วิจัยในชน้ั เรยี น เรื่อง ผลการใชแ้ บบฝึกประกอบสอ่ื ยทู ูบเพอ่ื พัฒนาทักษาการฟังภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ผ้วู ิจัย นางสาวฑิฆมั พร เกตุเพชร ภาษาองั กฤษฟัง-พูด 1 อ 20212 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1/4 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรียนพุนพินพิทยาคม ตำบลท่าข้าม อำเภอพนุ พิน จงั หวัดสุราษฎร์ธานี เขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 11
ก ชอื่ งานวิจัย ผลการใช้แบบฝกึ หดั ประกอบสือ่ ยูทูบเพ่ือพฒั นาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1/4 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ชอื่ ผู้วจิ ัย นางสาวฑฆิ มั พร เกตุเพชร กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ) บทคดั ย่อ การวิจัยน้ีมวี ัตถุประสงค์เพอื่ ศึกษาผลการใช้แบบฝึกประกอบส่ือยูทบู เพอ่ื พัฒนาทักษาการฟงั ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนพุนพินพิทยาคม ซึ่งกลุ่มตัวอย่างท่ี ใชใ้ นการวจิ ัยครัง้ นค้ี ือ นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 42 คน ได้มาโดย การสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะ และส่ือยูทูบ ช่อง VOA Learning English และแบบทดสอบทักษะการฟงั ภาษาอังกฤษ สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย การศึกษาคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพ่ือศึกษาผลการใช้แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการ ฟังภาษาอังกฤษ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังภาษาอังกฤษก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึก ประกอบสื่อยูทูบในกิจกรรมการฟังจากยูทูบ (YouTube) ช่อง VOA Learning English ซึ่งใช้ประโยคเพื่อการ สอื่ สารขั้นพ้ืนฐานง่าย ๆ ท่ีใช้ในชีวิตประจำวัน และประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการพัฒนาด้านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยผู้ศกึ ษาไดจ้ ดั ทำการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น รวมท้ังทำการคดิ วเิ คราะหผ์ ลคะแนน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เข้าร่วมในกิจกรรมการใช้แบบฝึกประกอบส่ือยูทูบเพ่ือพัฒนาทักษาการฟัง ภาษาอังกฤษ โดยภาพรวมมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษ จากการทดสอบก่อนเรียน ระดับคะแนนเฉล่ียอยู่ที่ 8.81 และจากการทดสอบหลังเรียน ระดับคะแนนเฉล่ียอยู่ที่ 13.26 โดยพบว่า นักเรียนมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ดี ขนึ้ หลงั จากการใช้แบบฝกึ ประกอบสื่อยทู ูบเพอ่ื พฒั นาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนเรียนหลังเรียนพบว่าหลังการ ทดลองนักเรียนมีการฟังภาษาอังกฤษได้ ดีข้ึน โดยมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษหลังการทดลอง สูงกว่า ก่อนการ ทดลองอยา่ งมีนยั สำคัญอยู่ที่ 4.45 จากการศึกษาปรากฏว่า การใช้แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษน้ัน ทำให้ นักเรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และสามารถทำแบบทดสอบหลังเรียนได้ดีย่ิงขนึ้ ดังจะเห็นได้จากการเปรียบเทียบผล การทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนกั เรียนที่ เพม่ิ ขึ้น
ข กิตตกิ รรมประกาศ รายงานการวิจัยเรื่องผลการใช้แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ฉบับน้ี สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเพราะได้รับการ สนบั สนนุ จากกลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ โรงเรียนพนุ พินพทิ ยาคม ขอขอบคุณนักเรียนจำนวน 42 คน ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษฟัง-พูด 1 อ 20212 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนพนุ พนิ พิทยาคม ในการเปน็ กลุม่ ตัวอยา่ งให้ผ้วู จิ ัยใช้ในการวิจัยในคร้งั น้ี ขอขอบคุณบุคคลรอบข้างท่ีช่วยให้งานวิจัยช้ินนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ คุณค่าและประโยชน์ใด ๆ จากการวิจัย ในคร้ังนี้ขอมอบเป็นเคร่ืองบูชาคุณพระศรีรัตนตรัย พระคุณบิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดและเล้ียงดูตลอดจนครู อาจารย์ทุกทา่ นทไ่ี ดป้ ระสิทธปิ ระสาทวชิ า ฑิฆมั พร เกตเุ พชร ผู้วิจยั
ค สารบัญ หน้า ก บทคดั ย่อ ข กติ ติกรรมประกาศ ค สารบญั จ สารบัญตาราง 1 บทที่ 1 บทนำ 1 4 ความเป็นมาและความสำคัญ 4 วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั 4 สมมตฐิ านการวิจยั 5 ขอบเขตการวจิ ยั 5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 6 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ 6 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง 7 1. หลักสตู รการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานกลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พุทธศกั ราช 2551 7 2. เอกสารเกย่ี วกบั ทักษะการฟงั 8 9 2.1 ความหมายของการฟัง 10 2.2 ความสำคัญของการฟงั 11 2.3 ระดับของการฟัง 14 2.4 จุดมุง่ หมายของการฟัง 17 2.5 การสอนทักษะการฟัง 17 2.6 การวัดและประเมนิ ผลทักษะการฟัง 17 3. การสร้างแบบฝึก 19 3.1 ความหมายของแบบฝกึ 20 3.2 หลักการและขนั้ ตอนสรา้ งแบบฝึก 20 3.3 ประโยชน์ของแบบฝกึ 21 4. เอกสารเกีย่ วกบั ส่ือยูทบู 23 4.1 แนวคิดเกย่ี วกบั ยูทูบ 23 4.2 ประเภทของวดิ ีโอยทู บู ทไ่ี ดร้ ับความนิยม 24 4.3 ประโยชน์และข้อจำกดั กำรประยุกต์ใช้งำน YouTube เพ่อื การเรียนการสอน 24 4.4 ประโยชนข์ อง YouTube สำหรับโรงเรียน 24 4.5 ข้อจำกัด 25 5. งานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 5.1 งานวิจัยในประเทศ 5.2 งานวิจยั ตา่ งประเทศ
บทท่ี 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั ง กลุ่มเปา้ หมาย ขน้ั ตอนการดำเนินการวจิ ยั 27 เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั 27 การสร้างเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวิจัย 27 การรวบรวมขอ้ มลู 27 การวิเคราะหข์ ้อมูล 28 สถติ ทิ ีใ่ ช้ในกำรวเิ คราะห์ข้อมลู 28 28 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 29 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 30 30 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 32 สรปุ ผลการวจิ ัย 32 อภิปรายผล 32 ขอ้ เสนอแนะ 33 35 บรรณานกุ รม 37 ภาคผนวก
สารบญั ตาราง จ ตารางท่ี 4.1 แสดงผลคะแนนจากการประเมินทักษะการพดู ทง้ั 2 ครงั้ หน้า 30
1 บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญ เนื่องจากทักษะการฟังภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานน้ัน มีความจำเป็นอย่างยิ่งท่ีนักเรียนจะต้องมีพ้ืน ฐานความรู้ทางด้านกระบวนการทักษะการฟังภาษาอังกฤษเป็นอันดับแรก เพราะหากว่าถ้านักเรียนขาดทักษะ กระบวนการทักษะการฟังแล้ว ก็จะเป็นปัญหาที่สำคัญมากแก่ผู้เรียนและครูผู้สอน เพราะจะทำให้การเรียนการ สอนขาดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิท์ างการศึกษาวชิ าน้ีไมด่ ีเทา่ ทีค่ วร กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในยุคศตวรรษท่ี 21 เป็นยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ มีการใช้ เคร่ืองมืออย่างหลากหลายในการแสวงหาความรู้ ภาษาอังกฤษถือวา่ เปน็ ทักษะทสี่ ำคญั แห่งศตวรรษท่ี 21 และเป็น เคร่ืองมือที่สำคัญในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ในปัจจุบัน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่มีการใช้อยา่ งแพร่หลายมาก ที่สุดภาษาหนึ่ง โดยท่ีองค์ความรู้ท่ีสำคัญของโลกส่วนใหญ่ถูกบันทึกและเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ จึงมีความ จำเป็นท่ีจะต้องจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ เป็นเคร่ืองมือในการเข้าถึงองค์ความรู้และก้าวทันโลก ในปัจจุบันประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถ ของบุคคลเพ่อื เป็นกำลงั สำคัญในการพฒั นาประเทศให้เจรญิ รุดหน้า ก้าวทนั ต่อกระแสความเปลย่ี นแปลงของสงั คม โลก โดยเฉพาะอย่างย่ิงการเข้าสู่เสรีประชาคมอาเซยี นท่กี ำหนดให้ภาษาองั กฤษเป็นภาษาสากลท่ีใชส้ ่อื สารระหวา่ ง กลมุ่ ประเทศอาเซียน น่ันหมายถงึ ผู้ที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษย่อมได้เปรียบทุกทาง ภาษาองั กฤษจึงเข้ามา มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้น ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือช่วย ให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้จึงเป็นเรื่องสำคัญย่ิง โดยเฉพาะครูผู้สอนต้องจัดการเรียนการ สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการใช้ภาษามากที่สุดโดยเร่ิมจากการสอนทักษะการฟัง ตามด้วยการพูด การอ่าน และ การเขียน ตามล้าดับ โดยมีการสอนไวยากรณ์แทรกไว้ทุกทักษะ (สถาบันภาษาอังกฤษ สำนักงานการศึกษาขั้น พนื้ ฐาน, 2558) ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนจึงควรเป็นการสอนเพ่ือการสอื่ สารอย่างแท้จรงิ จะเห็นได้ว่าทักษะ การฟังถือว่าเป็นทักษะแรกที่ผู้เรียนควรให้ความสำคัญ การฟังเป็นทักษะท่ีสำคัญของการเรียนภาษา ผู้เรียนจะ ได้รับข้อมูล ความรู้ท่ีจำเป็นต่อการเรียนภาษา เม่ือผู้เรียนได้รับข้อมูลจากการฟัง จากน้ันผู้เรียนสามารถเริ่มต้น ทักษะการพูดเป็นลำดบั ข้ันต่อไป (Nation & Newton, 2008) ทักษะการฟังเป็นทักษะแรกที่ผู้เรียนได้ยิน เกิดการเรียนรู้ และเห็นคุณค่าของการฟัง โดยเร่ิมจากการ เรียนรู้คำศัพท์ การออกเสียง สำเนียงการพูด และฟังเพ่ือความเข้าใจ ซึ่งทักษะการฟังเพื่อความเข้าใจถือว่าเป็น ทักษะท่ีสำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสาร การฟังช่วยพัฒนาการออกเสียง ย่ิงฟังมากและ เข้าใจภาษาพูดมากเท่าไร การฟังก็จะช่วยพัฒนา สำเนียง การเน้นคำท่ีเช่ือมประโยคหรือคำเข้าด้วยกันทักษะการ สื่อสารท่ีดีไมไ่ ดข้ ้ึนอยู่กบั การพูดอย่างเดียวแต่ขึ้นอยู่กับประสิทธภิ าพของการฟังท่ีดีดว้ ย นอกจากนั้น ทักษะการฟัง ยังมีประโยชนต์ อ่ การพัฒนาทักษะการเรียนรูภ้ าษาองั กฤษดา้ นการพูด อา่ น และเขียน ตามล้าดับ (Harmer, 2007) และการฟังเป็นปจั จัยสำคญั อันดับแรกของ “หัวใจนักปราชญ์” ได้แก่ สุ. (สุต) คอื การฟัง จิ. (จินตนา) คือ การคิด ปุ. (ปุจฉา) คือ การถาม ลิ. (ลิขิต) คือ การเขียน ดังนั้นผู้ท่ีฟังมากจะเป็นผู้ท่ีรู้มาก และเป็นผู้มี โอกาสได้รับ ประโยชน์จากการฟังมาก การฟงั เรอื่ งราวต่าง ๆ ผ้ฟู งั ย่อมได้รับประโยชน์มากน้อยแตกตา่ งกัน ไดร้ ับฟังในเร่ืองทย่ี ัง
2 ไมเ่ คยฟัง หรอื บางครั้งอาจได้รบั ฟังเร่ืองทเ่ี คยฟงั มาแล้ว กอ็ าจได้รายละเอียดเพิ่มเตมิ ทำให้มีความเข้าใจและชดั เจน มากข้ึน ได้รับความรู้ ความคิด และความเข้าใจ สามารถน้าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ้าวันได้ มีจินตนาการ กว้างไกล มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี มีนิสัยใคร่รู้ อยากฟังเร่ืองราวที่เป็น ประโยชน์ต่อไป ได้รับคุณค่าทางจริยธรรม ได้รับความบันเทิง การเป็นผู้ฟังท่ีดีจะได้รับความนิยมชมชอบจากคู่ สนทนา สร้างบรรยากาศความเป็นมิตร ทำให้เกดิ ความเข้าใจ การยอมรบั และเหน็ ใจซึ่งกนั และกัน การฟังเป็นส่วน สำคัญของการคิดและการพูด ผู้ท่ีมีความสามารถในการฟังย่อมช่วยให้การคิด และการพูดมีประสิทธิภาพตามไป ดว้ ย (อภิญญา อนุกูล, 2552) เชน่ สอดคล้องกับ (Vandergrift, 2016) จากการศึกษาค้นคว้างานวจิ ยั พบว่า ผู้เรียน วัยผู้ใหญ่ใช้ทักษะการฟังร้อยละ 40 – 50% ทักษะการพูดร้อยละ 25 – 30% ทักษะการอ่านร้อยละ 11 – 16% และทักษะการเขียนรอ้ ยละ 9% เท่าน้ัน จะเห็นได้ว่า ทักษะการฟังเป็นทักษะข้ันพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าผู้เรียนขาดทักษะการฟังผู้เรียนจะไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Nunan, 1997) การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 น้ัน บทบาทของครูไม่ได้ทำหน้าที่ในการสอนหรือจัดกิจกรรมใน หอ้ งเรียนเท่าน้ัน แตค่ รูต้องบูรณาการและจัดการเรียนการสอนเพื่ออา้ นวยความสะดวก ให้คำแนะน้าเพื่อให้ผู้เรยี น ได้ค้นคว้า เรียนรู้ ลงมือทำ แก้ปัญหา คิด วิเคราะห์ และประเมินความก้าวหน้าได้ด้วยตนเองเพื่อนำความรู้ไปใช้ พัฒนาตนเองและทักษะในการดำรงชีวิตในอนาคตต่อไป (วิจารณ์ พานิช, 2015) การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 น้ัน เทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตมีส่วนสำคัญมากในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และ พัฒนาองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และเป็นเคร่ืองมือท่ีสำคัญสำหรับครูผู้สอนเพื่ออ้านวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียน เมอื่ กล่าวถึงเทคโนโลยีสิ่งที่เราคำนึงถึง คอื เทคโนโลยเี ปน็ องค์ประกอบท่ีสำคัญและกลมกลืนในชีวิตประจำวันของ ทุกคน สำหรับวงการศึกษาน้ัน ครูควรคำนึงถึงการจัดทำหลักสูตรที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเพ่ือสนับสนุนและเป็น เคร่ืองมือที่สำคัญในการนำไปปรับใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอน (Eady & Lockyer, 2013) ดังน้ัน การ เรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยเทคโนโลยีท่ีทันสมัย และเพ่ือช่วยในการพัฒนาทักษะการฟังให้มีประสิทธิภาพน้ัน เทคโนโลยแี ละอนิ เตอร์เน็ตจงึ มสี ว่ นส้าคัญและจา้ เป็นสา้ หรับการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) เป็นส่ือออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากในยุคปัจจุบัน ผู้ใช้งาน จะสามารถแชท ส่งข้อความ ส่งอีเมล์ วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูปภาพ เขียนบล็อกและแชร์ถึงผู้ใช้งานอื่นได้ บริการ เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ไดแ้ ก่ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ยูทูบ ไลน์ ไฮไฟฟ์ สไกป์ เปน็ ต้น ซึ่ง นอกจากจะใช้ในการติดต่อส่ือสารเพ่ือความสนุก เพลิดเพลิน บันเทิงแล้ว ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นำมาใช้เพ่ือ การศึกษาได้อีกด้วย ธีรภัทร ถิ่นแสนดี (Teerapat.T, 2558) การจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับแก้ปัญหาการเรียน การสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน คือใช้เทคโนโลยีเป็นส่ือในการเรียนรู้ เน่ืองจากในปัจจุบันการเข้าถึงเทคโนโลยี และสื่อต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว การเลือกใช้ส่ือสังคมออนไลน์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับ ความต้องการพัฒนาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของผู้เรียนย่ิงขึ้น จาลาลูดดิน (Jalaluddin, 2016) การใช้สื่อวิดีโอ บนยทู ูบ (YouTube) มีความเหมาะสมท่จี ะนำมาใช้ในการพฒั นาทกั ษะการฟังภาษาองั กฤษ เนอ่ื งจากส่ือวดิ ีโอบนยู ทูบ (YouTube) เป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจของผู้เรียนท่ีเป็นกลุ่มวัยรุ่นเป็นอย่างมาก การที่ครูผู้สอนสามารถนำส่ือ วิดีโอบนยูทูบเหล่านั้นมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ จึงเป็นสิ่งที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของ ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ครูผู้สอนสามารถเข้าถึงส่อื วิดีโอได้อย่างหลากหลาย สามารถคัดเลือกวิดีโอที่เป็นตัวอย่างการ ใช้ภาษาที่ถูกต้อง การใช้น้ำเสียง สำเนียงตามแบบเจ้าของภาษาและเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน การจัด
3 สถานการณ์ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้ภาษาในการส่ือสาร หรือแสดงออกทางภาษาจะทำให้ผู้เรียนมีการพัฒนา ความสามารถในการส่ือสารที่ดีย่ิงขึ้น ซึ่งแนวคิดการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร (Communicative Approach) เป็นวิธีการท่ีเหมาะสมในการแก้ปัญหาการฟังของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากแนวคิดการสอนภาษาเพ่ือการ สื่อสารเป็นการสอนท่ีมุ่งเน้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสารที่เป็นระบบระเบียบและมี จุดหมาย มีองค์ประกอบต่าง ๆ เก่ียวข้องเพ่ือให้การสื่อสารนั้นถูกต้องเหมาะสม เป็นที่ยอมรับในสังคมท่ีใช้ภาษา นั้น และเป็นวิธีสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการส่ือสารได้จริง (Actual Communication) โดย อาศัยหลักการของการสอนที่เชื่อมระหว่างความรู้ทางภาษาและความสามารถในการสื่อสารเพ่ือให้ผู้เรียนเรียนรู้ โครงสร้างภาษาเพื่อการส่ือสาร สถาบันภาษาอังกฤษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก ร ะ ท ร ว งศึ ก ษ า ธิ ก า ร (English Institute Office of the Basic Education Commission Ministry of Education, 2553) จากลักษณะดังกล่าวการจัดการเรยี นรู้โดยใชแ้ นวคิดการสอนภาษาเพอ่ื การสื่อสาร จึงเป็นวธิ ีท่ี ทำให้ผเู้ รยี นได้เรียนรู้ โดยการฝกึ ปฏบิ ัติการใช้ภาษาจริง มคี วามกล้าแสดงออก ส่งผลให้ผเู้ รยี นสามารถพ่ึงตนเองได้ มคี วามภาคภมู ิใจ และเกิดความพอใจในการติดตอ่ สื่อสารอยา่ งต่อเนอื่ งซึง่ เหมาะสมในการพฒั นาทักษะการฟงั และ มคี วามพึงพอใจในการเรียนภาษาองั กฤษ กระบวนการเรียนการสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษน้ัน พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่พบปัญหาในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ให้ความสำคัญเฉพาะ การเรียนไวยากรณ์ ทักษะการอ่าน และคำศัพท์ มากกว่าทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษทักษะอ่ืน ทักษะการฟังและทักษะการพูดไม่มีความสำคัญในหนังสือเรียน หรือหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศและครูผู้สอนไม่ให้ความสำคัญในการจัดแผนการจัดการ เรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการฟัง ครูหลายคนเช่ือว่าทักษะการฟังเป็นทักษะท่ีผู้เรียนสามารถเรียนรู้หรือพัฒนาได้เอง ตามธรรมชาติในระบบการเรียนรู้ภาษา (Hamouda, 2013) ทั้งน้ี กิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียนผู้สอนมี การทดสอบทักษะการฟังแก่ผู้เรียนแต่ไม่สอนทักษะการฟังให้แก่ผู้เรียน ในขณะท่ีผู้เรียนเองได้ใช้ทักษะการฟังใน หอ้ งเรยี นแต่ไม่ใช่การฟังเพอื่ ความเข้าใจ (Glisan, 1985) การใช้สอ่ื การเรยี นการสอนทท่ี ันสมยั ใช้งานได้ง่ายและสะดวกทั้งผู้สอนและผู้เรียนจะทำให้ผเู้ รียนมีโอกาส ในการพัฒนาวิธีการเรียนของตนเองและพัฒนาการใช้ส่ือการเรียนให้ทันสมัย ทันโลกทันเหตุการณ์อยู่เสมอ ครูผู้สอนเองก็จะมีโอกาสในการใช้สื่อเทคโนโลยเี หล่านี้นำเสนอวิธกี ารเรียนรู้ด้วยตนเองแก่ผเู้ รียนและเปิดโอกาสให้ ตนเองได้พัฒนาสื่อการเรียนการสอนและพัฒนาเทคนิค กลยุทธ์ในการสอน สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้เป็น เครื่องมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน และพัฒนาการปรับใช้ส่ือการเรียนการสอนให้ทันสมัย อยู่เสมอ ซึ่งในปัจจุบันนี้การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 น้ัน บทบาทของครูผู้สอนไม่ใช่แค่สอนนักเรียนอย่างเดียว แต่ ครูผู้สอน คือ คนท่ีจะคอยช่วยเหลือ ชี้แนะแนวทางการเรียนการสอน วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองแก่ผู้เรียน เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้เพ่ิมพูนความรู้ รวมท้ังการใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ด้วยตนเองเพ่ือเป็นแนวทางในการเรียนใน ระดบั สูงตอ่ ไป ด้วยสถานการณ์ปจั จุบนั เกิดการแพรร่ ะบาดของโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID 19) ทำให้โรงเรียน ไม่สามารถเปิดเรียนตามปกติ (on site) ได้ จึงต้องมีการจัดการเรียนการสอนในการเรียนการสอนในรูปแบบ on line ขึ้น ทั้งนี้ในการจัดการเรียนการสอนจึงต้องเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับการเรียนผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะ อย่างยงิ่ ในรายวิชาภาษาองั กฤษ และต้องใช้ส่ือการสอนท่ีนักเรียนเข้าถงึ ไดง้ ่าย ดังนน้ั แลว้ การพัฒนาการฟังและพูด
4 ภาษาอังกฤษข้ันพ้ืนฐาน ต้องเลอื กสรรสื่อท่เี ข้าถึงได้งา่ ยไม่ยุ่งยากซบั ซ้อนและมีเนื้อหาที่เหมาะสมไม่ยากจนเกินไป นกั เรียนสามารถฝกึ ฝนทกั ษะนอกเวลาเรยี นด้วยตนเองได้ ผวู้ ิจัยเห็นสภาพปัญหาและตระหนักถึงปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนจึงมีความต้องการท่ีจะเปล่ียนและพัฒนาวิธีการ สอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและยังสอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อเพ่ิมคุณภาพ ด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และตอบสนองวิธีการเรยี นรู้ของผู้เรยี นระดับชน้ั มัธยมศึกษาจากข้อมูลข้างต้น ผวู้ ิจัยมีความประสงค์จะดำเนินการวิจัย การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสอ่ื สารในชีวิตประจำวันโดย ใชส้ อ่ื จากยทู ูบ ซ่งึ จะก่อใหเ้ กิดประโยชนโ์ ดยตรงต่อนกั เรยี น มเี ป้าหมายให้ผเู้ รียนนมที ักษะการฟังภาษาองั กฤษเพ่ือ การสอ่ื สารในชวี ิตประจำวนั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพอื่ ศกึ ษาผลการใช้แบบฝกึ ประกอบสื่อยูทบู เพ่ือพัฒนาทกั ษาการฟงั ภาษาองั กฤษ 2. เพ่ือเปรียบเทยี บทักษะการฟังภาษาองั กฤษก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษา ปที ่ี 1/4 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 สมมติฐานการวจิ ยั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1/4 ที่ได้รับการจัดการเรยี นรู้พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ จากผลการใช้ แบบฝึกประกอบส่ือยูทบู หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้เป็นนักเรียนที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษฟัง-พูด 1 รหัส วิชา อ 20212 จำนวน 42 คน ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรียนพุนพนิ พทิ ยาคม 2. ตัวแปรท่ีศึกษา ตวั แปรต้น ไดแ้ ก่ แบบฝกึ ประกอบสอ่ื ยทู ูบ ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ทักษะการฟงั ภาษาองั กฤษ 3. ระยะเวลาในการทดลอง ดำเนนิ การทดลองในภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 เป็นระยะเวลา 8 สปั ดาห์ สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง 4. เน้ือหาทีใ่ ช้ในการทดลอง เนื้อหาทบ่ี ทสนทนาจากยูทบู ชอ่ ง VOA Learning English ทง้ั หมด 6 Lesson ดังน้ี Lesson 1 : Welcome Lesson 2 : Hello, I’m Anna Lesson 3 : I’m here Lesson 4 : What is it? Lesson 5 : Where are you? Lesson 6 : Where is the gym?
5 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 1. แบบฝึกประกอบสื่อยูทูป หมายถึง สื่อการสอนท่ีเป็นเอกสารท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนจากสื่อยูทูบ ช่อง VOA Learning English ท้งั หมด 6 Lesson 2. ส่ือยูทูบ หมายถึง คลปิ วิดีโอบนสอื่ ออนไลน์ ท่ีเป็นบทบาทสมมุติอย่างส้ันจากเจ้าของภาษาซึ่งเป็นส่ือท่ี มภี าพและเสยี งชดั เจน มหี วั ข้อดงั ตอ่ ไปนี้ Lesson 1 : Welcome Lesson 2 : Hello, I’m Anna Lesson 3 : I’m here Lesson 4 : What is it? Lesson 5 : Where are you? Lesson 6 : Where is the gym? 2. พัฒนาทักษะการฟงั ภาษาอังกฤษ หมายถึง การเพมิ่ ความสามารถทักษะในการฟังภาษาอังกฤษ 3. นกั เรียน หมายถึง นักเรียนที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษฟัง-พูด จำนวน 42 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนพนุ พินพทิ ยาคม ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ ับ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนพุนพินพิทยาคมได้รับการ พฒั นาทกั ษะการฟงั ภาษาองั กฤษ 2. เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟัง ภาษาองั กฤษของนักเรยี น โดยใช้แบบฝกึ ประกอบยทู บู เปน็ ส่ือการสอนการสอนภาษาองั กฤษเพอื่ การสอ่ื สาร 3. เป็นแนวทางและนวัตกรรมการจัดการ เรียนรู้สำหรับครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และ ผสู้ นใจในการพัฒนาการเรียนการสอน
6 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วขอ้ ง การวิจัยในคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับผลการใช้แบบฝึกประกอบสื่อยู ทูบเพ่ือพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ผลการศกึ ษาคน้ คว้าและงานวจิ ยั ต่าง ๆ สรุปสาระสำคญั โดยนา้ เสนอจ้าแนกตามหวั ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี 1. หลักสตู รการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานกลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 1.1 หลกั สตู รการศึกษาข้ันพ้นื ฐานกลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 2. เอกสารเก่ยี วกบั ทกั ษะการฟัง 2.1 ความหมายของการฟงั 2.2 ความสำคัญของการฟัง 2.3 ระดบั ของการฟัง 2.4 จดุ มุ่งหมายของการฟัง 2.5 การสอนทักษะการฟงั 2.6 การวดั และประเมนิ ผลทักษะการฟงั 3. การสรา้ งแบบฝึก 3.1 ความหมายของแบบฝึก 3.2 หลักการและขั้นตอนสร้างแบบฝกึ 3.3 ประโยชนข์ องแบบฝกึ 4. เอกสารเกย่ี วกับสอ่ื ยทู ูบ 4.1 แนวคิดเกยี่ วกบั ยูทบู 4.2 ประเภทของวิดโี อยทู บู ทไ่ี ด้รับความนิยม 4.3 ประโยชน์และข้อจำกดั กำรประยุกตใ์ ชง้ ำน YouTube เพอ่ื การเรียนการสอน 4.4 ประโยชนข์ อง YouTube สำหรบั โรงเรียน 4.5 ขอ้ จำกดั 5. งานวจิ ยั ท่เี กยี่ วข้อง 5.1 งานวจิ ยั ในประเทศ 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ 1. หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐานกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 1.1 หลักสูตรการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การสอื่ สาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเร่อื งทีฟ่ ังและอา่ นจากสื่อประเภทตา่ ง ๆ พร้อมทง้ั แสดงความ คิดเหน็ อยา่ งมเี หตผุ ล
7 มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะในการส่ือสารทางภาษาเพ่ือการแลกเปล่ียน ข้อมูลข่าวสาร แสดง ความร้สู กึ และความคดิ เห็น อย่างมีประสิทธภิ าพ มาตรฐาน ต 1.3 น้าเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเร่ืองต่าง ๆ โดย การพูดและการเขียน สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษาที่ทีผลกับวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษา และ นำไปใช้ ได้อยา่ งเหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษาท่มี ีความสมั พนั ธ์กับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใชอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม สาระท่ี 3 ภาษากับความสัมพันธก์ ับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่นื มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน และเป็น พืน้ ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทศั น์ของตน สาระท่ี 4 ภาษากบั ความสมั พันธก์ ับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศท่ีมีความสัมพันธ์ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อเป็นเคร่ืองมือพ้ืนฐานใน การศึกษาต่อ การประกอบ อาชพี และการแลกเปล่ยี นเรยี นร้กู บั สังคมโลก 2. เอกสารเกีย่ วกบั ทักษะการฟงั การฟัง เป็นทักษะการรับรู้ (Receptive Skill) ซึ่งเป็นทักษะแรกของการเรียนรู้ภาษา ตามกระบวนการ ทางภาษา ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เช่นเดียวกบั การเรียนรู้ภาษาแรก การทผ่ี เู้ รียนจะสามารถ ผลิตภาษาได้ดี จะต้องเกิดจากการรับรู้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพดังนั้นการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับทักษะการฟัง จึง เปน็ ส่ิงสำคญั ตอ่ การพัฒนาทกั ษะการฟงั ของผู้เรียนซึ่งมีรายละเอียด ดงั น้ี 2.1 ความหมายของการฟัง การฟัง เปน็ การรับสารผ่านเสยี งท่ีได้ยิน จากนนั้ ผา่ นกระบวนการตีความหรอื แปลความจากส่ิงท่ไี ดย้ นิ โดย อาศัยความรู้ด้านภาษา น้ำเสียงที่ใช้ส่ือความหมายโดยนยั ของผู้พูดจนเกิดความเข้าใจ ดังท่ี (Howatt and Dakin, 1974 อ้างถึงใน Yagang, 1993: 16) กล่าวว่า การฟังเป็นกระบวนการท่ีผู้ฟังตอ้ งใช้ความสามารถในการเรยี บเรียง ตีความเพื่อท่ีจะได้เข้าใจว่าส่ิงที่ผู้พูดพูดมานั้น มีความหมายว่าอย่างไร การฟังต้องสัมพันธ์กับความเข้าใจสำเนียง หรือการออกเสียงของผู้พูด รวมถึงไวยากรณ์ คำศัพท์และความเข้าใจด้านความหมาย นอกจากนยี้ ังมนี ักการศึกษา ไดใ้ หค้ ำจำกัดความเก่ียวกบั ความหมายของการฟงั ไวด้ งั นี้ Widdowson (1978: 59-60) กล่าวว่า การฟัง หมายถึง ความสามารถที่จะเข้าใจว่าประโยคหนึ่งนั้น สัมพันธก์ ับประโยคอืน่ ๆ ทีพ่ ูดไปแลว้ อย่างไร และเข้าใจว่าประโยคดังกลา่ วมหี น้าที่อย่างไรในการส่ือสาร Finocchiaro (1989: 95) กล่าวว่า การฟัง หมายถึง การเข้าใจในสิ่งท่ีได้ยิน คือ ความเข้าใจภาษาและ ตีความโดยผ่านกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง ผู้ฟังต้องมีความตั้งใจและมีความจำเกี่ยวกับสิ่งที่ฟังได้จึงจะเกิด ความเขา้ ใจในการฟงั
8 Rost (1991: 7) ได้ให้ความหมายของการฟังไว้ว่า การฟัง หมายถึง กระบวนการที่ผู้ฟังต้องอาศัย กระบวนการคิด ทั้งทัศนคติและกลวิธีในการทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ซ่ึงเป็นกระบวนการที่สามารถพัฒนาได้ และเป็นทักษะพ้ืนฐานในการพฒั นาทกั ษะทางภาษาอื่นๆ Rivers (2018: 60) กล่าวว่า การฟังเป็นทักษะสร้างสรรค์ในการทำความเข้าใจจากเสียงท่ีเราได้ยิน ผู้ฟัง จะรับเอาคำพดู ท่ีไดย้ นิ การจดั เรียงลำดบั คำนั้นๆ ตลอดจนการข้ึน-ลงของเสียง มาสรา้ งให้เกิดความหมาย จากความหมายของ การฟังข้างต้น สรุปได้ว่า การฟัง คือ การรับรู้เสียงท่ีได้ยินอย่างต้ังใจจากนั้นผ่าน กระบวนการตีความหรือแปลความจากภาษา น้ำเสียง ร่วมกับประสบการณ์เดิมของผฟู้ ังเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ ได้ฟงั 2.2 ความสำคัญของการฟัง การฟัง เปน็ ทักษะการรับสารหรือข้อมูล ผ่านกระบวนการคิดตคี วาม เพ่ือสง่ ต่อไปยังกระบวนการตา่ งๆ ซ่ึง การฟงั เปน็ ทักษะแรกในการเรียนร้ทู างภาษาของมนษุ ย์หากผู้ฟังไม่สามารถใช้ทักษะการฟังได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ อาจจะส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้การทำความเข้าใจ หรือทักษะต่างๆ ที่ตามมา ดังน้ันการฟังจึงมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นข้ันแรกในกระบวนการรับรู้ทางภาษา เพื่อนำไปสู่การสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ ในสังคม มีผู้เชี่ยวชาญได้ กลา่ วถงึ ความสำคญั ของทกั ษะการฟัง ซึง่ สามารถสรุปได้ดงั น้ี Bowen et al. (1985) ได้กล่าวว่า การฟัง เป็นการทำความเข้าใจในภาษาพูด ดังเช่นที่นักเรียนได้ยิน คำพูด เสียง หน่วยคำหรือหน่วยประโยค และการทำความเข้าใจ ทักษะการฟังมีความสำคัญ เนื่องจากเป็น กระบวนการรับสารจากส่ิงทผี่ ู้พดู พูดออกมา ทั้งการแสดงออกทางท่าทางการเจรจา การโต้ตอบ รวมทงั้ ความหมาย เชิงสร้างสรรค์ ทักษะการฟังต้องได้รับการพัฒนาเป็นลำดับแรก ท้ังในการเรียนภาษาแม่ และภาษาท่ีสอง โดยเฉพาะนักเรียนเพราะนักเรียนจะประสบความสำเร็จในการเรียนข้ึนอยู่กับความเข้าใจขณะท่ีฟังครูบรรยายและ รว่ มทำกิจกรรมในหอ้ งเรียน Doff (1991: 198) กล่าวถึง ความสำคัญของการฟังที่มีผลต่อความสำเร็จในการสนทนาว่าในการสื่อสาร น้ัน ผู้ฟังจะต้องเข้าใจก่อนว่าสิ่งท่ีผู้พูดพูดนั้น หมายความว่าอย่างไร เมื่อเข้าใจก็จะตระหนักว่าควรจะพูดตอบไป อย่างไร ทำให้เป็นการพัฒนาการพูดของตนเองด้วย ดังน้ันผู้เรียนจึงต้องฝึกทักษะการฟังให้มาก โดยเฉพาะในการ สื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศจะต้องฟังจนสามารถเข้าใจได้ดีและสามารถพูดได้ ซ่ึงสอดคล้องกับ Mc Donell (1992: 58–59) ที่กล่าวถึงความสำคัญของการฟังว่า เป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ และมีความสำคัญมากต่อ ประสิทธิภาพในการใช้ภาษาเพ่ือการส่ือสาร ผู้ท่ีมีความสามารถในการฟังจะสามารถใช้ภาษาเพื่อการส่ือสารได้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพดว้ ย สุมิตรา อังวัฒนกุล (2540: 159) กล่าวว่า การฟังเป็นทักษะรับสารท่ีสำคัญและเป็นทักษะแรกท่ีต้องทำ การสอน ผู้พูดจะต้องฟังให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะสามารถพูดโต้ตอบอ่านหรือเขียนได้ทักษะการฟัง จึงเป็นทักษะ พ้ืนฐานทีส่ ำคัญในการเรยี นรทู้ ักษะอ่ืนๆ กล่าวโดยสรุป ทักษะการฟังมีความสำคัญ เนอ่ื งจากเป็นทักษะการรับรู้ซึ่งเป็นพ้ืนฐานใน การเรียนรู้ภาษา และเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ในลำดับต่อไป หากผู้ฟังมีทักษะการฟังท่ีดีจะทำให้มีทักษะการรับข้อมูลท่ีดี แปลความได้อย่าง ถกู ตอ้ ง และเกิดการส่อื สารโตต้ อบไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพในท่ีสุด
9 2.3 ระดับของการฟงั การฟัง เป็นทักษะการรับสารท่ีผู้ฟังจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนท่ีจะสามารถโต้ตอบได้ในรูปแบบใด รูปแบบหน่ึง ซ่ึงพฤติกรรมการฟังสามารถจำแนกได้หลายระดับ นักการศึกษาหลายท่านได้แบ่งระดับการฟังไว้ หลายรูปแบบด้วยกนั ตามพฤติกรรมการฟงั ดงั น้ี Rivers (1968: 142-143) ไดแ้ บ่งระดบั การฟัง ไวด้ งั นี้ 1. ระดับ การจำได้ (Recognition level) ระดับ คุ้น เคยห รือระดับ การรับรู้(Reception level) เป็นระดับที่ผู้ฟังสามารถแยกแยะหรือจำแนกเสยี งได้เสียงเน้นหนัก และระดับเสียงสงู ตำ่ ในประโยค รวมทั้ง การแยกแยะคำ วลี โครงสร้างทางภาษา ลำดบั เวลา 2. ระดับความเข้าใจ (Comprehension level) ระดับการเลือกคัดสรร (Selection level) เป็น ระดับที่ผู้ฟังสามารถจับใจความของสิ่งทีฟ่ ังได้เข้าใจความหมายโดยทั่วไปของข้อความทฟ่ี ังและจุดประสงค์ของการ สอื่ ความหมายนน้ั Tutolo (1977: 262-265) ไดแ้ บง่ ระดับของการฟงั ออกเปน็ 3 ระดับ ได้แก่ 1. ระดบั ไดย้ ิน (Hearing) คือ ระดับท่ผี ฟู้ งั ไดย้ ินเสียงและรู้วา่ เป็นเสียงอะไร 2. ระดับจำแนกคำ (Discrimination) คือ ระดับท่ีผู้ฟังจำแนกเสียงทีไ่ ดย้ ินว่าเหมือนหรือแตกต่าง กันอยา่ งไร 3. ระดับความเขา้ ใจ (Comprehension) แบง่ เป็น 3 ขั้น คือ 3.1 ข้ันฟังคำ (Literal Comprehension) เป็นระดับท่ีผู้ฟังสามารถที่จะจำหรือกล่าว ทบทวน สิ่งทเ่ี ปน็ ใจความสำคัญของเรอ่ื งได้ 3.2 ขั้นตีความหมาย (Interpretation) เป็นระดับที่ผู้ฟังมีความเข้าใจเร่ืองที่ได้ฟัง และ สามารถสรุปความ ตีความเรอื่ งทฟ่ี งั ได้ 3.3 ขน้ั มีวิจารณญาณ (Critical Listening) เปน็ ระดับท่ผี ู้ฟังเกดิ ความเข้าใจเรื่องทฟ่ี ังอย่าง ถ่องแท้ และสามารถประเมินค่า หรือตัดสินใจเรื่องที่ฟังได้อย่างมีเหตุผลสามารถแยกข้อเท็จจริงจากข้อคิดเห็น และบอกจดุ มุ่งหมายของเรอ่ื งที่ฟังได้ Valette and Desick (1972: 141-142) ได้แบ่งระดับ ความสามารถใน การฟังภาษาต่างประเทศ ออกเปน็ 5 ระดับ ไดแ้ ก่ 1. ระดับทักษะกลไก (Mechanical skill) คือ ผู้ฟังสามารถแยกความแตกต่างระหว่างภาษาแม่ กับภาษาต่างประเทศจากเสยี งได้ โดยทีไ่ มต่ ้องเขา้ ใจความหมาย 2. ระดับความรู้ (Knowledge) คือ ผู้ฟังสามารถเข้าใจความหมายของคําหรือประโยคท่ีได้ยิน แล้วสามารถตอบสนองได้โดยการปฏิบัติตามคําสั่งนั้น หรือเทียบประโยคภาษาท่ีมีความหมายเหมือนกับ ภาษาตา่ งประเทศได้ 3. ระดับถ่ายโอน (Transfer) คือ ผฟู้ ังสามารถเรียบเรียงประโยคใหม่โดยใช้ศัพท์และไวยากรณ์ท่ี เรยี นมาแลว้ ได้ และสามารถเลือกใช้คาํ หรอื ขอ้ ความท่ีเหมาะสมได้ 4. ระดับสื่อสาร (Communication) คือ ผู้ฟังเข้าใจคําอธิบายภาษาต่างประเทศและเข้าใจ ความหมายของคําศัพท์ใหม่ โดยการใช้การคาดเดาจากพื้นฐานความรู้เดิม นอกจากน้ีสามารถส่ือความกับเจ้าของ ภาษาได้ดว้ ยพฤตกิ รรมข้นั สงู สดุ คือ สามารถแกไ้ ขคาํ พดู จากบทละครหรือภาพยนตรไ์ ด้ เปน็ ต้น
10 5. ระดับวิพากษ์วิจารณ์ (Criticism) คือ ผู้ฟังสามารถวิเคราะห์ภาษาได้และเข้าใจความหมายทั้ง ทางตรงและความหมายแฝง เข้าใจความแตกต่างของอวจนภาษาทางอารมณ์ และน้ำเสยี งของผพู้ ูดได้ สรุปได้ว่า การฟังแบ่งออกได้เป็นหลายระดับ โดยเร่ิมจากการจำแนกเสียง ขั้นตีความทำเข้าใจกับข้อมูลที่ ได้ฟัง ข้ันการสื่อสาร สามารถส่ือสารโต้ตอบกับผู้พูดได้ และลำดับท้ายสุดคือฟังแล้วสามารถวิเคราะห์ถึงลักษณะ ของภาษา เข้าใจความหมายทัง้ ทางตรงและโดยนยั ท่ีผู้พูดตอ้ งการจะสื่อความหมายได 2.4 จดุ มงุ่ หมายของการฟัง จดุ มุ่งหมายของการฟงั ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงคห์ รือเจตนาของผู้ฟังว่าต้องการฟงั ข้อมูลน้ันเพอ่ื วตั ถุประสงค์ ใด เชน่ ฟงั เพอื่ ความเขา้ ใจ ฟงั เพ่ือความบนั เทิง ฟังเพื่อแลกเปลยี่ นข้อมลู เปน็ ตน้ ซ่ึงจุดมุ่งหมายในการฟงั แบง่ ได้หลายประเภท ดังน้ี Willis (1981: 134) กล่าวถึง จดุ มุ่งหมายของการฟงั ผฟู้ งั จะฟงั เพือ่ สงิ่ ใดสิง่ หน่งึ ดังนี้ 1. ฟังเพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ มูลกวา้ งๆหรือสาระสำคัญ 2. ฟังเพอ่ื ข้อมลู บางประการ 3. ฟงั เพ่อื ศกึ ษาทศั นคตแิ ละความคิดเห็นของบุคคล 4. ฟงั เพอ่ื ลำดบั เหตกุ ารณท์ ่เี กดิ ขึ้น 5. ฟังเพ่ือเรยี นรู้คำศพั ท์ทีใ่ ชใ้ นการแสดงเสียงและการเคลื่อนไหว 6. ฟงั เพ่อื ศกึ ษาโครงสรา้ งภาษาและการใช้ความหมาย 7. ฟงั เพื่อใช้ภาษาในการเรยี นรู้วัฒนธรรม Harmer (1991) กลา่ วถึง จุดประสงคใ์ นการฟัง มีดงั น้ี 1. เพื่อเปน็ การยืนยนั ความคาดหมายทผี่ ูฟ้ งั ตง้ั ไวก้ ่อนการฟงั 2. เพ่ือคัดเลอื กรายละเอียดเฉพาะท่ีตนสนใจและตอ้ งการฟงั เพราะการฟังน้ัน ผฟู้ ังไม่จำเป็นต้อง เก็บขอ้ มูลท่ฟี งั ท้งั หมด หากแตส่ ามารถเลอื กเฉพาะข้อความทส่ี ำคัญเท่าน้ันได้ 3. เพื่อมีสว่ นร่วมในการสื่อสาร เพราะทักษะการฟงั เป้นทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เพ่ือที่จะ ไดน้ ำขอ้ มลู ที่ฟังมาประกอบการโต้ตอบหรือสือ่ สารกันระหวา่ งผพู้ ดู และผู้ฟัง 4. เพือ่ เกบ็ ข้อมลู ท่ัวๆ ไป เช่น การฟังข่าว โฆษณา เพ่ือนำขอ้ มลู ท่ไี ดไ้ ปใช้ในโอกาสอ่ืนๆ ต่อไป 5. เพ่ือเก็บรายละเอียดของข้อมูลที่ฟัง หลังจากที่ผู้ฟังสามารถที่จะเข้าใจข้อมูลท่ีฟังและสื่อสาร กับผู้พูดได้แล้ว ผู้ฟังเข้าใจรายละเอียดอื่นๆ ที่นอกเหนือจากข้อมูลท่ีฟัง คือ โครงสร้างประโยคและรายละเอียด เกีย่ วกบั การใช้ภาษาด้านต่างๆ ได้ Harmer (2007) ไดก้ ลา่ วถึงจุดม่งุ หมายในการฟงั หรือทักษะย่อยในการฟังเพิ่มเติมไวด้ งั นี้ 1. ฟังเพื่อจับใจความสำคัญ เป็นการจับใจความโดยทั่วไปว่าเร่ืองราวท่ีฟังเกี่ยวกับอะไร ซึ่งไม่ จำเปน็ ตอ้ งเขา้ ใจในทุกคำทีไ่ ด้ยนิ 2. ฟังเพ่ือระบุข้อมูลเฉพาะเจาะจง เป็นการฟังเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลเฉพาะ ซ่ึงผู้ฟังคาดหวังไว้ ล่วงหนา้ และสามารถเลือกฟังเฉพาะข้อมลู ที่ต้องการได้ 3. ฟังเพ่ือระบุรายละเอียด เป็นการฟังที่ต้องอาศัยความต้ังใจอย่างมากในการทำความเข้าใจ เร่ืองราวให้ได้มากทีส่ ุด Solak (2016) ไดก้ ลา่ วเกยี่ วกบั ทักษะยอ่ ยของการฟงั ดังน้ี
11 1. ฟังเพ่ือจับใจความสำคัญ เปน็ การฟังเพอ่ื จับใจความโดยรวมทัว่ ไปจากเรื่องที่ฟัง 2. ฟังเพื่อขอ้ มลู เฉพาะเจาะจง เปน็ การฟงั เพอ่ื หาข้อมลู ตามทผ่ี ู้ฟังต้องการเท่านั้น 3. ฟังเพื่ออนมุ าน เป็นการฟังเพือ่ เข้าใจถึงอารมณ์ของเร่ืองราวน้นั ๆ 4. ฟงั เพอ่ื การถาม-ตอบ เป็นการฟงั เพ่ือนำขอ้ มลู มาตอบคำถามตา่ งๆ 5. ฟังเพ่อื การบรรยาย เปน็ การฟังการบรรยายลักษณะของส่ิงตา่ งๆ สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการฟังของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป จุดมุ่งหมายในการฟังจะทำให้ผู้ฟังได้ฟัง อย่างมีทิศทาง และสามารถตอบสนองความต้องการในการฟังของตนเองได้ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพื่อใจความสำคัญ หรือการฟังเพ่อื ศึกษาโครงสร้างภาษาหรอื การศึกษาวัฒนธรรมเปน็ ตน้ 2.5 การสอนทักษะการฟัง การสอนทักษะการฟัง เป็นส่ิงท่ีผู้สอนจะต้องตระหนักถึงการจัดสถานการณ์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดเรียนรู้ โดย การกำหนดกิจกรรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ Underwood (1989: 30) ได้เสนอแนะไว้ว่า ผู้สอนจำเป็นที่ จะต้องแจ้งให้ผู้เรียนได้ทราบเบื้องตน้ เก่ียวกบั สง่ิ ท่ีจะได้รบั ฟังว่าจะได้ฟงั อะไรและตอ้ งเตรียมข้อมูลใดบ้างในการฟัง เพื่อนำไปสู่กระบวนการฟัง ในข้ันต่อไปตามลำดับการสอนทกั ษะการฟังตามแนวคิดของ Rixon (1986: 63-73) ได้ เสนอข้ันตอนการสอนทักษะการฟัง ประกอบดว้ ย 3 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. ข้ันก่อนการฟัง (Pre-listening) เป็นขั้นเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียน ให้ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับเร่ือง ที่กำหนดให้นักเรียนฟัง ท้ังด้านคำศัพท์และโครงสร้างทางภาษาท่ีเก่ียวข้องกับแบบฝึกโดยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจและเกิดความกระตือรือร้นท่ีจะฟังผ่านกิจกรรมท่ีมีความท้าทายตัวอย่างกิจกรรมท่ีควรนำมาใช้ เช่น การระดมสมอง การคาดการณ์ล่วงหน้า จากหัวข้อเร่ืองภาพประกอบ เป็นต้น เพื่อให้แนวคิดกว้างๆในการ วางเปา้ หมายการฟังให้กับผู้เรียน นอกจากน้ีครูอาจเตรยี มให้ผู้เรียนได้รู้ความหมายของคำศัพท์บางคำท่ีสำคญั และ โครงสร้างทางภาษาทจี่ ำเป็นตอ่ การทำความเขา้ ใจเนื้อเรื่อง 2. ขั้นระหว่างการฟัง (While-listening) เป็นข้ันท่ีให้นักเรียนฟังในส่ิงหรือเร่ืองที่กำหนดให้หลังจากที่ ได้รับข้อมูลพ้ืนฐานมาบ้างแล้ว โดยในช้ันเรียนจะให้นักเรียนฝึกฟังสิ่งหรือเรื่องที่กำหนดให้อย่างน้อย 2 คร้ัง โดย กิจกรรมจะแตกต่างกนั ไปตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ และลักษณะเน้ือหาท่ีกำหนดให้ ซ่งึ ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมท่ี มสี ื่อประกอบและง่ายตอ่ การทำกิจกรรม ตัวอยา่ งกจิ กรรม เช่น ฟังเพ่ือเลือกภาพตามโครงเรอ่ื ง ฟังเพื่อเติมคำลงใน ชอ่ งว่าง ฟังเพื่อตรวจสอบข้อความถูกหรือผิดตามบทท่ีฟัง หรือฟังเพ่ือปฏิบัติตามคำแนะนำหรือข้ันตอนต่างๆ เป็น ต้น ซ่ึงครูควรให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้นักเรียนได้ประเมินตนเองว่ามีความเข้าใจต่อเนื้อหาท่ีฟังมากน้อยเพียงใด โดยใช้วิธอี ภปิ รายข้อผดิ พลาดที่เกดิ ขน้ึ 3. ขั้นหลังการฟัง (Post-listening) เป็นขั้นการฟังคร้ังสุดท้ายซึ่งกิจกรรมอาจเป็นการทบทวนหรือ ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนว่ามีความถูกต้องมากน้อยเพียงใดหรือ อาจเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่นักเรียนนำ ข้อมูลที่ได้จากการฟังมาผสานกับความรู้ของตนเพ่ือประยุกต์ความรู้ที่ได้จากการฟังไปใช้ในกิจกรรมทักษะอ่ืนๆ หรอื นำไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั ได้
12 Field (2010) ไดเ้ สนอแนวทางการจดั กิจกรรมการสอนฟงั ดังน้ี 1. ข้ันก่อนฟัง (Pre-listening) เป็นการสอนคำศัพท์และสื่อทางภาษามีการกระตุ้นความต้ังใจใน การฟัง เพื่อช่วยลดปญั หาการออกเสียงคำบางประเภท เช่น ชอ่ื เฉพาะของสถานที่เป็นต้น และให้นักเรยี นทำความ เขา้ ใจรปู แบบของใบกจิ กรรมหรือคำสั่งของแบบทดสอบ 2. ข้ันฟัง (Listening) ครูควรเปิดให้นักเรียนฟัง 2 ครั้ง เว้นระยะคร้ัง 15 วินาที ระหว่างฟัง ครู ควรแนะนำให้นักเรียนจดบันทึก (taking note) หรือจดแบบย่อจากส่ิงท่ีได้ฟัง เมื่อพักหยุด 15 วินาที นักเรียน สามารถเตมิ คำตอบในใบกิจกรรมได้ และการฟงั รอบสอง นกั เรียนตรวจคำตอบอกี ครัง้ ให้สมบรู ณ์ 3. ข้ันตรวจคำตอบ (Checking) การตรวจคำตอบเป็นคู่ หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว จากนั้น อภิปรายเก่ียวกบั ความเข้าใจในเน้ือเรื่อง เพ่ือตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนให้เข้าใจตรงกัน หากมีข้อสงสัยให้ เปิดเสยี งอีกครงั้ แล้วชี้แจงใหช้ ัดเจน 4. ข้ันกิจกรรมติดตามผล (Follow-up exercise) เป็นการให้กิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทักษะ การฟัง เช่น การฟังเพ่ือท่ีจับใจความ การฟังเพ่ือจำแนกเสียงท่ีคล้ายกัน คำหรือวลีที่คล้ายคลึงกัน และสร้างให้ นักเรียนเกดิ ความต้ังใจและมีจดุ มุ่งหมายในการฟงั 5. ข้ันสอนคำศัพท์ (Vocabulary) เป็นการนำคำศัพท์ที่ได้ยินจากเน้ือเร่ืองท่ีฟังมาขยายเพ่ิมเติม คำศัพท์ทอี่ ยใู่ นขอบเขตเดยี วกัน หรอื มีความหมายเช่อื มโยงกัน โดยครชู ว่ ยนกั เรยี นในการเพ่ิมเตมิ ขอ้ มูล Hadfield et al. (1999) ไดเ้ สนอแนวทางในการจัดกจิ กรรมสอนการฟัง ดังน้ี 1. ขัน้ เตรียมความพร้อม (warm-up) เป็นการเตรยี มและกระตุ้นความน่าสนใจดว้ ยการให้แนวคิด กบั เร่ืองที่จะฟัง หรือให้คาดเดาส่ิงท่ีจะได้ฟัง ก่อนเร่ิมกิจกรรมควรมีการสอนคำศัพท์ยาก เพราะจำเป็นต่อการคาด เดาความหมาย ใช้เวลาเพียงส้ันๆ ประมาณ 5 นาที เป้าหมายคือ ให้นักเรียนสนใจในหัวข้อท่ีจะฟังและคุ้นเคยกับ คำศัพทใ์ นเรอ่ื งที่จะฟัง 2. ขั้นฟังและการตอบสนอง (Listen and respond) จัดประสบการณ์ให้นักเรียนได้ฟัง ภาษาอังกฤษในสำเนียงท่หี ลากหลายและสถานการณ์ท่ีแตกต่างกนั ในชวี ิตประจำวัน เพื่อส่งเสรมิ ให้นักเรียนคุ้นเคย กับการใช้ภาษาในชีวิตจริงนอกห้องเรียน ซ่ึงมีเทคนิคท่ีหลากหลายในการออกแบบกิจกรรม เช่น การฟังแล้วตอบ คำถาม การฟงั แล้ว แกข้ ้อมูลใหถ้ ูกต้อง การฟังแลว้ ทำตาม การฟังแลว้ วาดรูป การฟังแล้วคาดเดา การฟังแล้วจบั คู่ และการฟังแล้วเรยี งลำดับ เป็นต้น 3. ข้ันติดตามผล (follow-up) หลงั การตรวจสอบคำตอบของกจิ กรรมเสร็จครสู ามารถให้นักเรียน ทำกิจกรรมในทักษะอ่ืนๆ ได้ เช่น การพูดและการเขียน เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้การเช่ือมโยงทักษะ ต่างๆ ทางภาษาเขา้ ด้วยกนั สภุ ทั รา อกั ษรานุเคราะห์ (2534) ไดเ้ สนอแนวทางการสอนทกั ษะฟังไวด้ ังนี้ 1. การฟังคําเดี่ยว ฟังวลีและฟังประโยค ซ่ึงอาจทําได้โดยแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น ปฏิบัติตามคําส่งั วาดรูป เล่นเกม บอกทิศทางตามแผนที่ ทั้งน้ีอาจให้สังเกตการเน้นเสียงหนักเบาในคํา และระดับ เสยี งสงู ตำ่ ในประโยค 2. การฟังโดยพยายามเช่ือมโยงคําต่างๆ ที่ได้ยินเป็นกลุ่มที่มีความหมายเพ่ือให้จําง่าย เช่น พยายามสร้างจินตนาการจากคําเป็นภาพ ซ่ึงจะเป็นภาพที่สวยงามหรือเป็นภาพตลกก็ได้เพื่อให้จําส่ิงที่ฟังได้นาน ขึน้ และเกดิ ความสนใจทีจ่ ะฟงั ตอ่ ไป
13 3. การฟังเนื้อเรื่องส้ันๆ ซึ่งอาจมีคําศัพท์และโครงสร้างท่ีรู้จัก โดยผู้สอนให้สรุปเหตุการณ์ว่าใคร ทําอะไร ทาํ แล้วหรอื ยังไม่ไดท้ าํ หรือกําลงั ทําอยู่ หรือสรุปไดว้ า่ บคุ คล ในเร่ืองมีอาชพี อะไร เปน็ ตน้ 4. การฟังบทสนทนาหรือข้อความต่างๆ ควรเป็นบทสนทนาหรือข้อความท่ีอยู่ในชีวิตประจําวัน และเป็นธรรมชาติ คือมีความเร็วปกติ ผู้พูดมีทั้งหญิงและชายท่ีต่างวัย ต่างอาชีพสถานภาพทางสังคมและสําเนียง ต่างกันเพื่อให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับภาษาทใ่ี ชอ้ ยจู่ รงิ พรสวรรค์ สปี ้อ (2550) ได้แบง่ ขนั้ ตอนการจดั การเรยี นรู้การฟงั ไว3้ ขัน้ ตอน ดงั น้ี 1. ข้ันก่อนฟัง กิจกรรมก่อนการฟังควรจัดเพื่อกระตุ้นความสนใจในการฟังของผู้เรียนให้ง่ายขึ้น ซง่ึ แบ่งเปน็ 3 กลุม่ คือ 1) การเตรียมคำศัพท์ ได้แก่ การสอนศัพท์หรือสำนวนภาษาท่ีจำเป็นในการฟัง โดย จุดประสงค์ในการสอนคำศพั ท์ คือ ต้องการให้ผู้เรียนรคู้ วามหมายของคำศัพท์ เพ่ือท่ีจะฟงั ได้เขา้ ใจมากข้ึน 2) ทบทวนความรู้เดิมเก่ียวกับเรื่องที่จะฟัง ผู้สอนควรจัดกิจกรรมทบทวนความรู้เดิม เช่น ให้ทำแบบทดสอบหรือการตอบคำถามสน้ั ๆ 3) ให้ผู้เรียนทายว่าเนื้อหาท่ีผู้เรียนจะได้ฟังเก่ียวกับอะไร กิจกรรมท่ีจัดในขั้นน้ีเหมือนกับ ในข้นั ทบทวนความรู้ คือให้ทำแบบทดสอบส้ันๆ 2. ขั้นระหว่างฟัง กิจกรรมระหว่างการฟังเป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนทำระหว่างฟังหรือทันทีท่ีฟังจบ การจัดกจิ กรรมระหว่างฟัง ผู้สอนต้องระลึกถึงสง่ิ ตอ่ ไปน้ี 1) ควรจดั ให้ผเู้ รียนได้ฟัง 3 คร้ัง โดยครงั้ แรกให้ผู้เรยี นไดม้ ีการปรบั ตวั ใหค้ นุ้ เคยกับสำเนียง และความเร็วของผู้พดู โดยผู้สอนสามารถตงั้ คำถามเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจแบบกวา้ งๆ การฟังคร้ังท่ีสอง ควรให้ ผู้เรียนฟังเพอ่ื ระบรุ ายละเอียด และการฟงั ครัง้ ทส่ี าม ควรให้ผู้เรยี นไดฟ้ ังเพอื่ ตรวจคำตอบของตนเอง 2) การฟัง สามารถแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับแรก คือ การฟังแบบคร่าวๆ เพ่ือจับ ใจความสำคัญ (Extensive listening) และระดับสอง คือ การฟังเพ่ือหาหรือระบุรายละเอียด (Intensive listening) 3) ควรแบ่งออกเป็นตอนสัน้ ๆ หากตอ้ งการให้นักเรียนฟังข้อความท่ยี าวและควรตรวจสอบ ความเขา้ ใจทลี ะตอน 4) ควรให้นักเรียนอ่านและทำความเข้าใจกับคำส่ังก่อน ถ้านักเรียนต้องเขียนตอบใน ระหวา่ งทฟ่ี งั หรือเมอ่ื ฟังจบ 5) แบบฝกึ หดั สำหรบั การฟังควรมงี านเขยี นนอ้ ยทีส่ ดุ 6) ให้ผลปอ้ นกลบั ทันที 3. ข้ันหลังฟัง กิจกรรมหลังการฟังมี 2 แบบ คือ กจิ กรรมเกีย่ วกับปฏิกิริยาตอบสนองต่อข้อความ ทฟี่ ังและการคิดวิเคราะหล์ ักษณะทางภาษาท่ีปรากฏในข้อความ สำหรับกิจกรรมท่ีเกย่ี วกับปฏิกิริยาการตอบสนอง ต่อข้อความท่ีได้ฟังนั้น อาจจะให้ผู้เรียนได้อภิปรายเก่ียวกับเรื่องที่ได้ฟัง ทำผังความรู้ เขียนสรุป ตอบคำถาม เก่ียวกับเรื่องท่ีฟัง แสดงบทบาทสมมติ แสดงละครเป็นต้น ในด้านภาษา ผู้สอนอาจจะให้ทำแบบฝึกหัดเก่ียวกับ คำศัพท์ทไี่ ดฟ้ งั เช่น นำคำมาแตง่ ประโยคแตง่ เรอ่ื ง เป็นตน้
14 จากแนวคดิ ข้อเสนอแนะในการสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษ สรุปได้ว่า การสอนทกั ษะการฟังควรมีการ เลอื กใช้กิจกรรมทห่ี ลากหลายเหมาะสมกับจดุ ประสงค์ในแต่ละข้นั ตอนการสอนฟังซ่ึงประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ดงั น้ี 1. ข้ันก่อนฟัง (Pre-listening) ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเเรื่องที่จะฟัง โดยใช้รูปภาพหรือ ภาพนิ่ง เพื่อให้นักเรียนคาดเดาเรื่องราวที่เกดิ ข้ึนและใช้คำถามนำ (guided questions) เพื่อระดมสมองดึงความรู้ หรือประสบการณ์เดิมของนักเรียนท่ีเกี่ยวกับเรื่องราวออกมา รวมถึงการแนะนำคำศัพท์สำคัญ (key vocabulary) ท่ีจะเป็นประโยชน์ในการฟัง เพ่ือเป็นแนวทางให้นักเรยี นรับรู้ถึงจุดมุ่งหมายของการฟังเรื่องราวท่ีนักเรียนจะได้ฟัง ในข้ันตอ่ ไป 2. ข้ันฟัง (While-listening) เป็นข้ันรับฟังข้อมูล ตีความและทำความเข้าใจเรื่องราวซึ่งการฟังแบ่ง ออกเป็น 3 รอบ โดยมีกิจกรรมระหว่างการฟังเพ่ือให้นักเรียนฟังอย่างมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ รอบท่ี 1 นักเรียนฟังเนื้อ เรื่องโดยรวมและทำแบบฝึกบางส่วน รอบที่ 2 นักเรียนฟังและทำแบบฝึกจนเสร็จ และรอบที่ 3 นักเรียนฟังเน้ือ เรอื่ งอีกครั้งพร้อมดูคำบรรยาย ครูและนกั เรยี นร่วมกันตรวจสอบความถูกตอ้ งของแบบฝึก ตัวอย่างกิจกรรมในแบบ ฝึก เชน่ การตอบคำถามแบบถกู ผิด(True/False) คำตอบแบบตัวเลือก (Multiple choices) หรือการเติมคำ (Gap Filling) เปน็ ตน้ 3. ขนั้ หลังการฟงั (Post-listening) เป็นข้นั นำภาษาที่ไดจ้ ากการฟังไปใชใ้ นสถานการณ์จริงโดยให้นักเรยี น ได้มโี อกาสในการผลิตภาษาของตนเอง ผ่านกิจกรรมท่ีครมู อบหมาย ท้ังกิจกรรมเดี่ยวกิจกรรมคู่ หรือกิจกรรมกลุ่ม ตามความเหมาะสม เช่น การอภิปรายกลุ่ม (Discussion) การสรุปความ (Summarize) หรือการทำผังความคิด (Mind Mapping) เป็นตน้ 2.6 การวดั และประเมนิ ผลทักษะการฟงั การประเมินการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียน ควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ เนื้อหา รูปแบบ และเกณฑ์การ ประเมิน ซึ่งต้องสอดคล้องกับการเรียนการสอนทั้งเชิงเน้ือหาและเชิงโครงสร้างจากการศึกษาเรื่องการวัดและการ ประเมนิ การฟงั ภาษาอังกฤษ ดังนี้ Cohen (1994) กลา่ วถึง การประเมินทกั ษะการฟงั ภาษาอังกฤษไว้ ดังน้ี 1. ฟังเพื่อแยกเสียง (Discrimination of sounds) เป็นการทดสอบการฟังเพ่ือแยกแยะเสียงท่ี แตกต่างกัน เช่น แยกความหมายที่ต่างจากพวก อาจเป็นคำศัพท์หรือประโยคแยกความเหมือนหรือความต่างของ ประโยคทีไ่ ดฟ้ ัง และฟงั เพือ่ บง่ บอกความรู้สึกของน้ำเสยี งผู้พดู 2. ฟังเพ่ือแยกไวยากรณ์ (listening for grammatical distinctions) เป็นการฟังประโยคเพื่อ แยกแยะไวยากรณ์ เช่น แยกว่าเป็นเอกพจนห์ รือพหูพจน์ 3. ฟงั คำศพั ท์ (Listening for vocabulary) เปน็ การฟงั คำศพั ท์แล้วแสดงทา่ ทางตามคำสง่ั ตา่ งๆ 4. ฟงั เพื่อความเข้าใจ (Auditory comprehension) เป็นการฟังเพ่อื ทดสอบความเข้าใจ เช่น ฟัง แล้วตอบคำถาม เลือกคำตอบทีเ่ หมาะสมกบั บทสนทนา Anderson (1995: 137) แบ่งกระบวนการในการทดสอบสำหรับทักษะการฟังภาษาอังกฤษออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวัดระดับขั้นการรับรู้ (Perceptual process) เป็นการแปลงเสียงที่ได้ยินและรับรู้เสียง แล้วเกบ็ ในความจำระยะหน่ึง จากนนั้ จะถูกแทนที่ดว้ ยเสียงอ่ืน
15 2. การวัดระดับข้ันวิเคราะห์คำในประโยค (Parsing process) เป็นการวิเคราะห์โดยพิจารณา ความสัมพันธ์ของหน่วยต่างๆ ท่ีประกอบในประโยค การวิเคราะห์ขึ้นอยู่กบั ความสามารถทางภาษา และใช้ความรู้ ทว่ั ไปในเรอื่ งทฟี่ งั และรูปแบบการนำเสนอมาวิเคราะหภ์ าษา 3. การวัดระดับขั้นการนำไปใช้ (Utilization) เกิดขึ้นเม่ือผู้ฟังใช้ความรู้เดิมเชื่อมโยงกับส่ิงที่ฟัง จากนน้ั ตีความและโต้ตอบกับผูพ้ ูด Madsen (1983: 127-143) ไดเ้ สนอแนวคิดเกีย่ วกบั รปู แบบของการทดสอบการฟังไว้อย่างนา่ สนใจ ดังน้ี 1. แบบทดสอบท่ีมีการตอบสนองทีจ่ ํากดั (Limited response) แบบทดสอบประเภทนี้เหมาะสม กับผเู้ รียนระดบั เร่มิ ต้น ซ่งึ ประกอบด้วย 1.1) การจำแนกเสียง (Native-language response) การให้นักเรียนฟังแถบบันทึกเสียง ของเจ้าของภาษาและภาษาอ่ืนๆ แล้วให้นกั เรียนบอกความแตกต่าง ลักษณะข้อทดสอบเป็นแบบการเลือกคําตอบ แบบถกู -ผิด (True/False) ใช่หรอื ไมใ่ ช่ (Yes/No) 1.2) การใช้รูปภาพ (Picture cues) การให้ผู้เรียนฟังข้อความ บทสนทนาหรือเนื้อเรื่อง แล้วให้นักเรียนเลือกรูปภาพที่เหมาะสม นอกจากนี้ให้นักเรียนดูรูปภาพขณะฟังแล้วบอกวาสิ่งท่ีปรากฏอยู่ในภาพ นั้นถกู หรอื ผิด 1.3) การใช้กิจกรรมเพ่ือตอบสนอง (Task response) การปฏิบัติตามคำสั่งการวาดภาพ ระบายสจี ากขอ้ ความทไ่ี ดฟ้ ังการเขยี นเส้นทางในแผนที่ การเดนิ ทาง การจับคู่ภาพ 2. การใช้คําถามแบบเลือกตอบ (Multiple-Choice appropriate response) เป็นข้อสอบเพ่ือ วดั ความเขา้ ใจ เชน่ ใหน้ ักเรยี นสรปุ ประเด็นสำคัญ Flowerdew and Miller (2005: 202-203) ได้กล่าวถึง การทดสอบการฟังว่ามีรูปแบบที่ แตกต่างกัน ออกไป เช่น แบบทดสอบวัดความสามารถและจัดระดับความรู้ (Proficiency and Placement Test) เป็นการ ทดสอบเพื่อวัดและประเมินความสามารถทาง ด้านภาษาของผู้เรียนในวิชาเฉพาะเจาะจง ผู้สอนจึงต้องออกแบบ แบบทดสอบที่เหมาะสมกับการฟังแต่ละรูปแบบ มีคำถามที่หลากหลายเพ่ือให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการฟัง หลากหลายรปู แบบ ยกตัวอยา่ งดังตอ่ ไปน้ี 1. การเขียนตามคำบอก (Dictation) คือ วิธีการทดสอบที่ผู้สอนอ่านเรื่องที่มีความยาวประมาณ 150 คำให้ผู้เรียนฟังทีละประโยคหรือวลี ผู้เรียนเขียนประโยคหรือวลีที่ได้ยินซ่ึงการทดสอบประเภทน้ีนิยมใช้เป็น การทดสอบความสามารถทางภาษาของผู้เรยี น 2. การเขียนตามคำบอกแบบเติมคำ (Partial Dictation) คือ วิธีการทดสอบท่ีผู้เรียนได้รับ แบบทดสอบท่ีละเว้นข้อความส่วนใหญ่ไว้ แล้วฟังเรื่องหรือเนื้อหาฉบับเต็มเพ่ือให้ผู้เรียนเติมคำหรือวลี ลงใน ชอ่ งว่างใหไ้ ดเ้ นื้อเรือ่ งท่สี มบูรณ์ 3. การฟังเรื่องแล้วตอบคำถาม (Text with Questions) คือ วิธีการทดสอบโดยผู้เรียนฟังบท สนทนาท่ีผสู้ อนอ่านหรือการฟังจากแถบบนั ทึกเสียงแล้วทำแบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple-choices test) 4. การตอบสนองต่อประโยคที่ได้ยิน (Responding to Statement) คือ วธิ ีการทดสอบท่ีผู้เรียน ฟงั ประโยคหรือคำถามแล้วตอบสนองต่อส่ิงที่ได้ยิน โดยการเลือกคำหรือรูปภาพระบุว่าประโยคหรือคำถามที่ได้ฟัง น้ันถูกหรือผดิ หรือตอบดว้ ยคำตอบแบบส้ันๆ
16 5. การตอบคำถามถูก-ผิดแบบสามตัวเลือก (Three Choices True-False) คือ วิธีการทดสอบที่ พฒั นามาจากแบบทดสอบประเภทเลือกคำตอบแบบถูก-ผิด (True or false test) โดยเพิ่มการแสดงความคดิ เห็น หรือการเพมิ่ ตัวเลือก “ไมไ่ ด้ระบไุ ว”้ 6. การเติมคำจากการฟังแถบบันทึกเสียง (Recorded Cloze) คือวิธีการทดสอบท่ีให้ผู้เรียนฟัง เทปหรือแถบบันทึกเสียง ซ่ึงในทุกๆ คำท่ี 15 จะถูกแทนท่ีด้วยเสียงสัญญาณอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คำ หรือวลีจากเรื่องและ มกี ารหยดุ ระหว่างประโยค เพือ่ ให้ผูเ้ รียนเตมิ คำหรือวลใี หเ้ นื้อเรอ่ื งสมบูรณ์ 7. การส่งผ่านข้อมูล (Information Transfer) คอื วิธกี ารทดสอบท่ีให้ผู้เรียนฟังการบรรยาย หรือ บทสนทนาแล้วสร้างแผนผงั จากน้ันเตมิ แผนผงั หรือตารางในขณะทีฟ่ ัง Hubbard (2017) จาํ แนกการทดสอบการฟังภาษาอังกฤษไว้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. การทดสอบการฟังที่แท้จริง (Pure listening test) เป็นการทดสอบการฟังและการจําแนก เสียงของคําทไี่ ด้ยนิ เช่น 1.1) การทดสอบจาํ แนกเสยี งโดยใช้การเทียบเสียง 1.2) การทดสอบจาํ แนกเสียงโดยวัดการฟังเสยี งเนน้ หลัก (Stress) ในคำและประโยค 1.3) การทดสอบการฟงั ระดบั เสยี งสูงต่ำในประโยค 2. การทดสอบความเข้าใจในการฟัง (Listening comprehension test) เป็นการทดสอบความ เข้าใจในส่ิงทฟี่ งั ดังนี้ 2.1) ฟงั ข้อความท้ังหมด 1 คร้ัง จบแลว้ ใหฟ้ งั ประโยคที่อ่านครั้งเดียวแล้วใหผ้ ู้เรยี นเลือกว่า ถกู หรือผิดจากข้อความทฟี่ ัง 2.2) ฟังข้อความ 1 คร้งั จบแล้วมีคำถามและคำตอบท่ีเป็นตวั เลือก 2.3) ฟังคำถามแล้วตอบคำถามเกี่ยวกับข้อความนั้นๆ สำหรับผู้เริ่มเรียนคำถามอาจเป็น ภาษาแม่ 2.4) แจกแผนท่ีของสถานท่ี เช่น ถนน เมือง หรือรถไฟ พร้อมทั้งบอกจุดเริ่มต้นให้กับ ผู้เรยี น จากน้ันผูเ้ รียนฟังการบอกวิธเี ดินทางแล้วไปใหถ้ งึ จุดหมายปลายทาง แล้วระบุตำแหน่งของจดุ หมายไว้ 2.5) ฟังข้อมูลเก่ียวกับเรื่องราวต่างๆ เช่น อุณหภูมิ สภาพอากาศ หรือหมายเลขผู้เล่น นกั กีฬา แล้วกรอกขอ้ มลู หรือทำเครือ่ งหมายลงในตารางข้อมูล 2.6) สมมติให้ผู้เรียนอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ แล้วสรุปข้อความจากที่ได้ยินเช่น รถไฟขบวน ใดทจี่ ะออกจากสถานหี รือขบวนใดท่ีเราจะพลาด เปน็ ตน้ 2.7) การจดโน้ต ใช้กบั ผู้เรียนในระดบั สูง 2.8) การเขียนตามคำบอก เพ่ือดูว่าสามารถสะกดและใช้เครื่องหมายวรรคตอนได้ถูกต้อง หรอื ไม่ สรุปได้ว่า การทดสอบความสามารถทางภาษาในการฟังของนักเรียน ควรวัดทั้งความรู้ในระดับคำศัพท์ ตลอดจนถึงระดับความเข้าใจ โดยใช้กิจกรรมในการทดสอบท่ีหลากหลาย เช่น แบบทดสอบด้วยการตอบคำถาม แบบถกู ผิด (True/False) การเลือกคำตอบแบบหลายตวั เลือก (Multiple choices) หรือการเติมคำ (Gap Filling) ซึ่งแบบทดสอบควรสอดคล้องกบั สง่ิ ทีเ่ รยี นและเหมาะสมกบั ความสามารถของผู้เรยี น
17 3. การสร้างแบบฝกึ 3.1 ความหมายของแบบฝึก ในการพัฒนาการสอนทักษะการฟังให้กับผู้เรียน จำเป็นท่ีจะต้องใช้สื่อการสอนและกิจกรรมท่ีความ หลากหลาย เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและจดจ่อกับการเรียนรู้น้ัน แบบฝึกการฟังภาษาอังกฤษ เป็นส่ือ การสอนที่มีความสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทักษะการฟังอย่างมีเป้าหมาย และสามารถนำทักษะ ทางภาษาที่เรียนรู้มาใช้ทำแบบฝึกให้สมบูรณ์ อีกท้ังเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน ซึ่งมีนักการศึกษาด้านการพัฒนาแบบฝึกการฟังภาษาอังกฤษได้แนะนำเกี่ยวกับ ความหมายของแบบฝึกและแนวทางในการสร้างแบบฝึกไว้ ดงั นี้ ถวัลย์ มาศจรัส (2550) กล่าวว่า แบบฝึก หมายถึง นวัตกรรมท่ีใช้ในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ โดยมี ความหลากหลายและปริมาณเพียงพอ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสมที่สามารถตรวจสอบและ พัฒนาทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ สามารถนำนักเรียนไปสู่การสรุปความคิดรวบยอด และหลัก สำคัญของสาระการเรียนรู้ อกี ท้งั นักเรยี นสามารถตรวจสอบความเขา้ ใจในบทเรยี นด้วยตนเองได้ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2553) ได้อธิบายความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ดังน้ี แบบฝึกทักษะหรือ แบบฝึกหัด คือ สอ่ื การเรียนการสอนอยา่ งหน่ึงที่ใช้ฝกึ ทักษะให้กับผเู้ รยี นหลังจากเรียนจบเน้ือหาในช่วงหนึ่งๆ เพ่ือ ฝกึ ฝนใหเ้ กิดความรคู้ วามเข้าใจ รวมทั้งเกดิ ความชำนาญในเรอ่ื งนั้น ๆ อยา่ งกว้างขวางมากขึ้น รัชดาวลั ย์ ศรวี รกลุ (2558) กล่าววา่ แบบฝึกทกั ษะหรือแบบฝึก คือ สอื่ การเรียนการสอนชนดิ หนึ่งท่ใี ชฝ้ ึก ทักษะให้กับผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาในช่วงหน่ึงๆ เพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งเกิดความ ชำนาญในเรื่องนั้นๆ อย่างกว้างขวาง แบบฝึกหัดจึงสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อยในการท่ีช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับ ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจเร็วข้ึนชัดเจน กว้างขวางข้ึน ทำให้การสอนของครูและการเรียนของนักเรียน ประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพจึงนับว่าเป็นเคร่ืองมือที่สำคัญท่ีครูสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการเรียนการ สอนเพ่อื นำไปสู่จุดหมายได้ จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่า แบบฝึกน้ันมีความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้ฝึกฝน ทักษะทางภาษาจนเกิดความชำนาญและนำความรู้ท่ีได้จากการเรียนมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ การเรียนรู้ภาษา และการปฏิบัติกิจกรรมท่ีหลากหลายในแบบฝึกควบคู่กัน ทำให้นักเรียนเข้าใจภาษาท่ีเรียนรู้ได้มากขึ้น รวมถึงรู้ หลักการนำภาษาไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้จึงทำให้การเรียนบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งในการวิจัยครั้งน้ีเป็น การพัฒนาแบบฝึกสื่อยูทูป เพื่อนำมาเป็นสื่อในการพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษของนักเรียน 3.2 หลกั การและขัน้ ตอนสร้างแบบฝึก การสร้างแบบฝึก เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ จำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบท่ีสำคัญ ต่างๆ ทั้งด้านเน้ือหา ความสามารถของผู้เรียน ความพร้อมด้านส่ืออุปกรณ์การนำไปใช้รวมถึงการประเมินผลจาก การทำแบบฝึกของผู้เรียน ซงึ่ มนี กั การศึกษาและผเู้ ชี่ยวชาญไดเ้ สนอหลักการและขั้นตอนในการสรา้ งแบบฝึก ดังนี้ Seel and Glasgow (1990) ได้เสนอแนะไว้ว่า ในการจัดสถานการณ์ทางการเรียนการสอนนั้น สามารถ กำหนดขอบเขตเน้ือหาจากหลักสตู ร โดยกำหนดจากหน่วยการเรียนย่อยไปสู่หน่วยการเรียนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ในการออกแบบการสอนหรอื การสร้างแบบฝึกควรคำนงึ ถงึ องค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. เนื้อหาท่ีคดั เลือกมาสร้างแบบฝึกตอ้ งอิงจดุ ประสงคร์ ายวิชา
18 2. กลวธิ ที ่ใี ชใ้ นการสอนต้ององิ ทฤษฎแี ละผลการวิจยั ท่มี ผี ทู้ ำไว้แลว้ 3. การวัดต้องอิงพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ 4. รจู้ ักนำเทคโนโลยมี าใชป้ ระกอบเพื่อใหแ้ บบฝึกมปี ระสิทธิภาพและคุ้มคา่ นอกจากน้ี Seels and Glasgow (1990) ยังไดเ้ สนอแนะขนั้ ตอนในการสร้างแบบฝึกไวด้ ังนี้ 1. การวิเคราะห์ปัญหา กำหนดปัญหาที่ชัดเจน โดยรวบรวมปัญหาท่ีเกิดขึ้นในการสอนและจาก การประเมินความตอ้ งการของผู้เรียน 2. วิเคราะห์ภาระงาน โดยการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากทักษะความรู้และ พฤติกรรมของผู้เรียน ตลอดจนทัศนคตขิ องผ้เู รยี น เพือ่ หาแนวทางวิธกี ารสอน 3. กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมพร้อมท้ังเกณฑ์การประเมนิ ท่ี สอดคล้องตามจุดประสงค์ 4. กำหนดกลวิธีในการสอนในแตล่ ะขน้ั ตอนของการสอน 5. กำหนดรูปแบบการสอนและเลอื กสื่อทีจ่ ะนำมาสรา้ ง 6. วางแผนในการพัฒนาส่ือใหส้ อดคล้องกบั โครงการสอน 7. วางแผนและกำหนดการประเมินจุดประสงค์ย่อยระหว่างการสอนเพ่ือนำข้อมูลท่ีได้ไปใช้ใน การพิจารณาปรับปรุง 8. วางแผนข้นั ตอนในการใช้สอื่ ทสี่ ร้างข้นึ 9. ดำเนินการประเมนิ ผลข้ันสดุ ทา้ ย 10. นำแบบฝกึ ท่สี รา้ งข้นึ สมบรู ณ์ออกเผยแพร่ Butts (1974: 85) เสนอหลักการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะไว้ ดังนี้ 1. กำหนดโครงรา่ ง เกยี่ วกบั เน้อื หาและวัตถุประสงค์ 2. ศกึ ษางานและเอกสารท่เี กีย่ วขอ้ ง 3. เขยี นวัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรมและเนอ้ื หาทสี่ อดคล้อง 4. แจ้งวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมออกเปน็ กจิ กรรมยอ่ ยๆ โดยคำนงึ ถงึ ความเหมาะสมของผเู้ รียน 5. กำหนดอปุ กรณท์ ี่จะใช้ในกิจกรรมแต่ละตอนใหเ้ หมาะสมกบั แบบฝกึ 6. กำหนดเวลาท่ใี ช้ในแบบฝึกแต่ละตอนให้เหมาะสม 7. กำหนดการประเมนิ ผลวา่ จะประเมินผลกอ่ นเรยี นหรอื หลังเรียน สุนันทา สุนทรประเสรฐิ (2553) ได้กลา่ วถงึ ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบฝึกทักษะ ดงั น้ี 1. วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเริ่มจากการวิเคราะห์ ปัญหาที่เกิดข้นึ ในขณะทำการสอน การผ่านจุดประสงค์ของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรวมทง้ั การสังเกต พฤตกิ รรมท่ีไมพ่ งึ ประสงคข์ องผูเ้ รยี น 2. ศึกษารายละเอียดในหลกั สูตร เพือ่ วิเคราะหเ์ นอ้ื หาและจุดประสงคแ์ ตล่ ะกิจกรรม 3. พิจารณาแนวทางการแก้ปญั หาท่ีเกิดขน้ึ โดยการสร้างแบบฝึกทกั ษะและเลือกเนื้อหาในส่วนท่ี จะสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะนั้น กำหนดเป็นโครงเรอ่ื ง 4. ศึกษารปู แบบการฝกึ ทกั ษะ 5. ออกแบบชุดฝกึ ทกั ษะแตล่ ะชดุ ใหม้ รี ูปแบบท่หี ลากหลายนา่ สนใจ
19 6. ลงมือสร้างแบบฝึกทักษะในแต่ละชุดพร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนให้สอดคล้องกับ เน้ือหาและจุดประสงค์การเรยี นรู้ 7. ส่งใหผ้ ้เู ชี่ยวชาญตรวจสอบ 8. นำไปทดลองใช้บันทกึ เพอ่ื นำปรับปรงุ แกไ้ ขส่วนที่บกพร่อง 9. ปรับปรงุ จนมีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ทีก่ ำหนด 10. นำไปใชจ้ ริงและเผยแพร่ กล่าวโดยสรุป คือ ขั้นตอนการสร้างแบบฝึก ควรมีการวางโครงร่างของแบบฝึก ได้แก่ การกำหนดหัวข้อ เรื่อง จุดประสงค์ของแบบฝึก เนื้อหาสาระ กระบวนการสอนที่มกี ิจกรรมย่อยที่หลากหลาย เพ่ือนำมาใช้สรา้ งโครง ร่างเน้ือหา จากนั้นเลือกใช้อุปกรณ์หรอื สื่อท่ีน่าสนใจมาใช้รว่ มกับการปฏิบัติกิจกรรมในแบบฝึก สร้างแบบฝึกเสริม ให้สมบูรณแ์ ละนำเสนอต่อผู้เชยี่ วชาญประเมนิ ด้านความสอดคล้องของเน้ือหากิจกรรมและจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ท่ี กำหนดเพอ่ื หาประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ กอ่ นการนำไปใชจ้ รงิ 3.3 ประโยชนข์ องแบบฝึก Patty (1968: 469-472) ไดก้ ล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝกึ ต่อการเรียนรู้ไว้ 10 ประการ คือ 1. เปน็ สว่ นเพิ่มเติมหรอื เสรมิ สร้างในการเรียน เป็นอุปกรณ์การสอนที่ชว่ ยลดภาระของครู เพราะ แบบฝึกเป็นสง่ิ ท่จี ดั ทำขึน้ อยา่ งเปน็ ระบบ 2. ช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษาเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยนักเรียนในการฝึกทักษะทางการใช้ภาษาให้ดี ขนึ้ แตท่ ัง้ นี้จะต้องอาศัยการสง่ เสริมและเอาใจใสจ่ ากครูผูส้ อนด้วย 3. ชว่ ยในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากนกั เรียนที่มคี วามสามารถทางภาษาแตกตา่ ง กนั การให้นกั เรียนทำแบบฝกึ ที่เหมาะสมกบั ความสามารถจะช่วยนักเรยี นประสบผลสำเร็จมากขน้ึ 4. แบบฝึกช่วยเสรมิ ให้ทักษะทางภาษาคงทน ลักษณะการฝึกเพ่ือชว่ ยให้เกิดผลดังกล่าวได้แก่ ฝึก ทันทหี ลงั จากทนี่ กั เรยี นได้เรียนร้เู รือ่ งนั้นๆ ฝกึ ซ้ำหลายๆ ครัง้ เนน้ เฉพาะเรือ่ งทตี่ อ้ งการฝึก 5. แบบฝึกที่ใช้จะเป็นเครอ่ื งวดั ผลการเรียนหลังจากบทเรียนในแตล่ ะคร้ัง 6. แบบฝึกท่ีจดั ข้นึ เปน็ รูปเล่ม นกั เรยี นสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เปน็ แนวทางเพ่อื ทบทวนด้วยตนเอง ได้ต่อไป 7. การให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดช่วยให้ครูมองจุดเด่น หรือปัญหาต่างๆ ของนักเรียนได้ชัดเจนซึ่ง จะช่วยให้ครดู ำเนินการปรับปรุงแกไ้ ขปัญหาน้ันๆ ไดท้ นั ท่วงที 8. แบบฝึกที่จัดขน้ึ นอกจากที่มีในหนงั สือเรยี นแลว้ จะชว่ ยใหน้ กั เรียนได้ฝกึ ฝนอยา่ งเต็มที่ 9. แบบฝกึ ท่ีจัดพิมพ์เรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้ครูประหยัดแรงงานและเวลาในการท่ีจะต้องเตรียม แบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึกจากตำราเรียนหรือกระดานดำทำให้มีเวลาและ โอกาสไดฝ้ กึ ฝนทกั ษะต่างๆ ได้มากขึน้ 10. แบบฝึกช่วยประหยัดค่าใช้จา่ ย เพราะการจัดพิมพ์เปน็ รูปเล่มท่ีแนน่ อนลงทุนต่ำกว่าการท่ีจะ ใช้พิมพ์ลงกระดาษไขทุกครง้ั ไป นอกจากน้ียังมีประโยชน์ในการท่ีผู้เรียนสามารถบันทึกและมองเห็นความก้าวหน้า ของตนเองได้อยา่ งมรี ะบบและมีระเบยี บ วิมลรัตน์สุนทรโรจน์ (2547: 83-84) ได้สรุปเก่ียวกับประโยชน์ของแบบฝึกว่า แบบฝึกช่วยให้นักเรียน เข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งข้ึน เนื่องจากนักเรียนได้ฝึกทำงานด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องและสามารถประเมินผลงานของ
20 ตนเองได้ จงึ ทำให้มคี วามเชือ่ มนั่ ในตนเองมากขึ้น นอกจากน้ี แบบฝึกช่วยเสรมิ ให้ทักษะทางภาษาอยู่คงทน ซง่ึ การ ฝึกท่ีช่วยให้เกิดผลดังกล่าว คือ การฝึกทันทีหลังจากเรียน และครูสามารถทราบความเข้าใจของนักเรียนท่ีมีต่อ บทเรียนได้อีกท้ังยังสามารถนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนตามความสามารถของ นกั เรียนได้ โดยคำนึงถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ศกั รินทร์ คนหมน่ั (2558) กลา่ วว่า ประโยชน์ของแบบฝกึ คอื ชว่ ยเสริมทกั ษะและเป็นเคร่อื งมือในการฝึก ทักษะทางภาษาให้ดีข้ึน ทำให้ครูมองเห็นจุดเด่นและปัญหาต่างๆ ของนักเรียนได้ตลอดจนเห็นความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและความก้าวหน้าของนักเรียนอีกทั้งยังทำให้ครูและนักเรียนประหยัดเวลา ท่ีสำคัญ คือ ช่วยให้ นกั เรยี นเข้าใจยง่ิ ขนึ้ และสามารถทบทวนดว้ ยตนเอง กล่าวโดยสรุป แบบฝกึ มปี ระโยชน์ตอ่ ครูผ้สู อน ในด้านการสรา้ งส่ือที่จำเป็นในการสอนและการพัฒนาการ สอนให้เหมาะกับความสามารถของผู้เรียน รวมถึงการประเมินผลหลังการเรียนรู้ของนักเรียนจากแบบฝึก สำหรับ นักเรียน แบบฝึกช่วยให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมและเกิดความรู้ทางภาษาท่ีคงทน อีกท้ังให้นักเรียนได้มี โอกาสประเมนิ ความสามารถของตนเองจากการทำแบบฝึก 4. เอกสารเกยี่ วกับส่อื ยูทบู ยูทูบ จากการศึกษาของ (พัชรภรณ์ ไกรชุมพล, 2556) เร่ือง “ทัศนคติและพฤติกรรมการสื่อสารผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการสร้างชื่อเสียง กรณีศึกษายูทูบ (YouTube)” พบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มีทัศนคติต่อยูทูบ ในเชิงบวก โดยรู้สึกพึงพอใจและชื่นชอบการส่ือสารผ่านเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ยูทูบ เน่ืองจากมีพฤติกรรมการใช้ และมีการรับรู้เข้าใจต่อยูทูบจึงส่งผลให้มที ัศนคติท่ีดีอีกท้ังด้วยสภาพสังคมทเ่ี ร่ิมมีการเปลยี่ นแปลงควบคู่ไปกับการ สือ่ สารผ่านเครือขา่ ยสังคมออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจเรยี นรู้และมีการยอมรับยูทูบเพ่ิม มากขนึ้ โดยคนส่วนใหญม่ คี วามคาดหวงั ตอ่ ยูทบู วา่ สามารถเป็นเครือ่ งมือที่เอือ้ ต่อผลสำเร็จในดา้ นตา่ งๆ กลา่ วได้ ว่าสภาพสังคมและประสบการณ์เป็นส่วนหน่ึงในการส่งผลต่อทัศนคติของผู้บริโภคท่ีมีต่อยูทูบ และยังส่งผลให้มี ความกล้าที่จะแสดงออกมาในรูปแบบของพฤติกรรมมากขึน้ นอกจากนี้ งานวจิ ัยของ (วราภรณ์วนา พทิ ักษ์, 2550) กล่าววา่ อนิ เทอร์เน็ตเป็นระบบการสื่อสารท่ีมีลักษณะความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่มมีการแพร่กระจายสูง รวมถึง ลักษณะข้ามพรมแดนและการควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตควรเป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย และต้องมีมาตรการ จัดการการเผยแพร่เน้ือหาท่ีไม่เหมาะสมบนอินเทอร์เน็ตเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เข้ามาเป็นส่วนหน่ึงในวิถีชีวิต ของผู้คน ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่เจริญกา้ วหนา้ ส่งผลให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของคนในสังคมเปล่ียนแปลงไป โดยเฉพาะในดา้ นของเทคโนโลยีกบั การส่อื สารของผู้คนท่มี ีความสมั พันธก์ ันอย่างมาก รูปแบบการสอ่ื สารจึงผ่าน เครือข่ายออนไลน์เกือบทั้งสิ้น สอดคล้องกับงานวิจัยของ (สุวิมล อังควานิช, 2552) ที่กล่าวว่า เมื่อสังคม เปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลาและเพื่อกา้ วให้ทนั ต่อความเปลีย่ นแปลง ทำให้คนในสังคมมปี ฏิสัมพันธ์ด้วยภาษาและ สัญลักษณ์ท่ีแตกต่างหลากหลายมากขึ้น ส่ืออินเทอร์เน็ตเป็นสถาบันทางสังคมสถาบันหนึ่งที่มีบทบาทในการขัด เกลาทางสังคม เปน็ ชอ่ งทางการสื่อสารท่ีมกี ารเผยแพร่ขา่ วในปัจจบุ ันและในอนาคต ซึ่งยทู บู เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่มี สว่ นประกอบทงั้ ภาพเคลือ่ นไหวและเสียง ซ่งึ เป็นสือ่ ออนไลนท์ ี่ครบรปู แบบทสี่ ง่ ผลลัพท์ตอ่ สังคมอย่างมาก 4.1 แนวคิดเกี่ยวกบั ยูทูบ จากการศึกษางานวิจัยของ ศตพล จนั ทร์ณรงค์ (2558 อ้างใน อิศราวุฒิ กิจเจริญ, 2560) ท่ีกล่าวว่า ยูทูบ (YouTube) คือ เว็บไซต์โชเชียลมีเดีย (Social Media) ท่ีเป็นวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อหาท่ีมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็น
21 วิดีโอโฆษณา มิวสิควิดีโอ รายการโทรทัศน์ย้อนหลัง และคลิปวิดีโอจากบุคคลท่ัวไป โดยคลิปวิดีโอที่เผยแพร่บน เว็บไซต์ยูทูบ (YouTube) ส่วนมากจะเป็นคลิปวิดีโอท่ีถ่ายทำโดยประชาชนท่ัวไป และอัพโหลดโดยมีการแบ่ง ประเภทและจัดอันดับคลิปโดยง่าย อุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล (2555) กล่าวไว้ในหนังสือ Digital Commerce: Turn Buyers to Buyers: Turn Browsers to Buyers ว่า “ยูทูบ” ถือเป็นเสิร์ชเอนจินท่ีมีผู้ใช้งานจำนวนมาก และ ยูทูบได้เปิดโอกาสใหท้ ุกคนสามารถสร้างยูทูบชาแนลได้ พร้อมท้ังสามารถหารายไดจ้ ากวิดีโอท่ีผลิตก่อให้เกิดความ หลากหลายในเน้ือหาที่ช่วยตอบโจทย์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ท่ีใช้เวลาอยู่กับโซเชียลมีเดียค่อนข้างมาก และดูวิดีโอ ออนไลน์มากกว่าทีวี ทำให้ยูทูบกลายเป็น The “Third Wave of Media” ต่อจากทีวี เน็ตเวิร์ค และเคเบิล เนต็ เวิร์คแลว้ 4.2 ประเภทของวิดีโอยูทูบที่ไดร้ บั ความนิยม มีเดียคิก (Mediakix, 2016) ผู้นำด้าน Influencer Marketing Agency ผู้เช่ือมต่อแบรนด์ระดับโลกกับ ผู้คนในโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งในด้านการใช้ผู้ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิง (Influencer Marketing) และผู้ทรง อิทธิพลในยูทูบ (YouTube Influencers) รวมไปถึงเหล่าบล็อกเกอร์ที่มีสไตล์แตกต่าง จนกลายเป็นที่รู้จักใน โซเชียลมเี ดยี ไดอ้ ธิบายความหมายของวิดโี อยอดนิยมท่มี ีผูใ้ ช้งานโซเชียลมเี ดยี ท่วั โลกมากทีส่ ดุ 13 ประเภท ดังนี้ 1) วิดีโอรีวิวผลิตภัณฑ์ (Product Reviews Videos) สำหรบั การรีววิ ผลิตภณั ฑ์ ผ้ทู รงอทิ ธพิ ลในยู ทบู จะเป็นผู้ทำการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ตลอดจนน าผลลัพธ์จากการใช้ผลติ ภัณฑ์หรือบรกิ ารบอกต่อผ้ตู ิดตาม ผู้ชม วดิ ีโอในยูทูบ เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักใช้ยูทูบในการหาข้อมูลต่างๆ ดังนน้ั จึงทำใหว้ ิดีโอทเ่ี กย่ี วกับการรีวิวผลติ ภัณฑ์ หรอื บริการจะสามารถทำให้ผู้ชมเกดิ การตัดสินใจตามผู้ทรงอิทธิพลได้มากขึ้นในกูเกิลโน๊ต (Google Note) บอกว่า ผู้บริโภคร้อยละ 62 จะดูรีวิววิดีโอสินคา้ ก่อนการตดั สนิ ใจซื้อ และร้อยละ 52 ของผู้ซ้อื สินค้า มกั จะชอบซื้อสินคา้ ที่ ไดร้ บั การรวี วิ ผา่ นยูทูบ 2) วิดีโอประเภทแนะน าวธิ ีการ (How-to Videos) โดยธรรมชาติของการเรียนรู้ วิดโี อในยูทูบจะ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ทักษะพิเศษได้ เพราะเนื้อหาประเภทนี้จะสามารถดูได้ตลอดเวลาวิดีโอที่แนะนำวิธีการ เกี่ยวกับความสวยงาม การท่องเที่ยว และยานยนต์ ของช่องรายการของยูทูบเบอร์ อ้างอิงจากผลสำรวจของ Google พบว่า มผี คู้ น้ หาคยี เ์ วริ ด์ เกีย่ วกบั วิดีโอแนะนำ เคลด็ ลับ เพ่ิมมากขนึ้ ร้อยละ 70 ในปตี ่อปี 3) วิดีโอประเภทไดอารี (Vlogs) วล็อค (Vlogs) หรือ วีดีโอวล็อค คือ การถ่ายทอดเรื่องราว เกยี่ วกบั ชวี ิตประจำวัน ทุกวัน ตามวิถีชีวิตของยูทูบเบอร์ ในขณะที่ความถี่ของการลงวิดีโอวลอ็ คอาจจะสามารถทำ ได้ทุกวัน ซึ่งอาจจะเป็นการถ่ายทอดวิถีชีวิตปกติ หรือเร่ืองราวท่ีไม่ได้ต้ังใจให้เกิดรวมไปถึงการสร้างหัวข้อพิเศษ ใหมๆ่ ในการถ่ายถอดลักษณะจะเหมือนรายการโทรทัศน์ ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมและสามารถดึงดูดผู้ชมได้หลาย ล้านคน และมกี ารตดิ ตามอย่างสม่ำเสมอ เพือ่ รับชม \"วลอ็ คสว่ นตวั \" ทีพ่ วกเขาชนื่ ชอบ 4) วิดีโอเกี่ยวกับเกมส์ (Gaming Videos) ถ้าจะพูดถึงวิดีโอที่เกี่ยวกับเกมส์ในยูทูบ จะเป็น ลักษณะของความชอบแตกต่างกันตามไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรม วิดีโอเกมส์จะรวมไปถึงการเล่นเกมส์ใหม่ เทคนิค การเล่น และการรีวิวประสบการทำเควสของเกมส์ต่างๆ ช่องรายการยูทูบประเภทเกมส์ถือเป็นหนึ่งช่องที่ได้รับ ความนิยมเป็นอย่างมากในยูทูบ ประกอบกับยูทูบเบอร์ หรอื ผู้ทำวิดีโอเก่ียวกับเกมส์ สามารถสร้างรายได้จากการมี ผู้ตดิ ตามไดห้ ลายล้าน และสามารถสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มของผูบ้ รโิ ภคในระดบั สูงมากอกี ด้วย 5) วิดีโอประเภทตลก (Comedy/Skit Videos) วิดีโอตลกเป็นวิดีโออีกประเภทหนึ่งได้รับความ นิยมและมีผู้สนใจรบั ชมเป็นจำนวนมากในยทู บู จะเป็นการท าวดิ ีโอในลกั ษณะของการนำเสนอสร้างสรรคเ์ นื้อหาท่ี
22 มีความสนุกสนาน ซึ่งยูทูบเบอร์ท่ีทำวิดีโอประเภทตลก และสามารถสร้างยอดผู้ติดตามได้เป็นหลักล้าน สามารถ กลายเปน็ ผทู้ ม่ี ชี ่อื เสียงและมคี นรู้จกั มากกวา่ ดาราเสยี อีก 6) วดิ ีโออวดของ (Haul Videos) วิดโี อเป็นเภทน้จี ะเป็นวิดีโอท่ียูทูบเบอร์จะทำการโชว์ผลติ ภัณฑ์ ส่วนใหญ่เป็น เครื่องสำอาง เส้ือผ้า หรือของใช้ภายในบ้าน หรือเป็นการโชว์ของหลังจากการชอปปิงก็ได้ โดย ธรรมชาติของวิดีโออวดของหรือผลิตภัณฑ์จะเลือกสิ่งที่อวดเป็นสิ่งท่ีพิเศษ เป็นของแบรนด์เนม รวมไปถึงจะเกี่ยว โยงไปถึงการถูกจ้างเพื่อโฆษณาด้วย เพราะว่ายูทูบเบอร์ หรือผู้นำเสนอ จะทำการออกแบบวิธีการนำเสนอ ผลิตภัณฑ์ให้มีความต่ืนเต้นมากขึ้น มีการให้ข้อมูลกับผู้ชม มีการใช้อ้างอิงถึงเทรนด์ กระแสความนิยมด้วย วิดีโอ อวดของกลายเป็นวิดโี อทนี่ ยิ มใช้กับช่องรายการความงาม แฟชัน และไลฟส์ ไตล์ รวมไปถงึ ผู้ใชม้ ักเป็นผทู้ รงอิทธพิ ล หรอื แบรนด์ต่างๆ 7) วิดีโอมีม (MEMS/TAGS Videos) การทำวดิ ีโอมุกขำขัน โดยการหยิบเอาส่ิงทีก่ ำลังเปน็ กระแส ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวกับคน ส่ิงของ การ์ตูน ภาพยนต์ หรือเรื่องบางอย่างท่ีแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสังคม อินเทอร์เน็ตมาทำเป็นวิดีโอให้กลายเป็นท่ีนิยมในยูทูบ อินสตาแกรม หรือเฟซบุ๊กเป็นที่นิยมในโซเชียลมเี ดีย ทำให้ เกดิ กระแสบอกตอ่ จากช่องทางโซเชียลหนงึ่ ไปอกี โซเชยี ลหน่ึง หรือหลายโซเชยี ลสำหรับในยทู ูบ วิดีโอมมี มกั ถูกผลิต จากยูทูบเบอร์ท่ีเป็นผู้สร้างสรรค์ด้านการผลิตวิดีโอด้วยตัวเอง โดยอาจมีการสร้างให้เกิด คำส้ันๆ (tag) หรือชื่อ วดิ ีโอ ทส่ี รา้ งใหเ้ กดิ ความนยิ ม 8) วิดีโอประเภทให้คำปรึกษา (Favorites/Best Of) วิดีโอประเภทน้ีจะแตกต่างจากวิดีโอ ประเภทรีวิว หรืออวดของ เพราะวิดีโอประเภทน้ีจะ เป็นการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ชอบ หรือดีจริง ๆ เพื่อแบ่งปัน ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ประสบการณ์การใช้ให้กับผู้ติดตามเท่าน้ัน หลายคนปรับเปล่ียนสไตล์ของตนเองเพ่ือนให้ กลายเป็นยูทูบเบอร์ หรือคนรู้จักในยูทูบ เพื่อท่ีจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการควบคุมกระ บวกการตัดสินใจซ้อื เลยทีเดยี ว อาทเิ ช่น อะไรทคี่ วรใส่ สถานท่ีท่ีควรไปในวนั หยดุ ซง่ึ คำแนะนำตา่ งๆ สามารถสรา้ ง ให้ผชู้ มหรือผตู้ ิดตามเกดิ ความไวว้ างใจและทำตามได้ 9) วิดีโอเกี่ยวกับการศึกษา (Educational Videos) วิดีโอเกี่ยวกับการศึกษาจะเน้นการให้ข้อมูล การกระตุ้นความสนใจ รวมไปถึงวีดีโอแนวบันเทิง โดยวิดีโอเหล่าน้ีจะมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะซึ่งอาจเป็นเด็กเล็ก หรือกลุ่มนักเรียน เน่ืองจากวิดีโอเก่ียวกับการศึกษาในยูทูบจะสามารถเก็บข้อมูลต่างๆ อาทิเช่น คำถาม คำตอบ หรอื หวั ข้อท่ตี อ้ งมีการอธิบาย เนอ้ื หาประเภทนีจ้ ะมผี ู้ใชง้ านเขา้ ชมในจำนวนท่ีมาก และมกี ารใช้งานแบบซ้ำไปมา 10) วิดีโอแกะกล่องของใหม่ (Unboxing Videos) เป็นวิดีโอที่ถูกสร้างสรรค์วิธีการนำเสนอของ ยทู ูบเบอร์แตล่ ะคน เพื่อสรา้ งใหเ้ หน็ ถึงความต่ืนเต้น ในขณะเปิดกล่องผลติ ภัณฑใ์ หม่เป็นคร้งั แรกโดยที่ผู้ติดตามจะ รสู้ ึกมีประสบการณ์ร่วมกับผลิตภัณฑ์ใหม่น้ันด้วย ปัจจุบันกลายเป็นปรากฎการทางวัฒนธรรมไปแล้ว ที่วิดีโอแกะ กล่องใหม่ในยูทูบจะสามารถท าให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างรวมเร็วและกลายเป็นช่องทางท่ีแบรนด์ต่างๆ จะ สามารถสรา้ งการรบั รู้ และความชัดเจนเก่ียวกบั ผลติ ภณั ฑ์หรือบริการใหมๆ่ ส่กู ลุม่ ผู้บริโภคอีกช่องทางหนง่ึ 11) วดิ โี อประเภทถาม-ตอบ (Q&A Videos) วดิ โี อประเภทถาม-ตอบจะสร้างใหผ้ ู้ชมหรอื ผู้ติดตาม ได้มีส่วนร่วมในวิดีโอโดยยูทูบเบอร์จะเป็นผู้สร้างคำถามในวิดีโอ และผู้ชมหรือผู้ติดตามก็จะสามารถตอบคำตอบ ของตนได้ท่ีช่องใต้วิดีโอ การเข้าถึงท่ีแสนจะยากสำหรับผู้มีชื่อเสียงหรือดาราในยุคเดิม ๆ (Traditional Celebrities) ทำให้เข้าถึงยาก แต่ยูทูบเบอร์ในยุคปัจจุบันที่มีจำนวนผู้ติดตามสามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชม
23 และผู้ติดตามได้โดยตรง วิดีโอประเภทถาม-ตอบ จะเข้ามารองรับด้านการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มผู้ชม ผู้ติดตามใน โซเชียลมีเดยี รไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดี 12) วิดีโอของสะสม (Collection Videos) ในวิดีโอประเภทของสะสม ยูทบู เบอร์จะนำเสนอของ สะสมท่ีสะสมมาเป็นเวลานาให้กับผู้ชม หรือผู้ติดตามได้ดู ซ่ึงของสะสมน้ันอาจจะเป็นกลุ่มเครื่องสำอางค์ อุปกรณ์ เทคโนโลยีหรืออาจเปน็ ผลิตภัณฑภ์ ายในบ้าน หรือเสื้อผา้ ก็ได้ แมว้ า่ ในยูทบู จะมีวีดีโอประเภทของสะสมจำนวนมาก เหมือนกับวดิ ีโอประเภทรีวิวก็ตาม แตว่ ิดีโอประเภทของสะสมจะเนน้ การนำเสนอเนอื้ หาท่ีแสดงให้ผ้ตู ิดตาม ไดเ้ ห็น ถึงความชอบท่ีแทจ้ ริงของยทู ูบเบอรม์ ากกว่า 13) วิดีโอเล่นพิเรนทร์ (Prank Videos) วิดีโอประเภทน้ีมีลักษณะคล้ายกับวิดีโอแกล้งคนใน โทรทัศน์สมัยก่อน โดยวิดีโอเล่นพิเรนทร์ในยูทูบจะเน้นนำเสนอเร่ืองตลก และการเล่นกับคนในสังคมโดยอาจจะ เป็นการหยอกลอ้ เพ่ือน คนในครอบครัว หรือคนที่ไม่รู้จัก วิดีโอเลน่ พิเรนทร์กลายเป็นท่ีนยิ มในปัจจุบันมียูทบู เบอร์ หลายคนที่ทำวิดีโอประเภทน้ีและมีผู้ติดตามจำนวนมาก โดยเน้ือหาวิดีโอเหล่าน้ีเน้นการเข้าถึงผู้ชมเพ่ือต้องการ ยอดกดถกู ใจ (like) และบอกต่อ (share) 4.3 ประโยชน์และข้อจำกัด การประยกุ ต์ใชง้ าน YouTube เพื่อการเรียนการสอน YouTube เป็นเว็บไซต์ท่ีให้บริการแลกเปลย่ี นภาพวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรี โดยนำเทคโนโลยีของ Adobe Flash มาใชใ้ นการแสดงภาพวดิ โี อ ซึ่งยูทูบมีนโนบายไมใ่ ห้อัปโหลดคลปิ ท่มี ีภาพโปเ๊ ปลือยและคลปิ ทีม่ ลี ิขสิทธิ์ นอก เสียจากเจ้าของลิขสิทธิไ์ ด้อัปโหลดเองเมื่อสมคั รสมาชกิ แล้วผู้ใช้จะสามารถใสภ่ าพวดิ ีโอเข้าไป แบ่งปันภาพวดิ ีโอให้ คนอ่ืนดูด้วยแต่หากไม่ได้สมัครสมาชิกก็สามารถเข้าไปเปิดดูภาพวิดีโอที่ผู้ใช้คนอ่ืน ๆ ใส่ไว้ใน YouTube ได้แม้จะ ก่อตั้งได้เพียงไม่นาน YouTube (ก่อต้ังขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2005) YouTube เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็นท่ีรู้จักกันแพร่หลายและได้รับความนิยมท่ัวโลก ต่อมาปีค.ศ.2006 กูเก้ิลซื้อยูทูบ ตอนน้ียูทูบจึงกลายเป็นส่วน หนึ่งของกูเกลิ้ แลว้ แต่ด้วยตัวยูทบู เองที่มีเน้ือหามากมายเป็นแสนชน้ิ ทั้งสอ่ื และเครือ่ งมือการเรียนรู้ดีๆท่สี ามารถใช้ เป็นสื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีสื่อประเภทท่ีสุ่มเส่ียง และทำให้เด็กและเยาวชน ไขว้เขวไปได้ ท้ังจากมิวสิควีดีโอการ์ตูน และไม่ได้ใช้เป็นช่องทางเพ่ือการเรียนรู้สึกทีเดียว จึงเป็นท่ีมาของการเปิด หน้าการศึกษาล่าสุดเของยูทูบขึ้นที่เรียกว่า“ยูทูบสำหรับโรงเรียน”หรือ (YouTube for Schools) เป็นช่อง ทางการเรียนรู้ที่จัดตั้งข้ึน โดยจะมีเน้ือแต่เรื่องการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว โดยได้ร่วมมือกับภาคีด้านการศึกษา กว่า600แห่งเช่น TED, Smithsonian เว็บไซด์ชื่อดังเร่ืองท่ีได้รวบรวมแหล่งเรียนรู้และนิทรรศการต่าง ๆ เอาไว้ Steve Spangler แหล่งผลิตเกมและของเล่นเพ่ือการพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ หรือ Numberphile ท่ีสอน คณติ ศาสตรอ์ อนไลน์ เปน็ ตน้ นอกจากน้ีเพ่ือใหง้ า่ ยตอ่ การค้นหา ยทู ูบได้ทำงานร่วมกับครูในการจัดแบง่ เน้ือหากว่า 300 ชิน้ ออกเป็นรายวิชา และระดับชัน้ โดยสื่อเหล่าน้ียทู บู เชือ่ ว่าจะชว่ ยเสริมการเรียนรใู้ นห้องเรยี นได้เป็นอย่างดี ทำให้ห้องเรยี นสนุกสนานขึน้ และเดก็ ๆ กจ็ ะตงั้ ใจเรียนมากย่งิ ขน้ึ 4.4 ประโยชนข์ อง YouTube สำหรบั โรงเรยี น 1. กวา้ งขวางครอบคลุม YouTube สำหรับโรงเรียนเปดิ โอกาสใหโ้ รงเรยี นต่าง ๆ เข้าถึงวิดโี อเพ่ือ การศึกษาฟรีนับแสนรายการจาก YouTube EDU วิดีโอเหล่านี้มาจากองค์กรที่มีช่ือเสียงต่าง ๆ เช่น Stanford, PBS และ TED รวมท้ังจากพันธมติ รทกี่ ำลงั ไดร้ บั ความนิยมของ YouTube ซง่ึ มียอดผ้ชู มนับลา้ น ๆ คน เช่น Khan Academy, Steve Spangler Science และ Numberphile
24 2. ปรับแก้ได้สามารถกำหนดค่าเนื้อหาที่ดูได้ในโรงเรียนของคุณ โรงเรียนท้ังหมดจะได้รับสิทธิ์ เข้าถึงเนื้อหา YouTube EDU ทั้งหมด แต่ครูและผู้ดูแลระบบอาจสร้างเพลย์ลิสต์วิดีโอท่ีดูได้เฉพาะในเครือข่าย ของโรงเรยี นเทา่ นนั้ ได้เชน่ กนั 3. เหมาะสมสำหรับโรงเรียนผู้บริหารโรงเรียนและครูสามารถลงชื่อเข้าใช้และดูวิดีโอใด ๆ ก็ได้ แต่นักเรียนจะไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้และจะดูได้เฉพาะวิดีโอ YouTube EDU และวิดีโอท่ีโรงเรียนได้เพ่ิมเข้าไป เท่าน้ัน ความคิดเห็นและวิดีโอท่ีเก่ียวข้องทั้งหมดจะถูกปิดใช้งานและการค้นหาจะจำกัดเฉพาะวิดีโอ YouTube EDU เท่านั้น 4. เป็นมิตรกับครู YouTube.com/ Teachers มีเพลย์ลิสต์วิดีโอนับร้อยรายการที่ได้มาตรฐาน การศึกษาทั่วไป และจัดระเบียบตามหัวเร่ืองและระดับช้ัน เพลย์ลิสต์เหล่าน้ีสร้างข้ึนโดยครูเพ่ือเพ่ือนครูด้วยกัน ดังน้นั คณุ จึงมีเวลาในการสอนมากขึ้นและใชเ้ วลาคน้ หาน้อยลง 4.5 ข้อจำกดั 1.อาจมกี ารละเมดิ ลิขสทิ ธ์ิ 2.อาจมกี ารกระทำท่ไี ม่ดี (โพสต์เมอื่ 3rd February 2014 โดย สัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “ส่ือสงั คมออนไลน์กับการเรียนการสอน”) 5. งานวิจยั ที่เกย่ี วขอ้ ง 5.1 งานวจิ ยั ในประเทศ มยุเรศ ใยบัวเทศ (2558, น. 293-301) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยการ เรียนรู้ภาษาตามกระบวนการแบบเมตาคอกนิทีฟเพ่ือเสริมสร้างความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า 1) ระดับความมีปัญหาในการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียน มัธยมศึกษาตอนปลายโดยเฉล่ียอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.55 ปัญหาการฟังท่ีนักเรียนมีอยู่ในระดับมาก สามอันดับแรก ได้แก่ ไม่รู้คำศัพท์ บทฟังมีความยาวมากและไม่มีสมาธิในการฟัง ตามล้าดับ 2) รูปแบบการเรียน การสอนด้วยคอมพวิ เตอร์ช่วยการเรยี นรู้ภาษาตามกระบวนการแบบเมตาคอกนิทีฟเพื่อเสริมสร้างความสามารถใน การฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษา กระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟ เน้ือหา ปฏิสัมพันธ์ทางการเรียนและระบบ บริหารการเรียนรู้ และขั้นตอน 11 ข้ันตอน ได้แก่ (1) เตรียมความพร้อมของผู้เรียน (2) คาดการณ์ก่อนฟัง (3) แนะนำศัพท์ (4) ฟังและตรวจสอบด้วยตนเอง (5) ฟังและตรวจสอบการฟังกับเพ่ือน (6) ฟังและตรวจสอบกับ สคริปต์ (7) ฝึกทำแบบฝึกหัดการฟัง (8) ฝึกฝนด้วยตนเองตามผ่านคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษาตาม กระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟ 8.0) ฝึกฝนด้วยตนเองตามอัธยาศัย 8.1) เตรียมคามพร้อมของผู้เรียน 8.2) คาดการณก์ ่อนฟัง 8.3) แนะนำศัพท์ 8.4) ฟังและตรวจสอบดว้ ยตนเอง 8.5) ฟังและตรวจสอบกบั สคริปต์ 8.6) ฝึก ทำแบบฝึกหัดการฟัง (9) สะท้อนคิด (10) ฟังตามอัธยาศัย (11) ทดสอบประจ้าหน่วย (3) ผลการเปรียบเทียบ คะแนนความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนท่ีเรยี นดว้ ยรปู แบบการเรยี นการสอนด้วย คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษาตามกระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟมีค่าเฉล่ียของคะแนนความสามารถใน การฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าเฉลี่ย ของคะแนนพัฒนาการของความสามารในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจคิดเป็นร้อยละ 16.09 (4) ผล
25 การศึกษาพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษาในรูปแบบการเรียนการสอน ฯ ที่พัฒนาข้ึน พบว่า ผู้เรียนท่ีมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนระดับสูงได้รับประโยชน์สูงสุดจากคลิปวีดิทัศน์และคลิปเสียง ผู้เรยี นระดับกลาง ได้รับประโยชน์สูงสุดจากบัตรคำออนไลน์ ผู้เรียนระดับต่ำได้รับประโยชน์ระดับมากจากคลิปวีดิทัศน์และบัตรคำ ออนไลน์ ผู้เรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับสูงและระดับต่ำมีความถ่ีในการใช้งานบัตรค้าออนไลน์มาก ผู้เรียน ระดับกลางมีความถี่ในการใช้งานแบบฝกึ หัดออนไลนม์ าก ประถม ภักดี (2559, น. 53) ได้ศึกษากลวิธีการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า (1) จากการสำรวจความช่ืนชอบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีนำกลวิธีท้ัง 3 วิธีไป ใช้ในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการเรียนพบว่า กลวิธีด้านความรู้ความคิดได้รับความนิยมมาก ท่ีสุด ตามด้วยกลวิธีด้านองค์ความรู้และกลวิธีด้านสังคม (2) จากผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่ากลวิธีท้ัง 3 วิธีท่ี นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 นำไปใช้ในการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือเพม่ิ ประสิทธิภาพในการเรียนนัน้ มีความแตกตา่ ง กนั อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 จากงานวิจัยในประเทศข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพ่อื ความเข้าใจให้ มีประสิทธิภาพนั้น ผู้เรียนและผู้สอนสามารถใช้ส่ือการฟังท่ีหลากหลายและที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การฟัง เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ ภาพยนตร์แบบฝึกการฟัง และสื่อประสมต่าง ๆ ซ่ึงเป็นส่ือเทคโนโลยีท่ี ทันสมัยและสะดวก ซ่ึงสามารถช่วยในการพัฒนาทักษะการฟังให้มีประสิทธิภาพเพ่ือนำไปใช้ในการส่ือสารใน ชวี ิตประจำวนั ได้ 5.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ Hamouda (2013, p. 150-151) ศึกษาปัญหาของการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจในห้องเรียนของ นักเรียนซาอุดีอาระเบีย กล่มุ ตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรยี นวชิ าเอกภาษาอังกฤษช้ันปที ่ี 1 มหาวิทยาลยั Qassim ท่ีเรียนวิชาการฟังภาษาอังกฤษ จ้านวน 60 คน ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาของการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนซาอุดีอาระเบีย ได้แก่ การออกเสียง ส้าเนียง จังหวะการออกเสียง ค้าศัพท์ท่ีไม่จ้าเป็น การออก เสียงส้าเนียงท่ีแตกต่างกันของผู้พูด ขาดสมาธิในการฟัง และสื่อท่ีใช้ในการบันทึกเสียงไม่ดี เม่ือผู้สอนเข้าใจปัญหา ในการเรียนของผู้เรียนแล้ว ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนพัฒนากระบวนการข้ันตอนในการฟังของผู้เรียนให้มี ประสิทธิภาพและพัฒนาความสามารถในการฟังให้ดีข้ึนโดยการปรับปรุงและพัฒนาส่ือในการฟังและเทคนิคการ สอนในหอ้ งเรยี น Rokni and Ataee (2014, p. 722-723) ศึกษาผลของการใช้ภาพยนตร์ที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษใน การการพัฒนาทักษะการฟังเพือ่ ความเขา้ ใจของนกั ศึกษาที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาตา่ งประเทศ กลุ่มตวั อยา่ งที่ ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาอิหร่านระดับกลาง จ้านวน 45 คน มหาวิทยาลัย Golestan ซ่ึงแบ่งเป็นกลุ่มทดลองท่ี ใช้ภาพยนตร์ที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษ และ กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช้ภาพยนตร์ท่ีมีคำบรรยายภาษาอังกฤษ ผลการวจิ ัยพบว่า การชมภาพยนตรท์ ่มี ีคำบรรยายใตภ้ าพเป็นภาษาองั กฤษเป็นวิธกี ารท่ีดใี นการชว่ ยนักเรียนพัฒนา ทกั ษะการฟังเพอื่ ความเข้าใจเม่ือเปรยี บเทยี บกับการชมภาพยนตรท์ ี่ไมม่ ีคำบรรยายภาษาอังกฤษใตภ้ าพ จากงานวิจัยเกี่ยวกับ การฟังเพื่อความเข้าใจท่ีกล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าการพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจให้ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพน้ันข้ึนอยู่กับการรู้ความหมายของคำศัพท์ การออกเสียง สำเนยี งการพูดของเจ้าของภาษา การมีสมาธิในการฟัง และประสิทธิภาพของการใช้ส่อื ในการพัฒนา ทกั ษะการฟังเพ่ือความเข้าใจท่ีมีคุณภาพและเหมาะสมกับผูเ้ รยี น โดยเฉพาะการเลือกใช้ส่ือที่ทันสมัยและเป็นส่ือท่ี
26 พบในชีวิตประจำวัน เช่น เพลง หรือ ภาพยนตร์ ท้ังนี้ เมื่อผู้สอนรู้ปัญหาของการฟังเพื่อความเข้าใจแล้ว สามารถ ปรับปรุงและพัฒนาวิธีการสอนและส่ือที่ใช้ในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับ ระดับของผู้เรียนเพ่ือช่วยพัฒนา ทกั ษะการฟงั ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนใหด้ ขี ึ้นต่อไป
27 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ในการดำเนินการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการใช้แบบฝึกประกอบส่ือยูทูบเพ่ือพัฒนาทักษาการฟัง ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/4 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนพุนพินพิทยาคม เป็น การวิจัยก่อนการทดลอง (Pre experimental Research) โดยใช้การวิจัยรูปแบบ One-Group-Pretest- Posttest Design มีวัตถุประสงค์ ดังน้ี 1) เพ่ือศึกษาผลการใช้แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟัง ภาษาอังกฤษ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังภาษาอังกฤษก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1/4 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564การวิจยั คร้ังน้ี ผูว้ จิ ยั ได้ด้าเนินการวจิ ยั โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ 1. กลุม่ เป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 42 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง 2. ขั้นตอนการดำเนินการวจิ ยั 1. ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 2. ออกแบบเครือ่ งมอื 3. สรา้ งเครอ่ื งมอื ในการวจิ ยั 4. ตรวจสอบความถกู ต้อง เหมาะสม 5. เกบ็ รวบรวมข้อมลู 6. วเิ คราะหข์ ้อมลู 3. แบบแผนการวิจยั การวจิ ัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วดั กอ่ น-หลงั 4. เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั เครื่องมือท่ีใช้ในการวจิ ยั ครงั้ น้ปี ระกอบด้วย 1. แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบ เป็น แบบฝึกทักษะการฟังโดยให้เติทคำท่ีได้ยินลงในช่องว่างให้สมบูรณ์มี ท้ังหมด 6 แบบฝกึ แบบฝึกละ 10 ขอ้ 2. การใชบ้ ทสนทนาในชีวิตประจำวนั จากยูทูบช่อง VOA Learning English เนอื้ หาทบ่ี ทสนทนาจากยูทูบ ช่อง VOA Learning English ทั้งหมด 6 Lessons ดังน้ี Lesson 1 : Welcome Lesson 2 : Hello, I’m Anna Lesson 3 : I’m here Lesson 4 : What is it? Lesson 5 : Where are you? Lesson 6 : Where is the gym?
28 3. แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน เป็นแบบทดสอบการฟัง โดยใช้วิธีฟังแล้วเติมคำท่ีได้ยินลงใน ชอ่ งวา่ ง จำนวน 20 ข้อ 20 คะแนน 5. การสร้างเคร่ืองมอื การวจิ ยั 1. การสรา้ งแบบฝกึ ประกอบส่อื ยูทบู 1.1 ศึกษาเน้ือหาการสนทนาในยูทูบ ช่อง VOA Learning English ทั้งหมด 6 Lessons แล้ว นำมา บทสทนามาเปน็ เนือ้ หาในการสรา้ งแบบฝกึ ทักษะ 1. การคดั เลือกชอ่ งยทู ูบเพื่อการพฒั นาทักษะการพูดสอื่ สารภาษาอังกฤษ 1.1 ศึกษาเนื้อหาจากช่องต่าง ๆ ในยูทูบเพ่ือเลือกใช้เป็นส่ือในการพัฒนาทักษะการฟัง ภาษาอังกฤษ 1.2 เลื่อกเน้อื หาจากยูทบู ช่อง VOA Learning English ทง้ั หมด 6 Lessons ดงั น้ี Lesson 1 : Welcome Lesson 2 : Hello, I’m Anna Lesson 3 : I’m here Lesson 4 : What is it? Lesson 5 : Where are you? Lesson 6 : Where is the gym? 2. การสรา้ งแบบทดสอดทักษะการฟังภาษาองั กฤษ 2.1 ศกึ ษาเอกสารเกี่ยวกับการทำแบบทดสอบทกั ษะการฟังภาษาอังกฤษ 2.2 สรา้ งแบบทดสอบทกั ษะการฟังภาษาอังกฤษ ซึง่ มลี กั ษณะเป็นการเขยี นตอบสิ่งทีไ่ ด้ฟงั 6. การรวบรวมขอ้ มูล ขน้ั ตอนในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลมีดงั นี้ 1. ก่อนเรียนเรียนรู้เนื้อหาจากยูทูบช่อง VOA Learning English ท้ังหมด 6 Lesson ครูผู้สอนทำการ วัดผลการฝึกทักษะก่อนเรียน เพือ่ นำผลทไ่ี ดม้ าหาผลตา่ งกอ่ นเรียนและหลังเรยี น 2. นำเนื้อหาจากบทสนทนาในยูทูบช่อง VOA Learning English ให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะการฟังเพ่ือ ประเมินการฟงั ภาษาอังกฤษ โดยผสู้ อนทำการบันทกึ คะแนนทกั ษะการฟังในแบบบนั ทกึ คะแนนทกั ษะการฟัง 2. หลังจากท่ีนักเรียนได้เรียนรู้เน้ือหาจากยูทูบช่อง VOA Learning English ท้ังหมด 6 Lesson แล้ว ครูผู้สอนทำการวัดผลการฝึกทักษะหลังเรียน เพื่อนำผลที่ได้มาหาผลต่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนจาก แบบประเมนิ กอ่ นเรยี นและหลังเรยี น 7. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. คำนวณหาค่าเฉล่ียจากแบบฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารในชีวิตประจำวันจากบท สนทนาภาษาอังกฤษของ ท้ังก่อนและหลังการทดลองเพื่อเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการพัฒนาการฟัง ภาษาองั กฤษเพือ่ สื่อสารของนักเรยี นก่อนและหลงั การทดลองจากแบบฝึกประกอบส่ือยทู ูบโดยใช้การทดสอบ 2. นำข้อมูลที่ได้จากการประเมินการพัฒนาการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนมาวิเคราะห์โดยสรุปเป็น ความเรียง
29 8. สถิตทิ ี่ใชใ้ นกำรวิเคราะหข์ ้อมลู สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในการวิจัยครัง้ นี้ ประกอบดว้ ย 1. การหารคา่ เฉลีย่ (Mean) = X N เมอื่ X = คะแนนที่ได้ N = จำนวนนักเรยี นทั้งหมด = ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด
30 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยในคร้ังน้ี เป็นการนำเสนอผลการใช้กิจกรรมการฟัง ภาษาอังกฤษ จากผลการใช้แบบฝึกประกอบส่ือยูทูบเพ่ือพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ 1/4 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 โดยทดลองจากกลุ่มตัวอยา่ งจำนวน 42 คน สัญลักษณท์ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ หมายถึง คะแนนที่ได้ เมื่อ X = จำนวนนักเรียนท้ังหมด N = ผลรวมของคะแนนท้งั หมด 4.1 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู คะแนนของนกั เรยี นก่อนและหลงั การทดลอง ข้อมลู คะแนนนกั ศกึ ษาแตล่ ะคนก่อนและหลงั การทดลองได้นาเสนอในตารางที่ 4.1 ดังนี้ ตารางท่ี 4.1 แสดงผลคะแนนจากการประเมนิ ทกั ษะการพูดทง้ั 2 ครัง้ คะแนนเต็มครง้ั ละ 20 ลำดบั ชน้ั ชอื่ -นามสกุล ทดสอบ ทดสอบ ผลตา่ ง กอ่ นเรียน หลงั เรยี น 1 1/4 เด็กชายกฤษณะ คีรนี อ้ ย 5 2 1/4 เด็กชายกติ ติกร ประชมุ รตั น์ 13 18 5 3 1/4 เด็กชายเฉลิมเดช จุลมัย 6 11 2 4 1/4 เด็กชายชยกร เเซฟ่ ุง้ 12 14 5 5 1/4 เดก็ ชายธนดล นิลน้อย 10 15 4 6 1/4 เด็กชายธีระวัฒน์ เทียนน้อย 6 10 4 7 1/4 เดก็ ชายนนั ทยศ ชยั รัตนารมย์ 8 12 6 8 1/4 เดก็ ชายปกรณ์ พรหมจรรย์ 4 10 5 9 1/4 เดก็ ชายภฒั นพงศ์ ทองผุด 5 10 5 10 1/4 เด็กชายภรู นิ ท์ กล้าหาญ 4 9 3 11 1/4 เด็กชายเมธัส ศริ เิ รือง 11 14 4 12 1/4 เด็กชายเมธสั อนิ ทร์ดำ 6 10 6 13 1/4 เดก็ ชายรัชชานนท์ ปานสมทุ ร 2 8 4 14 1/4 เดก็ ชายศรญั ญู เข็มทอง 12 16 4 15 1/4 เด็กชายศรายุธ ปลกั ปลา 15 19 3 16 1/4 เดก็ ชายศทุ ธริ กั ษ์ รมุ่ จิตร 6 9 9 4 13
31 ลำดบั ช้ัน ช่อื -นามสกุล ทดสอบ ทดสอบ ผลต่าง ก่อนเรยี น หลังเรยี น 17 1/4 เด็กชายศภุ ณัฐ ชนะสัตย์ 10 14 4 18 1/4 เด็กชายสวภัทร ค้มุ ภยั 6 10 4 19 1/4 เดก็ ชายสทิ ธิโชค ทองเทพ 891 20 1/4 เดก็ ชายสิทธินนท์ ชำนาญกจิ 6 11 5 21 1/4 เด็กชายสีหราช รักตรง 12 15 3 22 1/4 เด็กชายสชุ าพงศ์ ใหม่แกว้ 12 17 5 23 1/4 เดก็ ชายสรุ ศกั ด์ิ กล่อมทอง 6 10 4 24 1/4 เด็กชายอัครพนธ์ ไทยภกั ดี 275 25 1/4 เดก็ ชายเอกอาทติ ย์ วิชิตเชื้อ 8 11 3 26 1/4 เด็กหญงิ จิราพรรณ คชไกร 9 14 5 27 1/4 เดก็ หญิงชญาภา เทยี นชยั 13 17 4 28 1/4 เดก็ หญงิ ชนากานต์ สาระยาน 8 15 7 29 1/4 เด็กหญงิ ณัฏฐณชิ า ดสี ดุ จติ ร 12 18 6 30 1/4 เด็กหญงิ ณัฐณิชา วงั ฉาย 15 19 4 31 1/4 เด็กหญงิ ณชิ านันท์ นม่ิ รกั ษ์ 10 15 5 32 1/4 เดก็ หญิงทัตพชิ ชา วชิ ัยดษิ ฐ 11 16 5 33 1/4 เดก็ หญิงธนัญญา บัวแกว้ 10 17 7 34 1/4 เด็กหญิงนันทน์ ภสั จิตราภิรมย์ 10 16 6 35 1/4 เด็กหญิงพิมพศิ า สระกอบแกว้ 7 11 4 36 1/4 เด็กหญงิ มัญชภุ า พระสวา่ ง 13 18 5 37 1/4 เดก็ หญงิ มีสุข คีรีมา 8 13 5 38 1/4 เดก็ หญิงวรัทญา เคลือบสุวรรณ 12 14 2 39 1/4 เดก็ หญิงสริ ยิ าพร ทองเกดิ 9 15 6 40 1/4 เด็กหญงิ สุนิษา จนั ทรช์ ัย 781 41 1/4 เดก็ หญงิ หรินทิพย์ ทพิ ย์บรรพต 14 17 3 42 1/4 เด็กหญิงอรอมล สิรสิ มบูรณ์ 8 12 4 ค่าเฉลี่ย 8.81 13.26 4.45 จากตารางท่ี 4.1 พบว่า คะแนนค่าเฉล่ียก่อนเรยี นของจำนวนนักเรียนทั้งหมด คือ 8.81 คะแนนค่าเฉล่ีย หลงั เรยี นของจำนวนนกั เรยี นทง้ั หมดคือ 13.26 มผี ลต่างคา่ เฉลี่ยของคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรียนอยู่ที่ 4.45
32 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยคร้ังนี้เป็นวิจัยผลการใช้แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบเพ่ือพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ ของ นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 1/4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. สรุปผลการวิจยั 1.1 กลมุ่ ตวั อยา่ งเป็นนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1/4 เรียนรายวชิ าภาษาอังกฤษฟงั -พดู รหสั วชิ า อ20212 จำนวนทั้งสิ้น 42 คน พบว่ามภี าพรวมผลการประเมินการฟังภาษาอังกฤษก่อนเรียนมรี ะดบั คะแนนเฉลยี่ อย่ทู ี่ 8.80 โดยมีนักเรียนท่ีได้คะแนนสูงท่ีสุดก่อนเรียนจำนวน 2 คน คือ เด็กชายศรัญญู เข็มทอง และ เด็กหญิงณัฐณิชา วัง ฉาย ซ่ึงได้คะแนน 15 เต็ม 20 ค่าเฉล่ียคะแนนหลังเรียนมีระดับคะแนนเฉลี่ยอยู่ท่ี 13.26 โดยมีนักเรียนท่ีได้ คะแนนสูงท่ีสุดหลังเรียนจำนวน 1 คน คือ เด็กชายศรัญญู เข็มทอง ซึ่งได้คะแนน 19 เต็ม 20 ผลต่างของค่า คะแนนเฉล่ยี ท้ัง 2 ครัง้ คือ 4.45 1.2 ผลการทดสอบสมมุติฐาน ปรากฏว่า ทักษะการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่า ความสามารถดังกล่าวก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี 4.45 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า นักเรียนมีพัฒนาการ ความสามารถดา้ นการฟังภาษาอังกฤษหลงั การใช้แบบฝึกประกอบส่ือยูทบู เพอ่ื พัฒนาทักษาการฟังภาษาองั กฤษ สูง กว่าก่อนการทดลองอย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ี่ 4.45 2. การอภิปรายผล นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษฟัง-พูด รหัสวิชา อ20212 จำนวนท้ังส้ิน 42 คน ท่ีใช้กิจกรรมผลการใช้แบบฝึกประกอบส่ือยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ มีความสามารถหลังการ เรียนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 4.45 ซึ่งผลวิจัยดังกล่าวมีประเด็นที่สามารถนามา อภปิ รายได้ดังนี้ 2.1 กิจกรรมการใช้แบบฝึกประกอบสื่อยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ มีความหลากหลาย เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์ต่างๆ ท่ีคล้ายคลึงกับประสบการณ์ในชีวิตจริง ในการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วจิ ัยไดเ้ ลอื กรูปแบบภาษาท่ีสมจรงิ ในการสอื่ สารสถานการณต์ า่ งๆ รวม 6 Lessons ไดแ้ ก่ Lesson 1 : Welcome Lesson 2 : Hello, I’m Anna Lesson 3 : I’m here Lesson 4 : What is it? Lesson 5 : Where are you? Lesson 6 : Where is the gym? ซึ่งแต่ละบทเป็นเหตุการณท์ ่ีนักเรียนมคี วามคุ้นเคยในชีวติ ประจำวัน และอาจเคยมีประสบการณ์แตล่ ะกจิ กรรมเปิด โอกาสให้นักเรียนได้ฝึกการใช้ทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสารกับเพื่อนในชั้นเรียน และนำความรู้ที่ได้ไป ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง จากการทดสอบของนักเรียนพบว่า ก่อนเรียนนักเรียนสามารถฟังภาษาอังกฤษ ท่ี ระดับคะแนนค่าเฉล่ีย 8.81 หลังเรียนพบว่า นักเรียนสามารถสื่อสารในกิจกรรมการฟังภาษาอังกฤษได้อย่าง คล่องแคลว่ ขึ้น ผลการศึกษาพบว่า นักเรยี นมีพัฒนาการสูงขึ้นอยู่ในระดับค่าเฉลย่ี 13.26 ซ่ึงมีความแตกต่างกันอยู่
33 ท่ีค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี 4.45 สอดคล้องกับ Harmer (1983 : 44-45) ท่ีกล่าวว่า ในการจัดกิจกรรมเพ่ือการสื่อสาร ครูผู้สอนควรจัดกิจกรรมท่ีทำให้นักเรียนเห็นความสำคัญในการใช้ภาษานอกจากน้ีผลงานวิจัยของ กุสุมา ล่านุ้ย (2532 : 22) ได้กล่าวสนับสนุนว่า กิจกรรมท่ีดีจะต้องน่าสนใจและเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน โดยไม่ง่ายและยาก เกินไป เพราะจะทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จเกิดความเบื่อและความท้อแท้ดังน้ันกิจกรรมท่ีใช้จึงควรเป็นกิจกรรมที่ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในการส่ือสารมากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจ และส่งผลให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้า ทำ ตลอดจนกลา้ แสดงออก 2.2 กิจกรรมการใช้แบบฝึกประกอบสอ่ื ยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ เป็นกิจกรรมท่ีน่าสนใจ เน่ืองจากเป็นแบบฝึกการสนทนาท่ีเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวติ ประจำวัน และการใช้สื่อจากยูทูบ ทำให้นักเรียนได้เห็น ลักษณะ ท่าทางการออกเสียง ตัวหนังสือ คำบรรยาย ประโยคและวลีต่าง ๆ เพื่อช่วยในการฟัง พร้อมทั้งมีการฝึก ให้ฟังซ้ำทั้งช้า และเร็ว ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้น ต้ังใจทำกิจกรรม ส่งผลให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ อีกทั้งก่อให้เกิดความเชื่อม่ันในขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยพบว่า ผลหลังการทดลองนักเรียนสามารถ ฟังได้อย่างเข้าใจ และสอดคล้องกับ Nolasco and Arthur. (1987 : 15-21) ท่ีกล่าวว่า การจัดกิจกรรมควรเปิด โอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกด้านทัศนคติ ความรู้สึก และอารมณ์ด้วยตนเอง มิใช่ถูกบังคับให้ทำ นอกจากนี้ยังมี ผลจากงานวิจัยของอุมาพร ภูพานเพชร (2547 : 54) ได้สนับสนุนว่าบรรยากาศท่ีเป็นกันเองทำให้นักเรียนไม่รู้สึก กดดัน หรือ เครียด ไม่กลัวครูการปฏิสัมพันธ์ภายในห้องเรียนเป็นไปด้วยดีการท่ีนักเรียนร่วมกันทำกิจกรรมทำให้ รูส้ กึ ว่าตนเองไมร่ ู้สึกว่าถูกสอน จงึ ทำใหเ้ กิดบรรยากาศทเี่ ป็นกันเองสนกุ สนานและไม่เครยี ด 2.3 กิจกรรมการใช้แบบฝึกประกอบส่ือยูทูบเพื่อพัฒนาทักษาการฟังภาษาอังกฤษ ในทุกบทเรียนพัฒนา ของการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยมีการกำหนดเป้าหมายในพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือการ สอื่ สารในชีวติ ประจำวันอยา่ งชัดเจน รวมทั้งมีการทบทวนโครงสร้างของหน้าท่ีทางภาษาก่อนทำกิจกรรม โดยก่อน ทำกิจกรรมผู้วิจัยได้อธิบายข้ันตอนการทำกจิ กรรม กำหนดเป้าหมายการพัฒนาทักษะการฟัง รวมท้ังซักถามในแต่ ละครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า นักเรียนเข้าใจข้ันตอนและเป้าหมายของการทำกิจกรรม ทำให้นักเรียนสามารถปฏิบัติ กิจกรรมไดอ้ ย่างถกู ต้องบรรลเุ ป้าหมายของแตล่ ะแบบฝกึ การสนทนา 3. ขอ้ เสนอแนะ 3.1 ข้อเสนอแนะท่วั ไป 3.1.1 ครูผู้สอนควรอธิบายขั้นตอนการทำกิจกรรมอย่างละเอียด และสอบถามความเข้าใจของ นักเรยี นก่อนดำเนนิ กจิ กรรม เพ่ือใหก้ ารปฏิบตั กิ ิจกรรมเป็นไปดว้ ยความราบรน่ื 3.1.2 ครูผู้สอนควรเลือกหัวข้อการสอนที่อยู่ในความสนใจของเรียน ซึ่งสามารถได้มาจาก แบบสอบถาม การสมั ภาษณ์หรอื การพดู คยุ 3.1.3 ครูผู้สอนควรเตรียมส่ือการสอนท่ีหลากหลาย ท่ีจำเป็นต้องใช้ในการทำกิจกรรมการพัฒนา ทักษะการฟงั เพ่อื การสอื่ สารให้เหมาะสมกับกิจกรรมนน้ั ๆ เพอ่ื ให้นักเรยี นจะทำความเข้าใจโดยง่ายและรวดเรว็ 3.1.4 สำหรับนักเรียนท่ีพูดไม่คล่อง ครูอาจต้องใช้การสอนเสริมหรือให้นักเรียนฝึกเพ่ิมเติมนอก เวลาเรยี นกอ่ นการทำกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อการสอ่ื สาร จะทำให้นักเรยี นไมเ่ ครยี ด และ สนกุ กับการพัฒนาตนเอง
34 3.2 ข้อเสนอแนะในการทำวิจยั ครั้งตอ่ ไป 3.2.1 ควรมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมเพื่อการสื่อสาร เพื่อศึกษา ความสามารถทางภาษาอังกฤษในทักษะอื่นๆ เช่น ทักษะการพดู เปน็ ต้น
35 บรรณานกุ รม Anderson, A. and Lynch, T. (1988). Listening. Oxford [Press release] Bowen, J. D., Madsen, H. and Hilferty, A. (1985). TESOL Techniques and Procedures. Boston, MA: Heinle & Heinle Publishers. Doff, A. (1991). Teaching English: A Training Course for Teacher. Great Britain [Press release] Field, J. (2010). \"Listening in the Language Classroom.\" ELT journal, 64, 3: 331-333. Finocchiaro, M. (1 9 8 9 ). English as a Second / Foreign Language: From Theory to Practice. New Jersey: Prentice Hall. Flowerdew, J. and Miller, L. (2 0 0 5 ). Second language listening: Theory and practice [Press release] Hadfield, J.Hadfield, C. and Hadfield, C. (1999). Simple listening activities [Press release] Hamouda, A. (2013). An investigation of listening comprehension problems encountered by Saudi students in the EL listening classroom. 2(2), 113-155. Harmer, J. (2 0 0 7 ). How to Teach English.new edition. Harlow: Pearson Education Limited. Hubbard, P. (2017). Technologies for teaching and learning L2 listening. John Wiley & Sons, Inc. Madsen, H. S. (1983). Techniques in Testing [Press release] Mc Donell, W. (1992). Language and Cognitive Development through Cooperative Group Work, In Cooperative Language Learning. Prentive Hall Regents. Rivers, W. M. (1 9 6 8 ). \"Teaching foreign language skills.\" Chicago: The University of Chicago. Rivers, W. M. (2018). Teaching Foreign Language Skills [Press release] Rixon, S. (1986). Developing listening skills. London: Macmillan Publishers, Ltd. Rokni, S. & Ataee, A. (2014). Movies in EFL classrooms: With or without subtitles. 3(1), 715-726. Rost, M. (1991). Listening in action. New Jersey: Prentice Hall. Solak, E. (2016). Teaching Listening Skills For Prospective English Teachers. Accessed April 5. Available from https://scholar.google.com/scholar?hl=en&as_sdt=0,5 &q=Teaching+Listening+Skills+For+Prospective+English+teacher#d=gs_qabs&u=%23p% 3DcGoOaNQkZBEJ Tutolo, D. J. (1977). \"A Cognitive Approach to Teaching Listening.\" Language Arts, 54, 3: 262-265. Underwood, M. (1989). Teaching listening. Addison-Wesley Longman Ltd. Valette, R. M. and Disick, R. S. (1972). Modern language performance objectives and individualization: A handbook. New York: Harcourt Brace Javanovich, Inc. Widdowson, H. G. (1978). Teaching language as communication [Press release]
36 Willis, J. (1981). Teaching English through English. London: Longman. Harmer, J. (1 9 9 1 ). The Practice of English Language Teaching. 6th ed. Hong Kong: Longman. Yagang, F. (1993). Listening: Problems and Solutions. English Teaching Forum, 31(1),16-19. ประถม ภักดี. (2559). กลวิธีการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5.(ปริญญา ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต), มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรีรัมย์, บณั ฑิตวิทยาลัย. พรสวรรค์ สีป้อ. (2550). สุดยอดวิธสี อนภาษาองั กฤษ. กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทัศน.์ Cohen, A. D. (1994). Assessing language ability in the classroom. Accessed May 30. Available from http://www.tesl-ej.org/wordpress/issues/volume1 / ej0 3 / ej03r12/?wscr=&fbclid=IwAR1U4zEKBshQkNW0cRDsEafoPlhAX0gu3P2O_Hy6Xw rARqLU 2-x-1Js5W มยุเรศ ใยบัวเทศ. (2558). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนรู้ภาษา ตาม กระบวนการฟังแบบเมตาคอกนิทีฟเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. (thesis), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, Thailand, Australia. Retrieved from http://search.ebscohost.com/login.aspx?direct=true&db=edsbas&AN=edsbas.49D20D47& site=eds-live&authtype=ip,uid Available from EBSCOhost edsbas database. สุภัทรา อักษรานุเคราะห์. (2534). การสอนทักษะทางภาษาและวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรงุ เทพมหานคร: โรง พมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. สุมิตรา อังวัฒนกุล. (2540). แนวคิดและวิธีการสอนภาษาอังกฤษ ระดับมัธยมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . อิศราวุฒิ กิจเจริญ. (2559). กลยุทธ์การส่ือสารช่อง Gutumdai เพื่อสร้างรายได้ผ่านเว็บไซต์ YouTube ใน รูปแบบรายการโทรทัศน.์ วารสารนเิ ทศศาสตร์และนวัตกรรมนดิ ้า, 2(2), 56-77. อไุ รพร ชลสิริรุ่งสกุล. (2555). Digital Commerce: Turn buyers to buyers. กรงุ เทพฯ: ดับพลวิ บเี อส.
37 ภาคผนวก
38 ยูทูบ ชอ่ ง VOA Learning English Lesson 1: Welcome! Dialogue Hi, Are you Anna? Pete: Yes, hi there. Are you Pete? Anna: I am Pete. Pete: Nice to meet you. Anna: Let’s try that again. I’m Anna. Nice to meet you. Anna: I’m Pete. Anna, is that A-N-A? Pete: No, A-N-N-A. Anna: Well, Anna with two N’s. Welcome to 1400 Irving Street. Pete: My new apartment…..Yes!!! Anna:
39 Lesson 2: I’m Anna Dialogue Hey Pete, who’s your friend? Jonathan: She is Anna. She is new to D.C. Pete: Where are you from? Jonathan: I am from a small town. Anna: Welcome to D.C. Jonathan: Thank you. Anna: I am Jonathan. I am in apartment B4. Jonathan: I am in apartment C2. Marsha is my roommate. Anna: I know Marsha. She is nice. Jonathan: And I am in apartment D7. I have to go now. Remember to call Marsha at work. Pete: Tell her you’re here. Right, thanks, Pete. Anna: Nice to meet you. You too. Bye. Jonathan: Apartment C2, here I come. Anna:
40 Lesson 3: I’m here Dialogue I am in my new apartment. Great! I live with Marsha. We’re roommates. Anna: I want to cook dinner. Oh! Is there a supermarket near here? Marsha Knows. Marsha’s work number is 555-8986. In call: Hello? Anna: Hello. Is this Marsha? It is Anna. In call: I’m sorry. You have the wrong number. Anna: Is this 555-8986? In call: No, this is 555-8689. Anna: Oh, excuse me. In call: OK, bye. (Hang up) Anna: One more time. (call) 555-8986. Please be Marsha. Marsha: Hello, this is Marsha. Anna: Yes, Marsha? I want to cook dinner. Marsha: Excuse me, Anna, is that you? Anna: Oh, yes, I am here.
41 Marsha: Good, you are there. Anna: I want to find a supermarket. Marsha: Oh, OK. The supermarket is at 1500 Irving Street. It is near the apartment. Anna: Great. Good-bye. Marsha: Good-bye, Anna. Dinner time. Anna: There is a big supermarket on our street. And Marsha says I am a good cook. Until next time. Bye.
42 Lesson 4: What is it? Dialogue Anna: Pete, hi! Hi. We are here. Pete: Hi Anna. Hi Marsha. Marsha: Hi. Pete: How are you two? Marsha: I am great. Anna: You know, Pete, I am new to D.C. The city is big. Pete: Yeah, but you learn a little more every day. How’s the new apartment Anna: The new apartment is great. Let’s get coffee. Marsha: Anna, do you have a pen? Anna: Yes, I have a pen in my bag. I have a……. Pete: It is not a pen. It is a book. It is a big book. Anna: Yes, yes, it is, Pete. I know I have a pen, though. I have a……. Marsha: It is not a pen, Anna. A toy? Anna: I have a……. Pete: And it is a pillow. Anna: Pete, Marsha, I know I have a pen
43 Marsha: Anna. It is a map. Pete: Why do you have a of the world? Anna: Pete, Marsha. Now, I know I have a pen. Pete: And, now you have a lamp. Marsha: Anna, Anna. Anna: I have a pen. Let’s get coffee.
44 Lesson 5: Where are you? Dialogue Anna: Hello, everyone. Today my friend Marsha is at her friend’s house. She says it is beautiful. I want to see this house. Here we are. Marsha’s friend house. Anna: Marsha, I am in the kitchen. It is a beautiful kitchen. Marsha: It is beautiful. We cook in the kitchen. Anna: I eat in the kitchen. Marsha: We relax in the living room. Anna: I relax in the living room. Marsha, let’s go upstairs. Marsha: Anna? Where are you? Anna: Marsha, I am in the bathroom. I wash in the bathroom. Marsha: I am in the bedroom. We sleep in the bedroom. Anna: I sleep in the bedroom.
Search