Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นิทานชาดกอันดับที่2

Description: นิทานชาดกอันดับที่2

Search

Read the Text Version

๕:๐ นิทานชาดกเล่มสอง อาภรณ์เหล่าน ช่างงามสง่ายิ่งนัก แต่บัดนี้''พระสมณใคดมพา ลูกชายคนเดียวของแม่ไปนครสาวัตถีเสียแล่ว....\" ขณะนั้น นาง ว้ณณทาสี ผู้หนึ่งเดินผ่านมาไเ^นเข้า จึง เข้าไปสอบถามแล้วรับอาลาจะไปลึกพระลูกรายให้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้านางทำสำเร็จจะต้องรับนางไว้เป็นสะใภ้ ทำ นเศรษฐีและภรรยา ก็ยอม เพราะคิดถึงสกเหลือเกินแล้ว ก่อนออกเดินทาง นางวัณณทาลึไต้สอบถามอุปนิสัยใจคอ ของพระติสสเถระสมัยเมื่อยังเป็นฆราวาสโดยละเอียดทุกแง'ทุกมุม พร้อมทงขอเสบียงอาหาร ยานพาหนะ และข้าทาสบริวารจำนวนมาก ไปคอยรับใข้นางอีกด้วย นางวัณณทาสีเดินทางไปยังนครสาวัตถีด้วยยานพาหนะ ที่ปกปิดอย่างมิดชิด ดูราวกับการเดินทางของธิดาเศรษฐีผู้มีสกุลคนใด คนหนึ่งอย่างนั้น เมื่อถึงนครสาวัตถีแล้ว นางไต้พักในคฤหาสน์โออ่าชงอยู่ ใกล้ทางที่พระติสสเถระจะต้องบิณฑบาตผ่านมาทุกวัน และเพื่อ ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต นางจึงกำชับข้าทาสบริวารที่ท่านเศรษฐีให้มา ให้หลบช่อนเลีย เพราะเกรงพระเถระจะจำไต้ให้ปรากฏตัวเฉพาะ คนของนางเท่านั้น ทุก ๆ เข้า เมื่อพระติสสเถระบิณฑบาตผ่านมา นางวัณณทาสี จะนำอาหารที่ท่านโปรดปราน ซึ่งนางได้บรรจงปรุงอย่างพิถีพิถัน มีรสดีเลิศมาถวาย แล้วสังเกตดุ.พระเถระว่าจะมีความยินดีเพียงใด

นิทานชาดกเล่มลอง &•๑ - พระติลลเถระนั้น ถึงแม้จะรักษาธุดงค์อย่างเคร่งครัดมานาน นับลิบปี แต่ก็ยังเผลอลติมิได้พิจารณาก่อนฉัน เมื่อได้รับอาหารทีถูกปาก เสมอ ๆ ก็คลายความเพียรลง เลิกรักษาธุดงค์เกียวกับการบิณฑบาต เสีย ในเวลาต่อมาก็รับนิมนต์มาฉันที่บ้านของนางวัณณทาสีด้วย เวลาผ่านไป จนนางวัณณทาสีแน่ใจว่าพระติลสเถระติดใจ ในรสอาหารชองนางแน่แล้ว วันหนึ่ง นางจึงแกล้งทำเป็นป่วยนอน ซมอยู่ในห้อง เมื่อพระเถระบิณฑบาตมาถึงบ้าน ไม่เห็นนางออกมา ตักบาตรเช่นเคย จึงเข้าไป่ในบ้านแล้วถามถึงนาง คนรับใข้ก็ตอบว่า \"คุณผู้หญิงเป็นไข้นอนซมอยู่ในห้อง บ่นว่าอยากจะพบ พระคุณเจ้าเหลือเกิน\" พระติสสเถระได้ฟังก็บังเกิดความห่วงใย เกรงนางจะเป็น อันตรายจากพิษใด้ จึงเผลอสติจนลืมสมณวิสัย ขาดความสำรวม ระวังอินทรีย์ เข้าไป่หานางถึงในห้องนอน เมื่ออยู่ตามสำพัง นาง วัณณทาสีจึงทำมารยาเล้าโลมจนพระเถระต้องลึกจากเพศบรรพชิต ข่าวพระติสสเถระลึกออกไป่ครองเรีอนนี แพร่สะบัดไป่รวดเร็ว ราวกับไฟไหม้ป่าเป็นที่โจษจันไปที่'วนครสาวัตถี พระภิกษุทงหลาย เมื่อประชุมกันในธรรมสภา ต่างพากันบ่นว่า \"น่าเสียดาย พระติสสเถระผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ต้องมาสึกเพราะติดในรสอาหารของนางวัณณทาสีแท้ๆ ทีเดียว\" ขณะนั้น พระบรมศาสดาเสด็จมายังโรงธรรมสภา เมื่อ ทราบว่าพระภิกษุสนทนากันถึงเรื่องนิ จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพ

&•๒ นิทานชาดกเล่มสอง นิวาสานุสติญาณ แล้วตfสว่า \"ดูก่อน ภิกษุmหลาย ฬระติสสเถระไม่ได้ติดในรสอาหาร จนตกอยู่ในอำนาจของสตรี เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม่ในชาติก่อน ก่ติดในรสอาหารจนตกเป็นทาสของสตรีmมาแล้วเช่นก้น\" แล้ว ทรงเล่า วาตมิคชาดก ดังนี้ เนื้อหาชาดก ครั้งหนีงนานมาแล้ว ณ พระราชอุทยานของพระเล้าพรหมทํโต กษัตริย์แห่งนครพาราณลี ได้มีเนี้อสมันตัวหนึ่งเดินหลงเข้ามา นาย ลัญชัยคนเฝัาพระราชอุทยานก็มิได้ขับไล่แต่อย่างใด วันต่อ ๆ มา เนีอสมันจึงเดินเข้ามาและเล็มหญ้าในพระราชอุทยานอีก เข้าวันหนีง ขณะที่นายสัญชัยนำดอกไม้และผลไมไปถวาย พระเล้าพรหมทัต พระองคไ.ด้รับสั่งถึงความเป็นไปต่างๆ ในพระ ราชอุทยาน นายสัญชัยจึงกราบทูลว่า \"ขอเดชะ มิได้มีสิงใดผิดปกติ นอกจากมีเนือสมันตัวหนึ่ง ขอบมาเที่ยวเตินเล่น พระพุทธเจ้าข้า\" พระเล้าพรหมทัดทรงแปลกพระทัย จึงทรงให้ล้บเนี้อลมัน ตัวนี้นมา นายสัญชัยจึงขอพระราชทานนำผึงจำนวนหนึ่ง แล้ว นำ ไปทาตามใบหญ้าในบริเวณที่เนี้อสมันชอบมาหากิน เมื่อเนี้อสมัน ไดิลิมรสนำผึงก็ติดใจ จึงมาเลียนำผึงอยู่เสมอ ๆ แม้หญ้าที่ทานํ้าผึ้ง ซึ่งอยู่ในมือของนายลัญชัย เนี้อสมันก็ยังกล้าเข้ามากิน



(StCl นิทานชาดกเล่มสอง เมือนายลัญชัยเห็นว่าเนือสมันติดในรสนำผึงแล้ว จึงนำเสื่อ มากั้นทางเดินเป็นช่องจากพระราชอุทยานไปจนถึงบริเวณพระราชวัง แล้วตัดกิงไม้ปักพรางตาไว้ จากนนก็เอานำผึ้งทายอดหญ้า วางล่อ เนือสมัน เนือสมันหลงกลเดินเลียนำผึงไปถึงเขตพระราชวังจึงถูก กักตัวไว้ เนือสมันเห็นคนมากมายก็ตกไจกลัวจนตัวสั่น วิ่งลนลาน ไปมา พระเจ้าพรหมทัตเสด็จลงมาทอดพระเนตรแล้ว จึงตรัสว่า \"ธรรมดาเนื้อลมันจะไม่ไปยังที่ซึ'งตนได้เห็นคนถึง ๗ วัน และจะไม่ไปยังที่ซึ'งตนเคยถูกคุกคามตลอดชีวิต แต่เนื้อสมันตัวนื้ อาศัยอยู่ในปาลึกแท้ๆ ยังมาอยู่ในลถานที่นื้ได้ นี่เป็นเพราะ มันติดในรสอาหารจึงลืมตัวลืมตาย ในโลกนื้ไม่มีอะไรจะเป็นโทษ มากกว่าการติดในรสเลย\" แล้วพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นพระคาถา มื เนื้อความว่า \"การติดถิ่นที่อยู่อาศัยก็ดี ความคุ้นเคยต่อมิตรก็ดี ไม่ลามก เท่าการติดรส ไม่มิอะไรจะลามกร'งกว่าการติดรส ส้ญข้ยคนเด้า สวนต้อนเนื้อสมันซึ่งอาศัยอยู่ในปา ให้มาสู่อำนาจของตนไต้ต้วยเหตุนื้\" พระเจ้าพรหมทัตทรงแสดงโทษของการติดไนรสโดยนัยต่าง ๆ แล้วโปรดไห้ปล่อยเนื้อสมันเข้าป่าไป

นิทานชาดกเล่มสอง ๕๕ 'ประซุมฃๆดก พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า นๆยสัญซัยคนดูนฟิอุทยาน ได้มาเป็นนางวัณณทาสี เนี้อสมัน ได้มาเป็นพระติลสเถระ พระเจ้าพรหมทัต ได้มาเป็นพระองค์เอง ฟ้อคิดจากปีๆดก คนเรามักจะติดในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งบัณฑิตถือว่าเป็นโทษ เซ่น 0. การคิดดิ๋นที่อยู่อาคัย ๑. เป็นการขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของตนเอง เพราะเท่ากับตัดโอกาสในการเรียนรู้ และพัฒนาความรู้ความสามารถ ของตนให้เกิดประโยชน์ ทำ ให้ความคิดคับแคบ เพราะมีประลบการถ! น้อย ๒. ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของชุมชนและประเทศ ชาติ บางคนอยู่ในที่แออัด สกปรก แต่ไม่ยอมขยับขยายที่อยู่ และ ยังขัดขวางการลร้างความเจริญของชาติด้วย เซ่น ในเรื่องการวาง ผังเมีอง การตัดถนน เป็นต้น ๒. การคิตเพื๋อน ทำ ให้ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ต้องให้เพื่อนซ่วยคิด

<$'๖ นิทานขาดทเล่มลอง ช่วยชีแนะให้เป็นประจำ จะไปไหน หรือทำอะไรตามลำพังก็ไม'กล้า เป็นทีระอาของเพือนด้วย ไนกรณีทีไปติดเพื่อนเลว ๆ ก็จะเลียคน ไปเลย ฅ. กๆรดิดรส ทำ ไห้ไซ้จ่ายฟ่มเฟือย เลียเวลา หรือเกิดโรคเพราะ รับประทานมากเกินไป บุคคลบางจำพวกอาศัยการติดรลผูกมัดบุคคล ไว้ ดังนี้ แม่บ้านหรือหญิงทํ้งหลาย มักผูกมัดสามีหรือชายที่รัก ด้วยรสอาหาร ดังภาษิตที่ว่า \"เลน่ห์ปลายจวัก ผัวรักจนตาย\"[.\"ทราโi คนส่วนไหญ' เมื่อติดรสอาหารเลียแล้ว ก็มักจะมองซ้ามความ บกพร่องด้านอื่น ๆ ไป พอด้าแมด้า อาศัยการติดรสของลูกค้าปรุงอาหาร ค้าขาย สร้างฐานะไห้ตนได้ และบางครั้งก็วางกับล่อผู้ที่ติดรสไว้เป็นระยะ ๆ อีกด้วย เช่น มีการแสดง การไห้รางวัล เป็นต้น บางครังสรรหาอาหาร แปลก ๆ ทีหายากมาขายด้วยการสั่งชื้อจากต่างประเทศ แม้ว่าจะมี ราคาแพงมากก็ตาม การแสวงหาอาหารเพื่อสนองการติดรสของคนนี้น บาง ครั้งก่อไห้เกิดความผิดพลาดอีน ๆ ตามมา เช่น ทำ ไห้ติดเหล้า ติดยา เสพย์ติด หลงเซ้ากลุ่มนักเลง ละเลยครอบครัว สร้างความหายนะ ไห้ตนทุกที ๆ

นทานชาดกเลมสอง ๔. นักyฏิบัดิรธรมที่ยังติดในรสอๆหาร หำ ให้เกิด โทษ คือ ๑. กินมากแล้วง่วง ทำ สมาธิไม่ไดดี ๒. เลียเวลาปรุงแต่งประดิษฐ์อาหารโดยใช่เหตุ ๓. จิตใจฟังช่าน กามกำเริบได้ง่าย ๔. หระภิกษุสงฝกีงจะษวฃมานาน หากยังไม่ษรรอุ รรรมแสว ก็มีโอกาสหสาดได้ เหมือนพระติลสเถระในเรื่องนี้ สาธุชนจึงไม่ควรตำหนิพระภิกษุสงฆ์ที่ตระหนี่ตัว' ไม่รับนิมนต์ไปบ้าน ไม'ถือความคุ้นเคยกับซาวบ้าน เพราะไม่ต้องการไปอยู่ในบรรยากาศ อย่างฆราวาส อันจะทำให้เลียโอกาสปฏิบ้ติธรรม อริบๆยศํ'หหํ วาตมิคชาดก (อ่านว่า วา-ตะ-มิก-คะ-ขา-ดก) วาดมิค เนื้อสมัน รดงคติบสาม'ประการ คือ หมู่ธรรมหมวดหนี่งซึ่งไม'ได้บังคับ ไว้ไนพระวินัย แต่พระพุทธองค์ทรงแสดง ไว้เพื่อเป็นแนวทางลำหรับพระภิกษุสงฆ์ ที่มืความประพฤติที่มืความประสงค์จะ ปฏิว้ติอุปนิสัยของตนให้ได้ผลโดยเริว ม ๑๓ ขอ ดงน

นิทานชาดกเล่มสอง ๑. ใช้เฉพาะผ้าที่ซักป้เงลุกุลมาได้เท่านั้น ๒. ใช้เฉพาะผ้าเพียง ๓ ผืน คือ สบง จีวร และสังฆาฏิ ๓. ฉันเฉพาะอาหารที่รับบิณฑบาตมาได้เท่านั้น <r. เดินบิณฑบาตไปตามแนวที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่เลือก เฉพาะแนวที่คาดว่าจะได้อาหารมาก ๕. ฉันอาหารเพียงวันละ ๑ มื้อ (ฉันเอกา) ๖. ฉันลำรวม คือ อาหารทุกชนิดรวมอยู่ไนบาตรทั้งหมด ๗. เมื่อลงมือฉันแล้วไม่รับประเคนอีก cr. อยู่ไนป่านอกละแวกบ้านเท่านั้น ๙. อยู่ตามร่มไม้เท่านั้น ไม่อยู่ไนเรือนหรือกุฏิ ๑๐. อยู่กลางแจ้งเท่านั้น G)(ร). อยู่ป่าช้าเท่านั้น ๑๒. อยู่ไนที่ซึ่งเจ้าหน้าที่จัดไห้เท่านั้น ๑๓. อยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ เท่านั้น คือ ยืน เดิน นั่ง(ไม่นอน) \"พระเถระ พระผู้ใหญ่ พระภิกษุสงฆ์แปงตามอายุพรรษาได้ <r ระดับ คือ ®. 'พระนวกะ คือ พระบวชไหม' ผู้มื พรรษาตงแต่ ๑ ๕ พรรษา ยังต้อง อยู่ไนความดูแลของอุปัชฌาย์ ๒. 'พระมัฃฌิมะ คือ พระภิกษุที่ผู้มื พรรษาตงแต่ ๖ ๑๐ พรรษา มืภูมิ ธรรมพอรักษาตัวรอดได้

นิทานชาดกเล่มสอง ๕๙ จัผ.(นทๆสิ ท. พระเถระ คือ พระผู้!หญ่ มีความรู้ คฤหาสน์ เป็นครู อาจารย์ได'เป็นผู้มีพรรษาตง แต่ ๑๑-๒๐ พรรษา ๔. พระมหาเถระ คือ พระเถระผู้ใหญ่ ผู้มีพรรษา ตั้งแต่ ๒๑ พรรษาขึ้น ไป มีคุณธรรมสูง เป็นที่เคารพนับ ถือของพระภิกษุทงหลายในลังฆ- มณฑล ไม่เป็นที่ตำหนิ เซ่น ลมเด็จพระลังฆราช เป็นต้น หญิงแพคยา หรือหญิงโสเภณี เรือนอันสง่าผ่าเผย พระคาถา•ประจำชาดก น กิรตุถิ รเสหิ ปาปิใย อาวาเสหิ วา สนฺถเวหิ วา วาตมิคํ คหนนิสฺสิตํ วสมาเนสิ รเสหิ สณซใย การติดที่อยู่อาศัยก็ดี ความคุ้นเคยต่อมิตรก็ดี ไม่ลามกเท่าการติดรส ไม่มีอะไรจะลามกยิ่งกว่าการติดรส ลัญชัยคนเฝัาสวน ต้อนเนื้อสมันซึ่งอาศัยอยู่ในป่า ให้มาส่อำนาจของตนไต้ด้วยเหตุนื้

ฃราทิยชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการว่ายากสอนยาก สฉๆน'ฬี่ดรัสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ฟิๆเ'ฬดุ'ที่ตรัสซาดก พระภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อแรกบวช มีความตั้งใจปฎิป้ติธรรม อย่างเคร่งครัด ครั้นนานเ'ข้า ก็เกิดความเบื่อหน่าย คลายความเ'พียร เมื่อพระเถระและเ'พื่อนพระภิกษุด้วยกันตักเตือนเท่าไร ก็ไม่เชื่อ'ตัง กลับดื้อรั้นใต้เถียงไม่ลดละ ความทราบถึงพระลัมมาลัม'คทธเจ้า พระพทธองค์ทรง'ชักถามได้ความเป็นจริงแล้ว จึงตรัสว่า

นิทานชาดกเลมสอง ^(5) \"ดูก่อนภิกษุ เธอไม่ได้เป็นคนห้วดื้อเฉพาะแต'ในชาตินี้ เท่านี้นหรอกนะ แม้เมื่อชาติก่อน เธอก็ดื้อด้านเสียจนกระทรด้องไป ติดปวงตายมาแล้ว\" จากนั้น พระพุทธองค์ทรงนำ ฃรๆทิยชๆดก มาตรัส ดังนี้ เนื้อ'พาชาดก ในอดีตกาล มีพญากวางตัวหนึ่งคุมบริวารฝูงใหญ่อยู่ในป่า ใกล้เมีองพาราณลี พญากวางเป็นผู้ทีมความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว สามารถคุมบริวารให้อยู่ในโอวาท และมีระเบียบวินัย เป็นผู้มีเมตตา ธรรม ได้อบรมลังสอนวิชามฤคมายา หรือ มายาในการเอาตัวรอด ของกวางให้แก่บริวารทงหลายโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนึ่อย วันหนึ่ง นางกวางซึ่งเป็นน้องสาวผู้หนึ่งของพญากวาง ได้พา ลูกชายมาฝากฝังพญากวางให้ช่วยสอนวิชามฤคมายาให้ด้วย พfyา กวางก็ยินดีรับสอน และนัดวันเวลาให้มาเรียน เมื่อถึงกำหนดวันเรียน ลูกกวางก็บ่นกับเพื่อน ๆ ว่า \"ฉันไม่อยากเรียนวิชามฤคมายาอะไรนั่นหรอก ไม่เห็นจะ น่าสนุกเลย เรื่องตะกุยดิน เบ่งท้อง พองลม ทำ เป็นตายน่ะ ไม่เห็น จะยากเย็นอะไรเลย ไม่เรียนก็ทำได้' ฝ่ายเพื่อน ๆ ก็ด้านว่า \"นีเธอ มันอาจจะไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ดิดก็ได้นะ พญๆ กวางทำนอุตส่าห์สละเวลาสอนใท้ มืโอกาลแล้ว รีบเรียนเถอะ\"

๖๒ นิทานชาดกเล่มสอง แต่กวางน้อยยังคงดือดึง ไม่สนใจฟังคำแนะนำตักเตือน ของเพื่อน ๆ ซํ้ายังกล่าวว่า \"พวกเธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันโตพอแล้ว เอาตัวรอด ไต้น่ะ\" แล้วลูกกวางก็เที่ยววิ่งเล่นไปในป่า จนกระทังไป่ติดบ่วงของ นายพรานเข้าในวันหนึ่ง ฝ่ายนางกวางไม่เห็นลูกกลับมา วันแรก ๆ ยังคิดว่าลูกตน คงขะมักเขม้นเรียนวิชาอยู่กับพญากวางผู้เป็นลุง จนเวลาล่วงเลย ไบ่ถึง ๗ วัน นางกวางรูลึกเอะใจและกังวล จึงรีบไบ่หาพญากวาง แล้วถามว่า \"พี่จ๊ะ ลูกฉันเป็นอย่างไรบ้าง เรียนวิชาไปถึงไหนแล้วล่ะ นี่ไม่ไต้กลับมาให้เห็นหบ้าเห็นตากันเลยทีเดียวนะ\" พญากวางจึงตอบว่า \"บ้องเอย ตํ้งแต'วันพี่เจ้าเอาลูกมาฝากให้สอนวิชาแล้ว ฉัน ก็ไม่เห็นหบ้ามันอีกเลย\" นางกวางไดืยินตังนั้นก็ตกใจมาก เที่ยววิ่งไบ่ลอบถามบรรดา เพื่อน ๆของลูกชาย จึงรู้ว่า ลูกของนางวิงเล่นไบ่จนติดบ่วงนายพราน และถูกฆ่าตายเสียแล้ว นางเศร้าโศกเสียใจมาก ได้แต่ร้องไห้ศรำครวญ ไบ่ต่าง ๆ นานา

i

๖(ริ: นิทานชาดกเล่มสอง \"ลูกเอ๋ย ทำ ไมลูกไม่เชื่อฟ'งแม่ ลูกของแม่ต้องมาตายเสีย ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะความตั้อรนแท้ๆ ทีเดียว นี่ถ้าลูกไม่หนี ไปเนี่ยวเล่น ก็คงไม่ต้องตายจากแม่ไปเข'นนี่\" นางกวางร้องไห้สะอื้นประหนึ่งว่าจะขาดใจ พญากวาง จึงกล่าวให้สติแก่นางว่า •'ชราทียาเอ๋ย เจ้าอย่าได้เศร้าโศกเสียใจถ้บลูกท้วดื้อ ไม่ยอม อยู่ในโอวาทนั่นเลย ฉันไม่อาจสั่งลอน และไม่คิดจะสั่งลอนเจ้ากวาง ผู้ปี ๘' กีบ ปีเขาคดตั้งแต่โคนจนกีงปลาย และทนดื้อด้านอยู่ได้ตั้ง «) ว้นเช่นนี้\" 'ประซุมซๆดก 4 เมื่อพระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงเล่าชาดกจบแล้ว ทรงประชุม ซาดกว่า กวางผู้เป็นหลานในครง'นน ได้มาเป็นภิกษุผู้ว่ายาก กวางชราทิยา ได้มาเป็นพระอุบส ารรณาเถรี พญากวาง ได้มาเป็นพระองค์เอง

นิทานขาดกเล่มลอง b<Sr ข้อคิดจากซาดก ๑. ลูกดื้อ ๆ มักจะทำให้พ่อแม่เสียใจอยู่เนือง ๆ และความ เสียใจจะทวีขึ้นเป็นลำดับ หากความดือรั้นนั้นเป็นเหตุให้ลูกถึงแก่ ความตาย เพราะขึ้นชื่อว่าลูก ถึงจะดื้อรั้นลักเพียงใด พ่อแมกรักดัง ดวงใจ พ่อแม่และ^หญ่ควรยึดถึอแนวทางต่อใปนี้ในการอบรม บุตรหลาน คือ ๑ ควรยึเกให้ลูกหลานรู้จักกราบไหว้ รู้จักแสดงความ เคารพ และสวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำ จะทำให้มีจิตใจอ่อนโยน ใม'หัวดื้อ ว่ายาก ๒ ทำ ความดืให้ลูกหลานดู เด็กจะใต้จดจำยึดถือเป็น แบบอย่าง เซ่น พาลูกไปกราบปูย่า ตายาย โดยมีข้าวของไปเยี่ยม ต้วย เป็นต้น ๓ ใม'ทำชั่วเด็ดขาด เซ่น ไม'ดื่มเหล้า ไม'เล่นการพนัน ไม'โกหก ลูกหลานจะได็ใม'สนใจสิ่งเลว ๆ เหล่านั้น ร: ไม'เข้าข้างลูกหลานเมื่อเขาทำผิด ๕ เมื่อลูกทะเลาะเบาะแว้งดับผูอื่น ควรลงโทษลูก ต่อหน้าทันที เพื่อไม่ให้ผูใหญ่หมางใจดัน แล้วค่อยชี้แจงให้ลูกเข้าใจ ภายหลังว่า ที่ลงโทษ เพราะลูกไม'รู้จักเลือกคบเพื่อน ไม'รู้จักรอมชอม จนเกิดเรื่องทะเลาะดัน ทำ ให้พ่อแม่พลอยเดือดร้อนไปต้วย จากนั้น จึงค่อยพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้น b หาเพื่อนที่ดืให้ลูกหลานเล่น อย่าปล่อยให้เที่ยวเล่น ดับเพื่อนเกเร มิฉะนั้น จะติดนิลัยพาลเกเรมา

๖๖ นิทานชาดกเล่มสอง ๗ หาหนังลือที่ดีมีสาระให้อ่าน cr หาครูบาอาจารย์ที่ดีมาอบรมสั่งลอนลูกหลาน ๒. นิสัยของคนเรา ไม่ว่าดีหรือเลว จะติดตัวข้ามภพข้ามชาติ ได้ คนที่มีนิสัยดือรั้น จึงควรรืบแเด้Iขเลืย มิฉะนั้น จะไม'มีไครอยาก แนะนำตักเตือน ควรถือว่า บุคคลที่ชี้โทษว่ากล่าวตักเตือนเรา เป็น ^ขุมทรัพย์ไห้ เพราะทำไห้เรารู้จุดที่ควรจะปรับปรุงตนไห้ดีขึ้น ๓. ไห้คิดเสมอว่า ตนเป็นผู้ไม่รู้ พึงต้องมีครู sr. เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องไดที่แปลกไหม' อย่ารืบปฏิเสธ อัน เป็นวิสัยของคนดื้อ ว่ายาก แต่ก็ไม'เชื่อทันที เพราะจะเข้าสักษณะ คนหูเบา หลงงมงาย ควรพิจารณาไห้รอบคอบเลียก่อน จึงค่อย ตัดสินไจว่าควรเชื่อหรือไม' ๕. คนหัวดื้อ จัดว่าเป็นคนอาภัพมาก เพราะไม'มีไครอยาก ข้องแวะด้วย อริบๆยตั'ฬฟั ขราทิยชาดก (อ่านว่า ขะ-รา-ทิ-ยะ-ชา-ดก) ชราหิยา หญิงผู้'สูญเลียลูก

นิทานชาดกเล่มสอง ๖๗ 'พระคาดา\"ประจำชาดก อฎ«ขุร ขราทิเย มิคํ วงฺกาติวงกินํ สตฺตกาเลหติกุกนฺติ น นํ โอวทิตุสฺลเห ดูก่อนแม่ขราทิยา ฉันไม่สามารถจะสั่งสอนเนื้อตัวนั้น ผู้มี fS กีบ มีเขาคดแต่โคนจนถึงปลายเขา ทนดื้อด้านอยู่ได้ตั้งเจ็ดวันเซ'นนื้

ตป๋ลลัตถมิคชาดก ชาดกแสดงคุณของความว่านอนสอนง่าย สฟิๆนทีดรสซาดก พทริการาม นครโกสัมพี สาเทดุพึ่ดรสซาดก ครังหนึง ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป ประกาศพระศาสนาที่นครอาฬวี มีประซาซนเลื่อมใสขอบวชเป็น ภิกษุและภิกษุณีจำนวนมาก ทุก ๆ วัน พุทธบริษัทที่งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ต่างพากันมาฟังพระธรรมเทศนา และกสับไปในเวลาเย็น ต่อมา ภิกษุณีและอุบาสิกา คลายความเพียร หายใปทีละคนสองคน ในที่ลุด ก็เหลือแต่พระภิกษุและอุบาสกเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี จึงได้เปลี่ยนเวลาฟังพระธรรมเทศนามาเป็นเวลา กลางคืน เพื่อสะดวกแก่พระภิกษุและอุบาสกที่จะจัดภารกิจในเวลา กลางวัน และปลีกตัวมาฟังพระธรรมเทศนาในเวลากลางคืน

นิทานชาดกเล่มรอง ๖๙ หลังจากฟังพระธรรมเทศนาจบแล้ว ทํ้งพระภิกชุและอุบาสก ก็ค้างคืนกันอยู่ที่วัดนั่นเอง พระเถระผู้!หญ่เข้าพักผ่อนในกุฏิ ส่วน พระภิกษุที่อ่อนพรรษาลงมาก็พักที่ศาลาโรงฉันรวมกับอุบาสก ที่งหลาย ในครํ้งนั่น มีพระภิกษุบวชใหม่บางเปที่ฝืกฝนตนเอง มายังไม่ดีพอ เวลานอนจึงเผลอสติ กัดฟันเสียงดังกรอด ๆ บ้าง นอนกรนบ้าง นอนละเมอบ้าง นอนไม่เรียบร้อยบ้าง ล้วนเป็นภาพ ที่ใม่น่าเลื่อมใสศรัทธา พวกอุบาสกอดรนทนไม่ไค้ จึงน่าศวามไป กราบพูลพระลัมมาลัมพุทธเจ้า พระพุทธองค้จึงทรงปัญญ้ติพระวินัย \"ใhuภิกษุนอนในที่มุงบังเดียวกันกับ^มิใช่ภิกษุ'' ต่อมา พระลัมมาลัมพุทธเจ้าเสด็จจากนครอาฬวีไปยังนคร โกลัมพี ประทับอยู่ที่พทริการาม ครํ้งนั่น มีพระภิกษุตามเสด็จ จำ นวนมาก กุฏิที่มีอยู่จึงไม่พอ ทาไห้สามเณรราหุลซึ่งปกติได้อาศัย นอนค้างร่วมกับพระเถระองค'ไดองค์หนึ่งเสมอไม่มีที่นอน เพราะ ต่างก็เกรง อาบ้ติ ผิดวินัย ไม่กล้าไห้นอนค้างด้วย เมื่อสามเณรราหุลไม่มีที่นอน ก็ไม่ได็โต้แย้ง ไม่ได้ถือว่า พระลัมมาลัมพุทธเจ้าเป็นพระบิดา พระสารีบุตรเป็น พระอุปัชฌาย์ พระโมคคัลลานะเป็นพระอาจารย์ พระอานนท์เป็นพระเจ้าอา แล้ว จะเข้าไปกราบพูลไห้ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของตน แต่ด้วย ความที่มีอัธยาศัยงาม นอกจากจะตงไจศึกษาเล่าเรียนอย่างดืแล้ว ยังเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย และเคารพไนพระวินัยอย่างเคร่งครัด จึง พยายามช่วยเหลือตนเอง ไม่ยอมทำความเดือดร้อนไห้ผู้!ดด้วยการ อาศัยนอนไน เวพุปี ของพระสัมมาล้มพุทธเจ้า

๗๐ นิทานชาดกเล่มสอง เช้ามืดนั้นเอง พระสัมมาสัมทุทธเจ้าเสด็จมาที่เวจกุฎี ก่อน จะเช้าไป ได้ทรงกระแอมขึ้น สามเณรราหุลก็กระแอมตอบ แล้ว ออกมากราบ'เฏลถึงสาเหตุที่มานอนในเวจกุฎีนี้ พระสัมมาสัม'พุทธเจ้าทรงปังเกิดธรรมสังเวชที่สามเณรราหุล ถูกทอดทิ้ง ไม่มืใครเอาใจใส่ดูแล ปล่อยใหหาที่นอนเองอย่างนี้ จึงประ'ชุมสงฆ์ในเช้าตรู่วันนั้น แล้วตรัสถามพระลารีบุตรว่า \"สารบุตร เธอทราบหรือไม่ว่า เมื่อคืนนี้ราหุลนอนที่ไหน?\" พระสารีบุตรไม่ทราบ พระพุทธองคํจึงตรัสว่านอนในเวจกุฎี ของพระองค์เอง แล้วตรัสต่อไปว่า \"ดูก่อน สารืบุตร ท่านทงหลายไม่เอาใจใส่ดูแลสามเณรราหุล ทอดทิ้งได้อย่างนี้ ต่อไปภายหน้าสามเณรอึ่น ๆมาบวชก็คงจ้ะไม่มี ที่พึ่ง\" พระพุทธองค์จึงทรงปัญญ้ติพระวินัยขึ้นใหม่ว่า \"นับแต่นี้ไป อนุญาตให้สามเณรหรือผูไมใช่ภิกษุ นอนในที่ มุงบังเดียวกับภิกษุได้ไม่เกินสามคืน เมื่อถึงคืนที่สี่จะด้องไปหาที่ นอนที่อื่น ๆ\" เย็นวันนั้น พระภิกษุทงหลายประ'ชุมกัน กล่าวสรรเสริญ สามเณรราหุลว่าเป็นสามเณรใจเพชร ใฝ่ใจในการสืกษาหาความ!' ไมขึ้อ้อนอ่อนแอเหมือนเด็กทงหลาย เคารพและปฎิป้ติตามพระธรรม วินัยอย่างเคร่งครัด

นิทานชาดกเล่มสอง 6^® พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า พระภิกษุกำสังปรารภ กันถึงเรื่องนี้อยู่ จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้ว ตรัสว่า \"ราหลนั้น ไม่เฉพาะแต่ในชาตินี้เท่านั้นที่เป็นผู้ใฝใจในการ ศึกษาเล่าเรียนและว่านอนสอนง่าย แม่ในอศึตชาติที่เกิดเป็นกวาง ก็มีคุณธรรมเช่นนี้เหมือนกิน\" แล้วพระองค์ทรงเล่า ต'ilaaตฉเJคชาตก ดังนี เนอทๆซๆดก ในอดีตกาล ณ ชายป่าใกล้กรุงราชคฤห์ มีกวางฝูงใหญ่ ฝูงหนึ่งอาศัยหากินอยู่ ด้วยความผาสุกตลอดมา วันหนึ่ง น้องสาวชองพญากวางนำลูกน้อยของตนมาฝาก ให้พญากวาง'ช่วยสอนวิชา มฤคมายา 'อันเป็นวิชาที่ว่าด้วยการแสดง มายาเพื่อรักษาตัวรอดของกวาง ลูกกวางน้อยก็ตํ้งใจเรียน ตั้งใจ รีเกฝนเป็นอย่างดี แม้ลำบากอย่างไรก็ไม่เคยบ่น ไม'เคยท้อ เป็นผู้ ตรงต่อเวลา ขยันขันแข็ง อดทน พญากวางจึงเมตตา ถ่ายทอดวิชา มฤคมายาให้จนหมดสิ้น อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ลูกกวางน้อยกำสังออกหากินกับเพื่อนๆ อยู่'นน บังเอิญไบ่ติดบ่วงของนายพรานเข้า เชือกบ่วงคล้องคอไว้พอดี แต่ลูกกวางน้อยก็มีสติ มิได้เสียขวัญแต่อย่างใด กสับบอกให้เพื่อน ๆ รีบหนีไบ่เสีย

ตเ๒ นิทานชาดกเล่มสอง บรรดาเพือน ๆ จึงรีบกลับไปแจ้งข่าวร้ายนีแก่นางกวางผู้ เป็นแม่ของลูกกวางน้อยทันที นางกวางตกใจมาก รีบวิ่งไปหาพญา กวาง ละลํ่าละลักว่า \"พี่จา ๆลูกของฉันติดปวงนายพรานเสียแล้ว พี่สอนวิชา ให้หลานจบหรือยัง?\" พญากวางจึงปลอบนางกวางน้องสาวให้คลายวิตก แล้ว กล่าวว่า \"ฉันสอนหลานชายผู้มีเท้าแปดกืบให้รู้พกๅรนอนm en ท่า สอนเล่ห์กลมารยาหลายอย่าง ให้ลงดื่มนํ้าหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ดูก่อน น้องหญิง หลานชายของฉันไดฟืกฝนวิชาจนชำนาญ สามารถกลั้น ลมหายใจได้โดยหายใจด้วยรูจมูกข้างพี่แนบติดลับพื้นคืน ท่าเล่ห์กล ลวงนายพรานด้วยอุบาย ๖ ประการได้\" พญากวางได้อธิบายขยายความเพิ่มเติมอีก คือ ลูกกวางน้อยได้รับการปีกให้นอนได้ทีง ๓ ท่า คือ นอน ตะแคงจ้าย นอนตะแคงขวา และนอนหมอบลำตัวตรงอย่างโค มี ความอดทนต่อความกระหาย โดยจะต้องออกดื่มนํ้าหลังเที่ยงคืน ไปแล้ว เพือหลีกเลียงอันตรายจากลัตว่ใหญ่ที่ดุร้ายและนายพราน ซึ่งมักจะออกล่าเหยื่อตั้งแต่เวลาเย็น นอกจากมัน ยังได้แจกแจงวิธีทำมายาแสร้งตายทัง ๖ ประการ ให้ฟัง เพื่อให้นางกวางมั่นใจว่า ลูกของนางจะเอาตัวรอดกลับมา

\"ริ;.«

๗<ระ' นิทานชาดกเล่มสอง ฝ่ายลูกกวางน้อย เมื่อติดบ่วงแล้วก็สำรวมสติมั่น นึกทบทวน วิชาที่ได้รํ่าเรียนมาจากพญากวางผู้เป็นลุง แล้วทำมารยา ๖ บ่ระการ กล่าวคือ แสร้งตะกุยดินให้เป็นฝ่นอยู่ข้างViน้า แล้วเตะC^นให้ฟังกระจาย ดูราวก้มว่าได้ตะกุยจนเต็มแรงแล้ว จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนตะแคง เหยียดเท้าทั้งสี่ออกไบ่ด้านข้าง เกร็งตัวแข็งทื่อเหมือนก้มว่าตายมา นานแล้ว และเพื่อให้แนมเนึยนยิ่งขึ้น ก็ทำ ตาเหลือก หัวตก ลิ้นห้อย บ่ล่อยให้นํ้าลายไหลเปีอนตัว แล้วเบ่งท้องให้พอง ราวก้มว่าตาย มานานจนสำตัวพองขึ้นอืดแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ยังแกล้งถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะให้เรี่ยราดเลอะเทอะ ราวก้มควมคุมกล้ามเนื้อทวารหนัก และทวารเมาไม่ได้ เมื่อทำตังนื้แล้ว ก็กลนลมหายใจไว้ โดยหายใจ เพียงแผ่ว ๆด้วยรูจJjjกข้างที่แนมติดก้มพื้นดินเพียงข้างเดียว เพื่อ ไม่ให้ท้องกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง ล้กพักหนึ่ง ฝูงแมลงวันก็พาก้นมาตอมอุจจาระปัสสาวะ ฝูงกาก็บินมาเกาะกิ่งไม้คอยทีอยู่ เมื่อนายพรานมาถึง เห็นลูกกวาง นอนตัวพองขึ้นอืดอยู่ ก็เอานื้วดีดท้องลูกกวาง ไดียินเสียงตัง ปุ ปุ จึงหลงเข้าใจว่าลูกกวางน้อยตายจนขึ้นอืดแล้ว จึงรีมถอดบ่วงออกจาก คอ ทั้งใจจะชำแหละเนื้อในที่นั้น ทันทีที่บ่วงหลุด ลูกกวางน้อยก็ กระโจนหนึไบ่ด้วยความเร็วราวก้มลมพัด กลัมไบ่หามารดาและ พญากวางผู้เป็นลุงทันที

ป็ทานชาดกเล่มสอง ๗๕: 'ประซุมซๆดก เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสชาดกจบแล้ว ทรงแสดง อริยสัจ <r โดยอเนกปริยายให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้นไปตามลำดับ พระภิกษุ จำ นวนมาก ได้ส่งใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา สามารถทำไจ ไห้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย เข้าถึงพระธรรมกายไนตน บ้างก็ลำเริจ เป็นพระใสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ตามแต่กำลังบารมีที่สั่งสมอบรมมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า ลูกกวาจ'น้อย ได้มาเป็นสามเณรราหุล นม่กวๆจ ได้มาเป็นพระอุบลวรรณาเถรี •พญากวาจ ได้มาเป็นพระองค์เอง ฃอคิตจากชาดก ๑. ปกติคนเราถ้าไม่ไดฝืกลติมาดีแล้ว เมื่อนอนหลับ มักจะมี อาการต่าง ๆ เช่น กัดฟัน ละเมอ วางมือวางเท้าไม่เรียบร้อย ผมเผ้า รุงรัง นอนกรน นํ้าลายไหล เป็นด้น ภาพเหล่านี้ย่อมไม่น่าดูและ เป็นที่รังเกียจแก่ผู้พบเห็น ดังนี้น บางครงหากมีความจำเป็นด้องนอน ไนที่เดียวกับคนอื่น เช่น ไนโอกาสไปพักแรมต่างจังหวัด หรือไป ค้างคืนบ้านเพื่อนฝูง จึงควรระมัดระวังไห้เรียบร้อย ตั้งแต่ผมเผ้า ไปจนถึงเสื้อผ้า และท่านอน

๗๖ นิทานชาดกเล่มลอง ๒. เมื่อเราได้รํ่าเรียนวิชาจากครูบาอาจารย์แล้ว ควรหมื่น จดจำไว้ อย่าละเลย หลงลืม หมื่นพิจารณาอยู่เสมอ จึงจะมีความรู้ แตกฉาน นำ ไปไชให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิต หรือแม้กระทั่ง รักษาชีวิตของตนได้ ดังคำของกวีสุนทรภู' ที่กล่าวว่า \"รฺสิ่งใดใม่สรวิชา ร้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี\" ข ข่ข ข การรักษาตัวรอดในความหมายของนักปราชญ์หรือบัณฑิต นั้น หมายถึง รอดพ้นจากภัยพาล หรือความทั่วร้ายทงหลาย มิใซ่ ในความหมายของการ.หนีเอาตัวรอดแล้วทิ้งให้^นลำบาก ซึ่งเป็น วิสัยของผ้มีจิตใจตับแคบ ข ก.๓. ศิษย์เมื่อมีความศรัทธา มีความเคารพในครูบาอาจารย์ อย่างเต็มเปียมแล้ว จะมีความเคารพในคำทั่งสอนของท่าน และ ปฎิปติตามคำทั่งสอนโดยไม่ใต้แย้งหรือบิดพทิ้ว ทำ ให้ครูบาอาจารย์ มีความเมตตา เอ็นดู ปรารถนาจะถ่ายทอดวิชาความรู้ใหยิ่งๆขึ้นไป อริบๆยฟั'ฬท์ ติปัลลัตถมิคชาดก (อ่านว่า ดี-ปัน-ลัด'ถะ-มิก-คะ-ขา-ดก) ดิป้อสัดฉมิค กวางผู้มีการนอน ๓ ทำ อาบัติ โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดข้อห้ามแห่งพระภิกษุ

นิทานชาดกเล่มสอง ๗๗ อุ!เซผๆย์ พร่ะ๓ระผู้เป็นประธานการบวชกุลบุตรในพระพุทธ เจจกุฎี ศาสนา มฤคมๆยๆ ห้องส้วมสำหรับพระสัมมาลัมพุทธเจ้า ซึ่งอบด้วยธูป หอมและพวงดอกไม้ มีไฟจุดไวให้ความสว่าง ตลอดคืน เล่ห์กลลวงของกวาง •พระคาถา'ประจำชาดก มิคนฺติปลลตฺถมเนกมายํ อฎพุรํ อฑฺฒรตตาปปายี เอเกน ใสเดน ฉมาสสสนฺโต ฉหิ กลาหติ ใภติ ภาคิเนยฺโย ฉันสอนเนือหลานชายผู้มีเท้าแปดกีบ นอนโดยอาการสามท่า มีเล่ห์กลมารยาหลายอย่าง ดื่มกินนำไนเวลาเที่ยงคืน ไห้เล่าเรียนมายาของเนื้อดีแส้ว ดูก่อนน้องหญิง เนือหลานชายของฉันไดรีเกฝนวิชาจนชำนาญ ลามารถกลนลมหายไจไวิได้1ดยช่องนาสิกข้างหนึ่ง แนบติดอยู่กับพื้นดิน จะทำเล่ห์กลลวงนายพรานด้วยอุบายหกประการ.

มาลุตชาดก ซาดกว่าด้วยการถือความเห็นของตนเป็นใหญ่ สดานทีตรัสชาดก เซตวันมหาวิหาร นครลาวัตถี สา(.หดุทีตรัสชาตก ครั้งหนึ่งในลมัยพุทธกาล มี พระหลวงตา ลองรูป ซื่อ 'พระกาสะ และ 'พระซุฌ,หะ ใรั้งลองรูปตงใจปฎิบติธรรมอย่าง เคร่งครัดอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในเขตชนบท แคว้นโกศล

นิทานชาดกเล่มสอง ๗๙ อย่างไรก็ดี พระทั้งสองรูปยังติดนิสัยตั้งแต่ลมัยเป็นฆราวาส มาคนละอย่าง คือ พระชุณหะซอบฺชมความงามของพระจันทร์ เต็มดวงในคืนข้างขึ้น ส่วนพระกาฬะชอบมองหมู่ดาวที่ล่องแสง ระยิบระยับจับตาในคืนข้างแรม วันหนึ่ง พระหลวงตาทั้งสองได้มาพบปะสนทนากันถึงเรื่อง ลมฟัาอากาศ พระซุณหะจึงถามพระกาฬะขึ้นว่า \"ท่านรู'หรือไม'ว่า คืนไหนอากาคจะหนาวจัด?\" พระกาฬะตอบทันทีว่า \"คืนข้างแรมซิ! เราสังเกตมานานแล้ว พบว่าล้าคืนไหน เป็นคืนข้างแรม คืนใ!นอากาศจะหนาวจัดทุกที\" พระซุณหะได้ฟังดังนนจึงแย้งว่า \"เราก็อยู่ปามานาน แต่สังเกตเ'หินว่า อากาศจะหนาวจัด ในคืนข้างขึนต่างหาก\" หลวงตาทั้งสองโต้เถียงกันด้วยเรื่องนี้เป็นเวลานาน แต่ไม่ อาจจะหาข้อยุติได้ ในที่ลุด จึงซวนกันออกเดินทางไปเฝัาพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธองค์ช่วยตัดสินให้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริว่า พระภิกษุลองรูปนี้อุตส่าห์ เดินทางไกลเป็นเวลาแรมเดือน ข้ามเขตแดนซนบทน้อยใหญ่ มายัง นครสาวัตถึ เพียงเพื่อให้พระองค์ตัดสินปัญหาอันไม่เป็นสาระ ด้วย ต่างฝ่ายต่างถึอทิเมานะเข้าหากัน หลงยึดมั่นแต่ความเห็นของตน โดยไม่พิจารณาถึงสาเหตุทีแท้จริง เช่นนี จึงทรงระลึกซาติด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า

<^๐ นิทานชาดกเล่มสอง \"ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อนโน้น เราก็ตอบปัญหานี้แก่เธอ ทังสองแล้ว แต่เธอจำไม่ได้ จึงต้องย้อนมาถามปัญหาเติมซาอีก\" พระหลวงตาทั้งลองเลกแปลกใจ จึงกราบทูลอาราธนาให้ พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องราวในอดีตชาติของตนให้ฟัง พระพุทธองค์ จึงทรงแสดง มๆฟิดซๆดก มีเนื้อความดังนี้ เนอหาชาตก นานมาแล้ว ในถํ้าเซิงเขาแห่งหนึ่ง เป็นที่อาศัยของราชสีห์ กับเสือโคร่ง ทั้งลองอยู่กำเดียวกัน ด้วยความผาลุกตลอดมา ตามปกติ ราชสีห์ชอบออกหากินในคืนเดือนหงาย ครํ้นตก ดึกลมแรงก็หนาวลั่น จึงหลงเข้าใจว่า อากาคหนาวเพราะข้างขึน ส่วนเสือโคร่งชอบออกล่าเหยื่อในคืนเดือนมีด พอลมพัดมา แรงจัด ก็รู้สึกหนาว จึงทึกทักเอาว่า อากาศหนาวเพราะข้างแรม อยู่มาวันหนึ่ง สัตว์ทั้งลองลนทนากันถึงเรื่องลมฟัาอากาศ เสือโคร่งได้พูดขึ้นว่า \"ถึงคืนข้างแรมทีไร อากาศหนาวทุกที\" ราชสีห์ได้ฟังดังนนก็แย้งว่า \"อะไรกันเพื่อน ข้างขี้นต่างหากที่อากาศหนาวมาก\" เสือโคร่งก็กสับแย้งว่า

^ rm ■^/ >A

(^๒ นิทานชาดกเล่มสอง \"เพื่อนเอาอะไรinพูด คืนข้างแรมสิ เราออกหากินทีไร อากาศหนาวเสียจนเรานสั่นไปทั้งตัว\" แต่ราชสีห์ค้านว่า \"อากาศจะหนาวในคืนข้างแรมได้อย่างไร เรานอนอุ่นสบาย เชียว แต่คืนข้างขึนเมื่อเราออกหากิน อากาศหนาวเสียจนตัวเรา เย็นเฉียบเลย\" ทั้งเสือโคร่งและราชสีห์ต่างแผดเสียงเถียงกันลั่นป่า เมื่อหา ข้อยุติไม่ไค้ ทั้งสองจึงชวนกันไป่หาพระฤๅษี ซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ ณ เซิงเขาแห่งนน แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง พระฤๅษีจึงกล่าวว่า •'ไม่ว่าจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ตาม เมื่อมีลมพ้ดมา ย่อมรู้สึกหนาว เพราะความหนาวเกิดแด'ลม เจ้าทั้งลองไม่แพ้กัน ในปัญหานี้\" เมื่อราชสีห์และเสือโคร่งทราบความจริงจากพระฤๅษีแล้ว ก็หมดทิฎเ เดินกลับถํ้าที่อยู่ของตนด้วยความสุขใจ 'ประซมซาดก เมื่อพระลัมมาลัมพุทธเจ้าตรัส มาลุตชาดก จบแล้ว ทรงแลดง อริยลัจ ร: โดยอเนกป่ริยาย พระหลวงตาทั้งสองรูปลามารถทำใจ ให้หยุดนิ่ง ตงมั่นอยู่ในศนย์กลางกาย เข้าถึงธรรมกายพระโสดาในตน สำ แจเป็นพระโสดาบัน ณ ที่ทั้นเอง

นิทานชาดทเล่มสอง <^๓ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมซาดกว่า แอโคร่งในครงนน ได้มาเป็นพระกาฬเถระ รๆซสิฬ์ ได้มาเป็นพระชุณหเถระ ■พระฤาษี ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากซาดก เมื่อมีปัญหาหรือ'ข้อ'ขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น ควร'ฬิจารณาดังนี้ ๑. ตรวจสอบ'ข้อเ'กิจจริงใใฬก่อน โดยไตร่ตรองว่าอะไรเป็น เหตุ อะไรเป็นผล เพื่อประกอบการ'พิจารณา ๒. ฟัง'ข้อเสนอของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ถือทิฎเมานะ เอาแต่ใจ ตนเองเป็นใหญ่ ๓. พูดใ'กิใพเราะที่สุดเท่าที่จะ'ทำได้ เพื่อมิใใฬกฝ่ายมีทิฎฐิ มานะมากขึ้น หากยังหา'ข้อยุติไม'ได้ ควรใ'ด้ผรจริง'ซ่วยตัดสิน อรบายข้'พท์ มาลุตชาดก (อ่านว่ามา-ลุ-ตะ-ซา ดก) มาอุด สม 'พระ'พอจงดา พระภิกษุที่บวชเมื่อแก่ ซึ่งส่วนมากแล้วมักจะว่า ยุากสอนยุาก

«'<£■ นิทานชาดทเล่มสอง 'พระคาดา'ประจำชาดก กาเฬ วา ยทิ วา ซุณฺเห ยทา วายติ มาลุใต วาตชานิ หิ สีตานิ 'อุโภตุถมปราชิตา ข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ตาม เวลาใดลมพัดมา เวลานั้นย่อมมีความหนาว เพราะความหนาวเกิดแต่ลม ในปัญหานี้ ท่านทงสองชื่อ'ร่าไม่แพ้กัน

มตกภัตตชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการฆ่าสัตว์เพื่อทำบุญ ฟิดๆนที่ดรสซๆดก เซตว้นมหาวิหาร นครลาวัตถี ฟิๆเช)ดทึ่ดรฟิซาดก พระภิกษุกลุ่มหนึ่งเห็นประชาชนฆ่าสัตว์เพื่อทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลให้แก่บรรดาญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ลงลัยว่า การ ฆ่าสัตว์เพี่อทำบุญจะได้บุญจริงหรือ จึงพากันไปกราบพูลถาม พระสัมมาสัมพทธเจ้า พระพทธองค์จึงทรงตอบว่า

^๖ นิทานชาดกเล่มสอง \"การฆ่าสัตว์เพื่อทำบุญนนย่อมไม่ได้บุญเลย เพราะเป็น การเปียดเปียนชีวิตสัตว์อื่นตงแต่แรกเสืยแล้ว\" พระพุทธองค์ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ นำ มตกภัตตชาตก มาตรัสเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ ดังนี้ เนอหๆชาดก ในอดีตกาลเนิ่นนานมาแล้ว สมัยที่มนุษย์และสัตว์ยังเข้าใจ ภาษากันได้ มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่ง ด้องการจะทำบุญอุทิศ ล่วนกุศลไปให้ญาติพื่น้องที่ล่วงสับไปแล้ว จึงสั่งลูกศิษยไห้นำแพะ ตัวหนึ่งไปทำศวามสะอาด \"ขัดถูตัวให้สะอาดๆนะ เอาแห้งมงคลเจิม แล้วเอาพวง มาลัยนคล้องคอเสียด้วย วันนี้ข้าจะฆ่าเล้าแพะนี้ทำบุญเสียหน่อย\" ลูกศิษ!]รีบนำแพะไปอาบนี้าตามคำสั่งทันที เมื่ออาบนี้า และตกแต่งร่ายกายไห้แพะเสร็จ ก็ไห้มันยืนผึ่งแดดอ่อน ๆ อยู่ได้ต้นไม้ ไหญรีมฝังแมนี้า เนื่องจากแพะดัวนี้เคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อนและแกสมาธิ มามากถึงขนสามารถระลึกชาติได้ แต่ต่อมาภายหสังไปก่อกรรม ทำ บาป จึงมาเกิดเป็นแพะ แต่ผลบุญ'นนก็ยังติดตามมาทำไห้ระลึก ชาติไดีอีก แพะ'พิจารณาผลกรรมไนอดีตของตัวเองแล้วก็ระเบิดเสียง หัวเราะออกมาดังสั่น จาก'นนก็เปลี่ยนเป็นร้องไห้ครํ่าครวญ

นิทานชาดกเล่มรอง Rjd \"อ่า อ่า อ่า อ่า อ่า. ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ. \" บรรดาศิษย์เหล่านั้นต่างหันมามองแพะด้วยความแปลกใจ \"เจ้าแพะเอ๋ย เจ้าเป็นอะไรไปปะ หัวเราะแล้วก็ร้องไห้ หรือว่าเจ้ากลัวตาย จนเป็นบ้าไปแล้ว อย่ากลัวเลย ตายเพื่อให้ อาจารย์ของข้าทำบุญ เจ้าจะไดไปสวรรค์เชียวนะ\" ศิษย์คนหนึ่งปลอบ แต่แพะกลับดอบว่า \"เราไม่ได้กลัวตายหรอก เพราะไม่ว่าใคร ๆก็ด้องตายทํ้ง นัน้ ไม่ข้าก็เร็ว แต่ที่เราหัวเราะ ก็เพราะเราดีใจปะ แล้วทีเราร้องไห้ ก็เพราะเราสงสารอาจารย์ของท่าน\" \"เจ้านี่แปลก ตัวเองกำลังจะตายกลับหัวเราะดีใจ แล้วยัง บอกว่าสงสารคนที่เขาจะฆ่าตัวอีก เจ้าลองพูดมาให้ชัด ๆดีกว่าว่า มันยังไงกันแป\" ศิษย์คนหนึ่งถามด้วยความลงลัย แต่แพะกลับพูดป'ดไปว่า \"ถ้าเจ้าอยากร้ เราก็จะบอกให้ แต่ว่าเรืองนีสำคัญมาก เราจะด้องพูดต่อหน้าอาจารย์เท่านั้น\" ศิษย์กลุ่มนั้นจึงนำแพะไปหาอาจารย์ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึน ไห้ฟัง อาจารย์จึงกล่าวกับแพะว่า \"ขณะนั้เจ้าก็มาอยู่ต่อหน้าข้าแล้ว เล้า ลองบอกมาซิว่า เรื่องมันเป็นยังไง ถึงได้หัวเราะแล้วก็ร้องไห้อย่างนั้น\"

นิทานชาดกเล่มสอง \"อาจารย์.....ทีข้าพเจ้าหัวเราะกิเฬราะดีใจที'จะได้พ้นเวร พ้นกรรมไปเกิดเป็นคนเสียที แต่ที่ข้าพเจ้าร้องไห้ ก็เพราะสงสาร อาจารย์ ทีจะด้องไปเกิดเป็นแพะไข้กรรมถึง ๕๐๐ ชาติ เหมือน อย่างที'ข้าพเจ้าเป็นอยู่นี่.....\" แพะตอบ แพะหยุดนิดหนึง แล้วพูดต่ออย่าง^า ๆ ราวกับจะทบทวน ความหลังว่า สมัยหปีง ข้าพเจ้าเคยเป็นอาจารย์ทีคาปาโมกข์เหมือน อย่างท่านปีแหละ มืลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นที่นับหน้าถือตาของ ผูค้นทั้งหลาย วันหนึง ข้าพเจ้าศิดจะท่าบุญให้ญาติที่น้องที'ล่วงลับ จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่ง..... หลังจากนน เมื่อข้าพเจ้าสิ้นชีวิตแจ้ว แทนที' จะได้ไปสวรรค์อย่างที่คิด ข้าพเจ้ากลับด้องมาเกิดเป็นแพะ ชดใข้ กรรมทีก'อไวิติดต่อกัน <r๙๙ ชาติแจ้ว และชาตินี่เป็นชาติที่๕๐๐ โดยเฉพาะวันปีเป็นวันสุดท้าย ทีข้าพเจ้าจะหมดเวรแจ้ว ข้าพเจ้า ดีใจเหลือเกิน อาจารย์ทิศาปาโมกข็ใด้ฟังเรื่องราวที่แพะเล่าถึงกับนิ่งอึ้งไป ลักครู่จึงกล่าวว่า \"ขอบใจเจ้ามากที'เตือนสติข้าไม่ให้หลงผิดก่อบาปก่อเวร ให้ตัวเอง ข้าจ้มเลิกความคิดที่จะฆ่าเจ้าแจ้วล่ะ\" แต่แพะกลับตอบว่า \"ถึงอาจารย์จะไม่ฆ่า แต่ข้าพเจ้าก็จะตองตายในวันนี่อย่าง แน่นอน\"

นิทานชาดกเล่มสอง ๘๙ \"ไม่หรอกน่ะ ข้าจะให้ลูกศิษย์ของข้าคอยดูแลเจ้าอย่างดี ไม่ไหใครมาทำอะไรเจ้าได้หรอก\" ว่าแล้วอาจารย์ก็ลั่งให้ปล่อยแพะ ไป พร้อมกับกำชับให้ลูกศิษย์คอยติดตามดูแลแพะด้วย แพะเมื่อถูกปล่อยออกมาแล้ว ก็เที่ยวหากินไปตามชายป่า ใกล้เขตหมู่บ้านนั่นเอง ขณะที่มันชะเง้อคอกินใบไม้ที่ชื้นอยู่หลัง แผ่นหินข้างเชิงเขา ฟัาได้ผ่าเปรี้ยงลงมาโดยไม'คาดฝัน แผ่นหินข้าง เชิงเขาแตกกระจาย เศษหินแผ่นหนึ่งพุ่งตรงมาตัดคอของมันขาด กระเด็นไปไนพริบตา บรรดาศิษย์และชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาแถบนั่น ต่างอกสั่น ขวัญแขวนกับเหตุการถไที่เกิดชื้น พากันวิพากษวิจารณ์ไปต่าง ๆนานา ขณะนั่น รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่บริเวณนั่นได้ปรากฏกาย นั่งชัดสมาธิลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งรัศมีสว่างไสวไห้ทุกคนเห็น ชัดเจน พร้อมกับกล่าวว่า \"สัตว์ทํ้งหลายควรรู้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดนนเป็นทุกข์ จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้ฆ่าสัตว์ย่อมได้รบทุกข์โศกตลอดกาล\" รุกขเทวดาได้อธิบายขยายความว่า ^ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะต้อง ได้รับทุกขเวทนาอย่างหนักเป็นเวลานานแสนนานไนอบายภูมิทง cr คอ



นิทานชาดกเล่มสอง ๙๑ ๑. ต้องตกนรก ๒. ต้องเทดุเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ๓. ต้องเกิดเป็นเปรต sr. ต้องเกิดเป็นอสุรกาย เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย เมื่อรุกขเทวดาแสดงธรรมให้ทราบถึงโทษของการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตตังนี้แล้ว มนุษย์ทั้งหลายต่างพากันกสัวบาปกรรม งดเว้น การเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ตามโอวาทของรุกข- เทวดาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาตราบเท่านานแลนนาน บัระฃุมซๆดก 9 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า รกชเทวดาในครั้งนั้น ไต้มาเป็นพระองค์เอง ฟ้อคิดจากซาดก ๑. ใครทำกรรมใดไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ตนจะต้องไต้รับ ผลของกรรมนั้น จะต่างกันแต่เพียงช้าหรือเร็วเท่านั้น

๙๒ นิทานชาดกเล่มสอง ๒. วัฏสงสารหรือการเวียนว่ายตายเกิด นับว่าเป็นทุกข์ อย่างยิ่ง เพราะสัตว์ทั้งหลายจะต้องเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด วนเวียนอยู่เช่นนี้นับภพนับชาติไม'ถ้วน ถ้าเกิดมาแล้วไม่พยายาม สร้างบุญสร้างกุศล หาหนทางไปนิพพาน แต่กสับก่อบาปก่อเวร อยู่เรื่อย ๆ ก็จะต้องเวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จักจบจักลิ้น และต้องไต้รับ ทุกข์ภัยตามเวรกรรมที่ก่อไว้อย่างไม'มีที่ลิ้นสุดอีกด้วย ๓. บุคคลใดก็ตามทีมีมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิดจากทำนอง คสองธรรม หรือเห็นผิดเป็นชอบจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ฟ้บายภูมิทั้ง <r คือไปใช่กรรมในนรกบ้าง ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บ้าง หรือไม'ก็ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกายบ้าง ดังนน ก่อนจะทำ อะไร ควรพิจารณาถึงคุณและโทษตามหสักเหตุผลที่แท้จริงเสียก่อน เพราะบางครั้ง เราอาจจะทำผิดเนื่องจากฟังมาผิด ๆ เชื่อถึอกันมา ผิด ๆ หรือมีประเพณีผิด ๆ เป็นต้น sr. นับแต่โบราณกาล สมัยปูย่าตายายของเราขึ้นไป คนไทย มีเมตตาธรรมสูงไม'นิยมฆ่าสัตว์ดัดชีวิตเสย โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย จะกินเนี้อของมันก็ต่อเมื่อมันตายเอง แล้วนำมา ชำ แหละแบ'งกันทั้งหมู'บ้าน ทั้งนี้ เพราะคนสมัยนนมีครัทธามั่นคง ในพระพุทธคาสนามาก แต่ในปัจจุบันนี้เราฆ่าสัตว์กันจนเป็น อุตสาหกรรม จึงเป็นช่อที่ควรนำมาพิจารณา

นิทานชาดกเล่มสอง ๙๓ อรบๆยฟัฬท์ มตกภัตตชาดก (อ่านว่า มะ-ตะ-กะ-พัด-ตะ-ชา-ดก) มดกภัดด อาหารที่ทำบุญอุทิศให้คนตาย 'พระคาดๆ'ปธะจํๆซๆดก เอวณฺเจ ลดตา ซาเนยฺยุ ทุกขายํ ชาติสมภโว น ปาใณ ปาณนํ หญเณ ปาณฆาติ หิ ใสจติ หากสัตว์ทั้งหลายพึงเว่าความเกิดนี้เป็นทุทข์ สัตว์ก็ไม่น่าจะฆ่าสัตว์ด้วยกัน เพราะผ้ฆ่าสัตว์ย่อมเคร้าโคก ดังนี้

อายาจิตภัตตชาดก ซาดกว่าด้วยการฆ่าสัตว์ แก้บน สดานหีตรสชาดก เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สาเทดุที่ดรสชาตก พระภิกษุเห็นซาวบ้านซาวเมืองพากันฆ่าสัตว์แก้นนหลังจาน เดินทางไปค้าขายต่างเมืองก.สับมาโดยปลอดภัยและได้กำไรดี จึง พากันไปกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การฆ่าสัตว์แก้บน จะได้บุญหรือ

นิทานชาดกเล่มสอง ๙๕ พระพุทธองค์ทรงตfสตอบว่า ไม่ได้บุญเลย พร้อมกับทรง ระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสาพุสติญาณ นำ อายาจตภัตตชาดก มาตรัสให้ฟัง ดังนน เนอทาชาดก ในอดีตกาล มีพ่อค้าคนหนึ่งจะเดินทางไปค้าขายยังเมืองไกล จึงพาบริวารมากราบไหว้ด้นไทรไหญหน้าบ้านของตน อธิษฐาน ขอไห้เทพยดาที่สิงสถิตอยู่ช่วยปกบ้องคุ้มครองตนเองและพวกพ้อง ไห้เดินทางโดยปลอดภัย ค้าขายได้กำไรงาม เมื่อกลับมาแล้วจะแก้บน ไห้ยิ่งไหญ่ทีเดียว ก่อนออกเดินทาง พ่อค้าได้ตระเตรียมการอย่างรอบคอบ จากนั้น จึงนำสินค้าบรรทุกเกวียนออกเดินทางไป ระหว่างทางได้ ไซ้เสบียงอาหารอย่างประหยัด เวลากลางคืนก็จัดเวรยามรักษาความ ปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง เนื่องจากพ่อค้าไดศึกษาสภาพภูมิอากาศ และการทำมาหากินของคนไนเมืองนั้นตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้วว่า เป็นอย่างไร จึงได้นำสินค้าที่หายากและมืราคาแพงสำหรับที่นั้น ไปขาย บางอย่างก็เป็นของแปลกไหม' พ่อค้าวาณิชและซาวเมือง นั้งหลายจึงพากันมาอุดหนุนอย่างคับคั่ง เขาจึงขายสินค้าได้กำไร งามสมดังที่หวังไว้ เมื่อขายสินค้าที่นำไปจนหมดแล้ว เขาก็ซื้อสินค้าที่เป็นที่ด้อง การของชาวเมืองของเขา บรรทกเกวียนกลับมาค้าขายหากำไรต่อไป อีกด้วย

๙๖ นิทานชาดกเล่มสอง ตลอดทางกลับบ้านเที่ยวนั้นพ่อค้าสุขใจยิ่งนัก เขาระลึกถึง คุณของเทวดาที่ได้ช่วยปกบ้องคุ้มครองตนและบริวารให้ปลอดภัย และค้าขายใค้กำไรงาม ขณะเดียวกัน ข่าวการกลับมาของพ่อค้า ก็แพร่กระจายไปลู่เพื่อนบ้านเรือนเคียงอย่างรวดแว ต่างพากันมา ต้อนfบและแสดงความยินดี พ่อค้าไต้สั่งปริวารไห้ฆ่าแพะ แกะ เป็ด ไก่ พร้อมทงนำอาหาร คาวหวานอีกมากมาแก้บนที่ต้นไทรใหญ่หน้าบ้าน ขณะนั้น ณ ต้นไทรใหญ่ รุกขเทวดาก็ปรากฏร่างขึ้นพร้อม กับถามว่า \"ท่านวาณิช ท่านฆ่าสัตว์มากมายเพื่ออะไรกัน?\" เมื่อพ่อค้าและบริวารตลอดจนฝูงซนที่อยู่ ณ ที่นั้น เห็น รุกขเทวดาปรากฏร่าง ก็ก้มลงกราบอย่างนอบน้อม พ่อค้ากล่าวขืนว่า \"พวกข้าพเจ้าค้าขายได้กำไรงาม ทัง้การเดินทางก็ราบ่รึ๋น ปลอดภัย เพราะไค้บารมีของท่านช่วยค้มครอง พวกข้าพเจ้าจึง ตอบแทนพระคุณตามที'ไค้บนไว้แต่แรก\" รุกขเทวดาไต้ฬงก็หัวเราะและกล่าวว่า \"พทโธ่เอย! พวกท่านเข้าใจผิดเสียแล้ว ตลอดเวลาเราก็อยู่ที่ ค้นไทรนี้ ไม่ไดิดิดตามไปช่วยอะไรใครเลย ที่ท่านเดินทางโดย ปลอดภัย และค้าขายไค้กำไรงามทั้น เป็นเพราะความสามารถของ ท่านเองต่างหากเล่า ไม่ใช่เพราะเราหรอก\"

o

๙ นิทานชาดกเล่มสอง เราขอเตือนว่า ถ้าท่านปรารถนาจะแก้บน ก็จงแก้ด้วยการ ไม่ฆ่าส้ตว์ตัดชีวิตเถิด เมื่อท่านละโลกนี้ไปแก้ว ท่านก็จะพ้นทุกข์ ในโลกหน้า คือ ไม่ต้องไปตกอยู่ในอบายภูมิทั้ง (ข์ แต่ถ้าท่านแก้บน ด้วยการฆ่าส้ตว์ตัดชีวิต ก็เท่ากับจะยิ่งตืดเข้าไปในความทุกข์หน้กขึ้น ไปอีก เพราะเป็นการก่อบาปกรรม ผูปีปัญญาจึงไม่ท่าเช่นนี้ วิธีนี้ เป็นวิธีของคนพาลโดยแท้\" รุกขเทวดาได้แจกแจงโทษของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วก็ อันตรธานหายไป พ่อค้าพร้อมทั้งบริวารและเพื่อนบ้านได้ฟังแล้ว ต่างพากันกสัวบาป เลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตั้งแต่วันทั้นเป็นด้นมา เมือละโลกแล้ว ต่างได้!ปเกิดในสุคติภพตามกำสังแห่งกรรมดีของตน โดยทั่วหน้ากัน 'ประขุมซาดก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมซาดกว่า รุกชเทาดาในครงทั้น ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากซาดก ๑. ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ไม'ว่าจะโดยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมไมใด้บุญเลย แต่กสับจะได้ร้บทุกข์ เพราะเป็นการก่อบาปก่อเวรให้ตนเองทั้งลิ้น ๒. การทำพลีกรรมด้วยดอกไม้ธูปเทียน หรือถวายทานแด่ พระภิกษุสามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ เป็นการบวงสรวงเทวดา อย่างถูกวิธี เรืยกว่า เทวดาทดี

นิทานชาดกเล่มสอง ๙๙ ๓. การบนบานศาลกล่าว เป็นเรื่องของคนงมงายไร้เหตุผล เพราะเมื่อบุคคลประกอบเหตุที่ดีไว้แล้ว คือ ตั้งใจทำงานด้วยความ มีสติรอบคอบแล้ว ย่อมได้รับผลสำแจอย่างแน่นอน อรบาย 'ฬ์ อายาจิตภ้ตตชาดก (อ่านว่า อา-ยา-จิต-ตะ-พัด-ตะ-ชา-ดก) อๆยาจนะ การขอร้อง วิงวอน อบายภูมิ'ตั้งสิ ภูมิหรือแดนที่ปราคจากความสุข ความเจริญ มี แต่ความทุก'ข์ มีอยู่ (T แดน คือ ๑. แดนนรก ๒. แดนสัตว์เดียรัจฉาน ๓. แดนเปรต ar. แดนอสุรกาย 'พระคาถา'ประจำชาดก ลเจ มุณฺเจ เปจฺจ บุญเจ บุจฺจมาโน หิ พชุฌลิ น เหว'' บุจจนติ บุตติ พาลสฺล พนธนํ ถ้าท่านปรารถนาจะเปลื้องตนให้พ้นจากคำปฏิญาณแล้วไซร้ ท่านจงละเสียซึ่งอกุศลกรรม มีปาณาติบาต เป็นด้น เมื่อท่านละโลกนี้ไปแล้ว ก็จะพ้นทุกข'ในอบายภูมิ•ตั้ง (t แต่หากท่านเปลื้องตนให้พ้นจากคำปฏิญาณด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ท่านกสับจะติดห•นักเข้า เพราะเป็นการก่อบาปกรรม ผู้มีปัญญาจึงไม่ท่าเซ่นนี้ วิธีนี้เป็นวิธีของคนพาลโดยแท้