Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

87

Published by วีรสิทธิ์ หารัญดา, 2019-04-10 04:28:44

Description: 87

Search

Read the Text Version

1 หนา้ สารบญั 2 2 บทที ทกั ษะและการพฒั นากระบวนการคิด 5 8 ฝึกทกั ษะการคิดและลกั ษณะการคิดต่าง ๆ - การคดิ คลอ่ งและคิดหลากหลาย 20 - การคิดวิเคราะห์และคิดผสมผสาน 22 - การคิดริเริม 25 - การคดิ ละเอยี ดชดั เจน 25 - การคิดอยา่ งมีเหตุผล 27 - การคิดกวา้ งและรอบคอบ 29 - การคิดไกล 29 - การคิดลึกซึง 30 - การคดิ ดี คิดถกู ทาง 32 การพฒั นากระบวนการคิดรูปแบบต่าง ๆ 44 การคิดตามลาํ ดบั ขนั ตอนของกระบวนการคิดต่าง ๆ 49 - การคดิ ตามกระบวนการคิดทางวทิ ยาศาสตร์ - การคดิ ตามกระบวนการคิดทางคณิตศาสตร์ 49 การคดิ แบบหมวก ใบ 63 บทที ทกั ษะการตดั สินใจและการแกป้ ัญหา 64 ประเภทการตดั สินใจ 64 กลยทุ ธก์ ารตดั สินใจ 64 เทคนิคในการคิดหาวธิ ีการแกไ้ ขปัญหา - แผนภมู ิความคิดเพอื แกไ้ ขปัญหา หนา้ 1 - การระดมสมองเพือแกไ้ ขปัญหา - เทคนิคเพอื แกไ้ ขปัญหา - ขนั ตอนการแกป้ ัญหา รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย

2 บทที 1 ทักษะและการพฒั นากระบวนการคดิ  การคดิ ของมนุษยเ์ พอื แกป้ ัญหาต่าง ๆ นนั มีวิธีการคิดแบบต่าง ๆ หลายแบบ เช่นใชว้ ธิ ีการคิดแบบ คณิตศาสตร์ ใชว้ ิธีการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ ใชจ้ นิ ตนาการ ใชก้ ารคิดแบบคาํ พดู ซึงถา้ เรายงั คงทาํ อะไร ซาํ ซาก คิดอยา่ งทีเคยคิด ไม่มคี วามสนใจอยา่ งจริงจงั ทีจะรับรู้เรืองราวใหม่ ๆ หรือพฒั นางานใหม่ ๆ เรา กจ็ ะลา้ หลงั แต่ถา้ เรารับรู้ทุกเรืองราวโดยขาดการวิเคราะห์ กจ็ ะทาํ ใหเ้ รามีขอ้ มลู มาก แต่ไมส่ ามารถ ตดั สินใจทาํ ในสิงทีถกู ตอ้ ง เนืองจากขอ้ มลู บางส่วนผดิ พลาดอาจเนืองจากการสือ การนาํ เสนอผดิ พลาด หรืออาจเป็นเพราะความตงั ใจของผเู้ สนอก็ได้ ดงั นนั เราจาํ เป็นตอ้ งมีการพฒั นาความคดิ เพือแกป้ ัญหาใน รูปแบบต่าง ๆ ซึงมีการพฒั นาไดห้ ลายวิธี ดงั นี  ฝึ กทกั ษะการคดิ และลกั ษณะการคดิ ต่าง ๆ  ทกั ษะการคิด คือ ความสามารถในการคิดทีเป็นพนื ฐานของการคิดระดบั สูง ทกั ษะของการคิดมีหลาย ทกั ษะ เชน่ การจาํ แนก การแยกแยะ การขยายความ การสรุป การคดิ ริเริม เป็นตน้ ลกั ษณะการคดิ คือ รูปแบบของการคิดทีประกอบดว้ ยทกั ษะการคดิ หลาย ๆ ทกั ษะทีแตกต่างกนั ซึงการแกป้ ัญหาหนึงๆได้ นนั อาจตอ้ งใชท้ กั ษะการคิดหลายแบบประกอบกนั ทกั ษะการคดิ และลกั ษณะการคิดทีสาํ คญั ทีมกั ใช้ เป็นประจาํ ในชีวติ ประจาํ วนั มแี บบต่าง ๆ ดงั จะไดก้ ลา่ วตอ่ ไปนี  1. การคดิ คล่องและคดิ หลากหลาย  การคิดคลอ่ งและคิดหลากหลาย เป็นความสามารถทีจะคดิ ในเรืองใดเรืองหนึง หรือในสถานการณ์ใด สถานการณ์หนึง ไดผ้ ลการคดิ จาํ นวนมาก รวดเร็ว ตรงประเดน็ และมีความหลากหลาย สามารถ แตกแยกเป็นหลายแขนง หลายกลมุ่ หลายลกั ษณะ หลายประเภท หรือหลายรูปแบบ ซึงเราสามารถ พฒั นาได้ โดยการตงั ปัญหา หรือสถานการณ์ทีเป็นปัญหา แลว้ ฝึกตอบใหไ้ ดค้ าํ ตอบมากทีสุดในเวลาที จาํ กดั และคาํ ตอบนนั ตอ้ งอยใู่ นประเดน็ ของคาํ ถาม  ตวั อย่าง ถา้ นกั ศกึ ษามีเข็มหมดุ จาํ นวนหนึง นกั ศกึ ษาจะนาํ ไปใชท้ าํ อะไรไดบ้ า้ ง ใหค้ ิดออกมาใหม้ าก ทีสุด ภายในเวลา 4 นาที  แนวคดิ คาํ ตอบ o สะกิดเสียนทีตาํ มอื ตาํ เทา้ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 2

3 o ใชเ้ ป็นอาวธุ o สาํ หรับติดกระดาษกบั ผนงั หรือบอร์ด o ไวจ้ ิมแขนสาํ หรับปลุกใหต้ ืน o ใชท้ าํ เบด็ ตกปลา o เอาไวเ้ ปิ ดซองจดหมาย ซองเอกสาร o สาํ หรับเขียดา้ ยทีพนั กนั ยงุ่ o สาํ หรับกลดั ผา้ ทีหุ่นโชว์ o กลดั ผา้ เป็นแบบก่อนตดั เยบ็ เสือ กระโปรง o ทาํ ความสะอาดหวี o สาํ หรับเจาะรูกระดาษ o สาํ หรับทดลองเรืองแม่เหลก็  ฯลฯ  ถา้ คาํ ตอบทีไดม้ ีจาํ นวนมากกแ็ สดงว่ามคี วามคิดคล่อง และอาจมาจากความคดิ หลากหลาย เช่น ใชใ้ น งานศลิ ปะ ใชใ้ นการทาํ ความสะอาด ใชใ้ นการป้ องกนั ตวั เป็นตน้  []  ในการฝึกการคิดคล่อง ถา้ ตอ้ งการใหไ้ ดผ้ ลการคิดจาํ นวนมากยงิ ขึน หลากหลายมากขึน อาจใชเ้ ทคนิค ระดมสมองช่วย ซึงมีรายละเอียดกตกิ าดงั นี  )ใหเ้ สนอความเห็นใหม้ ากทีสุดเท่าทีจะคิดได้ เป็นการมุ่งปริมาณ ความคิดไม่ใช่คุณภาพ เพราะจะมกี าร คดั เลือก ความคิดเหล่านนั ภายหลงั  )ไม่ตอ้ งคาํ นึงว่าขอ้ เสนอแนะของนกั ศกึ ษาจะเขา้ ท่าหรือไม่ และไม่ตอ้ งคาํ นึงวา่ จะซาํ กบั ความคิดคน อืนหรือไม่  3) หา้ มสมาชิกในกล่มุ ประเมินความคิดของคนอนื และไมใ่ หว้ จิ ารณ์ความคิดเห็นของ เพอื น ๆ ในกลมุ่ เช่น การหา้ มพดู ประโยคในทาํ นองต่อไปนี  “ โธ่ คิดอะไรเพอ้ เจอ้ ”  “ ทีคุณเสนอมานนั เขาเคยทาํ กนั มาแลว้ ไมไ่ ดผ้ ลหรอกครบั ”  “ ถา้ ทาํ ตามวิธีการทคี ุณเสนอมา จะเปลืองเงินมากนะ ”  4) ถา้ คิดอะไรยงั ไม่ได้ ใหพ้ ยายามต่อความคิดซึงกนั และกนั คือคิดต่อจากขอ้ เสนอแนะของผอู้ ืน เพราะ ความคิดของผอู้ นื อาจจะช่วยกระตุน้ ความคิดของตนใหพ้ รงั พรูออกมาได้ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 3

4  ขนั ตอนในการระดมพลงั สมอง มขี ันตอนเรียงตามลาํ ดบั ดงั นี  ขันที 1. จดั กลุ่มกลุม่ ละ 5 – 8 คน และมอบหมายสมาชิกในกลมุ่ ทาํ หนา้ ที ประธาน เลขานุการ และ สมาชิกทวั ไป  ขันที 2. ศึกษาปัญหาทีตอ้ งการระดมพลงั สมอง เช่น ปัญหาคืออะไร สาเหตุของปัญหา และวธิ ีแกป้ ัญหา เป็นตน้ ซึงสมาชิกทุกคนตอ้ งเขา้ ใจถกู ตอ้ งเหมอื น ๆ กนั  ขันที 3. ระดมพลงั สมองจากสมาชิก โดยเริมจาก o ประธานจะตอ้ งอธิบายใหส้ มาชิกทราบถึงกติกา หรือขอ้ ปฏบิ ตั ิในการระดมพลงั สมอง และ แจง้ วตั ถุประสงคห์ รือเป้ าหมายใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั รวมทงั กาํ หนดเวลาในการระดมพลงั สมอง ดว้ ย o กาํ หนดแนวทางในการระดมพลงั สมองซึงอาจใชว้ ธิ ีต่อไปนี  แลว้ แต่ใครจะเสนอ  ถามทีละคน  ใชว้ ธิ ีวนรอบจนกว่าจะหมดความคิด  เขียนใส่กระดาษแลว้ ส่งมารวมกนั o เลขานุการจะตอ้ งจดขอ้ เสนอของสมาชิกแต่ละคนในกรณีทีใชก้ ารพดู ไม่ตอ้ งสนใจ ความหมายหรือการผดิ ถกู ของขอ้ เสนอเหล่านนั อาจจะจดในกระดานหรือกระดาษที สมาชิกทุกคนมองเห็นไดช้ ดั เจน o ประธานตอ้ งยบั ยงั ไมใ่ หเ้ กิดการโตแ้ ยง้ ขึน ถา้ มีสมาชิกบางคนละเมิดกติกา เช่นวิจารณ์ ความคดิ เห็นของผอู้ นื o เมือไดป้ ริมาณความคิดมากพอ หรือหมดเวลา หรือไม่มีผเู้ สนอความคิดต่อไป ประธาน จะตอ้ งแจง้ ใหส้ มาชิกหยดุ การระดมพลงั สมองไว้ และแจง้ ใหท้ ราบถงึ ขนั ตอนต่อไป  ขันที 4. การวเิ คราะหแ์ ละขยายความในกรณีทีมีผเู้ สนอความคิดแลว้ สมาชิกคนอืนเขา้ ใจไมช่ ดั  ขันที 5. ร่วมกนั เขียนความคิดใหม่ใหร้ วบรัด และแยกความคิดพวกเดียวกนั ไวด้ ว้ ยกนั  ขันที 6. ทบทวนดคู วามเป็นไปได้ และเรียงลาํ ดบั ความสาํ คญั โดยอาศยั หลกั เกณฑด์ งั นี  เป็นขอ้ คิดทีสามารถนาํ ไปปฏบิ ตั ิไดแ้ ค่ไหน  เป็นขอ้ คิดทีมคี ุณค่ากบั ทจี ะนาํ ไปปฏบิ ตั ิแค่ไหน  มีความเหมาะสมกบั สถานการณ์ตามสภาพความเป็นจริงแค่ไหน  ขันที 7. อธิบายเพิมเติมถา้ ตอ้ งการรายละเอยี ดเกียวกบั แนวทางในการนาํ ไปปฏบิ ตั ิหรือจนกวา่ จะเป็นที พอใจ ของสมาชิกส่วนใหญ่ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 4

5  ขันที 8. ประธานสรุปขอ้ เสนอแนะหรือความคิดเห็นทีไดร้ ับความร่วมมอื ในการช่วยกนั ระดมพลงั สมอง จากสมาชิกทงั หมด ว่าไดข้ อ้ เสนออะไรบา้ ง เรียงลาํ ดบั ความสาํ คญั แลว้ ไดผ้ ลอยา่ งไร การประชุมครังนี ผลทีไดต้ รงตามวตั ถุประสงคห์ รือไม่ สุดทา้ ยประธานกลา่ วขอบคุณสมาชิกและปิ ดประชุม  กจิ กรรม  ใหน้ กั ศกึ ษาจดั กล่มุ กลุ่มละ 5 – 8 คน และระดมพลงั สมองเพอื แกป้ ัญหาต่อไปนี o แกป้ ัญหาใหค้ ุณลุงต่อไปนี โดยหาวิธีแกป้ ัญหานีใหม้ ากทีสุด แลว้ สรุปวิธีการทีไดใ้ ห้ ชดั เจน  “ ลงุ มานะ มีหลานชายวยั รุ่นคนหนึงอายุ 13 ปี เป็นเดก็ กาํ พร้าอยกู่ บั ลุงมาตงั เลก็ ปัจจุบนั หลานคนนีเริม ติดเหลา้ ลงุ เป็นกงั วลเรืองนีมาก พยายามหาหนทางใหห้ ลานเลกิ ดืมเหลา้ จะทาํ อยา่ งไรดีนะ ” o คิดวิธีทีจะใหป้ ระชาชนขา้ มถนนโดยใชส้ ะพานลอย หรือตรงทางมา้ ลายเพือจะไดข้ า้ มถนน ดว้ ยความปลอดภยั และคนขบั รถจะไดข้ บั ขียวดยานดว้ ยความสะดวก ใหไ้ ด้ จาํ นวนวิธีมาก ทีสุด  ใหน้ กั ศึกษาบอกประโยชนข์ องฟองนาํ ใหม้ ากทีสุด ภายในเวลา 3 นาที เมือหมดเวลาใหส้ รุปคาํ ตอบทีได้ ว่ามีจาํ นวนเท่าใด และจาํ แนกเป็นประเภทต่างๆ ไดก้ ีประเภท  ใหใ้ ชว้ ธิ ีการระดมพลงั สมองจดั กลุ่ม กล่มุ ละ7-8 คน คิดคาํ ตอบของขอ้ 2 ภายในเวลา 15 นาที  ถา้ นกั ศึกษามที ่อนไมร้ ูปสีเหลยี มจตั ุรัสขนาน 4” x 4” อยจู่ าํ นวนหนึง นกั ศกึ ษาจะนาํ ไปใชท้ าํ อะไรได้ บา้ ง ใหร้ ะบุใหม้ ากทีสุด ภายในเวลา 4 นาที  ใหน้ กั ศกึ ษาเขียนสรุปเป็นขอ้ ๆว่า สามารถนาํ ขวดพลาสตกิ บรรจุนาํ ทีใชแ้ ลว้ มาทาํ ประโยชนอ์ ะไรได้ บา้ ง  ใหน้ กั ศกึ ษาจดั กลุ่ม กล่มุ ละ 7-8 คน เสนอและเลือกหวั ขอ้ ทีกล่มุ สนใจในการฝึกการคิดคล่องและคิด หลากหลาย แลว้ ระดมพลงั สมองปฏิบตั ิตามหวั ขอ้ ทีได้ ใชเ้ วลา 15 นาที  []  2. การคดิ วเิ คราะห์และคดิ ผสมผสาน  การคิดวิเคราะหเ์ ป็นการแบ่งหรือแยกแยะสิงทีสนใจ หรือสิงทีเราตอ้ งการศกึ ษาออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ หรือออกเป็นแง่มมุ ต่าง ๆ แลว้ ทาํ การศกึ ษาส่วนยอ่ ย ๆ นนั อยา่ งละเอียด ซึงจะทาํ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจหรือ มคี วามรู้เกียวกบั สิงทีสนใจหรือสิงทีตอ้ งการศกึ ษาไดม้ ากขึน การคิดผสมผสาน เป็นการรวมความรู้ยอ่ ย หรือผลจากการวเิ คราะหใ์ หเ้ ป็นขอ้ มลู ใหม่ ขอ้ สรุปใหม่ กระบวนการใหม่ หรือสิงประดิษฐใ์ หม่ เพอื นาํ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นรูปแบบใหมไ่ ดม้ ากยงิ ขึน รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 5

6  การฝึ กการคดิ วเิ คราะห์มี 2 ขนั ตอนคอื  ขันที 1. ฝึกหดั แบ่งหรือแยกแยะสิงทีสนใจ หรือสิงทีตอ้ งการศึกษา  ขันที 2. ทาํ การศกึ ษาส่วนยอ่ ยทีแบ่งหรือแยกแยะออกมาอยา่ งลึกซึง ดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี  ตวั อย่าง 2.2 แดงตอ้ งการซือรถยนต์ จึงแยกแยะรถยนตอ์ ยา่ งละเอยี ดดงั นี  ขันที 1. แยกแยะส่วนต่างๆของรถยนต์ เช่น o ตามสภาพทีมองเห็นได้ ดงั นี ตวั ถงั ประตู เครืองยนต์ หมอ้ นาํ พวงมาลยั เบาะ ลอ้ โคม o ไฟหนา้ กระโปรงหนา้ กระโปรงหลงั เครืองปรับอากาศเป็นตน้ o ตามสภาพความรู้สึก ดงั นี ความสวยงาม ความปลอดภยั ความสะดวกสบาย ความเร็ว o ความแขง็ แรง เป็นตน้  ขันที 2. ศึกษาส่วนยอ่ ย ๆ ทีแบ่งหรือแยกแยะ เพือใหเ้ กิดความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซึง หรือเพอื เปรียบเทียบหา ความสมั พนั ธข์ องส่วนยอ่ ยต่าง ๆ ในทีนีแดงศึกษาเกยี วกบั ส่วนยอ่ ยต่าง ๆ เช่น ศึกษาเกียวกบั ตวั ถงั เครืองปรับอากาศ ลอ้ พวงมาลยั ความปลอดภยั ความสวยงาม ซึงส่งผลใหแ้ ดงมคี วามรู้เกียวกบั รถยนต์ ลกึ ซึงขึน จากนนั นาํ รถยนตท์ ีสนใจมาเปรียบเทียบกนั ในส่วนยอ่ ยทีไดศ้ กึ ษาไปแลว้ เพอื เป็นขอ้ มลู ช่วย ในการตดั สินใจซือรถ  []  ตวั อย่าง 2.3 เราสามารถฝึกการคิดผสมผสานไดใ้ นลกั ษณะหนึงคือ การนาํ ความรู้ยอ่ ย ๆ มาผสมผสาน เพอื ใหไ้ ดแ้ นวคิดใหม่ สิงประดิษฐใ์ หม่ หรือกระบวนการใหม่ โดยในขนั แรกนีอาจพจิ ารณาจากสิงทีพบ เห็นไดจ้ ริงก่อนวา่ เกิดจากความรู้ยอ่ ย ๆ ใดมาผสมผสานกนั เช่น  โทรศพั ท์ + เครืองถา่ ยเอกสาร ผลทีไดค้ ือ เครืองโทรสาร  ขนมแพนเคก้ + รูปหวั ใจ ผลทีไดค้ ือ แพนเคก้ รูปหวั ใจ  วงลอ้ + เกา้ อี ผลทีไดค้ ือ เกา้ อเี ลอื น  ดินสอ + ยางลบ ผลทีไดค้ ือ ดินสอทวั ไปทีมยี างลบดา้ นบน ดูภาพที 2.1 รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 6

7   ภาพที 2.1 แสดงการคิดผสมผสาน   กจิ กรรม  จงแบ่ง “ บา้ น” ออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ พร้อมทงั บอกสิงทีท่านรู้ หรืออยากรู้เกียวกบั ส่วนยอ่ ยนนั  โดยบอก ส่วนย่อย และ สิงทรี ู้ หรืออยากรู้ โดยแบ่งตามสภาพ 1) ทีมองเห็น หรือสงั เกตได้ 2) ทีเป็น ความรู้สึกนึกคิด  สมมติว่านกั ศกึ ษาไดร้ ับมอบหมายใหพ้ าเพอื นจาํ นวน 30-40 คน ไปทศั นศกึ ษา ใหว้ ิเคราะห์  วา่ นกั ศกึ ษาตอ้ งทาํ อะไรบา้ ง และสิงทีทาํ นนั ทาํ อยา่ งไร ( วธิ ีการในการดาํ เนินงาน)  ใหน้ กั ศึกษาใชค้ าํ ทีกาํ หนดใหต้ ่อไปนี เขียนเป็นขอ้ ความหรือเรืองราวทีสมบูรณ์ ความยาว  ประมาณ 6-8 บรรทดั โดยใหม้ ีคาํ เหล่านีครบทกุ คาํ ( ใหน้ กั ศึกษาขดี เสน้ ใตค้ าํ ทีกาํ หนดในขอ้ ความที นกั ศกึ ษาเขยี นดว้ ย ) o ชาวนา ขอนแก่น รถจกั รยานยนต์ ความซือสตั ย์ ความวุ่นวาย o ชีวิต คอมพวิ เตอร์ แมน่ าํ หนงั สือ ความดี การพกั ผอ่ น เครืองบิน กระโปรง  ใหน้ กั ศกึ ษาจดั กลุม่ กล่มุ ละ 7-8 คน เสนอและเลือกหวั ขอ้ ทีกลมุ่ สนใจในการฝึกการคิดวเิ คราะห์และ ผสมผสาน แลว้ ระดมพลงั สมองปฏิบตั ิตามหวั ขอ้ ทีได้ ใชเ้ วลา 15 นาที รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 7

8  การคดิ ริเริม เป็นการคิดทีใหผ้ ลของการคิดทีมคี วามแปลกใหมแ่ ตกต่างไปจากความคดิ ของคนทวั ๆ ไป มลี กั ษณะหรือมุมมองไม่เหมอื นผอู้ ืน เป็นการนาํ ความรู้เดิมมาดดั แปลงใหเ้ ป็นความคิดใหมซ่ ึงไม่ซาํ กบั ใคร  การเปิ ดใจให้กว้างเพือหาวิธีใหม่ ๆ  “ การค้นพบสิงใหม่ๆ คอื การมองสิงของเดยี วกบั ทที ุกคนมองอยู่ แต่คดิ ต่างจากพวกเขา” อลั เบิร์ ต เซนต์ จอร์ จี นกั ฟิ สิกส์ชือดงั ทีเคยพิชิตรางวัลโนเบล ตวั อย่าง ความคิดเห็นทีสร้างสรรค์ ( จากหนงั สือศิลปะการเสริมสร้างพลงั ความคิดสร้างสรรค์ ดร . โร เบิร์ต ดบั บลิว ออลสนั เขียน มนูญ ตนะวฒั นา แปลและเรียบเรียง 2537 : 19) ลกู จา้ งคนหนึงของรัฐ แคลฟิ อร์เนีย ไดร้ ับรางวลั ดา้ นคุณงามความดี เป็นเงินจาํ นวน 5,500 ดอลลาร์ จากความคิดเห็น ดา้ น สร้างสรรคข์ องเขา ทีไดช้ ่วยประหยดั เงินของรัฐถึง 110,000 ดอลลาร์ดว้ ยการใชว้ ิธกี ารเปลียนเครืองหมาย จราจรทีสะทอ้ นแสง ซึงใชส้ าํ หรับเขต การก่อสร้างทางหลวงทีมขี อ้ ความวา่ “ คนกาํ ลงั ทาํ งาน” และ “ ทางออ้ มขา้ งหนา้ ” จากสีเหลืองใหเ้ ป็นสีสม้ เพือใหเ้ ป็นไปตามกฎใหม่ของรัฐ รัฐไดส้ รุปว่า เราจะตอ้ งโยน เครืองหมายสีเหลอื งอนั เดิมทิงไป และซืออนั ใหมม่ าแทน เพราะพนื ผวิ ดา้ นหนา้ ของอลมู เิ นียมทีทาดว้ ยสี สะทอ้ นแสงนนั ไมส่ ามารถนาํ มาทาสีทบั ใหม่ได้ ลกู จา้ งคนนีไดช้ ว่ ยเหลอื โดยการใชค้ วามคดิ สร้างสรรค์ คน้ หา และพฒั นาวธิ ีทาสีทบั เครืองหมายสีเหลอื งอนั เดิม ดว้ ยการใชก้ าวสีแดงเขม้ ทาทบั ทาํ ใหไ้ ดแ้ ผน่ ป้ าย จราจรกลายเป็นสีสม้ ตามทีปรารถนา  การฝึ กการคดิ ริเริม อาจทาํ ไดด้ งั นี o การเล่นอย่างสร้างสรรค์ กญุ แจสาํ คญั อยา่ งหนึงทีนาํ ไปสู่ความคิดริเริมคือการปลดปลอ่ ย การคิดและทาํ กิจกรรมทีแปลกไปจากเดิม มองหาสิงต่าง ๆ ทีเราสนใจ และรู้สึกสนุกเมอื ได้ พบหรือเลน่ อาจเป็นคาํ คม รูปแบบทีไม่ปกติ ปล่อยตนเองใหค้ ิดหรือทาํ อะไรทีอาจมองดวู า่ “ เหลวไหล” บา้ งแต่ตอ้ งไมท่ าํ ใหต้ นเองและผอู้ นื เดือดร้อน และสงั เกตวา่ มีความรู้สึกเป็น อิสระหรือไม่ เช่น เปิ ดเพลงสนุก ๆ แลว้ ทาํ กิริยาใด ๆใหเ้ ขา้ กบั จงั หวะดนตรี สิงประดิษฐท์ ี สาํ คญั หลายชนิดมีกาํ เนิดมาจากการเล่นอยา่ งสนุกสนานของมนุษย์ โดยมใี ครสกั คนหนึงที มองเห็นขอ้ ดี และนาํ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นทางปฏบิ ตั ิ ( ความคิดสร้างสรรค์ )  ตวั อย่าง จตั ุรัสสาํ หรับมา้ หมากรุก นกั คณิตศาสตร์ในศตวรรษที 18 ชือ เลียวนาร์ด ยเู ลอร์ ไดส้ ร้าง สีเหลียมจตั ุรัส ซึงแต่ละแถวไมว่ า่ จะบวกในแนวตงั หรือในแนวนอนก็จะไดผ้ ลลพั ธ์ 260 และถา้ บวกไป รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 8

9 เพยี งครึงหนึง ก็จะได้ 130 และหากเดินมา้ หมากรุกดว้ ยแนวทางรูปตวั L โดยเริมจากช่องที 1 ก็จะ สามารถเดินไปจนครบกระดานทงั 64 ตา ไดต้ ามลาํ ดบั ตวั เลข  1  48  31  50  33  16  63  18  30  51  46  3  62  19  14  35  47  2  49  32  15  34  17  64  52  29  4  45  20  61  36  13  5  44  25  56  9  40  21  60  28  53  8  41  24  57  12  37  43  6  55  26  39  10  59  22  54  27  42  7  58  23  38  11  กจิ กรรม  ใหน้ กั ศึกษาทดสอบสมบตั ิของจตั ุรัสสาํ หรับมา้ หมากรุกดงั ตวั อยา่ งทีผา่ นมา o การฝึ กการจนิ ตนาการ แฮรี พอตเตอร์ เป็นหนงั สือทีมีผนู้ ิยมอ่านมากทีสุดในโลกเล่มหนึง สิงทีดึงดูดใจผอู้ ่านไดม้ ากประการหนึงคือ การจินตนาการ ทีไม่มีขอบเขตของผเู้ ขียน เมือ คิดถงึ การจินตนาการ บุคคลทีควรกล่าวถงึ อยา่ งยงิ คือ เลโอนาโด ดา วนิ ซี (Leonado da vinci ค. ศ. 1452 – 1519 ) และ โทมสั แอลวา เอดิสนั (Thomas Alva Edison ค. ศ. 1847- 1931 ) โดย ดา วนิ ซี เป็นนกั วทิ ยาศาสตร์ จิตรกร ประติมากร และสถาปนิก ซึงไดร้ ับการ ยกยอ่ งวา่ เป็นผรู้ ิเริมหรือผนู้ าํ ในศลิ ป- วิทยาการหลายสาขา เช่น ชีววิทยา ภมู ิศาสตร์ วศิ วกรรมและวทิ ยาศาสตร์ทางดา้ นการทหาร ดาวนิ ซี ใชท้ งั จินตนาการ สมั ผสั ทางสีสนั และการจดั องคป์ ระกอบร่วมกบั อารมณ์ในการผลติ งานต่าง ๆ เขาใชส้ มองทงั สองซีกอยา่ ง เตม็ ที และ เอดิสนั เป็นสุดยอดของนกั ประดิษฐท์ ีมีผลงานการคิดคน้ สิงต่าง ๆ ดว้ ยปริมาณ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 9

10 ทีสูงทีสุดทียงั ไม่มีผใู้ ดเปรียบได้ นนั คือ ไดจ้ ดทะเบียนลิขสิทธิสิงประดิษฐข์ องเขาไว้ 1,093 ชนิด และมีสิงทียงั ไมไ่ ดจ้ ดทะเบียนอีกมากมาย เห็นไดช้ ดั เจนว่าเมอื เขาจินตนาการแลว้ ได้ มีการทดลองทาํ ตามความคดิ ของเขาดว้ ย ในวยั เดก็ เขาเคยทดลองนงั กกไข่แทนแม่ไก่ ตวั อยา่ งงานประดิษฐท์ ีสาํ คญั ของเอดิสนั เช่น ปรับปรุงเครืองรับโทรศพั ทข์ องเบลลใ์ หด้ ีขึน โดยบริษทั เวสเทอร์น ยเู นียน เป็นผวู้ ่าจา้ ง ซึงเขาปรับปรุงจนไดผ้ ลดี และคาํ วา่ “ ฮลั โหล” ที เขาพดู ซาํ ๆ กนั หลายครังในการทดลอง กเ็ ป็นทีนิยมใชก้ นั จนถึงทุกวนั นี งานประดิษฐ์ เครืองบนั ทึกเสียง งานประดิษฐเ์ ครืองฉายภาพยนตร์ และทีสาํ คญั อยา่ งยงิ คืองานประดิษฐ์ หลอดไฟฟ้ า โดยเขาคดิ จินตนาการวา่ ควรใชว้ ตั ถทุ าํ เป็นไสห้ ลอดไฟ แทนการอาร์คดว้ ย คาร์บอนตามระบบเดิม เขาทดลองใชว้ ตั ถุหลายชนิดทาํ ไสห้ ลอด เช่น ใยมะพร้าว เสน้ ผม คาร์บอน และโลหะต่าง ๆ  เราสามารถฝึกการจินตนาการได้ เชน่ การตงั คาํ ถามเกียวกบั สิงของ สถานการณ์ หรือเหตุการณ์แปลก ๆ แลว้ จินตนาการคาํ ตอบหลาย ๆ คาํ ตอบดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี  ตวั อย่าง คาํ ถามต่อไปนี เป็นการฝึกการจินตนาการ o ถา้ นกั ศึกษาพบกบั นายกรัฐมนตรีโดยบงั เอิญนกั ศกึ ษาจะพดู อะไรกบั ท่านนายก o ถา้ มา้ กบั รถยนตพ์ ดู คุยกนั ได้ เมือเจอกนั จะพดู คุยกนั อยา่ งไร o จะเกิดอะไรขึน ถา้ …………………………………….. o อะไรจะเกิดขึนบา้ ง ถา้ มนุษยม์ ีตาหลงั เพมิ ขึนอีกสองตา  [] o ฝึ กให้มมี ุมมองหลากหลาย โดยกาํ หนดรูปร่าง สิงของ สถานการณ์ เหตุการณ์ในรูปแบบ ต่าง ๆ แลว้ พยายามตอบหรือบอกใหไ้ ดค้ าํ ตอบทีเกียวขอ้ งกบั สิงนนั ใหม้ ากทีสุด ใหแ้ ปลก ทีสุด  ตวั อย่าง ในภาพนีมองเป็นอะไรไดบ้ า้ ง   รูปวงกลมอยขู่ า้ งกล่องสามเหลยี ม  รูปบา้ น รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย  รูปซองจดหมาย  รูปภาพมที ีแขวนกบั ผนงั  รูปกล่องสามเหลยี มทีถกู เจาะรู  6) ขนมปัง ฯลฯ หนา้ 10

11 o ฝึ กหาทางเลอื กหลากหลาย โดยกาํ หนดเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ทีเป็นปัญหา แลว้ พยายามบอกคาํ ตอบทีเป็นไปไดใ้ หม้ ากทีสุด ใหแ้ ปลกทีสุด เพอื เป็นทางเลอื กใหม่ ในการ เปลยี นแปลงสถานการณ์ทีเป็นปัญหา  ตวั อย่าง ปัญหาทีฝึกใหห้ าทางเลือกหลากหลาย เช่น คาํ ตอบของสภาพปัญหา “ โรงเรียนไม่มคี รู” o ใหน้ กั เรียนโตสอนนกั เรียนเลก็ o ใชเ้ ทคโนโลยกี ารสือสารทางไกล o ยมื ครูมาจากโรงเรียนในเขตเดียวกนั o ใชส้ ือการสอนทีเรียนไดด้ ว้ ยตนเอง o ใหค้ นในทอ้ งถนิ มาช่วยสอน o ใหพ้ ่อ - แม่ ผปู้ กครองผลดั กนั มาสอน o ยา้ ยนกั เรียนไปเรียนทีโรงเรียนใกลเ้ คียง  ฝึ กผสมผสานความคดิ โดยกาํ หนดของ 2 อยา่ งมาค่กู นั และพยายามคิดของสิงหนึง  ตามคุณสมบตั ิหรือลกั ษณะของอกี สิงหนึง หรือนาํ คุณสมบตั ิของทงั สองอยา่ งมาเชือมต่อกนั ไดส้ ิงใหม่ ซึงแปลกไปกว่าเดิม ซึงบางคาํ ตอบอาจเป็นแนวคิดไปสู่การปฏิบตั ิได้  ตวั อย่าง ( จาก แว้บ ! แปลจาก A Whack on The Side of The Head ของ Roger von Oech เรียบเรียง โดย ดร. กอ้ งเกียรติ โอภาสวงการ หนา้ 25-26 2536 ) นายโจฮนั กเู ตนเบอร์ก เป็นผนู้ าํ แนวคิดสองอยา่ ง ทีไม่เกียวขอ้ งกนั คือการพิมพเ์ หรียญกษาปณ์ และการคนั องุ่น มารวมกนั กลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ ชนิดใหม่ กรรมวิธีพิมพเ์ หรียญกษาปณ์มจี ุดประสงคเ์ พือทาํ ใหเ้ หรียญเกิดรอยภาพตามทีออกแบบไว้ และกรรมวธิ ีคนั องุ่นโดยการบีบในถงั มจี ุดประสงคท์ ีจะแยกนาํ หวานออกจากผลเพอื มาทาํ เหลา้ องุ่น นาย กเู ตนเบอร์ก สงสยั ว่า ถา้ ลองเอาแบบพมิ พเ์ หรียญกษาปณ์ไปไวใ้ ตเ้ ครืองคนั องุ่น ลองบีบดู โดยใช้ กระดาษวางใตแ้ บบพิมพเ์ หรียญดว้ ยแลว้ จะเกดิ อะไรขึน เขาไดท้ าํ ลายความรู้สึกทวี ่าเครืองคนั องุ่น มไี ว้ คนั องุ่นอยา่ งเดียว ซึงผลลพั ธจ์ ากการกระทาํ ดงั กล่าว กค็ ือเขาไดค้ น้ พบกรรมวิธีพมิ พห์ นงั สือโดยใช้ แป้ นพิมพ์  ตวั อย่าง สถานการณ์ฝึกการผสมผสานความคิด โดยคิดสิงหนึงตามคุณสมบตั ิของอีกสิงหนึง หรือ เชือมคุณสมบตั ิทงั สองเป็นของใหมใ่ หม้ ากทีสุดเช่นในภาพที 2.4 นก และปากกา กาํ หนดคุณสมบตั ิของ นก ใหเ้ ขียนคุณสมบตั ขิ องปากกา ทีเทียบเคียงกนั หรือกาํ หนดคณุ สมบตั ิของปากกากใหเ้ ขียนคุณสมบตั ิ ของนก รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 11

12   ภาพที 2.4 o นกทีสามารถเขียนหนงั สือได้ ปากกาทีสามารถเคลอื นไหวไดร้ วดเร็ว o ปากกามปี ลอก( ปากนก) ปากกาทีมสี ีสนั สดใส o ปากกามขี น ปากกามีเสียง o ปากกาปากแขง็ สามารถเจาะกระดาษได้ ปากการูปร่างนก o ฝึ กคดิ ปรับปรุงสิงทมี อี ยู่ โดยกาํ หนดสิงทีเป็นอยใู่ นปัจจุบนั เช่น สิงของ ความคิด การ ปฏิบตั ิ กระบวนการต่างๆ แลว้ ฝึกคดิ วิเคราะหเ์ พอื ปรับปรุงและพฒั นา โดยคิดตามลาํ ดบั ดงั นี  สิงนีมีจุดประสงคอ์ ะไร  สิงนีมรี ูปแบบหรือลกั ษณะอยา่ งไร และตรงไหนเป็นจดุ เดน่ - จุดสาํ คญั  หาเหตุผลว่า ตอบสนองวตั ถปุ ระสงคไ์ ดอ้ ยา่ งไร และตรงไหนเป็นส่วนสาํ คญั  พิจารณาดดั แปลง ปรับปรุง ตรวจสอบ หาสิงทดแทน เพือใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์ ไดด้ ีขึน  ตวั อย่าง แสดงการฝึกคิดปรับปรุงสิงทีมอี ยู่ เกียวกบั “ การจดั กจิ กรรมรับนอ้ งใหม”่ o จุดประสงค์ : เพอื สร้างความรักของนกั ศกึ ษาในสถาบนั และใหค้ วามอบอุน่ กบั นอ้ งใหม่ o รูปแบบ : รุ่นพบี งั คบั รุ่นนอ้ งใหท้ าํ ตามคาํ สงั มีการป้ ายสีบนร่างกายของรุ่นนอ้ ง o เหตุผล : การทีถกู กลนั แกลง้ จะทาํ ใหร้ ุ่นนอ้ งรักกนั และสามารถจดจาํ รุ่นพีไดด้ ี ซึงต่อไปจะ ทาํ ใหเ้ กิดความรกั และความสามคั คี o การตรวจสอบและปรับปรุง :……………………………………………………… 7) การมอี ารมณ์ขนั ไอเซน, ดบู แมน และ โนวกิ ก◌ี◌้ (Isen , Daubman & Nawicki 1987 ) ไดว้ ิจยั เกียวกบั การคดิ สร้างสรรคก์ บั อารมณข์ นั ผวู้ จิ ยั พบว่า บุคคลทีชอบดูรายการเกียวขอ้ งกบั อารมณ์ขนั ต่าง ๆ นนั มกั มี คุณสมบตั ิทางดา้ นการคิดทีเป็นปกติเหมอื นคนทวั ๆ ไป สามารถรับรู้ความสมั พนั ธเ์ ชือมโยงระหวา่ งความรู้ ขอ้ มลู ข่าวสารต่าง ๆ ไดด้ ี มีอารมณ์ดี ซึงเป็นสิงทีส่งเสริมใหบ้ ุคคลมีความคิดกวา้ ง และมคี วามคิด สร้างสรรคเ์ พมิ ขึน รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 12

13   ภาพ การใชเ้ วลาไปโดยปราศจากความคิดสร้างสรรค์  8) การคดิ ออกนอกกรอบการคดิ ปกติ รูปแบบทีจะชนะตอ้ งกาํ จดั ความคิดทียดึ ติดรูปแบบทีเคยพบ ออกไป คนมากมายไดต้ ดั สินความคิดใหม่ ๆ ไวล้ ว่ งหนา้ และไม่เคยใหโ้ อกาสแก่ตนเองในการถาม คาํ ถามต่าง ๆ ทีถกู ตอ้ ง ดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี  ตวั อย่าง2.12 มีจุดอยู่ 9 จุด จดั เรียงกนั ดงั รูปขา้ งลา่ งต่อไปนี ใหล้ ากเสน้ ตรงผา่ นจุดทงั 9 โดยลากเสน้ ตรง เพียง 4 เสน้ ทงั นีตอ้ งไม่ยกปลายดินสอ ( หรือปากกา) ออกจากกระดาษ   ภาพที 2.6  วธิ คี ดิ การแกป้ ัญหานี ส่วนใหญ่จะตอ้ งลากเสน้ อยา่ งนอ้ ย 5 เสน้ ซึงถา้ เรามาพิจารณาว่าทาํ ไมถงึ เป็น เช่นนนั ก็เพราะว่าเราไดก้ าํ หนด ขอบเขตของวธิ ีปฏิบตั ิเอาไวว้ ่าตอ้ งขดี เสน้ อยใู่ นกรอบสีเหลยี มของจุด ทงั 9 จุด โดยทีโจทยไ์ มไ่ ดบ้ งั คบั ไว้ ทาํ ใหเ้ ราไม่สามารถแกป้ ัญหานีไดโ้ ดยลากเสน้ ตรงเพยี ง 4 เสน้ นนั คือ การแกป้ ัญหานีตอ้ งรู้จกั คิดและขีดออกไป “ นอกกรอบ” ซึงสามารถทาํ ไดด้ งั ภาพ2.6  []  ตวั อย่าง นกั ศกึ ษาไดร้ ับคาํ สงั ใหป้ ลกู ตน้ ไม้ 4 ตน้ โดยแต่ละตน้ จะตอ้ งมรี ะยะห่างเท่า ๆ กนั ทุกตน้ นกั ศกึ ษาคิดว่ามวี ิธีการปลกู อยา่ งไร  วธิ ีคดิ การแกป้ ัญหานีส่วนใหญ่อาจคิดโดยปลกู ตน้ ไมล้ งบนจุดยอดมุมของรูปสีเหลียมจตั ุรัส แต่กจ็ ะ พบว่าตน้ ทีอยใู่ นแนวเสน้ ทะแยงมุมของรูปสีเหลียม มีระยะห่างมากกวา่ ตน้ ทีอยใู่ นแนวเสน้ อืนๆ และไม่ ว่าจะลองปลกู แบบใด เรากจ็ ะไมส่ ามารถทาํ ตามเงือนไขขา้ งตน้ ได้ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 13

14  ปัญหานีจะสามารถหาคาํ ตอบได้ กต็ ่อเมอื เราไดพ้ จิ ารณาปัญหานีอยา่ งถอ่ งแทว้ ่า ปัญหามขี อ้ กาํ หนด อะไรบา้ ง และเราไดบ้ ีบตนเองในเรืองใดหรือไมโ่ ดยทีปัญหาไม่ไดก้ าํ หนด หรือกล่าววา่ เราไดส้ ร้าง ขอบเขตอะไรขึนมาดว้ ยตนเองหรือไม่ คาํ ตอบคือไม่จาํ เป็นตอ้ งปลกู บนพืนราบเท่านนั แลว้ เราก็จะพบ ทางออก โดยการทาํ เนินขึนมาแลว้ ปลกู ตน้ ไมล้ งบนยอดเนินนนั ตน้ หนึง ส่วนอกี 3 ตน้ ทีเหลือใหป้ ลกู ไว้ ตรงเชิงเนิน ดงั ภาพที 2.7   ภาพ การแกป้ ัญหาการปลกู ตน้ ไม้  ตวั อย่าง เมอื โทมสั เอดิสนั ตอ้ งการจา้ งพนกั งานใหม่ เขาจะเชิญผสู้ มคั รมาทานอาหารกลางวนั ทีเป็น ซุปชามหนึง แลว้ เขาจะเฝ้ าดูบุคคลนนั อยา่ งระมดั ระวงั เพือดูวา่ เขาเหยาะเกลอื ลงก่อนทจี ะชิมหรือไม่ ถา้ เหยาะก่อนเขาก็ไมจ่ า้ ง เพราะเอดิสนั รู้สึกว่าคนเรามีขอ้ สมมติมากมายทีไดร้ ับการปลกู สร้างไวใ้ น ความคิดของเราโดยความจาํ เป็นของชีวติ เขาไม่อยากใหค้ นของเขา “ เหยาะเกลอื ประสบการณ์แห่งชวี ติ ก่อนทีจะไดช้ ิม”  กจิ กรรม o ความเกียจคร้าน มีประโยชน์อะไรบา้ ง  2 ถา้ นกั ศกึ ษาเป็นเจา้ ของประกอบการ มีวิธีการอะไรบา้ งในการตอบแทนพนกั งานทีทาํ งานซือสตั ย์ ขยนั อดทน มคี วามรับผดิ ชอบสูง นอกเหนือจากการเพมิ เงนิ เดือน และการใหเ้ งินโบนสั o ใหน้ กั ศกึ ษาคิดบทเจรจา เมอื แมน่ าคพระโขนงพบกบั ไอนส์ ไตน์ o จะเกิดอะไรขึน ถา้ มนุษยส์ ามารถพดู คุย สือสารกบั สตั วท์ ุกชนิดได้ o จะเกิดอะไรขึน ถา้ นกั ศึกษาถกู สลากกินแบ่งรัฐบาลรางวลั ที 1 o จงแบ่งรูปสีเหลียมจตั ุรัสใหเ้ ป็นสีส่วนทีเท่ากนั ใหม้ ากแบบทีสุดและปฏบิ ตั ิใหเ้ ห็นจริง โดย แบ่งกลมุ่ ตดั กระดาษตามแบบทีได้ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 14

15  o กาํ หนดไมข้ ีดให้ 9 กา้ น ใหต้ ่อไมข้ ีด 9 กา้ นนีใหเ้ ป็นรูปสามเหลยี มดา้ นเท่า 7 รูป ( หา้ มหกั ไมข้ ีด) วาดรูปประกอบดว้ ย o กาํ หนดใหก้ ระดาษขนาด A4 จาํ นวน 1 แผน่ ใหน้ กั ศกึ ษาฉีกออกอยา่ ใหห้ ลุดออกจากกนั เมอื ดึงออกใหเ้ ป็นวง ( หรือกรอบ) สามารถครอบตวั นกั ศึกษาได้ o รถยนตส์ าํ หรับบรรทุกไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ ควรมีรูปลกั ษณะ และอปุ กรณ์พเิ ศษอยา่ งไร บา้ ง o มจี ุดอยู่ 16 จุด จดั เรียงกนั ดงั รูปขา้ งล่าง ใหล้ ากเสน้ ตรงผา่ นจุดทงั 16 โดยลากเสน้ ตรงเพียง 6 เสน้ ทงั นีตอ้ งไม่ยกปลายดนิ สอ( หรือปากกา) ออกจากกระดาษ  o จงเขียนจาํ นวน 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7 , 8 และ 9 ลงในรูปวงกลมขา้ งลา่ ง ใหผ้ ลบวกของ จาํ นวน สีจาํ นวน ทีอยใู่ นแถวเดียวกนั รวมกนั เป็น 20 วิธีแรก สาํ หรับผทู้ ียงั ไมท่ ราบวา่ จะ ทาํ อยา่ งไร คงตอ้ งใชก้ ารลองผดิ ลองถกู  o จากขอ้ 11. เขียนจาํ นวนดงั กลา่ วในรูปวงกลมเช่นเดิม แต่ใหผ้ ลบวกของจาํ นวนสี จาํ นวนที อยใู่ นแถวเดียวกนั รวมกนั เป็น 17 รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 15

16 o ใหน้ กั ศึกษาคิดสิงหนึงตามคณุ สมบตั ิของอกี สิงหนึง หรือเชือมคุณสมบตั ิทงั สองเป็น ของใหมใ่ หม้ ากทีสุด  o จากภาพแต่ละภาพต่อไปนี ใหน้ กั ศกึ ษาพิจารณาวา่ วตั ถุนนั ๆ มผี วิ หนา้ ของวตั ถุจาํ นวนกี หนา้  ตวั อยา่ งเช่นในภาพทางซา้ ยมือ ผวิ บน 1 มี 1 หนา้ ผวิ ดา้ นล่าง 3 หนา้ ผวิ ดา้ นนอก 4 หนา้ และผวิ ดา้ นในอีก 2 หนา้ รวมเป็น 10  ผวิ หนา้  o ใหน้ กั ศกึ ษาจินตนาการว่ารูปสีเหลียมจตั ุรัสต่อไปนีมองดเู หมอื นอะไรบา้ ง ใหต้ อบอยา่ ง นอ้ ย 3 อยา่ ง รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 16

17  o ใหน้ กั ศึกษาตงั สถานการณ์เพือฝึกใหต้ นเองพฒั นาการคิดริเริม และปฏบิ ตั ิตามการฝึกทีคิด ขึนดว้ ย  []  4. การคดิ ละเอยี ด ชัดเจน  การคดิ ละเอยี ดชดั เจน หมายถึงการคิดทีใหผ้ ลของการคดิ ทมี รี ายละเอยี ดทงั ส่วนทีเป็นหลกั ของเรืองที คิด และส่วนทีเป็นองคป์ ระกอบยอ่ ยของหลกั ทคี ิด รวมถงึ การคิดทีชดั เจนโดยสามารถอธิบายเรืองทีคิด หรือยกตวั อยา่ งทีสอดคลอ้ งกบั เรืองทีคิดได้ และในกรณีทีเป็นความคิดเกยี วกบั การปฏิบตั ิ จะตอ้ ง สามารถ บอกขนั ตอนการปฏิบตั ิได้ การฝึกการคิดละเอยี ด ชดั เจน สามารถทาํ ไดโ้ ดยฝึกใหข้ ยายความ โดยการอธิบายเพมิ เติม การยกตวั อยา่ ง คาํ อปุ มาอปุ ไมย คาํ พงั เพย ประกอบการอธิบาย และฝึกใหค้ ิดถึง ขนั ตอนในการดาํ เนินการต่างๆ ซึงอาจใชก้ ารเขียนแผนผงั ช่วย ซึงแผนผงั ทีใชม้ ีหลายแบบเช่น แผนผงั กา้ งปลา แผนทีความคิด(Mind mapping) แผนภูมิ ในทีนีจะยกตวั อยา่ งวธิ ีการฝึกการคิดละเอยี ด ชดั เจน โดยการเขียนแผนผงั ความคิดซึงมปี ระโยชนม์ าก ในการวางแผนการปฏิบตั ิงานต่างๆ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 17

18  เทคนคิ การเขียนแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping)  การเขียนแผนผงั ความคิด ช่วยใหเ้ กิดอิสระทางความคิด สามารถระดมความคิดจดั หมวดหม่คู วามคิด และใชส้ รุปยอ่ เรืองทีสนใจซึงอาจเป็นเรืองทีไดจ้ ากการฟัง การอา่ น ซึงมีผลช่วยในการจาํ ไดอ้ ยา่ งดี นอกจากนียงั ฝึกการใชส้ มองทงั 2 ซีกดว้ ย การเขียนแผนผงั ความคดิ มวี ธิ ีการสนั ๆ ดงั นี  เขียนหวั ขอ้ หรือวาดภาพเรืองทีตอ้ งการคิดไวก้ ลางหนา้ กระดาษ  ลากเสน้ ออกมาจากหวั ขอ้ หรือภาพในขอ้ 1) โดยจะเป็นเสน้ ตรงหรือเสน้ โคง้ กไ็ ด้ อาจเรียกว่ากิง และ เขียนปัจจยั หลกั หรือ หวั ขอ้ สาํ คญั ไวเ้ หนือเสน้ ทีเป็นกิง ซึงการนึกถงึ ปัจจยั หลกั นีอาจคดิ ประกอบเป็น ภาพจาํ ลองของเหตุการณ์ทีสนใจกไ็ ด้ ดภู าพที 2.8 (1)   ภาพที 2.8 (1)  ภาพที 2.8 (2)  3)เขียนปัจจยั รองหวั ขอ้ รองซึงเป็นรายละเอยี ดหรือเนือหาทีสาํ คญั ของแต่ละหวั ขอ้ หลกั บนเสน้ แขนงที ต่อออกไปจากแต่ละกิง ทีทาํ ไวใ้ นภาพที 2.8(1) เป็นภาพที 2.8 (2)  พยายามคิดถึงรายละเอียดเพมิ เติม ขยายต่อไปในแต่ละแขนงของภาพที 2.8 (2) และเขียนเป็นขอ้ ความไว้ บนเสน้ ทีแตกยอ่ ยออกไปจากแขนงนนั ๆ  การเขียนแผนผงั ความคิดนีสามารถเพมิ เติมเสน้ กิง แขนง หรือแขนงยอ่ ยไดเ้ สมอเมือพบหวั ขอ้ หลกั หวั ขอ้ รองทีเกียวขอ้ ง หรือน่าสนใจในภายหลงั นอกจากนีแผนผงั ความคดิ สามารถทาํ ใหน้ ่าสนใจ เห็น หวั ขอ้ ทีสาํ คญั และสวยงามเพมิ ขึนไดอ้ กี เช่น ทาํ ใหข้ นาดของเสน้ มคี วามหนามากหรือนอ้ ยแตกต่างกนั ตามลาํ ดบั ขนั ของการเขยี นจากศนู ยก์ ลางของภาพ ซึงขนาดของเสน้ จากศนู ยก์ ลางของภาพจะมีความ หนามากทีสุดและค่อย ๆ มีความหนาลดลง หรือใหค้ วามหนาของตวั อกั ษรทีเขียนแตกต่างกนั โดยหวั ขอ้ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 18

19 สาํ คญั มอี กั ษรตวั ใหญ่และหนา หวั ขอ้ รองเป็นอกั ษรตวั เลก็ กวา่ และอาจใชส้ ีหรือภาพวาดประกอบให้ สวยงามก็ได้  ตวั อย่าง ถา้ ตอ้ งการเขียนแผนผงั ความคิดในหวั ขอ้ การจดั อบรมอาจารยว์ ชิ าการคิดและการตดั สินใจ นอกสถานทีสามารถเขียนแผนผงั ความคิดอยา่ งง่าย ๆ ไดด้ งั ภาพที 2.9   ภาพ แผนผงั ความคิดเกยี วกบั การเตรียมอบรมวชิ าการคิดและการตดั สินใจ  กจิ กรรม o จงเขียนแผนผงั ความคิดในหวั ขอ้ ทีกาํ หนดใหต้ ่อไปนี  นกั ศกึ ษาบางส่วนแต่งกายไมเ่ รียบร้อยเมอื เขา้ มาในสถานศึกษาเพราะอะไร  นกั ศกึ ษาบางส่วนมีผลการเรียนอยใู่ นเกณฑต์ าํ เพราะอะไร รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 19

20  []  5. การคดิ อย่างมเี หตผุ ล  การคิดอยา่ งมีเหตุผล เป็นการคิดทีอา้ งองิ หลกั ฐานมาสนบั สนุนเพือใหไ้ ดข้ อ้ สรุปทีถกู ตอ้ ง โดยสามารถ อธิบายหรือบอกความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งทีอา้ ง กบั ขอ้ สรุปได้ ซึงส่งผลใหผ้ ทู้ ีมคี วามคิดอยา่ งมีเหตุผล สามารถชกั ชวนหรืออธิบายใหผ้ อู้ ืนยอมรับ หรือเชือถอื ได้ และยงั ส่งผลใหเ้ ป็นคนทีไดม้ ี การพิจารณา รอบคอบมากขึน ก่อนการตดั สินใจในเรืองต่าง ๆ หลกั ฐานทีนาํ มาอา้ งอิงไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จริง หลกั การ หรือกฎเกณฑต์ ่าง ๆขอ้ สรุป ทีได้ ไดแ้ ก่ กฎเกณฑใ์ หม่ การตดั สินใจ ผลสรุป ขอ้ อา้ งอิง ความสมั พนั ธ์ การตดั สินประเมนิ ค่า สมมติฐาน หลกั การใหม่ ขอ้ สรุปทีไดน้ นั อาจ เป็น การอา้ งอิงจาก ขอ้ เท็จจริงหลาย ๆ ขอ้ มาสรุป หรืออาจตอ้ งใชค้ วามสามารถในการเปรียบเทียบ วเิ คราะห์ คน้ หา ฯลฯ ช่วยใหไ้ ดข้ อ้ สรุปนนั ๆ และถา้ ขอ้ มลู มีไมเ่ พียงพออาจทาํ ใหก้ ารสรุปนนั ผดิ พลาดได้  การฝึ กการคดิ อย่างมเี หตผุ ล สามารถทาํ ได้ เช่น  ใหท้ าํ การสรุป จากขอ้ มลู ความรู้ ทฤษฎีทกี าํ หนดให้ ซึงขอ้ มลู นนั อาจเป็นขอ้ ความ ตวั เลข หรือรูปภาพ  กาํ หนดขอ้ มลู เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ขึน แลว้ ใหบ้ อกเหตุผลเพือสนบั สนุนหรือคดั คา้ น  ฝึกการตงั สมมติฐาน ซึงเป็นการคาดคะเนคาํ ตอบทีเป็นไปได้ จากขอ้ มลู หรือความรู้ยอ่ ยทียงั ไม่สมบูรณ์  ตวั อย่าง จากขอ้ กาํ หนดใหต้ ่อไปนี จงหาวา่ A , B และ C เป็นตวั เลขโดดอะไร  AB + AB + AB = CBB  วธิ ีคดิ B เป็นหลกั หน่วย และ B บวกกนั 3 ตวั ไดผ้ ลลพั ธใ์ นหลกั หน่วยเป็น B แสดงว่า เราตอ้ งคิดถงึ เลข อะไรทีบวกกนั 3 ตวั แลว้ ไดผ้ ลลพั ธใ์ นหลกั หน่วยเป็นตวั เดมิ เมือพิจารณาจากเลข 0 ถงึ 9 พบว่าเลขที สอดคลอ้ งกบั เงือนไขดงั กลา่ ว คือ 0 กบั 5 ต่อไปพจิ ารณาในหลกั สิบ ตวั เลข A บวกกนั 3 ตวั และเมอื รวมกบั ตวั ทดของหลกั หน่วยแลว้ ไดผ้ ลลพั ธ์ เป็น CB  ถา้ B = 0 ไดว้ า่ ตวั เลข A บวกกนั 3 ตวั ได้ C0 ซึงไม่มตี วั เลขใดทีสอดคลอ้ งกบั เงือนไขนีแสดงวา่ B = 5 ทาํ ใหเ้ ราคิดต่อไปไดว้ า่ ตวั เลข A บวกกนั 3 ตวั และรวมกบั 10 ทีไดจ้ ากตวั ทด ไดผ้ ลลพั ธเ์ ป็น C5 ซึง ตวั เลขทีสอดคลอ้ งกบั เงือนไขของ A คือ 8 เพราะ 8+8+8 = 24 เมือบวกกบั ตวั ทด 1 รวมเป็น 25 ส่งผลให้ C คือเลข 2 นนั คือ 85 + 85 + 85 = 255  []  ตวั อย่าง มถี ุงผลไม้ 3 ถุง บรรจุสม้ อยา่ งเดียว 1 ถงุ และบรรจุมงั คุดอยา่ งเดียว 1 ถงุ และบรรจุสม้ ผสม กบั มงั คุดอกี 1 ถงุ ป้ ายฉลากทตี ิดชือผลไมบ้ นถุงติดไม่ถกู ตอ้ งทงั สามถงุ ใหน้ กั ศึกษาคิดหาวธิ ีการทจี ะ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 20

21 สลบั ป้ ายฉลากใหม่ใหถ้ กู ตอ้ ง โดยอนุญาตใหน้ กั ศกึ ษาดูผลไมใ้ นถุงไดเ้ พยี ง 1 ถุง ซึงเพอื นนกั ศกึ ษาใช้ มอื ลว้ งลงไปในถงุ ทีนกั ศกึ ษาบอกและหยบิ ใหด้ ูเพยี ง 1 ลกู เท่านนั  แนวคดิ ป้ ายฉลากทีตดิ ชือผลไมบ้ นถุงติดไม่ถกู ตอ้ งทงั สามถงุ นนั คือ  ถุงทีติดป้ ายฉลากวา่ “ สม้ ” ก็หมายความว่าในถุง อาจเป็นมงั คุดอยา่ งเดียวหรือเป็นสม้ ผสมกบั มงั คุดกไ็ ด้ ถา้ หยบิ 1 ลกู จากถงุ นีผลทีได้ อาจเป็นสม้ หรือมงั คดุ กไ็ ด้  ถงุ ทีติดป้ ายฉลากวา่ “ มงั คุด” ก็หมายความวา่ ในถุง อาจเป็นสม้ อยา่ งเดียว หรือเป็นสม้ ผสมกบั มงั คุดก็ ได้ ถา้ หยบิ 1 ลกู จากถุงนีผลทีได้ อาจเป็นสม้ หรือมงั คุดกไ็ ด้  ถุงทีติดป้ ายฉลากว่า “ สม้ ผสมกบั มงั คุด” ก็หมายความว่าในถงุ อาจเป็นมงั คุดอยา่ งเดียว หรือ เป็นสม้ อยา่ งเดียวก็ได้ ถา้ หยบิ 1 ลกู จากถุงนีผลทีได้ อาจเป็นสม้ หรือมงั คุดก็ได้  อนุญาตใหน้ กั ศกึ ษาดผู ลไมใ้ นถุงไดเ้ พยี ง 1 ถุง และดไู ดเ้ พียง 1 ลกู เท่านนั ลองพจิ ารณาจากแต่ละกรณีที เป็นไปได้ จะพบวา่ ผลไมท้ ีเพอื นหยบิ ใหด้ อู าจเป็นสม้ หรือมงั คุดกไ็ ด้  ถา้ หยบิ 1 ลกู จากถงุ ทีติดป้ ายฉลากวา่ “ สม้ ” พิจารณาผลทีได้ ดงั นี  ถา้ หยบิ ได้ “ สม้ ” สามารถสรุปไดว้ า่ ถุงใบนีเป็น “ สม้ ผสมกบั มงั คุด”  ถา้ หยบิ ได้ “ มงั คุด” ไม่สามารถสรุปไดว้ ่าเป็น “ มงั คุด” หรือ “ สม้ ผสมกบั มงั คุด”  เมือพจิ ารณาเหตุการณ์ในลกั ษณะเดียวกนั ทงั สามถุง พบวา่ มีแต่การหยบิ จากถงุ ทีติดป้ ายฉลากวา่ “ สม้ ผสมกบั มงั คุด” เท่านนั ทีทาํ ใหส้ ามารถสรุปไดว้ า่ ถงุ ดงั กล่าวบรรจุอะไร นนั คือถา้ หยบิ ได้ “ สม้ ” ก็แสดง ว่าถงุ นนั บรรจุสม้ อยา่ งเดียว และถา้ หยบิ ได้ “ มงั คุด” กแ็ สดงวา่ ถุงนนั บรรจุมงั คดุ อยา่ งเดียว ส่วนอกี 2 ถุงก็ติดป้ ายสลบั กนั  []  กจิ กรรม  ใหน้ กั ศกึ ษาพจิ ารณาตวั เลขทีเรียงกนั เป็นลาํ ดบั แลว้ พจิ ารณาหากฎเกณฑข์ องลาํ ดบั ตวั เลข และตวั อกั ษร เหล่านนั เพอื เติมตวั เลขหรือตวั อกั ษร ถดั ไปอีกอยา่ งนอ้ ย 3 ตวั o 2, 4, 6, 8, 10,… o 7, 35, 8, 40, 9, 45, 10, … o 7, 5, 11, 9, 15, 13,… o 3, 9, 4, 12, 5, 15, 6, …  5, 3, 1, 6, 4, 2, 7, … o 20, 19, 17, 14, 10,…  1, 2, 4, 8, 16, 32, …  1, 2, 4, 7, 11, 16, …  9) 1, 2,4, 7, 11, 16, …  10) 25, 22, 19, 16, 13, … รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 21

22  จากอกั ษรทีกาํ หนดใหม้ ลี กั ษณะดงั ต่อไปนี (ABA - CA = AB) จงหาวา่ อกั ษรแต่ละตวั คือตวั เลขโดด อะไร  ABA_  ... C A  ....A B  ใหน้ กั ศกึ ษาบอกเหตุผลเพอื สนบั สนุน หรือคดั คา้ นพฤตกิ รรมของกลุม่ คน ในกรณีต่อไปนี o การประทว้ งโดยการปิ ดถนนกีดขวางการจราจร o นกั ข่าวชอบทาํ ข่าวนกั การเมืองทีถกู ตดั สินว่า “ หา้ มลงเล่นการเมอื ง ”  ใหน้ กั ศึกษาบอกเหตุผลเพอื สนบั สนุน หรือคดั คา้ น ขอ้ ความต่อไปนี o “ อยกู่ ่อนแต่ง ” ดีกวา่ “ แต่งก่อนอยู่ ” o “ การจดั ระเบียบสงั คมในยคุ ปัจจุบนั เป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของเยาวชน ”  เดก็ ชายมานะ เด็กชายปัญญา และเดก็ ชายซือสตั ย์ เป็นเพือนกนั ทงั สามคนรีบร้อนออกจากหอ้ งสมุดของ โรงเรียนเพอื กลบั บา้ น แต่ละคนมาหยบิ กระเป๋ า และใส่รองเทา้ ทีอยหู่ นา้ หอ้ งสมดุ ปรากฎวา่ เมอื กลบั ถงึ บา้ น กระเป๋ าและรองเทา้ ลว้ นไมใ่ ช่ของตนเอง โดยทุกคนใส่รองเทา้ ของคนอนื และถอื กระเป๋ าของอกี คนหนึง มีอยคู่ นหนึงถอื กระเป๋ าของมานะ และใส่รองเทา้ ของปัญญา จงหาวา่ แต่ละคนหยบิ กระเป๋ าของ ใคร และใส่รองเทา้ ของใคร  ใหน้ กั ศกึ ษาจดั กลุ่ม กลมุ่ ละ 7-8 คน เสนอและเลือกหวั ขอ้ ทีกลุ่มสนใจในการฝึกการคิดอยา่ งมีเหตุผล แลว้ ระดมพลงั สมองปฏบิ ตั ิตามหวั ขอ้ ทีได้ ใชเ้ วลา 15 นาที  []  6. การคดิ กว้างและรอบคอบ  การคดิ กวา้ งและรอบคอบ หมายถงึ การคิดทีครอบคลุมถึงสิงทีเกียวขอ้ งกบั เรืองทีคิดในทกุ ดา้ น ทุกแง่ ทุกมมุ เช่นคดิ ทงั ในแง่บวกและลบ คดิ ทงั ทีเป็นขอ้ ดี ขอ้ เสีย หรือคิดทงั ทีเป็นคุณและเป็นโทษ และ พจิ ารณาถงึ ปัจจยั ต่างๆ ทีมีส่วนเกียวขอ้ งกบั เรืองทีคิด เช่น องคค์ วามรู้ทีเป็นสาระโดยตรง ( ความรู้ ทฤษฎี หลกั การของเรืองทีคิด) สิงแวดลอ้ ม สงั คม ศลี ธรรม ซึงการคิดกวา้ งและรอบคอบจะทาํ ใหเ้ ขา้ ใจ ในเรืองต่างๆ ไดด้ ียงิ ขึน ถกู ตอ้ งมากขึน และสามารถตดั สินใจไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง  เราสามารถฝึ กเพอื พฒั นาการคดิ กว้างและรอบคอบ ได้ เช่น  ฝึกระบุหรือบอกองคป์ ระกอบเกียวกบั เรืองทีจะคิด รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 22

23  ฝึกระบุผลหรือผลกระทบทีเกดิ ขึนในทกุ ๆ ดา้ น ตามทีฝึกในขอ้ 1) จากเหตุการณ์หรือ สถานการณ์ที กาํ หนด  ฝึกคาดคะเนความรู้สึกนึกคิดของบุคคลอนื ในสถานการณต์ ่าง ๆ ทีกาํ หนดขึน  ฝึกการคิดทุกแง่มุม โดยกาํ หนดสถานที สิงของ หรือเหตุการณ์ แลว้ บอกขอ้ ดี - ขอ้ เสีย ขอ้ ทีน่าสงั เกต สนใจ ประโยชน์ – โทษ หรือ ผลบวก – ผลลบ เกียวกบั สิงทีกาํ หนดใหน้ นั  ตวั อย่าง จะประดิษฐต์ กุ๊ ตาขาย ตอ้ งคาํ นึงถึงเรืองอะไรบา้ ง  แนวคดิ  1) รูปแบบของตกุ๊ ตา  2) ขนาดของตุก๊ ตา  3) วสั ดุทีใช้  4) เงินทุน  5) การตลาด  6) แรงงาน   7) ระยะเวลาการผลิต เป็นตน้   ตวั อย่าง จงยกตวั อยา่ งคาํ ถาม เพือฝึกระบุผล หรือผลกระทบทีเกิด  แนวคดิ o ในหมบู่ า้ นชนบทห่างไกล เมือมีไฟฟ้ า ถนน เขา้ หม่บู า้ น จะมีผลกระทบในดา้ นใดบา้ ง และ มผี ลกระทบอยา่ งไร o การตดั ต่อสายพนั ธุพ์ ืช จะมีผลกระทบอะไรบา้ ง อยา่ งไร  []  ตวั อย่าง จงยกตวั อยา่ งคาํ ถาม เพือฝึกคาดคะเนความรู้สึกนึกคิดของบุคคลอนื ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที กาํ หนดขึน  แนวคดิ รายการ “ เกมโชว”์ ในโทรทศั น์ มผี ใู้ ดเกียวขอ้ งบา้ ง และผทู้ ีเกียวขอ้ งดงั กล่าว น่าจะมคี วาม คิดเห็น หรือความรู้สึกต่อรายการ “ เกมโชว”์ อยา่ งไร  []  ตวั อยา่ ง จงยกตวั อยา่ งคาํ ถาม เพอื ฝึกการคิดทุกแง่มุม  แนวคดิ อาชีพนกั ดนตรี มขี อ้ ดี ขอ้ เสีย และขอ้ น่าสนใจอะไรบา้ ง รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 23

24  []  กจิ กรรม o ถา้ นกั ศึกษาไปสมคั รงาน และมกี ารสมั ภาษณ์ดว้ ย นกั ศกึ ษาคิดวา่ ผสู้ มั ภาษณจ์ ะถามคาํ ถาม อะไรบา้ ง นกั ศกึ ษาควรเตรียมตวั อยา่ งไรบา้ ง o ถา้ สถาบนั อนุญาตใหน้ กั ศกึ ษาแต่งกายไดอ้ ยา่ งเสรีในการมาศกึ ษาในสถาบนั จะมี ผลกระทบอะไรบา้ ง มีขอ้ ดี ขอ้ เสียทีน่าสนใจอะไรบา้ ง และน่าจะมขี อ้ จาํ กดั และขอบเขต เพียงใด o ในการสอบครังหนึง ซึงมนี กั ศึกษาสอบอยใู่ นหอ้ งนนั ดว้ ย และมกี ารทุจริตในการสอบ เกิดขนึ จาํ นวนหลายราย ( ตวั นกั ศกึ ษาเองสอบดว้ ยความบริสุทธิ) นกั ศกึ ษาคิดวา่ มบี ุคคลใด เกียวขอ้ งกบั การสอบบา้ ง และบุคคลเหล่านนั น่าจะคิดอยา่ งไรต่อการทุจริตในการสอบ  4. จากภาพทางขวามือ ใหน้ กั ศึกษาพิจารณาว่า มลี กู ศรกีอนั และชีไปทางทิศใดบา้ ง  รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 24

25 o จากภาพทางขวามือ นกั ศกึ ษา มองเห็นเป็นรูปอะไรไดบ้ า้ ง ตอบใหไ้ ดม้ ากทีสุด  o ใหน้ กั ศึกษาแบ่งกลมุ่ 6-8 คน ช่วยกนั เสนอคาํ ถามหรือสถานการณ์เพือฝึกพฒั นาการคิด กวา้ งและรอบคอบ และใหก้ ล่มุ ปฏิบตั ิตามการฝึกทีคิดขนึ  7. การคดิ ไกล  การคิดไกล หมายถงึ การคิดถึงสิงทีจะเกิดขนึ ในอนาคต ทงั ต่อตนเองและส่วนรวม ซึงอาจเป็นผลที เกิดขนึ จากการกระทาํ ในปัจจุบนั หรือเป็นจุดประสงคห์ รือจุดม่งุ หมายทีตอ้ งการใหเ้ กิดขนึ ในอนาคต การฝึกการคิดไกลจะส่งผลใหค้ ิดในเรืองเกียวกบั ผลทีจะเกิดขึนในอนาคต รู้จกั วางแผน เตรียมการ สาํ หรับอนาคตทีดี ป้ องกนั ไม่ใหเ้ กิดปัญหาในอนาคต หรือป้ องกนั ใหเ้ กิดปัญหานอ้ ยทีสุด  การฝึ กการคดิ ไกล สามารถทาํ ไดด้ งั ต่อไปนี o กาํ หนดการกระทาํ หรือสภาพการณ์ในปัจจุบนั แลว้ ฝึกใหค้ ิดถงึ ผลทีจะเกิดขึนในอนาคต เช่นนกั ศกึ ษาทีสนใจ มคี วามรับผดิ ชอบในการงาน การเรียน จะส่งผลอยา่ งไรในอนาคต ซึง ในบางครังอาจเป็นการพยากรณก์ ็ได้ o กาํ หนดหลกั การ จดุ มงุ่ หมายบางอยา่ ง แลว้ ใหฝ้ ึกกาํ หนดขนั ตอนการปฏิบตั ิเพือใหบ้ รรลุ จุดม่งุ หมาย เช่น ไดร้ ับมอบหมายใหไ้ ปอบรมต่างจงั หวดั 5 วนั โดยทราบสถานทีพกั เรียบร้อยแลว้ ควรตอ้ งเตรียมตวั อยา่ งไรก่อนวนั เดินทาง รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 25

26  กจิ กรรม o นกั ศกึ ษาทีไม่ใส่ใจในการศกึ ษาเลา่ เรียน มผี ลกระทบในอนาคตต่อสิงใดบา้ งและมี ผลกระทบอยา่ งไร o ถา้ บริเวณทีราบภาคเหนือมกี ารเกษตรทีใชส้ ารเคมใี นการเกษตรเป็นจาํ นวนมาก จะมี ผลกระทบกบั สภาพนาํ ในแมน่ าํ เจา้ พระยาอยา่ งไรบา้ ง o ถา้ เยาวชนของชาติไทยในปัจจุบนั มกี ารเสพยาบา้ เพมิ ขึนเรือย ๆ จะเกิดอะไรขึนกบั สงั คมไทยในช่วง 1- 5 ปี ขา้ งหนา้ และ 6 -10 ปี ขา้ งหนา้  []  8. การคดิ ลกึ ซึง  การคดิ ลึกซึงหมายถึง การคิดทีทาํ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ ง และลึกซึงเกียวกบั เรืองทีคิด โดย สามารถเขา้ ใจสภาพต่าง ๆ ทีซบั ซอ้ น ทงั ในภาพรวมและส่วนประกอบยอ่ ยต่างๆ ของเรืองทีคิด ซึงการ ฝึกการคิดลึกซึงจะช่วยใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจในเรืองทีตอ้ งการศกึ ษามากยงิ ขึน หาขอ้ สรุปในเรืองที ซบั ซอ้ นได้ และสามารถเลือกปฏิบตั ิกิจกรรมทีมคี วามสาํ คญั และจาํ เป็นตามลาํ ดบั ก่อนหลงั ซึงทาํ ให้ ประหยดั ทรัพยากรต่าง ๆ และสามารถแกป้ ัญหาต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ  การฝึ กการคดิ ลกึ ซึง สามารถทาํ ไดด้ งั ต่อไปนี o ฝึกตามการพฒั นาการคิดอยา่ งมีเหตุผล o ฝึกตามการพฒั นาการคิดวิเคราะห์ o กาํ หนดสถานการณ์ใหว้ ิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบ และใหป้ ระเมินเปรียบเทียบ เพือจดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั ขององคป์ ระกอบทีวเิ คราะหไ์ ว้ เช่น คุณสมบตั ิของผทู้ ีจะเป็นนายกองคก์ าร นกั ศกึ ษามอี ะไรบา้ ง และคุณสมบตั ิทีสาํ คญั 3 อนั ดบั แรกคอื อะไร o กาํ หนดสถานการณ์ประเภททีตอ้ งเลอื กการปฏบิ ตั กิ ่อนหลงั และใหพ้ ิจารณาจาก ความสาํ คญั และความจาํ เป็นขององคป์ ระกอบต่าง ๆ ทีวิเคราะห์ไดจ้ ากสถานการณ์ที กาํ หนด o กาํ หนดสิงทีพบในสงั คม หรือชีวติ ประจาํ วนั แลว้ ฝึกใหว้ ิเคราะหแ์ ละอธิบายถงึ กฎเกณฑ์ สาเหตุทีทาํ ใหเ้ กิดเหตุการณ์นนั ๆ เช่น นกั ศกึ ษาทีสาํ เร็จการศกึ ษาชนั มธั ยมศึกษาตอน ปลาย เลอื กเรียนในสาขาแพทย์  ตวั อย่าง การคิดต่อไปนีแสดงถึงการคิดลกึ ซึง รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 26

27  การเห็นปรากฎการณ์มเี งาดาํ ไปบงั ดวงอาทิตย์ ( เกิดสุริยปุ ราคา ) และเงาดาํ บงั ดวงจนั ทร์ ( จนั ทรุปราคา ) นกั วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายปรากฏการณ์ดงั กลา่ วได้ แสดงว่านกั วิทยาศาสตร์เขา้ ใจถงึ ความจริงที อยเู่ บืองหลงั ปรากฎการณ์ดงั กล่าว  ถา้ นกั ศึกษาตอ้ งการซือรถจกั รยานยนตม์ อื สอง นกั ศกึ ษาตอ้ งคาํ นึงถึงองคป์ ระกอบอะไรบา้ ง และ องคป์ ระกอบทีสาํ คญั 4 อนั ดบั แรกคืออะไรบา้ ง ซึงการตอบคาํ ถามนีหมายถึงนกั ศกึ ษาไดว้ ิเคราะห์ องคป์ ระกอบ และไดป้ ระเมินเปรียบเทียบเพือจดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั ขององคป์ ระกอบทีวิเคราะหไ์ ว้  ใหน้ กั ศกึ ษาอา่ นขอ้ ความต่อไปนี แลว้ พจิ ารณาหาคาํ ตอบ  ในการแข่งขนั มาราธอนครังหนึง มผี เู้ ขา้ แข่งขนั เพียง 3 คน คือ แดง ดาํ และ ขาว บงั เอิญในวนั แข่งขนั เกิดฝนตกหนกั จนกรรมการไม่สามารถมองเห็นไดว้ ่าใครเขา้ เสน้ ชยั ก่อนกนั เขาถามนกั วิงทงั สามคนถึง ผลการวงิ พวกเขาใหค้ าํ ตอบคนละ 2 คาํ ตอบ โดยมคี นหนึงโกหกทงั สองคาํ ตอบ ส่วนอกี สองคนพดู จริง ทงั หมด คาํ ตอบทีไดม้ ดี งั นี  แดงบอกว่า “ เชือผมเถอะ ผมเขา้ เสน้ ชยั เป็นคนแรกเลย ขาวเขา้ ทีโหล่ “  ดาํ บอกวา่ “ แดงไมใ่ ช่คนแรกหรอก แต่ขาววงิ เขา้ มาเป็นทีสอง “ ขาวบอกว่า “ ใครจะวา่ อยา่ งไรกช็ ่าง ผมรู้วา่ ผมเขา้ ก่อนแดง แต่ดาํ กไ็ ม่ไดเ้ ขา้ ทีสอง “ นกั ศกึ ษาคิดว่าใครเขา้ เสน้ ชยั เป็นคนทีหนึง สอง และสาม โดยอาศยั ขอ้ ความทีได้ วธิ ีคดิ แดงและดาํ พดู ถึงขาวในทางแตกต่างกนั ดว้ ยเหตุนีตอ้ งมีคนหนึงโกหก และขาวจะตอ้ งเป็นคนทีพดู ความจริง เมือขาวบอกว่าเขาถึงก่อนแดง ดงั นนั แดงตอ้ งโกหกทีบอกวา่ เขาเขา้ เสน้ ชยั คนแรก ดงั นนั อนั ดบั ของผเู้ ขา้ เสน้ ชยั คนแรกเป็นดาํ และทีสองคือ ขาว ส่วนผเู้ ขา้ เสน้ ชยั เป็นคนสุดทา้ ยคือแดง กจิ กรรม 1. ถา้ นกั ศึกษาตอ้ งเป็นหวั หนา้ ทีมในการจดั งาน “ วนั ไหวค้ รู” นกั ศกึ ษาคิดวา่ มเี รืองสาํ คญั อะไรบา้ งทีตอ้ ง คาํ นึงถงึ และใหจ้ ดั แบ่งเรืองต่างๆเหลา่ นนั ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสาํ คญั มาก สาํ คญั ปานกลาง และสาํ คญั นอ้ ย 2. ถา้ นกั ศึกษาเป็นผมู้ สี ่วนร่วมในการตดั สินใจวา่ จา้ งพนกั งานทาํ ความสะอาดของสถาบนั เพมิ อกี 5 คน และ ยาม 1 คน นกั ศกึ ษาจะเลอื กพนกั งานทาํ ความสะอาดและยามทีมสี มบตั ิอยา่ งไร และสมบตั ิทีสาํ คญั 3 อนั ดบั แรก ของพนกั งานทาํ ความสะอาดและยามคืออะไร รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 27

28 3. ถา้ นกั ศึกษาจะซือบา้ นพกั อาศยั จะตอ้ งคาํ นึงถึงปัจจยั อะไรบา้ ง และพิจารณาความสาํ คญั ของแต่ละปัจจยั แลว้ จดั อนั ดบั ความสาํ คญั ของปัจจยั ดงั กลา่ ว 4 อนั ดบั แรก 9 . การคดิ ดี คดิ ถูกทาง การคดิ ดี คดิ ถกู ทาง หมายถึงการคิดทีตรงจุดมุ่งหมาย คิดในแง่ทีดีทีเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อส่วนรวม ทงั ในระยะสนั และระยะยาวการฝึกการคิดดี คิดถกู ทางจะเป็นการสกดั จุดเริมตน้ ของการประพฤติผดิ ประพฤติ มชิ อบ และช่วยใหก้ ารดาํ เนินชีวิตเป็นไปในทางทีถกู ตอ้ ง มคี ุณค่าและเป็นประโยชน์ทงั ต่อตนเองและ ส่วนรวม การฝึ กการคดิ ดี คดิ ถูกทาง สามารถทาํ ไดโ้ ดยการฝึกใหค้ ิดในแง่ต่างๆ ดงั นี 1) แบบอรรถธรรมสัมพนั ธ์ ซึงหมายถงึ การพจิ ารณาใหเ้ ขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งธรรมกบั อรรถ หรือ หลกั การกบั ความมุ่งหมาย ( พระเทพเวที ( ประยทุ ธ์ ปยตุ โต) 2533: 60) เช่น หลกั การของการบวชในพทุ ธ ศาสนาคือ การสละโลกียวิสยั เพือความมงุ่ หมายคือ การบรรลุการสินกิเลส( เสฐียรพงษ์ วรรณปก 2541 :37) การปฏิบตั ิหรือแนวปฏบิ ตั ิใดยดึ หลกั การและจุดมุ่งหมายทีถกู ตอ้ ง จะช่วยใหก้ ารปฏิบตั ิดาํ เนินไปอยา่ ง ถกู ตอ้ ง ถกู ทาง ซึงแสดงไดด้ งั ตวั อยา่ งต่อไปนี ตวั อย่าง ถา้ การบริจาคทรัพย์ สิงของ มจี ุดมงุ่ หมายเพือลดความเห็นแก่ตวั ของเรา และทาํ ใหเ้ กิดประโยชน์ แก่ผอู้ นื หรือส่วนรวม แสดงว่าถา้ ใครบริจาคทรัพยเ์ พือหวงั ไดท้ รัพยก์ ลบั มาเพมิ ขึน รํารวยมากขึน แสดงว่า การบริจาคนีไมต่ รงกบั หลกั การและจุดมุ่งหมายของการบริจาค [] 2) คดิ ถึงประโยชน์ในระยะสัน ระยะยาว หมายถงึ การคิดเพือใหก้ ารกระทาํ เกิดผลสิงทีดี ทงั ต่อตนเอง และ ต่อส่วนรวม ทงั ในปัจจุบนั และในอนาคต ( อนาคตทงั ใกลแ้ ละไกล) ตวั อย่าง นกั ศกึ ษาเรียนหนงั สือแบบขอเพียงใหส้ อบผา่ น ไมส่ นใจในความรู้ทีเรียน จะมีผลทงั ต่อตนเอง และส่วนรวม เช่นในปัจจุบนั ผลการเรียนไม่อยใู่ นเกณฑท์ ีน่าพอใจ ถา้ พลาดในรายวิชาใดก็อาจทาํ ใหถ้ กู ออก จากสถาบนั การศกึ ษาได้ ขาดความเชือมนั ในตนเองเมอื ถงึ เวลาสอบ อาจนาํ ไปสู่การคิดทจุ ริตในการสอบ ซึง เมอื ถกู จบั ทุจริตไดก้ ็สอบไม่ผา่ นในรายวิชานนั ในภาคเรียนต่อๆไปตอ้ งเสียเงินลงทะเบียนวชิ านนั ใหม่ [] รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 28

29 3) คดิ แบบรู้คุณค่าแท้- คุณค่าเทยี ม หมายถงึ การคิดทีเกียวขอ้ งกบั “ ความตอ้ งการ” และ “ การประเมนิ คุณค่า” ซึงถา้ คิดเพียงแต่สนองตณั หาของตนไมว่ ่ากบั สิงใด ก็คิดดว้ ยคุณค่าเทียม แต่ถา้ คิดถึงแก่นหรือ คุณประโยชนท์ ีแทจ้ ริงของสิงนนั กเ็ รียกว่าคิดดว้ ยคุณค่าแท้ ( เสฐียรพงษ์ วรรณปก 2541:45) ตวั อย่าง คุณค่าแทข้ องนาฬิกา คือใชบ้ อกเวลาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง นาฬกิ าราคาประมาณ 200- 2,000 บาท ก็ สามารถบอกราคาไดถ้ กู ตอ้ ง ถา้ มใี ครซือนาฬกิ าราคา 100,000 บาท แสดงว่าคุณค่าแทข้ องนาฬกิ าในการบอก เวลายงั คงเหมอื นกบั ราคา 2,000 บาท แต่ส่วนราคาทีเกนิ มา เป็นราคาของคุณค่าเทียมของนาฬกิ าเช่น การ บอกความมฐี านะ เป็นผมู้ ีรสนิยมสูง [] 4) คดิ แบบเร้าคณุ ธรรม เป็นวิธีคิดในแนวสกดั กนั หรือบรรเทาและขดั เกลาตณั หา จึงจดั ไดว้ า่ เป็นขอ้ ปฏิบตั ิ ระดบั ตน้ ๆ สาํ หรับส่งเสริมความเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม และเสริมสร้างสมั มาทิฐิทีเป็นโลกิยะ ( พระเทพเวที ( ประยทุ ธ์ ปยตุ โต) 2533: 82) การคิดแบบเร้าคุณธรรมนีเป็นการคิดในแง่ดี ในแง่ทีเป็น ประโยชน์ และเป็นการคดิ ทีเป็นจุดเริมตน้ ของการกาํ หนดจุดมุง่ หมายทีดี ตวั อย่าง แดงสอบไมผ่ า่ นในการสอบเกบ็ คะแนนครังที 1 แดงใชก้ ารคิดแบบเร้าคุณธรรม คือ พิจารณาว่า ตนเองพยายามนอ้ ยไปหรือไม่ มวี ิธีปฏิบตั ิในการเรียนไม่ถกู ตอ้ งหรือไม่ เมือไดพ้ ิจารณาแลว้ กพ็ ยายามศกึ ษา เพมิ เติมมากขึน [] กจิ กรรม 1. จงแสดงความคิดเห็นในสถานการณ์ต่อไปนี โดยเนน้ รูปแบบความคิดเห็นแบบคิดดี คิดถกู ทาง 1) ถา้ นกั ศกึ ษามีเพือนสนิททีอกหกั และเสียใจมากมาพบนกั ศึกษา นกั ศึกษาจะใหค้ าํ แนะนาํ หรือแนวคิดกบั เพือนวา่ อยา่ งไรบา้ ง 2) ถา้ นกั ศกึ ษาพบเพือนทีสนิทกนั มาตงั แต่เรียนระดบั มธั ยมศึกษา แต่เพอื นทาํ งาน ไม่ไดเ้ รียนต่อ นกั ศกึ ษา พบว่าในขณะนีเพือนกาํ ลงั ตกงาน นกั ศกึ ษาจะใหค้ าํ แนะนาํ หรือแนวคิดกบั เพอื นวา่ อยา่ งไร รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 29

30 2.2 การพฒั นากระบวนการคดิ รูปแบบต่าง ๆ กระบวนการคิดหมายถงึ รูปแบบการคดิ ทีมีลาํ ดบั ขนั ตอนในการคิด แต่ในการคิดจริงอาจยอ้ นกลบั ไปมาได้ ในตวั กระบวนการคิดเป็นเพียงขนั ตอนการคิดเท่านนั ซึงในบางครังใชเ้ ป็นเพยี งเนือหาทีใชว้ ดั ว่าผเู้ รียนจาํ ขนั ตอนเหลา่ นีไดม้ ากนอ้ ยเพียงไร เช่น การสอนกระบวนการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์หลงั จากเรียนรู้ เราจะ ทราบวา่ มีกขี นั ตอน อะไรบา้ ง แต่การจาํ ไดไ้ ม่ไดห้ มายความว่า จะมีความ สามารถในการคิดแบบ วทิ ยาศาสตร์ นอกจากว่าเมอื พบปัญหาแลว้ สามารถนาํ กระบวนการคิดมาใชแ้ กป้ ัญหาได้ ซึงปัจจยั พนื ฐาน สาํ คญั ทีช่วยให้ การคิดแบบกระบวนการคิดมปี ระสิทธิภาพ มีดงั นี 1) เนอื หาความรู้ทเี กยี วข้องกบั เรืองทีคดิ เช่นคิดเกียวกบั เรืองเกษตร กต็ อ้ งมีความรู้ทางการเกษตร หรือ ขอ้ มลู อืน ๆ ทีเกียวขอ้ ง คิดเรืองการศกึ ษา ก็ตอ้ งมคี วามรู้เกยี วกบั เนือหาทางการศกึ ษาและศาสตร์หรือขอ้ มลู อนื ๆ ทีเกียวขอ้ ง 2) ทักษะการคดิ และลกั ษณะการคดิ ทีเกยี วข้อง ในแต่ละขนั ตอนของกระบวนการคิดมคี วามจาํ เป็นตอ้ งใช้ ทกั ษะการคิด และลกั ษณะการคดิ หลายอยา่ งมาประมวลกนั เช่น การคิดอยา่ งมเี หตุผล การคิดกวา้ งรอบคอบ การคิดไกล การคดิ ถกู ทางเป็นตน้ 3) การคดิ ตามลาํ ดบั ขันตอนของกระบวนการคดิ แบบต่าง ๆ 1. การคดิ ตามกระบวนการคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการคิดทางวทิ ยาศาสตร์ทาํ ใหเ้ ราสามารถคน้ พบขอ้ เทจ็ จริงทีเชือถือได้ ซึงมขี นั ตอนในการ ดาํ เนินงาน ดงั ต่อไปนี 1) การกาํ หนดปัญหา เมอื เราพบปัญหา มีเรืองสงสยั ใคร่รู้ หรือมคี วามตอ้ งการในดา้ นต่าง ๆ ตอ้ งกาํ หนด ปัญหา ใหช้ ดั เจนก่อน ว่าตอ้ งการหาคาํ ตอบในเรืองอะไรบา้ ง มีขอบเขตเพยี งใด วิเคราะหแ์ ยกประเด็นต่าง ๆ ทีตอ้ งการทราบ 2) การตงั สมมตฐิ าน เป็นการคาดคะเนคาํ ตอบเกียวกบั สิงทีเป็นปัญหา โดยอาศยั ขอ้ มลู ทีมี การสงั เกต การคดิ อยา่ งเป็นเหตุเป็นผล เพือเป็นแนวทางในการตรวจสอบ ซึงควรคาดคะเนไวห้ ลาย ๆ คาํ ตอบ ทกั ษะการคิด หรือลกั ษณะการคิดทีใชใ้ นขนั ตอนนี ไดแ้ ก่ การคิดอยา่ งมเี หตุผล การคิดวเิ คราะห์ การคิดริเริม การคดิ กวา้ ง เป็ นตน้ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 30

31 3) การทดสอบสมมตฐิ าน เป็นการดาํ เนินการเพือพิสูจน์ ยนื ยนั ความเชือทีไดต้ งั ไวเ้ ป็นสมมติฐาน เริมจาก การรวบรวมขอ้ มลู ทีเกียวขอ้ งกบั ปัญหาใหม้ ากทีสุด นาํ มาจดั ระเบียบวิเคราะห์ดวู า่ ขอ้ มลู ใดควรจะนาํ มาใช้ มคี วามสอดคลอ้ งหรือขดั แยง้ กนั อยา่ งไร และวิเคราะห์หาคาํ ตอบต่อไป 4) การสรุป เมือไดข้ อ้ สรุปซึงเป็นการทดสอบสมมติฐานทีตงั ไวว้ ่าถกู ตอ้ งหรือไม่ หรือจะตอ้ งปรับเปลยี น สมมติฐานใหม่อยา่ งไร จากนนั จดั ทาํ เป็นขอ้ สรุป ผลงาน เพอื ดาํ เนินการแกป้ ัญหาต่อไป เชือว่านกั ศกึ ษาส่วนใหญ่ รู้จกั กระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ แต่อาจมจี าํ นวนไม่มากนกั ทีไดน้ าํ การคิดนี ไปใชแ้ กป้ ัญหาต่าง ๆ ทีพบในชีวิตประจาํ วนั ศ. นพ. ประเวศ วะสี ( คยุ กนั เรืองความคิดกบั ศ. น. พ. ประเวศ วะสี 2542 : 6) กล่าวว่าการเรียนโดยการ ถ่ายทอดแต่เนือหา คลา้ ย ๆ เป็นรอยเปิ ดใหส้ ิงต่าง ๆ เขา้ ไป เพราะฉะนนั ขณะนีเวลาทีฟังโฆษณาหรืออะไรต่าง ๆ มนั กจ็ ะลา้ งสมองใหเ้ กิด บริโภคนิยมขึนง่ายมาก เพราะมนั เชือจนเคย เห็นอะไรก็เชือรับเขา้ ไปโดยไม่ไดก้ ลนั กรองหรือตงั คาํ ถามว่าทีพดู นีจริงหรือเปลา่ เป็น อยา่ งอืนไดไ้ หม ถา้ ขาดปัญญาเป็นตวั กลนั กรอง มนั กเ็ ลยขาดภมู คิ ุม้ กนั ตวั อย่าง นกั ศกึ ษาในหม่เู รียนของนกั ศกึ ษา ส่วนใหญ่ใชเ้ หตุผลอะไรในการเลอื กเรียน และเรียงลาํ ดบั แต่ ละเหตุผลจากมากไปนอ้ ย แนวทางในการคดิ 1) นกั ศกึ ษาตอ้ งอา่ นจนทราบถงึ ปัญหาทีตอ้ งการก่อน 2) ตงั สมมติฐานวา่ เลือกเรียนเพราะอะไร เช่น o เป็นทีนิยมของคนทวั ไป o เป็นสาขาทีตนเองชอบ o เมือสาํ เร็จแลว้ หางานง่าย o เลือกเรียนตามเพือน o ผปู้ กครองตอ้ งการใหเ้ ลือก ฯลฯ 3) หาขอ้ มลู เพอื ตรวจสอบสมมติฐาน เช่น นาํ ขอ้ สมมติฐานต่างๆ มาเขียนเป็นขอ้ ความใหน้ กั ศกึ ษาในหอ้ ง ตอบวา่ มเี หตุผลในการเลอื กเรียน ตามขอ้ ความนนั มากนอ้ ยเพียงใด ( มากสุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยสุด รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 31

32 เป็นตน้ ) เมือนกั ศกึ ษาทงั หอ้ งตอบแลว้ ก็นาํ มาวิเคราะหข์ อ้ มลู ซึงอาจใชค้ ่าความถีแลว้ แปลงเป็นค่าคะแนน นาํ มาเปรียบเทียบ 4) เมือวเิ คราะห์ขอ้ มลู แลว้ ก็สรุปวา่ นกั ศกึ ษาในหอ้ งเลือกดว้ ยเหตุผลอะไรบา้ ง และเรียงลาํ ดบั เหตุผลทีมี นกั ศกึ ษาตอบมากไปหานอ้ ย กจิ กรรม ใหน้ กั ศกึ ษาคิดตามกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ในปัญหาต่อไปนี 1) นกั ศกึ ษาในหม่เู รียนของนกั ศกึ ษามาจากครอบครวั ทีมีอาชีพอะไร สภาพทางเศรษฐกจิ เป็นอยา่ งไร 2) ดารา หรือนกั ร้อง คนโปรดของนกั ศกึ ษาในหมเู่ รียน คือใคร ชอบเพราะอะไรบา้ ง 3) ความสามารถในดา้ นการคิดคาํ นวณของชายกบั หญิง นกั ศึกษาคดิ ว่าแตกต่างกนั หรือไม่ 2. การคดิ ตามกระบวนการคดิ ทางคณติ ศาสตร์ 1) โครงสร้างของคณติ ศาสตร์ ธรรมชาติของคณิตศาสตร์มลี กั ษณะเป็นนามธรรม เกียวขอ้ งกบั การใชเ้ หตุผล และมีระบบ โครงสร้างของคณิตศาสตร์จะเป็นไปตามรูปแบบของแผนภาพ ดงั ภาพที 2.10 จะสรุปไดว้ ่า มนุษยพ์ ยายามสรุปสิงต่าง ๆ ในธรรมชาติใหเ้ ป็นนามธรรมโดยการสงั เกต และการเรียนรู้ แลว้ นาํ ไปสร้าง แบบจาํ ลองทางคณิตศาสตร์ ซึงประกอบดว้ ยคาํ อนิยาม นิยาม สจั พจน์หรือขอ้ ตกลงเบืองตน้ แลว้ ใชเ้ หตุผล ตามหลกั การของตรรกศาสตร์เพอื สร้างขอ้ ความจริงใหมท่ สี ามารถพิสูจน์ได้ ซึงเรียกวา่ ทฤษฎี จากนนั จึงนาํ ทฤษฎีทีไดก้ ลบั ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นธรรมชาติ จะมที ฤษฎีบางส่วนทีมนุษยไ์ มไ่ ดค้ าํ นึงถึงการนาํ ไปใช้ ประโยชน์ในธรรมชาติ กจ็ ะจดั ใหเ้ ป็นคณิตศาสตร์บริสุทธิ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 32

33 ภาพที 2.10 แผนภมู ิโครงสร้างของคณิตศาสตร์ 2) ประโยชน์ของการคดิ ทางคณติ ศาสตร์ การคิดทางคณิตศาสตร์ มขี นั ตอนเริมจากการระลกึ ได้ การคิด พนื ฐาน การคิดวเิ คราะห์ และการคิดสร้างสรรค์ ดงั นนั แนวคิดทางคณิตศาสตร์ มีประโยชนห์ ลายประการ เช่น o ส่งเสริมความมเี หตุผล o ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ o ส่งเสริมความมสี มาธิและความอดทน o มีประโยชน์ต่อชีวติ ประจาํ วนั หรือหนา้ ทกี ารงานในบางอาชีพ 3) การจาํ ลองแบบทางคณติ ศาสตร์มรี ายละเอยี ดทีตอ้ งรู้ในคาํ ต่อไปนี ก. คาํ อนยิ าม เป็นคาํ พนื ฐานทีไม่ตอ้ งใหค้ วามหมาย เช่น จาํ นวน จดุ ระนาบ เป็นตน้ เราจะเขา้ ใจคาํ เหลา่ นี โดยอาศยั การรับรู้ จากประสบการณ์ หรือจากสามญั สาํ นึกของเราเอง ซึงคาํ เหล่านีถา้ ใหค้ วามหมายแลว้ อาจ ตอ้ งใชค้ าํ อนื ๆมาอธิบาย วกวนไปมา เช่น ถา้ เราใหค้ วามหมายของจุดว่า จุดคือสิงทีเกิดจากการตดั กนั ของ เสน้ และใหค้ วามหมายของเสน้ วา่ เสน้ คือสิงทีเกิดจากการเชือมจุดสองจุด จะเห็นวา่ การอธิบายจุดใชค้ าํ ว่า เสน้ และการอธิบายคาํ ว่าเสน้ กใ็ ชค้ าํ วา่ จุด วนเวียนกนั เช่นนี จึงมคี วามจาํ เป็นตอ้ งมคี าํ อนิยาม รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 33

34 ข. นยิ าม คือคาํ หรือกลุ่มคาํ ทีไดใ้ หค้ าํ จาํ กดั ความไว้ โดยอาศยั คาํ อนิยาม หรือคาํ นิยามอนื ๆ มาอธิบายเพอื ให้ เกิดความเขา้ ใจความหมายของคาํ เหล่านีไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตรงกนั ซึงภาษาทีใชต้ อ้ งชดั เจน รัดกุม เช่น อนิยาม คาํ ว่า “ แม่” และ “ นอ้ ง” ทาํ ให้ เราสามารถนิยามคาํ ว่านา้ ได้ โดยนา้ คือนอ้ งของแม่ ค. สัจพจน์หรือกตกิ า คือขอ้ ความทีเรายอมรับว่าเป็นจริงร่วมกนั โดยไม่ตอ้ งพิสูจน์ ซึงขอ้ ความจริงนีอาจเป็น ผลสรุปจากการสงั เกตจากตวั อยา่ งหลาย ๆ ตวั อยา่ ง เช่น “ เสน้ ตรง 2 เสน้ ตดั กนั จะเกิดจดุ ตดั 1 จุด ” หรืออาจ เป็นจริงตามขอ้ เท็จจริง ซึงเรียกวา่ สิงทีเห็นจริงแลว้ เช่นสิงของทงั หลายทีต่างเท่ากบั สิงเดียวกนั แลว้ ยอ่ ม เท่ากนั บางครังเราเรียกขอ้ ความทียอมรับวา่ เป็นจริงนีว่าขอ้ ตกลงเบืองตน้ ง. ทฤษฎี คือขอ้ ความทีสามารถพิสูจนไ์ ดว้ ่าเป็นจริง การพิสูจนท์ ฤษฎีต่างๆ วา่ เป็นจริง ตอ้ งอาศยั ขอ้ ความที เป็นจริงอยกู่ ่อนแลว้ มาอา้ ง ซึงไดแ้ ก่อนิยาม นิยาม และสจั พจน์ หรือขอ้ ตกลงเบืองตน้ ประกอบกบั กระบวนการใหเ้ หตุผลทางตรรกศาสตร์ มาสรุปว่าขอ้ ความ ใหมท่ ีพิสูจน์ไดว้ า่ เป็นจริง และเรากจ็ ะใชท้ ฤษฎี เหล่านีในการอา้ งองิ การพสิ ูจนข์ อ้ ความใหมซ่ ึงจะไดท้ ฤษฎีใหมต่ ่อไป ตวั อยา่ งของทฤษฎีเช่น “ ถา้ เสน้ ตรง 2 เสน้ ตดั กนั แลว้ มุมตรงขา้ มยอ่ มเท่ากนั ” 4) ขันตอนการคดิ ทางคณติ ศาสตร์ สเตเฟ่ น ครูลกิ และเจสเส เอ รุดนิก แห่งมหาวิทยาลยั เทมเปิ ล สหรัฐอเมริกา ไดแ้ บ่งลาํ ดบั ขนั ตอนการคิดมี 4 ขนั ตอน คือ การระลึกได้ (recall) การคิดพนื ฐาน(basic thinking) การคิดวเิ คราะห์ (critical thinking ) และการคิดสร้างสรรค์ ( creative thinking) การคิดเป็น กระบวนการซบั ซอ้ น การคดิ ในแต่ละขนั ตอนต่อเนืองกนั ทุกระดบั ขนั ของการคิดจะใชท้ กั ษะทีอยใู่ นระดบั ตาํ กวา่ ประกอบในการคิดดว้ ย 5) กระบวนการแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ นกั ศกึ ษาลองคิดจินตนาการเหตุการณ์ต่อไปนี แลว้ เดาคาํ ตอบ อยา่ งประมาณ “ นกั ศกึ ษามีกระดาษพมิ พจ์ ดหมาย ขนาดประมาณ A4 หรือใหญ่กว่า และมีความหนาเท่า ๆ กบั ทีเราใชอ้ ยใู่ น ชีวติ ประจาํ วนั (70 แกรม) ใหน้ กั ศกึ ษาพบั ครึงกระดาษแผน่ นีและพบั ครึงไปเรือย ๆ สมมติว่าพบั ไดท้ งั หมด 32 ครัง ( ทาํ ไม่ไดใ้ นความเป็นจริง) กระดาษทีพบั ไวน้ ีจะมคี วามหนาประมาณเท่าใด กีเซนติเมตร กีเมตร หรือกีกิโลเมตร เชือวา่ นกั ศกึ ษาคงเดาหน่วยเป็นเซนติเมตร หรือเมตร อาจคิดเป็นกิโลเมตร ก็คงไดไ้ ม่เกิน 10 กิโลเมตร ( บางคนเริมหวั เราะแลว้ … เดาไปไดอ้ ยา่ งไร) รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 34

35 การคดิ ทีเป็นเรืองของการเพมิ ค่าอยา่ งทวคี ณู นีเป็นตวั อยา่ งหนึงทีควรใชก้ ารคิดแบบคณิตศาสตร์ คาํ นวณ อยา่ งจริงจงั เป็นอุทาหรณ์ต่อการกาํ หนดเป้ าหมาย หรือขอ้ กาํ หนดกฎเกณฑต์ ่าง ๆ ใหไ้ ดใ้ กลเ้ คียงกบั โอกาส และความเป็ นจริ งมากทีสุด คาํ นวณเหตุการณ์ทีไดล้ องเดาคาํ ตอบไปแลว้ ไดด้ งั นี กระดาษขนาด 70 แกรม จะมคี วามหนาโดยเฉลีย ประมาณไม่นอ้ ยกว่า 0.125 มิลลเิ มตรซึงไมส่ ามารถพบั ครึงไดถ้ ึง 32 ครัง แต่ถา้ สมมติว่าพบั ได้ ความหนา ของกระดาษก็จะทวคี ณู ขึนเรือย จากการพบั ครังทีหนึงกระดาษจะหนาเพมิ ขึนเป็น 2 x 0.125 มลิ ลิเมตร เมอื พบั ครังทีสอง กระดาษจะหนาเพมิ ขึนเป็น 2 x 2 x 0.125 มิลลิเมตร และเมอื พบั ครังทีสามกระดาษจะหนา เพมิ ขึนเป็น 2 x 2 x 2 x 0.125 มิลลิเมตร และจากการคาํ นวณไปถงึ การพบั ได้ 32 ครัง จะคิดไดป้ ระมาณ 256 กิโลเมตร แบบฝึกหดั ทีมสี ถานการณ์คลา้ ยกบั ตวั อยา่ ง วธิ ีการหาคาํ ตอบสามารถใชเ้ ทียบเคียงกบั ตวั อยา่ งทีเคยมี ประสบการณ์ ไมม่ กี ารพลกิ แพลง แบบฝึกหดั ในลกั ษณะดงั กล่าวนีมุง่ ฝึกทกั ษะ ฝึกการนาํ ไปใช้ ไม่ถอื วา่ เป็น ปัญหา แต่ถา้ ตอ้ งใชป้ ระสบการณ์หรือแนวคิดหลาย ๆ อยา่ งนอกเหนือไปจากการใชว้ ิธกี ารทีคลา้ ยกบั ตวั อยา่ งในการหาคาํ ตอบ แบบฝึกหดั ในลกั ษณะนีกลา่ วไดว้ า่ เป็นสถานการณ์ทีเป็นปัญหา กระบวนการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ ประกอบดว้ ยขนั ตอนสาํ คญั 4 ขนั ตอนคือ ขันที 1. ขนั ทําความเข้าใจปัญหา เป็นการพจิ ารณาปัญหาอยา่ งละเอยี ด สิงทีควรไดใ้ นขนั ตอนนี คือ 1) ระบุไดว้ ่าปัญหาตอ้ งการอะไร ปัญหากาํ หนดอะไรใหบ้ า้ ง 2) มีสาระความรู้ใดเกียวขอ้ งบา้ ง ขอ้ มลู ทีไดม้ พี อหรือไม่ หรือมีนอ้ ยเกินไป หรือมีมากเกินไป คาํ ตอบของ ปัญหาจะอยใู่ นรูปแบบใด ในขนั ตอนนี อาจทาํ ใหง้ ่ายขึนดว้ ยการเขียนสาระของปัญหาดว้ ยถอ้ ยคาํ ของ ตนเอง ขันที 2. ขนั วางแผนแก้ปัญหา เป็นขนั ตอนสาํ คญั ทีจะตอ้ งพิจารณาว่าจะแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ ีใด แกอ้ ยา่ งไร ซึง ตอ้ งมองความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู ต่าง ๆ อยา่ งมรี ะบบและชดั เจน ทกั ษะทีนาํ มาใชใ้ นขนั นีไดแ้ ก่ 1) การเขยี นรูป แผนภาพ แผนภูมิ และสร้างแบบจาํ ลอง 2) การทาํ ตาราง การจดั หมวดหมู่ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 35

36  การแบ่งเป็นกรณี  การใชเ้ หตุผลทางตรง และกฎเกณฑ์ การใหเ้ หตุผลทางออ้ ม  การคน้ หารูปแบบ  การคิดและทาํ ยอ้ นกลบั  การใชต้ วั แปร นอกจากนีควรไดพ้ จิ ารณาวา่ ปัญหานีมคี วามสมั พนั ธก์ บั ปัญหาทีเคยมีประสบการณ์ในการแกป้ ัญหามาก่อน หรือไม่ นาํ ความสมั พนั ธข์ องสิงต่างๆในปัญหา กบั ประสบการณ์ในการแกป้ ัญหาทีมีอยู่ มากาํ หนดแนวทาง ในการแกป้ ัญหา ขันที 3. ขนั ดําเนินการตามแผน เป็นขนั ตอนทีลงมือปฏบิ ตั ิตามแผนทีวางไว้ โดยเริมจากการตรวจสอบความ เป็นไปไดข้ องแผน เพมิ เติมรายละเอยี ดต่าง ๆ ของแผนใหช้ ดั เจน จากนนั ลงมอื ปฏิบตั ิจนกระทงั สามารถหา คาํ ตอบได้ หรือคน้ พบวธิ ีการแกป้ ัญหาใหม่ ซึงการแกป้ ัญหาจะเร็วขนึ หากมที กั ษะและประสบการณ์เดิม มาก แต่ในช่วงแรกอาจดาํ เนินการไดช้ า้ ตอ้ งอาศยั ความอดทน รอบคอบ เพอื ใหไ้ ดค้ าํ ตอบทีถกู ตอ้ ง ขันที 4. ขนั ตรวจสอบ เป็นขนั ตอนทีผแู้ กป้ ัญหามองยอ้ นกลบั ไปทีขนั ตอนต่างๆ ทีผา่ นมา เพอื พิจารณาความ ถกู ตอ้ งของคาํ ตอบและวธิ ีการแกป้ ัญหา พิจารณาปรับปรุงแกไ้ ขวิธีแกป้ ัญหาใหช้ ดั เจน รัดกุม ซึงขนั ตอนนี อาจแทนสิงทีเป็นปัญหาดว้ ยคาํ ตอบทีหาได้ แลว้ ตรวจสอบว่าขอ้ มลู ทีไดเ้ ป็นจริง สอดคลอ้ งกบั ทีโจทย์ กาํ หนดใหห้ รือไม่ 6) ทกั ษะทีนํามาใช้ในการแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ เราสามารถแบ่งปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยพจิ ารณาจาก จุดประสงคข์ องปัญหาไดเ้ ป็น ปัญหาใหค้ น้ หา และปัญหาใหพ้ ิสูจน์ ซึงในการแกป้ ัญหานีทาํ ไดห้ ลายวิธี ขึนอยกู่ บั ประสบการณ์ทีผแู้ กป้ ัญหามีอยู่ และวางแผนการแกป้ ัญหาอยา่ งไร ในทีนีจะเสนอทกั ษะต่างๆ ที สามารถนาํ มาใชใ้ นการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ เพมิ เติมจากทกั ษะต่างๆทีไดเ้ รียนรู้มาแลว้ ดงั นี ก. การทําตาราง การจดั หมวดหมู่ ใหน้ กั ศกึ ษาพิจารณาตวั อยา่ งต่อไปนี ตวั อย่าง 2.28 จงแกป้ ัญหาต่อไปนี ป้ าคาํ เลยี งหมกู บั เป็ดไวจ้ าํ นวนหนึง เมือนบั หวั รวมกนั ได้ 12 หวั และถา้ นบั ขารวมกนั ได้ 40 ขา ป้ าคาํ เลียง หมกู บั เป็ดไวอ้ ยา่ งละกีตวั รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 36

37 วธิ กี ารแก้ปัญหา ขันที 1. ขนั ทําความเข้าใจปัญหา  โจทยต์ อ้ งการทราบวา่ ป้ าคาํ เลียงหมกู บั เป็ดอยา่ งละกีตวั  สิงทีโจทยก์ าํ หนดใหค้ ือ o -นบั หวั หมกู บั เป็ดรวมกนั ได้ 12 หวั o - นบั ขาหมกู บั เป็ดรวมกนั ได้ 40 ขา ขันที 2. ขนั วางแผน พิจารณาถงึ สิงทีกาํ หนดให้ และความรู้เดิมทีเกียวขอ้ งกบั สิงทีกาํ หนดให้ ในทีนีคือ หมู 1 ตวั มี 1 หวั และมี 4 ขา เป็ด 1 ตวั มี 1 หวั และมี 2 ขา นาํ ความรู้ทีไดท้ งั หมดมาจดั ใหเ้ ป็นระบบ มีระเบียบ เพือหาวธิ ีการแกป้ ัญหา ขันที 3. ขนั ดําเนินการแก้ปัญหา ในทีนีจะแกป้ ัญหาโดยเขียนตารางกรณีต่าง ๆ ทีเป็นไปได้ โดยเริมจากสิงที กาํ หนดว่า หวั หมกู บั เป็ดรวมกนั ได้ 12 หวั แลว้ หากรณีทีขาหมกู บั เป็ดรวมกนั ได้ 40 ขา ดงั ตารางที2.2สรุป ไดว้ า่ ป้ าคาํ เลียงหมู 8 ตวั และเลยี งเป็ด 4 ตวั ขันที 4. ขนั ตรวจสอบ จากหมู 8 ตวั และเป็ด 4 ตวั ทีเป็นคาํ ตอบ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งจากสิงทีโจทย์ กาํ หนดใหไ้ ดว้ า่  นบั หวั รวมกนั ได้ 8 + 4 = 12 หวั  นบั ขารวมกนั ไดด้ งั นี ขาหมู 8 ´ 4 = 32 ขา ขาเป็ด 4 ´ 2 = 8 ขา รวมจาํ นวนขาทงั หมดเท่ากบั 32 + 8 = 40 ขา ถกู ตอ้ งตามทีกาํ หนดให้ หมู เป็ ด รวมขา จาํ นวนตวั จาํ นวนขา จาํ นวนตวั จาํ นวนขา 1 4 11 22 26 2 8 10 20 28 รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 37

38 3 12 9 18 30 4 16 8 16 32 5 20 7 14 34 6 24 6 12 36 7 28 5 10 38 8 32 4 8 40* 9 36 3 6 42 10 40 2 4 44 11 44 1 2 46 ตารางที 2.2 แสดงการแกป้ ัญหาตามตวั อยา่ ง 2.28 สรุปไดว้ า่ คาํ ตอบคือ ป้ าคาํ เลียงหมู 8 ตวั และเลยี งเป็ด 4 ตวั ข. การใช้ตวั แปร จากตวั อยา่ ง 2.28 เราจะศกึ ษาการแกป้ ัญหาดงั กล่าวโดยใช้ “ การใชต้ วั แปร” ซึงขนั ทาํ ความเขา้ ใจโจทย์ ปัญหาเหมือนเดิม และพจิ ารณาขนั ต่อไปไดด้ งั ต่อไปนี ขันที 2 ขันวางแผน กาํ หนดให้ ป้ าคาํ เลียงหมู x ตวั และ เลียงเป็ด y ตวั นาํ สิงทีกาํ หนดใหน้ าํ มาเขียนในรูป สมการไดด้ งั นี x + y = 12 ( จาํ นวนหวั ) ……………………........(1) รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 38

39 4x + 2y = 40 ( จาํ นวนขา ) ………………………(2) ขันที 3. ขนั ดําเนนิ การตามแผน ในทีนีเป็นการคิดคาํ นวณและหาคาํ ตอบจากสมการที (1) นาํ 2 คณู ทงั สอง ขา้ งของสมการ จะได้ 2x + 2y = 24 …………………................……(3) นาํ สมการที (2 ) ลบดว้ ยสมการที (3) (4x + 2y ) – ( 2x + 2y ) = 40 – 24 2 x = 16 ดงั นนั x = 8 แทนค่า x = 8 ในสมการที (1) จะได้ x + y = 12 ดงั นนั 8 + y = 12 ทาํ ให้ y = 12 – 8 = 4 ดงั นนั ป้ าคาํ เลยี งหมู 8 ตวั และเลยี งเป็ด 4 ตวั กจิ กรรม 2.13 1. นบั ไก่และหมไู ด้ 22 ตวั นบั ขารวมกนั ได้ 68 ขา มไี ก่และหมอู ยา่ งละกีตวั 2. แดงเลน่ ปาเป้ า เขาใชล้ กู ดอก 3 ลกู ปาถกู เป้ าทงั สามลกู แดงจะไดค้ ะแนนเท่าไรได้ บา้ ง ถา้ กาํ หนดคะแนนดงั นี บริเวณรอบนอก 1 คะแนน บริเวณกลาง 3 คะแนน บริเวณในสุด 6 คะแนน รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 39

40 3. อาหารเสริม “A” บรรจุถงุ จาํ หน่าย 2 ชนิด คือชนิดถุงละ 3 กิโลกรัม ราคา 229 บาท และชนิดถุงละ 5 กิโลกรัม ราคา 325 บาท ถา้ นกั ศึกษาตอ้ งการอาหารเสริมเพียง 17 กิโลกรัม จะมีวิธีซืออยา่ งไรจึงจะจ่ายเงิน ค่าอาหารเสริม “A” นอ้ ยทีสุด ค. การแบ่งเป็ นกรณี ปัญหาหลายปัญหาสามารถแกป้ ัญหาไดง้ ่ายขึน เมอื แบ่งปัญหาเป็นกรณีต่าง ๆ หลายกรณี ซึงในแต่ละกรณี จะมีความชดั เจนมากขนึ กวา่ ปัญหาเดิม เมือแกป้ ัญหาคาํ ตอบของทุกกรณีไดแ้ ลว้ จึงพิจารณาคาํ ตอบของทุก กรณีร่วมกนั จะไดภ้ าพรวม ซึงเป็นคาํ ตอบของปัญหาเดิม ตวั อย่าง 2.29 ในภาพต่อไปนีมีรูปสีเหลยี มต่าง ๆ ทงั หมดกีรูป วธิ คี ดิ ปัญหาตอ้ งการทราบถงึ รูปสีเหลยี มต่างๆ ทงั หมด ตอนนีเราจะพิจารณารูปสีเหลยี มโดยแยกเป็น รูปแบบยอ่ ย ๆ ดงั นี รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 40

41 รวมมรี ูปสีเหลยี มทงั หมด 36 รูป [] กจิ กรรม 2.14 1. ในภาพต่อไปนีมีรูปสีเหลยี มต่าง ๆ ทงั หมดกีรูป รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 41

42 2) จงยกตวั อยา่ งปัญหาทีสามารถแกไ้ ดโ้ ดยใชท้ กั ษะการทาํ ตาราง การจดั หมวดหมู่ การแบ่งเป็นกรณีพร้อม ทงั แสดงวธิ ีแกป้ ัญหา [] ง. การเขยี นภาพ แผนภูมิ และสร้างแบบจาํ ลอง ปัญหาบางปัญหา สามารถสร้างความเขา้ ใจไดม้ ากขนึ โดยการเขียนภาพ แผนภูมิ หรือสร้างแบบจาํ ลองที สอดคลอ้ งกบั สถานการณข์ องปัญหา ช่วยใหป้ ัญหามคี วามชดั เจน ผแู้ กป้ ัญหาเขา้ ใจปัญหาอยา่ งถกู ตอ้ ง และ ทาํ ใหเ้ กิดแนวคดิ ในขนั วางแผน และการดาํ เนินการตามแผน ตวั อย่าง ก สมหญิง นารี สุดสวย และสมส่วน เป็นนกั ศกึ ษาวิชาชีววทิ ยา ทีกาํ ลงั ตอ้ งการแมลงนานาชนิด จาํ นวนมาก เธอจาํ เป็นตอ้ งขา้ มแม่นาํ แห่งหนึง เพอื ไปจบั แมลงยงั ฝังตรงขา้ ม โดยอาศยั เรือเลก็ ๆ ลาํ หนึงซึง บรรทุกนาํ หนกั ไดไ้ มเ่ กิน 195 ปอนด์ แต่ปรากฏวา่ สมหญิงหนกั 175 ปอนด์ นารีหนกั 148 ปอนด์ สุดสวย หนกั 100 ปอนด์ สมส่วนหนกั 92 ปอนด์ ทงั สีคนจะขา้ มแม่นาํ นีไดอ้ ยา่ งไร โดยการใชเ้ รือลาํ นีเพยี งลาํ เดียว ถา้ ทุกคนพายเรือเป็น แนวคดิ สร้างแผนภมู ิ แสดงดงั ภาพที 2.11 ทงั สีคนจะตอ้ งเดินทางขา้ มแมน่ าํ ทงั หมด 5 เทียวดงั นี ฝังเริมต้น แม่นํา ฝังปลายทาง  สมหญิง นารี สุดสวย สมส่วน    สมหญิง นารี  สมหญิง นารี  สุดสวย กบั สมส่วน ( 192 ) ไป   สมหญิง สมส่วน  สมส่วน ( 92 ) กลบั  สมหญิง สมส่วน  นารี (148 )ไป  สุดสวย  สมหญิง  สุดสวย ( 100 ) กลบั  สุดสวย  สุดสวย กบั สมส่วน ( 192 ) ไป  นารี  นารี รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 42

43  สมหญิง  สมส่วน ( 92 ) กลบั  นารี สุดสวย  สมส่วน  สมหญิง ( 175 ) ไป  นารี สุดสวย  สมส่วน  สุดสวย ( 100 ) กลบั  สมหญิง นารี  สุดสวย กบั สมส่วน ( 192 )ไป  สมหญิง นารี  ภาพ แผนภาพแสดงการแกป้ ัญหาตามตวั อยา่ ง ก กจิ กรรม 1. มภี าชนะ 3 ใบ แต่ละใบมคี วามจุ 8 , 5 , 3 ลติ ร แต่ไม่มีเครืองหมายบอกแต่ละลิตรในภาชนะทงั สาม ถา้ ภาชนะใบแรกมนี าํ หวานบรรจุอยเู่ ตม็ 8 ลิตร ส่วนภาชนะอกี 2 ใบว่างเปล่า จงหาวิธีแบ่งนาํ หวานออกเป็น สองส่วน ส่วนละ 4 ลติ ร โดยใชภ้ าชนะเพยี งสามใบนีเท่านนั 2. ถา้ นกั ศกึ ษาตอ้ งการตม้ ผกั ชนิดหนึงซึงใชเ้ วลา 9 นาทีโดยไมม่ ชี ่วงหยดุ พกั แต่มีเครืองมอื คือนาฬิกาทราย จบั เวลาแบบ 4 นาที และ 7 นาที ( นาฬกิ าทรายไมม่ ีขดี หรือเครืองหมายใดๆ ใชไ้ ดเ้ ฉพาะเมือเริมตน้ และตอน หมดเวลาเท่านนั ) จงหาวธิ ีแกป้ ัญหานี 3. พ่อ แม่ และลกู รวมเป็นสามคน มนี าํ หนกั 75 , 50 และ 40 กิโลกรัมตามลาํ ดบั ตอ้ งการขา้ มคลอง โดยใช้ เรือพายลาํ เลก็ ซึงมอี ยลู่ าํ เดียว และรับนาํ หนกั ไดเ้ พยี ง 90 กโิ ลกรัม ถา้ ทุกคนพายเรือเป็น จงหาวิธีการทีจะให้ ทงั สามคนขา้ มคลอง 4. ชายชราผหู้ นึงมขี องอยู่ 3 อยา่ ง คือ สุนขั ห่าน และขา้ วโพด เขามคี วามจาํ เป็นจะตอ้ งขา้ มแม่นาํ โดย อาศยั เรือเลก็ ๆ ซึงสามารถบรรทุกตวั เขากบั สิงของของเขาไดอ้ กี เพยี งอยา่ งเดียวเท่านนั ชายชรารู้ดีวา่ ถา้ หากนาํ ขา้ วโพดไปก่อน สุนขั จะกินห่าน แต่ถา้ นาํ สุนขั ไปก่อน ห่านก็จะกินขา้ วโพด ชายชราผนู้ ีจะทาํ อยา่ งไรจึงจะ ขา้ มแมน่ าํ นีไดโ้ ดยมีสิงของทงั สามอยา่ งครบเหมือนเดิม รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 43

44 การคดิ แบบหมวก 6 ใบ (Six Thinking Hats) เอดเวริ ์ด เดอ โบโน (Edward de Bono ) เป็นผเู้ สนอแนวคิดเกียวกบั การคิด โดยใชเ้ ทคนิคการคิด แบบ Six Thinking Hats หรือการคิดแบบหมวก 6 ใบขึนมาเพือเป็นระบบความคดิ ทีทาํ ใหผ้ เู้ รียนมีหลกั ใน การจาํ แนกความคิดออกเป็น 6 ดา้ นเพือเพมิ ศกั ยภาพใหท้ กั ษะการคิด องค์ประกอบของ Six Thinking Hats Six Thinking Hats จะประกอบดว้ ยหมวก 6 ใบ 6 สี คือ White Hat หรือ หมวกสีขาว หมายถงึ ความเป็นกลาง มีลกั ษณะของความว่าง เปล่า เกียวขอ้ งกบั ขอ้ เท็จจริง และจาํ นวนตวั เลข เมอื มีการสวมหมวกจึงหมายถึง ตอ้ งการ ไดข้ อ้ เทจ็ จริงทีเป็นปรนยั Red Hat หรือ หมวกสีแดง หมายถงึ อารมณ์ ความรู้สึก สญั ชาตญาณ ความโกรธ ความ ฉุนเฉียว เมือมกี ารสวมหมวก หมายถึง สามารถบอกความรู้สึกของตนเองเกียวกบั ประเด็นนนั ได้ Black Hat หรือ หมวกสีดํา หมายถงึ ความมืดมนและการปฏิเสธ การคดั คา้ น เมือมกี ารสวมหมวก หมายถงึ ตอ้ งการใหพ้ ดู ถงึ จุดดอ้ ย ขอ้ ผดิ พลาด สิงทีไม่ ดี โดยใชเ้ หตุผลประกอบ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 44

45 Yellow Hat หรือ หมวกสีเหลอื ง หมายถึง การคาดการณ์ในทางบวก ความคิดเชิงบวก มี ความหวงั เป็นการมองโลกในแงด่ ี เมอื มกี ารสวมหมวก หมายถึง การแสดงความคิดเห็น ในทางดา้ นดี คิดถงึ ประโยชน์ คุณค่า จุดเด่น ความคิดใหม่ ๆ ทีดีมคี ุณค่าต่อส่วนรวม สงั คม Green Hat หรือ หมวกสีเขยี ว หมายถงึ ความคิดนอกกรอบทีมคี วามสมั พนั ธก์ บั ความคดิ ริเริมสร้างสรรค์ เมือมกี ารสวมหมวก หมายถงึ การคิดอยา่ งสร้างสรรค์ คดิ ใหม้ ี ทางเลือกทีหลากหลาย คิดแปลกใหม่ กา้ วไปขา้ งหนา้ สร้างความเป็นไปไดเ้ พอื การ ปรับปรุงและพฒั นา Blue Hat หรือ หมวกสีนําเงิน หมายถึง สงบเยอื กเยน็ การควบคุมและการบริหารกระบวน การคิด มคี วามชดั เจน การยตุ ิขอ้ ขดั แยง้ มีขนั ตอนเป็นระบบ เมอื มีการสวมหมวก หมายถึง การควบคุมสิงต่าง ๆ ใหอ้ ยใู่ นระบบระเบียบทีดี ถกู ตอ้ ง เป็นบทบาทของ หวั หนา้ วธิ กี ารใชห้ มวก 6 ใบ เนืองจากหมวกความคิดมจี าํ นวนถงึ 6 ใบ แต่ละสีใชแ้ ทนวิธีคิดแต่ละแบบ เมือนาํ ไปใชอ้ าจจะมี ปัญหาจะเริมใชห้ มวกสีไหนก่อน ต่อไปจะใชส้ ีอะไรและตอ้ งใชห้ มวกทงั 6 ใบ ในลกั ษณะใด ดงั นันจะ เสนอแนะวธิ ีการใชห้ มวกความคิดในขนั พืนฐานดงั นี 1. ใชห้ มวกทีละใบสาํ หรับความคิดแต่ละครัง คือ เลือกใชห้ มวกใบใดใบหนึงแลว้ ทุกคนในกลุ่ม จะตอ้ งสวมหมวกใบเดียวกนั หมด หมายความว่า ในขณะนนั ทุกคนคิดในทิศทางเดียวกนั ตาม หวั เรืองทีกาํ หนด โดยไมค่ าํ นึงถึงสิงทีคนก่อนหนา้ พดู ไว้ 2. เลือกใชห้ มวกทีเหมาะกบั ลกั ษณะงาน ได้ 2 วิธี คือ 2.1 ใชห้ มวกลกั ษณะเดียว เป็นการกาํ หนดให้ใชว้ ิธีคิดแบบใดแบบหนึงในทิศทางเดียวทีละ ครัง 2.2 ใชห้ มวกลกั ษณะเป็นชุด เป็นการใชห้ มวกหลายใบต่อเนืองกนั เป็นชุด หนา้ 45 รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย

46 โดยชุดของหมวกอาจกาํ หนดไวล้ ว่ งหนา้ 3. บุคคลแต่ละคนสมารถใชค้ วามคิดไดก้ ับหมวกทุกใบ ควรมีการทบทวนความหมายของสี บ่อยๆ 4. การจดั กิจกรรม ควรใหบ้ รรยากาศของความสนุกสนานและมชี ิวติ ชีวา 5. การฝึกใหม้ องทงั ทางบวกและทางลบ (หมวกสีเหลอื งและหมวกสีดาํ ) เทคนคิ การจดั กจิ กรรม “การคดิ แบบหมวก 6 ใบ” การจดั กิจกรรมฝึกการคิด โดยใชห้ มวก 6 ใบ สาํ หรับผทู้ ียงั ไม่เคยผา่ นกิจกรรมนีควรจดั 2 รอบ เพอื ใหส้ มาชิกไดเ้ ห็นขอ้ เปรียบเทียบและไดข้ อ้ คิดจากกิจกรรมชดั เจนยงิ ขึน รอบแรก ขนั ตอนกิจกรรม 1. แบ่งสมาชิกออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 8-12 คน อาจจได้ 2-4 กลมุ่ 2. กาํ หนดใหม้ ีกลมุ่ อภิปรายและกลุ่มสงั เกตการณ์ 3. ผสู้ อนกาํ หนดหวั ขอ้ สาํ หรับอภิปรายใหก้ ลมุ่ อภิปรายและมอบหมาย งานใหส้ มาชิกกลุ่มสงั เกตการณ์แต่ละคน ๆ ละคนหนึงมีหนา้ ทีจด บนั ทึกคาํ พดู ขอ้ คิดเห็น ของสมาชิกกลุ่มอภิปรายทุกคน แต่เลือก จดเฉพาะในส่วนทีเกียวขอ้ งกบั สีหมวกของตนเองทีไดร้ ับ 4. สมาชิกกล่มุ อภิปรายดาํ นเนินการอภิปรายตามหวั ขอ้ ทีผสู้ อนกาํ หนด ประมาณ 15-20 นาที สมาชิกสังเกตการณ์ จดบันทึกข้อความ คาํ พดู ของสมาชิกกลมุ่ 5. ผสู้ อนใหส้ มาชิกสงั เกตการณ์แต่ละคนนาํ เสนอผลการสงั เกต 6. ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั อภิปรายในประเด็นต่อไปนี - สมาชิกสงั เกตการณ์แต่ละคนจดบนั ทึกการอภิปรายของสมาชิกกลมุ่ ไดค้ รบถว้ นสอดคลอ้ งกบั สีหมวก ทีไดร้ ับหรือไม่ - กลมุ่ อภิปรายไดอ้ ภิปรายครบทุกประเด็นตามสีหมวกหรือไม่ หมวกสีใดอภิปรายนอ้ ย - บรรยากาศเป็นอยา่ งไร มีขอ้ ดีขอ้ ปรับปรุงอยา่ งไร - ผสู้ อนเสนอแนะเกียวกบั บรรยากาศ บทบาทของสมาชิกและผนู้ าํ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 46

47 รอบสอง ขนั กิจกรรม 1. ใหส้ มาชิกกลุม่ อภิปรายและกลมุ่ สงั เกตการณ์สลบั บทบาท หนา้ ที 2. ผสู้ อนกาํ หนดหวั ขอ้ สาํ หรับการอภิปราย ควรเป็ นหวั ขอ้ ใหม่และ มอบหมายงานใหส้ มาชิกกลุ่มสงั เกตการณ์ 3. สมาชิกอภิปรายดาํ เนินการอภิปรายตามหัวขอ้ ประมาณ 15-20 นาที และสมาชิกสงั เกตการณ์จดบนั ทึก 4. ผสู้ อนใหส้ มาชิกกล่มุ สงั เกตการณ์แต่ละคนนาํ เสนอ ประเดน็ การอภิปราย 1. ขอ้ แตกต่างของบรรยากาศการอภิปรายกลุ่มระหว่างรอบ แรกกบั รอบสอง มหี รือไมม่ ีและเป็นอยา่ งไร 2. ขอ้ แตกต่างและผลสรุปการอภิปรายระหวา่ งรอบแรกกบั รอบที 2 มหี รือไมม่ แี ละเป็นอยา่ งไร 3. ขอ้ ดี ขอ้ เสีย ขอ้ คิด หรือประโยชนท์ ีไดร้ ับจากกิจกรรมนี มอี ะไรบา้ ง และทีควรนาํ ไปปรับปรุงแกไ้ ขคืออะไร ประโยชนข์ องการใช้ “การคดิ แบบหมวก 6 ใบ” ประโยชน์ของการใช้ Six Thinking Hats 1. เนืองจากกระบวนการคิดแบบ Six Thinking Hats เป็นการเริมคิดในสิงเดียวกนั และคิดร่วมกนั ใน ประเด็นเดียวกนั ทาํ ใหล้ ดความขดั แยง้ ในการประชุมลงไปไดม้ าก 2. เนืองจากระบบใหค้ นคิดทีละดา้ น มองทีละดา้ น จากดา้ นหนึงไปมองอีกดา้ นหนึง ทาํ ให้เห็นภาพ จริงทีชดั เจน เป็นผลใหใ้ นเกิดการพิจารณาความคิดใหม่ ๆ ไดร้ อบคอบ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 47

48 3. การใช้ Six Thinking Hats ช่วยใหท้ ุกคนอยากมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ทาํ ให้เป็ นการ ดึงเอาศกั ยภาพ ของแต่ละคนมาใชโ้ ดยทีไม่รู้ตวั 4. ช่วยประหยดั เวลาในการประชุม เนืองจาก ทุกคนในทีประชุมมคี วามคิดแบบคขู้ นาน 5. จาํ กดั โอกาสหรือช่องทางสาํ หรับการโตเ้ ถียงหรือโตแ้ ยง้ กนั 6. สุรป เทคนิคการคดิ แบบ Six Thinking Hats จะเป็นการรวมความคิดดา้ นต่างๆ ไวค้ รบถว้ นทกุ ดา้ น ระบบใหค้ นคิดทีละดา้ น มองทีละดา้ น จากดา้ นหนึงไปมองอีกดา้ นหนึง จะไดเ้ ห็นภาพจริงทีชดั เจน ทาํ ให้ พิจารณาความคดิ ใหม่ ๆ ไดร้ อบคอบ เป็นผลใหเ้ กิดความคิดทีมปี ระสิทธิภาพ ดงั นนั การคิดเป็นทกั ษะที สามารถเรียนรู้ ฝึกฝน และพฒั นาได้ การใชว้ ธิ ีคิดแบบสวมหมวกคิด six thinking hats จะช่วยใหผ้ คู้ ิด สามารถคิดอยา่ งเป็นระบบ มขี นั ตอนในการคิดอยา่ ง สร้างสรรคแ์ ละสามารถแกไ้ ขปัญหาในสถานการณ์ ต่างๆ ไดง้ ่ายและรวดเร็วมากขึน สุวทิ ย์ มลู คาํ . 2549. ครบเครืองเรืองการคดิ . พมิ พค์ รังที 6. กรุงเทพมหานคร : หา้ งหุน้ ส่วนการพิมพ.์ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 48

49 บทที ทักษะการตัดสินใจและการแก้ปัญหา การตดั สินใจเป็นทกั ษะสาํ คญั อยา่ งหนึงในการดาํ เนินชีวติ ทีบุคคลจาํ เป็นตอ้ งเรียนรู้และฝึกฝน เราควรรู้จกั ตดั สินใจอยา่ งเป็นขนั ตอนอยบู่ นฐานขอ้ มลู ทีเป็นจริงและชดั เจน จึงจะชว่ ยทาํ ใหก้ ารตดั สินใจทีมี ประสิทธิภาพและเกิดประโยชนส์ ูงสุด การตดั สินใจ หมายถงึ การเลือกทางปฏิบตั ิซึงมีอยหู่ ลายทาง เป็นแนวทางปฏบิ ตั ิไปสู่เป้ าหมายทีวาง ไว้ อาจเป็นการตดั สินใจกระทาํ สิงใดสิงหนึง หรือหลายสิงหลายอยา่ ง การตดั สินใจมกั เกียวขอ้ งกบั ปัญหาที ยงุ่ ยากสลบั ซบั ซอ้ น และมีวธิ ีการแกป้ ัญหามากกวา่ หนึงอยเู่ สมอ ผตู้ ดั สินใจตอ้ งเลือกปฏบิ ตั ิเพือใหบ้ รรลุ เป้ าหมายอยา่ งดีทีสุดและเกิดผลสูงสุด ( สมพงษ์ เกษมสิน. 2511 อา้ งใน อภิญญา จรูญพร . 2515 ) การตดั สินใจ หมายถึง การกาํ หนดเลือกแนวทางเพอื ปฏิบตั ิ กลา่ วโดยสรุปไดว้ า่ การตดั สินใจ คือ กระบวนการแกป้ ัญหา ซึงประกอบดว้ ย การศกึ ษาปัญหา แนว ทางเลือก และวธิ ีการแกป้ ัญหาทีดีทีสุด โดยอาศยั ความมีเหตุผล ความละเอียดรอบคอบในการตดั สินใจ การตดั สินใดกต็ าม ทุกครังจะมีผลต่อชีวิตของผตู้ ดั สินใจเสมอ การตดั สินใจจึงมคี วามสาํ คญั ต่อชีวิต มนุษยม์ าก การตดั สินใจทีดีทีสุดควรเป็นการตดั สินใจทีรอบคอบ เป็นกระบวนการและมีระบบโดยการ คาํ นึงถึงผลดีผลเสีย พจิ ารณาอยา่ งรัดกุมเลือกทางทีเหมาะสม ประเภทของการตดั สินใจ รูปแบบการตดั สินใจทวั ๆ ไป แบ่งเป็นประเภทไดก้ วา้ ง ๆ ดงั นี 1. การตดั สินใจทีรู้ผลแน่นอน คาดคะเนผลไดแ้ น่นอน 2. การตดั สินใจทีพอจะรู้ผลความเสียงอยบู่ า้ ง คาดคะเนผลไดเ้ พียงร้อยละ 50 3. การตดั สินใจทีมคี วามเสียงสูง ไมส่ ามารถคาดคะเนผลไดเ้ ลยวา่ จะออกมาอยา่ งไร วธิ ีการตดั สินใจ นอกจากแบ่งประเภทแลว้ สิงทีมนุษยก์ ระทาํ เป็นกิจวตั รประจาํ วนั ยงั สามารถ จดั เป็นกลยทุ ธต์ ่าง ๆ ไดห้ ลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมคี วามแตกต่างกนั ประโยชน์และประสิทธิภาพของ การใชม้ คี วามเหมาะสมแตกต่างกนั รูปแบบกลยทุ ธ์การตดั สินใจ นกั จติ วทิ ยา ลิเลียน ดิงคเ์ ลค ( Lillian Dinlage ) ไดร้ วบรวมกลยทุ ธท์ ีบุคคลใชใ้ นการตดั สินใจเป็น 8 ชนิด ดงั นี คือ 1. วางแผนอยา่ งรอบคอบ 2. ยากเยน็ แสนเขญ็ รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 49

50 3. หุนหนั พลนั แล่น 4. ใชค้ วามรู้สึกบอก 5. ผดั ผอ่ น 6. ตามดวง 7. ตามเพือน / เสียงส่วนใหญ่ 8. ขาดพลงั เพียงพอ ในกลยทุ ธท์ งั 8 กลยทุ ธท์ ีได้ 1 ไดแ้ ก่ การวางแผนอยา่ งรอบคอบ จดั ไดว้ า่ เป็นวิธกี ารทีดีทีสุด ทาํ ให้ ผตู้ ดั สินใจมนั ใจในการตดั สินใจ นบั เป็นการเสียงทีรอบคอบทีสุด 1.กลยทุ ธ์การวางแผนอย่างรอบคอบ ประกอบดว้ ย 7 ขนั ตอน คือ 1.1 ขนั ทีหนึง รู้ถึงสิงทีตอ้ งตดั สินใจ บุคคลตอ้ งตระหนกั ว่าเขาตอ้ งตดั สินใจก่อน กระบวนการ คิดหาแนวทางจึงเกิดตามมา ดงั นนั ขนั ทีหนึงจึงเป็นขนั ทีสาํ คญั ทีสุด 1.2 ขนั ทีสอง การรวบรวมขอ้ มลู ทีมีประโยชน์ เพือใชป้ ระกอบการตดั สินใจ ผตู้ ดั สินใจตอ้ งรู้ขอ้ มลู ดงั นี · ขอ้ มลู อะไรทีเกียวขอ้ งกบั การตดั สินใจในเรืองนนั · แหล่งขอ้ มลู มาจากไหน · จะไดร้ ับขอ้ มลู นนั มาไดอ้ ยา่ งไร 1.3 ขนั ทีสาม รู้จกั กบั ทางเลือกทีมอี ยู่ โดยใชข้ อ้ มลู ในขอ้ ทีสอง ถา้ ทางเลือกมีไมม่ าก อาจตอ้ งใช้ ดุลยพินิจ พิจารณาทางเลือกอืนประกอบ 1.4 ขนั ทีสี การพจิ ารณาทางเลอื กแต่ละดา้ น ทงั ผลดี ผลเสีย แลว้ นาํ ผลดีผลเสียมาพจิ ารณา ทางเลือกทีเหมาะสมกวา่ เพอื แกป้ ัญหาจากขนั ทีหนึงไดห้ รือไม่ 1.5 ขนั ตดั สินใจเลือก นาํ ขอ้ พจิ ารณาจากขอ้ ทีสีมาจดั ลาํ ดบั ทางเลือก 1.6 ขนั ทีหก เป็นขนั ดาํ เนินการตามทีตดั สินใจเลอื กในขนั ทีหา้ 1.7 ขนั ทีเจ็ด เป็นการทบทวนการตดั สินใจและผลทีไดร้ ับ เมือกระทาํ การตดั สินใจไปแลว้ หาก การตดั สินใจไมไ่ ดผ้ ลอยา่ งทีตอ้ งการอาจปฏิบตั ติ ามทางเลอื กอนั ดบั ต่อไปหรือเริมตน้ พจิ ารณาจากขนั ทีสองอกี ครังหนึง กลยทุ ธก์ ารวางแผนใหร้ อบคอบ เป็นกระบวนการทีมีประสิทธิภาพอยา่ งยงิ ในการแกป้ ัญหา ทกุ ชนิด เป็นการวางแผนทีฉลาดใหก้ บั ชีวติ องตนเอง รวบรวมและเรียบเรียง โดย พชั รา จงโกรย หนา้ 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook