูกคิษย์ฟืนขึ้นเถอะ\" พอท่านตั้งสัจจะอย่างนี้จบ!]บ ปรากฏว่า ลูกคิษย์ฟืนผงกหัว ลุกขึ้นมาได้ปับ นึ่คีอฤทธของสัจจะแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อลูกคิษย์ฟืน แต่ท่านก็มีโทษ คือจะต้องถูกประชาทัณฑ์ตาย เพราะไปประกาศว่าการเป็นปริพาชกไม'มีแก่นสาร อยากจะลึกออกไป ทุกวัน ท่านก็คิดว่าตายก็ตายเถอะ ก็ปรากฏว่า คณะกรรมการบริหาร ปริพาชกทั้งแผ่นดินเหล่านั้น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าพเจ้าก็ นค่...นกสร้างบาร}! ไอ ๕a กาวทบทวนคุณธฑม www.kalyanamitra.org
เหมือนกัน บวชมาตั้งกี่สิบ ๆ ปี จนกระทั่งมาเรนผู้บริหารอาจุโสอยู่นี่นะ มีความอึดอัดอยากจะสีกมานานเต็มทีแล้ว แต่ว่าสีกไม่ได้เดี๋ยวตาย เมื่อท่านหัวหน้าพูดอย่างนี้ก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็รู้สีกเหมือนท่านนั่นแหละ เพราะฉะน้น เราสืกกันเถอะ ประชาชนเขาจะประชาทัณฑ์ก็ให้เขา ประชาทัณฑ์เลย พอระดับอาจุโสลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าอย่างนี้ ปริพาชก ทังแผ่นดินที่มาประชุมในตรังนัน ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าพเจ้าก็ อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว ตั้งแต่บวชมา ก็รู้สีกว่าไม่ใช่แก่นสาร ก็ได้แต่คิด ปลอบใจว่า ดงจะยังไปไม่ถึงที่สุด เห็นท่านหัวหน้ายิ้มแฉ่งดี ก็เลยนึกว่า ท่านหัวหน้าคงบรรลุธรรมอะไรล้กอย่างแล้ว ก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองแหละว่า ท่านหัวหน้าก็เห็นว่าไม'เป็นแก่นสารมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นบอกกันบ้าง เลย ว่าแล้วปริพาชกในยุคนั้น ก็เลยสีกหมดไปทั้งแผ่นดิน สัจจะของพระองคุลิมาล ® อีกท่านหนี่ง ที่พวกเรารู้จักกันดี คือพระองคุลิมาล ท่านตั้งสัจจะ ช่วยหญิงทัองแก่คนหนี่ง เนี่องจากนางได้ยินเขาตะโกนว่า โจรองคุลิมาล มาแล้ว ก็วิ่งหนีสุดชีวิต เพราะกลัวจะถูกโจรฆ่า แล้วก็หกล้ม แรง กระแทกบวกกับความกลัวสุดขีด ท่าให้นางปวดครรภ์กะทันหัน ร้อง โอดโอย...จะหนีก็ไปไม่ไหว จะคลอดก็ไม่ออก ได้แต่นอนร้องครวญ ครางด้วยความเจ็บปวด และตี่นตระหนกอยู่ตรงนั้น องคุลิมาลสูตร. ม.ม. ๒๑/๕๓®/๑๔®'(มมร.) การทบทวนคุณธรรม <รทร) แด่...นักสร้างบารม ไอ
พระองคุลิมาลท่านก็ตั้งสัจจะต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น \"น้องหญิง ด้วยสัจจะที่ว่าตั้งแต่ข้าพเจ้าบวชมาในเพศของพระอริยเจ้าแล้ว ไม่เคย คิดร้ายต่อใคร อย่าว่าแต่จะฆ่าคน แม้มดแม้ปลวกสักตัว ยังไม'คิดจะ ฆ่าเลย ด้วยสัจวาจานี้ ขอให้น้องหญิงคลอดลูกมาได้โดยสวัสดีภาพ\" พอตั้งสัจจะijบ หญิงนั้นก็คลอดบุตรออกมาอย่างง่ายดาย นี่ สัจจะมีฤทธอย่างนี้ ให้พรด้วยสัจจะ เพราะฉะนั้น ลูก ๆ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ต่อไปเวลาจะให้พร ใคร ต้องอ้างเอาสัจจะที่ตัวมี มาอธิษฐานให้บังเกิดเป็นความตักดี้ลิทธื้ แล้วบังเกิดผลที่ดีงามอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาให้ทันตาเห็นเป็นอัศจรรย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ท่านก็ตั้งสัจจะรำลึกถึงพระบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ที่พระองค์ทรง สังสมมาดีแล้ว พร้อมกับอธิษฐานจิตเลย \"แม้เลือดเนอในร่างกายของข้าพเจ้า จะแห้งเหือดหายไป เหลือ แด่หนัง เอ็น กระดูกก็ดามที หากยังไม่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จะไม่ยอมลุกจากที่นั่งนื้เแนอันขาด\"\" องฺ.ทุก. ๓๓/๒๕©/๒«'๗-๒«'๙ (มมร.) นด่...นกสรางบารมี ไฮ (STO ทารทบ)ทนคุณ!!ราม www.kalyanamitra.org
พูดง่าย ๆ ถ้าไม่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ให้มันตายไปเถอะ สัจจะที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันอย่างนี้ มีฤทธสุดจะคณานับ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนนั้นเอง คราวนี้พอถึงวันคล้ายวันเกิด ลูก ๆ ก็มาขอพรจากหลวงพ่อ ๆ ก็ต้องหาพรที่พอเหมาะพอสมกับที่อุตส่าห์มา โดยแทนที่จะไปเอาพรมา จากไหน ก็ค้นเข้าไปดูในตัวเองว่า เราเดินอยู่บนเสันทางธรรม คือ สร้างบุญบารมีมาถึงวันนี้ได้อย่างไร แล้วเอาความจริงนั้นมาเล่าให้ลูก ฟัง ถ้าสิงที่ตัวเองทำมาเป็นความถูกต้อง ลูก ๆ ก็จะไต้ต้นแบบที่ดี ๆ แล้วเอาไปทำตามนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปลองผิดลองถูกอีก ถ้าสิงที่ทำมา แล้วเป็นความผิดพลาด เป็นความเสียหายก็ไม่ไต้ปิดบัง เอามาเล่าให้ฟัง เพี่อให้เว้นสิ่งเหล่านั้นเสีย ไปทำในสิ่งตรงกันข้าม จะไต้มีความสุขความ เจริญในภายภาคหน้าต่อไป อย่างนี้จึงจะเรียกว่า แม้ผิดก็ยังถึอเป็นครูไต้ ถ้าถูกก็ยิ่งถึอเป็น ครูด สำ หรับปีนี้ตัวหลวงพ่อเอง ก็ไต้ประสบการณ์ และข้อคิดหลาย ๆ อย่าง ตั้งใจจะนำมาพูดสัก ๒ - ๓ เรื่อง การทบทวนคุณธ'!รม (irsr นด่...นักสร้างบารมี โอ
ของชั่วคราว คนชั่วถาวร เรื่องแรกที'อยากจะพูดคือ เรื่องของชั่วคราว เนื่องจากการ ออกแบบแผนผังโครงสร้างใหญ่ (Master Plan) ทั้งวัดยังไม'เสร็จ ทำ ให้อาคาร รวมทั้งสิงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในวัดนี้มีแต่ของชั่วคราว ยัง ไม่กล้าสร้างให้มั่นคงแข็งแรงถาวร เพราะถึงอย่างไรจะต้องมีการทุบ สร้างใหม่อีก ทำ ให้ระหว่างก่อสร้างอาคารนั้น ๆ ไม่มีใครพยายาม ทำ ให้ดีที'สุด ไม่คิดฝากชื่อฝากฝืมีอให้ถึงที'สุดลงไปในการก่อสร้าง เพราะคิดว่าไม่ช้าก็ต้องรื้อ ต้องย้าย ขณะที่กำลังใช้สอย ก็ไม่มีใครพยายามถนอมให้ถึงที่สุด ถึงเวลา เก็บกวาดดูแลรักษา ก็เรื่มมีบางรูปบางคนทำเพียงแค่พอผ่าน ก็มันของ ชั่วคราว จะเอาอะไรกันนักกันหนา ความที่ทั้งสร้างทั้งใช้ของชั่วคราว นิสัยที่จะทุ่งมั่นเพาะความเป็น เลิศให้เกิดขึ้นในตัว ไม่ว่าทั้งความรู้และคุณธรรมก็ค่อย ๆ เลือนไป เมื่อแรกสร้างวัดไม่ว่าจะสร้างจะทำ อะไร จะต้องทำให้ดี ๑00 % ตอน หสังมันชักจะลดลง บางคนลดลงเหลือ ๖๐ % เหลือ ๕๐ % ลดลงมา เรื่อย ๆ ยิ่งถ้าขึ้เกียจขึ้นมา หรือสุขภาพชักไม่ค่อยดี ก็เลยปล่อยทิ้ง ปล่อยขว้าง ให้เสียหาย เพราะฉะนั้น เลยกลายเป็นว่ายิ่งอยู่วัดนาน ยิ่งเพาะความมักง่าย มากขึ้น จึงอยากจะขอเตือนว่า \"ของนั้นชั่วคราว แต่คนกำลังจะชั่ว ถาวร\" หากใครมีอาการอย่างนี้ก็ให้รืบแกัไขเสียนะ แด่...นักสรางบารมี ๒ <r<r การทบทวนคุณธใใม www.kalyanamitra.org
ได้ดีเพราะมีครูวิเศษ เรื่องที่ ๒ หลวงพ่อได้ตรวจสอบตัวเองและตรวจสอบความเป็น ไปไดในวัดว่า ทำ ไมเราจึงมีวันนี้ วันที่วัดพระธรรมกายเป็นวัดทีม ญาติโยมมาประพฤติปฏิบัติธรรมมากที่สุดวัดหนึ่งในประเทศไทย คีอ วันอาทิตย์ธรรมดาจะมีญาติโยม กัลยาณมิตรมานั่งเจริญภาวนา ปฏิบัติ ธรรมภาคเช้า และฟังเทศน์ภาคปายเป็นพัน ๆ คน วันอาทิตย์ต้นเดือน มีเป็นหมื่น งานใหญ่ ๆ แต่ละงาน ผู้คนหลั่งไหลมาปฏิบัติธรรมฟัง เทศน์ประกอบพิธีกรรมเป็นแสน อย่าว่าแต่คนไทย พอเห็นแล้วรื่นใจ เลย แม้แต่ชาวต่างชาติต่างศาสนาเห็นเช้า เขาก็ตะลึงในความอิ่มเอิบ มั่นคงในธรรมของชาวไทยทั้งแผ่นดิน นึกแล้วก็รู้ลึกภูมิใจ แต่ไม่ใช่ภูมิใจว่าพวกเราเก่ง แต่ภูมิใจว่าได้ ครูวิเศษ เพราะความอัศจรรย์ทั้งหมดที๓ดขึ้นมาประจักษ์ตาแก่ชาว โลก ณ วัดพระธรรมกาย ล้วนเป็นผลมาจากอัจฉริยภาพของครูบา อาจารย์ของเราแต่ละณุ่ ๆ ส่งทอดกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ซึ่งนอกจากท่านจะ สละช้วิตเป็นเดิมพันไปค้นวิชชาธรรมกายกลับมาได้แล้ว แม้ในยาม ทุกขเวทนารุมเร้ไจะเอาชีวิตท่าน จนกระทั่งต้องละโลก แต่มหากรุณาแก่ เยาวชนรุ่นหลังของท่านก็ไม่มีเสื'อมคลาย ญาณหัสนะของท่านก็ แม่นยำ ดือ การทบทวนคุณ!รรม <รท0 นรร—นัทสร้างบารมี 1ฮ
ก่อนหน้านั้นท่านได้สังคุณยายอาจารย์ของพวกเราไว้ว่า \"ลูก จันทร์ อย่าหิ้งวัดปากนํ้านะ เด็กรุ่นหลังทีบารมีแก่ ๆ พอจะเข้าถึง ธรรมกายได้ยังมีอยู่อีกไม่น้อย รอถ่ายทอดความรูให้มันก่อน แลัวถ่วย มันเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปให้ทรโลกให1ด้\" เมื่อหลวงพ่อวัดปากนํ้ามรณภาพแล้ว คุณยายอาจารย์แม้อ่าน หนังสือไม่ออก แต่เห็นผังสำเร็จของพระนิพพานเกี่ยวกับการเผยแผ่ วิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากนํ้าได้สั่งไว้อย่างชัดเจน ประกอบกับมี ความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์เป็นชีวิตจิตใจ ท่านจึงลงมีอทุ่มเท สืกหลวงพ่อธัมมชโยและหมู่คณะให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย แล้ววางแผน สร้างวัดพระธรรมกายอย่างรัดกุมให้ จากนั้นหลวงพ่อธัมมชโย ก็นิาหมู่คณะที่คุณยายฝ็กไว้ดีแล้วมา สร้างวัดพระธรรมกาย ๒๔ ปีผ่านไป เราก็ได้วัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็น สูนย์กลางการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธทั่วประเทศไทยอย่างที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันนี้ จะไม่ให้คุณยายท่านสร้างวัดส์าแจได้อย่างไร ในเมื่อท่าน เข้าสูนย์กลางธรรมกาย มองทะลุได้หิ้งภพสาม นิพพาน โลกัาเต์ อะไร ก็ป็ดชุ ปีดตาท่านไม่ได้ แล้วท่านก็นำมาสอนพวกเรา เคี่ยวเข็ญให้ พวกเราได้เข้าถึงธรรมกาย ได้ตามรู้ตามเห็นธรรมะละเอียด ๆ ภายใน อย่างไม่ลดละตามท่านตลอดมา พูดง่าย ๆ ความดีความวิเศษใด ๆ ที่บังเกิดขึ้นในวัดพระธรรมกาย เมื่อสรุปรวมแล้ว ก็เพราะความพยายามในอันที่จะดำเนินตามคำสอน ของพระสัมมาล้มพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ทุกรุ่นมาอย่างเคร่งครัด นั่นเอง แค่...นกสร้างบาร}! ใฮ (jrcv nrmบทวนธุณซรรม www.kalyanamitra.org
ที่หลวงพ่อต้องพูดเรื่องนี้มากหน่อย ก็เพราะปีนี้มีลูกบางคนของ หลวงพ่อ มันคิดว่าตัวมันวิเศษแล้ว ตักเตือนมันก็ไม'เชี่อ พอเตือน หนัก ๆ เข้ามันก็แหกคอกออกไป ก็ตัองปล่อยให้เขาวิเศษตามที่เขาคิด หลวงพ่อเองคงไต้แค่ทำหน้าที่ตักเตือนบุคคล ที่พอจะเตือนไตัเทำนั้น ความจริงใจและปรารถนาดีต่อลูก ๆ หลวงพ่อเองที่พรื่าปนตักเตือนพวกเราอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะอยาก ให้ลูก ๆ ได้ดี แต่บางครั้งมีบ้างเหมือนกันได้ร้บข้อมูลคลาดเคลื่อน ก็ เลยตำหนิพวกเราเสียยกใหญ่ ผิดเรื่องบ้าง หรือถูกเรื่องแต่ผิดคนบ้าง หรือถูกทั้งเรื่องถูกทั้งคนแต่ผิดเวลาบ้าง วันนี้ก็ถือโอกาสขอโทษด้วย อย่าได้มีเวรมืกรรมกันเลยนะ บางครั้งหลวงพ่อก็ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก แต่ตอนนั้นอารมณ์ชุ่นมัว เสียแล้ว ทั้งที่ควรจะพูดเพราะ ๆ ก็ตำ หนิแรง ๆ ไป ก็ขออโหสิด้วยนะ ลูกเอ๊ย เพราะว่าหลวงพ่อเองก็อยู่ในระยะฝึกตัวเหมือนกับพวกเรานั่น แหละ เห็นทีจะต้องอธิษฐานตามอย่างคุณยายอาจารย์กันบ้างแล้วละ เรื่องก็มีอยู่ว่าวันหนึ่ง หลังจากพิธีบุญใหญ่ หลวงพ่อเห็นคุณยาย นั่งอธิษฐานอยู่หน้าโต๊ะหมู่บุชานานเป็นพิเศษกว่าวันอื่น ๆ หลวงพ่อก็ เลยถามว่า ■'คุณยายนั่งอธิษฐานอะไรตั้งนาน\" การvnjmiwณโทรม ๕G นต่...นกสร้างนารมี ๒
ท่านก็ตอบว่า \"ยายอธิษฐานขอให้ใต้หำวิชชาธรรมกายกับ หลวงพ่อรัดปากนํ้าไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะปราบมารไต้เนแอ ไม่!,ฬลือเศษ แด่ในระหว่างที่ยังปราบมารไม่หมด จะหำอะไรก็ขอให้ ลูกใจพระพุทธเจ้า และลูกใจหลวงพ่อรัดปากนํ้าตลอดไปด้วย\" คำ ว่าถูกใจพระพุทธเจ้าของคุณยายก็คีอ ถูกธรรมะ ถูกพระวินัย ถูกใจหลวงพ่อวัดปากนํ้าก็คือ ถูกอัธยาสัยท่าน เพราะบางอย่างแม้ ไม่ผิดพระธรรมวินัย แต่ไม่แน่ว่าจะถูกใจ ยกตัวอย่างเช่น วันไหนอากาศร้อนอบอ้าว ถ้าจะใช้ผ้าเช็ดหน้าให้ สดชื่น ก็ควรจะใช้ผ้าเย็น ๆ หน่อย แต่ถ้าอากาศเย็น ๆ หนาว ๆ ก็ อยากได้ผ้าร้อน ๆ หน่อยแหละดี ไม่ใช่อากาศร้อนอยู่แล้วเอาผ้าร้อนมา ให้เช็ดหน้า พอร้บผ้าร้อน ๆ มาแล้วนึกอย่างไรรู!หม นึกว่ามันน่าขว้าง กบาลเจ้าคนเอามาให้จริงนะ ความปรารถนาดีที่พวกเรามีกับหลวงพ่อ ทำ ไมหลวงพ่อจะไม่รู้ แต่ว่าบางครั้งรับไม่ได้ กำ ลังอยากจะได้เย็น ๆ กลับเอาร้อนมาให้ อยาก จะได้ร้อน ๆ กลับเอาเย็น ๆ มาให้ มันไม่ผิดธรรมผิดวินัย แต่มัน ไม่ถูกใจนะลูกเอ๊ย เพราะฉะนั้น ถ้าหลวงพ่อตักเตือนอะไรพวกเรา บางทีก็ไม'ได้ หมายความว่าพวกเราผิดไปทั้งหมดหรอกนะ เพียงแต่มันไม'ค่อยจะ ถูกใจ ก็รับทราบความจริงกันตรงนี้เอาไว้ แล้วก็ขออภัยพวกเราด้วย นฅ่...นกสร้างนารนี น) <»« การทบทวนคุณรรรม www.kalyanamitra.org
สำ หรับวันนี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ก็ได้ควักหัวใจ ออกมาพูดให้พวกเราฟังหมดแล้ว ไม่มีความลับ มีแต่สัจวาจา มีแต่ ความจริงใจให้กับพวกเรา ไม่มีอะไรแอบแฝง มีแต่ความปรารถนาดี กับพวกเรา อยากเห็นพวกเราสร้างบารมีไปตลอดรอดฝัง สามารถไป พระนิพพานได้ครบไม่ตกไม่หล่นแม้รูปเดียวคนเดียว เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ขอปลงอาบัติ ให้พวกลูก ๆ รับทราบรับรู้ จะ ได้กลายเป็นความบริสุทธทั้ง ๒ ฝ่าย ที่แล้ว ๆ มาหลวงพ่อไม่เคย ถือสาพวกเรา หรือถ้าเคยถือสามาวันนี้ก็ปิดบัญชีจบกันไป พวกเราถ้า เคยถือสาหลวงพ่อมาจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้ที่ตั้งใจมาแสดง3Jทิตา ในวาระวันคล้ายวันเกิด ก็นับว่าเป็นการปิดบัญชีความชุ่นข้องหมองใจ กันไปด้วยในตัว ด้วยอำนาจบุญกุศล ที่หลวงพ่อมีสัจจะต่อหน้าที่ที่รับผิดชอบ สัจจะต่อคำพูด สัจจะต่อพวกเราทุก ๆ คน รวมทั้งสัจจะต่อครูบา อาจารย์ และสัจจะต่อพระนิพพาน ทั้งตั้งแต่ข้ามภพข้ามชาติมา นับ อสงไขยไม่ถ้วนก็ตาม ในชาตินี้ก็ดี นับตั้งแต่บวชมาจนกระทั่งถึงวินาทีนี้ ก็ตาม บังเกิดเป็นบุญบารมีมากมายมหาศาลเพียงไหน ก็ขอให้บุญ บารมีเหล่านั้น ประมวลรวมกับบารมีธรรมของพระบรมพุทธเจ้านับ อสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน การทบทวนคุณธT5ม าอ0 แด่...นักสร้างบารมี ใอ
จงบังเกิดเป็นฤทธานุภาพ ให้พวกเราทุกคนสามารถปราบมาร ประหารกิเลส ให้สินแอไม่เหลือเศษได[ดยง่าย ให้ปราบมารไปได้ถึงต้น ในต้น เงไม่มีต้นอีกต่อไป ให้สามารถทำวิชชาธรรมกาย ทั้งฝาย เผยแผ่ ทั้งฝ่ายปราบมาร ติดตามหลวงพ่อวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ และ คุณยายอาจารย์ไปได้โดยง่ายทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ก็ฃอให้มีสติ ปัญญาเป็นเลิศ มีขันติฟ้นเลิศ มีดวามเคารพอ่อนน้อมถ่อมตน มีความ กตัญญกตเวทีเป็นเลิศ สามารถที่จะเตือนตัวเองให้มั่นคงอยู่ในเสันทาง ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตลอดไป จะเหยียบจะย่างไปถึงไหน ให้สามารถเป็นกัลยาณมิตร ทั้งแก'ตนเองและผู้อื่น มีนํ้าจิตนํ้าใจที่จะ ประคับประคองหยู่คณะไม่ให้ตกไม่ให้หล่น ให้ได้บำเพ็ญบารมี ประพฤติพรหมจรรย์ได้ตลอดรอดฝัง ร่วมกับหยู่คณะไปทุกภพทุกชาติ ตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรม เทอญ ฯ แด่...นักสร้างบารM น1 ไ□ร) ทารทบทวนๆผธ)รม www.kalyanamitra.org
1 ■ญ'รli.U-m ร pJi::? ■^'
Tf-- พ '?• ■ไ:■^' • * -*c ;:5-V _ มMQJ Q> ของชีวิต —r=-' t .. 1 \"t-vj ^ i + 'V * ' /2 www.kalyanamitra.org
งบประมาณซองสิ1ต โอวาทพระเดชพระคุณพรรภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทดุตสิโว) ในวาระวันคล้ายวันเกิด ๒๑ อ้นวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ ชอบใจมากที่พวกเราทุกรูปทุกคน ใด้มีจิตรนกุศลมาแสดงมุทิตา สักการะแด่หลวงพ่อ เนื่องในวาระวันคล้ายวันเกิดครบ ๔๙ ll แล้วก็ขอ อนุโมทนาในความตั้งใจของพวกเรา ที่ได้กล่าวด่าสัตย์ปฏิญาณว่าจะ สร้างบารมีไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ทั้งเพื่อ!!เกห้ดขัดเกลาตัวเอง ให้ฟัน จากความรนปาวเป็นทาสของพญามาร ทั้งเพื่อจะเป็นกัลยาณมิตรให้ กับสัตวโลก นำ เหล่าสัตวโลกไปส่มรรคผลนิพพาน ตามเสันทางที พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงด่าเนินไปแล้วด้วยดี
ตลอด ๕ - ๖ ปีที่ผ่านมานี้ หลวงพ่อได้พยายามค้นพระไตรปิฎก อ่านอยู่หลายเที่ยว เพื่อต้องการหาว่า มีหมวดธรรมหมวดหนึ่งหมวดใด โดยเฉพาะบ้างไหม ซึ่งสามารถใช้เป็นแม่บทในการflกต้วเอง เพื่อให้คิด เป็น พูดเป็น ทำ เป็นอย่างฟ้นระบบ โดยมีบทฝึกเป็นขั้นเป็นตอนอยู่ ครบครันในตัว และสามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยากเกินไป แล้วยังให้ผู้ เริ่มสร้างบุญบารมีอย่างพวกเรา สามารถกัดฟันฝึกฝนอบรมตนตามไป ได้ตลอดรอดฝังอีกด้วย คิดว่าหากค้นเจอแล้วก็น่าจะเป็นประโยชนึ่ใหญ่หลวงต่อพวกเรา ที่จะน่าความรู้ที่สมบุรณ์นั้น มาเป็นแม่บทฝึกฝนอบรมตนเอง ให้คิด พูด ทำ ได้ถูกต้องร่องรอยตามพุทธประสงค์ และสามารถสร้างบุญบารมี ติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากนํ้าไปได้ทันในภพชาติต่อ ๆ ไป ไม่ใช่ถูกทิ้งห่างจนไม่เห็นผู้นอย่างชาตินี้ สาเหตุที่หลวงพ่อจำเป็นต้องหาหลักฐานจากพระไตรปิฎกกันให้ ชัดเจนอย่างนี้ ประการแรก ก็เพื่อเป็นการยืนยันคำสอนของครูบาอาจารย์ ที่ สอนกันมาแบบปากต่อปาก ไม่ค่อยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าถูกต้องตรงตามพระธรรมคำลังสอนของพระลัมมาลัมพุทธเจ้าข้อใด ปรากฏหลักฐานอยู่ตรงไหน เพี่อให้ผู้ที'มาในภายหลัง ก็จะเกิด ความมั่นใจในการน่าไปประพฤติปฏิบัติ ใคร ๆ จะคัดค้านหรือโต้เถียง งนประมาณๆ!องริวิด จ«> นด่...โเกศรางบารม นเ www.kalyanamitra.org
ยิ่งกว่านั้นต่อไปในอนาคต ชาวทุทธทั้งหลายจะได้ยึดถือเป็น แม่บท สำ หรับแตกลูกแตกดอกมาใช้ฝึกฝนตนเองและลูกหลาน ให้ เหมาะสมตามยุคสมัยต่อไป ประการทีสอง เพื่อเป็นการยืนยันว่า สิงทีเราได้ยินได้ฟ้งจาก ครูบาอาจารย์นั้น เราจำมาได้ครบทุกข้อคราม ไม่มีขาดตกบกพร่อง ถ้าขาดตกอะไรก็จะได้เพิ่มเติมให้สมใ,)รณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรา เข้าใจผิดตรงไหน ก็จะได้แก!ขให้ถูกต้อง เพราะมีพุทธพจน์ยีนยันกัน ชัด ๆ แล้ว นอกจากได้ทุ่มเทค้นคว้าพระไตรปิฎกแล้ว หลวงพ่อยังค้นเข้าไป ในตัวเองด้วยว่า ขณะนี้เราได้ฝึกตัวเอง ติดตามครูบาอาจารย์มาได้ถึง ไหนแล้ว ขณะที่กำลังค้นคว้าอยู่ เมื่อติดชัดไม่เข้าใจธรรมะหมวดไหน ข้อไหน ก็ไดไปถามขอความกระจ่างจากพระอุปัชฌาย์บ้าง พระเถระ ผูใหญ'บ้าง โดยเฉพาะภาคปฏิบัตินั้น ได้เข้าไปกราบถามหลวงพ่อ ธัมมชโยเป็นระยะ ๆ จนได้ความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอน ภาคปฏิบัติลึกซึ้งยิ่งขึ้นมาตามลำดับ ๆ มาถึงวันนี้ วิริยะอุตสาหะของหลวงพ่อก็ไม่สูญเปล่า ในที่สุดก็พบ หลักธรรมเฟบทในการฝึกตนเองให้สามารถคิดเป็น พูดเป็น ทำ เป็น อย่างเป็นระบบได้ เมื่อพบแล้ว หลวงพ่อก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายาม ขยายความแตกลูกแตกดอกออกมาเป็นบทฝึกให้ลูก ๆ สามารถนำไป ปฏิบัติได้ง่าย ๆ ทั้งวัด เพื่อประโยชน์ของพวกเรา และหยู่คณะทุกรูป ทกคน นฅ{...นักสรางบารมี Is X3Cf งฟร!3ภณของ?วิต
หลักธรรมที่พบ คือ หลักสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือครามรู้จัก เหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชนนั่นเอง° พวกเราส่วนใหญ่เคยเรียนรู้ ผ่านชุผ่านตามๆบ้างแล้ว แต่เป็น เพราะเราดูเบา คิดว่าเป็นเรื่องตื้น ๆ ง่าย ๆ จึงไม่ได้พินิจพิจารณาให้ ลึกตื้งมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรามักจะอ่านเฉพาะคำขยายความ จากตำราอื่น ๆ ไม่อ่านจากพระไตรปิฎก อ่านเพียงเพื่อเอามาสอบ ไม่มุ่งเอาไปให้งาน แล้วหลาย ๆ ท่านที'แต่งตำรา ก็มักจะขยาย ความแบบตีความธรรมะเข้าหาตัว เอาความสะดวกของตัวเองเข้าว่า ไม่พยายามเอาธรรมะเป็นหลัก แล้วเคียวเข็ญตัวเองให้สูงเห้าใกล้ ธรรมะยิ่ง ๆ ตื้น จนกระทั่ง(ป็นลันหนึ่งอันเดียวกับธรรมะ เพราะทำกันอย่างนี้เป็นส่ว'นมาก เลยกลายเป็นว่าเราไม่สามารถ นำ สมบัติอันทรงคุณค่าของพระสัมมาล้มพุทธเจ้าออกมาไข้ไห้เกิด ประโยชน!ด้ วันนี้หลวงพ่อจะขอยกมาเป็นตัวอย่างเพียงย่อ ๆ ๒ เรื่อง เนื่องจากเป็น ๒ เรื่องสำคัญ ที่นักสร้างบารมีจะต้องจัดการไห้ลงตัวไห้ ได้ไนเร็ววัน ก่อนนิสัยดี ๆ จะเสียไป คือ ๑) การรู้จักประมาณในการให้สอย หรือการบริหารป้จจัย ๔ ๒) การรู้จักกาล หรือการบริหารเวลา ธัมมัญญสูตร, องฺ.สตฺตก. ๓๗/๖๕/๒๓๖ (มมร.) งบประมาณข3งซ็วิ»1 าอC3 นด่...นัทสร้างบารม ใร) www.kalyanamitra.org
หัวใจการแกคุณธรรมอยูที่การบริหารป้จจัย ๔ ถ้าถามตนเองว่า จุดพอดีของการกินการใขํfข้าวปลาอาหาร ที่อยู่ อาศัย แอผ้าเครื่องนุ่งห่ม หยูกยารักษาโรค อยู่ดรงไหน ? เราจะไม'สามารถตอบตนเองได้ชัดเจน เพราะว่าเราไม'ได้ทุ่มเท ฝึกฝนในเรื่องการไข้สอยปัจจัย ๔ ในการดำรงชีวิตกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เรามองไม'ออกว่าการฝึกตนเองเรื่องการใช้สอยปัจจัย ๔ เป็น รากฐานสำคัญในการขัดเกลากิเลสอย่างไร แล้วเราก็ปล่อยปละละเลย ไปพยายามฝึกตนเองเรื่องการทำงานบ้าง เรื่องการนั่งสมาธิให้หนักยิ่ง ขึ้นบ้าง หรือเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย เรื่องการใข้สอยปัจจัย ๔ ส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ? หาก เราสังเกตให้ดี ก็จะเห็นชัดไม่ว่าการทำงาน หรือการนั่งสมาธิของพวกเรา จะก้าวหนัาไปได้ดีเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น แต่แล้วก็ไปถึงจุดตัน ก้าวหน้า ต่อไปไม่ได้ บางคนท้อถอย ถึงกับหนีจากหมู่คณะไปก็มี เรื่องเหล่านื้จะไปดีได้อย่างไร ? ในเมื่อบทฝึกนิสัยของมนุษย์ทั้ง โลก ต้องเริมด้นจากการบริหารปัจจัย ๔ ให้ลงตัว แต่เราไม'ได้ เคี่ยวเข็ญฝึกตนเองเรื่องการใช้สอยปัจจัย ๔ ให้ลงตัวตามที่พระสัมมา ส้มพุทธเจ้าทรงพรํ่าสอน ทั้ง ๆ ที่ปัจจัย ๙ เป็นสิงที่เราต้องใช้มากที่สุด ปอยที่สุด และสินเปลืองที่สุดในชีวิตมนุษย์ หนำซํ้ายังต้องเหน็ดเหนึ่อย ในการดิ้นรน แสวงหามากที่สุดในชีวิตอีกด้วย นด่...นักรร้างบารมี 1ฮ งบปาะมาณจองจิวิฅ
เหตุที่ต้องใช้ป้จจัย ๔ เป็นอุปกรณ!นการสืกนิสัยก็เพราะว่า หาก วัตถุหยาบ ๆ ภายนอก ที่เราสามารถจับต้องได้ มองเห็นได้ แล้วยังเป็น เครื่องยังชีพของเราทุกลมหายใจแท้ ๆ เรายังไม่สามารถประมาณความ พอดีได้ลงตัว แล้วจะให้เรารู้จักความพอดีในเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่ง ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองมาก ๆ เช่น เรื่องกรรม เรื่องบุญบาป ดีชั่ว ความควรไม่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องมรรคผลนิพพาน ได้อย่างไร อีกประการหนึ่งทีมนุษย์ต้องดิ้นรนทำงานเหน็ดเหนื่อยกัน สายตัวแทบขาดอยู่ทุกวันนื้ ก็มีเหตุจากความไม่รู้จักประมาณในการใช้ ปัจจัย ๔ นั่นเอง คนที่ใช้สอยปัจจัย ๔ ไม'เป็น อุปมาก็เหมือนกับเข่งที่มีรูรั่วพรุน ทั้งใบ การทำมาหากินของแต่ละคนอุปมาเหมือนกับการตักนํ้าใส่เข่ง ถ้า เข่งมันมีรูพรุนไปทั้งใบอย่างนั้น อย่าว่าแต่ตักนํ้าใส่เข่งทีละขันทีละแถ้ว เลย ต่อให้เอาเครื่องปัมนํ้าท่อโตเท่าศาลา มาปัมนํ้าใส่ลงไปในเข่งก็เถอะ พอหยุดปัมเมื่อไร นํ้าก็หมด ไม่เหลืออยู่ในเข่งสักหยดหรอก มันรั่วจน หมดนั่นแหละ ตรงกันข้าม ถ้าเราใช้ชันยารูรั่วให้สนิท เหลือแค'รูเล็ก ๆ เท่า หลอดกาแฟเพียง ๔ รู คือเปิดช่องไว้ ใช้เกี่ยวกับเรื่องข้าวปลาอาหาร ๑ ช่อง เกี่ยวกับเสือผ้าเครื่องนุ่งห่ม ๑ ช่อง เกี่ยวกับที่อยู่อาตัย ๑ ช่อง เอาไว้เผื่อหยูกยารักษาโรคอีก ๑ ช่อง ถ้าอย่างนี้โอกาสที่ร่างกายจะไม่ ต้องเหน็ดเหนื่อยเกินไปก็มืมากขึ้น โอกาสที่จะได้พักก็มาก โอกาสที่จะ ไม่ต้องถล่มทลายสังขารทิ้งก็มืมาก งฟระมาณของ?วิค «o นด่...นักสfnบารมี เฮ www.kalyanamitra.org
สำ หรับพระภิกชุ■ก็เช่นกัน ที่สละบ้านเรือนมาบวชนี้ ขั้นต้นก็เพี่อ เข้มงวดกวดขันตัวเอง ให้มีสติในการใช้สอยปัจจัย ๙ ให้ดี เพราะนั่น คีอบทสืกพื้นฐานในการขัดเกลากิเลส แกไขอุปนิสัยไม่ดีไม่งาม รวมทั้ง เป็นบทสืกคุณธรรมไปด้วยในตัวเสร็จ ใดรแฑเข้มงวดมากฑ็จะไต้คุณธรรม ไต้บุญบารมีดิดต้วไปมาก ญาติโยมที่มาทำบุญต้วย ก็จะไต้บุญมาก เพราะเราเแนเนอนาบุญที่ดี แต่ถ้าใครละเลย ไม่พิจารณาในการใข้สอยปัจจัยแต่ละอย่างให้มาก พอ ก็มีฬวังได้แบกบาปแบกนรก เป็นหนี้ญาติโยมอีกมากมาย มหาศาล สำ หรับอุบาสก อุบาสิกา เจ้าพนักงาน ก็เช่นกัน ขอให้คุมงบ ประมาณเรื่องปัจจัย ๔ ทั้งวัดให้ดี แล้วชาตินี้จะสบาย ไม่ต้องตกเป็น ทาสของกิเลส แล้วยังจะมีเวลาสร้างบุญสร้ไงกุศลได้อีกมาก นี่คือบทแกคนให้คิดเป็น พูดเป็น ทำ เป็น เพราะฉะนั้น ใคร ๆ ก็อย่าไต้มองข้ามเรื่องการf!กบริหารปัจจัย ๔ โดยเด็ดขาด พระสัมมาล้มพุทธเจ้าถึงกับทรงกำหนดไว้ ตั้งแต่วันแรกของการ บวชเลยว่า ถ้าใครอยากจะดำเนินรอยตามพระอรห้นตเจ้าทั้งหลาย ต้อง ปฏิบัติด้งนี้ ๑) ต่อแต่นี้Iปหม้อข้าวไม่ต้องมี ทุบทิ้งเหลือแค่บาตรใบเดียว ๒) เลือผ้ามีเท่าไร โยนทิ้งให้หมด เหลือเพียงผ้า ๓ ผีน คือ สบง จีวร สังฆาฏิ ก็พอ นด1...นักศ'ร้างบารมี ใอ «๑ งบประมาณของชิพํ
๓) ที่อยู่อาสัย ต้องกว้างยาวไม่เกินเท่านั้น เตียงตั่งต้องกว้าง ยาวสูงไม่เกินเท่านี้ พระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้ในพระวินัย เสร็จสรรพ ๙) แม้แต่หยูกยา ตั้งแต่วันบวชเลย ทรงตั่งให้ฉันยาดองด้วย นํ้ามูตรเน่า ก็คีอดองด้วยนํ้าปัสสาวะของเรา นี่แหละคือยา รักษาโรดชั้นยอดซองมนุษย์\" ถ้าเรื่องปัจจัย ๔ ไม■สำคัญต่อการฝึกคน จริง ๆ พระสัมมา สัมพุทธเจ้าคงไม่ทรงกำหนดกฎเกณฑ์บังคับเรื่องนี้ ตั้งแต่วันบวชหรอก ลูกเอ๊ย เพราะฉะนั้น ขอฝากให้พระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา เจ้าพนักงานทุกคน ไปทบทวนพิจารณาการให้สอยปัจจ้ย ๔ ของเราให้ รอบคอบ ละเอียดลออ ทุก ๆ แง่ ทุก ๆ มุมกัน•นะ ว่าเหมาะสมคุ้มค่า ประหยัดกันทั้งวัดดีแล้วหรือยัง ? ข้าวทุก ๆ คำ ที่เรากิน เราฉันเข้าไป พินิจพิจารณาให้มาก ๆ หยิบ ผ้าขึ้นมาใช้แต่ละครั้ง ก็ขอให้พิจารณามาก ๆ ไม่ว่ามันจะเป็น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดโต๊ะ ผ้าเช็ดจาน ฯลฯ เรื่อยไป จนกระทั่งเสือผ้าที่เรา ใช้อยู่ทุกวัน หยิบมันขึ้นมาแล้วพิจารณานาน ๆ อย่าเพิ่งรีบใช้ ที่อยู่อาคัย เสนาสนะต่าง ๆ รวมไปถึงจนกระทั่งหยูกยารักษา โรค จะหยิบจะใช้แต่ละครั้ง ก็ขอให้อยูในความพินิจพิจารณาให้ดีในทุก ขั้นตอนของการบริโกคใช้สอยปัจจัย ๔ คีอ ° นิสสัย ๕. วิ.มหา. ๖/๘๗/®๗๑-๑๗๒ (มมร.) งบประมาณของซิวิ?! ตอร) แด่...นัทสรางบาร}! ใฮ www.kalyanamitra.org
๑) ชองเหล่านเรานสวงฬามาอย่างไร ๒) จะรับอย่างไร ฅ) จะใ!(สอยอย่างไร ๔) ดูแสรักษาอย่างไร จึงจะไม่ให้เกิดเป็นโทษต่อตัวเองและ หมู่ดณะ นอกจากนิ้ ยังต้องพิจารณาใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ตัวเองและหม่คณะอีกด้วย คือ ๑) ให้ได้รับความสะดวกสบาย เอื้ออำนวยต่อการประพฤติ ปฏิบัติธรรม ๒) ให้ได้[อกาสสืกนิสัยฝ็กคุณธรรมเพิ่มพูนขึ้นมาอีก ๓) หมู่คณะจะต้องไม่เดือดร้อน จากการใช้สอยปัจจัยของเรา คือไมใช้อย่างผิด ๆ การที่เราจะสามารถสืกตัวเองให้บริหารปัจจัย ๔ อย่างนื้[ด้อย่าง เหมาะสม อันตับแรกจะต้องคืกษารัดลุประสงค์แห้จริงชองปัจจัยนั้น ๆ ให้ดืเสิยก่อน เสือผ้าที'สวมใส่ วัตลุประสงค์แท้จริงเพียงแค'กันหนาว กันร้อน กันแมลง และปกปิดความน่าละอายเท่านั้น ไม่ได้ใส่เพี่อตกแต่งร่างกาย เพื่ออวดมั่งอวดมี อวดความหรูหรา หรือยั่วยุกามารมณ์ นด่...นักสร้างบารมี นเ ฬท งบปร£มาณชองร็วิฟิ
อาหารที'บริโภค ก็ไม่ได้มีไว้เพี่อบริโภคเล่น ๆ เอาความสนก ไ J, 7 J ,A «7 7 มัวเมาซัวครังซัวคราว แต่กินเข้าไปเทือ1ห้ร่างกายดำรงอยู่ได้ และมี เรี่ยวแรงมีกำลังทำความดีประกอบความเทืยรได้เต็มที่ เสนาสนะ เครี่องไช!ม้สอยต่าง ๆ ก็มีไว้พอแค่กันหนาว กันร้อน กันแดด กันฝน กันสัตว์ กันแมลง มารบกวน แล้วก็เอาไว์ใช้เพี่อการ ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เอาไว้เป็นที่เก็บสะสมข้าวของ สะสมสิงเกิน จำ เป็นต่าง ๆ มิฉะนั้น จะกลายเป็นว่าเราใช้เสนาสนะเป็นที่ลังสมกิเลส แทนที่จะใช้เพี่อกำจัดกิเลสออกไป หยูกยารักษาโรคก็เช่นกัน ไม่ใช่พอได้ยินว่า หมอไหนดี ก็แห่กัน ไป โดยขาดการยั้งคิดพินิจพิจารณา แล้วก็กลับมาปวยหน้าเขียวหน้า เหลืองต่อไปเหมีอนเดิม ไม'มีอาการกระเตื้องขึ้น เพราะตัวเองไฝได้ ปฏิบัติเรื่องการรักษาสุขภาพขั้นพื้นฐานอย่างยูกด้อง เช่น ล้ายังดื่มนํ้า น้อย กลั้นอุจจาระบัสสาวะ ไม่ได้ออกกำลังกาย พักม่อนไม่พอ ปล่อย ปละละเลย ไม่ดูแลด้วเองอย่างนี้ หมอเทวดาที่ไหนก็รักษาไม่หาย หรอกนะ เมื่อก่อนหลวงพ่อก็มองว่า ที่พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงสอนให้ พระภิกษุพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ในเรี่องการใช้สอยปัจจัย ๔ ก็เพราะ ว่า เป็นบทฝึกสติที่ดีที่สุด แต่มาถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าหลวงพ่อดูเบาไป เพราะจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่แค'บทฝึกสติเท่านั้น แต่นี่คือบทฝึกหัด ด้ดลันดานของมนุษย์ทั้งโลก งบประมาณของซิวิ?! as แด่...นักสร้า'Jบารมี 1อ www.kalyanamitra.org
ข้าวของเครืองใช้ต่าง ๆ ที'เราใช้อย่างฟุมเฟือย หรือแม้ไม่ ฟุมเฟือย แต่ดูแลรักษาไม่เรียบร้อย ทำ ให้เสียหายก่อนถึงเวลาอันควร อย่าง^ด้ชึ่อว่า รนการหำลายงบประมาณของช้จิตเรา เรนการหำลาย บุญของญาติโยม ยิ่งไปกว่านั้นยังกลายเป็นว่า เราทำลายqปกรถปี.นการ สร้างนิอัย และสร้างคุณธรรมของเราเองไปด้วยในตัว เพราะฉะนั้น ขอให้มองการใช้สอยปัจจัย ๙ ใหม่ ให้มองว่าปัจจัย ๔ เป็นอุปกรณ์ในการสืกนิสัย ขัดเกลากิเลส สร้างและเพิ่มพูนคุณธรรม ให้แก่เรา ถ้าพระภิกชุ■ฝึกการใช้สอยปัจจัย ๔ อย่างเข้มงวด ท่านจะ ประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้อีกมาก และจะมีคุณธรรมถ้าวหน้าไป กว่านี้อีกมาก เราจะเหนื่อยน้อยลง และญาติโยมก็จะได้บุญจากการ ถวายปัจจัย ๔ เป็นทับทวีคูณขึ้นไป ตราบใดที่ยังไม่ได้มองปัจจัย ๔ ในสักษณะนี้ เราคงต้องเหนื่อย กันอีกมาก แล้วก็จะคิดแบบพาล ๆ ว่าทำไมเราทุ่มเททำดีอย่างเต็มที่ แล้ว แต่ยังไม'ได้ดีสักที จริง ๆ แล้ว เป็นเพราะเราจับจุดในการ ทำ ครามดีไม่ถูกต่างหาก เราจึงยังไม่ได้ดี ใครที'ยังไม'ได้หยุดคิดถึงเรื่องนี้ ก็ขอให้หยุดคิดพิจารณาให้ มาก ๆ ไม่เฉพาะเพียงแต่ปัจจัย ๔ เท่านั้น แม้ของที่เนื่องด้วยปัจจัย ๙ ก็ต้องเอามาพิจารณาให้มาก ๆ ด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่าของเนื่องด้วย เครื่องนุ่งห่ม นอกจากเสือผ้า เครื่องนุ่งเครื่องห่มแล้วก็เลยไปถึง ต้เสีอผ้า กระเป้าเสือผ้า แม้กระทั่งผงชักฟอก ก็จัดเป็นของที่เนื่องด้วย เคริองนุ่งหํมทิงนิน นด่...นักสร้างบารมี ใฮ งฟระมาณของซ็พิ
ของที่เนี่องด้วยข้าวปลาอาหาร ก็มีตั้งแต่ช้อน จาน กระทะ หรือ พูดให้ง่ายก็คือของในครัวทั้งหมดนั่นเอง ของที่เนึ่องด้วยที่อยู่อาด้ย ก็ตั้งแต่ไม้กวาด ไปจนกระทั่งผ้าขี้ริ้ว เครื่องใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดต่าง ๆ ที่มีในบ้านพัก ในกุฏิ ในอาศรม ด้วย ส่วนของที่เนื่องด้วยหยูกยา ก็คืออุปกรณ์การแพทย์ เครื่องมือ ปรุงยาต่าง ๆ เป็นด้น สำ หรับเรื่องการใช้สอยปัจจัย ๔ นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ คำ ว่า ให้รู้จักประมาณในการรับ เพราะผู้ทึ่จะรู้จักประมาณในการรับ ได้ จะด้องมองทะลุได้อย่างครบวงจรของการให้สอย ตั้งแต่ว่าจะ แสวงหามาได้อย่างไร มากน้อยแค่ไหน จะใช้อย่างไร จะเก็บอย่างไร จะ ดูแลรักษาอย่างไร ? นี้เป็นบทฝึกบทแรกสำหรับผู้คิดจะไปนิพพาน เพราะว่าถ้าฝึกเรื่องปัจจัย ๔ ซึ่งเป็นของพื้นฐานสามารถหยิบจับได้กับ มือยังละเอียดไม่พอแล้ว ศูนย์กลางกายเล็กกว่าปลายเข็มละเอียดกว่า กันมากนัก จะหาเจอได้อย่างไร เปรืยบเทียบกันให้1ด้อย่างนี้ บริหารเวลาให้เป็น เรื่องที่ ๒ จากหลักสัปปุริสธรรม หลวงพ่อได้พบว่า สุดยอด อุปก่รณ์การแกคน ก็คือการบริหารเวลา ห่รือเฟงเวลาให้เแน ถ้าพูดอีกทีขอให้พวกเรามองว่า \"เวลาเป็นทรัพยากร เป็น งบ!bะมใณจองร^»! CTfO นดํ...นกaรางบารร ไร www.kalyanamitra.org
งบปรรมาณอย่างหนึ่ง นึ่งมีค่ายิ่งฑว่าป้จจัย ๔ หลายแสนหลายล้าน เท่าตัว\" นัก แล้วหาทางคุมงบประมาณเวลานี้ให้เป็น เราอาจเคยมองว่า เวลาเป็นสิงสำคัญ เพราะผ่านมาแล้วไม่เคย หวนกลับเลย นอกจากเรียกกลับมาไม่ได้แล้ว ยังเอาโอกาสดี ๆ ของเรา ไปด้วย เอาอายุเราไป แล้วเอาความแก่มาแถมให้ และนำความตายมา ให้ในที่สุดด้วย มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ไม่ช้าเราก็ต้องตาย ก่อนตายต้องรีบ สร้างความดีให้มากเข้าไว้ เพราะว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ไมรู เมื่อก่อนมองแค่นี้ ก็คิดว่ามองเวลาเป็นแล้ว มาวันนี้พบว่าเท่าที'มองเวลาอย่างนี้ยังหยาบเกินไป ถ้าจะให้ ละเอียดขึ้น ต้องมองว่าเวลาเป็นงบประมาณชนิดหนึ่ง มีราคาแพงกว่า ทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ทั้งโลกรวมกัน เพราะว่านอกจากมันจะนำความ ตายมาให้แล้ว ยังตัดโอกาสสร้างบุญสร้างบารมี ยังเพิ่มระยะห่าง ระหว่างเรากับพระสัมมาลัมพุทธเจ้า ตัดอายุของเราลงไปอีกด้วย เพราะฉะนั้น ต้องมีคิลปะในการใช้เวลา ล้าไม่เสืลปะในการใช้ผลา แม้ อยู่จนแก่ใกล้ดาย ก็จะบอกว่าไม่มีผลาดีกษาปฏิบัติธรรมอยู่นั๋นเอง หลวงพ่อได้อ่านตำรับตำราทั้งไทยทั้งฝรั่ง ดีกษาชีวประวัติของ บุคคลที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตว่า เขามีกลเม็ดเด็ดพรายในการ บริหารเวลาอย่างไร เราจะได้เอาเทคนิคของเขามาประยุกต์ใช้ในการ บริหารเวลาของเราบ้าง ปรากฎว่าอ่านจบเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ค่อยจะได้ อะไรเท่าที'ควร เพราะเขาเอาเวลาในชีวิตไปใช้ในการท่างาน ในการ แสวงหาความสุขทางโลกเสียหมด นท่—นกสร้างบารมี นเ ฅผ งบปาะมาณจอง^ค
แต่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าของเรา พระองค์ไม่ได้ทรงมองอย่างนั้น ทรงสอนให้แบ่งเวลา โดยสรุบ่ว่ามี ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คีอ ๑) เอาเวลาไว้เพื่อการสืกษๆธรรมะ ด้นคว้า ซักถามครูบา อาจารย์ หรือไต่ถามผู้รู้ รวมทั้งสนทนาธรรม ๒) เอาเวลาไว้นั่งสมาธิเจริญภาวนา ทั้งระยะสั้น ๆ ไนแต่สะ วัน ทั้งระยะยาวในแต่ละปี ^ พระองค์ทรงสอนให้เอาเวลาในหนึ่งวัน คือ ๒๔ ชั่วโมงเป็นตัวตั้ง แล้วแบ่งให้สองงานนี้ก่อน เวลาที่เหลือจากนั้น ค่อยเอาไบ่ทำภารกิจ อย่างอื่น นี่เป็นคืลบ่ะฃองการใช้เวลา ไมใช่แบ่งเวลาไบ่ทำภารกิจอย่าง อื่นก่อน เหลือเท่าไรค่อยเอามาคืกษาธรรมะ ค่อยเอามานั่งสมาธิ สืลปะการบริหารเวลาของคุณยายอาจารย์ คุณยายอาจารย์ท่านทำให้หลวงพ่อดูเป็นตัวอย่างแล้ว นับตั้งแต่ วันแรกที่หลวงพ่อไปบ้านธรรมบ่ระสิทธ วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ก็พบว่า ถ้าไปตอนสาย ๆ หลัง ๙ โมง คุณยายปิดประดูบ้านธรรมประสิทธื้นั่ง สมาธิเสย ใครจะเข้าทางประตูหน้าไม่ได้ ต้องค่อย ๆ เดินไปเช้าทาง หลังครัว จนกระทั่งเกือบ ๆ ๑๑ โมง ยายจึงจะเลิกนั่งสมาธิ ภาคกลางวัน หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว คุณยาย ท่านก็รับแขก จนถึงประมาณบ่ายโมงครึ่ง ไม่เกินบ่าย ๒ โมง คุณยาย ^ ธัมมัญญสูตร, องฺ.สตตก. ๓๗/๖๕/๒๓๖ (มมร.) งบประมาณของซิวิ?! eves แด่...นักสร้างบารมี 1ร www.kalyanamitra.org
ท่านพูดเลย \"มานั่งสมาธิfhiก่อนนะ แล้วเดี๋ยวมีอะไรจะปรึกษาหารือ ก็ ค่อยว่ากัน\" พอพูดเท่านี้ แขกบางคนก็จะพูดว่า แหม...พอดีติดธุระ เลย ขอกลับก่อน แต่ถ้าใครรักการปฏิบัติธรรมจริง ก็จะอยู่นั่งสมาธิกับ คุณยาย นี่เป็นตัวอย่าง ติลปะการบริหารเวลาของท่าน ครั้นหลวงพ่อธัมมชโยบวชแล้ว แต่ยังไม'ได้ย้ายจากวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ มาอยู่วัดพระธรรมกาย พอถึงบ่ายโมง แขกมาเท่าไร ๆ คุณยายชวนนั่งสมาธิหมด โดยท่านรีบนั่งหลับตาก่อนเป็นตัวอย่าง แล้ว ให้หลวงพ่อธัมมชโยนำนั่งสมาธิ ถ้าเป็นวันอาทิตย์ ก็ให้นั่งไปลักหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยพักกัน เพราะญาติโยมนั่งสมาธินาน ๆ ติดต่อกันเกินหนึ่งชั่วโมงไม่ไหว แต่ถ้า วันธรรมดาก็นั่งสมาธิกันตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงบ่ายสามโมงจึงจะพัก พอ หกโมงเย็น ไม่เกินหกโมงครึ่ง คุณยายก็กำหนดให้เป็นเวลานั่งสมาธิอีก แล้วก็นั่งไปจนถึงสามทุ่มจึงค่อยเลิก หากจะมีการงานอะไรที'ต้อง ประชุมปรึกษาหารือ ก็ค่อยว่ากันหลังจากนั้น ยกเว้นวันไหนมีงาน เร่งด่วน ท่านก็ให้นั่งสมาธิไปเลิกเอาสองทุ่ม แล้วท่านก็กำหนดเวลาของท่านอีกว่า จะมีงานมากมายอย่างไร ก็ตาม พอลึงสิทุ่มด้องเลิกประชุม |||นการบังคับให้เราคุยงานให้มาก โมให้น้อยหน่อย แวะข้างทางให้น้อยหน่อย นี่เป็นวิธีการฝึกของท่าน เพี่อให้เรารู้จักการบริหารเวลาเป็น นฅ่...นกลร้างบารมี 1ฮ CKX องซิวิต
เพราะฉะนั้น ก็ฃอให้พวกเรามองว่า เวลาเป็นงบประมาณมีค่า แพงกว่างบประมาณทึ่รนป็จจัย ๔ และที่เป็นทรัพย์สินฬินทองเสิยอีก เพราะที่เป็นปัจจัย ๔ หรือทรัพย์สินเงินทองนั้น หากขาดเหลืออย่างไร ก็ยังพอหยิบยืม พอให้พรรคพวกเพื่อนฝูงหามาไห้ ช่วยเหลือเจือจุนกัน ได้ แต่งบประมาณเวลานี่ ผ่านแล้วผ่านเลยนะลูกนะ อย่าว่าแต่ฝานแล้วผ่านเลย แม้ขณะฑำล้งใล้อยู่ ล้าสิลปะการไล้ ไม่ดี ก็นำ ความเสิยหาย เดือดเอาเมาให้อยู่เสมอ ๆ นับแต่นี้ไป ก็ขอให้พวกเราทุ่มเทดีกษาค้นคว้า และทำความ เข้าใจในเรื่อง \"การบริหารปัจจัย ๔\" และ \"การบริหารเวลา\" ให้ ละเอียดลึกซื้ง แล้วตั้งใจฝึกฝนตนเอง เพื่อบริหารงบประมาณของชีวิต ทั้งสองประการนี้ให้ลงตัวให้!ด้ หากทำได้เช่นนี้แล้ว หลวงพ่อมั่นใจว่า พระธรรมกายภายในตัวที่พวกเราควรจะเข้าถึง ก็ย่อมจะอยู่เพียงแค' เอื้อม ในที'สุดนี้ ขออำนาจกุศลผลบุญที'พวกเราทุกคน ทั้งที'เป็น พระภิกษุ เป็นสามเณร เป็นอุบาสก อุบาสิกา เจัาหน้าที่ก็ดี ต่างได้ตั้งใจ เข้าวัดปฏิบัติธรรม ขัดเกลาตัวเองตามพระธรรมวินัยของพระสัมมา สัมพุทธเจัา โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันตลอดมา ขออำนาจกุศลผลบุญนี้ จงส่งผลให้พวกเราทุกรูปทุกคนเข้าถึง พระธรรมกาย แตกฉานในวิชชาธรรมกายได้!ดยง่ายไปทุกภพทุกชาติ หากคุณยายอาจารย์ของพวกเรา หลวงพ่อธัมมชโย หลวงพ่อวัดปากนํ้า งบ!hะมาณจองfiค GO นฅ่...นักส'ท้งบารมี Is www.kalyanamitra.org
สามารถทำวิชชาธรรมกาย ทั้งเผยแผ่ ทั้งปราบมาร ทั้งตอบเหตุตอบผล ได้ลุ่มลึก กว้างไกล รวดเร็วเพียงไหน ก็ขอให้พวกเราทุกรูป ทุกคน แตกฉานในวิชชาธรรมกาย สามารถทำวิชชาธรรมกายได้ลุ่มลึก กว้าง ไกล รวดเร็ว ตามหลวงพ่อวัดปากนํ้า หลวงพ่อธัมมชโย และคุณยาย อาจารย์ได้ทันทุกวาระจิตได้โดยง่ายดาย ติดตามท่านสร้างบุญบารมี ไปไม'ตกไม่หล่น ทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งปราบมารได้สินเชื้อ ไม่เหลือเศษ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายอยูในวัฏสงสาร ด้วยอำนาจบุทิตาจิต และ ความปรารถนาดีที่พวกเรามีต่อหลวงพ่ออย่างยิ่ง อยากจะให้หลวงพ่อมี สุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีอายุยืนยาว มีดวามสุข มีดวามอิ่มเอิบใน การปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอให้อำนาจกุศลจิตนี้ จงทับทวีนับอสงไขยไม่ถ้วน ย้อนกลับไป ตอบสนอง คุ้มดรองรักษาพวกเรา ทุกรูป ทุกดน ให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ คุณสารสมบัติอย่างยิ่ง ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ตราบถึงวันที่สุดแห่งธรรม จงทุกรูปทุกท่าน เทอญ ฯ UR...14n9T1งนารน นเ _ Cf© งบประมาณของรวิต
www.kalyanamitra.org s ''> V-''I.* !.♦* '»** .* !•' *•'.♦• '>* •ะ-\" * • \" . »- .iK -N พ •t it ■■ ■ 5 เ' s . ': s ' ะ^''';\"' v' \" S' -ไ
อยู่วัดอย่างไร 1 ให้ก้าวหน้า I.
อยู่วัดอย่างไรให้ก้าวหน้า โอวาทพระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทดุดเโว) วันรวมใจบุคลากร รุ่นที่ ๙ ครบรอบ ๒ ปี ของการสร้างบารมี ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑' พวกเราเคยมองย้อนสังเกตตัวเองบ้างไหมว่า นับตั้งแต่ก้าว เช้ามาอยู่ในวัดจนถึงวันนี้ เรามีคุณธรรมเพิ่มขึ้นหรือลดลงประการใด และคุณธรรมที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนี้เราได้มาอย่างไร ? www.kalyanamitra.org
เมื่อลองย้อนมองตนเองอย่างนี้แล้ว เราจะพบความจริงเพิ่มขึ้น ว่า ในชีวิตการสร้างบารมีของพวกเรา จริง ๆ แล้วเราไม่มีบทฝึก คุณธรรมบทไหน ที่ฝึกแล้วได้คุณธรรมขึ้นมาเฉพาะ ๆ คือไม่มีบทฝึก เฉพาะ ๆ ที่ทำ ไห้มีสัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขา บารมี ฯลฯ แต่มีรวม ๆ แทรกอยู่ไนทุกเรื่องทุกราวที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง และเข้าไปทำไนชีวิตประจำวัน แม้ตัวเราเองก็แยกไม่ออกว่า คุณธรรม แต่ละข้อได้มาจากการทำงานชิ้นไหน อุปมาเหมือนเรารู้ว่า ร่างกายของเราประกอบด้วยเลือดด้วยเนี้อ เจริญเติบโตมาด้วยข้าวปลาอาหาร ทั้งส่วนที่เป็นโปรตีน แป้งนํ้าตาล และเกลือแร่ เรารู้ว่าอาหารประ๓ทแป้งและนี้าตาล ก่อเกิดเป็นพสังงานไน ร่างกายของเรา แล้วก็มีการสะสมไว้ไนกล้ามเนี้อ ส่วนที่เป็นไขมันก็ไห้ พลังงานแก่ร่างกาย แล้วเหลือเก็บเอาไว้ไนเนี้อเยื่อไต้ผิวหนัง ส่วนที่เป็น เกลือแร่ก็ช่วยรักษาสมดุลของเชลล์ ส่วนที่เป็นโปรตีน เราก็รู้อีกว่าได้ จากการรับประทานอาหารจำพวกเนี้อ ถั่ว ปลา ฯลฯ แต่ถ้าจับแขนยกขาของเรา แล้วไห้ชี้บอกว่า ส่วนไหนได้มาจาก เนี้อไก่ ส่วนไหนได้มาจากเนี้อ หมู ฯลฯ เราก็บอกไม่ได้ เรารู้เพียงรวม ๆ ว่าทั้งโปรตีน ทั้งแป้งและนํ้าตาล ทั้งไขมัน ทั้งเกลือแร่ ทุกสิงทุกอย่างที่ เรารับประทานเข้าไป ได้กลายเป็นเลือดเนีอไนร่างกายของเรา อยู่วัดอย่างไรใท้ก้T3Vฟ้า <3าอ แด่...นักสร้างบารมี 1ฮ
เราแยกประ๓ทอาหาร ที่ก่อให้เกิดเป็นร่างกายของเราออกเป็น ส่วน ๆ ไม่ได้ ฉันใด คุณธรรมที่เกิดชื้น ก็แยกไม่ได้ว่ามาจากบทฝึก เฉพาะบทไหน ฉันนั้น เราสังเกตตัวเองได้ว่า เราก็เป็นคนรักบุญกลัวบาปมาแต่อ้อนแต่ ออก ไนขณะที่พี่น้องคลานตามกันมา บางคนก็ไม่รักบุญ ไม่กลัวบาป บางคนก็เฉย ๆ ประ๓ทบุญก็ไม่ทำ บาปกรรมก็ไม่สร้าง ทั้งที่เป็นพี่น้อง คลานตามกันมาแท้ ๆ พ่อแม่ก็สอนมาเหมือน ๆ กัน ถ้าอย่างนั้นคุณธรรมของเราเกิดมาจากไหน ? กิจวัตรทางผ่านคุณธรรม จริง ๆ แล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้มืบทฝึกอะไรเฉพาะด้าน ท่านก็เพียงแต่ สอนไห้เรารับประทานอาหารเป็น สอนไห้เราอาบนํ้าเป็น สอนไห้หลับตื่น เป็นเวลา สอนไห้เรารักความสะอาดเป็นชีวิตจิตไจ สอนไห้เราช่วยท่าน ท่างานบ้าน เหมือน ๆ กันกับลูกคนอื่น แต่ว่าลูก ๆ ของท่านแต่ละคนกลับมืคุณธรรมไม่เหมือนกัน ถ้า สังเกตไห้ดี เราจะพบว่า คุณธรรมที่พ่อแม่ฝึกฝนเรามา จนกระทั่งส่งไห้ เรามาเข้าวัดได้นี้ แท้ทีจริงแล้วท่านได้ปลูกฝังคุณธรรมผ่านกิจวัตร ประจำวันของเรานั่นเอง เพียงแต่ว่าเราสนไจใส่ไจน้อมนำสิงเหล่านั้นเข้า มาไว้ไนไจได้มากกว่าพี่มากกว่าน้อง จึงท่าไห้เรามีคุณธรรมมากกว่าพี่ น้องอีกหลายคน นทํ...นักลร้างนารมี น) Gcf อ^ดอย่างไรใฟ้กัT3ทน้า www.kalyanamitra.org
ครั้แเรามาถึงวัดแล้ว ก็ได้รับการอบรมเหมือน ๆ กันกับเพื่อน ๆ คุณธรรมเมื่อเริ่มต้นก็ใกล้เคียงกัน แต่พอเวลาผ่านไป ๒ - ๓ ปี เราก็ พบว่าคุณธรรมของแต่ละคนเริ่มไม่เท่ากัน บางคนก็แซงหน้าพรรคพวก อย่างเด่นซัด บางคนก็ทำท่าจะไปไม่ไหวเสียแล้ว แท้ที่จริงการที่คุณธรรมของคนหนึ่งคนใด จะก้าวหน้าขึ้นมาได้ มากได้น้อยเท่าไร ก็ขึ้นอยู่ที่ \"ครามตั้งใจfเกฝนตนเอง ผ่านกิจวัตร ประจำวัน\" โดยมืพื่เลี้ยง มืครูบาอาจารย์เป็นต้นแบบ คอยจํ้าจี้จํ้าไซให้ บ้าง อาด้ยความช่างสังเกตของเราบ้าง อาด้ยงานที่เราทำบ้าง เช่น ใคร อยู่งานโยธา ลักษณะงานก็หล่อหลอมให้ทนแดด ทนฟ้า ทนลม ทนผ่น ส่วนใครอยู่แผนกต้อนรับ สภาพของงานก็บังคับให้ต้องมืความอดทน ต่อการกระทบกระทั่งจากผู้คนสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น เพราะฉะนั้น การที่เราจะเพิ่มพูนคุณธรรมให้กับตัวเอง เพิ่มบุญ บารมีให้กับตัวเองในภายภาคหน้า เราจึงจำเป็นต้องย้อนกลับมาดู กิจวัตรประจำวันของเรา ดูลักษณะงานของเราที่ต้องเกี่ยวข้อง ดูผู้ บังคับบัญชาของเรา ดูเพื่อนและลูกน้องร่วมงาน ดูเลยไปจนกระทั่งงาน ที่จะขยายตัวต่อไปในอนาคต ดูให้เข้าใจละเอียดทุกสิงทุกอย่าง เพราะ สิงเหล่านี้ก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเรา หากดูไม่ละเอียด ขาด การพินิจพิจารณาแล้ร ถึงจะอยู่ในวัดนานถึง ๑00 ป็ คุณธรรมก็จะ ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร และยิ่งถ้าไปจับแง'คิดในกิจวัตรต่าง ๆ ผิดๆ เข้าไปด้วย นอกจากคุณธรรมจะไม่ก้าวหน้าแล้ว อาจจะมีโอกาสถอย หลังได้อีกด้วย อยู่วัดอย่างไไ[ใฟ้ท้าพน้า GCS นส่...นักสร้างบารมี น)
งาน ๓ งบ ก่อนเจาะลึกเข้าไปในกิจวัตรประจำวัน เราต้องมาดูก่อนว่า ต่อแต่ น1ปจนตลอดชีวิต เรามีภาระหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง เมื่อดูแล้วเราจะพบ ว่าไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ อุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ ติดตัวอย่างน้อย ๓ เรื่องใหญ่ ๆ หรืองาน ๓ งบ อยู่ด้วยกัน คือ ๑) ต้อง!]ฑฬัดขัด๓ลาตนเอง ให้มีคืลธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ๒) ต้องขัวยกันรักษาองค์กรให้ดำรงคงอยู่คู่ฟืาตลอดไป ฅ) ต้องกลั่นจิตกลั่นใจตนเองให้ใสสะอาดบริสุทรยิง ๆ ขึ้นไป งานงบที่ ๑ งาน!]กห้ดขัดเกลาตัวเองให้มีคืลธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป นิสัยใจคอมากมายหลายอย่างของเราที่ติดตัวมาจากบ้าน จาก สถาบันการคืกษานั้น ถ้าจะแปงแล้ว เห็นจะได้ ๔ กลุ่ม ด้วยกัน คือ ๑} นิสัยใจคอที่ไม่ดี ไม่เรียบร้อย ที่มีอยู่แต่เดิม นิสัยแบบนี้ เรามีหน้าที่จะต้องกำจัดทิ้ง ละเลิกนิสัยเหล่านั้นเสียให็ได้ ๒) นิสัยไม่ดีที่เรายังไม่เคยประพฤติ นิสัยประ๓ทนี้เมื่อไร อารมณ์ไม่ดี ก็เกือบไปทำเข้าเหมีอนกัน ซึ่งถ้าเผลอไปทำ เข้าจริง ๆ คงจะไม่งามแน่ ๆ เพราะฉะนั้น ต้องหาทาง ป้องกัน นค่...นกรรางบารมี 1อ C3(K อยู่วัดอย่างไรใฟ้ก้าวหน้า www.kalyanamitra.org
๓) นิสัยดี ๆ ทีเแล้ว แต่ยังไม่ได้ประพฤติ ต้องขวนขวาย ประพฤติขึ้นมา ต้องเพาะให้เกิดขึ้นมาในจิตใจของเราให!ด้ ๔) นิสัยดี ๆ ที่มีอเjแต่เดิมแล้ว แม้จะมีอยู่แล้ว ก็อย่าเพิ่งคิด ว่ามีมากพอแล้ว ต้องหมั่นขวนขวายประพฤติให้เพิ่มพูน ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนสมบูรณ์แบบ คราวนี้ฅ้าจะฉามกันต่อไปอีกว่า นิสัยใจคอทีว่าดี ๆ สมบูรณ์ แบบนั้น มีนิสัยหสัก ๆ อะไรบ้าง ? นิสัยดี ๆ ที่|||นฬสัก ๆ ของคนเรา มี ๔ ข้อ ต้วยกัน คือ ๑. นิสัยจริงจังจริงใจ ต้องมีความรับผิดชอบทุกสิงทุกอย่าง ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าจะพูดเป็นภาษาพระ ก็เรียกว่า สัจจะ นั่นเอง สัจจะ คือความ จรีงใจ ที่จะรับผิดชอบในทุกสิงทุกอย่างที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องให้ดีที่สุด ชงเฯ.ดฯแ.ก่s '' ๑.๑ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการงาน ถ้าเราเกี่ยวข้องกับ หน้าที่การงานไหน ก็ต้องทำหน้าที่การงานนั้นให้ครบ ด้วย ความจริงจังจริงใจแล้วทำให้ดีที่สุด ๑.๒ ความรับผิดชอบต่อวาจา ถ้าจะไปพูดกับใคร ก็ต้องพูด เรื่องจริง เว้นเรื่องเท็จเด็ดขาด และต้องมีความจริงจัง จริงใจ ที่จะรักษาคำพูดที่รับปากรับคำนั้นไว้ให้ได้ อยู่พ้อย่างไรใvlก้าวหนา GSO นด่...นักสร้างบารมี โอ
๑.ฅ ความรับผิดชอบต่อบุคคล ถ้าจะต้องไปเกี่ยวข้องกับใคร พรรคพวกร่วมงานคนไหน กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วม งานหรือผู้บังคับบัญชาเราเอง ก็ต้องรับผิดชอบ มีความ จริงจังจริงใจต่อบุคคลนั้น ๆ เหมีอนกับที่เรามีความจริงจัง จริงใจต่อตนเอง ๑.๔ ความรับผิดชอบต่อคุณธรรม ในฐานะที่เป็นชาววัดต้อง สร้างบุญบารมี ๑๐ ทัศ ให้สมบุรณ์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องมี ความรับผิดชอบต่อการสร้างบารมีทั้ง ๑๐ ให้เต็มที่ โดย ไม่ปล่อยปละละเลยข้อใดข้อหนึ่งเป็นอันขาด กระดูกสันหลังเป็นแกนกลางของคนเรา ฉันใด สัจจะทั้ง ๔ ประการ ก็ฟรียบเหมือนแกนกลางของคุณธรรมทั้งปวง ฉันนั้น ถ้ากระดูกสันหลังของเรา ได้รับอันตราย เช่น ถูกหักทิ้งไป อย่าง น้อยเราก็เดินไม่ได้ ต้องคลานเป็นไถ้เดือน คลานเป็นกิ้งกือ หมดสารรูป ของความเป็นคน แม้จะมีกระดูกสันหลังครบครัน แต่ถ้ากระดูกสันหลัง ถูกทำลายจนคด ๆงอๆหรือขนานกับดินเหมือนกระดูกหมู หมา เป็ด ไก่ เราก็ไม่สามารถยีนหยัดสู้หน้าใคร ๆ ได้ หากคนไหนขาดสัจจะ คือขาดความจริงใจ ต่อหน้าที่การงาน ต่อ คำ พูด ต่อคุณธรรม ต่อบุคคลที่ตนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ถีอได้ว่า คน ๆ นั้นกระดูกสันหลังพิการเสียแล้ว นฅํ...นกสร้างบารมี Is 0^๑ อผู่วัตอย่างไ■รให้ก้าวทน้า www.kalyanamitra.org
สังเกตง่าย ๆ คนพวกนี้ ไปทางไหน คอของเขาจะตก พอถูก ซักถามก็ไม่กล้าดูหน้าใคร กระดูกสันหลังตรงท่อนที่เป็นคอตก มันหัก เสียแล้ว จึงไม่กล้าสู้หน้าคน ใครพูดจากะล่อน ตลบแตลงแบบขอไปทีเอาไว้มาก ๆ หมก ๆ หมัก ๆ งานเอาไว้มาก ไม่รักษาคำพูด ไม'จริงจังกับใครไว้เยอะจน ใคร ๆ เขารู้เซ่นเห็นชาติหมดแล้ว คนพวกนี้จะไม่กล้าสู้หน้ามนุษย์ ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นประ๓ทเกียจคร้านชอบนอน กระดูกสันหลังจะ ราบติดดิน เป็น \"โรคบิด ติดเสือ งานการเหม็นเยื่อ ข้าวปลากินได้\" คนพวกนี้แมัยังไม่ท่าความผิดอะไร ก็ยืดหน้ายืดคอไม่ขึ้น จำ ไว้นะลูก เกิดเป็นคนด้องมีสัจจะ คือจริงใจต่อทุกสืงทุกอย่าง ที่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง แสดงความรับผิดชอบให้หมด ไม'โยน ไม่ผลักภาระให้ใครอื่น ถ้าจะหาบุคคลตัวอย่างในวัดของเรา ก็ให้สังเกต ดูคุณยาย ดูหลวงพ่อธัมมชโย ดูหลวงพ่อเองเป็นตัวอย่าง จะยืน จะเดิน จะนั่ง หรือไปพบปะกับใคร ไม่ว่าเขาจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน ไม่เคยก้มหน้าหลบเลย ก้มหน้าไม'เป็น มีแต่สู้หน้า เห็นอะไรขาดตก บกพร่อง ก็จะเดินหน้าเข้าไปแก้ไข ไปอุดรูรั่วให้หมด ๒. นิสัยกระดือรือร้นที่จะปรับปรุงด้วเอง นิสัยกระตือรือร้น อยากได้ความดี อยากมีความรู้ความสามารถ แล้วลงมีอฝึกหัดขัดเกลาตนเองให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่อง การสืกษาพระไตรปิฎก เรื่องการรักษาศีลให้ทันโลก ทันกิเลส ทันคน ภาษาพระเรืยกว่า \"ทมะ\" แปลว่า กระตีอรือร้นที่จะฝึกฝนตัวเอง อยู่ว้?!อย่างไรให้ก้าวหฟ้า GS© แด่...นักสร้างบารมี ไร
แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เมื่อหลวงพ่อรู้ว่าที่ไหนมีดีอะไร หลวงพ่อจะ ส่งพวกเราไปดู แล้วนำมาปรึกษาหารือกัน ว่าขณะนี้ทีตรงนั้นตรงนี้ ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ สมควรที่พวก!,ราจะต้องกระตือรือร้น ทำให้ดีตาม เขาไต้หรือยิ่งกว่าเขา หลวงพ่อไปถึงไหน ได้เห็น ได้ฟัง ได้ยินอะไรมา เอากลับมาคิด เลยว่า จะเอามาปรับปรุงวัดของเราอย่างไร มาปรับปรุงตัวเองอย่างไร นิสัยเช่นนี้ต้องช่วยกันเพาะขึ้นมา เพราะจะเป็นต้นทางของบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ ฅ. นิสัยทรหดอดทน สำ หรับนิสัยนี้พวกเรามีกันมาก เมื่อเทียบกับทั่ว ๆ ไป เพราะ พวกเราเป็นลูกหลวงพ่อ สร้างบารมีเคียงปาเคียงไหล■กันมาหลายภพ หลายชาติ เมื่อหลวงพ่อมาพบคุณยายใหม่ ๆ คุณยายบอกว่าจะสร้าง วัด หลวงพ่อเรืยนท่านว่าพร้อมจะทุ่มชีวิต ช่วยท่านสร้างวัด ขอให้สั่ง งานมาเถอะ ถ้าวัดนี้ไม่เสร็จจะไม่ยอมเลิก ไม'ทิ้งกลางคัน แม้จะต้อง สร้างตลอดชีวิตก็ยอม งานจะหนักหนาสาหัสอย่างไรก็ไม่หวั่น ตอนนั้น ยังไม่บวช หสวงพ่อกล้ายืนยันกับคุณยายอย่างนี้ เพราะมั่นใจว่าตัวเอง มีความทรหดอดทน คีอขันติมากพอ ถ้าสร้างวัดยังไม่เสร็จเป็นไม่ยอม ตายเป็นตายกัน คุณยายก็ตอบดีเหลือเกินว่า \"ยายเขึ้อคุณ\" ในเมื่อยายเชื่อ ก็จบ ไม่ต้องพูดอะไรอีก นค่...นกสรางบารน 1อ (Kn อยู่วัดอย่างไรใท้ก้าวทน้า www.kalyanamitra.org
๔. นิสัยรู้จักดัดใจ ไม่ว่าเรื่องดี เรื่องร้ายที่มาถึงเรา ต้องตัดไจ ตัดสินไหได้ ของดี ๆ แต่มีจำกัด เราเองก็ตัองไซ้ พี่ ๆ น้อง ๆ ก็อยากได้ ถ้าเขาจำเป็นกว่า เรายอมตัดไจยกไห้เขาไปก่อน หรือความร้ายกาจที่ไครทำกับเรา แต่เรา ก็ตัดไจยกโทษไห้ ไม่ต่อความยาวสาวความยึด รู้จักไห้อภัย ถึอว่าแล้ว ก็แล้วกันไป ไม่เก็บมาคิดแค้นเคืองไห้เปลืองไจ เสียอารมณ์ ถ้าจะว่าไปแล้วความสามารถไนการตัดไจ พวกเราก็มีมาจากบ้าน มากพอสมควร ไม'อย่างนั้นคงตัดไจเข้าวัด ตามหลวงพ่อมาไม'ได้ หลวงพ่อขออนุโมทนาด้วย เมื่อตอนจะชื้อที่ดินเพี่มขึ้น ก็ตัองตัดไจจะเป็นจะตายอย่างไรก็ไห้ มันรู้!ป ไม'ถอยแล้ว พื้นที่ ๒.000 ไร่ นี่ตัองชื้อไห้ได้ เพราะเป็น ประโยชน์กับพระพุทธศาสนา ไครจะยกขบวนมาเผาวัดจะมาฆ่าเรา ก็ ไห้มันฆ่าไป ตัดไจ ตายเป็นตาย ยังจำได้ วันที่จะตัดสินไจชื้อที่ ๒,๐๐๐ ไร่ พื้นที่ที่เรากำลังนั่ง อยู่เดี๋ยวนี้ เพี่อสร้างธรรมกายเจดีย์ ตอนน้นประมาณ ๔ ทุ่มเศษ หลวงพ่อธัมมชโยมาถึงกุฏิเลย จึงถามท่านไปว่า \"หลวงพ่อ มีธุระอะไรรืบด่วนหรือ ?\" ท่านตอบว่า \"อยากจะมาถามความเห็นหลวงพ่อทัตตะลักหน่อย\" \"เรื่องอะไรหรือครับ ?\" อยู่ว้ดอETHไรใฟ้เาฑทน้า (XS นด่...นักสT1งบารมี โฮ
\"เราจะเอาอย่างไรกัน จะขยายวัดหรือไม่ขยาย\" \"ก็หลวงพ่อตั้งเป้าจะขยายวิชชาธรรมกายไปให้ทั่วโลก มันก็ต้อง ขยายสิ มีอะไรหรือ ?\" หลวงพ่อธัมมชโยท่านก็ถามต่อว่า \"ถ้าเอาที่ตรงนี้ ข้อดีคือมันติด กับพื้นที่เดิม แต่ราคาก็แพงหน่อย ที่สำ คัญคือมันต้องรบกับชาวบ้านนะ (ผู้เช่านาเดิม) เขาคงไม่ยอมออกกันง่าย ๆ หรอก แต่ถ้าเลยไปตรงต้น คลองสามไปถึงคลองรพีพัฒน์ ไม่ต้องรบกับใคร เพราะไม่มีคนเช่านา ราคาที่ก็ถูกกว่ามาก ตรงนี้ราคาไร่ละ ๒๕,000 บาท ที่โน่นไร่ละ หมื่นเศษ ๆ เท่านั้น ถ้าไปซื้อทางต้านโน้น ได้ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย จะเอา ที่ไหนแน่\" หลวงพ่อเองก็ตอบท่านไปว่า \"ถ้าไปที่โน่นตรงต้นคลองสาม ก็ เหมีอนเมืองอกแตกนะหลวงพ่อ วัดพระธรรมกายอยู่นี่ แต่ไปซื้อที่ไกล ออกไปอีกเกือบสิบกิโลเมตร ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือสือสารดี ก็คง บรืหารได!ม่ดี\" \"หลวงพ่อทัตตะต้องคิดให้ดีนะ ถ้าเอาที่ดินติดหลังวัดตรงนี้ ต้อง รบนะ ดีไม่ดีถึงตายกันนะ\" หลวงพ่อก็ตอบท่านไป \"รบก็รบ ตายก็ให้มันตายไปสิ\" หลวงพ่อธัมมชโยได้ยินหลวงพ่อตอบอย่างนั้น ท่านก็โพล่งขึ้นมา ทันทีว่า \"เออ...คิดให้เหมือนกันอย่างนี้สิ\" นด่...นกสร้าง'บารมี ไอ (X(t อยู่วัดอย่างไ'!ใฟ้ก้ฑพ่![า www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109