รายงานการพฒั นาทักษะการคดิ โดยใช้วธิ ีการสอนแบบกระบวนการ สบื เสาะหาความรู้ (5Es) ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นวดั พืชนิมิต (คาสวสั ดิ์ราษฎร์บารุง) จัดทาโดย นางสาวสวุ ดี กาญจนาภา กลุ่มสาระการเรยี นรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์ โรงเรยี นวดั พชื นิมิต (คาสวสั ดิ์ราษฎร์บารุง) สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
ก กติ ติกรรมประกาศ ความสาเร็จของการทาวิจัยฉบับน้ี ผ้วู จิ ัยได้รับความกรุณาช่วยเหลือจากบุคคลหลายทา่ น ที่คอยให้ แนะนาปรึกษาด้วยความเสียสละ และอดทน แล้วท่านยังให้ความรู้และแบบอย่างของการ ทางานทดี่ ี ผู้วจิ ยั รูส้ ึกซาบซึง้ ในพระคณุ อยา่ งสงู ขอขอบพระคุณท่านผู้อานวยการ นางสาวกันยาภัทร ภัทรโสติถิ ซึ่งเป็นผู้เช่ืยวชาญ ตรวจสอบเคร่ืองมือ ให้กาลังใจ ให้คาแนะนา ข้อคิดเห็น ความรู้ และคาปรึกษาหารือท่ีทรงคุณค่าย่ิง ตลอดมา จนประสบความสาเร็จ ขอขอบคุณผู้ร่วมงานทุกท่านที่มีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ข้อมูล ความรู้ท่ีเป็นประโยชน์ในคร้ังนี้ และขอบคุณนักเรียนกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการทดลองท่ีให้ความร่วมมือ ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเป็นอยา่ งดี และขอบคุณทกุ คนท่เี ปน็ กาลังใจช่วยใหท้ ุกส่ิงสาเร็จตามท่ีมุ่งหวงั สวุ ดี กาญจนาภา
ข หัวข้อวจิ ัย การพัฒนาทกั ษะการคดิ โดยใช้วธิ ีการสอนแบบกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E) ช่อื - สกุล นางสาวสวุ ดี กาญจนาภา และคณะ ปีการศกึ ษา 2562 บทคดั ย่อ การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาทักษะการคิดโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ (5Es) 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 3)ความพึงพอใจของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) กลุ่มตัวอย่าง ในการวจิ ยั คร้ังนเ้ี ปน็ นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นวดั พชื นิมิต (คาสวัสดิร์ าษฎร์บารุง) ภาค เรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 42 คน ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ 16 ชั่วโมง เคร่ืองมือที่ใช้ใน การวิจัย คือแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5Es) เร่ืองวงจรไฟฟ้า ใบกิจกรรมทักษะ ความรูค้ วามเขา้ ใจในเร่ืองท่ีเรยี น สรปุ ความคดิ รวบยอดออกเป็นแผนผังความคิด ออกแบบสง่ิ ประดิษฐ์ และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน ดาเนินการทดลองแบบศึกษากลุ่มตัวอย่างเดียวมีการวัดหลาย ครั้ง ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ (5Es) ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์ มีความรู้ความเข้าใจสามารถนาไปใช้ ได้ นักเรียนสามารถทาใบงาน/ใบกิจกรรม และสร้างผลงานสิ่งประดิษฐ์ และนาเสนอผลงาน โดยนา ความรู้ไปเช่ือมโยงกับการใช้ชีวิตประจาวันได้ และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนมีความพึงพอใจ ตอ่ การจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) อยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ
สารบัญ หนา้ ก เรื่อง ข กิตติกรรมประกาศ 1 บทคัดย่อ 2 สารบัญ 2 2 บทที่ 1 บทนา 3 ความเปน็ มาและความสาคัญของพัฒนา 3 วัตถุประสงค์ของการวิจยั สมมติฐาน 4 ขอบเขตของการวจิ ยั 16 ประโยชนท์ ่ไี ด้รับจากการวิจัย 18 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 23 24 บทท่ี 2 วรรณกรรมและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง การจัดการเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 27 หลกั การเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรเ์ พื่อเสริมทักษะการคิด 27 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 29 ความพึงพอใจ 30 แผนการจัดการเรียนรู้ 30 บทที่ 3 การดาเนินงานวจิ ยั 32 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง เครอื่ งมือในการวิจยั 36 การเก็บรวบรวมข้อมูล 38 การวเิ คราะห์ข้อมูล 39 สถิตทิ ีใ่ ช้ บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู บทท่ี 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ สรปุ ผลการวิจัยและอภปิ รายผล ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม
สารบญั (ต่อ) เรื่อง หนา้ 40 ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายงานการพฒั นาการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ PLC ภาคผนวก ข เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ ภาคผนวก ค ภาพการทาจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ภาคผนวก ง ผลงานนกั เรยี น และการนาเสนอผลงาน ภาคผนวก จ แบบประเมนิ ผลงาน แบบประเมินใบกิจกรรม ภาคผนวก ฉ ประวัตผิ ูว้ จิ ัย
บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของการพฒั นา ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วอีก ท้ังเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นการเรียนรู้จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทั้งดีและไม่ดี การเรียนรู้ทางดี ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่การเรียนรู้ทางไม่ดีทาให้เกิดภัยต่อตัวเอง สังคมและชุมชน (กองวิจัยทางการ ศึกษา กรมวิชาการ,2542:บทนา) ความเจริญก้าวหน้าท่ีเป็นไปอย่างรวดเร็ว พบว่าเยาวชนประเทศท่ี เติบโตเป็นกาลังสาคัญต่อไปภายภาคหน้า กาลังเผชิญกับปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนและสับสน คิดไม่ เป็น ทาไม่ได้ แกป้ ญั หาไม่ถูกวธิ ี และไม่มีวิธีการในการคิดวเิ คราะห์ขอ้ มลู ขา่ วสารต่าง ๆ เพือ่ นามาใช้ให้ เกิดประโยชนใ์ นการดาเนนิ ชีวติ ทาให้เกดิ ปญั หา เช่น ปญั หายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการ ถูกล่อลวง ดังน้ันทักษะการคิดจึงเป็นคุณลักษณะท่ีสาคัญของการจัดการปัญหา ช่วยในการแยกแยะ ส่ิงท่ีดีและไม่ดี รวมทั้งการคิดยังเป็นคุณสมบัติท่ีผู้เรียน ควรมีควบคู่ไปกับความรู้ ความสามารถและ คุณธรรม ด้วยความสาคัญดังกล่าว การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงเป็นกิจกรรมท่ีสาคัญที่ส่งเสริมและ พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในการคิด โดยเฉพาะการวิเคราะห์ ซ่ึงประกอบด้วยการจาแนก ก าร เปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การประเมินค่า การตัดสินใจ และอธิยายสาเหตุการตัดสินใจช่วยให้ ผู้เรียนแยกแยะข้อมูลท่ีมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ประเมินค่าความน่าเช่ือถือของข้อมูลที่ผ่านเข้า มาในชีวิตประจาวันได้ (กระทรวงศึกษาธิการ,2546:10) สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ในหลายมาตราได้จัดแนวทางการจัด การศึกษาทีเ่ ก่ยี วข้องกบั ทกั ษะการคดิ ข้อผ้เู รยี น คือมาตราท่ี 22 ระบุว่าการจัดการศกึ ษาต้องยดึ หลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสาคัญท่ีสุด กระบวนการ จัดการเรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามธรรมชาติ และเตม็ ศักยภาพมาตราที่ 23 การเรยี นรูด้ ้านวทิ ยาศาสตร์และต้องใหเ้ กิดความรูท้ ักษะและเจตคติด้าน วิทยาศาสตร์รวมท้ังความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เร่ืองการจัดการการบารุงรักษาและการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและย่ังยืน (กรมวิชาการ, 2545 :12) และมาตราท่ี 24 กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความ เข้าใจและความถนัดของผเู้ รียน โดยคานงึ ถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคลฝึกทักษะกระบวนการคิดการ จัดการและการเผชิญสถานการณ์และประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหานอกจากนี้ใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐานพุทธศักราช 2551 ได้กาหนดจดุ มุ่งหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ รวมท้ังมุ่งให้ผู้เรียนมี คุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานท่ีกาหนดซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ซงึ่ เปน็ ไปตามท่หี ลกั สูตรกาหนด การประเมินคุณภาพภายนอกระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานของสถานศึกษามาตรฐานที่ 4 ด้าน ผู้เรียนกาหนดให้ผ้เู รียนต้องมีความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ คิดสังเคราะห์ วิจารณญาณ มีความคิด สร้างสรรค์คิดไตร่ตรอง มีวิสัยทัศน์ และจากผลการประเมินการจัดการศึกษาของสานกั วิชาการและ มาตรฐานทางการศึกษาพบว่าปัญหาด้านการคิดวิเคราะห์เป็นปัญหาของเด็กไทยที่ต้องแก้ไขอย่าง เรง่ ดว่ น การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์เป็นกลุม่ สาระทีม่ งุ่ พฒั นาทักษะการคิดของผเู้ รียน
2 เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ความเข้าใจในเร่ืองต่างๆอย่างเป็นระบบ ผู้วิจัยใน ฐานะครูผู้สอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ได้ทาการสังเคราะห์ผลการเรียนรู้ของโรงเรียนวัดพืช นิมิต(คาสวัสด์ิราษฎร์บารุง) ทุกกลุ่มสาระพบว่านักเรียนท่ีผู้สอนรับผิดชอบนั้น มีความสามารถใน การคดิ วเิ คราะห์ค่อนข้างนอ้ ย เมือ่ พจิ ารณารายละเอยี ดจากผลงาน/ชน้ิ งาน มกั เป็นการเลยี นแบบไม่ กล้าแสดงความคิดเห็นไม่สามารถหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน ไม่สามารถจาแนกจัด หมวดหมู่เก่ียวกับความเหมือนความต่าง โดยใช้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ขาดทักษะการสรุป ไม่สามารถนา ความรู้ทักษะหรือประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียน และการดาเนิน ชีวิตประจาวันได้ รวมทั้งไม่สามารถคาดการณ์ หรือพยากรณ์ส่ิงที่เกิดขึ้นในอนาคตดังนั้นผู้วิจัยซึ่ง เป็นครผู ูส้ อนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรยี นวดั พชื นิมิต (คาสวสั ดิร์ าษฎร์บารุง) จึง สนใจท่จี ะพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรูเ้ พ่ือส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และสร้างพื้นฐานการคดิ สาหรับ ระดบั ช้นั ทส่ี ูงข้ึนต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพ่ือพัฒนาทกั ษะการคิดโดยใชว้ ิธีการสอนแบบกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5Es) มีคณุ ภาพ ตามเกณฑท์ ่ีกาหนด 2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 3. เพอ่ื ศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรียน หลังไดร้ ับการจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) สมมติฐานของการวิจัย 1. นกั เรียนมกี ารพฒั นาทกั ษะการคิดเมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เพ่มิ มากข้ึน 2.ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียนเรอื่ งวงจรไฟฟ้าของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที 6ี่ อยู่ใน ระดับดี ตวั แปรที่ใชใ้ นการวิจยั ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ การจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ตวั แปรตาม ได้แก่ 1. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น 2. ทกั ษะการคิด 3. ความพงึ พอใจ ขอบเขตการวจิ ัย การวิจัยในคร้งั นี้ ผ้วู จิ ยั ได้กาหนดขอบเขตของการวจิ ัยดงั น้ี 1. ขอบเขตเชิงเนื้อหา ผวู้ ิจัยศึกษาและพฒั นาทักษะการคดิ โดยใช้วธิ ีการสอนแบบ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ในกลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์เร่ืองวงจรไฟฟ้า ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 2. ขอบเขตประชากร ผูว้ จิ ัยศึกษากับกล่มุ ตวั อยา่ งนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี6 จานวน 40 คนโรงเรยี นวัดพชื นิมิต ( คาสวสั ดร์ิ าษฎร์บารุง) 3. ขอบเขตเชิงระยะเวลา ผวู้ จิ ยั ทาการทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2562
3 จานวน 16 ช่ัวโมง ประโยชนท์ ี่ไดร้ บั จากการวิจัย 1. นกั เรยี นมคี วามสามารถด้านทักษะการคิด เพ่ือเปน็ การพฒั นาการเรยี นร้สู าระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ 2. เปน็ แนวทางใหค้ รผู สู้ อนและผู้สนใจนารปู แบบการจดั การเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการเรยี นการ สอนท่พี ัฒนาทักษะการคดิ วิเคราะห์ ไปจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนในเร่ืองอื่น ๆตอ่ ไป 3. ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรียนเรียนร้ดู ว้ ยการจดั ทาสงิ่ ประดิษฐ์กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และ กลุ่มสาระอนื่ ๆ เพ่ือใหน้ กั เรยี นสร้างองค์ความรใู้ หม่จากพนื้ ความรู้เดิม นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 1. การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) หมายถึง การจัดการเรียนการ เรียนการ สอน โดยให้นักเรยี นเปน็ ผ้สู รา้ งความรหู้ รือองค์ความรู้ด้วยตวั เอง โดยใช้กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ครผู ู้สอนเปน็ เพียงผู้คอยแนะนาและอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ ซึ่งรปู แบบการ จดั การเรยี นการ รแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มี 5 ขน้ั ดงั น้ี ขั้นที่ 1 ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนาเข้าสู่บทเรียนโดยใช้สถานการณ์หรือ กิจกรรมบางอยา่ งที่น่าสนใจ โดยผสู้ อนใชค้ าถามเพอ่ื กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจอยากเรียนรู้ในหวั ขอ้ น้นั ข้ันท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration) เป็นการทาความเข้าใจในประเด็นที่สนใจจะ ศกึ ษา แล้ววางแผนดาเนนิ การสารวจตรวจสอบ ผ่านการปฏบิ ัติการทดลองดว้ ยตนเองเพื่อเก็บรวบรวม ข้อมูล ข้ันท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เป็นการนาข้อมูลที่ได้จากการสารวจ ตรวจสอบแลว้ มาวเิ คราะห์ แปลผล สรปุ ผล และนาเสนอผลทไ่ี ด้ในรปู แบบต่าง ๆ ขัน้ ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) เปน็ การนาความรทู้ ส่ี ร้างข้นึ ไปเช่อื มโยงกับความรู้เดิม หรือข้อสรปุ ทไี่ ดไ้ ปใชอ้ ธิบายเหตกุ ารณอ์ ่นื ๆ ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมสร้าง แบบจาลองทางความคดิ เพ่ือประเมินว่านกั เรยี นมีความรู้อะไรบา้ ง อยา่ งไร และมากน้อยเพยี งใด 2. ทกั ษะการคดิ หมายถึง ความสามารถในการคดิ พจิ ารณาใคร่ครวญ ไตร่ตรอง เพอื่ ตัดสินใจ ในการแก้ปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบ มีเหตุผล มีเหตุ ซึ่งสามารถวัดได้จากผลงานหรือชิ้นงาน สิง่ ประดษิ ฐ์ของนักเรยี น คิดเป็นรอ้ ยละ 70 3. เกณฑ์ที่กาหนด หมายถึง นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในระดับดีข้ึนไป คิดเป็นร้อย ละ 70 4. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ คะแนนที่ได้จากใบงาน ใบกจิ กรรม ทผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งขึ้น 5. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) หมายถึง ความรู้สึก ชอบ และความสนใจของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) วิชา วิทยาศาสตร์ เร่ืองวงจรไฟฟ้า โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งวัด ความพึงพอใจของนกั เรยี น 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นบทบาทผูส้ อน ดา้ นบทบาทผเู้ รยี น ดา้ นการจดั การเรยี นรู้ และด้านการวัดและประเมินผล ซึ่งแบบสอบถามดังกล่าวใช้เกณฑ์วัดระดับความพึงพอใจแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scales) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด จานวน 20 ข้อ
4 บทท่ี 2 วรรณกรรมและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการคิดโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสดิ์ราษฎร์บารุง) ผู้วิจัยได้ศึกษา แนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับทักษะการคิด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่พัฒนาทักษะการคิด โดยการนาเสนอตามลาดับ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและ งานวิจัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง โดยมรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ . การจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) 1. ความหมายของการจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) นักวิชาการศึกษาเรียกวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ในคาที่ แตกต่างกันไป เช่น การสอนแบบสืบสวนสอบสวน การสอนแบบสอบสวน การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การสอนแบบ สืบเสาะ การสอนแบบสืบค้น การสอนแบบสืบสอบ เป็นต้น ในการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้คาว่า “สืบ เสาะหาความรู้” ซึง่ ไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ดงั น้ี ผดุงยศ ดวงมาลา (2530: 122) ให้ความหมายว่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้หมายถึง การสอนท่ีให้นักเรียนค้นหาความรู้ หรือความจริงทางวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง ครูผู้สอนจะสร้าง สถานการณ์ยั่วยุให้นักเรียนได้วางแผนและกา หนดวิธีการค้นหาควา มรู้โดยใช้กระบวน กา ร ท า ง วทิ ยาศาสตร์โดยตัวนกั เรยี นเอง สวุ ฒั ก์ นยิ มค้า (2531: 502) ให้ความหมายไวว้ ่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นการสอน ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็น เครื่องมือในการค้นหาความรู้ที่ผู้เรียนยังไม่เคยมีความรู้นั้นมาก่อน จนสามารถออกแบบทดลองและ ทดสอบสมมติฐานได้ กองการวจิ ยั ทางการศกึ ษา (2536: 11) ให้ความหมายของการสอนแบบสบื เสาะหาความรูว้ า่ เป็นการสอนทีเ่ น้นการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวธิ ีการฝึกให้นักเรยี นรู้จักคน้ หาความรู้ โดยใช้กระบวนการทางความคิด หาเหตผุ ลจนค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปญั หาทถี่ ูกต้องด้วยตนเอง โดยครูต้ังคาถามประเภทกระตุ้นให้นักเรียนใช้ความคิด หาวิธีแก้ปัญหาเองได้และสามารถนา แนว ทางการแก้ปัญหาน้นั มาใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั ได้ ภพ เลาหไพบูลย์ (2542: 123) ให้ความหมายว่า การสอนแบบสืบเสาะ หาความรู้ หมายถึง การสอนที่เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ ท่ีจะช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความ จริงต่าง ๆ ด้วยตนเอง ให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้เน้ือหาวิชา ครูวิทยาศาสตร์จึง จาเป็นต้องมีการเตรียม สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ ศึกษาโครงสร้างของกระบวนการสอน การจัดลาดับเนื้อหาโดยครูทา หน้าท่ีคล้ายผู้ช่วย และนักเรียนทาหน้าท่ีคล้ายผู้จัดการวางแผนการเรียน นักเรียนเป็นผู้เริ่มต้นในการ จัดการเรียนการสอนด้วยตนเอง มีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาหาความรู้ โดยวิธีการเช่นเดียวกับการ ทางานของนักวิทยาศาสตร์ และเปลี่ยนแนวความคิดจากการเป็นผู้รับ ความรู้มาเป็นผู้แสวงหาความรู้ และใช้ความรู้
5 พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2544: 43) ได้ให้ความหมายของการสอนแบบสืบสวน หมายถึง การ จัดการเรียนการสอนโดยวิธีให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ หรือสร้างความรู้ด้วยตัวเองโดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ครเู ป็นผู้อานวยความสะดวก เพอื่ ให้นกั เรยี นบรรลุเป้าหมาย วิธีสืบเสาะ หาความรู้จะเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั ทิศนา แขมมณี (2545: 7) ได้ให้นิยามการจัดการเรียนการสอนโดยเน้น กระบวนการสืบสอบ หมายถึง การดาเนินการเรียนการสอนโดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคาถาม เกิดความคิดและลงมือ เสาะหาความรู้ เพ่ือนามาประมวลหาคาตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยท่ี ผู้สอนช่วยอานวยความ สะดวกในการเรยี นรใู้ นด้านตา่ ง ๆ ให้แกผ่ ู้เรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 34) ได้ กล่าวว่าการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่างการใช้ กระบวนการคิดและทักษะ ต่าง ๆ เพอ่ื ที่จะแก้ปัญหาและคาตอบ ทาให้เกดิ ความเข้าใจและสามารถ นาไปประยุกต์ใช้ได้ Good (1973: 303) ให้ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ว่าเป็น เทคนิคหรือ กลวิธีเฉพาะประการหนึ่งในการจดั ให้เกิดการเรียนรู้เน้ือหาบางอย่างของวิชาวทิ ยาศาสตร์ โดยกระตุ้น ให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็นและแสวงหาความรู้โดยการใช้คาถาม และพยายาม ค้นหาคาตอบ ให้พบดว้ ยตนเอง เป็นวธิ กี ารเรียนโดยการแก้ปัญหาในกจิ กรรมการเรียนที่เกิดข้ึน (Problem-Solving) ซ่ึงปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ท่ีนักเรียนเผชิญในแต่ละคร้ังจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการ คิดด้วยการสังเกต อย่างถ่ีถ้วนเป็นระบบ ออกแบบการวัดท่ีต้องการแยกแยะสิ่งที่สังเกตกับสิ่งที่สรุป ประดิษฐ์คิดค้น ตีความหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมท่ีสุด การใช้วิธีการอย่างฉลาดสามารถ ทดสอบได้และ การสรุปอยา่ งมเี หตุผล Simpson and Anderson (1981: 177) ใหค้ วามความของการสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ ว่าเป็นวิธีการท่ีครูและนักเรียนเป็นองค์ประกอบสาคัญ โดยนักเรียนเป็นผู้ ค้นหาความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ครูเป็นเพียงผู้แนะนา ผู้อานวยความ สะดวกเพอ่ื ให้นักเรียนบรรลเุ ปา้ หมาย และเน้นนกั เรียนเป็นสาคญั จากความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้สรุปได้วา่ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเอง โดยครูต้องเตรียม สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ และทาหน้าท่ีเป็นผู้ช่วยคอยอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้กับ นักเรยี น 2. รปู แบบของการจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) นักการศึกษาหลายท่านได้กาหนดรูปแบบหรือขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหา ความรแู้ ตกต่างกนั ดงั นี้ ผดุงยศ ดวงมาลา (2530: 124-125) ได้แบ่งข้ันตอนในการจัดการเรียนการสอน แบบสืบ เสาะหาความรู้ไว้ดงั นี้ 1. ข้ันนาเข้าสบู่ ทเรียนและการตง้ั สมมตฐิ าน (Orientation and Hypothesis) ปญั หาคือสิ่งท่ี จะตอ้ งศึกษาเพื่อให้ได้คาตอบ เปน็ หน้าทีข่ องผูส้ อนท่ีต้องจัดสถานการณ์ กิจกรรมหรอื เงื่อนไขที่ทาให้ เกิดปัญหาข้อข้องใจ (Conceptual Conflicts) ขึ้นในตัวผู้เรียนซ่ึงเป็นขั้นท่ีทาให้ผเู้ รียน สืบเสาะต่อไป ว่าอะไรคือปัญหา หรือปัญหาน้ันจะอธิบายว่าอย่างไร ในขั้นนี้ต้องให้ผู้เรียนคิดพิจารณา หรือใช้ทักษะ
6 การสังเกตพิจารณาสภาพของปัญหา เพ่ือให้ผู้เรียนรู้จักการต้ังสมมติฐานเพ่ือคาดคะเน คาตอบของ ปญั หาในเบ้อื งตน้ 2. ข้ันสารวจค้นคว้าหรือขั้นปฏิบัติการ (Exploration) เป็นขั้นที่นักเรยี นจะต้อง ค้นหาเหตุผล หาข้อมลู เพื่อตรวจสอบสมมตฐิ านที่ตง้ั ไว้ ซึ่งนกั เรยี นจะต้องใชว้ ธิ กี ารหลายวิธีรวมทั้งการ สอบถามจาก ผู้สอนด้วย ครูต้องไม่ตอบปัญหาหรือบรรยายให้ฟัง หากจาเป็นต้องตอบปัญหาโดยไม่มี ทางเล่ียงให้ใช้ วธิ รี ุกคาถามเพอื่ ใหน้ ักเรียนไดข้ ้อคิดของตนใหม้ ากทสี่ ุดเทา่ ที่จะทาได้ 3. ขั้นอภิปรายและสรุปผล (Discussion and Conclusion) เม่ือรวบรวมข้อมูล จากการ สารวจคน้ คว้าหรือปฏบิ ตั ิการแลว้ ผสู้ อนเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนอภปิ รายถึงผลท่ีได้เพื่อโยงไปสู่ สมมติฐาน ท่ตี งั้ ไวว้ า่ เปน็ ความจรงิ มากน้อยเพียงใด หากสมมตฐิ านนัน้ เป็นความจริงใหส้ รุปเป็น หลกั การตอ่ ไป 4. ขั้นการนาไปใช้ (Application) เมื่อสรุปเป็นมโนมติหรือหลักการต่าง ๆ แล้ว ผู้สอนจะต้อง กระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดว่าสิ่งท่ีสืบเสาะได้น้ันจะนาไปใช้ได้อย่างไรหรือนาไปผสมผสานกับ ความรู้อื่น ๆ ท่ไี ดเ้ รียนมาแล้วให้เปน็ โครงสร้างของความรู้ใหมไ่ ด้อยา่ งไร กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 219-220) ได้แบ่งขั้นตอนในการสอน แบบสืบ เสาะหาความรู้ไว้ดงั นี้ 1. การสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นการนาเข้าสู่บทเรียนหรือเร่ืองที่ สนใจซึ่ง เกิดขึ้นเองจากความสงสัย หรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรียนหรือเกิดจากอภิปราย ในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจจะมาจากเหตุการณ์ในข่วงนั้น หรือเป็นเร่ืองท่ีเช่ือมโยงกับความรู้เดิมที่เพ่ิง เรียน มาแลว้ เปน็ ตวั กระตนุ้ ให้นักเรียนสร้างคาถาม กาหนดประเดน็ ทีจ่ ะศกึ ษา ครอู าจให้ศึกษาจากสื่อต่างๆ หรือเปน็ ผู้กระต้นุ ดว้ ยการเสนอประเดน็ ขึ้นมาก่อน 2. การสารวจและค้นหา (Exploration) เปน็ ขนั้ ทีม่ ีการวางแผนกาหนดแนวทาง ในการสารวจ ตรวจสอบ ต้ังสมมติฐาน กาหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้หลายวิธี เช่น ทาการทดลอง ทากิจกรรม ภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการสร้างสถานการณ์จาลอง การศึกษาหาข้อมูล จาก เอกสารอา้ งองิ หรือจากแหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ เพ่ือให้ได้ข้อมลู ท่เี พียงพอท่จี ะใชใ้ นขน้ั ต่อไป 3. การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เป็นข้ันการนาข้อมูลท่ีได้มา วิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและนาเสนอผลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บรรยาย สร้างแบบจาลองหรือรูปวาด สร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้นนี้เป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมติฐานท่ีต้ังไว้ โต้แย้งกับสมมติฐานที่ต้ังไว้ หรือไมเ่ ก่ยี วกับประเด็นทต่ี ้ังไว้แตผ่ ลท่ีไดจ้ ะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกดิ การเรียนรู้ ได้ 4. การขยายความรู้ (Elaboration) เปน็ ข้ันการนาความรู้ท่สี รา้ งขน้ึ ไปเชื่อมโยงกบั ความรู้เดิม หรือแนวคิดท่ีได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือนแบบจาลอง หรือข้อสรุปท่ีได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือ เหตุการณ์อื่น ถ้าใช้อธิบายเร่ืองอื่นได้มากก็แสดงว่าข้อจากัดน้อย ซ่ึงจะช่วยเชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ และทาให้เกิดความรกู้ ว้างขวางข้ึน 5. การประเมิน (Evaluation) เป็นขั้นการประเมินความรทู้ ักษะกระบวนการที่นักเรียนไดร้ บั และการนาความรไู้ ปประยกุ ต์ใช้ในเรอ่ื งอื่น ๆ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 216) ได้ให้แนวทางการ จัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีเน้นกระบวนการที่ผู้เรียนเป็นผู้คิดลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรมท่ีหล ากห ลายท้ังการทา กิจ กรรมในห้ องปฏิบัติการ แล ะ ภาคสนาม ให้ผู้เรียนได้สังเกต สารวจตรวจสอบทดลอง ด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทาให้ผู้เรียนเกิดความ
7 เข้าใจและเกิดการรับรู้อย่างมีความหมาย สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทาให้มีความรู้คงทน ยาวนาน สามารถนามาใชไ้ ด้เมอ่ื มีสถานการณใ์ ด ๆ มาเผชิญหนา้ โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ เพ่อื ฝกึ ทกั ษะการแสวงหาความรู้และพฒั นาการคิดขั้นสงู ได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 34-36) ได้ กาหนด รูปแบบของการจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ได้ 5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี 1. ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) เป็นการนาเข้าสูบ่ ทเรยี นหรือเร่ืองที่ สนใจ ซ่ึงอาจเกิดขึ้นเองจากความสนใจหรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรียน เองหรือเกิดจากการอภิปรายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ท่ีกาลังเกิดขึ้นอยู่ในชว่ งเวลา น้ันหรือเป็นเรื่องท่ีเชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพ่ิงเรียนมาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคาถาม กาหนดประเดน็ ท่จี ะศกึ ษา ในกรณีทีย่ ังไม่มีประเด็นท่นี ่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสอื่ ต่าง ๆ หรือเป็นผู้ กระตุ้นด้วยการเสนอประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคาาถามท่ีครู กาลงั สนในเป็นเร่ืองที่จะใชศ้ กึ ษา เมอื่ มีคาถามที่น่าสนใจและนกั เรยี นสว่ นใหญย่ อมรับให้เปน็ ประเด็นที่ ต้องการศึกษาจึงร่วมกันกาหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรอ่ื งท่ีจะศึกษาให้มีความชดั เจน ยิ่งขึ้น อาจรวมท้ังการรวบรวมความรู้จากประสบการณ์เดิม หรือความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ นาไปสู่ความเข้าใจเร่ืองหรอื ประเด็นท่จี ะศึกษามากขึน้ และมีแนวทางทใี่ ชใ้ นการสารวจตรวจสอบอย่าง หลากหลาย 2. ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) เม่ือทาความเข้าใจในประเด็นหรือคาถามที่ สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกาหนดแนวทางการสารวจตรวจสอบตั้งสมมติฐาน กาหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจท าได้หลากหลายวิธี เช่น การท าการทดลอง การทากิจกรรมภาคสนาม การใช้ คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จาลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิง หรอื จากแหล่งขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพ่ือใหไ้ ด้มาซงึ่ ขอ้ มูลอย่างเพยี งพอทจ่ี ะใช้ในขนั้ ต่อไป 3. ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) นักเรียนนาข้อมูลที่ได้จากการสารวจ และค้นหามาวิเคราะห์ แปลผล สรุปและอภิปราย พร้อมทั้งนาเสนอผลงานในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอาจ เป็นรูปวาด ตาราง แผนผัง ผลงานมีความหลากหลาย สนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือโต้แย้งกับ สมมติฐานท่ีต้ังไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กาหนดไว้ โดยมีการอ้างอิงความรู้ประกอบการให้ เหตุผลสมเหตุสมผล การลงขอ้ สรุปถกู ต้องเช่ือถอื ได้ มีเอกสารอ้างองิ และหลักฐานชดั เจน 4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 4.1) ครจู ดั กจิ กรรมหรือสถานการณ์ เพ่ือให้นักเรียนมีความรู้ลึกซึง้ ข้นึ หรือขยายกรอบความคิดกว้างขึ้นหรือเชื่อมโยงความรู้เดิมสู่ความรู้ใหม่หรือนาไปสู่การศึกษาค้นคว้า ทดลอง เพ่ิมข้ึน เช่น ตั้งประเด็นเพื่อให้นักเรียน ชี้แจงหรือร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมให้ ชัดเจนย่ิงขึ้น ซกั ถามใหน้ ักเรยี นชดั เจนหรือกระจา่ งในความรูท้ ีไ่ ด้หรือเช่ือมโยงความรู้ท่ีไดก้ ับความรู้ เดิม 4.2) นกั เรียนมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรม เชน่ อธบิ ายและขยายความรเู้ พ่มิ เติมมี ความละเอยี ดมากขน้ึ ยกสถานการณ์ ตวั อยา่ ง อธิบายเช่อื มโยงความรู้ท่ไี ดเ้ ปน็ ระบบและลึกซง้ึ ยงิ่ ขึ้น หรือสมบูรณ์ละเอยี ดขึ้น นาไปสู่ความรูใ้ หมห่ รอื ความรทู้ ลี่ ึกซ้ึงยงิ่ ขน้ึ ประยุกต์ความรูท้ ่ีได้ไปใช้ในเรื่อง อนื่ หรือสถานการณ์อ่นื ๆ หรอื สร้างคาถามใหมแ่ ละออกแบบการสารวจ ค้นหา และรวบรวมเพือ่ นาไปสู่ การสร้างความร้ใู หม่
8 5. ข้นั ประเมิน (Evaluation) 5.1) นกั เรยี นระบุสง่ิ ทีน่ กั เรียนได้เรียนรู้ท้งั ดา้ นกระบวนการและผลผลิต 5.2) นกั เรียนตรวจสอบความถกู ต้องของความรทู้ ี่ได้ เชน่ วิเคราะหว์ ิจารณ์ แลกเปลยี่ นความรู้ซึ่งกันและกันคิดพจิ ารณาใหร้ อบคอบทั้งกระบวนการและผลงาน อภิปราย ประเมิน ปรบั ปรงุ เพ่ิมเติมและสรปุ ถ้ายงั มปี ญั หา ใหศ้ ึกษาทบทวนใหม่อีกครงั้ อ้างองิ ทฤษฎีหรอื หลักการและ เกณฑ์ เปรยี บเทยี บผลกับสมมติฐาน เปรียบเทยี บความรู้ใหมก่ บั ความรู้เดิม 5.3) นกั เรียนทราบจุดเดน่ จดุ ด้อยในการศกึ ษาค้นควา้ หรอื ทดลอง ขน้ั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ของสถานบันสง่ เสรมิ การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เป็นการดาเนนิ กิจกรรมเปน็ วงจรทีต่ ่อเน่ือง ดังแสดงในภาพประกอบ 2 ภาพประกอบ 1 แสดงการจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะความรู้ (5Es) สาโรช โศภรี ักข์ (2546: 37) ได้เสนอรูปแบบของการจดั การเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ ตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. กระตุน้ ใหผ้ ู้เรยี นมองเหน็ ปัญหา ผู้สอนพดู คยุ กบั ผ้เู รยี นให้ผู้เรยี นเกดิ คาถาม และเปดิ โอกาส โดยอาจจะสร้างสถานการณ์ เช่น การทดลองเร่ืองใดเรื่องหนึ่งให้ดู ให้นักเรียนดูส่ือ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สไลด์ประกอบคาบรรยาย วิดีทัศน์ ของจริง รูปภาพ หรือเร่ืองเล่าเร่ืองใดเร่ือง หน่ึงให้ฟัง จากน้ัน ผูเ้ รยี นชว่ ยกนั ต้ังสมมติฐานในสาเหตุของปัญหาเหลา่ น้นั 2. ขั้นสืบสวนสอบสวน ผู้เรียนกาหนดแนวทางด้านค้นคว้าหาคาตอบเหล่าน้ัน โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งควรจะมีแนวทางหลากหลายวิธีการ จากนั้นผู้เรียนท าการ รวบรวม ข้อมูล อาจจะโดยการทดลองตามขั้นตอน ในขณะรวบรวมข้อมูลหรอื การทดลองบันทึกผล ตลอดเวลา บางครงั้ อาจจะมีกจิ กรรมอ่นื เพิ่มเติม เช่น การสารวจ การศึกษานอกสถานที่ การสมั ภาษณ์ การปฏิบัติ ภาคสนาม เปน็ ตน้
9 3. ขั้นทดสอบสมมติฐาน เมื่อผู้เรียนสอบสวนข้อมูลแล้วช่วยกันวิเคราะห์ข้อมูล หรือผลที่ได้ จากการสืบสวนสอบสวนน้ัน แล้วสรุปเป็นข้อมูลเพื่อตอบสมมติฐานที่กาหนดไว้ได้ตั้งแต่ตอน แรกว่า ตรงกบั สมมตฐิ านทตี่ ง้ั ไวห้ รอื ไม่ 4. ข้นั สรปุ คาตอบ โดยผูเ้ รียนและผูส้ อนชว่ ยกนั สรปุ คาตอบ 5. ขนั้ นาไปใช้ ผู้เรยี นและผ้สู อนวิเคราะห์ข้อสอบทีเ่ กิดขน้ึ แล้วช่วยกนั อภปิ ราย วา่ จะนาไปใช้ ในสถานการณท์ ่ตี ั้งไวอ้ ย่างไร Suchman (1966: 90-113) ไดแ้ บง่ ขัน้ ตอนในการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ไว้ดงั นี้ 1. ขน้ั เผชญิ ปญั หาหรือสถานการณ์ ผ้สู อนจัดสร้างสถานการณ์ท่ีจะให้ผเู้ รยี นเผชิญ เพื่อเปน็ การกระตนุ้ การสืบเสาะ อาจเป็นคาพดู คาถามกิจกรรมหรือเป็นการทดลองกไ็ ด้ 2. ขน้ั คดิ คน้ สืบเสาะ ขั้นนี้อาจใช้คาถาม คาตอบตดิ ตอ่ กนั ไปหรอื ทาการทดลองใหม่ ศึกษา ขอ้ มูลใหม่หรอื ผสมผสานวิธกี ารตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกัน 3. ขน้ั สรุปความคิดที่คิดคน้ พบใหม่ เปน็ การสรปุ หรือขยายหรอื สรา้ งแนวคิดรวบยอดข้ึนใหม่ ซ่ึงเป็นความรทู้ ี่พบขนั้ สดุ ท้าย Carin and Sund (1980, อ้างถงึ ใน ประภัสสร แกว้ พิลารมย์, 2554: 28–30) ไดแ้ บ่งวธิ ีสบื เสาะหาความรู้เป็น 3 ประเภท โดยใช้บทบาทของครูและนักเรียนเป็นเกณฑ์ดังนี้ 1. แบบ Guided discovery เปน็ วิธีการสืบเสาะหาความรู้ทใี่ ห้ผ้เู รียนทางานหรือปฏิบัติการ ทดลอง วิธีนคี้ รแู ละผูเ้ รียนมีบทบาทเท่าเทยี มกนั โดยเตรียมวิธกี ารปฏิบัติการทดลองไวแ้ ลว้ เปน็ ระดับ ท่งี ่ายท่สี ุดเป็นวิธีสบื สอบที่ครเู ป็นผ้กู าหนดปญั หา วางแผนการทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูล เตรยี ม อปุ กรณ์เคร่ืองมือไวเ้ รียบรอ้ ย นักเรยี นมหี นา้ ท่ีปฏิบตั ิการทดลอง ทากิจกรรมตามแนวทางทกี่ าหนดไว้ ซึง่ อาจเรยี กว่าเป็นวธิ สี บื เสาะหาความร้ทู ี่มแี นะนาปฏบิ ัติการหรอื กจิ กรรมสาเรจ็ รปู ซึ่งมลี าดับขั้นตอน ดังน้ี คือ 1.1 ขน้ั นาเข้าสู่บทเรียน ครูเป็นผ้นู าอภิปรายโดยต้ังปัญหา 1.2 ข้นั อภิปรายก่อนทากิจกรรมการทดลอง อาจจะเป็นการตง้ั สมมติฐาน ครูอธบิ ายหรือให้ คาแนะนาเก่ยี วกับอปุ กรณ์ทีจ่ ะใช้ในการทดลองวา่ มวี ธิ ีการใช้อยา่ งไร จึงจะไม่เกดิ อันตรายและมีข้อ ควรระมัดระวงั ในการทดลองแตล่ ะคร้ังอยา่ งไร 1.3 ขนั้ ทาการทดลอง เกบ็ รวบรวมข้อมลู ผ้เู รียนเป็นผลู้ งมือกระทาการทดลองดว้ ยตวั เอง ทา กจิ กรรมพร้อมทงั้ บนั ทกึ ผลการทดลอง 1.4 ขั้นอภิปรายหลงั การทดลอง เปน็ ขั้นของการนาเสนอข้อมูลและสรปุ ผลการทดลอง ใน ข้นั ตอนน้ีครูต้องนาการอภปิ รายโดยใช้คาถามเพ่ือนาผเู้ รยี นไปสู่ข้อสรุป เพือ่ ใหไ้ ด้แนวคดิ หรอื หลักการ ท่สี าคัญของบทเรียน 2. แบบ Less guided discovery เป็นวธิ ีการสบื เสาะหาความร้ทู ่ีครวู างแผน วิธนี คี้ รูมบี ทบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวิธีในแบบที่ 1 ผู้เรียนมีบทบาทมากขึ้น เป็นวิธีที่ซับซ้อนกว่า โดย เป็นวิธีการสืบ เสาะหาความรู้ที่ครูเป็นผู้กาหนดปัญหา และให้ผู้เรียนหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดย เริ่มต้ังแต่การ ตัง้ สมมติฐาน วางแผนการทดลอง ทาการทดลองจนถงึ สรุปผลการทดลอง และมคี รเู ป็น ผอู้ านวยความ สะดวก ซ่ึงอาจเรียกวิธีนี้ว่าวิธีสอนแบบไม่กาหนดแนวทาง (Unstructured Laboratory) ซ่ึงมีลาดับ ขัน้ ตอน ดังนี้ คือ 2.1 สรา้ งสถานการณ์หรือปญั หา ซึ่งอาจทาโดยการใชค้ าถาม ใช้สถานการณ์ จรงิ การสาธติ เพอ่ื เสนอปญั หา ใช้ภาพปริศนา หรอื ภาพยนตร์เพ่อื เสนอปัญหา 2.2 ผู้เรียนวางแผนแกป้ ญั หา ครแู นะแนวทาง แหลง่ ความรู้
10 2.3 ผู้เรยี นดาเนนิ การแกป้ ัญหาตามแผนที่วางไว้ 2.4 รวบรวมขอ้ มูล วิเคราะห์ข้อมลู และสรปุ ผลการแกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง โดย มีครเู ปน็ ผู้ดแู ล ร่วมกันอภปิ รายเพอ่ื ให้ไดค้ วามรู้ที่ถกู ต้องสมบรู ณ์ 3. แบบ Free discovery เป็นวิธีการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้ผเู้ รียนเปน็ ผู้วางแผน วิธีนผี้ ูเ้ รยี นมี บทบาทมากที่สุด ครูมีบทบาทน้อยหรือไม่มีเลย เป็นระดับท่ีซับซ้อนและยากท่ีสุดเป็น วิธีการที่ผู้เรียน เป็นผู้กาหนดปัญหา วางแผนการทดลองเอง เก็บข้อมูล ดาเนินการทดลอง ตลอดจน สรุปผลการ ทดลองด้วยตนเอง วิธีนี้ผู้เรียนมีอิสระเต็มท่ีในการศึกษาตามความสนใจ ครูเป็นเพียงผู้ กระตุ้นให้ ผู้เรียนกาหนดปัญหาด้วยตนเอง ดังตัวอย่างท่ี Carin and Sund (1975) ได้ยกตัวอย่าง ปัญหาที่ครู ถามผูเ้ รยี น เชน่ - ถ้านักเรียนเป็นครูและกาลังสนใจเลือกหัวข้อท่ีจะศึกษาในภาคเรียนน้ีนักเรียน คิดว่าจะ ศกึ ษาเรอ่ื งอะไร? - ปัญหาสาคัญของชุมชนที่นกั เรียนสนใจศกึ ษามีอะไรบ้าง? - เมื่อนักเรียนประสบปัญหาในชุมชนของนักเรียนเอง เช่น ปัญหามลพิษนักเรียนต้องการ อภิปรายเกีย่ วกับอะไร ลองเล่าให้เพ่ือนฟงั ว่าปญั หาดงั กลา่ วเป็นอย่างไร? เม่ือผู้เรียนกาหนดปัญหาได้ตามความสนใจของตนเองแล้ว ผู้เรียนจึงทาการวางแผนเพื่อ แก้ปัญหาดังกล่าว แล้วดาเนินการแก้ปัญหา ตลอดจนสรุปผลด้วยตนเอง ซึ่งอาจทาเป็นรายบุคคลหรอื เป็นรายกล่มุ ก็ได้ โดยมีครูเปน็ ท่ปี รึกษาใหก้ าลังใจเท่าน้นั ในการวิจัยคร้ังนี้ผู้จัยได้ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ตามรูปแบบของ สถานบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วย 5 ข้ัน ดังนี้ 1) ข้ันสร้างความ สนใจ 2) ขัน้ สารวจและค้นหา 3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ 4) ข้ันขยายความรู้ และ 5) ข้ันประเมิน 3. จติ วทิ ยาท่ีเปน็ พ้ืนฐานในการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้มีรากฐานมาจากทฤษฎีของเพียเจต์ (Paget, n.d. อ้างถึงใน เลิศศักด์ิ ประกอบชัยชนะ, 2544: 8) กล่าวถึงพัฒนาการทางสมองของมนุษย์ไว้ว่า ความคิด ของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยโครงสรา้ ง 2 ข้นั คอื ข้ันที่ 1 การดูดซึม (Assimilation) หมายถึง การเร้าให้นักเรียนนาความรู้เดิมมาใช้ในชั้นเรียน โดยใช้ความรู้เดิมเป็นแนวทางในการคิดให้เกิดการเรียนรู้ใหม่และเม่ือความรู้เดิมไ ม่สามารถนา มา อธิบายปัญหาได้ จะนาไปส่ขู ้ันท่ี 2 ข้ันท่ี 2 การปรับปรุง (Accommodation) หมายถึง การปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลงขยาย โครงสรา้ งเดิม เพอื่ การเรียนรู้ใหม่ โดยการนามาสัมพนั ธ์กบั โครงสรา้ งใหม่ ถา้ ไม่มกี ารเปล่ียนแปลงหรือ ปรบั ปรุงโครงสร้างเดิม กไ็ ม่สามารถรับความรใู้ หม่ได้ ผดุงยศ ดวงมาลา (2530: 122) ได้ระบุถึงหลักทางจิตวิทยาซ่ึงสนับสนุนการสอนแบบสืบ เสาะหาความร้ดู งั น้ี เด็กจะเรียนวิทยาศาสตร์ได้ดีย่ิงข้ึน ก็ต่อเมื่อได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้นหาความรู้ นั้น ดีกว่าจะให้เด็กรู้จากการบอกเล่า ซึ่งการเรียนรู้จะเกิดได้ดีที่สุด เม่ือสถานการณ์ย่ัวยุให้เด็กอยากจะ เรียน ไม่ใช่บังคับซ่ึงเป็นหน้าที่ของครูโดยตรงทีจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการเรียนรู้และการให้ผู้เรยี น ไดเ้ รยี นโดยใชค้ วามคดิ พิจารณาจะชว่ ยให้มีความคดิ สรา้ งสรรค์ ซ่ึงเป็นการพฒั นาสมรรถภาพของสมอง ข้นั สูง
11 สวุ ฒั ก์ นยิ มค้า (2531: 125-126) ได้กลา่ วถงึ หลักจติ วทิ ยาการเรยี นร้ทู ่เี ปน็ พนื้ ฐานของการ เรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรไู้ วด้ งั นี้ 1. ในการเรียนการสอนวชิ าวิทยาศาสตรน์ ้นั นักเรยี นจะเรียนรไู้ ดด้ ยี ่งิ ข้นึ ก็ต่อเม่ือได้เกย่ี วขอ้ ง โดยตรงกับการค้นหาความรู้น้ัน ๆ ไดม้ ากกว่าการบอกใหร้ ู้ 2. การเรียนรู้จะเกิดได้ดีที่สุด เม่ือสถานการณ์แวดล้อมในการเรียนรู้น้ันยั่วยุให้นักเรียนอยาก เรียน ไม่ใช่บีบบังคับและผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมท่ีน าไปสู่ความสาเร็จในการค้นคว้าแทนท่ีจะให้ นกั เรยี นเกิดความล้มเหลว 3. วิธีการสอนของครูจะต้องส่งเสริมความคิดให้นักเรียนคิดเป็น มีความคิดสร้างสรรค์ ให้ โอกาสนกั เรียนไดแ้ สดงหรือมีความคิดเห็นของตนได้มากทสี่ ดุ สุวิมล เข้ียวแก้ว (2540: 64) กล่าวถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ซ่ึงเป็นพื้นฐานของการสอนแบบสืบ เสาะหาความร้มู ีดงั นี้ 1. นักเรียนจะเรียนได้อย่างดียิ่งขึ้นเมื่อได้เก่ียวข้องกับการคันหาความรู้น้ันโดยตรงมากกว่าที่ จะได้รับรจู้ ากการบรรยาย 2. การเรียนรู้จะเกิดได้ดีที่สุด เมื่อสถานการณ์แวดล้อมในการเรียนรู้ช่วยให้นักเรียนเกิดความ ใฝ่รู้ ความรู้อยากทราบข้อเท็จจริง หรือรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน้าท่ีของครูโดยตรงที่ต้องจัด กจิ กรรมท่ีจะนาไปสคู่ วามสาเร็จในการคน้ ควา้ 3. การให้ผู้เรียนได้เรียนโดยใช้การพิจารณา จะช่วยให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ซ่ึงเป็น การพฒั นาสมรรถภาพขั้นสงู ของสมอง จากจิตวิทยาพ้ืนฐานในการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ดังกล่าวสรุปได้ว่า ในการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมหรือสร้างสถานการณ์การย่ัวยุให้ได้ นักเรียนวางแผนกา หนด แนวทางวิธีการในการค้นหาควานรู้ด้วยตนเอง จนกระท่ังได้คาตอบ ซ่ึงจะส่งผลให้นักเรียนสามารถ เชื่อมโยงความคดิ และหลกั การต่าง ๆ เข้าด้วยกนั อนั จะก่อให้เกิดการเรยี นไดด้ ีทสี่ ดุ 4. ข้นั ตอนและบรรยากาศในการจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ตารางที่ 1 ขัน้ ตอนในการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ขนั้ ตอนการ กิจกรรมการ ลกั ษณะของ บทบาทของครู บทบาทของ ผเู้ รยี น จัดการเรยี นรู้ เรียนรู้ กิจกรรม 1. ต้งั คาถาม 1. ข้ันสรา้ ง ครจู ดั กิจกรรม 1. เชื่อมโยงกับความรู้ 1. สรา้ งความสนใจ 2. ตอบคาถาม 3. แสดงความ ความสนใจ หรือสถานการณ์ เดิม 2. สรา้ งความอยากรู้ คิดเห็น 4. กาหนดปัญหา (Engagement) กระตนุ้ ยั่วยุ 2. แปลกใหมผ่ เู้ รยี นไม่ อยากเหน็ หรอื เรื่องที่จะสารวจ ใหช้ ัดเจน หรอื ท้าทายให้ เคยพบมาก่อน 3. ตงั้ คาถามกระตนุ้ ผู้เรียนสนใจ 3) ยวั่ ยุ ท้าทายนา่ สนใจ ให้ผเู้ รียนคิด สงสยั ใคร่อยาก ใครร่ ู้ 4. ให้เวลาผู้เรยี นคดิ รู้อยากเหน็
12 ข้นั ตอนการ กจิ กรรมการ ลกั ษณะของ บทบาทของครู บทบาทของ ผ้เู รียน จดั การเรยี นรู้ เรียนรู้ กิจกรรม 5. แสดงความ 1. ข้ันสร้าง หรอื ขัดแยง้ เกิด 4. เปดิ โอกาสให้มีแนว กอ่ นตอบคาถาม สนใจ ความสนใจ ปัญหา ทาให้ ทางการตรวจสอบอยา่ ง หรือไม่เร่งเร้าในการ 1. คิดอยา่ งอิสระ แตอ่ ยู่ในขอบเขต (Engagement) ผู้เรยี นตอ้ งการ หลากหลาย ตอบคาถาม ของกจิ กรรม 2. ตัง้ สมมติฐานที่ ศึกษา ค้นคว้า 5. นาไปส่กู ระบวนการ 5. ดงึ เอาคาตอบหรือ เปน็ ไปไดโ้ ดยการ อภปิ ราย ทดลองหรือ ตรวจสอบด้วยตวั ของ ความคดิ ท่ียังไม่ 3. พิจารณา สมมติฐานท่เี ปน็ ไป แกป้ ญั หา ผูเ้ รยี นเอง ครอบคลุมสง่ิ ที่ ได้โดยการอภปิ ราย 4. ระดมความคดิ เหน็ (สารวจ นกั เรียนรู้ ในการแกป้ ญั หาการ ตรวจสอบ ตรวจสอบด้วย 6. เปดิ โอกาสให้ 5. ตรวจสอบ สมมตฐิ านอยา่ งเป็น ตัวของผูเ้ รยี น ผ้เู รียนทาความ ระบบข้นั ตอน ถูกต้อง เอง) กระจา่ งในปญั หาที่ 6. บนั ทกึ การ สงั เกตหรอื ผลการ จะสารวจตรวจสอบ สารวจตรวจสอบ อย่างเปน็ ระบบ 2. ขั้นสารวจ ครูจดั กิจกรรม 1. ผูเ้ รียนไดเ้ รยี นร้วู ธิ ี 1. เปดิ โอกาสให้ ละเอียดรอบคอบ 7. กระตือรือรน้ และค้นหา หรือ แสวงหาความรูด้ ้วย ผู้เรียนได้วิเคราะห์ มงุ่ มัน่ ในการสารวจ ตรวจสอบ (Exploration) สถานการณ์ ตนเอง กระบวนการสารวจ ให้ผูเ้ รยี นสารวจ 2. ผเู้ รยี นทางาน ตรวจสอบ ตรวจสอบ ตามคดิ อยา่ งอสิ ระ 2. ถามเพื่อนาไปสู่ ปญั หา 3. ผู้เรียนตั้งสมมติฐาน การสารวจตรวจสอบ หรือประเดน็ ท่ี ได้หลากหลาย ด้วยตนเอง ผูเ้ รียนสนจ 4. พจิ ารณาข้อมูลและ 3. สง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รียน ใคร่ร ขอ้ เท็จจริงท่ีปรากฏ ได้ตรวจสอบด้วย แลว้ กาหนดสมมติฐาน ตนเอง ทเี่ ปน็ ไปได้ 4. ให้เวลาผู้เรียนใน 5. ผูเ้ รยี นวางแผน การคิดไตร่ตรอง แนวทางการสารวจ ปัญหา ตราวจสอบ 5. ฟังการโตต้ อบกัน 6. ผ้เู รียนวิเคราะห์ ของผูเ้ รยี น อภปิ รายเกีย่ วกบั 6. ทาหนา้ ทใ่ี นการ กระบวนการ ให้คาปรกึ ษา สารวจตรวจสอบ 7. อานวยความ 7. ผเู้ รียนได้ลงมือ สะดวก ปฏบิ ัติในการ สารวจตรวจสอบ
13 ขน้ั ตอนการ กิจกรรมการ ลกั ษณะของ บทบาทของครู บทบาทของ จดั การเรียนรู้ เรยี นรู้ กิจกรรม ผเู้ รยี น 3. ขั้นอธบิ าย ครูจดั กจิ กรรม 1. ผเู้ รยี นได้นาข้อมลู ที่ 1. สง่ เสริมให้ผู้เรยี น 1. อธิบายการ และลงข้อสรปุ หรอื ได้จากการสารวจ ไดอ้ ธบิ ายผลการ แก้ปญั หาหรือผล (Explanation) สถานการณ์ ตรวจสอบมา สารวจตรวจสอบ การสารวจ ท่ใี ห้ผ้เู รียน 1.1 วิเคราะห์แปล และแนวคิด ฯลฯ ตรวจสอบท่ไี ด้ วเิ คราะห์ ผล ดว้ ยคาพดู ของผเู้ รยี น 2. อธิบายผลการ อธิบายความรู้ 1.2 สรปุ ผลสอดคลอ้ ง เอง สารวจตรวจสอบ หรืออภิปราย กบั ข้อมูล ถูกต้อง 2. ใหผ้ ้เู รยี นเช่ือมโยง สอดคล้องกบั ซักถาม เช่อื ถอื ได้ ประสบการณ์และ ข้อมูล แลกเปลีย่ น 1.3 อภปิ รายผลอย่าง ความรู้เดมิ มาใชใ้ น 3. อธิบายโดย ความคดิ เหน็ ซึง่ สมเหตุสมผล การอธบิ าย อ้างองิ เหตุผล กนั และกนั 1.4 นาเสนอผลงานใน 3. ให้ผ้เู รียนอธบิ าย หลกั การทาง เก่ียวกับสงิ่ ท่ีได้ รูปแบบ โดยอา้ งองิ เหตุผล วิชาการและ เรียนร้หู รอื ส่งิ ท่ี ตา่ ง ๆ หลกั การทางวิชาการ หลกั ฐานประกอบ ค้นพบเพ่อื ให้ หรอื หลักฐานประกอบ 4. ฟังการอธิบาย ผูเ้ รยี นได้ 4. ใหค้ วามสนใจกบั ของผู้อน่ื แลว้ คิด พฒั นาความรู้ คาอธิบายของ วิเคราะห์อภิปราย ความเข้าใจใน ผูเ้ รยี น 5. ซกั ถามเกี่ยวกบั องค์ความรทู้ ่ีได้ ส่ิงทเ่ี พื่อนอธิบาย อย่างชดั เจน 4. ข้นั ขยาย ครูจัดกจิ กรรม 1. ให้ผเู้ รยี นมคี วามรู้ 1. ส่งเสริมให้ผเู้ รียน 1. ใชข้ อ้ มลู จาการ ความรู้ หรือสถารการณ์ ลกึ ซึ้งขนึ้ หรือขยาย ขยายแนวคิดและ สารวจตรวจสอบ (Elaboration) ที่เปดิ โอกาสให้ กรอบความคดิ ใหกวา้ ง ทักษะจากการ ไปอธิบายหรือนา ผเู้ รียนไดข้ ยาย ขน้ึ สารวจตรวจสอบ ทกั ษะจากการ หรือเพม่ิ เตมิ 2. ใหผ้ ูเ้ รียนเชอ่ื มโยง 2. สง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี น สารวจตรวจสอบ ความรคู้ วาม ความร้เู ดิมไปสคู่ วามรู้ เช่อื มโยงความรู้จาก ไปใช้ในสถานการณ์ เข้าใจในองค์ ใหม่ การสารวจตรวจสอบ ใหม่ที่คลา้ ยกบั ความร้ใู หมใ่ ห้ 3. ให้ผ้เู รยี นนาความรู้ กับความรู้อนื่ ๆ สถานการณ์เดิม กว้างขวาง ใหมไ่ ปสกู่ ารศกึ ษา 2. นาข้อมูลจาก กระจา่ ง ทดลองเพิม่ ขึ้น การสารวจ สมบรู ณ์ 4. ใหผ้ ู้เรยี นนา ตรวจสอบไปสรา้ ง และลึกซึง้ ย่ิงขน้ึ ความรทู้ ีไ่ ด้ไป ความรใู้ หม่ ประยกุ ตใ์ ช้ในเร่ือง 3. นาความรู้ใหม่ อนื่ หรอื เชื่อมโยงกับความรู้ เดิมเพ่ืออธบิ ายหรือ นาไปใช้ใน ชีวิตประจาวัน
14 ขน้ั ตอนการ กจิ กรรมการ ลกั ษณะของ บทบาทของครู บทบาทของ จัดการเรียนรู้ เรยี นรู้ กจิ กรรม ผ้เู รยี น 1. ถามคาถามเพ่ือ 5. ข้ันประเมิน ครูจดั กจิ กรรม 1. มีการตรวจสอบ นาไปส่กู ารประเมนิ 1. วเิ คราะห์ (Evaluation) หรือ ความถกู ตอ้ งขององค์ 2. สง่ เสริมให้ผเู้ รียน กระบวนการสรา้ ง สถานการณ์ ความรแู้ ละ ประเมนิ กระบวนการ ความรู้ด้วยตนเอง ทเี่ ปดิ โอกาสให้ กระบวนการที่ได้โดย และองคค์ วามรู้ด้วย 2. ถามคาถามที่ ผเู้ รยี นวเิ คราะห์ 1.1 วเิ คราะห์ ตนเอง เกีย่ วข้องจากการ วจิ ารณ์หรือ แลกเปลย่ี นความรู้ 3. ใหผ้ เู้ รยี น สงั เกตหลักฐาน อภปิ รายซกั ถาม ซง่ึ กนั และกัน วเิ คราะห์สง่ิ ทีค่ วร และคาอธิบายซงึ่ แลกเปลีย่ นองค์ 1.2 อภปิ รายประเมนิ ปรบั ปรงุ แก้ไขใน อาจนาไปสู่การ ความรซู้ ึ่งกัน ปรบั ปรงุ หรือเพ่ิมเติม การสารวจตรวจสอบ สารวจตรวจสอบ และกัน ทัง้ กระบวนการและ ใหม่ เปรียบเทยี บ องค์ความรู้ 3 ประเมนิ ประเมนิ 1.3 เปรียบเทียบ ความกา้ วหน้าและ ปรับปรุง หรอื ผลการสารวจ ความรขู้ องตนเอง ทบทวนใหม่ ตรวจสอบกับ สมมตฐิ านท่ี กาหนดไว้ ตารางที่ 2 บรรยากาศในการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) บรรยากาศการเรยี นการสอน ปฏิสมั พันธ์ระหว่างครูกบั ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างผู้เรียน ดว้ ยกันเอง โดยทวั่ ไป ผู้เรยี น 1. ร่วมมอื ในการทากิจกรรม 1. ไม่เครียด 1. ครเู ปน็ กนั เองกบั ผ้เู รยี น ช่วยกันคดิ ชว่ ยกนั ทางาน 2. อภิปรายแสดงความ 2. สนุก 2. ครยู ้มิ แย้มแจ่มใส คิดเห็นรว่ มกัน 3. ยอมรับฟังความคิดเหน็ 3. ไม่สับสน 3. ครตู ิชมผูเ้ รียนอย่างสรา้ งสรรค์ ซ่ึงกนั และกัน 4. ผ้เู รยี นคดิ อย่างอสิ ระ 4. ครใู ห้คาปรกึ ษา แนะนาช่วยเหลอื 5. ผู้เรียนสนใจ กระตอื รือร้น ผู้เรยี น เข้ารว่ มกจิ กรรม 5. ครูยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของ ผู้เรยี น จากการศกึ ษาขั้นตอนและบรรยากาศในการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5Es) สรุปได้ ว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมุง่ เนน้ ใหผ้ เู้ รยี นได้แสวงหาความรู้และคน้ พบความจริงต่าง ๆ ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบตั ิ การ แลกเปลย่ี นความรู้ซึ่งกันและกัน ซง่ึ จะท าให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้อย่างแท้จริง และมีครูผสู้ อนคอยท า หนา้ ที่เป็นผู้อานวยความสะดวกในการเรียนร้ขู องผู้เรียน
15 5. ข้อดีและประโยชน์ของการจดั การเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ผดุงยศ ดวงมาลา (2530: 12) กล่าวถึงขอ้ ดีของการสอนแบบสบื เสาะหาความร้ไู วด้ ังน้ี 1. ทาใหน้ ักเรียนได้ใชค้ วามคิดมากกวา่ ความจา 2. ส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นเกดิ เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์มากขน้ึ 3. ทาให้นกั เรียนเกิดทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ 4. ทาใหก้ ารเรียนการสอนสอดคล้องกับเอกลักษณ์และปรัชญาวิทยาศาสตรม์ ากขึ้น ประจวบจิตร คาจตั ุรัส (2537: 50) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการจดั การเรียน การสอน แบบสบื เสาะหาความรไู้ วด้ ังนี้ 1. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนร้ทู ัง้ ในดา้ นเนื้อหาและกระบวนการแสวง หาความรู้ 2. ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนเรียนรู้มโนมติทางวทิ ยาศาสตร์ได้รวดเร็ว 3. ช่วยพัฒนาการคดิ อย่างมเี หตผุ ลของผ้เู รยี น 4. ทาให้ผเู้ รยี นเกดิ แรงจงู ใจในการแสวงจากภายในมากกว่าภายนอก 5. ทาให้ความรู้ทีผ่ ู้เรยี นได้รบั คงทนและสามารถใชใ้ นชีวิตประจาวันได้ ภพ เลาหไพบูลย์ (2542: 126) กล่าวถึงข้อดีของจดั การเรยี นการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ไวด้ ังน้ี 1. นักเรยี นได้มโี อกาสพฒั นาความคิดอย่างเต็มท่ไี ด้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจึงมี ความอยากเรยี นร้ตู ลอดเวลา 2. นกั เรยี นไดม้ ีโอกาสไดฝ้ ึกความคิด และฝกึ การกระทา ทาให้นักเรยี นรวู้ ิธีจดั ระบบ ความคิดและวิธแี สวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทาให้ความรคู้ งทนและถ่ายโยงการเรียนรู้ได้กล่าวคือทาให้ สามารถจดจาไดน้ านและนาไปใช้ในสถานการณใ์ หม่อีก 3. นักเรียนเปน็ ศนู ย์กลางของการเรียนการสอน 4. นักเรียนสามารถเรยี นร้คู วามคิดรวบยอด และหลกั การทางวิทยาศาสตร์ไดเ้ ร็วขึ้น 5. นักเรยี นจะเปน็ ผู้มเี จตคติที่ดตี ่อการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ ชยั วฒั น์ สทุ ธริ ตั น์ (2552: 332) ไดก้ ล่าวถงึ ขอ้ ดีของจดั การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหา ความร้ไู ว้ ดังนี้ 1. นักเรียนมโี อกาสไดพ้ ัฒนาความคดิ อย่างเต็มท่ี ได้ศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเองจึงมี ความอยากเรยี นรู้อยูต่ ลอดเวลา 2. นักเรยี นมโี อกาสไดฝ้ ึกความคดิ และฝกึ การกระทา ทาให้ได้เรียนรู้วธิ ีจดั ระบบ ความคดิ และวิธเี สาะแสวงหาความร้ดู ้วยตนเอง ทาให้ความรคู้ งทนและถา่ ยโยงการเรยี นรู้ได้ กลา่ วคือ ทาใหส้ ามารถจดจาไดน้ านและนาไปใช้ในสถานการณใ์ หม่อีกด้วย 3. นกั เรยี นเปน็ ศูนย์กลางของการเรียนการสอน 4. นกั เรียนสามารถเรยี นร้มู โนมติ และหลักการทางวิทยาศาสตร์ไดเ้ รว็ ข้ึน 5. นกั เรยี นจะเปน็ ผู้มเี จตคติท่ีดีต่อการสอนวิทยาศาสตร์ สคุ นธ์ สินธพานนท์ (2558: 49-50) ได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องการสอนแบบสบื เสาะหา ความร้ไู ว้ดงั นี้ 1. ผ้เู รยี นได้ประสบการณต์ รงจากการเรียนรู้ มีโอกาสได้ศึกษา สารวจ ค้นหารวบรวม ข้อมูล บันทึก ทดสอบความคิด ทดลองปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง และสร้างเป็นองคค์ วามรู้ใหม่ด้วยตนเอง 2. ผ้เู รียนสามารถท างานรว่ มกนั กับผอู้ น่ื รจู้ ักอภิปรายแสดงความคดิ เหน็ ระหว่างกนั รับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อ่ืนอย่างมเี หตผุ ล
16 3. ผเู้ รยี นรูจ้ ักคิดแก้ปญั หา คิดตดั สินใจ คดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ สรา้ งสรรค์ความรู้ และทักษะ 4. ผเู้ รยี นรูจ้ ักประเมินการท างานด้วยตนเอง และน าผลการประเมินไปปรับปรุง และพัฒนาใหด้ ีข้ึน Suchman (1966) ได้เขยี นถึงประโยชนข์ องการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ดงั น้ี 1. การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ จะก่อใหเ้ กิดการเรียนรู้มากกวา่ การสอนโดยท่ีครู เป็นผู้บอกให้ทั้งหมด หรือมากกวา่ ทีน่ ักเรยี นเรียนรจู้ ากตาราอยา่ งเดยี ว ผทู้ ่ีไดร้ บั การสอนแบบสบื เสาะหาความรจู้ ะมีอสิ ระในการดดู ซมึ (Assimilation) ประสบการณ์ต่าง ๆ เอาไว้ นกั เรียนมีอิสระ ท่ีจะตดิ ตามค้นควา้ หาความรู้และทาความเข้าใจได้ตามต้องการ ตามความอยากรอู้ ยากเห็นอัน เหมาะสมกับระดับความรู้พ้ืนฐาน 2. การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้น้นั เปน็ การก่อให้เกดิ แรงจูงใจในการค้นหาความรู้ ได้เป็นอย่างดี เพราะนักเรียนจะรู้สึกสนุกสนาน สามารถร่วมกิจกรรมได้อย่างอิสระ ซึ่งกิจกรรม เหล่านั้นช่วยให้มีการพัฒนาการด้านความคิด มีความรู้มากข้ึนและมีพัฒนาการในด้านการสร้าง ความคิดรวบยอดอกี ดว้ ย 3. ความคิดรวบยอดที่นักเรียนได้จากการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ น่าจะมี ความหมายและคุณค่าสาหรับนักเรียนมากกว่าความคิดรวบยอดที่มีคนอ่ืนมาบอกใหจ้ า เพราะนกั เรียน จะเป็นผู้ค้นพบความคิดรวบยอดต่าง ๆ ด้วยตนเองจากข้อมูล และเชื่อว่าความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้น โดยใชว้ ธิ ีการเชน่ นี้จะฝังแน่นและเปน็ ประโยชนก์ ับนกั เรียนได้นาน หลกั การเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรเ์ พื่อเสรมิ ทักษะการคิด 1.ทฤษฎกี ารสร้างความรดู้ ว้ ยตนเองโดยการสร้างสรรคช์ ิ้นงาน (Constructionism) เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) เช่นเดียวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructionism) ผู้พัฒนาทฤษฎีน้ีคือ ศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพ เพอร์ท (Seymour Papert) แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) เพเพอร์ทได้มีโอกาสร่วมงานกับเพียเจต์และได้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นมาใช้ในวงการศึกษา แนวความคิดของทฤษฎีน้ีคือ (สานักงานโครงการพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา แห่งชาติ, 2542: 1-2) การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนาความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยส่ือและ เทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทาให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดส่ิงใด ข้ึนมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ข้ึนในตนเองนั่นเอง ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างข้ึนในตนเองนี้ จะมี ความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทน ผู้เรียนจะไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อ่ืนเจ้าใจความคิด ของตนไดด้ ีนอกจากนั้นความรู้ทสี่ ร้างขึน้ เองน้ี ยังเป็นฐานให้ผเู้ รยี นสามารถสรา้ งความรู้ใหม่ต่อไปอย่าง ไม่มีทส่ี ิน้ สุด การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน เนื่องจากทฤษฎี Constructionism”และ “Constructivism” มีรากฐานมาจากทฤษฎีเดียวกนั แนวคิดหลกั จงเหมือนกาน จะมีความแตกต่างไป บ้างก็ตรงรูปแบบการปฏิบัติซึ่ง“Constructionism” จะมีเอกลักษณ์ของตนในด้านการใช้สื่อ เทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการให้ผู้เรียนสร้างสาระและผลงานต่าง ๆ ด้วย ตนเอง เพเพอร์ทและคณะวิจัยแห่ง M.I.T (บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ ในวชิราวุธวิทยาลัย, 2541:1-7) ได้ ออกแบบวัสดุและจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี รวมท้ัง
17 ไดน้ าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้เปน็ เครื่องมือในการให้ผู้เรยี นได้มีโอกาสสร้างความรู้ในการเรียนวิชา ต่างๆ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพเพอร์ทและคณะ ได้ออกแบบสร้างโปรแกรม คอมพวิ เตอรโ์ ลโกข้ ึ้น เพ่อื ให้เด็กใช้คณติ ศาสตรใ์ นการสร้างรปู ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี เกม เปน็ ต้น และได้พัฒนา “LEGO TC Logo” ซึ่งเช่ือมโยงภาษาโลโก้กับเลโก้ ซ่ึงเป็นของเล่นท่ีมีลักษณะเป็น ชิ้นส่วนท่ีสามารถนามาต่อกันเป็นรูปต่างๆ ได้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวช่วยให้ผู้เรียนสามารถ ควบคุมเลโก้ของเล่นในคอมพิวเตอร์ให้เคลื่อนไหว เดิน ฉายแสง หรือตอบสนองต่อส่ิงเร้าต่างๆด้าม ต้องการ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยตนเองไปพร้อม ๆกับการฝึกคดิ การฝึกแก้ปญั หา และฝกึ ความอดทน นอกจากนนั้ ผ้เู รียนยังเรียนรูก้ ารบรู ณาการความรู้ ในหลายๆด้าน ท้ังทางด้านวิทยาศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และศิลปะศาสตร์ ให้ เป็นประโยชน์ต่อการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน นอกจากนัน้ เพเพอรท์ และคณะยังได้พัฒนาโปรแกรม “micro – worlds ” “robot design”รวมท้ังสถานการณ์จาลองด้วยคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ข้ึนใช้ในการสอนอีก มากมาย อย่างไรก็ตามสาหรับผู้เรียนที่ยังไม่มีสื่อดังกล่าวใช้ เพเพอร์ทกล่าวว่าสื่อธรรมชาติและวัสดุทางศิลปะ สว่ นมากสามารถนามาใช้เป็นวัสดุในการสรา้ งความรู้ไดด้ ีเช่นกัน เช่น กระดาษ กระดาษแขง็ ดินเหนียว ไม้ โลหะ พลาสติก สบู่ และของเหลอื ใช้ตา่ งๆ แม้ว่าผู้เรียนจะมีวัสดุที่เหมาะสาหรับการสร้างความรู้ได้ดีแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอ สาหรบั การเรียนรูท้ ด่ี ี สง่ิ ทเี่ ปน็ ปจั จัยสาคญั มากอีกประการหนึง่ ก็คือ บรรยากาศและสภาพแวดล้อมท่ีดี ซึ่งควรมสี ่วนประกอบ 3 ประการ คอื 1. เป็นบรรยากาศท่ีมีทางเลือกหลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกตามความสนใจ เน่ืองจากผู้เรียนแต่ละคนมีความชอบและความสนใจไม่เหมือนกัน การมีทางเลือกที่หลากหลายหรือ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทาในส่ิงท่ีสนใจจะทาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิด การทาและการเรียนรู้ ตอ่ ไป 2. เป็นสภาพแวดล้อที่มีความแตกต่างกันอันเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความรู้ เช่น มีกลุ่มคน ที่มีวัย ความถนัด ความสามารถ และประสบการณ์แตกต่างกัน ซึ่งจะเอ้ือให้มีการช่วยเหลอื กันและกนั การสร้างสรรคผ์ ลงาน และความรรู้ วมทงั้ พฒั นาทกั ษะทางสังคมด้วย 3. เปน็ บรรยากาศท่ีมคี วามเปน็ มิตร เป็นกันเอง บรรยากาศท่ีทาใหผ้ ู้เรียนรู้สึกอบอุ่น ปลอดภยั สบายใจ จะเอ้ือให้การเรยี นรูเ้ ป็นไปอยา่ งมคี วามสขุ การเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ด้วยตนเองน้ี จะประสบความสาเร็จได้มากน้อยเพียงใด มักขึ้นกับบทบาทของครู ครูจาเป็นตองปรับเปลี่ยนบทบาท ของตนให้สอดคล้องกับแนวคิด ครูจะต้องทาหน้าที่อานวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ให้ คาปรึกษาช้ีแนะแก่ผู้เรียน เก้ือหนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสาคัญในด้านการประเมินผลการเรียนรู้ นนั้ จาเป็นต้องมีการประเมินท้ังทางดา้ นผลงาน (product) และกระบวนการ (process) ซ่ึงสามารถใช้ วิธีการที่หลากหลาย เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครูและเพ่ือน การสังเกต การประเมิน โดยใช้แฟ้มผลงาน เป็นต้น สาหรับทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) และทฤษฎีการสร้างความรูด้ ้วย ตนเองโดยการสร้างสรรค์ช้ินงาน (Constructionism) ทั้ง 2 ทฤษฎีมีพ้ืนฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการ ทาง เชาว์ปัญญาของเพียเจต์ ซ่ึงอธิบายกระบวนการเรียนรขู้ องมนุษย์ว่า เป็นประสบการณ์เฉพาะของ ตน และเป็นประสบการณ์ท่ีผู้เรียนจะต้องเป็นผู้จัดกระทา (acting on) กับข้อมูลท้ังหลายท่ีรับเข้ามา มิใช่เป็นเพียงผู้รับข้อมูล (taking in) เท่าน้ัน โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) ความรู้จาก ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งท่ีพบเห็นกับความรู้ความเข้าใจท่ีมีอยู่เดิม โดยใช้กระบวนการทางปัญญา (cognitive apparatus) ของตน
18 อุไรวรรณ ศรีธิวงค์ ได้รวบรวมไว้ว่า ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ ชิ้นงาน ได้รับการพัฒนาโดย Seymour Papert แห่งสถาบันเทคโนโ ลยีแมสซาชูเซตส์ (Massacchusetts Institute of Technology) โดยมีรากฐานมาจากทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วย ตนเองของ Piaget แนวคิดของทฤษฎีนี้ เชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเอง ด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนได้รับโอกาสสร้างความคิดและนาความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ ชิ้นงานโดยอาศัยสอื่ และเทคโนโลยที ่ีเหมาะสม จะทาใหผ้ ู้เรียนไดเ้ ห็นความคิดของตนเองเป็นรปู ธรรมท่ี ชดั เจน และเมอ่ื ผู้เรยี นสร้างส่งิ ใดส่งิ หน่ึงข้ึนมาในโลก หมายถึงผเู้ รียนไดม้ ีการสรา้ งความรขู้ ้ึน และเป็น ความร้ทู ่มี ีความหมายตอ่ ผู้เรยี น เปน็ ความรทู้ ่คี งทน สามารถถา่ ยทอดใหผ้ ู้อนื่ เขา้ ใจความคิดของตนได้ดี นอกจากนั้น ความรู้ท่ีสร้างขึ้นดว้ ยตนเองนเ้ี ป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ที่มีความซับซอ้ น มากข้ึนต่อไปอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด ในลักษณะวงจรเสริมแรงภายในตัวเองของผู้เรียน (บุปผชาติ ทัฬหิกรณ,์ 2551; สภุ ณิดา ปสุ ุรินทร์คา, 2551) สรุป ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน เป็นทฤษฎีที่ให้ผู้เรียนได้ เกิดการเรียนรู้ โดยเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีจะเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตัวเอง เม่ือผู้เรียนได้สร้าง ความคิดและนาความคิดของตนไปสร้างสรรค์ช้ินงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะทาให้ ความคิดของนักเรียนน้ันเป็นรูปธรรมมากขึ้น หลักในการจัดการเรียนการสอน ครูจะต้องทาหน้าที่ให้ คาชีแ้ นะ ใหค้ าปรกึ ษากับนักเรียน เกื้อหนนุ ความรู้ของผู้เรียน และเปดิ โอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วย ตนเอง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นสิ่งที่สาคัญไม่น้อยกว่าการจัดการเรียนการสอน เพราะการท่ีจะรู้ วา่ ผู้เรยี นรอบรู้เพยี งใด ต้องใช้กระบวนการวดั และประเมนิ ผล ซึง่ มวี ิธที ีห่ ลากหลาย หนึง่ ในนัน้ คอื การ วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางเรยี น 1. ความหมายของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเป็นความสามารถทางสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รบั ประสบการณ์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงมีนักวัดผลการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นไว้ดังน้ี นิภา เมธาวิชัย (2536: 65) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความรู้และทักษะท่ี ได้รับ ก่อให้เกิดการพัฒนา มาจากการเรียนการสอนการฝึกฝนและได้รับการอบรมส่ังสอนโดยครู อาศยั เครอื่ งมือวัดผล ช่วยในการศกึ ษาว่านกั เรยี นมีความรู้และทกั ษะมากน้อยเพียงใด ภพ เลาหไพบูลย์ (2542: 295) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือพฤติกรรมท่ี แสดงออกถึงความสามารถในการกระท าส่ิงหนึ่งสิ่งใดได้ จากที่ไม่เคยกระท าได้ หรือกระทาได้น้อย กอ่ นท่ีจะมกี ารเรยี นรู้ ซึ่งเปน็ พฤตกิ รรมทส่ี ามารถวดั ได้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2549: 15) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน หมายถึง ผลท่ีเกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสาคัญท่ีจะเป็นตัวช้ีวัดว่าการจัด กระบวนการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีไว้หรือไม่ และผลท่ีออกมาจะเป็นไปตามสภาพจริงและทาให้ เกดิ ผลกบั ผเู้ รยี น ทิศนา แขมมณี (2550: 10) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การเข้าถึงความรู้ การพัฒนาทักษะในการเรียน อาจพิจารณาได้จากคะแนนสอบที่กาหนดให้ คะแนนที่ได้จากงานท่ีครู มอบหมายหรอื ทัง้ สองอย่าง
19 ศิริชัย กาญจนวาสี (2556: 165) กล่าวว่า ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงปริมาณหรือคุณภาพ ของความรู้ความสามารถ พฤตกิ รรม หรอื ลักษณะทางจติ ใจ ไปในทศิ ทางท่ีพึงประสงค์ตามจุดมุ่งหมาย ของหลักสตู ร อนั เป็นผลมาจากประสบการณ์การเรียนการสอนทผ่ี ้สู อนจดั ขึ้น Good (1973: 7) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ การเข้าถึงความรู้หรือ พัฒนาทักษะทางการเรียน ซึ่งโดยปกติพิจารณาจากคะแนนสอบ หรือคะแนนที่ได้จากงานท่ีครู มอบหมายให้หรือทั้งสองอย่าง Klopfer (1971: 574-580) ได้กล่าวว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการวัด พฤติกรรมท่ีเกิดจากความสามารถทางสมองหรอื ด้านสติปญั ญาของนักเรยี นเมื่อผ่านการเรียนการสอน แลว้ ซึ่งมี 4 ด้าน ดังน้ี 1. พฤตกิ รรมด้านความรู้ 2. พฤตกิ รรมต้านความเข้าใจ 3. พฤตกิ รรมดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4. พฤตกิ รรมดา้ นการน าความรูแ้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ปใช้ จากความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนสามารถสรุปได้ว่า หมายถึง ความรู้ความสามารถ และทักษะของผู้เรียนทเี่ กดิ ขึ้นหลงั ได้รบั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2540: 8) ได้ยึดแนวทางของ Kolpfer ในการประเมินผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ด้านสติปัญญาหรือด้านความรู้ความคิดโดยวัด พฤติกรรม ดงั น้ี 1. ความรู้ความจา 2. ความเข้าใจ 3. กระบวนการสืบเสาะหาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ 4. การนาความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ กระทรวงศึกษาธิการ (2545: 46-51) ได้ยึดแนวทางของ Kolpfer ในการวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นวิทยาศาสตรจ์ ากพฤตกิ รรม 4 ด้าน และมงุ่ หวังให้เกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดังนี้ 1. พฤติกรรมด้านความรู้ หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงว่าผู้เรียนมีความจาในเรื่องต่าง ๆ ท่ีได้ รบั รูจ้ ากการคน้ คว้าด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งความรทู้ ี่ควรวัดและประเมินผลจาแนกเปน็ 9 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.1 ความรู้เกี่ยวกับความจริงซึ่งมีอยู่แล้วในธรรมชาติ สามารถสังเกตได้โดยตรงและทดลอง แล้วจะไดผ้ ลเหมือนเดิมทุกครัง้ 1.2 ความรู้เก่ียวกับมโนทัศน์ เป็นการนาความรู้ที่เกี่ยวกับความจริงหลาย ๆส่วนที่มีความ เก่ยี วข้องกันมาผสมผสานเปน็ ความร้ใู หม่ 1.3 ความรู้เกยี่ วกบั หลักการและกฎวทิ ยาศาสตร์ เป็นหลักอา้ งอิงซึ่งได้มาจากการนามโนทัศน์ หลาย ๆ มโนทศั น์ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกันมาผสมผสานอธบิ ายเป็นความรใู้ หม่ 1.4 ความรเู้ กย่ี วกบั ขอ้ ตกลง เปน็ การตกลงร่วมกนั ของนักวิทยาศาสตร์ในการใช้อกั ษรย่อและ เครือ่ งหมายตา่ ง ๆ แทนคาพูดเฉพาะ 1.5 ความรู้เกี่ยวกับข้ันตอนของปรากฏการณ์ส่ิงท่ีเกิดข้ึนเองในธรรมชาติท่ีมีการเกิดข้ึน หมุนเวียนช้า ๆ กันจนกลายเป็นวัฏจักรที่นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายถึงขั้นตอนของปรากฏการณ์ เหล่าน้นั ได้
20 1.6 ความรู้เก่ียวกับเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติต้องมีมาตรฐาน สาหรบั การแบง่ ประเภท ซ่ึงผูท้ ี่ศกึ ษาด้านวิทยาศาสตรค์ วรจะรู้ 1.7 ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ เน้นเฉพาะความสามารถท่ีจะบอก ถงึ ส่งิ ท่นี กั เรียนรู้เท่าน้ัน และความรนู้ ้ีได้มาจากการอ่านหนังสือ หรือการบอกเล่าของครู ไม่ใช่ความรู้ท่ี ไดม้ าจากกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ 1.8 ความรเู้ ก่ียวกับศัพทท์ างวิทยาศาสตร์ ศัพท์วิทยาศาสตรท์ ี่วา่ ด้วยนยิ ามต่าง ๆ และการใช้ ศพั ทเ์ ฉพาะทางวทิ ยาศาสตร์ 1.9 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎี ข้อความที่ใช้อธิบายและท านายปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น ทฤษฎี อะตอม และทฤษฎวี วิ ฒั นาการ 2. พฤติกรรมด้านความเข้าใจ หมายถึง พฤติกรรมท่ีแสดงว่าผู้เรียนได้ใช้ความรู้ที่สูงกว่า ความร้คู วามจ าซง่ึ แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ 2.1 ความเข้าใจข้อเท็จจริง วิธีการ กฎเกณฑ์ หลักการ และทฤษฎีต่าง ๆเป็นพฤติกรรมที่ ผู้เรียนต้องบรรยายในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากที่เคยเรียนมา เมื่อผู้เรียนได้เรียนเรื่องใดเร่ืองหนึ่งมา และเม่ือไดร้ บั ขอ้ มูลของอีกส่งิ หนึง่ ที่มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกนั กส็ ามารถอธิบายสิ่งนั้นได้ 2.2 ความเข้าใจเก่ียวกับการแปลความหมายของข้อเท็จจริง หลักการและทฤษฎีที่อยู่ในรูป ของสัญลกั ษณห์ น่ึงไปเป็นอกี รปู หนงึ่ 3. พฤติกรรมด้านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง พฤติกรรมท่ีผู้เรียนแสวงหาความรู้ และแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด าเนินการโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 4. พฤติกรรมด้านการนาความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้หมายถึง พฤติกรรมท่ี นกั เรยี นนาความรู้ มโนทศั น์ หลกั การ กฎ ทฤษฎี รวมท้งั วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ในสถานการณ์ใหม่ได้ 3. การวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น แบบวัดผลสมั ฤทธ์ิ เปน็ แบบทดสอบที่ใช้วัดสมรรถภาพทางสมอง ระดบั ความรู้ความสามารถ และทักษะทางวิชาการของผู้สอบจากการเรียนรู้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือที่จะได้ทราบว่าผู้สอบมีความรู้ อะไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เมื่อผ่านการเรียนไปแล้ว (อัมพวา รักบิดา, 2549: 28) มีผู้รู้หลายท่านได้ กล่าวถงึ ความหมายของแบบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนไว้ ดังน้ี ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ (2543: 20) กล่าวว่า แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดเนื้อหาวิชาที่เรียนผ่านมาแล้วว่านักเรียนมีความรู้ความสนใจเพียงใด ดงั เช่น การวัดผลการเรียนการสอนในชน้ั เรียนในปจั จบุ ัน บุญชม ศรีสะอาด (2545: 53) ได้ให้ความความหมายแบบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ว่าหมายถึง แบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซ่ึงเป็นผลจากการเรียนรู้ในเนื้อหา สาระและตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเน้ือหาที่สอบนั้น โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธ์ิในวิชาต่าง ๆ ท่ี โรงเรยี น วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยหรอื สถาบันการศึกษาต่าง ๆ อาจจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มี คะแนนจุดตดั หรือคะแนนเกณฑ์สาหรับใช้ตัดสนิ ใจว่าผู้สอบมีความรูต้ ามเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้หรือไม่ การ วัดตามจดุ ประสงค์เป็นหัวใจสาคญั ของขอ้ สอบในแบบทดสอบประเภทน้ี
21 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพ่ือวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึง สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจาแนกผู้สอบตามความเก่งอ่อนได้ดีเป็นหัวใจ สาคญั ของขอ้ สอบในแบบทดสอบประเภทนี้ สิริพร ทิพย์คง (2545: 193) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ชุด คาถามทีม่ ุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนกั เรียนว่ามีความรูท้ ักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่าง ๆ ในเรอ่ื งที่เรียนรู้ไปแลว้ มากน้อยเพียงใด พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2549: 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง แบบทดสอบที่ใชว้ ัดความรู้ ทกั ษะและความสามารถทางวิชาการทน่ี ักเรียนไดเ้ รยี นรู้มาแลว้ ว่าบรรลุผล สาเร็จตามจดุ ประสงค์ทีก่ าหนดไว้เพียงใด สมนึก ภัททิยธานี (2549: 73-98) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนไว้ว่า หมายถึง แบบทดสอบท่ีวัดสมรรถภาพของสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้เรียนรู้ผา่ นมาแล้ว วา่ บรรลุผลสาเร็จตามจุดประสงค์ที่กาหนดไวเ้ พยี งใด ศริ ิชัย กาญจนวาสี (2556: 165) กลา่ วว่า แบบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นเปน็ เครื่องมืออย่างหน่ึงสาหรับการวัด และประเมินผลสัมฤทธ์ิของการเรียนรู้ของผู้เรียน ตาม เปา้ หมายทกี่ าหนดไว้ ทาใหผ้ ู้สอนทราบวา่ ผเู้ รยี นไดพ้ ัฒนาความรู้ ความสามารถ ถึงระดับ มาตรฐานที่ ผู้สอนกาหนดไว้หรือยัง หรือมีความรู้ความสามารถถึงระดับใด หรือมีความรู้ ความสามารถดีเพียงใด เม่อื เปรยี บเทยี บกับเพ่ือนที่เรยี นดว้ ยกนั Bloom et al. (1956, อ้างถึงใน วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2544: 8) กล่าวถึงการประเมินผล การเรียนการสอน โดยใช้วัตถุประสงค์ด้านพุทธพิสัย โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ด้านคือ ความรู้ การใช้ความรู้ และการขยายความรู้ (Meng และ Doran, 1993) ซ่ึงท้ัง 3 ด้านมีความเช่ือมโยงกับ วตั ถปุ ระสงค์ของ Bloom ดงั นี้ 1. ด้านความรู้ เมอื่ เปรยี บเทียบกบั วัตถปุ ระสงคข์ อง Bloom ไดแ้ ก่ ดา้ นความรู้ ความจา 2. ด้านการใช้ความรู้ เม่ือเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ของ Bloom ได้แก่ ด้านความเข้าใจ และการนาไปใช้ 3. ดา้ นการขยายความรู้ เมอ่ื เปรยี บเทียบกับวัตถุประสงค์ของ Bloom ได้แกด่ า้ นการวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผล Bloom (1965: 201) ได้กล่าวถึงลาดับข้ันของการเขียน วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมดา้ นความรคู้ วามคิดไว้ 6 ข้ัน ดังน้ี คือ 1. ความรู้ความจา หมายถึง การที่นักเรียนระลึกถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆกฎเกณฑ์ หรือ ทฤษฎีจากต ารา หรือการที่นักเรียนท่องจ าความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาแล้วโดยตรง ซ่ึงจัดได้ว่าเป็นขัน้ ทต่ี ่าท่สี ดุ 2. ความเข้าใจ หมายถึง การท่ีนักเรียนสามารถจับใจความสาคัญของเนื้อหาท่ีได้เรียน หรือ การแปลความจากตัวเลข การสรุป การย่อความต่าง ๆ การเรียนรู้ในข้ันน้ีถือว่าเป็นข้ันท่ีสูงกว่าการ ท่องจาตามปกตอิ ีกขนั้ หนงึ่ 3. การนาไปใช้ หมายถึง การท่ีนักเรียนสามารถที่จะนาความรู้ท่ีได้เรียนมาแล้วไปใช้ใน สถานการณใ์ หม่ หรอื สถานการณ์ทีค่ ลา้ ยกนั ซง่ึ รวมถึงความสามารถในการเอากฎ มโนทัศนห์ ลักสาคัญ วธิ ีการนาไปใช้ การเรยี นรู้ในขั้นน้ถี ือวา่ นกั เรยี นจะตอ้ งมคี วามเข้าใจในเนื้อหาเป็นอยา่ งดีเสยี ก่อน จงึ จะ นาความร้ไู ปใช้ได้ดงั นน้ั จงึ จดั อนั ดับใหเ้ ปน็ ขนั้ ท่สี งู กว่าความเข้าใจ 4. การวิเคราะห์ หมายถึง การท่ีนักเรียนสามารถแยกแยะเน้ือหาวิชาลงไปเป็นองค์ประกอบ ย่อย ๆ เพื่อที่จะได้มองเห็นหรือเข้าใจความเก่ียวโยงต่าง ๆ ในข้ันนี้จึงรวมถึงการแยกแยะหา สว่ นประกอบยอ่ ย ๆ หาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่วนย่อย ๆ ตลอดจนหลักสาคญั ต่าง ๆ ทเี่ ขา้ มาเก่ยี วข้อง
22 การเรียนรู้ ซึ่งนักเรียนต้องเข้าใจท้ังเนื้อหาและโครงสร้างของบทเรียน ในข้ันน้ีถือว่าสูงกว่าการนาเอา ไปใช้ 5. การสังเคราะห์ หมายถึง การท่นี ักเรียนสามารถที่จะนาเอาสว่ นย่อย ๆ มาประกอบกันเป็น สิ่งใหม่ การสังเคราะห์จึงเกี่ยวกับการวางแผน การออกแบบการทดลอง การตั้งสมมติฐาน การ แก้ปัญหาท่ียาก การเรียนรู้ในระดับน้ี เป็นการเน้นพฤติกรรมท่ีสร้างสรรค์ อันท่ีจะสร้างแนวคิดหรือ แบบแผนใหม่ ๆ ขน้ึ มา ดัง้ นน้ั การสงั เคราะห์เป็นสง่ิ ท่ีสูงกว่าการวิเคราะหอ์ กี ขนั้ หนง่ึ 6. การประเมินค่า หมายถึง การท่ีนักเรียนสามารถที่จะตัดสินใจเก่ียวกับคุณค่าต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นค าพูด นวนิยาย บทกวี หรอื รายงานการวิจยั การตัดสินใจดังกล่าวจะต้องวางแผนอยู่บนเกณฑ์ ท่แี น่นอน เกณฑด์ งั กล่าวอาจจะเป็นสง่ิ ทนี่ ักเรียนคิดขนึ้ มาเอง หรือน ามาจากท่ีอืน่ กไ็ ดก้ ารเรียนรู้ในข้ัน นถี้ อื ว่าเป็นการเรียนรู้ขน้ั สูงสุด Klopfer (1971, อ้างถึงใน ภพ เลาหไพบูลย์, 2542: 295-304) ได้กล่าวถึงการประเมินผล การเรยี นด้านสตปิ ญั ญา หรอื ความรคู้ วามคิดในวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ 4 พฤตกิ รรม ดังนี้ 1. ความร้คู วามจา 2. ความเขา้ ใจ 3. กระบวนการสบื เสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ 4. การนาความรู้และวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ ประวิตร ชูศิลป์ (2524: 25) กล่าวว่า เพ่ือความสะดวกในการประเมินผล จึงได้จาแนก พฤติกรรมในการวัดผลวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา วทิ ยาศาสตรส์ าหรบั เป็นเกณฑว์ ดั ความสามารถด้านต่าง ๆ ออกเปน็ 4 ด้าน คือ 1. ด้านความรู้ความจา หมายถึง การที่นักเรียนสามารถในการระลึกสิ่งที่เคยเรียนหรือศึกษา มาแลว้ เกย่ี วกับขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ ตกลง คาศัพท์ หลักการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถอธิบายความหมายขยายความและแปล ความรู้ โดยอาศัยขอ้ เทจ็ จรงิ ข้อตกลง ค าศัพท์ หลักการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 3. ด้านการนาไปใช้ หมายถึง การท่ีนักเรียนสามารถนาความรู้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ ในสถานการณ์ใหม่ท่ีแตกต่างกันออกไป หรือสถานการณ์ท่ีคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการน าไป ใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน 4. ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง การที่นักเรียนสามารถสืบเสาะหา ความรู้ โดยผ่านการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างมีระบบจนเกิดความคล่องแคล่วชานาญ สามารถ เลือกใช้กิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ประกอบด้วย ทักษะการสังเกต ทักษะการคานวณ ทักษะ การจาแนกประเภท ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล ทักษะการจัดกระทาสื่อความหมายข้อมูล ทักษะในการกาหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะในการต้ังสมมติฐาน ทักษะในการทดลอง และทักษะ การในตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป จากความหมายข้างต้นจึงสรุปได้ว่า แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ ใช้วัดความรู้ความสามารถและทักษะของผู้เรียน ผ่านกระบวนการและข้ันตอน การเรียนรู้ ว่าเป็นไป ตามเปา้ หมายทีก่ าหนดไวใ้ นระดับใด ซงึ่ ในงานวิจยั นผ้ี ้วู ิจัยไดส้ รา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อ ทดสอบความรู้และความสามารถในการเรียนรู้วิชาเคมีของผู้เรียนแต่ละบุคคลสร้างขึ้นตามผลการ เรียนรู้ที่คาดหวัง โดยในการวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยได้สร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งครอบคลุม พฤติกรรมการเรียนรู้ทต่ี ้องการวดั ทั้ง 4 ดา้ น คือ ดา้ นความรคู้ วามจา ดา้ นความเขา้ ใจ ดา้ นการนาไปใช้ และดา้ นการวิเคราะห์ ดังน้นั แบบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในการวิจยั ครั้งนจี้ ึงหมายถงึ ความสามารถ
23 ในการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ของแตล่ ะบุคคล ซง่ึ วัดได้จากแบบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์ เร่อื งวงจรไฟฟ้า ซ่งึ ผวู้ ิจยั สรา้ งขน้ึ โดยพจิ ารณาให้ครอบคลุมมาตรฐานตวั ช้วี ดั ความพงึ พอใจ การจดั กิจกรรมการเรียนรใู้ หเ้ กดิ ประสิทธภิ าพสูงสดุ ไดน้ ้ัน ครูผสู้ อนตอ้ งคานึงถึง บรรยากาศในการเรียนรู้ของนักเรียน สถานการณ์ สอ่ื อปุ กรณก์ ารเรยี นรู้ และสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อตอ่ การจัดการเรียนรู้ เพ่ือตอบสนองความต้องการของผเู้ รียน ให้ผเู้ รยี นเรยี นร้อู ย่างมีความสุข เกดิ ความ พงึ พอใจในการเรียน ซ่งึ เป็นสิ่งสาคญั ที่กระตุ้นให้ผูเ้ รียนเกดิ ความต้องการทจ่ี ะเรียน 1. ความหมายของความพึงพอใจ ความพงึ พอใจต่อการจดั การเรยี นรู้ ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้มปี ระสทิ ธิภาพและทา ให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมาย สามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้ โดยนักการศึกษา ไดใ้ ห้ ความหมายของความพงึ พอใจไว้ ดงั นี้ ธีรพงศ์ แก่นอินทร์ (2545: 36) ไดใ้ ห้ความหมายความพึงพอใจตอ่ การเรียนการสอน ว่าเป็นความรู้สึกพึงพอใจต่อการปฏิบัติของนักศึกษา ในระหว่างการเรียนการสอน การปฏิบัติของ อาจารย์ ผสู้ อน และสภาพบรรยากาศโดยท่ัวไปของการเรยี นการสอน อมั พวา รักบิดา (2549: 47) ได้ใหค้ วามหมายของความพงึ พอใจตอ่ การจดั การ เรยี นรไู้ ว้ว่า หมายถงึ ความรูส้ กึ ทีด่ ีต่อการจัดการเรียนร้หู รือความชอบของผู้เรยี นทเี่ ปน็ ผลมาจากการ จัดการเรียนรู้ ซ่ึงเกิดขน้ึ เมื่อผ้เู รยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรมและได้รบั ผลสาเรจ็ ตามความมุ่งหมาย รวมท้ังไดร้ บั ผลตอบแทนตามความตอ้ งการของผเู้ รยี น สุดารัตน์ อะหลแี อ (2558: 48) ได้สรปุ ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถงึ ความรสู้ กึ ดี ความชอบ และการให้คุณค่าของผู้เรียนต่อการจดั การเรยี นรู้ อันเปน็ ผลมาจาก การจดั การ เรียนรู้ ผู้สอน ความพร้อมและบรรยากาศของการจัดการเรียนรู้ รวมถึงการท่ีผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรม แล้วประสบผลสาเร็จตามความต้องการของผู้เรียน จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกพึงพอใจ ชอบ และความสนใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจาก การจัดการเรียนรู้ ผู้สอน และ บรรยากาศของการจัดการเรียนรู้ รวมถึงการที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม แล้วประสบผลสาเร็จตามความ ตอ้ งการของผูเ้ รียน 2. ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับความพึงพอใจ ทฤษฎแี รงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow) แสดงใหเ้ หน็ ถึงการเปรียบเทยี บระหวา่ ง ตวั ตนทเ่ี ปน็ อยกู่ บั ตัวตนในอดุ มคติหรอื ตวั ตนท่ีตอ้ งการ ซง่ึ มาสโลวเ์ สนอแนวคิดเก่ียวกับลกั ษณะ ความ ต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ด้าน ซ่ึงจะพัฒนาเป็นล าดับข้ัน โดยมนุษย์ต้องได้รับการ ตอบสนอง ความตอ้ งการเบอื้ งต้นเสียก่อนจงึ จะเกดิ ความต้องการด้านอ่นื ๆ ทอ่ี ยูใ่ นระดับสูงขึ้นไป (วันเพ็ญ พศิ าล พงศ,์ 2540: 23) ซง่ึ มีรายละเอยี ด ดงั นี้ 1. ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการ พื้นฐาน ของมนุษย์ท่ีจาเป็นสาหรับการดารงชีวิต ต้องต่อสู้ด้ินรนเพ่ือสนองความต้องการขั้นนี้เสียก่อน จึงจะมี ความตอ้ งการขั้นอ่ืนตามมา 2. ความต้องการความม่นั คงปลอดภัย (Safety Need) เปน็ ความต้องการที่จะมี ชวี ิต อยู่อย่างมั่นคงและปลอดภัย ปราศจากภัยอันตรายท้ังปวง สังเกตได้จากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ ชอบ อยใู่ นสังคมทสี่ งบเรียบรอ้ ย มีระเบียบวินยั และมีกฎหมายคุ้มครอง 3. ความต้องการความรกั และความต้องการเป็นส่วนหน่งึ ของกลุ่ม (Love and
24 Belonging Needs) เปน็ ความตอ้ งการอยากมีเพอ่ื นฝูง มีคนรกั ใคร่ ต้องการใหค้ วามรกั กบั ผู้อ่นื และ อยากไดร้ บั ความรกั จากผ้อู ืน่ บุคคลทม่ี ีความต้องการในข้นั น้ี จะกระท าพฤตกิ รรมเพอื่ ใหร้ ู้สกึ วา่ ตนเอง ไมโ่ ดดเดี่ยว อ้างวา้ ง หรอื ถกู ทอดทง้ิ 4. ความต้องการมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี (The Esteem Needs) เป็นความต้องการ ของมนุษย์เกือบทุกคนในสงั คม บุคคลท่มี คี วามตอ้ งการในขั้นนม้ี ลี ักษณะ เชน่ ตอ้ งการได้รับการยกย่อง จากบคุ คลอน่ื ตอ้ งการชื่อเสยี งเกียรติยศหรือความภาคภูมิใจเมอ่ื ตนประสบผลสาเรจ็ 5. ความตอ้ งการพฒั นาตนเองไปสู่ระดบั ที่สมบูรณ์ทีส่ ุด คอื ความตอ้ งการแสดงความ เป็นจริงแห่งตน (Self-Actualization) เป็นความต้องการท่ีเน้นถึงการเป็นตัวของตัวเอง ประสบ ความสาเร็จด้วยตนเอง และพัฒนาศกั ยภาพตนเองให้เตม็ ท่ี Scott (1970: 124) ได้เสนอความคดิ ในเร่ืองการจงู ใจให้เกดิ ความพงึ พอใจต่อการ ทางานทีใ่ หผ้ ลในเชงิ ปฏิบัตมิ ลี กั ษณะ ดังนี้ 1. งานควรมสี ่วนสมั พันธก์ ับความต้องการสว่ นตัวและมีความหมายสาหรบั ผทู้ างาน 2. งานนั้นต้องมีการวางแผนและวัดผลสาเร็จได้โดยใช้ระบบการทางาน และการ ควบคมุ ที่มปี ระสิทธภิ าพ 3. เพ่ือให้ได้ผลในการสร้างแรงจูงใจภายใน เป้าหมายของงานจะต้องมีลักษณะดังนี้ คนทางานมีส่วนในการต้ังเป้าหมาย ได้รับทราบผลสาเร็จจากการทางานโดยตรง และงานน้ันสามารถ ทาให้สาเร็จได้ จากทฤษฎีแรงจูงใจสรุปได้ว่า ความต้องการเป็นพื้นฐานที่ทาให้เกิดแรงจูงใจส่งผลให้บุคคล แสดงพฤติกรรมทน่ี าไปสูเ่ ป้าหมายและสามารถทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ แผนการจัดการเรียนรู้ ภพ เลาหไพฑูรย์ [9] ให้ความหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอน หมายถึงลาดับ ข้ันตอนและกจิ กรรมทั้งหมดของผสู้ อนและผู้เรยี น ที่ผสู้ อนกาหนดไว้เป็นแนวทางในการจัดสถานการณ์ ให้ผเู้ รียนเปลยี่ นพฤติกรรมไปตามวตั ถุประสงค์ สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ [10] ให้ความหมายของแผนการสอนวา่ หมายถึง การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือเป็นแนวดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนแตล่ ะครั้งโดยกาหนดสาระสาคญั จุดประสงค์ เนือ้ หา กิจกรรมการเรียนการสอนส่ือ ตลอดจนการ วัดผลและการประเมินผล กรมวิชาการ [11] ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ คือผลของการเตรียมการวาง แผนการจดั การเรยี นการสอนอยา่ งเป็นระบบโดยนาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ คาอธิบายรายวชิ า และกระบวนการเรียนรู้ โดยเขยี นเป็นแผนการจัดการเรยี นรใู้ หเ้ ปน็ ไปตามศักยภาพ ของผู้เรยี น สรุปว่า แผนการสอนคือ การวางแผนการจัดกิจกรรมเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้าอย่าง ละเอียด เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงมีเน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน สอ่ื การสอน และวธิ วี ัดผลประเมินผลท่ชี ดั เจน ความสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ถนัด ม่วงศรี [7] กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นกุญแจดอกสาคัญที่ทาให้การเรยี นการ สอนมปี ระสทิ ธิภาพมากขึน้ ซ่ึงสรุปความไว้ ดังนี้ 1. ทาใหเ้ กิดการวางแผนวิธีเรียนทด่ี ี ผสมผสานความรู้และจิตวทิ ยาการศกึ ษา 2. ชว่ ยใหค้ รูมคี ่มู ือการสอนทีท่ าดว้ ยตนเองลว่ งหน้ามีความมัน่ ใจในการสอน
25 3. สง่ เสริมให้ครมู ีความรคู้ วามเขา้ ใจในด้านของหลักสตู ร วธิ สี อนการวดั ผลและ ประเมนิ ผล 4. เปน็ คู่มอื สาหรับผูม้ าสอนแทน 5. เป็นหลกั ฐานแสดงขอ้ มลู ทถ่ี ูกต้องเที่ยงตรง เป็นประโยชนต์ ่อวงการศึกษา 6. เป็นผลงานทางวิชาการแสดงความชานาญความเชยี่ วชาญของผทู้ า ผู้วิจัยได้กาหนดหัวข้อในการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม การเรยี นรูด้ ังนี้ ขัน้ ตอนการจัดทาแผนการจดั การเรียนรู้ ส่วนหัวของแผน 1. แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่……………. 2. กลุม่ สาระการเรยี นรู้ …………..........................วชิ า ……………………...ชน้ั ……....….. 3. หน่วยการเรยี นที่…………...เร่ือง………………………. 4. เรอ่ื ง……………….....................................………...เวลา…………..ชว่ั โมง ส่วนกลางของแผน 1. สาระสาคญั 2. มาตรฐานการเรียนรู้ 3. ตัวชว้ี ดั 4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 5. คุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ 6. สมรรถนะสาคัญ 7. สาระการเรียนรู้ 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ที่ 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) ขนั้ ท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา (Exploration) ขัน้ ที่ 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ขั้นท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ข้นั ท่ี 5 ข้นั ประเมนิ ผล (Evaluation) 9. สือ่ การเรยี นรู้ 10. การวดั และประเมนิ ผล ส่วนท้ายของแผน 1. ความคดิ เห็นของผู้บรหิ าร 2. บนั ทกึ หลงั สอน 3. แนวทางแกไ้ ข 4. ภาคผนวกทา้ ยแผน สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร แนวคิดทฤษฎีและผลงาน การวิจัยของนักวิชาการ นักการศึกษาหลายท่าน นามาใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
26 เพื่อพัฒนาทักษะการคิด โดยกาหนดเป็นขั้นตอนการกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ 5 ข้ันตอนได้แก่ ข้ันท่ี 1 ขั้นสร้างความสนใจ ขั้นท่ี 2 ข้ันสารวจและค้นหา ขั้นที่ 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป ขั้นที่ 4 ข้ัน ขยายความรู้ ข้ันท่ี 5 ข้ันประเมินผล นามาใช้เป็นขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนรู้ ในการเขียน แผนการจัดการเรยี นรซู้ ง่ึ ผวู้ ิจยั ได้ใช้รูปแบบการเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ ตามเนอื้ หาเรอ่ื งวงจรไฟฟ้า โดยแบ่งเนอื้ หาเป็น 6 เร่อื งยอ่ ย คอื เร่ืองที่ 1 วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย เรื่องท่ี 2 การต่อถา่ นไฟฉายแบบ อนุกรมและขนาน เรื่องท่ี 3 การต่อหลอดไฟฉายแบบอนุกรมและขนาน เร่ืองท่ี 4 ตัวนาและ ฉนวนไฟฟา้ เรอื่ งท่ี 5 แมเ่ หล็กไฟฟ้า เร่ืองที่ 6 ประโยชน์ของแม่เหล็กไฟฟ้า และใช้จดั กิจกรรมการ เรียนรู้กับกลุม่ ตัวอย่างในการวจิ ัยตอ่ ไป กรอบแนวคิดในการวิจัย วธิ ีการสอน 1. แบบสังเกต กจิ กรรมการ แบบ ผู้เรียน ทักษะ 2. ใบกิจกรรม เรยี นรู้ กระบวนการ กระบวนการ 3. ช้นิ งานส่ิงประดษิ ฐ์ สบื เสาะหา ความรู้ (5E) คิด 4. แผนผงั ความคดิ
27 บทที่ 3 การดาเนนิ งานวจิ ยั การวิจัยในคร้ังน้ีเพ่ือพัฒนาทักษะการคิดโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสดิ์ราษฎร์บารุง) เป็นงานวิจัย ปฏิบตั ิการ (Action Research) โดยเรม่ิ จากการกาหนดแผน ปฏบิ ัตกิ าร สงั เกตกิจกรรมของการปฏิบัติ และประเมินผล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรยี นวัดพืชนมิ ิต (คาสวัสด์ิราษฎร์บารุง) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 42 คน เน้ือหาท่ีใช้ในงานวิจัย หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 5 เร่อื งวงจรไฟฟ้า ในบทเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 เคร่ืองมือที่ใช้ในการวจิ ยั 1. เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการจัดการเรียนรู้ 1.1 แผนการจัดการเรยี นรู้จานวน 7 แผน จานวน 16 คาบ เพอื่ ใช้ในการจัดการ เรยี นรู้ดว้ ยวธิ ีการสอนแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) โดยมเี นือ้ หาสาระดังน้ี แผนท่ี 1 เรอื่ ง วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย แผนที่ 2 เรอ่ื ง การตอ่ ถ่านไฟฉายแบบอนุกรมและขนาน แผนที่ 3 เรื่อง การตอ่ หลอดไฟฉายแบบอนุกรมและขนาน แผนที่ 4 เร่ือง ตวั นาและฉนวนไฟฟ้า แผนท่ี 5 เร่ือง แมเ่ หล็กไฟฟ้า แผนท่ี 6 เรอ่ื ง ประโยชนข์ องแม่เหล็กไฟฟา้ 1 แผนท่ี 7 เร่อื ง การสรา้ งสิ่งประดษิ ฐ์ 2. เคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ประกอบดว้ ย 2.1 ใบกิจกรรม: วัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องวงจรไฟฟ้า 2.2 ผลงาน: สงิ่ ประดิษฐ์, แผนผังความคิด 2.3 แบบวัดความพึงพอใจ เป็นแบบมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ การสร้างและการหาคณุ ภาพเครื่องมอื 1. เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยการจดั การเรียนรู้แบบ สบื เสาะหาความรู้ (5Es) โดยยดึ เนอื้ หาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์แผู้วิจัยดาเนินการสร้าง เครื่องมือตามขนั้ ตอน ดังน้ี
28 1) ศึกษาวิเคราะห์หลกั สูตร ไดแ้ ก่ หลกั การ จดุ หมาย โครงสร้าง เวลาเรยี นแนว ดาเนินการในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ตอบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ และจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตร การวัดและการประเมินการเรียน คาอธิบายในแต่ละกลุ่มประสบการณ์ ซึ่งระบุเน้ือหาท่ี ต้องให้นักเรียนได้เรียน ตามลาดับขั้นตอนกระบวนการที่ต้องให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ และจุดประสงค์ การเรียนรทู้ ีต่ ้องการใหเ้ กิดการเรยี นรู้ 2) ศกึ ษาความสอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ ันกับองค์ประกอบแต่ละส่วนของหลักสตู ร 3) ลาดบั ความคิดรวบยอดท่ีจัดใหน้ ักเรียนแต่ละระดับชนั้ ไดเ้ รียนร้กู ่อนหลงั โดย พิจารณาขอบขา่ ยเน้อื หา และกจิ กรรมที่กาหนดไวใ้ นคาอธิบายรายวชิ า 4) กาหนดผลทีต่ ้องการให้เกิดกับนกั เรยี น เมือ่ ไดเ้ รียนรู้ความคิดรวบยอดแตล่ ะ เร่อื งแลว้ 5) กาหนดกิจกรรมการเรยี นการสอนตามลาดบั ข้ันตอนที่กาหนดไวใ้ นคาอธิบาย รายวชิ า หรืออาจพจิ ารณาจากกจิ กรรมทีเ่ หมาสมกบั เนอ้ื หาสาระ 6) กาหนดเวลาเรียนใหเ้ หมาะสมกบั ขอบขา่ ยเน้อื หาสาระหรอื ความคิดรวบยอด จดุ ประสงคก์ ารเรียนร้แู ละกิจกรรมท่ีกาหนดไว้ 7) รวบรวมรายละเอยี ดตามกิจกรรมข้อ 1 – 6 จัดทาเปน็ เอกสารทเ่ี รียกว่ากาหนด การสอนหรอื แนวการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ใชเ้ ป็นแนวทางในการเตรียมแผนการสอนตอ่ ไป การเตรยี มการสอนและการปฏิบตั ิการสอน 2. เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 2.1 ใบกจิ กรรม: วัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นเรื่องวงจรไฟฟ้า สามารถเสรมิ ทักษะตาม หลักสตู รมาตรฐานโดยการศึกษาตวั ช้วี ัดทางการเรยี นและจุดประสงคใ์ นแผนการจัดการเรียนรู้ และ ผเู้ รียนท่ไี ดค้ ะแนนร้อยละ70 ขน้ึ ไปจึงจะผ่านการประเมิน เกณฑ์การประเมนิ ใบงาน / ใบกจิ กรรม 1) ความถูกต้องตามหลักวชิ า 5 ระดับคุณภาพดีมาก 4 ระดบั คุณภาพดี 3 ระดับคุณภาพปานกลาง 2 ระดับคุณภาพอ่อน 1ระดบั คุณภาพต้องปรบั ปรุง 2) ความเรยี บร้อยและความสมบรู ณข์ องผลงาน 5 ระดับคุณภาพดีมาก 4 ระดับคุณภาพดี 3 ระดับคุณภาพปานกลาง 2 ระดับคุณภาพออ่ น 1ระดบั คุณภาพต้องปรบั ปรุง 3) ความรับผิดชอบ 5 ระดับคุณภาพดีมาก 4 ระดบั คุณภาพดี
29 3 ระดบั คุณภาพปานกลาง 2 ระดบั คุณภาพอ่อน 1ระดับคุณภาพต้องปรบั ปรุง 4) ความละเอยี ดรอบคอบในการทางาน 5 ระดบั คุณภาพดีมาก 4 ระดับคุณภาพดี 3 ระดับคุณภาพปานกลาง 2 ระดับคุณภาพอ่อน 1ระดับคุณภาพต้องปรับปรุง 2.2 ผลงาน: สิ่งประดิษฐ์, แผนผงั ความคิด เมื่อจดั กิจกรรมการเรียนร้คู รบถ้วนแล้วให้ผ้เู รียน ออกแบบสรุปความคดิ รวบยอดจากเรื่องที่เรียนเปน็ ผังความคดิ และสร้างสง่ิ ประดิษฐ์จากนนั้ ประเมิน ด้วยแบบประเมนิ ผลงาน ด้วยการประเมนิ ความถูกต้องตามหลกั วิชา ความเรยี บร้อยสมบูรณ์ และ คณุ ลกั ษณะ โดยผเู้ รียนที่ได้คะแนนร้อยละ 70 ขึ้นไปจึงจะผา่ นการประเมิน 2.3 แบบวัดความพงึ พอใจ เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับมขี ้นั ตอน ดงั น้ี 1) ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ และการสร้างแบบวัดความพงึ พอใจ 2) กาหนดหวั ข้อท่ีเป็นพฤตกิ รรมและความคิดเห็นของนกั เรียนท่ีมีต่อการเรยี นร้แู บบสืบ เสาะหาความรู้ 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านบทบาทผู้สอน ด้านบทบาทผู้เรียน ด้านการจัดการเรยี นการ สอน และด้านการวัดและประเมินผล จานวน 20 ข้อ ซึ่งกาหนดเป็นข้อคาถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับของลิเคอร์ท โดยมีค่าระดับความพึงพอใจ 5 ระดับ คือ 5 = พึงพอใจมากท่ีสุด 4 = พึงพอใจมาก 3 = พึงพอใจปานกลาง 2 = พึงพอใจน้อย และ 1 = พึงพอใจน้อยที่สุด แล้วนามาหา ค่าเฉลี่ย (������̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (S.D.) และแปลผลค่าเฉล่ียของคะแนนความพึงพอใจกับเกณฑ์ การแบง่ ท่กี าหนดไว้ ดงั น้ี คะแนนเฉลี่ย ระดบั ความพึงพอใจ 4.51 – 5.00 มากที่สุด 3.51 – 4.50 มาก 2.51 – 3.50 ปานกลาง 1.51 – 2.50 นอ้ ย 1.00 – 1.50 น้อยทส่ี ุด การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจยั ได้ดาเนนิ การเกบ็ ข้อมลู โดยแบ่งเปน็ 3 ระยะ ดังน้ี ระยะท่ี 1 ขนั้ วางแผนการวจิ ัย เพื่อเตรยี มการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ สอนแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) โดยการสรา้ งแผนการจดั การเรียนร้ทู ีเ่ หมาะสมกับ
30 สภาพชน้ั เรียน กาหนดจุดมุ่งหมาย เน้ือหาสาระ จัดทาเป็นหนว่ ยการเรียนรู้ และสรา้ งสอ่ื ทเ่ี หมาะสม กับวยั ของผู้เรยี น ระยะท่ี 2 ขนั้ ดาเนนิ การวจิ ัย เปน็ การดาเนนิ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้วธิ ีการ สอนแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดงั นี้ 1. ปฏบิ ตั ิการสอนตามแผนการจดั การเรียนร้ทู ส่ี ร้างไว้ในระยะที่ 1 ซงึ่ ไดท้ ้งั สนิ้ 1 หน่วยการเรยี นรู้ เร่อื งวงจรไฟฟ้า มีแผนการจัดการเรียนรจู้ านาน 16 คาบ ทาการสอนสัปดาหล์ ะ 2 คาบ ซึง่ ก่อนการนาแผนการจัดการเรียนรไู้ ปใชผ้ ู้วจิ ยั มกี ารเตรยี มสือ่ และแหลง่ เรียนรูพ้ ร้อมกอ่ นการ จดั การเรยี นรู้ 2. สงั เกตการณ์การจัดการเรียนรูท้ ้ัง 16 คาบ โดยประเมนิ ความเหมาะสมของ แผนการจัดการเรยี นรู้ และประเมินความรู้ความเข้าใจของผเู้ รียน 3. นาข้อมูลที่ไดม้ าวิเคราะหป์ ัญหา และส่งิ ที่ต้องปรับปรงุ แกไ้ ขต่อไป ระยะที่ 3 ขั้นประเมินผล เป็นการนาผลที่ได้จากการสังเกตการณ์ในแต่ละแผนการ จัดการเรียนรู้ โดยได้จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ บันทึกหลังแผนการจัดการเรียนรู้ การ ประเมินผลงาน จากนั้นจึงทาการวิเคราะห์ข้อมูล เพ่ือนาข้อมูลที่ได้มาเป็นแนวทางการปรับปรุงและ พัฒนาแผนการจดั การเรยี นรู้ในคร้งั ต่อไป การวิเคราะห์ขอ้ มูล สถติ เิ ชงิ พรรณนา ( Descriptive statistics) นาเสนอด้วยค่าความถี่ ค่าของคะแนน ค่าเฉลีย่ สาหรบั การสงั เกตพฤติกรรม วิเคราะหเ์ นอื้ หา ( Content analysis) รวมรวม และแยกแยะข้อมูล รวมท้ังตีความหมาย จากผลงาน สถติ ทิ ่ีใช้ในการวิจยั สถติ ิพน้ื ฐาน เมอื่ x แทน ค่าเฉล่ยี x แทน ผลรวมของคะแนน N แทน จานวนนกั เรยี น
คาถามวิจยั ตวั แปรท่ีศึกษา แหลง่ ข้อมูล ผูส้ อน/ผู้วิจยั 1. การใช้วธิ ีการสอนแบบกระบวนการสืบ วธิ ีการสอนแบบ เสาะหาความรู้ (5Es) ทเ่ี หมาะสมเพ่ือ กระบวนการสืบเสาะหา ผูเ้ รยี น พฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นเร่อื ง ความรู้ (5Es) วงจรไฟฟ้า วิชาวิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 เปน็ อย่างไร ผลของการจดั การเรียนรู้ 2. การใชว้ ธิ กี ารสอนแบบกระบวนการสืบ โดยใช้วิธกี ารสอนแบบ เสาะหาความรู้ (5Es) เพอื่ พัฒนาทักษะ กระบวนการสบื เสาะหา การคดิ เรอื่ งวงจรไฟฟ้า วิชาวทิ ยาศาสตร์ ความรู้ (5Es) ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ได้หรือไมอ่ ย่างไร
ล วิธกี าร/เคร่ืองมอื การเก็บรวบรวบขอ้ มูล วธิ ีวิเคราะห์ข้อมลู ย -ใบงาน แบบฝึก -ผลการประเมิน -ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของ ผ้เู รียนในระดับดีไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 -ผลงาน สิง่ ประดิษฐ์ -ผลการประเมิน - ผา่ นรอ้ ยละ 70 - ความครบถ้วนของเนื้อหา การสรปุ ควบคดิ รวบยอด
บทที่ 4 ผลการวิจัย การวจิ ยั ครง้ั นีม้ วี ตั ถุประสงค์เพื่อทักษะการคิดโดยใชว้ ิธีการสอนแบบกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสดิ์ราษฎร์บารุง) โดยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เปน็ ลาดับ ในลกั ษณะตารางประกอบคาบรรยายดังนี้ 1. การวเิ คราะหผ์ ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน (ใบงาน/ใบกจิ กรรม)ทไ่ี ดร้ ับการจัดการเรยี นรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ (5Es) 2. การวเิ คราะห์ทกั ษะการคดิ ทไี่ ดร้ ับการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 3. การวิเคราะห์คะแนนความพึงพอใจของนกั เรยี นหลงั ได้รบั การจัดการเรียนรแู้ บบ สืบเสาะหาความรู้ (5Es) 1. การวเิ คราะหผ์ ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น (ใบงาน/ใบกิจกรรม)ทไี่ ด้รบั การจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ในระหวา่ งการจดั กระบวนการเรียนรู้แบบกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5Es) เร่ืองวงจรไฟฟา้ ได้จดั ให้ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จานวน 42 คน ทาใบงาน/ใบกิจกรรม ผลคะแนนแสดงไว้ในตารางที่ 1 ตาราง 3 แสดงการวิเคราะห์ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น (ใบงาน/ใบกิจกรรม) ที่ไดร้ บั การจัดการเรียนรู้แบบ สบื เสาะหาความรู้ (5Es) ใบงานท่ี รายการ N คะแนน x รอ้ ยละ ระดบั เต็ม คณุ ภาพ 1 วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย 42 5 3.97 79.52 ดี 2 สมบัติตวั นาและฉนวนไฟฟา้ 42 5 4.74 94.76 ดีมาก 3 การตอ่ ถ่านไฟฉายแบบอนุกรมและแบบขนาน 42 5 3.88 77.62 ดี 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน 42 5 3.90 78.10 ดี จากตารางท่ี 3 พบว่าผลคะแนนจากการทาใบงาน/ใบกจิ กรรม นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ที่ทาการ วิจยั สามารถทาใบงาน/ใบกิจกรรมได้ในระดับ ที่ 4 คอื ระดบั คณุ ภาพดี โดยใบงานท่ี 1,3,4 ได้ระดบั คุณภาพดี รอ้ ยละ 79.52, 77.62, 78.10 และ 77.81 ตามลาดับ และใบงานท่ี 2 ได้ในระดับคุณภาพดีมาก รอ้ ยละ 94.76
33 2. การวเิ คราะห์ทักษะการคิดท่ีไดร้ ับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ไดจ้ ัดใหน้ กั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 จานวน 42 คน ทาชนิ้ งาน 2 ชนิ้ งาน คือส่งิ ประดิษฐ์, สรปุ ความคดิ รวบยอดออกเป็นแผนผัง ความคดิ ผลคะแนนแสดงไวใ้ นตารางที่ 4 ตาราง 4 แสดงการวิเคราะห์ทกั ษะการคิดท่ีไดร้ บั การจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) รายการ N คะแนนเตม็ x รอ้ ยละ ส่ิงประดิษฐ์ 42 20 15.83 79.17 แผนผงั ความคิด 42 20 15.33 76.67 จากตารางท่ี 4 พบวา่ ผลคะแนนจากการประเมนิ ผลงานนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีทาการวิจัย ผล ทาการประดษิ ฐ์สง่ิ ประดิษฐ์ไดร้ ้อยละ 79.17 แผนผังความคิด ไดร้ อ้ ยละ 76.67 โดยผู้เรยี นได้คะแนนสงู กว่ารอ้ ยละ 70 จงึ จะผ่านการประเมินผ่านการประเมนิ ตามเกณฑท์ ี่กาหนด 3. การวเิ คราะหค์ ะแนนความพงึ พอใจของนักเรยี นหลงั ไดร้ บั การจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ในการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ใช้แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (5Es) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จานวน 20 ข้อ ทาการวัดความพึงพอใจของนักเรียนหลังได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบเสาะหาความรู้ (5Es) และนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยการหาค่าเฉล่ีย (������̅) และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) จากน้ันแปลความหมายคา่ เฉล่ยี เปน็ ระดบั ความพงึ พอใจได้ผลดงั นี้ ตาราง 5 แสดงค่าเฉลี่ย (������̅) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) รายการประเมนิ ������̅ S.D. ระดับความ พงึ พอใจ ด้านบทบาทผูส้ อน 4.60 0.49 มากทส่ี ุด 1. ผสู้ อนมกี ารเตรยี มการสอนล่วงหน้า 4.84 0.37 มากทส่ี ุด 2. ผู้สอนมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ 4.50 0.57 มากทส่ี ุด เรียนรู้ในเนอ้ื หาวชิ า 3. ผู้สอนใหผ้ เู้ รยี นมีส่วนรว่ มในการคิดวเิ คราะห์ แปลผลและสรปุ ผล 4.53 0.51 มากท่ีสดุ 4. ผูส้ อนมกี ารตงั้ คาถามใหผ้ ู้เรยี นคิดหาคาตอบไดด้ ว้ ยตนเอง 4.34 0.60 มาก 5. ผูส้ อนให้คาแนะนาและรับฟังความคดิ เหน็ ของผเู้ รยี น 4.78 0.42 มากทีส่ ุด ดา้ นบทบาทผู้เรียน 4.33 0.73 มาก 6. ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มในการท าการทดลอง 4.50 0.72 มากที่สุด 7. ผเู้ รียนมีสว่ นร่วมในการอภปิ รายและแลกเปล่ยี นความคิดเห็นกับผ้อู ่นื 4.28 0.63 มาก
34 รายการประเมนิ ������̅ S.D. ระดบั ความ พงึ พอใจ 8. ผ้เู รยี นสามารถนาความรูไ้ ปเช่ือมโยงกบั ชวี ิตประจาวนั ได้ 4.13 0.79 มาก 9. ผเู้ รียนรบั ฟังความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่ม 4.28 0.79 มาก 10. ผู้เรียนมกี ารชว่ ยเหลือซึ่งกันและกันในการทางานกลมุ่ 4.44 0.77 มาก ด้านการจดั การเรยี นการสอน 4.54 0.56 มากท่สี ุด 11. ผู้สอนใชว้ ิธกี ารสอนทีห่ ลากหลายเหมาะสมกบั เนื้อหาทีเ่ รียน 4.56 0.50 มากที่สุด 12. ผสู้ อนมีความเป็นกันเอง และให้โอกาสผู้เรียนในการความคิดเห็นเท่า 4.84 0.37 มากที่สุด เทียมกนั 13. ผู้เรยี นได้เรยี นร้เู ป็นกลุ่ม 4.41 0.80 มาก 14. ผู้สอนมีการใช้สื่อการสอนและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ี 4.50 0.51 มากทีส่ ดุ นา่ สนใจ สง่ เสริมการเรยี นรู้ให้แกผ่ ูเ้ รยี น 15. กิจกรรมสรา้ งสง่ิ ประดิษฐ์และผงั ความคดิ ทาให้ผูเ้ รียนได้พัฒนาทักษะ 4.38 0.61 มาก การคดิ เรอ่ื งวงจรไฟฟา้ มากขึน้ ดา้ นการวดั และประเมินผล 4.61 0.52 มากที่สุด 16. ผสู้ อนใช้วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผลอยา่ งหลากหลาย 4.34 0.48 มาก 17. ผสู้ อนมกี ารประเมนิ ผลที่สอดคล้องกบั กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.47 0.57 มาก 18. ผู้สอนมกี ารแจ้งเกณฑก์ ารประเมนิ ผลชิน้ งาน/ใบงานก่อนเสมอ 4.63 0.66 มากท่สี ดุ 19. ผู้สอนเปิดเผยคะแนนท่ีได้จากการวัดผล ทาให้นักเรียนทราบ 4.88 0.34 มากที่สดุ ขอ้ ผดิ พลาดของตนเองหรอื กลุม่ และนาไปปรบั ปรุงในครง้ั ต่อไป 20. การวดั และการประเมนิ ผลมคี วามชัดเจน และยตุ ิธรรม 4.75 0.57 มากท่ีสุด คา่ เฉล่ียรวม 4.52 0.58 มากทส่ี ุด จากตาราง 5 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es) อยู่ใน ระดับมากท่ีสุด โดยมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.52 เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุดสาม อันดับแรก คือการท่ีผู้วิจัยเปิดเผยผลคะแนนท่ีได้จากการวัดผล ทาให้นักเรียนทราบข้อผิดพลาดของตนเองหรือ กลุ่ม และนาไปปรับปรุงในคร้ังต่อไป โดยมีคะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 4.88 ผู้วิจัยมีการเตรียมการสอนล่วงหน้า มี คะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.84 และผู้วิจัยมีความเป็น กันเอง และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนในการแสดงความคิดเห็นเท่า เทียมกัน มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.84 และพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจน้อยที่สุดสามอันดับสุดท้าย คือผู้เรียนไม่ สามารถเช่ือมโยงกับ ชีวิตประจาวัน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.13 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายและแลกเปลยี่ น ความ คดิ เห็นกบั ผูอ้ ืน่ มีคะแนนเฉล่ยี เทา่ กับ 4.28 และผเู้ รยี นรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของสมาชิกในกลุ่มมีคะแนน เฉลี่ย เท่ากับ 4.28 นอกจากน้ี เมื่อพิจารณาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เป็นราย ด้าน ได้แก่ ดา้ นบทบาทผู้สอน ด้านบทบาทผู้เรียน ด้านการจัดการเรียนการสอน และ ด้านการวัดและประเมนิ ผล พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจด้านการวัดและการประเมินผลมากที่สุด คือมีคะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 4.61 รองลงมา คือด้านบทบาทผู้สอน มีคะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 4.60 ด้าน ต่อมา คือด้านการจัดการเรียนการสอน มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากบั 4.54 และสุดท้าย คอื ดา้ นบทบาท ผเู้ รียน มีคะแนนเฉลย่ี เทา่ กับ 4.33
35 บทท่ี 5 สรปุ ผลและข้อเสนอแนะ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการทดลองแบบศึกษากลุ่มตัวอย่างเดียว ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) เร่ืองวงจรไฟฟ้า ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การพัฒนาทักษะด้านความคิด และความพึงพอใจ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวัสด์ิราษฎร์บารุง) จึงสามารถสรุปสาระสาคัญของการ วิจัยได้ดังนี้ วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพื่อพฒั นาทักษะการคดิ โดยใช้วิธกี ารสอนแบบกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5Es) มีคุณภาพตามเกณฑ์ท่ี กาหนด 2. เพอ่ื ศึกษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นทีไ่ ดร้ บั การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 3. เพอ่ื ศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรยี น หลงั ได้รับการจัดการเรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) สมมติฐานของการวิจัย 1. นกั เรยี นมีการพฒั นาทักษะการคดิ เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เพ่ิมมากขนึ้ 2.ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนเรือ่ งวงจรไฟฟ้าของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี6 อย่ใู น ระดบั ดี ขอบเขตการวิจยั การวิจัยในคร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดก้ าหนดขอบเขตของการวจิ ยั ดงั นี้ 1. ขอบเขตเชิงเน้ือหา ผวู้ จิ ัยศึกษาและพฒั นาทักษะการคิดโดยใช้วิธีการสอนแบบ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ในกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรเ์ รื่องวงจรไฟฟ้า ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 2.ขอบเขตประชากร ผูว้ จิ ยั ศึกษากับกลุ่มตัวอยา่ งนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี6 จานวน 40 คนโรงเรยี นวัดพืชนิมติ ( คาสวัสด์ริ าษฎร์บารงุ ) 3.ขอบเขตเชงิ ระยะเวลา ผูว้ ิจยั ทาการทดลองในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562 จานวน 16 ช่วั โมง ตัวแปรที่ใชใ้ นการวิจัย ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ การจัดการเรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ตวั แปรตาม ได้แก่ 1.ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 2.ทักษะการคิด 3.ความพงึ พอใจ
36 เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวิจยั เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการวิจัยคร้ังนี้ประกอบด้วย 2 สว่ น คือ เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการจัดการเรยี นรูแ้ ละเคร่ืองมือที่ ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดังน้ี 1. เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการจดั การเรยี นรู้ คอื แผนการจดั การเรยี นรู้โดยการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) 2. เคร่อื งมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 2.1 ใบกิจกรรม: วัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนเร่ืองวงจรไฟฟ้า 2.2 ผลงาน: สงิ่ ประดิษฐ์, แผนผังความคดิ 2.3 แบบวัดความพึงพอใจ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผวู้ ิจยั ไดด้ าเนนิ การเกบ็ ข้อมูล โดยแบง่ เป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะท่ี 1 ขั้นวางแผนการวิจัย เพื่อเตรียมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชว้ ิธกี ารสอนแบบ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) โดยการสรา้ งแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ีเหมาะสมกับสภาพช้นั เรยี น กาหนด จุดมุ่งหมาย เนอื้ หาสาระ จดั ทาเปน็ หนว่ ยการเรยี นรู้ และสร้างส่อื ที่เหมาะสมกับวยั ของผเู้ รียน ระยะที่ 2 ข้ันดาเนนิ การวจิ ัย เปน็ การดาเนินการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชว้ ิธกี ารสอนแบบ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดงั น้ี 1. ปฏิบัตกิ ารสอนตามแผนการจดั การเรียนรทู้ ีส่ รา้ งไวใ้ นระยะท่ี 1 ซง่ึ ได้ทั้งส้ิน 1 หนว่ ยการ เรยี นรู้ เร่อื งวงจรไฟฟา้ มีแผนการจดั การเรยี นรู้จานาน 16 คาบ ทาการสอนสัปดาหล์ ะ 2 คาบ ซึง่ ก่อนการนา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ผู้วจิ ัยมีการเตรียมสื่อและแหล่งเรยี นรู้พรอ้ มกอ่ นการจดั การเรียนรู้ 2. สังเกตการณ์การจัดการเรยี นร้ทู ัง้ 16 คาบ โดยประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการ เรยี นรู้ และประเมินความรคู้ วามเขา้ ใจของผู้เรียน 3. นาขอ้ มลู ที่ไดม้ าวเิ คราะหป์ ัญหา และส่ิงทีต่ ้องปรับปรงุ แก้ไขต่อไป ระยะที่ 3 ข้นั ประเมนิ ผล เป็นการนาผลท่ีได้จากการสังเกตการณ์ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ โดยได้จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ บันทึกหลังแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผลงาน ผลสัมฤทธิ์ จากนั้นจึงทาการวิเคราะห์ขอ้ มูล เพ่ือนาขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาเป็นแนวทางการปรบั ปรุงและพฒั นาแผนการจดั การเรยี นรู้ใน คร้งั ต่อไป สรปุ และอภิปรายผลการวจิ ัย ในการวิจัยครง้ั น้ี ผวู้ ิจัยไดศ้ ึกษาผลของการจดั การเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้(5Es) เร่ืองวงจรไฟฟ้า ท่ีมี ต่อผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน การพัฒนาทักษะดา้ นความคิด และความพึงพอใจของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นวัดพชื นิมิต (คาสวัสดิ์ราษฎรบ์ ารงุ ) ซงึ่ สามารถสรปุ และอภปิ รายผลตามลาดับดังน้ี 1. นักเรียนมีการพัฒนาทักษะการคิดโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มี คุณภาพตามเกณฑ์ท่ีกาหนด จนสามารถสร้างผลงานสิ่งประดิษฐ์ นาเสนอผลงาน สามารถนาความรู้ไปเชื่อมโยง กับการใช้ชีวิตประจาวนั ได้ ท้ังน้ีอาจ เนื่องมาจากการจัดการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) เป็นรูปแบบการ จัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเองเพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด
37 กระบวนการคิด เกิดข้อคาถามหรือข้อสงสัย เกิดความคิด และแสวงหาคาตอบหรือข้อเท็จจริงด้วยตนเองโดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และสามารถนามาประมวลคาตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง ทาให้ผู้เรียนได้รับ ประสบการณต์ รง และเกดิ การเรียนรมู้ ากขึ้น ครูเป็นเพยี งผูอ้ านวยความสะดวกในการเรียนร้ขู องผเู้ รียน 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี การใช้กระบวนการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) สามารถพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์ ความเข้าใจเร่ืองวงจรไฟฟ้า วิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ได้ การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน ได้แก่ขั้นท่ี 1 ขั้นสร้างความสนใจ ซึ่งในข้ันน้ีครูจะกระตุ้น ความสนใจของนักเรียน ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นการต้ังคาถามท่ีกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดข้อสงสัย หรือการใช้สื่อต่าง ๆ แล้วกระตุ้นให้ผเู้ รยี นเกดิ ข้อคาถามขน้ึ และบางคร้งั ครูกระตนุ้ ความสนใจของนักเรียนดว้ ยการสาธิตโดยใหผ้ ้เู รียนมี ส่วนร่วมในการสาธิตเปน็ ตน้ โดยครูเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นทุกคนเท่าเทยี มกันในการต้ังคาถาม ซ่ึงนักเรียนแต่ละคนมี ความกระตือรือร้น มีการซักถาม ทาให้บรรยากาศการเรียนรู้เป็นไปด้วยความสนุกสนาน ขั้นท่ี 2 ขั้นสารวจและ ค้นหา ในขั้นน้ีครูจะให้นักเรยี นลงมือปฏิบัติการทดลองเปน็ กลุ่ม ซึ่งสมาชิกทุกคนภายในกลุ่มต้องมีส่วนร่วมในการ ปฏิบัติการทดลองทุกคร้ัง โดยผู้เรียนจะแบ่งหน้าท่ีสลับกันในแต่ละคร้ังของการทดลอง ทาให้ผู้เรียนทุกคนมีส่วน ร่วมและมีโอกาสเรียนรู้ในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติการทดลอง ทาให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงและเกิดการ เรยี นร้อู ยา่ งมีความหมาย และชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ ความเข้าใจท่ีถกู ตอ้ งมากขึ้น ซึ่งนกั เรยี นแตล่ ะคนมีความรับผิดชอบ ในหน้าท่ีของตนเอง เมื่อผู้เรียนมีข้อคาถามหรือข้อสงสัย ครูจะต้ังคาถามกับผู้เรียนกลับแทนการตอบคาถามนั้น โดยตรง เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด และค้นพบความรู้หรือคาตอบน้ันด้วยตนเอง ทาให้บรรยากาศ การปฏิบัติการทดลองเป็นไปด้วยความสนุกสนาน และครูต้องคอยกาชับเร่ืองเวลา เน่ืองจากนักเรียนบางกลุ่ม เพลิดเพลินกับการทดลอง โดยใช้เวลาเกินกว่าท่ีกาหนดไว้ ขั้นท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุปในข้ันนี้นักเรียนแต่ละ กลุ่มต้องนาข้อมูลที่ได้จากการทดลองมาวิเคราะห์ สรุปผล และนาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แผนผังความคิด ส่ิงประดิษฐ์ เป็นต้น จากน้ันครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลองโดยครูคอยต้ังคาถามเพ่ือให้นักเรียน ตอบ ซึ่งนักเรียนแต่ละคนมีความกระตือรือร้นในการตอบคาถามมีการปรึกษาหารือกับเพื่อนภายในกลุ่มตลอดจน เพื่อนต่างกลุ่ม โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ละคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน และไม่ตาหนิหาก นกั เรยี นตอบผิด ทาให้นกั เรียนมีความกลา้ แสดงออก และนักเรยี นมีเหตุมผี ลในการตอบคาถามโดยนักเรียนอ้างอิง จากการปฏิบัติการทดลองร่วมกับการอภิปรายร่วมกันระหว่างสมาชิกภายในกลุ่ม ทาให้นักเรียนมีความมั่นใจใน การแสดงความคิดเห็นของตนเอง และร้จู กั การทางานร่วมกบั ผู้อื่น รับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อ่ืนอย่างมีเหตุผล ขน้ั ที่ 4ขั้นขยายความรู้ ในข้ันน้ีครูจะยกตัวอย่างหรือสถานการณ์อ่ืน ๆ เพื่อที่นักเรียนจะได้นาองค์ความรู้ท่ีค้นพบจาก การศึกษามาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์อ่ืน ๆ ได้และขั้นที่ 5 ข้ันประเมินผล ขั้นน้ีครูจะให้นักเรียนทาใบกิจกรรม เพือ่ ตรวจสอบวา่ นกั เรยี นทกุ คนมคี วามเขา้ ใจท่ีถูกต้องเก่ยี วกบั เร่ืองที่เรียนหรือไม่ 3. นักเรียนที่ไดร้ ับการจัดการเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีความ พึงพอใจมากท่สี ุดตอ่ การจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) จากผลการวิจัย พบว่า นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) อยู่ใน ระดับมากที่สุด โดยได้คะแนนเฉล่ียรวม เท่ากับ 4.52 คะแนน และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักเรียนมี ความพึงพอมากท่ีสุด 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการวัดและการประเมินผล ด้านบทบาทผู้สอน และ ด้านการจัดการเรียน การสอน โดยได้คะแนนเฉลี่ยรวม เท่ากับ 4.61, 4.60 และ 4.54 คะแนน ตามล าดับ ส่วนด้านบทบาทผู้เรียน นักเรียนมีความพึงพอใจมากเท่านั้น โดยได้คะแนนเฉลี่ยรวม เท่ากับ 4.33 คะแนน แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีความ พึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es) มากท่ีสุด ทั้งน้ีเน่ืองจากการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (5Es) เป็นรูปแบบ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-centered learning)
38 เน้นให้ผู้เรียนได้กระท า หรือลงมือปฏิบัตสิ ่ิงต่าง ๆ ดว้ ยตัวผู้เรยี นเอง (Learning by doing) และสร้างความรู้ด้วย ตนเองผ่าน กระบวนการสารวจตรวจสอบ การทดลอง และการสร้างส่ิงประดษิ ฐ์ ทาให้ผ้เู รียนเกิดความเข้าใจ และ เกิดการรับรู้ความรู้น้ันอย่างมีความหมาย เร่ิมจากการ ต้ังคาถาม ครูผู้สอนมักจะใช้คาถามหรือสื่อการสอนต่าง ๆ ให้ผู้เรียนเกิดการสังเกตหรือเกิดข้อสงสัย ขึ้นภายในตนเอง เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะและฝึกกระบวนการ ตั้งคาาถามซ่ึงจะนาไปสู่การ ดาเนินการสารวจตรวจสอบเพื่อหาคาตอบผ่านกระบวนการทดลอง จากนั้นลงมือ ปฏิบตั กิ ารทดลอง แลว้ นาผลการทดลองมาวิเคราะหแ์ ละใช้เป็นหลกั ฐานในการสรา้ งคาอธิบายออกมา นอกจากนี้ มกี ารประเมนิ ผลทช่ี ัดเจน มกี ารแจ้งเกณฑ์การประเมินผลแก่ผู้เรียน ทาใหผ้ เู้ รียนสามารถพัฒนาชน้ิ งานของตนเอง ให้มากที่สุด อีกท้ังผู้สอนมีการเปิดเผยคะแนน พร้อมทั้งบอกข้อผิดพลาดจากช้ินงานทาให้ผู้เรียนสามารถนา ข้อเสนอแนะดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุงในงานชิ้นต่อไปได้ จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าผู้สอนมีการ สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ของนักเรียน และเตรียมสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเรียนร้ขู องนักเรียน เพ่ือตอบสนอง ความต้องการของนักเรียน รวมถึงการท่ีนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมแล้วประสบผลสาเร็จตามความต้องการของ นักเรียน เกิดแรงจูงใจในการเรียนรูเ้ น่อื งจากนักเรียนได้รับการตอบสนองเบ้ืองต้นตามทฤษฎแี รงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow) และการเรียนรู้ท่ีมีความหมายสาหรับนักเรียน ทาให้นักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความพึงพอใจ ในการเรียน (วันเพ็ญ พิศาลพงศ์, 2540: 23; ธีรพงศ์ แก่นอินทร์, 2545: 36; อัมพวา รักบิดา, 2549: 47;สุดารตั น์ อะหลแี อ, 2558: 48 และ Scott, 1970: 124) ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ยั ครง้ั นี้ 1.1 ประสิทธิภาพของการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เร่ือง วงจรไฟฟ้า นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่แผนการจัดการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว หากแต่ข้ึนอยู่กับผู้สอนด้วย ดังนั้นผู้สอนจะต้อง เขา้ ใจเนื้อหาและวธิ กี ารใชส้ ื่อประกอบการสอนเป็นอย่างดี ซ่งึ สามารถทาได้โดยผสู้ อนจะตอ้ งศึกษาคมู่ ือครใู หเ้ ข้าใจ และสามารถปฏบิ ัตติ ามขนั้ ตอนต่าง ๆ ตามแผนการสอนที่จดั เตรียมไว้ 2. ขอ้ เสนอแนะเพ่ือการวิจัยครงั้ ตอ่ ไป 2.1 ควรมกี ารศกึ ษาวิจัย การจดั กระบวนการเรยี นรู้แบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ใน เรือ่ งอ่ืน ๆ ที่ยังไมไ่ ด้ทาการวิจัย 2.2 ควรศกึ ษากระบวนการและเทคนิคการสอนในรูปแบบต่าง ๆ หรอื นานวัตกรรมทเ่ี หมาะสม มาใช้เพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรยี นรูต้ อ่ ไป
39 บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธิการ (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพอ์ งค์การรบั ส่งสนิ คา้ และพัสดุภัณฑ์ ทพิ วรรณ หลอ่ สุวรรณรัตน.์ (2548). การจดั การความรู้. ใน วารสารพฒั นบริหารศาสตร์, 45(2), 1-24. พิเชฐ บัญญัติ. (2549). การจัดการความรู้ในองค์กร. ใน วารสารห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 13(1), 118 โทนี บูซาน. (2544). วธิ เี ขยี น Mind Map (How to Mind Map). (ธัญกร วีรนนทช์ ยั , ผ้แู ปล). กรุงเทพฯ:ขวัญข้าว 94. ธญั ญา และ ขวัญฤดี ผลอนันต์ (2550). Mind Map ® กับการศกึ ษาและการจัดการความรู้ กรงุ เทพฯ: ขวญั ขา้ ว ภพ เลาหไพบูลย์. (2540). แนวการสอนวิทยาศาสตร.์ พมิ พค์ รง้ั ที่ 2. กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานชิ สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2554). การวจิ ยั ในช้ันเรียนเพอื่ พฒั นาการเรียนรู้. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์การศาสนา กรมวิชาการ. (2542). แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (เล่ม 1). กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์การศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพอ์ งคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพสั ดภุ ณั ฑ์ ถนัด ม่วงศรี. (2550). มาตรฐานวิชาชีพครู. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งสถาบันวิชาการ SP Academy. ทิศนา แขมมณี. (2551). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีมี ประสทิ ธิภาพ. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ประภัสรา โคตะขุน . (2556). รูปแ บบการสอน 5Es. อุดรธานี: (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://sites.com สืบคน้ เม่อื 12 มถิ นุ ายน 2556 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน). (2556). ผลสอบ O-NET. กรุงเทพมหานคร: (ออนไลน)์ . แหลง่ ทมี่ า: http://www.niets.or.th. สบื คน้ เมอ่ื 2 มถิ ุนายน 2556 สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)สาขาชีววทิ ยา. (2550). การจัดกระบวนการ เรียนรู้. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ สถาบันส่งเสรมิ การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช์ ุมชนสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั .
40 ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายงานการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ PLC ภาคผนวก ข เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการจดั การเรยี นรู้ ภาคผนวก ค ภาพการทาจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ภาคผนวก ง ผลงานนักเรียน และการนาเสนอผลงาน ภาคผนวก จ แบบประเมนิ ผลงาน แบบประเมนิ ใบกิจกรรม ภาคผนวก ฉ ประวัตผิ ู้วจิ ัย
41 ภาคผนวก ก รายงานการพัฒนาการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการ PLC
42
43 ภาคผนวก ข เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ในการจดั การเรยี นรู้
Search