Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อุบาสิกาเเก้วยอดหญิงผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกฉบับเป็นสุขด้วยธรรม

อุบาสิกาเเก้วยอดหญิงผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกฉบับเป็นสุขด้วยธรรม

Description: อุบาสิกาเเก้วยอดหญิงผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกฉบับเป็นสุขด้วยธรรม

Search

Read the Text Version

ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงถือกำเนิดเป็นพระราช กุมาร ได้อภิเษกเป็นพระราชา ส่วนพระราชบิดาออกบวชเป็นพระฤๅษี ยังอภิญญาให้เกิดขึ้นแล้ว พญานาคราชชื่อสังขปาละได้มาฟังธรรมของ พระฤๅษี พระราชามาพบเข้า จึงปรารถนาสมบัติของพญานาคราช จึงทรงบำเพ็ญกุศลเพื่อให้!ด้สมบัติในนาคพิภพ ครั้นต่อมาได้เกิดเป็น พญานาคก็เบื่อสมบัติเหล่านั้นจึงบำเพ็ญอุโบสถสีล เพื่อจะได้กสับมา เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรุปชาดกว่า \"ฤๅษีผู้เป็นพระราชบิดา ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระมหากัสสปในครั้งนี้ พระราชาได้มาเป็นพระ อานนท์ ส่วนพระยานาคราชสังขปาละ คือเราตถาคต\" อุโบสถสิลส่งให้นางทาสิเป็นพระอรฟ้นตเถรี ครั้งพุทธกาล พระอรห้นตเถรีองค์หนึ่ง นามว่า อุตตมา ท่านได้ เล่าประวัติของท่านไว์ใน อุตตมาเถรีคาถาว่า ในสมัยพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเคยเกิดเป็นนางทาสีใน ตระกูลกุฎมพิ(เศรษฐี)ในยุคนั้นพระราชาทรงรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญ มหาชนทั้งหลายก็ปฏิบัติตามพระราชา นางทาสีนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อ ละโลกจึงได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้นในสมัยพุทธกาล นางได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐี เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ ก็ออกบวช หลังจากได้ฟังธรรมจากภิกษณีรูปหนึ่ง ได้ปฏิบัติ ตามคำพรํ่าสอนของภิกษุณีรูปนั้น เพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็ได้บรรลุพระ อรห้ต ชุ1ภ?กใเ1ทว •[ร้นพุ?รทบilsn airu\"ฟ้นสฃ^ท์อพนเ\" tfc? แสมปัสิรองรบาสิกานกว www.kalyanamitra.org

ในตอนสุดท้ายท่านได้กล่าวว่า \"ข้าพเจ้าเผากิเลสแล้ว ถอนภพทั้งหมดขึ้นแล้ว อาสวะทุกอย่างหมดเนแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าท่ากรรมใดไว้ ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ นี้เป็นผลแห่งอุโบสถสืล\" จากหลักฐานในพระไตรป็ฎกเกี่ยวกับอานิสงส์ของศีล ๘ ที่นิา มากล่าวนี้ อุบาสิกาแก้วทั้งหลายย่อมเห็นแล้วว่า การรักษาศีล ๘ มี อานิสงส์มากจริงๆ ดังนั้นหลังจากจบโครงการและกลับไปอยู่บัานแล้ว ก็ฃอเชิญซวนอุบาสิกาแก้วทั้งหลายได้หาโอกาสสมาทานรักษาเป็นการจำ ศีลในวันพระคือขึ้นและแรม ๘ คํ่า ๑๕ คํ่า {แรม ๑๔ คํ่าในเดือนขาด)ที่ เรียกว่ารักษาอุโบสถศีล ขึ้งอาจจะรักษาที่บ้าน หรือไปพักค้างที่วัด ก็ แล้วแต่ความเหมาะสม ทั้งนี้ย่อมเป็นการสั่งสมบุญบารมีที่วิเศษมากอีก A ทางหนง รู้ท้นโทษภัยของอบายมุข คำ ว่าอบายมุขหมายถึง\"ปากทางแห่งความเสิอม\"มีอยู่ ๖ประ๓ท ได้แก่ (๑) ติดสุราและของมึนเมา (๒) การเที่ยวกลางคืน (๓) การ เที่ยวดูการละเล่น (๔) เล่นการพนัน (๕) คบคนชั่วเป็นมิตร และ (๖) เกียจคร้านการทำงาน อบายมุข ทั้ง ๖ ประ๓ท บางประ๓ทก็รวม อยู่ในศีล ๘ แล้ว แต่บางประ๓ทศีล ๘ ยังครอบคลุมไม่ถึง ใครก็ตาม ที่ข้องเกี่ยวกับอบายมุขแม้เพียงข้อใดข้อหนึ่ง ย่อมหมายความว่าชีวิต 5บ-|ร|ฑฟ้ว ftiTL--ฟ้นฟุพพพ\" ๔๖ คุ{แสพนัสิชองอุบาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

กำ ลังเดินไป^ความเสือมแล้ว ย่อมหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้ ยากยิ่ง ดังนั้น อุบาสิกาแก้วทั้งหลายจำเป็นต้องรู้ทันถึงโทษภัยของ อบายบุขไว้สำหร้บทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้ตนเองและผู้อื่น พระสัมมาลัมพทธเจ้าได้ตรัสถึงโทษของอบาย3^ขทั้ง ๖ ประ๓ท ไว้ประเภทละ ๖ ข้อ ดังนี้ ๑. การติดสุราและของมึนเมา มีโทษ ๖ อย่าง คือ {๑) สิน เปลืองทรัพย์สินเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ {๒) ก่อการ ทะเลาะวิวาท (๓) เป็นปอเกิดแห่งโรค {๙) เป็นเหตุให้เสีย ชื่อเสียง (๕) เป็นเหตุให้ไม่รู้จักละอาย ทำ ในสิงที่ไม่น่าทำ เมื่อขาดสติ {๖)บั่นทอนกำลังปัญญา ๒. การเที่ยวกลางคืนมีโทษ๖อย่างคือ {๑)ได้ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว {๒)ได้ชื่อว่าไม่คุ้มครองไม่รักษาบุตรและคู่ครอง {๓)ได้ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ {๔) เป็นที่ระแวงของคน อื่น (๕) เป็นเป้าให้เขาใส่ความหรือข่าวลือ {๖) เป็นสาเหตุ แห่งความเดึอดร้อนหลายประการ ฅ. การเที่ยวดูการละเล่นเป็นประจำ จะทำให้การงานเสือมเสีย เพราะจิตใจกังวลและเสียเวลาไปดูการละเล่นเพื่อให้ เพลิดเพลินใจ มี ๖ กรณีด้วยกัน คือ {๑) รำ ที่ไหนไปที่นั่น {๒) มีขับร้องที่ไหนไปที่นั่น (๓) มีดนตรืที่ไหนไปที่นั่น {๔) มีขับเสภาที่ไหนไปที่นั่น (๕) มีเพลงที่ไหนไปที่นั่น (๖) มี เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น ๙. การเล่นการพนัน มีโทษ ๖ อย่าง คือ {๑) ผู้ชนะย่อมก่อเวร (๒) ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป {๓) ทำ ให้ทรัพย์สิน เงินทองสูญไป {๔) ถ้อยคำของผู้เล่นการพนันไม่น่าเชื่อถึอ ธุบใสิกาแทว น่ฟ้พาjSaธรรมโรก ftifv;■เ!|น?11<!'1ยทรพ คุณสมบติขอ'}อุบาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

(cf) เป็นที่ดูถูกของผู้อึ่น (๖}ไมมใครอยากแต่งงานด้วย ๔. การคบคนชั่วเป็นมิตรมีโทษโดยซวนเราให้กลายเป็นคนชั่ว ตามอย่างไปด้วย คือได้เพื่อนที่จะนำให้กลายเป็นคน ๖ ประ๓ท คือ (๑) เป็นนักเล่นพนัน (๒) เป็นคนเจ้าชู้ (๓) เป็นนักเลงเหล้า (๙) เป็นคนทำของปลอม (c?) เป็น คนโกง (๖) เป็นนักเลงหัวไม้ ๖. ความเกียจคร้านในการทำงานมีโทษ โดยทำให้อ้างสาเหตุ ต่างๆ เพื่อไม่ทำงาน รายได้ที่จะเกิดก็ไม่เกิด เงินทองที่มีอยู่ ก็จะร่อยหรอไป ข้ออ้างทั้ง ๖ อย่างได้แก่ (๑)อากาศหนาวไป (๒)อากาศร้อนไป (๓)เวลาเย็นแล้วไม่นำทำงาน (๔)เวลา เช้าเกินไปไม่น่าทำงาน (๕) กำ ลังหิวไม'น่าทำงาน (๖) กำ ลัง อิ่มไม่น่าทำงาน อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญของอบายมุขข้อนี้คือ เมื่อขาดแคลน เงินทอง คนประ๓ทนี้ก็จะเบียดเบียนผู้อื่นด้วยวิธีการต่างๆ นับตั้งแต่ หยิบยืมเงินทองจากผู้อื่นคดโกงหลอกลวงไปจนถึงลักขโมยและจี้ปล้น ฯลฯ บุคคลที่มีสติสัมปชัญญะเป็นปกติโดยทั่วไป ย่อมตระหนักชัดถึง โทษภัยของอบายมุขทั้ง ๖ ประเภทนี้เป็นอย่างดีว่า การเข้าไปพัวพันกับ อบายมุขด้งกล่าวแม้เพียงประเภทเดียว ย่อมประสบแต่ความเอื่อม และความร้อนใจ อาจจะหาความสงบสุขและความเจริญก้าวหน้าในชีวิต นี้!ม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่ถอนตัวออกมาให้พันโดยเด็ดขาด ยิ่งกว่า นั้นยังจะล่งผลต่อเนื่องไปถึงภพชาติต่อๆไปอีกด้วย เพราะเป็นการ ทำ กรรมชั่วอบายมุขบางอย่างก็เป็นการทำผิดคืลโดยตรง ย่อมมีวิบากนื่ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม หรือกฎเหล็กนื่คงเส้นคงวาอย่างยิ่ง qirSmuri-) โรก viuij•uSu^ftsimw\" <iC£ คณสผบัคิขอฬุบาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

ส่งท้ายเรื่องสีล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนพุทธสาวกทั้งหลายMนโอวาท ปาติโมกข์ว่า ให้ละส่ว ทำ ดี และทำใจให้ผ่องใส อันดับแรกต้องละชั่วให้ ได้ก่อน เพราะตราบใดที่ยังทำชั่ว ก็คือยังไม่ได้ทำดี จิตใจย่อมเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส การรักษาคืลเป็นเรึ่องของการละชั่วทั้งทางกายและวาจา นั่นคือ เมื่อคนเราตั้งใจรักษาคืลให้บริสุทธบริบูรณ์แล้ว ย่อมจะหันมาทำความดี ได้อย่างจริงจัง ขณะเดียวกันความดีทุกอย่างที่เราทำย่อมสนับสนุนให้ จิตใจของเราผ่องใสในขณะทำสมาธิภาวนา ปัญญาอันเกิดจากจิตใจที่ ผ่องใสขณะทำสมาธิภาวนา ก็จะย้อนกลับมาส่งเสริมให้เราทำความดี ให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เป็นวงจรที่หมุนไปรอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่รู้จบ พร้อม กันนั้น ความก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรมก็จะทวีขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวน รอบของ คืล สมาธิ และปัญญา นี่คือเล้นทางแห่งการบรรลุธรรมของพระสัมมาล้มพุทธเจ้าและ เหล่าพระอรห้นตสาวกทั้งหลาย อุบาสักาแก้วทั้งหลายที่มีตถาคตโพธิสัทธาแล้ว ย่อมไม่ล้งเลที่จะ พากเพียรดำเนินตามเล้นทางนี่อย่างเอาดีวิตเป็นเดิมพน ชุบาสิกllA [13»1พญิง^'ฟ้นฟุรล}TOlโลก <;บับ \"เ?เน^#}B6TMJ\" Ctff คุณ{(พบร)ข0งอบาสิกาน/!') www.kalyanamitra.org

(ไม่ถือมงคลตื่นข่าว) ชุนใสิทไนทา ผ่}บ สั0 ท(น8นป้ฬ346บาสิกาน^ www.kalyanamitra.org

เรื่อง \"ตื่น... เต่าสักดสิทธึ้\" อรทย ะ น้องอ้อยจ๊ะ วันหยุด ๓ วันที่จะถึงนี้มีแผนจะไปเที่ยวไหน หรือยัง นฤมล ะ ยังค่ะ พี่แดงจะไปเที่ยวไหนหรือคะ อรทัย พี่อยากไปหมูบานเต่าน่ะ นฤมล อะไรนะ หมู่บ้านเต่า มีคนอยู่รึเปล่า อยู่ที่จังหวัดอะไรคะ อรทัย ยังไม่แนใจเลย กำ ลังหาข้อมูลอยู่ พี่เคยดูเรื่องหมู่บ้านเต่า จากทีวีช่องหนึ่ง ผู้คนในหมู่บ้านนี้ทั้งหมู่บ้านเลื่อมใสมูชา กราบไหว้เต่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกสูงสุด ถึงกับสร้างรูปเต่าขนาด มหึมาไว้เป็นที่เคารพ เหมือนที่บางจังหวัดสTไงพระพุทธรูป องค์ใหญ่มากๆไว้ให้ผู้คนกราบไหว้กันทั้งเมืองนั่นแหละ ยิ่งกว่านั้น ในหมู่บ้านนี้ยังมีเต่าเป็นๆ ทั้งตัวเล็กตัว น้อยคลานไปตามถนนบ้าง ตามทางเดินบ้างมากมาย ก็ไม่มี ใครทำร้ายนะ มืแต่คนหาฝักมาให้กันเพราะเชื่อว่าได้บุญ นฤมล ะ ทำ ไม พี่แดงถึงอยากไปหมู่บ้านนี้ล่ะคะ อรทัย ะ หมู่นี้ รู้ลึกว่าโชคไม่ค่อยดีเลย เผื่อว่าเต่าศักดสิทธื้จริง จะได้ขอพรให้ถูกใต้ดินบ้างไงล่ะ ฮิ! ฮิ! นฤมล ะ โน่น แฟนพี่แดงขับรถกลับมาแล้ว สวัสดีค่ะ พี่มาด หยุด ๓ วันนึ่ พี่มาดจะไปเที่ยว.. .(อรทย ฃยิบตา เป็นสัญญาณไมให้พูดเรื่องหมู่บ้านเต่า) สามารถ ะ ลูชินี่โบรขัวร์ชวนบวชอุบาสิกาแก้ว ๕แสนทุกอำ๓อทั่วไทย อ้อยสนใจไหม ลองอ่านดูซี ถ้าอ้อยจะไปบวช ก็ชวนพี่แดง ไปด้วยนะ อยากให้เขาเรียนรู้ธรรมะเสียบ้าง จะได้เลิกบ้า หวยใต้ดินซะที เสียเงินเลึยทองโดยเปล่าประโยชน์ V^ ^irnlrWh ฉฬ้J'เป็น mรน* (ร® มนทปีร สิก'เน^ www.kalyanamitra.org

อรทัย ะ ทีคุณเอาเงินไปใส่ขวดทุกวันๆ น่ะได้ประโยชน์เยอะใช่มั้ย สามารถ ะ ลืมเรื่องเก่าๆ เลืยทีเถอะ คุณก็เห็นนี่นา พอเข้าโครงการ บวชพระแสนรูปผมก็หักดิบ เลิกเหล้าทันที เดี๋ยวนี้ผมกิน ข้าวเย็นที่บ้านทุกวันไม่ได้ยืมเงินคุณใข้เลย ทำ เป็นไม่รู้ นฤมล ะ อ้อยขอเวลาคิดหน่อยนะคะ แต่พี่มาดต้องเชียร์พแดงด้วยข้ คะ เอ้อ...เอายังงี้ก็แล้วกัน ถ้าพี่แดงไปบวชจริง อ้อยก็จะไป ด้วยค่ะ ^Smum ผัน'ฟ็นชุ๘(jomi* (สัรร คุณสมป้ติปีรงอุบาสิกานก้ว www.kalyanamitra.org

ฅ. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว (เตื่อเรื่องกรรม) ไม่ถือมงคลดื่นข่าว คุณสมบัติประการที่ ๓ ของอุบาสิกาแก้ว คือ ไม่ถีอมงคลตื่นข่าว คือไม่{.ซื่อมงคลตื่นข่าว แตให้เซื่อเรื่องกรรม มงคล แปลว่า เหตุน้าความสุขความเจริญมาให้ คือสิ่งที่น้าโซคดี ความสวัสดี และความสุขมาให้ตามที่ปรารถนา มงคลมี ๒ อย่าง คือ ๑. มงคลทางโลก คือสิ่งที่เป็นวัตถุซึ่งชาวโลก ถือว่าเป็นมงคลได้แก่ สิ่งของ สัตว์ และต้นไม้บางชนิด เช่น มงคลแฝด {ใช้สำหรับสวม คืรษะบ่าวสาวในพิธีรดนํ้า) ของขลัง ช้างเผือก ใบเงินใบทอง (ไม้พุ่มชนิดหนึ่งนิยมใช้1นการมงคลใบเงินมีพึ้นใบสีเฃียวขอบขาว บางชนิดมีพื้นใบสิเขียวกลางใบสีขาว ส่วนใบทอง ก็คือใบเงินที่มี พื้นใบสิเขียว แต่กลางใบสิเหลือง) นอกจากนี้ย้งมีตัวอักษร (บางคนมีความคิดว่าอักษรบางตัว เป็นมงคล บางตัวเป็นอัปมงคล ตังที่เรียกว่ากาลกิณี (กา-ละ-กิ-ณี) หรือเสนียดจัญไร ไม่ยอมให้ ปรากฏในซื่อของตน แล้วปรับเปลี่ยน เอาตัวที่คิดว่าเป็นมงคล มาแทน)กาลเวลาหรือฤกษ์ยามอีกด้วย ๒. มงคลทางธรรม คือมงคลที่เป็นข้อปฏิบัติ บุคคลต้องทำต้อง ปฏิบัติให้ได้จริงจึงจะเป็นมงคลต่อผู้ปฏิบัติมี ๓๘ ประการ เช่น ไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต การบำเพ็ญทาน การประพฤติธรรม ความกตัญญ เป็นต้น quT^num tfafwiSj^i^uriflaroulsn airu'ฟ้ dltn รุณฟิมบพิ®0ง0บาสิกานrh www.kalyanamitra.org

มงคลตื่นข่าว เป็นคนละเรื่องกับมงคลทางโลก และมงคลทาง ธรรมดังกล่าวแล้ว มงคลตื่นข่าว เป็นความเชื่อเรื่องการดลบันดาลของผู้วิเศษ ล้ตว์ดิรัจฉานบางประ๓ท หรืออิทธิฤทธปาฏิหาริย์จากวัตถุต่างๆ บุคคลที่เชื่อมงคลตื่นข่าว ก็เพราะไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัย ไม่เชื่อเรื่องกรรม คือหลักการทำดีได้ดี ทำ ชั่วได้ชื่ว การเชื่อมงคลตื่นข่าว จัดเป็นวิบัติของอุบาสกอุบาสิกาอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เกิดความงมงายไร้สาระ ปงบอกว่าไม่มีตถาคตโพธิสัทธา จึงไม่รู้หสักในการครองชีวิต ไม่รู้หสักในการสั่งสมบุญ จิตใจถูก ครอบงำด้วยอำนาจกิเลส ยังผลให้มีความคิดเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิ คิดผิด พูดผิด ทำ ผิด คือทำชั่วอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากตนจะเป็นผู้ก่อป้ญหาเดือด ร้อนให้แก่ตนเอง ให้คนอื่น และสังคมส่วนรวมในชาตินี้แล้ว ยังจะเป็น ผู้ถือถุญแจไวิไขประตูนรกให้เปิดร้บตนในชาติหน้าอีกด้วย เรื่องการถือมงคลตื่นข่าว ในประเทศไทยนั้นมีตลอดมาทุกยุค ทุกสมัย เช่น พากันไปกราบไหว้เพื่อขอโชคลาภจากงูเหลือมที่ขดตัวอยู่ รอบจอมปลวก เชื่อว่าสัตว์พิการบางชนิดเป็นสิริมงคล เช่น เต่า ๒ หัว จิ้งจก ๒ หาง วัว ๕ ขา ฯลฯ ผู้คนบางหมู่เหล่าก็พากันไปขัดหรือฝน กระพี้ต้นไมIหญ'บางชนิดเพื่อหาเลขเด็ดไปแทงหวย เป็นต้น การถือมงคลตื่นข่าว เป็นความเชื่ออย่างงมงาย ไร้เหตุผล ขาดปัญญา ด้งนั้นอุบาสิกาแก้ว จะต้องไม่ถือมงคลตื่นข่าวอย่างเด็ดขาด ชุฆาสิกาผฑ้ ยอพเญ็งพุ้นํ■เร้น^?!ล!ทใมโทกftifu■ฟ้น <?(£ คุณสมบสิชรงอุบาสิกาแกร www.kalyanamitra.org

(เชื่อเรื่องกรรม) แบพิเพพ้ 1;»>!1ร3พุ้พ่'เร้นฟุทิรรรไlilsn 6พ้1'■ป้นn«wn»- ๕๕ คุณรมบัเธรง&บา(เกานฬ้ www.kalyanamitra.org

เรื่อง ะ เมาส์ กับ เมาส์ ขจร ะ สวัสดีคร้บ แม่ ขอโทษครับที่มารบกวนตอนแม่นั่งสมาธิ ขจี ะ ไม่เป็นไรจ้ะ ฝันดีเหรอ ตื่นตั้งแต่ยังไม่ดี ๕ ขจร ะ ผมตื่นเต้น จนนอนไม่ค่อยหลับครับ ที่มีคนแอบส่งข่าวดี มาบอก ขจี ะ ข่าวดีเรื่องอะไรจ๊ะ ทำ ไมต้องแอบส่งต้วยล่ะ ขจร ะ ผมไต้เกียรตินิยมอันดับ ๑ คร้บ ขจี ะ จริงเหรอ โอ, แม่ดีใจมาก เห็นไหมล่ะ พอลูกเลิกไปเที่ยว กับเพื่อนๆ ผลการเรียนของลูกก็ดีฃึ้นเหรอนปาฏิหาริย์ ขจร ะ ขอบพระคุณแม่มากครีบ ถ้าผมเชื่อฟังแม่ทุกๆ เรื่อง ผมก็ จะไม่ต้องทำอะไรผิดๆ เลย ขจี ะ ลืมไปเถอะ เรื่องร้ายๆ น่ะ หลวงพ่อที่วัดท่านบอกให้ดีดอดีต ที่ไม่ดีทิ้งไปให้หมด แล้วสรีางแต่กรรมดีเรื่อยไป เออนี่จร, แม่ถามอะไรหน่อย 'คนเราตายแล้วไปไหนจ๊ะ' ขจร ะ ไม่รู้ครับ เคยไต้ยิน คุณย่าพูดว่า 'ไปที่ชอบที่ชอบ' ผมฟัง แล้วก็งงๆ เพราะเห็นแต่เขาเอาศพไปเผา คนจีนก็เอาไปฝัง เคยดูใน web ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นพวกธิเบต เอาไปให้แร้ง กิน โอ้โฮ แม่, ดูแล้วบอกไม่ถูก ขนลุกไปทั้งตัว โดนแร้งทิ้ง เนื้อไปหมดแล้ว จะมีปัญญาไปไหน ขจี ะ ร่างกายมันไมมีแรงไปไหนแล้วแหละจ้ะแต่จีด หรือ วิญญาณ ^มันออกจากร่างที่เหมีนเน่า หรือบ้านที่ผุพังไปหาที่อยู่ใหม่ ขจร ะ อยู่ที่ไหนครีบ ขจี ะ ถ้าไม่สุคติภพ ก็ต้องเป็นทุคติภพ ขจร ะ แม่ว่าอะไรนะ ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย ทาufe ftuu•ป้ay ^{นสมUntBjSUาสิกานสั'} www.kalyanamitra.org

ขจี ะ เอ จร,ขนาดได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ แล้ว เฌ่ถามอะไร พูด อะไร ก็ไม่รู้ชักอย่างเดียว ขจร ะ ก็แม่ไม่ถามเรื่องที่ผมุรู้นคร้บผมว่าในโลกนี้มีความรู้มากมาย คงไม่มีใครรู!ปทุกเรื่อง ทุกสาขาหรอกคร้บ ลองถามเรื่อง อินเตอร์เน็ตชัคร้บ ผมจะตอบให้แม่ชื่นใจ ขจี ะ อยากถามอะไร ก็ลองว่ามาชี ขจร ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมขอถามแม่ง่ายๆ ว่า mouse (เมาส์) คืออะไร ขจี ะ คำ แต่ละคำไม่ว่าภาษาอะไรทั้งนั้น ถ้าอยู่เดี่ยวๆ ก็มีความ หมายมากมาย แต่ถ้ามีบริบท (ข้อความประกอบ) ก็จะมี ความหมายเพียงอย่างเดียวโดยเฉพาะเจาะจง ถ้าถามมา แบบนี้ mouse (เมาส์) ก็แปลว่า หา5^จ้ะ ไม่ต้องห้วเราะเยาะ แม่ ขจร ะ ถ้างั้นผมขอเปลี่ยนเป็น mouse (เมาส์) ซึ่งเป็นอุปกรถ! คอมพิวเตอร์ คืออะไรคร้บ ขจิ ะ อิอ,mouse(เมาส์) อันนั้นก็คืออุปกรณ์ควบคุมให้เคอร์เชอร์ เคลี่อนที่บนจอคอมพิวเตอร์น่ะชี ขจร ะ ยอดเลย (ยก ๒ นี้วห้วแม่มีอ) อย่างนี้เรียกว่า สมา^รณ์ พร้อมด้วยความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมใช่ไหมครับ ขจี ะ ขนาดไปบวชอุบาสิกาแก้วเพียง ๗-๘ วัน เท่านั้นนะนี่ ถ้า บวชเป็นพรรษา จะได้ความรู้ทางธรรมขนาดไหน ขจร ะ เอ๊ะ เฟกำลังพูดถึงอะไรครับ ขจี ะ ก็อยากให้จรบวชในช่วงเข้าพรรษาที่จะถึง'แะชี,...นะจ๊ะ เพี่อ ลังสมบุญได้เปิดประตูสวรรค์ให้ตัวเองและพ่อแม่(ขจรเงียบ อยูในอิริยาบถของการตัดสินใจ) quiSmom นอ«ท1())ง^า^น1^ฟิ»11ท»โ»ก ผ่/น'ป้น^liitittni' คุทเสมบติของชุบาสิกานกว www.kalyanamitra.org

เรื่อง ะ ทางสว่าง หรือทางมืด มาลี : งานศพวันนี้ มีทั้งปีติและเศร้าโศก ประชา ะ งั้นเหรอ แขกเยอะมั้ย เสียดายจัง มาลี ประชา ะ สัตว์โลกล้วนมีกรรมเป็นของตัว ถึงเราจะเศร้าโศกแค่ไหน ยังไงก็ไม่สามารถช่วยได้ นอกจากทำใจนิ่งๆ สั่งสมบุญแล้ว แผ่เมตตาให้ บัวคำ ะ ก่อนที่คุณป้ามะลิจะเสียชีวิตน่ะ หใ^เห็นแกไปถวาย ไทยธรรมกับมีอพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เต็มรถ ๖ ล้อ เลย นะคะ ผ้าไตรก็หลายลิบฝ็น ยารักษาโรคก็หลายกล่องใหญ่ๆ นํ้าผลไม้ก็นับเป็นร้อยสังใหญ่ๆ แบงค์ก็เต็มบุงทองใบเบ้อเร่อ แถมยังถวายโฉนดที่ดินอีกร้อยกว่าไร่ด้วยนะคะ ทุดห้อน ะ หลานคุณป้าเล่าว่า คุณป้าปลื้มมากที่ได้รับพรจากพระเดช พระคุณหลวงพ่อพอกสับถึงบ้านก็รีบอาบนํ้าแต่งชุดขาว แล้ว นั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ ตอนเย็นก็ไม่กินอะไรเลย กว่าจะ เข้านอนก็หลังเที่ยงคืนแล้ว ครั้นรุ่งขึ้น ทุกคนผิดสังเกตที่ คุณป้าไม่ออกจากห้องนอนพอ ๑๐โมง จึงงัดประตูห้องเข้าไป ก็พบว่าคุณป้านอนอยู่อย่างสงบ ตัวเย็น เพราะเลิกหายใจ มาลี : คุณป้าคงไม่ได้รู้เรื่องลูกชายเลยชีนะ เพราะตายเกิอบ พร้อมกัน บัวคำ :ไม่เลยค่ะ หลานคุณป้าเล่าว่า วันที่คุณป้าไปถวายไทยธรรม คุณชุซัยลูกชายคุณป้าเขายังอยู่ที่ภูเก็ต พอรุ่งขึ้นเพื่อนของ เขาก็โทรตัพทุมาบอกที่บ้านว่าคุณชูชัยขับรถชนต้นไม้เพราะ เมา ตายคาที่ ประชา ะ กรรมมันชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาจะต้องไปอยู่ที่ไหน อย่างนี้ ท่านเรียกว่า มาสว่าง ไปมีด พุดห้อน ะ หมายความว่าอย่างไรคะ . อุนาสิกานทว น่าส์นฬุลร11ป้รโ1ฬบ\"เ51นชุฬ'JUMW\" (iK« คุณฝ็มปัสิของอุบาสิกานกว www.kalyanamitra.org

ประชา ะ มาสว่าง ก็หมายถึง เกิดมาเป็นลูกเศรษฐีน่ะชี แต่ประพฤติ ตัวเป็นเพลย์บอยมาตลอด ถึงกับตายโหง ก็เรียกว่า ไปมืด มาลี : ถ้ายังงั้น ป้ามะลิ ก็ มามืด ไปสว่าง น่ะซี เพราะแกเกิดมา ยากจนมาก แต่มาแต่งงานกับแฟนรวย ก็เลยกลายเป็นเศรษฐี แถมตัวเศรษฐียั3อายุสันเสิยอีก ประชา ะ ใช่แล้ว คุณป้ามะลิแก มามืดไปสว่าง เพราะแกตั้งใจ ทำ ทาน รักษาสืล ทำ ภาวนา มาตั้งแต่แฟนตายแล้ว เอ้อ, นึกออก แล้วแหละ แฟนคุณป้า ก็เมาแล้วขับรถ มีอุบัติเหตุที่ภูเก็ต เหมีอนกัน แต่ไปตายโรงพยาบาล มาลี ะ อ๋อ, ยังงี้ใช่มั้ย ที่พระทำนว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ ประชา ะ ก็คงจะใช่นะ คนที่มีกรรมคล้ายๆ กัน ก็จะมาเกิดเป็นพ่อ แม่ลูกหรีอญาติกัน บัวคำ ะ นี่ถ้าเขัยเขาตั้งใจสังสมบุญเหมือนคุณป้าไม่ฃี้เหล้าเมายาเขา ก็คงจะเป็นแบบ มาสว่าง ไปสว่าง ชีนะ ประชา ะ ก็เขาคงมีกรรมเหมือนพ่อ จึงมาเกิดเป็นพ่อลูกกัน แล้วก็ ตายแบบเดียวกัน พุดบัอน ะ เรื่องกรรมนี่น่าสนใจนะ ถ้าเข้าใจเรื่องกรรม คนเราก็จะ ตั้งใจรักษาดีลให้บริสุทธยิ่งขึ้นนะ จริงมั้ย มาลี ะ จะมีไหมหนอ คนที่มามืด ไปมืด มาสว่าง ไปสว่าง น่ะ ประชา ะ คนยากคนจนส่วนมากไงล่ะ มีแนวโน้มจะเป็นแบบมามืดไป มืด เพราะไม่รู้ หริอไม่งั้นก็ไม่มีโอกาสสังสมบุญกศล แค่อยู่ ในโลกนี้ ก็ลำ บากยากเข็ญเหมือนตกนรกแล้ว พวกมาสว่าง ไปสว่าง สมัยนี้อาจจะหายาก เพราะคนไม่ค่อยปฏิบัติธรรม พูดฃํ[อน ะ ได้มาบวชพระหริอบวชอุบาสิกาแก้วก็คงจะไปสว่างกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาอย่างไรก็ตาม ประชา ะ มีเรื่องราวในพระไตรปิฎกหลายเรื่องนะ ที่คนถึอดีล ๘ แค่ วันครื่งวัน ยังได้!ปเกิดบนสวรรค์ ^ อุ!ภสิกาพาT ยอ»พ!รงผู้«า^น1^สืล1ร!มโลก ฉป๋บ\"ฟ็นรุชฟ้Jซทรน\" คุณสมบัติของอุบาสิกานfb www.kalyanamitra.org

เชื่อเรื่องกรรม คุณสมบัติประการที่ ๓ ของอุบาสิกาแก้วอีกอย่างหนึ่งก็คึอ เร่อ เรื่องกรรม คำ ว่า กรรม ในพระพุทธศาสนาหมายถึงการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่ประกอบด้วยเจตนา คือจงใจทำ ถ้าเป็นไปในทางดี เรียกว่า \"กรรมดี\"มีผลดี ถ้าเป็นไปในทางชั่ว เรียกว่า \"กรรมชั่ว\" มีผลชั่ว อย่างไร ก็ตาม การกระทำบางอย่าง แมีไม่มีเจตนา เช่น การล้อเล่นก้นเพื่อ ความสนุกสนาน ก็อาจเกิดผลชั่วแก่ผู้กระทำได้ ด้งนั้นอุบาสิกาแก้วทั้ง หลายจึงต้องระมัดระวังในเรื่องการกระทำทั้งกาย และวาจา อยู่เสมอ ห้าม เผลอสติอย่างเด็ดขาด กฎแห่งกรรม สำ หรับเรื่อง ผลของกรรมดี กับ กรรมชั่ว ของคนเรานั้นมี กฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว คงเส้นคงวาไม่มีผู้ใดหรีอผู้วิเศษใดๆ สามารถ ลบล้างแก้!ขเปลี่ยนแปลงได้อีกทั้งไม่มีใครรอดพ้นจากกฎเกณฑ์นั้!ด้เลย ด้วยเหตุนี้เรื่องผลของกรรมจึงถูกเรียกว่า กฎแห่งกรรม และโดยเหตุที่ กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมที่สุด โดยไม'ต้องมีการตีความใดๆ ทั้งสิน ทำ น จึงเรียกกฎนี้อีกชื่อหนึ่งว่า กฎเหล็ก สาระสำคัญของกฎแห่งกรรม หรีอ กฎเหล็ก ก็คือ ทำ ดีต้องได้รับ ผลดีจริง ทำ ชั่วต้องไต้รับผลชั่วจริง ด้งธรรมภาษิต ว่า \"บุรุษทำกรรมใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ทำ กรรมดีย่อมไต้รับผลดี ผู้ทำ กรรมชั่วย่อมไต้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมไต้รับผลเช่นนั้น\" ธุนารกานrh งยู่ขาร้นฬร็ลพมโรๆ ■เรนชุร<ทฃทพ ๖อ คุรนสมบ้ติปี0ง8บาสิกาแก้ร www.kalyanamitra.org

เกณฑ์การตัดสินกรรมดีกรรมชั่ว เกณฑ์การตัดสินกรรมดี มีชื่อทางธรรมว่า กุศลกรรมบถ ๑0 เกณฑ์การตัดสินกรรมชื่ว มีชื่อทางธรรมว่า อกุศลกรรมบถ ๑0 กุศลกรรมบถ ๑0 ประกอบด้วย เกณฑ์การทำกรรมดี ๓ ทาง คือ ๑. กรรมดีทางกาย ได้แก่การกระทำใดๆ ทางกาย ที่เว้นขาดจาก การประพฤติผิดคืล ๓ ข้อแรก ในคืล ๕ได้แก่ ๑.๑ เจตนาเว้นขาดจากการเบียดเบียนและการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติปาตา เวรมณี) ๑.๒ เจตนาเว้นขาดจากการถือเอาของที่เซามิได้ให้มาเป็นของตน (อทินนาทานา เวรมณี) ๑.๓ เจตนาเว้นขาดจากการประพฤติผิดทางเพศ(กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี) ๒. กรรมดีหางวาจา ได้แก่การไม่ทำผิดคืลข้อ ๔ ในคืล ๕ ซึ่งแปง ออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๒.๑ เจตนาเว้นขาดจากการาNดเท็จ (3^สาวาทา เวรมณี) ๒.๒เจตนาเว้นขาดจากการพูดส่อเสียด(ปิสุณาย วาจาย เวรมณี) ๒.๓ เจตนาเว้นขาดจากการพูดคำหยาบ (ผรุสาย วาจาย เวรมณี) ๒.๔เจตนาเว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปา เวรมณี) ชุนาสิ๓แพ้ นฟุรรทโรก «J'J ■เ!เนสฟ่[วยทพ\" คุณสมฟ้ดีข0งอุฆาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

ถ. กรรมดีทางใจ ได้แก่ความคิดที่สุจริต อันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด การพูดและการกระทำที่สุจริต แบ่งออกเป็น ๓ ประการ ๓.๑ ความไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้สิงของของผู้อื่น {อนภิชฌา) ๓.๒ ความไม่คิดพยาบาทจองเวรผู้ใด (อพยาบาท) ๓.๓มีดวามเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องโลกและความเป็นไปของ ข้วิตตามที่เป็นจริง (สัมมาทิฎฐิ) อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประกอบด้วย เกณฑ์ตัดสินกรรมข้ว ๓ ทาง คือ ๑. กรรมชั่วทางกาย หรีอ กายทุจริต ได้แก่การประพฤติผิดคืล ๓ ข้อ แรกในคิล ๕ ๑.๑ เจตนาทำการเบียดเบียน และปลดปลงชีวิต (ปาณาติบาต) ๑.๒ เจตนาเอาของที่เขามิได้ให้มาเป็นของตน(อทินนาทาน) ๑.๓ เจตนาประพฤติผิดทางเพศ (กาเมสุมิจฉาจาร) ๒. กรรมชั่วทางวาจา หรือ วจีทุจริต ได้แก่การประพฤติผิดคืล ข้อ ๔ ชั่งแปงออกเป็น ๔ ประ๓ท คือ ๒.๑ เจตนาพูดเท็จ(มสาวาท) ๒.๒เจตนาพูดส่อเสียด เพี่อทำให้คนแตกแยกกัน {ปีสุณาวาจา) ๒.๓ เจตนาพูดคำหยาบ (ผรุสวาจา) ๒.๔เจตนานินทา {สัมผัปปลาปะ) ธุบ!สิกาแก้ว ยรกพญิรผู้นำส์นฟุรทรววมโรก ftuu\"ฟ้ttชุrfwim\" ๖is คุณสมเบดิของอุ!ทสิทาแก้ว www.kalyanamitra.org

ฅ. กรรมชั่วทางใจ ได้แก่ความคิดทุจริต อันเป็นเหตุให้เกิดการ กระทำทุจริต หรือทำชั่ว เป็นลำดับต่อไป แบ่งออกเป็น ๓ บ่ระการ ๓.๑ เพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น {อภิชฌา) คือมักได้ คิดโลภ ๓.๒มีจิตคิดพยาบาทจองเวรผู้อื่น(พยาบาท) ๓.๓ มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องโลก และความเป็นไบ่ของชีวิต (มิจฉาทิฎฐิ)จนเกิดเป็นนิสัย และสันดานเลวทราม นอกจากอกศลกรรมบถ ๑0 แล้ว อบายมุข ๖ ประการชั่งใต้ กล่าวมาแล้วนั้น ก็สามารถไข้เป็นเกณฑ์ตัดสินกรรมชั่วไต้ หมายความ ว่า ผู้ที่เข้าไบ่เกี่ยวข้องกับอบายมุขแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะ อยู่ในฐานะผู้ใช้บริการ ผู้ขายบริการหรือผู้บ่ระกอบการล้วนมีเจตนา ทำ กรรมชั่วทั้งสิน สำ หรับเรื่องกฎแห่งกรรม สิงที่อุบาสิกาแก้วต้องตระหนักให้มาก ก็คือ ทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำของคนเท ล้วนตกอยู่ใต้ กฎแห่งกรรม เราคิดชั่ว ก็เพทะบ่ล่อยให้กิเลสมีอำนาจเหนือจิตใจเท เราคิดดี ก็เพราะมีสติควบคุมกิเลสไม่ให้ออกฤทธื้ได้ เพียงแค่คิดชั่ว เทก็เรื่มได้บาบ่แล้ว ถ้าพูดชั่ว ทำ ชั่ว ตามความ คิดนัน เทกได้บาปเตม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่คิดดี เทก็เรื่มได้บุญแล้ว ถ้าพูดดี ทำ ดี ตามความคิดนั้น เราก็ได้บุญเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อุบ!สิกาแกว ยอรเพญ่งม้น่ฟ้น'!;เรล โลก ovfu \"iSwpJrttnm\" ๖ส! คุณสม!นพ็ชองอุบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

ถ้าคิดดี พูดดี ทำดี เป็นนิสัย ก็สามารถปิดประตูนรก เปิดประตู สวรรค์ ให้กับตัวเองในชาตินี้ ได้อย่างแน่นอน การให้ผลของกรรม มีผู้คนไม่น้อยชอบพูดกันว่า \"ทำดีได้ดีมีที่ไหนหำชั่วได้ดีมีถมไป\" คนที่พูดเช่นนี้ก็เพราะยังสงสัยหรือไม่เชื่อกฎแห่งกรรม เนื่องจาก เห็นคนที่ทำชั่วยังลอยหน้าลอยตาสุขสบาย มียศ มีตำ แหน่งใหญ่โต มีอำ นาจ มั่งคั่งรารวย อยู่ในสังคม ทั้งนี้ก็เพราะคนเราโดยทั่วไปย่อมทำ ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว ปนกันไป ผลกรรมหรือเรืยกว่าวิบากกรรม ประ๓ทไหนแรงกว่าก็ออกผลก่อน วิบากกรรมที่ยังไม่ได้โอกาสออกผล ก็ยังรอคิวอยู่ ถ้ายังไม่ได้โอกาสออกผลในชาตินี้ ก็จะต้องรอคิวใปถึง ชาติหน้า หรือชาติต่อๆ ไป กาลเวลาแห่งการให้ผลของกรรม พระพูทธศาสนาสอนว่า กาลเวลาแห่งการให้ผลของกรรมมี ๓ ระยะ คือ ๑. เนชาติปัจจบัน ๒. ในชาติถัดไป ๓. ในชาติต่อๆ ไปไม่มีกำหนด จนกว่าจะดับกิเลส ไม่มี เบญจขันธ์เหลือ อุ!ภรกานm ยอ รกftUi'uJuqtihtimH\" ๖ ftณสมห้ตของ^บารกาน/เว www.kalyanamitra.org

แรงกรรม พระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสว่า \"ไม่มีกำลังใดเสมอด้วยกำลังกรรม\" เมื่อถึงคราวกรรมจะออกผล ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว ย่อมไม่มี กำ ลังไดๆ ด้านทานได้ แม้จะต้านทานก็ต้านทานไม่อยู่ เพราะแรงแห่ง กรรมเหนือกว่า สำ หร้บแรงกรรมชั่วนั้นจะหนืไปอยู่ที่ไดก็ไม่พ้นด้งพุทธ พจน์ว่า \"คนที่ทำบาปไว้จะหนีไปอยู่กลางอากาศก็ตาม กลางมหาสมุทร ก็ตามหรือเข้าไปอยู่ในปองภูเขาก็ตาม ย่อมไม่พ้นจากการให้ผลของบาป ประเทศ(สถานที่) ที่เขาไปอยู่แล้ว พ้นจากบาปนั้นไม่มี\" แรงกรรมหนักเบาไม่เท่ากัน ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ต่างมีกำลังไนการออกผลต่างกัน ไนพระพุทธศาสนาจัดเรียงแรงกรรมจากหนักไปหาเบา ตามลำดับ ดังนี้ ๑. กรรมหนัก {ครุกรรม \"ครุ-กรรม) ฝ่ายชั่ว คือ อนันตริยกรรม ๕ ได้แก่ ๑)ฆ่าแม่(มาตุฆาต) ๒)ฆ่าพ่อ(ปิตุฆาติ)๓)ฆ่าพระ อรหันต์ (อรหันตฆาต)๙)ทำ ไห้พระกายพระพุทธเจ้าห้อเลือด (โลหิตุปบาท) ๕)ทำ ไห้สงฆ์แตกแยก(ลังฆ๓ท) ฝ่ายดี คือ การบรรลุฌาน อภิญญา หรือ อรหัตมรรค-ผล ๒. กรรมที่ทำจนเคยข้น (อาจิณณกรรม -อา-จิณ-ณะ-กรรม) คือ กรรมที่ทำเสมอๆ ทำ มาก ทำ เป็นประจำ มีแรงกรรมเบากว่า 9บา{|กา๙ก่ เใan ผ่ผั ■ป้พ)•เพทพ' ๖๕ คุ{แสมนติ ง^บาสิกานกั') www.kalyanamitra.org

กรรมประ๓ทที่ ๑ จึงเรียกว่า พหุลกรรม อย่างไรก็ตาม กรรม ชนิดนี้เป็นกรรมที่มีกำลังสมํ่าเสมอ กรรมประ๓ทนี้ ทั้งฝ่ายชั่วและฝ่ายดี จะกลายเป็นนิลัย อุปนิลัยของบุคคลตลอดชีวิต หรีอข้ามชาติ อุปนิลัยของมนุษย์ จะดีหรีอเลวขึ้นอยู่กับกรรมชนิดนี้ ถ. กรรมที่ทำตอนใกล้ตาย(อาลันนกรรม -อา-ลัน-นะ-กรรม)กรรม นี้แม้จะมีกำลังน้อย แต่ก็จะให้ผลก่อนกรรม ๒ ชนิดแรก ทั้งนี้ เพราะจิตหน่วงเหนี่ยวเอากรรมนี้!ว!นขณะจุติ(เคลื่อนจากภพเก่า) ไปเกิดในภาพใหม่ {ปฏิสนธิ) ท่านเปรียบกรรมนี้เหมือนรถยนต์คันหน้าที่กำลังติดไฟแดง พอไฟเขียวปรากฏขึ้นรถยนต์คันหน้านี้ย่อมแล่นออกก่อนคันอื่นๆ แม้จะมีกำลังน้อยก็ตาม เพราะเหตุที่กรรมนี้มีกำลังไม่แรง เมื่อให้ผลแล้วก็มักหมด กำ ลัง กรรมอื่นที่มีกำลังมากกว่าจึงวิ่งออกหน้า (กรรมที่มีกำลัง สมํ่าเสมอก็คือ กรรมชนิดที่ ๒ อาจิณณกรรม) ด้วยเหตุนี้ ก่อนตาย ท่านจึงสอนให้ระลึกถึงกรรมดี เพื่อ จิตจะได้หน่วงเอาความดีไว้ จะได้ปฏิสนธิในกำเนิดดี อย่างน้อย ก็ระยะหนี่ง ถ้าจิตไปหน่วงเหนี่ยวเอากรรมชั่วไว้ ย่อมต้อง ปฏิสนธิในกำเนิดชั่ว เซ่นเกิดเป็นลัตว์ดิรัจฉาน ก็ยากที่จะได้ มาเกิดในสุคติภูมิ ๔. กรรมสักแต่ว่าทำ (กต้ตตากรรม ■กะ-ต้ต-ตา-กรรม) หมายถึง กรรมที่ทำโดยมิได้เจตนา มีผลเบาที่สุด จะให้ผลก็ต่อเมื่อกรรม อื่นๆ หมดแรงจะให้ผลอีกแล้ว ชุนาสิกiiA tiDffvisyjพุ้น่าฟ้นาjสิ 0น้บ วนพพ\" ๖๖ คุณฝ็มบ้ติ®องอุยาสิกาuAl www.kalyanamitra.org

เหตุที่จัดกรรมนี้เข้าเป็นกรรมอย่างหนึ่งก็เพราะ การ กระทำโดยไม่เจตนาบางอย่าง มีผลเป็นทุกข์ หรือสุข แก่ผู้อื่นได้ เหมีอนกัน เซ่นเราโยนเปลีอกกล้วยทิ้งบนทางเท้า โดยไม่เจตนา จะใหใครมาเหยียบ แต่ถ้ามีดนมาเหยียบแล้วลื่นหกล้ม เขาย่อม เจ็บปวด นั่นคือเขาเดือดร้อนเป็นทุกข์ เพราะกรรมชั่วของเรา การให้ผลตามหน้าที่ของกรรม ในพระพุทธศาสนา ได้มีการจำแนกหน้าที่ของกรรมออกเป็น ๔ ประเภท แต่ละประ๓ทมีหน้าที่โดยเฉพาะ ไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของ กรรมประ๓ทอื่น ด้งรายละเอียดต่อไปนี้ ๑. กรรมนำไปเกิด(ชนกกรรม -ชะ-นก-กรรม)กรรมประ๓ทนี้มีหน้า ที่นำ สัตว์ที่จุติ (ตาย) จากภพหนึ่งไปเกิด (ปฏิสนธิ) ในภพใหม่ กรรมนี้เปรียบเหมีอนมารดา^ห้กำเนิดทารก บุคคลจะเกิดในที่ ดีหรือเลวก็ด้วยอานุภาพของกรรมนี้ พอให้เกิดแล้วกรรมนี้ก็ หมดหน้าที่ อานุภาพของกรรมนี้จะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับ กรรมที่บุคคลทำไว้ก่อนละโลกนั่นเอง ๒. กรรมผู้ช่วยเหลือ {อุปถัมภกกรรม-อุ-ปะ-ก้ม-ภะ-กะ-กรรม) กรรมประเภทนี้เปรืยบเหมือนพี่เลี้ยงนางนม ถ้าได้กำเนิดดี กรรมนี้จะช่วยส่งเสรมให้ดียิ่งขึ้น ถ้าได้กำเนิดชั่ว กรรมนี้จะช่วย สนับสนุนไปทางชั่ว รวมความว่า เหมือนพี่เลี้ยงดีและชั่ว ตัวอย่าง เช่นบางคนได้กำเนิดมาดี ถ้าชาตินี้ทำดีอีก กรรมดีของเขาใน ปัจจุบันก็จะเป็นอุปถัมภกกรรม ช่วยสนับให้เขาดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก ยอmt นำ^ฬุฟิaimม่[สก(ผ้น'นิ)นชุฟhinmj' ๖nl ตุ{นสฬ่Jติขรงอยาสิกานก้') www.kalyanamitra.org

ในทางกลับกัน บางคนเกิดมาในกำเนิดไม่ดีเพราะ ชนกกรรมไม่ดี ถ้าชาตินี้ทำไม่ดีซํ้าอีก กรรมไม่ดีของเขาใน ปัจจุบันก็จะเป็นอุปถัมภกกรรม ฉุดให้เขาตกตํ่าลงไปอีก ฅ. กรรมบีบคั้น (อุปปีฬกกรรม -อุ-ปะ-ปี-ฬะ-กะ-กรรม) กรรมประ๓ทนี้ตรงข้ามกับประ๓ทที่ ๒ ตัวอย่าง เช่น คนที่เกิด มาตี เพราะชนกกรรมดี แต่เมื่อเกิดมาแล้วทำแต่กรรมชั่ว กรรม ชั่วก็จะฉุดเขาให้ตํ่าลง กรรมนี้เรียก กรรมบีบคั้น บางคนได้ กำ เนิดไม่ดี แต่เมื่อเกิดมาแล้ว หมั่นลังสมแต่กรรมดี กรรมดี ของเขานั้นจะบีบคั้นความไม่ดีเก่าให้หมดไป กรรมใหม่ที่ดีของ เขาจะโดดเด่นขึ้นมา จากเรื่อง กรรมบีบคั้น นี้ย่อมให้ข้อคิดว่า คนเราจะเกิดมา มีฐานะสูงส่งหรีอตํ่าต้อยก็ตาม จะต้องหมั่นลังสมแต่กรรมดี สถานเดียว มิฉะนั้นชีวิตก็จะมีแต่ความทุกข์และความเดีอดร้อน ยากที่จะพบความสุขกายสบายใจ ๔. กรรมต้ดรอน (อุปฆาตกกรรม ■อุ-ปะ-ฆาต-ตะ-กะ-กรรม) กรรมประเภทนี้เป็นกรรมตัดรอนได้ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วเป็น กรรมหนัก ตัวอย่างทางฝ่ายชั่ว เช่น บุคคลที่ทำอนันตริยกรรม ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะเคยทำ หรีอตั้งใจทำกรรมดีเทำไร เขาก็ จะตกนรกอย่างแน่นอน เพราะกรรมดีของเขาจะถูกตัดรอนหมด ตัวอย่างทางฝ่ายดี เช่น [รูได้ฌานสมาบัติ ซึ่งถือว่าเป็น อนันตริยกรรมฝ่ายกศล ตราบใดที่ฌานยังไม่เสีอม ความชั่ว อย่างอื่นไม่อาจทำลายเขาได้ เพราะฌานกรรมนั้นตัดรอนวิบาก \"น)ttชุฟ่ท่ยทท!\" ด{นสม1jlเขอ'Jfiบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

แห่งกรรมชั่วเสียสิน ครั้นละโลกเขาย่อมไปบังเกิดในพรหมโลก อย่างแน่นอน สูงขึ้นไปกว่านั้น หากเขาได้ฆรรลุอรหัตผลก่อนที่จะละโลก อรหัตผลนั้น ย่อมตัดรอนวิบากของกรรมอื่นเสียสิน เมื่อพระ อรหันต์นั้นละเบญจขันธ์น่พพานแล้ว กรรมชั่วทุกอย่างที่เดยทำ มาก็หมดโอกาสติดตาม คือเป็นอโหสิกรรมไปหมด นี่คือ ลักษณะของอุปฆาตตกกรรม ถ้าพูดแบบโลกๆให้เข้าใจง่าย ก็คือเศรษฐีที่กลายเป็นยาจก หรึอคนขอทานที่กลายเป็นเศรษฐีนั่นเอง กรรมทำให้คนแตกต่างกัน คนเราแต่ละคนในโลกนี้ ล้วนแตกต่างกันทั้งสิ้น ทั้งด้านรูปร่างหน้าตา ความคืดจิตใจ สติปัญญาความรู้ความสามารถ ฐานะความเป็นอยู่ แตกต่างกันตั้งแต่ถีอกำเนิดมา แม้ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ในชาตินี้ ทั้งๆ ที่ บางคนมีความรู้ความสามารถสูง ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานอย่างหนัก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่มั่งคั่งรํ่ารวยเท่าบางคนที่ทำงานใน หน้าที่เหมือนงานอดิเรก นอกจากนี้ ฝาแฝดที่ใครๆ มองว่ามีรูปร่าง หน้าตาเหมือนกันมาก แต่ก็มืคุณสมบัติหรือลักษณะนิสัยแตกต่างกัน ถามว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราแตกต่างกัน พระพุทธศาสนามืคำตอบคำถามนี้อย่างขัดเจนว่า กรรม สิงเดียว เท่านั้นที่เป็นเหตุปัจจัย แห่งความแตกต่างระหว่างผู้คนดังพุทธพจน์ว่า \"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม ยูนใสิกแเทว irafw^งพุ้ท่ร้นฟฝ็รรr.»(โลก aijij-ฟ้นฟุแทพ ๖!รเ' คุณรมบ้ติฃองอุบาสิกาแกัว www.kalyanamitra.org

มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้\" จากพุทธพจน์นี้มีสาระสำคัญที่แยกพิจารณาได้ ๖ ประการ ดังนี้ ๑. {สัตว์ทั้งหลาย) มีกรรมเป็นของตน คำ ว่า กรรมในบริบทนี้หมาย ถึง ภัณฑะ คือ สิงของเครื่องใช้ ดังนั้นสารระสำคัญในข้อ ๑ ก็คือ คนเราแต่ละชีวิตจะมี ความเป็นอยู่อย่างไร เจริญรุ่งเรือง หรือตํ่าด้อย สะดวกสบายหรือ ฝืดเคือง ดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับกรรมคือการกระทำของตนเอง ไม่มี[^ดเข้ามาเกี่ยวช้อง ๒. (สัตว์ทั้งหลาย) เป็นทายาทแห่งกรรม คำ ว่า ทายาท หมายถึง ผู้สืบสกุล หรือผู้ร้บมรดก ดังนั้นสาระสำคัญของข้อ ๒ ก็คือ คนเราแต่ละคนต้อง เป็นผู้ร้บมรดกการกระทำของตนเอง นั่นคือ ถ้าเราชั่งสมบุญกุศลไว้ เราก็จะประสบแต่ความสุข ถ้าเราชั่งสมบาปไว้เราก็จะต้องได้รับ โทษของบาปที่ทำไว้ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง จะเห็นว่าสาระ สำ คัญในข้อ ๑ กับข้อ ๒ เหมีอนกัน ท. (สัตว์ทั้งหลาย) มีกรรมเป็นกำเนิด สาระสำคัญในข้อ ๓ นี้ก็คือ คนเราจะถือกำเนิดอย่างไร ในตระกูลสูงหรือตา มีรูปร่างแข็งแรงสมบุรณ์หรือพิกลพิการ เป็น ชายหรือหญิง ฉลาดหรือโง่ ความจำดีหรือขึ้หลงขึ้ลืม ฯลฯ ล้วน ขึ้นอยู่กับผลกรรม อันเนื่องมาจากการทำทาน รักษาคืล และทำ ภาวนาของเราในอดีตชาติ อุบาสิกานทว10»«ญิงพุiSvnjSsmJjlfifiwJU'iSuพุfcanw\" nio ดุทฬมบตขอฬุ!!าสิกาแกว www.kalyanamitra.org

๔. (สัตว์ทั้งหลาย) มึกรรมเป็นเผ่าพันธ์ คำ ว่า เผ่าพันธ์ ในบริบทนี้ หมายถึง ญาติ ดังนั้นสาระสำคัญในข้อ ๔ นี้ ก็คึอ คนที่มีกรรม คล้ายคลึงกันจะมาเกิดเป็นเครือญาติกันเป็นพ่อแม่ลูกกันนอกจาก นี้คนที่เคยจองเวรกันก็อาจจะมาเกิดในครอบครัวเดียวกัน และ ล้างผลาญกันต่อไปอีก ๔. (สัตว์ทั้งหลาย) มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สาระสำคัญในข้อนี้ คล้ายคลึงกับข้อ ๑ และ ๒ กล่าวคือ สภาพความเป็นไปของคนเราจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับ การกระทำของตนเป็นสำคัญ ๖. กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประรรตได้ สาระสำคัญในฃ้อนี้ก็คือเหตุปัจจัย หรือตัวการสำคัญที่ ทำ ให้คนเราแตกต่างกันไม่ว่าด้านใด ก็คือกรรมที่เราทำไว้เอง เซ่น คนที่เกิดมาเป็นคนโรคจิตก็คืออดีตขึ้เมาเก่า คนที่อายุยน ก็เพราะไม่มีกรรมปาณาติบาต หรือเป็นหมอรักษาคนไข้ด้วย ความเมตตาสูง หรือชอบถวายยารักษาโรคแก่พระสงฆ์ ฯลฯ มิได้ มีสิงใดบันดาลให้เป็นไปเซ่นนั้น สาระสำคัญโดยสรุปของพุทธพจน์นี้ก็คือ กรรมดีย่อมมี ผลดีเสมอ กรรมชั่วย่อมมีผลชั่วเสมอ ในทุกๆ เรี่อง ทุกๆ กรณี ไม่มีข้อยกเว้น ด้งนั้น สิงที่อุบาสิกาแก้วจะต้องตระหนักอยู่ทุกลมหายใจ เข้าออกก็คึอ สังสมแต่กรรมดีโดย การทำทาน การรักษาคืล การทำภาวนา ตลอดชีวิต ไม่เผลอสติไปทำกรรมชั่วใดๆ ทั้งสิน อุบาสิกาแพ้ ญำ ผู้นำ ร้นฟุรรรรร>jL'ก รบ้บ'เรนพุพ้พแบ\" ๗® คุณรมฟ้คิขอ3อุบาสิกาแก้จ www.kalyanamitra.org

ชีวิตก็จะมีความสงบสุขยิ่งๆ ขึ้น ทั้งจะเป็นโอกาสให้การปฏิบัติ ธรรมก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ประโยชน์ของการเรียนรู้เรื่องกรรม ความเข้าใจเรื่องกรรม จะก่อให้เกิดประโยชน์ ในการครองชีวิต ของคนเราอย่างกว้างขวาง ดังนี้ ๑. รู้ว่าทุกค!ฌีใจ ดังที่กล่าวว่า กรรม หมายถึงการกระทำโดยเจตนา คือตั้งใจโดยใจเป็นผู้สัง คนเราจึงแสดงพฤติกรรมออกมาทางกาย และวาจา ๒. รู้ว่าตายแล้วไม่สูญ หมายความว่า เมื่อตายไป สิงที่สูญสลายคือ ร่างกาย ส่วนใจหรือจิตหรือวิญญาณจะไปแสวงหาภพใหม่ โดย มีชนกกรรมนำไปเกิด ถ้าใจนั้นยังไม่หมดกิเลส ก็จะเวียนเกิด เวียนตายอยู่ในสังสารวัฏเรื่อยไปไม่มีที่สินสุด ท. รู้ว่าไม่มีใครสามารถเลี่ยงวิบากกรรมชั่วที่ตนทำไวได้ ผู้ที่ทำ ผิด กฎหมาย ยังอาจหาวิธีหนีรอดพ้นโทษได้ แต่ไม่มีใครเลี่ยงวิบาก แห่งกรรมชั่วของตนได้เลย ดังพุทธพจน์ที่ยกมากล่าวไวีในหัวข้อ แรงกรรม แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธสาวกบางองค์ ที่บรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ยังไม่สามารถเลี่ยงวิบากกรรมชั่วแต่ ครั้งอดีตกาลได้ เรื่องบุพกรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏอยู่ใน พระไตรปีฎกมีอยู่หลายเรื่อง เซ่น ในครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์เกิด ในตระกูลคฤหบดี ประกอบอาชีพด้านเวชกรรม ครั้งหนึ่งได้ปรุง qinSmuft) รกฉบบ\"uhupAoim\" nils ดุณสมบ้ตขอฬุบาสิกาแภว www.kalyanamitra.org

ยารักษาบุตรเศรษฐีท่านหนึ่ง แต่เพราะเห็นแก่ลาภจากบุตร เศรษฐีและเศรษฐี จึงเกิดโลภอยากได้เงินเพิ่มขึ้นอีก จึงปรุงยา เพิ่มอีกหนึ่งขนาน เพิ่อท่าให้คนไข้อาเจียน ด้วยวิบากกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงปวยเป็นโรคลงโลหิต (ถ่ายเป็นโลหิต) ทุกๆ ชาติ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แฟ้,นภพชาติสุดท้ายก่อนปรินิพพานพระทุทธ องค์ก็ประชวรอย่างรุนแรง ลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต หลังจาก เสวยพระกระยาหารที่นายจุนทกัมมารบุตรถวาย ท่าให้สูญเสิย กำ ลังที่มีอยู่ดุจข้างแสนโกฏิเชือก ขณะเสด็จไปปรินิพพานที่เมือง กุสินารา สำ หริบเรื่องบุพกรรมของพระอรท้นตสาวกที่ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎก ก็มือยู่หลายองค์ เช่น พระมหาโมคคัลลานะ เรื่อง มือยู่ว่า ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระมหาโมคคัลลานะเกิดเป็น กุลบุตรของพ่อเฌ่ ซึ่งตาบอดทั้งคู่ ต่อมากุลบุตรน!ด้ทำอนันตริย กรรมโดยลวงพ่อแม่ตาบอดไปในปาใหญ่ แล้วทำเสียงเอะอะ เสมือนมืโจรมาชุ่มดักอยู่ พลางทุบตีพ่อเฌ่ตายทิ้งไ^นปา ตาม คำ ยุยงของภรรยาใจบาป ด้วยกรรมนี้กุลบุตรต้องไปทนทุกข์ ทรมานอยู่ในนรกหลายแสนปี ครั้นวิบากกรรมเบาบางได้มาเกิด เป็นมนุษย์ ก็ถูกทุบร่างจนละเอียดถึงตาย นับด้วยร้อยชาติ ครั้นในชาติสุดท้ายนี้ แม้เป็นพระอรหันต์แล้ว พวกเดียร- ถีย์ก็ยังว่าจ้างโจร ๕๐๐ คน ใหิไปฆ่าพระมหาโมคคัลลานะใน ตอนแรก เมื่อรู้ว่าโจรมาล้อมที่พักพระเถระก็ทะลุหลังคาเหาะหนิไป พวกโจรติดตามพระเถระอยู่เป็นเดือน ก็ยังท่างานไม่สำเร็จ ธุบาสิทแฟ้ว ยอพ!ญิงผู้นiSuijflลแรรมโรกฉปัช nlsn ดณสมบัติของ^บาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

ในที่สุดเพราะรู้ชัดถึงวิบากกรรมที่ตามมาสนอง พระเถระ จึงมิได้หลบเลี่ยง พวกโจรจึงจับพระเถระได้ แล้วทุบจนกระดูก ทั้งร่างแตกยับเยน แล้วเหวี่ยงไปที่พ่มไม้แห่งหนึ่งด้วยคิดว่าตาย แล้วจึงจากไป ด้วยฤทธิ้แห่งฌาน พระเถระจึงประสานกระดูกไห้ เข้าที่เดิมอย่างมั่นคง แล้วเหาะไปถวายบังคมลาพระล้มมา- ล้มพุทธเจ้า เพื่อเข้าปวินิพพาน ณ เมืองกาฬสิลา พระล้มมาล้มพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องนี้แก่เหล่าภกษุว่า \"ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ มรณภาพไม่สมควรแก่ อัตภาพนี้ (ชาตินี้) เท่านั้น แต่สมควรแท้แก่กรรมที่เธอทำไ^น กาลก่อน\" ๙. ทำ ให้เร่อมั่นในผลของกรรมดี คือเชื่อมั่นโดยไม่ลังเลว่า ถ้าทำกรรมดี จะมีผลดีทั้งโลกนี้และโลกหน้า คือมีชีวิตอย่าง เป็นสุขไนโลกนี้ ครั้นตายไปย่อมได้เสวยสุขไนโลกสวรรค์ อย่าง แน่นอน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ คือชีวิตนี้มีปัญหาอุปสรรค ก็เพราะมี วิบากกรรมชั่วในอดีตมาตัดรอนขณะที่ละโลกไม่ได้!ปสวรรค์ ต้อง ไปทุคติ ก็เพราะจิตไจเศร้าหมองเพราะสาเหตุหลายประการ ชื่ง แต่ละประการล้วนเนื่องมาจากกรรมชั่วที่เคยทำไว้ทั้งสิน ๔. รู้ว่าเรื่องของดีลมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชัดกับเรื่องของกรรม หมายความว่าเพราะเชื่อมั่นไนกฎแห่งกรรมแล้ว คนเราจึงจะ ตั้งไจรักษาคืลไห้บริสุทธสะอาดอยู่เสมอ ผู้ที่รักษาคืลได้บริสุทธ บริบูรณ์คือผู้ที่ไม่ได้ทำกรรมชั่วเลย ย่อมปัดนรก และเปิดสวรรค์ ไห้แก่ตนเองได้ qtnSrnum [rafmtyjyน่ กฉใAI ■ฟ้นชุขftossui\" ๗๔ คุณรมบัทิชBง8บาสิกานก้') www.kalyanamitra.org

ผู้ที่ทำ ทานมากๆ บ่อยๆ แต่ถ้าสืลไม่บริสุทธิ้ ก็มีโอกาสตก นรกได้ ผู้ที่สืลไม่บริสุทธ ก็ยากที่จะประสบความก้าวหน้าในการ ทำ ภาวนา ๖. ทำ ให้เร่อเรื่องนรก สวรรค์ ตลอดจน เชื่อว่าโลกนี้มีที่มา โลกหน้า มีที่ไป เข้าใจเรื่องสังสารวัฏ และเหตุให้บรรลุความพ้นทุกข์อย่าง แท้จริง ดังพุทธพจน์ว่า \"ผู้มีกรรมลามกย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นทางแห่ง สุคติย่อมไปสวรรค์ ผูไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน\" ๗. รู้จักออกแบบชีวิต ความรู้เรื่องกรรม ทำ ให้คนเรามั่นใจว่า การทำกรรมดีย่อมได้ผลดีจริงการทำกรรมชั่วย่อมได้ร้บ่ผลชั่วจริง จึงตั้งใจทำแต่กรรมดี เพื่อให้ชีวิตมีความสุขความเจริญทั้งในชาติ นี้และภพชาติต่อๆ ใบ่อีกด้วย โดยไม่มีผลแห่งกรรมชั่วเข้ามา ตัดรอนเลย เช่นเมื่อรู้ว่าอานิสงส์ของการทำทาน คือความมั่งคั่ง รื่ารวยก็ตั้งใจทำทานตลอดชีวิตรู้ว่าการเสพสุรายาเสพติดทั้งหลาย จะทำให้เป็นคนขาดสติในชาตินี้ และจะเก็ดเป็นคนบ้าปัญญา อ่อนในภพชาติต่อใบ่ ก็จะระมัดระวังตัวไม่เข้าใบ่เกี่ยวข้องกับ สุรายาเสพติดเลยไม่ว่าจะในฐานะ ผู้ผลิต ผู้จ์าหน่ายหรือผู้บริโภค นั่นคือเมื่องต้องการจะให้ทั้งชีวิตในโลกนี้และชีวิตในโลกหน้า เป็นอย่างไร ก็ต้องตั้งใจเลือกปฏิบัติตนโดยยึดหลักอานิสงส์ ของการปาเพ็ญกุศลและคุณความดีต่างๆ พร้อมทั้งวิบากแห่ง กรรมดีและกรรมชั่วเป็นเกณฑ์พิจารณา ชุบารท!แท บธพญิงผู้น่าร้น รฑมโ(เก นบ้บ fJSliflllijR?เองอบาสิกาแสัว www.kalyanamitra.org

อย่างไรก็ตาม แม้กฎแห่งกรรมจะเป็นกฎเหล็กที่ไม่เคย เปลี่ยนแปลงอีกทั้งไม่มีผู้มีอำนาจใดๆ มาเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทุก ครั้งที่เราบำเพ็ญบุญกุศลและคุณความดี ก็จำ เป็นต้องอธิษฐาน กำ กับอย่างรอบคอบด้วย มิฉะนั้นอำนาจกิเลสในจิตไของเราอาจ จะน้อมนำให้เรานำผลแห่งกรรมดีที่เราได้รับในภพชาติหน้า บางอย่างไปประกอบกิจกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากดีลธรรมได้ ตัวอย่างเใเน ในอดีตชาติ เราทำทานไว้มาก ในชาตินี้เราจึง มั่งคั่งรํ่ารวยมหาศาลแต่เพทะเหตุที่เรามิได้อธิษฐานในขณะทำทาน หรือธิษฐานไม่รอบคอบ ด้วยอำนาจความโลภและความหลง ในจิตใจเราเอง {ในชาติใหม่) อาจจะผลักดันให้เรานำทรัพย์ สมบัตินั้นไปใฟ้.นทางที่ผิดสืลธรรม เช่น เข้าไปเกี่ยวข้องกับ อบายมุขต่างๆ อาจจะประพฤติผิดในกาม หรืออาจจะนำทรัพย์ สินไปทำธุรกิจที่ผิดสืลธรรม เช่น สร้างโรงงานผลิตสุรา ผลิต อาวุธสงคราม สร้างปอนการพนัน ฯลฯ ธุรกิจดังกล่าวนี้ ย่อม สร้างความมั่งคั่งรํ่ารวยยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันกิเลสก็ห่อหุ้มจิตใจ ให้มืดบอดยิ่งขึ้นทำให้ขาดปัญญาไม่เว่าตนกำลังประกอบกรรมชั่ว ถึงขั้นต้องตกนรก นี่ดือตัวอย่างของการออกแบบชีวิตที่ขาดการ อธิษฐานอย่างรอบคอบ ๘. รู้จักวิธีบรรเทาบาปกรรม เพราะเหตุที่เกิดมาพร้อมกับอวิชชา หรือความไม่รู้ ตาม ความจริงทุกๆ เรื่อง คนเทแต่ละคนต่างก็สท้งบาปกรรมไวิไม่น้อย ในพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีวิธีล้างบาป ไม่มีผู้วิเศษใดมา ไถ่บาปให้ แต่ทว่ามีวิธีบรรเทาบาปกรรม ดังต่อไปนี้ qinftmurn ยอ?เหญ็.พุ รกพโบ\"ulu^ftofwi\" ราเ๖ ดุณรผบสิของอุบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

๑. เลิกคิดถึงหรือลืมการทำผิดพลาดในอดีตเสีย เพราะถ้ายัง หวนคิดถึงอยู่ ก็จะทำใา^จของเราเศร้าหมองไม่ผ่องใส ๒. เลิกทำบาปทุกชนิด ๓. ทำ บุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุ๑๐อยู่เป็นนิจซึ่งประกอบด้วย ๑) การให้(ทานมัย-ทาน-น.ะ-มัย) ๒) รักษาคิลและประพฤติดี (สีลมัย-คิล-ละ-มัย) ๓) เจริญภาวนา (ภาวนามัย-ภา-วะ-นา-มัย) ๔) ประพฤติอ่อนน้อม (อปจายนะมัย-อะ-ปะ-จา-ยะ-นะ- มัย) ๕} ช่วยขวนขวายร้บใช้(เวยยาวัจจมัย-ไวย-ยา-วัจ-จะ-มัย) ๖) แปงบุญให้ผู้อื่น(ปัตติทานมัย-ป้ต-ติ-ทา-นะ-มัย) ๗) ยินดีในการทำความดีของผู้อื่น(ปัตตานุโมทนามัย-ปัต- ตา-นุ-โม-ทะ-นา-มัย) ๘) การฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย-ธัม-มัส-สะ-วะ-นะ-มัย) ๙) แสดงธรรม (ธัมมเทศนามัย-ธัม-มะ-เท-สะ-นา-มัย) ๑๐) การทำความเห็นให้ตรง (ทิฏจุชุกัมม์-ทิฏ-จุ-ชุ-ก้มม์) ข้อนี้มีความหมายเหมือนก้บลัมมาทิฏฐิหรือเช้าใจถูกต้องเกี่ยว ก้บเรื่องโลกและชีวิตตามความเป็นจริงนั่นเอง ๔. หมั่นนึกถึงบุญปอยๆทั้งบุญที่เคยทำแล้ว และกำลังจะทำ เพื่อ ให้ใจเป็นบุญถุศลตลอดเวลา เมื่อเรานึกถึงบุญ ดวงบุญที่ สูนย์กลางกายของราก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ๕. ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย เมื่อเช้าถึงแล้วจะ ทำ ให้มืบุญใหญ่สามารถตัดรอนวิบากแห่งบาปกรรมได้ มากมายมหาศาล อุนาสิกาพ่ฑ้ ยอ*เทอุ่H oinj\"ฟ็นธุsSitMTw\" nlnl คุณสมบต็ขรงอุบาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

ส่งท้ายเรื่องกฎแห่งกรรม การศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่อุบาสิกาแก้ว อย่างมหาศาล เพราะจะสามารถรู้ซึ้งถึงคุณของกรรมดีและโทษของ กรรมชั่ว แล้วเลือกทำแต่กรรมดีเพียงอย่างเดียว ไม่ประมาทในการ ดำ เนินชีวิตด้วยการสร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้เราจะเป็นผู้ ฉลาดในการออกแบบชีวิตให้กับตนเอง เพื่อประโยชน์!นปัจจุบันชาติ และ ประโยชน์!นภพชาติต่อๆ ไป ดังนั้น หากทุกคนในโลกเชื่อกฎแห่งกรรม แล้วดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง ทำ แต่บุญ ไม่ทำบาป โลกนี้ก็จะ เป็นโลกแห่งสันติสุข เป็นสถานที่สร้างบุญบารมีของมนุษยชาติอย่าง แท้จริง โดยเหตุที่การศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมมีประโยชน์มาก อุบาสิกา แก้วทั้งหลายจึงควรหาทางศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยการไปฟังพระธรรมเทศนาที่วัด การสนทนาธรรมเพื่อแลกเปลี่ยน ความรู้กับกัลยาณมิตรหรือจากลี่อต่างๆทางธรรม การอ่านหนังลือธรรมะ ตลอดจนคัมภีร์พระทุทธศาสนาฯลฯ กium านโลก0น้น ยmu\" nlc^ ^{น{(มป้ท!343บาสิกไนทร www.kalyanamitra.org

1^ (ไม่แสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพุทธศาสนา และทำบุญในพระพุทธศาสนานี้) ร[ขา!เกานftj บร^าาะรง นา;}สืรธรรมใลก ฉบัฃ ■ฟ้าเชุ*เก่นMร«\" CTI®\" คพรมบทิขเแรุบาเกาแกว www.kalyanamitra.org

เรื่อง \"พระอริยบุคคล คือ ทักขิไณยบุคคล\" สายใจ ะ นมัสการค่ะพรุ่งนี้จะสอบแล้วโยมยังจำอะไรไม่ค่อยได้เลยค่ะ ขอความกรุณาพระอาจารย์ อธิบายหัวข้อที่ว่า \"ไม่แสวงหา ทักขิไณยบุคคลนอกพระพทธศาสนา\" ให้พวกเราฟังหน่อย นะคะ พระอาจารย์ะ อ๋อ, ก็ทักขิไณยบุคคลมีแต่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ถ้าไปแสวงหานอกพระพุทธศาสนา ก็ไม่มีทางได้พบ เหนื่อย เปล่า วลี : หมายความว่า ในศาสนาอื่นไม่มีทักขิไณยบุคคลใช่ไหมคะ เพราะอะไรคะ พระอาจารย์: เพราะไม่มีการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๙ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า ลัทธิอื่นว่างจากพระอริยบุคคลทั้ง ๔ประเภท เพราะ ไม่มีคำสอนเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ สายใจ ะ พระอาจารย์คะ พระอริยบุคคลกับทักฃิไณยบุคคลต่างถ้น ยังไงคะ พระอาจารย์ะ อ๋อ,อยู่ที่ความหมายของคำสัพท์น่ะคุณโยมทักขิไณยบุคคล น่ะ แปลว่าบุคคลผู้ควรร้บของทำบุญที่ทายกทายิกาถวายมา แต่พระอริยบุคคล แปลว่า บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ ซึ่ง แบ่งออกเป็น(£ระดับ คอ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระ อนาคามี และพระอรหันต์ ดังนั้น พระอริยบุคคลจึงเป็น ทักขิไณยบุคคล พูดยังงี้เข้าใจมั้ย กรรณิกา : เข้าใจชัดเจนค่ะ ถ้าเราทำบุญกับพระอริยบุคคลย่อมได้บุญ มากใช่มั้ยคะ พระอาจารย์: ถูกต้อง ยอmi 'uhuji^nn' c*0 บาสิกาน/)') www.kalyanamitra.org

ลีลาวดี ะ เราจะรู!ต้อย่างไรคะว่า พระภิกษุรูปใดเป็นพระอริยบุคคล ธุนิI รชุt) 9 สมัยนี้ยังมีพระอริยบุคคลมั้ยคะ พระราจารย์ะ เรื่องนี้พูดยากนะให้ยึดแนวคิดในเรื่องทำบุญอย่างนี้ก็แล้ว กันนะ ขอว่าเป็นข้อๆ คงจะเข้าใจง่าย คือ ๑. ถ้าเราตั้งใจทำบุญทำทานต้วยความบริสุทธใจ ใม่ว่าผู้รับ จะเป็นใคร เราก็ใต้บุญทั้งนั้น แต่แน่นอนว่าผลบุญย่อม มากน้อยแตกต่างกัน ๒. ถ้าทำบุญกับผู้ที่มีคืลบริสุทธิ้ย่อมใต้บุญมากกว่า การทำบุญกับผู้ทุคืล เพราะผู้ทุคืลใมใช่นาบุญ ๓. พระภิกษุที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๙ บริสุทธบริบุรณ์ ยิ่ง ปฏิบัติใต้มากรอบเท่าใด คุณํธรรมของท่านก็จะปรากฏให้ เห็นใต้ทางกายและวาจา พร้อมกันนั้นท่านก็ตั้งใจทำหน้าที่ เป็นกัลยาณมิตรชี้แนะให้ญาติโยมปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เป็น กิจวัตรอีกต้วย ถ้าเราทำบุญกับพระภิกษุประ๓ทนี้ เราก็ใต้บุญหลาย ต่อเลยนะ นึกออกมั้ย สายใจ ะ เข้าใจค่ะ ประการแรกก็คือ ท่านเป็นนาบุญเราก็ใต้บุญมาก ลีลาวดี ใปเที่ยวแสวงหาบุญนอกพระพุทธศาสนา ก็อาจจะใต้บาป มาตัดรอนบฌเก่าของเราอีกต้วย 9V กราบขอบพระคุณพระอาจารย์อยร'่างI สูงค่ะ พวกเรา ขอกราบลาใปปฏิบัติธรรมแล้วค่ะ อุบาสิกานท'5 ยอพ!ญํงผู้น่โส์น!^ftflITรมโลก ฬบ ๘® คุณสมบัติชรฟ้อบาสิกาแสัว www.kalyanamitra.org

๔. ไม่แสวงหาทักฃิไณยบุดคลนอกพุทธศาสนา คุณสมฆัติประการที่ ๔ของอุบาสิกาแก้วก็คือ ต้องไม่แสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพระพุทธศาสนา สิงแรกที่ต้องรู้คือ ทักขิไณย (ทัก-ซิ-ไณ-ยะ)บุคคล คือใคร หักขิไณยบุคคล หมายถึง ผู้ควรร้บของทำบุญที่ผู้ทำบุญถวาย ได้แก่พระอริยสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่บรรลุธรรมระดับพ้นโลกหรือ เรียกว่าโลกุตตรธรรม ๙พระอริยสงฆ์ที่บรรลุธรรมระดับต่างๆ ๘ระดับ จัดเป็นพระอริยบุคคล ๔ กลุ่ม ดังนี้ โลกตตรธรรม ๘ ระดับ ได้แก่ ๑. โสดาปัตติมรรค (เข้าถึงพระธรรมกายโสดาบันหยาบ) ๒. โสดาปัตติผล (เข้าถึงพระธรรมกายโสดาบันละเอียด) ๓. สกิทาคามิมรรค (เข้าถึงพระธรรมกายสกิทาคามีหยาบ) ๔. สกิทาคามีผล (เข้าถึงพระธรรมกายสกิทาคามีละเอียด) ๕. อนาคามิมรรค (เข้าถึงพระธรรมกายอนาคามีหยาบ) ๖. อนาคามิผล (เข้าถึงพระธรรมกายอนาคามีละเอียด) ๗. อรหัตมรรค (เข้าถึงพระธรรมกายอรหัตหยาบ) ๘. อรหัตผล (เข้าถึงพระธรรมกายอรหัตละเอียด) ^inamufetBwi^j^iwurifiaimnTfln 'ฟ็น c«เอ คุ{นรมนคิชรงรมาเกานทั) www.kalyanamitra.org

พระอริยบุคคล ๙ กลุ่ม ได้แก่ ๑. พระโสดาบัน พระอริยบุคลกลุ่มนี้สามารถกำจัดกิเลส ที่เรียกว่า สังโยชน์เบื้องตํ่า ให้หมดสินไปได้ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) ความ เห็นเป็นเหตุถือตัวตน {สักกายทิฏฐิ■■สัก-กา-ยะ-ทิฏ-ฐิ) ๒)ความ สังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) ๓) ความถือมั่นในศีลพรต คือข้อปฏิบัติ นอกพระทุทธศาสนา (สีสัพพตปรามาส-สี-สัพ-พะ-ตะ-ปรา-มาส) พระโสดาบันแปงออกเป็น ๓ กลุ่ม ตามระดับธรรม พระโสดาบัน กลุ่มแรก จะเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงครั้งเดียว กลุ่มที่ ๒ จะเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ๒-๓ ครั้ง ส่วนกลุ่มที่ ๓ จะเวียน มาเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ครั้ง ๒. พระสกทาคามี หรือสกิทาคามี พระอริยบุคคล กลุ่มนี้สามารถ กำ จัดกิเลส คือ สังโยชน์เบื้องตํ่า ๓ ประการได้หมดสิ้น และ สามารถทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง ฅ. พระอนาคามี พระอริยบุคคลกลุ่มนี้สามารถกำจัดกิเลสคือ สังโยชน์เบื้องตํ่าได้หมดสิ้น ๕ ประการ ได้แก่สังโยชน์เบื้องตํ่า ๓ ประการ ดังกล่าวในข้อ ๑ แล้ว และเพิ่มขึ้นอีก ๒ ประการ ซึ่งจัดเป็นข้อ ๔ และ ๕ ดังนี้ ๔)ความกำหนัดในกามคุณ(กาม ฉันทะ) ๕)จิตใจหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ(ปฏิฆะ) ๔. พระอรหันต์ พระอริยบุคคลกลุ่มนี้สามารถกำจัดกิเลสทั้ง สังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ประการ กบสังโยชน์เบื้องสูง ๕ประการ รวม เป็นสังโยชน์ ๑๐ ประการ ได้หมดสิ้นโดยเด็ดขาด quiSmum บพพญิงนุ้น่1ร««3รร™โลก aiiu•JhHjrfjDWw\" ๘6ท fJtJUfWjIaaoainSกาแกว www.kalyanamitra.org

การที่พระอริยบุคคลทั้ง ๔ กลุ่ม ต่างสามารถกำจัดกิเลสออกจากใจ ได้ก็เพราะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ด้วยความวิริยอุตสาหะ จึงเป็นผู้ บริสุทธทั้งกายและใจ ปริมาณแห่งความบริสุทธิ้ฃองท่านย่อมแตกต่าง กันไปตามระดับธรรมที่ท่านบรรลุ พระอริยบุคคลในกลุ่มพระอรหันต์ ย่อมบริสุท๓สุดเพราะท่านกำจัดกิเลสออกจากใจหมดสิ้นแล้ว พระอริยบุคคลเป็นนาบุญ คำ ว่า นาบุญ แปลว่า บุญที่ได้สั่งสมไว้ ดังนั้นเมื่อกล'าวว่า พระ อริยบุคคลเป็นนาบุญ ย่อมหมายความว่า ท่านเป็นผู้ที่สั่งสมบุญไว้มาก จึงสามารถกำจัดกิเลสออกจากใจได้มากไปตามลำดับ กล่าวอีกอย่าง หนึ่งก็คือ ยิ่งสั่งสมบุญไว้มาก ก็ยิ่งสามารถกำจัดกิเลสได้มาก จน กระทั่งหมดสิ้นไป ดังเช่น พระสัมมาส้ม'สุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ทั้งหลาย ความบริสุทธื๊ทางกาย วาจา ใจ ของคนเรา จะมีมากน้อยแค่ไหน ย่อมเป็นอัตราส่วนผกผันกับจำนวนกิเลสที่หลงเหลืออยู่ในใจของแต่ละคน กส่าวคือ ยิ่งมีกิเลสน้อยลง กาย วาจา ใจ ของคนเราก็ยิ่งบริสุทธื้มากขึ้น เช่น พระอนาคามี มีกิเลสเหลือน้อยกว่าพระโสดาบัน กาย วาจา ใจ ของ ท่าน จึงบริสุทธิ้มากกว่าพระโสดาบัน ส่วนพระอรหันตสัมมาส้มพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลายไม่มีกิเลสหลงเหลือเลย จึงมีความ บริสุทธยิ่งกว่าพระอริยบุคคลอีก ๓ กลุ่ม อย่างไรก็ตาม พระสัมมาส้ม พุทธเจ้าย่อมบริสุทธที่สุด พระองค์ทรงมีความบริสุทธื้กายวาจาใจ เหนือ พระอรหันตสาวกทั้งปวงก็เพราะทรงปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อสั่งสม บุญมาสุดแสนยาวนานยิ่งกว่าพุทธสาวกทั้งปวง ธุบาสิกาแก้ว ร้นทุSsBTnitsn ฬบ\"นิเนทรวผทม\" ดุณฝ็พบัตของอุบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

โดยสรุปก็คอ พระอริยบุคคลทั้งปวงเป็นนาบุญ เพราะสังสมบุญไว้ มากกว่าบุคคลอื่นๆ ทุกประเภท และเป็นทักขิไณยบุคคล เพราะเป็นผู้ ควรร้ปของทำบุญจากทายกหรือทายิกา การถวายทานแก่ทักขิไณยบุคคล ผู้ถวายย่อมได้ร้บอานิสงส์มาก พระอริยบุคคลมีเฉพาะในพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว่ในมหาปรินิพพานสูตรว่า \"ในธรรมวินัยที่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมมีสรณะที่ ๑...สมณะที่ ๒...สมณะที่ ฅ...สมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยนื๊มีอริย มรรคมีองค์ ๘ สมณะที่ ๑ (จึง) มีอยู่ในธรรมวินัยนี๊เท่านั้น สมณะ ที่ ๒...สมณะที่ n...สมณะที่ ๔ ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ลัทธิ อื่นว่างจากสมณะทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงถ้าภิกษุเหล่านี้เรนอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย\" สาระสำคัญของพระธรรมเทศนานี้ก็คือ ๑. พระอริยบุคคล ทั้ง ๔ ประ๓ท มีเฉพาะในสัทธิศาสนาที่มีคำ สอนเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ๒. คำ สอนเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็มีอยู่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ลัทธิศาสนาอื่นไม่มี ๓. พระอริยบุคคล เป็นผู้รู้ทั่วถึง คือรู้สัจธรรมต่างๆที่สำ คัญคืออริยสัจ ๔ ชึ่งมีเฉพาะแต่ในพระพุทธศาสนา ทักขิไณยบุคคลก็มีแต่ เฉพาะในพระพุทธศาสนา 1)1ท9ก'แฬ ย า^นijfcirmjiAn AUU *uhi8«^en»' («<£ คุณสม!บคิขรงอุบาสิกานทว www.kalyanamitra.org

๔. ตราบใดที่พระภิกชุทั้งหลายยังคงพากเพียรปฏิบัติตามอริยมรรค มีองค์ ๘โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย โดยสรุปก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นคำสอนที่ประเสริฐสุด พระภิกษุที่มุ่งมั่นคืกษาและปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมบรรลุความ หลุดพ้นคำ สอนอันประเสริฐสุดที่จะสรรสร้างบุคคลให้เป็นผู้ประเสริฐสุด หลุดพ้นจากสภาพนักโทษในคุกคือสังสารวัฏนี้ ก็มีอยู่เฉพาะใน พระพทธศาสนา ทักฃิไณยบุคคลก็มีอยู่แต่เฉพาะในพระพุทธศาสนา พระแทในพระพุทธสาสนาเป็นนาบุญ จากหัวข้อที่ผ่านมาเราได้ทราบแล้วว่าลัทธิศาสนาอื่นไม่มีอริยบุคคล คือ ไม่มีทักชิไณยบุคคล การเข้าไปถวายสิงของแก่บุคลากรในลัทธิ ศาสนาอื่นๆ อานิสงส์หรือผลบุญที่ผู้รับพึงได้จากการบำเพ็ญทานนั้น ก็ จะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตรงข้ามลับการถวายท่านแก่พระอริยบุคคลผู้ เป็นทักฃิไณยบุคคล ซึ่งผู้ถวายจะได้รับอานิสงส์มากมาย ดังนั้น อุบาสิกาแก้วจึงไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพระพุทธ ศาสนา ท่านองเดียวลับบุคคลที่มีเพชรแท้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องไป แสวงหาเพชรเทียมมาสะสมไว้ ในปัจจุบันนี้ เราไม่อาจทราบได้ว่า พระภิกษุรูปใดเป็นพระอริย บุคคล แต่ด้วยการใช้ปัญญาสังเกตพิจารณาการแสดงภูมิรู้ภูมิธรรม ลังสอนผู้คนของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งและสมณสารูป (ความประพฤติอัน สมควรของสมณะ) ของท่าน ตลอดจนผลของการที่เราปฏิบัติตามคำลัง สอนของท่าน เราก็พอจะทราบได้ว่าภิกษุรูปนั้นเป็น พระแท้ หรือไม่ อุ!ภรกานทว งพุ้ ลก ftuij■เ!เนอุ ๘๖ สณสมปัสิธสงอุบาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

๓ท่านเป็นพระแท้ ท่านจะเป็นอริยบุคคลหรือไม่ ย่อมไม่ใช่ปัญหา สำ คัญ แต่ความเป็นพระแท้ของท่านย่อมจะท่าให้ท่านมีคุณสมบัติเป็น นาบุญให้แก่อุบาสกอุบาสิกา ผู้ถวายทานแก่ท่านย่อมได้ริบอานิสงส์มาก กว่าการท่าทานกับบุคคลนอกพระพุทธศาสนา อานิสงส์ของปาฏิบุคลิกทาน ปาฏิบุคลิกทาน หมายถึง การให้ทานโดยเฉพาะเจาะจงผู้ริบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงว่าอานิสงส์ของทาน ซึ่งจะเกิด กับผู้ท่าทานนั้น ขึ้นอยู่กับสถานภาพของผู้รับทานเป็นสำคัญ ด้งมีราย ละเอียดต่อไปนี้ ๑. ผู้ให้ทานแก่สัตว์ดิรัจฉาน พึงหวังผลบุญได้ร้อยเท่า ๒. ผู้ให้ทานในปุถุชนผู้ทุสืล พึงหวังผลบุญได้พันเท่า ๓. ผู้ให้ทานในปุถุชนผู้มีสืล พึงหวังผลบุญได้แสนเท่า ๔. ผู้ให้ทานในบุคคลภายนอก (พระพุทธศาสนา) ผู้ปราศจาก ความกำหนัดในกาม พึงหวังผลบุญได้ แสนโกฏิเท่า ๕. ผู้ให้ทานในผู้ปฏิบัติเพื่อท่าโสดาบันปัตติผลให้แจ้งพึงหวัง ผลบุญ จะนับจะประมาณมิได้ จะปวยการกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อท่า สกาทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อท่าอนาคามิ ผลให้แจ้งในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรห้นต์ในปัจเจกสัมพุทธะ และ ในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชุบ'เสิกานก้ไ ยอรเพญํง^าร้นฬฺรรร-รใบโรก ฉบบ ๘ถเ คุณฝ็มบสิขBงอบาสิกาแถว www.kalyanamitra.org

จากเรื่องนี้ ย่อมจะเป็นข้อคิดสำหร้บอุบาสิกาแก้วทั้งหลายว่าควร จะทำทานกับใคร จึงจะได้ผลบุญมาก ควรจะทำทานกับบุคคลนอก พระพุทธศาสนาหรือไม่ อย่างไรก็ตามการทำทานเพื่อสงเคราะห์สัตว์ดิรัจฉาน สงเคราะห์ คนยากไร้ผู้ทุคิล สงเคราะห์เด็กกำพร้า ก็ไม่ควรละเลย เพราะแม้จะมี ผลบุญน้อย แต่ก็เป็นการช่วยแกัป้ญหาสังคมได้Iนระด้บหนึ่ง ธุบาสิก!เน'ท่ย0«ทญิงยู้นำ^*!JlBsraitanฉนันท!เนธุฟว่ขทๆม\" Ced คุณสมปัติของอุบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

{ปาเพ็ญบุญกุศลในพุทธศาสนา) ชุบารเniim บ SLL \"ฟ้นสุพ้ยรฑม\" ๘๙ คุ{$43พบ้ตชร1อบาสิmแกว www.kalyanamitra.org

๔ บำ เพ็ญบุญกุศลในพุทธศาสนา อุบาสิกาแก้วพึงทำบุญในพระพุทธศาสนา บุญคืออะไร ตามหลักพระพุทธศาสนา บุญ คือ พลังงานชนิดหนึ่งซึ่ง บริสุทธื้มาก ไม่ว่าจะมีปริมาณมาก น้อย หรือปานกลาง ก็จะน้าความสุข มาให้ ไม่มีโทษเจือปน พลังงานบุญจะดลบันดาลให้เกิดความสุข ความ เจริญ ความสมหวัง แก'เจ้าของบุญ ทั้งในชาติปัจจุบัน และภพชาติเบื้อง หน้า เซ่น เกิดในตระกูลสูง สุขภาพแข็งแรง รูปร่างหน้าตาดี มีทร้พย์สิน เงินทอง มีปัญญา มีอำ นาจมาก อายุยืน ฯลฯ เนื่องจากบุญเป็นพลังงานที่มีฤทธิ้มีอานุภาพมาก จึงสามารถ ควบคุมกิเลสที่ปีบคั้นจิตใจให้เศร้าหมอง มีความเห็นผิด คิดชั่วร้าย ให้ หยุดออกฤทธได้ บังผลให็ใจบริสุทธิ้ผ่องใสได้อย่างอัศจรรย์ เซ่น บุญ จากการทำทาน สามารถควบคุมกิเลสอันเกิดจากความโลภ บุญจากการ รักษาคืล สามารถควบคุมกิเลสอันเกิดจากความโกรธ และบุญจากการ ทำ ภาวนา สามารถควบคุมกิเลสอันเกิดจากความหลง ทำ ให็ใจบริสุทธ ขึ้นได้ในระดับหนึ่ง ถ้าคนเราสร้างบุญอย่างต่อเนื่อง กิเลสก็จะถูก ควบคุมตลอดไป พลังงานบุญนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เห็นได้ ด้วยตาทิพย์(ทิพยจักษุ) และตาของพระธรรมกาย (ธรรมจักษุ) อีกทั้งรู้ และสัมผัสได้ด้วยใจ เช่น เมื่อเราทำบุญหรือนึกถึงบุญแล้ว จะรู้สิกปีติ เป็นสุขสดชื่น หน้าตาผ่องใส ในยามที่เราคิดเรื่องบุญ พุดเรื่องบุญ และ ทำ บุญ พลังงานบุญจะเกิดขึ้นที่ศนย์กลางกายของเรา เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ จะถูกเก็บรักษาเอาไว้ใน\"ดวงบุญ\"ซึ่งมีลักษณะเป็นดวงกลมใสสว่างสถิต อยู่ ณ ศูนย์กลางกายเซ่นกัน รุ!ภรกานกๆ พฟุดิ •ฟ้นรุฟ่ท่ยพพ\" fjwสมบต็ข058บาสิกานกว www.kalyanamitra.org

บุญจะเกิดขึ้นกับใจของผู้กระทำ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็มีคุณสมบัติ เฉพาะตัวอย่างมากมาย เช่น (ก) เป็นของเฉพาะตน ต้องทำด้วยตนเอง (ข) ติดตามตัวเราไปได้ถึงภพภูมิใหม่ {ค) ไม่มีใครสามารถแย่งหรือ ขโมยไปได้ (ง) เป็นเครื่องป้องกันภัยในวัฏสงสาร เช่นช่วยไม่ให้ตกนรก {จ) สามารถส่งผ่านไปได้ไกล ๆ แม้ข้ามภพภูมิ เช่นการอุทิศบุญให้แก่ ผู้ที่อยูในสุคติภูมิ (ฉ) ทำ ให้เกิดมนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพาน สมบัติ เป็นต้น บุญกิริยาวัตธุ ถ บุญกิริยาวัตธุ คือ ทางมาแห่งบุญในพระพทธศาสนา โดยย่อมี ๓ วธี คือ การทำทาน (ทานมัย) การรักษาคืล (สีลมัย) และการเจริญ ภาวนา {ภาวนามัย) และขยายออกได้ละเอียดเป็น ๑๐ วิธี มีชื่อว่าบุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ชื่งได้อธิบายไวิในหัวข้อรู้จักวิธีบรรเทากรรม ในเรื่อง กรรมแล้ว ในที่นี้จะขออธิบายขยายความเฉพาะบุญกิริยาวัตถุ ๓ ดังนี้ ๑. ทาน แปลว่า การให้ ถ้าเป็นการให้เพี่อขจัดกิเลสออกไปจากใจ ของผู้ให้ เรานิยมเรียกว่า ทำ บุญ แต่ถ้าให้เพี่อมุ่งสงเคราะห์ผู้ริบ ด้วยความสงสาร เช่น ให้สิงของกับคนยากจน เรานิยมเรียกว่า ทำ ทาน สำ หรับสิงของที่ควรแก่การให้ เรียกว่า ทานวัตถุ หรือ ไทยทาน หรือ ไทยธรรม คือของที่ให้แล้วไม่เกิดโทษต่อผู้รับมี ด้วยกัน ๑๐ อย่าง คือ(๑)อาหาร {๒)นํ้าและเครื่องดื่ม (๓)ผ้า และเครื่องนุ่งห่ม(๔)ยานพาหนะรวมถึงปัจจัยค่าเดินทาง(๕)มาลัย ถูนาสิกแA ยอ*พญิ.•ผู้นใรนฟรร!!7»โรทaim ■ฟ้ในJ«<๒เทพ sf® คุณรมบ้ตของรบาสิก')แก้ว www.kalyanamitra.org

ดอกไม้และเครื่อง\\[ชา(๖)ของหอม เช่นธูปและกำยาน(๗)เครื่อง ลูบไล้ เซ่นสบู่ (๘) ที่นอน (๙) ที่อยู่อาล้ยรวมถึงเสนาสนะและ เครื่องใช้(๑๐)แสงสว่าง เช่นหลอดไฟ เทียน ตะเกยง ไฟฉาย ทานที่เราให้นั้นจะบังเกิดเป็นผลบุญมากน้อยเพียงใด ขึ้น อยู่กับความบริสุทธื้ ๓ ประการ คือ (ก) ว้ตธุบริสุทธื้หมายถึงสิ่งของที่ไห้นั้นต้องได้มาโดยความสุจริต เช่น เงินบริจาคให้วัด หากเงินนั้นเป็นเงินที่เราได้มาจากการ ประกอบอาชีพสุจริต ไม่ได้คดโกงใคร ก็เรียกได้ว่าเงินนั้น บริสุทธ เมื่อนำมาทำบุญแล้วย่อมได้บุญมาก แต่ถ้าได้มา จากการประกอบอาชีพทุจริต หรีอการค้าขายที่ผิดคืลธรรม ชีงมีชื่อว่า มิจฉาวณิชชา ๕ อย่าง ได้แกํ(๑)ค้าอาวุธ(๒)ค้า มนุษย์(๓) ค้าสัตว์เพื่อฆ่าเอาเนื้อ (๔) ค้าสุราและยาเสพติด (๕)ค้ายาพิษทุกชนิด เงินทำบุญนั้นก็ไม่บริสุทธ (ข) เจตนาบริสุทธ หมายถึงความตั้งใจในการให้นั้น มุ่งเพื่อ ชำ ระกิเลสหริอปรารถนาในสิ่งดีงามเป็นหลัก เช่น การช่วย งานพระพทธศาสนา การทำความสะอาดวัด เพราะหวังที่จะ ช่วยรักษาสมบัติพระศาสนาไม่ให้ทรุดโทรม ก็ถึอว่าเป็น เจตนาบริสุทธ แต่ถ้าทำเพราะหวังอยากได้หน้า อยากให้คน อื่นชื่นชม กรณีนื้ถือว่าเจตนาไม่บริสุทธิ้ ถึงจะได้บุญแต่ก็ได้ น้อยลง นอกจากนื้เรื่องของเจตนาบริสุทธยังแปงออกเป็น๓ช่วง เวลา ได้แก่ ก่อนให้ทาน ขณะให้ทาน และหลังจากให้ทาน ไปแล้ว กล่าวคือ ก่อนให้ทานก็ให้นึกปลื้มใจถึงผลแห่งทาน อุ!ภสิทใแ!« ย ทญิงยู้นำร้ฟเารรรรฟ้รทaiju•■เป็นชุtiiLMiW ๙๒ คุณสมบ้ตขอ^ธุบาสิกาแสัว www.kalyanamitra.org

ที่จะเกิดขึ้น ขณะให้ก็มีจิตใจเบิกบานให้ด้วยความยินดไม่ เสียดายทรัพย์ และหลังจากให้ก็ตามตรึกระลึกนึกถึงบุญ อยู่ตลอดจนกระทั่งหมดอายุขัย ถ้าเป็นเช่นนี้ การทำบุญก็ จะมีอานิสงส์ ทำ ให้ผู้นั้นเป็นผู้มีทรัพย์มากตั้งแต่ยังเยาว์วัย แม้เมื่อเติบโตถึงคราวต้องสร้างฐานะก็สามารถทำได้สำเร็จ โดยง่าย กิจการก็เจริญรุ่งเรึอง และยังสามารถรักษาทรัพย์ สมบัตินั้นไว์ได้จนกระทั่งหมดอายุขัยอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรรักษาใจของเราให้ผ่องใส ปลื้มปีติใน การทำบุญอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าบางครั้งการทำทานลังสม บุญจะมีความไม่สะดวกด้วยสาเหตุนานาประการ ก็ควร ประคองรักษาความผ่องใสของใจให้ได้ตลอด เพื่อว่าบุญ ของเราจะได้เต็มเปียมบริบูรณ!ม่ขาดตกบกพร่องไปอย่าง ก็รักษาสีล เจริญภาวนา เป็นอย่างดี ส่วนพระภิกษุสงฆ์ก็ สำ รวมในสืล เป็นผู้ประพฤติธรรม ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ถือว่า ทั้ง ผู้ให้และผู้รับมีความบริสุทธ เมื่อถวายทานแล้ว ผู้1ห้ย่อม ได้บุญมาก ในทางตรงกันข้าม หากเราเองไม่รักษาดีลให้ บริสุทธื้ และยังให้ทานกับคนที่มีความบริสุทธน้อย เช่นคน ที'ไม่มีดีล ย่อมได้บุญน้อยกว่า แม้ว่าจำนวนไทยธรรมที่เรา เตรียมมานั้นจะเทำกันก็ตาม กล่าวได้ว่าถ้าบุคคลไม่บริสุทธ ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้หรึอผู้รับ หรือทั้ง ๒ ฝ่ายย่อมเป็นเหตุให้ ได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย 01ภสิmum ณพทtjงผู้น่ไร้นฟุ ftmj ■ฟ้นชุข ©\"CD คุณสมปัSiเองอุบาสิกานสัว www.kalyanamitra.org

ทานเรนบุญอย่างหนึ่งเรียกว่า ทานฟ้ย คือ บุญที่เกิด จากการให้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจกันไว่ได้ ด้งพทธพจน์ว่า 'ฟ้ห้ย'อมเปีนที่เก\" และเป็นบ่อเกิดแห่งบารมีที่เรียกว่า ทานบารมี ๒. คืล แบ่ลว่า ปกติ หรีอ สงบเย็น หมายถึงการงดเว้นจากการ บ่ระพฤติผิดทางกาย และทางวาจา เป็นการควบคุมกายและ วาจาให้สงบเรียบร้อย คืลมี ๕ บ่ระเภท คือ ๑. คืล ๕ สำ หร้บ ทุกคน คืล ๘ สำ หร้บ่ฝ็กตนให้ยิ่งเนไบ่ คืล ๑๐ สำ หร้บ่สามเณร คืล ๒๒๗ สำ หรับพระภิกชุ และ คืล ๓๑๑ สำ หรับภิกษุณี รายละเอียดเรื่องการรักษาคืลได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องคุณสมบัติ ประการที่ ๒ สืล จัดเป็นบุญอย่างหนึ่ง เรียกว่า สิลมัย คือบุญที่เกิด จากการรักษาคืล ถ. ภาวนา แบ่ลว่าการเจรีญ การอบรม การทำให้มี ให้เป็นชื้น หมาย ถึงการทำใจให้สงบและทำปัญญาให้เกิดชื้น ด้วยการฝึกฝน อบรมจิตตามแบบอย่างที่ทำนผู้ร้กำหนดเอาไว้ ซึ่งเรียกชื่อต่าง กันออกไป เช่นการบำเพ็ญกรรมฐานการทำสมาธิการเจริญภาวนา การเจริญจิตตภาวนา เป็นด้น ในทางปฏิบัตินั้น การทำภาวนาแบ่งออกเป็น ๒ บ่ระ๓ท ใหญ่ ๆ คือ สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา(๑} สมถภาวนา คือ การอบรมใจให้สงบ ทำ ให้มีสติ เรียกว่า จิตตภาวนา หรือ สมาธิ ภาวนาก็ได้ (๒) วิปัสสนาภาวนา คือการอบรมใจให้เกิดปัญญา เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน หรือปัญญาภาวนาก็ได้ ภาวนา เป็นบุญอย่างหนึ่ง เรียกว่า ภาวนามัย คือบุญที่ อุ\\กรถไพ้ว EjasviJomiTfiaWSmiTivlsn ทย้บ\"ttluaWhtiwij\" sftf »:ณสพปัพฃองอุบาสิกาแก้ร www.kalyanamitra.org