มกั มีคณุ สมบตั อิ ยา่ งไร แล้วให้เขาหรือผ้ฟู ังคนอื่น ๆ ตดั สินเอาเองวา่ ใคร ไมจ่ าเป็นที่ผ้บู รรยายต้องตอบ วา่ เป็ นใคร แต่ต้องตอบคาถามนี ้อย่าตอบว่า “ผม (ดิฉัน) ไม่มีความคิดเห็นครับ (ค่ะ)” เพราะไม่เกิด ประโยชน์อะไรเลย แถมยงั ทาให้ผ้ถู ามหรือผ้ฟู ังรู้สกึ ผิดหวงั อีกด้วย 5. พยายามเล่ียงคาถามที่ผู้เรียนต้องตอบเพียงอยา่ งใดอย่างหนง่ึ เทา่ นนั้ เชน่ ต้องตอบว่า “ใช”่ หรือ “ไมใ่ ช่” “จริง” หรือ “ไมจ่ ริง” “ดี” หรือ “ไมด่ ี” เป็ นต้น ยกเว้นผ้บู รรยายจะมีคาถามตามมาอีก เพื่อการอธิบายในประเดน็ ที่กลา่ วถงึ ให้กระจา่ งตอ่ ไป เทคนิคการตอบคาถาม 1. การบรรยายที่ดีต้องเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามปัญหาข้อข้องใจ ตงั้ ข้อสังเกตได้ เสมอ อาจจะให้โอกาสถามเป็ นระยะ ๆ ในชว่ งที่กาลงั บรรยายอยู่ หรือจะให้ถามเม่ือเสร็จการบรรยาย แล้วก็ได้ เพ่ือให้เกิดการสื่อความหมายสองทาง (two-way communication) ระหว่างผู้บรรยายกับ ผ้เู รียน ทาให้สามารถตรวจสอบความเข้าใจของผ้ฟู ังได้ 2. จงตอบคาถามโดยการพูดกบั ทกุ คน อย่าพดู ตอบเฉพาะกบั ผ้ถู าม หรือเจาะจงพูดกบั ใครคนใดคนหนงึ่ เทา่ นนั้ 3. จงตอบคาถามอยา่ งกระชบั ตรงประเดน็ ที่ผ้เู รียนถาม 4. จงอยา่ ดถู กู ผ้ถู ามหรือคาถาม วา่ เป็นเรื่องงา่ ยหรือไร้สาระไม่ควรถาม หรือคดิ วา่ เป็ น คาถามลองเชงิ ผ้บู รรยาย จงคดิ วา่ ท่ีเขาถามนนั้ เพราะเขายงั สงสยั หรือไมเ่ ข้าใจกระจา่ งแจ้งในเรื่องที่ได้ ฟัง หรืออยากเรียนรู้มากขนึ ้ ผ้บู รรยายจงึ ควรตอบคาถามอยา่ งกระชบั และด้วยความเตม็ ใจ อยา่ ตาหนิ ตเิ ตียนผ้ถู าม อยา่ ทาให้ผ้ถู ามเกิดความรู้สกึ วา่ ผ้บู รรยายไมเ่ ตม็ ใจตอบคาถามของเขา และอยา่ ทาให้ผู้ ถามเกิดความอบั อายเป็นอนั ขาด 5. ผ้บู รรยายอาจถือโอกาสนาคาถามของผ้ถู ามคนใดคนหนง่ึ มาขยายผล เพ่ือให้ผู้ฟังคน อื่น ๆ เข้ามีสว่ นร่วมในการให้ข้อมลู หรือแสดงความคดิ เหน็ ด้วย ในการนี ้ ผ้บู รรยายจะใช้เทคนิคการ ถามแบบถามตอ่ คอื ถามคาถามที่ได้รับนนั้ ไปยงั ผ้ฟู ังคนอ่ืน ๆ โดยอาจถามใครคนใดคนหนงึ่ หรือไม่ เจาะจงผ้ใู ดก็ได้ แล้วผ้บู รรยายตอบในตอนท้าย ข้อดีและข้อจากดั ของการใช้วิธีการบรรยาย ข้อดี 1. ให้เนือ้ หาสาระ ประเดน็ สาคญั ได้อยา่ งตรงไปตรงมา และกระชบั 2. ให้ความกระจ่างได้มาก ผู้สอนที่ใช้วิธีการบรรยาย สามารถกระตุ้นความสนใจ ยา้ หรือสรุปในสว่ นที่ต้องการได้โดยสะดวกและอสิ ระ 3. สามารถจดั การสอนแก่ผ้เู รียนผ้ฟู ังได้ตงั้ แตจ่ านวนน้อยจนถงึ จานวนมากในขณะเดียวกนั 4. ผ้สู อนสามารถควบคมุ การเรียนการสอนได้มากกว่าการสอนแบบอื่น 5. ประหยดั เวลา คือได้เนือ้ หามากแม้ในชว่ งเวลาสนั้ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 7
6. ใช้สื่อการเรียนการสอนเข้าชว่ ยได้ง่าย และหากใช้สื่อได้อย่างเหมาะสมแล้ว จะใช้การ บรรยายกบั กลมุ่ ผ้เู รียนผ้ฟู ังขนาดใหญ่ได้ 7. การจดั สถานที่สะดวก ข้อจากัด 1. อาจน่าเบื่อหน่าย หากผ้สู อนถ่ายทอดได้ไม่ดีพอ หรือใช้สื่อการเรียนการสอนอย่างไม่ เหมาะสม มีการศึกษาและพบว่า ผู้ฟังโดยเฉลี่ยมกั ลืมเนือ้ หาท่ีเพ่ิงได้ยินไปถึง 50% ของเนือ้ หาท่ีได้ยินนนั้ ดงั นนั้ ผู้บรรยายจึงต้องยา้ ทวน และสรุปสาระสาคญั บ่อยๆ รวมทงั้ ระมดั ระวงั ในการใช้ส่ือชว่ ยในการเรียนรู้ของผ้ฟู ังให้มากขนึ ้ เพ่ือแก้จดุ ออ่ นข้อนี ้ 2. เป็นการส่ือความหมายทางเดียว ผ้เู รียนเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน น้อย หรืออาจไมม่ ีโอกาสเลย จงึ ทาให้ผ้เู รียนลดความสนใจลงไปได้ 3. ผ้สู อนต้องมีการเตรียมการอยา่ งรอบคอบ ทงั้ ในเนือ้ หาและวธิ ีการบรรยาย มเิ ชน่ นนั้ จะทา ให้การบรรยายล้มเหลว ผ้สู อนต้องหมน่ั ฝึกฝน และพฒั นาตนเองให้เป็นผ้มู ีความรู้ดีใน เรื่องท่ีจะถา่ ยทอด รวมทงั้ สามารถบรรยายถ่ายทอดได้ดีอีกด้วย 4. การพยายามบรรจเุ นือ้ หาให้มาก ๆ ในการบรรยายแตล่ ะครัง้ อาจทาให้ผ้เู รียนไม่ สามารถติดตามฟังจนเกิดความเข้าใจ และจดจารายละเอียดได้มากพอ 5. ผ้บู รรยายไมอ่ าจวดั ได้วา่ ผ้เู รียนได้รับความรู้ไปมากน้อยเพียงใด เพราะผ้เู รียนมกั พะวง กบั การบนั ทกึ จนแทบไมม่ ีเวลาใช้สมองคิด และแยกแยะเหตผุ ลอยบู่ อ่ ย ๆ 6. การสอนแบบบรรยายอาจไมเ่ หมาะสมกบั เนือ้ เร่ืองบางประเภท เชน่ เร่ืองท่ีมีข้อคดิ เหน็ ขดั แย้งได้มาก 7. การมีจานวนผ้เู รียนมากจนผ้สู อนไมส่ ามารถควบคมุ สถานการณ์การเรียนการสอนได้ จะทาให้การบรรยายล้มเหลว และมีสว่ นบนั่ ทอนกาลงั ขวญั ของผ้เู รียนได้เป็นอยา่ งมาก แนวปฏบิ ัตใิ นการเตรียมการบรรยาย เพื่อประโยชน์ในการเตรียมการบรรยายให้สมั ฤทธ์ิผล จงึ แนะนาแนวทางเพื่อการตรวจสอบ ความพร้อมของตนเองในการเตรียมการบรรยาย ดงั ตารางข้างลา่ งนี ้ ตารางตรวจสอบความพร้ อมในการเตรียมการบรรยาย ประเดน็ แนวการตรวจสอบ 1. หวั ข้อเรื่องที่จะบรรยาย ชื่อหวั ข้อแสดงให้เห็นถึงเรื่องท่ีจะนาเสนอหรือไม่ หวั ข้อ เรื่องกระชบั และชวนให้น่าสนใจหรือไม่ หากหวั ข้อเร่ืองนี ้ เป็นเพียงหวั ข้อหนง่ึ ในโครงการฝึกอบรม เร่ืองนีเ้กี่ยวข้อง สมั พนั ธ์กบั วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการอยา่ งไร สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 8
ประเดน็ แนวการตรวจสอบ 2. วตั ถปุ ระสงค์ทวั่ ไปของการบรรยาย เพ่ือให้ความรู้ข้อเท็จจริงในเร่ืองใด 3. วตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะของการบรรยาย เพื่อให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้ในเรื่องใดโดยเฉพาะ เพ่ือนาไปใช้ ประโยชน์อะไร หรือเพื่อให้ผ้เู รียนเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม อะไรบ้าง 4. หวั ข้อวชิ าอ่ืนในหลกั สตู รฝึกอบรมที่ มีหรือไม่ ถ้ามี เร่ืองใด มีเค้าโครงเร่ืองอยา่ งไรบ้าง เก่ียวข้องสมั พนั ธ์โดยตรงกบั หวั ข้อ - มีเรื่องใดท่ีเป็นพืน้ ฐานของเรื่องท่ีเราจะบรรยายหรือไม่ เรื่องที่จะบรรยายนี ้ - มีเรื่องใดท่ีจะใช้เร่ืองที่เราบรรยายเป็นพืน้ ฐานหรือไม่ - มีสว่ นใดท่ีเรานา่ จะกลา่ วเชื่อมโยงถึงบ้าง (เพื่อให้เห็น ความสมั พนั ธ์กนั แตไ่ มบ่ รรยายนอกขอบเขตของตน) 5. เค้าโครงเร่ือง ขอบเขตและแนวการบรรยายเป็นอยา่ งไร ประเดน็ หลกั และประเดน็ รองทาให้บรรลผุ ลตามวตั ถปุ ระสงค์หรือไม่ - เรื่องใดที่ผ้เู รียน “ต้องรู้” จงึ จะบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ - เรื่องใดผ้เู รียน “ควรรู้” จงึ จะทาให้สามารถนาไปใช้ ประโยชน์ ได้ผลดยี ่ิงขนึ ้ - เร่ืองใดที่ผ้เู รียน “นา่ จะรู้” ไว้บ้าง ก็จะทาให้การปรับใช้ ความรู้ท่ีได้รับเกิดประโยชน์โดยกว้างขวางย่ิงขนึ ้ 6. กลมุ่ ผ้เู รียนผ้ฟู ัง ใคร จานวนเทา่ ใด เพศ วยั อาชีพ พืน้ ความรู้ในเร่ืองท่ีจะ บรรยายมีเพียงใด ข้อมลู อื่นที่นา่ จะมีเก่ียวกบั ผ้ฟู ังมีอะไร อีกบ้าง 7. เวลาที่จะบรรยาย บรรยายวนั ใด ชว่ งเวลาอะไร นานเทา่ ใด มีเวลาพกั หรือไม่ ถ้ามี ตอนไหน นานเทา่ ใด 8. สถานท่ีบรรยาย ลกั ษณะห้อง ขนาดห้อง การจดั ห้องและท่ีนงั่ เป็นอยา่ งไร 9. โสตทศั นปู กรณ์หรือสื่อใช้ในการเรียน เขาจดั โสตทศั นปู กรณ์อะไรไว้แล้วบ้าง ต้องการใช้อะไร การสอน เพม่ิ เตมิ อีกบ้าง เวลาไหน อย่างไร 10. ผ้ตู ดิ ตอ่ ประสานงาน ใคร ติดตอ่ ได้อยา่ งไร เขาจะตดิ ตอ่ เราได้อยา่ งไร 11. การนดั หมายเดนิ ทางไปยงั สถานที่ นดั หมายลว่ งหน้าให้ชดั เจนว่าจะเดนิ ทางอยา่ งไร ถ้าจดั บรรยาย ยานพาหนะมารับ จะให้รับที่ไหน เวลาอะไร จะใช้เวลา เดนิ ทางนานสกั เทา่ ใด กะให้ถงึ สถานท่ีบรรยายอยา่ ง น้อยสกั 30 นาที เพ่ือเตรียมความพร้อมให้แล้วเสร็จก่อน ถึงเวลาบรรยาย สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 9
ประเดน็ แนวการตรวจสอบ 12. การค้นคว้าหาข้อมลู หลกั ฐาน สถิติ มีเอกสารอ้างองิ อะไรแล้วบ้าง ข้อมลู ท่ีจาเป็ นและท่ีจะหา เพ่ิมเตมิ มีอะไรอีกบ้าง จะหาได้ท่ีไหน สาระในรายละเอียด เพ่ือการนา- เสนอในการบรรยาย ตามโครงเรื่อง ผ้จู ดั การฝึ กอบรมหรือผ้เู ชญิ จะพิมพ์เอกสารประกอบการ 13. การเตรียมเอกสารประกอบ- บรรยายให้หรือไม่ หากพิมพ์ให้ เขาจะมารับเมื่อไร หาก การบรรยาย เพ่ือแจกแกผ่ ้ฟู ัง ต้องพมิ พ์เอง ขนาดกระดาษเทา่ ใด จะสง่ ให้เขาเพ่ือถา่ ย สาเนาได้เมื่อใด หรือจะให้สง่ digital file ไปกบั email ถึง 14. การเตรียมการบรรยายสว่ นเนือ้ หา ใคร เขาจะถา่ ยเอกสารหน้าเดียวหรือสองหน้า จะเข้า เลม่ หรือไม่ เราจะให้แจกแก่ผ้เู รียนเม่ือใด (ก่อนการ 15. การเตรียมการนาเสนอ บรรยาย หรือในชว่ งใดของการบรรยาย หรือหลงั การ บรรยาย) กาหนดไปให้ชดั เจนด้วย 15. การเตรียมการนาเสนอ (ตอ่ ) คากลา่ วทกั ทายท่ีประชมุ คานาหรืออารัมภบท การลาดบั เนือ้ หาในการเสนอเร่ือง และการสรุป จดั สรร 16. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของ เวลาให้แตล่ ะสว่ นอยา่ งลงตวั ผ้เู รียน จะเปิดโอกาสให้ผ้ฟู ังได้ซกั ถามในชว่ งใดบ้าง (สว่ นนีเ้ป็นการจดั ทาแผนการเรียนการสอน) 17. การเตรียมตวั จะนาเสนอโดยใช้ PowerPoint หรือไม่ (อยา่ ลืม ตรวจสอบว่าคอมพวิ เตอร์ท่ีเขาจดั ไว้ให้ใช้มี Window application รุ่นใด) หรือจะใช้สไลด์ วีดทิ ศั น์ แผน่ ใส (ต้องการใช้ปากกาสีอะไรบ้าง) และสื่ออะไรอีกบ้าง อาทิ แผน่ พลกิ แผน่ ปลวิ แผน่ พบั แผนภาพ แผนภมู ิ แบบจาลอง ของจริง กระดานขาว สีที่ต้องการใช้ ฯลฯ การซกั ซ้อมการนาเสนอ การตรวจสอบเวลาท่ีใช้ ข้อบกพร่องที่พบจากการซกั ซ้อม ควรแก้ไขปรับปรุง อยา่ งไร จะมีการประเมนิ ผลการเรียนรู้หรือไม่ หากมี จะประเมิน เมื่อใด ใครเป็นผ้ปู ระเมิน เครื่องแตง่ กายควรเป็นแบบไหน ทางการ ก่งึ ทางการ หรือไมเ่ ป็นทางการ ให้เหมาะแก่โอกาส และสถานท่ี สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 10
การจัดทาแผนการเรียนการสอน แผนการเรียนการสอน (Lesson plan) เป็ นเสมือนพิมพ์เขียวหรือแนวการจดั กิจกรรมการ เรียนการสอน ที่ผู้สอนใช้ เพื่อการถ่ายทอดของตนแก่ผู้เรียน ซ่ึงจะทาให้ เกิดการเรียนรู้ไปตาม วตั ถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้นัน้ แผนการเรียนการสอนจะครอบคลุมถึงว่าใครเป็ นผู้เรียน มีหัวข้อและ เนือ้ หาอะไรท่ีจะถ่ายทอดบ้าง ท่ีไหน เม่ือไร และด้วยวตั ถปุ ระสงค์อะไร แผนการเรียนการสอนท่ีมีการ จดั เตรียมล่วงหน้าอย่างเป็ นระบบดีแล้ว จะช่วยให้การถ่ายทอดตรงเป้ า เขา้ เรื่อง และต่อเนือ่ งเป็นลาดบั ที่สมั พนั ธ์กนั ดี จึงทาให้ผู้สอนมีความมั่นใจในตนเองมากขึน้ และทากิจกรรมการเรียนการสอนอย่าง รัดกมุ รวมทงั้ ใช้อปุ กรณ์และเวลาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพอีกด้วย ผ้บู รรยายที่สอนโดยไมม่ ีแผนการเรียนการสอน เปรียบดงั วิศวกรที่สร้างบ้านโดยไมม่ ีพิมพ์ เขียว จงึ มีความเสี่ยงสงู ท่ีจะผดิ พลาด เน่ืองจากขาดการเตรียมพร้อมลว่ งหน้านน่ั เอง แม้แผนการเรียนการสอนจะถกู ออกแบบโดยผ้สู อนเพ่ือตนเองใช้โดยเฉพาะ และมีรูปแบบ ตา่ งๆ กนั แตก่ ็อาจมีไว้ให้ผ้ชู ว่ ยสอนได้ใช้ประโยชน์ หรืออาจให้ผ้สู อนคนอ่ืนๆ ได้ใช้สอนในเร่ืองเดียวกนั ในสถานที่อ่ืน และแก่ผ้อู ื่นด้วยก็ได้ โดยทว่ั ไป แผนการเรียนการสอนมกั มีสว่ นประกอบดงั นี ้ 1. วตั ถปุ ระสงคข์ องหวั ข้อวิชา 2. โครงเร่ืองแสดงหวั ข้อตา่ ง ๆ และเนือ้ หา ท่ีต้องการให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้เพ่ือให้บรรลผุ ล ตามวตั ถปุ ระสงค์ 3. กิจกรรมการเรียนการสอน/วิธีการท่ีใช้ 4. เวลาท่ีใช้ 5. อปุ กรณ์หรือสง่ิ ท่ีต้องการใช้ 6. วธิ ีการประเมนิ ผล สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 11
ตวั อย่างรูปแบบแผนการเรียนการสอน ช่ือหัวข้อวชิ า:.............................................................................................................................. วัตถปุ ระสงค์: หลงั สนิ ้ สดุ การเรียนการสอนหวั ข้อวิชานีแ้ ล้ว ผู้เรียนจะสามารถ (ระบวุ ตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม) 1....................................................................................................................................... 2....................................................................................................................................... 3………………………………………………………………………………………………….. 4.…………………………………………………………………………………………………. ผู้สอน/วทิ ยากร:…………………………………………………………………………………………... ผู้เรียน:…….…………………………………………………………………….จานวน....................คน เวลาสาหรับหวั ข้อวิชานี:้ ............... ชวั่ โมง ................นาที ระหวา่ งเวลา..............-...............น. สถานท่ี: ………………………………………………………………………………………………….. วัตถุประสงค์ หัวข้อและเนือ้ หา กจิ กรรม เวลา ส่ือและ การวัดและ เฉพาะ อุปกรณ์ท่ใี ช้ ประเมินผล (2) (1) (จดั ลาดบั หวั ข้อที่จะ (3) (4) (5) (6) ระบวุ ตั ถปุ ระสงค์ บรรยาย ประเดน็ หลกั (ระบกุ ิจกรรม (เวลาท่ใี ช้ในแต่ (ระบสุ อื่ และ จะวดั และ เฉพาะเป็ นรายข้อ ประเด็นรอง อยา่ งเป็ น และวธิ ีการท่ีจะ ละสว่ น จดั สรร อปุ กรณ์ทจ่ี ะใช้ ประเมนิ ผล (เพื่อการจดั เนอื ้ หา ระบบระเบียบ เพือ่ ให้ ใช้สาหรับแต่ ให้ลงตวั ภายใน ประกอบการ อยา่ งไร และกิจกรรมได้ตรง บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ละหวั ข้อท่รี ะบุ เวลาที่ได้รับ บรรยายแตล่ ะ เป้ า เข้าเรื่อง และ เฉพาะแตล่ ะข้อนนั้ ) ในสดมภ์ที่ 2) สาหรับหวั ข้อ หวั ข้อ) ตอ่ เนื่องเป็ นลาดบั สมั พนั ธ์กนั ตงั้ แต่ วิชานี ้อยา่ ลมื ต้นจนจบ) จดั เวลาสาหรับ การถาม-ตอบ ด้วย) รูปแบบแผนการเรียนการสอนข้างต้นนี ้ สามารถปรับใช้ โดยจะปรับปรุงสว่ นใดบ้างก็ได้ ให้ พจิ ารณาถึงการใช้ประโยชน์ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและคลอ่ งตวั เป็นสาคญั สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 12
ข้อแนะนาบางประการเพ่อื เพ่มิ ประสทิ ธิผลในการบรรยาย เน่ืองจากความสมั ฤทธิ์ผลในการบรรยายมีพืน้ ฐานสาคญั มาจากความสามารถของผ้สู อน ในการพดู ชีแ้ จง อธิบาย หรือเล่าเร่ืองราวข่าวสารตา่ ง ๆ แก่ผ้เู รียนได้อย่างกระจ่างแจ้งและกระชบั ทาให้ ผ้เู รียนสนใจฟัง เข้าใจเนือ้ หาสาระ และมีปฏิกิริยาสนองตอบคาพูดในลกั ษณะพึงพอใจ และเห็นด้วย ตลอดเวลาของการพูด ดงั นนั้ ต่อไปนีจ้ ึงจะเสนอเทคนิคบางประการเกี่ยวกบั การพดู และการปรับปรุง บคุ ลิกภาพของผ้พู ดู เพื่อเป็นความรู้เบอื ้ งต้นแก่ผ้จู ะทาหน้าท่ีเป็ นวิทยากรผ้บู รรยายดงั นี ้ 1. การพูดบรรยาย 1) มีคานา เนือ้ เร่ือง และสรุป เชน่ เดยี วกบั หลกั การพดู ตอ่ ท่ีชมุ นมุ ชน แตก่ ารบรรยาย ในการศกึ ษาหรือฝึ กอบรมมกั มีจดุ มงุ่ หมายเพ่ือให้ผ้เู รียนได้รับความรู้ขา่ วสารข้อเทจ็ จริง หรือเกิดความ เข้าใจในเร่ืองที่บรรยายเป็นสาคญั ฉะนนั้ การขนึ ้ คานา การเสนอเร่ือง และการลงสรุปในการบรรยาย จงึ ควรเป็ นดงั นี ้ (1) ขนึ ้ คานา โดยชีแ้ จงถงึ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการบรรยายและประเดน็ ที่จะกลา่ วถึงเป็ น ลาดบั ชีค้ ณุ คา่ ของเร่ืองและประโยชน์ที่ผ้เู รียนจะได้รับจากการฟังเร่ืองดงั กลา่ ว เพ่ือสร้างความสนใจแก่ ผ้เู รียน และจงู ใจให้ติดตามฟังเร่ืองที่จะเสนอตอ่ ไป (2) เสนอเร่ือง ตามลาดบั เค้าโครงเรื่องและประเดน็ ที่ได้จดั ไว้อยา่ งเหมาะสม และ จดั แบง่ เวลาสาหรับประเดน็ ตา่ งๆ ให้ได้สดั สว่ นกนั ในระหวา่ งชว่ งประเดน็ ก็ควรสรุปด้วย แล้วเช่ือมโยง ความคดิ จากประเดน็ หนงึ่ ไปยงั อีกประเดน็ หนง่ึ อยา่ งสอดคล้องกลมกลืน การอธิบายขยายความให้ รายละเอียดในแตล่ ะประเดน็ ก็ควรแสดงข้อเทจ็ จริงและเหตผุ ลสนบั สนนุ ให้เห็นจริง นา่ เช่ือถือ รวมทงั้ ยกตวั อย่างเพ่ือให้ผ้เู รียนเข้าใจกระจา่ งแจ้งยงิ่ ขนึ ้ และเปิ ดโอกาสให้ผ้เู รียนซกั ถาม แล้วตอบคาถามให้ชดั แจ้งตรงประเดน็ ด้วย (3) ลงสรุป ในชว่ งสดุ ท้ายของการบรรยาย ผ้พู ดู ต้องสรุปอีกครัง้ วา่ มีประเดน็ สาคญั อะไรบ้าง ท่ีได้นาเสนอไปในการบรรยายครัง้ นี ้ หากเป็นการบรรยายวชิ าในสถาบนั การศกึ ษา และจะยงั มีการบรรยายอีกในครัง้ ตอ่ ไป ก็ควรแจ้งให้ผ้เู รียนทราบด้วยวา่ ในการบรรยายครัง้ ตอ่ ไปจะพดู เร่ืองอะไร เพื่อผ้เู รียนจะได้ทราบและเชื่อมความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเรื่องได้ ทาให้เหน็ ภาพรวมได้ชดั เจนเดน่ ชดั ขนึ ้ นอกจากนี ้ หากผ้เู รียนคนใดสนใจใฝ่ รู้ ก็อาจไปศกึ ษาค้นคว้าในเรื่องที่จะมีการบรรยายครัง้ ตอ่ ไปได้ก่อน ลว่ งหน้า เม่ือเกิดข้อสงสยั จะได้นามาซกั ถามในชนั้ ได้อีกด้วย 2) ใช้เทคนิคการพดู เพื่อกระต้นุ ความสนใจของผ้เู รียน และเพ่ือชว่ ยให้ผ้เู รียนไมเ่ กิด ความเครียดและเบื่อหนา่ ยได้งา่ ย เช่น ใช้อารมณ์ขนั สอดแทรกในการบรรยายบ้างตามควรแกเ่ ร่ืองและ โอกาส เร้าความสนใจของผ้เู รียนด้วยการใช้อากปั กิริยาประกอบการพดู ใช้นา้ เสียงสงู -ตา่ หนกั -เบา และ อตั ราช้า-เร็วในการพดู ตงั้ คาถามขนึ ้ เพ่ือยวั่ ยใุ ห้ผ้เู รียนผ้ฟู ังคดิ เหลา่ นีเ้ป็นต้น จะชว่ ยสร้างบรรยากาศ การเรียนการสอนให้ดขี นึ ้ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 13
3) พดู ในลกั ษณะที่เป็นรูปธรรมให้มากที่สดุ ใช้ประโยคสนั้ ๆ แสดงจดุ สาคญั ของเรื่อง เป็นจดุ ๆ ไป จะชว่ ยให้ผ้เู รียนเข้าใจได้กระจา่ งแจ้งขนึ ้ หากจาเป็นที่ต้องพดู เร่ืองที่เป็ นนามธรรม ก็ควรพดู อธิบายช้าๆ และไมเ่ สนอข้อมลู ท่ีเป็นรายละเอียดมากเกินไป เพราะอาจทาให้ผ้เู รียนสบั สนและจดจาได้ ยาก นอกจากนี ้ หากจาเป็ นต้องเสนอข้อมลู สถิติ ตวั เลข ท่ีตดิ ตามฟังแล้วจดไมท่ นั ก็ควรใช้อปุ กรณ์สื่อ การเรียนการสอน อาทิ แผนภมู ิ แผนภาพ เข้าชว่ ย ก็จะเกิดประโยชน์แกผ่ ้เู รียน ทาให้ตดิ ตามฟังเรื่องราว ได้ตลอด และจดเนือ้ หาสาระที่ควรจดได้ทนั หากจะให้ดยี ิ่งขนึ ้ ผ้บู รรยายควรแจกเอกสารประกอบการ บรรยาย ที่แสดงประเดน็ และข้อมลู สาคญั ไว้อยา่ งชดั เจน ให้แกผ่ ้เู รียนด้วย 4) เลือกใช้ภาษา ถ้อยคาท่ีส่ือความหมายได้ตรง เข้าใจง่าย เหมาะกบั ระดบั บคุ คล ถกู ต้องตามหลกั ภาษาไทย และมีชีวิตชีวา เชน่ ใช้คา “ชานชิ านาญ” จะเข้าใจงา่ ยกวา่ “ทกั ษะ” คาวา่ “ได้รับเชิญ” ให้ความรู้สกึ วา่ ได้รับเกียรติ ชวนให้ยินดีพอใจมากกวา่ คา “ถกู เชญิ ” “กาหนดการ” ใช้ สาหรับการจดั งานของบคุ คลสามญั ทว่ั ไป มใิ ช่ “หมายกาหนดการ” ดงั นีเ้ป็นต้น 5) ใช้สานวนโวหาร สภุ าษิต คาพงั เพย คาคม คาขวญั และคติพจน์ ให้เหมาะกบั เรื่องและ ลกั ษณะการพดู ผ้พู ดู จะต้องศกึ ษาความหมายและท่ีมา (ถ้ามี) ของคาตา่ งๆ ให้ถ่องแท้ จงึ จะใช้ได้ ถกู ต้องเหมาะสม 6) ไมก่ ลา่ วคาขอโทษหรือออกตวั ในตอนขนึ ้ คานาหรือลงสรุป เชน่ ไมข่ นึ ้ คานาวา่ “ผม (ดฉิ นั ) ต้องขอโทษด้วยที่ไมไ่ ด้เตรียมตวั ในเร่ืองท่ีจะบรรยายในวนั นี ้ เพราะเพิง่ ได้รับมอบหมายอยา่ ง กระทนั หนั จากทา่ นผ้บู รรยายที่ตดิ ภารกิจดว่ นสาคญั และผม (ดฉิ นั ) เองก็ไมค่ อ่ ยทราบเรื่องนีน้ กั ” หรือ ลงสรุปวา่ “ผม (ดฉิ นั ) หวงั วา่ ผ้เู รียน (ผ้เู ข้ารับการฝึ กอบรม) ทกุ ท่านคงเข้าใจเร่ืองท่ีบรรยายในวนั นี ้ รู้สกึ เห็นใจเพราะเป็นเรื่องยากสกั หนอ่ ย ผม (ดฉิ นั ) เอง ก็ไมค่ อ่ ยเข้าใจเหมือนกนั ” การกลา่ วขอโทษหรือออก ตวั เชน่ นี ้ ไมเ่ กิดประโยชน์อะไรเลย แถมยงั สร้างความผดิ หวงั ให้แก่ผ้เู รียนด้วย วา่ ผ้สู อนขาดความมนั่ ใจ ในตนเอง และไมม่ ีความรู้เพียงพอในเรื่องที่บรรยายนนั้ 2. การพัฒนาบุคลิกภาพของผู้บรรยาย บคุ ลิกภาพคอื ลกั ษณะรวมของผ้บู รรยาย ที่แสดงออกทงั้ ทางร่างกายและทางจติ ใจให้ ผ้ฟู ังได้เหน็ ได้ยนิ ได้รู้สกึ ไมว่ า่ จะเป็นบคุ ลิกภาพภายนอก ซงึ่ ได้แก่ การปรากฏกาย ทา่ ยืน การ เคลื่อนไหว กิริยาทา่ ทาง สีหน้า การสบสายตา การใช้ภาษาพดู และนา้ เสียง หรือแม้กระทั่งบคุ ลิกภาพ ภายใน เชน่ ความคดิ ริเริ่ม ความเช่ือมนั่ ในตนเอง ความจริงใจ ความกระตอื รือร้น ฯลฯ เหลา่ นีล้ ้วน ประกอบกนั เข้าเป็นบคุ ลิกภาพของผ้บู รรยาย ซง่ึ สมควรปรับปรุงให้สงา่ นา่ เล่ือมใส ในขณะเดียวกนั ก็มี ความเป็ นกนั เองชวนให้ผ้ฟู ังอบอนุ่ ใจ สบายใจ และไมเ่ ครียด เป็ นการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอน ท่ีสง่ เสริมการเรียนรู้ของผ้ฟู ัง และให้เกิดความประทบั ใจในตวั ผ้บู รรยายด้วย สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 14
1) การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายนอก (1) การแตง่ กาย ควรแตง่ ให้สภุ าพ สะอาดเรียบร้อย เหมาะสมแกก่ าลเทศะ อยา่ แตง่ สีฉดู ฉาด สภุ าพสตรีไมค่ วรแตง่ หน้าและใช้เครื่องประดบั เดน่ นกั เพราะจะกลายเป็นเร้าใจผ้ฟู ังให้ สนใจในตวั ผ้พู ดู แทนท่ีจะสนใจในสาระของเรื่อง ( 2 ) การปรากฏกาย ต้องปรากฏกายด้วยความเชื่อมน่ั ในตนเอง ทว่ งทีให้สง่า สามารถควบคมุ ตนเองให้คลายจากความประหมา่ ตน่ื เต้นได้โดยเร็วและสงบ แสดงความกระตือรือร้น พร้อมที่จะติดตอ่ และส่ือความหมายกบั ผ้ฟู ังด้วยทา่ ทีฉนั ท์มติ ร (3) ทา่ ยืน ยืนพดู ตามสบาย ไมล่ งนา้ หนกั ท่ีส้นเท้าจนเกินไป เพราะจะทาให้ กล้ามเนือ้ ขาเม่ือยล้ามากขนึ ้ อยา่ ยืนอ่อนปวกเปี ยกเหมือนคนไมส่ บาย หรืออยา่ ยืนเท้าโต๊ะเก้าอี ้ พิง กระดานดา/ขาว หรือแทน่ พดู หรือเกาะยดึ สง่ิ อื่นใด นอกจากนี ้ อยา่ ยืนตวั ตรงแขง็ ทื่อตลอดเวลา หรือยืน โยกตวั ไปมา เพราะจะทาให้ดไู มส่ งา่ งาม ทา่ ยืนท่ีดี คือยืนแยกขาให้หา่ งเทา่ กบั ชว่ งไหล่ อาจวางเท้า เหล่ือมกนั เล็กน้อย ทงิ ้ นา้ หนกั ตวั ลงบนขาและฝ่ าเท้าทงั้ สองข้างเทา่ ๆ กนั ปล่อยแขนตามสบาย หรือวาง บนแทน่ พดู ถ้าต้องยืนพดู นานๆ ก็อาจหยอ่ นขาข้างใดข้างหนงึ่ ในทา่ พกั เพื่อเปลี่ยนอิริยาบทสกั ครู่ แล้ว กลบั มายืนในทา่ เดมิ (4) การเคล่ือนไหวอริ ิยาบท การเคล่ือนที่จากจดุ หนงึ่ ไปยงั อีกจดุ หนงึ่ ย่อมเรียกร้อง ความสนใจจากผ้ฟู ัง ทาให้ตื่นตวั ขนึ ้ ฉะนนั้ ผ้พู ดู ควรเคลื่อนไหวอยา่ งช้าๆ เม่ือต้องการจะสาธิตหรือแสดง กรรมวธิ ีใดๆ ประกอบการพดู หรือเม่ือจะใช้โสตทศั นปู กรณ์ หรือแม้เมื่อผ้พู ดู ต้องการจะเน้นถงึ ความสาคญั ของสิ่งท่ีกาลงั พดู ก็กระทาได้โดยการก้าวออกไปข้างหน้าช้าๆ สองหรือสามก้าวในขณะที่พดู พร้อมกบั สบสายตากบั ผ้ฟู ัง ให้ทกุ คนรู้สกึ ว่าผ้พู ดู กาลงั พดู กบั เขาอยู่ เมื่อหมดจดุ ท่ีพดู เน้นแล้ว ก็ก้าวถอย หลงั ช้าๆ กลบั มาที่เดมิ เป็นต้น (5) กิริยาทา่ ทาง สีหน้า กิริยาทา่ ทางควรเป็นธรรมชาติ การใช้มือประกอบอยา่ เก้งก้างขดั เขิน คนั ร่างกายไมห่ ยดุ จบั โนน่ แกะน่ีดนู า่ ราคาญ การเลียริมฝี ปากบอ่ ยๆ ก็ไมด่ ี ต้องไมส่ บู บหุ ร่ีขณะบรรยายหรือพดู ตอ่ ท่ีชมุ นมุ ชนเป็นอนั ขาด การแสดงสีหน้าต้องไมเ่ สแสร้งหรือแสดงออกเกิน ความรู้สกึ ภายในตามธรรมชาตขิ องผ้พู ดู แตก่ ็อยา่ สารวมจนเกินไป การยมิ ้ ต้องเป็นธรรมชาติ อยา่ ฝื นยมิ ้ (6) การสบตา จงพยายามสบตากบั ผ้ฟู ังให้ทว่ั ถึงขณะพดู ให้ผ้ฟู ังรู้สกึ วา่ ผ้พู ดู กาลงั พดู กบั พวกเขาทกุ คน ทกุ ซอกทกุ มมุ ผ้พู ดู ต้องไมจ่ ้องหรือมองเฉพาะที่เฉพาะแหง่ แตก่ ็อยา่ สอดสา่ ย สายตามากเกินไปเหมือนพดั ลมหมนุ ไมม่ ีหลกั แนน่ อนวา่ ผ้พู ดู ต้องมองทางซ้ายก่อนแล้วจงึ เคล่ือนไป ทางขวา หรือมองทางขวากอ่ นแล้วคอ่ ยๆ เคลื่อนไปทางซ้าย ในทางปฏิบตั ิ ผ้พู ดู สามารถสบสายตากบั ผ้ฟู ังได้ทงั้ ซีกซ้าย กลาง และขวา จากการพดู เพียงประโยคเดยี วก็มี โดยเฉพาะการพดู ประโยคท่ีผ้พู ดู ต้องการเน้นความสาคญั โดยการพดู อยา่ งช้า ๆ หนกั แนน่ เป็นต้น การมอง หากเป็ นการมองระยะใกล้ โดยปกตคิ วรมองท่ีผ้ฟู ังที่นง่ั 2 - 4 แถวแรก หากมองไกล ไมค่ วรมองไกลกวา่ 2 แถวหลงั สดุ ของท่ีนงั่ ผ้ฟู ัง อย่ามองเพดานหรือระดบั สงู กวา่ ศรี ษะ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 15
ผ้ฟู ัง และไมค่ วรมองออกไปนอกห้องหรือท่ีอื่นใดที่ไมม่ ีผ้ฟู ัง เพราะจะแสดงถึงการขาดความเชื่อมน่ั ใน ตนเองของผ้พู ดู ซา้ ร้ายผ้ฟู ังอาจคดิ วา่ ผ้พู ดู ขาดความจริงใจอีกด้วย จงึ ไมก่ ล้าสบตากบั พวกเขา (7) ภาษาพดู ควรใช้ถ้อยคาท่ีเข้าใจกนั โดยทว่ั ไป ไมใ่ ช้ภาษาตลาด คาหยาบ คา เฉพาะท้องถ่ิน หรือคาที่เป็นท่ีเข้าใจกนั เฉพาะกลมุ่ คนบางกลมุ่ เทา่ นนั้ จงลดคาพดู ที่ซา้ ซาก ไร้สาระ เชน่ เอ้อ อ้า นะครับ นะคะ เช่ือไหม รู้หรือเปลา่ ยงั ไงละ่ เหลา่ นีเ้ป็นต้น ควรใช้ภาษาให้ถกู ต้อง บง่ บอก ความหมายท่ีชดั เจนไมค่ ลมุ เคลือ และไมพ่ ดู คาไทยปนองั กฤษ (8) เสียง ต้องดงั ชดั เจน นา่ ฟัง ร่ืนหู ไมด่ ดั เสียง แตใ่ ห้เป็นไปตามธรรมชาติ ไมพ่ ดู ระดบั เสียงเดียว (monotone) แตม่ ีระดบั เสียงขนึ ้ ลงตามลีลาท่ีพดู ควรเน้นเสียงหนกั ตรงใจความสาคญั พดู อยา่ งมีจงั หวะจะโคน อตั ราเร็วเหมาะสม ออกเสียงให้ถกู ต้องตามอกั ขรวธิ ีและความนยิ ม เสียงควบ กลา้ ตวั ร ล ชดั เจนดี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ที่ขณะนีม้ กั ออกเสียง ฉ ไมช่ ดั เจนอีกด้วย ต้องระวงั ผ้พู ดู ท่ีพดู คาภาษาไทยไมช่ ดั เจนจะเป็ นปมด้อย และผ้ฟู ังลดความเช่ือถือลงไป 2) การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายใน (1) ความเช่ือมน่ั ในตนเอง ผ้พู ดู ต้องมีลกั ษณะนีเ้ป็นเบอื ้ งแรก ซง่ึ กระทาได้โดย การเตรียมตวั ลว่ งหน้าให้พร้อม ทงั้ ในด้านเนือ้ หาสาระที่จะพดู และวธิ ีการพดู (2) ความกระตอื รือร้น ผ้พู ดู ท่ีมีความกระตือรือร้นจะแสดงให้ผ้ฟู ังได้เห็นถงึ ความ กระปรีก้ ระเปร่า คลอ่ งแคล่ว มีชีวิตชีวา มีความเตม็ ใจและพอใจท่ีจะพดู ซงึ่ จะมีผลให้ผ้ฟู ังเกิดความ กระตือรือร้นตามไปด้วย ตรงกนั ข้ามกบั ผ้พู ดู ที่ขาดความกระตอื รือร้น ก็จะแสดงออกให้เห็นถงึ ลกั ษณะ เฉื่อยชา เฉยเมย ไมม่ ีชีวติ ชีวา พลอยทาให้ผ้ฟู ังเกิดความเบ่อื หนา่ ย ง่วงนอน และคร้านที่จะฟังตามไป ด้วยเชน่ กนั (3) ความจริงใจ ผ้พู ดู ท่ีมีความจริงใจจะแสดงออกให้ผ้ฟู ังเห็นได้ทางสีหน้าสายตา รอยยมิ ้ และทา่ ทีขณะพดู พลอยให้ผ้ฟู ังอบอนุ่ ใจ ไว้วางใจ เกิดความรู้สกึ เป็นกนั เอง และกล้าซกั ถาม แสดงความคิดเหน็ มากขนึ ้ ส่วนผ้พู ดู ที่ขาดความจริงใจ มกั จะหลบสายตาผ้ฟู ัง ทาให้การสื่อความหมาย ขาดประสิทธิภาพ ผ้ฟู ังเกิดความระแวง และไมเ่ ชื่อถือผ้พู ดู (4) ความรับผิดชอบ ผ้พู ดู ท่ีมีความรับผิดชอบจะเตรียมตวั ลว่ งหน้าเป็นอยา่ งดี เพ่ือที่จะถา่ ยทอดเนือ้ หาแก่ผ้ฟู ังได้มากและเหมาะสมกับเวลา ให้คณุ คา่ สมกบั ที่เข้าฟัง ในขณะพดู ก็จะ นาเสนอเฉพาะความจริงที่เป็ นประโยชน์ทงั้ แก่ผ้ฟู ังและสงั คม ไมบ่ ดิ ผนั หรือยดั เยียดข้อมลู และความเชื่อ ผิด ๆ ให้แก่ผ้ฟู ัง ดงั นีเ้ป็นต้น (5) อารมณ์ขนั ผ้พู ดู ที่มีอารมณ์ขนั จะทาให้บรรยากาศในการพดู การเรียนการ สอนไมเ่ คร่งเครียด ผ้ฟู ังผ้เู รียนรู้สกึ สนกุ สนาน ตดิ ตามฟังด้วยความสนใจ บคุ ลิกภาพภายในหรือทางจิตใจนอกจากท่ีระบขุ ้างต้น ยงั มีความจา ความชา่ งสงั เกต ความพอใจในการพดู ความซื่อสตั ย์ ความจริงจงั ความขยนั ขนั แข็ง ฯลฯ ซง่ึ หากผ้ใู ดมีลกั ษณะเหลา่ นี ้ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 16
มาก ก็จะยิ่งสง่ เสริมให้บคุ ลิกภาพภายนอกหรือทางกายมีความสง่าน่านิยม นา่ เลื่อมใสศรัทธามากขนึ ้ ด้วยเชน่ กนั สรุป การบรรยายเป็นการพดู ที่ให้ความรู้ข้อมลู ขา่ วสารในหวั ข้อเร่ืองที่กาหนดไว้ชดั เจนแก่ผู้ฟัง โดยผ้ทู รงคณุ วฒุ ิหรือผ้มู ีความรู้ในเร่ืองนนั้ แม้วิธีการบรรยายจะเป็นที่ค้นุ เคยกนั โดยทว่ั ไป เน่ืองจากได้ ใช้กนั อย่างแพร่หลายในโรงเรียนและสถาบนั การศกึ ษาตา่ งๆ แตก่ ็พบวา่ ยงั มีการบรรยายอีกเป็ นจานวน มาก ท่ีไมใ่ ห้เนือ้ หาสาระและคณุ คา่ เพียงพอแกผ่ ้ฟู ัง ปัญหาท่ีพบโดยทว่ั ไป มกั เกิดจากผ้บู รรยายท่ีไม่ เตรียมการให้พร้อม และจากการถ่ายทอดท่ีไมช่ ดั เจนกระชบั ความของผ้บู รรยายเอง ฉะนนั้ ผ้จู ะใช้ วธิ ีการบรรยายเพื่อการถ่ายทอดสาระความรู้ จงึ ควรศกึ ษาและลองปฏิบตั ติ ามกระบวน การบรรยายท่ีได้ เสนอไว้เป็นพืน้ ฐานในบทความนีด้ ู ทงั้ พยายามปรับปรุงการพดู และบคุ ลิกภาพของตนให้สงา่ นา่ เล่ือมใส ชวนให้เช่ือถือศรัทธาอีกด้วย ก็จะชว่ ยให้การสื่อความหมายและการถ่ายทอดสมั ฤทธิผลตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องการถ่ายทอดครัง้ นนั้ ด้วยดี เพ่ือให้ผ้บู รรยายได้ทราบวา่ ตนสามารถถา่ ยทอดได้ดเี พียงใด จงึ ได้แนบตวั อยา่ งแบบ ประเมินการถา่ ยทอดด้วยวธิ ีการบรรยายมาท้ายบทความนี ้ ผ้บู รรยายควรใช้แนวการประเมนิ ในแบบ ประเมนิ นี ้ เป็ นรายการตรวจสอบความพร้อมของตน และเพื่อการบรรยายให้เกิดประสิทธิผลอีกทางหนง่ึ ด้วย สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 17
แบบประเมินผลการถ่ายทอดด้วยวิธีการบรรยาย ช่ือผ้สู อน……………………………………………….หวั ข้อเรื่อง………………………………………….............. คะแนนทใ่ี ช้ในการประเมิน : 5 = ดีมาก , 4 = ดี , 3 = ปานกลาง , 2 = พอใช้ , 1 = ควรปรับปรุง หวั ข้อการประเมิน คะแนนที่ให้ () ข้อวิจารณ์ 5432 1 ก. การทกั ท่ปี ระชุม และการขนึ้ คานา 1. ทกั ทีป่ ระชมุ ได้เหมาะสม ไมว่ กวน 2. นาเข้าสเู่ รื่องท่ีจะบรรยายได้อยา่ งนา่ สนใจ และ เร้าใจให้ตดิ ตามฟัง เป็ นการปพู นื ้ เข้าสตู่ วั เรื่องได้ดี 3. แนะนาหวั ข้อวชิ าได้ชดั เจน 4. แจ้งวตั ถปุ ระสงค์ของหวั ข้อวชิ าได้ชดั เจน 5. บอกประโยชน์ทผ่ี ้ฟู ังจะได้รับจากการบรรยาย 6. บอกเค้าโครงเร่ืองที่จะถา่ ยทอดได้ชดั เจน ข. การนาเสนอตวั เร่ือง 7. นาเสนอและเน้นยา้ เนอื ้ หาสาระทสี่ าคญั ได้ชดั เจน 8. อรรถาธิบายให้ผ้ฟู ังเข้าใจได้อยา่ งกระจา่ งแจ้ง 9. ดาเนนิ เรื่องเป็ นลาดบั ไมส่ บั สนวกวน ค. การสรุป 10. เนอื ้ หาสาระสาคญั ได้รับการเน้นยา้ อยา่ งกระชบั ชดั เจนอีกครงั้ ก่อนจบการบรรยาย 11. บรรยายได้จบและสมบรู ณ์ในเวลาท่กี าหนด 12. เร้าให้ผ้ฟู ังประทบั ใจ เชื่อถือและเหน็ คล้อยตาม ง. บุคลิกภาพ 13. ขนึ ้ ปรากฏกายตอ่ ทปี่ ระชมุ อยา่ งสง่าและมนั่ คง 14. สบสายตากบั ผ้ฟู ังได้ดแี ละทว่ั ถึง 15. การเคลอ่ื นไหว กิริยาทา่ ทางประกอบการพดู สอื่ ความหมายได้ชดั เจนและกลมกลนื 16. เสยี งดงั ชดั เจน นา้ เสยี งหนกั –เบา สงู –ต่า ช้า–เร็ว พอเหมาะ กระต้นุ ให้สนใจตดิ ตามฟังโดยตลอด จ. การใช้ส่ือ-อุปกรณ์ในการถ่ายทอด และอ่ืนๆ 17. ใช้สอ่ื ประกอบการบรรยายได้อยา่ งเหมาะสม 18. แจกเอกสารประกอบการบรรยายทมี่ ีประโยชน์ 19. เปิ ดโอกาสให้ผ้ฟู ังซกั ถาม และแสดงความคดิ เหน็ 20. ตอบคาถามได้กระจ่างแจ้ง และกระชบั รวมคะแนน / 100 คะแนน สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 18
สง่ิ ที่ผ้บู รรยายกระทาได้ดที ่ีสดุ ในการบรรยายครัง้ นี ้ …………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ส่ิงที่ผ้บู รรยายควรปรับปรุงเป็นพิเศษในการบรรยายครัง้ ตอ่ ไป …………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ความคดิ เห็นเพ่มิ เตมิ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………. (ออกแบบประเมนิ โดย ดร.สรุ พล จนั ทราปัตย์) สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 19
บรรณานุกรม สรุ พล จนั ทราปัตย์. 2547. ศลิ ปะการพูดต่อท่ีชุมนุมชน. สถาบนั จดั การทรัพยากรนา้ นานาชาติ สานกั งานภมู ิภาคเอเซียตะวนั ออกเฉียงใต้ กรุงเทพฯ. ________________. 2531. การบรรยาย. เอกสารประกอบการบรรยายเร่ือง “การสอนแบบบรรยาย” ในการประชมุ เชงิ ปฏิบตั กิ ารเรื่องเทคนิคการสอนระดบั อดุ มศกึ ษา ครัง้ ที่ 2 ณ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ. 4 – 5 เมษายน 2531. ________________. 2529. การเรียนรู้กับการฝึ กอบรม. น. 38-59. ในเ อกสารประกอบการอบรม หลกั สตู รวิทยากรทางการสง่ เสริมและพฒั นาชนบท. 19-27 พฤษภาคม 2529. ศนู ย์สง่ เสริม และฝึกอบรมการเกษตรแหง่ ชาติ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน นครปฐม. 232 น. ________________. 2528. หลักและวธิ ีการเพ่มิ ประสิทธิผลในการถ่ายทอด. น. 72-85. ใน เอกสารประกอบการอบรม หลกั สตู รวิทยากรทางการสง่ เสริมและพฒั นาชนบท. 13-24 พฤษภาคม 2528. ศนู ย์สง่ เสริมและฝึกอบรมการเกษตรแหง่ ชาติ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน นครปฐม. 255 น. อทุ ิศ นาคสวสั ด.์ิ 2519. ศิลปะการพูด. กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพ์อกั ษรเจริญทศั น์. DeCenzo, D. A. and Robbins, S. P. 1988. Personnel/Human Resource Management. 3rd ed. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall. Donaldson, L. and Scannell, E. E. 1986. Human Resource Development: The New Trainer’s Guide. 2nd ed. New York: Addison-Wesley Publishing Company, Inc. FAO. 1993. Planning for Effective Training: A Guide to Curriculum Development. Rome: Food and Agriculture Organization of the United Nations. Hindle, T. 1998. Making Presentations. New York: DK Publishing, Inc. Otto, C. P. and Glaser, R. D. 1970. The Management of Training: A Handbook for the Training and Development. New York: Addison- Wesley Publishing Company, Inc. Sredl, H. J. and Rothwell, W. J. 1987. The ASTD Reference Guide to Professional Training Roles and Competencies. Vol. II. Massachusetts: HRD Press, Inc. File: สรุ พล การบรรยาย มสธ. 21ก.ย.64 สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 20
การสาธติ 1 ดร.สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิตเป็ นวิธีการส่งเสริมท่ีสาคัญ นักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรจึงต้องเรียนรู้ให้ กระจ่างแจ้ง ทัง้ ในแนวความคิด ขนั้ ตอนต่างๆ ในกระบวนการสาธิต และรายละเอียดอื่นๆ รวมทัง้ ฝึกฝนการใช้วธิ ีการนี ้เพื่อให้เป็นผ้ทู ่ี “รู้จริงและทาได้จริง” ทาให้กล่มุ เป้ าหมาย “เห็นจริง” จงึ เช่ือถือ คล้อยตาม และทาตามในท่ีสดุ บทความนีเ้ ขียนขนึ ้ เพ่ือให้ความรู้พืน้ ฐานท่ีสาคญั เร่ืองการสาธิต และให้เกร็ดแนะนาเพ่ือให้ การสาธิตเกิดผลสาเร็จ โดยจาแนกเป็นหวั ข้อหลกั 6 หวั ข้อ ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. ความหมายและลกั ษณะสาคญั ของการสาธิต 2. โอกาสท่ีควรใช้การสาธิต 3. ประเภทของการสาธิต 4. กระบวนการสาธิต 5. ข้อดีและข้อจากดั ของการสาธิต 6. ข้อแนะนาบางประการเพื่อเพิ่มประสทิ ธิผลของการสาธิต ความหมายและลักษณะสาคัญของการสาธิต การสาธิต คอื การถ่ายทอดความรู้ (knowledge) และทกั ษะ (skills) โดยการบอกเลา่ หรือ อธิบาย (telling) ให้กลมุ่ บคุ คลเป้ าหมายรู้และเข้าใจชดั แจ้งในเนือ้ หาประเดน็ สาคญั ประกอบกบั การ แสดงหรือทาให้ดู (showing) เป็นตวั อย่างเป็นขนั้ ตอนไป เพื่อให้กลมุ่ เป้ าหมายได้ยิน ได้เห็น และ อาจได้ลองทาด้วยตนเองอกี ด้วย ทาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และมีความเชื่อม่ันท่ีจะไปทาตามได้ อยา่ งถกู ต้องตอ่ ไป จากคาจากดั ความข้างต้น จงึ เห็นได้วา่ การสาธิตมีลกั ษณะของการบอก/อธิบาย ร่วมกบั การ แสดงหรือทาให้ดูให้เห็นจริงเป็ นขนั้ ตอนไป ว่ามีอะไรท่ีต้องทา และทาอย่างไร จึงจะได้ผลตามที่ ต้องการ ทาให้กล่มุ เป้ าหมายเห็นจริงและจดจาได้มากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว และเพื่อให้การ สาธิตได้ผลดีย่ิงขนึ ้ ผ้สู าธิตจึงมักมีผลงานให้เห็นเป็ นตวั อย่าง (teaching by example) อีกด้วย จึง 1 บทความนเี ้ขยี นขนึ ้ เพอื่ ใช้เป็ นเอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมเข้มเสริมประสบการณ์มหาบณั ฑิต (สง่ เสริมและ พฒั นาการเกษตร) รุ่นท่ี 21 สาขาวชิ าเกษตรศาสตร์และสหกรณ์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช วนั ท่ี 18 กนั ยายน 2564 โดยได้ปรับปรุงจากบทความเดมิ ที่ผ้เู ขยี นได้เขียนไว้เมอื่ ปี พ.ศ. 2547.
เป็นการเน้นยา้ ให้กลมุ่ เป้ าหมายเกิดความเช่ือถือในสิ่งท่ีได้ยินได้เห็นด้วยตนเอง จนมีความเช่ือมน่ั ท่ี จะรับไปทาตามมากขนึ ้ โอกาสท่คี วรใช้การสาธิต นกั สง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรควรใช้วิธีการสาธิตในโอกาสตอ่ ไปนี ้ 1. เมื่อต้องการถ่ายทอดในเร่ืองท่ีกลมุ่ เป้ าหมายสามารถเรียนรู้ได้จากการสงั เกตและทา ตาม ดงั นนั้ นกั สง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรจงึ จาเป็นต้องแสดงให้เห็นกระบวนการและขนั้ ตอน ตา่ งๆ อยา่ งชดั เจน พร้อมทงั้ อธิบายเน้นยา้ ประเดน็ สาคญั เพ่ือให้กลมุ่ เป้ าหมายได้ยิน ได้เห็น และ เข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้งในทกุ ขนั้ ตอนอย่างตอ่ เน่ืองและสมั พนั ธ์กนั 2. เมื่อนกั สง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรมีความรู้จริงในเนือ้ หาสาระของเร่ืองท่ีจะถ่ายทอด และสามารถทาได้จริงในแตล่ ะขนั้ ตอน จนประสบผลสาเร็จมากอ่ นแล้ว หากนกั ส่งเสริมและ พฒั นาการเกษตรไม่รู้จริงและรู้มากกว่ากล่มุ เป้ าหมาย ทงั้ ยงั ไม่สามารถทาไดถ้ กู ตอ้ งดีจริงอีกดว้ ยแล้ว ก็ไม่ควรใชว้ ิธีการสาธิตในการถ่ายทอด เพราะจะทาให้อธิบายได้ไม่ครบถ้วนและชดั แจ้ง ทงั้ ยงั ไม่ สามารถตอบคาถามของกลมุ่ เป้ าหมายได้อยา่ งละเอยี ดลกึ ซงึ ้ อีกด้วย 3. เม่ือมีสถานที่ท่ีเหมาะสมในการสาธิต ผ้สู าธิตต้องแน่ใจวา่ กลมุ่ เป้ าหมายท่ีเข้าฟังเข้าชม การสาธิตจะสามารถมองเหน็ การแสดงได้อยา่ งชดั เจน ทงั้ ได้ยินการพดู อธิบายอย่างชดั เจนโดยทวั่ กนั อกี ด้วย 4. เมื่อชุมชนมีหรือสามารถจัดหาเครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ท่ีจาเป็ นต้องใช้ ในเร่ืองท่ี แนะนาให้ไปทาตามได้ในชมุ ชนนนั้ การสาธิตในเรื่องที่กล่มุ เป้ าหมายไม่มีเครื่องมือหรือวสั ดอุ ปุ กรณ์ ในเรื่องท่ีแนะนาให้ไปทาตาม หรือหาไม่ได้ในชมุ ชน จะเป็นการสร้างภาระแกก่ ลมุ่ เป้ าหมาย และยงั คง ทาให้กลมุ่ เป้ าหมายต้องพงึ่ พาปัจจยั ภายนอกชมุ ชน ทาให้ต้องลงทนุ สงู ขนึ ้ และอาจมีความเส่ียงมาก ขนึ ้ ด้วย นกั สง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรจงึ ควรพิจารณาให้รอบคอบหากจะสาธิตในเร่ืองนนั้ ประเภทของการสาธิต 1. แบ่งโดยยดึ จุดมุ่งหมายของการนาเสนอเป็ นเกณฑ์ แบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คือ การสาธิตวิธี และการสาธิตผล 1.1 การสาธติ วธิ ี (Method demonstration) เป็นการแสดงประกอบการอธิบาย เพื่อให้กลมุ่ เป้ าหมายรู้และเหน็ จริงถงึ วิธีการในการทาสง่ิ ใดสิง่ หนงึ่ รวมทงั้ สอนทกั ษะท่ีจาเป็นในการ ทาสง่ิ นนั้ ๆ เป็นลาดบั ขนั้ ตอนไปด้วย กลา่ วคอื ให้รู้วา่ มีอะไรที่ต้องทา (what to do) และทาอยา่ งไร สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 2
(how to do it) นน่ั เอง เชน่ การสาธิตการประกอบอาหารชนิดตา่ งๆ การถนอมอาหาร การทาป๋ ยุ หมกั การเตรียมแปลงปลกู พืชผกั การจดั ทาบญั ชีรับ-จา่ ยอยา่ งงา่ ย เป็นต้น 1.2 การสาธติ ผล (Result demonstration) เป็นการแสดงผลงานที่สาเร็จจากการใช้ วิธีการท่ีได้แนะนาวา่ ให้ผลดีอยา่ งไร อาจเป็นการแสดงให้เหน็ ผลงานที่เกิดขนึ ้ จริงในสภาพความเป็น จริงของท้องถิ่น เพอื่ ให้เหน็ ถงึ ความแตกตา่ งเม่ือเปรียบเทียบกบั วธิ ีการเดิมที่ใช้อย่กู ไ็ ด้ การสาธิตผล เป็นวิธีที่ใช้กนั มากในงานสง่ เสริมการเกษตร เช่น การเปรียบเทียบผลของการใช้ป๋ ยุ สตู รตา่ งๆ ตอ่ เจริญเตบิ โตและผลผลติ ของพืช การใช้มาตรการอนรุ ักษ์ดนิ และนา้ บนพืน้ ที่ลาดชนั ผลของการทา บญั ชีรับ-จ่ายตอ่ ประสิทธิภาพในการบริหารการเงนิ และการตรวจบญั ชีของสหกรณ์ เป็นต้น 2. แบ่งโดยยดึ จานวนผ้แู สดงเป็ นเกณฑ์ แบง่ เป็น 3 ประเภท คอื การสาธิตเด่ยี ว การ สาธิตคู่ และการสาธิตเป็นคณะ 2.1 การสาธิตเด่ยี ว เป็นการสาธิตโดยผ้แู สดงเพียงคนเดียว ทงั้ อธิบายและแสดงไป พร้อมกนั ดงั นนั้ ผ้สู าธิตจงึ ต้องเตรียมพร้อมทกุ ด้าน และทาตงั้ แตเ่ ริ่มต้นจนเสร็จสนิ ้ แม้จะเป็นภาระ แตก่ ส็ ะดวก เพราะบริหารงานและเวลาได้เตม็ ท่ีในช่วงเวลาที่กาหนด ในการสาธิตวธิ ีโดยทว่ั ไปมกั ใช้ การสาธิตเดยี่ ว 2.2 การสาธติ คู่ เป็นการสาธิตโดยผ้แู สดง 2 คน โดยแบง่ งานกนั ให้เหมาะสม ทงั้ ใน สว่ นการอธิบายและการแสดง โดยอาจสลบั กนั อธิบายและแสดงกไ็ ด้ ทงั้ นี ้ ต้องมีการร่วมมือและ ประสานงานกนั อย่างดี และต้องมีการซกั ซ้อมมากกวา่ การสาธิตเดี่ยวด้วย เพ่อื ให้การสาธิตดาเนินไป ได้ด้วยความราบรื่นและเรียบร้อย การสาธิตคมู่ กั ใช้กบั การสาธิตวิธีด้วยเช่นกนั 2.3 การสาธิตเป็ นคณะ เป็นการสาธิตโดยคนหลายคน และแบง่ หน้าที่การงานกนั ชดั เจน เนื่องจากเป็นการสาธิตใหญ่ อาทิ การสาธิตผลการทดลองทางการเกษตรในสถานีทดลอง หรือ ในแปลงทดสอบ จงึ ต้องมีการวางแผน และซกั ซ้อมความเข้าใจให้ตรงกนั โดยมีผ้รู ับผิดชอบตดั สนิ ใจ ในแตล่ ะกลมุ่ งานอยา่ งแน่ชดั มิเชน่ นนั้ จะเกิดความผิดพลาดบกพร่องขนึ ้ ได้ และแก้ไขยากใน สถานการณ์ขณะสาธิตนนั้ การสาธิตเป็นคณะมกั ใช้กบั การสาธิตผล กระบวนการสาธิต กระบวนการสาธิต จะแยกอธิบายเป็น 2 สว่ น คอื กระบวนการสาธิตวิธี และกระบวนการสาธิต ผล สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 3
ก. กระบวนการสาธิตวธิ ี การสาธิตวิธีมี 4 ขนั้ ตอนใหญ่ ๆ คอื การเตรียมการ การดาเนินการ การสรุปผล และการ ติดตามผล 1. การเตรียมการ 1.1 การเลือกเร่ืองท่ีจะสาธติ ควรศกึ ษาปัญหาของชมุ ชนหรือกลมุ่ เป้ าหมายให้ ถ่องแท้ วา่ ปัญหาท่ีแท้จริงคอื อะไร และมีเร่ืองอะไรหรือทกั ษะอะไรท่ีพวกเขาสมควรเรียนรู้เพื่อ แก้ปัญหาดงั กลา่ วบ้าง ชมุ ชนและกลมุ่ เป้ าหมายควรเข้ามีสว่ นร่วมในขนั้ ตอนนอี ้ ย่างยิ่ง เพราะจะทา ให้ทราบถงึ แก่นแท้ของปัญหา และแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชมุ ชนกระทาได้เองด้วยความพากเพียรของ เขา เพื่อให้พงึ่ พาตนเองได้ และพงึ่ พากนั และกนั ได้อกี ด้วย นอกจากนี ้ ยงั จะกระต้นุ ความสานกึ เป็น เจ้าของแก่ชมุ ชนและกลมุ่ เป้ าหมาย ทาให้การสาธิตท่ีจะมีขนึ ้ ได้รับความสนใจและตงั้ ใจจากกลมุ่ ผ้ชู ม มากขนึ ้ และมีการยอมรับปรับใช้เร่ืองที่ได้เรียนรู้จากการฟังและชมการสาธิต ไปแก้ปัญหาของชมุ ชน มากขนึ ้ ด้วย 1.2 การแสวงหาความรู้ในเร่ืองท่จี ะสาธติ ผ้สู าธิตต้องรู้จริงในเรื่องและวธิ ีการที่ จะสาธิต ด้วยเหตนุ ี ้ จงึ ต้องสนใจใฝ่ รู้และขวนขวายหาความรู้ให้มากและลกึ ซงึ ้ เพื่อการอธิบายและ การตอบคาถามได้อย่างกระจ่างแจ้ง 1.3 การวางแผนการสาธติ ต้องจดั ทาบท (script) วา่ จะนาเสนอเรื่องอะไรเป็น ลาดบั ขนั้ ตอนไป และในแตล่ ะขนั้ ตอนมีประเดน็ สาคญั หรือจดุ อะไรที่ต้องนาเสนอและเน้นเป็นพิเศษ บ้าง เพ่ือให้กลมุ่ เป้ าหมายสงั เกตเห็นและเรียนรู้ จนทาตามตามขนั้ ตอนนนั้ ๆ ได้อยา่ งถกู ต้อง นอกจากนี ้ จะใช้เคร่ืองมือและวสั ดอุ ปุ กรณ์อะไรบ้างในการสาธิต จะใช้โสตทศั นปู กรณ์อะไร หาได้จาก ที่ไหน ใช้สถานที่ใด จะประชาสมั พนั ธ์งานสาธิตอยา่ งไร เมื่อได้ข้อมลู ครบถ้วนแล้ว ก็จัดทาแผนใน รายละเอียดตอ่ ไป วา่ ใคร ทาอะไร อยา่ งไร เมื่อไร ท่ีไหน เพือ่ ให้การเตรียมการมีความพร้อมมากทสี่ ดุ 1.4 การซกั ซ้อม ถือเป็นกิจกรรมสาคญั ท่ีไม่วา่ ผ้แู สดงท่ีมีความเช่ียวชาญหรือผ้เู พิ่ง เริ่มจบั งานสาธิตก็ตาม ต้องฝึกซ้อมการแสดงเป็นขนั้ ตอนให้ถกู ต้องคลอ่ งแคลว่ แล้วอธิบาย ประกอบการแสดงให้กระชบั และชดั เจน โดยใช้เคร่ืองมือและวสั ดอุ ปุ กรณ์ที่ได้มีการจดั วางในตาแหน่ง ที่พร้อมใช้งานได้สะดวก และเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนที่จะทาจริงในวนั สาธิตด้วย สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 4
ตัวอย่างรูปแบบหน่ึงของแผนการสาธิต 1. เรื่องที่สาธิต.............................................................................................................................. 2. กลมุ่ เป้ าหมาย............................................................................จานวน.................................... 3. วตั ถปุ ระสงค์ของการสาธิตครัง้ นี.้................................................................................................ …………………………………………………………………………………………………………… 4. ผลท่ีคาดวา่ จะได้รับจากการสาธิต.............................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………… 5. เนือ้ หาสาระ และทกั ษะท่ีจะให้กลมุ่ เป้ าหมายเรียนรู้ __________________________________________________________________________________ ขนั้ ตอน ประเดน็ สาคญั /ทกั ษะท่ีนาเสนอ ____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ 1……………………………………………… 1.1 ………………………………………………. 1.2 ………………………………………………. 2……………………………………………… 2.1 ………………………………………………. 2.2 ………………………………………………. 2.3 ………………………………………………. 3……………………………………………… 3.1 ………………………………………………. 3.2 ………………………………………………. ____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ 6. เคร่ืองมือและวสั ดอุ ปุ กรณ์ที่ต้องการใช้………………………………………………………………. 7. สถานที่.………………………………………………………………………………………………. 8. การประเมนิ ผล......................................................................................................................... 9. แนวทางการติดตามผล............................................................................................................. 2. การดาเนนิ การ 2.1 ควรเดนิ ทางถงึ สถานที่แสดงการสาธิตอย่างน้อย 30 นาที เพื่อจดั เตรียมทกุ อยา่ ง ให้พร้อมลว่ งหน้า ทงั้ สถานที่ การจดั ท่ีนง่ั ผ้เู ข้าชมการสาธิต โต๊ะที่ใช้ในการสาธิต การจดั วางเคร่ืองมือ และวสั ดอุ ปุ กรณ์ รวมทงั้ ตรวจสอบความพร้อมใช้งานด้วย นอกจากนี ้ ต้องตรวจสอบความพร้อมของ โสตทศั นปู กรณ์ตา่ งๆ สิ่งอานวยความสะดวก อาหารวา่ ง เครื่องดืม่ แบบลงทะเบยี นผ้เู ข้าชมการสาธิต สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 5
เหลา่ นเี ้ป็นต้น ให้แน่ใจวา่ ทกุ ส่งิ อย่างเรียบร้อยพร้อมใช้งาน และมเี วลาพอสาหรับการเตรียมตวั ต้อนรับผ้เู ข้าชมการสาธิตตอ่ ไปด้วย 2.2 เร่ิมการสาธิต คาแนะนาเพื่อการนาเสนอท่มี ีประสิทธิผลมีดงั ตอ่ ไปนี ้ แนวทางแสดงการสาธติ วธิ ี การสาธิตเร่ือง................................................................................................................................... 1. การกล่าวแนะนาก่อนดาเนินการสาธิต 1.1 การแนะนาตวั แก่ผ้ชู ม 1.2 การแนะนาเร่ืองที่จะสาธิต (ช่ือเรื่อง ความจาเป็นที่ต้องสาธิต ความสาคญั และการชีใ้ ห้เหน็ วา่ วธิ ีการที่แนะนาจะใช้ได้ผลในสภาพความเป็นจริงของท้องถ่ิน) 1.3 การแจ้งเค้าโครงเรื่องและกิจกรรมท่ีจะสาธิตให้ผ้ชู มทราบอยา่ งชดั เจน 1.4 การแจ้งให้ผ้ชู มทราบวา่ จะเปิ ดโอกาสให้ซกั ถามได้เมื่อใด 2. การดาเนินการสาธิต 2.1 อธิบายและแสดงเป็ นลาดบั ขนั้ ตอนตามเค้าโครงท่ีได้วางไว้ วา่ ต้องทาอะไร อยา่ งไร และทาไมจงึ ต้องทาเชน่ นนั้ มีข้อควรตระหนกั และจดจาอะไรบ้าง และพงึ ระวงั ในเรื่องใดบ้าง ขนั้ ตอนใดที่ยาก ก็อธิบายและทาซา้ อีก เพื่อให้ผ้ชู มเหน็ และเข้าใจกระจา่ งแจ้ง 2.2 ทาให้ผ้ชู มการสาธิตเหน็ วา่ วิธีการที่แนะนานนั้ ทาได้งา่ ย และสามารถไปทาได้เองที่บ้านหรือไร่นา ด้วย 2.3 ต้องมีความเชื่อมนั่ ในความสามารถของตนเองในการแสดงวิธีทางานตามขนั้ ตอนตา่ งๆ นนั้ 2.4 ยมิ ้ แย้มแจม่ ใสขณะพดู และแสดง 2.5 พดู กบั ทกุ คน อยา่ ปล่อยให้ใครในกลมุ่ ผ้ชู มรู้สกึ วา่ ถกู ละเลยหรือไมส่ นใจ อยา่ หนั หลงั ให้ผ้ชู ม 2.6 พดู ให้เสียงดงั ฟังชดั และกระจา่ ง โดยใช้คาที่ผ้ชู มเข้าใจ หากเป็นคายากหรือคาที่ผ้ชู มไมค่ ้นุ เคย ให้อธิบายความหมายด้วย เพ่ือให้เข้าใจตรงกนั (อาจมอบให้ผ้รู ่วมงานคนหนง่ึ ยืนอย่หู ลงั แถวกลมุ่ ผ้ชู ม และให้สญั ญาณมือหากได้ยนิ การพดู ไมช่ ดั เจน) 2.7 หากเป็นได้ ควรสาธิตโดยคนคนเดียว เพราะการสาธิตเป็ นคณะ อาจทาให้ผ้ชู มรู้สกึ วา่ เรื่องท่ีสาธิตมี ความยงุ่ ยากเกินกวา่ ที่จะทาได้เพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม ในการสาธิตที่ใช้เวลานาน อาจมีผ้ชู ว่ ย สาธิตก็ได้ 3. การให้ผู้ชมการสาธิตมีโอกาสทดลองทาด้วยตนเองตามแบบอย่าง 3.1 ควรเปิ ดโอกาสและกระต้นุ ให้ผ้ชู มได้ลองทาตามแบบอยา่ งท่ีผ้สู าธิตได้อธิบายและแสดงให้ดบู ้าง เพื่อให้เกิดความเชื่อและมนั่ ใจมากขนึ ้ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 6
3.2 ผ้สู าธิตสงั เกตการปฏิบตั ขิ องผ้ชู ม และวิเคราะห์จดุ แข็ง-จดุ ออ่ นเพื่อป้ อนกลบั (feedback) ให้เขา ทราบ สว่ นท่ีดีก็ชมเชย ให้กาลงั ใจ แตส่ ว่ นท่ีบกพร่องก็ไมต่ าหนิตเิ ตียน แตช่ ีแ้ จงด้วยความสภุ าพ ให้ กลมุ่ ผ้ชู มเห็นวา่ พบข้อผิดพลาดอะไรบ้างและอยา่ งไร แล้วแนะนาวา่ ควรแก้ไขปรับปรุงอยา่ งไร 3.3 ผ้สู าธิตแสดงให้ดสู ว่ นที่พบวา่ บกพร่อง และเน้นยา้ วธิ ีทาที่ถกู ต้องให้ผู้ชมเห็นและเข้าใจชดั เจนด้วย 4. การถาม-ตอบ 4.1 กระต้นุ ให้ผ้ชู มซกั ถาม แสดงความคดิ เห็น ผ้สู าธิตควรแจ้งให้ผ้ชู มทราบตงั้ แตเ่ ร่ิมการสาธิต วา่ พวก เขาจะมีโอกาสซกั ถามเมื่อใด จะเป็นหลงั จากเสร็จการสาธิตทกุ ขนั้ ตอนแล้ว หรือในชว่ งท้ายของการ สาธิตแตล่ ะขนั้ ตอน หรือระหว่างการสาธิตในชว่ งใดก็ได้ ทงั้ นี ้ผ้สู าธิตต้องแนใ่ จวา่ จะสามารถตอบ คาถามได้ในขณะท่ีสาธิตไปด้วย 4.2 เมื่อได้รับคาถามจากผ้ชู ม ให้ผ้สู าธิตทวนคาถามนนั้ ด้วยเสียงที่ดงั ชดั เจน เพื่อให้ผ้ชู มทงั้ กลมุ่ ได้ยิน วา่ มีผ้ถู ามอะไร แล้วผ้สู าธิตตอบคาถามนนั้ อยา่ งชดั เจนและกระชบั จงให้คาแนะนาอยา่ งแนบเนียน อยา่ ให้ผ้ถู ามรู้สกึ ขดั เขนิ หรืออบั อาย แม้เขาจะถามคาถามง่าย ๆ ก็ตาม 5. การสรุป 5.1 สรุปประเดน็ สาคญั ตามขนั้ ตอนท่ีได้สาธิตมาทงั้ หมดอีกครัง้ อยา่ งกระชบั 5.2 แจกเอกสารประกอบการสาธิตด้วย เพื่อการศกึ ษาและทบทวน รวมทงั้ นาไปใช้ประโยชน์ตอ่ ไป 5.3 แนะนาผ้ชู มวา่ หากต้องการคาแนะนาหรือชว่ ยเหลือเพ่มิ เติมหลงั การสาธิตครัง้ นีแ้ ล้ว จะหาได้จาก ใคร ที่ไหน วสั ดอุ ปุ กรณ์จะหาได้จากท่ีไหน (หากซือ้ น่าจะซือ้ ได้ในราคาสกั เทา่ ใด) 5.4 ถ้าการสาธิตครัง้ นีเ้ป็นเพียงสว่ นหนง่ึ ในชดุ หรือหลกั สตู ร ควรประกาศด้วยวา่ จะมีการสาธิตในเรื่องใด อีก เม่ือไร และท่ีไหน 3. การสรุป หลังจากได้สรุปเนือ้ หาและสาระสาคัญดังท่ีได้ให้หลักไว้ข้างต้นแล้ว ผู้สาธิตควร ประเมินผลการสาธิตด้วยหากกระทาได้ อย่างน้อยเพื่อประเมินปฏิกิริยา(Reaction evaluation) ของ กลมุ่ ผ้ชู ม วา่ มีความคดิ เหน็ อยา่ งไรตอ่ การสาธิต ทงั้ ในสว่ นเนือ้ หา การนาเสนอ การจดั การ การอานวย ความสะดวก และอ่ืนๆ เพ่ือการปรับปรุงการสาธิตที่จะมีขนึ ้ ในโอกาสตอ่ ไป และที่สาคญั ไม่ย่ิงหย่อน กว่ากนั คือ การได้ทราบว่ากล่มุ เป้ าหมายคิดและตงั้ ใจที่จะนาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการชมการสาธิตไปใช้ หรือไม่ อยา่ งไร และเม่ือใด ทาให้เกิดประโยชน์ตอ่ การนิเทศและตดิ ตามผลตอ่ ไป 4. การตดิ ตามผล เป็ นขนั้ ตอนที่สาคญั หลงั การสาธิต เพราะเป็ นช่วงท่ีกล่มุ เป้ าหมายนาความรู้ วิธีการ และทกั ษะ ท่ีได้เรียนรู้จากการชมการสาธิต ไปปรับใช้ในสภาพความเป็นจริงของชมุ ชนและครัวเรือน สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 7
สง่ิ ที่ควรกระทาได้แก่ 4.1 ประชาสมั พนั ธ์ ให้ทราบวา่ จะมีการตดิ ตามการนาสิง่ ที่ได้ถา่ ยทอดไปปรับใช้ใน ครัวเรือนหรือในชมุ ชนเมื่อใด อาจแจกเอกสารเผยแพร่วิธีการท่ีได้แนะนาในการสาธิตแกช่ มุ ชนด้วย เพ่ือให้คนในชมุ ชนทราบและสนใจกนั กว้างขวางย่ิงขนึ ้ 4.2 เย่ียมเยียนบ้านเรือน เพ่ือติดตามดวู า่ ได้มกี ารนาความรู้ วิธีการ และทกั ษะที่ได้ เรียนรู้จากการสาธิตไปใช้กนั หรือไม่ ได้ผลอยา่ งไร มปี ัญหาข้อขดั ข้องอะไรบ้างหรือไม่ ได้แก้ไขกนั ไป อยา่ งไร เพ่ือให้คาปรึกษาแนะนาให้การปรับใช้ได้ผลดยี ่ิงขนึ ้ ไปอีก 4.3 จัดการประชุมติดตามผลที่บ้านเรือนของผู้ท่ีได้นาวิธีการและทักษะไปใช้แล้ว ประสบผลสาเร็จ เพ่ือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกนั และเพื่อขยายงานมวลชนหรือสร้างเครือข่าย ให้มีการร่วมมือและสนบั สนนุ กนั ในส่ิงท่ีกระทาได้ เพ่ือสร้างความเข้มแขง็ ของครัวเรือนในชมุ ชน และ ระหวา่ งชมุ ชนให้มากขนึ ้ ตอ่ ไป 4.4 การประเมินติดตามผล เพ่ือดูผลกระทบท่ีเกิดขึน้ หลังจากมีการใช้วิธีการและ ทกั ษะในครัวเรือนและชมุ ชนแล้ว โดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขนึ ้ ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ทัง้ ระยะสัน้ และระยะยาว และทัง้ เชิงปริมาณและคุณภาพด้วย เพ่ือหาทางเพิ่มประสิทธิ ผลและ ประสิทธิภาพของงานสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรให้สงู ย่ิงขนึ ้ รายการตรวจสอบสาหรับการสาธิตวธิ ี ผ้เู ขียนได้จดั ทาตารางสาหรับใช้ตรวจสอบการแสดงการสาธิตวิธี ดงั ปรากฏในหน้าถดั ไป สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 8
ตารางตรวจสอบการสาธิตวธิ ี* คาแนะนา โปรดกาเครื่องหมาย ในคอลมั น์ท้ายแตล่ ะข้อ ให้ตรงกบั ความเป็นจริงของทา่ น ประเดน็ ดีแล้ว ยงั () () ก. ตวั ผู้สาธิตเอง 1. แตง่ กายสะอาดและเหมาะสมตามกาลเทศะ 2. พดู เสียงดงั ฟังได้ชดั เจนดี ไมด่ งั หรือเบาเกินไป 3. ปรากฏกายอยา่ งสงา่ กระตอื รือร้น และเป็นมิตร 4. สบสายตากบั ผ้ชู มอยา่ งทวั่ ถงึ ตลอดการสาธิต 5. มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ถ่ายทอด และแสดงความเช่ือมนั่ ในตนเอง ข. การเลือกเร่ืองสาธิต 1. เรื่องท่ีเลือกมาสาธิตสามารถนาไปปฏิบตั ไิ ด้เหมาะสมกบั สภาพความเป็นจริงของ ท้องถ่ิน และเหมาะกบั เวลาท่ีควรสาธิต 2. เรื่องท่ีสาธิตตอบสนองความจาเป็นของกลมุ่ เป้ าหมาย และได้รับการยอมรับจาก พวกเขาวา่ มีความสาคญั 3. เร่ืองท่ีสาธิตอยใู่ นวสิ ยั ความสามารถและประสบการณ์ของผ้สู าธิตที่จะอธิบายและ ทาให้ดเู ป็นตวั อยา่ งได้ 4. เรื่องท่ีสาธิตอยใู่ นวสิ ยั ความสามารถของกลมุ่ เป้ าหมายที่จะรับไปทาตามได้ ค. การเตรียมตวั 1. มีการวางแผนการสาธิตอยา่ งรอบคอบในแตล่ ะขนั้ ตอนของการสาธิต และได้รวม ประเดน็ สาคญั ในแตล่ ะขนั้ ตอนไว้เรียบร้อยแล้ว 2. ได้ตรวจสอบและทดสอบวสั ดอุ ปุ กรณ์ เคร่ืองมือ และโสตทศั นปู กรณ์วา่ ใช้งานได้ดี แล้ว และได้จดั วางเป็นระเบียบ เพื่อให้หยิบใช้ได้สะดวกดแี ล้ว 3. วสั ดอุ ปุ กรณ์ เครื่องมือที่ใช้มีความเหมาะสม และผ้ทู ่ีจะรับไปทาตามก็สามารถจดั หา มาใช้เองได้ในท้องถ่ิน 4. สถานที่สาธิตสะดวก เหมาะแกก่ ารสาธิตดแี ล้ว 5. การจดั สถานท่ี ทาให้ผ้ชู มการสาธิตมองเห็นและได้ยินชดั เจนโดยตลอด 6. มีการซกั ซ้อมการสาธิตลว่ งหน้ามาเป็นอยา่ งดแี ล้ว 7. มีการประชาสมั พนั ธ์ แจ้งขา่ วการสาธิตให้กลมุ่ เป้ าหมายได้ทราบลว่ งหน้านานพอ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 9
ประเดน็ ดีแล้ว ยงั () () ง. การแสดงการสาธิต 1. กลา่ วทกั ทายท่ีประชมุ ได้อยา่ งเหมาะสม ไมว่ กวน 2. ขนึ ้ คานาได้กระชบั แจ้งวตั ถปุ ระสงคข์ องการสาธิต ความสาคญั ของเรื่องที่นามา สาธิต บอกประโยชน์ท่ีผ้ชู มจะได้รับจากการสาธิต และปพู ืน้ เข้าสตู่ วั เร่ืองได้ดี 3. การนาเสนอได้ถกู จดั แบง่ เป็นลาดบั ขนั้ ตอน ท่ีสอดคล้องสมั พนั ธ์กนั ดีแล้ว 4. การอธิบายกระจา่ งแจ้ง เนือ้ หาสาระและทกั ษะท่ีสาคญั ได้รับการเน้นยา้ 5. การนาเสนอดงึ ดดู ความสนใจจากลมุ่ ผ้ชู มได้อยา่ งมาก 6. วสั ดอุ ปุ กรณ์และสื่อท่ีใช้ในการสาธิต สามารถมองเห็นและอา่ นได้ชดั เจนในระยะไกล 7. ผ้ชู มการสาธิตมีสว่ นร่วมในการซกั ถาม แสดงความคดิ เหน็ และทดลองทาด้วย 8. ผ้สู าธิตอธิบาย ตอบคาถามด้วยความกระตือรือร้นและเตม็ ใจ และแก้ความเข้าใจผิด ของผ้ชู มการสาธิตในประเด็นสาคญั (ถ้ามี) ด้วยแล้ว จ. การสรุป 1. สรุปประเดน็ สาคญั ในแตล่ ะขนั้ ตอนอยา่ งกระชบั รวมทงั้ ข้อควรตระหนกั และข้อพึง ระวงั ในการทางานในแตล่ ะขนั้ ตอน เพื่อทบทวน และเน้นยา้ ก่อนจบการสาธิตด้วย 2. มีเอกสารแจกแกผ่ ้ชู ม เพ่ือการศกึ ษาทบทวน และใช้ประโยชน์ตอ่ ไป 3. สาธิตจบสมบรู ณ์ในเวลาที่กาหนด ฉ. การประเมินผลการสาธิต 1. กระต้นุ ให้กลมุ่ ผ้ชู มการสาธิตมีสว่ นร่วมในการประเมินผล ทงั้ ที่เกี่ยวกบั วธิ ีการท่ี แนะนาทาให้ดู ผลการสาธิต และความเป็นไปได้ในการนาวิธีการนนั้ ไปใช้ด้วย 2. มีการปรึกษาหารือกบั กลมุ่ ผ้ชู มการสาธิต เพ่ือวางแนวทางการนาความรู้ วธิ ีการ และทกั ษะท่ีได้จากการสาธิตไปใช้ในครัวเรือนและชมุ ชนให้เกิดผลอยา่ งแท้จริง 3. วสั ดอุ ปุ กรณ์ท่ีจาเป็นต้องใช้จะจดั หาอย่างไร จากที่ไหน ช. การตดิ ตามผล 1. เยี่ยมเยียนครัวเรือน และนิเทศตดิ ตามงานในชมุ ชน 2. บนั ทกึ ข้อมลู การตดิ ตามผล เพื่อการทางานอยา่ งตอ่ เนื่อง สามารถแก้ปัญหาได้ทนั กาล และปรับปรุงงานให้ดีและรุดหน้าย่งิ ขนึ ้ * ออกแบบโดย ดร.สรุ พล จนั ทราปัตย์ (2547) สงวนลขิ สิทธิ์ แตอ่ นญุ าตให้นาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางวิชาการ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 10
ข. กระบวนการสาธิตผล การสาธิตผลมีขนั้ ตอนในกระบวนการอยู่ 4 ขนั้ ตอนเชน่ เดียวกบั การสาธิตวธิ ี คอื มีการ เตรียมการ การดาเนินการ การสรุปผล และการติดตามผล แนวทางปฏิบตั ิในแตล่ ะขนั้ ตอนของการสาธิตผล สามารถนาแนวทางปฏบิ ตั ิของการสาธิต วิธีมาปรับใช้ได้ เพียงแต่แตกต่างในรายละเอียดบ้างเท่านนั้ เนื่องจากการสาธิตผลเน้นการแสดงผล ของการใช้วิธีการหรือเทคนิคบางอย่างในสภาพความเป็ นจริงของท้องถ่ิน ดังนัน้ จึงต้องมีการ เตรียมการมากและนานกวา่ การสาธิตวิธี เพราะมีความย่งุ ยากซบั ซ้อนกวา่ และต้องมีการแบง่ งานและ หน้าท่ีรับผิดชอบระหว่างผู้สาธิต ผู้ช่วย และคณะทางานอย่างชัดเจน เพื่อการประสานงานให้เกิด ความเรียบร้อยในวนั สาธิตอกี ด้วย รายการตรวจสอบการสาธิตผลมีดงั ตอ่ ไปนี ้(ตวั อยา่ งการสาธิตทางการเกษตร) แนวทางแสดงการสาธติ ผล เร่ืองท่จี ะสาธิต ........................................................................................................................... เร่ิมวันท่/ี เดือน/ปี ........................................................................................................................ สถานท่ี........................................................................................................................................ ผู้สาธิต ....................................................................................................................................... เจ้าหน้าท่ี ................................................................................................................................... ขัน้ ตอนการสาธิตผล 1. การเตรียมการ 1.1 การพจิ ารณาวตั ถปุ ระสงคข์ องการสาธิต บนพืน้ ฐานของปัญหาและความต้องการของชมุ ชน 1.2 การพบปะกบั บคุ คลตา่ งๆ ท่ีควรเข้าร่วมในการวางแผนการสาธิตด้วย 1.3 การเขียนแผนในรายละเอียดเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร โดยระบวุ ตั ถปุ ระสงค์และเค้าโครงงาน ขนั้ ตอนการทางานอยา่ งชดั เจน ผลที่คาดวา่ จะได้รับ ทรัพยากรท่ีจาเป็นต้องใช้ 1.4 การจดั หาและเตรียมการเกี่ยวกบั วสั ดอุ ปุ กรณ์ เคร่ืองมือ ทรัพยากรตา่ งๆ ท่ีต้องใช้ สาหรับผ้สู าธิต และสาหรับกลมุ่ บคุ คลเป้ าหมาย 1.5 การเลือกผ้สู าธิต เจ้าหน้าท่ีทาร่วมกบั ชมุ ชนท้องถิ่น เพื่อให้ได้บคุ คลท่ีเหมาะสม - เลือกผ้ทู ี่มีความนา่ เช่ือถือ และได้รับการยอมรับจากผ้อู ่ืนในหมบู่ ้านหรือชมุ ชน - เป็นผ้มู ีความพร้อมทางาน และยินดรี ่วมมือทางานจนประสบผลสาเร็จ - เป็นผ้มู ีเวลา มีส่งิ อานวยความสะดวก เคร่ืองมือและอุปกรณ์ที่จาเป็ นต้องใช้ในการสาธิตด้วย หากต้องการการสนบั สนนุ ต้องการอะไรบ้าง - ที่ดนิ ที่ใช้เป็นแปลงสาธิตควรอยใู่ นท่ีที่ผ้อู ื่นจะมองเหน็ ได้งา่ ย และเดนิ ทางเข้าถงึ ได้โดยสะดวก สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 11
- สภาพเงื่อนไขในที่ทากินของผ้สู าธิตเป็นเชน่ เดียวกบั ท่ีของคนอ่ืนๆ ในหมบู่ ้าน/ชมุ ชนด้วย 1.6 ความพร้อมของผ้สู าธิตก่อนที่จะเริ่มดาเนนิ การ - ผ้สู าธิตเข้าใจชดั เจนถงึ วตั ถปุ ระสงค์ของการสาธิตหรือไม่ - ผ้สู าธิตเข้าใจดใี นสว่ นที่เขาจะเป็นผ้รู ับผิดชอบดาเนินการสาธิตหรือไม่ - ผ้สู าธิตเข้าใจดใี นสว่ นท่ีผ้อู ่ืนจะเป็นผ้ดู าเนินการสาธิตหรือไม่ 1.7 การนิเทศ - เจ้าหน้าท่ีต้องหมนั่ ไปเย่ียมเยียนผ้สู าธิต (มกั ได้แก่ เกษตรกร แมบ่ ้านเกษตรกร ยวุ เกษตรกร) เป็นระยะ ๆ เพ่ือให้คาปรึกษาแนะนา ตดิ ตามความคืบหน้า เตรียมการสาธิตร่วมกนั เก็บ บนั ทกึ ข้อมลู วิเคราะห์และสรุปผล จดั แสดงผลในรูปแบบท่ีสื่อความเข้าใจกนั ได้ง่ายกบั กลมุ่ เป้ าหมายท่ีจะเข้าชมการสาธิต จดั ทาป้ ายในแปลงให้ทราบวา่ ได้มีการทาอะไร และ ได้ผลอะไร - ฝึกผ้สู าธิตให้พดู อธิบาย ใช้สื่อประกอบตามท่ีเห็นเหมาะสม อาทิ แผน่ พลิก (flip chart) แผน่ โปสเตอร์ (poster) 1.8 เลือกจดั วนั สาธิตให้ถกู กาลเทศะ (เหมาะแก่โอกาส เวลา และความต้องการของชมุ ชน) 1.9 พืน้ ที่สาธิตต้องใหญ่กว้างขวางพอที่จะจคุ นได้จานวนมาก จดั ทาป้ ายบอกทิศทางไปยงั สถานท่ีสาธิตเป็นระยะๆ ให้ชดั เจนด้วย 1.10 การจดั เตรียมสง่ิ อานวยความสะดวก อาหาร เครื่องด่ืม ฯลฯ 1.11 การประชาสมั พนั ธ์ ประกาศแจ้งขา่ วการสาธิตแก่กลมุ่ เป้ าหมายในชมุ ชนและนอกชมุ ชน ให้ทราบลว่ งหน้านานพอควร อาจเชญิ ส่ือมวลชนมาร่วมงานด้วยก็ได้ 2. การดาเนินการ 2.1 ตรวจสอบความพร้อมทกุ สิง่ อยา่ งก่อนวนั เร่ิมสาธิต 2.2 ประชมุ คณะผ้สู าธิต และคณะทางาน ทบทวนงาน ซกั ซ้อมความเข้าใจ และตรวจสอบความ พร้อมทกุ ฝ่ าย รวมทงั้ เครื่องมืออปุ กรณ์ โสตทศั นปู กรณ์ 2.3 วนั สาธิต ต้อนรับผ้มู าชมการสาธิต ประกาศแจ้งรายการสาธิต แจกเอกสารรายการแสดง เอกสารเผยแพร่ แสดงการสาธิตไปตามแผนที่ได้วางไว้จนเสร็จสิน้ โดยมีเจ้าหน้าท่ีอานวย ความสะดวก และชว่ ยเหลือสนบั สนนุ ผ้สู าธิต 3. การสรุปผล 3.1 เชญิ ชวนให้ผ้มู าชมการสาธิตให้ข้อมลู เพื่อการประเมนิ ผล โดยใช้เทคนิคตา่ งๆ ท่ีกระต้นุ การเข้ามีสว่ นร่วม และสร้างบรรยากาศเป็นกนั เอง 3.2 จดั การประชมุ ผ้เู กี่ยวข้องเพื่อประเมนิ ผล จดั ทาบนั ทกึ และรายงานสรุปผล * ออกแบบโดย ดร.สรุ พล จนั ทราปัตย์ (2547) สงวนลิขสิทธิ์ แตอ่ นญุ าตให้นาไปใช้เพ่ือประโยชน์ทางวิชาการ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 12
ข้อดีและข้อจากดั ของการสาธิต ข้อดี 1. ผ้สู าธิตสามารถกระต้นุ การเรียนรู้ของกลมุ่ เป้ าหมายได้ ด้วยการพดู อธิบายและแสดงให้ดู เป็นตวั อยา่ ง กลมุ่ เป้ าหมายจะเรียนรู้โดยการฟัง การดู การสงั เกต และการทาตาม 2. สามารถใช้การสาธิตจงู ใจให้กลมุ่ เป้ าหมายสนใจได้ เน่ืองจากกลมุ่ เป้ าหมายได้เรียนรู้โดย ผ่านประสาทสมั ผสั ทงั้ ตาและหู จงึ จดจาได้มากและนานกวา่ การใช้เพียงหฟู ังเทา่ นนั้ 3. การสาธิตวิธีจะเหมาะสมแก่การเรียนรู้ด้านทกั ษะ (psychomotor domain) เพราะกล่มุ เป้ าหมายได้ดู ได้รู้ วิธีปฏิบตั ิท่ีถูกต้องเป็ นขนั้ ตอน ส่วนการสาธิตผลจะเหมาะสมแก่การเรียนรู้ด้าน สติปัญญา (cognitive domain) เพราะมีการแสดงผลให้เห็นจริง จงึ ทาให้เกิดความคิดและความเช่ือ ด้วยหลกั ฐาน 4. ผ้สู าธิตสามารถปรับใช้วธิ ีการสาธิตให้ออ่ นตวั หรือคลอ่ งตวั ได้ โดยแสดงซา้ ในขนั้ ตอนหรือ วธิ ีปฏิบตั ิท่ีซบั ซ้อนย่งุ ยากได้เท่าท่ีจาเป็น เพื่อให้กลมุ่ เป้ าหมายเข้าใจชดั แจ้ง นอกจากนี ้ยงั แสดงการ สาธิตในโลกของความเป็นจริง ให้สอดคล้องกบั สถานการณ์ของชมุ ชนด้วย จงึ น่าสนใจกว่าการเรียน ในชนั้ จากวิทยากรและกระดานดา 5. หากมีการแสดงการสาธิตอยา่ งรอบคอบและรัดกมุ แล้ว ไมว่ า่ จะเป็นสาธิตวิธีหรือสาธิตผล ก็สามารถขยายผลให้มีการใช้วิธีการทแ่ี นะนาให้กว้างขวางมากและรวดเร็วย่ิงขนึ ้ เพราะกลมุ่ เป้ าหมาย มีความเช่ือจากการได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นด้วยตนเอง และหากได้ลองทาด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเชื่อถือและ เช่ือมน่ั ท่ีจะทาตามได้โดยงา่ ยอีกด้วย ข้อจากดั 1. การสาธิตต้องถกู ต้องกระจา่ งชดั ด้วยเหตนุ ี ้ วิทยากรจงึ ต้องเตรียมการและจดั การสาธิต อย่างรอบคอบและรัดกมุ เพราะหากเกิดผิดพลาดขนึ ้ จะเสยี ผลอยา่ งมาก และแก้ไขกลบั คืนได้ยาก การฝึกซ้อมกเ็ ป็นอกี เร่ืองหนง่ึ ที่จาเป็นมาก ไมว่ า่ วิทยากรผ้คู ้นุ เคยกบั การใช้วธิ ีการสาธิตหรือผ้เู พิ่งเร่ิม เป็นวทิ ยากรกต็ าม ล้วนต้องมีการฝึกซ้อมทงั้ สนิ ้ มิเชน่ นนั้ จะแสดงผิดพลาดได้ และใช้เวลาไม่ เหมาะสมอกี ด้วยก็ได้ 2. อาจเป็นการยากที่จะจดั ให้ผ้เู ข้าชมการสาธิตเห็นการสาธิตได้ชดั เจนโดยตลอด เพราะ อาจหาสถานที่ทเ่ี หมาะสมแกก่ ารจดั สาธิตไมไ่ ด้ดงั ต้องการ ยิ่งการสาธิตผลด้วยแล้ว มกั ใช้พืน้ ที่กว้าง และกลมุ่ ผ้เู ข้าชมการสาธิตมีขนาดใหญ่ จงึ ยากท่ีจะควบคมุ ให้อย่เู ป็นกลมุ่ ตามท่ีต้องการ เนื่องจาก สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 13
กลมุ่ เป้ าหมายมีความสนใจหลากหลาย ดงั นนั้ จงึ ต้องมีการเตรียมการอยา่ งดี และจดั แบง่ กลมุ่ ผ้ชู ม เป็นกลมุ่ ย่อย หมนุ เวยี นดงู าน เพ่ือให้ทว่ั ถงึ และไมส่ บั สน 3. การสาธิตวธิ ีเหมาะใช้กบั กลมุ่ เป้ าหมายขนาดเลก็ หากเป็นกลมุ่ ขนาดใหญ่ต้องใช้สอ่ื โทรทศั น์หรือวีดิทศั น์เข้าชว่ ยให้มองเหน็ ได้ชดั เจนทว่ั กนั จงึ ทาให้ต้นทนุ สงู ขนึ ้ 4. การสาธิตผลต้องการผ้ชู ่วยจานวนมาก จงึ อาจหาผ้ชู ว่ ยสาธิตที่มีคณุ ภาพได้ไมเ่ พียงพอ แกค่ วามต้องการ เพราะบางคนรู้เรื่องที่จะแสดงสาธิตเป็นอยา่ งดี แตไ่ มส่ ามารถอธิบายให้คนอืน่ เข้าใจ ได้กม็ ีเป็นจานวนไม่น้อย 5. การสาธิตผลต้องใช้เวลานานกวา่ จะสนิ ้ สดุ รายการ โดยเฉพาะการสาธิตผลทางการ เกษตร ต้องใช้เวลาตลอดช่วงฤดปู ลกู เพื่อให้เห็นผลของการใช้วธิ ีการในแตล่ ะขนั้ ตอนไป ดงั นนั้ กลมุ่ เป้ าหมายบางคนจงึ อาจคลาดการสาธิตผลไปบางครัง้ ทาให้การเรียนรู้ขาดตอน ข้อแนะนาบางประการเพ่อื เพ่มิ ประสิทธิผลของการสาธิต 1. ผ้สู าธิตควรพฒั นาความสามารถของตน ให้มีความรู้ความเข้าใจอยา่ งลกึ ซงึ ้ ในเร่ืองที่จะ สาธิต เพ่ือให้สามารถอธิบายและตอบข้อซกั ถามได้อยา่ งกระจา่ งแจ้ง 2. ผ้สู าธิตต้องสามารถแสดงวิธีปฏบิ ตั ิในแตล่ ะขนั้ ตอนของเร่ืองที่สาธิตได้อย่างถกู ต้อง เพื่อให้เป็นตวั อยา่ งแกก่ ลมุ่ เป้ าหมายให้ทาตามได้ถกู ต้องตอ่ ไป ยิ่งกวา่ นนั้ ผ้สู าธิตควรฝึกฝนให้ ตนเองมีทกั ษะในการแสดงมากขนึ ้ จะทาให้สามารถอธิบายและแสดงไปได้พร้อมกนั อยา่ งกระชบั และ กระจ่างแจ้ง 3. ควรจดั ให้ผ้ชู มได้เหน็ การแสดงการสาธิตอยา่ งชดั เจน ตงั้ แตต่ ้นจนจบ และโดยทวั่ ถงึ ทงั้ ให้แนใ่ จด้วยวา่ ผ้ชู มได้ยินการพดู อธิบายได้ชดั เจนตลอดการแสดงสาธิตนนั้ ด้วย 4. ควรใช้โสตทศั นปู กรณ์เข้าชว่ ยในการแสดงการสาธิต เพื่อให้กลมุ่ เป้ าหมายเหน็ ได้ชดั เจน และได้ยินชดั แจ้งแน่นอนมากขนึ ้ แตพ่ งึ ระวงั สอ่ื ท่ีใช้เทคโนโลยีก้าวหน้า และต้องใช้ไฟฟ้ า อาจเกิด ข้อขดั ข้องขนึ ้ ได้ การใช้แผน่ พลิก แผนภมู ิ แผนภาพ แผ่นโปสเตอร์ ขนาดใหญ่เหน็ และอา่ นได้ชดั เจน ในระยะไกล อาจเหมาะสมกวา่ กไ็ ด้ วิทยากรต้องใช้ดลุ พินิจ และวางแผนให้รอบคอบ 5. ควรเปิดโอกาสให้ผ้ชู มการสาธิต ได้ทดลองทาตามตวั อยา่ งหรือแบบอย่างที่ได้เห็นในช่วง การสาธิตด้วยจะดมี าก เพราะเพียงการบอกเลา่ อธิบาย และการทาให้ดเู ป็นตวั อยา่ งนนั้ ยงั ไมส่ ร้าง ความเชื่อมนั่ แกก่ ลมุ่ เป้ าหมายได้เพียงพอ การให้โอกาสพวกเขาได้ลงมือทาด้วยจะเพ่ิมประสทิ ธิภาพ ในการเรียนรู้ ทงั้ ยงั ทาให้จดจาและทาตามได้มากขนึ ้ อกี ด้วย สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 14
6. ผ้สู าธิตควรปรับปรุงการพดู และพฒั นาบคุ ลกิ ภาพของตน ให้สามารถพดู ในที่ชมุ นมุ ชนได้ อย่างองอาจ แม้การสาธิตจะเป็นการพดู แกค่ นกลมุ่ เลก็ แตก่ ต็ ้องการผ้แู สดงที่เป็นนกั พดู ทม่ี ีวาทศิลป์ ในการนาเสนออย่างมากด้วย จงึ จะช่วยให้การสาธิตจงู ใจ ให้กลมุ่ ผ้ชู มสนใจ เข้าใจ พอใจ และ ประทบั ใจในที่สดุ (แนะนาให้ผ้สู นใจศกึ ษาเพ่มิ เตมิ จากเอกสารเร่ือง “ศิลปะการพดู ตอ่ ท่ีชมุ นมุ ชน” ท่ี เขยี นโดยผ้เู ขยี นคนเดยี วกนั เพ่ือให้ได้รายละเอยี ดเพ่ิมขนึ ้ ด้วย) 7. ควรแจกเอกสารประกอบการสาธิตด้วย เพ่ือให้ผ้ชู มได้รายละเอียดของวิธีการทาในแตล่ ะ ขนั้ ตอนอยา่ งถกู ต้อง และยงั นาไปใช้ประโยชน์ในการศกึ ษาทบทวนตอ่ ไปได้อกี เอกสารนี ้ หากทาเป็น รูปแบบท่ีอา่ นงา่ ย เช่น ทาเป็นการ์ตนู กจ็ ะช่วยให้เกษตรกรอา่ นเข้าใจงา่ ย และไม่เบ่อื หน่าย ควรทา เป็นเอกสารท่ีมีขนาดกะทดั รัด พกพาติดตวั ไปได้งา่ ย และหากเป็นได้ ควรใช้สีที่ดงึ ดดู ความสนใจด้วย จะดี สรุป การสาธิตเป็นวิธีการที่นกั สง่ เสริมและพฒั นาการเกษตรสามารถใช้ เพ่ือให้เกิดผลในการเรียนรู้ ด้านสตปิ ัญญาและทกั ษะของกลมุ่ เป้ าหมาย ด้วยการอธิบายและทาให้ดเู ป็นขนั้ ตอนไป จงึ ทาให้ กลมุ่ เป้ าหมายเรียนรู้จากการฟัง การดู การสงั เกต และการได้ลองทาตามด้วยตนเอง ทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความเช่ือถือ และความเช่ือมนั่ ท่ีจะรับไปทาตามได้โดยเร็วและมากขนึ ้ ด้วยเหตนุ ี ้ จงึ มี การใช้วิธีการสาธิตกนั อย่างกว้างขวางแพร่หลาย ทงั้ การสาธิตวิธีและสาธิตผล กลา่ วได้วา่ การสาธิต เป็นวธิ ีการทเี่ ป็นที่ค้นุ เคยกนั โดยทวั่ ไป ทงั้ ในวงการศกึ ษา วิจยั ศลิ ปะ และงานอ่นื ๆ เพราะเป็นการ สอนงานท่ีได้ผลดี หากผ้สู าธิตเตรียมการและซกั ซ้อมมาดี ผ้สู าธิตท่ีมีความรู้และประสบการณ์ในเร่ือง ท่ีจะสาธิต และมีทกั ษะหรือความสามารถในการทาได้อยา่ งเช่ียวชาญเป็นขนั้ ตอน รวมทงั้ สามารถพดู อธิบายประกอบการแสดงได้อยา่ งกระชบั และกระจา่ งแจ้ง จะเป็นตวั เร่งสาคญั ให้การสาธิตมี ประสิทธิผลและประสิทธิภาพ บทความนีน้ าเสนอความรู้เก่ียวกบั การสาธิต ในสถานะท่ีเป็นวิธีการหนง่ึ ท่ีใช้ในการถา่ ยทอด ความรู้และทกั ษะแก่กลมุ่ บคุ คลเป้ าหมาย โดยได้อธิบายความหมายและลกั ษณะสาคญั ของการสาธิต ประเภทของการสาธิต กระบวนการสาธิต ข้อดีและข้อจากดั ของการสาธิต รวมทงั้ ข้อแนะนาบาง ประการที่ช่วยเพิ่มประสทิ ธิผลของการสาธิต เพ่ือเป็นความรู้พืน้ ฐาน และแนวทางการนาไปใช้ แต่ ผ้นู าไปใช้ควรพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสมแกก่ รณี โอกาส และสถานการณ์ เนื่องจากความแตกตา่ ง ในลกั ษณะของงาน และวตั ถปุ ระสงค์ นอกจากนีท้ ี่สาคญั ยิ่งก็คือ ผ้จู ะใช้การสาธิตเพ่อื การถ่ายทอด ความรู้และทกั ษะ ควรฝึกฝนใช้การสาธิตให้เกิดความชานาญ เพอื่ จะได้พดู อธิบาย และแสดงหรือทา สรุ พล จนั ทราปัตย์ การสาธิต 15
ให้ดพู ร้อมกนั ไปได้อย่างถกู ต้องคลอ่ งแคลว่ เร้าใจให้ผ้ชู มสนใจ และตดิ ตามชมการสาธิตด้วยความต่ืน ใจและพอใจ และท้ายทสี่ ดุ ยงั เกิดความประทบั ใจ ทงั้ ในตวั ผ้สู าธิตและเร่ืองที่สาธิต จงึ มีแนวโน้มท่ีจะ ยอมรับเร่ืองหรือวธิ ีการท่ีแนะนานนั้ ได้โดยงา่ ยและรวดเร็วย่ิงขนึ ้ วิธีการใดกต็ าม ล้วนมีข้อดแี ละข้อจากดั ด้วยกนั ทงั้ สนิ ้ วิธีการสาธิตกเ็ ป็นเชน่ เดียวกนั ดงั นนั้ ผ้จู ะใช้วธิ ีการสาธิตจงึ ควรศกึ ษาให้ละเอียดลกึ ซงึ ้ จนเชี่ยวชาญ และฝึ กฝนให้ตนเองสามารถใช้ วธิ ีการสาธิตได้จนชานาญ ก็จะช่วยให้การถา่ ยทอดความรู้ ข้อมลู ขา่ วสาร ข้อเท็จจริง บรรลผุ ลได้อย่าง มีประสทิ ธิผลและประสทิ ธิภาพ บรรณานุกรม นรินทร์ชยั พฒั นพงศา. 2542. การส่ือสาร-รณรงค์เชิงยุทธศาสตร์เพ่ือเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม มนุษย์. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์รัว้ เขยี ว. บญุ ธรรม จิตต์อนนั ต์. 2536. ส่งเสริมการเกษตร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สานกั สง่ เสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. สรุ พล จนั ทราปัตย์. 2547. ศิลปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน. สถาบนั จดั การทรัพยากรนา้ นานาชาติ สานกั งานภมู ิภาคเอเซยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ กรุงเทพฯ. _______________. 2547. การสาธติ . สถาบนั จดั การทรัพยากรนา้ นานาชาติ สานกั งานภมู ิภาคเอเซีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ กรุงเทพฯ. อทุ ิศ นาคสวสั ด์ิ. 2519. ศลิ ปะการพูด. กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพ์อกั ษรเจริญทศั น์. FAO. 1993. Planning for Effective Training: A Guide to Curriculum Development. Rome: Food and Agriculture Organization of the United Nations. นอกจากนี ้ ผ้เู ขียนได้ใช้เอกสารแนะนาเกี่ยวกบั การส่งเสริม ซงึ่ ผ้เู ขียนได้เรียนรู้ขณะศกึ ษาอย่ทู ี่ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี ค.ศ. 1981-1984 และได้ฝึ กงานท่ี หน่วยงานสง่ เสริมของรัฐ (Mississippi Cooperative Extension Service - MCES) ในช่วงปี ค.ศ. 1983 ด้วย File: สรุ พล การสาธิต มสธ. 18 ก.ย. 64 การสาธิต 16 สรุ พล จนั ทราปัตย์
วิทยากรฝึ กอบรมแก่เกษตรกร ดร. สรุ พล จนั ทราปัตย์ ผู้เช่ียวชาญด้านการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร ผู้ทรงคุณวฒุ ิพิเศษประจาคณะเกษตร ท่ปี รึกษาศูนย์ส่งเสริมและฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 1
สาระสาคัญท่นี าเสนอในคร้ังน้ี : • ความหมายของวิทยากรฝึกอบรม • บทบาทสาคญั ของวิทยากรฝึกอบรม • หลกั การเรียนร้กู บั การฝึกอบรม • รูปแบบและวิธกี ารฝึกอบรม • การเป็นวิทยากรท่มี ปี ระสทิ ธผิ ล 2
ความจาเป็ นในการฝึ กอบรม (ปัญหา/ความจาเป็ นที่แกไ้ ขไดด้ ว้ ยการฝึ กอบรม) สถานการณท์ ่พี ึงประสงค์ ขาดความรูค้ วามเขา้ ใจ ปัญหา ขาดทกั ษะหรือความชานิชานาญ ขาดท่าทีความรูส้ กึ /เจตคติที่ดี สถานการณท์ ่เี ป็นอยู่ 3
การฝึ กอบรมจะประสบผลสาเร็จ เมือ่ ผูเ้ ขา้ อบรมไดเ้ รียนรูแ้ ละเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม จาก ความไม่รูไ้ ม่เขา้ ใจ รูแ้ ละเขา้ ใจ จาก ทีท่ าไม่ได้ ทาได้ จาก ที่มที ่าทีความรูส้ ึก/ มีท่าทีความรูส้ ึก/ เจตคติไม่ดี เจตคติที่ดี วิทยากรเป็ นผูจ้ ดั ประสบการณก์ ารเรียนรูอ้ ย่างมรี ะบบระเบียบ เพอื่ การเรียนรูแ้ ละเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของผูเ้ ขา้ อบรม 4
วิทยากรฝึ กอบรมคือใคร ? คือผูใ้ ชค้ วามพยายามอยา่ งมแี ผน ในการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรูอ้ ย่างมรี ะบบระเบยี บ แลว้ นาเสนอแก่ผูเ้ ขา้ รบั การฝึ กอบรมในรูปแบบและวิธีการ ต่างๆ ทีเ่ หมาะสม ในช่วงเวลาทีก่ าหนด เพอื่ ใหผ้ ูเ้ ขา้ รบั การฝึ กอบรมเกิดการเรียนรู้ และเปลีย่ นแปลง พฤติกรรมไปตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่กาหนดไว้ 5
บทบาทสาคญั ของวิทยากรฝึ กอบรม ผูน้ าการเปลีย่ นแปลง ผู้อานวยความสะดวกกระบวนการเรียนร้ขู องผู้เข้าอบรม ทาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับความรู้ ทกั ษะ และเจตคติใหม่ ผู้ผ่านการฝึกอบรมเกดิ การพัฒนาในตวั บุคคล และในการทางาน 6
การเรียนร้คู ืออะไร ? การเรียนรู้ คือ กระบวนการที่ทาใหพ้ ฤติกรรม เปลยี่ นแปลงไปจากเดิม ซึ่งเป็ นผลมาจาก ประสบการณห์ รือการฝึ กหดั 7
ลักษณะสาคัญของการเรียนรู้ • การเรียนร้เู ป็นการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมท่คี ่อนข้างถาวร จนเรียกได้ว่าเกดิ เป็นนิสยั • การเรียนรู้เป็นผลจากประสบการณห์ รือการฝึกฝนซา้ แล้วซา้ อกี มใิ ช่ผลจากการตอบสนองท่เี กดิ ข้นึ ตามธรรมชาติ หรือ การเปล่ียนแปลงช่ัวคราวของร่างกาย • การเรียนร้ไู ม่อาจมองเหน็ หรือสงั เกตได้โดยตรง เราทราบแต่ การกระทาท่เี กดิ จากการเรียนร้แู ล้วเทา่ น้ัน อย่างไรกต็ าม การเรียนร้เู ป็นเพียงตวั แปรหน่งึ ในหลายๆ ตวั แปรท่มี ีอทิ ธพิ ล ต่อการกระทา
การรับร้เู ป็นพ้ืนฐานของการเรียนรู้ การรับร้คู อื อะไร ? การรับรู้ เป็นการแปลความหมายจากการสมั ผสั ด้วยอวัยวะรับสมั ผสั อย่างใดอย่างหน่ึง หรือหลายอย่างประกอบกนั ไป ใน 5 อย่างคือ • ตา (การได้เหน็ ) • หู (การได้ยิน ได้ฟัง) • จมกู (การได้ดมกล่นิ ) • ล้นิ (การได้ล้มิ รส) • กาย (การได้สมั ผสั และร้สู กึ )
โดยทวั่ ไปคนเราเรียนรูโ้ ดยผ่านประสาทสมั ผสั มากนอ้ ย ต่างกนั ดงั น้ ี : • ตา (การไดเ้ ห็น) 83 % การรบั รูผ้ า่ นประสาท สมั ผสั หลายอยา่ ง • หู (การไดย้ นิ ) 11 % ประกอบกนั ใหผ้ ลดีกว่า การรบั รูโ้ ดยผ่าน • จมูก (การไดก้ ลิน่ ) 3 ½ % ประสาทสมั ผสั เพียง อยา่ งเดียว • ล้ ิน (การไดล้ ้ ิมรส) 1 % • กาย (การไดส้ มั ผสั รูส้ ึก) 1 ½ % 10
การรบั รูผ้ ่านประสาทสมั ผสั หลายอย่าง ใหผ้ ลดีกว่าการรบั รูโ้ ดยผ่านประสาทสมั ผสั เพยี งอย่างเดียว คนเราจดจาได้ 10 % จากที่เราไดย้ นิ 50 % จากทีเ่ ราไดเ้ ห็น 90 % จากที่เราไดล้ งมือทา 11
ความสามารถร้ ือฟ้ ื นความทรงจาของผูเ้ รียน วิธีสอน ความสามารถร้ ือฟ้ ื นความทรงจาหลงั การเรียนรู้ บอกเล่า (Telling) 3 ชวั่ โมงต่อมา 3 วนั ต่อมา 70 % 10 % แสดงให้เหน็ (Showing) 72 % 20 % บอก + แสดงให้เหน็ 85 % 65 % (Telling + showing) 12
เมอื่ ฉนั ไดย้ ิน ฉนั สงสยั เมอื่ ฉนั ไดเ้ ห็น ฉนั กย็ งั สงสยั เมอื่ ฉนั ไดล้ งมอื ทา ฉนั เขา้ ใจ การเรียนรูท้ ีด่ ที ีส่ ุด คือการเรียนรูโ้ ดยการลงมือทาดว้ ยตนเอง 13
การรบั รู้ การเรียนรู้ โดยท่วั ไปคนเรามักตีความหรือ แปลความการสมั ผสั ท่ไี ด้รับ ด้วย การใช้ความรู้เดิมหรือประสบการณ์ เดมิ ของเขา ออกมาเป็นความรู้ ความเข้าใจ หรือเจตคติต่อคนน้ัน ส่งิ น้นั ซ่ึงการตคี วามหรือแปลความ ดังกล่าว อาจเป็นการทกึ ทกั ท่ี ผดิ พลาดไปจากความเป็นจริงกไ็ ด้ 14
การรบั รู้ การเรียนรู้ วทิ ยากรใช้ความร้เู ร่ืองการรับรู้ เพ่ือสร้างการเรียนร้แู ก่กลุ่ม ผู้เข้ารับการอบรม ด้วยการเลือกใช้แนวทางและวธิ กี ารท่ชี ่วย ให้การติดต่อส่อื สารกบั กลุ่มผู้เข้ารับการอบรมเกิดความเข้าใจ กระจ่างแจ้งตรงกนั สร้างความสนใจ ด้วยการจูงใจให้ กลุ่มเป้ าหมายร้สู กึ ผ่านประสาทสมั ผสั ต่างๆ ประกอบกนั แล้วตีความ/ แปลความ ออกมาเป็นความร้คู วามเข้าใจท่ี ถูกต้อง และ/หรือมเี จตคตทิ ่ดี ี นาไปส่กู ารพัฒนาท้งั ในตนเอง และผู้อ่นื อย่างน่าพอใจอกี ด้วย 15
การสรา้ งแรงจูงใจเพอื่ กระตุน้ การเรียนรู้ การเรียนร้ขู ้นึ อยู่กบั ความแตกต่างระหว่างบุคคล ด้วยเหตนุ ้จี งึ ต้องสร้างแรงจูงใจ ให้เหมาะสมกบั แต่ละบุคคล เพ่ือให้เขาเกดิ ความสนใจ อยากเรียน และเข้าร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้ จนมุ่งส่คู วามสาเรจ็ ตามเป้ าหมายท่กี าหนดไว้ในท่สี ดุ 16
ความสาคญั ของการเรียนรูท้ ีว่ ิทยากรพงึ ตระหนกั • การเรียนร้สู ามารถเกดิ ข้นึ ได้ในตัวผู้เรียนโดยไม่ต้องมผี ้สู อน แต่การถ่ายทอด ท่ดี ีของวิทยากรจะช่วยกระต้นุ กระบวนการเรียนร้ขู องกลุ่มบคุ คลเป้ าหมายให้ สมั ฤทธผิ ลรวดเรว็ ย่งิ ข้นึ • กจิ กรรมใดท่จี ดั ข้นึ ในการฝึกอบรม แล้วไม่ทาให้ผู้เข้าอบรมเกดิ การเรียนรู้ หรือเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมไปในทางท่พี ึงประสงค์ กจิ กรรมน้ันไม่ควรจัด เพราะไม่เกดิ ประโยชนแ์ ละยังทาให้เสยี เวลา • ควรเปิ ดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมเข้าร่วมในกจิ กรรมการฝึกอบรม ย่งิ เข้าร่วมมาก กม็ ีแนวโน้มท่จี ะเรียนร้มู าก ท้งั ปริมาณและคุณภาพของประสบการณก์ าร เรียนร้ใู หม่ๆ 17
ความสาคญั ของการเรียนรูท้ ีว่ ิทยากรพึงตระหนกั (ต่อ) • เกษตรกรย่อมมคี วามแตกต่างกนั ในพ้ืนความรู้ ภมู หิ ลัง สตปิ ัญญา ประสบการณ์ ความสามารถ ฯลฯ ดังน้ัน วทิ ยากรจงึ ต้องสร้าง แรงจูงใจให้เหมาะสมกบั บุคคลและโอกาส โดยต้องเข้าใจความ ต้องการ ความสนใจ ความชอบ ความถนัด และลักษณะอ่นื ๆ ของ กลุ่มเป้ าหมายให้กระจ่างมากท่สี ดุ เพ่ือจะได้จัดเน้ือหาและ กจิ กรรมการฝึกอบรมให้มคี วามหมาย และเกดิ ประโยชนแ์ ก่ กลุ่มเป้ าหมายในการเรียนรู้ให้มากท่สี ดุ 18
ความสาคญั ของการเรียนรูท้ ีว่ ิทยากรพงึ ตระหนกั (ต่อ) • การเรียนร้ทู ่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ คือการเรียนร้ทู ่สี ามารถนาไป ปรับใช้ในสภาพความเป็นจริงได้มากท่สี ดุ ดังน้นั การจดั กจิ กรรมและสภาพแวดล้อมในการฝึกอบรม จึงควรให้คล้ายคลึง กบั สภาพท่กี ลุ่มบุคคลเป้ าหมายจะนาส่งิ ท่ไี ด้เรียนรู้ ไปปรับใช้ ให้มากท่สี ดุ เพ่ือความสมั ฤทธผิ ลในการถ่ายโยง การเรียนรู้ ของกลุ่มเป้ าหมายไปในการปฏบิ ตั ิงานของตน ให้สมั ฤทธิผลใน สภาพความเป็ นจริงของท้องถ่นิ 19
หลกั การเรียนรูข้ องผูใ้ หญ่ • ผู้ใหญ่จะเรียนร้ไู ด้ดตี ่อเม่อื ต้องการท่จี ะเรียน • ผู้ใหญ่จะได้รับประโยชน์มาก หากได้เข้าร่วมในกจิ กรรมการเรียนการสอน • ผู้ใหญ่จะตอบสนองดีกว่าในบรรยากาศท่ไี ม่เป็นทางการ • การเรียนร้ขู องผู้ใหญ่จะรดุ หน้ารวดเรว็ ในสถานการณก์ ารเรียนรู้ท่เี ก่ยี วกบั ปัญหาในชีวิตจริง • ผู้ใหญ่ต้องการการเน้นยา้ ในแต่ละข้นั ตอนของการเรียน • ผู้ใหญ่จะตอบสนองได้ดกี ว่า เม่ือเข้าใจกระจ่างแจ้งในส่งิ ท่คี าดหวัง • ผู้ใหญ่ควรได้ฝึกทกั ษะใหมๆ โดยปราศจากการบงั คบั 20
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126