Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมบท ภาคที่ 5 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)

ธรรมบท ภาคที่ 5 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)

Description: ธรรมบท ภาคที่ 5 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)

Search

Read the Text Version

ฟังแล้ว วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้มู อี ายุ ในวนั พรุ่งนี ้ อ.ทา่ น เป็นพระเถระ- “เสฺว อาวโุ ส ตสมฺ ึ เคเห ตฺวํ สงฺฆตฺเถโร หตุ ฺวา ในสงฆ์ เป็น จกั ได้ ซงึ่ อฏั ฐกภตั ร ในเรือน นนั้ ดงั นี ้ ถือเอา อปฏตฺฺตฐจกีวภรตมฺตาทํ ายลภปิสกฺสฺกสนีฺโตติ , สุตฺวา ตํ ข ณ ญฺ เ ญ ว ซง่ึ บาตรและจวี ร หลกี ไปแล้ว ในขณะนนั้ นนั่ เทยี ว, ครัน้ เมอ่ื อรุณ ปาโตว อรุเณ อคุ ฺคเต, ขนึ ้ ไปแล้ว ในเวลาเช้าเทยี ว, เข้าไปแล้ว สโู่ รงแหง่ สลาก ยนื แล้ว สลากคฺคํ ปวิสติ ฺวา โิ ต สงฺฆตฺเถโร หตุ ฺวา ตสสฺ า เป็นพระเถระในสงฆ์ เป็น ได้แลว้ ซงึ่ อฏั ฐกภตั ร ในเรอื น ของนางสริ มิ า เคเห อฏฺฐกภตฺตํ ลภิ. นนั้ ฯ ก็ อ.ภิกษุ นั่น ใด ฉันแล้ว ในวันวาน หลีกไปแล้ว, โย ปเนโส ภิกฺขุ หีโย ภญุ ฺชิตฺวา ปกฺกามิ, ตสสฺ อ.โรค เกิดขึน้ แล้ว ในสรีระ ของนางสิริมานัน้ ในเวลา คตเวลายเมวสสฺ า สรีเร โรโค อปุ ปฺ ชฺชิ; ตสมฺ า (แหง่ ภิกษุ) นนั้ ไปแล้วนน่ั เทียว; เพราะเหตนุ นั้ (อ. นางสริ ิมา)นนั้ สา อาภรณานิ โอมญุ ฺจิตฺวา นิปชฺชิ. เปลอื ้ งแล้ว ซง่ึ อาภรณ์ ท. นอนแล้ว ฯ ครงั้ นนั้ อ.ทาสี ท. (ของนางสริ ิมา) นนั้ เหน็ แล้ว ซง่ึ ภกิ ษุ ท. อถสฺสา ทาสโิ ย อสฏาฺฐกสภหตตฺตฺถํ า ลภิตฺวา อาคเต ผู้ ได้แล้ว ซง่ึ อฏั ฐกภตั ร มาแล้ว บอกแล้ว (แกน่ างสริ ิมานนั้ ) ฯ ภิกฺขู ทิสวฺ า อาโรเจส.ํุ ปตฺเต คเหตฺวา อ.นางสริ ิมานนั้ ไมอ่ าจอยู่ เพ่ืออนั รับแล้ว ซง่ึ บาตร ท. นิสที าเปตํุ วา ปริวิสติ ํุ วา อสกฺโกนฺตี ทาสโิ ย ด้วยมืออนั เป็นของตน ยงั พระผ้เู ป็นเจ้า ท. ให้นงั่ หรือ หรือวา่ อาณาเปสิ “อมฺมา ปตฺเต คเหตฺวา อยฺเย เพอ่ื อนั องั คาส ยงั ทาสี ท. ให้ร้ทู ว่ั แล้ว วา่ แนะ่ แม่ ท. อ. เจ้า ท. นิสีทาเปตฺวา ยาคํุ ปาเยตฺวา ขชฺชกํ ทตฺวา รบั แล้ว ซง่ึ บาตร ท. ยงั พระผ้เู ป็นเจ้า ท. ให้นง่ั แล้ว ยงั ภิกษุ ท. ภตฺตเวลาย ภตฺตสฺส ปตฺเต ปเู รตฺวา เทถาต.ิ ให้ ด่ืมแล้ว ซ่ึงข้ าวต้ ม ถวายแล้ว ซ่ึงของอันบุคคลพึงเคีย้ ว ยงั บาตร ท. ให้เตม็ แล้วด้วยภตั ร ในเวลาแหง่ ภตั ร จงถวายเถดิ ดงั นี ้ฯ อ.ทาสี ท. เหล่านัน้ (รับพร้ อมแล้ว) ว่า ข้ าแต่แม่เจ้ า ตา “สาธุ อยฺเยติ ภิกฺขู ปเวเสตฺวา ยาคํุ อ.ดีละ ดังนี ้ ยังภิกษุ ท. ให้ เข้ าไปแล้ว (ยังภิกษุ ท.) ปาเยตฺวา ขชฺชกํ ทตฺวา ภตฺตเวลาย ภตฺตสสฺ ให้ ดื่มแล้ว ซ่ึงข้ าวต้ ม ถวายแล้ว ซ่ึงของอันบุคคลพึงเคีย้ ว ปตฺเต ปเู รตฺวา ตสสฺ า อาโรเจสํ.ุ ยงั บาตร ท. ให้เต็มแล้ว ด้วยภตั ร ในเวลาแห่งภตั ร บอกแล้ว (แก่นางสริ ิมา) นนั้ ฯ อ.นางสิริมา นัน้ กล่าวแล้ว ว่า (อ.เจ้า ท.) ประคองแล้ว สา “มํ ปริคฺคเหตฺวา เนถ, อยฺเย วนฺทิสฺสามีติ ซึ่งเรา จงน�ำไป, (อ. เรา) จักไหว้ ซึ่งพระผู้เป็ นเจ้า ท. ดังนี ้ วตฺวา ตาหิ ปริคฺคเหตฺวา ภิกฺขนู ํ สนฺตกิ ํ นีตา ผู้ (อันหญิง ท.) เหล่านัน้ ประคองแล้ว น�ำไปแล้ว สู่ส�ำนัก ปเวธมาเนน สรีเรน ภิกฺขู วนฺทิ. ของภิกษุ ท. ไหว้แล้ว ซงึ่ ภิกษุ ท. ด้วยทงั้ สรีระ อนั สน่ั อยู่ ฯ อ.ภิกษุนัน้ แลดูแล้ว (ซึ่งนางสิริมา) นัน้ คิดแล้ว ว่า โส ภิกฺขุ ตํ โอโลเกตฺวา จินฺเตสิ “คลิ านาย ตาว อ.ความงามนี ้ เป็ นความงามแห่งรูป ของนางสิริมา นั่น อยํ เอติสฺสา รูปโสภา, อโรคกาเล ปน ผู้เป็ นไข้ (ย่อมเป็ น) ก่อน, ส่วนว่า อ.สมบัติแห่งรูป สพพฺ าภรณปฏมิ ณฑฺ ติ าย อมิ สิ สฺ า กที สิ ี รูปสมปฺ ตตฺ ตี .ิ ของนางสิริมานี ้ ผ้ปู ระดบั เฉพาะแล้วด้วยเครื่องอาภรณ์ทงั้ ปวง อถสฺส อเนกวสสฺ โกฏิสนฺนิจิโต กิเลโส สมทุ าจริ. เป็ นเช่นไร (จักเป็ น) ในกาล (แห่งนางสิริมานัน้ ) ไม่มีโรค ดงั นี ้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.กเิ ลส อนั ตนสงั่ สมแล้วสนิ ้ โกฎแิ หง่ ปีมใิ ชห่ นงึ่ ของภิกษุนนั้ ฟ้ งุ ขนึ ้ แล้ว ฯ (อ.ภิกษุ) นัน้ เป็ นผู้มิใช่มีใจส่งไปแล้วในที่อื่น เป็ น โส อนญฺญมโน หตุ วฺ า ภตตฺ ํ ภญุ ฺ ชติ ํุ อสกโฺ กนโฺ ต ไม่อาจอยู่ เพื่ออนั ฉนั ซง่ึ ภตั ร ถือเอา ซงึ่ บาตร ไปแล้ว ปตฺตมาทาย วิหารํ คนฺตฺวา ปตฺตํ ปิ ธาย เอกมนฺเต สู่วิหาร ปิ ดแล้ว ซ่ึงบาตร วางไว้ แล้ว ณ ที่สุดแห่งหน่ึง ฐเปตวฺ า จวี รํ อตถฺ ริตวฺ า นปิ ชชฺ .ิ อถ นํ เอโก สหายโก ลาดแล้ว ซงึ่ จีวร นอนแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ. ภิกษุ ผ้เู ป็นสหาย ภกิ ขฺ ุ ยาจนโฺ ตปิ โภเชตํุ นาสกขฺ .ิ โส ฉนิ นฺ ภตโฺ ต อโหส.ิ รูปหนง่ึ แม้อ้อนวอนอยู่ ไมไ่ ด้อาจแล้ว เพื่ออนั ยงั ภิกษุนนั้ ให้ฉนั ฯ อ. ภิกษุนนั้ เป็นผ้มู ีภตั รอนั ขาดแล้ว ได้เป็นแล้ว ฯ 96 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ. นางสริ ิมา ได้กระท�ำแล้ว ซง่ึ กาละ ในสมยั คือเวลาเยน็ - ตํทิวสเมว สายณฺหสมเย สริ ิมา กาลมกาส.ิ แห่งวัน ในวันนัน้ นั่นเทียว ฯ อ. พระราชา ทรงส่งไปแล้ว ราชา สตฺถุ สาสนํ เปเสสิ “ ภนฺเต ชีวกสสฺ กนิฏฺฐภคนิ ี ซง่ึ ขา่ วสาสน์ แกพ่ ระศาสดา (มอี นั ใหท้ รงทราบ) วา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้จรญิ สริ ิมา กาลมกาสีต.ิ อ. นางสริ ิมา ผ้เู ป็นน้องสาวผ้นู ้อยทสี่ ดุ ของหมอชวี ก ได้กระทำ� แล้ว ซงึ่ กาละ ดงั นี ้ (เป็นเหต)ุ ฯ อ. พระศาสดา ทรงสดบั แล้ว ซงึ่ ขา่ วสาสน์ นนั้ ทรงสง่ ไปแล้ว สตฺถา ตํ สตุ ฺวา รญฺโญ สาสนํ ปหิณิ ซงึ่ ขา่ วสาสน์ แกพ่ ระราชา (มอี นั ให้ทรงทราบ) วา่ อ.กจิ คอื อนั “สิริมาย ฌาปนกิจฺจํ นตฺถิ, อามกสุสาเน ตํ, ยงั นางสริ ิมาให้ไหม้ ยอ่ มไมม่ ,ี อ. กาและสนุ ขั ท. จะไมเ่ คยี ้ วกนิ ยถา กากสนุ ขา น ขาทนฺต;ิ ตถา นิปชฺชาเปตฺวา โดยประการใด; อ. พระองค์ ท. ทรงยงั ราชบรุ ุษ ให้ยงั นางสริ ิมานนั้ รกฺขาเปถาต.ิ ราชา ตถา อกาส.ิ ปฏิปาฏิยา ตโย ให้นอนแล้ว ในป่ าช้าเป็นที่ทิง้ ซง่ึ ศพดบิ จง (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ทิวสา อตกิ ฺกนฺตา, จตตุ ฺเถ ทิวเส สรีรํ อทุ ฺธมุ ายิ. ให้รกั ษา โดยประการนนั้ ดงั นี ้ ฯ อ. พระราชา ได้ทรงกระทำ� แล้ว นวหิ วณมเุ ขหิ ปฬุ วา ปคฺฆรึส.ุ อยา่ งนนั้ ฯ อ. วนั ท. ๓ ก้าวลว่ งแลว้ ตามลำ� ดบั , อ. สรรี ะ พองขนึ ้ แลว้ ในวนั ที่ ๔, อ. หนอน ท. ไหลออกแล้ว จากปากแหง่ แผล ท. ๙ ฯ อ.สรีระทัง้ สิน้ แตกแล้ว เป็ นราวกะว่าตุ่มอันเต็มแล้ว สกลสรีรํ ภินฺนํ สาลภิ ตฺตจาฏี วิย อโหส.ิ ด้วยข้าวสวยของข้าวสาลี ได้เป็นแล้ว ฯ อ.พระราชา (ทรงยงั ราชบรุ ษุ ) ราชา นคเร เภริ ญฺ จาราเปสิ “ฐเปตฺวา ให้ยงั กลอง ให้เทยี่ วไปแล้ว ในเมอื ง (มอี นั ให้รู้) วา่ อ. สนิ ไหมคอื - เคหรกฺขทารเก สริ ิมาย ทสสฺ นตฺถํ อนาคจฺฉนฺตานํ กหาปณะ ๘ (ยอ่ มม)ี (แกช่ น ท.) ผ้ไู มม่ าอยู่ เพอ่ื อนั เหน็ ซง่ึ นางสริ ิมา อ“พฏทฺุฐฺธกปหปฺาปมณโุ ขทณกฺโิรฑตภ,ิ ิกฺขสสุ ตงฺถฺโฆุ สนฺตกิ ํ จ เปเสสิ เว้น ซง่ึ เดก็ ผ้รู กั ษาซงึ่ เรอื น ท. ดงั นี ้ (เป็นเหต)ุ , อนง่ึ (อ.พระราชานนั้ ) สริ ิมาย ทสสฺ นตฺถํ ทรงสง่ ไปแลว้ (ซงึ่ ขา่ วสาสน์ ) สสู่ ำ� นกั ของพระศาสดา (มอี นั ให้ร้)ู วา่ อาคจฺฉตตู .ิ สตฺถา ภิกฺขนู ํ อาโรจาเปสิ “สริ ิมาย ได้ยินวา่ อ. หมแู่ หง่ ภิกษุ มีพระพทุ ธเจ้าเป็นประมขุ ขอจงมา ทสฺสนตฺถํ คมิสฺสามาต.ิ เพื่ออนั เหน็ ซง่ึ นางสริ ิมา ดงั นี ้ (เป็นเหต)ุ ฯ อ.พระศาสดา (ทรงยังภิกษุ) ให้บอกแล้ว แก่ภิกษุ ท. ว่า อ.เรา ท. จักไป เพ่ืออนั เหน็ ซง่ึ นางสริ ิมา ดงั นี ้ ฯ อ. ภิกษุหนุ่ม แม้ นัน้ ไม่ถือเอาแล้ว ซ่ึงค�ำ ของใคร ๆ โสปิ ทหรภิกฺขุ จตฺตาโร ทิวเส กสสฺ จิ วจนํ มีภัตรอันขาดแล้ว เทียว นอนแล้ว ตลอดวัน ท. ๔ ฯ อคฺคเหตฺวา ฉินฺนภตฺโตว นิปชฺชิ. ปตฺเต ภตฺตํ อ.ภตั ร ในบาตร เป็ นของเน่า เกิดแล้ว, อ. สนิม ตงั้ ขึน้ แล้ว ปอปุตู สกิ งํ ชฺกามติตํ,ฺวปาตฺเ“ตอามวลโุ ํสอฏุ ฺฐสหติ.ฺถอาถ นํ โส สหายกภิกฺขุ ในบาตร ฯ ครัง้ นัน้ อ.ภิกษุผู้เป็ นสหายนัน้ เข้ าไปหาแล้ว สริ ิมาย ทสฺสนตฺถํ ซ่ึงภิกษุนัน้ กล่าวแล้ว ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ.พระศาสดา คจฺฉตีติ อาห. จะเสดจ็ ไป เพื่ออนั ทอดพระเนตร ซงึ่ นางสริ ิมา ดงั นี ้ ฯ อ. ภกิ ษนุ นั้ แม้ผ้อู นั ความหวิ แผดเผาแลว้ อยา่ งนนั้ ลกุ ขนึ ้ แลว้ โส ตถา ฉาตชฺฌตฺโตปิ “สริ ิมาติ วตุ ฺตปเทเยว พลัน ในเพราะบท (อันภิกษุผู้เป็ นสหายนัน้ ) กลา่ วแล้ว วา่ สหสา อคฏุ ฺฐจหฺ ฉิตตฺวิา, “กึ ภณสีติ อาห; “สตฺถา สริ ิมํ อ. นางสริ ิมา ดงั นี ้ นนั่ เทยี ว กลา่ วแล้ว วา่ อ. ทา่ น ยอ่ มกลา่ ว ท“ อฏาฺ ฐมํุ ตฺ วํ ปิ คมิ สฺ สสี ติ วุตฺ เ ต , ชื่ออะไร ดังนี;้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) ว่า อ.พระศาสดา จะเสด็จไป คมิ สฺ สามี ติ ภตฺ ตํ ฉฑฺ เฑตฺ ว า ป ตฺ ตํ เพอ่ื อนั ทอดพระเนตร ซงึ่ นางสริ ิมา, แม้ อ.ทา่ น จกั ไปหรือ ดงั นี ้ โธวติ ฺวา ถวิกาย ปกฺขิปิ ตฺวา ภิกฺขสุ งฺเฆน สทฺธึ (อนั ภกิ ษุผ้เู ป็นสหายนนั้ ) กลา่ วแล้ว, (กลา่ วแล้ว) วา่ เออ อ. เรา อคมาส.ิ จกั ไป ดงั นี ้ ทงิ ้ แล้ว ซงึ่ ภตั ร ล้างแล้ว ซงึ่ บาตร ใสแ่ ล้ว ในถลก ได้ไปแล้ว กบั ด้วยหมแู่ หง่ ภิกษุ ฯ อ.พระศาสดา ผ้อู นั หมแู่ หง่ ภิกษุแวดล้อมแล้ว ได้ยืนแล้ว สตฺถา ภิกฺขสุ งฺฆปริวโุ ต เอกปสฺเส อปุ อาฏสฺ ฐกิาสา-.ิ ณ ข้ าง ๆ หน่ึง ฯ อ.หมู่แห่งภิกษุณีก็ดี อ.บริษัทแห่ง ภิกฺขนุ ีสงฺโฆปิ ราชปริสาปิ อปุ าสกปริสาปิ ปจุ ฺฉิ พระราชาก็ดี อ.บริษัทคืออบุ าสกก็ดี อ.บริษัทคืออบุ าสกิ าก็ดี “ปกราิสาปเิอสเอาเกกมปหสาฺเรสาชอาฏตฺฐ.ิ สํ .ุ “ภสนตฺเฺถตา ราชานํ ภคนิ ี ได้ยินแล้ว ณ ข้าง ๆ หนงึ่ ๆ อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ชีวกสสฺ ซง่ึ พระราชา วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร อ.หญิงนน่ั เป็นใคร (ยอ่ มเป็น) สริ ิมา นามาต.ิ ดังนี ้ ฯ (อ.พระราชา กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. น้องสาว ของหมอชีวก เป็นผ้ชู ื่อวา่ สริ ิมา (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ ผลิตสอ่ื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 97 www.kalyanamitra.org

(อ. พระศาสดา ตรสั ถามแล้ว) วา่ อ. หญงิ นนั่ เป็นนางสริ ิมา “สริ ิมา เอสาต.ิ “อาม ภนฺเตต.ิ “เตนหิ นคเร (ยอ่ มเป็น) หรือ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ เภริญฺจาราเปหิ `สหสฺสํ ทตฺวา สริ ิมํ คณฺหาตตู ิ. พระเจ้าข้า (อ. อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรสั แล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ ราชา ตถา อกาส.ิ เอโกปิ “อหนฺติ วา “อหนฺติ วา (อ.พระองค์) จงทรง (ยงั ราชบรุ ุษ) ให้ ยงั กลอง ให้เที่ยวไป ในเมือง วทนฺโต นาม นาโหส.ิ ราชา สตฺถุ อาโรเจสิ (มอี นั ให้รู้) วา่ (อ. ใคร ๆ) ให้แล้ว ซงึ่ พนั แหง่ ทรพั ย์ จงรบั เอา ซงึ่ นางสริ ิมา “น คณฺหนฺติ ภนฺเตต.ิ “เตนหิ มหาราช อคฺฆํ ดงั นี ้ (เป็นเหต)ุ ดงั นี ้ ฯ อ. พระราชา ได้ทรงกระท�ำแล้ว อยา่ งนนั้ ฯ โอหาเรหีต.ิ (อ. บคุ คล) แม้คนหนง่ึ ชอื่ วา่ ผ้กู ลา่ วอยู่ วา่ อ. เรา ดงั นี ้ หรือ หรือวา่ วา่ อ.เรา ดงั นี ้ ไมไ่ ด้มแี ล้ว ฯ อ. พระราชา กราบทลู แล้ว แกพ่ ระศาสดา วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ. ชน ท.) ยอ่ มไมร่ บั เอา ดงั นี ้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร ถ้าอยา่ งนนั้ (อ. พระองค์) ขอจงทรง ยงั ราคา ให้ลดลง ดงั นี ้ ฯ อ.พระราชา (ทรงยังราชบุรุษ) ให้ยังกลอง ให้เที่ยวไปแล้ว ราชา “ปญฺจสตานิ ทตฺวา คณฺหาตูติ (มีอนั ให้รู้) วา่ (อ.ใคร ๆ) ให้แล้ว ซงึ่ ร้อยห้าแหง่ ทรัพย์ ท. จงรับเอา เภริญฺจาราเปส;ิ กญฺจิ คณฺหนกํ อทิสฺวา (ซง่ึ นางสริ ิมา) ดงั นี ้ (เป็นเหต)ุ ; ไมท่ รงเหน็ แล้ว ซง่ึ ใคร ๆ ผ้รู ับเอา “อฑฺฒเตยฺยานิ สตานิ, เทฺว สตานิ, สตํ, (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้ยงั กลอง ให้เท่ียวไปแล้ว (มีอนั ให้รู้) วา่ (อ. ใคร ๆ ปญฺญาส,ํ ปญฺจวีสตกิ หาปเณ, ทสกหาปเณ, ให้แล้ว) ซ่ึงร้ อย ท. ท่ี ๓ ด้วยทัง้ ก่ิง (จงรับเอา ซึ่งนางสิริมา), ปญฺจกหาปเณ, กหาปณํ, อฑฺฒํ, ปาทํ, มาสกํ, (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) ซงึ่ ร้อย ท. ๒ (จงรับเอา ซงึ่ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ กากณิกํ ทตฺวา สริ ิมํ คณฺหาตตู ิ เภริญฺจาราเปตฺวา ให้แล้ว) ซึ่งร้ อย (จงรับเอา ซึ่งนางสิริมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว “มธุ าปิ คณฺหาตตู ิ เภริญฺจาราเปส.ิ “อหนฺติ วา ซงึ่ กหาปณะ ท.) ๕๐ (จงรับเอา ซง่ึ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) “อหนฺติ วา วทนฺโต นาม นาโหส.ิ ซงึ่ กหาปณะ ๒๕ ท. (จงรับเอา ซงึ่ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) ซงึ่ กหาปณะ ๑๐ ท. (จงรับเอา ซงึ่ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) ซ่ึงกหาปณะ ๕ ท. (จงรับเอา ซ่ึงนางสิริมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) ซง่ึ กหาปณะ (จงรับเอา ซงึ่ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) ซง่ึ ก่ิง แหง่ กหาปณะ (จงรับเอา ซงึ่ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) ซง่ึ บาท (จงรับเอา ซง่ึ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ ให้แล้ว) ซงึ่ มาสก (จงรับเอา ซง่ึ นางสริ ิมา), (อ. ใคร ๆ) ให้แล้ว ซง่ึ กากณิก จงรับเอา ซงึ่ นางสริ ิมา ดงั นี ้ (เป็นเหต)ุ (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้ยงั กลอง ให้เทย่ี วไปแล้ว (มอี นั ให้รู้) วา่ อ. ใคร ๆ จงรับเอา แม้เปลา่ ดงั นี ้ (เป็นเหต)ุ ฯ (อ. บคุ คล) ช่ือวา่ ผ้กู ลา่ วอยู่ วา่ อ. เรา ดงั นหี ้ รือ หรือวา่ วา่ อ. เรา ดงั นี ้ ไมไ่ ด้มแี ล้ว ฯ อ. พระราชา กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ. บคุ คล ) ราชา “มธุ าปิ ภนฺเต คณฺหนฺโต นาม นตฺถีติ ชอ่ื วา่ ผ้รู บั เอาอยู่ แม้เปลา่ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ ฯ อ. พระศาสดา ตรสั แล้ว อาห. สตฺถา “ปสฺสถ ภิกฺขเว มหาชนสสฺ ปิ ยํ วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อ.เธอ ท. จงดู ซง่ึ มาตคุ าม ผ้เู ป็นทร่ี กั ของมหาชน, มาตคุ ามํ, อิมสฺมเึ ยว นคเร สหสสฺ ํ ทตฺวา ปพุ ฺเพ (อ.ชน ท.) ในเมือง นีน้ ่ันเทียว ให้แล้ว ซึ่งพันแห่งทรัพย์ ได้แล้ว เอกทิวสํ ลภสึ ,ุ อิทานิ มธุ า คณฺหนฺโตปิ นตฺถิ, (เพื่ออนั ยินดียิ่ง) ตลอดวนั หนง่ึ ในกาลก่อน, ในกาลนี ้ (อ.บคุ คล) เอวรูปํ นาม รูปํ ขยวยปปฺ ตฺตํ, ปสฺสถ ภิกฺขเว แม้ผ้รู ับเอาอยู่ เปลา่ ยอ่ มไมม่ ี, อ. รูป ชื่อมีอยา่ งนีเ้ป็นรูป เป็นรูป อาตรุ ํ อตฺตภาวนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ถงึ แล้วซง่ึ ความสนิ ้ ไปและความเสือ่ มไป (ยอ่ มเป็น), ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.) จงดู ซ่ึงอัตภาพ อันกระสับกระส่าย ดังนี ้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้ วา่ อ. ความยง่ั ยืน อ. ความตง้ั มนั่ ย่อมไม่มี แก่อตั ภาพ ใด, “ ปสสฺ จิตฺตกตํ พิมฺพํ อรุกายํ สมสุ ฺสิตํ (อ. เธอ) จงดู ซึ่งอตั ภาพ (นนั้ ) อนั กรรมกระท�ำใหง้ ดงามแลว้ อาตรุ ํ พหสุ งฺกปปฺ ํ , ยสฺส นตฺถิ ธวุ ํ ิตีติ. อนั มีกายเป็นแผล อนั อนั ร้อยแห่งกระดูก ท. ๓ ยกขึ้น- ดว้ ยดีแล้ว อนั กระสบั กระส่าย อนั มหาชนด�ำริกนั แล้ว โดยมาก ดงั นี้ ฯ 98 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.อรรถ ว่า มีความงดงามอันกรรมกระท�ำแล้ว คือว่า ตตฺถ จติ ตฺ กตนฺต:ิ กตจิตฺตกํ วตฺถาภรณมาลา- อนั กรรมกระท�ำให้วิจิตรแล้ว (ด้วยวตั ถุ ท.) มีเครื่องประดบั ลงฺการาทีหิ จิตฺตกตนฺติ อตฺโถ. พมิ พฺ นฺต:ิ คือผ้าและเคร่ืองประดบั คือระเบียบเป็นต้น ดงั นี ้ (ในบท ท.) อทตีฆฺตาภทาิยวตุ ํ.ฺตฏอฺฐราุกเนาสยุ นทฺตีฆ:ิ าทนีหวิ นอฺนงํ ฺคปวณจฺจมงขฺุเคาหนิํ สณฺฐติ ํ เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ จติ ตฺ กตํ ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ วเสน ซงึ่ อตั ภาพ อนั ตงั้ อยดู่ ้วยดีแล้ว ด้วยอวยั วะและอวยั วะอาศยั ท. อรุภตู กายํ. มีอวยั วะยาวเป็นต้น ในท่ีควรแล้วแก่อวยั วะมีอวยั วะยาวเป็นต้น ท. (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ พมิ พฺ ํ ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ อนั มีกาย เป็นแผลเป็นแล้ว ด้วยสามารถ แหง่ ปากแหง่ แผล ท. ๙ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อรุกายํ ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ อนั ร้อยแหง่ กระดกู ท. ๓ ยกขนึ ้ ด้วยดีแล้ว สมุสสฺ ิตนฺต:ิ ตอีหิริิยาปอถฏาฺทฐสิีหเิตปหริ ิหริตสพมฺพสุ ตสฺ าติ ยํ. (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ สมุสฺสิตํ ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ อาตุรนฺต:ิ สพฺพกาลํ อนั ช่ือวา่ เป็นไข้เนืองนิตย์ เพราะความท่ี (แหง่ อตั ภาพนนั้ ) นิจฺจคลิ านํ. พหสุ งกฺ ปปฺ นฺต:ิ มหาชเนน พหธุ า เป็นอตั ภาพ (อนั บคุ คล) พงึ บริหาร (ด้วยอาการ ท.) มีอิริยาบถ สงฺกปปฺ ิ ตํ. ยสฺส นตถฺ ิ ธุวํ ติ ตี :ิ ยสฺส ธวุ ภาโว วา เป็นต้น ตลอดกาลทงั้ ปวง (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อาตุรํ ดงั นี ้ ฯ ติ ภิ าโว วา นตฺถิ, เอกนฺเตน เภทนวกิ ฺกีรณวทิ ฺธํสน- (อ. อรรถ) วา่ อนั มหาชน ด�ำริกนั แล้ว โดยมาก (ดงั นี ้ แหง่ บท) ธมมฺ เมว ตํ อิทํ ปสฺสถาติ อตฺโถ. วา่ พหสุ งกฺ ปปฺ ํ ดงั นี ้ ฯ อ. อรรถ วา่ อ.ความเป็นคืออนั ยง่ั ยืน หรือ หรือวา่ อ. ความเป็นคืออนั ตงั้ มนั่ ยอ่ มไมม่ ี แก่อตั ภาพ ใด, (อ. เธอ ท.) จงดู ซงึ่ อตั ภาพ นี ้ นนั้ อนั มีความแตกไป และความเรี่ยรายไปและความกระจัดกระจายไปเป็ นธรรม โดยสว่ นเดียวนนั่ เทียว ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ยสสฺ นตถฺ ิ ธุวํ ฐิติ ดงั นี ้ ฯ ในกาลเป็ นท่ีสุดลงแห่งเทศนา อ.อันรู้เฉพาะซ่ึงธรรม เทสนาวสาเน จตรุ าสีตยิ า ปาณสหสฺสานํ ได้ มีแล้ว แก่พันแห่งสัตว์ผู้มีลมปราณ ท. ๘๔ ฯ ธมมฺ าภิสมโย อโหส.ิ โสปิ ภิกฺขุ โสตาปตฺตผิ เล อ. ภิกษุ แม้นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ดงั นีแ้ ล ฯ ปตฏิ ฺฐหีต.ิ อ. เร่ืองแห่งนางสิริมา สิริมาวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๓. อ.เร่ืองแห่งพระเถรีช่ือว่าอุตรา ๓. อุตตฺ รตเฺ ถรีวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน “ปริชณิ ฺณมทิ ํ รูปนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ทรงปรารภ ชอ่ื ซงึ่ พระเถรีชอ่ื วา่ อตุ รา ตรสั แล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา เชตวเน วิหรนฺโต อตุ ฺตรตฺเถรึ นาม อารพฺภ กเถส.ิ นี ้ วา่ ปริชณิ ฺณมทิ ํ รูปํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ อ. พระเถรี เป็นผ้มู รี ้อยแหง่ กาลฝน ๒๐ โดยการเกดิ เถรี กิร วีสวสสฺ สติกา ชาตยิ า ปิ ณฺฑาย จริตฺวา (เป็น) เทย่ี วไปแล้ว เพอ่ื บณิ ฑะ ผ้มู บี ณิ ฑบาตอนั ได้แล้ว เหน็ แล้ว ลทฺธปิ ณฺฑปาตา อนฺตรวีถิยํ เอกํ ภิกฺขํุ ปสสฺ ติ ฺวา ซ่ึงภิกษุ รูปหนึ่ง ในระหว่างแห่งถนน ถามโดยเอือ้ เฟื ้อแล้ว ปิ ณฺฑปาเตน อาปจุ ฺฉิตฺวา ตสสฺ อปฏิกฺขิปิ ตฺวา ด้วยบณิ ฑบาต (เมื่อภิกษุ) นนั้ ไมห่ ้ามแล้ว รับเอาอยู่ ถวายแล้ว คณฺหนฺตสฺส สพฺพํ ทตฺวา นิราหารา อโหส;ิ ซ่ึงบิณฑบาตทัง้ ปวง เป็ นผู้มีอาหารออกแล้ว ได้ เป็ นแล้ว; เอวํ ทตุ เิ ยปิ ตตเิ ยปิ ทิวเส ตสเฺ สว ภิกฺขโุ น ถวายแล้ว ซงึ่ ภตั ร แก่ภิกษุ นนั้ นนั่ เทียว ในท่ี นนั้ นนั่ เทียว ตสฺมเึ ยว ฐาเน ภตฺตํ ทตฺวา นิราหารา อโหส;ิ เป็นผ้มู ีอาหารออกแล้ว ได้เป็นแล้ว ในวนั ที่ ๒ บ้าง ที่ ๓ บ้าง ด้วยประการฉะนี;้ ผลิตส่ือการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วดั พระธรรมกาย 99 www.kalyanamitra.org

แตว่ า่ ในวนั ที่ ๔ (อ. พระเถรี) เท่ียวไปอยู่ เพื่อบณิ ฑะ เหน็ แล้ว จตตุ เฺ ถ ททวสิิ เวฺสาปปนฏกิ ปกฺิณมฑฺนตฺายี โอจรลนมตฺ พฺ ี นเอตฺ กํ สอมตฺ ตฺึ สโนมพฺ จาวี ธรฏกฺฐณาณเฺ นํ ซง่ึ พระศาสดา ในท่ีอนั แคบ แหง่ หนงึ่ ก้าวกลบั อยู่ เหยียบแล้ว สตถฺ ารํ ซงึ่ ชายแหง่ จีวร ของตน อนั ห้อยลงอยู่ ไมอ่ าจอยู่ เพื่ออนั ด�ำรงอยู่ อกฺกมิตฺวา สณฺฐาตํุ อสกฺโกนฺตี ปริวตฺติตฺวา ปติ. เป็นไปรอบ ล้มแล้ว ฯ อ.พระศาสดา เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก (ของพระเถรี) นัน้ สตฺถา ตสฺสา สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา “ภคนิ ิ ปริชิณฺโณ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนน้องหญิง อ.อตั ภาพ ของเธอ แก่รอบแล้ว เต อตฺตภาโว น จิรสฺเสว ภิชฺชิสฺสตีติ วตฺวา อิมํ จกั แตก ตอ่ กาลไมน่ านนนั่ เทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ คาถมาห อ.รูป นี้ เป็ นธรรมชาตแก่รอบแล้ว เป็ นรังแห่งโรค “ปริชิณฺณมิทํ รูปํ โรคนิทฺธํ ปภงฺคณุ ํ, เป็นธรรมชาตผพุ งั (ย่อมเป็น), อ. กายนน้ั อนั เปื่อยเน่า ภิชฺชติ ปตู ิ สนเฺ ทโห, มรณนตฺ ํ หิ ชีวิตนตฺ ิ. จะแตก, เพราะว่า อ. ชีวิต มีความตายเป็นทีส่ ดุ ดงั นี้ ฯ อ.เ นื อ้ ค วาม (แ ห่งค� ำอันเป็ นพ ระคาถา) นัน้ ว่า ตสฺสตฺโถ “ภคนิ ิ อิทํ ตว สรีรสงฺขาตํ รูปํ ดกู ่อนน้องหญิง อ. รูป นี ้ คือวา่ อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ สรีระ มหลฺลกภาเวน ปริชิณฺณํ, ตญฺจ โข สพฺพโรคานํ ของเธอ ช่ือวา่ เป็นธรรมชาตแก่รอบแล้ว เพราะความท่ี (แหง่ เธอ) สนคิิวาาสโลนฏฺ“ฐชารนสตคิ ฺเาถโนลตโิรควนจุ ิทฺจตฺธํ;ิ, ยถา โข ปน ตรุโณปิ เป็นหญิงถือเอาซง่ึ ความเป็นผ้ใู หญ่ (ยอ่ มเป็น), ก็ อ. รูปนนั้ แล ตรุณาปิ คโฬจีลตา ช่ือว่าเป็ นรังแห่งโรค เพราะอรรถว่าเป็ นฐานเป็ นที่อยู่อาศัย “ปตู ลิ ตาติ วจุ ฺจต;ิ เอวํ ตทหชุ าตํ สวุ ณฺณวณฺณมปฺ ิ แหง่ โรคทงั้ ปวง ท. (ยอ่ มเป็น); เหมือนอยา่ งวา่ อ. สนุ ขั จิง้ จอก สมานํ นิจฺจํ ปคฺฆรณตฺเถน ปตู กิ ายํ ปภงฺคณุ ํ. แม้ หนุ่ม (อันชน ท.) ย่อมกล่าว ว่า อ.สุนัขจิง้ จอกแก่ ดังนี,้ อ.เถาหัวด้ วน แม้ อ่อน (อันชน ท.) ย่อมกล่าว ว่า อ. เครือเถาเนา่ ดงั นี ้ ฉนั ใด แล; อ.รูป อนั เกิดแล้วในวนั นนั้ แม้ เป็ นรูปมีสีเพียงดังสีแห่งทอง มีอยู่ เป็ นกายเป่ื อยเน่า ช่ือวา่ เป็นธรรมชาตผพุ งั เพราะอรรถวา่ เป็นท่ีไหลออก เนืองนิตย์ (ยอ่ มเป็น) ฉนั นนั้ ฯ อ.กาย ของเธอ นนั้ คือวา่ นน่ั เป็นกายเป่ื อยเนา่ มีอยู่ โส เอโส ปตู โิ ก สมาโน ตว เทโห `ภิชฺชติ (อนั เธอ) พงึ ทราบ วา่ จะแตก คือวา่ จกั แตก ตอ่ กาลไมน่ าน น จิรสฺเสว ภิชฺชิสสฺ ตีติ เวทิตพฺโพ. นน่ั เทียว ดงั นี ้ ฯ (อ. อนั ถาม) วา่ (อ. กายนนั้ อนั เป่ือยเนา่ จะแตก) เพราะอะไร ? กกึ ารณา ? มรณนตฺ ํ หิ ชวี ติ :ํ ยสมฺ า สพพฺ สตตฺ านํ (ดงั นี)้ (อ.อนั แก้) วา่ เพราะวา่ อ.ชีวติ มีความตายเป็นท่ีสดุ ชีวิตํ มรณปริโยสานเมวาติ วตุ ฺตํ โหติ. (ดังนี)้ : (อ.พระด�ำรัส) ว่า อ.ชีวิต ของสัตว์ทัง้ ปวง ท. มีความตายเป็นท่ีสดุ นน่ั เพียง เหตใุ ด (เพราะเหตนุ นั้ อ. กายนนั้ อนั เป่ือยเนา่ จะแตก) ดงั นี ้ เป็นคำ� อธบิ าย (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ยอ่ มเป็น (ดงั นี ้ อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็ นท่ีสุดลงแห่งเทศนา อ.พระเถรี บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน เถรี โสตาปตฺติผลํ ปตฺตา. ซง่ึ โสดาปัตตผิ ล ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจา มหาชนสสฺ าปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ มีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่มหาชน ดงั นีแ้ ล ฯ อ. เร่ืองแห่งพระเถรีช่ือว่าอุตตรา อุตตฺ รตเฺ ถรีวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 100 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๔. อ. เร่ือ(องแันหข้่งาภพกิเจษ้าุผจู้มะีมกาลน่าะวอ)ันฯย่งิ ๔. อธิมานิกภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. อ. พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยานีมานีติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซึ่งภิกษุ ท. ผู้มีมานะอันยิ่ง ผู้มากพร้ อม ตรัสแล้ว วหิ รนฺโต สมพฺ หเุ ล อธิมานิเก ภิกฺขู อารพฺภ กเถส.ิ ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ยานีมานิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ เรียนเอาแล้ว ปญฺจสตา กิร ภิกฺขู สตฺถุ สนฺตเิ ก กวมายมฺ มฏฺนฐาฺตนาํ ซ่ึงกัมมัฏฐาน ในส�ำนัก ของพระศาสดา เข้าไปแล้ว สู่ป่ า คเหตฺวา อรญฺญํ ปวิสติ ฺวา ฆเฏนฺตา พากเพียรอยู่ พยายามอยู่ ยังฌาน ให้ บังเกิดแล้ว ฌานํ นิพฺพตฺเตตฺวา กิเลสานํ อสมุทาจาเรน ส�ำคัญอยู่ ว่า อ. กิจแห่งบรรพชิต ของเรา ท. ส�ำเร็จแล้ว “ปพฺพชิตกิจฺจํ โน นิปฺผนฺนนฺติ มญฺญมานา ดงั นี ้ เพราะอนั ไมฟ่ ้ งุ ขนึ ้ แหง่ กิเลส ท. มาแล้ว (ด้วยความหวงั ) “อตฺตนา ปฏิลทฺธคณุ ํ สตฺถุ อาโรเจสฺสามาติ อาคจฺฉึส.ุ ว่า (อ.เรา ท. ) จักกราบทูล ซึ่งคุณ อันตน ได้เฉพาะแล้ว แก่พระศาสดา ดงั นี ้ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนอานนท์ อ.กรรม สตฺถา เตสํ “อพานหนิทฺทฺวาเรอโเกตฏสฺฐํ กภํ ิกปฺขตนู ฺตํ ปกาวเสิ ลติ เยฺววา ด้ วยเรา ผู้ อันภิกษุ ท. เหล่านั่น เข้ าไปแล้ว เห็นแล้ว อานนฺทตฺเถรํ อาห ยอ่ มไมม่ ี, (อ. ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) ไปแล้ว สปู่ ่ าช้าเป็นท่ีทิง้ ซงึ่ ศพดบิ ตมโยตาปจทฺจิฏาฺเคฐนนฺตฺวกามมมฺ ํ ํปสนฺสตนฺถฺติ, ตู .ิอามกสสุ านํ คนฺตฺวา กลบั มาแล้ว (จากป่ าช้าเป็นท่ีทิง้ ซงึ่ ศพดิบ) นนั้ จงเหน็ ซง่ึ เรา ดงั นี ้ ในกาล (แหง่ ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ถงึ แล้ว ซง่ึ ซ้มุ แหง่ ประตู ในภายนอกนนั่ เทียว ฯ อ.พระเถระ ไปแล้ว บอกแล้ว ซ่ึงเนือ้ ความ นัน้ เถโร คนฺตฺวา เตสํ ตมตฺถํ อาโรเจส.ิ เต “กึ (แก่ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ฯ (อ. ภิกษุ ท. ) เหลา่ นนั้ ไมก่ ลา่ วแล้ว วา่ อมหฺ ากํ อามกสสุ าเนนาติ อวตฺวาว “ทีฆทสสฺ นิ า (อ. ประโยชน์) อะไร ของเรา ท. ด้วยป่ าช้าเป็นที่ทิง้ ซงึ่ ศพดบิ พทุ ฺเธน การณํ ทิฏฺปฐํสภสฺ วนสิ ฺตสฺ าตีตเิออกาามหกํ สทสุ ฺวาีหนํ ํ คนฺตฺวา ดงั นี ้ เทียว (คดิ กนั แล้ว) วา่ อ. เหตุ เป็นเหตุ อนั พระพทุ ธเจ้า ตตฺถ กณุ ปานิ ปตเิ ตสุ ผ้ทู รงเหน็ ซง่ึ กาลนานโดยปกติ ทรงเหน็ แล้ว จกั เป็น ดงั นี ้ ไปแล้ว กณุ เปสุ อาฆาตํ ปฏิลภิตฺวา ตํขณํ ปตเิ ตสุ อลฺลสรีเรสุ สู่ป่ าช้ าเป็ นท่ีทิง้ ศพดิบ ดูอยู่ ซ่ึงซากศพ ท.(ในป่ าช้ า ราคํ อปุ ปฺ าทยสึ ,ุ ตสฺมึ ขเณ อตฺตโน สกิเลสภาวํ เป็นทท่ี งิ ้ ซง่ึ ศพดบิ ) นนั้ กลบั ได้แล้ว ซง่ึ อนั กระทบยงิ่ ในซากศพ ท. ชานสึ .ุ อนั ตกแล้ว สนิ ้ วนั หนงึ่ สนิ ้ วนั สอง ยงั ความกำ� หนดั ในสรีระอนั สด ท. อนั ตกแล้ว ในขณะนนั้ ให้เกดิ ขนึ ้ แล้ว, รู้แล้ว ซง่ึ ความท่ี แหง่ ตน เป็นผ้เู ป็นไปกบั ด้วยกิเลส ในขณะนนั้ ฯ อ.พระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ในพระคันธกุฏี เทียว สตฺถา คนฺธกฏุ ิยํ นิสนิ ฺโนว โอภาสํ ผริตฺวา ทรงแผไ่ ปแล้ว ซงึ่ พระรัศมี เป็นราวกะวา่ ตรัสอยู่ ในท่ีตอ่ หน้า เตสํ สมมฺ เุ ข กเถนโฺ ต วยิ “ปฏริ ูปํ นุ โข ภกิ ขฺ เว ตมุ หฺ ากํ แหง่ ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ (เป็น) ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. วเอตวฺวราูปํ อิมอํ ฏฺคฐสาิ ถงฺฆมาาหตํ ทิสวฺ า ราครตึ อปุ ปฺ าเทตนุ ฺติ อ.อนั อนั เธอ ท. เหน็ แล้ว ซง่ึ ร่างแหง่ กระดกู มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป ยงั ความยนิ ดดี ้วยสามารถแหง่ ความกำ� หนดั ให้เกดิ ขนึ ้ เป็นกริ ิยา สมควรหรือหนอ แล (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ตรสั แล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่ อ. กระดกู ท. เหลา่ นี้ เหลา่ ใด อนั ใคร ๆ ไมป่ รารถนา- “ ยานีมานิ อปตฺถานิ อลาพเู นว สารเท แลว้ เพียงดงั อ.น�้ำเตา้ ท. ในสารทกาล มีสีเพียงดงั - กาโปตกานิ อฏฺฐนี ิ, ตานิ ทิสวฺ าน กา รตีติ. สีแห่งนกพิราบ, อ.ความยินดี อะไร (จกั มี แก่เธอ ท.) เพราะเห็น (ซ่ึงกระดูก ท.) เหล่านนั้ ดงั นี้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ (อนั ใคร ๆ) ทิง้ แล้ว (ดงั นี ้ ในบท ท.) ตตฺถ อปตถฺ านีต:ิ ฉฑฺฑิตานิ. เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อปตถฺ านิ ดงั นี ้ ฯ ผลิตส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 101 www.kalyanamitra.org

(อ.อรรถ) วา่ ราวกะ อ.น�ำ้ เต้า ท. อนั ลมและแดดกระทบแล้ว สารเทต:ิ สรทกาเล วาตาตปปหตานิ ตตฺถ อนั เกลือ่ นกลน่ แล้ว (ในท่ี) นนั้ ๆ ในสารทกาล (ดงั นี ้ แหง่ บท) ตตฺถ วปิ ปฺ กิณฺณานิ อลาพนู ิ วยิ . กาโปตกานีต:ิ วา่ สารเท ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ มีสีเพียงดงั สีแหง่ นกพิราบ กโปตกวณฺณานิ. (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ กาโปตกานิ ดงั นี ้ ฯ อ. อรรถ วา่ อ. ความยินดี อะไร (จกั มี) แก่เธอ ท. เพราะเหน็ ตานิ ทสิ ฺวานาต:ิ ตานิ เอวรูปานิ กอาฏมฺฐรนี ติ ึทกิสาฺวตาํุ ซ่ึงกระดูก ท. เหล่านัน้ คือว่า มีอย่างนีเ้ ป็ นรูป, อ.อัน ตมุ หฺ ากํ กา รติ, นนุ อปปฺ มตฺตกมปฺ ิ (อนั เธอ ท.) กระท�ำ ซงึ่ ความยินดีในกาม แม้มีประมาณน้อย น วฏฺฏตเิ ยวาติ อตฺโถ ยอ่ มไมค่ วรนนั่ เทียว มิใชห่ รือ ดงั นี ้ (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ตานิ ทสิ ฺวาน ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็ นท่ีสุดลงแห่งเทศนา อ.ภิกษุ ท. เหล่านัน้ เทสนาวสาเน เต ภิกฺขู ยถาฐติ าว อรหตฺตํ ปตฺวา ผู้ยืนแล้วอย่างไรเทียว บรรลุแล้ว ซ่ึงพระอรหัต ชมเชยอยู่ ภควนฺตํ อภิตฺถวมานา อาคนฺตฺวา วนฺทสึ ตู .ิ ซง่ึ พระผ้มู ีพระภาคเจ้า มาแล้ว ถวายบงั คมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้มีมานะอันย่งิ อธิมานิกภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๕. อ.เร่ืองแห่งพระเถรีช่ือว่ารูปนันทา ๕. รูปนนฺทตเฺ ถรีวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเชตวัน เชตว“เอนฏฺ ฐีนวิหํ รนนคฺโตรํ กตนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ทรงปรารภ ซง่ึ พระเถรีช่ือวา่ รูปนนั ทา ผ้ทู รงงดงามในชนบท ชนปทกลฺยาณึ รูปนนฺทตฺเถรึ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ อฏฺ ฐีนํ นครํ กตํ อารพฺภ กเถส.ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ ในวนั หนง่ึ (อ.พระนางรูปนนั ทา) นนั้ ทรงดำ� ริแล้ว สา กิเรกทิวสํ จินฺเตสิ “อมคยฺคฺหปํ เคุ ชฺคฏโฺฐลภาพตทุ ิโฺโกธรชชฺชาสโตริ ึ, วา่ อ.พระภาดาผ้เู จริญทสี่ ดุ ของเรา ทรงละแล้ว ซงึ่ สริ ิคอื ความเป็น ปหาย ปพฺพชิตฺวา โลเก แหง่ พระราชา ผนวชแล้ว เป็นพระพทุ ธเจ้า ผ้เู ป็นบคุ คลผ้เู ลศิ ในโลก ปตุ ฺโตปิ สฺส ราหลุ กมุ าโร ปพฺพชิโต, ภาตาปิ เม เกดิ แล้ว, อ.พระกมุ ารพระนามวา่ ราหลุ แม้ผ้เู ป็นโอรส (ของพระภาดา ปพฺพชิโต, มาตาปิ เม ปพฺพชิตา; อหํปิ , เอตฺตเก ผ้เู จริญทสี่ ดุ ) นนั้ ผนวชแล้ว, แม้ อ. พระภาดา ของเรา ผนวชแล้ว, ญาตคิ เณ ปพพฺ ชเิ ต, เคเห กึ กริสสฺ าม,ิ ปพพฺ ชสิ สฺ ามตี .ิ แม้ อ.พระมารดา ของเรา ผนวชแล้ว; แม้ อ.เรา, ครนั้ เมอ่ื หมแู่ หง่ ญาติ มีประมาณเท่านี ้ ผนวชแล้ว, จักกระท�ำ ซึ่งอะไร ในเรือน, อ. เรา จกั บวช ดงั นี ้ ฯ (อ. พระนางรูปนนั ทา) นนั้ เสดจ็ เข้าไปหาแล้ว ซง่ึ ท่ีเป็นท่ีเข้า สา ภิกฺขุนูปสฺสยํ อุปสงฺกมิตฺวา ปพฺพชิ ไปอาศยั แหง่ ภกิ ษณุ ี ผนวชแล้ว เพราะความรกั ในพระญาตนิ น่ั เทยี ว, ญาติสิเนเหเนว, โน สทฺธาย; อภิรูปตาย ปน (ผนวชแล้ว) ด้วยศรัทธา หามไิ ด้; แตว่ า่ (อ.พระเถรีนนั้ ) ปรากฏแล้ว “ รูปนนฺทาติ ปญฺญายิ. ว่า อ. รูปนันทา ดังนี ้ เพราะความท่ี (แห่งพระองค์ เป็ นผู้มี รูปงดงาม ฯ (อ. พระนางรูปนนั ทา) นนั้ ทรงสดบั แล้ว วา่ ได้ยินวา่ สา “สตฺถา กิร `รูปํ อนิจฺจํ ทกุ ฺขํ อนตฺตา; อ. พระศาสดา ยอ่ มตรัส วา่ อ.รูป เป็นธรรมชาต ไมเ่ ท่ียง เป็นทกุ ข์ เวทนา, สญฺญา, สงฺขารา, วิญฺญาณํ อนิจฺจํ เป็นอนตั ตา ยอ่ มเป็น), อ.เวทนา (เป็นธรรมชาตไิ มเ่ ท่ียง เป็นทกุ ข์ ทกุ ฺขํ อนตฺตาติ วทตีติ สตุ ฺวา “เอวํ ทสฺสนีเย เป็นอนตั ตา ยอ่ มเป็น), อ.สญั ญา (เป็นธรรมชาตไิ มเ่ ที่ยง เป็นทกุ ข์ ปาสาทเิ ก มมาปิ รูเป โทสํ กเถยยฺ าติ สตถฺ ุ สมมฺ ขุ ภี าวํ เป็นอนตั ตา ยอ่ มเป็น), อ. สงั ขาร ท. (เป็นสภาพไมเ่ ท่ียง เป็นทกุ ข์ น คจฺฉต.ิ เป็นอนตั ตา ยอ่ มเป็น), อ.วญิ ญาณ เป็นธรรมชาตไิ มเ่ ทย่ี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ดงั นี ้ ยอ่ มไมเ่ สดจ็ ไป สคู่ วามเป็น (แหง่ บคุ คล) ผ้มู ีหน้าพร้อม ต่อพระศาสดา (ด้ วยอันทรงด�ำริ) ว่า อ.พระศาสดา พึงตรัส ซ่ึงโทษ ในรูป แม้ของเรา อันน�ำมาซึ่งความเล่ือมใส อนั ควรแก่การเหน็ อยา่ งนี ้ ดงั นี ้ ฯ 102 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นเมืองช่ือวา่ สาวตั ถีโดยปกติ ถวายแล้ว สาวตฺถีวาสิโน ปาโตว ทานํ ทตฺวา ซ่ึงทาน ในเวลาเช้ าเทียว ผู้มีอุโบสถอันสมาทานแล้ ว สมาทินฺนโุ ปสถา สทุ ฺธตุ ฺตราสงฺคา คนฺธมาลาทิหตฺถา ผ้มู ีผ้าสไบเฉียงอนั หมดจดแล้ว ผ้มู ีวตั ถมุ ีของหอมและระเบียบ สายณฺหสมเย เชตวเน สนฺนิปตติ ฺวา ธมมฺ ํ สณุ นฺต.ิ เป็นต้นในมือ ประชมุ กนั แล้ว ยอ่ มฟัง ซงึ่ ธรรม ในพระเชตวนั ในสมยั คือเวลาเยน็ แหง่ วนั ฯ แม้ อ.หมแู่ หง่ ภกิ ษณุ ี ผ้มู ฉี นั ทะอนั เกดิ ขนึ ้ แล้ว ในพระธรรมเทศนา ภกิ ขฺ นุ สี งโฺ ฆปิ สตถฺ ุ ธมมฺ เทสนาย อปุ ปฺ นนฺ จฉฺ นโฺ ท ของพระศาสดา ไปแล้ว สวู่ หิ าร ยอ่ มฟัง ซงึ่ ธรรม ฯ (อ. ชน ท. วหิ ารํ คนฺตฺวา ธมมฺ ํ สณุ าต.ิ ธมมฺ ํ สตุ ฺวา นครํ เหลา่ นนั้ ) ครัน้ ฟังแล้ว ซง่ึ ธรรม เมื่อเข้าไป สู่เมือง กล่าวอยู่ ปวสิ นฺตา สตฺถุ คณุ กถํ กเถนฺตาว ปวสิ นฺต.ิ ซงึ่ กถาอนั แสดงซง่ึ พระคณุ ของพระศาสดา เทยี ว ยอ่ มเข้าไป ฯ ก็ อ. ความเลอ่ื มใส ยอ่ มไมเ่ กิดขนึ ้ (แก่สตั ว์ ท.) เหลา่ ใด จตปุ ปฺ มาณิเก หิ โลกสนฺนิวาเส อปปฺ กาว เต ผ้เู หน็ อยู่ ซง่ึ พระตถาคตเจ้า, อ. สตั ว์ ท. เหลา่ นนั้ ในโลกสนั นวิ าส สตฺตา; เยสํ ตถาคตํ ปสสฺ นฺตานํ ปสาโท น อปุ ปฺ ชฺชต.ิ มีประมาณ ๔ เป็นผ้นู ้อยเทียว (ยอ่ มเป็น) ฯ จริงอยู่ อ.สตั ว์ ท. ผ้ถู ือเอาซงึ่ ประมาณในรูป เหน็ แล้ว รูปปฺปมาณิกา หิ สตฺตา ตถาคตสฺส ซง่ึ พระสรีระ ของพระตถาคตเจ้า มวี รรณะเพยี งดงั วรรณะแหง่ ทอง ลกฺขณานุพฺยญฺชนปฏิมณฺฑิตํ สุวณฺณวณฺณํ อันประดับเฉพาะแล้วด้วยพระลักษณะและพระอนุพยัญชนะ สรีรํ ทิสฺวา ปสีทนฺต.ิ ยอ่ มเล่อื มใส ฯ (อ.สตั ว์ ท.) ผ้ถู ือเอาซง่ึ ประมาณในเสยี งกกึ ก้อง ฟังแล้ว โฆสปปฺ มาณิกา อเนกานิ ชาตสิ ตานิ นิสสฺ าย ซง่ึ เสยี งกกึ ก้องอนั ประกาศซงึ่ พระคณุ ของพระศาสดา อนั อาศยั แล้ว ปวตฺตํ สตฺถุ คณุ โฆสญฺเจว อลฏขู ฺปฐงปฺ ฺคมสามณนกิ ฺนาปาิคสตสฺ ํ ซ่ึงร้ อยแห่งชาติ ท. มิใช่หน่ึง เป็ นไปท่ัวแล้ว ด้วยน่ันเทียว ธมมฺ เทสนาโฆสญจฺ สตุ วฺ า ปสที นตฺ .ิ ซงึ่ เสยี งกกึ ก้องอนั ประกาศซงึ่ พระธรรมเทศนา อนั มาตามพร้อมแล้ว จีวราทิลขู ตํ ปฏิจฺจ ปสที นฺต.ิ ด้วยองค์ ๘ ด้วย ยอ่ มเลอื่ มใส ฯ (อ.สตั ว์ ท.) แม้ผ้ถู อื เอาซง่ึ ประมาณ ในวตั ถอุ นั เศร้าหมอง อาศยั แล้ว ซง่ึ ความที่ (แหง่ พระศาสดา) นนั้ เป็นผ้ทู รงเศร้าหมองด้วยปัจจยั มจี วี รเป็นต้น ยอ่ มเลอ่ื มใส ฯ แม้ (อ.สตั ว์ ท.) ผ้ถู ือเอาซง่ึ ประมาณในธรรม ยอ่ มเลือ่ มใส ธมมฺ ปปฺ มาณิกาปิ “เอวรูปํ ทสพลสฺส สลี ํ, ว่า อ.ศีล ของพระทศพล มีอย่างนีเ้ ป็ นรู ป, อ.สมาธิ เอวรูโป สมาธิ, เอวรูปา ปญฺญา; ภควา สลี าทีหิ (ของพระทศพล) มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป, อ. ปัญญา (ของพระทศพล) คเุ ณหิ อสโม อปปฺ ฏิสโม อสมสโม อปปฺ ฏิปคุ ฺคโลติ มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป; อ. พระผ้มู ีพระภาคเจ้า เป็นผ้ไู มม่ ีบคุ คลเสมอ ปสีทนฺติ. เตสํ ตถาคตสฺส คุณํ กเถนฺตานํ เป็ นผู้ไม่มีบุคคลเสมอเปรียบ เป็ นผู้เสมอด้ วยพระพุทธเจ้ า มขุ ํ นปปฺ โหต.ิ ผู้ไม่มีบุคคลเสมอ เป็ นผู้ไม่มีบุคคลเปรียบ ด้ วยพระคุณ ท. มีศีลเป็นต้น (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ เม่ือชน ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วอยู่ ซง่ึ พระคณุ ของพระตถาคตเจ้า อ. ปาก ยอ่ มไมเ่ พียงพอ ฯ อ.พระนางรูปนันทา ทรงสดับแล้ว ซึ่งกถาอันแสดง รูปนนฺทา ภิกฺขนุ ีนญฺเจว อปุ าสกิ านญฺจ สนฺตกิ า ซง่ึ พระคณุ ของพระตถาคตเจ้า จากส�ำนกั ของภิกษุณี ท. ตถาคตสฺส คณุ กถํ สตุ ฺวา จินฺเตสิ “อตวิ ยิ เม ด้วยนนั่ เทียว ของอบุ าสกิ า ท. ด้วย ทรงด�ำริแล้ว วา่ ภาตกิ สฺส วณฺณํ กเถนฺตเิ ยว, เอกทิวสปํ ิ เม รูเป โทสํ อ. ชน ท. ยอ่ มกลา่ ว ซงึ่ คณุ อนั บคุ คลพงึ พรรณนา ของพระภาดา กเถนฺโต กิตฺตกํ กเถสฺสต;ิ ยนฺนนู าหํ ภิกฺขนุ ีหิ ของเรา เกินเปรียบ นน่ั เทียว, (อ. พระภาดา) เม่ือตรัส ซงึ่ โทษ สทธฺ ึ คนตฺ วฺ า อตตฺ านํ อทสเฺ สตวฺ าว ตถาคตํ ปสสฺ ติ วฺ า ในรูป ของเรา จกั ตรัส (ซงึ่ โทษ) มีประมาณเทา่ ไร แม้ในวนั หนงึ่ ; ธมมฺ ํ สณุ ิตฺวา อาคจฺเฉยฺยนฺต.ิ สา “อหํ อชฺช กระไรหนอ อ. เรา ไปแล้ว กบั ด้วยภิกษุณี ท. ไมแ่ สดงแล้ว ธมมฺ สสฺ วนํ คมิสฺสามีติ ภิกฺขนุ ีนํ อาโรเจส.ิ ซง่ึ ตน เทียว เฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระตถาคตเจ้า ฟังแล้ว ซง่ึ ธรรม พงึ มา ดงั นี ้ฯ (อ. พระนางรูปนนั ทา) นนั้ ตรสั บอกแล้ว แกภ่ กิ ษุ ท. วา่ ในวนั นี ้ อ. ดฉิ นั จกั ไป สทู่ ่ีเป็นท่ีฟังซง่ึ ธรรม ดงั นี ้ ฯ ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 103 www.kalyanamitra.org

อ. ภกิ ษณุ ี ท. ผ้มู ใี จยนิ ดแี ลว้ วา่ อ. ความที่ แหง่ พระนางรปู นนั ทา ภิกฺขนุ ิโย “จิรสฺสํ วต รูปนนฺทาย สตฺถุ อนปุ ิสฏฺฺสฐาานยํ เป็นผ้ทู รงประสงค์เพ่ืออนั เสดจ็ ไป สทุ่ ่ีเป็นท่ีบ�ำรุง ซงึ่ พระศาสดา คนฺตกุ ามตา อปุ ปฺ นฺนา, อชฺช สตฺถา อิมํ เกดิ ขนึ ้ แล้ว สนิ ้ กาลนานหนอ, ในวนั นี ้ อ. พระศาสดา ทรงอาศยั แล้ว ต“วิจมอิตหาทฺํตอาํ ยตฺตธานมนิกฺมํ ฺขเเมทนสึวส.ุ นทํ สสาเฺ เสทสนเฺสสิกาสฺขมนฺสีตฺตติ กีจตาินิ ลฺเตโตตสุฏ.ิ ฺ ฐมปาฏนฺฐสายา ซง่ึ พระนางรูปนนั ทานี ้ จกั ทรงแสดง ซงึ่ พระธรรมเทศนา อนั วจิ ิตร ดงั นี ้ พาเอา (ซงึ่ พระนางรูปนนั ทา) นนั้ ออกไปแล้ว ฯ อ.พระศาสดา ทรงด�ำริแล้ว ว่า ในวันนี ้ อ.รูปนันทา สตฺถา “อชฺช นุ รูปนนฺทา มยฺหํ ธมอมฺ ปุ เทฏฺสฐนานาํ จกั มา สทู่ ่ีเป็นท่ีบ�ำรุง ซง่ึ เรา, อ. ธรรมเทศนา อนั เชน่ ไร หนอ แล อาคมิสฺสต,ิ กีทิสี โข ตสฺสา เป็นที่สบาย (แก่รูปนนั ทา) นนั้ (ยอ่ มมี) ดงั นี ้ ทรงกระท�ำแล้ว สปปฺ ายาติ จินฺเตตฺวา “รูปครุกา เอสา อตฺตภาเว ซงึ่ การตกลง วา่ (อ.รูปนนั ทา) นน่ั ผ้หู นกั ในรูป เป็นผ้มู ีความรัก พลวสเิ นหา, กณฺฏเกน กณฺฏกทุ ฺธรณํ วิย รูเปเนวสฺสา มีก�ำลงั ในอตั ภาพ (ยอ่ มเป็น), อ.อนั ย�่ำยีซง่ึ ความเมาในรูป วรูปหิ ามรทํ นปิมวสมฺิ นทสนมํ เสยปปเฺ อากยํ นอฺตภิริ ูปสํ นอฺนติิฏถฺฺฐึาโนสํ ฬกสตวฺวสาสฺ ทุ ตเฺ ทสสสฺ กิาํ ด้วยรูปนน่ั เทียว เป็นท่ีสบาย (แก่รูปนนั ทา) นนั้ (ยอ่ มมี) ราวกะ อ.อันบ่งซึ่งหนาม ด้ วยหนาม ดังนี ้ ทรงเนรมิตเฉพาะแล้ว รตตฺ วตถฺ นวิ ตถฺ ํ สพพฺ าภรณปฏมิ ณฑฺ ติ ํ วชี นึ คเหตวฺ า ซง่ึ หญงิ ผ้มู รี ูปงาม คนหนง่ึ ผ้อู นั บคุ คลพงึ แสดงขนึ ้ วา่ มกี าลฝน ๑๖ อตตฺ โน สนตฺ เิ ก ฐตวฺ า วชี มานํ อทิ ธฺ พิ เลน อภนิ มิ มฺ นิ .ิ ผ้มู ผี ้าสแี ดงอนั นงุ่ แล้ว ผ้ปู ระดบั เฉพาะแล้วด้วยเคร่ืองอาภรณท์ งั้ ปวง แผหู้ ง่ถพือรแะลฤ้ทวธซ์ิ ใง่ึ นพสดัมยัยเปืน็นพทดัเี่ ขอ้ายไปู่ ในสทวู่ หิี่จาะรใก(ลแ้หแง่ หพง่รพะนราะงอรงปู คน์ นั ดท้วายนกนั้ �ำล) ฯงั ก็ อ.พระศาสดา ด้วยน่ันเทียว อ.พระนางรูปนันทาด้วย ตํ โข ปน อิตฺถึ สตฺถา เจว ปสฺสนฺติ รูปนนฺทา จ. ยอ่ มทรงเหน็ ซงึ่ หญิง นนั้ แล ฯ (อ.พระนางรูปนันทา) เสด็จเข้าไปแล้ว สู่วิหาร กับ ลอฐตกนขฺวฺฺตณาเภรวกิ ปจิขฺนตินญุิสตฺหี นิฺจํ ิ ฺนปสอาตนทฏิพธฺุ ปฺึฐยฺ าวเิญตทหิ นชฺโาตนรํ สสปปมตวฏชุ สิฺถฺชฺฐติาลาวฺรยํ ําพสวภยฺ นตากิ ฺทมฺถขฺ ปาิตนุ รปฺวฺนี ํ าภํโปาอปิฏโภลรฺฐิกกิเปิกฺขขฺ สนนุติ เฺ ีนฺตตสฺ ํีํ ด้วยภิกษุณี ท. ประทบั ยืนแล้ว ท่ีข้างแหง่ หลงั ของภิกษุณี ท. ถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ด้วยอนั ตงั้ ไว้เฉพาะแหง่ องค์ ๕ ประทับนั่งแล้ว ในระหว่าง แห่งภิกษุณี ท. ทรงแลดูอยู่ ซง่ึ พระศาสดา จ�ำเดมิ แตพ่ ระบาท ทรงเหน็ แล้ว ซงึ่ พระสรีระ สตฺถุ สรีรํ ทิสวฺ า ปณุ ฺณจนฺทสสสฺ ริ ิกํ มขุ ํ โอโลเกนฺตี ของพระศาสดา มีพระลักษณะอันงดงาม อันรุ่งเรืองขึน้ ด้วยดี สมีเป ติ ํ อิตฺถีรูปํ อทฺทส. สา ตํ โอโลเกตฺวา ด้วยพระอนพุ ยญั ชนะ อนั พระรัศมีมีวาเป็นประมาณแวดล้อมแล้ว อตตฺ ภาวํ โอโลเกนตฺ ี สวุ ณณฺ ราชหสํ ยิ า ปรุ โต กากสี ทสิ ํ ทรงแลดูอยู่ ซึ่งพระพักตร์ อันประกอบแล้วด้วยพระสิริเพียง อตฺตานํ อวมญฺญิ. ดงั พระจนั ทร์อนั เตม็ แล้ว ได้ทรงเหน็ แล้ว ซงึ่ รูปแหง่ หญิง อนั ยืน แล้ว ในที่ใกล้ ฯ อ.พระนางรูปนนั ทานนั้ ทรงแลดแู ล้ว ซงึ่ หญิง นนั้ ทรงแลดอู ยู่ ซงึ่ อตั ภาพ ทรงสำ� คญั แล้ว ซง่ึ พระองค์ อนั เชน่ กบั ด้วยนางกา ข้างหน้า ของนางพญาหงส์ทอง ฯ ก็ อ.พระเนตร แทห.ง่ ร(ูขปอองนั พสร�ำะเนร็จาแงรลูป้วนด้นวั ยทฤาท) ธนิ์ นั้ วงิ เวียนแล้ว อิทฺธิมยรูปํ สาทิฏฺ “ฐอกโาหลโต อปิมฏิสฺ ฐฺสาาเยวเกสหาิ ตสฺสา จ�ำเดมิ แตก่ าล (อนั พระองค์) อกฺขีนิ ภมสึ .ุ โสภา, ทรงเห็นแล้ว นั่นเทียว ฯ อ.พระนางรูปนันทานัน้ ผู้มีจิต - อโห ลลาฏํ โสภนฺติ สพฺเพสํ สรีรปปฺ เทสานํ รูปสริ ิยา อนั สริ ิแหง่ รูป แหง่ สว่ นแหง่ สรีระ ท. ทงั้ ปวง คร่ามาพร้อมแล้ว สมากฑฺฒิตจิตฺตา ตสฺมึ รูเป พลวสเิ นหา อโหส.ิ ว่า โอ ! อ.ผม ท. ของหญิงนี ้ เป็ นส่วนงาม (ย่อมเป็ น), โอ ! อ.หน้าผาก (ของหญิงนี)้ เป็นสว่ นงาม (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ เป็นต้น เป็นผ้มู ีความรักมีก�ำลงั ในรูป นนั้ ได้เป็นแล้ว ฯ 104 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซงึ่ ความยินดียิ่ง (ในรูป) นนั้ สตถฺ า ตสสฺ า ตตถฺ อภริ ตึ ญตวฺ า ธมมฺ ํ เทเสนโฺ ตว (แห่งพระนางรูปนันทา) นัน้ เมื่อทรงแสดง ซึ่งธรรม เทียว ตํ รูปํ โสฬสวสฺสุทฺเทสิกภาวํ อติกฺกมิตฺวา ทรงแสดงแล้ว (ซง่ึ รูป) นนั้ กระทำ� ให้เป็นรูป ก้าวลว่ ง ซง่ึ ความเป็น วีสตวิ สสฺ ทุ ฺเทสกิ ํ กตฺวา ทสเฺ สส.ิ แห่งรูปอันบุคคลพึงแสดงขึน้ ว่ามีกาลฝน ๑๖ อันบุคคล พงึ แสดงขนึ ้ วา่ มีกาลฝน ๒๐ ฯ อ.พระนางรูปนันทา ทรงแลดูแล้ว (ทรงด�ำริแล้ว) ว่า รูปนนฺทา โอโลเกตฺวา “น วตทิ ํ รูปํ ปรุ ิมสทิสนฺติ อ. รูป นี ้ เป็นเชน่ กบั ด้วยรูปอนั มีในก่อน (ยอ่ มเป็น) หามิได้ โถกํ วริ ตฺตจิตฺตา อโหส.ิ สตฺถา อนกุ ฺกเมเนว หนอ ดงั นี ้ เป็นผ้มู ีพระทยั หนา่ ยแล้ว หนอ่ ยหนงึ่ ได้เป็นแล้ว ฯ ตสฺสา อิตฺถิยา สกึ วชิ าตวณฺณํ มชฺฌิมิตฺถีวณฺณํ อ. พระศาสดา (ทรงแสดงแล้ว ซงึ่ รูป) ของหญิง นนั้ (กระท�ำ) มหลฺลกิตฺถีวณฺณํ ชราชิณฺณมหลฺลกิตฺถีวณฺณนฺติ. ให้เป็นเพศแหง่ หญิงผ้คู ลอดแล้วคราวเดียว ให้เป็นเพศแหง่ หญิง ผู้มีในท่ามกลาง ให้เป็ นเพศแห่งหญิงแก่ ให้เป็ นเพศแห่งหญิง แก่ผ้คู ร่�ำคร่าแล้วเพราะชรา โดยล�ำดบั นน่ั เทียว ดงั นีแ้ ล ฯ (อ. พระนางรูปนนั ทา) แม้นนั้ (ทรงด�ำริแล้ว) วา่ อ. รูป แม้นี ้ สาปิ อนปุ พุ ฺเพเนว “อิทํปิ อนฺตรหิตํ, อิทํปิ หายไปแล้ว, (อ. รูป) แม้นี ้ หายไปแล้ว ดงั นี ้ โดยล�ำดบั นน่ั เทียว อนฺตรหิตนฺติ ชราชิณฺณกาเล ตํ วิรชฺชมานา ทรงหนา่ ยอยู่ ซงึ่ รูปนนั้ ในกาล (แหง่ รูปนนั้ ) คร�่ำคร่าแล้วเพราะชรา ขณฺฑทนฺตํ ปลิตสิรํ โอภคฺคํ โคปานสิวงฺกํ ทรงเหน็ แล้ว (ซง่ึ รปู นนั้ ) ผ้มู ฟี ันหกั ผ้มู หี วั อนั หงอกแล้ว ผ้นู ้อมลงแล้ว ทณฺฑปรายนํ ปเวธมานํ ทิสวฺ า อตวิ ยิ วิรชฺชิ. ผ้คู ดเพียงดงั กลอน ผ้มู ีไม้เท้าเป็นเครื่องไปในเบือ้ งหน้า ผ้สู นั่ อยู่ หนา่ ยแล้ว เกินเปรียบ ฯ ครัง้ นนั้ อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว (ซง่ึ รูป) นนั้ (กระท�ำ) อถ สตฺถา ตํ พฺยาธินา อภิภตู ํ กตฺวา ทสฺเสส.ิ ให้เป็นรูปอนั พยาธิครอบง�ำแล้ว ฯ ในขณะนนั้ นนั่ เทียว (อ. หญิง) สา ตขํ ณญฺเญว ทณฑฺ ญฺจ ตาลปณณฺ ญฺจ ฉฑเฺ ฑตวฺ า นัน้ ทิง้ แล้ว ซ่ึงไม้ เท้ า ด้ วย ซึ่งใบแห่งตาล ด้ วย ร้ องอยู่ มหาวิรวํ วิรวมานา ภมู ิยํ ปตติ ฺวา สเก มตุ ฺตกรีเส ร้ องใหญ่ ล้มแล้ว ที่ภาคพืน้ จมลงแล้ว ในมูตรและกรีส นิมคุ ฺคา อปราปรํ ปริวตฺต.ิ รูปนนฺทา ตํ ทิสวฺ า อนั เป็นของตน กลงิ ้ แล้ว ไป ๆ มา ๆ ฯ อ. พระนางรูปนนั ทา อตวิ ิย วริ ชฺชิ. ทรงเหน็ แล้ว (ซงึ่ หญิง) นนั้ ทรงหนา่ ยแล้ว เกินเปรียบ ฯ อ.พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซงึ่ มรณะ ของหญิงนนั้ ฯ สตฺถา ตสฺสา อิตฺถิยา มรณํ ทสฺเสสิ. (อ.หญิง) นัน้ ถึงทั่วแล้ว ซึ่งความเป็ นแห่งซากศพอันพองขึน้ สา ตํขณญฺเญว อทุ ฺธมุ าตกภาวํ อาปชฺชิ. นวหิ ในขณะนัน้ นั่นเทียว ฯ อ.สายแห่งหนอง ท. ด้วยน่ันเทียว วณมเุ ขหิ ปสพุ นฺพฺนวิปฏตฺฏติ ิโยฺวา เจว ปฬุ วา จ ปคฺฆรึส.ุ อ.หนอน ท. ด้วย ไหลออกแล้ว จากปากแหง่ แผล ท. ๙ ฯ กากาทโย วิลมุ ปฺ ึส.ุ รูปนนฺทา ตํ (อ.สัตว์ ท.) มีกาเป็ นต้ น ประชุมกันแล้ว ยือ้ แย่งแล้ว ฯ โอโลเกตฺวา “อยํ อิตฺถี อิมสฺมเึ ยว ฐาเน ชรํ อ. พระนางรูปนนั ทา ทรงแลดแู ล้ว (ซง่ึ ซากศพ) นนั้ ทรงเหน็ แล้ว ปตฺตา พฺยาธึ ปตฺตา มรณํ ปตฺตา, อิมสฺสาปิ ซงึ่ อตั ภาพ โดยความไมเ่ ท่ียง (ด้วยมนสกิ าร) วา่ อ. หญิงนี ้ อ ตฺ ตภาวสฺ ส เอ วเมว ชร าพฺ ย า ธิ ม ร ณ า นิ ถงึ แล้ว ซงึ่ ชรา ถงึ แล้ว ซง่ึ พยาธิ ถงึ แล้ว ซงึ่ มรณะ ในทนี่ ี ้ นนั่ เทยี ว, อาคมิสฺสนฺตีติ อตฺตภาวํ อนิจฺจโต ปสฺส.ิ อ. ชราและพยาธิและมรณะ ท. จกั มาถงึ แก่อตั ภาพ แม้อยา่ งนนั้ นน่ั เทียว ดงั นี ้ ฯ ก็ (อ.อัตภาพ) เป็ นอัตภาพ (อันพระนางรูปนันทานัน้ ) พจทิติฏทฺฺตโฺธฐํอกเปนยุณกวิจฺขฺจปโํนโหตฺทตวิ..ิ ิยทอิฏถจฺฐสตฺสอฺตาุาปตเฏอโฺยวฐหภปึสวนุา. ทกุ ฺขโต อนตฺตโต ทรงเหน็ แล้ว โดยความเป็นทกุ ข์ โดยความเป็นอนตั ตา นนั่ เทียว อาทิตฺตา วยิ คีวาย เพราะความท่ี (แหง่ อตั ภาพ) เป็นสภาพ (อนั พระนางรูปนนั ทานนั้ ) กมฺมฏฺ ฐานาภิมุขํ ทรงเหน็ แล้ว โดยความไมเ่ ท่ียงนน่ั เทียว ยอ่ มเป็น ฯ ครัง้ นนั้ อ. ภพ ท. ๓ ปรากฏแล้ว (แก่พระนางรูปนนั ทา) นนั้ ราวกะวา่ อนั ไฟตดิ ทวั่ แล้ว ด้วย ราวกะวา่ ซากศพ (อนั บคุ คล) ผกู แล้ว ที่คอ ด้วย ฯ อ. จิต มีหน้าเฉพาะตอ่ กมั มฏั ฐาน แลน่ ไปแล้ว ฯ ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 105 www.kalyanamitra.org

อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซง่ึ ความที่ (แหง่ อตั ภาพ) สตฺถา ตาย สอยนเสมิจกวฺจฺขโอิสตตฺสฺตตทโิ,นิฏฺพฐภหปาิทตวฺฏิธํ ฺฐาํ ญตฺวา เป็นสภาพ (อนั พระนางรูปนนั ทา) นนั้ ทรงเหน็ แล้ว โดยความไมเ่ ทย่ี ง “ สกฺขิสสฺ ติ นุ โข กาตนุ ฺติ ทรงตรวจดอู ยู่ วา่ (อ.รูปนนั ทา) จกั อาจ เพอ่ื อนั กระทำ� ซง่ึ ทพี่ งึ่ โอโลเกนฺโต “น ปจฺจยํ แก่ตน เองน่ันเทียว หรือ หนอ แล ดังนี ้ ทรงด�ำริแล้ว ว่า ลทฺธํุ เทวเฏสฺ ฏนตฺโตีติ จินฺเตตฺวา ตสฺสา สปปฺ ายวเสน (อ.รูปนนั ทา) จกั ไมอ่ าจ, อ.อนั (อนั รูปนนั ทา) ได้ ซง่ึ ปัจจยั ธมมฺ ํ อิมา คาถา อภาสิ ในภายนอก ยอ่ มควร ดงั นี ้ เมอ่ื ทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ด้วยสามารถ- แห่งธรรมเป็ นท่ีสบาย (แก่พระนางรูปนันทา) นัน้ ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้ วา่ ดกู อ่ นนนั ทา (อ. เธอ) จงดู ซ่ึงร่างกาย อนั กระสบั กระสา่ ย “ อาตรุ ํ อสจุ ึ ปตู ึ ปสสฺ นนเฺ ท สมสุ ฺสยํ อนั ไม่สะอาด อนั เปื่อยเน่า อนั ไหลเขา้ อยู่ อนั ไหลออกอยู่ อคุ ฺฆรนตฺ ํ ปคฺฆรนตฺ ํ พาลานํ อภิปตฺถิตํ; อนั อนั คนพาล ท. ปรารถนาเฉพาะแลว้ ; (อ. สรีระของหญิง) ยถา อิทํ ตถา เอตํ; ยถา เอตํ ตถา อิทํ; นี้ (ย่อมเป็น) ฉนั ใด (อ. สรีระของเธอ) นนั่ (ย่อมเป็น) ธาตโุ ย สญุ ฺญโต ปสฺส, มา โลกํ ปนุ ราคมิ; ฉนั นนั้ ; (อ.สรีระของเธอ) นนั่ (ย่อมเป็ น) ฉนั ใด ภเว ฉนทฺ ํ วิราเชตฺวา อปุ สนตฺ า จริสฺสสีติ. (อ. สรีระของหญิง) นี้ (ยอ่ มเป็น) ฉนั นน้ั ; (อ.เธอ) จงเหน็ ซึ่งธาตุ ท. โดยความเป็นของวา่ งเปลา่ , (อ.เธอ) อยา่ มาแลว้ สู่โลก อีก; (อ.เธอ) ส�ำรอกแลว้ ซึ่งความพอใจ ในภพ เป็นผูเ้ ขา้ ไปสงบแลว้ (เป็น) จกั เทีย่ วไป ดงั นี้ ฯ ได้ยินว่า อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภ ซ่ึงภิกษุณี อิตฺถํ สุทํ ภควา นนฺทํ ภิกฺขุนึ อารพฺภ ชอ่ื วา่ นนั ทา ได้ตรสั แล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้ ด้วยประการฉะนี ้ อิมา คาถาโย อภาสติ ฺถาต.ิ ดงั นีแ้ ล ฯ อ.พระนางนันทา ทรงส่งไปแล้ว ซึ่งพระญาณ ตามแนว นนฺทา เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา แหง่ เทศนา บรรลแุ ล้ว ซงึ่ โสดาปัตตผิ ล ฯ โสตาปตฺตผิ ลํ ปาปณุ ิ. ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนนนั ทา อ.เธอ อถสสฺ า อตุ ตฺ รึ ตณิ ณฺ ํ มคคฺ ผลานํ วปิ สสฺ นา- อยา่ กระท�ำแล้ว ซง่ึ ความสำ� คญั วา่ อ.สาระ ในสรีระ นี ้ มีอยู่ “ปนรนิวเฺ าทสมตาฺถาย“อมิ สสตมฺ ฺถึ าสรีเสรุญสฺญาโตรกอมตฺมถฺ ฏตี ฺ ฐิ าสนญํ ฺญกํ เถกรติ,ํุ ดังนี,้ เพราะว่า อ.สาระ ในสรีระนี ้ แม้ มีประมาณน้ อย ย่อมไม่มี, อ.สรีระน่ัน (อันกรรม) ยังร้ อยแห่งกระดูก ท. ๓ อปฺปมตฺตโกปิ หิ เอตฺถ สาโร นตฺถิ, ตีณิ ให้ยกขนึ ้ แล้ว กระทำ� แล้ว ให้เป็นนคร แหง่ กระดกู ท. ดงั นี ้ เพอ่ื อวตฏฺฺวฐาสิ ตาอนิมิํ อสุ สฺ าเปตฺวา กตํ อฏฺฐนี ํ นครเมตนฺติ อันตรัสบอก ซึ่งสุญญตกัมมัฏฐาน เพ่ือต้องการแก่อันอบรม คาถมาห ซึ่งวิปัสสนา เพ่ือมรรคและผล ท. ๓ ย่ิง (แก่พระนางรูปนนั ทา) นนั้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่ อ.ชราดว้ ย อ.มจั จดุ ว้ ย อ.มานะดว้ ย อ. มกั ขะ ยอตฏฺฺถฐีนชํรานจคมรํ จฺจกุ ตจํ มํสโลหิตเลปนํ, ดว้ ย ตง้ั ลงแลว้ (ในสรีระ) ใด (อ. สรีระ นี)้ (อนั กรรม) มาโน มกฺโข จ โอหิโตติ. กระท�ำแลว้ ใหเ้ ป็นนคร แห่งกระดูก ท. อนั ฉาบทา- ดว้ ยเนือ้ และเลือด ดงั นี้ ฯ อ.เนอื ้ ความ แหง่ คำ� อนั เป็นพระคาถานนั้ วา่ เหมอื นอยา่ งวา่ ตสสฺ ตฺโถ “ยเถว หิ ปพุ ฺพณฺณาปรณฺณาทีนํ (อ. ชน ท.) ยงั กนั และกนั ให้ยกขนึ ้ แลว้ ซงึ่ ไม้ ท. ผกู แลว้ ด้วยเถาวลั ย์ ท. โมอตทฺตหกิ นาตยถฺ ายลมิ กปฺ ฏิ ตฺฐฺวาานิ อสุ สฺ าเปตวฺ า วลลฺ หี ิ พนธฺ ิตวฺ า ฉาบทาแล้ว ด้วยดนิ เหนยี ว ยอ่ มกระทำ� ให้เป็นเรือน ในภายนอก นครสงฺขาตํ พหิทฺธา เคหํ อนั บณั ฑติ นบั พร้อมแล้ววา่ นคร เพอื่ ต้องการแกอ่ นั ตงั้ ลง (แหง่ วตั ถุ ท.) กโรนฺต;ิ มีวตั ถอุ นั บคุ คลพงึ กินในก่อนและวตั ถอุ นั บคุ คลพงึ กินในภายหลงั เป็นต้น ฉนั ใดนนั่ เทียว; 106 ธรรมบทภาคที่ ๕ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.สรีระ นี ้ แม้อนั เป็นไปในภายใน (อนั กรรม) ยงั ร้อยแหง่ กระดกู ท.๓ เนอหวมาริทุวํ ินอชทฺฌฺธํ ตฺตกิ มํปิํสโตลีณหิิตอเลฏปฺฐสินตํ านิ อสุ ฺสาเปตฺวา ให้ ยกขึน้ แล้ว กระท�ำแล้ว ให้ เป็ นนคร อันเส้นเอ็นรึงรัดแล้ว ตจปฏิจฺฉนฺนํ อนั ฉาบทาด้วยเนอื ้ และเลอื ด อนั หนงั ปกปิดแล้ว เพอื่ ประโยชน-์ ชีรณลกฺขณาย ชราย มรณลกฺขณสฺส มจฺจโุ น แกอ่ นั ตงั้ ลง แหง่ ชรา มคี วามคร�่ำคร่าเป็นลกั ษณะ ด้วยแหง่ มจั จุ อาโรหสมปฺ ทาทีนิ ปฏิจฺจ มชฺชนลกฺขณสสฺ มานสสฺ มคี วามตายเป็นลกั ษณะ ด้วย แหง่ มานะ มคี วามมวั เมา เพราะอาศยั สกุ ตกรณวินาสนลกฺขณสฺส มกฺขสสฺ จ โอทหนตฺถาย (ซงึ่ เหตุ ท.) มีความถึงพร้อม ด้วยทรวดทรงเป็นต้น เป็นลกั ษณะ นครํ กตํ. ด้วย แหง่ มกั ขะ มกี ารยงั การกระทำ� อนั บคุ คลกระทำ� ดแี ล้วให้พนิ าศไป เป็นลกั ษณะ ด้วย ฯ เพราะว่า อ.อาพาธ อันเป็ นไปในกายและเป็ นไปในจิต เอวรูโปเอว หิ เอตฺถ กายิกเจตสโิ ก อาพาโธ อนั มีอยา่ งนีเ้ป็นรูปนน่ั เทียว ตงั้ ลงแล้ว (ในสรีระ) นนั้ , อ.วตั ถุ โอทหิโต, อิโต อทุ ฺธํ กิญฺจิ คยฺหปุ คํ นตฺถีต.ิ อะไร ๆ อนั เข้าถงึ ซง่ึ ความเป็นของอนั บคุ คลพงึ ถือเอา ยอ่ มไมม่ ี ในเบือ้ งบน (แตอ่ าพาธ) นี ้ ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็ นที่สุดลงแห่งเทศนา อ.พระเถรี บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน เถรี อรหตฺตํ ปาปณุ ิ. มหาชนสสฺ ซึ่งพระอรหัต ฯ อ.พระธรรมเทศนา เป็ นเทศนาเป็ นไปกับ สาตฺถิกา ธมมฺ เทสนา อโหสตี ิ. ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แก่มหาชน ดงั นีแ้ ล ฯ อ. เร่ืองแห่งพ(รจะบเถแรลีช้ว่ือ)วฯ่า รูปนันทา รูปนนฺทตเฺ ถรีวตถฺ ุ. ๖. อ.เร่ือ(องแันหข่้งาพพรเจะ้าเทวจีพะรกะลน่าาวม)วฯ่ามัลลกิ า ๖.มลฺลิกาเทวีวตถฺ ุ. อ. พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจติ ตฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ ซง่ึ พระเทวี พระนามวา่ มลั ลกิ า ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ สตฺถา เชตวเน วหิ รนฺโต มลลฺ กิ ํ เทวึ อารพฺภ กเถส.ิ วา่ ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจติ ตฺ า ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง (อ.พระเทวี) นัน้ เสด็จเข้าไปแล้ว สา โกอิรนตเสอรกีรทาิวสชํ งฺฆนหาานโธโกวติฏฺํุฐกอํารปภวิ.ฏิ ฺฐตาายมจขุ ํ สู่ซุ้มเป็ นที่ทรงสนาน ทรงล้างแล้ว ซ่ึงพระพักตร์ มีพระสรีระ โธวติ ฺวา อนั น้อมลงแล้ว ทรงเริ่มแล้ว เพื่ออนั ทรงล้าง ซง่ึ พระชงฆ์ ท. ฯ สทฺธึเยว ปวฏิ ฺโฐ เอโก วลลฺ ภสนุ โข อตฺถิ. ก็ อ.สุนัขตัวโปรด ตัวหน่ึง เข้าไปแล้ว กับ (ด้วยพระเทวี) นนั้ นนั่ เทียว มีอยู่ ฯ (อ. สนุ ขั ) นนั้ เหน็ แล้ว ซง่ึ พระเทวีนนั้ ผ้ทู รงน้อมลงแล้ว โส ตํ ตถา โอนตํ ทิสฺวา อสทฺธมมฺ สนฺถวํ อยา่ งนนั้ เริ่มแล้ว เพอื่ อนั กระทำ� ซงึ่ ความเชยชดิ โดยอสทั ธรรม ฯ กาตํุ อารภิ. สา ตสสฺ ผสฺสํ สาทิยนฺตี อฏฺฐาส.ิ (อ.พระเทวี) นัน้ ทรงยินดีอยู่ ซ่ึงผัสสะ (ของสุนัข) นัน้ ได้ประทบั ยืนแล้ว ฯ อ. พระราชา ทรงแลดอู ยู่ โดยพระแกล ในเบอื ้ งบนแหง่ ปราสาท ราชา อปุ ริปาสาเท วาตปาเนน โอโลเกนฺโต ทรงเหน็ แล้ว (ซงึ่ กิริยา) นนั้ ตรัสแล้ว วา่ แนะ่ หญิงถ่อย อ. เจ้า ตํ ทิสวฺ า ตโต อาคตกาเล “นสฺส วสล,ิ กสฺมา จงฉิบหาย, (อ.เจ้า) ได้กระท�ำแล้ว (ซงึ่ กรรม) มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป เอวรูปมกาสตี ิ อาห. “กึ มยา กตํ เทวาต.ิ เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ ในกาล (แหง่ พระเทวีนนั้ ) เสดจ็ มาแล้ว (จากที่) นนั้ ฯ (อ.พระเทวี ทลู ถามแล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ ผ้สู มมตเิ ทพ (อ. กรรม) อะไร อนั หมอ่ มฉนั กระท�ำแล้ว ดงั นี ้ ฯ ผลิตส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 107 www.kalyanamitra.org

(อ.พระราชา ตรัสแล้ว) วา่ อ.ความเชยชิด กบั ด้วยสนุ ขั “สนุ เขน สทฺธึสนฺถโวต.ิ “นตฺเถตํ เทวาต.ิ (อนั เจ้า กระท�ำแล้ว) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเทวี กราบทลู แล้ว) วา่ “มยา สามํ “มทหิฏาฺ รฐาํ,ช นา หํ ตว ส ทฺ ท หิ สฺ ส า มิ , ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อ.กรรม) นนั่ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ ฯ นสฺส วสลีต.ิ โย โกจิ อิมํ โเกอฏโฺกฐกวํ ปทวฺวิฏิธฺโาฐ (อ. พระราชา ตรัสแล้ว) วา่ (อ.กรรมนนั้ ) อนั เรา เหน็ แล้ว เอง, อิมินา วาตปาเนน โอโลเกนฺตสฺส อ. เรา จกั ไมเ่ ชอื่ ตอ่ เจ้า, แนะ่ หญงิ ถอ่ ย (อ. เจ้า) จงฉบิ หาย ดงั นี ้ ฯ ปญฺญายตีต.ิ (อ. พระเทวี กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตม่ หาราชเจ้า (อ. บคุ คล คนใดคนหนงึ่ เข้าไปแล้ว สซู่ มุ่ นี ้ ผ้เู ดียวเทียว ยอ่ มปรากฏ โดยสว่ น ๒ (แก่บคุ คล) ผ้แู ลดอู ยู่ โดยหน้าตา่ ง นี ้ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชา ตรัสแล้ว) วา่ แนะ่ หญิงผ้ลู ามก (อ. เจ้า) “อภตู ํ กเถสิ ปาเปต.ิ “ เทว สเจ เม น สททฺ หส,ิ กลา่ วแล้ว ซง่ึ คำ� อนั ไมม่ แี ล้ว ดงั นี ้ ฯ (อ. พระเทวี กราบทลู แล้ว) เโออตโลํ เกโสกฺสฏฺาฐมกีตํ .ิ ปวิส, อหนฺตํ อิมินา วาตปาเนน วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ ถ้าวา่ (อ.พระองค์) จะไมท่ รงเช่ือ ราชา มนฺทธาตโุ ก ตสฺสา วจนํ ตอ่ หมอ่ มฉนั ไซร้, (อ.พระองค์) ขอจงเสดจ็ เข้าไป สซู่ มุ่ นนั่ , สทฺทหิตฺวา โกฏฺฐกํ ปาวสิ .ิ (อ. หมอ่ มฉนั ) จกั แลดู ซง่ึ พระองค์ โดยหน้าตา่ ง นี ้ ดงั นี ้ ฯ อ.พระราชา มธี าตแุ หง่ บคุ คลผ้เูขลา ทรงเชอ่ื แลว้ ซงึ่ คำ� (ของพระเทว)ี นนั้ ได้เสดจ็ เข้าไปแล้ว สชู่ ้มุ ฯ อ. พระเทวี แม้นนั้ แล ประทบั ยนื แล้ว ทพี่ ระแกล ทรงแลดอู ยู่ สาปิ โข เทวี วาตปาเน ฐตฺวา โอโลเกนฺตี กราบทูลแล้ว ว่า ข้ าแต่มหาราช ผู้เขลาเพียงดังคนตาบอด “อนธฺ พาล มหาราช กนิ นฺ าเมตํ อชกิ าย สทธฺ ึ สนถฺ วํ (อ. พระองค์) ยอ่ มทรงกระท�ำ ซงึ่ ความเชยชิด กบั ด้วยนางแพะ กโรสตี ิ อาห, “นาหํ ภทฺเท เอวรูปํ กโรมีติ วตุ ฺเตปิ , นน่ั ช่ืออะไร ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อพระด�ำรัส) วา่ แนะ่ นางผ้เู จริญ ต“ทมํฺวยิธสาาตุปิฺวปาญสรฺญาามชาํายทติฏีต“ฺฐิ อ,ํ สทนทฺธาฺทาหหํอิ.ติมวํ โกสฏทฺฐฺทกหํ ิสปฺสวาิฏมฺโฐีติ อาห. อ.เรา ยอ่ มกระท�ำ (ซง่ึ กรรม) มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป หามิได้ ดงั นี ้ เอโกว (อนั พระราชา) แม้ตรัสแล้ว, กราบทลู แล้ว วา่ (อ. กรรมนนั้ ) แม้ อันหม่อมฉัน เห็นแล้ว เอง, อ.หม่อมฉัน จักเช่ือ ตอ่ พระองค์ หามิได้ ดงั นี ้ ฯ อ.พระราชา ทรงสดบั แล้ว (ซง่ึ ค�ำ) นัน้ ทรงเช่ือแล้ว ว่า (อ.บุคคล) ผู้เข้ าไปแล้ว สู่ซุ้มนี ้ ผ้เู ดียวเทียว ยอ่ มปรากฏ โดยสว่ น ๒ แนแ่ ท้ ดงั นี ้ ฯ อ.พระนางมัลลิกา ทรงด�ำริแล้ว ว่า (อ.พระราชา) นี ้ มลฺลกิ า จินฺเตสิ “อยํ ราชา อนฺธพาลตาย อันเรา ลวงได้แล้ว เพราะความท่ี (แห่งพระองค์) เป็ นผู้เขลา มยา วญฺจิโต, ปาปํ เม กตํ, อยญฺจ เม อภเู ตน เพียงดงั คนบอด, อ. บาป อนั เรา กระท�ำแล้ว, อ.พระราชานี ้ อพฺภาจิกฺขิโต, อิทญฺจ เม กมมฺ ํ สตฺถาปิ ชานิสฺสต,ิ อนั เรา ลวงแล้ว ด้วยค�ำอนั ไมม่ ีแล้ว ด้วย, แม้ อ.พระศาสดา เทฺว อคฺคสาวกาปิ อสีติ มหาสาวกาปิ ชานิสสฺ นฺต;ิ จกั ทรงทราบ ซง่ึ กรรม นี ้ ของเราด้วย, แม้ อ. พระอคั รสาวก ท. อโห วต เม ภาริยํ กมมฺ ํ กตนฺต.ิ ๒ แม้ อ.พระมหาสาวก ท. ๘๐ จักทราบ; โอ ! หนอ อ.กรรม อนั หนกั อนั เรา กระท�ำแล้ว ดงั นี ้ ฯ ได้ ยินว่า (อ. พระเทวี) นี ้ เป็ นพระสหาย ในอสทิสทาน อยํ กิร รญฺโญ อสทิสทาเน สหายิกา อโหส.ิ ของพระราชา ได้เป็ นแล้ว ฯ ก็ อ.การบริจาค (อนั พระราชา) ตตฺถ จ เอกทิวสํ กตปริจฺจาโค ธนสฺส จทุ ฺทสโกฏิ- ทรงกระท�ำแล้ว ในวันหนึ่ง เป็ นไทยธรรมถึงค่าซ่ึงโกฎิ ๑๔ อคฆฺ นโก อโหส.ิ ตถาคตสสฺ เสตจฉฺ ตตฺ ํ นสิ ที นปลลฺ งโฺ ก แหง่ ทรัพย์ ได้มีแล้ว (ในอสทิสทาน) นนั้ ฯ ก็ (อ.วตั ถุ ท.) ๔ อาธารโก ปาทปี ฐนฺติ อิมานิ ปน จตฺตาริ อนคฺฆาเนว เหลา่ นี ้คือ อ.เศวตฉตั ร อ. บลั ลงั ก์เป็นที่ประทบั นง่ั อ.เชิงเป็นท่ีรอง อเหสํ.ุ อ.ตั่งเป็ นท่ีรองซ่ึงเท้า เป็ นของหาค่ามิได้น่ันเทียว ได้มีแล้ว เพ่ือพระตถาคตเจ้า ฯ (อ. พระเทวี)นนั้ ไมท่ รงตามระลกึ ถงึ แล้ว ซง่ึ การบริจาคใหญ่ สา มรณกาเล เอวรูปํ มหาปริจจฺ าคํ อนนสุ สฺ ริตวฺ า มีอย่างนีเ้ ป็ นรูป ในกาลเป็ นท่ีตาย ทรงตามระลึกถึงอยู่ ตเทว ปาปกมฺมํ อนสุ สฺ รนฺตี กาลํ กตฺวา อวีจิมหฺ ิ ซ่ึงกรรมอันลามก นัน้ นั่นเทียว ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งกาละ นิพฺพตฺติ. รญฺโญ ปน สา อติวิย ปิ ยา อโหสิ. ทรงบังเกิดแล้ว ในนรกช่ือว่าอเวจี ฯ ก็ (อ.พระนางมัลลิกา) โส พลวโสกาภิภโู ต ตสสฺ า สรีรกิจฺจํ กาเรตฺวา นัน้ เป็ นผู้เป็ นท่ีรัก เกินเปรียบ ของพระราชา ได้ เป็ นแล้ว ฯ (อ.พระราชา) นนั้ ผ้อู นั ความโศกมกี ำ� ลงั ครอบงำ� แล้ว ทรงยงั บคุ คล ให้กระท�ำแล้ว ซงึ่ กิจด้วยพระสรีระ (ของพระเทวี) นนั้ 108 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ทรงด�ำริแล้ว ว่า (อ.เรา) จักทูลถาม ซึ่งที่แห่งพระเทวีนัน้ “สนนิพฺตฺพกิ ตํ ฺตอฏคฺฐมาานสม.ิ สสฺ าสตปฺถจาุ ,ฺฉิสยสฺ ถาามีตโิสจินฺเอตาตคฺวตากาสรตณฺถํุ บงั เกิดแล้ว ดงั นี ้ ได้เสดจ็ ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา ฯ อ.พระราชานนั้ ยอ่ มไมท่ รงระลกึ ถงึ ซงึ่ เหตุ (แหง่ พระองค์) น สรต;ิ ตถา อกาส.ิ เสดจ็ มาแล้ว โดยประการใด; อ. พระศาสดา ได้ทรงกระท�ำแล้ว โดยประการนนั้ ฯ (อ.พระราชา) นนั้ ทรงสดบั แล้ว ซงึ่ ธรรมกถา อนั เป็นที่ตงั้ โส สตฺถุ สนฺตเิ ก สาราณียํ ธมมฺ กถํ สตุ ฺวา ปมสุ ฺส;ิ แหง่ ความระลกึ ถงึ ในสำ� นกั ของพระศาสดา ทรงลมื ทวั่ แล้ว; ปนเคิพมหฏฺพุ ํ ฺโตฐปฺต,วฏเิฏฺสฐฺฐฺวากนาํ ปเลปนุ จุ ปฺฉสจุิสรฺฉฺสิติสาฺวสฺมาาีตมิ “ีตอสิ หตปํฺถนุุ ภทสเณิวนเฺตสปกิ `ิํ มอคลคฺลนมกิฺตาาฺวสยา.ิ ทรงระลกึ ได้แล้ว ในกาล (แหง่ พระองค์) เสดจ็ เข้าไปแล้ว สวู่ งั (ตรัสแล้ว) ว่า แน่ะพนาย อ.เรา (คิดแล้ว) ว่า อ.เรา จกั ทลู ถาม ซงึ่ ท่ี แหง่ มลั ลกิ า บงั เกิดแล้ว ดงั นี ้ ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั ของพระศาสดา เป็นผ้ลู ืมทวั่ แล้ว (ยอ่ มเป็น), อ. เรา จกั ทลู ถาม อีก ในวนั พรุ่ง ดงั นี ้ ได้เสดจ็ ไปแล้ว แม้ในวนั รุ่งขนึ ้ ฯ (อ. พระราชา) นัน้ ย่อมไม่ทรงระลึกได้ โดยประการใด; สตฺถาปิ ปฏิปาฏิยา สตฺต ทิวสานิ, ยถา โส แม้ อ. พระศาสดา ได้ทรงกระท�ำแล้ว โดยประการนนั้ สนิ ้ วนั ท. ๗ น สรต;ิ ตถา อกาส.ิ สาปิ สตฺตาหเมว นิรเย ปจิตฺวา ตามล�ำดบั ฯ (อ. พระนางมลั ลกิ า) แม้นนั้ ทรงไหม้แล้ว ในนรก กอฏสฺฺมฐเามปนทสิวฺสเสสตฺถตาโต จตุ า ตสุ ติ ภวเน นิพฺพตฺต.ิ ตลอดวัน ๗ นั่นเทียว ทรงเคล่ือนแล้ว (จากนรก) นัน้ อสรณภาวํ อกาสิ ? สา กิรสฺส ทรงบงั เกิดแล้ว ในภพช่ือวา่ ดสุ ติ ในวนั ที่ ๘ ฯ (อ. อนั ถาม) วา่ อตวิ ยิ ปิ ยา อโหสิ มนาปา; ตสฺมา ตสฺสา นิรเย ก็ อ.พระศาสดา ได้ทรงกระทำ� แล้ว ซง่ึ ความเป็นคอื อนั ระลกึ ไมไ่ ด้ นิพฺพตฺตภาวํ สตุ ฺวา “สเจ เอวรูปา สทฺธาสมปฺ นฺนา (แกพ่ ระราชา) นนั้ เพราะเหตไุ ร ? (ดงั น)ี ้ (อ. อนั แก้) วา่ ได้ยนิ วา่ นริ เย นพิ พฺ ตตฺ า, ทานํ ทตวฺ า กึ กริสสฺ ามตี ิ มนจิ จิ ฉฺ จฺ าภทตฏิ ตฺฺฐํึ (อ. พระนางมลั ลกิ า) นนั้ เป็นผ้เู ป็นที่รัก เป็นผ้เู ป็นท่ียงั พระทยั คเหตวฺ า ปญฺจนนฺ ํ ภกิ ขฺ สุ ตานํ เคเห ปวตตฺ ํ ให้เอิบอาบ เกินเปรียบ (ของพระราชา) นัน้ ได้เป็ นแล้ว; หราเปตวฺ า นริ เย นพิ พฺ ตเฺ ตยยฺ ; เตนสสฺ สตถฺ า สตตฺ าหํ เพราะเหตุนัน้ (อ.พระราชา) ทรงสดับแล้ว ซ่ึงความที่- สอสยรเมณวภราาวชํ ทกฺวตาฺวรําอคอมฏาฺฐสเ.ิม ทิวเส ปิ ณฺฑาย จรนฺโต (แหง่ พระนางมลั ลกิ า)นนั้ เป็นผ้ทู รงบงั เกดิ แล้ว ในนรก ทรงถอื เอาแล้ว ซึ่งความเห็นผิด (ด้ วยอันทรงด�ำริ) ว่า ถ้ าว่า (อ. หญิง ) ผู้ถึงพร้ อมแล้วด้ วยศรัทธา ผู้มีอย่างนีเ้ ป็ นรูป บังเกิดแล้ว ในนรกไซร้, (อ. เรา) ถวายแล้ว ซง่ึ ทาน จกั กระท�ำ อยา่ งไร ดงั นี ้ (ทรงยังราชบุรุษ) ให้เลิกแล้ว ซึ่งนิตยภัตร อันเป็ นไปท่ัวแล้ว ในวงั เพ่ือร้อยแหง่ ภิกษุ ท. ๕ พงึ ทรงบงั เกิด ในนรก (ดงั นี)้ , เพราะเหตนุ นั้ อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซงึ่ ความเป็นคือ อนั ระลกึ ไมไ่ ด้ ตลอดวนั ๗ (แก่พระราชา) นนั้ เสดจ็ เที่ยวไปอยู่ เพ่ือปิ ณฑะ ได้เสดจ็ ไปแล้ว สปู่ ระตแู หง่ พระราชา เองนนั่ เทียว ในวนั ที่ ๘ ฯ อ. พระราชา ทรงสดบั แล้ว วา่ อ. พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ราชา “สตฺถา อาคโตติ สตุ ฺวา นิกฺขมิตฺวา ปตฺตํ ดังนี ้ เสด็จออกไปแล้ว ทรงรับแล้ว ซึ่งบาตร ทรงเริ่มแล้ว อาทาย ปาสาทํ อภิรุหิตํุ อารภิ. สตฺถา ปน รถสาลาย เพื่ออันเสด็จขึน้ เฉพาะ สู่ปราสาท ฯ ก็ อ.พระศาสดา นิสีทิตํุ อาการํ ทสเฺ สส.ิ ราชา สตฺถารํ ตตฺเถว ทรงแสดงแล้ว ซงึ่ อาการ เพื่ออนั ประทบั นงั่ ท่ีโรงแหง่ รถ ฯ นิสีทาเปตฺวา ยาคุขชฺชเกน ปฏิมาเนตฺวา อ. พระราชา ทลู ยงั พระศาสดา ให้ประทบั นง่ั แล้ว (ในที่) นนั้ วนฺทิตฺวา นิสนิ ฺโนว “ภนฺเต อหํ `มลฺลกิ าย นน่ั เทียว ทรงต้อนรับแล้ว ด้วยข้าวต้มและของอนั บคุ คลพงึ เคีย้ ว เป“ทตมวสุ ฏุิยติ ฺโาภฐ;วเนนกิพตฺพมฺถหตฺตารนฏาฺุฐชาาโนขตํ .ิ ปจุ ฺฉิสสฺ ามีติ อาคนฺตฺวา ถวายบงั คมแล้ว ประทบั นง่ั แล้ว เทียว (ทลู ถามแล้ว) วา่ สา ภนฺเต นิพฺพตฺตาต.ิ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ข้าพระองค์ (คดิ แล้ว) วา่ อ.เรา “ภนฺเต ตาย ตสุ ติ ภวเน จกั ทลู ถาม ซง่ึ ที่ แหง่ พระเทวี พระนามวา่ มลั ลกิ า บงั เกิดแล้ว อนิพฺพตฺตยิ า ดงั นี ้ มาแล้ว เป็นผ้ลู มื ทว่ั แล้ว (ยอ่ มเป็น); ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ. มลั ลกิ า) นนั้ บงั เกิดแล้ว ณ ท่ีไหน หนอ แล ดงั นี ้ ฯ (อ. พระศาสดา ตรสั แล้ว) วา่ ดกู อ่ นมหาบพติ ร (อ. พระนางมลั ลกิ า นนั้ ทรงบงั เกิดแล้ว) ในภพช่ือวา่ ดสุ ติ ดงั นี ้ ฯ (อ. พระราชา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (เมื่อมลั ลกิ า) นนั้ ไมบ่ งั เกิดแล้ว ในภพชื่อวา่ ดสุ ติ ผลติ ส่ือการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 109 www.kalyanamitra.org

อ.ใคร อ่ืน จกั บงั เกิด, ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.หญิง ผ้เู ชน่ กบั โก อญฺโญ นิพฺพตฺตสิ สฺ ต,ิ ภนฺเต นตฺถิ ตาย สทิสา (ด้วยมลั ลกิ า) นนั้ ยอ่ มไมม่ ี; เพราะวา่ อ.กิจ อื่นนนั่ เทียว เว้น อติ ถฺ ;ี ตสสฺ า หกริ ิสนฺสสิ านิ มนฺ ีตฏิ ฺฐทาานนาสทํวสี ธิ ุ า`เนสํวฺ ฐตเปถตาฺวคาตสอสฺ ญอฺญทิ ํํ ซง่ึ การจดั แจงซงึ่ ทาน (ด้วยความคิด) วา่ ในวนั พรุ่ง (อ.เรา) ทสฺสามิ, อิทํ จกั ถวาย ซงึ่ วตั ถนุ ี ้ แก่พระตถาคตเจ้า, (อ.เรา) จกั กระท�ำ กิจฺจเมว นตฺถิ; ภนฺเต ตสฺสา ปรโลกํ คตกาลโต (ซงึ่ วตั ถ)ุ นี ้ ดงั นี ้ ยอ่ มไมม่ ี (ในท่ี ท.) มีที่ (แหง่ มลั ลกิ า) นนั้ ปฏฺฐาย สรีรํ เม น วหตีต.ิ นง่ั แล้วเป็นต้น; ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ. สรีระ ของข้าพระองค์ ยอ่ มไมน่ ำ� ไป จำ� เดมิ แตก่ าล (แหง่ มลั ลกิ า)นนั้ ไปแล้ว สโู่ ลกอน่ื ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะพระราชา) นนั้ วา่ อถ นํ สตฺถา “มา จินฺตยิ มหาราช, สพฺเพสํ ดกู อ่ นมหาบพติ ร อ. พระองค์ อยา่ งทรงดำ� ริแล้ว, (อ. มรณธรรม) นี ้ ธวุ ธมโฺ ม อยนฺติ วตฺวา “อยํ มหาราช รโถ กสฺสาติ เป็ นธรรมยั่งยืน ของสัตว์ ท. ทัง้ ปวง (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ปจุ ฺฉิ. ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร (อ.รถ) นี ้ เป็นรถ ของใคร (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ อ.พระราชา ทรงประคองแล้ว ซง่ึ อญั ชลี เหนือพระเศียร ราชา สริ สิ อญฺชลึ กปสตสฺ ฏิ าฺฐตเป.ิ ต“ปฺวิาตุ “ปิ ตามหสสฺ (กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ. รถนี ้ เป็นรถ) เม ภนฺเตติ [อาห.] “อยํ เม ภนฺเตต.ิ ของพระเจ้าป่ ู ของข้าพระองค์ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา “ อยํ ปน รโถ กสสฺ าต.ิ “มม ภนฺเตต.ิ ตรสั ถามแล้ว) วา่ อ. รถนี ้ (เป็นรถ) ของใคร (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ. รถนี ้ เป็ นรถ) ของพระบิดา ของข้ าพระองค์ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ ก็ (อ.รถ) นี ้ (เป็นรถ) ของใคร (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ (อ.พระราชา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จรญิ (อ.รถนี ้ เป็นรถ) ของข้าพระองค์ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ (ครัน้ เม่ือค�ำ) อย่างนัน้ (อันพระราชา) กราบทูลแล้ว เอวํ วตุ ฺเต สตฺถา “มหาราช ตว ปิ ตามหสสฺ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ.รถ รโถ เกน การเณน ตว ปิ ตุ รถํ น ปาปณุ ิ, ตว ปิ ตุ รโถ ของพระเจ้าป่ ู ของพระองค์ ไมถ่ งึ แล้ว ซงึ่ รถ ของพระบดิ า ตว รถํ น ปาปณุ ิ; เอวรูปสฺส นอาตมฺตภกาฏวฺฐสกสฺ ล;งิ ฺคมรหสาสฺ ราาปชิ ของพระองค์ เพราะเหตุ อะไร, อ. รถ ของพระบดิ า ของพระองค์ ชรา อาคจฺฉติ, กิมงฺคํ ปน ไมถ่ งึ แล้ว ซง่ึ รถ ของพระองค์ (เพราะเหตุ อะไร); อ.ชรา สปฺปุริสธมฺมสฺเสว หิ ชรา นตฺถิ, สตฺตา ปน ยอ่ มมาถงึ แม้แกท่ อ่ นไม้ ชอ่ื มอี ยา่ งนเี ้ป็นรูป, ก็ อ. องคอ์ ะไรเลา่ อชีรณกา นาม นตฺถีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห (อ.ชรา จกั ไมม่ าถงึ ) แก่อตั ภาพ; ดกู ่อน มหาบพิตร จริงอยู่ อ. ชรา ยอ่ มไมม่ ี แกธ่ รรมของสตั บรุ ษุ นน่ั เทยี ว, สว่ นวา่ อ. สตั ว์ ท. ช่ือวา่ ผ้ไู มแ่ ก่ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่ อ.ราชรถ ท. อนั งดงามดว้ ยดี ย่อมคร�่ำคร่าแล, อนึ่ง “ชีรนตฺ ิ เว ราชรถา สจุ ิตฺตา, แม้ อ. สรีระ ย่อมเขา้ ถึง ซึ่งชรา, ส่วนว่า อ. ธรรม อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อเุ ปติ, ของสตั บรุ ุษ ท. ย่อมไม่เขา้ ถึง ซึ่งชรา, อ. สตั บรุ ุษ ท. สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อเุ ปติ, แล ย่อมสนทนา (กบั ) ดว้ ยสตั บรุ ุษ ท. ดงั นี้ ฯ สนโฺ ต หเว สพภฺ ิ ปเวทยนตฺ ีติ. (อ. ศพั ท์) วา่ เว ดงั นี ้ (ในพระคาถา) นนั้ เป็นนิบาต ตตฺถ เวต:ิ นิปาโต. สุจติ ตฺ าต:ิ สตฺตหิ (ยอ่ มเป็น) ฯ (อ. อรรถ) วา่ อ. รถ ท. แม้ของพระราชา ท. รตเนหิ อปเรหิ จ รถาลงฺกาเรหิ เกสวฏุ ลฺฐํ ุ จิตฺตา อนั งดงาม ด้วยดี ด้วยรตั นะ ท. ๗ ด้วย ด้วยเครื่องประดบั ซง่ึ รถ ท. ราชนู ํปิ รถา ชีรนฺต.ิ สรีรมปฺ ี ต:ิ น รถาเอว, เหลา่ อื่นอีก ด้วย ยอ่ มคร�่ำคร่า (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ สุจติ ตฺ า ดงั นี ้ อิทํ สปุ ฏิชคฺคติ ํ สรีรํปิ ขณฺฑิจฺจาทีนิ ปาปณุ าติ ชรํ เป็นต้น ฯ (อ. อรรถ) วา่ อ. รถ ท. นนั่ เทียว (ยอ่ มคร่�ำคร่า) อเุ ปต.ิ อยา่ งเดียว หามิได้, แม้ อ. สรีระ อนั (อนั บคุ คล) ประคบั ประคอง ดีแล้ว นี ้ ยอ่ มถงึ (ซง่ึ ลกั ษณะ ท.) มีความเป็นแหง่ ทอ่ นเป็นต้น ชอื่ วา่ ยอ่ มเข้าถงึ ซงึ่ ชรา (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ สรีรมปฺ ิ ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ 110 ธรรมบทภาคที่ ๕ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ. อรรถ) วา่ สว่ นวา่ อ. ธรรมอนั เป็นโลกตุ ระ อนั มีอยา่ ง สตญจฺ าต:ิ พทุ ฺธาทีนํ ปน สนฺตานํ นววิโธ ๔ ของสตั บรุ ุษ ท. มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น แล ยอ่ มไมก่ ระท�ำ โลกตุ ฺตรธมโฺ ม จ กิญฺจิ อปุ ฆาตํ น กโรติ ชรํ น อเุ ปติ ซง่ึ ความเข้าไปกระทบ อะไร ๆ ชื่อวา่ ยอ่ มไมเ่ ข้าถงึ ซงึ่ ชรา นาม. ปเวทยนฺตตี .ิ เอวํ สนฺโต พทุ ฺธาทโย สพฺภิ (ดังนี ้ แห่งบท) ว่า สตญฺจ ดังนีเ้ ป็ นต้น ฯ อ. อรรถ ว่า ปณฺฑิเตหิ สทฺธึ กเถนฺตีติ อตฺโถ. อ.สตั บรุ ุษ ท. คือวา่ (อ.บณั ฑิต ท.) มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น ยอ่ มกลา่ ว กบั ด้วยสตั บรุ ุษ ท. คือวา่ ด้วยบณั ฑิต ท. อยา่ งนี ้ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ปเวทยนฺติ ดงั นี ้ ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ. ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระเทวีพระนามว่ามัลลิกา มลฺลกิ าเทวีวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๗. อ.เร(่อือันงแขห้า่พงพเจร้าะเถจระะกชล่ือ่าวว่า)โฯลฬุทายี ๗. โลฬุทายติ เฺ ถรวตถฺ ุ. อ. พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อปปฺ สสฺ ุตายํ ปุริโสติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซง่ึ พระเถระชื่อวา่ โลฬทุ ายี ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วหิ รนฺโต โลฬทุ ายิตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิ อปปฺ สฺสุตายํ ปุริโส ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.พระเถระ) นนั้ ไปแล้ว สเู่ รือน (ของชน ท.) โส กิร มงฺคลํ กโรนฺตานํ เคหํ คนฺตฺวา ผ้กู ระท�ำอยู่ ซงึ่ มงคล กลา่ วแล้ว ซงึ่ อวมงคล โดยนยั มีค�ำ ก“ตเโิถรสกิ,ฑุ ฺเฑอสวุ มงฺตคฏิลฺฐํ นฺตกีตโริ นอฺตาทาินนาํ นเยน อวมงฺคลํ ผวา้่กู รตะโิทร�ำกอฑุ ยฺเฑู่ สซุ ตง่ึ ฏิอฺฐวนมฺตงคิ ลด,งั น(ีเ้ปค็รนัน้ตเ้นม,ื่อไสปตู แรล้วท.ส) เู่ รือมนีต(โิ ขรอกงฑุ ชฑนสทตู .ร) เคหํ คนฺตฺวา, ตโิ รกฑุ ฺฑาทีสุ กเถตพฺเพส,ุ “ทานญฺจ ธมมฺ จริยา จาติ เป็นต้น (อนั ตน) ควรกลา่ ว, กลา่ วแล้ว ซงึ่ มงคลคาถา ท. โดยนยั อาทินา นเยน มงฺคลคาถา วา “ยงฺกิญฺจิ วิตฺตํ อิธ มีค�ำ วา่ ทานญฺจ ธมมฺ จริยา จ ดงั นีเ้ป็นต้น หรือ หรือวา่ วา หรุ ํ วาติ รตนสตุ ฺตํ วา กเถส.ิ ซง่ึ รัตนสตู ร (โดยนยั มีค�ำ) วา่ ยงฺกิญฺจิ วติ ฺตํ อิธ วา หรุ ํ วา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ (อ. พระเถระ คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั กลา่ ว (ซง่ึ สตู ร) อื่น เอวํ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ “อญฺญํ กเถสสฺ ามีติ ดงั นี ้ แม้กลา่ วอยู่ (ซง่ึ สตู ร) อ่ืน ยอ่ มไมร่ ู้ วา่ (อ. เรา) ยอ่ มกลา่ ว อญฺญํ กเถนฺโตปิ “อญฺญํ กเถมีติ น ชานาต.ิ (ซง่ึ สตู ร) อื่น ดงั นี ้ ในท่ี ท. เหลา่ นนั้ ๆ ด้วยประการฉะนี ้ ฯ ภิกฺขู ตสฺส กถํ สตุ ฺวา สตฺถุ อาโรเจสํุ “กึ ภนฺเต อ. ภิกษุ ท. ฟังแล้ว ซง่ึ วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว (ของพระเถระ) นนั้ โอลญฬฺญทุ าเมยวิ มงกฺคเถลตามีตงิ. ฺคลฏฺฐาเนสุ อญฺญสฺมึ กเถตพฺเพ กราบทูลแล้ว แก่พระศาสดา ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. พระโลฬทุ ายี (ครนั้ เมอ่ื สตู ร) อนื่ (อนั ตน) ควรกลา่ ว ยอ่ มกลา่ ว (ซงึ่ สตู ร) อ่ืนนน่ั เทียว ในท่ีอนั เป็นมงคลและท่ีอนั ไมเ่ ป็นมงคล ท. เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ. โลฬทุ ายี )นน่ั สตฺถา “น ภิกฺขเว อิทาเนเวส เอวํ กเถติ, ยอ่ มกลา่ ว อยา่ งนนั้ ในกาลนีน้ น่ั เทียว หามิได้, ผลิตสือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 111 www.kalyanamitra.org

(อ.โลฬทุ ายีนนั่ ครัน้ เม่ือสตู ร) อื่น (อนั ตน) ควรกลา่ ว กลา่ วแล้ว ปพุ ฺเพปิ อญฺญสฺมึ กเถตพฺเพ อญฺญเมว กเถสตี ิ วตฺวา (ซง่ึ สตู ร) อ่ืนนน่ั เทียว แม้ในกาลก่อน ดงั นี ้ ผ้อู นั ภิกษุ ท. เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริ: เหลา่ นนั้ ทลู วงิ วอนแล้ว ทรงนำ� มาแล้ว ซงึ่ เร่ือง อนั ลว่ งไปแล้ว วา่ : ในกาลอันล่วงไปแล้ว ชื่อ อ.โสมทัตกุมาร ผู้เป็ นลูกชาย อตเี ต พาราณสยิ ํ อคคฺ ทิ ตตฺ สสฺ นาม พรฺ าหมฺ ณสสฺ ของพราหมณ์ ชอ่ื วา่ อคั คทิ ตั ในเมอื งชอ่ื วา่ พาราณสี บำ� รุงแล้ว ปตุ ฺโต โสมทตฺตกมุ าโร นาม ราชานํ อปุ ฏฺฐหิ. ซงึ่ พระราชา ฯ อ.โสมทตั ตกมุ ารนนั้ เป็นผ้เู ป็นท่ีรัก เป็นผู้ เป็นท่ียงั - โส ตสสฺ ปิ โย อโหสิ มนาโป. พฺราหฺมโณ ปน พระทยั ให้เอิบอาบ ของพระราชานนั้ ได้เป็นแล้ว ฯ สว่ นวา่ กสกิ มมฺ ํ นิสสฺ าย ชีวต.ิ ตสสฺ เทฺว โคณา อเหสํ,ุ อ.พราหมณ์ อาศยั แล้ว ซง่ึ กรรมคือการไถ ยอ่ มเป็นอยู่ ฯ เตสุ เอโก มโต. อ. โค ท. ๒ (ของพราหมณ)์ นนั้ ได้มแี ล้ว, ในโค ท. ๒ เหลา่ นนั้ หนา อ. โค ตวั หนง่ึ ตายแล้ว ฯ อ.พราหมณ์ กลา่ วแล้ว กะบตุ ร วา่ แนะ่ พอ่ ผ้ชู ่ือวา่ - พฺราหฺมโณ ปตุ ฺตํ อาห “ตาต โสมทตฺต ราชานํ โสมทตั (อ. เจ้า) ทลู ขอแล้ว กะพระราชา จงนำ� มา ซงึ่ โค ตวั หนงึ่ เม ยาจิตฺวา เอกํ โคณํ อาหราต.ิ แก่เรา ดงั นี ้ ฯ อ.โสมทัตกุมาร คิดว่า ว่า ถ้ าว่า อ.เรา จักทูลขอ โสมทตฺโต “สจาหํ ราชานํ ยาจิสฺสามิ, ลหภุ าโว กะพระราชาไซร้ , อ. ความที่ แห่งเรา เป็ นคนเบา จักปรากฏ เม ปญญฺ ายสิ สฺ ตตี ิ จนิ เฺ ตตวฺ า “ตมุ เฺ หเยว ตาต ราชานํ ดงั นี ้ กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตพ่ อ่ อ. ทา่ น ท. นนั่ เทียว จงทลู ขอ ยาจถาติ วตวฺ า, “เตนหิ ตาต มํ คเหตวฺ า ยาหตี ิ วตุ เฺ ต, กะพระราชา ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) วา่ แนะ่ พอ่ ถ้าอยา่ งนนั้ จินฺเตสิ “อยํ พฺราหฺมโณ ทนฺธปญฺโญ `อภิกฺกม (อ. เจ้า) จง พาเอา ซงึ่ เรา ไป ดงั นี ้ (อนั พราหมณ์นนั้ ) กลา่ วแล้ว, ปฏกิ กฺ มาติ วจนมตตฺ ปํ ิ น ชานาต,ิ อญญฺ สมฺ ึ วตตฺ พเฺ พ คิดแล้ว ว่า อ.พราหมณ์ นี ้ มีปั ญญาเขลา ย่อมไม่รู้ อญฺญเมว วทต;ิ สกิ ฺขาเปตฺวา ตํ เนสสฺ ามีต.ิ (ซง่ึ เหต)ุ แม้สกั วา่ ค�ำ วา่ อ. ทา่ น จงก้าวไปข้างหน้า อ. ทา่ น จงก้าวกลบั ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) อื่น (อนั ตน) ควรกลา่ ว ยอ่ มกลา่ ว (ซงึ่ ค�ำ) อ่ืนนน่ั เทียว; (อ.เรา) (ยงั พราหมณ์) นนั้ ให้ศกึ ษาแล้ว จกั น�ำไป (ซง่ึ พราหมณ์) นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ. โสมทตั ) นนั้ พาเอา (ซง่ึ พราหมณ์) นนั้ ไปแล้ว สปู่ ่ าช้า โส ตํ อาทาย วีรณตฺถมภฺ กํ นาม สสุ านํ คนฺตฺวา ช่ือวา่ วีรณตั ถมั ภกะ มดั แล้ว ซงึ่ ฟ่ อนแหง่ หญ้า ท. กระท�ำแล้ว ตณิ กลาเป พนฺธิตฺวา “อยํ ราชา, อยํ อปุ ราชา, (ซง่ึ ชื่อ ท.) วา่ (อ. ฟ่ อนแหง่ หญ้า) นี ้ เป็นพระราชา (ยอ่ มเป็น), อยํ เสนาปตีตี กตฺวา ปฏิปาฏิยา ปิ ตุ ทสฺเสตฺวา (อ.ฟ่อนแหง่ หญ้า) นี ้ เป็นอปุ ราช (ยอ่ มเป็น), (อ.ฟ่อนแหง่ หญ้า) “ตุมฺเหหิ ราชกุลํ คนฺตฺวา เอวํ อภิกฺกมิตพฺพํ, นี ้ เป็นเสนาบดี (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ แสดงแล้ว แก่บดิ า ตามลำ� ดบั เอวํ ปฏิกฺกมิตพฺพํ; เอวํ นาม ราชา วตฺตพฺโพ, (กลา่ วแล้ว) วา่ อนั ทา่ น ท. ไปแล้ว สรู่ าชตระกลู พงึ ก้าวไปข้างหน้า เอวํ อปุ ราชา; ราชานํ อปุ สงกฺ มติ วฺ า `ชยตุ มหาราชาติ อยา่ งนี,้ (อนั ทา่ น ท. ไปแล้ว สรู่ าชตระกลู ) พงึ ก้าวกลบั เอวํ วตฺวา อิมํ คาถํ วตฺวา โคณํ ยาเจยฺยาถาติ อยา่ งนี;้ อ.พระราชา (อนั ทา่ น ท.) พงึ กราบทลู ช่ืออยา่ งนี,้ คาถํ อคุ ฺคณฺหาเปสิ อ.อปุ ราช (อนั ทา่ น ท. พงึ กราบทลู ) อยา่ งนี;้ (อ.ทา่ น ท.) เข้าไปเฝ้ าแลว้ ซง่ึ พระราชา กราบทลู แลว้ อยา่ งนี ้ วา่ ข้าแตม่ หาราชเจ้า (อ. พระองคผ์ ้สู มมตเิ ทพ) ขอจงทรงชนะ ดงั นี ้ กลา่ วแล้ว ซง่ึ คาถา นี ้ พึงทูลขอ ซ่ึงโค ดังนี ้ (ยังพราหมณ์นัน้ ) ให้ เรียนเอาแล้ว ซงึ่ คาถา วา่ ขา้ แต่มหาราชเจ้า (อ. ขา้ พระองค์ ท.) ย่อมไถ สิ “ เทฺว เม โคณา มหาราช, เยหิ เขตฺตํ กสาม เส, ซ่ึงนา (ดว้ ยโค ท.) เหล่าใด, อ. โค ท. (เหล่านน้ั ) ๒ เตสุ เอโก มโต เทว, ทตุ ิยํ เทหิ ขตฺติยาติ. ตวั ของขา้ พระองค์ (มีอยู่), ขา้ แต่พระองค์ผูส้ มมติเทพ (ในโค ท. ๒) เหล่านนั้ หนา (อ. โค) ตวั หนึ่ง ตาย แลว้ , ขา้ แต่พระองค์ผูท้ รงเป็นกษตั ริย์ อ. พระองค์ ขอจงทรงพระราชทาน (ซึ่งโค) ตวั ที่ ๒ ดงั นี้ ฯ 112 ธรรมบทภาคที่ ๕ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.พราหมณ์)นนั้ กระท�ำแล้ว ซง่ึ คาถา นนั้ ให้เป็นธรรมชาติ โส สวํ จฺฉรมตฺเตน ตํ คาถํ ปคณุ ํ กตฺวา ปคณุ ภาวํ คล่องแคล้ ว (โดยกาล) สักว่าปี บอกแล้ ว ซ่ึงความท่ี- ปตุ ฺตสสฺ อาโรเจตฺวา, “เตนหิ ตาต กญฺจิเทว (แหง่ คาถานนั้ ) เป็นธรรมชาตคิ ลอ่ งแคลว่ แก่บตุ ร, (ครัน้ เม่ือค�ำ) ปณฺณาการํ อาทาย อาคจฺฉถ, อหํ ปรุ ิมตรํ คนฺตฺวา วา่ ข้าแตพ่ อ่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.ทา่ น ท.) ถอื เอาแลว้ ซงึ่ เครอ่ื งบรรณาการ รญฺโญ สนฺตเิ ก ฐสสฺ ามีติ วตุ ฺเต, “สาธุ ตาตาติ อะไร ๆ นน่ั เทยี ว จงมา, อ. กระผม ไปแล้ว ก่อนกวา่ จกั ยืน ปณฺณาการํ คเหตฺวา โสมทตฺตสสฺ รญฺโญ สนฺตเิ ก ในส�ำนกั ของพระราชา ดงั นี ้ (อนั โสมทตั กมุ าร) กล่าวแล้ว, ติ กาเล อุสฺสาหปฺปตฺโต ราชกุลํ คนฺตฺวา, (กลา่ วแลว้ ) วา่ แนะ่ พอ่ อ.ดลี ะ ดงั นี ้ ถอื เอาแลว้ ซงึ่ เครอื่ งบรรณาการ ร ญฺ ญ า ตอุฏาฺ ฐคจติตตฺเฺถต,นอกิทตมปาฏสิสนมํ, ฺโมนิสทีทโนิตฺวา “ตาต ผ้ถู งึ แล้วซงึ่ ความอตุ สาหะ ในกาล แหง่ กมุ ารชอื่ วา่ โสมทตั ยนื แล้ว จิรสสฺ ํ วต วทถ, ในสำ� นกั ของพระราชา ไปแล้ว สรู่ าชตระกลู , ผ้มู คี วาม บนั เทงิ เยนตฺโถติ วตุ ฺเต, อิมํ คาถมาห พร้อมเฉพาะ อนั พระราชา ผ้มู ีพระทยั ยินดีแล้ว ทรงกระท�ำแล้ว (ครัน้ เมื่อพระด�ำรัส) ว่า แน่ะพ่อ อ.ท่าน ท. เป็ นผู้มาแล้ว สนิ ้ กาลนาน หนอ ยอ่ มเป็น, (อ. ท)ี่ นี ้เป็นทเี่ ป็นทน่ี ง่ั (ยอ่ มเป็น), (อ. ทา่ น ท.) นงั่ แล้ว จงกลา่ ว อ.ความต้องการ (ด้วยวตั ถ)ุ ใด (มอี ย)ู่ (ซง่ึ วตั ถนุ นั้ ) ดงั นี ้ (อนั พระราชา) ตรสั แล้ว, กราบทลู แล้ว ซง่ึ คาถา นี ้ วา่ ขา้ แต่มหาราชเจ้า อ.ขา้ พระองค์ ท. ย่อมไถ สิ “ เทฺว เม โคณา มหาราช, เยหิ เขตฺตํ กสาม เส, ซ่ึงนา (ดว้ ยโค ท.) เหล่าใด อ. โค ท. (เหล่านน้ั ) ๒ ตวั เตสุ เอโก มโต เทว, ทตุ ิยํ คณฺห ขตฺติยาติ. ของขา้ พระองค์ (มีอยู่) , ขา้ แต่พระองค์ผูส้ มมติเทพ (ในโค ท. ๒) เหล่านนั้ หนา (อ.โค) ตวั หน่ึง ตายแลว้ , ขา้ แต่พระองค์ผูท้ รงเป็นกษตั ริย์ (อ.พระองค์) ขอจงทรงรบั (ซ่ึงโค) ตวั ที่ ๒ ดงั นี้ ฯ (ครัน้ เมื่อพระด�ำรัส) วา่ แนะ่ พอ่ (อ. ทา่ น) กลา่ วแล้ว รญฺญา “กึ วเทสิ ตาต, ปนุ วเทหีติ วตุ ฺเตปิ , อย่างไร, (อ.ท่าน) จงกล่าว อีก ดังนี ้ อันพระราชา ตเมว คาถมาห. แม้ตรัสแล้ว, อ. พราหมณ์ กราบทลู แล้ว ซงึ่ คาถา นนั้ นน่ั เทียว ฯ อ.พระราชา ทรงทราบแล้ว ซงึ่ ความที่ (แหง่ คาถานนั้ ) ราชา เตน วิรชฺฌิตฺวา กถิตภาวํ ญตฺวา สติ ํ กตฺวา เป็นคาถา (อนั พราหมณ)์ นนั้ กลา่ ว ผดิ แล้ว ทรงกระทำ� ซงึ่ การแย้ม “โสมทตฺต ตมุ หฺ ากํ เคเห พหู มญฺเญ โคณาติ วตฺวา, ตรัสแล้ว ว่า แน่ะโสมทัต อ. โค ท. ในเรือน ของเธอ ท. “ตมุ เฺ หหิ ทินฺนา พหู ภวิสสฺ นฺติ เทวาติ วตุ ฺเต, เห็นจะ เป็ นโคมาก (ย่อมเป็ น) ดังนี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า โพธิสตฺตสฺส ตสุ ติ ฺวา พฺราหฺมณสฺส โสฬส โคเณ ข้ าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ (อ.โค ท.) ตัว อันพระองค์ ท. อลงฺการภณฺฑกํ นิวาสนคามญฺจสฺส พฺรหฺมเทยฺยํ ทรงพระราชทานแล้ว เป็นโคมาก จกั เป็น ดงั นี ้ (อนั โสมทตั ) ทตฺวา มหนฺเตน ยเสน พฺราหฺมณํ อุยฺโยเชสิ. กราบทลู แล้ว, ทรงยินดีแล้ว ตอ่ พระโพธิสตั ว์ พระราชทานแล้ว ซึ่งโค ท. ๑๖ ตัวด้ วย ซ่ึงภัณฑะคือเครื่องประดับ ด้ วย ซงึ่ บ้านเป็นท่ีอยอู่ าศยั ด้วย แก่พราหมณ์ (กระท�ำ) ให้เป็นของ อนั พรหมพงึ ให้ (แก่พราหมณ์) นนั้ ทรงสง่ ไปแล้ว ซง่ึ พราหมณ์ ด้วยยศ อนั ใหญ่ (ดงั นี)้ ฯ อ.พระศาสดา ครัน้ ทรงน�ำมาแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา สตฺถา อิมํ ธมมฺ เทสนํ อาหริตฺวา “ตทา ราชา นี ้ ทรงยังชาดก ว่า อ.พระราชา ในกาลนัน้ เป็ นอานนท์ อานนฺโท อโหส,ิ พฺราหฺมโณ โลฬทุ ายิ, โสมทตฺโต ได้เป็นแล้ว (ในกาลน)ี ้, อ.พราหมณ์ (ในกาลนนั้ ) เป็นโลฬทุ ายี อหเมวาติ ชาตกํ สโมธาเนตฺวา “ น ภิกฺขเว อิทาเนว, (ได้เป็นแล้ว) (ในกาลน)ี ้, อ.โสมทตั (ในกาลนนั้ ) เป็นเรานนั่ เทยี ว (ได้เป็นแล้ว) (ในกาลนี)้ ดงั นี ้ ให้ตงั้ ลงพร้อมแล้ว ตรัสแล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. (อ.โลฬทุ ายี นนั่ ครนั้ เมอื่ คำ� อน่ื อนั ตน ควรกลา่ ว ยอ่ มกลา่ ว ซงึ่ ค�ำอื่น) ในกาลนีน้ น่ั เทียว หามิได้, ผลติ ส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 113 www.kalyanamitra.org

แม้ในกาลก่อน อ.โลฬุทายีน่ัน (ครัน้ เมื่อค�ำ) อื่น (อันตน) ปพุ เฺ พเปส อตตฺ โน อปปฺ สสฺ ตุ ตาย, อญญฺ สมฺ ึ วตตฺ พเฺ พ, ควรกลา่ ว, ยอ่ มกลา่ ว (ซง่ึ คำ� อนื่ ) นนั่ เทยี ว เพราะความที่ แหง่ ตน อญฺญเมว วทต,ิ อปปฺ สสฺ ตุ ปรุ ิโส หิ พลพิ ทฺทสทิโส เป็นผ้มู สี ตุ ะน้อย, เพราะวา่ อ. บรุ ุษผ้มู สี ตุ ะน้อย ชอ่ื วา่ เป็นเชน่ กบั นาม โหตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ด้วยโคตวั เน่ืองด้วยก�ำลงั ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่ อ. บรุ ุษ นี้ ผูม้ ีสตุ ะนอ้ ย ย่อมแก่ เพียงดงั อ. โคตวั เนือ่ ง “ อปปฺ สฺสตุ ายํ ปรุ ิโส พลิพทฺโทว ชีรติ, ดว้ ยก�ำลงั (ตวั แก่อยู่), อ. เนือ้ ท. (ของบรุ ุษ) นนั้ ย่อมเจริญ, มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนตฺ ิ, ปญญฺ า ตสสฺ น วฑฒฺ ตีติ. อ. ปัญญา (ของบรุ ุษ) นน้ั ย่อมไม่เจริญ ดงั นี้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ (อ. บรุ ุษ) นี ้ชอื่ วา่ ผ้มู สี ตุ ะน้อย เพราะความไมม่ ี ตตฺถ อปปฺ สสฺ ุตายนฺต:ิ เอกสสฺ วา ทฺวนิ ฺนํ วา (แหง่ หมวด ๕๐) หมวดหนงึ่ หรือ หรือวา่ แหง่ หมวด ๕๐ ท. ปณฺณาสกานํ อถวา ปน สตุ ฺตวคฺคานํ สพฺพนฺตเิ มน ๒ หมวด ก็หรือวา่ (เพราะความไมม่ ี แหง่ วรรคแหง่ พระสตู ร ปริจฺเฉเทน เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ วา สตุ ฺตานํปิ อภาเวน วรรคหนงึ่ หรือ หรือวา่ ) แหง่ วรรคแหง่ พระสตู ร ท. (๒ วรรค) ออปนยุปฺ ญุสสฺ ฺชโุนตฺโตอพยหํ. สุ อสฺ ปโุ ตปฺ ํว.กมมฺ ฏฺฐานํ ปน อคุ ฺคเหตฺวา เพราะความไมม่ ี (แหง่ พระสตู ร) สตู รหนงึ่ หรอื หรอื วา่ แม้แหง่ พระสตู ร ท. ๒ โดยก�ำหนด อันมีในที่สุดแห่งพระสูตรทัง้ ปวง, แตว่ า่ (อ. บรุ ุษน)ี ้ เรียนเอาแล้ว ซง่ึ กมั มฏั ฐาน อนั น้อย ตามประกอบอยู่ เป็นผ้มู ีสตุ ะมากเทียว (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี)้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อปปฺ สฺสุตายํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ เหมือนอยา่ งวา่ อ. โคตวั เนื่องด้วยก�ำลงั พลพิ ทโฺ ทว ชีรตตี :ิ ยถา หิ พลพิ ทฺโท ชีรมาโน เมื่อแก่ คือวา่ เมื่อเจริญ (ยอ่ มเจริญ เพ่ือประโยชน์) แก่มารดา วฑฺฒมาโน เนว มาตาปิ ตนู ํ, น เสสญาตกานํ อตฺถาย และบดิ า ท. หามีได้นน่ั เทียว, ยอ่ มเจริญ เพื่อประโยชน์ แก่ญาติ วฑฺฒต,ิ อถโข นิรตฺถกเมว ชีรต;ิ เอวเมว อยมปฺ ิ ผ้เู หลือ ท. หามิได้, ยอ่ มแก่ มีประโยชน์ออกแล้วนนั่ เทียว น อุปชฺฌายวตฺตํ กโรติ, น อาจริยวตฺตํ, โดยแท้แล ฉนั ใด; (อ.บรุ ุษผ้มู ีสตุ ะน้อย) แม้นี ้ ยอ่ มกระท�ำ น อาคนฺตกุ วตฺตาทีนิ, น ภาวนามตฺตมปฺ ิ อนยุ ญุ ฺชต,ิ ซง่ึ วตั รเพื่ออปุ ัชฌาย์ หามิได้, (ยอ่ มกระท�ำ) ซง่ึ วตั รเพื่ออาจารย์ นิรตฺถกเมว ชีรต.ิ หามิได้, (ยอ่ มกระท�ำ) (ซงึ่ วตั ร ท.) มีวตั รเพื่อภิกษุผ้จู รมาเป็นต้น หามิได้, ยอ่ มตามประกอบ (ซง่ึ คณุ ) แม้สกั วา่ ภาวนา หามิได้, ย่อมแก่ มีประโยชน์ออกแล้วนั่นเทียว (ดังนี ้ แห่งบาท- แหง่ พระคาถา) วา่ พลพิ ทโฺ ทว ชีรติ ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ อ. เนือ้ ท. ของโคตวั เน่ืองด้วยก�ำลงั ตวั มสํ านิ ตสสฺ วฑฒฺ นฺตตี :ิ ยถา พลพิ ทฺทสสฺ (อันเจ้าของ) ปล่อยแล้ว ในป่ า (ด้วยความคิด) ว่า “ยคุ นงฺคลาทีนิ วหิตํุ อสมตฺโถ เอโสติ อรญฺเญ (อ. โคตวั เน่ืองด้วยก�ำลงั ) นนั่ เป็นสตั ว์ไมส่ ามารถ เพื่ออนั น�ำไป วมิสํสสฺาฏนฺฐิ สวฑสฺ ฺฒตนตฺตฺเถิ;วเอววจิ เมรนวฺตอสิมสฺ สฺสขาาทปินฺตอสปุ ฺสชฺฌปิ วานยฺตาทสีหสฺ ิ (ซ่ึงอุปกรณ์ ท.) มีแอกและไถเป็ นต้น (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ตวั เที่ยวไปอยู่ ตวั เคีย้ วกินอยู่ ตวั ดื่มอยู่ (ในป่ า) นนั้ นนั่ เทียว อวสิทุ สฺรวฏเิฺฐรสจสฺนาทสีงนฺฆิ ํ นิสสฺ าย จตฺตาโร ปจฺจเย ลภิตฺวา ยอ่ มเจริญ ฉนั ใด; อ. เนือ้ ท. (ของบรุ ุษผ้มู ีสตุ ะน้อย) แม้นี ้ กตฺวา กายํ โปเสนฺตสฺส มํสานิ ผู้ (อนั ครู ท.) มีอปุ ัชฌาย์เป็นต้น ปลอ่ ยแล้ว อาศยั แล้ว ซงึ่ สงฆ์ วฑฺฒนฺต,ิ ถลู สรีโร หตุ ฺวา วิจรต.ิ ได้แล้ว ซง่ึ ปัจจยั ท. ๔ กระท�ำแล้ว (ซง่ึ กิจ ท.) มีการระบาย ซงึ่ ห้องเป็นต้น เลยี ้ งดอู ยู่ ซง่ึ กาย ยอ่ มเจริญ, คือวา่ (อ. บรุ ุษ ผ้มู ีสตุ ะน้อยนนั้ ) เป็นผ้มู ีร่างกายอนั อ้วน เป็น ยอ่ มเท่ียวไป ฉันนัน้ น่ันเทียว (ดังนี ้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า มสํ านิ ตสสฺ วฑฒฺ นฺติ ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ สว่ นวา่ อ. ปัญญา อนั เป็นโลกยิ ะและโลกตุ ตระ ปญญฺ า ตสสฺ าต:ิ โลกยิ โลกตุ ตฺ รา ปนสสฺ ปญฺญา (ของบุรุษผู้มีสุตะน้ อย) นัน้ แม้ มีนิว้ มือหน่ึงเป็ นประมาณ เอกงฺคลุ มิ ตฺตาปิ น วฑฺฒต.ิ ยอ่ มไมเ่ จริญ ฯ 114 ธรรมบทภาคที่ ๕ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

แต่ว่า อ. ตัณหา ด้ วยน่ันเทียว อ. มานะอันมีอย่าง ๙ ด้ วย อรญฺเญ ปน คจฺฉลตาทีนิ วิย ฉทฺวารานิ นิสสฺ าย ยอ่ มเจริญ เพราะอาศยั ซงึ่ ทวาร ๖ ท. ราวกะ (อ. รุกขชาต ท.) ตณฺหา เจว นววธิ มาโน จ วฑฺฒตีติ อตฺโถ. มีกอไม้ และเถาวัลย์เป็ นต้ น (เจริ ญอยู่) ในป่ า ดังนี ้ (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ปญญฺ า ตสสฺ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็ นท่ีสุดลงแห่งเทศนา อ.มหาชน บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน มหาชโน โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ ปาปณุ ีต.ิ อ. เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าโลฬุทายี โลฬุทายติ เฺ ถรวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๘. อ(.อเันร่ืขอ้างพแหเจ่ง้ากาจระตกรัลส่าร้วูค)รฯัง้ แรก ๘. ปฐมโพธิวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ท่ีโคนแห่งต้ นโพธ์ิ “อเนกชาตสิ สํ ารนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ทรงอุทานแล้ ว ด้ วยสามารถแห่งความเบิกบานพระทัย โพธิรุกฺขมเู ล นิสนิ ฺโน อทุ านวเสน อทุ าเนตฺวา ผ้อู นั พระเถระช่ือวา่ อานนท์ ทลู ถามแล้ว ในกาลอนั เป็ นสว่ นอ่ืนอีก อปรภาเค อานนฺทตฺเถเรน ปฏุ ฺโฐ กเถส.ิ ตรสั แล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ อเนกชาตสิ สํ ารํ ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ ที่โคนดแงั จหะ่งกตล้นา่ วโพโดธย์ิ ยคอ่ รัน้ (เอม.พื่อรพะรศะาอสาดทาพิตรยะ์ อไงมค่ถ)์ ึนงแนั้ ล้วปซร่ึงะกทาบั รนตง่ั ังแ้ อลย้วู่ โส หิ โพธริ ุกขฺ มเู ล นสิ นิ โฺ น, สรุ ิเย อนตถฺ งคฺ เตเยว, มารพลํ วิธมิตฺวา ปฐมยาเม ปพุ ฺเพนิวาสปฏิจฺฉาทกํ ไม่ได้นั่นเทียว มีอยู่ ทรงก�ำจัดแล้ว ซึ่งมารและพลแห่งมาร ตมํ ปทาเลตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขํุ วิโสเธตฺวา ทรงท�ำลายแล้ว ซ่ึงความมืด อันปกปิ ดซึ่งขันธ์อันพระองค์อยู่ ปจฺฉิมยาเม สตฺเตสุ การุญฺญตํ ปฏิจฺจ ปจฺจยากาเร อาศัยแล้วในกาลก่อน (บุพเพนิวาสญาณ) ในยามท่ีหนึ่ง ญาณํ โอตาเรตฺวา ตํ อนุโลมปฏิโลมวเสน ทรงยังจักษุเพียงดังจักษุทิพย์ ให้หมดจดแล้ว ในยามอันมี- สมมฺ สนฺโต อรุณคุ ฺคมนเวลาย สห อจฺฉริเยหิ ในทา่ มกลาง ทรงอาศยั แล้ว ซง่ึ ความท่ีแหง่ พระองค์ เป็นผ้มู คี วามกรณุ า สมมฺ าสมโฺ พธึ อภสิ มพฺ ชุ ฌฺ ติ วฺ า อเนเกหิ พทุ ธฺ สตสหสเฺ สหิ ในสัตว์ ท. ทรงยังญาณ อันหยั่งลงแล้ ว ในปั จจยาการ อวิชหิตํ อทุ านํ อทุ าเนนฺโต อิมา คาถา อภาสิ ทรงพิจารณาอยู่ (ซง่ึ ปัจจยาการ) นนั้ ด้วยสามารถแหง่ อนโุ ลม- และปฏิโลม ในยามอนั มีในท่ีสดุ ตรัสรู้ย่ิงเองแล้ว ซง่ึ พระสมั มา- สมั โพธิญาณ พร้อม ด้วยความอศั จรรย์ ท. ในเวลาเป็นท่ีขนึ ้ ไป- แหง่ อรุณ เม่ือทรงเปลง่ ซง่ึ อทุ าน อนั อนั แสนแหง่ พระพทุ ธเจ้า ท. มิใชห่ นงึ่ ไมท่ รงละแล้ว ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ (อ.เรา) แสวงหาอยู่ ซงึ่ นายช่างคือตณั หาผ้กู ระท�ำ “อเนกชาติสํสารํ สนธฺ าวิสสฺ ํ อนิพพฺ ิสํ ซงึ่ เรือน เมื่อไมพ่ บ ทอ่ งเที่ยวไปแล้ว สสู่ งสารมีชาติ คหการํ คเวสนโฺ ต, ทกุ ฺขา ชาติ ปนุ ปปฺ นุ ํ; มใิ ชห่ นง่ึ อ.การเกดิ บอ่ ย ๆ เป็นธรรมชาตนิ ำ� ทกุ ขม์ าให้ คสพหกพฺ าารกเตทผิฏาฺโสฐกุสาิ, ปนุ เคหํ น กาหสิ, (ยอ่ มเป็น) ดกู รนายชา่ งผู้กระท�ำซึ่งเรือน (อ.ท่าน) ภคฺคา, คหกูฏํ วิสงฺขตํ, เป็นผ้อู นั เราเหน็ แล้ว ยอ่ มเป็น (อ.ทา่ น) จกั กระทำ� วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ, ตณฺหานํ ขยมชฺฌคาติ. ซงึ่ เรือน อกี หามไิ ด้ อ.ซโี่ ครง ท. ทงั้ ปวง ของทา่ น (อนั เรา) หกั แล้ว อ.ยอด แหง่ เรือน (อนั เรา) รือ้ แล้ว อ.จติ ของเรา ถึงแล้ว (ซงึ่ ธรรม) อนั มีสงั ขารไปปราศแล้ว (อ.เรา) ได้บรรลแุ ล้ว ซงึ่ ธรรมชาตเิ ป็นทส่ี นิ ้ ไป แหง่ ตณั หา ท. ดงั นี ้ฯ ผลติ ส่ือการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 115 www.kalyanamitra.org

อ. อรรถ วา่ อ.เรา แสวงหาอยู่ ซงึ่ นายชา่ งคอื ตณั หา ผ้กู ระทำ� ตตฺถ คหการํ คเวสนฺโตต:ิ อหํ อิมสฺส ซงึ่ เรือน อนั อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ อตั ภาพ นี ้ ผ้มู ีอภินิหาร- อตฺตภาวสงฺขาตสสฺ เคหสฺส การกํ ตณฺหาวฑฺฒกึ อันกระท�ำแล้ว ในท่ีใกล้แห่งพระบาทขององค์พระพุทธเจ้ า คเวสนฺโต, เยน ญาเณน สกฺกา โส กทตาฏภฺฐินํุ ีหตาสโสฺ ร พระนามวา่ ทีปังกร เพ่ือประโยชน์ (แก่ - ) (อ.นายชา่ งคือตณั หา) โพธิญาณสสฺ ตฺถาย ทีปงฺกรปาทมเู ล นนั้ (อนั บคุ คลอาจ) เพื่อเหน็ (ด้วยญาณ) ใด – (ญาณ) นนั้ คือ เอตฺตกํ กาลํ อเนกชาตสิ ํสารํ อเนกชาตสิ ตสหสฺส วา่ แก่พระโพธิญาณ เมื่อไมพ่ บ คือวา่ เมื่อไมป่ ระสบ คือวา่ อสลงฺขภยนํ ฺโอติมเยํ วสสํสานรฺธวาฏวฺฏสิ ํฺสอํ นิพสฺพสํ ริสึ ํ ตํ ญาณํ อวินฺทนฺโต เม่ือไมไ่ ด้นน่ั เทียว (ซงึ่ ญาณ) นนั้ ทอ่ งเทียวไปแล้ว คือ เร่ร่อน อปราปรํ อนวุ ิจรินฺติ ไปแล้ว คอื วา่ เทยี่ วไปตามแล้ว ไป ๆ มา ๆ สสู่ งสารมชี าตมิ ใิ ชห่ นง่ึ อตฺโถ. คอื วา่ สสู่ งั สารวฏั นี ้ อนั อนั บณั ฑติ พงึ นบั ด้วยแสนแหง่ ชาติ มใิ ชห่ นงึ่ ตลอดกาลอนั มีประมาณเท่านี ้ ดงั นี ้ (แห่ง - ในบท ท.) เหล่านนั้ หนา - (บาทพระคาถา) วา่ คหการํ คเวสนฺโต ดงั นี ้ฯ (อ. ค�ำ) ว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ ดังนี ้ นี ้ เป็ นค�ำ- ทกุ ขฺ า ชาติ ปุนปปฺ ุนนฺติ อิทํ คหการกคเวสนสฺส แสดงซ่ึงเหตุ แห่งการแสวงหาซึ่งนายช่างผู้กระท�ำซึ่งเรือน การณวจนํ. (ยอ่ มเป็น) ฯ อ . อ ธิ บ าย ว่า ชื่ อ อ . ค ว าม เกิ ด นั่น คื อ ว่า ยสมฺ า ชราพฺยาธิมรณมิสฺสตาย ชาติ นาเมสา อ.อันเข้ าถึง บ่อย ๆ ช่ือว่าเป็ นทุกข์ เพราะความที่- ปนุ ปปฺ นุ ํ อปุ คนฺตํุ ทกุ ฺขา, น จ สา ตสฺมึ ออทติฏฺโฺถเฐ. (แหง่ ความเกิดนนั้ ) เป็นธรรมชาตเิ จือด้วยชราและพยาธิและ นิวตฺตติ; ตสมฺ า ตํ คเวสนฺโต สนฺธาวิสฺสนฺติ มรณะ, อนง่ึ (อ. ความเกิด) นนั้ ครัน้ เม่ือนายชา่ งผ้กู ระท�ำซงึ่ เรือน ทอิทฏิ าฺ โนฐิสทีติฏ:ิ ฺโฐสอพสฺพ.ิ ญฺญตุ ญาณํ ปฏิวิชฺฌนฺเตเนว มยา นนั้ (อนั เรา) ไมเ่ หน็ แล้ว ยอ่ มไมก่ ลบั เหตใุ ด; เพราะเหตนุ นั้ (อ.เรา) แสวงหาอยู่ ซ่ึงนายช่างผู้กระท�ำซ่ึงเรือนนัน้ ทอ่ งเท่ียวไปแล้ว ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ ในกาลนี ้ (อ. เจ้า ) เป็นผู้ อนั เรา ผ้รู ู้ตลอดอยู่ ซงึ่ พระสพั พญั ญตุ ญาณ นนั้ เทียว เหน็ แล้ว ยอ่ มเป็น (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ทฏิ ฺ โฐสิ ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ (อ.เจ้า) จกั กระท�ำ ซง่ึ เรือน ของเรา ปุน เคหนฺต:ิ ปนุ อิมสฺมึ สสํสพารพฺ วาฏฺเฏเตอตผฺตาภสาุกวา- อนั บณั ฑติ นบั พร้อมแล้ววา่ อตั ภาพ ในสงั สารวฏั ฏ์ นี ้ อีก หามิได้ สงฺขาตํ มม เคหํ น กาหส.ิ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ปุน เคหํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ภคคฺ าต:ิ ตว สพพฺ า อวเสสกเิ ลสผาสกุ า มยา ภคคฺ า. อ.ซ่ีโครงคือ กิเลสอนั เหลอื ลง ท. ทงั้ ปวง ของเจ้า อนั เรา คหกูฏํ วิสงฺขตนฺติ: อิมสฺส ตยา กตสฺส หกั เสียแล้ว (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ สพพฺ า เต อตฺตภาวเคหสฺส อวชิ ฺชาสงฺขาตํ กณฺณิกามณฺฑลปํ ิ ผาสุกา ภคคฺ า ดงั นี ้ ฯ อ. อรรถ วา่ แม้ อ. มณฑลแหง่ - มยา วทิ ฺธํสติ ํ. ชอ่ ฟ้ า อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ อวิชชา แหง่ เรือนคืออตั ภาพ อนั ๆ เจ้า กระท�ำไว้แล้ว นี ้ อนั เรา รือ้ เสียแล้ว (ดังนี ้ - แห่งบาทแห่งพระคาถา ) ว่า คหกูฏํ วสิ งขฺ ตํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ในกาลนี ้ อ.จิต ของเรา ถึงแล้ว วสิ งขฺ ารคตํ จติ ตฺ นฺต:ิ อิทานิ มม จิตฺตํ วสิ งฺขารํ คือวา่ เข้าไปตามถงึ แล้ว ซงึ่ ธรรมมีสงั ขารไปปราศแล้ว คือวา่ นิพฺพานํ อารมฺมณกรณวเสน ขยคสตงํ ขฺ าอตนํ ุปอรวหิฏตฺ ฐตฺ ํ.ํ ซึ่งพระนิพพาน ด้วยสามารถแห่งการกระท�ำให้เป็ นอารมณ์ ตณหฺ านํ ขยมชฌฺ คาต:ิ ตณหฺ านํ (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ วสิ งขฺ ารคตํ จติ ตฺ ํ ดงั นี ้ ฯ อธิคโตสมฺ ีติ อตฺโถ. อ. อรรถ วา่ (อ. เรา) เป็นผ้บู รรลแุ ล้ว ซง่ึ พระอรหตั อนั บณั ฑิต นบั พร้อมแล้ววา่ ความสนิ ้ ไป แหง่ ตณั หา ท. ดงั นี ้ (แหง่ บาท แหง่ พระคาถา) วา่ คณฺหานํ ขยมชฌฺ คา ดงั นี ้ ฯ อ. เร่ืองแห่งการตรัสรู้ครัง้ แรก ปฐมโพธิวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 116 ธรรมบทภาคที่ ๕ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๙. อ.เร่ือง(อแันหข่ง้บาพุตเรจข้าองเจศะรกษลฐ่าีผวู้ม) ีทฯรัพย์มาก ๙. มหาธนเสฏฺ ฐิปุตตฺ วตถฺ ุ. อ. พระศาสดา เมอ่ื ประทบั อยู่ ในป่าเป็นทใี่ ห้ซงึ่ อภยั แกเ่ นอื ้ “อจริตวฺ า พรฺ หมฺ จริยนฺต:ิ อิมํ ธมมฺ เทสนํ อนั เป็นทตี่ กไปแหง่ ฤาษี ทรงปรารภ ซงึ่ บตุ รของเศรษฐีผ้มู ที รพั ยม์ าก สตฺถา อิสปิ ตเน มิคทาเย วหิ รนฺโต มหาธนเสฏฺฐปิ ตุ ฺตํ ตรสั แล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนานี ้ วา่ อจรติ วฺ า พรฺ หมฺ จรยิ ํ ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ อารพฺภ กเถส.ิ ได้ยินวา่ (อ. บตุ รของเศรษฐี) นนั้ บงั เกิดแล้ว ในตระกลู โส กิร พาราณสยิ ํ อสีตโิ กฏิวิภเว กเุ ล นิพฺพตฺต.ิ มีสมบตั อิ นั บคุ คลพงึ เสวยมีโกฏิ ๘๐ เป็นประมาณ ในเมือง อถสฺส มาตาปิ ตโร จินฺเตสํุ “อมฺหากํ กุเล ช่ือวา่ พาราณสี ฯ ครัง้ นนั้ อ. มารดาและบดิ า ท. (ของบตุ ร มหาโภคกฺขนฺโธ, ตํ ปตุ ฺตสสฺ โน หตฺเถ ฐเปตฺวา ของเศรษฐี) นนั้ คดิ กนั แล้ว วา่ อ. กองแหง่ โภคะใหญ่ ในตระกลู ยถาสขุ ํ ปริโภคํ กริสสฺ าม, อญฺเญน กมเฺ มน ของเรา ท. (มีอย)ู่ , (อ. เรา ท.) ตงั้ ไว้แล้ว (ซง่ึ กองแหง่ โภคะ กิจฺจํ นตฺถีต;ิ ตํ นจฺจคีตวาทิตมตฺตเมว สกิ ฺขาเปสํ.ุ ใหญ่) นนั้ ในมือ แหง่ บตุ ร ของเรา ท. จกั กระท�ำ ซงึ่ การใช้สอย ตสมฺ เึ ยว นคเร อญฺญสมฺ ึ อสตี โิ กฏิวภิ เว กเุ ล เอกา ตามความสบาย, อ. กิจ ด้วยกรรม อื่น ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี;้ (ยงั บตุ ร) ธีตาปิ นิพฺพตฺต.ิ นนั้ ให้ศกึ ษาแล้ว (ซงึ่ ศลิ ปะ) สกั วา่ การฟ้ อนและการขบั และ การประโคมนั่นเทียว ฯ แม้ อ. ธิดา คนหนึ่ง บังเกิดแล้ว ในตระกลู มีสมบตั ิอนั บคุ คลพงึ เสวยมีโกฏิ ๘๐ เป็นประมาณ อ่ืน ในเมือง นนั้ นน่ั เทียว ฯ อ. มารดาและบดิ า ท. (ของธิดา) แม้นนั้ คดิ แล้ว อยา่ งนนั้ ตสสฺ าปิ มาตาปิ ตโร ตเถว จินฺเตตฺวา ตํ นน่ั เทียว (ยงั ธิดา) นนั้ ให้ศกึ ษาแล้ว (ซง่ึ ศลิ ปะ) สกั วา่ การ นจฺจคีตวาทิตมตฺตเมว สกิ ฺขาเปสํ.ุ เตสํ วยปปฺ ตฺตานํ ฟ้ อนและการขบั และการประโคมนน่ั เทียว ฯ อ. มงคลเป็นท่ีน�ำ อาวาหวิวาโห อโหส.ิ อถ เนสํ อปรภาเค มาตาปิ ตโร มาและมงคลเป็นท่ีน�ำไปตา่ ง ได้มีแล้ว (แก่ชน ท. ๒) เหลา่ นนั้ กาลมกํส.ุ เทฺวอสีตโิ กฏิธนํ เอกสมฺ เึ ยว เคเห อโหส.ิ ผ้ถู งึ แล้วซง่ึ วยั ฯ ครัง้ นนั้ ในกาลอนั เป็นสว่ นอื่นอีก อ. มารดา และบดิ า ท. (ของชน ท. ๒) เหลา่ นนั้ ได้กระทำ� แล้ว ซงึ่ กาละ ฯ อ.ทรัพย์มีโกฏิ ๘๐ สองหนเป็นประมาณ ได้มีแล้ว ในเรือน หลงั หนง่ึ นน่ั เทียว ฯ อ.บุตรของเศรษฐี ย่อมไป สู่ท่ีเป็ นที่บ�ำรุง ซ่ึงพระราชา คจฺฉตเส.ิ ฏฺฐอปิถตุ ฺโตตสมฺ ทึิวสนสคสฺเร ตกิ ฺขตฺตํุ รญฺโญ อ“ปุ ฏสฺจฐาานยํํ ๓ ครัง้ ต่อวัน ฯ ครัง้ นัน้ อ.นักเลง ท. ในเมือง นัน้ ธตุ ฺตา จินฺเตสํุ คดิ กนั แล้ว วา่ ถ้าวา่ อ. บตุ รของเศรษฐี นี ้ เป็นนกั เลงเพราะสรุ า ภเสวฏิสฺฐฺสปิ ตตุ ิ;ฺโต สรุ าโสณฺโฑ ภวสิ สฺ ต,ิ อมหฺ ากํ ผาสกุ ํ จักเป็ น ไซร้ , อ. ความส�ำราญ จักมี แก่เรา ท., (อ. เรา ท. ) อุคฺคณฺหาเปม นํ สุราโสณฺฑภาวนฺติ. จง (ยงั บตุ รของเศรษฐี) นนั้ ให้เรียนเอา ซง่ึ ความเป็นแหง่ นกั เลง เต สุรํ อาทาย ขชฺชมํเส เจว โลณสกฺขรา จ เพราะสรุ า เถิด ดงั นี ้ ฯ อ.นกั เลง ท. เหลา่ นนั้ ถือเอาแล้ว ทสุ สฺ นฺเต พนฺธิตฺวา มลู กนฺเท คเหตฺวา ตสสฺ ราชกลุ โต ซึ่งสุรา ผูกแล้ว ซ่ึงเนือ้ อันบุคคลพึงเคีย้ ว ท. ด้ วยน่ันเทียว อาคจฺฉนฺตสฺส มคฺคํ โอโลกยมานา นิสีทิตฺวา ซง่ึ ก้อนแหง่ เกลอื ท. ด้วย พชี่ ายแหง่ ผ้า ถอื เอาแล้ว ซง่ึ เงา่ แหง่ มนั ท. ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สรุ ํ ปิ วติ ฺวา โลณสกฺขรํ มเุ ข นง่ั แลดอู ยแู่ ล้ว ซงึ่ หนทาง (แหง่ บตุ รของเศรษฐี) นนั้ ผ้มู าอยู่ ขิปิ ตฺวา มลู กนฺทํ ฑํสติ ฺวา “วสฺสสตํ ชีว สามิ จากราชตระกูล เห็นแล้ว (ซ่ึงบุตรของเศรษฐี) นัน้ ผู้มาอยู่ ภเสเฏวฺยฐปฺยิ าตุ มฺตา,ติ ตํ นิสสฺ าย มยํ ขาทนปิ วนสมตฺถา ดมื่ แล้ว ซง่ึ สรุ า ใสเ่ ข้าแล้ว ซงึ่ ก้อนแหง่ เกลอื ในปาก กดั แล้ว อาหํส.ุ ซงึ่ เงา่ แหง่ มนั กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตบ่ ตุ รของเศรษฐี ผ้เู ป็นนาย (อ.ทา่ น) ขอจงเป็นอยู่ ตลอดร้อยแหง่ ปี, อ. เรา ท. อาศยั แล้ว ซงึ่ ทา่ น เป็นผ้สู ามารถในอนั เคีย้ วและ อนั ดื่ม พงึ เป็น ดงั นี ้ ฯ (อ. บตุ รของเศรษฐี)นนั้ ฟังแล้ว ซงึ่ คำ� (ของนกั เลง ท.) เหลา่ นนั้ โส เตสํ วจนํ สตุ ฺวา ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตํ ถามแล้ว ซึ่งจูฬุปั ฏฐาก ผู้มาอยู่ ข้ างหลัง ว่า (อ. ชน ท. ) จฬู ปุ ฏฺฐากํ ปจุ ฉฺ ิ “กึ เอเต ปิวนตฺ ตี .ิ “เอกํ ปานกํ สามตี .ิ เหลา่ นนั่ ดื่มอยู่ ซง่ึ อะไร ดงั นี ้ ฯ (อ. จฬู ปุ ัฏฐาก กลา่ วแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย (อ. ชน ท. เหล่านนั้ ด่ืมอย่)ู ซงึ่ น�ำ้ อนั บคุ คล พงึ ดื่ม ชนิดหนง่ึ ดงั นี ้ ฯ ผลติ ส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 117 www.kalyanamitra.org

(อ. บตุ รของเศรษฐี ถามแล้ว) วา่ (อ. น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ดื่ม) นนั่ “มนาปชาตกิ ํ เอตนฺต.ิ “สามิ อิมสฺมึ ชีวโลเก เป็นน�ำ้ มีชาตแิ หง่ วตั ถอุ นั ยงั ใจให้เอิบอาบ (ยอ่ มเป็น) หรือ ดงั นี ้ ฯ อิมินา สทิสํ ปาตพฺพยตุ ฺตกํ นาม นตฺถีต.ิ (อ. จฬู ปุ ัฏฐาก กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตน่ าย ชื่อ อ. น�ำ้ อนั ควรแล้ว แก่ความเป็นน�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ด่ืม อนั เชน่ กนั (ด้วยน�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ด่ืม) นี ้ ยอ่ มไมม่ ี ในโลกคือหมสู่ ตั ว์ผ้เู ป็นอยู่ นี ้ ดงั นี ้ ฯ (อ. บตุ รของเศรษฐี)นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ (ครัน้ เมอื่ ความเป็น) อยา่ งนนั้ โส “เอวํ สนฺเต มยาปิ ปาตํุ จวิรสฏฺเฺฏสตวีติเตโถกธํ ตุ โถฺตกาํ มีอยู่ อ. อนั แม้อนั เรา ดื่ม ยอ่ มควร ดงั นี ้ (ยงั บคุ คล) ให้น�ำมาแล้ว อาหราเปตฺวา ปิ วต.ิ อถสฺส น (ซงึ่ สรุ า) หนอ่ ยหนง่ึ ๆ ยอ่ มดื่ม ฯ ครัง้ นนั้ อ. นกั เลง ท. เหลา่ นนั้ ปิ วนภาวํ ญตฺวา ตํ ปริวารยสึ .ุ คจฺฉนฺเต กาเล รู้แล้ว ซงึ่ ความเป็นคืออนั ดื่ม แหง่ บตุ รของเศรษฐีนนั้ แวดล้อมแล้ว ปริวาโร มหา อโหส.ิ โส สเตนปิ สตทฺวเยนปิ สรุ ํ ซงึ่ บตุ รของเศรษฐีนนั้ ตอ่ กาลไมน่ านนนั่ เทียว ฯ ครัน้ เม่ือกาล ไปอยู่ อาหราเปตฺวา ปฐิ วเปนฺโตตฺวาอนกุ สฺกุรเํมนปิ นวนิสฺนิโตฺนฏฺฐ“าอนิมาิทนีสาุ อ. บริวาร เป็นหมใู่ หญ่ ได้เป็นแล้ว ฯ (อ.เศรษฐี) นนั้ (ยงั บคุ คล) กหาปณราสึ ให้น�ำมาแล้ว ซงึ่ สรุ า แม้ด้วยร้อยแหง่ ทรัพย์ แม้ด้วยหมวดสองแหง่ ร้อย- มาลา อาหรถ, อิมินา คนฺธํ, อยํ คีเต เฉโก, แหง่ ทรัพย์ ด่ืมอยู่ ตงั้ ไว้แล้ว ซง่ึ กองแหง่ กหาปณะ (ในท่ี ท.) มีที่แหง่ ตน อยํ นจฺเจ, อยํ วาทิเต, อิมสฺส สหสฺสํ เทถ, อิมสฺส เทฺว นงั่ แล้วเป็นต้น โดยลำ� ดบั ดมื่ อยู่ ซง่ึ สรุ า (กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น ท.) จงนำ� สหสฺสานีติ เอวํ วกิ ฺกีรนฺโต น จิรสฺเสว อตฺตโน มา ซงึ่ ระเบียบ ท. (ด้วยกหาปณะ) นี ้ (อ.ทา่ น ท. จงน�ำมา) ซง่ึ ของหอม สนฺตกํ อสตี โิ กฏิธนํ เขเปตฺวา, “ขีณํ เต สามิ ธนนฺติ (ด้วยกหาปณะ) นี ้ (อ.บคุ คล) นี ้ เป็นผ้ฉู ลาด ในการขบั (ยอ่ มเป็น) วตุ ฺเต, “กึ ภริยาย เม สนฺตกํ นตฺถีต,ิ “อตฺถิ สามีติ, (อ.บุคคล) นี ้ (เป็ นผู้ฉลาด) ในการฟ้ อน (ย่อมเป็ น) (อ.บุคคล) นี ้ “เตนหิ ตํ อาหรถาติ, ตํปิ ตเถว เขเปตฺวา (เป็นผ้ฉู ลาด) ในการประโคม (ยอ่ มเป็น) (อ.ทา่ น ท.) จงให้ ซง่ึ พนั แหง่ ทรพั ย์ อนปุ พุ ฺเพน เขตฺตอารามยุ ฺยานโยคฺคาทิกํปิ อนฺตมโส (แก่บคุ คล) นี ้(อ.ทา่ น ท. จงให้) ซง่ึ พนั แหง่ ทรัพย์ ท. ๒ (แก่บคุ คล) นี ้ดงั นี ้ ภาชนภณฺฑกํปิ อตฺถรณปาวุรณนิสีทนํปิ สพฺพํ เรี่ยรายอยู่ อยา่ งนี ้ ยงั ทรัพย์อนั มโี กฏิ ๘๐ เป็นประมาณ อนั เป็นของมอี ยู่ อตฺตโน สนฺตกํ วิกฺกีณิตฺวา ขาทิ. อถสฺส ของตน ให้สนิ ้ ไปแล้ว ตอ่ กาลไมน่ านนนั่ เทียว (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ มหลฺลกกาเลเยว ปริหีนโภคสฺส อตฺตโน เคหํ ข้าแตน่ าย อ.ทรัพย์ ของทา่ น สนิ ้ แล้ว ดงั นี(้อนั ชน ท.) กลา่ วแล้ว วิกฺกีณิตฺวา คหิตเคหา นีหรึส.ุ โส ภริยํ อาทาย (ถามแล้ว) วา่ (อ.ทรัพย์) อนั เป็นของมีอยู่ แหง่ ภรรยา ของเรา ยอ่ มไมม่ ี ปรชนสสฺ เคหภิตฺตึ นิสสฺ าย วสนฺโต กปาลขณฺฑํ หรือ ดงั นี ้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ข้าแตน่ าย (อ.ทรัพย์ อนั เป็นของมีอยู่ อาทาย ภิกฺขาย จริตฺวา ชนสฺส อจุ ฺฉิฏฺฐภตฺตํ ภญุ ฺชิตํุ แหง่ ภรรยา ของทา่ น) มีอยู่ ดงั นี ้ (อนั ชน ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว อารภิ. กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.ทา่ น ท.) จงน�ำมา (ซงึ่ ทรัพย์) นนั้ ดงั นี ้ (ยงั ทรัพย์) แม้นนั้ ให้สนิ ้ ไปแล้ว เหมือนอยา่ งนนั้ นน่ั เทียว ขายแล้ว (ซง่ึ วตั ถ)ุ แม้มีนาและสวนและอทุ ยานและยานอนั บคุ คลพงึ ประกอบ เป็นต้น โดยลำ� ดบั แม้ซง่ึ ภณั ฑะคือภาชนะ แม้ซงึ่ ผ้าเป็นเคร่ืองปลู าด และผ้าเป็นเคร่ืองหม่ และผ้าเป็นที่นงั่ อนั เป็นของมีอยู่ ของตน ทงั้ ปวง โดยกำ� หนดอนั มใี นทส่ี ดุ เคยี ้ วกนิ แล้ว ฯ ครงั้ นนั้ (อ.เจ้าของแหง่ เรือน ท.) น�ำออกแล้ว จากเรือน (อนั เศรษฐี) นนั้ ผ้มู ีโภคะอนั เส่อื ม รอบแล้ว ในกาลแหง่ ตนเป็นคนแกน่ นั่ เทยี ว ขายซงึ่ เรือน ของตน แล้ว จงึ ถอื เอาแล้ว ฯ (อ.เศรษฐี) นนั้ พาไปแล้ว ซงึ่ ภรรยา อาศยั แล้ว ซง่ึ ฝาแหง่ เรือนของ ชนอ่ืน อยอู่ ยู่ ถือเอาแล้ว ซงึ่ ชิน้ แหง่ กระเบือ้ ง เท่ียวไปแล้ว เพื่ออนั ขอ เร่ิมแล้ว เพ่ืออนั บริโภค ซง่ึ ภตั รอนั เป็นเดน (ภตั รอนั ชนทิง้ แล้ว) ของชน ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ทอดพระเนตรเหน็ แล้ว (ซงึ่ เศรษฐี) นนั้ ผู้ยืนอยู่ อถ นํ เอกทิวสํ อาสนสาลาย ทฺวาเร ฐตฺวา ท่ีประตู แหง่ ศาลาเป็นท่ีนงั่ แล้ว จงึ รับเอาเฉพาะอยู่ ซง่ึ โภชนะอนั เป็นเดน ททหิสวฺรสาามสเตณฺถเารหสิ ติทํ ยี ปมาาตนฺวํ าอกจุ าฉฺ สิฏ.ิ ฺฐโอภถชนนํํ ปฏคิ คฺ ณหฺ นตฺ ํ อนั อนั ภกิ ษหุ นมุ่ และสามเณร ท.ให้อยู่ ในวนั หนงึ่ ได้ทรงกระทำ� แลว้ ซงึ่ การแย้ม อานนฺทตฺเถโร ให้ปรากฏ ฯ ครงั้ นนั้ อ.พระเถระชอื่ วา่ อานนท์ ทลู ถามแล้ว ซง่ึ เหตแุ หง่ การแย้ม สติ การณํ ปจุ ฉฺ .ิ สตถฺ า สติ การณํ กเถนโฺ ต “ปสสฺ านนทฺ (กะพระศาสดาพระองค์) นนั้ ฯ อ.พระศาสดา เมื่อตรัสบอก ซงึ่ เหตแุ หง่ - เอขมิ เปํ มตหฺวาาธนภเรสิยฏํ ฺอฐปิาทตุ ตาฺ ยํ อมิ สมฺ เึ ยว นคเร เทวฺ อสตี โิ กฏธิ นํ การแย้ม ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอานนท์ (อ.เธอ) จงดู ซงึ่ บตุ รของ เศรษฐีผ้มู ี- ภิกฺขาย จรนฺตํ: ทรัพย์มาก นี ้ผู้ ยงั ทรัพย์มีโกฏิแปดสบิ สองหนเป็นประมาณ ให้สนิ ้ ไปแล้ว จงึ พาเอา ซง่ึ ภรรยาแล้ว จงึ เท่ียวไปอยู่ เพื่ออนั ขอ ในพระนคร นี ้นนั่ เทียว, 118 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ก็ ถ้าวา่ (อ.บตุ รของเศรษฐี) นี ้ ไมย่ งั โภคะ ท. ให้สนิ ้ ไปแล้ว สเจ หิ อยํ ปฐมวเย โภเค อเขเปตฺวา กมมฺ นฺเต จกั ประกอบ แล้ว ซง่ึ การงาน ท. ในวยั ทหี่ นง่ึ ไซร้ (อ.บตุ รของเศรษฐี นี)้ ปโยชิสสฺ , นอิกิมฺขมสมฺิตฺวเึ ยาวปพนฺพคชเริสฺส,ออครฺคหเสตฏฺตฺฐํ ปี าอปภณุ วิสิสฺสฺส,, เป็นเศรษฐีผ้เู ลศิ ในนคร นีน้ น่ั เทียว จกั ได้เป็นแล้ว ก็ ถ้าวา่ (อ.บตุ ร สเจ ปน ของเศรษฐี นี)้ ออกแล้ว จกั บวชแล้ว ไซร้ (อ.บตุ รของ-เศรษฐีนี)้ ภโอภภรเิยวคาสิ ปฺสอิ ส,เฺสขนเอปิกนฺขตามฺวคาิตาฺวมากิผมเปฺมลพนฺพฺเปตชตนฏิ ปฺโฺฐตโหยิสชอฺสิสน;สฺาส,คเาจมมที ชตอุ ฺฌภยิ ิมเวสสิวฏเสฺ ฺยฐ,ี จกั บรรลแุ ล้ว ซงึ่ พระอรหตั แม้ อ.ภรรยา (ของบตุ รของ-เศรษฐี นนั้ ) จกั ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในอนาคามิผล ถ้าวา่ (อ.บตุ รของ- เศรษฐีผ้มู ีทรัพย์มากนี)้ ไมย่ งั โภคะ ท. ให้สนิ ้ ไปแล้ว จกั ประกอบ ซงึ่ การงาน ท. ในมชั ฌมิ วยั ไซร้,(อ.บตุ รของเศรษฐี ผ้มู ที รพั ยม์ ากน)ี ้ นนั้ จกั เป็นเศรษฐีคนท่ีสอง จกั ได้เป็นแล้ว, อ.บตุ รของเศรษฐีผ้มู ีทรัพย์ มากนี ้ ออกไปแล้ว บวชอยู่ จกั เป็นพระอนาคามี จกั ได้เป็นแล้ว, แม้ อ.ภรรยา (ของบุตรของเศรษฐี ผู้มีทรัพย์มาก) นัน้ สเจ ปภจริฺฉยิมาวปเิ สยฺสโภเคสกอทเขาเคปตามฺวาิผเกลมมฺ นปฺเตติปฏฺโฐยหชิสิสฺสสฺ ,; จกั ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในสกทาคามีผล,ถ้าวา่ (อ.บตุ รของเศรษฐี สตกตทิยาเสคฏาฺ ฐมี ี อภวิสฺส, ผ้มู ีทรัพย์มาก นี)้ ไมย่ งั โภคะ ท. ให้สนิ ้ ไปแล้ว จกั ประกอบแล้ว อภวิสฺส, นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชนฺโตปิ ซง่ึ การงาน ท. ในปัจฉิมวยั ไซร้,อ.บตุ รของเศรษฐี ผ้มู ีทรัพย์มากนี ้ ภริยาปิ สฺส โสตาปตฺติผเล เป็นเศรษฐีคนท่ีสาม จกั ได้เป็นแล้ว, (อ.บตุ รของเศรษฐีผ้มู ีทรัพย์ สปตามฏิ ฺฐญหฺญิสฺสโ:ตปิอิทปานริิหีโปนเ;นสปริคหหิาิโยภิตคฺวาาปิ ปริหีโน มากน)ี ้ แม้ออกแล้ว บวชอยู่ จกั เป็นพระสกทาคามี จกั ได้เป็นแล้ว, จ ปน แม้ อ.ภรรยา (ของบตุ รของเศรษฐี ผ้มู ที รพั ยม์ าก) นนั้ จกั ตงั้ อยู่ สุกฺขปลฺลเล โกญฺจสกุโณ วิย ชาโตติ วตฺวา เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล, แตว่ า่ (อ.บตุ รของ เศรษฐี) นน่ั อิมา คาถา อภาสิ เสอ่ื มรอบแล้ว แม้จากโภคะของคฤหสั ถ์ เสอื่ มรอบแล้ว แม้จาก คณุ เคร่ืองความเป็นแหง่ สมณะ ในกาลนี ้ ก็แล (อ.บตุ รของ เศรษฐี นนั้ ) ครัน้ เสอ่ื ม รอบแล้ว เป็นราวกะวา่ นกกระเรียน ในเปื อกตมอนั แห้ง เกิดแล้ว ดงั นี ้ฯ ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้ วา่ (อ. คนเขลา ท.) ไม่ประพฤติแลว้ ซึ่งพรหมจรรย์ ไม่ได้ “ อจริตฺวา พรฺ หฺมจริยํ อลทฺธา โยพพฺ เน ธนํ แลว้ ซ่ึงทรพั ย์ ในความเป็นแห่งหน่มุ สาว ย่อมซบเซา ชิณฺณโกญฺจาวฌายนตฺ ิ ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล. เพียงดงั อ. นกกะเรียนแก่ ท. (ซบเซาอยู่) ในเปื อกตม อจริตฺวา พรฺ หฺมจริยํ อลทฺธา โยพพฺ เน ธนํ อนั มีปลาส้ินแลว้ เทียว ฯ (อ. คนเขลา ท.) เสนตฺ ิ จาปาติขีณาว ปรุ าณานิ อนตุ ถฺ นุ นตฺ ิ. ไม่พระพฤติแลว้ ซ่ึงพรหมจรรย์ ไม่ไดแ้ ลว้ ซึ่งทรพั ย์ ตตฺถ อจริตวฺ าต:ิ พฺรหฺมจริยวาสํ อวสติ ฺวา. ในความเป็นแห่งหน่มุ สาว ย่อมนอน ทอดถอนถึงอยู่ ซึ่งเรื่องอนั มีในก่อน ท. เพียงดงั (อ. ลูกศร ท.) อนั หลดุ ไปแลว้ จากแล่ง ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) ว่า ไม่อยู่แล้ว อยู่ด้วยสามารถ แห่งอัน- ประพฤตซิ ง่ึ ธรรมอนั ประเสริฐ (ดงั น)ี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อจริตวฺ า ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ ไมไ่ ด้แล้ว แม้ซง่ึ ทรัพย์ ในกาล (แหง่ ตน) โยพพฺ เนต:ิ อนปุ ปฺ นฺเน วา โภเค อปุ ปฺ าเทตํุ เป็นผ้สู ามารถ เพื่ออนั ยงั โภคะ ท. อนั ไมเ่ กิดขนึ ้ แล้ว ให้เกิดขนึ ้ อปุ ปฺ นฺเน วา โภเค อนรุ กฺขิตํุ สมตฺถกาเล ธนํปิ หรือ หรือว่า เพื่ออันตามรักษา ซ่ึงโภคะ ท. อันเกิดขึน้ แล้ว อลภิตฺวา. (ดงั นี)้ (แหง่ บท) วา่ โยพพฺ เน ดงั นี ้ ฯ (อ. อรรถ) วา่ อ. คนเขลา ท. ผ้มู ีอยา่ งนีเ้ป็นรูป เหลา่ นนั้ ขีณมจเฺ ฉต:ิ เต เอวรูปา พาลา อทุ กสสฺ อภาวา ยอ่ มซบเซา ราวกะ อ. นกกะเรียนแก่ ท. ตวั มีขนปี กสนิ ้ รอบแล้ว ขีณมจฺเฉว ปลลฺ เล ปริกฺขีณปตฺตา ชิณฺณโกญฺจา (ซบเซาอย)ู่ ในเปือกตม ชอื่ วา่ มปี ลาสนิ ้ แล้วเทยี ว เพราะความไมม่ ี วิย อวชฺฌายนฺต.ิ แหง่ น�ำ้ (ดงั นี)้ (แหง่ บท) วา่ ขีณมจเฺ ฉ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ผลิตส่ือการเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 119 www.kalyanamitra.org

(อ. อรรถรูป) นี ้ ว่า ก็ อ.ความไม่มี แห่งท่ีเป็ นที่อยู่ อิทํ วตุ ฺตํ โหติ “ปลลฺ เล อทุ กสสฺ อภาโว วิย หิ (ของคนเขลา ท. ) เหลา่ นี ้ ราวกะ อ. ความไมม่ ี แหง่ นำ� ้ ในเปือกตม, อิเมสํ วสโภนคฏาฺฐนาํนสอสฺ ภอาโภวา,โว,ขีณมจปฺฉตาฺตนาํ นขํ ีณภโกาญโวฺจาวนิยํ อ. ความไมม่ ี แหง่ โภคะ ท. (ของคนเขลา ท.) เหลา่ นี ้ ราวกะ อิเมสํ อ. ความท่ี แหง่ ปลา ท. สนิ ้ แล้ว, อ. ความท่ี (แหง่ คนเขลา ท.) อุปฺปติตฺวา คมนาภาโว วิย อิเมสํ อิทาเนว เหลา่ นี ้ เป็นผ้ไู มส่ ามารถ เพื่ออนั ตงั้ ไว้พร้อม ซง่ึ โภคะ ท. ชลปถถลปถาทีหิ โภเค สณฺฐเปตํุ อสมตฺถภาโว; (โดยทาง ท.) มที างในนำ� ้ และทางบนบก เป็นต้น ในกาลนนี ้ น่ั เทยี ว ตสฺมา เอเต ขีณปตฺตา โกญฺจา วิย เอตฺเถว ราวกะ อ. ความไมม่ แี หง่ การ บนิ ขนึ ้ แล้ว ไป แหง่ นกกะเรียน ท. นิปชฺชิตฺวา อวชฺฌายนฺตีต.ิ ตวั มีขนปี สนิ ้ แล้ว; เพราะเหตนุ นั้ (อ.คนเขลา ท.) เหลา่ นน่ั ยอ่ มนอน ซบเซา (ในที่) นีน้ นั่ เทียว ราวกะ อ. นกกะเรียน ท. ตวั มีขนปี กสนิ ้ แล้ว ดงั นี ้ เป็นค�ำอธิบาย (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ยอ่ มเป็น ฯ อ. อรรถ วา่ อนั หลดุ ไปแล้ว จากแลง่ คือวา่ อนั พ้นไปแล้ว จาปาตขิ ีณาวาต:ิ จาปโต อติขีณา จากแลง่ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ จาปาตขิ ีณาว ดงั นี ้ ฯ จาปวินิมตุ ฺตาติ อตฺโถ. (อ.อรรถรูป) นี ้ วา่ อ.ลกู ศร ท. อนั พ้นไปแล้วจากแลง่ อิทํ วตุ ฺตํ โหติ “ยถา จาปวนิ ิมตุ ฺตา สรา ยถา แลน่ ไปแล้ว ตามความเร็ว ตกลงแล้ว, (ครัน้ เมอื่ บคุ คล) ผู้ จบั แล้ว เวคํ คนฺตฺวา ปตติ า, คเหตฺวา อกุ ฺขิปนฺเต อสต,ิ ตตฺเถว ยกขนึ ้ อยู่ ไมม่ ีอย,ู่ เป็นเหยื่อ ขอปลวก ท. ในท่ีนนั้ นน่ั เทียว อปุ จกิ านํ ภตตฺ ํ โหนตฺ ;ิ เอวํ อเิ มปิ ตโย วเย อตกิ กฺ นตฺ า (ยอ่ มเป็น) ฉนั ใด; (อ.คนเขลา ท.) แม้เหลา่ นี ้ ก้าวลว่ งแล้ว อทิ านิ อตตฺ านํ อทุ ธฺ ริตํุ อสมตถฺ ตาย มรณํ อปุ คมสิ สฺ นตฺ ;ิ ซึ่งวัย ท. ๓ จักเข้ าถึง ซ่ึงความตาย เพราะความที่ เตน วตุ ฺตํ “ เสนฺติ จาปาตขิ ีณาวาต.ิ (แหง่ ตน) เป็นผ้ไู มส่ ามารถ เพ่ืออนั ถอนขนึ ้ ซง่ึ ตน ในกาลนี;้ เพราะเหตนุ นั้ (อ. พระด�ำรัส) วา่ เสนฺติ จาปาตขิ ีณาว ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว (ดงั นี)้ เป็นค�ำอธิบาย (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ยอ่ มเป็น ฯ (อ. อรรถ) วา่ (อ. คนเขลา ท.) ยอ่ มนอน ทอดถอนถงึ อยู่ ปุราณานิ อนุตถฺ ุนนฺต:ิ อิติ อมเฺ หหิ ขาทิตํ, คือวา่ ตามเศร้าโศกถงึ อยู่ (ซงึ่ เรื่อง ท.) มีการเคีย้ วกินและการด่ืม อติ ิ ปีตนตฺ ิ ปพุ เฺ พ กตานิ ขาทติ ปีตนจจฺ คตี วาทติ าทนี ิ และการฟ้ อนและการขบั ร้องและการประโคมเป็นต้นอนั (อนั ตน) อนตุ ฺถนุ นฺตา อนโุ สจนฺตา เสนฺตีติ. กระทำ� แล้ว ในกาลกอ่ น วา่ (อ. วตั ถอุ นั บคุ คลพงึ เคยี ้ ว) อนั เรา ท. เคีย้ วกินแล้ว ด้ วยประการฉะนี,้ (อ.น�ำ้ อันบุคคลพึงดื่ม) (อนั เรา ท.) ด่ืมแล้ว ด้วยประการฉะนี ้ ดงั นี ้ ดงั นี ้ (แหง่ บาท แหง่ พระคาถา) วา่ ปุราณานิ อนุตถฺ ุนํ ดงั นี ้ ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ. ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งบุตร(จขบอแงเลศ้วร)ษฯฐีผู้มีทรัพย์มาก มหาธนเสฏฺ ฐิปุตตฺ วตถฺ ุ. อ.กอถันาบเปณั ็ นฑเคติ รก่ือำ� งหพนรดรแณลน้วาดซ้ว่งึ ยเชนรือ้ าควาจมบแแหล่ง้ววฯรรค ชราวคคฺ วณฺณนา นิฏฺ ฐิตา. อ. วรรค ท่ี ๑๑ (จบแล้ว) ฯ เอกาทสโม วคโฺ ค. 120 ธรรมบทภาคท่ี ๕ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

บรรณานุกรม พระพทุ ธโฆษาจารย ์ ธมฺมปทฏฺ ฐกถา ปญฺจโม ภาโค . กรุงเทพฯ : โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั .๒๕๒๘ พระอมรมุนี คณั ฐีพระธัมมปทฏั ฐกถา ยกศัพท์แปล ภาค ๕ . กรุงเทพฯ : โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั .๒๕๒๘. คณะกรรมการแผนกตำ� รามหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พระธัมมปทฏั ฐกถาแปล ภาค ๕ . กรุงเทพฯ : โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ๒๕๒๘ . คณาจารยโ์ รงเรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย สูตรส�ำเร็จ บาลไี วยากรณ์ . กรุงเทพฯ : โรงพิมพส์ ุขขมุ วทิ การพิมพ์ จำ� กดั . ๒๕๕๔ . พระวสิ ุทธิสมโพธิ ปทานุกรมกริ ิยาอาขยาต . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พธ์ รรมบรรณาคาร . ๒๕๒๐. พระมหาสำ� ลี วสิ ุทฺโธ อกั ขรานุกรมกริ ิยาอาขยาต . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พเ์ ลี่ยงเชียงจงเจริญ . ๒๕๒๘. ป.หลงสมบุญ พจนานุกรม มคธ -ไทย . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พบ์ ริษทั ธรรมสาร จำ� กดั . ๒๕๔๖ สนามหลวงแผนกบาลี ปัญหาและเฉลยประโยคบาลสี นามหลวง . กรุงเทพฯ : โรงพิมพก์ ารศาสนา . ดร.อุทิส สิริวรรณ ธรรมบท ภาคที่ ๕ แปลโดยพยญั ชนะ . กรุงเทพฯ : โรงพิมพเ์ ลี่ยงเชียง . ๒๕๕๐. บุญสืบ อินสาร ธรรมบท ภาคท่ี ๕ แปลโดยพยญั ชนะ . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พร์ ุ่งนครการพมิ พ์ . ๒๕๔๖. กองพทุ ธศาสนศึกษา สำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ธรรมปทฏั ฐกถา ภาค ๕ แปลโดยพยญั ชนะ . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา . ๒๕๕๖. ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 121 www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org