Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระวินัยบัญญัติ

Description: พระวินัยบัญญัติ

Search

Read the Text Version

๔. อกปปฺ เิ ย กปปฺ ยิ สญฺ ิตา ตอ้ งดว้ ยสำ� คญั วา่ ควรในของทไ่ี มค่ วร คอื อาการทภ่ี กิ ษมุ คี วามสำ� คญั ผดิ ไป เชน่ เหน็ เนอ้ื หมซี ง่ึ เปน็ เนอื้ ต้องห้ามตามพระวินัย แตส่ ำ� คญั ไปว่าเปน็ เนอื้ หมู จึงขบฉนั เขา้ ไปตามท่ีเข้าใจ แต่ก็ต้องอาบตั ิ เพราะเป็นเนอ้ื ตอ้ งหา้ ม ๕. กปปฺ เิ ย อกปปฺ ยิ สญฺ ิตา ตอ้ งดว้ ยสำ� คญั วา่ ไมค่ วรในของทค่ี วร คือ อาการที่ภิกษุมีความส�ำคัญผิดไป เช่น เห็นเนื้อหมูซึ่งเป็น เน้อื ท่ีบริโภคได้ แตเ่ ขา้ ใจไปวา่ เปน็ เนอ้ื หมี ซง่ึ เปน็ เนื้อต้องห้าม แล้วฉนั เน้ือหมู น้ัน กต็ อ้ งอาบตั ิทุกกฏ เพราะส�ำคัญวา่ ไม่ควรแลว้ ยงั ฉนั ๖. สติสมฺโมสา ตอ้ งดว้ ยลมื สติ คอื อาการทภ่ี กิ ษลุ มื สตแิ ลว้ ลว่ งละเมดิ สกิ ขาบท ดว้ ยหลงไปหรอื เผลอไป เชน่ นำ�้ ผ้ึง ทรงอนุญาตให้ภกิ ษุเกบ็ ไว้ฉนั ได้เพยี ง ๗ วัน แตภ่ กิ ษุเก็บ ไว้เกินก�ำหนด ๗ วันแลว้ น�ำมาฉัน หรือเผลอเก็บอติเรกจีวรไวเ้ กนิ ๑๐ วนั โดยไมไ่ ด้วิกัปหรืออธษิ ฐาน วธิ ีปฏิบัตเิ มอ่ื ตอ้ งอาบัติ การต้องอาบัติ เป็นการท�ำผิดประพฤติผิด เป็นการล่วงละเมิด บทบญั ญัติทางพระวนิ ัยท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงหา้ มไว้ เพราะสิกขาบทแต่ละข้อนัน้ ทรงบญั ญตั ไิ วเ้ พอ่ื เปน็ แนวปฏบิ ตั สิ ำ� หรบั หมคู่ ณะ เพอื่ ความถกู ตอ้ ง เพอื่ ความ สงา่ งาม เพ่อื ใหเ้ กดิ ศรัทธาเลอ่ื มใสแก่ชาวโลก เพือ่ รกั ษาพระศาสนาใหม้ ่ันคง ยั่งยืนตลอดไป เป็นต้น เมื่อมีการล่วงละเมิดเกิดขึ้น ย่อมท�ำให้เกิดความไม่ ถกู ตอ้ ง ไม่สง่างาม ท�ำให้เสยี ศรทั ธาของชาวโลก และเป็นเหตอุ นั ตรธานเส่ือม สญู ไปของพระศาสนา 32 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

เพราะฉะนั้น เมื่อมีการต้องอาบัติเกิดขึ้นในหมู่คณะ ย่อมเป็นหน้าที่ ท่ีทุกฝ่ายต้องปฏิบัติร่วมกัน วิธีปฏิบัตินั้น ท่านแสดงไว้ในหลายที่หลายแห่ง แตเ่ ม่ือกลา่ วโดยสรปุ แลว้ ย่อมเกีย่ วข้องกบั บุคคล ๓ ฝา่ ย คอื ๑. หนา้ ท่ขี องภิกษุผ้ตู ้องอาบตั ิ ภิกษุผู้ต้องอาบัติน้ัน จ�ำต้องยอมรับข้อผิดพลาดท่ีเกิดข้ึนด้วย ความมีสติ มีความละอายแก่ใจ แล้วท�ำคืนอาบัตินั้นๆ ตามวิธีที่ก�ำหนดไว้ใน พระวนิ ยั เชน่ อยกู่ รรม ปลงอาบตั ิ กจ็ ะเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธไิ์ ดเ้ หมอื นเดมิ แลว้ สำ� รวม ระวงั มิให้เกดิ ความผิดพลาดโดยไปล่วงละเมดิ อีก ๒. หนา้ ท่ขี องภกิ ษอุ ่นื ทรี่ ู้เห็น ภิกษุท้ังหลายท่ีอยู่ในหมู่คณะเดียวกัน เมื่อเห็นว่าภิกษุใด ประพฤติปฏิบัติผิด ไม่เหมาะไม่ควร ก็จ�ำต้องตั้งสติท�ำใจ อาศัยเมตตาธรรม เปน็ ท่ตี งั้ แนะน�ำ ตกั เตือน หรือสั่งสอนเธอผทู้ ำ� ผิด ให้เลกิ กระทำ� หรือให้มีสตใิ ห้ ความรู้ เพื่อเธอจะได้กลับตัวเลิกประพฤติ มิใช่ปล่อยวางเฉย ให้ท�ำไปตามใจ ชอบ แมจ้ ะทำ� ใหเ้ สยี ความสงา่ งาม เสยี ความรสู้ กึ ในหมคู่ ณะ เพราะถา้ วางธรุ ะ เสยี กจ็ ะเกดิ ความเสยี หายบานปลาย จนทำ� ใหห้ มคู่ ณะเดอื ดรอ้ นเสยี หายตาม ได้ หากเอาเป็นธุระ ก็ถือว่าได้ช่วยเหลือกัน ได้ช่วยหมู่คณะ หรือได้ช่วยวัด ชว่ ยพระศาสนาให้วัฒนาสถาพรตอ่ ไป ๓. หน้าที่ของสงฆ์ สงฆ์คือหมู่คณะที่ปกครองดูแลกันเป็นระบบ มีผู้น�ำ มีเจ้าคณะ ผู้ปกครองที่เรียกว่าพระสังฆาธิการทุกระดับ สงฆ์ท่ีส�ำคัญก็คือผู้ปกครองทุก ระดบั ชนั้ จำ� ตอ้ งเหน็ แกพ่ ระศาสนาเปน็ ทต่ี งั้ จำ� ตอ้ งกวดขนั ดแู ลภกิ ษใุ นปกครอง ให้ปฏิบัติไปตามพระธรรมวินัย เม่ือภิกษุประพฤติผิดก็จ�ำต้องปฏิบัติแก้ไขหรือ พระวินัยบัญญัติ 33 www.kalyanamitra.org

ลงโทษไปตามพระธรรมวินยั จำ� ต้องเอาใจใส่เร่อื งกฎระเบยี บท่ีวางไว้ หากยงั ไม่มี ก็รับฟังความคิดเห็นของหมู่คณะแล้วตรากฎระเบียบออกมาบังคับใช้ รว่ มกนั สงฆผ์ ปู้ กครองทกุ ระดบั ชนั้ จำ� ตอ้ งอาศยั จติ สำ� นกึ ในความเปน็ ผปู้ กครอง อย่างเข้มงวด ท�ำได้ดังนี้ ก็จะรักษาพระศาสนาเข้าไว้ได้ หมู่คณะก็จะงดงาม เปน็ ศรสี งา่ เป็นทีต่ ้ังแหง่ ศรทั ธาของชาวโลกได้ อาบัติ ๗ กอง อาบัตินั้นแยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประการ คือ ครุกาบัติและ ลหุกาบัติ แต่เมอื่ แยกประเภทโดยช่ือแลว้ มี ๗ ประการ เรยี กตามโบราณวา่ มี ๗ กอง ชอ่ื อาบตั เิ หลา่ นเี้ ปน็ สำ� คญั เปน็ เครอ่ื งหมายสำ� หรบั จดจำ� วา่ มโี ทษหนกั หรือเบาอย่างไร และเป็นเคร่ืองก�ำหนดในการระบุความผิดว่าเมื่อล่วงละเมิด เช่นน้ีชื่อวา่ ตอ้ งอาบตั อิ ะไร อาบัติ ๗ กองนน้ั คือ ๑. ปาราชกิ ๒. สงั ฆาทิเสส ๓. ถลุ ลจั จัย ๔. ปาจิตตยี ์ ๕. ปาฏิเทสนียะ ๖. ทกุ กฏ ๗. ทุพภาษติ 34 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ความหมายของอาบัติ ๗ กอง ๑. ปาราชิก ถ้าหมายถึงบุคคล แปลว่า ผู้แพ้ คือแพ้ภาวะของตน ตอ้ งกลบั ไปเปน็ คฤหสั ถ์ ถา้ หมายถงึ อาบตั ิ แปลวา่ ยงั บคุ คลผลู้ ว่ งละเมดิ ใหแ้ พ้ คอื ให้แพ้ต่อการบรรลมุ รรคผลชนั้ สูง ๒. สังฆาทิเสส แปลว่า ความละเมิดมีสงฆ์ในเบ้ืองต้นและกรรม ทเ่ี หลอื หมายถงึ เม่ือภกิ ษตุ ้องอาบตั นิ ้ีแลว้ ตอ้ งอาศัยสงฆ์ คือสงฆใ์ ห้ปรวิ าส เป็นกรรมเบ้ืองตน้ สงฆ์ให้มานัต ในทา่ มกลาง และสงฆ์ให้อัพภาณ เปน็ กรรม เบือ้ งปลาย แสดงวา่ ภกิ ษุผู้ตอ้ งอาบตั นิ ้ีจะต้องอาศัยสงฆ์ในการพน้ จากอาบตั ิ ในกรรมเบ้ืองต้น ท่ามกลาง และท่ีสุด คือสงฆ์ให้ปริวาส ให้มานัต และให้ อัพภาณ เรยี กวิธกี ารออกจากอาบัตนิ ี้โดยท่ัวไปวา่ การอย่กู รรม ๓. ถลุ ลจั จยั แปลวา่ โทษหยาบ, โทษหนา ซึง่ มีโทษรองลงมาจาก ปาราชิกและสังฆาทิเสส แต่เป็นอาบัติที่หนักกว่าลหุกาบัติ ซึ่งพ้นได้ด้วยการ แสดงอาบัติดว้ ยกนั คือหนกั กวา่ ปาจติ ตีย์ ปาฏเิ ทสนยี ะ ๔. ปาจิตตีย์ แปลว่า การละเมิดอันยังกุศลให้ตกไป แบ่งเป็น ๒ อย่างคือ (๑) นิสสัคคิยปาจิตตยี ์ คอื ปาจิตตีย์ที่ต้องสละสิ่งของท่เี ป็นเหตุ ตอ้ งอาบัตินน้ั เสียก่อนจงึ แสดงอาบตั ติ ก หรือพน้ จากอาบตั นิ นั้ เชน่ ภกิ ษุเก็บ อตเิ รกจวี รไวเ้ กนิ ๑๐ วัน ตอ้ งสละจีวรน้นั แก่ภิกษอุ ื่นเสยี ก่อน แล้วจงึ แสดง อาบตั ิ จึงจะพน้ จากอาบัตินนั้ ได้ พระวินัยบัญญัติ 35 www.kalyanamitra.org

(๒) สทุ ธกิ ปาจิตตยี ์ คอื ปาจติ ตยี ป์ กติ ๙๒ สิกขาบท อันภกิ ษุ ตอ้ งเข้าแลว้ ไม่ต้องเสียสละสิง่ ของทีเ่ ป็นเหตุตอ้ งอาบตั ินั้น แต่ต้องแสดงอาบตั ิ จงึ จะพ้นจากอาบตั นิ ัน้ ได้ ๕. ปาฏิเทสนยี ะ แปลวา่ อาบตั อิ ันภิกษุจะพึงแสดงคืน ๖. ทุกกฏ แปลว่า ท�ำชั่ว เป็นอาบัติท่ีท่านปรับโดยตรงก็มี ลดลง มาจากอาบัติอื่นๆ ก็มี และมีจ�ำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นอาบัติท่ีมานอก พระปาตโิ มกข์ ๗. ทพุ ภาสติ แปลวา่ กลา่ วชวั่ มเี พยี งสกิ ขาบทเดยี ว มาในมสุ าวาท- วรรค สกิ ขาบทที่ ๒ แห่งปาจิตตยี ์ อนุศาสน์ อนศุ าสน์ แปลวา่ ความตามสอน คอื การสอน, คำ� ชแี้ จง ซง่ึ เปน็ การ สอนการชี้แจงประจ�ำต่อเน่ือง เพ่ือให้รู้และเข้าใจจนสามารถปฏิบัติตามและ งดเวน้ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง อันเปน็ เหตใุ หไ้ ด้รับประโยชน์ได้จรงิ ไมช่ กั ช้า อนศุ าสนน์ ี้ พระพทุ ธองค์ทรงแสดงบอ่ ยครั้ง ทรงยำ้� สงั่ สอนบอ่ ย ใน พระบาลีใช้ค�ำศัพท์ว่า อนุสาสนี เป็นพ้ืน อย่างเช่น ในสติสูตร สังยุตตนิกาย มหาวรรค พระพุทธองคต์ รสั ส่งั สอนเป็นเชงิ เตือนภิกษุท้ังหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติอยู่เถิด นี้เป็นคำ� สัง่ สอนของเราสำ� หรบั เธอทง้ั หลาย 36 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย กอ็ ยา่ งไรเลา่ ภกิ ษจุ งึ ชอื่ วา่ เปน็ ผู้มีสติ คือ ภิกษุในธรรมวินัยน้ีย่อมพิจารณาเห็นกาย ในกาย... ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา... ย่อม พจิ ารณาเหน็ จติ ในจติ ... ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ก�ำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกอยู่ ดูก่อนภกิ ษุทงั้ หลาย อยา่ งน้ีแล ภกิ ษุ จงึ ช่ือวา่ เปน็ ผูม้ สี ติ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติอยู่เถิด นเ้ี ปน็ คำ� สั่งสอนของเราสำ� หรับเธอทั้งหลาย” อนศุ าสนท์ เี่ ขา้ ใจกนั ในปจั จบุ นั คอื อนศุ าสนท์ พี่ ระอปุ ชั ฌายไ์ ดส้ งั่ สอน แก่ภิกษุผเู้ พ่ิงบวชเสร็จ ซ่งึ ถือวา่ เปน็ เรอื่ งส�ำคัญทีต่ ้องบอกในตอนนั้น เรียกการสั่งสอนในตอนนนั้ วา่ บอกอนุศาสน์ หรอื ใหอ้ นุศาสน์ การบอกอนุศาสน์ที่กล่าวข้างต้นนี้ พระอุปัชฌาย์จะบอกเองหรือ มอบหมายให้พระคู่สวดรูปใดรูปหน่ึงบอกก็ได้ ที่ต้องบอกนั้นเพื่อให้ภิกษุใหม่ ได้รู้ว่า เม่ือเป็นภิกษุแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรได้บ้าง และจะต้องงดเว้นไม่ท�ำ สง่ิ ใดบ้าง โดยบอกเฉพาะข้อท่สี �ำคญั อนั จ�ำเปน็ จรงิ ๆ อนุศาสน์ท่บี อกน้นั ข้นึ ตน้ ตามแบบใหมว่ ่า “อนญุ ฺ าสิ โข ภควา อปุ สมปฺ าเทตวฺ า จตตฺ าโร นสิ สฺ เย จตตฺ าริ อกรณยี านิ อาจกิ ขฺ ติ ํุ ...” ซ่งึ แปลความเปน็ ภาษาไทยได้ว่า พระวินัยบัญญัติ 37 www.kalyanamitra.org

“สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้วแล เพื่อที่เม่ือให้อุปสมบทแล้วจะได้บอกนิสสัย ๔ และ อกรณียกิจ ๔ คือ ...” หมายความว่า อนุศาสน์ท่บี อกน้ัน มี ๘ ประการ แบ่งเปน็ นสิ ัย ๔ ประการ อกรณียกิจ ๔ ประการ นิสสัย ๔ นิสสยั แปลว่า ปจั จยั เครื่องอาศยั ของบรรพชิต มี ๔ ประการ ปจั จยั เหลา่ นจี้ ดั วา่ เปน็ เครอื่ งอาศยั สำ� หรบั ดำ� รงชพี ทส่ี ำ� คญั ของภกิ ษุ ถ้าขาดไปแม้เพียงอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ชวี ติ ก็จะด�ำเนินไปดว้ ยความยากล�ำบาก หรือไม่อาจด�ำรงอยไู่ ด้ต่อไปเลย จึงเรยี กวา่ นิสสัย นสิ สยั ตามพระบาลนี น้ั หมายถงึ ปจั จยั ๔ คอื บณิ ฑบาต ๑ ผา้ บงั สกุ ลุ จีวร ๑ เสนาสนะ ๑ คิลานเภสัช ๑ ซ่ึงตรงกับปัจจัย ๔ ของชาวโลก คือ อาหาร ๑ เครือ่ งนุง่ หม่ ๑ ทีอ่ ยูอ่ าศัย ๑ ยารกั ษาโรค ๑ ต่างกนั เพยี งภาษา ท่ใี ชเ้ ท่าน้ัน และในพระบาลที เี่ ปน็ คำ� บอกอนศุ าสนน์ นั้ ทา่ นใชค้ ำ� ทบ่ี ง่ ถงึ การกระทำ� อนั เป็นที่เข้าใจกันในหมู่บรรพชิตแตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ ัน คอื ท่านใชว้ ่า ๑. เทย่ี วบณิ ฑบาต ซ่งึ หมายถึง บิณฑบาต คอื อาหารหรอื โภชนะที่ ได้มาจากการออกบิณฑบาต และรวมไปถึงอาหารท่ีท่านอนุญาตไว้เป็นพิเศษ ซ่ึงเรียกวา่ อติเรกลาภ 38 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

อตเิ รกลาภ ซง่ึ เปน็ ลาภพเิ ศษทท่ี รงอนญุ าตไวน้ น้ั ไดแ้ กภ่ ตั หรอื อาหาร ประเภทต่างๆ คอื - สงั ฆภัต อาหารทีถ่ วายสงฆห์ รอื สังฆทาน ไมเ่ จาะจง - อเุ ทสภตั อาหารท่ีถวายสงฆ์ จำ� กดั จำ� นวน - นิมันตนภัต อาหารที่ถวายสงฆ์ตามที่นิมนต์ - สลากภัต อาหารทีถ่ วายสงฆ์โดยการจับสลาก - อุโปสถกิ ภัต อาหารท่ีถวายในวนั อุโบสถ - ปาฏิปทิกภตั อาหารทถี่ วายในวันแรม ๑ ค�ำ่ - นติ ยภตั อาหารท่ถี วายเปน็ ประจำ� ๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ซึ่งหมายถึง ผ้าบังสุกุลจีวร อันแปลว่า ผ้า เปื้อนฝนุ่ ผ้าบังสุกุลนน้ั คือผ้าทหี่ าเจา้ ของมไิ ด้ เป็นผ้าเก่าทเ่ี ขาไม่ใช้แลว้ หรือ ท่ีเขาทิ้งแล้วตามกองขยะ เมื่อภิกษุต้องการผ้ามานุ่งห่มก็ไปเก็บผ้าเช่นน้ันมา ซกั เย็บ ยอ้ มใหม่ ทำ� เปน็ จวี รนงุ่ หม่ ในส่วนของผ้าส�ำหรับนุ่งห่มนี้ ทรงอนุญาตผ้าที่เป็นอติเรกลาภไว้ สว่ นหนง่ึ เช่นเดยี วกับบิณฑบาต คือ - ผ้าโขมะ คือผ้าทท่ี ำ� ด้วยเปลือกไม้ เช่นผา้ ลินนิ - ผ้ากัปปาสิกะ คือผ้าฝา้ ย - ผา้ โกเสยยะ คอื ผา้ ไหม - ผ้ากมั พละ คือผ้าท่ที �ำดว้ ยขนสตั ว์ (เว้นผมและขนของ มนุษย์) เช่นผา้ สกั หลาด - ผา้ สาณะ คือผา้ ทท่ี �ำด้วยเปลือกไมส้ าณะ เช่นผา้ ปา่ น - ผ้าภังคะ คอื ผา้ ทที่ �ำด้วยผ้าเจือกัน เช่นผ้าด้ายแกมไหม พระวินัยบัญญัติ 39 www.kalyanamitra.org

๓. อยโู่ คนไม้ ซงึ่ หมายถงึ เสนาสนะ คอื ทน่ี อนและทนี่ งั่ ทงั้ นเ้ี พราะ ในสมัยต้นพุทธกาล ผู้คนยังศรัทธาเลื่อมใสไม่มาก พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ เมื่อจาริกไปในที่ต่างๆ ในตอนแรกต้องอาศัยต้นไม้ อาศัยป่า เป็นท่ีพักอาศัย ต่อมาเมื่อผู้คนศรัทธามากข้ึนแล้ว จึงสร้างที่อยู่ (วิหาร) และกุฏิ (กระท่อม) ถวายตามเมือง ตามหมูบ่ ้านต่างๆ จนกลายมาเป็นวดั จนถงึ ปัจจบุ นั ในเรอ่ื งของเสนาสนะนก้ี ็เชน่ กนั ทรงอนญุ าตเสนาสนะท่ีเป็นอติเรก- ลาภไวห้ ลายประเภท คือ - วิหาร คือท่อี ย่หู รือกฏุ ติ ามปกต ิ - อฑั ฒโยค คอื เพงิ - ปราสาท คอื เรอื นเปน็ ช้นั ๆ - หัมมยิ ะ คือเรือนหลงั คาตัด - คหุ า คอื ถ้�ำ ๔. ฉันยาดองด้วยน�้ำมูตรเน่า ซ่ึงหมายถึง คิลานเภสัช หรือยา รักษาโรค เพราะสมัยก่อนวิชาการแพทย์ยังไม่เจริญ ยารักษาโรคต้องอาศัย ส่ิงธรรมชาติจากป่าที่เรียกว่าสมุนไพรเป็นพื้น ส่วนของภิกษุท่านอนุญาตให้ ฉัน ยาดองด้วยนำ�้ มตู รเน่า คือ ยาทด่ี องด้วยน�้ำปสั สาวะ ได้ เพอ่ื เป็นยาอายุ วฒั นะ แก้โรคไดห้ ลายโรค แตป่ ัจจบุ นั การแพทยเ์ จริญขน้ึ คิลานเภสชั จึงเป็น ยาทัว่ ไปทแี่ พทย์ปจั จุบนั รับรอง และยาสมุนไพรแบบโบราณ ในเรื่องคิลานเภสชั น้ีกม็ อี ตเิ รกลาภทที่ รงอนุญาตไว้เชน่ กัน คือ เนย ไส เนยขน้ นำ้� มัน น้�ำผึง้ นำ้� ออ้ ย 40 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ปจั จยั ทงั้ สปี่ ระการเหลา่ นร้ี วมถงึ อตเิ รกลาภตา่ งๆ เปน็ ปจั จยั ทสี่ ำ� คญั เพื่อความด�ำรงอยู่ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้และขบฉันได้ แต่ใช้และขบฉันได้ ตามข้อก�ำหนด เช่น บิณฑบาตขบฉันได้ตัง้ แต่เชา้ ถึงเท่ียงวัน หากขบฉนั ก่อน หรอื หลงั จากนนั้ ย่อมเป็นอาบตั ิ คิลานเภสชั ที่เปน็ อตเิ รกลาภคอื เนยไส เก็บไว้ ฉนั ได้ไมเ่ กนิ ๗ วนั เปน็ ต้น อกรณียกจิ ๔ อกรณียกิจ แปลว่า กจิ ทีไ่ ม่ควรท�ำ ในที่นี้หมายถงึ สิ่งที่ภิกษุท�ำไม่ ได้ เมอ่ื ทำ� ลงไปยอ่ มมโี ทษหนกั ถงึ ขาดจากความเปน็ ภกิ ษุ ไมเ่ ปน็ ภกิ ษอุ กี ตอ่ ไป อกรณียกิจ ที่ท่านให้อนุศาสน์คือให้สอนเป็นอันดับต้นในวันบวช ก็ เพราะเปน็ ขอ้ หา้ มท่ีมิให้ภกิ ษุกระท�ำเป็นเด็ดขาด จงึ ตอ้ งรีบบอกรบี สอนเสยี แต่ เรม่ิ ตน้ จะไดร้ ตู้ วั เสยี แตท่ แี รก แลว้ กำ� หนดจดจำ� ไว้ ไมล่ ว่ งละเมดิ ดว้ ยความไมร่ ู้ หรอื ด้วยความเขา้ ใจผดิ ในโอกาสต่อไป อกรณยี กิจ มี ๔ อย่าง คือ (๑) เสพเมถุน (๒) ลกั ของเขา (๓) ฆ่าสตั ว์ (๔) พดู อวดคณุ พิเศษท่ไี ม่มใี นตน อกรณียกจิ ๔ มีความหมายดงั น้ี พระวินัยบัญญัติ 41 www.kalyanamitra.org

(๑)  เสพเมถุน คือการมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันหรือกับสัตว์ ดิรัจฉาน เป็นอกรณียกิจท่ีภิกษุท�ำไม่ได้ ถ้าท�ำลงไปย่อมขาดจากความเป็น ภกิ ษุ มใิ ชส่ มณะ มิใชศ่ ากยบุตรอีกตอ่ ไป มีโทษหนัก เหมือนคนท่ถี ูกตัดศรี ษะ ไปแลว้ ไม่สามารถจะดำ� รงชวี ิตอยูต่ ่อไปไดด้ ว้ ยสรีระร่างน้นั ทท่ี รงห้ามไว้วา่ เป็นอกรณยี กิจ เพราะเมถนุ ธรรมนนั้ - เป็นขา้ ศึกแก่การประพฤตพิ รหมจรรย์ - เปน็ เหตุใหว้ ุ่นวาย มีภาระมาก เหมือนคนครองเรือน - เป็นไปเพ่ือสะสมกิเลสและกองทุกข์ - เปน็ เหตุใหล้ มุ่ หลงมัวเมา ไม่รจู้ ักความจรงิ (๒)  ลักของเขา หมายถึงการหยิบฉวยทรัพย์สินของคนอื่นมา ขบฉันหรอื ใชส้ อย โดยท่เี จ้าของมิได้ให้ มไิ ดอ้ นญุ าต มิไดป้ ระเคน ตามควรแก่ กรณี มอี าการอยา่ งขโมย โดยทส่ี ดุ แมไ้ มจ้ ม้ิ ฟนั ซง่ึ ของนน้ั มรี าคาบาทหนงึ่ บา้ ง เกินกว่าบาทหนึ่งบ้าง ถ้าภิกษุลักของเขาเช่นนี้ ย่อมขาดจากความเป็นภิกษุ มิใช่สมณะ มิใช่ศากยบุตรอีกต่อไป ย่อมได้รับโทษหนัก เหมือนใบไม้เหลืองท่ี หลุดจากขั้วไปแล้วไม่อาจจะกลับมีสสี ดเขียวได้ ทที่ รงห้ามไวเ้ ปน็ อกรณยี กจิ เพราะการลกั ของเขานนั้ - เป็นการละเมิดกรรมสทิ ธขิ์ องผอู้ น่ื - เป็นการหาเล้ยี งชีพในทางทผ่ี ิด - เปน็ การเห็นแก่ตวั ไมม่ องถึงความทกุ ขข์ องผ้อู ื่น - เปน็ การทำ� ลายความดีของตนเอง 42 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๓)  ฆา่ สตั ว์ หมายถงึ การแกลง้ หรอื จงใจทำ� ใหส้ ตั วท์ มี่ ลี มปราณสน้ิ ชวี ติ ในทนี่ หี้ มายถงึ การฆา่ มนษุ ยโ์ ดยเฉพาะ โดยทส่ี ดุ แมจ้ ะยงั อยใู่ นครรภ์ เมอื่ ทำ� ใหค้ รรภต์ กไป กจ็ ดั วา่ ฆา่ มนษุ ย์ เมอื่ ภกิ ษฆุ า่ มนษุ ยเ์ ชน่ นี้ ยอ่ มขาดจากความ เปน็ ภกิ ษุ มใิ ชส่ มณะ มใิ ชศ่ ากยบตุ รอกี ตอ่ ไป เหมอื นศลิ าแทง่ ทบึ เมอื่ แตกออก เปน็ สองสว่ นแลว้ ไมอ่ าจจะประสานใหเ้ ปน็ เนอื้ เดยี วอยา่ งสนทิ เหมอื นเดมิ ไดอ้ กี ท่ีทรงหา้ มไวเ้ ป็นอกรณียกจิ เพราะการฆ่ามนุษย์น้ัน - เปน็ ความเหี้ยมโหด - เปน็ การขาดเมตตาธรรม (๔)  การอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน หมายถึงการอวดอ้างถึงคุณ วเิ ศษอยา่ งยวดยง่ิ ของมนษุ ยว์ า่ มใี นตน คอื อวดอา้ งวา่ ตนไดส้ ำ� เรจ็ เขา้ ถงึ ฌาน เข้าถึงวิโมกข์หลุดพ้นได้ หรือได้บรรลุมรรค ผล นิพพานแล้ว ท้ังท่ีความจริง คุณวิเศษเหล่านี้ตนยังมิได้มี ยังมิได้เป็น ยังมิได้บรรลุ ยังมิได้เข้าถึงเลย แต่ อวดอ้างขึ้นมาเพราะเป็นผู้มีความปรารถนาลาภผล ต้องการให้ผู้คนยกย่อง นับถอื ตอ้ งการอยเู่ หนอื บคุ คลอ่นื เมอื่ ภกิ ษุอวดอ้างเชน่ นี้ ย่อมขาดจากความ เปน็ ภกิ ษุ มใิ ชส่ มณะ มใิ ชศ่ ากยบตุ รอกี ตอ่ ไป เหมอื นตน้ ตาลทม่ี ยี อดดว้ นไปแลว้ ยอ่ มไม่อาจงอกข้นึ ได้อกี ทที่ รงหา้ มไวเ้ ปน็ อกรณยี กจิ เพราะการอวดคณุ พเิ ศษทไี่ มม่ ใี นตนนนั้ - เป็นเหตทุ �ำใหบ้ คุ คลผ้ศู รทั ธาเลื่อมใสเส่อื มศรทั ธาเล่อื มใสไป - เป็นเหตุให้ชือ่ ว่าเปน็ โจรปลน้ ศาสนา - เป็นหตุใหพ้ ระศาสนาเสอื่ มลงและอนั ตรธานไปในทสี่ ุด พระวินัยบัญญัติ 43 www.kalyanamitra.org

อกรณยี กจิ ท้ังสี่ประการนตี้ รงกับปาราชกิ สิกขาบท ในรายละเอยี ด พึงทราบตามนัยที่อธิบายไว้ในปาราชิก ๔ สกิ ขาบทน้ัน ยํ อุสฺสกุ ฺกา สงฆฺ รนตฺ ิ อลกขฺ กิ า พหุํ ธนํ สปิ ฺปวนโฺ ต อสปิ ปฺ า วา ลกขฺ กิ า ตานิ ภุ .ชเร ฯ ผไู้ มม่ ีบญุ ขวนขวายเกบ็ ออมทรพั ย์ใดไวเ้ ปน็ อันมาก ผ้มู ีบุญ จะมคี วามรูห้ รอื ไมม่ กี ต็ าม ยอ่ มได้กนิ ได้ใช้ทรพั ยเ์ หลา่ น้ัน ที่มา : สิริชาดก ข.ุ ชา. ๒๗/๔๕๑ 44 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ส่วนที่ ๓ สกิ ขาบท ๒๒๗ ข้อ สกิ ขาบท หมายถงึ ขอ้ ศลี , ขอ้ วนิ ยั คอื ศลี แตล่ ะขอ้ วนิ ยั แตล่ ะขอ้ ท่เี ป็นพระวนิ ยั บญั ญตั ิและท่ีเปน็ ข้อปฏิบัติ กลา่ วคือ ศลี ๒๒๗ ข้อของภกิ ษุ ก็ดี ศีล ๓๑๑ ข้อของภิกษุณีก็ดี ศีล ๑๐ ของสามเณรก็ดี ศีล ๕ ศีล ๘ ของอุบาสกอบุ าสิกากด็ ี จดั เป็นสิกขาบทท้ังส้นิ หรือพระวินัยบัญญัติท้ังที่เป็นอาทิพรหมจริยกาสิกขา มาในพระ ปาตโิ มกข์ ทงั้ ทเ่ี ปน็ อภสิ มาจารกิ าสกิ ขา มานอกพระปาตโิ มกข์ ก็เปน็ สกิ ขาบท ท้ังส้ิน ดงั นน้ั ค�ำว่า สิกขาบท ๒๒๗ ข้อ กบั ค�ำวา่ ศลี ๒๒๗ ข้อ จงึ มี ความหมายอยา่ งเดยี วกนั พระวินัยบัญญัติ 45 www.kalyanamitra.org

และในการใช้ค�ำเวลาพูดหรือเวลาเขียนท่ัวไป ไม่ว่าจะใช้ค�ำว่า สิกขาบทเป็นคำ� ข้นึ ต้น เชน่ สิกขาบท ๒๒๗ ขอ้ , สิกขาบท ข้อท่ี ๑ หรือจะ ใชเ้ ปน็ คำ� ลงทา้ ย เชน่ พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ศิ ลี ของพระไว้ ๒๒๗ สกิ ขาบท ก็เปน็ อนั ใชไ้ ด้และเข้าใจความหมายกันได้เปน็ อย่างดี สกิ ขาบท ๒๒๗ ข้อนน้ั แยกประเภทตามช่ืออาบัตปิ ระกอบด้วย - ปาราชิก ๔ - สังฆาทิเสส ๑๓ - นสิ สคั คิยปาจติ ตีย์ ๓๐ - ปาจิตตยี ์ ๙๒ - ปาฏิเทสนียะ ๔ - อธกิ รณสมถะ ๗ รวมเป็น ๑๕๐ สิกขาบท และเติมอนิยต ๒ สิกขาบท เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบทเขา้ ไป รวมแลว้ เป็น ๒๒๗ สิกขาบท ซงึ่ ได้กำ� หนดไวเ้ ปน็ พระ ปาตโิ มกข์ และพระสงฆไ์ ดป้ ระชมุ กนั สวดและฟงั กนั ทกุ กง่ึ เดอื น ซงึ่ เรยี กวา่ สวด พระปาติโมกข์ มาตราบเทา่ ทุกวันน้ี ตามความข้างต้น สิกขาบทหรืออาบัติที่เป็นอาทิพรหมจริยกาสิกขา มาในพระปาติโมกข์ มีจ�ำนวน ๑๕๐ สกิ ขาบทดว้ ยกัน แมใ้ นปฐมสิกขาสตู ร อังคตุ ตรนิกาย ติกนบิ าต ก็แสดงไวเ้ ชน่ นัน้ ดังขอ้ ความวา่ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้มา สู่อุเทศทุกกึ่งเดือน ซึ่งกุลบุตรท้ังหลายผู้ปรารถนา ประโยชนศ์ กึ ษากันอยู่ ดกู อ่ นภกิ ษุท้ังหลาย สิกขาทีเ่ ปน็ 46 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ท่รี วมแหง่ สกิ ขาบท ๑๕๐ นน้ั ไวท้ ัง้ หมดมี ๓ สกิ ขา ๓ คอื อะไรบา้ ง คอื อธสิ ลี สกิ ขา ๑ อธจิ ติ ตสกิ ขา ๑ อธปิ ญั ญา สิกขา ๑ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย สิกขาซ่ึงเป็นท่ีรวมแห่ง สิกขาบท ๑๕๐ นั้นไวท้ ั้งหมดมี ๓ นี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ีเป็นผู้ ทำ� ใหบ้ รบิ รู ณใ์ นศลี เปน็ ผทู้ ำ� พอประมาณในสมาธิ เปน็ ผู้ ท�ำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงละเมิดสิกขาบท เลก็ นอ้ ย (สกิ ขาบททน่ี อกจากปาราชกิ ) บา้ ง ยอ่ มออกจาก อาบตั ิบ้าง ข้อนัน้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะว่าไม่มีใครกล่าว ความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ไว้ แต่ว่า สกิ ขาบทเหลา่ ใดเปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรยส์ มควรแก่ พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืนและเป็นผู้มีศีลม่ันคง ในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทาน ศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทง้ั หลาย เธอย่อมเป็นโสดาบนั ....” ตามขอ้ ความพระบาลขี า้ งตน้ สกิ ขาบททใ่ี นพระปาตโิ มกขม์ ี ๑๕๐ ขอ้ แต่มาเตมิ อนิยต ๒ และเสขิยวัตร ๗๕ อนั เปน็ อภิสมาจารกิ าสิกขา มานอก พระปาติโมกข์เข้าไปรวมด้วย โดยอนุโลมว่าเป็นพระวินัยบัญญัติเช่นเดียวกัน กบั สกิ ขาบททม่ี าในพระปาตโิ มกข์ ๑๕๐ ข้อนน้ั จงึ เป็นสกิ ขาบท ๒๒๗ ขอ้ และพระสงฆไ์ ด้สวดและฟังกันมาจนถึงปจั จบุ นั ในขอ้ นี้ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ไดท้ รง นิพนธ์แสดงทัศนะไวใ้ นหนังสอื วินัยมุข เล่ม ๑ ว่า พระวินัยบัญญัติ 47 www.kalyanamitra.org

“ตามนัยน้ี สันนิษฐานเหน็ ว่า ชะรอยเดมิ จะมีเพยี ง ๑๕๐  ถ้วน  ตามท่ีกล่าวไว้ในพระสูตร  ก่อนแต่ท�ำ สังคายนาครั้งใดคร้ังหนึ่ง ท่ีแจกอรรถแห่งสิกขาบท ซง่ึ เรยี กวา่ บทภาชนะ และสงเคราะหเ์ ขา้ เปน็ สว่ นอนั หนงึ่ แหง่ คมั ภรี ว์ ภิ งั คน์ นั้ หรอื ในครง้ั นน้ั เองจะไดเ้ ตมิ อนยิ ต ๒ และเสขิยวัตร ๗๕ เขา้ ด้วย ความขอ้ นก้ี ็น่าจะเหน็ จริง ตามนัน้ ” ส�ำหรับสิกขาบทเล็กน้อยที่เปน็ บาลีมุตตกะ ทปี่ รบั โทษเบาเปน็ ทกุ กฏ ส่วนใหญเ่ ป็น อภิสมาจาร คอื เป็นธรรมเนยี มของภกิ ษุ เป็นข้อปฏิบตั เิ กยี่ วกับ กริ ยิ ามารยาทเพอื่ ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยงดงามของภกิ ษแุ ละเพอ่ื ปอ้ งกนั โลกวัชชะที่จะเกิดขนึ้ อันมานอกพระปาตโิ มกขน์ ้นั มจี �ำนวนมากขอ้ นบั ไม่ได้ แต่ไดจ้ ารึกไวใ้ นพระวนิ ยั ปฎิ กแล้วทั้งสิน้ สกิ ขาบททง้ั ทมี่ าในพระปาตโิ มกขแ์ ละทมี่ านอกพระปาตโิ มกข์ ๒๒๗ ขอ้ และทเี่ ปน็ บาลมี ตุ ตกะทง้ั หมดนนั้ เปน็ ขอ้ ศลี ขอ้ วนิ ยั ทภ่ี กิ ษจุ ะตอ้ งเรยี นรแู้ ละ ตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม เพราะเปน็ ขอ้ บญั ญตั ทิ พ่ี ระพทุ ธองคท์ รงบญั ญตั ไิ วด้ ว้ ยเหตผุ ล ตามทแี่ สดงไวแ้ ล้วข้างตน้ ตอ่ จากนไ้ี ป จกั ไดพ้ รรณนาความในสกิ ขาบท ๒๒๗ ขอ้ อนั เปน็ พระ วินัยบญั ญตั ิ ในการพรรณนาน้ัน จักยกข้ึนแสดงไปตามลำ� ดับชื่ออาบตั ิ เริ่มแต่ ปาราชิกเป็นต้นไป โดยจกั แสดงคำ� แปลพระพุทธบัญญตั ใิ นพระปาตโิ มกข์ เนื้อ ความท่ีท่านย่อเพ่ือก�ำหนดท่องจ�ำกันไว้ในหนังสือนวโกวาท อธิบายขยาย ความข้อความท่ีส�ำคัญและจ�ำเป็นต้องรู้เพ่ือประเทืองปัญญา เจตนารมณ์คือ พระพุทธประสงค์ท่ีทรงบัญญัติแต่ละสิกขาบทไว้ซึ่งพอคาดได้ และอนาปัตติ- วารคือข้อยกเวน้ ท่ภี กิ ษุไมต่ ้องอาบตั ิตามสกิ ขาบทน้ัน 48 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ปาราชกิ ๔ ปาราชิก เป็นชอ่ื ของอาบัติ เรยี กวา่ อาบตั ิปาราชกิ มคี �ำแปลทที่ ่าน แปลกันไว้ ๓ นัย คอื - ถ้าเปน็ ชือ่ ของอาบัติ แปลว่า ยังผตู้ อ้ งให้พ่าย - ถา้ เป็นชื่อของบคุ คลผู้ตอ้ ง แปลวา่ ผู้พา่ ย - ถ้าเป็นชอ่ื ของสกิ ขาบท แปลว่า ปรับอาบตั ปิ าราชิก คำ� วา่ พา่ ย น้ันหมายถึง พา่ ยจากความเปน็ ภกิ ษุ พา่ ยจากหมภู่ ิกษุ คอื ขาดจากความเปน็ ภกิ ษุไปโดยปรยิ าย ไม่มีสิทธิอยูร่ ่วม ไม่มีสิทธิเข้ารว่ มท�ำ สงั ฆกรรมกบั ภกิ ษทุ ั้งหลายอกี ปาราชกิ จดั เปน็ ครกุ าบตั ิ คอื เปน็ อาบตั ทิ มี่ โี ทษหนกั ทส่ี ดุ เหมอื นโทษ ประหารชีวิตทท่ี ำ� ใหพ้ ้นจากความเปน็ คน หรือโทษเนรเทศที่ท�ำให้พน้ จากสิทธิ ในการเปน็ อยใู่ นทนี่ นั้ และเปน็ อกรณยี กจิ ตามความในอนศุ าสน์ ทแ่ี สดงไวแ้ ลว้ ปาราชิกมี ๔ สกิ ขาบท คอื ปาราชิก สิกขาบทที่ ๑ คำ� แปลพระบาลีที่เป็นพุทธบญั ญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพของ ภิกษุท้ังหลาย ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ท�ำความเป็นผู้ทุรพล ให้แจ้ง เสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้กับสัตว์ดิรัจฉาน เพศเมยี เป็นปาราชิก หาสงั วาสมไิ ด้” พระวินัยบัญญัติ 49 www.kalyanamitra.org

เน้อื ความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภิกษเุ สพเมถุน เป็นปาราชิก” อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า สกิ ขา ในค�ำวา่ ถึงพร้อมดว้ ยสิกขาและสาชีพ น้นั หมายถึง ขอ้ ท่จี ะตอ้ งศกึ ษา, ข้อปฏบิ ตั สิ ำ� หรับฝึกอบรม มี ๓ อยา่ ง คอื - อธสิ ีลสกิ ขา การศึกษาในอธิศีล คอื ข้อปฏบิ ัตสิ �ำหรบั ฝึกอบรมใน ทางความประพฤตชิ นั้ สงู ในทนี่ ไ้ี ดแ้ กป่ าตโิ มกขสงั วรศลี ศลี คอื ความสำ� รวมใน พระปาติโมกข์ เวน้ ข้อท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงหา้ ม ทำ� ตามขอ้ ท่ีทรงอนญุ าต จดั เป็น ศลี ทย่ี ิง่ กวา่ ศลี ทว่ั ไป - อธิจิตตสิกขา การศึกษาในอธิจิต คือข้อปฏิบัติส�ำหรับฝึกอบรม จิตเพอ่ื ใหเ้ กดิ สมาธชิ ้นั สงู จนถงึ ขั้นได้ฌาน อันเปน็ บาทฐานให้เกิดวิปสั สนา - อธิปญั ญาสิกขา การศกึ ษาในอธปิ ญั ญา คอื ข้อปฏิบตั สิ �ำหรบั ฝึก อบรมปญั ญา เพอื่ ใหเ้ กดิ ความรแู้ จง้ อยา่ งสงู มองเหน็ สภาพของสงั ขารรา่ งกาย ตามเปน็ จริง ได้แก่วิปสั สนาญาณ คอื ปญั ญาทีก่ �ำหนดรู้อาการของไตรลักษณ์ ค�ำว่า สิกขา ในค�ำว่า ถึงพร้อมด้วยสิกขา นี้ หมายเอาเฉพาะ อธสิ ลี สกิ ขา ค�ำว่า สาชีพ หมายถึง ข้อที่ทรงบัญญัติไว้เป็นแบบแผนแห่งความ ประพฤติที่ท�ำให้มีชีวิตร่วมเป็นวิถีเดียวกัน ซึ่งได้แก่สิกขาบทท้ังหลายท่ีทรง บัญญัติไว้อันท�ำให้ภิกษุทั้งหลายผู้มาจากต่างที่ต่างสกุลมีความเป็นอยู่เสมอ เปน็ อนั หน่ึงอนั เดียวกนั 50 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ค�ำว่า ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ท�ำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง คือ ภิกษุ เป็นผกู้ ระสัน ไม่ยนิ ดี ตอ้ งการออกไปจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบ่อื หน่าย เกลยี ดชงั ความเปน็ ภกิ ษุ ปรารถนาจะเปน็ คฤหสั ถ์ จงึ บอกคนื พระพทุ ธเจา้ บอก คืนพระธรรม บอกคนื พระสงฆ์ บอกคืนสิกขา บอกคนื ปาตโิ มกข์ บอกคนื ภิกษุ อื่นมีอปุ ชั ฌายอ์ าจารย์ เปน็ ต้น โดยใช้คำ� บอกคืนเปน็ ปัจจบุ นั วา่ ขา้ พเจา้ บอก คนื พระพทุ ธเจ้า หรือ ขอท่านท้ังหลายจงจ�ำข้าพเจ้าไวว้ า่ เป็นคฤหสั ถ์ เปน็ ตน้ อย่างนช้ี ือ่ วา่ บอกคืนสิกขา และท�ำความเป็นผ้ทู ุรพลใหแ้ จ้ง แต่ภิกษุท่ียังมิได้บอกคืนในลักษณะน้ัน หรือบอกคืนโดยใช้ค�ำไม่เป็น ปัจจุบนั เชน่ ใชว้ ่า ไฉนหนอ ข้าพเจา้ พึงเป็นคฤหสั ถ์ หรือ ก็ถ้าว่า ขา้ พเจ้าพงึ บอกคืนพระพุทธเจ้า เช่นน้ีช่ือว่า มีการท�ำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง แต่สิกขา ไมเ่ ปน็ อันบอกคนื ค�ำวา่ เสพ หมายถงึ การสอดอวัยวะเครอ่ื งหมายเพศของตนเข้าไป ทางอวยั วะเครอ่ื งหมายเพศ หรือสอดองคก์ ำ� เนดิ เข้าไปทางองค์ก�ำเนิด โดยที่ สุดเขา้ ไปแม้เพียงช่วั เมล็ดงา ค�ำว่า เมถนุ ธรรม ทา่ นอธบิ ายไวว้ า่ หมายถงึ ธรรมของอสตั บุรุษ อัน เปน็ เร่อื งของชาวบ้าน เป็นธรรมดาของคนชน้ั ตำ�่ เปน็ เรอ่ื งช่วั หยาบ มีนำ�้ เป็น ที่สดุ ท�ำกนั ในที่ลบั ตาเฉพาะคนสองคน ปฏิบัติกันเปน็ คๆู่ การเสพเมถุนธรรมน้ีมิใช่เฉพาะกับมนุษย์เท่าน้ัน แม้เสพกับสัตว์ ดริ จั ฉานเพศเมีย กเ็ ปน็ ปาราชกิ เหมือนกนั ค�ำว่า เป็นปาราชิก หมายถึง เป็นบุคคลผู้แพ้ โดยเคล่ือน คลาด ตกหล่น หา่ งไกลจากพระสทั ธรรม พระวินัยบัญญัติ 51 www.kalyanamitra.org

ค�ำนี้แม้ในปาราชิกสิกขาบทท่ีเหลือก็มีความหมายเหมือนกันกับ ขา้ งตน้ น้ี ค�ำว่า สังวาส หมายถึง กรรมที่พึงท�ำร่วมกัน คือกิจกรรมเครื่อง อยู่ร่วมกันของสงฆ์ ได้แก่ท�ำสังฆกรรมร่วมกัน สวดปาติโมกข์ร่วมกัน รักษา สิกขาบทเสมอกัน ค�ำว่า หาสังวาสมิได้ ก็คือเป็นผู้ไม่อาจท�ำอุโบสถสังฆกรรมเป็นต้น ร่วมกับภกิ ษอุ นื่ ขาดสิทธิอันชอบธรรมทจี่ ะไดร้ ับประโยชน์แห่งความเปน็ ภกิ ษุ เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อน้ี สิกขาบทน้ีทรงบัญญญัติไว้ เพ่ือให้ภิกษุด�ำรงตนอย่างเป็นอิสระ ไม่ ยึดตดิ กับโลกียสุขแบบชาวโลก ซ่งึ ตอ้ งยึดติดจนปลอ่ ยวางไมไ่ ด้ ท้ิงไม่ได้ ตอ้ ง เสพเสวยกามโลกียร์ ่�ำไป มที กุ ข์รำ่� ไป หากปลอ่ ยได้วางได้ กจ็ ะเปน็ อิสระ เบา สบาย มีสุขภาพกายและใจดีอยู่ตลอดเวลา และการที่ภิกษุสามารถเสพเมถุน ได้ ก็จะท�ำให้เกิดเป็นครอบครัวข้ึน ซึ่งต้องเป็นภาระอันหนักส�ำหรับหัวหน้า ครอบครวั ตอ้ งดแู ลทง้ั ภรรยาและลกู ซง่ึ กเ็ ปน็ การยากทจี่ ะทำ� ใหด้ ไี ด้ เพราะภกิ ษุ เปน็ นกั บวช ไม่อาจประกอบอาชีพอืน่ ใดได้ นอกจากตอ้ งอาศัยคนอนื่ เลย้ี งชีพ เลยี้ งชีวติ อย่ไู ด้ไปวันๆ เทา่ นั้น ด้วยเหตุน้ีจึงทรงบัญญัติสิกขาบทข้อน้ีเข้าไว้ ก็ด้วยมีพระพุทธ ประสงค์ให้ภิกษุงดเว้นจากการเสพเมถุนโดยเด็ดขาด เพื่อมิให้มีความวิตก กังวล มัวเมาลุ่มหลง ด้ินรนแสวงหากามสุข หรือต้องรับภาระเล้ียงดูคนอื่น จนไม่มเี วลาบำ� เพ็ญเพียรประพฤตพิ รหมจรรย์ เพราะการเสพเมถุนนั้นเปน็ ไป เพื่อมโี ทษ คอื 52 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- เป็นข้าศึกแกก่ ารประพฤติพรหมจรรย์ - เป็นเหตใุ ห้วุน่ วาย มีภาระมาก เหมือนคนครองเรอื น - เปน็ ไปเพื่อสะสมกิเลสและกองทุกข์ - เป็นเหตุใหล้ ่มุ หลงมวั เมา ไม่รูจ้ ักความจรงิ อนาปตั ติวาร อนาปัตติวาร หมายถึงตอนว่าด้วยข้อยกเว้นไม่ต้องอาบัติในเพราะ การละเมิดสิกขาบท คือในสิกขาบทแต่ละสิกขาบทท่านได้แสดงลักษณะภิกษุ ท่ีแม้จะล่วงละเมิดคือไปท�ำอย่างนั้นๆ แต่ก็ได้รับยกเว้น ไม่ต้องอาบัติตาม สิกขาบทนนั้ เพราะสิกขาบทไดท้ รงบัญญัตนิ ้ันไวท้ หี ลังการท�ำเชน่ น้นั การท�ำ เชน่ นัน้ กอ่ นจึงไมถ่ ือว่าเป็นความผดิ คือไม่ตอ้ งอาบตั ิในเพราะขอ้ นัน้ จงึ เรยี ก ว่า อนาบตั ิ ในสกิ ขาบทน้ี ทา่ นแสดงภิกษผุ ูไ้ ด้รับยกเว้นไม่ต้องอาบตั ไิ ว้ คือ ๑. ภิกษุผู้ไม่รู้ตัว เช่นหลับสนิทจนไม่รู้สึกตัว เมื่อถูกนั่งทับหรือ ละเมอแลว้ ทำ� ลงไปโดยไมร่ ้สู กึ ตัว ๒. ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ คอื ภกิ ษบุ า้ ผมู้ คี วามประพฤตหิ รอื กริ ยิ าผดิ ปกติ เพราะไมม่ สี ตสิ ัมปชญั ญะ ๓. ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน คือภิกษุผู้มีจิตไม่สงบ พล่านไป ซัดส่ายไป ควบคมุ ตวั เองไมไ่ ด้ ๔. ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา คือภิกษุผู้เร่าร้อนใจทนนิ่ง เป็นปกตอิ ยูไ่ ม่ได้ พระวินัยบัญญัติ 53 www.kalyanamitra.org

๕. ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ คือภิกษุท่ีกระท�ำกรรมเป็นครั้งแรก เป็น เหตใุ ห้มีการบัญญัติสกิ ขาบทข้อน้ขี ้ึน จัดเป็นตน้ บัญญตั ิ เรียกวา่ อาทิกัมมิกะ ในสิกขาบทน้ีคือ พระสุทินน์ ซึ่งเสพเมถุนธรรมกับอดีตภรรยาตามค�ำขอร้อง ของโยมมารดา เพ่อื ให้มบี ตุ รไว้สืบตระกูล ในสิกขาบทแต่ละข้อ ท่านจะแสดงอนาปัตติวารไว้ ส�ำหรับเป็นหลัก วนิ จิ ฉยั ตดั สนิ วา่ ตอ้ งอาบตั หิ รอื ไมใ่ นเมอื่ ภกิ ษไุ ปลว่ งละเมดิ สกิ ขาบทหรอื ไปทำ� สง่ิ ทชี่ าวบา้ นหรอื ภกิ ษดุ ว้ ยกนั เหน็ แลว้ ตำ� หนติ ติ งิ โพนทะนาวา่ ไมเ่ หมาะไมค่ วร เขา้ โดยเฉพาะภกิ ษผุ เู้ ปน็ อาทกิ มั มกิ ะ ผเู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ จะมใี นทกุ สกิ ขาบท และ ได้รบั ยกเวน้ ไมต่ อ้ งอาบตั ิที่ทรงบัญญตั ไิ ว้หลงั จากนนั้ ทุกกรณใี นทกุ สิกขาบท วนิ ตี วตั ถุ วินีตวัตถุ คือเรื่องท่ีพระพุทธองค์ทรงวินิจฉัยแล้ว หมายถึงเม่ือมี การกระทำ� อนั สอ่ วา่ จะเปน็ การลว่ งละเมดิ ขอ้ บญั ญตั เิ กดิ ขน้ึ โดยมภี กิ ษไุ ปทำ� ขน้ึ และเร่อื งน้ันถกู นำ� ขน้ึ กราบทลู ใหท้ รงทราบ ทรงรบั ส่ังตรสั ถามโดยวิธีเดยี วกบั วิธีการบัญญัติสิกขาบทแต่ละคร้ัง แล้วทรงวินิจฉัยว่าเป็นอาบัติหรือไม่เป็น อาบตั ิ วีนีตวัตถุเช่นนี้ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกในเกือบทุกสิกขาบท ซึ่ง สามารถน�ำมาเป็นตัวอย่างเทียบเคียงตัดสินในการปรับอาบัติของพระวินัยธร ไดเ้ ปน็ อย่างดี และได้ปฏิบตั สิ บื มาจนทกุ วนั น้ี ในสิกขาบทนี้มีวินีตวัตถุจ�ำนวนมาก และพระพุทธเจ้าทรงวินิจฉัย ตดั สินไว้ด้วยพระองคเ์ อง เชน่ 54 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหน่ึงเสพเมถุนกับลิงเพศเมีย ทรงตัดสินว่าต้องอาบัติ ปาราชิกแล้ว - ภิกษรุ ูปหนึ่งปลอมตวั เปน็ คฤหสั ถ์ไปเสพเมถนุ ทรงตดั สนิ วา่ ต้อง อาบตั ปิ าราชิกแลว้ - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ สอดนวิ้ มอื เขา้ ไปในองคก์ ำ� เนดิ ของเดก็ หญงิ จนเธอสนิ้ ชวี ติ ทรงตดั สนิ วา่ ไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ แตต่ อ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส - ภิกษุรูปหน่ึงมีหลังอ่อน ก้มตัวอมองค์ก�ำเนิดของตน ทรงตัดสิน ว่าตอ้ งอาบัติปาราชิกแล้ว - ภิกษรุ ูปหนง่ึ มอี งค์กำ� เนดิ ยาว ยกองค์ก�ำเนิดข้ึนอม ทรงตดั สินวา่ ต้องอาบตั ปิ าราชิกแล้ว - ภิกษุรูปหน่ึงสอดองค์ก�ำเนิดเข้าไปในองค์ก�ำเนิดของศพ ทรง ตดั สินวา่ ต้องอาบัตปิ าราชกิ แลว้ - ภิกษุรูปหน่ึงใช้องค์ก�ำเนิดเสียดสีกับเครื่องหมายเพศแห่งรูปปั้น ทรงตดั สนิ ว่าไม่ตอ้ งอาบัติปาราชกิ แต่ตอ้ งอาบตั ิทุกกฎ - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ใชอ้ งคก์ ำ� เนดิ เสยี ดสกี บั เครอื่ งหมายเพศแหง่ ตกุ๊ ตาไม้ ทรงตดั สนิ วา่ ไมต่ อ้ งอาบตั ิปาราชิก แต่ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฎ - ภิกษุรูปหนึ่งถูกผู้หญิงชวนให้เสพเมถุนกับตน ภิกษุไม่ยอม นาง บอกว่าจะพยายามเอง ขอให้อยู่เฉยๆ จึงยอมให้นางเสพเมถุน ทรงตัดสินวา่ ต้องอาบตั ปิ าราชิกแล้ว - ภิกษรุ ปู หนึ่งเสพเมถนุ กับศพซึง่ ส่วนใหญย่ งั สมบูรณอ์ ยู่ ยงั ไม่ถูก สตั วก์ ิน ทรงตัดสินวา่ ต้องอาบตั ิปาราชิกแลว้ พระวินัยบัญญัติ 55 www.kalyanamitra.org

- ภกิ ษุรปู หนง่ึ เสพเมถุนกบั ศพซ่ึงส่วนใหญ่ถูกสัตว์กดั กนิ แล้ว ทรง ตดั สนิ วา่ ไม่ตอ้ งอาบัติปาราชกิ แต่ตอ้ งอาบัตถิ ุลลจั จยั - ภิกษุรูปหนึ่งเก็บกระดูกของสตรีท่ีตนเคยรักซึ่งถูกท้ิงไว้ในป่าช้า มาประกอบกันเข้าจนเป็นรูปร่างแล้วสอดองค์ก�ำเนิดไปตรงช่อง เครอ่ื งหมายเพศสตรี ทรงตัดสนิ ว่าไมต่ ้องอาบตั ิปาราชกิ แต่ตอ้ ง อาบตั ทิ กุ กฎ - ภิกษุรูปหน่ึงเสพเมถุนกับนาคเพศเมีย ทรงตัดสินว่าต้องอาบัติ ปาราชกิ แล้ว - ภิกษุรูปหน่ึงเสพเมถุนกับบัณเฑาะก์ (กะเทย) ทรงตัดสินว่าต้อง อาบตั ปิ าราชิกแล้ว - ภิกษุรูปหน่ึงจ�ำวัดอยู่ในป่า สตรีคนหน่ึงเห็นเข้าจึงเปิดผ้าแล้ว น่ังทับ ภิกษุรุ้สึกตัวขึ้น ยินดีเม่ือองค์ก�ำเนิดของตนได้สอดเข้าไป ในองค์ของนาง ทรงตดั สินว่าตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ แลว้ - ภิกษุรปู หน่ึงนอนพิงต้นไมอ้ ยใู่ นปา่ สตรีคนหนงึ่ เหน็ เข้าจึงเปิดผา้ แล้วเข้าไปน่ังทับ ส�ำเร็จกิจของตนแล้วลุกขึ้นมายืนหัวเราะอยู่ ภิกษุต่ืนข้ึนเห็นเข้าจึงถามนางว่าท�ำอย่างนี้ใช่ไหม นางยอมรับ ทรงตัดสินว่าเม่ือไมร่ ูต้ ัวก็ไมต่ ้องอาบตั ิ - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ นอนพกั อยู่ สตรคี นหนงึ่ เขา้ มานง่ั ทบั องคก์ ำ� เนดิ ภกิ ษุ รู้สึกตัวขึ้นจึงถีบนางให้พ้นออกไปทรงถามภิกษุว่ายินดีหรือไม่ ทลู วา่ มไิ ดย้ นิ ดี จงึ ทรงตัดสนิ วา่ เมื่อไมย่ ินดีกต็ ้องไม่อาบตั อิ ะไร 56 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ฝนั วา่ ไดเ้ สพเมถนุ กบั อดตี ภรรยา จงึ เลา่ ใหพ้ ระอบุ าลี ฟงั พระอุบาลีติดสินวา่ อาบตั ไิ ม่มี เพราะความฝนั - ภิกษุรูปหนึ่งถูกสตรีนางหน่ึงซึ่งมีศรัทธาอ่อนแนะน�ำให้เสียดสี องค์ก�ำเนิดในระหว่างขาอ่อนของนางทรงตัดสินว่าไม่ต้องอาบัติ ปาราชกิ แตต่ อ้ งอาบัตสิ ังฆาทิเสส - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ถกู สตรนี างหนง่ึ ซงึ่ มศี รทั ธาออ่ นชกั ชวนใหเ้ สยี ดสอี งค์ กำ� เนดิ ทสี่ ะดอื ของนาง ทรงตดั สนิ วา่ ไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ แตต่ อ้ ง อาบตั ิสงั ฆาทิเสส - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ถกู สตรชี กั ชวนใหเ้ สยี ดสอี งคก์ ำ� เนดิ ทง่ี า่ มมอื ของนาง ทรงตัดสินว่าไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชิก แต่ตอ้ งอาบัตสิ ังฆาทเิ สส - ภิกษุรูปหนึ่งถูกสตรีชักชวน ยินยอมให้นางใช้มือจับองค์ก�ำเนิด ท�ำให้น้�ำอสุจิเคลื่อนออกมา ทรงตัดสินว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัตสิ งั ฆาทเิ สส - ภิกษุรูปหนึ่งถูกสตรีชักชวน จึงสอดองค์ก�ำเนิดเข้าไปทางช่องหู ทรงตดั สนิ ว่าไม่ต้องอาบัติปาราชกิ แต่ตอ้ งอาบตั ิสงั ฆาทเิ สส - ภิกษุรูปหน่ึงเป็นผู้เฒ่า กลับไปเย่ียมบ้าน พบอดีตภรรยา นาง บังคบั ใหส้ ึกแล้วเขา้ ไปยดึ ตวั ภกิ ษนุ นั้ ลม้ หงายหลงั ลง นางจึงข้ึน คร่อมน่ังทับองค์ก�ำเนิดของภิกษุ ทรงถามว่ายินดีหรือไม่ ภิกษุ ทลู ตอบวา่ ไมย่ นิ ดจี งึ ทรงตดั สนิ วา่ เมอื่ ไมย่ นิ ดี กต็ อ้ งไมต่ อ้ งอาบตั ิ พระวินัยบัญญัติ 57 www.kalyanamitra.org

- ภกิ ษุรปู หน่งึ อย่ใู นปา่ ถ่ายปสั สาวะอยู่ ลูกเน้อื ตวั หนึ่งเข้ามาแลว้ อมองค์ก�ำเนิดของเธอด่ืมน้�ำปัสสาวะ ภิกษุนั้นยินดี ทรงตัดสินว่าต้องอาบัติ ปาราชิกแลว้ อาจแสดงโดยสรุปไดว้ า่ ๑. เม่ือภิกษุเสพเมถุนธรรม โดยให้องค์ก�ำเนิดของตนเข้าไปทาง ทวารหนกั ทวารเบา หรอื ทางปากของมนษุ ย์ (ชาย หญงิ กะเทย) ของอมนษุ ย์ คือยกั ษ์ เปรต อสรุ กาย ของสตั วด์ ริ ัจฉานเพศเมยี หรอื เปน็ พันทางที่ปรากฏ เพศชัดเจนวา่ เปน็ เพศผหู้ รือเพศเมีย ตอ้ งอาบตั ิปาราชิก ๒. มนษุ ย์ อมนษุ ย์ หรอื สตั วด์ ิรัจฉานทเี่ สยี ชีวิตแล้ว แต่ซากน้นั ยัง บรบิ รู ณห์ รอื แหวง่ วน่ิ ไปบา้ ง แตย่ งั มอี วยั วะทจ่ี ะใหส้ ำ� เรจ็ กจิ ในการเสพอยู่ เมอื่ ไปเสพเข้า ต้องอาบตั ปิ าราชิก ๓. ภิกษุถูกข่มขืน แต่ยินดีในการสัมผัส ในขณะที่องค์ก�ำเนิดก�ำลัง เข้าไปกด็ ี ถึงท่ีแล้วก็ดี หยดุ อยู่กด็ ี ถอนออกกด็ ี ต้องอาบัติปาราชกิ ๔. ภิกษุยอมให้ภิกษุอ่ืนเสพเมถุนในทวารหนักของตน ต้องอาบัติ ปาราชิก ๕. ภิกษุผู้ก้มลงอมองค์ก�ำเนิดของตนก็ดี ผู้สอดองค์ก�ำเนิดท่ียาว ของตนเข้าไปทางทวารหนักของตนก็ดี ตอ้ งอาบัตปิ าราชิก ๖ ภิกษุผู้สั่งให้ผู้อ่ืนพยายามท�ำเช่นน้ันแก่ตน ก็ต้องอาบัติปาราชิก เหมือนกัน 58 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ปาราชิก สกิ ขาบทที่ ๒ คำ� แปลพระบาลที ่เี ป็นพทุ ธบญั ญัติ “อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ด้วย สว่ นแหง่ ความเปน็ ขโมยจากบา้ นกด็ ี จากปา่ กด็ ี พระราชา ท้ังหลายจับโจรได้แล้วประหารเสียบ้าง จองจ�ำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็น คนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมยในเพราะถือเอา ทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์ อันเจ้าของมิได้ให้เห็นปานน้ัน แม้ภิกษุน้ีก็เป็นปาราชิก หาสงั วาสมไิ ด้” เน้ือความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภกิ ษถุ อื เอาของทเ่ี จา้ ของเขาไมไ่ ดใ้ ห้ ไดร้ าคา ๕ มาสก ต้องปาราชิก” อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำวา่ บ้าน หมายถงึ ภูมิประเทศทเี่ ปน็ หมู่บ้าน มีบา้ นเรอื นอยู่อาศัย กันหลงั เดยี วกต็ าม หลายหลังก็ตาม มคี นอยกู่ ต็ าม ไมม่ ีคนอย่กู ต็ าม มรี ว้ั ล้อม หรือไม่มีรวั้ ลอ้ มกต็ าม โดยที่สุดแม้หมู่เกวียนท่พี กั อยเู่ กนิ ๔ เดอื น จดั วา่ เปน็ บ้านในทีน่ ไ้ี ด้ทงั้ สน้ิ พระวินัยบัญญัติ 59 www.kalyanamitra.org

ค�ำว่า อุปจารบ้าน หมายถึงระยะห่างจากบ้านท่ีชายผู้มีก�ำลัง ปานกลางยืนอยู่ที่เสาเขื่อนที่ล้อมร้ัวไว้ของบ้านขว้างก้อนดินไปตก หรือระยะ ห่างจากเรือนของหมูบ่ า้ นทีม่ ไิ ด้ล้อมร้ัวไว้ ขว้างกอ้ นดินไปตก ค�ำว่า ป่า หมายถึงสถานที่ท่ีเว้นหมู่บ้านและอุปจารหมู่บ้านไปแล้ว นอกน้ันจดั เป็นปา่ ทัง้ ส้ิน ค�ำว่า ทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ หมายถึงทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ไมไ่ ด้เสียสละ ไม่ได้ละวาง ยงั รกั ษา ยงั ปกครองอยู่ ยังถอื เปน็ กรรมสทิ ธิอ์ ยู่ว่า เป็นของเรา ยังมีผ้อู น่ื หวงแหน ค�ำว่า ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย หมายถึงมีจิตคิดขโมย มีจิต คิดลกั ค�ำว่า ถือเอา หมายถึงยึดเอา เอาไป ลัก เคลื่อนไหวอิริยาบถ ให้ เคล่อื นจากท่ี ไมล่ ่วงเลยเขตหมาย ค�ำว่า เห็นปานใด หมายถึงทรัพย์มีราคาบาทหน่ึงก็ดี ควรค่าบาท หน่ึงกด็ ี เกินกวา่ บาทหนึง่ กด็ ี คำ� ว่า โจร หมายถงึ ผทู้ ถี่ ือเอาส่งิ ของอนั เขามิได้ให้ ไดร้ าคา ๕ มาสก หรอื บาทหนึ่งกด็ ี เกนิ กว่า ๕ มาสกก็ดี ดว้ ยส่วนแหง่ ความเป็นขโมย คำ� วา่ เปน็ ปาราชกิ หาสงั วาสมไิ ด้ มขี อ้ ความดงั กลา่ วแลว้ ในปาราชกิ สิกขาบทท่ี ๑ 60 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ประเดน็ ส�ำคญั ในสิกขาบทนี้ ในสิกขาบทน้ีมีประเด็นสำ� คัญอยู่ที่ทรัพย์ ราคาของทรัพย์ อาการ ทขี่ โมย จิตของเจ้าของทรัพย์ ทรัพย์ ในสิกขาบทนี้ใช้หมายถึงทรัพย์สมบัติอันมีค่าทุกชนิด ไม่ว่า จะเป็นทรัพย์ท่เี ป็นแผ่นดนิ ท่ีอยู่ในดิน ที่อยู่บนบก ลอยอยู่บนอากาศ หรอื อยู่ ณ ที่ใดก็ตาม หรอื เป็นธรรมชาติ เชน่ นำ้� ปา่ ไม้ เป็นสตั วช์ นิดตา่ งๆ จัดว่าเปน็ ทรพั ยท์ ้ังส้นิ รวมความแล้วทรพั ยท์ เี่ ก่ยี วกบั สกิ ขาบทนี้ มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คอื (๑)  สงั หารมิ ทรพั ย์ คอื ทรพั ยอ์ นั เคลอื่ นทไ่ี ด้ ทง้ั ทเ่ี ปน็ สวญิ ญาณก- ทรพั ย์ คอื ทรพั ยท์ มี่ ชี วี ติ เชน่ ชา้ ง ววั ควาย เปด็ ไก่ สนุ ขั และทเ่ี ปน็ อวญิ ญาณก- ทรัพย์ คอื ทรัพย์ท่ีไม่มชี วี ติ เช่น เงนิ ทอง เครอื่ งประดับ เส้ือผ้า (๒)  อสังหาริมทรพั ย์ คอื ทรัพย์ที่เคลอ่ื นทไี่ ม่ได้ อนั อยู่กับท่ี ได้แก่ ทด่ี นิ โดยออ้ มหมายรวมถงึ ทรพั ยส์ นิ ทตี่ ดิ อยกู่ บั ทด่ี นิ นน้ั เชน่ อาคารบา้ นเรอื น ตน้ ไม้ เข้าด้วย ราคาของทรพั ย์ ท่านก�ำหนดราคาของทรัพยไ์ ว้ว่า ต้ังแต่ ๕ มาสก ข้ึนไปจึงเป็นปาราชิก ๕ มาสกน้ันมีค่าเท่ากับ ๑ บาท สมัยก่อนถือว่าเป็น อัตราค่อนข้างสูง แต่ปัจจุบันถือว่าเล็กน้อย แต่ก็มิได้ปรับให้สูงข้ึนตามอัตรา แลกเปลย่ี นปัจจุบัน ยงั คงใชอ้ ัตราเดิมคือ ๕ มาสกเท่ากับ ๑ บาทเหมือนเดมิ ในกรณีที่เป็นของเก่าที่เขาใช้แล้ว ราคาย่อมตกไป ถ้าราคาตกไป ต่�ำกว่า ๕ มาสก กไ็ มเ่ ป็นปาราชกิ และในกรณีของเลก็ น้อยตา่ งชนิดกนั เช่น เกลือ น�้ำตาล ข้าวสาร ภิกษุไปขโมยมาอย่างละหน่อย แต่ละอยา่ งราคาไม่ถึง พระวินัยบัญญัติ 61 www.kalyanamitra.org

๕ มาสก ถ้าไปท�ำโจรกรรมมาในคราวเดียว ให้เอาราคามารวมกันได้ ถ้า รวมกนั แล้วเกิน ๕ มาสก ก็เปน็ ปาราชกิ อาการท่ีขโมย นั้นมีรายละเอียดมาก โดยเฉพาะอาการท่ีเรียกว่า ขโมย ท่านแสดงรายละเอียดไว้ คือ (๑)  ลกั ได้แก่ การมไี ถยจติ คดิ เอาไป ยกหรอื ย้ายท�ำใหเ้ คลอ่ื นจาก ฐาน พอทรัพย์พ้นจากทตี่ ั้ง เปน็ ปาราชิก (๒)  ชงิ หรอื วงิ่ ราว ไดแ้ ก่ การชิงเอาทรพั ย์ทเี่ ขาถอื พกพา หรือ ประดับติดตัวอยู่ พอทรัพย์พ้นจากอวัยวะอันเป็นฐาน เช่น จากมือ จากคอ จากกระเปา๋ เปน็ ปาราชิก (๓)  ลกั ตอ้ น ไดแ้ ก่ การขบั ตอ้ นไป ลากจงู ไป อมุ้ ไป ซง่ึ ปศสุ ตั ว์ สตั ว์ ท่ีใช้เปน็ พาหนะ หรอื สัตว์เล้ยี งประดบั เชน่ ชา้ ง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ แมว ปลา ถา้ เป็นสัตว์สองเท้า เม่อื เทา้ ที่สองพน้ จากฐาน เปน็ ปาราชกิ ถ้าเปน็ สตั ว์ ส่เี ท้า เม่อื เท้าท่ีสี่พน้ จากฐาน เป็นปาราชิก (๔)  แยง่ ไดแ้ ก่ การมไี ถยจติ แยง่ เอาของซง่ึ คนถอื ทำ� ตกหลน่ ไว้ พอ หยิบของน้ันข้ึนจากท่ี เปน็ ปาราชกิ (๕)  ลักสับ ไดแ้ ก่ การมีไถยจิตสับสลาก โดยหมายจะเอาลาภของ ผู้อ่ืนท่ดี กี วา่ มรี าคาดีกว่า หรอื สับของ โดยเอาของราคาน้อยสับกบั ของราคา มาก เพอ่ื ประโยชน์ส่วนตัว เป็นปาราชกิ (๖)  ตู่ เช่น การกล่าวตู่เพื่อจะเอาท่ีดินของผู้อ่ืน เจ้าของที่ดินไม่ ฉลาดนัก เถียงไม่ข้ึน จึงทอดกรรมสิทธิ์ของตนไป เป็นปาราชิกเมื่อเขาทอด กรรมสิทธิ์ 62 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ถ้าเจ้าของยังไม่ทอดกรรมสิทธิ์ มีการฟ้องร้องเป็นความกันในศาล เมือ่ คดคี วามยงั ไมเ่ สร็จส้นิ ยังไม่เป็นปาราชกิ กอ่ น เมอ่ื คดีถงึ ทส่ี ดุ ในระดบั ศาล ชัน้ ใดชน้ั หน่งึ เจ้าของที่ดนิ แพ้ ภกิ ษุเป็นปาราชิก แม้ในกรณีที่ภิกษุฟ้องร้องเองเพ่ือตู่เอาท่ีดินของคนอื่น เม่ือตนชนะ คดี เป็นปาราชิกเหมือนกัน ภิกษุมีเจตนาเอาท่ีดินของคนอ่ืน จึงปักเขตรุกเข้าไปในที่ดินของเขา เปน็ ปาราชกิ ในขณะท�ำเสรจ็ ถ้าร้ือถอนทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์โดยอ้อมออกจากท่ี เช่น ฟัน ถอน หรือร้ืออาคารบ้านเรือน ก�ำหนดว่าเป็นปาราชิกเม่ือท�ำให้ทรัพย์น้ัน เคลือ่ นจากที่สำ� เร็จ (๗)  ฉอ้ ไดแ้ ก่ การทร่ี บั ของฝากไว้ แตม่ ไี ถยจติ คดิ ยดึ ไว้ เมอ่ื เจา้ ของ มาทวงคืน กลับปฏิเสธว่าไม่ได้รับไว้ หรือบอกว่าได้ให้คืนไปแล้ว เม่ือเจ้าของ ขาดกรรมสิทธ์ิ เปน็ ปาราชกิ (๘)  ยกั ยอก ไดแ้ ก่ การทที่ ำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ภณั ฑาคารกิ คอยรกั ษาคลงั พัสดุ แตม่ ไี ถยจติ น�ำส่งิ ของทีต่ อ้ งการออกไปจากเขตทต่ี นรักษา น�ำออกไปพ้น เขตแล้ว เปน็ ปาราชิก (๙)  ตระบดั ไดแ้ ก่ การทน่ี ำ� ของทตี่ อ้ งเสยี ภาษมี า เมอ่ื ผา่ นดา่ นเกบ็ ภาษี ซอ่ นของนนั้ เสยี หรอื ของมมี าก นำ� ออกมาเปดิ เผยเสยี ภาษบี างสว่ น ซอ่ น ไวเ้ สียบางส่วน เม่ือน�ำของน้นั พ้นดา่ นภาษไี ป เป็นปาราชิก ข้อน้มี ีขอ้ ยกเวน้ คอื ถ้าไดร้ บั อนญุ าตจากเจา้ หนา้ ทเ่ี กบ็ ภาษี หรอื มี คนซ่อนของเสียภาษีไว้ในย่ามหรือในกระเป๋าของภิกษุ โดยที่ตนไม่รู้ อย่างน้ี ทา่ นวา่ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ พระวินัยบัญญัติ 63 www.kalyanamitra.org

( ๑๐) ปลน้ ไดแ้ ก่ การทชี่ วนกนั ทำ� โจรกรรม จะลงมอื เองกต็ าม มไิ ด้ ลงมือก็ตาม เปน็ ปาราชิกทกุ รปู (๑๑) หลอกลวง ได้แก่ การที่ท�ำของปลอม เช่นท�ำเงินปลอม ท�ำ ทองปลอม แลว้ นำ� ไปหลอกขายผอู้ ืน่ โดยบอกวา่ เป็นของแท้ ไดร้ าคามาตามที่ กำ� หนด หรอื ชั่งตวงสิ่งของด้วยเครื่องชั่งโกง ตราชงั่ โกง เปน็ ปาราชิก (๑๒) กดขี่ หรือ กรรโชก ได้แก่ การที่ใช้อ�ำนาจข่มเหงเอาทรัพย์ ของผู้อน่ื หรือขู่วา่ จะทำ� ร้าย ท�ำใหเ้ จา้ ของทรพั ย์กลวั จำ� ตอ้ งให้ เป็นปาราชิก เมอื่ ไดข้ องมา (๑๓) ลกั ซ่อน ได้แก่ การที่เห็นคนทำ� ของตก มไี ถยจติ เอาดนิ กลบ เสีย ใช้ใบไม้เป็นต้นปิดบังไว้เสีย หรือเขาเผลอวางของไว้ในที่แห่งหนึ่ง น�ำไป ซอ่ นเสยี ในทอ่ี กี แหง่ หนง่ึ โดยเจตนาจะกลบั มาเอาในภายหลงั เปน็ ปาราชกิ เมอ่ื ท�ำเสรจ็ เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อนี้ สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ขิ นึ้ เพอื่ ใหภ้ กิ ษปุ ลอ่ ยวางได้ ไมโ่ ลภอยากไดจ้ น เกินเหตุ ให้ด�ำรงชีวิตอยู่ได้แบบประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย มิใช่อยู่แบบไม่พอเพียง จนถงึ กบั ไปลกั ไปขโมยสง่ิ ของของคนอนื่ ทเี่ ขาไมอ่ นญุ าตให้ อนั เปน็ การกระทำ� ทผี่ ิด เป็นการทำ� ความเดอื ดรอ้ นใหแ้ ก่ผอู้ ื่น อนงึ่ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทนไ้ี วเ้ พอ่ื ใหภ้ กิ ษเุ คารพกรรมสทิ ธใ์ิ นทรพั ยส์ นิ ของผอู้ ่ืน ปอ้ งกันมใิ ห้ประพฤตมิ กั ง่าย เห็นแก่ได้ เห็นแกต่ วั ไม่ค�ำนงึ ถงึ ความ ทุกข์ของผอู้ ่ืน โดยทำ� ลายความดีงามและศกั ดิศ์ รขี องตวั ดว้ ยการไปถอื ส่ิงของ 64 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ของผู้อื่นมา หรือเห็นแก่ปากแก่ท้องไปเด็ดหรือลักผลไม้ในสวนของชาวบ้าน มาขบฉนั โดยอสิ ระ โดยเจา้ ของไมร่ หู้ รือไม่อนุญาต เพราะการถือเอาส่ิงของของผ้อู ื่นมาด้วยอาการแหง่ ขโมยน้นั - เปน็ การละเมิดกรรมสิทธขิ์ องผูอ้ ื่น - เปน็ การหาเลีย้ งชีพในทางทผี่ ดิ - เป็นการเหน็ แก่ตวั ไมม่ องถึงความทกุ ข์ของผอู้ ื่น - เปน็ การท�ำลายความดขี องตนเอง การตอ้ งอาบัตเิ พราะสั่ง สิกขาบทน้ีเป็น สาณัตติกะ คือต้องปาราชิกเพราะสั่ง กล่าวคือ เมื่อภิกษุมีไถยจิตคิดเอาทรัพย์ของผู้อ่ืน ไม่กล้าลงมือเอง แต่ส่ังให้คนอื่นท�ำ โจรกรรมทรพั ยส์ นิ นนั้ จะสงั่ ตอ่ เดยี ว สง่ั เจาะจงทรพั ย์ สงั่ ดว้ ยการบอกใบ้ เชน่ ชี้นิ้ว พยักหน้า ส่ังก�ำหนดเวลา ส่ังหลายต่อ หรือส่ังด้วยการใช้ส�ำนวน แต่ ผฟู้ ังเข้าใจความตอ้ งการ อาการเหลา่ น้ี จัดเปน็ การส่ังทั้งส้นิ การสัง่ เชน่ น้ี เปน็ เหตใุ ห้เปน็ ปาราชกิ ก็มี ไม่เป็นกม็ ี ดังน้ี (๑)  ภิกษุสั่งให้ไปท�ำโจรกรรม ผู้รับสั่งไปท�ำตามน้ัน ได้ของมา จะ เปน็ วันเวลาใดก็ตาม ผูส้ ั่งเป็นปาราชิก ถา้ สง่ั แลว้ ไดส้ ตขิ นึ้ มา จงึ หา้ มเสยี กอ่ น กอ่ นทผ่ี รู้ บั สงั่ จะไปทำ� โจรกรรม แตผ่ ู้รับส่ังไปท�ำโจรกรรมโดยพลการ แบบนผ้ี ูส้ ัง่ ไม่ต้องอาบัติ (๒)  ภิกษุส่ังเจาะจงทรัพย์ เช่น สั่งให้ไปลักจีวร ผู้รับส่ังไปลักจีวร มาไดต้ ามสงั่ เปน็ ปาราชกิ แตถ่ า้ ผ้รู บั สั่งไปลกั บาตรมา ภกิ ษผุ ้สู ั่งไมต่ ้องอาบัติ พระวินัยบัญญัติ 65 www.kalyanamitra.org

(๓)  ภิกษุส่ังด้วยท�ำนิมิตหรือบอกใบ้ เช่น พยักหน้าหรือขยิบตา บอกใบ้ให้หยิบทรัพย์ออกมา เม่ือผู้รับส่ังเข้าใจความหมาย ไปหยิบทรัพย์น้ัน ออกมาไดส้ �ำเรจ็ ภกิ ษผุ สู้ ัง่ เป็นปาราชิก (๔)  ภกิ ษสุ ่งั กำ� หนดเวลา เชน่ สงั่ ใหไ้ ปขโมยของเวลากลางคืน ถา้ ผรู้ บั สง่ั ไปขโมยของมาไดใ้ นเวลาน้ัน ภิกษุผ้สู ่ังเปน็ ปาราชกิ แตถ่ ้าไปขโมยของ มาไดใ้ นเวลาเชา้ หรอื ในเวลาเย็น ถือวา่ ผิดเวลา ผสู้ ง่ั ไม่ตอ้ งอาบตั ิ (๕)  ภิกษุสั่งหลายต่อ เช่น สั่งให้ภิกษุแดงไปบอกภิกษุด�ำให้ไปท�ำ โจรกรรม เมื่อภกิ ษทุ �ำโจรกรรมสำ� เร็จ เป็นปาราชกิ ทัง้ สามรูป แตถ่ ้าเกิดลกั ลั่น เชน่ สงั่ ใหภ้ กิ ษแุ ดงไปบอกภกิ ษดุ ำ� ใหไ้ ปทำ� โจรกรรม แตภ่ กิ ษแุ ดงกลบั ไปบอกให้ ภกิ ษขุ าวไปทำ� โจรกรรม อยา่ งนถี้ อื วา่ ผดิ ตวั เมอ่ื ภกิ ษขุ าวไปทำ� โจรกรรมสำ� เรจ็ ภิกษผุ ู้ส่ังไม่เป็นอาบตั ิ แต่ภิกษุแดงกบั ภิกษุขาวเปน็ ปาราชิก (๖)  ภกิ ษุสั่งด้วยใช้ส�ำนวน เป็นการพูดไมต่ ายตวั แตก่ ช็ ัดเจนพอที่ ผู้ฟังเข้าใจความประสงค์ได้ ผู้ฟังจึงไปท�ำโจรกรรมมาได้ตามประสงค์ อย่างน้ี ผ้สู ั่งเปน็ ปาราชกิ องคแ์ ห่งอาบัติ ในพระวินัยปิฎกว่าด้วยสิกขาบทนี้ ท่านแสดง องค์แห่งอาบัติ คือ ข้อก�ำหนดท่ีจะเป็นความผิดและมีโทษเป็นอาบัติเข้าไว้ ถือว่าเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการละเมิด และเป็นแนวการวินิจฉัยตัดสินเม่ือมีการ ลว่ งละเมิดเกดิ ขน้ึ องคแ์ หง่ อาบัตนิ ้ันดงั นี้ ภกิ ษผุ ถู้ อื เอาทรพั ยท์ เี่ จา้ ของมไิ ดใ้ ห้ ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ดว้ ยอาการ ๕ อยา่ ง คอื 66 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๑) ทรพั ย์มผี ู้อ่ืนครอบครอง (๒) มีความส�ำคญั ว่าเปน็ ทรัพยท์ ีม่ ผี ู้อ่ืนครอบครอง (๓) ทรัพย์มคี า่ มาก ได้ราคา ๕ มาสกหรือเกนิ กว่า ๕ มาสก (๔) มีไถยจิต (คิดจะลัก) ปรากฏขนึ้ (๕) ภกิ ษจุ บั ตอ้ ง ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทำ� ใหไ้ หว ตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ท�ำให้เคล่ือนจากทต่ี ง้ั ต้องอาบตั ปิ าราชิก อน่งึ ทา่ นแสดงองค์แห่งอาบัตใิ นสิกขาบทนี้ไว้อีกนยั หนึง่ ว่า ภกิ ษผุ ถู้ อื เอาทรพั ยท์ เี่ จา้ ของมไิ ดใ้ ห้ ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ดว้ ยอาการ ๖ อยา่ ง คอื (๑) ไม่มคี วามส�ำคญั ว่าเป็นของของตน (๒) ไม่ได้ถือเอาดว้ ยวิสาสะ (ความคุน้ เคย สนิทสนม) (๓) ไมไ่ ดถ้ ือเอาเป็นของขอยมื (๔) ทรัพย์มีคา่ มาก ได้ราคา ๕ มาสกหรือเกินกว่า ๕ มาสก (๕) มีไถยจติ ปรากฏขึน้ (๖) ภกิ ษจุ บั ตอ้ ง ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทำ� ใหไ้ หว ตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ท�ำใหเ้ คล่อื นจากท่ีตัง้ ต้องอาบตั ปิ าราชิก และในพระวินัยปิฎกน้ันท่านได้แสดงองค์แห่งอาบัติท่ีลดหย่อนลงมา คือเป็นถุลลัจจัย เป็นทุกกฏไว้อีกหลายหมวด ซ่ึงท�ำให้เกิดความชัดเจน และเป็นแนวทางส�ำหรับวินิจฉัยเพ่ือปรับโทษหรือเพ่ือรู้ความผิดของตัวเม่ือ ลว่ งละเมดิ ไดง้ ่ายข้ึน พระวินัยบัญญัติ 67 www.kalyanamitra.org

อนาปัตติวาร ในสิกขาบทนี้ ท่านแสดงภิกษผุ ไู้ ดร้ ับยกเว้นไม่ตอ้ งอาบัติไว้ คือ (๑)  ภกิ ษุผมู้ คี วามส�ำคญั วา่ เป็นของของตน คือไปหยิบของผูอ้ ืน่ มา ดว้ ยเข้าใจผิดว่าเป็นของตน  เพราะมีลักษณะใกล้เคียงหรือเหมือนกบั ของตน (๒)  ภิกษุผู้ถือเอาด้วยวิสาสะ คือไปหยิบใช้หรือหยิบฉันด้วยความ คุ้นเคย ดว้ ยความสนิทสนม ด้วยคิดวา่ เป็นกันเอง เจา้ ของรู้กค็ งไม่ว่าอะไร (๓)  ภิกษุผู้ถือเอาเป็นของขอยืม คือน�ำของของผู้อ่ืนมาใช้โดยคิด ว่าขอยืมมาใช้ โดยไม่บอกเจ้าของ หรือเจ้าของไม่อยู่ เช่น มีด จอบ เสียม กระป๋องน้ำ� (๔)  ภกิ ษผุ ถู้ อื เอาทรพั ยอ์ นั เปรตครอบครอง คอื นำ� สง่ิ ของทถ่ี กู ทงิ้ ไว้ ตามป่าชา้ ข้างถนน เป็นตน้ มาใช้ (๕)  ภกิ ษผุ ถู้ อื เอาทรพั ยอ์ นั สตั วด์ ริ จั ฉานคมุ้ ครอง คอื นำ� เศษเนอ้ื หรอื กระดูกสัตว์ที่เสือเป็นต้นฆ่าแล้วกนิ เหลือบางส่วนมาเป็นอาหาร (๖)  ภกิ ษผุ มู้ คี วามสำ� คญั วา่ เปน็ ของบงั สกุ ลุ คอื คดิ วา่ เปน็ ของทเ่ี ขา ท้ิงแล้ว ไมม่ ีเจ้าของ เชน่ ผา้ ตามกองขยะ ตามชายหาด นำ� มาทำ� เป็นจีวรห่ม (๗)  ภกิ ษุผ้วู ิกลจรติ คือภกิ ษุบ้า ขาดสติสมั ปชัญญะ (๘)  ภิกษผุ ู้เป็นตน้ บัญญัติ หรือผู้เปน็ อาทิกมั มิกะ ไดแ้ ก่ พระธนยิ ะ บตุ รของชา่ งป้ันหมอ้ 68 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

วนิ ีตวตั ถุ วนิ ตี วตั ถุ เรอื่ งทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงวนิ จิ ฉยั แลว้ ในสกิ ขาบทนมี้ จี ำ� นวน มาก เช่น - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ เหน็ ผา้ ทล่ี านตากผา้ มรี าคามาก จงึ เกดิ ไถยจติ ขนึ้ ทรง ตดั สินว่าไมเ่ ปน็ อาบตั ิ เพราะเปน็ แคค่ ิด ยงั มไิ ด้ลกั - ภิกษรุ ูปหนงึ่ เหน็ ผา้ ท่ีลานตากผ้าสวยงามและมีราคา ไมม่ ไี ถยจติ จับตอ้ งผ้าน้นั ทรงตดั สนิ ว่าไมอ่ าบตั ปิ าราชิก แตต่ ้องอาบัตทิ ุกกฏ - ภิกษรุ ปู หนง่ึ เห็นผา้ ทล่ี านตากผ้ามีราคา มีไถยจติ ท�ำผ้าน้นั ให้ไหว ทรงตัดสนิ ว่าไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ แต่ต้องอาบัติถลุ ลจั จยั - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เหน็ ผา้ ทล่ี านตากผา้ มไี ถยจติ ทำ� ผา้ นน้ั ใหเ้ คลอ่ื นจาก ทต่ี ง้ั ทรงตัดสินวา่ เปน็ ปาราชิก - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เหน็ ทรพั ยต์ อนกลางวนั ทำ� เครอ่ื งหมายไว้ ตอนกลาง คืนไปหยิบทรพั ยอ์ น่ื มา ทรงตดั สนิ วา่ เป็นปาราชกิ - ภิกษุรูปหนึ่งน�ำทรัพย์ของผู้อ่ืนทูนศีรษะไป มีไถยจิตจับต้องของ นัน้ ทรงตดั สินวา่ ไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฏ - ภิกษรุ ูปหน่ึงน�ำทรัพยข์ องผ้อู ่นื ไป มไี ถยจิตวางของท่ีอยใู่ นมือนัน้ ลงทพ่ี ื้น ทรงตัดสนิ ว่าเปน็ ปาราชกิ พระวินัยบัญญัติ 69 www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหน่ึงเก็บจีวรที่ภิกษุอีกรูปหนึ่งผ่ึงไว้กลางแจ้งด้วยหวังดี ว่าจวี รจะได้ไมห่ าย เจ้าของมาถามวา่ ใครเอาจีวรของตนไป ภิกษุผเู้ ก็บจีวรไว้ ตอบว่าตนเอาไปเอง เจ้าของบอกว่าท่านมิใช่สมณะแล้ว ทรงตัดสินว่าไม่เป็น อาบัติ เพราะตอบตามค�ำถามน�ำ - ภิกษุรูปหน่ึงเห็นผ้าสาฎกถูกลมพัดปลิวไปจึงเก็บไว้ด้วยต้ังใจว่า จกั คนื ใหเ้ จา้ ของ เจา้ ของผา้ โจทวา่ ทา่ นไมเ่ ปน็ สมณะ ทรงตดั สนิ วา่ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ เพราะไม่มีไถยจิต - พระอานนทส์ รงนำ�้ ในเรอื นไฟเสรจ็ แลว้ หยบิ ผา้ นงุ่ ซง่ึ เปน็ ของภกิ ษุ อื่นมาน่งุ โดยเข้าใจวา่ เป็นของตน เมื่อเจา้ ของถามวา่ ท�ำไมจงึ นำ� ผ้าของตนมา นงุ่ พระอานนทต์ อบวา่ ตนเข้าใจผดิ ทรงตัดสนิ วา่ ภิกษผุ ูม้ ีความเข้าใจวา่ เปน็ ของตน ไมต่ อ้ งอาบตั ิ - ภกิ ษหุ ลายรปู ลงมาจากเขาคชิ ฌกฏู พบเนอื้ อนั เปน็ เดนราชสหี จ์ งึ ใช้ให้อนุปสัมบันต้มแกงแล้วฉันกัน ทรงตัดสินว่า ไม่เป็นอาบัติเพราะเนื้อเดน ราชสีห์ - ภิกษุรูปหน่ึง เม่ือมีการแจกข้าวสุกของสงฆ์อยู่ เข้าไปบอกว่า ขอให้ให้ส่วนเพื่อภิกษุรูปอื่นด้วย โดยที่ไม่ได้บอกว่าภิกษุรูปอ่ืนนั้นคือใคร มี ตัวตนจริงหรือไม่ แล้วรับส่วนที่เขาให้น้ันไป ซ่ึงเป็นการกล่าวเท็จโดยไม่มีมูล ทรงตัดสินว่า ไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชาน มุสาวาท (จงใจกลา่ วเทจ็ ทงั้ รู้ตวั และรู้ความจริงอย)ู่ - ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปยังร้านขายเน้ือ มีไถยจิตลักเนื้อไปเต็มบาตร ทรงตัดสนิ ว่าเป็นปาราชิก 70 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ภกิ ษุรปู หน่งึ เหน็ บริขารตอนกลางวัน จึงทำ� เคร่ืองหมายไว้ ต้งั ใจ วา่ จะมานำ� ของไปตอนกลางคนื พอถงึ กลางคนื ไดม้ านำ� ของไปโดยแนใ่ จวา่ เปน็ ของชิน้ นั้น แตเ่ ป็นของคนละช้นิ กนั ทรงตัดสนิ วา่ เปน็ ปาราชิก (เพราะเปน็ การ ลักขโมยของโดยตรง จะเป็นช้ินที่กำ� หนดไว้หรือชนิ้ อน่ื ก็เปน็ ของที่เจ้าของมิได้ ให้เหมอื นกัน) - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เหน็ ถงุ วางอยบู่ นตงั่ คดิ วา่ ถา้ หยบิ ไปเฉพาะถงุ จะเปน็ ความผดิ จงึ ยกต่ังไปดว้ ย ทรงตัดสินวา่ เป็นปาราชกิ - ภิกษุสองรูปเป็นเพื่อนกัน รูปหน่ึงเข้าไปบิณฑบาต อีกรูปหน่ึง เขา้ ไปรบั อาหารในหอฉนั และรบั สว่ นของเพอ่ื นมาดว้ ย รบั ไปแลว้ ถอื วสิ าสะฉนั ส่วนของเพ่ือนไป เพ่ือนกลับมาแล้วได้ถามขึ้น ทราบความแล้วโจทภิกษุผู้ฉัน อาหารนนั้ ว่าไม่เป็นสมณะ ทรงตัดสนิ ว่า ไมเ่ ปน็ อาบัติ เพราะถอื วสิ าสะ - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เมอื่ เขากำ� ลงั แจกของเคยี้ วแกส่ งฆใ์ นเวลาทำ� จวี รกนั อยู่ ไดน้ ำ� บาตรของภกิ ษรุ ปู อน่ื ไปรบั อาหารสว่ นของตนมาวางไว้ เจา้ ของบาตร สำ� คญั วา่ เปน็ อาหารสว่ นของตนจงึ ฉนั อาหารนน้ั ภกิ ษผุ ไู้ ปรบั แจกมาทราบเขา้ จงึ โจทวา่ ไมเ่ ปน็ สมณะแลว้ ทรงตดั สนิ วา่ ไมเ่ ปน็ อาบตั แิ กภ่ กิ ษผุ มู้ คี วามสำ� คญั ว่าเป็นของตน - ภกิ ษหุ ลายรปู เมอ่ื พวกโจรลกั มะมว่ งเขามาแลว้ หอ่ ผา้ ไว้ เจา้ ของ ตดิ ตามมาจงึ ทง้ิ หอ่ นนั้ แลว้ หนไี ป จงึ หยบิ หอ่ มะมว่ งนน้ั มาดว้ ยสำ� คญั วา่ เปน็ ของ บังสกุ ุล ปราศจากเจ้าของ แล้วเปดิ ขบฉันกนั เจา้ ของมะมว่ งมาพบเขา้ จึงโจท วา่ พวกทา่ นไมเ่ ปน็ สมณะ ทรงตดั สนิ วา่ ภกิ ษผุ มู้ คี วามสำ� คญั วา่ เปน็ ของบงั สกุ ลุ ไมต่ อ้ งอาบัติ พระวินัยบัญญัติ 71 www.kalyanamitra.org

- ภิกษุหลายรูป เมื่อพวกโจรลักมะม่วงเขามาแล้วห่อผ้าไว้ ถูก เจ้าของตดิ ตามมา รบี วง่ิ หนไี ปโดยท�ำมะม่วงหลน่ จากหอ่ ไว้ตามรายทาง เห็น มะม่วงนั้นเข้าก็มีไถยจิตเกิดขึ้น กลัวว่าเจ้าของมะม่วงจะมาเห็นมะม่วงก่อน จึงรีบเก็บมาฉันกัน เจ้าของมะม่วงจึงโจทว่าท่านไม่เป็นสมณะ ทรงตัดสินว่า ตอ้ งอาบตั ปิ าราชิกแล้ว - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ มไี ถยจติ ลกั มะมว่ งในวดั อนั เปน็ ของสงฆ์ ทรงวนิ จิ ฉยั วา่ ตอ้ งอาบตั ิปาราชิกแลว้ - ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปกับบุรุษคนหน่ึง เมื่อจะผ่านด่านเก็บ ภาษี บุรุษนั้นจึงน�ำแก้วมณีราคาแพงหย่อนไว้ในย่ามของภิกษุโดยที่ภิกษุไม่รู้ เมือ่ พน้ ดา่ นแลว้ บรุ ษุ นนั้ ได้ขอแก้วมณคี นื จากภกิ ษุ ทรงตัดสนิ วา่ ภิกษุไม่รตู้ วั ไม่ต้องอาบตั ิ - ภิกษุรูปหนงึ่ เดินทางไกลไปกับกองเกวียน เมอ่ื ถึงดา่ นภาษี บรุ ษุ คนหน่ึงเกล้ียกล่อมภิกษุด้วยอามิสสินจ้าง ขอร้องว่าขอให้ช่วยน�ำแก้วมณี ดวงน้ผี ่านด่านภาษใี หด้ ้วย แลว้ สง่ แก้วมณีราคาแพงใหภ้ ิกษุถอื ไว้ ภกิ ษุน้นั ถือ แกว้ มณผี า่ นดา่ นภาษไี ป ผา่ นดา่ นแลว้ บรุ ษุ นน้ั กม็ าขอแกว้ มณคี นื ทรงตดั สนิ วา่ ภกิ ษนุ ั้นต้องอาบัตปิ าราชิกแลว้ วินีตวัตถุในสิกขาบทน้ีมีจ�ำนวนมาก มีปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก สามารถหาอ่านท�ำความเข้าใจได้ น�ำบางสว่ นมาแสดงพอเปน็ ตวั อยา่ งเทา่ น้นั 72 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๓ ค�ำแปลพระบาลีทเ่ี ป็นพุทธบัญญัติ “อน่ึง ภิกษุใดจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือ แสวงหาศัสตราอันจะปลิดชีวิตแก่กายมนุษย์นั้น หรือ พรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพ่ือให้ตาย ด้วยค�ำว่า แน่ะนายผู้เป็นชาย จะประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยชีวิตอันแสนล�ำบากยากแค้นน้ี ท่านตายเสียดีกว่า อยู่ ดังน้ี เธอมีจิตใจอย่างนี้ มีความด�ำริในใจอย่างนี้ พรรณนาคุณแห่งความตายก็ดี ชักชวนเพ่ือให้ตายก็ดี โดยปริยายต่างๆ แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาส มไิ ด้” เน้อื ความยอ่ ในหนังสือนวโกวาท “ภกิ ษุแกล้งฆา่ มนษุ ย์ให้ตาย ต้องปาราชกิ ” อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า จงใจ หมายถงึ รูอ้ ยู่ รู้ดีอยู่ ต้งั ใจ ฝ่าฝนื ละเมดิ ค�ำว่า กายมนุษย์ หมายถึงอัตภาพ คือความเปน็ ตวั ตนหรอื ชวี ติ ทม่ี ี ระยะเวลาตงั้ แตจ่ ติ แรกเกดิ คอื วญิ ญาณจติ ปรากฏขนึ้ ในครรภม์ ารดาจนกระทงั่ ถงึ เวลาตาย คือส้ินลมหายใจ พระวินัยบัญญัติ 73 www.kalyanamitra.org

ค�ำวา่ พรากจากชวี ติ หมายถงึ ตดั ทอน บั่นทอน ซ่งึ อินทรีย์คือชีวติ ท�ำความสืบตอ่ ใหเ้ สียไป ใช้ในความหมายวา่   ฆ่า ปลง ตดั บัน่ ชีวติ ใหส้ นิ้ ลง ค�ำว่า ศัสตรา หมายถึงอาวุธประเภทต่างๆ ท่ีสามารถใช้ฆ่าหรือ บั่นทอนชวี ติ ได้ เชน่ ดาบ หอก ค้อน มดี ยาพษิ เชอื ก คำ� วา่ พรรณนาคณุ แหง่ ความตาย หมายถงึ แสดงโทษในความมชี วี ติ อยู่ พรรณนาคณุ ในความตาย คำ� วา่ ชกั ชวนเพอ่ื ใหต้ าย หมายถงึ ชกั ชวนวา่ จะอยไู่ ปทำ� ไม จงนำ� มดี มาเชอื ดคอตายดกี วา่ จงนำ� เชือกมาผกู คอตายดกี ว่า ด่มื ยาพิษตายเสยี ดกี วา่ ค�ำว่า จะประโยชน์อะไรแก่ท่านด้วยชีวิตอันแสนล�ำบากยากแค้น นี้ ท่านตายเสียดีกว่าอยู่ มีอธิบายว่า ชีวิตท่ีช่ือว่ายากแค้น คือชีวิตของคน เขญ็ ใจ ชอื่ วา่ ยากแค้นเมอ่ื เทียบกบั ชีวิตของคนมั่งค่ัง ชีวติ ของคนไรท้ รัพย์ ช่ือ ว่ายากแค้นเม่ือเทียบกับชีวิตของคนมีทรัพย์ ชีวิตของพวกมนุษย์ ชื่อว่ายาก แคน้ เมอื่ เทยี บกับชีวิตของเหล่าเทพยเจ้า ชวี ติ ทช่ี ือ่ วา่ แสนลำ� บาก คอื ชวี ติ ของ คนมอื ดว้ น คนเทา้ ปกุ คนทง้ั มอื ดว้ นทงั้ เทา้ ปกุ คนหแู หวง่ คนจมกู วน่ิ คนทงั้ หู แหว่งทั้งจมูกวน่ิ จะประโยชนอ์ ะไรด้วยชวี ิตอนั ลำ� บากและยากแค้นเชน่ นี้ ท่าน ตายเสยี ดีกวา่ อยู่ ค�ำว่า มีจิตอย่างนี้ คือ ธรรมชาติอันใดเป็นจิต ธรรมชาติอันน้ัน ชื่อว่าใจ ธรรมชาติอันใดเป็นใจ ธรรมชาติอันน้ันช่ือว่าจิต คือค�ำว่าจิตกับใจ เป็นคำ� ท่มี ีความหมายเดียวกนั คำ� วา่ มีความด�ำริในใจอยา่ งน้ี คือ มีความส�ำคญั หมายจะให้ตาย มี ความจงใจจะใหต้ าย มีความประสงคจ์ ะให้ตาย 74 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ค�ำว่า พรรณนาคุณแห่งความตาย ไดแ้ ก่ แสดงโทษในความมชี วี ติ อยู่ พรรณนาคณุ ในความตายวา่ ทา่ นทำ� กาละจากโลกนไี้ ป หลงั จากตายไปจกั เขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ จกั เพยี บพรอ้ มอม่ิ เอบิ ไดร้ บั ปรนเปรอดว้ ยเบญจกามคณุ อันเป็นทิพย์ในสคุ ติโลกสวรรค์นนั้ คำ� ว่า ชักชวนเพอื่ ให้ตาย ได้แก่ ชกั ชวนวา่ จงนำ� มีดมา จงกนิ ยาพษิ จงแขวนคอตาย หรอื จงกระโดดลงไปในบ่อ ในเหว หรือทผี่ าชนั ค�ำวา่ เปน็ ปาราชกิ หาสังวาสมไิ ด้ มอี ธิบายดงั แสดงไว้แล้วขา้ งต้น เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทข้อนี้ สิกขาบทน้ที รงบัญญัติไว้ เพ่อื ศกั ดิศ์ รีของภิกษวุ า่ เป็นผู้ท่พี ัฒนาแลว้ มีจิตใจไม่โหดเหี้ยมป่าเถื่อน ฝึกฝนตนเพ่ือหลุดพ้นจากกิเลสเป็นหลัก เม่ือ หลดุ พน้ แลว้ กจ็ ะเปน็ เนอื้ นาบญุ อนั ยอดเยยี่ ม เปน็ ปชู นยี บคุ คลทนี่ ำ� ผลอานสิ งส์ มาให้แก่ผู้บูชากราบไหว้ เป็นผู้ประกอบด้วยเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูล คนอืน่ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ สกิ ขาบทนมี้ งุ่ ใหภ้ กิ ษเุ หน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื ซงึ่ ลว้ นรกั สขุ เกลยี ดทกุ ขเ์ ชน่ เดยี วกบั ตน แลว้ คดิ ชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู ผอู้ นื่ โอบออ้ มอารี ไมเ่ อารดั เอาเปรยี บ อยู่ ในหมคู่ ณะได้ทกุ แหง่ โดยไม่เป็นศตั รไู มก่ ่อเวรภยั แกใ่ คร เพราะมีจิตใจท่ีงดงาม ประกอบด้วยเมตตากรณุ าธรรมเป็นหลกั สิกขาบทนี้มุ่งไม่ให้ภิกษุไปฆ่ามนุษย์เองหรือส่ังให้ฆ่า เพราะการฆ่า มนุษย์นน้ั พระวินัยบัญญัติ 75 www.kalyanamitra.org

- เป็นความเหย้ี มโหด - เปน็ การขาดเมตตาธรรม - เป็นการแสดงถงึ จติ ใจทปี่ า่ เถ่ือน ยังมไิ ดพ้ ฒั นา อาการทีฆ่ า่ ให้ตาย สิกขาบทน้ีได้บอกรายละเอียดไว้มากพอสมควร สามารถเข้าใจได้ ชดั เจน เชน่ การฆา่ ทา่ นใชค้ ำ� วา่ พรากเสยี จากชวี ติ นนั่ หมายความวา่ บน่ั ทอน ชีวิตให้หมดส้ินไป ไม่ให้สืบยาวต่อไป และบอกถึงอาการที่จัดว่าฆ่าไว้ ไม่ว่า จะฆ่าเอง หาอาวุธให้ฆ่า พรรณนาคุณของความตายแล้วให้เจ้าของชีวิตฆ่า ตัวเอง หรือชักชวนให้ฆ่าตัวตายด้วยการช้ีว่าตายดีกว่าอยู่ ย่อมเป็นอาการ แห่งการพรากจากชวี ติ มีโทษเป็นปาราชิกท้งั สิน้ เมอ่ื กล่าวโดยละเอียดแลว้ ทา่ นแสดงอาการท่ีฆา่ ไว้ ๗ แบบ คอื (๑)  ใหป้ ระหาร ไดแ้ ก่ ฆา่ ดว้ ยตนเอง เชน่ ฟนั ดว้ ยมดี แทงดว้ ยหอก ตดี ว้ ยไม้ หรอื ทำ� ใหต้ ายดว้ ยสง่ิ ของอนื่ ๆ หรอื ไมไ่ ดล้ งมอื ฆา่ เอง แตส่ ง่ั ใหค้ นอนื่ ไปฆ่าดว้ ยวาจาของตวั (๒)  ซัดไปประหาร ได้แก่ ฆา่ ดว้ ยตนเองโดยใชเ้ คร่อื งมอื ส�ำหรบั ฆ่า ใหเ้ คลื่อนไปฆ่า เช่น ยงิ ดว้ ยปนื ยิงดว้ ยลูกศร พุง่ ดว้ ยหอก ขว้างด้วยไม้หรือ ก้อนหิน (๓)  วางไวท้ ำ� รา้ ย ไดแ้ ก่ ใชเ้ ครอื่ งมอื ฆา่ ทเี่ ปน็ อาวธุ มอี นั ตรายทำ� ให้ ถึงตายได้วางดักไว้ริมทางเดิน เป็นต้น เช่น ดักขวาก ฝังไม้แหลมไว้ในหลุม พราง วางกอ้ นหนิ ไวใ้ ห้ตกลงมาทบั วางยาใหต้ าย วางระเบดิ เป็นต้น 76 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๔)  ทำ� รา้ ยดว้ ยวชิ า ไดแ้ ก่ เปน็ ผชู้ ำ� นาญในมนตว์ ชิ าอาคมรา่ ยมนต์ รา่ ยอาคมต่างๆ ใช้ภตู ใชผ้ ีไปท�ำรา้ ยผอู้ ่นื ถึงตาย (๕)  ท�ำรา้ ยด้วยฤทธ์ิ ได้แก่ เป็นผูช้ ำ� นาญในฌาน มีฤทธิ์ เชน่ มตี า เป็นอาวธุ จ้องดูผอู้ ื่นเพ่อื ท�ำรา้ ยใหถ้ งึ ตาย (๖)  แสวงหาศสั ตราให้ ไดแ้ ก่ หาอาวธุ สำ� หรบั ฆา่ ตวั ตายให้ อำ� นวย ความสะดวกในการใช้อาวธุ ให้ (๗)  พรรณนาคณุ แห่งความตาย หรือ ชักชวนเพอื่ การตาย การฆ่าท่ีท�ำให้ตายเป็นการพรากจากชีวิตเช่นน้ี จัดเป็นอาการท่ีฆ่า ทง้ั สน้ิ หากท�ำส�ำเรจ็ ด้วยอาการอย่างอยา่ งหน่ึง ถอื วา่ เปน็ การฆา่ มโี ทษเปน็ อาบตั ปิ าราชกิ วัตถแุ ห่งอาบัติ วัตถุแห่งอาบัติ หมายถึงผู้ที่ถูกฆ่า มีท้ังมนุษย์ อมนุษย์ และสัตว์ ดิรจั ฉาน และมีทัง้ การส่ังใหฆ้ า่ จงึ มขี ้อก�ำหนดไวด้ ังนี้ (๑)  มนุษย์ เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก ภิกษุฆ่ามนุษย์ต้องอาบัติ ปาราชกิ (๒)  อมนุษย์ เช่น เปรต ยักษ์ และสัตวด์ ริ ัจฉานท่ีมฤี ทธิ์ เป็นวตั ถุ แห่งถลุ ลัจจยั ภกิ ษุฆ่าอมนุษย์ต้องอาบัติถุลลจั จยั (๓)  สัตว์ดิรัจฉาน เป็นวัตถุแห่งปาจิตตีย์ ภิกษุฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน ต้องอาบัตปิ าจิตตยี ์ พระวินัยบัญญัติ 77 www.kalyanamitra.org

(๔)  ฆ่าตนเอง ยังไม่พบหลักฐานท่ีแน่นอนว่าเป็นอาบัติอะไร บ้าง ว่าเป็นอาบัตทิ ุกกฏ บ้างวา่ เป็นอาบตั ิปาราชกิ เพราะเปน็ การพรากกายมนุษย์ จากชวี ิตเช่นกนั (๕)  พยายามฆ่าสัตว์อื่น ต้องอาบัติตามวัตถุ คือเป็นไปตามผู้ถูก ฆา่ ว่าเปน็ มนษุ ย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ดริ ัจฉาน (๖)  สั่งให้ฆ่า เน่ืองจากว่าสิกขาบทน้ีเป็นสาณัตติกะ เมื่อภิกษุสั่ง ให้ฆ่า คือส่ังให้ผู้หน่ึงไปฆ่าอีกผู้หน่ึง โดยระบุวัตถุคือบุคคล ระบุเวลา ระบุ โอกาสคอื สถานท่ี ระบอุ าวุธ ระบอุ ริ ิยาบถ ระบุวธิ ีการฆ่าเช่นฟนั หรอื แทงหรอื ตี เปน็ ตน้ เมอื่ ผรู้ บั สงั่ ไปฆา่ สำ� เรจ็ ตามทร่ี ะบไุ วอ้ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ตามทสี่ งั่ ภกิ ษุ ผู้สั่งต้องอาบัติปาราชิก ถ้าทำ� ผดิ คำ� สง่ั ทีร่ ะบุ ไมเ่ ปน็ ไปตามทีส่ ่ัง เช่นสัง่ ให้ฆา่ นายแดง แต่ไป ฆ่านายด�ำ ส่ังให้ฆ่าตอนกลางคืน แต่ไปฆ่าตอนเช้า ส่ังให้ฆ่าด้วยการใช้ไม่ตี แตไ่ ปฆา่ ดว้ ยการยิง เช่นน้ี ภกิ ษผุ สู้ ่ังไมต่ ้องอาบัตปิ าราชกิ สรุปว่า ภิกษุมีเจตนาจงใจฆ่าเองก็ตาม ใช้ให้ผู้อ่ืนฆ่าก็ตาม ซ่ึง มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน ย่อมเป็นอาบัติทุกกรณี แต่ท�ำให้ผู้อ่ืนตาย โดยไม่จงใจ ไมม่ เี จตนา เชน่ กอ่ สรา้ งอยใู่ นท่สี งู ท�ำส่ิงของพลาดหล่นลงมา ถูกคนขา้ งลา่ งตาย หรอื ทำ� ใหไ้ ฟฟา้ ลดั วงจร เปน็ เหตใุ หไ้ ฟไหมก้ ฏุ ิ มคี นอยู่ ในกฏุ สิ ำ� ลกั ควนั ตาย ไม่ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ แตอ่ าจไดร้ บั โทษทางบา้ นเมอื ง ฐานทำ� ใหผ้ ู้อนื่ ถึงแก่ความตายดว้ ยความประมาท 78 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

อนาปตั ติวาร ในพระวินัยปิฎก ส�ำหรับสิกขาบทนี้ มีอนาปัตติวารคือข้อยกเว้น สำ� หรบั ภกิ ษทุ ี่ไม่ต้องอาบตั ปิ าราชกิ ไว้ ๗ ประเภท คือ (๑)  ภกิ ษุผ้ไู มจ่ งใจ คอื ภิกษุท่ไี ม่มเี จตนา ไม่ได้ต้งั ใจ ไม่ไดค้ ดิ ว่าการ ท�ำการพดู ของตนจะท�ำให้มีการตาย (๒)  ภิกษุผู้ไม่รู้ คือภิกษุที่ไม่รู้ว่าการท�ำอย่างนี้จะท�ำให้คนตาย เพราะเปน็ การท�ำไปตามปกตธิ รรมดา (๓)  ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะให้ตาย คือท�ำไปโดยมีเจตนาต้องการจะ ส่ังสอน ตอ้ งการให้เข็ดหลาบ หรือตอ้ งการฝกึ ฝนอบรม แตเ่ ป็นเหตุให้ถงึ ตาย โดยไม่คาดคดิ โดยไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนน้ั เกิดขนึ้ เลย (๔)  ภิกษผุ ู้วกิ ลจรติ คือภกิ ษบุ า้ (๕)  ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน คือภิกษุผู้มีจิตไม่สงบ พล่านไป ซัดส่ายไป ควบคมุ ตัวเองไม่ได้ (๖)  ภกิ ษผุ กู้ ระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา คอื ภกิ ษผุ เู้ รา่ รอ้ นใจทนนง่ิ เป็นปกติอยไู่ ม่ได้ (๗)  ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ คือผู้เป็นอาทิกัมมิกะ ได้แก่พวกภิกษุ ชาวเมืองเวสาลี พระวินัยบัญญัติ 79 www.kalyanamitra.org

วินตี วตั ถุ วินีตวัตถุซ่ึงเป็นกรณีท่ีเกิดขึ้นเก่ียวเนื่องด้วยสิกขาบทนี้ และพระ- พุทธองค์ทรงตัดสินแล้วว่าเป็นอาบัติหรือไม่เป็นอาบัติ มีมากเรื่อง ขอยกมา เป็นตวั อย่างบางเร่อื งมาแสดงไวเ้ พื่อการศกึ ษาเรียนร้ดู งั นี้ - ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เพ่ือนภิกษุทั้งหลายเห็นเธอเป็นทุกข์เพราะ ไขห้ นัก เกิดความกรุณาข้นึ จึงพรรณนาคุณแห่งความตายเพ่อื ให้เธอพน้ จาก ความทกุ ขน์ นั้ โดยพรรณนาวา่ ทา่ นเปน็ ผมู้ ศี ลี จะกลวั ตายไปทำ� ไม สวรรคเ์ ปน็ ที่ส�ำหรับผูม้ ีศลี จะไปเปน็ ต้น ภกิ ษุน้นั จงึ อดอาหารและมรณภาพไป ทรงตัดสนิ วา่ ภกิ ษเุ หล่านน้ั ต้องอาบตั ปิ าราชิกแล้ว - ภิกษุผู้เท่ียวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง เดินบิณฑบาตเหนื่อยจึง ไปน่ังพักบนต่ังซ่ึงมีเด็กชายนอนคลุมโปงอยู่ โดยนั่งทับไปบนเด็กโดยไม่ได้ พจิ ารณา เด็กไดต้ ายไป ทรงตดั สนิ วา่ ไม่ต้องอาบัตปิ าราชิก เพราะไม่มเี จตนา แล้วตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อน่ึงพวกเธอไม่ได้พิจารณาก่อนแล้วอย่า นั่งบนอาสนะ รูปใดน่ัง ต้องอาบัติทกุ กฎ” - ภิกษุสองรูปเปน็ บตุ รและบดิ ากัน บวชอยูด่ ว้ ยกนั วันหนึง่ เมื่อถึง เวลารบั แจกอาหาร ภิกษผุ บู้ ตุ รบอกภกิ ษุบดิ าว่าขอใหไ้ ปรับแจก พระสงฆ์คอย อยู่ แลว้ ดนุ หลงั ผลกั ไป ภกิ ษบุ ดิ าเกดิ ลม้ ลงและถงึ มรณภาพ ทรงตดั สนิ วา่ ภกิ ษุ ผ้ไู ม่มคี วามประสงคจ์ ะให้ถึงมรณภาพ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ - ภกิ ษรุ ปู หน่ึงก�ำลังฉันอาหาร เนื้อติดคอ ภิกษอุ ีกรูปหน่งึ ไดต้ บคอ เธอ เน้ือหลุดออกมาพร้อมกับโลหิต ภิกษุนั้นถึงกับมรณภาพ ทรงตัดสินว่า ภกิ ษไุ มม่ คี วามประสงคจ์ ะให้ถงึ มรณภาพ ไมต่ ้องอาบตั ิ 80 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหน่ึงไปบิณฑบาต ได้อาหารปนยาพิษมาแล้วน�ำไปยังโรง ฉัน ไดถ้ วายอาหารน้นั ใหภ้ ิกษุอ่นื ฉนั ก่อน ภกิ ษทุ ้งั หลายฉันอาหารเขา้ ไปแลว้ ได้ถงึ มรณภาพ ทรงตัดสินว่าภิกษไุ มร่ วู้ า่ อาหารมีพษิ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ประสงคจ์ ะทดลอง ไดใ้ หย้ าพษิ แกภ่ กิ ษอุ กี รปู หนง่ึ ฉนั ภิกษุนั้นถึงมรณภาพลง ทรงตัดสินว่า เม่ือมีความประสงค์จะทดลอง ไม่ต้อง อาบตั ิปาราชกิ แต่ต้องอาบัติถุลลจั จัย - ภิกษุรปู หน่งึ ชาวเมืองอาฬวี สร้างวิหารกันอยู่กบั ภกิ ษอุ นื่ เธอรับ กอ้ นศิลาทภ่ี กิ ษอุ ีกรูปหนึ่งยกส่งขน้ึ ไป เธอรบั ไมด่ ี ท�ำให้กอ้ นศลิ าหลุดมือแลว้ ตกลงมาทับศีรษะภิกษุท่ีส่งศิลาข้ึนไปจนถึงมรณภาพ ทรงตัดสินว่า ภิกษุไม่ จงใจ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ - ภิกษุรูปหนึ่งมุงหลังคาวิหารเสร็จจะลง ภิกษุอีกรูปหนึ่งมีความ ประสงค์จะให้เธอตกลงมามรณภาพ จึงได้บอกให้เธอลงมาทางน้ัน เธอจึงลง มาตามคำ� บอก ได้พลดั ตกลงมาถึงมรณภาพ ทรงตัดสนิ ว่า เมอ่ื ภกิ ษปุ ระสงค์ จะใหถ้ งึ มรณภาพ ตอ้ งอาบัตปิ าราชิกแล้ว - ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ภิกษุทั้งหลายได้แนะน�ำให้เธออาบน�้ำจะได้ หาย ภิกษุนั้นจึงไปอาบน�้ำแล้วถึงมรณภาพ ทรงตัดสินว่า ภิกษุไม่มีความ ประสงคจ์ ะให้ถงึ มรณภาพ ไมต่ ้องอาบตั ิ - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ไดร้ บั การขอรอ้ งจากหญงิ คนหนงึ่ ซงึ่ เปน็ หมนั ชว่ ยจดั ยาท�ำใหค้ รรภแ์ ทง้ ใหเ้ พอื่ น�ำไปใหแ้ ก่ภรรยาอีกคนของสามี เธอรับปากแลว้ จัด ยาให้ตามประสงค์ หญิงหมันน�ำไปใหแ้ ก่หญงิ มคี รรภ์ ท�ำใหเ้ ดก็ ในครรค์ถึงแก่ ความตาย แตน่ างไมต่ าย ทรงตดั สินวา่ ต้องอาบัติปาราชิกแลว้ พระวินัยบัญญัติ 81 www.kalyanamitra.org