พ1 Ifraitwri เ '\"ร% A- v'^i J www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
อฃเ www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
เกาะศรีลังกา ครั้งหนึ่ง พระพุทธศาสนาได้เจริญ รุ่งเรืองต่อเนึ่องมาเป็นเวลายาวนาน จนกระทั๋งถึงยุคล่า อาณานิคม® ประมาณปี พ.ศ. ๒๐๔๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๑ ศรืลังกาถูกชาติตะวันตกหลายชาติ เช่น ฮอลันดา โปรตุเกล และอังกฤษ ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามารุกราน ช่วงชิงทรัพยากร เป็นเวลารวมกัน ๔๐๐ กว่าปี นอกจากศรืลังกาจะเสียเอกราชทางการเมือง การ ปกครองแล้ว ผู้ครอบครองใหม่ก็ยังมุ่งจะทำลายล้างพระ พุทธศาลนา ให้หมดไปจากผืนแผ่นดินของเกาะแห่งนี้ ® เนื้อความเสิงประวัติศาสตร์ เก็บความจาก เสรี วุฒิธรรมวงศ์, ศึกประลองปัญญาพุทธ- คริสต์, (๒(เ:'๔รท), หน้า ๑-๔ฅ. ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๙๑ www.kalyanamitra.org
พระพุทธศาสนาในศรีลังกาจึงตกอยู่ในยุคมืด ชาว พุทธถูกกดขี่ฃ่มเหง ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ราวกับว่า ถูกต้อนจนเกือบจะตกทะเล ซาวพุทธรู้สึกสินหวัง ท้อแทไป ทุกหย่อมหญ้า ตัวอย่างการกดขี่ฃ่มเหง เซ่น ร้ฐบาลสงห้ามซาวพุทธ ประชุมกันประกอบพิธีกรรมทางศาลนาโดยเด็ดขาด วัน สำ คัญทางพระพุทธศาลนาถูกยกเสิก เซ่น วันวิลาฃบูซา ไม่ ให้เป็นวันหยุดอีกต่อไป แลัวประกาศวันหยุดจากศาลนาซอง ผูที่ครอบศรองใหม่แทน และรัฐก็ลนับลนุนให้มืการเฉสิม ฉลองซองศาลนาอื่นกันอย่างเด็มที่ นอกจากนี้ ตำ แหน่ง ชั้นสูงในวงการราซการ ก็ถูกลงวนใว่ให้ศาลนิกฃองผู้ที่เข้ามา ศรอบศรองใหม่เท่านั้น สำ หรับซาวพุทธ หากใครใม่ยอม เปลี่ยนศาลนา ก็จะใต้รับตำแหน่งชั้นล่าง ๆ มืวัดร้างเพิ่มขึ้น ที่ดินและทรัพย์สินของวัดร้างถูกยึดไปเป็นซองรัฐ หรีอของ ศาลนาอื่น ส่วนพระภิกษุ จะถูกวัยรุ่นศาลนาอื่นแสดงอาการ ดูหมิ่น ลัอเลียนในที่ลาธารณะ ศาลนักอื่นเขียนหนังสือ บทความ ลงตีพิมฟโจมตีพระพุทธศาลนาอย่างต่อเนื่อง โดย ใต้รับการลนับลนุนจาก^บาลอย่างเด็มที่ ^ผัฃผ(ค?ะ www.kalyanamitra.org
แต่กรุงศรีลังกายังไม่สิ้นคนดี ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒6า๖๖ คือ เมื่อประมาณ ๑๘๐ ปีที่ ผ่านมา เด็กฮายศนหนึ่ง ได้ถือกำเนิดขึ้น ในศรอบครัวของซาวสิงหล แต่เนึ่องจากขณะนั้น ศรีลังกาอยู่ภายได้การปกครองของอังกฤษ เขาจึงไตซื่อเป็นภาษาฝรั่งว่า ไมเคิล ในวัยเด็ก หนูน้อยไมเคิล มีนิลัยที่ดี คือ เป็นผูใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา กล้าแสดงความคิดเห็น มีความทรงจำเป็นเยี่ยม และเปียมไปด้วยวาทคิลป๋ ไหวพริบ และปฏิภาณ เมื่อหนูน้อยไมเคิลอายุได้ ๑๒ ปี ก็ได้พบการเปลี่ยน แปลงครั่งใหญ่ในชีวิต เขาได็ไปเที่ยวงานวัดบนภูเขาแห่งหนึ่ง ที่วัดกุมารมหาวิหาร ซึ่งอยู่บนเกาะโดดันดุวะ เขตอำเภอ กอลล์ ได้ข่วยงานวัดเป็นอาสาสมัครอยู่ในงานบุญ จึงรู้สึก อิ่มเอิบ เบิกบานอยู่ในเขตบุญสถานแห่งนี้เป็นอย่างมาก แล้วก็ได้ตัดสินใจขอบวชเป็นสามเณรที่วัดนั้น แสะได้รับนาม ว่า คุณานันทะ ซึ่งเป็นซึ่อที่ขาวศรีลังการู้จักอันดี ท่านเป็น บุคคลสำคัญห่านหนึ่ง ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามาถึง ทกวันนี้ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๙ฅ www.kalyanamitra.org
ในวันบรรพชาของสามเณรคุณานันทะ ท่านได้เทศน์ โปรดญาติโยมในทันที คือ บวชวันนั้น ก็เทศน์วันนั้นเลย การเทศน์กัณฑ์แรกในชีวิตของท่าน มีผู้ฟังเป็นพัน ๆ ศน เนื้อทาการเทศนากล่าวถึงพระพุทธประวัติ เทศน์เป็นเวลา นานถึง ๓ ยาม (ยามหนึ่ง มี ๔ ชั่วโมง ๓ ยาม รวมเท่ากับ ๑๒ ชั่วโมง) โดยที่ผู้ฟังไม่รู้สึกอยากกลับบ้านเลย ทั้งที่เป็น การเทศน์โด้รุ่ง ผู้ศนก็รํ่าลือถึงความลามารถ และศวามลง่า งามของลามเณรไปทั้วประเทศ แต่ทว่า ลามเณรน้อยวัย ๑๒ ขวบ หลังจากบรรพชา แล้ว หาได้หลงใหลในคำลรรเลริญเยินยอแต่อย่างใด เป็นที่ น่าแปลกว่า แม้ลามเณรฯ เป็นเด็กวัยวิ่งเล่นก็ตาม ท่านกลับ มีคุณลมบ้ติพิเศษหลายประการด้วยกัน คือ รักการ!]กฝน อบรม และปรับปรุงตนเองเป็นอย่างมาก ป็กแลดงธรรมอย่างลมํ่าเลมอ จนเกิดความเชี่ยวชาญยิ่งขึ้นไป ทั้งลอนตนเองได้ว่า จะด้องรับภาระงานพระพุทธศาลนา อันยิ่งใหญ่ อีกทั้งได้พัฒนาพื้นฐานทางด้านวิชาการศาลนา เพื่อเตรียมรับมีอกับภารกิจที่สำคัญและทัาทายยิ่งในอนาดต เมื่อลามเณรคุณานันทะอายุได้ ๒๑ ปี ท่านได้ อุปลมบทที่รัดทีปทุตตาราม ในเมีองโคลัมโบ ซึ่งเป็นศูนย์ ๙๔ ) ๑oilชัน®(ถระ www.kalyanamitra.org
กลางในการเผยแผ่ฃองศาสนานั้น พระภิกษุคุณานันทะ มี บุคลิกที่ไม่เหมีอนกับซาวพุทธทั่วไป ชาวพุทธทั่วไปนั้น เมื่อ ถูกรุกรานอย่างไม่เป็นธรรมจากศาสนาอื่น ส่วนไหญ่มักจะ อยู่นิ่งเฉย พร้อมไจกันวางอุเบกขา ไม่กล้าเผชิญหน้า หรือโต้ตอบกันตรง ๆ กับฝ่ายที่มารุกราน ไต้แต่แผ่เมตตา ไห้แก่ผู้มารุกรานแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ไต้ปรับปรุงสิ่งได ๆ ไห้ดีขึ้น แสะพากันดูดาย ไม่กระตือรือร้นที่จะร่วมมีอกัน ขจัดภัยพาลของพระพุทธศาสนา ผสจากการที่ท่านเป็นสามเณรที่ดี รักการแกฝนดน เองอย่างยิ่งยวด รักและหวงแหนพระพุทธศาสนาตั้งแต่เยาว์รัย เมื่อไต้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ทำ ไห้ท่านคุณาน้นทะ เป็นพระภิกษุที่ดี มีศีสาจารรัดรงดงาม น่าเลื่อมไส ต่ อไปนี้เป็นเรื่องราวสำคัญที่เปสิ่ยนแปสงชีวิตของ ขาวพุทธไนศรืลังกา และเป็นประรัติศาสตร์ของพระพุทธ ศาสนา เนี้องจากสถานการณ์ขณะนั้น ศาสนาอื่นที่เข้ามา ศรอบครองศรืลังกา ไต้ข่มเหงพุทธคาสนิกขนอย่างต่อเนี้อง จนไศร ๆ ต่างสรุปว่า อีกไม่นานพระพุทธศาสนาคงจะต้อง หมดไปจากเกาะศรืลังกา แม้แต่นักเขียนขื่อดังสมัยนั้น คือ เจมส์ เดอ อัลวิส ไต้บันทึกไว์ไนปี พ.ศ. ๒๓๙ฅ ว่า พระพุทธ ผู้กอบคู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๙๕ www.kalyanamitra.org
พ www.kalyanamitra.org
ศาสนาจะต้องสูญสิ้นไปจากศรีลังกา ก่อนสิ้นสุดศรีสต ศตวรรษที่ ๑๙ นี้อย่างแน่.นอน (ก่อนปี พ.ศ.๒๔๔๓) ครั้นเมื่อท่านคุณานันทะไต้ประกาศตนว่า จะกอบกู้ แสะปกป้องพระพุทธศาสนา จากการรุกรานของศาสนาอื่น โดยไซ้ปัญญาเป็นอาวุธ จึงทำให้เกิดการประลองปัญญา โต้วาทะกันขึ้นเป็นจำนวนถึง ๕ ครั้ง ในช่วงเวลา ๙ ปี ดังนี้ ครั้งที่ ๑ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๐๘ ผล ที่เกิดขึ้น คือ ชาวพุทธที่เคยห้อแห้ หมดหวัง ต่างเริ่มมีความหวัง ในการกอบกู้พระพุทธศาสนาขึ้นมาบ้าง และมีความเชื่อมื่น ในสิ่งที่ท่านคุณานันทะไต้กระทำตลอดมา ครั้งที่ ๒ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๙๐๘ ผลที่ เกิดขึ้น คือ ผู้ฟังทั้ง ๒ ศาสนา มีจำ นวนเพิ่มขึ้น เกิดความ ตื่นศัว แสะสนใจเข้าฟังการโต้วาทธรรมอย่างกวัางขวาง ครั้งที่ ฅ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๙๐๙ ผล ที่เกิดขึ้น คือ ศาสนาอื่นเข็ดขยาด ไม่กล้ามาตอแยท่าน คุณานันทะเป็นเวลานานถึง ๙ ปี การยรยีพระพุทธศาสนา ในที่สาธารณะก็หมดไป แม้ว่าการโจมดืทั้วไปจะยังไม่หมด ก็ตาม ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๙๗ www.kalyanamitra.org
ครั้งที่ ๔ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๔๑๔ ผลที่ เกิดขึ้น คือ ผู้แทนศาสนาอื่น เข็ดหลาบในการโต้วาทธรรม กลับไปปรับปรุงกระบวนทัพใหม่ ครั้งที่ ๔ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๑๖ เป็น การโต้วาทธรรมครั้งที่สำศัญและยิ่งใหญ่ที่สุด และมีผล กระทบต่อความเป็นความตายของศาสนาทั้งสองมากที่สุด เกิดจากการที่ศาสนาอื่นไต้กล่าวจ้วงจาบ ยิ่ายีพระพุทธศาสนา ท่านคุณานันทะจึงกล่าวเชิญมาโต้วาทธรรมกัน ณ เมีอง ปานะตุระ โดยแปงเวสาสนทนาเป็น ๒ วัน รวม ๔ รอบ ผลที่เกิดขึ้น คือ ฝ่ายศาสนาอื่นพ่ายแพ้ราบศาบ ไม่กล้ามา เผชิญหน้ากับท่านอีกต่อไป และยังมีผสต่อเนื่องที่ยิ่งใหญ่ คือ ๑. มีการตีพิมพ์ และแปลบทโต้วาทะเป็นภาษาอังกฤษ โดยหน้งลือพิมพ์รายรัน Times of Ceylon และภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษา ๒. ชาวอเมริกันคนหนื่ง ชื่อ เฮนรี สตีส โอสกอตต์ (Henry steel Olcott) ไดไปอ่านพบเข้า และต่อมาไต้มี บทบาทไนการผลักดันการแก้กฎหมายต่าง ๆ เช่น ไห้ อังกฤษยกเลิกกฎหมาย ห้ามชาวพุทธประกอบพิธีกรรม ๙๘ คุพพัพ'ถ5\"= www.kalyanamitra.org
ในวันสำคัญทางศาสนาของตน ดังนั้น ซาวพุทธจึงกลับมาทำ พิธีเฉลิมฉลองวันวิสาขบูซาได้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ หลังจากว่างเว้นมายาวนาน ต. ศาสนิกอื่นที่มาร่วมพิงการโต้วาทะในศรั้งนั้น บาง ศนถึงกับเสื่อมศรัทธาจากศาสนาของตน แล้วหันมานับถึอ พระพุทธศาสนาต้วยความสมัศรใจ ๔. การข่มเหง เบียดเบียน ทำ ลายซาวพุทธก็หมดไป เฮนรี สตีล โอลกอตด ๙๙ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา www.kalyanamitra.org
ตลอดสีวิตของพระคุณานันทเถระ เป็นไปเพื่อความ อยู่เป็นสุขของพุทธศวสนิกซนทั้งประเทศ ไม่ให้ตกอยู่ใน อำ นาจของศวามอยุติธรรมจากศาสนาอื่น จนถึงกับมีผู้เขียน พรรณนาโวหารไว้เป็นภาษาสิงหสว่า \"ท่านคุณานันทะ ทำ ให้พวกศาสนาอื่นหวาดผวา เหมือนนักย่องเบาเห็นพระจันทร์เต็มดวง ลอยเด่นขึ้นมา ฉะนั้น\" หมายความว่า นักย่องเบานั้นขอบความมืด ยิ่งมืด มากยิ่งขอบ จะได้ย่องเบาไปเอาทรัพย์ของคนอื่นได้ แด่นัก ย่องเบาจะกลัวแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อพระจันทร์ เต็มดวงขึ้นมา ก็จะกลัวเจ้าของทรัพย์เขาเห็น เพราะเหตุที่ท่านทำงานพระพุทธศาสนาแบบเอาชีวิต เป็นเดิมพัน ท่านทำงานหนักโดยไม่หยุดหย่อนเลย จึง อาพาธอยู่เนือง ๆ แม้แพทย์ที่เก่งที่สุดขอให้ท่านวางมือจาก การงานเสียบ้าง แด่ท่านก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะเห็นความสำคัญของงานพระพุทธศาสนามากกว่า จนกระทั้งวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔ฅฅ ท่านจึง ได้มรณภาพไปด้วยอาการสงบ เหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยง ๑๐๐ www.kalyanamitra.org
วันพลันดับลง ด้วยสิริอายุได้ ๖๗ ปี นับเป็น ๖๗ ปี ที่ทรง คุณค่าอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา และอนุชนตราบจนถึง ทกวันนี้ เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ของท่าน ขึ้นที่วัดทีปทุตตาราม เมีองโคลัมโบ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง คุณความดีของท่าน พระคุณๆนนทเถระ ผู้เป็นมหาปราชญ์ แม่ทัพ กฮงทัพธรรมที่รบชนะศึกด้วยป็ญญา ชีวิฅของท่าน เป็น ชีวิตชองสมณะ ม้อทิศตนเพื่อกอบก้พระพุทธศาสนา นจ <นิ อย่างแท้จริง ด้งนั้น เมื่อท่านเอาสืวิตเข้าปกป้องและรักษาพระพุทธ คาสนา ให้ดำรงคงอยู่มาถึงป้จจุบันนี้ จึงเป็นหนัาที่ของ พุทธบริษัท ๔ ที่จะต้องเอาท่านเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมีอนดวงตะวันที่มีดวง เดียว ในการที่จะบำเพ็ญสมณธรรม ตั้งใจแกฝนอบรมตนเอง และประพฤติปฏิบ้ตธรรม แล้วเป็นนั้าหนึ่งใจเดียวกัน ในการ ส่วยกันเผยแผ่พระพุทธคาสนาไปให้กว้างไกลทั่วโลก ร่วมมีอ ร่วมใจสืบทอดอายุพระพุทธคาสนาให้ยืนยาวนานตลอดไป ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกๆ www.kalyanamitra.org
^. - 'ร' 6 '/ '1 www.kalyanamitra.org
โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพน ดังเซ่น พระคุณๆนันทเถระ ผู้ดำ รง ชีวิตตามพุทธดำรัสที่ว่า \"ชีวิตแม้เป็นอยู่ถึงร้อยปี แต่มีความเกียจคร้าน มี ความเพียรเลว หาประเสริฐไม่ บุคคลแม้มีชีวิตอยู่เพียงร้นเดียว แต่มีความเพียรมั่น ชีวิตนั้นย่อมประเสริฐกว่า\" กติกาการโต้วาทะ ในการโต้วาทะครั้งที่ ๕ ซึ่งถึอเป็นครั้งสำคัญที่สุด ย่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มโต้วาทะกัน มีความจำเป็นจะต้อง ร่างกติกาขึ้นมาย่อน เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย เนื่อง จากมีศาสนิกของทั้งสองศาสนามาร่วมฟ้งกันอย่างท่วมห้น ล้นหสาม ซึ่งกติกาข้อหลัก ๆ มีต้งนื่ ๑. การโต้วาทะกัน ให้กระทำต้วยวาจาต่อหน้า สาธารณซน ไม่ให้เขียนแล้วนำมาอ่าน ๒. ทั้งสองฝ่ายต้องส่งร่างเนื้อหาล่วงหน้า พร้อมลง ลายมีอซึ่อร้บรอง เพื่อแสดงจุดยืนที่ซัดเจนในเนื้อหาสาระ ผ้กอบก้พระพุทธฬาสนาในศรีลังกา qj qj 4 www.kalyanamitra.org
และไฝมีการเบี่ยงเบนจากหลักธรรมในศาสนาของตนใน ภายหลัง ฅ. ต้องมีหลักฐานอ้างอิงที่มาของเนื้อหา จะยกมา ลอย ๆ ไม่ไต้ เมื่อรับทราบกติกาแล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องลงนามรับรอง กติการ่วมกันก่อนวันโต้วาทะประมาณ ๑ เดือน กำ หนดการ โต้วาทะ ดือ วันที่ ๒๖ และ ๒๘ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๑๖ ดือ เมื่อประมาณ ๑๓๐ ปีที่แล้ว ส่วงเอ้า ๘.๐๐ น. ถึง ๑๐.๐๐ น. ส่วงปาย ๑๔.๐๐ น. ถึง ๑๗.๐๐ น. ให้แต่ละฝ่าย พูดไต้ครั้งละ ๑ ชั่วโมงต่อ ๑ รอบ โดยพื้นฐานแล้ว ทั้งสอง ฝ่ายนอกจากจะมีความรู้ในคาสนาของดนเองเป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความรู้ในศัมภีร์ของอีกฝ่ายหนึ่งพอสมควร ทำให้การ โต้วาทะครั้งนื้ เผ็ดร้อนถึงพริกถึงขิงยิ่งนัก ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายนำมาหักล้างกันในครั้งนั้น นับว่า เป็นสิงที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่แต่เฉพาะสำหรับชาวพุทธ เท่านั้น แต่เป็นความรู้'ที่สำศัญต่อมวลมนุษย์ทุก ๆ คน ไม่ว่า บุคคลนั้นจะนับถือคาสนาใดก็ดาม ต่อไปนื้เป็นต้วอย่างหัวข้ออภิปรายบางประเด็น ที่ยก มาพอลังเขป ๑๐๔ ๑0ทผั»(ล9: www.kalyanamitra.org
เนื้อหาการโต้วาทะคฬั้ที่ ๕ หัวข้ออภิปราย ะ พระเวสสันดรกับการ บริจาคบตรธิดาและภรรยา ฝ่ายตรงข้ามกับท่านคุณานันทะ ได้เปีดประเด็นว่า การที่พระเวสสันดรทรงบริจาคพระซายา พระโอรส และ พระธิดา ให้เป็นทานนั้น เป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก ธรรมตาแล้วภรรยาถือได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสามี ลูกเปรียบประดุจสร้อยทองคล้องใจซองพ่อแม่ การทอดทิ้ง บุตรภรรยานั้น สมควรได้รับการตำหนิติเตียน และการ ประณามจากสังคม แสะยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอีกด้วย นึ่คือข้อหาที่อีกศาสนาหนึ่งกล่าว ท่านไดซี้แจงประเด็นนี้อย่างสุขุม ลุ่มลึก นุ่มนวล ว่า การบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะบรรลุอนุดรสัมมาสัมโพธิญาณได้นั้น พระองค์จะด้องเอาชนะความโลภ และความยึดมนถือมั่นซอง พระองคํให้ได้ การบริจาคพระโอรส และพระธิดาในครั้งนี้ แห้จริงแล้วกสับได้ประโยชน์ คือ แทนที่พระโอรสและพระธิดา จะด้องทนลำบากอยู่ในป่าในเซากับพระราชบิดา แต่ว่าไม่นาน ผู้กอบคู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๑๐๙ www.kalyanamitra.org
นัก ก็จะได้กลับไปอยู่กับพระอัยยิกา คือ ปู ในพระราชวังตามเดิม ส่วนพระนางมัทรีนั้น เมื่อท้าวลักกเทวราชรับบริจาคไปแล้ว ก็ถวาย คืนแก่พระเวสลันดร ณ ที่นั้นนั้นเอง ไม่ได้ หวังจะนำไปเป็นภรรยาจริง ๆ อีกประการหนึ่ง เราด้องดูว่า ตอนสุดท้ายท่านได้เป็น พระล้มมาล้มพุทธเจ้า หมดกิเลสอาสวะ พระนางมัทรีก็มา เป็นพระนางพิมพา ก็ได้รับประโยชน์จากการบรรลุอนุดร ล้มมาล้มโพธิญาณ เป็นพระอรหันตเถรี พระราหุส ก็เป็น พระอรหันต์ พระอุบสวรรณาเถรี ก็เป็นพระอรหันตเถรี หมายถึงว่า ภพชาติสุดท้ายนี้ ได้รับประโยชน์กันหมดหุกคน ส่วนระหว่างการสร้างบารมีจะทำอย่างไรนั้น ถือว่าเป็นวิธีการ แต่ตอนสุดท้าย ทุกคนบรรลุเป้าหมายปสายทางชองชีวิต คือ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อย่าลืมว่า ในชาติที่เกิดเป็นพระเวสล้นดรนั้น ท่านมุ่ง พระโพธิญาณ ซึ่งประโยชน์ใหญ่จะเกิดขึ้นกับพระองค์และ ชาวโลก รวมทั้งเทวดาอีกมากมายนับไม่ถ้วน ท่านจึงตัดสินใจ เดินไปที่สระบัว ซึ่งชณะนั้นกัณหาและชาลืแอบช่อนอยู่ ๑๐๖ ๑0)ผันปี)(ถ?: www.kalyanamitra.org
^ ft , c ร^ mi% mms^s '• เ^^'๙--ะLJ^Sf&.^sy. แล้วท่านพูดโดยไม่ได้ขู่เข็ญลูกทั้งสองเลย แต่พูดด้วยจิตที่ เป็นกุศลว่า \"ลูกกัณหา ฮาลี ช่วยมาเป็นสำเภาทองให้พ่อ สักหน่อยเถิด เพื่อที่พ่อจะได้ข้ามไปถึงฝังพระนิพพาน ถึง ตรงนั้นแล้ว พ่อจะได้มาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่ มนุษย์และเทวดา ลูกทั้งสองก็จะได้ประโยชน์อันนี้ด้วย เรา มาสร้างบารมีร่วมกันเถิด ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๑๐๗ www.kalyanamitra.org
พ่อจะทำหน้าที่?เองผู้เห้ ลูกก็ทำหน้าที่ ของลูก ให้ร่วมบุญกับพ่อ คือ เป็นฟ้ห้เ?!นเดียว กัน ให้เขาเอา!กัวฃองลูกไป เขาจะเอาไปทำ อะไรก็แล้วแต่ ไปรับไซ้เขานะ เพราะว่าเรา ไม่ไ?เว่าไม่เคยสร้างบารมีกันมาอย่างนี้ เราไห้กันมาตั้งมาก มายแล้ว ไห้อีกสักครั้งทำไมจะไม่ไเล้ และอีกประการหนึ่ง ทางที่จะไปนั้น มันก็ผ่านเมีองที่ปูของเจ้าอยู่ พ่อจะตั้งค่าตัว เอาไว้ สำ หรับไห้คุณขูขกเขาไถ่ตัว เพราะเขาขาดแคลนเงิน เขาก็ไม่มีเงินไปจ้างไครไห้มาเป็นลูกจ้าง เขาถึงมาขอลูก แต่ จริง ๆ แล้วเขาต้องการเงิน เขาไม่ต้องการลูกหรอก ลูกอยู่ที่ไน ป่ากับพ่อนี้ ถึงจะอบอุ่นแต่มันก็สำบาก ล้าไปอยู่กับป่ จะดีกว่าอยู่กับพ่อ เพราะพ่ออยู่ไนป่า ไปตรงนั้นอยู่เวียง คสัง นา มันก็ลบายดี และจะได้ มีโอกาลกราบทูลเสด็จป่ไห้ทราบว่า ตอนนี้พ่อเป็นอย่างไร เมื่อ ป่เซ้าไจก็จะได้ประขุมซาวเมีองเขาว่า ไห้[อกาลพ่อกสับเมีอง ได้ ลูกก็เหมีอนเป็นทูตด้วย เพราะฉะนั้น ไปเถิตนะลูกนะ\" ท่านพูตอย่างนี้ ไม่ได้ขู่เข็ญอะไรเลย เพราะฉะนั้น ลูก ทั้งลองได้ฟังแล้ว กสับรู้สึกปลื้มไจว่า เราจะได้เป็นสำเภาทอง เพื่อไปกราบทูลป่ไห้ทราบ ท่านจะได้หารือกับฮาวเมีองที่ขับไล่ (ร)OCe ๑Cนไนนผ(ถระ www.kalyanamitra.org
พ่อออกมา ซาวเมืองสงสารก็จะได้รับพ่อกลับไป ด้งนั้น จึง เป็นคำพูดที่ไม่โหดร้ายเลย ส่วนพระนางมัทรีก็เซ่นเดียวกัน ท่านพูดยกใจว่า \"ถ้าหากเราอยู่ร่วมกันอย่างนี้ เราก็จะลำบากกันไปทุกซาติ เหมือนซาติที่ผ่านมาเราก็ลำบาก ไปพระนิพพานกันเถิด เมื่อจะไปมันก็ด้องสั่งสมบุญกันมาก ๆ นี้เป็นโอกาสสุดท้าย ที่เราจะได้สร้างบารมืกันขนาดนี้ เราร่วมบุญกันเถิดนะ ให้ ผู้กอบคู้พระพุทธฬาสนาในศรีลังกา ๑๐๙ www.kalyanamitra.org
โอกาสกับพี่ เพี่อที่จะได้สร้างบารมีให้ บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สองเรา จะได้บุญด้วยกัน พอถึงตรงนั้นเราจะ ได้บรรลุไปพร้อม ๆ กัน\" ท่านพูดคุยแต่ใน สิ่งที่ดี ๆ เช่นนี้ พระนางมัทรีเองก็เข้าใจแสะช่นอกชื่นใจว่า ตัวจะได้ เป็นสำเภาทองอีกเหมีอนกัน และความจริงแล้วพระอินทร์ก็ ไม่ได้รับพระนางไปเป็นภรรยา ในที่สุดก็ส่งพระนางคืน พระเวสสันดร เพราะฉะนั้น พระเวสสันดรท่านไม่ได้บังคับ พระนางมัทรี กัณหา และซาลีเลย ทั้งไม่ได้เป็นการโหดร้าย แต่เป็นความสมัครใจกันทั้งครอบครัว เพราะท่านพูดให้ เข้าใจด้วยเหตุด้วยผส อีกประการหนี้ง การบริจาคบุตรภรรยา เป็นธรรม เนียมของบรมโพธิสัตว์ เพราะผู้ที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมา สัมโพธิญาณนั้น หากผูกพันต่อสิ่งใดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะ ใปสู่อายตนนิพพานไม่ได้ ทำ พระนิพพานให้แจ้งไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใจจะด้องไม่ผูกพันกับสิ่งใดเลย จึงจะบรรลุ มรรคผลนิพพานได้ (S)<i)0 ๑ดทนนปี)(ถ?: www.kalyanamitra.org
ประเด็นที่ทั้งสองฝ่าย นำ มากล่าวหักล้างกันนั้น นับ เป็นสิงที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะ สำ หรับชาวพุทธเท่านั้น แต่เป็นความรู้ที่สำคัญต่อมนุษย์ทุก ๆ คน ไม่ว่าคนๆ นั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้มีไว้สำหรับแข่งกับศาสนาอื่น แต่มีไว้ สำ หรับสอนชาวโสกในเรื่องศวามจริงชองสืวิต โดยเฉพาะเรื่อง กฎแห่งกรรม ยิ่งไม่มีสอนในศาสนาใด ๆ สอนเพื่อบำบัด ทุกข์บำรุงสุขอย่างแท้จริง ตั้งแต่ฆราวาสจนกระทั้งถึงผู้ ปรารถนาจะท่าพระนิพพานใหัแจ้ง สอนหมดทุกระดับ สอน ทุก ๆ ศนไนโสกนี้ เรารักษาพระพุทธศาสนาไว้ ก็ไม่ใช่เพื่อจะแข่งกับ ศาสนาอื่น เพราะคู่แข่งที่แท้จริงของเรา คือ เวลา แสะคัตรู ที่แท้จริง คือ พญามาร ที่ล่งกิเลสอาสวะมาบังคับบัญชา มนุษย์ ดังนั้น ศาสนาอื่น หรือใคร ๆ ก็ไม่ใช่คัตรู ไม่ใช่คู่แข่ง ที่ท่านคุณานันทะโด้วาทะนั้นด้วย ท่านก็พูดด้วยจิตที่ประกอบ ไปด้วยความเมตตา เหมีอนหมอรักษาไข้คนป่วย มีอาการ เพ้อด้วยพิษไข้อย่างไร ก็รักษากันไปตามอาการอย่างนั้น ผู้กอบ^ระพุทธศาสนาในศ่^ล้งกา ®®® www.kalyanamitra.org
ฝ่ายตรงข้ามกับท่านคุณานันทะ ได้ยกประเด็นว่า พระสัพพัญฌุตญาณไม่มีจริง และพระพุทธเจ้าไม่มีทิพยญาณ โดยยกหลักฐานจากพระไตรปีฎก ที่ปรากฏในคัมภีร์ มหาวรรคว่า® หลังจากตรัสรู้แล้ว พระล้มมาล้มพุทธเจ้าทรง ท้อพระทัยที่จะแสดงธรรม ® พระวินัยปีฎก มหาวรรค และอรรทกถา เล่ม ๖ หนัา ๒๙-๔0. (ริ)ร)Is คุด}ไข้'นธ)(ถ?: www.kalyanamitra.org
เนื่องจากธรรมะเป็นเรื่องลึกสัง ยากที่ใคร ๆ จะเข้าใจ ตามได้ จนกระที่งพรหมมากราบอาราธนาว่า คนที่ สามารถฟังธรรมของพระองค์แล้วตรองตามได้นั้นมีอยู่ จึง ทำ ให้พระองค์มีกำลังใจที่จะแสดงธรรม ต่อมาเทวดามากราบทูลพระองค์ว่า ท่านอาฬารดาบส และอุทกดาบส ได้สิ้นบุญไปแล้วทั้งคู่ ทั้งหมดนี้หมายความ ว่า พระองคํใม่มีทิพยญาณแต่อย่างใด และแม้ว่า พระสัพพัญณุตญาณที่พระองค์ทรงมีนั้น มีสภาพตื้นเขินเพียง เท่านี้!ซร้ ใคร ๆ ก็มีสัพพัญณุตญาณกันได้ทุกคน ท่านคุณานันทะได้กล่าวโด้ประเด็นนี้กสับไปว่า เรื่องนี้ ท่านเคยซี้แจงและได้ตีพิมพํในเอกสารไปแล้ว ท่านจึงทบทวน ขึ้นอีกครั้งหนี้งว่า คำ ว่า \"พระสัพพัญณุตญาณ\" นั้น ไม่ได้ หมายความว่า พระพุทธเจ้าทรงมีญาณหยั่งรู้ทุกสิ่งอยู่ตลอด เวลา แต่ว่าจะเป็นไปตามพุทธประสงค์ หมายความว่า หาก พระองค์ทรงสอดข่ายพุทธญาณ เพื่อหยั่งทราบเรื่องราวแล้ว พระองค์ก็จะทรงทราบสิ่งที่ทรงมุ่งประสงค์ได้ เปรียบ เสมือนคนเราที่มีดวงตาอยู่ แต่ล้าไม่ได้ลืมตาขึ้นดู ก็ย่อม มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นธรรมดา ในกรณีนี้เราไม่อาจจะ ตำ หนิเขาได้ว่า เขาไม่มีตา หรีอว่าตามองไม่เห็น ดวงตา ผู้กอบกู้พระพุฑธฬาสนาในศรีลังกๆ พ www.kalyanamitra.org
ใfนมีอยู่ เมื่อเราอยากดูก็ลืมตาดูจึงจะเห็น แล้วก็เห็นได้ทีละอย่าง พระสัมมาล้มพุทธ เจ้าตรัสไว้เองว่า พระองคํไม่ได้เป็นพระ สัพพัญญตลอดเวลา แต่ว่าเมื่อปรารถนา อยากจะดูตอนไหนก็จะเห็นตอนนั้น เมื่อตรัสรู้แล้ว พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงมีเพียง พุทธดำริที่จะหาผู้ที่จะไปแสดงธรรมโปรด แต่ว่ายังไม่ได้ทรง เล็งดูด้วยทิพยญาณ ซึ่งเทวดาก็ทราบถึงพุทธดำรินั้น จึงมา กราบทูลอาราธนา เมื่อพระองค์ทรงเล็งด้วยทิพยญาณ ก็ ทรงหยั๋งรู้ภพภูมิที่ดาบสทั้งสองไปเกิด ซึ่งตรงนี้เทวดาไม่รู้ว่า ท่านทั้งสองไปเป็นอรูปพรหมอยู่ในอรูปภพแล้ว ส่วนประเด็นเรื่องทรงท้อพระทัยนั้น ความจริงแล้ว ความท้อพระท้ยไม่มีในพระสัมมาล้มพุทธเจ้า เพราะพระองค์ มีกำ สังใจเต็มเปียมโนการโปรดสรรพสัตว์ทั้งหสาย เพียงแต่ เวลานั้นพระองค์กำสังอยู่ในดำริ เมื่อตรวจตราดูธรรมะที่ พระองคํได้ตรัสรู้ ก็พบว่า เป็นสิ่งที่ลืกซึ่ง ยากที่จะสอนใคร ใท้เข้าใจได้ เพราะสัตว์[สกมีความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น คุ้นกับความอยาก ไม่มีการหยุด ไปพูดเรื่อง การหยุดไท้กับคนที่มีความอยาก จึงยากที่จะเข้าใจได้ ทั้ง ร)ร)(ร! 1 ©QJlimWKI?ะ www.kalyanamitra.org
หมดนี้พระองค์กำลังอยู่ในขั้นรำพึงเท่านั้น มิได้ทรงท้อพระทัย ที่จะแสดงธรรมจนพรหมด้องมากราบอาราธนา แต่เป็น ธรรมเนียมว่า พรหมจะด้องมาอาราธนา พรหมก็ปฏิบัติตาม ธรรมเนียม และไม่ว่าพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ลงมาตรัสรู้ก็ตาม ท่านก็จะดำริอย่างนี้ แล้วพรหมก็มาตามธรรมเนียมอย่างนี้ อุปมาเหมือนกับพิธีถวายลังฆทาน ที่ด้องมีพิธีกรมา ทำ หน้าที่ดำเนินพิธีกรรม แล้วเจ้าภาพจึงค่อยกล่าวคำถวาย ลังฆทานแต่คณะสงฆ์ หากไม่มีพิธีกรก็คงถวายลังฆทานได้ แต่นี้เป็นธรรมเนียมที่พิธีกรจะต้องมาทำหน้าที่ พรหมก็ เปรียบเหมือนพิธีกรนั้นเอง ผู้กอบคู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา (ร)(ร)^ www.kalyanamitra.org
ประเดI็Sนน๕ี ผู้บรรยายฝ่ายตรงข้ามของท่านคุณานันทะ ได้กล่าวว่า พระรัตนตรัยไม่มีความพิเศษอะไรเลย การเข้าถึง พระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งนั้น เป็นสิ่งโง่เขลา การถึงพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้วว่าเป็นที่พึ่ง ถึอเป็นเรื่องไรัประโยชน์ แสงอาทิตย์ย่อมปรากฏไม่ได้หาก ปราศจากดวงอาทิตย์ ฉันใด พระพุทธองค์เมื่อปรินิพพาน พระองคํได้สูญสิ้นไปแล้ว ที่พึ่งคือพระพุทธเจ้าจะมีได้อย่างไร ฉันนั้น ๑ด]ไนฃฃ)(ถระ www.kalyanamitra.org
พระธรรม คือ หนังสือที่มีผู้เขียน เขียนกันขึ้นมา หนังสือเหล่านั้นต่างทากที่ต้องมีท่านเป็นที่พึ่ง พวกท่าน ต้องดูแลรักษา เก็บเอาไว!ม่ให้สูญหายหรือถูกทำลาย ท่านจะพึ่งพิงหนังสือไต้อย่างไร มีแต่หนังสือต่างหากต้องพึ่ง มนุษย์เพึ่อให้ดูแลรักษา ส่วนการยึดถือพระสงฆ์นั้น พระสงฆ์ผู้เป็นคนบาป หนาแน่นไปต้วยก็เสส เซ่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง และยังถือตัวว่าเป็นสรณะที่พึ่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความโง่เ?เลา งมงาย นับเป็นการยึดถือคนตาบอดให้เป็นผู้นำทางโดยแห้ ฝ่ายดรงข้ามกล่าวเซ่นนี้ ก็เพึ่อจะพูดให้ท่าน คุณานันทะโกรธ เป็นการสอบอารมณ์ของท่าน เพราะท่าน เป็นพระสงฆ์ เมื่อโดนสอบอารมณ์อย่างนี้ ท่านก็ไม่โกรธ ไม่มีความขุ่นมัวเลย เพราะความขุ่นมัวจะเอาไปไข้โต้วาทะ ไม่ไต้ ต้องสู้กันต้วยปญญา ไม่ใซ่สู้กันต้วยกิเลส ในเบื้องต้น ท่านคุณานันทะไดขึ้'แจงเรื่องที่ฝ่ายตรงข้าม อ้างว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ไม่สามารถเป็นที่พึ่งไต้ ท่านไต้แสดงเรื่องนิพพาน ๓ ประเภท ไต้แก่ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา www.kalyanamitra.org
๑. กิเลสนิพพาน คือ การดับกิเลสตัณหาของ พระองค็ในวันตรัสรู้ ถือ เป็นนิพพานอย่างหนึ่ง ๒.ขันธนิพพาน คือ การดับเบญจขันธ์สู่อนุปาทิ เสสนิพพาน เมื่อทรงมี พระขนมายุ ๘๐ พรรษา ณ เมีองกุสินารา ๓. ธาตุนิพพาน คือ พระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่ก็เป็นการดับของกิเลสแสะขันธ์ ส่วนพระบรมสารีริกธาตุ นั้นยังทรงดำรงอยู่ เสมีอนเป็นตัวแทนของพระองค์ ล้าหากว่า ศาสดาของศาสนาใดได้ถึงแก่กรรมลง ศาสนานั้นหมดคุณค่า พึ่งพามิได้ ก็หมายความว่า ทุก ๆ ศาสนาขณะนี้ มีศาสดาที่ไร้ศวามหมาย ไม่ควรระลึกถึงเลย อย่างนั้นหรีอ (ถ?ะ www.kalyanamitra.org
นอกจากนี้ยังกล่าวว่า พระพุทธองค์ ทรงดับฃันธปรินิพพาน ดับสูญไปแล้ว เป็นที่พึ่งไม่ได้นั้น เป็นคำกล่าวของ^ม่รู้ บุคคลใดก็ตามหากได้ปฏิบัติสมาธิอย่างถูกวิธี มีความเพียรสมาเสมอไม่ขาดสาย จะเข้าถึง พระสัมมาล้มพุทธเจ้านับพระองค์ไม่ล้วน แสะสามารถถึง ท่านว่า เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ดังมีพยานบุคคสมากมาย นับ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปิจจุบันนี้ ในล่วนพระธรรม ในเบื้องต้น พระธรรมอาจจะเป็น หนังสือตามที่ผู้พูดต่างศาสนาเข้าใจ แต่พระธรรมสำหรับ ซาวพุทธแล้ว หมายถึง คำ สอนที่มีเอาไว่ไท้ปฏิบัติ บุคคลที่ ปฏิบัติตามพระธรรม คือ ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมา ล้มพุทธเจ้า พระธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมนั้น สามารถเป็นที่พึ่งอันแท้จริง อีกประการหนึ่ง การถึงพระธรรมเป็นพึ่งนั้น หมาย เอาโสกุตตรธรรม ๙ ประการ (มรรค ๔ ผล ๙ นิพพาน ๑) เป็นที่สุด มีได้มีความหมายตื้นเขินดังที่ผู้พูดจากศาสนาอื่น เข้าใจ พระธรรมไม่ใช่เป็นแค่หนังสือหรือดัวหนังสือ แต่เป็น ความรูในนั้นที่ทำให้ผู้ที่ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ เกิดประสบการณ์ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๑๑๙ www.kalyanamitra.org
ภายใน ได้เข้าถึงธรรมอย่างที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้าได้ทรงเข้าถึงนั่นเอง พระธรรมจึง เป็นที่พึ่งภายในที่แท้จริงของบุคคลนั้น ส่วนพระสงฆํในพระพุทธศาสนา มีองค์ประกอบ สมบูรณ์อยู่ในตัวแล้ว กส่าวคือ มีพระพุทธเจ้าผู้ทรงด้นพบ พระธรรม แสะมีพระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดพระธรรมอย่างไม่ ขาดสาย แต่ผู้พูดจากศาสนาอื่น นอกจากเป็นผู้ที่มองโสก ผิดไปจากความเป็นจริงแล้ว ยังมองโสกในแง่ร้ายอีกด้วย ท่านคุณานันทะยังกส่าวเสริมอีกว่า พระสงฆ์ในพระ พุทธศาสนา มี ๒ ประเภท คือ อริยสงฆ์ และสมมุติสงฆ์ การเห็นสมณะ คือ พระสงฆ์นั้น มุ่งหมายเอาพระ อริยสงฆ์เป็นหล้ก ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง คำ ว่า เนื้อนาบุญ เป็นสิ่งที่ไม่มีในศาสนาของผู้พูดและแม้ศาสนาอื่น ในขณะที่ สมมุติสงฆ์แม้ยังไม่หมดกิเลส ก็กำ ล้งทำกิเลสใท้เบาบางลง เพราะฉะนั้น พระสงฆ์จึงเป็นที่พึ่งในฐานะที่เป็นทั้ง เนื้อนาบุญ และเป็นแหส่งแห่งความรู้ของพระล้มมา ล้มพทธเจ้าด้วย ๑0))ฃัฃ๓(ล7: www.kalyanamitra.org
หัวข้ออภิปราย ะ การปรินิพพานของ พระสัมมาสัมพทธเจ้า ฝ่ายตรงข้ามท่านคุณานันทะ ได้อภิปรายโจมตีว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเยี่ยงคนอนาถา โดยมีเนื้อหา การบรรยายว่า การปรินิพพานของพระสัมมาส้มพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงอาพาธเป็นโรคท้องร่วงอย่างหนัก หสังจากเสวย เนื้อสุกรอ่อนที่ดาบสจุนทะทำมาถวาย บังเกิดทุกขเวทนา อย่างรนแรง ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา (ริ) www.kalyanamitra.org
ในระหว่างทางไปเมืองกุสินารา F ทรงเป็นลมและล้มลงหลายครั้ง แล้วต้อง พ'' ' ^ ทรงดื่มนํ้าจากแม่นํ้าสายเล็ก ๆ สายหนึ่ง ทั้งนึ่ทั้งนั้น ไม่ปรากฏเสยว่า พระองค์ไต้ ทรงใช้อิทธิฤทธี๋ใด ๆ ทั้งไม่ปรากฏเลยว่า มืเหล่าพรหมหรือ เทวดาลงมาถวายการดูแลแต่อย่างใด จึงเห็นไต้ช้ดว่า เรื่อง พุทธานุภาพเป็นถ้อยคำที่เชื่อถือไม่ไต้ จะหลอกลวงไต้ก็แต่ คนโง่เขลาเท่านั้น ในที่สุดก็ทรงปรินิพพานเซ่นเดียวกันกับ คนอนาถาคนหนึ่งเท่านั้น นี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวโจมดี ท่านคุณานันทะฟังแล้วก็ไม่ไต้แสดงความหงุดหงิดอะไร ใจท่านเบิกบาน มองดูดู่สนทนาเหมือน^หญ่มองเด็กอย่างนั้น แล้วก็ชี้แจงว่า พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานดามที่พระองค์ ทรงกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีก ๓ เดือน เราจะปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา® คือ ทรงรู้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ใซ่อาพาธอย่าง กะทันหัน ท่านคุณานันทะกล่าวแกไขรายละเอียดที่ไม่รอบคอบ ของฝ่ายศาสนาอื่นว่า นายจุนทะไม่ใซ่ดาบส ตามที่ฝ่าย \"มหาปรินิพพานสูตร พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑ฅ หน้า ๒๗๘-๓๒ฅ. ๑๒๒ i ๑ผไขันผล?: www.kalyanamitra.org
ตรงข้ามได้กล่าวว่า พระองคํได้เสวยเนื้อสุกรอ่อนที่ดาบส จุนทะนำมาถวาย แต่ความจริงทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ ว่า นายจุนทะเป็นบุตรของนายช่างทอง ส่วนสูกรมัทวะ® หรือ เนื้อสุกรอ่อนนั้น ท่านกล่าวว่า อาจจะเป็นเห็ดชนิดหนึ่งก็ได้ การที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานในวันนั้น ก็เป็นไป ตามพระพุทธกำหนด เมื่อทรงปสงอายุสังขารแล้ว คือ ทรงมี พระประสงค์ที่จะปรินิพพานในวันนั้นอยู่แล้ว วัน เวสา สถานที่ ที่จะเสด็จปรินิพพานนั้น พระองคํได้ทรงประกาศล่วงหน้า ไว้แล้วถึง ฅ เดือน ดังนั้น ไม่ว่าจะทรงเสวยอะไรก็ตาม หรือ จะแสตงฤทธิ้หรือไม่ก็ตาม ก็จะด้องเสด็จดับข้นธ็ในวันนั้น นั้นเอง เมื่อวันนั้นพระองค์ด้องเสด็จดับขันธ์อยู่แล้ว จะทรง แสตงอิทธิฤทธิ้เพื่ออะไร หรือใศรจะมาช่วยเหลืออย่างไร ® สูกรมัทวะ (อ่านว่า สูกะระมัดทะาะ) คืออาหารประเภทใดนั้น ยังไม่มีฃ้อยุติ เพราะ ยังมีข้อแย้งกันอยู่ แต่พอจับประเด็นคาามตามที่พระอรรถกถาจารยํให้คาามเห็นไว้ สรุป ได้ ๓ อย่าง คือ ๑.เนื้อสุกรวัยแรกรุ่น ไม่อ่อนนัก ไม่แก่นัก เนื้อสุกรเซ่นนื้อ่อนนุ่มและสนิทแน่น ๒. ข้าาสุกหุงอ่อน ๆ ปรุงกับนํ้านมโคหรือเบญจโครส (ท. อาหารที่ปรุงตามหลักรสายนศาสตร์ของพราหมณ์ ทำ เฉพาะไนเทศกาล ผู้กอบกู้พระพุทธฬาสนาในศรีลังกา www.kalyanamitra.org
ก็ ต้องเสด็จดับขันธ์อยู่นั่นเอง ดังนั่น พระสัมมาส้มพุทธเจ้า จึงไม่ไต้ทรง ปรินิพพานเพราะเสวยสูกรมัทวะ ที่ถูก ควรจะพูดเสียใหม่ว่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้า เสวยสูกรมัทวะในวันปรินิพพาน นอกจากนี้ ยังมีขัอสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ในป็วโมง สุดท้ายโเอนที่จะเสด็จดับขันธ์นั่น พระองค์ยังไต้ตรัสถามเหล่า พระสาวกว่า ใครสงสัยธรรมะข้อใดใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรม ขันธ์ ใท้ถามไต้ทั้งหมด เราจะตอบทุกข้อ แต่ก็ไม่มีใครสงสัย ไม่ใช่ว่าเกรงใจพระองค์ แต่เพราะว่าพระองค็ไต้ทรงสั่งสอน จนกระทั้งเข้าใจธรรมะทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้งแล้ว จนกระทั้งในช่วงสุดท้าย มีผู้เข้าไปกราบทูลถาม คือ ท่านสุภัททะ พระองค์ก็ยังทรงมีพระมหากรุณา ตรัสสอน ท่านสุภัททะจนไต้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นศิษย์คน สุดท้ายล่อนที่พระองค์จะเสด็จดับข้นธปรินิพพาน พระองค์ ทรงเป็นบรมครูที่สง่างาม ยากที่จะมีครูคนใดในโลก ที่สอน ใท้ศิษย์ไต้บรรลุมรรคผลนิพพานอย่างพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ๑๖๔ ๑ผานัฃผ(ถ?: www.kalyanamitra.org
เมื่อตรัสสอนท่านสุภัททะแล้ว พระองค์ยังให[อวาท สุดท้ายแโ!เหล่าพุทธบริษัท ใท้ดำรงประโยชน์ตน แสะ ประโยชน์ท่าน ใท้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เป็นปีจฉิม โอวาทอันทรงคุณค่ามาถึงปิจจุบันนี้ทีเดียว ในฃณะสุดท้ายของพระชนม์สืพ พระอนุรุทธะผู้มี ตาทิพย์ ยังสอดล่องด้วยทิพยจักษุของท่าน ถึงการตับขันธ ปรินิพพานของพระพุทธองค์ อยู่ในสายตาของยู้ที่เป็นเลิศใน ทางทิพยจักษุ สิงสามารถยืนยันใด้ว่า ขณะนี้พระองค์ทรงเข้า ฌานต่าง ๆ เข้าสมาบ้ตใม่ส์าสมาบ้ตใปเรื่อย ๆ จนกระทํ่ง ถูกส่วนตกศูนย์เข้าสู่อายตนนิพพาน ท่านคุณานันทะใด้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ให้กลับคืนมาอีกครั้ง นับเป็นเรื่องที่ใม่ธรรมดาเลย อันที่จริง ความคิดของท่านที่จะปกป้องพระพุทธศาสนา มีมาตั้งแต่ใน วัยเด็กแลัว ท่านคิดว่า ท่านเป็นลูกพญานกอินทรีย์ ใม่ใด้ คิดว่าเป็น ลูกเจี๊ยบ เหมีอนเด็กทั่ว ๆ ใป เมื่อบวชเป็นสามเณร ตั้งแต่อายุ ๑๒ ขวบ ท่านก็คิดใหญ่ เป็นยูใหญ่ในร่างเด็ก ถึง แม้ตัวเล็ก แต่ว่ามีพลังอย่างมหาศาล ที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องลิง ที่ดีงามเอาใว้ ให้เป็นประโยชน์ต่อมวสมนุษย์แสะเทวดา ทั่งหสาย ผกอบกพระพุทธศาสนาในศ?ล้งกา ๑๒๕ www.kalyanamitra.org
สามเณร คือ โอกาส สามเณรเป็น ^[ด้โอกาส ไฝใช่ ผู้ด้อยโอกาส เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ควรจะมีความคิดอย่างท่านคุณา นันทะ ผู้เป็นวีรบุรุษแห่งกองทํโพธรรม คือ รักชีวิตการเป็น สามเณร มีความรู้สึกหวงแหนพระพุทธศาสนา ด้องปกป้อง และรักษาคำสอนของพระสัมมาล้มพุทธเจ้าเอาไว้ ให้เป็น ประโยชน์ต่อมวสมนุษย์แสะเทวดาให้ได้ ต้องแกกันตั้งแต่ เป็นสามเณรอย่างนี้ เพราะต่อไปเมื่อเป็นพระภิกษุแล้ว ก็จะ ต้องรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ในการธำรงรักษาพระพุทธศาสนา สึบต่อไป ๑'๒๖ ๑ท)ผัฃผ(ถ?: www.kalyanamitra.org
ฃท1เกบ84สา»1ผร สามเณรต้อง'ฮกฝนตนเองให้ดี เริ่มต้นง่าย ๆ โดย'ฝืก เป็นนักคิดอย่างนี้ สมมุติว่า ตั้งโจทย์เกี่ยวกับคำว่า \"บุญ\" สามเณรก็ลองสมมุติตัวเองเป็นญาติโยม ที่อยากทราบความ หมายของคำว่า บุญ จากนั้นก็ตั้งคำถามขึ้นมาสักร้อยข้อ อย่าให้สำกัน เซ่น บุญคืออะไร อยู่ดรงไหน มีวัดถุประสงค์ อย่างไร เป็นต้น อาจจะแน่งกลุ่มกันไปคืกษา ระดมปิญญา แล้วก็รวบรวมคำถามเอาไว้ แล้วสมมุติว่า เราเป็นสามเณรคุณานันทะ จะดอบ คำ ถามร้อยข้อที่ไม่ซํ้ากัน เราจะดอบอย่างไร แกอย่างนี้ ไน่เรื่อย ๆ อย่าไน่เรียนแบบ ๑ บวก ๑ เป็น ๒ แต่ควรจะ เรียนว่า ทำ อย่างไรถึงจะไต้๒ ถ้า ๑ บวก ๑ เป็น ๒ จะคิดไต้ เพียงวิธีเดียว แต่ล้าคิดว่า ทำ อย่างไรจึงจะไต้ ๒ จะมีวิธีคิด เป็นล้าน ๆ วิธี เซ่น ๔ ลบ ๒, ๕ สบ ฅ, ๖ ลบ ๔ จนกระทั่ง ล้านสองลบหนึ่งล้าน พันล้านสองสบพันล้าน อย่างนี้เป็นต้น แล้วเรานำวิธีคิดอย่างนี้มาไข้กับหัวข้อธรรมะ เรื่องบุญ บาน่ ทาน คืส ภาวนา แต่ละหัวข้อเราตั้งคำถามสักร้อย ข้กอบพู้เระพุทธศาสนาในส?ล้งกา ๑๒๗ www.kalyanamitra.org
คำ ถามที่ไม่ซํ้ากัน แล้วรวบรวมคัดแต่คำถามที่น่าสนใจ แล้ว มาช่วยกันตอบ ล้าหากเราไม่รู้ เราก็ถามพระอาจารย์ ถาม พระพี่เลี้ยง หรือไปคันคว้าในตำรับตำรา เรืยนอย่างนี้ถึงจะดี แล้วความคิด ความอ่านจะกว้างขวาง ปิญญาเรามีอยู่ทุกคน แต่ว่าเอามาใช่ไม่เท่ากันทุกคน ใช่'มากก็มีปัญญามาก ใช่'น้อย ก็มีปัญญาน้อย ๑๒๘ ๑ตแนันผผ?: www.kalyanamitra.org
บทสรุป เพราะฉะใ?น การมาบวชตั้งแต่เป็นสามเณร จึงไม่ใช่ เป็นผู้ที่ด้อยโอกาส แต่เป็นผู้!ดโอกาส เพราะเราได้สืกษา ตัวอย่างจากสามเณรคุณานันทะ สิงเป็นด้นแบบสำด้ญทีเดียว ด้งนั้น ถึงเวลาแล้วที่พุทธบริษัท ๔ ด้องตื่นตัวขึ้นมาเพื่อดีกษา คำ สอนของพระสัมมาล้มพุทธเจ้า รักษาและหวงแหนพระ พุทธศาสนาที่บรรพบุรุษของเราเอาสิวิตเป็นเติมพัน เมื่อรับ มาแล้วก็รักษาด้วยสืวิต สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แสะเพือ ลูกหลานของเราต่อไปในอนาคต ตลอดจนขาวโลกทั้งหสาย เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทรเจ้า เป็นสิง ประเสริฐสูงสุด ไม่มีความรูใดที่จะเสมอเหมือน เป็นคำสอน ที่เต็มเปียมไปด้วยเหตุด้วยผส พิสูจน์!ด้ทุกกาสเวสา ล้าเรา รักเหตุผล หรือเป็นคนมีเหตุผส เราก็ด้องเสิอเรืองกฎแห่ง กรรม พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องกฎแห่งกรรม มรรคมีองค์๘ เป็นด้น คำ สอนใดที่ไม่มีมรรคมีองค์ ๘ คำ สอนนั้นจะไม่มี พระอริยบุคคล บุคคลผู้ประเสริฐ® เหมือนเราไม่อาจจะหา รอยเท้านกในอากาคได้ ฉันนั้น ° มหาปรินิพพานสูตร พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑ต หน้า G1 ® Co ~ . ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๑๒๙ www.kalyanamitra.org
คำ สอนของพระพุทธองค์ ทำ ให้ซาวโลกได้เข้าใจเรื่อง ราวของชีวิตได้เป็นอย่างดี และตำเนินชีวิตได้ถูกด้อง ไม่ผิด พลาด และมีเป้าหมายปลายทาง คือ ทำ พระนิพพานให้แจ้งได้ คู่แข่งทีแห้จริงของเราก็คือ \"เวลา\" เราจะด้องทำงาน แข่งกับเวลา เพื่อรักษาพระพุทธศาลนาเอาไว้ คำ ลอนของ พระสัมมาส้มพุทธเจ้ากว่าจะบังเกิดฃึ้นมๆ ด้องไข้เวลายาว นานนับเป็นหลาย ๆ อสงไขย พระองค์ด้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ ลร้างบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แล้วมาด้นพบในชาติ สุดห้ายเมื่อบารมีเต็มเปียม ดังใ?น ให้เราดำเนินชีวิตอย่างผู้เป็นด้นแบบ รักษา พระพุทธศาลนา เฉกเซ่น ท่านคุณานันทะ ที่เอาชีวิตเป็น เดิมพัน ในการธำรงรักษาพระพุทธศาลนาเอาไวิให้อยู่คู่โลก เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย และเทวดา ทั้งปวง ๑Qทช้ฃ©(อระ www.kalyanamitra.org
ฟ้ท ควารแปีนมาฃองฟานRmานนทฬร04J ภาfjอรรลกโปีจารย์ (ภาคพรรณนาฅวามโคยพสอาร ในทรรศนะฃองโรงเรยนอนบาธฝันโนฝันวทยา) www.kalyanamitra.org ร
www.kalyanamitra.org
มนุษย์ และสัตว์โลกทั้งหลาย ต่างต้อง เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏจักร?เองโลก บาง ชาติก็ไต้เกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็ไต้เกิดเป็น เทวดา เป็นพรหม ฯลฯ บางชาติพลาดพลั้ง ทำ บาป ทำ อกุศลกรรมเช้า ก็ไปเกิดไนทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง วนเวียนอยู่อย่างนี้จนนับภพ นับชาติไม่ถ้วน www.kalyanamitra.org
พระสัมมาส้มพุทธเจ้า ได้อุปมาให้ฟังว่า ในระหว่าง ที่เวียนว่ายตายเกิด ด้องประสบแต่ความทุกข์ ทั้งทุกข์เพราะ พสัดพรากจากของรัก ประสบสิ่งที่ไม่ซอนใจ แสะยังทุกข์ เพราะเกิด แโเ เจ็บ ดาย อีกด้วย นํ้าตาที่ด้องรินไหส เพราะ ความทุกข์ของแต่ละคน หากนำมารวมกันแล้ว ยังมากกว่า นํ้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ กระดูกของแต่ละคน เฉพาะในฮาติที่ เกิดเป็นมนุษย์ หากนำมากองรวมกันยังสูงกว่าขุนเขาเสียอีก® สัตว็โลกทั้งหลายด้องประสบกับความทุกข์อย่างแสน สาหัส เพราะการเวียนเกิดเวียนตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ แสะพร้อมกับภพชาติที่ผ่านไป ก็สั่งสมความรู้แสะประสบ การณ์เกี่ยวกับโลกและชีวิตไว้ชาติแล้วชาติเล่า ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลายนั้น ย่อมมีสัตว์โลกผู้สั่งสม ปัญญามามาก เมื่อประสบเหตุการณ์สะดุดใจ จึงพสันได้คิด ว่า \"ที่แทโลกก็คือคุกใบใหญ่นี่เอง เราและสัตว์โลกต่างก็ถูก จับขัง ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้!ม่รู้จักจบสิ้น เราจะ ® ปุคคลสูตร พระสูตรและอรรถกถาแปล ลังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม 1ร)๖ หน้า ๙:'๐๙ และ (ร:'๒๑. ®0า๔ 1|^ด1ผันผ(ถ7: www.kalyanamitra.org
ต้องหาทางพาตัวเองออกไปจากคุกนี้ใหํใต้\" และผู้มีปีญญา เหล่านี้ ยังมีความกรุณาต่อสัตว็โลกอีกต้วย จึงใต้ตั้งความ ปรารถนาว่า \"หากวันใดเราแหกคุกนี้!ปใต้ เราจะใม่ใปคน เดียว แต่จะขนคนใปให้หมดโลกทีเดียว\"® จากนั้นก็เร่งทำ ความเพียรสั่งสมความดีเรื่อยใป จึงใต้เนมิตกนาม คือ นาม ตามคุณธรรมว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่า สัตว์ผู้มุ่งการตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ นํ้าใจฃองพระโพธิสัตว์'' \"หากแม้ว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่สุดประมาณนี้ มี ถ่านเพลิงร้อนสมคระอเต็มใปหมด จ่ จ่ จ หากแม้ว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่สุดประมาณนี้ มีเปลว ใฟลุกแดงเป็นพีดยาวเต็มใปหมด หากแม้ว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่สุดประมาณนี้ เต็มใป ต้วยภูเขาเหล็กลุกเป็นใฟ โพลงอยู่ใม่รู้ตับ และพื้นภูมิภาค ® นาคะประทีป (พระสารประเสริฐ), สัมภารวิบาก,(พระนคร : โรงพิมพ์ ส.ธรรมภักดี, ๒{ร:'๐๔), หนา ๓๖-๔๐. พระพรหมโมลี (วิลาศ ฌาณวโร ป.ธ. ๙), มุนีนาถทีปนี, (กรุงเทพฯ : สำ นักพิมพ์ ตอกหญ้า, ๒ร:'๓๙.), หนัา ๑๗. ผ้กอบก้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๑๓๕ <น่ <น่ www.kalyanamitra.org
ตามระหว่างข้าง ๆ ซอกแห่งภูเขาเหล่านั้น เต็มไปด้วยนั้า ทองแดงอันเดือดพลุ่ง ร้อน ละลายไหลเหลวอยู่เต็ม ยูโดที่มี ใจองอาจ เพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่า ๆ ไปจนสุดหมื่น จักรวาล ผู้นั้นแหละจึงควรที่จะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ที่ปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ย่อมบำเพ็ญธรรมหนัก แน่นด้วยนั้าใจเด็ดเดี่ยว มนคง ไม่ว่าจะเสวยพระชาติ ถือ กำ เนิดเป็นอะไรก็ตาม ย่อมประกอบกุศลธรรมไม่ย่อหย่อน หรือเบื่อหน่ายเลย แม่ใครจะคิดทดลองด้วยอุบายใด ๆ เพื่อ ใท้พระโพธิสัตว์เปลี่ยนใจจากการกระทำกุศลธรรม ย่อม สำ เร็จไดโดยยาก\" อัธยาสัยพระโพธิสัตว์\" ๑).. เนกขัมฟ้ซฌๆสัย พอใจที่จะบวซ รักเพศบรรพชิต เป็นยิ่งนัก ไอ. วิเวอัชฌาสัย พอใจอยู่ในที่เงียบสจัดวิเวกผู้เดียว ยิ่งนัก ® พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙), มุนีนาถทีปนี, (กรุงเทพฯ : สำ นักพิมพ์ ดอกหญ้า, ๒(เ:'๓๙.), หนัา ๔๕. ๑๓๖ ๑ดไไซันผถ?ะ www.kalyanamitra.org
Search