Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เห็นธรรม

Description: เห็นธรรม

Search

Read the Text Version

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทดฺต?โว) www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม โดย พระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทตฺตสืโว) รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ฉ^^ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ โดย ศักดี้-นฤมล-ด.ญ.โสมรวี สุทธิพงษ์คูณ www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม โดย พระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทตุตชีโว) รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ISBN 974-7308-36-3 สำ นักพิมพ์ประดิพัทธ์ ๕๓/๓๓ ซ.ประติพัทธ์ ๑๕ ถ.ประติพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ๑๐๔๐๐ โทร. 0-๒๒๗๙-๑๓๐๙,๐-๑๔๐๔-๓๔๖๔ www.kalyanamitra.org

คำ ปรารภ ถ้านํ้าในโอ่งยังย่นอยู่ แม้จะมีอิฐถ้อนโต ๆ อยู่ที่ถ้นโอ่งนั้นหลายถ้อน เรากไฝอาจมองเห็นถ้อนอิฐเหล่านั้นได้ทัง้ ๆ ที่ตาของเราก็ยังดีอยู่ ดวงอาทิตย์ ยังล่องสว่างอยู่ และฝาโอ่งนั้นก็ยังเปีดอยู่แต่เมื่อใช้สารถ้มที่มีปริมาณเพียงพอ แกว่งนั้าในโอ่งนั้น แถ้วปล่อยทิ้งไวจนนั้าหยุดกระเพื่อม และนิ่งสนิท ตะกอน ที่ลอยปนอยู่ก็จะต่อย ๆ ตกลงไปนอนถ้น ในที่สุดนั้าก็ใส ท่ามกลางนํ้าที่ หยุด นิ่ง และ ใส นั้น สิงต่างๆ ที่จมอยู่ก้นโอ่ง เซ่น ก้อนอิฐ ย่อมผุดไหเราเห็น และเราก็ย่อมรู้ตามที่เห็นนั้นโดยไม่ตองเดา หรือ ให็ใครบอกว่า นั้นคือก้อนอิฐ โน่นคือก้อนกรวด นี่คือเม็ดทราย และนั้นคือ ผงตะกอน อุปมาการรู้จักสิงของในนั้าที่ หยุด นิ่ง และ ใส ว่ามีอะไรนอนก้น อยู่น่าง ฉันใด ใจของผู้ที่ได้รับการอบรมสมาธิมาเพียงพอ จนกระทั่งใจ สามารถ หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง แล้วก็ฉันนั้น สิงต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ จะเป็น ความดีความชั่วก็ตาม เป็นบุญเป็นบาปก็ตาม เป็นนรกเป็นสวรรค์ก็ตาม หรือแม้กระทั่งนิพพานก็ตาม ย่อมผุดใหเห็นได้ชัดเจน แล้วเขาก็จะ รู้-เห็น สิงนั้นได้ตามความเป็นจริงโดยไม่ด้องเดา ไม่ด้องคาดคะเน หรือไม่ด้องมีใคร บอกให้ การที่รู้ตามที่ได้เห็นในขณะที่ใจหยุดนิ่งนั้น เรืยกว่า รู้-เห็น ตาม ความเป็นจริง คือ รู้-เห็นโดยไม่ด้องเดา ไม่ด้องคาดคะเน หรือมีใครบอกให้ เป็นความรู้-เห็น ที่ไม่ผิดพลาด ความรู้-เห็นชนิดนี้ เป็นความรู้-เห็นที่ พระสัมมาส้มพุทธเจัาทรงประสบมาก่อน เรืยกว่า ตรัสรู้ คือ ใจด้องหยุดนิ่ง เสืยก่อน จึงจะรู้-เห็นได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่พระองค์ยังทรงพระซนม้อยู่ www.kalyanamitra.org

ก็ไดํ'พยายามสั่งสอนอบรมพุทธเวไนย ให้เกิดความรู้-เห็น ชนิดนี้เท่านั้น ไม่ใช่ เพื่ออย่างอื่นเลย พระองค์ทรงเรียกสิงที่พระองค์ทรงรู้ตามที่เห็นนี้ว่า ธรรม ดังนั้น พระสาวกทั้งหลายที่จะไดซื่อว่าเป็นยู'รู้แจ้งในธรรมตามพระพุทธองค์นั้น จำ เป็นต้องเห็นธรรมนั้นมาก่อนว่าธรรมนั้นมีลักษณะเป็นประการใด เห็นิธรรม เรียบเรียงขึ้นจากผลการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ตามแนววิชชาธรรมกายที่ หลวงพ่อวัดปากนํ้า (พระมงคลเทพมุนี)พยายาม ต้นควัาต้วยการปฏิบัติจนพบและเป็นผู้วางไวั โดยมิไต้ดัดลอก หรีอเลียนแบบ จากตำราเล่มใดเล่มหนึ่งในอดีตทั้งสิน แลัวเรียบเรียงสั่งสอนมาตามล่าดับ ดังนั้น ทุกคำพูดทุกดัวอักษรใน เห็นธรรม เล่มนี้ จึงเป็นสิงที่กสั่นกรองออกมา จากใจของคณะผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อแสดงผลที่ไต้รับจากการปฏิบัติธรรม ซึ่ง ไม่ไต้ผิดไปจากที่กล่าวไว่ในพระไตรปีฎกเลย ทั้งนี้ย่อมยืนยันไต้ว่า พระธรรม นั้นประเสริฐจริง ไม่จำกัดต้วยกาลเวลา ใครไต้ รู้-เห็น ตามความเป็นจริงเมื่อไร ย่อมถูกต้องตรงกับที่พระพุทธองค์ตรัสไวั และเหล่าพระอรหันตสาวกกล่าว ไว้ทั้งสิน ต่างแต่ว่าสิงที่เรารู้-เห็นนั้น ยังเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นเอง ในการเรียบเรียงนี้ ผู้เรียบเรียงไต้พุยายามใช้ภาษาพูดง่ายๆ คำ ศัพท์ ยากๆ ที่พอหลีกเลี่ยงใต้ก็ใช้ภาษาพูดแทน ตลอดจนรายละเอียดต่างๆ ที่เกิน ความจำเป็น ก็ถูกดัดทอนลงไปต้วย ทั้งนี้เพื่อให้ท่านสาธุชนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการดีกษา สามารถอ่านเช้าใจแสะน่าไปปฏิบัติตามไดโดยไม่ผิดพลาด เหนธรรม จึงเหมาะที่จะเป็นหนังสือ คู่ใจ ของผู้รักการปฏิบัติธรรม และเป็น หนังสือ เตือนใจ ให้ลงมือปฏิบัติธรรมของท่านสาธุชนทั้วไป ขอท่านทั้งหลายพึงพากเพียรปฏิบัติธรรมที่ได้^กษ่า และตรอง เห็นแล้ว เพื่อประโยชน์สุขของท่านเองเถิด. พระภาวนาวิริยคุณ (พระเผด็จ ทตฺตนีโว) www.kalyanamitra.org

คำ นำ หากจะมีใครมาบอกว่า ธรรมะ ในทางปฏิบ'^ifน มีลักษณะเป็น ดวงกลมๆ เหมีอนดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร เป็นดวงใส่ มีรัศมีสว่างใสว รุ่งเรือง ตั้งอยู่ในศูนย์กลางกายของเราเอง และเราสามารถจะเห็นธรรมดวงนี้ ไดทั้งในขณะที่หลับตาและลืมตา มองเห็นเหมีอนเราเห็นสิงของตาง ๆ รอบๆ ตว ต่างฺกันแต่เพียงว่า เป็นการรู้-เห็น เฉพาะตัวของแต่ละคนผู้ปฏิบัติธรรม นอกจากนั้น คำสอนทั้งหมดที่มีอยู่ในพระไตรปีฎก ก็เป็นเพียงหลักการที่จะ นำ ไปสู่การรู้-เห็นธรรมดวงนี้เท่านั้น และจากอำนาจความสว่างของธรรมดวง นั้น ยังสามารถส่องให้เห็นกายในกาย อีกหลายๆ กาย ซึ่งซ้อนกันอยู่ในกาย มนุษย์ ที่ประกอบด้วยเลือดเนี้อนี้ ฟานผู้ย่านจะเชื่อหรือไม'? พระเผดจ ทัฅฅสิโว รองเจัาอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ยืนยันว่า เราสามารถเห็นธรรมได้จริง และไม่ยากจนเกินไป หากเราเจริญสมาธิภาวนา อย่างถูกวิธ เมื่อเห็นแลัวย่อมจะได้รับความสุขอันประณีต อันเป็น บรมสุข จริงตังที่พระลัมมาลัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า นตฺลิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไฝมี พระเผด็จ ฑัตตสิโว ได้ศึกษาการเจริญสมาธิภาวนา ตามแนว วิชชา ธรรมกาย ซึ่งหลวงพ่อวัดปากนั้าภาษีเจริญ (พระมงคลเทพมุนี)ได้ด้นพบ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๑ (บวชได้ ๑๒ พรรษา) และได้ถ่ายทอดไห้กับลูกศึษย์ ทั้งหลาย โดยท่านศึกษาจากคุณยาย อุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง ศึษย์เอกผู้หนึ่ง www.kalyanamitra.org

ของหลวงพ่อวัดปากนํ้า แล้วได'นำมาเผยแผ่ถ่ายทอดให้กับผูที่มาปฏิบัติธรรม ที่ วัดพระธรรมกาย เสมอมาตั้งแต่แรก จนกระทั่งบัดนี้ จากผลการสืกษาและปฏิบัติธรรมที่ท่านและติบย์ร่รมถ่าบักติ\"\"'^บัห้ รับนั้น ทำให้สามารถ!เนยันไล้ว่า การรู้ยิ่งเห็นจริงเป็นอัศจรรยไนธรรมที่กล่าร ไว่ในพระไดรจฎกนั้น เป็นสิงไม่เหลอวิสัยสำหรับเราในยุคนี้ ท่านจึงไล้นำ ส่วนหนึ่งของความรู้-ความเห็นที่ทม่คเพะไล้รับในครังบัน มาเรียบเรียงเปน หนังสือซื่อ เห็นธรรม และจัดพิมพ์ครั้งแรกในโอกาสพิธถรายผากฐินประจึรป ๒๕๑๙ และครั้งที่ ๒ พิมพ์เป็นอนุสรณ์เนึ่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นผู้แทนพระบาทสมเด็จพระเจ้รอยู่ เสด็จฯ ทรงวางติลาฤกษ์อุโบสถวัดพระธรรมกาย ในปี พ•ค- ๒Cร?๒๐ ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ วารสารกัลยาณมิตรไล้นำ เห็นธรรม ไปลงอย่างต่อเนึ่อง อีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน ๒๕๓๐ และฝ่ายวิชาการ วัดพระธรรมกาย ไล้จัดพิมพ์เผยแพร่อีก จนกระทังบัดนี อย่างไรก็ตาม ขอมูลต่างๆ เกี่ยวกับการเจริญสมาธิภาวนา จากหนังสือ เห็นธรรม นี้ นับว่าเป็นเพียงการเพิ่มพูน ความรู้จำ ให้ผู้อ่านเท่านั้น หากจะ ให้ รู้จริง และ รู้แจัง ย่อมล้องอาศัยการลงมือปฏิบัตอย่างจริงจังและ ต่อเนองต่อไป ซึ่งวัดพระธรรมกายไล้ดำเนินการสอนสมาธิภาวนาตามแนว วิชชาธรรมกายให้กับสาธุชนที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดอยู่แล้วทุกวันอ'!ทิตอไ ในโอกาสต่าง ๆ เสมอมา สาธุชนทั้งหลายจึงควรมาพิสูจน์ล้วยตัวชองท่านเอง แล้วตัวท่านนั้นแหละ ที่จะเป็นผู้!ขฃอข้องใจให้กับตัวเองไดว่า ทเรียกว่า เห็นธรรม นั้น ดือ เห็นอะไร เห็นไล้อย่างไร และเมอเหนแลวจะประสบ ความสุขความเบิกบานใจมากมายสักเพียงได ฝ่ายวิชาการ วัดพระธรรมกาย เมษายน ๒๕๙๗ www.kalyanamitra.org

สารบัญ หนา ธรรม ๑ ความมหัศจรรย์ของดวงธรรม ๓ เด็กน้อยหาไฟ ๕ เจ้าชายสิทธัตถะแสวงหาธรรม ^ ดวงธรรม ๑๖ ที่ตื้งของดวงธรรม ๑๖ วิธีปฏิบัติใหัรู-เห็นธรรม ๑\"' ธรรมในธรรม : ทางสายกลาง ๒๐ ดวงสืล ๒๑ ดวงสมาธิ ๒®\" ดวงปืญญา ๒ ดวงวิมุตติ ๒\"' ดวงวิมุตติญาณหัสนะ ๒ ธาต-ธรรม «\"๑ t «\"๔ ® กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด ®\"๘ ๔๑ กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด ๔๔ ๔๔ กายรูปพรหม ๔๐ กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม ๔®\" กายอรปพรหมละเอียด www.kalyanamitra.org

กายธรรม หน้า ธรรมกาย ๕๕ กายธรรมละเอียด ๕๗ ภาคผนวก ๖๐ ๑. พระพุทธเจำทรงรู้เรื่องเทวดา ๖๓ ด้วยทรงเห็นแสงสว่างภายใน ๖๕ ๒. อุปกิเลสของสมาธิ ๖๗ ๓. เหตุของการไม่เห็นแสงสว่างและรูป ๖๙ ๔. หลักการเจริญภาวนา สมถวิป้สสนากรรมฐาน ๗๘ ๕. สมาธิ ๘๒ ๖. คติธรรม พระมงคลเทพมุนี(สด จันทสโร) ๘๔ ๘๗ ๗. การแกสมาธิเบื้องด้น ๘๘ ๘. คำ อธิษฐานประจำวัน ๙. แผนที่ไปวัดพระธรรมกาย www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๑ ธรรม ถาจะถามว่า ธรรมคืออะไร โดยทั่วไปก็จะตอบได้เพียงว่า ธรรม หมายถึง ความจริงอย่าง ๑ คำ สั่งสอนที่แสดงความจริงอย่าง ๑ หมายถึง ความจริง เซ่น ทุกคนรู้คืว่า เกิดมาแล้วด้องตาย ฉะนั้น จึงกล่าวว่า ความตายเป็นธรรม คือ เป็นความจริงอย่างหนึ่ง หรือทุกคน ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ นึ่ก็เป็นธรรม คือ ความจริงอีกอย่างหนึ่ง หมายถึง คำ สั่งสอนที่แสดงความจริง ในข์อนี้ได้แก่ คำ สอนของ พระสัมมาส้มพุทธเจา และพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย ที่มีอยู่ในพระไตรปีฎก ตลอดจนในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหมด ในการสนทนาธรรมหรือแสดงธรรม ส่วนมาก ทั้งผู้พูดและผู้พีง มักม่งที่จะทำความเข้าใจเฉพาะธรรมในภาคทฤษฎีทั้ง ๒ ประการนี้ ซึ่งผู้พูด ก็พูดไป ผู้พีงก็พีงไป ร้อยครั้งพันหน ก็ยังใม่ร้ว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าด้องการ ให้รู้-เห็น นั้น คืออะไร หมายถึงสิงใด และมีรูปร่างสักษณะเป็นประการใดแน่ ที่เป็นคังนี้เพราะ ทั้งผู้พูดและผู้พีง ต่างก็มักจะไม่รู้Iม'เห็นธรรมภาคปฏิบัติ ด้วยกันทั้งสิน www.kalyanamitra.org

๒ เห็นธรรม ความหมายของ ธรรม ในทางปฏิบัติ เป็นเรื่องที่ค่อนขางสลับซับช้อน ต้องเป็นผู้ที่มีใจละเอียดเพียงพอจึงจะเช้าใจได้ ไม่เฉพาะพวกเราในปัจจุบันนี้ เท่านั้น ที่ไม่เช้าใจธรรมในทางปฏิบัติที่พระพุทธองค์ทรงด้องการใหแห็น แม้แต่พระปัญจวัคคีย์ พระสารีบุตร พระโมคต้ลลาน์ ฯลฯ กเซ่นเคียวกัน ก่อนที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ต่างก็ไม่รู1ม่เช้าใจธรรมที่แหัมาแล้วนั้งนี้น ที่เป็นเซ่นนี้เพราะ ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนาใหัรู้-เห็นนั้น เป็นของ ละเอียดลึกซึ้ง ต่อเมื่อใดใจ หยุด-นิ่ง จากความคิดเรื่องหยาบๆ เป็นใจที่ ละเอียดแล้ว จึงจะสามารถเห็นได้ว่า ธรรมในทางปฏิบัตินั้น มีลักษณะเป็น ดวง ๆ เหมือนดวงอาทิตย์หรีอดวงจันทร์ เป็นดวงใส มืรัศมืสว่างไสวรุ่งเรีอง และตั้งอยู่ในกลางกายของเราเอง เมื่อใจ หยุด นิ่ง ได้สนิทแล้ว ธรรมดวงนี้จะปรากฏไหเห็นทั้งใน ขณะที่หลับตาและลืมตา มองเห็นเหมือนเราเหนลืงชลงต่าง1 รลบ1 ด้ว ต่างกันแต่เพียงว่า เปีนการรู-เห็นเฉพาะด้วขลงแต่ละบุคคลผูปฏินัต่ ปีห คำ สอนทั้งหมตที่มืในพระไตรปีฏกนั้น เปีนเพียงหลักการทจะนำไปต่ควา^ ร-เห็น ธรรมตวงนี้เท่านั้น. www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๓ ความมหศจรรย์ของดวงธรรม ดวงธรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ จนกระทั่งปรากฏให้เห็นในขณะ ปฏิบัตินั้น เป็นของมหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ ผู้ใดได้รู้-เห็นแล้ว เป็นหมดทุกข์ ได้จริง ถึงจะมีความทุกข์หนักปานภูเขาท่วมทับใจอยู่ก็จะหายใปหมด ความขุ่นข้องหมองใจ ความอาฆาตจองเวรกันมานานเท่าใด ก็จะสลายไปสิ้น ความเมา ความกระหาย ความอาลัย ความกังวล ความอยากทั่งมวล จะถูก ทำ ลายไปสิ้น เกิดความสุขขึ้นมาแทนที่โดยพลัน สติปัญญาความคิดอ่าน ก็ฉลาดเฉลียว ปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้นมาได้เอง ดวงธรรมยิ่งใสขึ้นเท่าใด ความสุขความฉลาดหลักแหลมยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ความสงสัยใดๆ ที่มีอยู่ ความสงสัยนั้นๆ ย่อมสิ้นไป ถึงผู้นั้นจะเป็นเด็กนัอยๆ ก็สามารถมีสติปัญญา อันอาจยึดถือเป็นหลัก และเป็น \"ผู้หลัก\" ได้ ยิ่งผู้นั้นอายุมากด้วยแล้ว ก็เป็นได้ทั่ง \"ผู้หลักและผู้ใหญ่\" อย่างครบล้วน นับแดโบราณกาล ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เหตุที่ทำให้ชาวโลกทั่งมวล เกิดความเลียใจและผิดหวังอย่างยิ่งก็คือ การไม่สามารถด้นหาความสุขที่แห้จริง ดังกล่าวแล้วข้างด้นนั้นพบ ซาวโลกจึงด้องจำยอมรับความสุขจอมปลอม ชนิด ที่ยิ่งสุขยิ่งระแวง ยิ่งสุขยิ่งห่วง ยิ่งสุขยิ่งกลัว ยิ่งสุขยิ่งโง่ ฯลฯ คือ เจอแต่สุขที่ เจือด้วยทุกข์ หรือสุขหลอก ๆ รรไป www.kalyanamitra.org

๔ เห็นธรรม ตัวอย่างที่มองเห็น สามีภรรยาที่มีความรักต่อกัน ย่อมหวงแหน ซึ่งกันและกัน หากเห็นอีกฝ่ายหนึ่งให้ความสนใจหรือพูดคุยกับชายหรือ หญิงอื่น ก็มักหึงหวงระแวงกัน ถึงกับเป็นปากเป็นเสียงกันก็มี นึ่คือความสุข หลอกๆ ชนิด ยิ่งสุขยิ่งระแวง พ่อแม่เห็นลูกเติบโตแข็งแรง ไม่เจ็บไข็ไดป่วย ก็เป็นสุข แดกอดที่จะ นึกห่วงอนาคตของลูกไม่ได้ ความสุขหลอกๆ ชนิดนี้ คือ ยิ่งสุขยิ่งห่วง เศรษฐีเห็นสมบัติพัสถานเป็นอันมากของตัวแล้วก็เกิดความกระหยิ่มไจ แต่แล้วก็ด้องเสียวแปลบเข้าไปถึงหัวอก เมื่อนึกว่า อีกไม่ข้าตัวเองก็ด้องตาย จากสมบัติเหล่านี้!ป ความสุขหลอก ๆ ขนิดนี้ คือ ยิ่งสุขยิ่งกลัว ครั้นไนเวลาต่อมา มนุษย์เกิดปัญญามากขึ้น ไห้นึกเบื่อความสุขหลอก ๆ เต็มที จึงซักชวนกันสละความสุขหลอก ๆ เหล่านั้น คือ สละลูก สละเมีย สละ สมบัติ สละความกังวลฺต่าง ๆ ออกแสวงหาธรรม โดยหวังว่าเมื่อพบธรรมแล้ว ตนจะได้รับความสุขที่แห้จริง ผู้แสวงหาธรรมเหล่านั้นได้รับความนับถึอ จากประชาชนทั่วไป ไนฐานะที่เป็นผู้ฉลาดและผู้เสียสละ และได้รับนามว่า นักบวช เช่น ดาบส โยคี ฤๅษี เป็นด้น ไนตัมภีร์ศาสนา เรืยกรวมกัน พราหมณ์ เหมีอนกัน พราหมณ์ๆกยุคทุกสมย ได้พยายามทำหน้าที่ของตนอย่า^เข้มแข็ง ทรหดอดทน เพื่อจะด้นหาธรรมให้พบ แตกน่าเสียดายว่า ถึงพราหมณ์เหล่านั้น จะทุ่มเทกำลังสติปัญญา กำ ลังกาย กำ ลังใจ จนเต็มความสามารถแลัว ก็ยัง ด้นหาธรรมที่แห้จริงไม่พบ เพราะการปฏิบัติไม่ถกวิธี จีงฺด้องสูญเสียความ พยายามเปล่า และสีนชีวิตเปล่าไปเสียมากต'อมาก■เข้าทำนองเด็กน้อ่ยหาไฟ ในแก่นไม้ นั้นเอง. www.kalyanamitra.org

เหีนธรรม ๕ เด็กน้อยหาไฟ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคเงโบราณ มีเด็กน้อยคนหนึ่ง อาศัยอยู่กับฤๅษี ผู้ทำ การบูชาไฟเป็นปกติ ณ อาศรมกลางป่าใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความผาสุก อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ฤๅษีมีความจำเป็นจะด้องเดินทางเข้าไปในหมู่บาน จึงเรียก เด็กน้อยมาสั่งว่า \"นึ่แน่ะเจ้าหนู เราจะเดินทางไปทำธุระในหมู่บ้านสักหน่อย ในระหว่าง ที่เราไม่อยู่ เจ้าด้องระวังคอยเดิมเชื้อไฟใหดี อย่าไห่ไฟดับได้ หากไฟดับ จงเอาสั่งเหล่านี้ก่อไฟใหม่\" ว่าแล้วฤๅษีก็มอบไม้สีไฟ มีด หืเน ไว่ไน้แล้ว จึงออกเดินทาง เมื่อฤๅษีสับตาไปแล้ว เด็กน้อยก็เล่นเพลินไปตามประสาจนลืมคาสั่ง ของอาจารย์ที่ไห้คอยเดิมหืเน ครั้นนึกชื้นได้ก็รีบวิ่งไปที่กองไฟ ปรากฎว่า ไฟดับสนิทเสียแล้ว จึงคิดแก่ไขตามคำสั่งของฤๅษี ที่ไห้ทำการก่อไฟใหม่ด้วย ไม้สีไฟ มีด และฟน เด็กน้อยจึงเอามีดมาถากไม้สีไฟนั้น ด้วยเข้าไจว่า บางทีจะพบไฟน้าง แตกผิดหวัง จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก ก็ผิดหวังอีก ผ่าออกเป็น ๓-๔- ๑๐ ซีก ก็ผิดหวังอีก จึงสับไม้ซีกเหล่านั้นเป็นชื้นเล็กชื้นน้อย แล้วไล่ลงไป ไนครกโขลกเสียจนป่นเพื่อหาไฟ แต่ไม่พบตามเคย ผลสุดห้ายจึงล้วงเอา www.kalyanamitra.org

๖ tmsss3J ผงไม'สีไฟในครกนั้นขึ้นมาโปรยให้ลมพัด โดยหวังว่าครั้งนี้แล้วเป็นครั้งฺสุดห้าย จักไดตัวไฟ แต่ก็ตัองผิดหวังขึ้ไ จึงไดแต่กลุ้มใจนั่งคอตกอยู่ข้างครกนั้นเอง ฝ่ายฤๅษี เมื่อทำธุระเสร็จแล้วจึงกลับมายังอาศรม เห็นเด็กห้อย สืษยัของดนนั่งกอดเข่าหห้าเศร้าอยู่ก็เข้าโปกาม ครั้นทราบความแล้ว ก็อด ที่จะนึกสังเวชใจในความไร้เดียงสาของเด็กห้อยโน่ได้ รำพึงว่าทารกนี้ข่างโง่ เหลือหลาย แสวงหาโดยไม่คูกวิรี แลวจะได็ไฟอย่างไรเล่า จงหยบไมสีไฟมา สีกันจนเกิดไฟให้เด็กดู เด็กไร้เดียงสา แสวงหาไฟโดยไม่ถูกวิรี ย่อมไม่พบไฟฉันใด แม่เ ผม่งแสวงหาธรรม แต่แสวงหาโดยไม่ถูกวิรี ย่อมไม่อาจเห็นดวงรรรนใฉั ฉันนน. www.kalyanamitra.org

เห็นธรรฆ ๗ เจ้าชายสิทธตถะแสวงหาธรรม ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า จะด้องแสวงหาความสุขแทํ'ๆ ชนิดที่สุขแล้วไม่ด้องกลับมาทุกข์อีกให้พบ จึงเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนโน้น ณ เซิงเขาหิมาลัย อันเป็นด้นกำเนิดของแม่นํ้าคงคาอันด้กดสิฑธี้ มีเจาชาย หนุ่มพระองค์หนึ่ง ผู้เป็นรัชทายาทแห่งนครกบิลพัสดุ พระนามว่า เจ้าชาย สิทฮัตถะ พระองค์แน้จะมีพระชนมายุเพียง ๒๙ พรรษา แตกทรงตัดสิน พระทัย หนีพระชนกชนนีบังเกิดเกล้า ด้ดความอาลัยในพระมเหสีและ พระโอรสสุดที่รัก สละเวียงวังและราชสมบัติ ตลอดจนพระประยูรญาติและ เหล่าพสกนิกรไวัเบืองหลัง นุ่งหน้าเข้าป่าหาความวิเวก ถือเพศเป็นนักบวช เพื่อด้นหาธรรม ในระยะแรก พระองค์ก็เหมีอนกับนักบวชผู้แสวงหาธรรมทั้งหลาย คือ ไม่ทรงทราบเซ่นกันว่า ธรรมที่ใครๆ ร้เห็นแล้วทำให้เกิดสุขแท้ๆ ได้นั้น มีลักษณะเป็นอย่างไร อยูทั้ไหน และทำอย่างไรจึงจะพบได้ จึงทรงท่องเที่ยว แสวงหาจากนักบวชต่าง ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ทรงคิดว่าจะได้พบธรรมนั้น ด้อง เผซิญกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แทบว่าจะเอาพระชนมไปทิ้งเป็น เหยื่อแก่แร้งกาไนป่าเสียก็หลายครั้งหลายครา www.kalyanamitra.org

๘ เหนธรรม สมัยนั้น มีมักบวชอยู่หลายพวกหลายหมู่ที่กำลังแสวงหาธรรมเซ่นกัน ต่างมีวิธีการแตกต่างกันไปตามความเชื่อของตน ชื่งแต่ละวิธีก็ต้องเอาชีวิต ของตนเส์ยงเข้าทดลองปฏิบัติทังมัน หากพลาดพลังลงกอาจกึงแก่ชีวิตไต มักบวชเหล่านั้นต่างต้องรันทุกข้ทรมานแลนลาทัล ทลัมหายตาลจากไปอลุต คณามับ แดกยังไม่มีผูใดไต้พบธรรมที่แทัจริงเลยลักรายเดียว กึงกระนั้น ก็ดาม เจ้าชายสิทธัดถะก็ไม่ทรงย่อทัอลังเลพระทัย ที่จะวางชีวิดเป็นเดิมพัน ร่วมทำการต้นคจ้าหาพระธรรมกับมักบวชเหล่านั้นลยำง^น่®ต^^ นักบวชพวกหนึ่งเปีอว่า ล้าบำเพ็ญตบะ คือ การทำตนใ'ห1ด้รับ ความลำบากดว่ยวิปีการตาง ๆ จนกระนังตัดความรู้ลํกหางกาชเลํชใตเf'ล้า ย่อมจะเ'ห็นธรรมได้ เจ้าชายสิทธัดถะไต้ทรงร่วมทำการต้นคจ้าบำเพ็ญตน^ ดามความเชอ ของมักบวชพวกนั้นบ้าง โดยพระองค์กระทำดนเป็นชีเปลือย ไม่นุ่งห่มเลือผ้า ไม่สนใจน่าพาเรื่องกิริยามารยาท แม้ถ่ายอุจจาระเสร็จแลัวกไม่ใข้นำซ่าระลัวง แต่ทรงเช็ดต้วยพระหัดถ์ อาหารก็เที่ยวขอทานเขามา ไต้มาแลัวก็เลวย แต่มัอย ๗ วันเสวยครังหนึงบ้าง ๑๕ วันเสวยครังหนงบ้าง หมักเขากเสวย อาหารมังสวิรัติ คือ เสวยแต่ผักบ้าง ข้าวฟ่างบ้าง รำบ้าง ลูกเดือยบ้าง ข้าวต้งบ้าง ยางไม้บ้าง ผลไม้ที่หล่นลงมาเองบาง ครันผมเผาหนวดเครา ยาวขึ้นมา แทนที่จะตัด กลับทรงถอนต้วยเลืยนตาล ยามนั่งก็ทรงนั่งยองๆ ไม่นั่งบนตั่งเดียง ยามนอนก็นอนบนกองหนาม ถ้าวันใดอากาศหนาวจัด ก็ทรงลงไปแซ่นั้าทั้งวันบ้าง ทั้งคืนบ้าง หรือทังวันทังคืนบ้าง แด'กยังไม่ทรง เห็นธรรม นักบวชพวกหนึ่งมีความเปีอว่า ล้าบํลํอธให้ร่างกาบเ^'ร้าหนปีง ปลํอยให้เปีนไปตามธรรมชาติเช่นเดียวกับพวอล้ตาเ^ล้า ย่อมจะเห็นธรรนได้ www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม H เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงลองปฏิบัติตามโดยทรงปล่อยให้ฝ่นละออง เหงื่อไคลหมักหมมอยู่ จนตกสะเก็ดทั้งพระองค์เหมือนกับสะเก็ดไมั แมั สะเก็ดจะพอกหนาขึ้นทุกวัน ก็ไม่ทรงยอมเช็ดออก คนอื่นจะช่วยเช็ดถูให้ก็ ไม่ทรงอนุญาต แตกยังไม่ทรงเห็นธรรม นักบวชพวกหนึ่งมีความเปีอจำ ถาออูไนที่เงียบสงัดไฝพบผู้คนเลซ ย่อมจะเห็นธรรมได้ เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงทดลองปฏิบัติตามเช่นเคย โดยพระองค์ทรง หลบเข้าไปอาศัยในป่าดงติบ ซึ่งถ้าคนอื่นเข้าไปแล้ว เป็นห้องขนลุกชูซันดวย ความหวาดกลัว คืนไหนอากาศหนาวเย็นก็ทรงทนตากลมหนาวอยู่กลางแจ้ง ครั้นวันไหนอากาศร้อนจัต ก็ทรงทนตากแดดอยู่กลางแจ้ง รอเมื่อดวงอาทิตย์ ลับขอบฟ้า จึงจะทรงเข้าไปอาศัยร่มไมั อาหารในป่าลึกก็อัตศัดขาดแคลน จำ ห้องเสวยใบไมับัไง เปลึอกไมับัาง เป็นอาหารประทังชีวิดไปวันหนึ่ง ๆ แตกยังไม่ทรงเห็นธรรม นักบวชพวกหนึ่งมีความเที่อจำ ล้าทำตนเปีนผู้ไฝสนใจต่อเรื่องราว ใด ๆ ทั้งที่นเหมีอนกับซากศพ ย่อมจะเห็นธรรมได้ เจ้าชายลึทธัตถะก็ทรงทดลองปฏิบัติตาม โดยพระองค์ทรงเข้าไป อาศัยในป่าข้ไ บรรทมทับกองกระดูกบาง บรรทมปะปนกับซากศพที่เน่าเหม็น บัาง ฯลฯ เมื่อพวกเด็กเลี้ยงโคชุกซนไปพบเข้า ก็พากันบัวนนํ้าลายรดบัาง ถ่ายปัสสาวะรดบัาง เอาฝ่นสาดบัาง เอาไมัแหลมๆ ทิ่มแทงช่องพระกรรณ (หู) บัาง แต่พระองค์ก็มิไห้ทรงพิโรธตอบ ทรงทำความร้ลึกแต่ว่าพระองค์ คือคนตายแล้ว แตกยังไม่ทรงเห็นธรรม นักบวชพวกหนึ่งมีความเที่อจำ ความบริสุทธย่อมเกิดขึ้นได้ด้วย อาหาร ล้ากินอาหารที่เปีนพืชผักล้วนๆ ไฝมีเนื้อสัตว์เจือปนเลย ย่อมจะ เห็นธรรมได้ www.kalyanamitra.org

๑๐ เห็นธรรม เจ้าซายสิทรัตถะก็ทรงทดลองปฏิบัติอีก พระองค์ทรงปฏิบัติเคร่งครัด กว่านักบวชเจ้าตำรับเสียด้วยซํ้า โดยเสวยแตํลูกกระเบาอย่างเดียวบัาง เมล็ดถั่วเขียวอย่างเดียวบ้าง เมล็ดงาอย่างเดียวบ้าง ข้าวสารวันละเมล็ดบ้าง จนกระทั่งพระวรกายซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ก็ยังไม่ทรง เห็นธรรม นักบวชพวกหนึ่งมีความเปี ล้าใครก็ตามกลับลมหาชไจ'ช^^ อดอาหารจนแทบตาย ย่อมจะเห็นธรรมได วิธีการเซ่นนี้ ใครขีนทดลองปฏิบัติก็เหมือนเดินทางไปหาความตาย ประการเดียว เพราะคำว่าแทบตายนั้น ไม่มืขีตคั่นที่แน่นอน ถึงกระนั้น เจ้าชายสิทรัตถะก็ทรงเส์ยงพระชนม์ทดลองปฏิบัติอีกเซ่นเคย ในโลกนีจะหา คนที่มืนี้าใจอันเด็ดเดี่ยวเซ่นพระองค์ได้อีกหรือ พระองค์ทรงขบพระทนต์ (ฟัน) ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ (เพดาน) ด้วยพระชิวหา (ลิ้น) พรัอมกับ ทรงข่มจิตใจด้วยนั้าพระทัยอันเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งกระเสโท (เหงื่อ) ไหล พรั่งพลูดุจสายฝนออกจากพระกัจฉะ (รักแรั) ทั่ง ๒ ข้าง แล้วทรงกลั้นลม อัสสาสะ (ลมเข้า) ปัสสาสะ (ลมออก) ทั่งทางพระโอษฐ์ (ปาก) และทาง พระนาสิก (จมูก) เมื่อลมปัสสาสะออกทั้งทางพระโอษฐ์และทางพระนาสิกไม่ได้ ก็ทะลัก ออกทางซ่องพระกรรณ (หู) เกิดเสียงอื้ออีงภายในราวกับฟ้าลั่น เกิดความทุกข์ ทรมานจนเจ็บพระเดียรเหมือนถูกบีบด้วยคีมเหล็ก ส่วนในพระอุทร (บ้อง) ก็มืเสียงโครกคราก เจ็บแปลบเหมือนถูกเชือดด้วยคมดาบ ทั่วพระวรกาย ร้อนเหมือนถูกย่างบนกองไฟ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงบ้อถอย ทรงกลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะอยู่อย่างนั้น ใครที่ผ่านมาพบเห็นพระองค์ ต่างก็พูดเป็น เสียงเดียวกันว่าด้องลิ้นพระชนม์แน่ ๆ www.kalyanamitra.org

เหนธรรม ๑๑ เมื่อทรงกลั้นลมหายใจอยู่อย่างนั้นหลายเวลา ก็ยังไม่ทรงเห็นธรรม จึงทรงอดพระกระยาหาร จนพระวรกายเหี่ยวแหงซูบผอม เวลาคลำพระอุทร ก็ถูกกระดูกสันหลัง เวลาลูบพระวรกายก็มีพระโลมา (ขน) รากเน่าร่วงหลุด ติดพระหัตถ์มา ครั้นเวลาไปทรงพระบังคนหนัก (อุจจาระ) พระบังคนเบา (ปัสสาวะ) ก็ทรงหมดกำลังล้มฟุบลง เรี่ยวแรงจะพยุงกายขึ้นเองก็ไมม แดก ยังไม่ทรงเห็นธรรมอยู่นั้นเอง ความเขึ้อดั้งเดิมของนักบวชทั้งหลายสมัยนั้น แน่งออกไดเป็น ๒ น่ระเภทไหญ่ ๆ คือ ประเภทแรก มีความเชื่อ ธรรมอยู่ภายนอกกาย โดยคิดว่าธรรม คงอยู่ตรงโนัน ตรงนี้ ป่าโน้น เขานี้ ทะเลนั้น แม่นํ้านี้ ฯลฯ ตามแต่จะ นึกเดาเอา ประเภทที่สอง มีความเชื่อว่า ธรรมอยู่ภายไนกาย โดยอาจจะอยู่ ตรงอวัยวะส่วนไดส่วนหนึ่งไนร่างกายก็ได้ เช่น ไนน่อด ไนหัวไจ ไนสมอง ไนกระเพาะ ไนลมหายไจที่เข้าออก ฯลฯ และอาจจะเห็นธรรมได้ด้วยการ ทรมานร่างกายไห็ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส เจ้าชายสิทธัตถะทรงทดลองปฏิบัติตามความเชื่อทั้งสองน่ระเภทนั้น จนหมดทุก ๆ วิธีแล้ว ก็ยังไม่ทรงเห็นธรรมแม้แต่เพียงชั่วขณะเดียว พระองค์ จึงทรงตระหนักได้เองว่า ๑. ความเชื่อที่ว่า ธรรมอยู่ภายนอกกาย นั้น ย่อมไม่เป็นความจริง แต่อย่างได ที่แล้วๆ มา ล้วนแต่เป็นเพียงความคาดเดาทั้งสิน ๒. ความเชื่อที่ว่า ธรรมอยู่ภายไนกาย นั้น มีทางเป็นไป่ได้อย่างยิ่ง และควรจะพบได้ด้วยการอบรมไจ มากกว่าวิธีการทรมานร่างกาย www.kalyanamitra.org

๑๒ เห็นธรร:น เมื่อพระองค์ทรงเฉลียวใจว่า ธรรมย่อมอยู่ในกาย และจะเห็นได้ด้วย การอบรมใจใด้ควรแก่งาน จึงเกิดป้ญหาตามมาว่า แลวใจที่สมควรแก่การ เห็นธรรมนั้น ควรจะมีลักษณะอย่างไร พระองค์จึงทรงดำริต่อไปว่า เมื่อธรรมเป็นสิงที่ลึกซึ้งยิ่ง ก็จำ ค์อง ใซํ(ใจที่ละเอียดประณีตเท่ากับธรรมนั้น จึงจะสามารถเห็นธรรมได้ อะไรเล่าที่ทำใหใจไม่ละเอียด ความกังวลในเรื่องที่ผ่านไปแล้วไน อดีตบ้าง ความกังวลเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงบ้าง ต่างก็เป็นเหตุไหไจ ไม่ละเอียดได้ แล้วมีใครบ้างเล่าที่ไม่มีความกังวลในเรื่องเหล่านี้เลย ที่เห็น ก็มีแต่ใจเด็กเท่านั้นที่กังวลไม่เป็น สำ หรับ^หญ่แล้ว โดยธรรมซาดีใจ จะมีความกังวลด้วยกันทุกคน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตระหนักเซ่นนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงยัอนระลึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อครั้งพระองค์ทรงพระชนมายุเพียง ๗ พรรษานั้น ได้ตามเสด็จ พระราชบิดาไปในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ครั้งนั้น พระองค์ทรงประทับนั่ง ตามลำพังภายได้ร่มไมหวัา ทรงมีพระทัยสงบ ไรความกังวลใดๆ ทังสิน พระองค์ได้ทรงทำสมาธิด้วยการเพ่งใจไปหยุดสนิทดีดนิ่งตรงดูนย์ลลางย''ย ตามนิสัยที่สืบเนิ่องมาแต่ครั้งทรงนังสมาธิไนพระครรก์ เมื่อใจของพระองค ทรงหยุดดีด ลมหายใจก็หยุดลงพร้อมกัน ตรงศูนย์กลางกายกเกิดดวฺงรรรม มีสักษณะคล้ายดวงแกัวใสและสว่างปรากฏขึ้น ครั้งนั้นพระองค์ทรงได้รับ ความสุขอย่างยิ่ง พระองค์ทรงดำริต่อไปว่า ชะรอยการเพ่งใจใบ้ทั้งลมและใจหยุด สนิทดีดนิ่งตรงศูนย์กลางกาย ดังที่ทรงกระทำมาแล้วนั้น จักเป็นทางแห่งการ ตรัสรู้ได้บ้างเป็นแน่ ดังนั้น พระองค์จึงทรงดัดสินพระทัยกสับมาเสวย พระกระยาหาร ใบ้ร่างกายกลับแข็งแรงดังเดีมอีก เพื่อเตรียมพระองค์ด้นคว้า แสวงหาธรรม ตามวิธีที่ทรงตรึกไว้ต่อไป www.kalyanamitra.org

เห็นธรรบ ๑๓ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เจ้าชาย^ทรัตถะทรงเลิกการทำ สมาธิ ภายนอค* ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมของดาบสสมัยนั้น ทรงเริ่มต้นทำ สมาธิภายใน ต้วยการกำหนดใจใวัที่ศูนย์กลางกายตามที่ไต้เคยปฏิบัติขณะทรงพระเยาว์นั้น การทำสมาธิภายในครั้งนี้ บังเกิดผลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง พระองค์ทรงสามารถทำสมาธิไหรุดหน้าไปไดตามลำดับ ตั้งแต่รูปฌาน ๔ จนถึง อรูปฌาน ๔ อย่างรวดเร็วเกินคาด เมื่อเทียบกับการทำสมาธิภายนอกแสัว ปรากฏผลแตกต่างกันอย่างยิ่ง ทรงพบว่า การทำสมาธิภายในนั้น ทำ ไดัง่ายกว่า รวดเร็วกว่า หยุดยั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานต่างๆ ไดันานกว่า ความสว่างที่ เกิดขึ้นภายในก็มากกว่า ใจก็ละเอียดประณีตกว่า ไดัรับความสุขมากกว่า และที่ลำดัญที่สุดคือ พระองค์ทรงเริ่มเห็นทางสายกลางที่อยู่ดรงศูนย์กลาง ดวงธรรมไดับัางแล้ว หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรง!!กสมาธิไดัชำนาญแล้ว ประกอบกับ พระวรกายของพระองค์ก็แข็งแรงขึ้น พระองค์จึงทรงดัดสินพระทัยอย่าง เด็ดเดี่ยวว่า บัดนี้ สมควรแก่เวลาแล้ว ที่จะตองดันหาธรรมแท ๆให้พบให็ไดั โดยทรงวางชีวิตของพระองค์เป็นเดิมพัน ดัวยการอธิษฐานความเพียรว่า \"แม้เลือดและเนื้อในกายจักแหงเหือดหายไป เหลือแด'หนัง เอ็น กระดูก ก็ดาม ดราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ไต้รู้-เห็นธรรม ยันยิ่งแสัว จักไม่ยอมลุกจากนัลสังก์นื้เป็นยันขาด\" * สมาธิภายนอกเป็นการทำสมาธิโดยอาศัยวัตทต่างๆ ภายนอก เช่น างกลมดิน วงกลมนํ้า ๆลๆ เป็นที่เพ่งใจใทํหยุดคลในเบื้องต้น แล้วต่อไปจึงกำหนดใจถึงความว่างของอากาศนไง ของวิญญา(น ปาง ฯลฯ ที่ภายนอกว่างกายเป็นอารมณใหใจละเอียดขึ้น www.kalyanamitra.org

๑๔ เห็นธรรม เมื่อทรงอธิษฐานความเพียรด้วยการสละชีวิต•■รนเดิมพันตั^^''''^'^ พระองค์ก็ทรงนั่งสมาธิ ปรารภความเพียรรุดหน้าไปด้วยพระทัยเด็ตเตี่ย'^ พระองค์ทรงเพ่งใจให้หยุดสนิทดิดนิ่ง'•ชีาไปตรงศูนย์กล''งกาย จนกระทั่ง บรรลุฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ ฌานที่ cn ฌานที่ ๔ ฌานที่ ๕ ฌานที่ ๖ ฌานที่ ๗ และฌานที่ ๘ ไปตามลำดับ คเนใจหยุดได้ถูกส่วนแล้ว ก็ทรงบรรลุถึงธรรมกาย ซึ่งเป็นกายสำหรับไซ้พิจารณาธรรมไดย'•ฉพาะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเพ่งใจหยุดได้ถูกส่วน จนกระทั่งเห็น ธรรมกาย แล้ว พระองค์ก็ทรงอาศัย ตาธรรมกาย นิ มองซ้อนระลึกชาติ ในอดีต ทำให้สามารถรู้เห็นดามความเป็นจริงได้ว่า พระองค์เคยเกิดในที่ใด มีซึ่อ มีโคตร มีวรรณะ มีอาหารเช่นใด เสวยสุขและทุกข์เช่นใด มีอายุสินสุด ลงเท่าใด ครั้นตายจากชาติน้นๆ แล้วมาเกิดในชาติต่อๆ มาจนถึงชาตินีได้ อย่างไร พระองค์ทรงระลึกรู้-เห็นชาติในอดีตด้วยพระองค์เองโดยธรรมกาย ด้วยพระอาการดังกล่าวแล้วนี้ ตั้งแต่ ยามด้น แห่งราตรี วิสาชปุรณมี นี นับเป็น วิชชาที่ ๑ เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยามที่สอง เจ้าชายสิทธัตถะยิ่งทรงท่าใจให้หยุดสนิทยิ่งขึ้น ทรง เซ้าถึงธรรมกายที่เป็นพระโสดา พระสกิทาคามี และพระอนาคาม ตามสำดับ ท่าให้ทรงสามารถรู้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดยลงสัตว์ทงหลายว่ามา^ากทไนน ตายแล้วจะด้องไปไหน สัตว์เหล่าใดที่ประกอบกรรมซ้ว สัตวเหล่าน้น ครั้นตายแล้วย่อมไปเกิดเป็นสัตว์พวกโน้น ตายจากสัตวพวกโน้น ย่อมไปเกิด เป็นสัตว์พวกโน้นๆ ...อีก ส่วนสัตว์เหล่าใดประกอบแต่กรรมดี ด้วยอำนาจ แห่งความดีนั่น สัตว์เหล่านั้นครั้นตายแล้วย่อมไปเกิดเป็นมนุษย์น้าง เป็น เทวดาน้าง เป็นรูปพรหมน้าง และเป็นอรูปพรหมน้าง พระองค์ทรงรู้เห็น การเกิด การตายชองสรรพสัตว์เตยไม่มีอะไรด้องเคลือบแคลงสงสัยเลย www.kalyanamitra.org

เห็นธรรบ ๙๕ อาการที่พระองค์ทรง รู้-เห็น การเกิด การตายของสรรพสัตว์ชัดเจน เหมือนกับขณะที่พระองค์ทรงยืนบนส์งแม่นํ้าที่มีนํ้าใสสะอาดแล้ว ทรงเห็น ปลาว่ายนํ้าไปมา ว่ายผุดจากตรงนี้ดำนํ้าไป เห็นตัวปลาว่ายเรื่อยไป ไปผุดขึ้น ที่ตรงโน้น ดาจากที่โน่นไปผุดขึ้นที่โน่นๆ...อีก และทรงรู้ด้วยว่า ทำไมปลาจึง ด้องทำตังนั้น พระองค์ทรงรู้เห็นการเกิดการตายของสัตว่โลกด้วยพระองค์เอง โดย ธรรมกาย มืพระอาการตังกล่าวนี้ ไนยามที่สองแห่งราตรีวิลาขปุรณมื นี้เป็น วิชชาที่ ๒ เรียกว่า จุตูปปาตญาณ ไนป็จฉิมยาม พระองค์ทรงเพ่งไจไหหยุดได้ลนิทถึงที่สุด ไจของ พระองค์ก็ทรงละเอียดถึงที่สุดเซ่นกัน กิเลลได ๆ ทั้งที่หยาบและที่ละเอียด จึงไม่สามารถย้อมเกาะ หรีอรีงรัดไจพระองค์!ด้อีกต่อไปแล้ว อุปมาเสมือน กับนั้าหมืกที่ไม่สามารถย้อมทาอากาศไห้ติดได้ฉะนั้น พระองค์ก็ทรงบรรลุ ธรรมกายพระอรหัต ตรัสรู้เป็นพระอรห้นตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัดกิเลสได้ เด็ดขาด เป็น สมุจเฉทปหาน เย้าถึง วิชชา แห้ๆ พระองค์ทรงรู้เห็นตลอดว่า สุขจริงสบายจริง ด้องตามพระประสงค์ทุกสิงที่ทรงดั้นด้นแสวงหามาตลอด ๖ พรรษา นับแต่เริ่มบรรพซา มืพระอาการตังกล่าวแล้วนี้ ไนยามที่สามแห่ง ราตรีวิสาขปุรณมื นี้เป็น วิชชาที่ ๓ เรียกว่า อาสวักฃยญาณ ต่อไปนี้จักได้บรรยายขยายความถึงวิธีปฏิบัติให้รู้-เห็น ธรรม โดย ละเอียดพิสดารไปตามลำด้บ. www.kalyanamitra.org

๑๖ เห็นธรรฆ ดวงธรรม ที่ตั้งของดวงธรรม ถ้าใช้เสนดาย ๒ เถ้นปีงไหตึง เถ้นที่หนึ่งปีงจากสะดือทะลุหนัง เถ้น ที่สองขึงจากเอวดานขวาทะลุเอวด้านช้าย เสนด้ายทั้งสองเถ้นปีย่อมฬาด ตัดกัน ณ บริเวณช่องว่างกลางลำดัว ตรงจุดด้ดนี้เหปีอขึ้นมา ๒ นิ้วมือ จะถูก กลางดวงธรรมพอตึ ดวงธรรมของกายมนุษย์นี้ เรียกกันโดยทั่วไปว่าดวงมนุษยธรรม มีลักษณะเป็นดวงใสบริสุทธี้เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแลว วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้ประมาณ ๑-๘ นิ้ว ดวงมนุษยธรรมย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับกายมนุษย์ คือ เกิดขึ้นทันทีที่ เชื้อจากบิดาผสมกับไข่ของมารดาในรังไข่ ไม่ก่อนไม่หลังกัน เหมือนแสงเทียน ย่อมเกิดขึ้นพร้อมเปลวเทียน ฉะนั้น หากว่าดวงธรรมนี้ดับไปขณะใด ไม่ว่าจะ เป็นขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรีอคลอดแล้วก็ตาม ชีวิตย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ ถึงแก'ความดายทันที ครั้นเมื่อเราตาย ดวงธรรมนี้ก็ย่อมหายไปด้วย ถึงจะ ผ่าซากศพออกตรวจ ก็หาดวงธรรมนี้ไม่พบ ประสาทลัมผัสส่วนละเอียด ๆ จากอวัยวะรับอารมณ์ทุกชนิด คือ ตา หู จมก ลิ้น และกาย ต่างมารวม ประชุมกันอยู่อย่างเป็นระเบียบในดวงธรรมนี้ส้าดวงธรรมผ่องใส ร่างกายของ เราก็ผุดผ่องสวยงามไปด้วย ดังนั้น ดวงธรรมจีงเป็นเสมือนชีวิตของ คนทุก ๆ คน. www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๑๗ วิธีปฏิบัติให้รู้-เห็นซรรม การรู้-เห็นธรรมได้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือโชคช่วย แต่เป็นผลของ การอบรมใจให้ละเอียดอ่อน ด้วยวิธีการอันแน่นอน ประณีต และอาศัยเวลา พอสมควร ถาการรู้เห็นดวงธรรมเป็นเรื่องง่ายแล้ว เจาชายสิทธัตถะซึ่งทรง พระ!!รืชาญาณเหนือมนุษย์ทั้งหลายคงไม่ตองทรงเสียเวลาด้นหานานถึง ๖ ปี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย ไม่เช่นนั้นแล้ว ขุนโจรองคุสีมาลซึ่งเช่นฆ่าสังหาร มนุษย์ตาดำ ๆ ด้วยกันมาแล้วนับพันคน คงจะไม่สามารถรู้เห็นตวงธรรมได้ เป็นแน่ ดังนั้น การปฏิบัติธรรมจงอย่าได้ดูเบา ขาดความพินิจพิจารณา อย่ามัวคิดห้อถอยว่า ตัวเราบุญนัอย ปฏิบัติแล้วคงจะไม่รู้!ม่เห็นธรรม ผู้ที่จะรู้-เห็นธรรมได้ จำ เป็นต้องทำกาย-วาจา-ใจ ของตนให้ละเอียด เสียก่อน ยิ่งมีความละเอียดมากเทำใด ก็ยิ่งสามารถรู้-เห็นธรรมได้ซัดมากขึ้น เท่านั้น แต่ล้ายังหยาบอยู่ ย่อมไม่สามารถรู้-เห็นได้ ใจที่ละเอียดนั้น คือ ใจที่หยุดคิด ได้แก่ หยุดจากการคิดเรื่องราว ทั้งหมด ที่ดีก็ตาม ที่ซั่วก็ตาม แล้วกำหนดความรู้สีกอยู่ตรงดูนย์กลางกาย ซึ่งเล็กประมาณปลายเข็มนั้นเพียงประการเดียว วาจาที่ละเอียดนั้น คือหยุดตรึกถึงคำภาวนาที่เคยภาวนาใดๆ ทั้งหมด (ในที่สุดแม้แต่คำภาวนาสัมมาอะระหัง ๆๆๆ...ก็จะหยุดไปเองโดยอัตโนมัติ) www.kalyanamitra.org

๑๘ เหนธรรม กายที่ละเอียดนั้น คือ ลมหายใจ ที่มีปรกติเขาออกปรนปรือหล่อเลี้ยง ร่างกาย ก็หยุดไปด้วย เมื่อลมหายใจหยุด การตรึกถึงคำภาวนาก็หยุด และใจที่คิดก็หยุดติด ทุกเรื่องราว เพียงกำหนดรู้ จดจ่ออยู่ตรงศูนย์กลางกายนั้น ครั้นทั้ง ๓ ประการ หยุดสนิทถูกส่วนแล้ว ธรรมย่อมผุดให้เห็นตรงศูนย์กลางกายนั่นเอง ทำนอง เดียวกับเมื่อนํ้าใสๆ ในโอ่งหยุดกระเพื่อม วัตถุตำงๆ ที่อยู่กันโอ่งย่อมผุด ให้เห็น หรือเหมือนเห็นดวงอาทิตย่โผล่พ้นขอบฟ้า ในเวลาเช้าตรู่ที่ปราศจาก เมฆหมอก ฉะนั้น ดวงธรรมมีลักษณะใสบริสุทธ เปล่งรัศมีเป็นประกายรอบตัว ดวงธรรมของแต่ละคนมีหลายดวง ช้อนๆ กันอยู่ภายในศูนย์กลาง เดียวกัน ความใสบรืสุทธและความสว่างก็ต่างกันใป เหมือนกับดวงประทิป ล้าดวงเล็กความสว่างก็น้อย ล้าดวงใหญ่ความสว่างก็มากขืน หรือล้าดวง เท่ากัน แต่คุณภาพของเชื้อเพลิงต่างกัน ความสว่างที่เกิดขืนก็ต่างกันใปด้วย แต่ใม่ว่าดวงธรรมจะเล็กหรือใหญ่ต่างกันอย่างใรก็ตาม ศูนย์กลางของ ดวงธรรมทุกๆ ดวงย่อมเป็นศูนย์เดียวกัน ผู้ที่มืปัญญาจึงต่างพยายามเช้าใป เสือกเอาดวงธรรมที่ใหญ่ที่สุด ใสที่สุด และสว่างที่สุดมาใช้ประโยซใ!ให็ใด้ สำ หรับผู้เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆ จำ เป็นต้องเอาใจไปจดจ่ออยู่ที่ ศนย์กลางกายทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ลดละ จะเป็นผลใหํใจติดอยู่กับ ดวงธรรมโดยอัตโนมัติ (แมัจะยังไม่เห็นก็ตาม) ครั้นเมื่อใดใจหยุดสนิทติด นิ่งไต้ถูกส่วน เมื่อนั้น การตรึกถึงคำภาวนาก็ดี ลมหายใจเข้าออกก็คื ย่อมหยุดไปเองโดยไม่มีการบังคับ ดวงธรรมก็จะผุดขึ้นใต้เห็นไดในไม่ข้า เมื่อเป็นคังนี้ฟานย่อมไดชื่อจำ เห็นดวงมนุษยธรรมแล้ว. www.kalyanamitra.org

เห็นธรรบ ๑ส ป็ญหาชวนสงสัย ล้าจะถามว่า \"เมื่อลมหายใจหยุดเล้ยแล้ว จะใฝลึงแก'ความตายหรือ ?\" โปรดอย่าตกใจ แม้ลมหายใจเข้าออกธรรมดาๆ จะหยุดไปแล้ว แต่ลมละเอียด ๆ (ลมปราณ) ที'ซึมซาบเข้าไปเองนั้นไม่หยุด เพราะเราไม่ได้ อุดจมูกไว้ ถึงแม้จะเป็นลมส่วนนอย ก็ยังพอเพียงแก่ความด้องการของ ร่างกายขณะนั้น จึงทำให้ผ้ที่อยู่ในสมาธิไม่ถูกกระทบกระเทีอนแต่อย่างใด อีกประการหนึ่ง สภาพลมหายใจหยุดดังกล่าวแล้วนั้น ทุกคน เคยประสบมาแล้วทั้งนั้นขณะอยู่ในครรภ์ ทารกทุกคนจะเอาใจไปจรดอยู่ที่ ช่องว่างตรงศนย์กลางดวงธรรม ซึ่งมีขนาดเล็กเทำปลายเข็ม เมื่อเป็นเช่นนี้ สังขารทั้ง ๓ ของทารก คือ กายสังขาร(ลมหายใจเข้าออก)วจีสังขาร(ความ ตรึกถึงคำภาวนา) จิตสังขาร (ความปรุงแต่งทางใจ) ก็หยุดเป็นจุดเดียวกัน จึงเป็นผลให้ทารกมีซึวิดอยู่ในครรภ์ใดโดยไม่ด้องหายใจ เหมีอนในขณะทำ สมาธินั้นเอง. www.kalyanamitra.org

๒๐ เห็นธรรม ธรรมในธรรม ะ หางสายกลาง เมื่อดวงธรรมสว่างซัดเจนแลว อย่าส่งใจไปที่อื่น ให้เอาใจไปหยุด สนิทติดนิ่งตรงศูนย์กลางดวงธรรมนั้น ใจยิ่งหยุดนิ่งตรงศูนย์กลางดวงธรรม ได้มากเท่าใด ใจก็ยิ่งละเอียดมากขึ้นเท่านั้น ทั้งการหยุดของใจ ทั้งความใส ของดวงธรรม ทั้งความละเอียดของใจ ต่างเป็นผลเนื่องกันอยู่เช่นนี เมื่อทำใหํใจหยุดได้ดังนี้แล้ว จะเข้าไกลใคร อยู่กับใคร ก็มีความรื่นเริง เบิกบาน แจ่มใสไร้กังวล ความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความมัวเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็หมดลิ่นไป เพราะดวงธรรมนั้นย่อมน่าความสุขให้แก่ ผัที่ \"หยุด\"ได้แล้วเสมอ สมกับพุทธดำรัสที่ว่า เตสํ วูปสโม สุโข หมายถึง การหยุดนิ่งของกาย วาจา ใจ(สังขาร)เหล่านั้น เป็นเหตุนำความสุขมาไห ตรงศูนย์กลางของดวงมนุษยธรรม มีช่องว่างสว่างใสเป็นทางตรง ผ่านกลาง คลายกับเพชรลูกกลมที่เจาะรูดรงกลางไร้ร้อยด้ายเส้นละเอียด ๆ ขนาดเท่าใยบัว เส้นทางสายนี้ใสกว่าเพชร สว่างกว่าดวงอาทิตย์นับเท่าไม่ล้วน เห็นแล้วเย็นใจสบายจิต เรียกว่า \"ทางสายกลาง\" เป็นทางเอกทางเดียวที่ ผู้ปฏิบัติจะด้องดำเนินไปเพียงลำพัง จะพ่วงเอาใครไปด้วยไม่ได้ มุ่งสัดดัด ตรงไปพระนิพพาน พระพุทธเร้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ต่างเสด็จล่วงหนัา ไปแล้วในเส้นทางสายนี้ทั้งลิ่น. www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๒๑ ดวง^ล สีล คือ อะไร คืล คือ เครื่องกลั่นกรองกาย-วาจา-ใจ ให้ละเอียด คืลมีอยู่ ๓ ระดับ ดัวยกัน คือ คืลโดยปริยายเบื้องตา ๑ ศีลโดยปริยายเบื้องสูง ๑ และศีลยิ่ง หรืออธิศีลอีก ๑ คืลโดยปริยายเบื้องตื้า เมื่อผู้ใดสามารถสำรวมกาย วาจา ไดัดี งดเว้นบาปกรรมต่างๆ โดยเด็ดขาดจากสันดาน เช่น ไม่ฆ่าสัดว์ดัดซีวิด ไม่สักทรัพย์ ไม่ประพฤติล่วงผิดในกาม ไม่พูดปด และไม่เสพสุรายาเมา ให้เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท สามารถรักษาศีลไดับริสุทธผุดผ่องเช่นเดียว กับพระอริยสาวก ผู้'นั้นก็ไดีซื่อว่า รักษาศีลโดยปริยายเบื้องดรเท่านั้น เพราะ เป็นการรักษาศีลเพียงเพื่อกลั่นกรองกาย-วาจาให้ละเอียดยิ่งขึ้น ไม่นับว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์แต่อย่างใด คืลโดยปริยายเบื้องสูง เมื่อภิกษุสามเณรรูปใด สามารถสำรวม รักษาศีลดามพระปาติโมกช่ใดํโดยเคร่งครัด คือ เว้นจากข'อที่พระพุทธองค์ ทรงห้าม ประพฤติดามข้อที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาต ถึงพรัอมดัวยมารยาท สามารถแลเห็นภัยทั้งหลายในโทษผิดแม้มีประมาณเล็กนัอย เมื่อท่าไดโดย ไม่มีสิงใดบกพร่องเห็นปานฉะนี้ พระภิกษุสามเณรรูปนั้น ก็ไดีซื่อว่ารักษาศีล โดยปริยายเบื้องสูง ที่ว่าสูงก็เพราะถือเอา เจตนา คือ ความคิดอ่านทางใจ เข้ามารวมกับศีลโดยปริยายเบื้องตาดัวย ตรงตามพระบาลีว่า www.kalyanamitra.org

๒๒ เห็นธรรม เจตนาหํ ภิกฺฃเว สีลํ วทามิ แปลว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล'าวเจตนาความคิดอ่านทางใจ นั่นแหละ ว่าเป็นตํเวคิล ดังนั้น สีลเบื้องสูงจึงสามารถใช้กลั่นกรอง กาย-วาจา-ใจ ให้ละเอียด เพิ่มขึ้นไดั สืลยิ่ง หรือ อธิสืล เมื่อรักษาสืลโดยปริยายทั้งเบื้องตาและเบื้องสูง ไดัถูกส่วน จึงเกิดสีลยิ่งขึ้น สีลยิ่งมิลักษณะเป็นดวงกลมและมิขนาดเดียว ลับดวงมนุษยธรรม แต่ละเอียดกว่าและสว่างกว่า จึงช้อนอยู่กลางดวง มนุษยธรรมไดโดยไม่แย่งที่ลัน(เหมือนรังสีเอ็กซ์ช้อนอยู่ใดีในแสงแดดฉะทั้น) เมื่อปฏิบัติเช้าถึงดวงดีลเมื่อใด ก็ไดัชื่อว่าเห็นดีลยิ่ง เป็นดีลยิง เพราะไดักลั่น กาย-วาจา-ใจ ให้ละเอียดยิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่งแลัว คิลโดยปริยายเบื้องตํ้าและเบื้องสูงเป็นเพียงคิลรู แด'พีลยิ่งหรือ อธิพีลเป็นพีลเห็น เมื่อใจหยุดสนิทติดนึ่งอยู่ตรงศูนย์กลางดวงดีลแลัว ก็จะเห็นไดัทันที ว่า ดีลของตนนั้นบริสุทธเพียงไหน กาย-วาจา-ใจ ของตนสะอาดเพียงใด ถ้ายังไม่สะอาด ก็เห็นไดัเองว่าไม่สะอาดเพราะอะไร หรือถ้าสืลขาดเป็นท่อน ทะลุเป็นช่อง ก็เห็นไดัตามความเป็นจริงทุกสิงอัน ๏ ต่อจากได้เห็นดวงมนุษยธรรมแล้ว ใจของผู้ปฏิบัติก็หยุดสนิทติด นิ่งตรงปีนย์กลางดวงมนุษยธรรมนั่น ครั้นหยุดได้ถูกส่วนแล้วใจก็ถูกกสั่น กรองจนกระทั้งละเอียดยิ่งกว่าดวงมนุษยธรรม เป็นผลให้ดวงมนุษยธรรม ขยายว่างออกไป ใจก็ฝานเข้าไปในทางสายกลางนั่นโดยอัตโนมัติ เห็นดวง ธรรมชั้นในเข้าไปอีกดวงหนิ่งเรียกว่า ดวงคิล ใจก็หยุดสนิทติดนิ่งอยู่ตรง กลางดวงคิลนั้น. www.kalyanamitra.org

เห็นธรรบ ๒๓ ดวงสมาธิ สมาธิ คือ อะไร สมาธิ คือ เครื่องกลั่นกรองกาย-วาจา-ใจ ให้ละเอียดยิ่งขึ้นต่อจากคืล สมาธิมีอยู่ ๓ ระดับดวยกัน คือ สมาธิโดยปริยายเบื้องตํ่า ๑ สมาธิโดยปริยาย เบื้องสูง ๑ และสมาธิยิ่งหรืออธิจิตอีก ๑ สมาธิโดยปริยายเบื้องตร พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแนะน่าว่า อริยสาวกในพระธรรมวินัยของพระองค์นี้ ลวนเป็นผู้สละอารมณ์ทั้งสินหลุด จากใจ ถึงซึ่งความเป็นหนึ่งของใจ คือการคิดถึงเพียงอารมณ์เดียวได้ นี้เป็น สมาธิโดยปริยายเบื้องดร สมาธิโดยปริยายเบื้องสูง พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแนะน่าว่า ให้ ดำ เนินถึงปฐมญาณ ทุติยญาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เมื่อเข้าฌานใดฌานหนึ่ง ได้ ย่อมเป็นสมาธิโดยปริยายเบื้องสูง สมาธิยิ่ง หรืออธิจิต เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นดวงศีลได้ชัดเจนแสัว แสดงว่า กาย-วาจา-ใจ ละเอียดได้พอสมควรแล้ว แต่ยังไม่พอ ต้องกลั่นให้ละเอียด ยิ่งขึ้นไปอีก www.kalyanamitra.org

๒๔ เห็นธรรม @ ด่อจใก!ดไห็นดวงสัลพลํว ผู้ปฏิบัติกเพ่งใจหยุดสนิทติดปีงเ- ตรงศูนย์กลางดวงติลนั้น ครั้นไม'มุ่งเรื่องอื่นนานเย์า ใจจึงไม่หวังรวย ไม่หวัง ใหญโต ฯลฯ หวังแต่ความสงบ ครั้นหยุดได้ถูกต่วนแล้ว ใจก็ถูกกลั่นกรอง จนกระทงละเปียดอ่อนยิงกว่าดวงต่อ เปนมลใหดวงต่ลยยายวางออกไม่เหน ทางสายกลางได้ชัดเจน ใจก็ฝานเข้าไม่ในทางสายกลางนั้นโดยล้ตโนด้ต่ สามารถเห็นดวงธรรมนั้นในเข้าไม่ปีกดวงหนึ่ง มีขนาดเต่ยวกันกับดวงต่ลเ^ต่ ละเปียดกว่า ใสกว่า และสว่างกว่า เรียกว่า ดวงสมาธิ ดวงสมาธินี้ คือ ดวงสมาธิยิ่ง คือ สามารถกลั่นกรองกาย-วาจา-*'•จ ให้ละเอียดได้ ยิ่งกว่าที่ได้ทำมาแด้วด้งแต่ตน ใจผูปฏิบัติกหยุดสนิทติตนิง อยู่ตรงกลางดวงสมาธินั้น. www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๒๕ ดวง'ป็ญญา ปืญญา คือ อะไร ป็ญญา คือ เครื่องกลั่นกรองกาย-วาจา-ใจให้ละเอียดยิ่งขึ้นต่อจาก สมาธิ ฟ้ญญามีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ ปัญญาโดยปริยายเบื้องV''า ๑ ปัญญา โดยปริยายเบื้องสูง ๑ และปัญญายิ่งหรืออธิปัญญาอีก ๑ ปัญญาโดยปริยายเบื้องตํ่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแนะน่าว่า อริยสาวกในพระธรรมวินัยของพระองค์นี้เป็นผู้ปฏิบัติให้รู้ถึงซึ่งความเกิดขึ้น และความเส์อมไปของสังขารทั้งหลาย และรู้ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความสินทุกข์ โดยวิธีที่ชอบ นี่คือปัญญาโดยปริยายเบื้องตา ปัญญาโดยปริยายเบื้องสูง พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแนะน่าอีกว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยของพระองค์นี้ เป็นผู้รู้ซัดว่า นี้ทุกข์ นี่คือเหตุแห่งทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ความรู้ซัดในสัจธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นปัญญาโดยปริยายเบื้องสูง ปัญญายิ่ง หรืออธิปัญญา เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นดวงสมาธิได้ซัดเจนแสัว แสดงว่ากาย วาจา ใจ ละเอียดเพิ่มขึ้นอีกระดับหนี่งแล้ว แต่ก็ยังโม่พอ จำ ด้องกลั่นให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก www.kalyanamitra.org

๒๖ เห็นธรรม ® ต่อจากไดเห็นดวงสมาธิแลว ผู้ปฏิบัติก็เฟงใจหยุดสนิทติดนิ่งเขวไป ตรงศูนย์กลางดวงสมาธินั้น ครั้นหยุดไดถูกส่วนแล้ว ใจก็ถูกกลั่นกรองชำ กระทงละเอียดย่อนยิ่งกวำดวงสมาธิ เป็นผลให้ดวงสมาธิขยายว่างออกไป เห็นทางสายกลางไดชัดเจน ใจก็ฝานเขาไปในทางสายกลางนั้นโดขอัตโมบัอิ สามารถเห็นดวงธรรมชั้นในเชัาไปอีกดวงหนึ่ง มีขนาดเดียวกันกันดวง^มวยิ แต่ละเอียดกว่า ใสกว่า และสว่างกว่า เรียกว่า ดวงป้ญญา ดวงไ]ญญานี้ คือ ดวงป็ญญาอิ่ง คือ เมื่อเข้าถึงดวงปัญญาได้ ความคิดอ่าน ก็เฉียบแหลมละเอียดสุข,มยิ่งขึ้น เลิกเป็นคนงมงายได้ทันที แต่เนื่องจากเป็นดวงปัญญาของกายมนุษย์ จึงเป็นเพียงเริมด้นของปัญญายิง เท่านั้นใจผู้ปฏิบัติก็หยุดสนิทติดนิ่งอยู่ตรงกลางดวงปัญญานี้ม- www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๒๗ ดวงวิมุตติ วิมุตติ แปลว่า ความหลุดพ้นจากกิเลสอันผูกใจสัตว่โลกไว้ เป็น กิเลสละเอียดที่ฝืงสนิทติดแน่นอยู่ในสันดานสัตว่โลกมานานนับภพนับชาติ ไม่ถ้วน อันได้แก่ อังโยชน์ ๑๐ ประการ คือ ๑. สักกายทิฎฐ ความเห็นอันเป็นเหตุให้ถือดน ๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม ๓. สีสัพพตปรามาส ความเชื่อถือยึดแน่นในคืลพรดนอกศาสนา (£. กามราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม ๕. ปฏิฆะ ความหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ ๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปฌาน ๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปฌาน ๘. มานะ ความสำคัญตัวว่า ดีกว่าเขา เสมอเขา หรือ ๙. อุทธัจจะ ตากว่าเขา ความคิดฟ้งซ่าน ๑๐. อวิชชา ความไม่รู1นสิงที่ควรรู้ เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นดวงป๋ญญาได้ซัดแล้ว แสดงว่ากาย-วาจา-ใจ ละเอียด เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่พอ จะตองกลั่นให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก www.kalyanamitra.org

๒๘ เห็นธรรม ® ต่อจากไดเห็นดวงปัญญาแล้ว ผู้ปฏิบัติก็เพ'งใจหยุดสนิทติดนิ่งเข้าไปั ตรงศูนย์กลางดวงปัญญานั้น ครั้นหยุดได้ถูกส่วนแล้ว ใจก็ถูกกลั่นกรองซํ้า กระทั่งละเอียดอ่อนยิ่งกว่าดวงปัญญา เป็นผลให้ดวงปัญญาขยายว่างออกไป เห็นทางสายกลางได้ชัดเจน ใจก็ฝานเข้าไปในทางสายกลางนั้นโดยอัตโนมัติ สามารถเห็นดวงธรรมชั้นในเข้าไปอีกดวงหนึ่ง มีขนาดเดียวกันกับดวงปัญญา แต่ละเอียดกว่าใสกว่า และสว่างกว่าเรียกว่า ดวงวิมุตติ ครั้นถึงดวงวิมุตติได้เท่านั้น กิเลสทั้งหยาบทั้งละเอียดก็หลุด ใจก็ เป็นอิสระเต็มที่ เกิดความสุขทันดาเห็นทีเดียว เป็นความสุขที่ประณีตอย่างยิ่ง สมกับพุทธดำรัสที่ว่า นิพพาน ปรมํ สุขํ แปลว่า ความดับกิเลสเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากเป็นดวงวิมุตติของกายมนุษย์ จึงเป็นเพียงวิมุตติขั้นด้น เท่านั้น ใจผู้ปฏิบัติก็หยุดสนิทติตนื่งอยู่ตรงกลางดวงวิมุตตินั้น. www.kalyanamitra.org

เห๊นธรรม ๒๙ ดวงวิมุตติญาณทัสน วิมุตติญาณหัสนะ แปลว่า ความรู้เห็นว่า หลุดพนจากกิเลสตาม ความเป็นจริง ในทางโลก เมื่อนักสืกษาเรียนจบหลักสูตรแล้ว จะรู้ว่าตนเอง มีความรู้จริงหรีอไม่ ตองผ่านการทตสอบก่อน เมื่อผ่านการทตสอบจึงจะได้ ไบรับรองยืนยันว่าเป็นผู้มีความรู้จริง แต่ไนทางธรรมนั้นตรงกันขาม ตนหลุต พนกิเลสแล้ว ก็รู้ว่าตนหลุตพ้นแล้วจริงๆ ไม่ด้องรอไห้ใครมาบอก หรีอออก ไบรับรองไห้ เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นดวงวิมุตติได้ชัตแล้ว แสตงว่ากาย-วาจา-ไจ ละเอียด เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่พอ ยังด้องกลั่นไห้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก ® ต่อจากใดํ'เห็นดวงวิมุตติแล้ว ผู้ปฏิบัติก็เพ่งใจหยุดสนิทติดนิ่งเข้าไป ตรงศูนย์กลางดวงวิมุตตินั้น ครั้นหยุดไล้ถูกสวนแล้ว ใจก็ถูกกลั่นกรองซํ้า กระทั่งละเอียดย่อนยิ่งกว่าดวงวิมุตติ เป็นผลให้ดวงวิมุตติขยายว่างออกไป เห็นทางสายกลางไล้ชัดเจน ใจก็ฝานเข้าไปในทางสายกลางนั้นโดยอัตโนมัติ สามารถเห็นดวงธรรมชั้นในเข้าไปอีกดวงหนึ่ง มีขนาดเดียวกันกับดวงวิมุตติ แต่ละเอียดกว่า ใสกว่า และสว่างกว่า เรียกว่า ดวงวิมุตติญาณหัสนะ www.kalyanamitra.org

๓๐ เหีนธรรม คเนถึงดวงวิมุตติญาณทัสนะได้เท่านั้น ใจของกายมนุษย์ก็ละเอียด ถึงที่สุด สามารถรู้เห็นได้ตามความเป็นจริงว่า บัดนี้กิเลสทั้งหยาบและ ละเอียด หมดนี้นแลว ย่อมรู้แจ้งว่า ความเกิดหมดถึนแลว การประพฤติ พรหมจรรย์อยู่จบแลว กิจที่ควรท่า ได้ทำสำเร็จเรียบรอยแล้ว กิจที่จะด้องท่า อื่นยิงไปกว่านี้ไมมอีกแล้ว แด่เนื่องจากเป็นดวงวิมุตติญาณหัสนะของกายมนุษย์ จึงเป็นเพียง ดวงวิมุตติญาณหัสนะขั้นด้นเท่านั้น ใจผูปฏิบัติก็หยุดสนิทติดนิ่งอยู่ตรงกลาง ดวงวิมุตติญาณหัสนะนั้น. www.kalyanamitra.org

เ'หนธรรม ๓๑ ธาตุ-ธรรม วัตลุต่างๆ ที่ประกอบเป็นกายมนุษย์นั้น ทางศาสนาเรียกว่า ธาตุ และสามารถแยกธาตุออกได ๖ ธาตุด้วยกัน ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุนั้า ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ และธาตุวิญญาณ ธาตุดิน หมายถึง ธาตุส่วนที่เป็นของแข็งในกายมนุษย์ ธาตุนั้า หมายถึง ธาตุส่วนที่เป็นของเหลวไนกายมนุษย์ ธาตุไฟ หมายถึง ธาตุส่วนที่เป็นความรอน ไหความอบอุ่น แก่ร่างกาย ธาตุลม หมายถึง ธาตุส่วนที่ละเอียด พัดผ่านไปมาในร่างกาย ธาตุอากาศ หมายถึง ธาตุส่วนละเอียดอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งบรรจุอยู่ ในที่ว่างของธาตุชนิดอื่นได้ ธาตุวิญญาณ หมายถึง ใจ ซึ่งเป็นธาตุรู้ ธาตุทั้ง ๖ นี้ เป็นธาตุส่วนหยาบ เมื่อประกอบได้ส่วนกับดวงธรรม ก็เกิดเป็น กายมนุษย์ ขึ้น ธาตุส่วนหยาบนี้จะสะอาดหรีอไม่เพียงใด ขึ้นอยู่กับธาตุส่วนละเอียด อีกทีหนึ่ง www.kalyanamitra.org

๓๒ เห็นซรรม ๓ ฒวงธาตลม ดวงธาตุนํ้'อุ ,ดวงธาตุอากาศ(๕) 'ดวงธาตุวิญญาณ(๖) ท่งธาตุไฟ ๑. ด้านขวา ดวงธาตุดิน ๒. ด้านหนา ๓. ด้านซ้าย ดวงธาตุนา ๔. ด้านหลัง ดวงธาตุลม ๕. ศูนย์กลาง ดวงธาตุไฟ ๖. กลางอากาศธาตุ ดวงธาตุอากาศ ดวงธาตวิญณาณ www.kalyanamitra.org

เห็นรรรม ๓๓ ธาตุส่วนละเอียดใfนตั้งอยู่กลางดวงธรรม สมมติว่าเร่าหยิบดวงธรรม ขึ้นมาดวงใดดวงหนึ่ง ซึ่งมีขนาดเสนผ่าศนย์กลางประมาณ ๘ นิ้ว (ขนาดเท่า ลูกฟุตบอล) ที่ตรงกลางดวงธรรมจะมี ดวงธาตุอากาศ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๒ นิ้ว (ขนาดเท่าลูกเทนนิส) ซ้อนอยู่ และข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้ไย ข้างขวา ของดวงธาตุอากาศภายในดวงธรรมนั้น ก็มีดวงธาตุขนาด เท่าๆ กันอีก ๔ ดวงอยู่ดวย คือ ข้างหน้าเป็น ดวงธาตุนั้า ข้างหลังเป็น ดวงธาตุไฟ ข้างซ้ายเป็น ดวงธาตุลม ข้างขวาเป็น ดวงธาตุดิน และแต่ละ ดวงก็มีสายธาตุสีขาวใสไหลเซึ่อมโยงไปยังดวงธาตุอากาศ ท่าให้ทุกๆ ธาตุ สามารถไหลติดต่อถึงกันได' ตรงกลางดวงธาตุอากาศมี ดวงธาตุวิญญาณ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้ว (ขนาดลูกปงปอง) ซ้อนอยู่ ดวงธาตุ ทั้ง ๖ นิ้เป็นดวงใสสะอาดคส้ายดวงแกัว และรอบๆ ดวงธาตุมีรัศมีสว่างเปล่ง ออกมาโดยรอบเรียกว่า ธรรม ดังนั้น ทั้ง ธาตุ และ ธรรม ในส่วนที่ละเอียด แส้ว จึงต่างเป็น ดวงใสสะอาด ดัวยกัน นอกจากนิ้ ยังช่วยกัน ควบดุม ราตุ-ธรรมส่วนหยาบ อีกดัวย เนึ่องจากดวงธาตุซึ่งซ้อนกันอยู่ในกลางดวงธรรมทุก ๆ ดวง จะละเอียด ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ท่าให้ ดวงสืล ใส-ละเอียด กว่าดวงมนุษยธรรม ท่าให้ ดวงสมาธิ ใสrละเอียด กว่าดวงคืล ท่าให้ ดวงป้ญญา ใส-ละเอียด กว่าดวงสมาธิ ท่าให้ ดวงวิมุตติ ใส-ละเอียด กว่าดวงป๋ญญา ท่าให้ ดวง วิมุตติญาณทัสนะใส-ละเอียด กว่าดวงวิมุตติ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจึงควรทำใจให้หยดใหนิ่งเข้าไปในดวงธรรมที่รยู่ ชั้นในที่สุดเทำที่จะทำใดั ทั้งร่างกายและจึดใจจะไดัใสละเอียดประณีดเร็ว ยิ่งขึ้น. www.kalyanamitra.org

Old musssij กายมนษย์หยาบ www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๓๕ กๆยมนษย์ละเอียด ทุกคนในโลกนึ๋ไม่ได้มีกายที่ประกอบด้วย เลือด เนื้อ กระดูก ฯลฯ ที่เห็นเป็นส่วนหยาบเพียงกายเดียว ยังมีกายที่ละเอียด ๆ ซึ่งไม่สามารถเห็น ได้ด้วยดาเปส่าซ้อนอยู่ภายในอีกหลายกาย เรียกว่า กายในกาย กายในกาย เหล่านื้ละเอียดมาก จนกระทั่งเข้าใปนั่งอยู่ในกลางดวงธรรมได้ www.kalyanamitra.org

๓๖ เห็นธรรม กายในกายชั้นที่ ๒ นับจากกายมนุษย์เข้าไป ประกอบด้วยธาตุธรรม ที่ละเอียดยิ่งขึ้นเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ละเอียดของผู้!ด ก็มีลักษณะรูปร่างหนัาตาเหมือนผู้นั้น แมเสือผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ก็เป็น เช่นเดียวกัน คือ กายมนุษย์เหมือนหล่อขึ้นจากดิน แต่กายมนุษย์ละเอียด เหมือนหล่อขึ้นจากแกวใสๆ จึงเรียกร่างกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อว่า กายมนุษย์หยาบ คือ หยาบกว่ามนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ละเอียด ประกอบขึ้นจากธาตุธรรมที่ละเอียดมาททว่า สามารถใปไหนมาไหนได้คล่องแคล่วโดยไม่ตองเดิน แต่เหินไปและไปได้เร็ว ทันใจ กายมนุษย์ละเอียดนี้ทำหน้าที่สำคัญ cn ประการ คือ ๑. ทำ หน้าที่ฝืน เมื่อเราหลับ กายมนุษย์ละเอียดนื้สามารถออกไป เที่ยวได้ ถ้าพบสิงใดเข้าก็สามารถน่ามาแจงให้กายมนุษย์หยาบทราบ อาจ ซัดห้างไม่ซัดบ้างตามสภาพ ๒. ทำ หน้าที่ควบคุมใจ คือถือเอากายมนุษย์หยาบเป็นทุ่นเชิด เมื่อ มนุษย์จะคืด-พูด-ทำสิงใด กายมนุษย์ละเอียดจะคุมอย่างกระชั้นชิด ถ้าเห็น ว่าเป็นทางชั่วก็ห้ามไว้ หรีอถ้าเป็นทางดีก็สนับสนุน แต่เนื่องจากมนุษย่ไม่ได้ เอาใจไปหยุดอยู่ตรงกลางกายอย่เสมอ จึงไม่เห็นกัน มืแต่ทำให้ฉุกคืดห้าง หรีอได้ยินเสืยงเหมือนคนเตือนมาจากภายในห้าง หรีอเป็นนิมิตมาเตือนให้รู้ ล่วงหนาห้าง อย่างที่เรามักเรียกว่าสามัญสำนึกนั้นเอง ๓. ทำ หน้าที่มาเกิด-ไปเกิด เมื่อเราตาย กายมนุษย์ละเอียด ซึ่ง ไม่ต่อเนื่องกับกายมนุษย์หยาบ จึงด้องออกไปแสวงหาที่เกิดใหม่โดยมื บุญ-บาป ที่สะสมไว้ขณะมืซีวิตเป็นเครื่องน่าทาง อาการที่กายมนุษย์ละเอียดทิ้งกายมนุษย์หยาบออกไปแสวงหาที่ เกิดใหม่นั้น คด้ายกับการที่ปูเสฉวนทิ้งเปลือกเดิมไปหาเปลือกใหม่นั้นเอง^ ต่อจากได้เห็นดวงวิมุตติญาณมัสนะแลัว ผ้ปฏิบัดิก็เพ่งใจหยุด สนิทติดนิ่งเข้าไปตรงศูนย์กลางดวงวิมุตดิญาณทัสนะ ครั้นหยุดได้ถูกส่วนแลัว www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๓๗ ใจก็ถูกกลั่นกรองซํ้า กระทั่งละเอียดอ่อนยิ่งกว่าดวงวิมุตติญาณทัสนะ เป็นผล ให้ดวงวิมุตติญาณทัสนะขยายว่างออกไป เห็นทางสายกลางได้ซัดเจน ใจก็ ผ่านเข้าไปในทางสายกลางนั้นโดยอัตโนมัติ สามารถเห็นกายใหม่อีกกายหนึ่ง รูปร่างลักษณะ หน้าตา ท่าทาง เสือผ้าอาภรณ์เหมือนตนเองในขณะนั้น ทุกประการ แต่ทว่าตลอดทั้งกายนั้นละเอียดจนใสเป็นแก้ว เรียกว่า กาย มนุษย์ละเอียด และตาของกายมนุษย์ละเอียดก็เห็นกายของตนเองว่า นั่งซัดสมาธิอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสนะนั้น ทันทีที่เห็นก็จำใด้ว่า เคยพบกายมนุษย์ละเอียดนี้มาก่อนแล้วในขณะ ที่^น แต่เมื่อตื่นขึ้นก็ไม่ทราบว่าหายไปไหน บัดนี้พบแล้ว พบทั้งที่ยังตื่นอยู่ และสามารถพดจาโล้ตอบกันไดดวย เมื่อเห็นกายมนุษย์ละเอียดแล้ว กายมนุษย์ละเอียดก็เพ่งใจให้ หยุดสนิทติดนึ่งเข้าไปตรงศูนย์กลางกายของตนเอง คเนหยุดได้ถูกส่วน ดวงมนุษยธรรมของกายมนุษย์ละเอียดก็ผุดให้เห็น ส่วนกายนั้นก็ขยายว่าง ออกไป ดวงมนุษยธรรมของกายมนุษย์ละเอียดนี้ประกอบขึ้นด้วย ธาตุ-ธรรม ที่ละเอียด ประณีตยิ่งขึ้น จึงขยายใหญ่ขึ้น วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ ๒ นี้ว ส่วนซ่องว่างกลางดวงธรรมก็ขยายออกไปตามส่วนเซ่นกัน ท่าให้ สามารถเห็นทางสายกลางจากกายมนุษย์ละเอียดตรงไปพระนิพพานได้ซัดเจน ต่อจากได้เห็นดวงมนุษยธรรมแล้ว กายมนุษย์ละเอียดก็เฟงใจไห้ หยุดสนิทติดนิ่งเล้าไปตรงศูนย์กลางดวงมนุษยธรรมนั้น ครั้นหยุดไล้ถูกส่วน ใจก็ถูกกลั่นกรองซํ้า กระทั้งละเอียดย่อนยิ่งกว่าดวงมนุษยธรรม จึงสามารถ ฝานเล้าไปในทางสายกลางไดโดยอัตโนมัติถึงดวงทีล หยุดเล้าไปในกลาง ดวงทีลถึงดวงสมาธิ หยุดเล้าไปในกลางดวงสมาธิถึงดวงปัญญา หยุดเล้าไปใน กลางดวงปัญญาถึงดวงวิมตติ หยุดเล้าไปกลางดวงวิมุตติถึงดวงวินุตตื่- ญาณทัสนะ ใจของกายมนุษย์ละเอียดก็ถูกดวงธรรมทั้ง ๕ ดวงนั้น กลั่นกรอง ซํา้ แล้วซํ้าอีกโดยทำนองเดียวกับที่กส่าวมาแล้วในกายมนุษย์หยาบ ใจของ กายมนุษย์ละเอียด ก็หยุดสนิทติดนิ่งอยู่ตรงกลางวิมุตติญาณทัสนะนั้น. www.kalyanamitra.org

๓๘ เห็นธรรม กายทิพย์ กายในกายซั้นที่ ๓ ใ!บจากกายมนุษย์เข้าไป ประกอบด้วย ธาตุธรรม ที่ละเอียดยิ่งขึ้นกว่ากายมนุษย์ละเอียด เรียกว่า กายทิพย์ หรีอ เทวกาย กายทิพย์ของผู่ใดก็มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเหมือนกายมนุษย์ละเอียดของผู้นั้น แต่ละเอียดกว่า ใสกว่า และมืรัศมืกายสว่างกว่า (ทำนองเดียวกับที่กายมนุษย์ ละเอียดนั้นละเอียดกว่ากายมนุษย์หยาบฉะนั้น) นอกจากนี้ กายทิพย์ก็ยัง แสดงเพศเป็นหญิงหรีอชายเซ่นเดียวกันกับกายมนุษย์อีกด้วย www.kalyanamitra.org

เห็นธรรม ๓ร สิงที่กายทิพย์แตกต่างไปจากกายมนุษย์จนเห็นได'ซัดคืออาภรณ์ ของกายทิพย์ ได้ถูกกลั่นกรองด้วยอำนาจบุญ กลายเป็นอาภรณ์ทิพย์ที่มี ลักษณะเฉพาะ (รูปทรงคล้าย ๆ เครื่องแต่งตัวละครในสมัยโบราณ) ตังนั้น กายทิพย์ของทุกๆ คน จึงมีลักษณะที่สวยงามอย่างยิ่ง คือ สวยเหมีอน เทพบุตรหริอเทพธดา หนาที่ของกายทิพย์ ก็เซ่นเดียวกบหนาที่ของกายมนุษย์ละเอียดที่ กล่าวมาแล้ว คือ ๑. ทำ หน้าที่ฝืน แต่เป็นการฝืนในฝืน และสามารถท่องเที่ยวไปใน โลกทิพย์ คือ สวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ๒. ทำ หน้าที่ควบคุมใจ จะควบคุมใจของกายมนุษย์ละเอียดไว้อีก ชั้นหนึ่ง ใน้มี หิริ โอตตัปปะ คือ มีความละอายบาปและความกลัวผลของบาป ซึ่งทั้งสองประการนี้รวมเรียกว่า เทวธรรม ๓. ทำ หน้าที่ไปเกิด-มาเกิด ในกรณีที่ผู่'นั้นสว้างสมบุญในสมัย มีชีวิตไว้มาก ครั้นตายแล้ว กายมนุษย์ละเอียดรองรับไม่ไหว บุญนั้นก็จะ กลั่นตัวไหละเอียดยิ่งขึ้น แล้วนำกายทิพย่ไปเกิดในวิมานบนสวรรค์ชั้นใด ชั้นหนึ่งตามแต่กำลังบุญ ครั้นพักผ่อนอยู่ในสวรรค์วิมานนั้นจนหมดกำลังบุญ แล้ว ก็จะกลับมาเกิดบนพื้นมนุษย์เพื่อลั่งสมบุญให้มากขึ้นไปอีก ๏ ต่อจากได้เห็นดวงวิมุตติญาณทัสนะแล้ว กายมนุษย์ละเอียด ก็เพ่งใจหยุดสนิทติดนิ่งเข้าไปตรงศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสนะนั้น ครั้น หยุดได้ถูกส่วนแล้ว ใจก็ถูกกลั่นกรองชั้ไ กระทั้งละเอียดอ่อนยิ่งกว่าดวง วิมุตติญาณทัสนะ เป็นผลให้ดวงวิมุตติญาณฑัสนะขยายว่างออกไป เห็นทาง สายกลางได้ซัดเจน ใจก็ผ่านเข้าไปในทางสายกลางนั้นโดยอัตโนมัติ สามารถ เห็นกายใหม่อีกกายหนึ่ง รูปร่างลักษณะ หน้าตา ท่าทาง เหมือนกายมนุษย์ ละเอียด แต่อาภรณ์เปลี่ยนสภาพไป ตลอดทั้งกายก็ใสละเอียดยิ่งขึ้น เรียกว่า กายทิพย์ และตาของกายทิพย์ก็เห็นกายของตนเอง นั้งซัดสมาธิอยู่กลางดวง วิมุตติญาณทัสนะนั้น www.kalyanamitra.org

๔๐ เห็นธรรม เมื่อเห็นกายทิพย์แล้ว ต่อไปนี้ กายทิพย์ก็เพ่งใจให็'หยุดสนิทติดนิ่ง อยู่ตรงศูนย์กลางกายของตนเอง ครั้นหยุดได้ถูกส่วนแล้ว ดวงธรรมของ กายทิพย์หรือดวงเหวธรรม ก็ผุดให้เห็น ส่วนกายทิพย์ก็ขยายว่างออกไป ดวงธรรมนี้ประกอบขึ้นด้วย ธาตุ-ธรรม ที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น จึงขยาย ใหญ่ขึ้นวัดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ๓ นี้ว ส่วนช่องว่างกลางดวงธรรมก็ขยาย ออกไปตามส่วนเช่นกัน ทำ ให้สามารถเห็นทางสายกลางจากกายทิพย์ตรงไป พระนิพพานได้ชัดเจน ต่อจากเห็นดวงธรรมแล้ว กายทิพย์ก็เฟงใจหยุดสนิทติดนิ่งเข้าไป ตรงปีนย์กลางดวงเทวธรรมนั้น ครั้นใจหยุดไดถูกส่วนแลว ใจก็ถูกกลั่นกรองชํ้า กระทั่งละเอียดอ่อนยิ่งกว่าดวงเทวธรรม จึงสามารถฝานเข้าไปในทางสายกลาง ไดโดยอัตโนมัติถึงดวงศีล หยุดเข้าไปในกลางดวงศีลถึงดวงสมาธิ หยุดเข้าไป ในกลางดวงสมาธิถึงดวงปีญญา หยุดเข้าไปในกลางดวงปีญญาถึงดวงวิมุตติ หยุดเข้าในกลางดวงวิมุตติถึงดวงวิมุตติญาณทัสนะ ใจของกายทิพย์ก็ถูก ดวงธรรมทั่ง ๕ ดวงนั้นกลั่นกรองซํ้าแล้วชํ้าอีก โดยทำนองเดียวกับที่กส่าว มาแล้วในกายมนุษย์ละเอียดนั้น ใจของกายทิพย์ก็จะหยุดสนิทติดนิ่งอย่ตรง ดวงวิมุตติญาณทัสนะนั้น. www.kalyanamitra.org

เหนธรรม ๔๑ กายทิพย์ละเอียด พ กายในกายชั้นที่ ๔ นับจากกายมนุษย์เข้าไป ประกอบด้วยธาตุธรรม ที่ละเอียดยิ่งขึ้น เรียกว่า กายทิพย์ละเอียด กายทิพย์ละเอียดของผู้โด ก็มี รูปร่างลักษณะหนัาตาเหมือนกายทิพย์หยาบของผู้นั้นทุกประการ แต่ละเอียด กว่า ใสกว่า และมีรัศมืกายสว่างกว่า ที่เป็นเซ่นนี้ เพราะกายทิพย์ละเอียด มั่นอยู่ในเฑวธรรมยิ่งกว่านั้นเอง กายนี้เป็นกายสุดท้ายที่แสดงเพศตามกาย มนุษย์อีกด้วย www.kalyanamitra.org