Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แด่...นักสร้างบารมี เล่ม ๓

แด่...นักสร้างบารมี เล่ม ๓

Description: แด่...นักสร้างบารมี เล่ม ๓

Search

Read the Text Version

J \\ ...•'โ^-^^^r<รฺ!•^-.'' ท ยทๆ!! '-) ..

ชุมทรัพย์ทางป้ญญา ะ ชุดบทแกผู้นำ โ/โ รวมโอวาทหลังฉัน ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ พระราชภาวนาจารย์วิ.(เผด็จ ทตฺตสืโว)

คำ น่า (5\"('^ไ^ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความสำคัญของกัลยาณมิตร ที่มี ต่อการประพฤติปฏิบัติ ให้อยู่ในความบริสุทธิ้ กาย วาจา ใจ ของ นักสร้างบารมีทั้งหลายไว้ว่า กัลยาณมิตรนั้น เป็นทั้งหมดของ พรหมจรรย์เลยทีเดียว เพราะการจะประคับประคองนาวาชีวิต ให้อยู่ใน เสันทางของการสร้างบารมี ให้ก้าวหน้าไปตลอดรอดฝังไม่หลงทิศ หลงทาง หรืออับปางเสียกลางคันนั้น จะต้องอาคัยท่านผู้มีความรู้ ความสามารถ มีความเข้าใจที่ถูกต้องในแนวทางการประพฤติปฏิบัติ คอยชี้แนะหนทางให้ แค่...นักสร้างบารมี ๓ (๙) ค่าน่า

พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตซีโว)® ซึ่งเป็น ครูบาอาจารย์ของพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา ของ วัดพระธรรมกาย ท่านก็ได้อาศัยครูบาอาจารย์คีอพระเดชพระคุณ พระราชภาวนาวิสุทธี้ (ไชยบูสย์ ธมฺมชโย)'^ และคุณยายอาจารย์ อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง'\" คอยชี้แนะให้ตั้งแต่ก่อนบวช แล้วท่านก็ได้นำ ประสบการณ์ในการฝึกฝนอบรมตนของท่าน มาถ่ายทอดให้แก' ภิษยานุศัษย์ในวาระต่าง ๆ ตลอดมา เซ่น วันคล้ายวันเกิด วันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา ฯลฯ ฝ่ายวิชาการ อาศรมบัณฑิต ได้พิจารณาเห็นว่า โอวาทในวาระ ต่าง ๆ เหล่านี้ นอกจากประกอบด้วยบทฝึกอันทรงคุณค่า ที่สามารถนำ ไปประพฤติปฏิบัติตามได้แล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยข้อคิดสะกิดใจ ที่ กลั่นจากประสบการณ์ การสร้างบารมีของท่าน ทำ ให้!ม่ด้องเสียเวลา ลองผิดลองถูก ย่นย่อหนทางการสร้างบารมีไปได้อีกมาก ผู้ใดที่ได้ตั้งใจอ่านแล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังย่อมสามารถเห็น ผล เกิดเป็นความเจริญก้าวหน้าในการฝึกห้ดขัดเกลาตนเอง อย่างชนิด ก้าวกระโดดทีเดียว ° ปี พ.ศ. ๒๕๕ร ดำ รงตำแหน่งสมณสักดี้เป็น พระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตช[ว) \" ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ดำ รงตำแหน่งสมณสักดึ๋เป็น พระเทพญาณมหาบุนี วิ. (ไชย\\เลย์ ธมฺมชโย) \" คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย คำ น่า (จ) แด่...นักสร้างบารมี cn

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ฝ่ายวิชาการ อาศรมบัณฑิต จึงได้กราบ ขออนุญาตพระเดชพระคุณหลวงพ่อ รวบรวมและเรียบเรียงโอวาท เหล่านั้น จัดพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อใช้เป็นบทฝ็กผู้นำด้านสืลธรรม เป็นต้นแบบอันดีงามแก'ชาวโลก โดยใช้ชื่อหนังสือชุดนี้วา \"แด่...นักสร้างบารมี\" สำ หรับ \"แด่...นักสร้างบารมี\" เล่ม ๓ นี้!ด้รวบรวมโอวาทที่ท่าน มอบให้แก่พระภิกษุสามเณร เป็นประจำทุก ๆ เช้า ของปี พ.ศ. ๒๕๓๓ จำ นวน ๑๙ เรื่อง ใร้ในเล่มเดียวกัน ขอให้ทุกท่านสามารถศึกษาค้นคว้าและนำโอวาทอันทรงคุณค่านี้ ใปประพฤติปฏิบัติ เพื่อฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ให้บังเกิดเป็นคุณธรรม ความดี เป็นบุญบารมียิ่งใหญ่ติดตัวใปข้ามภพข้ามชาติ และเป็นผู้นำ ซึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ตั้งแต่ปัจจุบันชาตินี้เป็นต้นใป ฝ่ายวิชาการ อาศรมบัณฑิต ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ นทํ...นักสร้างบารมี ๓ (พ) ฟ้านำ

สารบัญ คำ นำ (๔) ๑. สะอาดภายนอก - สงบภายใน ๓ ๒. พิจารถเาก่อนฉันภัตตาหาร ๗ ๓. เกียรติของพระภิกษุ ๑๑ ๔. ลำ บากเพราะมักง่าย ๑๕ ๕. ปฏิสันถาร ๒๑ ๖. การเทศน์สอน ๒๕ ๗. ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ๓๑ ๘. หยุดคิดสักนิด พิจารณาตนเองสักหน่อย ๓๓ ๙. ความรับผิดชอบ ๓๗ สารบัญ (๘} แท่...นักafไงนารมี ๓

๑๐. สิงแวดล้อมทีดี ๔๑ ๑๑. กองทัพเดินด้วยท้อง ๔๙ ๑๒. าข้าวพระ ๕๗ ๑๓. การประคองรักษาศร้ทธาญาดิโยม ๖๑ ๑๔. รู้ประมาณในความสะดวกสบาย ๖๗ ๑๕. ไข้ต้นฤดูหรือไซ้หัวสม ๗๓ ๑๖. มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข ๗๙ ๑๗. วันปาฏิโมกข์ ๘๗ ๑๘. การแปรงฟันที่ถูกวิธี ๙๕ ๑๙. ความสามารถด้านการแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ๙๙ ประวัติพระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทสุตสิโว) ๑๐๔ วิรีแกสมาธิเบื้องด้น ๑๐๔ นด่...นักสร้างบาร*! ๓ (๙) ส1ฬญ '0



/ L ^ร่^-^'''^^: ^ ฟ้^' ■*■*'^ . fl

๑ สะอาดภายนอก - สงบภายใน ไรฐ)Tf โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตช้โว) วันศุกร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ทุทธลักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) ขณะนี้เวลาหลวงพ่อเดินตรวจวัดตอนเช้า ได้พบว่า ลุงพลาลติก บ้าง หลอดดูดบ้าง ทิ้งอยู่ประปราย โดยเฉพาะเช้าวันจันทร์จะมีมากเป็น พิเศษ เช้าใจว่าญาติโยมทำตกบ้าง ตั้งใจทิ้งด้วยความมักง่ายบ้างในวัน อาทิตย์ และทั้ง ๆ ที่เศษขยะมันอยู่กลางถนน เห็นกันกระจะ แตก ยังมีพวกเราอุบาสก อุบาสิกา เจ้าหน้าที่วัด พระภิกชุ' ลามเณร บางคน บางรูป เห็นแล้วก็ดูดาย ปล่อยปละละเลย ผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่เก็บ ทำ เป็นเหมีอนคนตาบอด ไม่เห็นเศษขยะเหล่านั้น

การละเลยต่อความสะอาดเรียบร้อยบริเวณวัดอย่างนี้ ฟ้องถึง ความไม่รับผิดชอบทั้งต่อตนเองต่อส่วนรวม และยังเรนเครื่องบอกเหตุ ว่า ความร่วมมือร่วมใจของพวกเรายังดีไม่ถึงขั้น หลวงพ่อเคยไปเยี่ยมหลาย ๆ วัดในประเทศญี่ปุน ทุกวัดที่ไปเห็น อย่าว่าแต่เรื่องรักษาความสะอาดในบริเวณอาคารเลย แม้ถังขยะ ไม้กวาดเขาก็ยังล้างเสียจนสะอาดเอี่ยม ไม้กวาดของเขาทำด้วยไนล่อน เวลาใช้เสร็จ เขาก็เอามาล้างนํ้าทำความสะอาดด้วย เมื่อเขาทำความสะอาดกระทั่งถังขยะและไม้กวาดเช่นนี้ ก็แน่นอน ว่า สิงอี่น ๆ เขาก็ยี่งไม่ยอมให้มันสกปรก เพราะฉะนั้น เม้บางวัดจะมื พื้นที่ใหญ่โตกว้างขวาง แต่ทั่วบริเวณวัดก็ยังสะอาดเอี่ยมเหมือน เตรียมไวัต้อนรัชให้เทวดา นางฟ้า เข้ามาปฏิบัติธรรม ห้นมาดูวัดของเราบ้าง ตราบใดที่เรายังปล่อยปละละเลยบริเวณ วัดซึ่งเป็นวัตถุภายนอก ไม่ทำความสะอาดให้ดี แล้วเราจะหวังฝึกหัด ขัดเกลาจิตใจซึ่งเป็นวัตถุภายในให้ใสสะอาดนั้น ย่อมเป็นไปได้ยาก การอยู่บ้านหรืออยู่วัดก็ดี มื ๒ ลักษณะคือ (๑) อยู่แบบผู้อาด้ย (๒) อยู่แบบเจ้าของ ถ้าใครอยู่แบบผู้อาด้ย เช่น คนใช้หรือลูกจ้าง เขาเห็นอะไรสกปรกรกรุงรัง ก็จะคิดว่าช่างหัวมันไม'ดูไม่แล อยู่ไป วันหนึ่ง ๆ รอเวลาจากไป ขณะนี้ยังจากไปไม'ได้ก็ฃอชุกหัวนอนไป พลาง ๆ ก่อน เมื่อไรมีโอกาส ก็จะรีบถีบจากไป การที่จะทำอะไรให้ดีขึ้น เป็นอันไม่ต้องหวัง สะอใดภานนอก - สงบภายใน <? นด่...14กสร้างบารมี CD

ถ้าวัดไหน บ้านไหน ที่ทำ งานไหน มีบุคคลประ๓ทผู้อาศัยอย่างนี้ อยู่เป็นจำนวนมาก วัดนั้น บ้านนั้น ที่ทำ งานนั้น ก็มีแต่จะเสือมลง รอ วันที่จะล่มสลาย แต่ถ้าวัดใด บ้านใด ที่ทำ งานใด มีบุคคลประเภทฟ็น เจ้าของเข้ามาอยู่ มาช่วยกันดูแลปารุงรักษาให้สะอาด ช่วยกันพัฒนาก็ ย่อมเป็นความเจริญถ้าวหน้าของสถานที่นั้น ๆ ที่ไหนหากมีขยะไม'ช่วยกันเก็บ ไม่ช่วยกันดูแลรักษาให้สะอาด เรียบร้อย ใครเข้าไปอยู่ในที่นั้น ยากที่จะทำใจให้สงบราบเรียบเหมือน แผ่นกระจก ถึงเวลานั่งสมาธิภาวนา ก็ยากจะทำใจให้สงบลงได้ หรีอ แม้สงบได้ ก็เพียงชั่วครู่ข้วยาม ประเดี๋ยวใจก็จะ^งขึ้นมาใหม่อีก เพราะฉะนั้น ถ้าหากพวกเรารักที'จะฝึกหัดขัดเกลาจิตใจบุ่งไป นิพพานกันจริง ๆ ต้องพยายามทำทุกสิงที่อยู่รอบตัวให้สะอาด ให้ เรียบร้อย ให้ดีให้เป็นมาตรฐานฃื้นมาใหได้ หากทำได้อย่างนี้อย่าง ต่อเนื่องเมื่อไร จึงจะมีโอกาสไปนิพพานกันได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไปเท่านั้น นทํ...นกลรำงบารน ๓ <1 สะอาดภายนอก - สงบภายใน

พิจารณาก่อนฉันภัตตาหาร โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตช้โว) วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธลักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) ทุก ๆ วันก่อนฉันเช้า วัดชองเรามีธรรมเนียมปฏิบัติสีบต่อกันมา ว่า ให้ตั้งใจทำใจให้เป็นสมาธิ กลั่นใจให้ใสเป็นแก้วเป็นเพชร รวมทั้งนีก กลั่นข้าวปลาอาหารที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ ให้ใสตามไปด้วย แล้วเราก็น้อม ใจเอาอาหารส่วนละเอียด บูชาแด'องค์พระสัมมาล้มพุทธเจ้าเสียก่อน จากนั้นจึงฉันอาหาร เพี่อให้เกิดกำลังกายในการสร้างบารมีสีบต่อไป

แตในช่วงเพล ญาติโยมจำนวนมากมาช่วยกันเป็นเจ้าภาพ และ ร่วมกันประเคนอาหาร สถานการถ!ไม'เหมาะจะชาข้าวพระเหมือน ตอนเข้า ดังนั้น ก่อนจะฉันอาหาร ท่านจึงทำเพียงสวดบทพิจารณา อาหาร คือ ปะฎิสังขา โยนิโส ปีณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ เนวะ ทวายะ นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา ยาปะนายะ วิหิงสุปะระติยา พรัหมมะจะริยานุตคะหายะ อิติ ijnmญจะ เวทะนัง ปฏิหังขามิ นะวัญจะเวทะนัง นะ อุปาเทสสามิ ยาตรา จะ เม ภทิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวัหาโร จาติ ฯ แปลว่า เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ฉันบิณฑบาต ไม่ใช่ เพี่อความเพลิดเพลิน ไม่ใช่เพี่อความเมามัน ไม่ใช่เพี่อประดับ ไมใช่เพี่อ ตกแต่ง แตให้เป็นไปเพี่อความตั้งอยู่แห่งกายนี้ เพี่อความเป็นไปได้ของ อัตภาพ กำ จัดความลำบากทางกาย เพื่ออI^คราะห์การประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการระงับเวทนาเก่าคือความหิว และไม่ทำให้ทุกขเวทนาใหม่เกิดขึ้น อนึ่3 ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วย ความเป็นผู้หาโทใฟ้ได้ด้วย ความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย จักมีแก่เรา ด้งนี้ เมื่อพิจารณาอาหารตามบทสวดจบแล้ว จึงเริ่มต้นฉันภัตตาหาร แมัใจจะไม่สงบเทำกับใ^ชาข้าวพระพุทธในตอนเข้า แตใจก็สงบได้พอ สมควร และอยู่ในความพิจารณา หากพระภิกชุทำได้อย่างนี้เสมอ การฉันภัตตาหารแต่ละมื้อก็จะไม'เป็นหนี้ญาติโยม แต่ว่าถ้าพวกเราไป ต่างวัด จะเห็นว่าก่อนที่พระท่านจะฉัน ท่านจะมองนิ่ง ๆ ที่สำ รับกับข้าว ฟิจารผาทอพันภัตตาvm a นฅ่...นักสร้าผารร (ก

ทอดสายตาลงตํ่าอยู่สักนาทีสองนาที ที่ท่านทำอย่างนั้นก็เพราะต่างคน ต่างสวดปะฎิสังขา โยนิโส ฯลฯ พิจารณาอาหารอยู่ในใจ พอสวดจบ แล้วท่านก็ฉัน ขณะที่ฉันไป ท่านก็พิจารณาไป ฉันไป ไม่พูดไม่คุยกัน ยกเว้นมีเรื่องเร่งด่วนจำเรนจริง ๆ จึงจะพูด แต่ท่านก็พยายามพูดเสียง เบา ๆ และแบบรวบรัด พูดเสร็จต่างก็พิจารณาไป ฉันไป เมื่อตอนเริ่มสร้างวัดใหม่ ๆ หลวงพ่อและพระรุ่นบุกเบิกอยู่ ร่วมกันเพียงห้ารูป สิบรูป ก่อนฉันอาหารเพล ก็ล้อมวงพิจารณาอาหาร ก่อน ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แล้วก็ฉันกัน แต่เดี๋ยวนี้ มีผู้บวชใหม่เพิ่ม ขึ้นจำนวนมาก ถ้าเห็นหลวงพ่อพิจารณาอาหารนิ่ง ๆ อยู่ บางท่านก็อาจ ไม่รู้ว่าหลวงพ่อทำอะไร เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนจะฉัน เพลให้ทุกรูปพิจารณาภัตตาหารพร้อมกัน ด้วยการสวดปะฏิสังขา โยนิโส ฯลฯ ให้ดังลั่นสภาธรรมกายนี้ เพื่อญาติโยมจะได้ชื่นใจว่า หลวงพ่อ หลวงพี่ของพวกเขา ฉันอาหารที่ถวายด้วยความมีสติตามพระธรรม วินัย สวดเสร็จก็พิจารณาไปทุก ๆ คำ ข้าวด้วย ไม่พูดไม่คุยกัน เราก็จะ ได้สืกสติเต็มที่ ให้เราทำกันอย่างนี้ทั้งวัด ส่วนว่าเวลาออกไปวัดอื่น ก็ให้ ลูขนบธรรมเนียมของวัดนั้น ๆ แล้วเราก็ปรับตัวทำตามธรรมเนียมให้ พอเหมาะพอสมก็แล้วกัน นค่...นกสร้างบารมี CD <x พิจารณาก่อพ้ไ๓»แทพร

_^ .ริ^ร เกียรติของพระภิกษุ โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ. (เผด็จ ทตฺตช้[ว) วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธลักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) สมัยปูย่าตาทวดของพวกเรา หากพระภิกษุสามเณรรูปใดก็ตาม ย่างก้าวไปถึงไหน ก็จะมีประชาชนออกมาต้อนรับ มากราบไหว้แทบเท้า คอยให้ความสะดวกทุกสิงทุกอย่างไปถึงนั่น ถ้าถามว่าทำไมจึงเป็นอย่าง นั้น ก็ต้องบอกว่า เพราะพระภิกษุสามเณรตั้งแต่สมัยปูย่าตาทวด ท่าน ประพฤติปฏิบัติธรรมกันอย่างเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย จึงได้รับ เกียรติได้รับการยกย่องเชื้อเชิญอย่างมากมายถึงปานนั้น

แต่ปัจจุบันนี้ การให้เกียรติอย่างนี้นนับวันจะหมดไป ในเมือง ใหญ่ ๆ ที่ผู้คนพลุกพล่าน เราจะพบว่าพระภิกษุไม่ได้รับเกียรตินั้นแล้ว เคราะห์หามยามร้ายเดินไปตามถนนอาจถูกเดินชนจนล้ม ขึ้นรถเมล์ ก็ ไม่ค่อยมีใครอยากสละที่นั่งให้ แม้ที่สุด ตามวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งวัดในกรุงเทพฯ เวลาที่พระเดินผ่านถึงตรงหน้า ความหวังที่จะเห็น ภาพญาติโยมนั่งลงไหว้ เปิดทางให้ หรือกราบที่เท้า หรือกราบลงไปกับ พื้น ก็ไม่มีแล้ว ถ้าพระภิกษุไม'ว่าจะอยู่วัดไหน ยังตั้งใจประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ก็จะยังได้ร้บเกียรติอย่างนั้นจากญาติโยม อยู่ แต่ถ้าเราไม'ค่อยเคร่งครัดระมัดระวังตัวเองเท่าที่ควร ถึงคราว ลวดมนต์ก็ไม่ค่อยจะลวด ถึงคราวนั่งเจริญลมาธิก็ขาด ถึงคราวจะต้อง ขึ้นเทศน์ก็เกี่ยงกัน ไม่ค่อยอยากจะขึ้นเทศน์ เพราะเตรืยมมาไม่พร้อม งานการส่วนรวมบางวันก็ขยัน บางวันก็เกียจคร้าน ความประพฤติเหล่านี้ล้วนเป็นการลดเกียรติ ลดฐานะ ลดยศของ พระเอง ถ้าปล่อยปละละเลยไม่รืบแก้ไข ไม่ช้าพระในวัดของเราก็จะ ไม่มีใครไหว้ ไม่มีใครกราบ แล้วตอนนั้นไปโทษใครเขาก็ไม่ได้ เพราะ เป็นความผิดพลาดของเราเอง เราต้องตระหนักว่า เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ถ้า สำ รวจตรวจลอบตัวเองเมื่อไร เราก็จะพบช้อบกพร่องของตนเองจนได้ เมื่อเราพบช้อบกพร่องของตนเองแล้ว ก็ขอให้รืบแก้ไขเสียอย่าปล่อย ปละละเลย ครั้งใดถ้าญาติโยม เขาไม'แลดงความเคารพ ไม่กราบ เกียรพิ!เองพระภิทชุ ๑!อ่ นด่...นักสร้างบารมี 0)

ไม่ไหว้ ไม่เกรงใจ ต้องรีบพิจารณาดูตัวเองว่า เราบกพร่องอะไรตรงไหน พบแล้วก็ให้รีบแ^ขเสีย ทุกครั้งที่ญาติโยมเขาเคารพ เขากราบ เขาไหว้เรา ก็ขอให้ถามตัว เองว่าเราดีจริงสมกับที่เขากราบไหว้แล้วหรือยัง ถ้ายัง!ม'เหมาะสมก็รีบ ปร้บปรุงแก!ขให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ถ้าคิดว่าเหมาะสมแล้วก็ต้องถามต่อ อีกว่าดีถึงที่สุดหรีอยัง ก็จะได้คำตอบว่า ยัง ด้วยเหตุนี้เราจึงถูกบังคับ ให้ต้องรีบปรับปรุงแกไขตัวเองให้ถี่ยิบไปเลย ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นประจำ แม้ยังไม'หมดกิเลสต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อีกกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ก็ ย่อมไม่ตกอับแน่นอน นฅ่...นัทสร้างบารมี ถา ดฅ เกียาฬิองพาผากชุ ไ

|£ ลำ บากเพราะมักง่าย ^ช^^' โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตช้โว) วันพุธที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) ปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาเรื่องแหล่งนํ้าอยู่ไมนอย แม้ว่าใน สมัยยู่ย่าตาทวดของเราจะมีนํ้าในแม่นํ้าลำคลองให้ทั้งดื่ม กิน อาบ ทั้ง ใช้สอยต่าง ๆ ได้อย่างสม!^รณ์เหลือเฟือ แต่ว่าเนื่องจากความมักง่าย ของคนเราเอง ก็เลยก่อความยุ่งยากขึ้น นํ้าสกปรกโสโครกตามบ้าน เรือนไม่รู้ว่าของใครต่อของใคร มีเท่าไรต่างก็ปล่อยลงแม่นํ้าลำคลองไป หมด ทั้งขยะทั้งส้วมเทลงไป จนนํ้าในเฌ่นํ้าลำคลองกลายเป็นนํ้าเน่า ตลอดสาย

ในประเทศไทยเรา ตั้งแต่แควที่เป็นต้นนํ้าเจ้าพระยา ไล่เรื่อย ตั้งแต่เชียงใหม่ลงมา มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก โรงงานแต่ละแห่งต่างปล่อยของเสียลงแมนา บ้านเรือนตลอดสองฝังก็ ปล่อยนํ้าโสโครกในบ้านเรือนมาตามท่อระบายนํ้า แล้วปล่อยลงแม่นํ้า ท่าให้นํ้าในแม่นํ้าลำคลองต่าง ๆ เน่าแทบจะตลอดสาย เพราะฉะนั้น นั้าที'จะดื่มกินได้ตามธรรมชาติ ขณะนี้ก็ขาด แคลนลง จำ เป็นต้องเจาะเอานํ้าใต้ดินขึ้นมาใช้ ทั้งที่ถ้าช่วยกันรักษา แมนาให้สะอาดตลอดสาย ก็ไม'จำเป็นต้องเอานํ้าใต้ดินมาใช้ให้ยุ่งยาก ใช้เพียงนํ้าในแม่นํ้าลำคลองก็เหสีอเฟือ ในญี่!]นและยุโรปหลาย ๆ ประเทค เขารักษาเฟนํ้าลำคลองดี มาก ที่ปารืสเมีองหลวงของฝรั่งเคส นํ้าในแม่นํ้าใสแจํว ลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษนํ้าในเฌ่นํ้าของเขาก็ใสแจํว ไม่มีขยะไม่มีของเสีย ปนอยู่เลย เพราะไม่มีใครกล้าเอาขยะ หรือนํ้าโสโครกระบายลงแม่นํ้า เขาเป็นห่วงเฟนํ้าลำคลองของเขามาก นํ้าในแม่นํ้าจึงน่ามาอาบน่ามาดื่ม น่ามากินได้สบาย ค่าใช้จ่ายในการท่านํ้าประปาก็ถูกมาก นี่คีออานิสงส์ ของความไม่มักง่าย ซึ่งไม่ต้องรอรับผลถึงภพชาติเบื้องหน้า ความจริงแล้วคาสนาต่าง ๆ ในโลก เขาไม่ได้มีค่าสอนสำหรับ ลูกติษย์เป็นการเฉพาะว่า อย่าถ่ายอุจจาระ อย่าถ่ายบ้สสาวะลงนํ้า อย่าเอาของโสโครกไปทิ้งในนํ้า ลำ บากเพ7าะมักง่าย G)X> นส่...นกส'ทงบารมี ๓

มีแตในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องเหล่า นี้ไว้ดังปรากฎในพระวินัยอย่างชัดเจนว่า \"ไม่ให้พระภิก!^ถ่มนํ้าสาย ไมให้ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระลงนํ้า\"® แต่เพราะเราแม้ประกาศตนเป็น ชาวพุทธก็ไม่ปฏิบัติตาม เราจึงได้เดือดร้อน จำ เป็นต้องเจาะนํ้าบาดาล เอานํ้าใต้ดินขึ้นมาใช้ แล้วแผ่นดินก็ทรุดสง การขุดเจาะนํ้าบาดาล นอกจากทำให้แผ่นดินทรุดแล้ว บ่อนํ้า บาดาลเมื่อใช้ไประยะหนึ่งระดับนํ้าจะลดตรลง หรือดินทรุดมาก ก็ จำ เป็นต้องกลบบ่อ วิธีกลบบ่อที่ดีที่สุด ดือใช้ชีฌนต์อุดเข้าไปในทํอเสีย เมื่อเอาชีเมนต์อุดเช้าไปในท่อแล้ว นํ้าในดินระดับต่าง ๆ กัน จะไม่ไหล มาถึงกัน แต่ว่าทั้ง ๆ รู้ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากไม่ยอมอุดบ่อที่เลิกใช้ แล้วอย่างถูกวิธี เพราะฉะนั้น นํ้าเสียจากระดับหนึ่ง ก็จะไหลรั่วตาม รอยนั้นลงไป^อีกระดับหนึ่ง แล้วก็จะเป็นความเสียหาย นํ้าในดินก็เน่า เหมือนนํ้าในแม่นํ้าไปด้วย นับแต่นี้ถ้าเจาะลงไปหวังจะได้นํ้าบาดาลใส ๆ มากิน ก็อาจจะพบนํ้าจากส้วมใครก็ไม่รู้ รั่วไหลลงไปในระดับนั้น แล้ว ความเสียหายก็จะเกิดกับคนทั้งชาติ วิ.มทา. (£/(ร๗(ร/<*ร:๕ (มมร.) นท่...นกลร้างบารมี ฅ) anf สำ บากพภรมักง่าย

% '• ' * * พฺ- r ■. K-

เ^;,)^ ;r-,iรp^i^^Pรi'S;:•รi//1S ร|่--®C--:\" - ■*.■ •:.. '- \" ^ ร'^i; . -''^■;J;-?''-:^-i,\"V •••..'■• ' W'i' - ^2, ■^■'■^- -'l\"' 'ไ^ \" \"s s 'vfe'lii \\t ร. ■■๙i«; - 'ไ!'/-r:-'- •-รร • • f* ,* *

ปฏิสันถาร โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตช้โว) วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธลักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) วันนี้ที่วัดของเรา จะมีพระอาลันตุกะมาจากหลายแห่งด้วยกัน ทั้ง ภาคเหนีอ ภาคกลาง ภาคใต้ พระแด'ละรูป ท่านก็มีวัตรข้อปฏิบัติ เฉพาะ ๆ ของท่าน ถึงแม้จะถีอปาฏิโมกข์เล่มเดียวกับเรา มีข้อวัตร ปฏิบัติหลัก ๆ เหมีอนกัน แต่ว่าการเคี่ยวเข็ญ สืกอบรมของแต่ละ สำ นัก แต่ละวัด ก็อาจแตกต่างกันไปบ้าง ตามประเพณีประจำท้องถิ่น

พวกเราในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน หลายรูปได้ทำหน้าที่ของพระเจ้าบ้าน อย่างดีอยู่แล้วคือ ได้ต้อนรับ ได้ปฏิสันถาร ดูแลนิมนต์เชื้อเชิญท่าน ถึงเวลาจะฉันอาหารก็นิมนต์ท่านมา ถึงเวลาจะพาชมสถานที่ จะติดต่อ อะไรก็ช่วยดูแลท่าน ซึ่งเป็'แมารยาทที่ดีฃองเจ้าของบ้าน เป็นวัตรอย่าง หนึ่งที่จะต้องท่าโดยทั่ว ๆ ไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่อได้เวลาฉันอาหาร หลวงพ่อก็พบ ข้อบกพร่อง ที่จะต้องขอให้ปร้บปรุงแก!ข คือเราไม่ได้บอกท่านก่อนว่าที่ วัดของเราฉันวงละสีรูป บางกลุ่มท่านก็เลยนั่งวงละห้ารูป หกรูป อาหาร ก็อาจจะไม่พอขึ้นมา ในขณะที่บางวงเหลือ เพราะฉะนั้น ครั้งต่อไปเมื่อ จะรับรองพระอาคันตุกะ ถึงเวลาฉันอาหารบอกให้ท่านทราบด้วยว่า ฉันวงละสีรูป ถ้าให้ดีที่สุดในวงอาหารแต่ละวง อย่างน้อยควรจะมีพระภิกษุของ เรากระจายกันไปวงละรูป ขาดเหลืออะไรเราจะได้คอยดูแลให้ความ สะดวกแก่ท่าน บางวงซ้อนล้อมไม่พอ ก็จะได้เรียกหามาให้ท่าน หรีอนํ้า ที่เตรียมเอาไว้วงละเหยือกอาจไม'พอ แน่นอนท่านเป็นพระอาคันตุกะ ท่านไม่กล้าเรียกเพิ่มหรอก ท่านเกรงใจเรา เกรงจะถูกครหาว่าเป็นพระ จู้จี้ ความบกพร่องก็จะตกถึงเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อถึงมื้ออาหาร หลวงพ่อฉันไปก็สังเกตไป โดยเฉพาะ รูปที่ท่านมาลำพัง ๆ แม้จะมานั่งฉันกับเรา แต่ว่าเมื่อฉันข้าวจนหมด จานแล้ว ท่านก็ไม่เติม เพราะท่านเกรงใจ หรืออาจไม่คุ้นกับการฉัน อาหารกับพระต่างวัด หรือบางทีท่านไม่คุ้นธรรมเนียม ท่านก็ก้มหน้าก้มตา ปฏิสันถาร 1ร)^ แด่...นักสร้างบารมี 0)

ฉันของท่านไป พอเงยหน้าขึ้นมา เห็นเรานั่งตัวตรงหน้าวางเฉยอยู่ข้าง หน้า ก็เลยฉันไม่ลง เพราะฉะนั้น ในฐานะเจ้าของสถานที่อาจจะต้องพูด คุยทักทายกับท่านบ้าง เพื่อให้ท่านเกิดความรู้สีกเป็นกันเอง ไม่ใช่เราก็ ตั้งหน้าตั้งตาฉันอาหารไปเรื่อย ก็จะกลายเป็นว่าเราบกพร่องในการ ต้อนร้บ หรือไม่เต็มใจต้อนรับท่าน พวกเททุกรูปในที่นี้ ไม'ว่าจะมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการต้อนรับใน วันนี้หรือไม่ ในฐานะเป็นเจ้าของบ้าน มีหน้าทีจะต้องปฏิสันถาร ต้อนรับแขก ให้พวกเราช่วยกันดู อย่าปล่อยให้ท่านเคว้งคว้าง เห็น พระอาคันตุกะแล้วต้องรีบเข้าไปนิมนต์ท่านมา ตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อเป็นเด็ก โยมพ่อโยมแม่ฝึกหลวงพ่อเรื่อง การต้อนรับมาอย่างเข้มงวด แขกไปใครมาต้องออกมารับหน้า เชิญเขา กินข้าว เชิญเขาดื่มนํ้าก่อน หลวงพ่อท่าในสิงเหล่านี้ไม'เคยขาดตก บกพร่อง อยู่บ้านก็ทำอย่างนี้ ไปโรงเรียนก็ทำอย่างนี้ เข้ามหาวิทยาลัยก็ ทำ อย่างนี้ ออกมาทำงานทำการก็ยังทำต่ออีก แม้ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ หลวงพ่อไม่เคยปล่อยให้ญาติโยมยืนเคว้งคว้างอยู่หน้าประตู โดยไม่ส่ง เสียงทักทายออกไปเลย เพทะฉะนั้น ก็เป็นบุญติดตัวตั้งแต่เล็กมาแล้ว ไปบ้านใคร ใครเขาก็เชิญเทกินข้าวทุกครั้งไป ไม่เคยอดเลย สมัยไปเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย ตามธรรมดาแล้วฝรั่งเขาไม่ เชิญใครไปกินข้าวที่บ้านเขาง่าย ๆ ถ้าจะเชิญใครไปกินข้าวที่บ้าน สอง สามีภรรยาต้องตกสงกันก่อน ถ้าสามีอยากจะชวนเพื่อนมากินข้าว ภรรยาบอกว่าไม่เอา ฉันขี้เกียจทำกับข้าว สามีก็ซวนมาไม่ได้ ภรรยา นทํ...นกลร้างบารมี ๓ io ปฎิส้นทาร

อยากจะชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน สามีบอกว่าไม่เอาขี้เกียจรับแขก ฉัน จะนอนเล่นของฉันบ้าง ต้องการเวลาพักผ่อนส่วนตัว ภรรยาก็ซวน เพื่อนมากินข้าวไม'ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปบ้านใครโดยไม่ได้นัด ล่วงหน้า ถือว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดีอย่างยิ่ง เมื่อธรรมเนียมของเขาเป็นอย่างนี้ การที่จะไปกินข้าวบ้านใคร ก็ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในต่างประเทศ แต่หลวงพ่อก็มีบุญพิเศษอยู่ ตลอดเวลา เดี๋ยวอาจารย์ท่านโน้น อาจารย์ท่านนี้ก็ชวนไปกินข้าวที่บ้าน ชวนไปเที่ยวบ้านท่าน และไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม จะได้รับการต้อนรับ เป็นพิเศษตลอดมา ก็เข้าใจว่าเป็นอานิสงส์ของการที่เรามีนํ้าจิตนํ้าใจ ตั้งใจต้อนรับแขกมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต เพราะฉะนั้น พวกเราทุกรูป ขอให้ช่วยกันต้อนรับปฏิสันถารให้ดี เป็นโอกาสทองของเราแล้ว ที่จะได้สร้างบุญโดยไม่ต้องดิ้นรน หว่านพืช เช่นใด ก็ได้ผสเช่นนั้น เราจะได้บุญใหญ่จากการต้อนรับปฏิสันถาร ของเรา แสะบุญนั้นก็จะส่งให้เราเมื่อไปถึงไหน ย่อมจะได้รับการต้อนรับ อย่างดีไปถึงนั่นในภายภาคหน้า ปฏิสันถาร isf นทํ...นกaร้างนารนี cn r-

การเทศนสอน ('เ^ โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตช้โว) วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธลักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) อยากให้พวกเราทบทวนเรื่องสำลัญลักเรื่องหนึ่งว่า ถ้าพระภิกชุ สามเณรยุคก่อน ๆ ท่านไม่ยอมเทศนึ่!ม่ยอมสอน พอบรรลุธรรมแล้วก็ เข้าปาไปเจริญภาวนาต่อเพียงลำพัง ๆ เสียหมด พระพุทธศาสนาคงมา ไม่ถึงเรา คงสูญไปตั้งแต่พระลัมมาลัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ใหม่ ๆ แล้ว แต่ที่พระศาสนายืนยาวมาถึงทุกวันนื้โด้ ก็เพราะพระภิกพุ สามเณรในอดีตไม่ยอมหลีกเลี่ยงการเทศน์การสอน

ไม่ว่าจะสืกษาค้นคว้าอะไรมาได้ ท่านก็นำมาชี้แจงแสดงกันอย่าง กว้างขวาง แล้วยังจดบันทึกไว้ด้วย พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์จึง แพร่หลาย สืบทอดต่อ ๆ มาจนถึงพวกเรา เหตุผลประการที่หนึ่ง ที่พระภิกชุ;สามเณรในยุคของพวกเรา จำ เป็นต้องเทศน์สอนญาติโยม คือ เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน ต่อไปอีกหลาย ๆ ชั่วศน เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ คนเราอยู่ด้วยกัน ถ้ามีแต่รับฝ่าย เดียวไม่มีให้ตอบแทนบ้าง ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้ ธรรมชาติทั่วไปก็ต้องมีทั้งฝ่ายร้บฝ่ายให้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเฟนํ้าหรีอทะเลถูกแดดเผา กลายเป็นไอนํ้า ลอยขึ้นไปทุกวัน ๆ แต่ฝนไม่เคยตกลงมาเลย แม่นํ้าน้อยใหญ่รวมทั้ง ทะเลมหาสมุทร ก็คงแห้งเหือดไปนานแล้ว มนุษย์และสัตว์ก็คงอด นํ้าตายไปนานแล้วเช่นกัน หรือถ้าท้องฟ้าให้ฝนลงมาทุกวัน ๆ แต่แม่นํ้า หรือทะเลไม่เคยให้ไอนํ้าขึ้นไปเลย ท้องฟ้าก็คงจะแห้งผาก ไม่มีเม็ดฝน หล่นลงมานานแล้ว แต่นี่เป็นเพราะว่าเมื่อฝ่ายหนึ่งไหไป อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งร้บมาแล้ว ก็ หาทางให้ตอบแทนกลับคืนไปด้วย เพียงแต่ต้องพิจารณาว่าจะคืนให้ใน รูปอย่างไร ที่พอเหมาะพอลม ลามารถจะก่อให้เกิดความลมดลของ I ไ. ^ธรรมชาติ เด การเทศพ์'อน lot) นด่...นกสร้า4บารมี ๓

พระภิกษุสามเณรก็เซ่นกัน มีโอกาสบวชเรียนได้เต็มที่ไม่ต้อง กังวลเรืองทำมาหากิน เพราะญาติโยมเขาตักบาตรให้ทุกวัน เพราะฉะนั้น ท่านย่อมมีหน้าที่หลักต้องให้คืน ประการแรกคือ ต้อง ประพฤติปฏิบัติตัวเองให้ดีพร้อมตามพระธรรมวินัย ประการที่สอง พระภิกษุสามเณรต้องรับตำแหน่งหน้าที่ครูสอนคืลธรรมให้ญาติโยม ด้วย ไม่ว่าจะเต็มใจร้บหรือไม่เต็มใจร้บ ทำ ได้หรือไม่ใด้ก็ต้องทำ ถ้าไม่ได้ ก็ต้องขวนขวายไปทำให้ได้ เหมือนอย่างโยมพ่อโยมแม่ของพวกเรา ถ้าใครเป็นพี่คนโตจะรู้ดีว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องขวนขวายเรืยนรู้วิธี เลี้ยงลูก และปรับปรุงตัวเองขนาดไหน โดยเฉพาะคุณแม่ ทันทีที่รู้ว่า ตั้งครรภ์ ท่านจะเปลี่ยนทำทีของท่านทันที ที่เคยยกเคยแบกเคยหาม ของหนัก ๆ ท่านไม่เอาแล้ว ท่านวางงานเหล่านั้นเสีย กลัวจะกระเทีอน ถึงลูกที่อยูในท้อง ข้าวปลาอาหารอะไรที่รสจัดไปแม้จะเคยชอบมากท่าน ก็เลิก ท่านบอกว่าเดี๋ยวลูกที่อยูในท้องจะเดือดร้อน ทันทีที่เราเกิด ท่าน ทั้งสองก็รับหน้าที่สมเป็นพ่อเป็นแม่ คือดูแลเราอย่างดื พวกเราก็เซ่นกัน เมื่อจะต้องรับหน้าที่ครูแล้ว ก็ต้องขวนขวาย ค้นคว้าหาดวามรู้หางธรรมทั้งจากตำรับตำรา อาจต้องใช้วิธีครูทักลักจำ บ้าง แล้วนำมาทดลองประพฤติปฏิบัติดู บางอย่างเหมาะสมกับยุคสมัย ดีแล้วก็ถ่ายทอดออกไป บางอย่างที่ไม่เหมาะสมก็ปรับปรุงแกไขกันไป ก่อน \"ครูทัก\" คือ เมื่อเทศน์สอนไปแล้วดีไม่พอ ก็โดนทักว่า ไม่ได้ ความเลยเทศน์วันนี้ ไม่ดีอย่างนั้น ๆ โดนทักเข้าไปแล้ว ก็ให้ถือเอาคำ ทักนั้นมาเป็นครูสำหรับการแกไข อีกวันไปเทศน์มา เขาทักว่าดี ก็อย่า นฅ่...นกส'ทงบารมี ๓ การเทศโiสอน

มัวปลื้มอกปลื้มใจอยู่ ใฟ้รีบถามกลับไปเลยว่าดีอย่างไร แล้วก็บันทึก เก็บเอาไว้ ส่วนที่ดีก็ปรับปรุงไห้ดียิ่งฃื้นเรื่อยไป ส่วนทึไม่ดีก็แก็ไข ไห้ดีขึ้น นี้คีอครูทัก หรือคนที่คอยทักท้วง หรือคอยซื้ชุมทรัพย์ไห้ อย่างไรก็ตาม ต้องระวังไว้เหมือนกันว่าบางทึที่เขาว่าดี ๆ นั้นเมื่อ เอาไปไซ้กับอีกกลุ่มหนึ่ง เขาอาจบอกว่าไม่เข้าท่าก็ไต้ ซึ่งก็ต้องบันทึกเอา ไว้เพี่อปรันไหม่ และเพี่อเรืยนรู้ว่าคนอัธยากัยอย่างนี้ เขาชอบอย่างนี้ คนอัธยากัยอย่างโน้น เขาชอบอย่างโน้น มืซ้อลังเกดว่าไนหยู่คนที่มืพื้นไจเป็นประ๓ทศร้ท่ธานำหน้า เขา ไม่ต้องการฟ้งเหตุผลมากน้ก มืนิทานสนุก ๆ มาเล่าแล้วแถมธรรมะนิด หนํอยก็พอแล้ว แต่ไนหยู่ของคนที่มืปัญญามาก สืกษามาก เพียงเล่า นิทานไห้ฟัง เขาไม่พอหรอก เขาจะซ้กเหตุซ้กผล ก็ต้องยกเอาเหตุเอา ผลไปแสดงไห้ซ้ด เขาท่ากันมาอย่างนี้ตั้งแต่โบราณ \"ลักจำ\" คือ เห็นไครเขาเทศน์ดี ๆ แบ่งเนี้อหาเป็นวรรคเป็นตอน ถูกจังหวะ ยกเหตุผลอุปมาอุปไมยอย่างนั้นอย่างนี้ ฟังแล้วท่าไห้เกิด ความซาบขึ้งไจ ก็จำ เอามาทดลองท่าดูบ้าง แต่ขอไห้รู!ว้อย่างหนึ่งว่า คำ พูดบางคำ ท่าทางบางอย่างที่คนหนึ่งท่าแล้วดูดี แต่บางทึก็ไม่เหมาะกับ บุคลิกของเรา ก็ต้องโยนทิ้งไป อันไหนไช!ด้ก็เอามาปรับไซ้ตามความ เหมาะสม ทั้งหมั่นลังเกตและฝึกฝนอบรมอย่างสมํ่าเสมอ หลวงพ่อเองถ้าจะว่าไปแล้ว วิธีเทศน์วิธีสอนบางทีก็ไต้มาจากครู ทัก แล้วก็ลักจำมา ไม่เคยมืครูฝึกไนเรื่องการเทศน์มาโดยตรง เพราะ พอเริ่มสร้างวัดมาได้เกิอบ ๆ ๒ ปี ก็บวช ก่อนบวชไม่มืเวลาซ้อมคำ ท-ทเทคน์สรน นด่...นักสร้า4บารมี ๓

ขานนาคเลย ขนาดพรุ่งนี้จะบวช วันนี้ยังลุยชุดคูนํ้าอยู่กลางทุ่ง วิธีที่ใช้ ท่องคำขานนาค ก็คีอ เอากระดาษจดคำขานนาคเหน็บกระเป๋าไปด้วย ท่างานไปก็ท่องไป จำได้ว่าต้องท่าอะไรต่ออะไรสองอย่างในเวลา เดียวกันอยู่บ่อย ๆ จนรู้สืกชาตินี้คงต้องทำงานในลักษณะนึ๋ไป ตลอดชาติ เมื่อไมมครูสอนโดยเฉพาะ ก็ต้องอาด้ยตำรับตำรา และวิธีการ แบบครูทักลักจำ แล้วที'ลักจำได้มาก ก็ได้จากพระอุปัชฌาย์ของ หลวงพ่อเองที่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ® ตอนนั้นพอเช้าขึ้นมาท่านก็ท่าอย่าง ที่หลวงพ่อกำลังท่าอยู่ คือพระที่วัดปากนํ้าทุก ๆ เช้าหลังจากฉันเช้า เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์ทำวัตรกัน ต่อจากนั้น พระอุปัชฌาย์ของหสวงพ่อท่านจะให้โอวาทเช้าละ ๕ นาที เวลาไม่มากนัก แต่ว่า ๕ นาทีของท่าน เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นแกํนพร้อมเสร็จสรรพ หลวงพ่อก็ได้สังเกตจากโอวาท ๕ นาที เหล่านี้ฃองท่าน ว่าท่านมี วิธีขึ้นต้นอย่างไร เนื้อหาท่านท่าอย่างไร แล้วสรุปท้ายท่านสรุปอย่างไร ก็ได้สักจำเอามาฝึกฝนเอาเอง ซึ่งในที่สุดหลวงพ่อก็ท่าได้ หลวงพ่อขอ เตือนเอาไว้ว่า การเทศน์ยาว ๆ เป็นชั่วโมง ๆ นั้นไม่ยาก ที่ยากที่สุดคือ เทศน์สัน ๆ นักพูดระดับโลกคนหนึ่งเศยพูดเปิดใจไว้ว่า ล้าจะเชิญให้เขาไป บรรยาย ๓๐ นาที เขาขอเวลาเตรียมเรื่องสัก ๗ วัน ถ้าให้บรรยาย ๑๕ นาที ก็ขอเวลาเตรียมเรื่องอย่างน้อยสัก ๑๕ วัน ยิ่งถ้าจะให้พูด ๓ - ๕ • สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรชุญโฌ ป.ธ.(ร?) นด่...นกสร้างบารมึ ๓ ไร)ร; การ1ทศนสอน

นาที ต้องขอเวลาเตรียมอย่างน้อยหนึ่งเดือน ถ้าให้เวลาน้อยกว่านั้น ไม'รับ แต่ว่าถ้าจะให้ข้าพเจ้าบรรยายสัก ๒ - ๓ ชั่วโมง ให้บรรยาย เดี๋ยวนี้ก็พร้อม เมื่อไรก็ได้ ก็ขอให้พวกท่านตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ แล้วไปฝึกหัด เทศน์กันทุกรูป โดยเฉพาะการเทศน์สัน ๆ ไม่เกิน ๑๐ นาที ถ้ายังดู ตัวอย่างจากใครไม่ได้ จะดูจากหลวงพ่อไปก่อนก็ได้ จำ เอาไปฝึกกันนะ ทานทศน์สอน ๐๐ นฅ่...นักสร้างบารมี CI)

ตัดไฟเสิยแต่ต้นลม (''j('s'J s J \" โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ. (เผด็จ ทตฺตชีโว) วันอังคารที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) โบราณสอนเอาไว้ว่า เมื่อมีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้น ต้องรีบ แกไขเสียตั้งแต่ต้นมีอ ท่านใช้คำว่า \"ดับไฟเสียตั้งแต่ต้นลม\" คือเมื่อมี ไฟลุกติดขึ้นมานิดหนึ่งไหรีบดับเสีย เพราะไฟกับลมนี้มีความสัมพันธ์ กันในลักษณะแปลก ๆ อยู่อย่างหนึ่ง ใครจะไปทดลองดูก็ได้ แต่อย่า ไปลองใกล้กุฏิหลังคาจากก็แล้วกัน

เวลาลมสงบนิ่ง ๆ ไม'พัดเลยนิ่แหละ หากจุดไฟฃื้นมาเมื่อไร เดี๋ยวลมจะพัดมาเอง ที่ลมพัดขึ้นมาได้ เพราะเมื่อจุดไฟขึ้น อากาศแถว นั้นจะร้อนแล้วก็ลอยตัวขึ้นไป อากาศจากที่อี่นก็พัดเข้ามาแทนที่ เป็น ลมพัดอู้มาทีเดียว ยิ่งร้อนเท่าไรลมยิ่งพัดแรงเท่านั้น เพราะฉะนั้น พอ ไฟติดที่ไหน ลมจะมาทุกทีไป เมื่อเวลาไฟลุกไหม้บ้านเรือน แรก ๆ ลมอาจยังไม่ค่อยรุนแรง แต่พอไฟติดมากเข้า ลมจะยิ่งโหม ยิ่งทำไหไฟลุกฮืออย่างรวดเร็ว โบราณจึงบอกว่า ให้ดับไฟเสียตั้งแต่ตันลม หรือว่าตั้งแต่ลมยังไม่มา คือไฟมันยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราไม่รืบแก็ไข เสียตั้งแต่ต้น ต่อไปจะเกิดความยุ่งยากตามมา แถมท่าให้เพาะนิสัย มักง่ายตามมาด้วย ถ้าเราเดินไปตามถนน พบขยะสักชิ้นหนึ่งแล้วไม'รีบเก็บ ขยะที่ทิ้ง ไว้นั้นมันจะพูดได้ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีปาก มันพูดว่า ใครอยากจะทิ้งอะไรก็ ทิ้งมาอีกโว้ย แล้วเดี๋ยวก็จะมีขยะที่คนอื่นทิ้งตามมาเรื่อย ๆ เอง หรือ จรง ๆ เพราะฉะนน ความผดพลาดอะเรกด ฌอเรมเกดแลวตองรบแก ถ้าไม'รีบแก้แล้วมันจะลาม โบราณท่านจึงกำชับว่า \"ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้น ลม\" ตัดไฟฝ็ขนต่ต้'ไฬม พร นฅ่...นกaร้างบารมี ๓

หยุดคิดสักนิด พิจารณาตนเองสักหน่อย โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจไรย์ วิ. (เผด็จ ทตฺตชีโว) วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) วันนี้เป็นวันที่พวกเราสงฟังปาฏิโมกข์กัน เพี่อให้การสงปาฏิโมกข์ ของเราสมรณ์พร้อมตามที่พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ ก็ ขอให้ตรวจสอบตนเอง นึกทบทวนความประพฤติของเรากันดูว่า เท่าที่ ผ่าIณา เราได้ฉันช้าวชาวบ้านแล้ว ยังชีวิตอยู่ด้วยชาวบ้านแล้ว เราได้ ประพฤติปฏิบัติตน สมกับที่ชาวบ้านเขากราบไหว้บำรุงเลี้ยงเรามาแล้ว หรือยัง

ญาติโยมเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรกับเราเลย ไม'ได้เป็นพ่อเป็นแม่ ไม'ได้เป็นพี่เป็นน้อง ไม'ได้เป็นญาติสายโลหิตกับเรา แต่ก็ได้ตั้งใจมา ดูแล มาบำรุงเลี้ยงเรา มากราบไหว้เรา ทั้ง ๆ ที่พวกเราหลาย ๆ รูปใน ที่นี้ก็ไม่เคยเทศน์เคยอบรม ไม่ได้เคยสั่งสอนเขา จะมีบุญคุณอะไรแก่ เขาก็แทบจะมองกันไม่ออกทีเดียว แต่เขาก็ยังบำรุงเราดีอย่างนี้ เพราะฉะนั้น นึกทบทวนดูนะท่านนะ ว่าเราท่าตัวเหมาะสมดีไหม วันนี้ทั้งวันถ้าหากสามารถวางภารกิจการงานได้ ก็ขอให้วางไว้ ก่อน แต่ถ้ายังมีงานด่วนจะต้องสะสางจะต้องท่าอยู่ก็ทำไป แต่ขณะท่าก็ ขอให้พิจารณาตัวเองไปด้วย เมื่อพิจารณาแล้ว ก็จะเห็นข้อบกพร่องของ ตนเองไปตามลำดับ ๆ ตั้งแต่ข้อบกพร่อง ระดับหยาบ ระดับกลาง จนกระทั่งระดับละเอียด ซึ่งถ้าเราเห็นข้อบกพร่องของตนเองด้วยใจ เมื่อไร เราก็จะรู้สาเหตุของความผิดพลาดบกพร่องนั้น ๆ ว่าเกิดจาก เหตุอะไรไปโดยอัตโนมัติ เมื่อสาวหาเหตุของความบกพร่องแต่ละเรื่อง ว่าเกิดจากอะไรได้ แล้ว ก็จะสามารถแกไขกันได้ถูกจุด ไม'อย่างนั้น ก็ต้องปลงอาบัติกัน เรื่อยไปไม่รู้จบทั้ง ๆ ที่ปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะไม่คิด ไม่พูด ไม่ท่าอย่าง นั้นอีก แต่แล้วก็ย้อนกลับไปทำผิดพลาดอีก กลายเป็นหลอกตัวเอง ทั้งชาติ พระส่วนมากที่ท่าอาบัติซํ้า ๆ อยู่อย่างนั้น ก็เพราะว่าไม่ค่อยได้ มาหยุดตรองดูความประพฤติของตน เรามักจะปล่อยตัวตามสบาย ทยุดอิดสืกนิต พิทรพาตพมสืกทน่อย Off นค่...นกสร้างบารมี cn

เมื่อสมัยก่อนบวชยังอยู่บ้านเคยชินนิสัยอย่างไร พอมาอยู่วัดนานเข้าก็ คุ้นวัดเหมือนบ้าน แล้วเริ่มจะทำตามความเคยชินเหมือนตอนอยู่บ้าน ผลสุดท้ายบวชตั้งหลายพรรษาแล้วยังไม่มีอะไรดีฃื้น เมื่ออยู่ทางโลก รักษาศีล ๕ แต่พอมาบวชเข้าเหลือแค่ศีล ๔ คือถือแค่ปาราชิก ๔ ข้อ ไม่ให้ขาดจากความเป็นพระเทำนั้น นอกนั้นเริ่มจะไม่ลนไจกัน เมื่อพระเณรไม'ค'อยจะลนใจแกไขปรับปรุงตัวเอง ความเคารพ จากญาติโยมก็หย่อนลง เขาก็เลยไม'กราบไม'ไหว้ ชํ้าร้ายถึงกับจ้อง จับผิดพระเข้าไปอีก เมื่อก่อนนี้เห็นการกระทำบางอย่างของพระภิกษุ ซึ่งตนเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมทำนจึงทำอย่างนั้น ก็อนุโลมให้คิดไปในแง่ ดี แต่เดี๋ยวนี้แม้ทำนไม่ทำผิดวินัยอะไรสักนิดกสับคิดไปในเชิงร้ไย คนเราพอขาดความเคารพเสียแล้ว ที่จะมองกันในแง'ดีนั้นยาก เหสีอเกิน เพราะฉะนั้น เราจะต้องลร้างความน่าเคารพให้เกิดขึ้นก่อน เราไปบังคับคนทั้งโลกให้มาเคารพกราบไหว้เราไม่ได้ ทำ ได้อย่างเดียวคือ ปรัชปรุงตัวเองให้มีคุณธรรม น่าไหว้ น่ากราบ น่าเคารพ แต่คุณธรรม ของเราเขามองไม'เห็น เขาเห็นแต่ความประพฤติภายนอกทั้งการนุ่งห่ม คำ พูด กิริยา ท่าทาง ฯลฯ ชาวบ้านเขาไม่อาจล่วงรู้วาระจิตเรา จึงอาศัย ดูจากความประพฤติภายนอกเหล่านั้น มาเป็นเครื่องตัดสินคุณธรรม ภายในของเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้ย้อนกลับมาพิจารณาความประพฤติของเรา กันนะลูก อะไรไม่เหมาะ ก็ช่วยตักเตือน ช่วยแก้ไขกันไป โดยเฉพาะ นส่...นกสร้างบารมี 0) o<sr ทยุดคิดสักนิด พ็จฑณาพนเองสักทน่อย

ตรวจสอบเข้าไปภายในตนเอง ว่าเรายังมีข้อบกพร่องอะไรอยู่ แล้วรีบ แก!ข อะไรที่เป็นความดีของเราก็พยายามทำให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้ว ความดีงามทั้งหลายทั้งมวล ก็จะหลั่งไหลเข้ามาส่ตัวเราเองได้อย่างเต็มที่ โดยตั้งปณิธานไว้ว่า ข้าพเจ้าจะตั้งใจแก!ขตนเองให้สุดฝีมือ อย่างน้อย ก็ให้ถึงระดับไหว้ตัวเองได้!ดยไม่ตะฃิดตะขวงใจ ท!jผิคสักนดพิจา-;ทเาตนIEฬสักvmฝิย ทจ นต่...นคลร้า4บารมี CO

.ฟ^ ความรับผิดชอบ โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตชึ๋โว) วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธสักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) มีคำ ๆ หนึ่งที่เรารู้จักกันดี แล้วเราก็อยากจะให้คำ ๆ นี้ ฝีงราก ลึกอยู่ในใจของพวกเราทุกคนในหมู่คณะ นึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่สิงที่ได้มาโดยง่ายเลย ต้องอาสัยการสืกฝนอบรม ขนาบแล้วขนาบ อีกไม่มีหยุด ถ้าได้มาแล้ว ย่อมจะเป็นความเจริญถ้าวหน้าความสงบสุข ของตัวเองและของหมู่คณะอย่างดียิ่ง คำ ๆ นี้มีคุณค่าต่อช่วิตของ ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ทางโลกหรือทางธรรม คำ ๆ นั้นคีอ คำ ว่า \"ความรับ ผิคธอบ\"

โดยทั่วไปแล้ว แต่ละคนก็มีความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเอง และหผู่ คณะกันดีพอสมควร แต่ว่าถ้าเจาะลึกแล้ว ต้องบอกว่าความรับผิดชอบ ของเรายังตื้นไป เพราะยังเห็นโทษภัยในสิงเล็กน้อยไม่ชัด แล้วก็ปล่อย ปละละเลย ทำ ให้โทษนั้น ๆ สะสมขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย แล้วในที่สุด ก็จะลุกลามใหญ่โต เมื่อถึงระดับนั้นเราจะไม่สามารถทราบได้ว่ามันเกิด มาจากสาเหตุอะไร วันนี้จะยกตัวอย่างให้ดูสัก ๒ ตัวอย่าง ตัวอย่างแรก เมื่อวานนี้หลวงพ่อขึ้นเทศน์ เขาก็ตั้งใจเอาเครื่อง ฉายแผ่นใสมาให้หลวงพ่อใช้ ปรากฎว่าติดตั้งกันอยู่ครื่งชั่วโมง ก็ยังใช้ ไม่ได้ทั้ง ๆ ที่เคยใช้เป็นประจำ เมื่อใช้!ม่ได้ก็เข็นเอาไปทิ้งไว้ข้างหลังรูป คุณยายอาจารย์ ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย ซึ่งความจริงแล้วเป็น บริเวณดักตื้สิทธิ้ที่สุดแห่งหนึ่งของวัด แต่กำลังจะกลายเป็นโกดังเก็บ ของเสียไปโดยปริยาย ซึ่งในไม่ช้าคงกลายเป็นขยะกองโต เมื่อมีการกระทำอย่างนี้เกิดขึ้นมันฟ้องว่า ด้วยส่วนลึกของจิตใจ ความเคารพครูบาอาจารย์ของพวกเรายังมีไม่พอ เมื่อความเคารพไม่พอ ความกตัญญจะมาจากไหน เมื่อขาดความเคารพ ขาดความกตัญญ รู้คุณเสียแล้ว ความใส่ใจ ความทุ่มเทในการประพฤติปฏิบัติธรรมของ ทั้งตนเอง และหมู่คณะก็จะค่อย ๆ หมดไปในที่สุด แม้หมู่คณะก็อยู่ ไม่ได้ จะเห็นได้ว่าการเอาของที่ไม่เหมาะสมไปวางทิ้งไวใกล้ ๆ รูปยู่ชนีย บุคคล เท่ากับเป็นการขาดความรับผิดชอบ ทั้งต่อคุณธรรมตัวเองและ ทั้งต่อหมู่คณะ ตัวอย่างที่สอง เมื่อตอนจะสอบนักธรรม หลวงพ่อสังเกตเห็น พวกเราตั้งหน้าตั้งตาดูหนังสือกันเต็มที' นับเป็นความดี เป็นความ ความริบผิ?!ชอบ oa แด่...นักสร้างบารมี ๓

ร้บผิดชอบต่อตัวเอง ต่อหมู่คณะ และต่อธรรมะอย่างดี เราเองก็ภูมิใจ ว่าได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามกฎวินัยของสงฆ์ และของหมู่คณะอย่าง เรียบร้อยบริบูรณ์ แต่จริง ๆ แล้วมันยังไม่บริบูรณ์ คีอขณะที่เรากำลัง สอบอยู่ก็ดี กำ ลังตั้งหน้าตั้งตาดูหนังสือก็ดี ด้วยความเอาจริงเอาจังตรง นั้น เราสร้างความดีตรงนั้นเต็มที่ แต่เราได้สร้างรูรั่วฉกรรจ์เอาไว้กับ โรงครัว โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือถึงเวลาฉันเช้าก็ไม่ไปฉัน ทางฝ่ายครัว ก็เตรียมข้าวปลาอาหารเอาไวให้ตามปกติ เพราะรู้ว่าช่วงสอบนั้!ม่มีใคร ออกไปนอกวัด อุตส่าห์ตื่นมาแต่ดึกแต่ดื่น ญาติโยมหลาย ๆ คนก็มา จากกรุงเทพฯ ตั้งใจเตรียมข้าวปลาอาหารมาให้ฉัน เสร็จแล้วจะต้องรีบ ขับรถกระหืดกระหอบกลับไปท่างาน แต่ว่าพวกเราหลายรูปกลับไม่ออก มาฉัน จะดูหนังสือ มีความรับผิดชอบในการเรียนการสอบเต็มที่ แต่ ขาดความรับผิดชอบในเรื่องโรงครัวและสุขภาพของตัวเอง บางรูปพออดอาหารก็ปวย ต้องไปพึ่งยาที่โรงพยาบาล ทังแพทย์ พยาบาล เขาก็สอบด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เขาก็เลยไปดูแลท่าน ไม่ค่อยทั่วถึง กลายเป็นความบกพร่องของเขาขึ้นมาอีก เมื่อหลาย ๆ รูปไม่มาฉันเข้า อาหารก็เหลือมาก อาหารบางอย่าง เหลือก็เก็บไว้มื้อเพลได้ แต่บางอย่างเก็บไม่ได้ เช่น ข้าวต้มนี่ไม่รู้จะเก็บ อย่างไร พอถึงเพลจะเอามาให้ฉันอีกก็ไม่ได้แล้ว มันเละ และถ้าใครฉัน ข้าวต้มมื้อเพล คืนนั้นก็หิวแย่เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ข้าวต้มจำนวนมากก็เหลือ กับข้าวที่เตรียมไว้ให้ อย่างดีก็เหลือสิงที่ตามมาก็คือเจ้าหน้าที่โรงครัวมีงานเพิ่มขึ้นทั้งๆที่ ธรรมดาก็งานหนักอยู่แล้ว ทำ ให้หรุดหงิด ปนกัพึมงำ นด่...นักสร้างบารมี ๓ ควบทับผิฬอบ

เมื่อเกิดปัญหาในโรงครัว มองเผิน ๆ เจ้าหน้าที่โรงครัวบกพร่อง แต่เจาะลึกเข้าไปแล้ว พระภิกชุสามเณรของเราบกพร่องมากกว่า คีอมี ความร้บผิดชอบไม่พอ ทำ ให้เกิดปัญหากระทบกันแบบ^กินหาง เพียงแค'ข้าวไม่กี่มี้อที่ท่านไม'ออกมาฉัน เพราะจะเอาเวลาไว้ดู หนังสีอสอบ ได้ก่อความปันปวนในโรงครัว โดยที่ท่านไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต่อแต่นั้[ป จะทำอะไรต้องคิดให้มาก ไม'อย่างนั้นแล้วเราจะเดือดร้อน กันทั้งวัด เมื่อก่อนหลวงฟอก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมแค่การดูแลเรื่องภัตตาหารใน วัดพระเซตวันมหาวิหาร ถึงกับต้องตั้งให้พระอรหันต์ลงมาดูแล คือ พระทัพพมัลลบุตร® ถ้าท่านไม่ลงมาดูวันเดืยวยุ่งเลย บัดนี้เข้าใจแล้ว ข้าวปลาอาหาร ข้าวต้มที่เขาทิ้งไปหลาย ๆ หม้อนั้น ไม่ใช่แค'ทิ้ง สมบัติพระศาสนาไปเท'านัน แต่ว่ายังทำให้ศรัทธาของญาติโยมถดถอย ลงไปด้วย โดยเฉพาะคนไหนไม่เคยมาวัดเลย พอมาเลี้ยงพระวันแรกก็ เห็นข้าวต้มเหลือตั้งหลายหม้อ หม้อใหญ่ ๆ ทั้งนั้น กลายเป็นข้อตำหนิ ขึ้นมาว่า พระวัดพระธรรมกายฉันทิ้งฉันขว้างกันอย่างนี้หรือ เพราะฉะนั้น ต่อไปข้างหน้า พวกเราต้องรับผิดชอบกันให้มากกว่า นิ ให้พวกเราถือเอาข้อคิดจากวงอาหารนี้ เป็นบทฝ็กใหัมีความรับผิดชอบ ยิง ๆ ขึ้น ถ้าตรงนิเราไต้คิด อย่างอื่นก็จะไต้คิดมากขึ้น การคิดให้ดื ก่อนทำอะไรลงไป นั่นแหละคือความร้บผิดชอบ วิ.มหา. ๓/๕๓๙-๕(r®/(£(£๖-ร:<ror(มมร.) คว!พว้บผํดรอบ ffo นท่...นทสร้างบารมี ๓

สิ่งแวดล้อมที่ดี โอวาทหลังฉัน (เช้า) พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ วิ. {เผด็จ ทตฺตช้โว) วันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธสักราช ๒๕๓๓ ณ สภาธรรมกายสากล (หลังคาจาก) ถ้าจะถามพวกเราว่าบวชทำไม หลายรูปก็คงจะตอบว่า บวชเพื่อ เป้าหมายสูงสุดคือการปราบกิเลสให้หมดไป จะได้เข้าพระนิพพาน นั่น เรียกว่า ตอบเอาเป้าหมายสูงสุด แต่ว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้น การบวชของ เรายังมีเป้าหมายย่อย ๆ สงมาอีกหลายประการ เช่น เพื่อการคืกษา ธรรมะให้แตกฉาน จะได้นำพระธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสไว้ ไปใช้ ขัดเกลาตนเองได้เต็มที่ เพื่อการอบรมปมนิลัยรูปแบบต่าง ๆ ทั้งอบรม มารยาท ทั้งการสืกหัดขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใส ฯลฯ

การที่เราจะศึกษาและปฏิบัติธรรม ให้บริสุทธบริบุรณ1ด้ สมกับที่ เราหวังไว้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งว่าจะต้องมีส์งแวดล้อมที'ดี ถ้า สิงแวดล้อมไม่ดีการบรรลุถึงเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ก็ยากที่จะให้สมหวัง คำ ว่า สิงแวดล้อมที่ดี พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงไซ้คำว่า \"ปฏิรูปเทส\"® แปลว่า \"ประเทศหรือสถานที่ที่พอเหมาะพอดีแก'การประพฤติปฏิบัติ ธรรม\" พระองค์ทรงไห้ความสำคัญกับสิงแวดล้อมมากขนาดนี้ทีเดียว มาดูพวกเราบ้างว่า เราเองได้ไห้ความสนไจดูแลสิงแวดล้อมไนวัด ของเรา ดีจริงแล้วหรือยัง ต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกไว้รอบอาคารเป็นแถว เป็นแนว เพี่อไห้ดูสวยงาม ร่มรื่น มีส่วนไหนทีพระภิกษุสามเณร สามารถช่วยกันดูแลได้ ก็ขอไห้ช่วยกันดูแลไห้เต็มที่ นั่นเป็นเรื่องของ สถานที่ พวกสุนัข แมว รวมทั้งนกพิราบ นกกระจอกสารพัด ต้องช่วย กันขับไล่ อย่าไห้มันมาทำสกปรกเลอะเทอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข บางครั้งจำเป็นก็ต้องจ้างไห้เขาไล่ไป หลวงพ่อเคยคำนวณว่า สุนัขตัวหนึ่ง ตั้งแต่จับจนกระทั่งเอาไปปล่อย บางทีจ่ายเงินไปตัวหนึ่งหลายร้อยบาท แล้วทำไมไม'ปล่อยไห้มันอยู่ตามธรรมชาติ ไปเสียเงินจับมันไปปล่อย ทำ ไม ถ้าไม่จับมันไปปล่อย ก็ลองนึกภาพความวุ่นวายดูก็แล้วกัน ถ้าพระภิกษุสามเณรนั่งฉันอยู่เป็นร้อย ๆ รูปไนศาลาแล้ว ถึง ฤดูกาลสุนัขมันมาผสมพันธุกันต่อหน้าต่อตา มากัดกันเกรืยวอยู่บริเวณ ทีกำ ลังฉัน จะว่าอย่างไร ทั่งพระทั่งญาติโยมต้องมาทนรำคาญ ° จักกสูตร, องฺ.จตุกุก. ๓๔/๓๑/®๑๕(มมร.) สิงแวดล้อพด็ ราร นท่...นกลร้างบารมี ๓

บรรยากาศเสียหายหมด ก็ต้องยอมเสียเงินเสียทองไปไล่จับมันไป ปล่อย สุนัขนี่ความจริงก็แปลก มันมีเจ้าพ่อเหมือนกัน หลวงพ่อเคย ทดลองว่า สุนัขมันกวนเรามากนัก จับไปปล่อยให้หมด วันนั้นพอจับ หมด วันรุ่งขึ้นมืสุนัขหน้าใหม่อพยพมาอยู่เป็นฝูงเลย เพราะไม่มีเจ้าถิ่น คอยกันท่า วันหลังเวลาจับ เลยต้องจับไอ้เจ้าตัวกระจอก ๆ ไปก่อน แล้วเหลือตัวใหญ่ ๆ ประ๓ทเจ้าถิ่นเอาไว้ ตัวใหม่จากถิ่นอื่นจะได้ ไม่กล้าเข้ามา แมวก็เหมือนกัน ถ้ามันมาตัวสองตัวก็ตามเรื่องตามราว ไป เอาเรื่องเอาราวกับมันนักก็ไม่ไหว แต่ถ้ามืแมวมากเข้าตกกลางคืน เสียง กัดกันให้อุตลุดหมด ก็ต้องจับไปปล่อยอีก ส่วนนกพิราบ สามเณรก็ ช่วยกันไล่อยู่แล้ว สิงเหล่านี้เป็นสิงแวดล้อมของเรา ถ้าอะไรมันเกิน พอดีไป ปริมาณมากไป ก็ต้องจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดกันลงไป ที่หลวงพ่อยกอะไรต่ออะไรขึ้นมาพูดนี้ ต้องการเพียงให้ช่วยกัน ดูแล ทั้งความสะอาด ความสงบ ความเรียบร้อยในวัดของเรา ต้นไม้ใบ หญ้าที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง หรีอมันกำลังจะตาย หน้าที่ดูแสต้นไม้เป็นของ ใครอย่าเพิ่งไปคิด ช่วยรดนํ้าให้มันก่อน ต้นไหนที่มันรกขึ้นขวางถนน ช่วยถอน ๆ มันก่อน แม้แต่บุคคสที่เขาเข้ามาในวัด ในวันธรรมดาหรีอวันเสาร์อาทิตย์ ก็ตาม บางครั้งก็มาอยู่ธุดงค์ ขอให้พวกเราช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอด ส่องดูแลความเรียบร้อยด้วย เพราะเคยมีขโมยปะปนเข้ามารบกวนคนดี บางเดือนจับขโมยได้ตั้ง ๒ - ๓ ราย โดยเฉพาะอย่างยิง ตรงจุด แด่...นักสร้างบารร ๓ GTO สิงนวดล้อมทิ่ดิ

อธิษฐานธรรม คนใจบุญก็ตั้งใจหลับตาอธิษฐานอย่างดี เวลากราบพระ นี่กราบงามทีเดียว แต่พอกราบพระเสร็จเหลียวกลับมา กระเป๋าซึ่งวาง ไว้ข้าง ๆ ตัวไม่อยู่เสียแล้ว ก็ต้องพยายามจับกันจนได้ เราอยู่ด้วยกันต้องมีความรู้สีกว่าเป็นเจ้าของวัดร่วมกัน เห็นอะไร ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับวัดต้องรีบจัดการแก1ฃ ถ้ายังไม่แนใจว่า จะทำอย่างไรดี ก็มาปรึกษากับหลวงพี่ที่ท่านทำหน้าที่บริหาร แต่ละรูปก็ พรรษามาก ๆ ทั้งนั้น เราไปพบเห็นสิงที'ไม่ดีไม่งาม สิงที่เป็นพิรุธ สิงที่ อาจจะก่อความเสียหายกับหยู่คณะ ต้องรีบมารายงานให้ทราบ หลวงพ่อหลวงพี่จะได้ประชุมกันตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ ว่าการจะทำอะไรลงไปนั้น สิงที่จะต้องระมัดระวังก็คีอ ๑. อ' จาโท ต้องไม่'พูดร้าย อย่าไปใช้คำหยาบคายกับใคร เพราะธรรมชาติของคนพาล เขาทำความเสียหายให้เรา เท่าไร เขาไม่เคยคำนึง แต่ถ้าเราไปด่าเขาไว้คำเดียว คนพาล เหล่าน้นจะเอาไปตะโกนโพนทนา ว่าเราทำตัวไม'สมกับที่ บวชเป็นพระ ใช้คำหยาบคาย เพราะฉะนั้น ข้อแรกจำไว้นะ อ\\^ปวาโท ไม่ด่าไม่ว่าร้ายใคร ไม่ว่ามันจะเสวอย่างไร ๒. อนูปฆาโต ต้องไม่ทำร้ายใคร บางคนเช้ามาลักมาขโมยของ ซักถามมันทำเฉย ทำ เป็นไม่รู!ม่ชี้ ปฏิเสธเสียงแข็ง เราเป็น พระภิกชุจะไปคํ้าคอถาม จะไปเตะมันลักพลั่กสองพลั่ก ไม่ได้นะ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องให้พนักงานรักษา ความปลอดภัยเขาไปซักกันเอง ยกให้เป็นเรื่องของฆราวาส เราอย่าไปทำร้ายเขา ปล่อยให้ตำรวจเขาจัดการกันเอง ร่0นวดล้อมทํ่สิ (ร:(ร: นท่...นก«714บารม ๓

ท. ปาฏิโมกเข จะ สังวโร ต้องระมัดระวังสีลและมารยาทของ โราใหด ถาดูโลCuuมาวด^^^^^ ก รีบแจ้งตำรวจ แจ้งยาม ให้เขามาจัดการกันเอง ถ้าอย่างนี้จึงจะเรียกว่า เราช่วยกันเป็น'ดูเป็นตา เป็นเจ้าของวัด อย่างสมดูรถโ ไมใช่แค่อาสัยวัดอยู่ ช่วยกันดูแลสิงแวดล้อมให้ดี แล้ว เราจะอยู่กันเป็นสุข ถ้าปล่อยปละละเลยไม่ช่วยกันดูแลวัด ไม่ช่วยกัน ดูแลสิงแวดล้อมให้ดี อะไร ๆ ก็ปล่อยปละละเลย เอาแต่ช่างหัวมัน ๆ เราจะประสบแต่ความเดือดร้อน เพราะฉะนั้น ในฐานะที่ทุกรูปทุกคนเป็นเจ้าของวัด ต้องช่วยกัน ดูแลวัด ดูแลสิงแวดล้อมให้ดี และที่สำคัญที่สุด ต้องดูแลตัวเองให้ดี ก่อน เพราะตัวของเราเองแต่ละคน แต่ละรูปล้วนเป็นสิงแวดล้อมของ คนอื่น ของพระรูปอื่น และของคนทั้งประเทศด้วย จงระมัดระวังอย่า ไปทำความเดือดร้อนให้ทั้งตนเองและรูปอื่นคนอื่น ที่ต้องอยู่ร่วมโลกกับ เรา นส์...นักสร้างบาพี ๓ ๙๕ สิงนวดล้อมทํ่สิ



โ. ^.. b โ^' f. \\