แบบฝึกหัดประจาบทที่ 5 ตอนท่ี 1 จงทาเครือ่ งหมายกากบาท (X) ลงหนา้ ข้อท่ถี ูกต้องท่ีสดุ 1. ขอ้ ใด คอื ความหมายของคาวา่ ซกิ ข์ ? ข. การยอมจานน ก. ผเู้ คารพนบั ถอื ง. ลูกศิษย์ ค. ผู้เชื่อฟัง 2. ผู้ใดคอื ปฐมศาสดาของศาสนาซิกข์? ข. องั คตั ก. โควนิ ทสงิ ห์ ง. อรชนุ ค. นานกั 3. ข้อใดคอื การบรรลุธรรมของปฐมศาสดาของศาสนาซกิ ข์? ก. การบาเพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า ข. การน่งั สมาธิ ค. เทพบันดาล ง. การไดป้ ระสบการณ์ทางจิต 4. ศาสดาของศาสนาซิกข์มจี านวนกอ่ี งค?์ ข. 9 ก. 8 ง. 11 ค. 10 5. ศาสดาองค์ใดเปน็ ผรู้ วบรวมคมั ภีร์อาทิครนั ถส์ าหบิ ? ก. ครุ ุนานัก ข. คุรอุ ังคตั ค. คุรโุ ควินทสงิ ห์ ง. ครุ อุ รชุน 6. ศาสดาองค์ใดเปน็ ผ้รู วบรวมคมั ภีร์ทสมครนั ถ์สาหบิ ? ก. ครุ ุรามทาส ข. ครุ อุ งั คัต ค. ครุ ุโควนิ ทสิงห์ ง. ครุ ุอรชนุ 7. ข้อใด คือ ความหมายของคาว่ากฉา? ข. หวี ก. ผม ง. กางเกงขาส้นั ค. มีดพก ศาสนาข้ันแนะนา | 127
8. พธิ ีกรรมของศาสนาซกิ ข์ในข้อใดคลา้ ยกบั ศลี ล้างบาปของศาสนาคริสต์? ก. พธิ รี บั น้าอมฤต ข. พธิ คี รัวทาน ค. พธิ ีปาหลุ ง. ข้อ ก และ ง ถูก 9. นิกายของศาสนาซิกขใ์ นขอ้ ใดปฏิบัติตามหลกั คาสอนของครุ โุ ควิทนสงิ ห์? ก. นิกายนานกั ปันถิ ข. นกิ ายโควนิ ท์ ค. นิกายขาลสา ง. นิกายสิงห์ 10. นิกายของศาสนาซกิ ขใ์ นข้อใดท่ีเนน้ การดารงชวี ติ แบบเรยี บง่าย? ก. นิกายนานกั ปนั ถิ ข. นกิ ายโควนิ ท์ ค. นิกายขาลสา ง. นิกายสงิ ห์ 11. ข้อใดคือพธิ ีกรรมทแ่ี สดงถึงความเป็นชาวซกิ ข์ท่ดี ี? ก. พิธีรับน้าอมฤต ข. พธิ ีครวั ทาน ค. พิธีปาหลุ ง. ประเพณกี ารโพกศีรษะ 12. พิธกี รรมในข้อใดท่กี ระทาเสร็จแลว้ จะไดน้ ามตอ่ ทา้ ยชือ่ ว่าสิงห์? ก. พิธรี บั นา้ อมฤต ข. พิธีครวั ทาน ค. พิธปี าหุล ง. ประเพณกี ารโพกศีรษะ 13. นิกายของศาสนาซกิ ขใ์ นข้อใดท่เี ป็นนกิ ายสาหรบั นักบวช? ก. นิกายนานักปันถิ ข. นิกายสหัชธรี ค. นกิ ายขาลสา ง. นิกายอทุ สสิ 14. ขอ้ ใดคือศีล 5 ประการ? ข. การไมล่ ักทรพั ย์ ก. การไมฆ่ ่าสตั ว์ ง. การไวผ้ มและหนวดเครา ค. การไม่พูดมสุ า 15. ขอ้ ใดคอื ศาสดาองค์ท่ี 9? ข. อมรทาส ก. อังคตั ง. เทคพาหาธุระ ค. อรชุน 128 | ศาสนาซิกข์
16. ขอ้ ใดคือศาสดาองค์ท่ี 3? ข. หริโควินท์ ก. อมรทาส ง. หริกษิ นั ค. หรไิ ร ข. องั คัต 17. ข้อใดคอื ศาสดาองคท์ ี่ 4? ง. รามทาส ก. โควินทสิงห์ ค. อมรทาส ข. หริไร ง. อรชุน 18. ขอ้ ใดคือศาสดาองคท์ ่ี 8? ก. หริกิษัน ข. อังคัต ค. หริโควินท์ ง. อมรทาส 19. ข้อใดคือศาสดาองคท์ ่ี 6? ข. อมรทาส ก. หริโควินท์ ง. หริไร ค. เทคพาหาทรู ะ 20. ข้อใดคอื ศาสดาองค์ท่ี 7? ก. อังคัต ค. รามทาส ตอนที่ 2 จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. คัมภีรส์ าคญั ของศาสนาซกิ ขม์ อี ะไรบ้าง? จงอธิบายมาพอเขา้ ใจ 2. จงอธิบายคาสอนที่สาคัญของศาสนาซิกข์มา 2 ประเด็น และท่านเห็นด้วยกับ หลักคาสอนใดมากทีส่ ุด เพราะเหตุใด? 3. จงยกตัวอย่างพิธีกรรมและประเพณีที่สาคัญของศาสนาซิกข์มา 3 พิธีกรรม นักศึกษาเห็นว่าพิธีกรรมดังกล่าวมีความจาเป็นหรือไม่ในยุค ปจั จุบัน? จงใหเ้ หตุผล ศาสนาขั้นแนะนา | 129
บทที่ 11 ศาสนาคริสต์ ขอบเขตเนือ้ หา 11.1 ความเปน็ มา 11.2 ศาสดา 11.3 คัมภรี ใ์ นศาสนา 11.4 หลักคาสอนสาคัญ 11.5 นกิ ายในศาสนา 11.6 พธิ ีกรรมสาคัญ 11.7 สัญลักษณข์ องศาสนา 11.8 ฐานะปัจจบุ ันของศาสนา แนวคดิ 1. ศาสนาคริสต์เกิดในประเทศปาเลสไตน์ เม่ือประมาณ พ.ศ. 543 โดยคิดตาม ปีเกิดของพระเยซูผูเ้ ป็นศาสดา เป็นศาสนาที่วิวัฒนาการมาจากศาสนายิว เพราะท้ังสองศาสนา ต่างนบั ถือพระเจ้าองคเ์ ดียวคือพระเยโฮวาห์ (Yehowah) และยอมรับนับถือคมั ภีร์พันธสัญญา เดิม (Old testament) ของศาสนายวิ 2. ศาสดาของศาสนาคริสต์ ทรงมีนามว่า \"เยซู\" หรือ \"จีซัส\" ถอื กาเนดิ ในหมู่ ชนชาติอิสราเอล (ยิว) พระมารดาช่ือ มารีย์ และบิดาช่ือ โยเซฟ มีอาชีพเป็นช่างไม้ ต้ังถนิ่ ฐาน อยู่ ณ บ้านกาลิลี (Callilee) เมืองนาซาเรธ (Nazareth) 3. คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ คือ คัมภีร์ไบเบิล (Holy Bible) แบ่งออกเป็น 2 ตอนใหญ่ๆ คอื พระคัมภีร์เกา่ หรือ พันธสัญญาเดิม (Old Testament) และพระคัมภีร์ใหม่ หรือพันธสัญญาใหม่ (New Testament) 4. ศาสนาคริสต์มีหลักคาสอนที่สาคัญ คือ หลักตรีเอกานุภาพ หลักความรัก อาณาจักรของพระเจ้า พระเจา้ ทรงเปน็ ความจริงสงู สุด และคาเทศนาบนภูเขา 5. นิกายสาคัญของศาสนาคริสต์ มี 3 นิกาย คือ นิกายโรมันคาทอลิก นกิ ายออรธ์ อดอกซ์ นิกายโปรเตสแตนต์ และนกิ ายยอ่ ยๆอีก 16 นิกาย 6. พิธีกรรมของศาสนาครสิ ต์ ไดแ้ ก่ ศีลล้างบาปหรือศลี จ่มุ ศลี กาลงั ศีลมหาสนทิ ศีลแกบ้ าปหรืออภัยบาป ศีลเจิมคนปว่ ย ศีลบวชเป็นบาทหวง ศีลสมรส และพิธีกรรมอืน่ ๆ เช่น การไปโบสถใ์ นวันอาทติ ย์ การเฉลิมฉลองวันครสิ ตม์ าส เปน็ ตน้
7. สัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ ได้แก่ ไม้กางเขน เพราะพระเยซูส้ินพระชนม์บน ไมก้ างเขนเชน่ นน้ั คริสตศ์ าสนาจงึ ถอื ว่า ไมก้ างเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละท่ีย่ิงใหญข่ อง พระเจา้ อนั แสดงถงึ ความรกั ทพี่ ระเจา้ มตี ่อมนุษย์ 8. ฐานะปัจจุบันของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ในปัจจุบันมีผู้นับถือมากที่สุด ในโลก มีคริสตศาสนิกชนกระจายไปท่ัวโลก แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย แม้ศาสนาคริสต์จะเป็นศาสนาใหญ่แต่ก็อยู่ในฐานะท่ีรวมกันได้แค่เพียง หลวมๆ หรือรูปลักษณ์ภายนอกเท่าน้ัน ตลอดท้ังความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและ เทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน ก็มีการขัดแย้งกับคาสอนในศาสนาคริสต์ จึงทาให้ชาวคริสต์รุ่นใหม่ ไม่สนใจศาสนาถงึ กับประกาศตวั ไมม่ ีศาสนาและหันไปนับถอื ศาสนาอ่นื กม็ มี ากขึน้ ตามลาดับ วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ เมอื่ ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทนแี้ ล้ว ผศู้ ึกษาสามารถ 1. อธิบายความเปน็ มาของศาสนาครสิ ต์ได้ 2. อธบิ ายคมั ภีรส์ าคญั ของศาสนาครสิ ตไ์ ด้ 3. อธิบายหลกั คาสอนสาคัญของศาสนาคริสต์ได้ 4. อธิบายนกิ ายสาคญั ของศาสนาคริสต์ได้ 5. อธบิ ายพิธกี รรมสาคญั ของศาสนาครสิ ตไ์ ด้ 6. อธบิ ายสัญลกั ษณ์ของศาสนาคริสตไ์ ด้ 7. อธบิ ายฐานะปัจจบุ ันของศาสนาคริสตไ์ ด้ กจิ กรรมการเรยี น 1. การบรรยาย 2. การอภิปรายกล่มุ ยอ่ ย 3. การบันทึกการเรยี นรู้ในแฟ้มสะสมผลงาน ส่อื การสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ใบสรุปการเรยี นรปู้ ระจาบทที่ 11 3. แฟ้มสะสมผลงาน 4. สอื่ อเิ ล็กทรอนิคทกุ ประเภท 236 | ศาสนาคริสต์
การประเมนิ ผล 1. ประเมินจากการร่วมทากจิ กรรมกลุม่ 2. ประเมินจากการสรปุ การอภิปราย 3. ประเมนิ จากใบสรปุ การเรียนรแู้ ละแฟม้ สะสมผลงาน ศาสนาขั้นแนะนา | 237
11.1 ความเป็นมา คาวา่ คริสต์หรือไครสต์ ( Christ) มาจากภาษาโรมันว่า คริสตุส (Christus) ซ่ึง คาน้มี ีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ Christos ซึ่งแปลมาจากคาว่า เมสสิอาห์หรือเมสไซอา (Messiah) ในภาษาฮิบรู คาวา่ เมสสิอาห์ หรือเมสไซอา แปลว่า พระผู้ปลดเปลื้องทุกข์ภัย หรือพระผู้ช่วย ให้รอดพ้น ไม่ตกนรกจากคาพิพากษาในวันตัดสินโลก ซ่ึงพระเจ้าจะส่งบุคคลนน้ั ลงมารับทุกข์ ทรมานแทนมนุษย์ทั้งหลาย เมสสิอาห์จะเป็นผู้ช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ ทรมาน1 ศาสนาคริสต์เกิดในประเทศปาเลสไตน์ เมื่อประมาณ พ.ศ. 543 โดยคิดตาม ปีเกิดของพระเยซูผ้เู ป็นศาสดา เปน็ ศาสนาท่ีววิ ัฒนาการมาจากศาสนายิว เพราะท้ังสองศาสนา ต่างนับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระเยโฮวาห์ (Yehowah) และยอมรับนบั ถอื คัมภีร์พันธสัญญา เดมิ (Old testament) ของศาสนายวิ แม้พระเยซูเองก็ไม่เคยประกาศตงั้ ศาสนาคริสต์ มีแต่บอก ว่าทา่ นนบั ถอื ศาสนายวิ การทท่ี ่านเที่ยวส่งั สอนธรรมต่างๆ กเ็ พอื่ ทาใหศ้ าสนายิวมีความสมบูรณ์ ขน้ึ เท่าน้นั คาว่า ศาสนาคริสต์ เพ่ิงเกิดข้ึนและนามาใช้หลังจากพระเยซูสิ้นชีพแล้ว มีสาเหตุ จากเนื่องจากความโกรธแค้นของเหล่าพระสาวกท่ีศรัทธาในพระเยซูที่เห็นท่านถูกใ ส่ร้ายจาก พวกหัวเกา่ ท่ีนับถือศาสนายิว จนเสียชีวิตท้ังๆท่ีไม่มีความผดิ รวมกบั ความศรัทธาท่ีเกิดมาจาก การได้ฟังข่าวการฟื้นคืนชีพของพระเยซูจึงพากันแยกตัวออกจากศาสนายิว โดยตั้งชื่อศาสนา ใหม่วา่ ศาสนาคริสต์ โดยนักบวชเซนต์ปอล เปน็ ผ้ตู ้งั ขึ้น2 ในสมัยที่พระเยซูยังมีชีวติ อยู่ ศาสนาคริสต์เจริญเติบโตแพร่หลายไปได้น้อยมาก เพราะมีผู้คอยขัดขวางทาลายล้าง พระเยซูเองกม็ ีเวลาเป็นศาสดาเพียง 3 ปีเท่านั้นก็สิ้นชีพโดย การถกู ตรึงไม้กางเขน ศาสนาคริสต์มีเจริญเติบโตหลังจากพระเยซูสิ้นชีพแล้ว โดยการเผยแผ่ ศาสนาอย่างจริงจังของเหล่าพระสาวกและผู้นับถือ ศาสนาคริสต์มีความเจริญแพร่หลายมาก ที่สุดในสมัยของพระเจ้าคอนสแตนตินท่ีทรงเลื่อมใสและอุปถัมภ์ค้าชูศาสนาคริสต์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างศาสนสถาน การออกกฎหมายมิลานในปี ค.ศ.313 ให้สานัก วาติกัน เป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง ไม่ต้องขึ้นกับการปกครองของฝ่ ายอาณาจักร ฝ่ายอาณาจักรจะเข้าไปแทรกแซงกิจการในศาสนจักรไม่ได้ ให้สันตะปาปามีอานาจเท่าราชา มีอานาจปกครองศาสนจักรทั้งปวง ทรงนาไม้กางเขนมาเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ 1 หลวงวจิ ติ รวาทการ, ศาสนาสากล เล่มที่ 1 (กรุงเทพมหานคร : อษุ าการพมิ พ,์ 2546), หน้า 104. 2 มหาวิทยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อรเ์ นีย, DF 404 ศาสนศกึ ษา (ปทุมธานี : มหาวิทยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อรเ์ นยี , 2550), หนา้ 319. 238 | ศาสนาคริสต์
และส่ิงที่ทาให้ศาสนาคริสต์ได้รับความนับถือมากท่ีสุด คือ ในปี ค.ศ. 325 ทรงออกกฎหมาย ใหท้ ุกคนนบั ถอื ศาสนาคริสต์เท่าน้นั ที่เรียกว่า ศรัทธาทางการ3 ดังนัน้ ตั้งแต่ ค.ศ. 325-1054 ศาสนาครสิ ต์จึงไดเ้ จรญิ เติบโตขนานใหญ่ จากศาสนาประจาชาติของประเทศอิตาลีกลายมาเปน็ ศาสนาประจาชาติของทุกประเทศในทวปี ยุโรป และต่อมาได้ขยายไปยังประเทศต่างๆ ในทวีป อเมรกิ าเหนอื อเมริกาใต้ และทวปี ออสเตรเลียด้วย4 11.2 ศาสดา 11.2.1 ชาตภิ มู ิ ศาสดาของคริสต์ศาสนา ทรงมีนามว่า \"เยซู\" หรือ \"จีซัส\" ถือกาเนิดในหมู่ชน ชาติอิสราเอล (ยิว) พระมารดาชื่อ มารีย์ และบิดาช่ือ โยเซฟ มีอาชีพเป็นช่างไม้ ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บ้านกาลลิ ี (Callilee) เมืองนาซาเรธ (Nazareth) ข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิลแสดงไว้ว่า พระนางมารีย์ ผู้เปน็ มารดาของพระเยซู นั้นมีครรภด์ ้วยอานาจของพระวิญญาณบริสุทธ์ิตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานกับโยเซฟ การที่โยเซฟรับ นางเปน็ ภรรยาเพราะทูตสวรรค์กาเบรียลของพระเจ้ามาปรากฏแกโ่ ยเซฟในความฝันโดยให้เขา รับนางมารีย์เป็นภรรยา เนื่องจากผู้ท่ีปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นเป็นเพราะอานาจของ พระวญิ ญาณบริสุทธ์ิ นางจะประสตู บิ ตุ รชาย แล้วใหต้ ั้งช่อื ว่า เยซู พระเยซู ประสูติเมื่อปีท่ี 1 แห่งคริสตศักราช (นับตั้งแต่พระเยซูประสูติ) ที่เมือง เบธเลเฮม (Bethlehem) แขวงยูดาย กรุงเยรูซาเลม ชาวคริสต์ในยุคแรกเช่ือว่า พระเยซูเกิดที่ เบธเลเฮม สืบเช้ือสายมาจากกษัตริย์เดวดิ (ซึ่งเปน็ บรรพบุรุษของชาวอิสราเอล) เพื่อเช่ือมโยง กับพระคัมภีร์เก่า ในเรื่องของเมสิอาห์ (Messiah) แต่ผเู้ ขียนพระวรสารทั้งหมดเห็นตรงกนั ว่า ครอบครวั ของพระเยซอู าศัยอยูท่ นี่ าซาเรธ5 11.2.2 การรบั ศีลจุม่ พระเยซูทรงสนใจในการศึกษาศาสนาเป็นอย่างย่ิงโดยเฉพาะพระคัมภีร์เก่า (Old Testament) จนมีความรู้แตกฉานในพระคัมภีร์ พระเยซูได้ไปฝากตัวเปน็ ศิษย์ของยอห์น (John the Baptist) และได้รับศีลจุ่มโดยวิธีลงไปอาบน้าในเเม่น้าจอร์แดน ซึ่งพิธีล้างบาป (Baptism) นี้เป็นการแสดงถงึ พระเจา้ ทรงใหอ้ ภยั คนบาป โดยการใชน้ า้ เป็นสัญลกั ษณ์6 3 เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ 320. 4 เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ 333. 5 เสถียร พันธรังสี, ศาสนาเปรียบเทียบ, พิมพ์ครั้งที่ 8 (กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พส์ ขุ ภาพใจ, 2542), หน้า 328. 6 เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ 344. ศาสนาขนั้ แนะนา | 239
11.2.3 การเผยแผศ่ าสนา ในการเผยแผ่ศาสนาของพระเยซูคริสต์ นอกจากพระองค์จะสอนธรรมง่ายๆ แต่ ลึกซึ้งและกินใจแล้ว พระองคม์ ีคุณลักษณะพิเศษ คอื มีความสามารถในการรักษาโรค พระเยซู จะรักษาโรคควบคู่ไปกับการสอนธรรมทุกคร้ัง จึงปรากฏว่าการเผยแผ่ธรรมของพระเยซู ได้ผลเร็ว พระองค์ออกเดินทางท่องเท่ียวประกาศพระธรรมคาสอนบริเวณชายฝ่ังแม่น้า จอร์แดน ผู้ที่ศรัทธาเล่ือมใสในคาสอนของพระองค์ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนยากจน เช่น เป็นชาวประมง ช่างไม้ ซ่ึงอาศัยอยู่ในชนบทท่ีทุรกันดาร เพราะพระองค์ไม่สามารถจะเข้าไป เผยแผ่ในเมืองใหญ่ได้ พระองค์ไม่พยายามประกาศธรรมอันลึกซ้ึง แต่พยายามให้คนท่ัวไป เขา้ ใจคาสอน ซง่ึ เปน็ คาสอนทฟี่ ังแล้วเขา้ ใจงา่ ยๆ คาสอนของพระองคบ์ างครั้งก็ขัดแย้งกบั ความเช่ือเกา่ จึงทาให้พระองคม์ ีท้ังคนรัก เลื่อมใส และมีศัตรูมากเช่นเดียวกัน ศัตรูก็คือพวกศาสนายิวหรือยูดาห์ ซ่ึงเห็นว่าคาสอนของ พระองค์ผิดแผกแตกต่างจากหลักคาสอนของโมเสส ทั้งๆ ที่พระเยซูรับรองว่าไม่มีเจตนาจะ ลบล้างทาลายบัญญัติหรือคาสอนของศาสนายิวเดิม แต่จริงๆ แล้วคาสอนของพระเยซูก็ขัดแย้ง กับหลักคาสอนของโมเสสหลายข้อ เช่นโมเสส สอนให้สามีภรรยาหย่าขาดจากกันได้ แต่พระเยซูไม่สอนให้มีการหย่าขาดจากความเป็นสามีภรรยากัน โดยพระเยซูให้เหตุผลว่า เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมกับอวี าให้เป็นเพื่อนชีวิตอยู่ด้วยกันได้ ไม่ได้ทรงอนุญาตวา่ จะให้เลิกใช้ ชวี ติ รว่ มกนั ได้ เมือ่ ใดพระเจ้าสร้างอีวาโดยดึงเอาซโี่ ครงซห่ี นงึ่ ของอาดัมมาสร้าง จึงถอื วา่ ผัวเมีย เป็นคนคนเดยี วกนั ผวั เมยี จะแยกกนั ไม่ได้ เปน็ ต้น7 11.2.4 สาวกสาคญั ในการประกาศศาสนาของพระเยซนู ้นั มีพระสาวกท่เี ป็นกาลงั สาคญั 12 คน คอื 1) ซมี อน หรอื เปโตร 2) อนั เดรอา หรอื องั ดรูว์ เปน็ น้องชายของเปโตร 3) ยาโคโบ 4) โยฮัน น้องชายยาโคโบ 5) ฟลิ ปิ ส์ 6) บารโ์ ธโลมาย 7) โธมัส 7) มทั ธาย 8) ยาโคโบ บตุ รของอาละฟาย 9) เลบบายส์ หรอื ธาดาย 10) ซีมอน ชาวคานาอนั 7 มหาวิทยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อรเ์ นีย, DF 404 ศาสนศกึ ษา, หน้า 325. 240 | ศาสนาคริสต์
11) ยดู าห์ อสิ การิโอด8 ในบรรดาสาวกทั้งหมดน้ี โยฮัน กับมัทธาย เป็นบุคคลท่ีมีความสาคัญในการ เขียนคมั ภรี ์ไบเบลิ (คัมภีร์ใหม่) และเขียนประวัติต่างๆ ของพระเยซู ส่วนสาวกคนสุดท้ายท่ีช่ือ ว่า ยดู าห์ อสิ การิโอด น้นั เป็นผู้ทรยศตอ่ พระเยซู โดยการรับสินบน และเปน็ ผู้ชี้องค์พระเยซูให้ โรมนั จับ สดุ ทา้ ย ยดู าห์ อิสการโิ อด อดสตู อ่ พฤติกรรมอนั เลวร้ายของตวั เอง จงึ แขวนคอตาย9 12.2.5 การสิน้ พระชนม์ พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนในเวลาเท่ียงและสิ้นพระชนม์ในเวลาบ่ายวันน้ัน ท่ีภูเขาเหนือเมืองเยรูซาเลม คาวิงวอนสุดท้ายที่พระเยซูตรัสต่อพระเจ้าซ่ึงพระเยซูเรียกว่า พระบิดาเสมอนั้น มีวา่ \"ขอพระบิดาได้โปรดประทานอภัยให้แก่คนที่ทาร้ายครั้งนี้ เพระเขาไม่รู้ ว่าเขาทาอะไรลงไป\" พระคมั ภรี ์บันทึกไว้ว่า หลังจากพระเยซูได้สิ้นพระชนม์แล้ว 3 วัน พระองค์ ได้ทรงกลบั คืนชีพและเสดจ็ สสู่ วรรค์10 11.3 คัมภีร์ในศาสนา คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ คอื คมั ภรี ไ์ บเบลิ (Holy Bible) คาวา่ Bible มาจากภาษา ละตินและภาษากรีกว่า Biblia แปลวา่ หนังสือหลายเล่ม (The Books) เป็นคาพหูพจน์ของ คาว่า Biblion คัมภีร์ไบเบิลเป็นการเขียนขึ้นของมนุษย์โดยการดลใจจากพระเจ้า ชาวคริสต์ ถือว่าศักด์ิสทิ ธเิ์ พราะเป็นพระวาจาของพระเจา้ แบ่งออกเปน็ 2 ตอนใหญๆ่ คือ 11.3.1 พระคัมภรี ์เก่า หรือ พันธสญั ญาเดมิ (Old Testament) พระคัมภีร์เก่าได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นคัมภีร์ศักด์ิสิทธิ์ร่วมกันทั้งศาสนายิว และศาสนาคริสต์ บันทึกเป็นภาษาเฮบรูโบราณ ภายหลังได้แปลเป็นภาษาละตินและ ภาษาอังกฤษ แบง่ เป็น 3 ตอน คือ (1) เพนทาทุก (Pentateuch) แปลวา่ \"หนงั สือ 5 เล่ม\" บางคร้ังเรียกว่า คัมภีร์โตราห์ (Torah) แปลว่า \"กฎหมาย\" เป็นคัมภีร์ส่วนท่ีได้บันทึกไว้ถึงการกระทาและ กฎเกณฑ์ต่างๆ ท่ีพระเจ้าได้ทรงกาหนดให้ชาวยิวยึดถือปฏิบัติ อาจกล่าวได้ว่า เพนทาทุกเปน็ หนงั สือที่มีเน้ือหาเกยี วกับการเร่ิมต้นของชาวยิว แบ่งออกเป็น 5 เล่ม คือ (1.1) ปฐมกาล (Genesis) มีเน้ือหากล่าวถึงความเป็นมาของ จักรวาลและมนุษยชาติรวมทั้งเร่ืองราวของมนุษย์คู่แรก คือ อาดัมและอีวา เรื่อยมาจนถึง 8 หลวงวจิ ิตรวาทการ, ศาสนาสากล เล่มที่ 1, หน้า 122. 9 มหาวิทยาลยั ธรรมกาย แคลิฟอรเ์ นยี , DF 404 ศาสนศกึ ษา, หนา้ 327. 10 หลวงวิจติ รวาทการ, ศาสนาสากล เล่มท่ี 1, หน้า 135. ศาสนาขั้นแนะนา | 241
อบั ราฮัมได้ทาสัญญาพเิ ศษต่อพระเจ้า สัญญานไ้ี ด้สบื ทอดต่อมาในบรรดาลกู หลานของอบั ราฮัม ซง่ึ เป็นตน้ ตระกลู ของชาวอิสราเอลนัน่ เอง (1.2) อพยพ (Exodus) มีเน้ือหากล่าวถงึ เร่ืองท่ีพระเจ้าได้ช่วย ชาวอิสราเอลให้รอดพน้ จากการเป็นทาสในประเทศอยี ปิ ต์ โดยทรงมอบหมายใหโ้ มเสสเปน็ ผู้นา ชาวอิสราเอล ออกมาสู่ความเป็นอสิ ระ นอกจากนนั้ พระเจ้ายังทรงสาแดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏ แก่สายตาของชาวอิสราเอลด้วย เช่น การช่วยให้ชาวอิสราเอลรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวก อียิปต์ท่ีทะเลแดง เป็นต้น จากนั้นก็กล่าวถึงพันธสัญญาที่พระเจ้ามอบหมายให้แก่ชาวอิสราเอล ผ่านโมเสสท่ีภูเขาซิไน เรียกวา่ \"บัญญตั ิ 10 ประการ\" (1.3) เลวีนิติ (Leviticus) มีเนือ้ หากล่าวถึงวธิ ีประกอบศาสนพิธี ในกรณีตา่ งๆ รวมทั้งกฎข้อห้าม โดยเฉพาะกฎที่พระต้องถือปฏบิ ตั ิ อาจกล่าวได้ว่าคัมภีร์อพยพ และเลวีนิติเป็นรากฐานแห่งกฎเกณฑ์ที่จะรักษาไว้ซ่ึงพันธสัญญาที่ชาวอิสราเอลได้ถวายไว้แก่ พระเจา้ (1.4-1.5) กันดารวิถี (Numbers) และเฉลยธรรมบัญญัติ (Deuteronomy) ทัง้ สองเล่มมเี นอ้ื หากล่าวถงึ ประวัติของชาวอิสราเอลที่ เร่ร่อนอยู่นานถึง 40 ปี จนได้เข้าไปสู่ท่ีราบโมอับ และในท่ีสุดก็จะได้เข้าสู่ดินแดนคานาอันซึ่งถือเป็นดินแดนแห่ง พันธสญั ญา (Promised Land) (2) ศาสดาพยากรณ์ (Prophets) เปน็ บันทึกเร่ืองราวคาสอน และคาทานาย ของศาสดาพยากรณ์ของชาวยิวซ่ึงเกิดข้ึนในสมัยต่างๆ กัน แบ่งเป็นบทย่อยได้ถึง 21 ตอน โดยเน้ือหาสาระแล้วอาจแบ่งเป็นภาคใหญ่ ๆ ได้ 3 ภาค คือ ภาคประวัติศาสตร์ ภาคศาสดาพยากรณ์ และภาคศาสดาพยากรณ์ยอ่ ย (เพราะเรอ่ื งราวของศาสดาพยากรณ์เหล่าน้ี มีน้อยกว่า) (3) ฮาจิโอกราฟา (Hagiographa) เปน็ สว่ นทีไ่ มอ่ าจจดั อยูใ่ นประเภทท่ีกล่าว มาแล้วข้างต้นเป็นเร่ืองทั่วไป เช่น เป็นวรรณคดีหลักของพันธสัญญาเดิม ท่ีมีความไพเราะใน เชิงกวสี งู ไดแ้ ก่ เพลงสดดุ ี สภุ าษติ เพลงครา่ ครวญ และเปน็ พงศาวดาร เป็นต้น11 11.3.2 พระคมั ภรี ์ใหม่ หรอื พันธสัญญาใหม่ (New Testament) พระคัมภีร์ใหม่นี้เป็นที่ยอมรับนับถือกันเฉพาะในศาสนาชาวคริสต์เท่าน้ัน ส่วน ศาสนายวิ จะไมย่ อมรบั พระคัมภีร์ใหมน่ ้ี โดยพระคมั ภีร์ใหม่แบง่ เป็น 4 ตอน ดงั ต่อไปน้ี (1) พระวรสาร (The Gospels) มีเนอ้ื หาเกยี่ วกับการเทศน์สอนของ เหล่าพระสาวกเพื่อยืนยันส่ิงที่พวกเขาได้ประสบมาในขณะมีชีวิตอยู่ร่วมกบั พระเยซู และยืนยัน ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิอาห์และเป็นบุตรของพระเจ้า ดังนั้น พระวรสารจึงเป็นหนังสือ 11 เสรี พงศ์พิศ, ศาสนาคริสต์ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เอดิสัน, 2529), หน้า 134-136. 242 | ศาสนาครสิ ต์
ที่เกย่ี วกบั ชีวิต และคาสอนของพระเยซู เป็นหนังสือที่เป็นหลักฐานยืนยันและพิสูจน์ว่าพระเยซู เปน็ บตุ รของพระเจ้า แบ่งออกเปน็ 4 คมั ภรี ์ คือ (1.1) พระวรสารของนักบุญมัทธิว (มธ.) มีจานวน 28 บท กล่าวถึงกาเนิดของพระเยซู การเทศนาส่ังสอนโดยเฉพาะ \"การเทศนาบนภูเขา\" ซึ่งถือเป็น คาสอนเก่ียวกับการปฏิรูปแนวทางดาเนินชีวิตของมนุษย์ครั้งแรกของพระเยซู เทศนาบทน้ี นบั เปน็ ตอนทมี่ เี นื้อหาไพเราะทส่ี ุดในงานนพิ นธข์ องนกั บุญมทั ธิว (1.2) พระวรสารของนกั บุญมาระโก (มก.) หรือมาร์ค (Mark) มี จานวน 16 บท มีเนื้อหาที่เน้นเฉพาะการเป็นพระเมสสิอาห์ของพระเยซูมากกว่าเน้นเสนอ คาสอน (1.3) พระวรสารของนกั บุญลูกา (ลก.) หรือลูค (Luke) มีจานวน 24 บทเน้นเฉพาะในเร่ืองคาสอนของพระเยซู แต่มีการจัดลาดับเหตุการณ์ต่างๆ ตามแบบ พระวรสารของนกั บุญมัทธวิ (1.4) พระวรสารของนักบุญยอห์น (ยน.) มีจานวน 21 บท เน้น การประกาศว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิอาห์หรือพระคริสต์ เพ่ือมาไถ่บาปมนุษย์ด้วยการรับ ทรมานต่างๆ จนต่อมาได้กลับคืนชีพ และได้ส่งสาวกออกไปประกาศคาสอนพร้อมด้วยพระจิต ของพระเจ้าและอานาจในการยกบาป นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ ซ่ึงเปน็ ส่วนหน่ึงในภารกิจของพระเยซู เช่น ศีลล้างบาป ศีลมหาสนิท และศีลอภัยบาป ซึ่งต่อมาได้ กลายเป็นพิธกี รรมอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ของศาสนาคริสต์ พระวรสารท้ัง 3 เล่มข้างต้นมีเนือ้ หาท่ีคล้ายคลึงกนั มาก แตกต่างจากพระวรสาร ของนักบุญยอห์นซ่ึงเน้ือหาบางส่วนท่ีมีลักษณะเฉพาะตนและไม่ปรากฏในพระวรสารเล่มอื่นๆ เพราะท่านผทู้ ีใ่ กล้ชิดและใชช้ ีวติ ร่วมกับพระเยซูมากทีส่ ดุ จึงรหู้ ลกั คาสอนตา่ งๆ มากมาย12 (2) หนังสือกิจการของอคั รทูต (The Acts of the Apostles) มีเน้ือหา กลา่ วถงึ การเผยแผ่ศาสนาธรรมของอัครสาวก หลังจากพระเยซูส้นิ พระชนม์แลว้ โดยการเผยแผ่ ธรรมนอี้ คั รสาวกไดท้ าเหตุอัศจรรย์หลายอย่างให้ปรากฏแก่หมู่ประชาชน เพราะพวกท่านได้รับ มอบอานาจจากพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์ ทาให้มีผู้นับถือเลื่อมใสเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแผ่ศาสนธรรมของท่านเซนต์ปอลและเซนต์ปีเตอร์ มีส่วนทาให้ ครสิ ตศาสนาได้แพร่หลายออกไปจนถงึ ตา่ งแดน ไมไ่ ด้จากดั เฉพาะชนชาติยิวเทา่ น้ัน13 (3) จดหมายของบรรดาสาวก (The Pauline and Catholic Epistles) เป็นจดหมายของบรรดาสาวกต่างๆ ที่ส่งไปถึงชาวคริสต์ในที่ต่างๆ มีท้ังหมด 21 เล่ม ตัวอย่างเช่น 12 เรื่องเดยี วกัน, หน้า 153-156. 13 เร่อื งเดียวกนั , หนา้ 158. ศาสนาขั้นแนะนา | 243
(3.1) จดหมายของนักบุญเปาโล (The Pauline Epistles) ท่ีเขียน ถงึ ชาวคริสต์ในท่ีต่างๆ เช่น ชาวคริสต์ในกรุงโรม คริสตจักรในเมืองโครินธ์ คริสตจักรในแคว้น กาลาเทีย และศิษย์ช่ือทิโมธี เปน็ ต้น มีทั้งส้ินรวม 13 ฉบับ มีเนื้อหาแสดงความคิดเห็นและ ตคี วามคาสอนของพระเยซู (3.2) จดหมายของนักบุญยาโคบ (James หรือ Jacob) ผู้เป็น ญาติผู้น้องของพระเยซูเขียนถึงชาวยิวในดินแดนต่างๆ เช่น ซีเรีย และอียิปต์ แสดงแนวทาง ปฏบิ ัติตา่ งๆ เพ่ือช่วยเหลอื เพอ่ื นมนษุ ย์ (3.3) จดหมายของนักบุญยอห์น (John) ที่เขียนขึ้นโดยมิได้ระบุ ผู้รับจดหมาย มเี น้อื หาแสดงประสบการณ์ทางศาสนาของท่าน (3.4) จดหมายของยูดา (Jude) ที่เขียนขึ้นเพื่อเตือนชาวคริสต์ให้ ตระหนักถึงความหลงผิดและการถูกชักจูงโดยนักเทศน์จอมปลอม และกล่าวถึงการลงโทษของ พระเจา้ (3.5) จดหมายของนักบุญเปโตร (Peter) ที่เขียนถึงชาวคริสต์ เชื้อสายยิว ที่มีอยู่ตามแคว้นต่างๆ นอกดินแดนปาเลสไตนเ์ พื่อให้อดทนต่อการถูกเบียดเบียน และความทกุ ข์ทรมานโดยยึดแนวทางของพระเยซูเป็นแบบอยา่ ง14 (4) หนงั สือวิวรณ์ (Revelation) เปน็ หนังสือท่ีกล่าวถึงการเปิดเผยของ พระเจา้ ผา่ นทางบรรดาประกาศก โดยได้กล่าวถึงชัยชนะของพระเจ้าและการสถาปนาอาณาจักร สวรรค์ โดยพระองคท์ รงเลอื กนักบญุ ยอห์นให้เป็นพยานในพระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยาน ของพระเยซูคริสต์ในทุกเหตุการณ์ที่ท่านได้พบเห็น และมีเนอ้ื หาเก่ียวกับการพยากรณ์เรื่องราว ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อถึงวันท่ีโลกถึงเวลาแตกดับ พระเจ้าจะเสด็จมาอีกคร้ังหน่ึงเพ่ือ พิพากษาโลก ผทู้ าตามพระบัญญัติเท่านั้นท่ีจะมีสิทธ์ิอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า ผู้ทาลายโลกและ ผอู้ ยู่นอกคาสอนของพระเจ้าจะต้องถูกทาลายล้าง หนงั สือวิวรณ์มีลักษณะเป็นวรรณกรรมที่มุ่ง สรา้ งศรทั ธาให้ทาความดแี ละเว้นการทาความช่ัว15 จากทกี่ ลา่ วมาข้างตน้ สรปุ เปน็ แผนภมู ิ เพ่อื ความเขา้ ใจงา่ ยดังน้ี 14 เร่อื งเดียวกัน, หน้า 160-165. 15 Robert E. Van Voorst, Anthology of World Scriptures (Canada : Wadsworth Thomson Learning, 2003), p.246-248. 244 | ศาสนาครสิ ต์
คมั ภรี ์ พระคมั ภีร์เกา่ พระคมั ภรี ์ใหม่ เพนทาทุก พระวรสาร ศาสดาพยากรณ์ หนังสือกิจการของอคั รทูต จดหมายของบรรดาสาวก ฮาจิโอกราฟา หนงั สอื วิวรณ์ แผนภูมิภาพที่ 11-1 คมั ภีรใ์ นศาสนาครสิ ต์ 11.4 หลักคาสอนสาคญั หลักคาสอนของศาสนาคริสต์เป็นคาสอนที่แสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งพระเจ้ากับ มนษุ ยแ์ ละจริยธรรมทางสงั คม โดยมหี ลกั คาสอนสาคญั ดงั ต่อไปน้ี 11.4.1 หลกั ตรเี อกานภุ าพ (Trinity) คาว่า \"ตรีเอกานุภาพ\" ได้แก่ ความเช่ือว่าพระเจ้าทรงมี 3 ภาค ในองค์เดียวกัน ได้แก่ พระบิดา (The Father) พระบุตร (The Son) และพระจิต หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ (The Holy Spirit) โดยมคี วามหมาย ดังต่อไปน้ี (1) พระบดิ า หมายถงึ พระเจ้าผสู้ ถติ อยู่ในสวรรค์ ทรงสร้างโลก มนษุ ย์ และสรรพสงิ่ ทรงรกั มนุษย์มากกว่าส่ิงมชี วี ิตอน่ื ๆ เปรยี บเหมอื นบดิ าท่ีมีความรกั ในบตุ ร (2) พระบุตร หมายถึง พระเยซูคริสต์ซึ่งมีฐานะเป็นพระบุตรของ พระเจ้า ผู้เสด็จลงมาเกิดในโลกเพ่ือไถ่บาปแกม่ นุษย์ผหู้ ลงผิดให้กลับคนื ไปหาพระเจ้า ทรงมี ธรรมชาติแท้จริงเป็นพระเจ้า แต่เม่ือทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ก็ทรงทนทุกข์ทรมานเช่นมนุษย์ ศาสนาขนั้ แนะนา | 245
ทั้งหลาย ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพ่ือไถ่บาปแก่มนุษย์และทรงฟื้นขึ้นจากความตาย เช่นเดยี วกับพระเจา้ ผู้ทรงอยูเ่ หนอื ความตาย (3) พระจิต หรือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึง พลังอานาจของ พระเจ้า อนั เป็นพลังแห่งความรักที่เชื่อมระหวา่ งพระบิดากับพระบุตรเข้าด้วยกัน และเปน็ พลัง อานาจของพระเจ้าที่ทรงแสดงต่อมนุษย์เพ่ือดลใจให้มนุษย์ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของ พระเจ้า พระคริสต์ธรรมใหม่ได้กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่หลายตอน เช่น ตอนที่ทูต สวรรค์ได้แจ้งให้มารีย์ทราบว่า นางจะต้ังครรภ์ด้วยอานาจของพระเจ้า เป็นต้น หลังจากที่ พระเยซทู รงฟน้ื คนื พระชนมแ์ ละเสดจ็ ขนึ้ สู่สวรรคแ์ ล้ว พระวญิ ญาณบริสทุ ธ์ยิ ังคงมบี ทบาทอยูใ่ น โลกนเี้ พ่ือช่วยเหลอื มวลมนุษยแ์ ละนาทางมนษุ ยใ์ หป้ ระจกั ษใ์ นอานาจของพระเจา้ 16 11.4.2 หลักความรกั (Love หรอื Agape) หลักความรักเป็นหลักคาสอนทางจริยธรรมที่สาคัญที่สุดของศาสนาคริสต์ หมายถึง ความเป็นมิตรและความปรารถนาให้ผู้อ่ืนมีความสุข พระคริสต์ธรรมเก่าและ พระคริสต์ธรรมใหม่ กล่าวถึงความรัก 2 ประเภท ได้แก่ ความรักระหว่างมนษุ ย์กับพระเจ้า และความรกั ระหวา่ งมนุษยก์ ับมนษุ ย์ ในพระคริสต์ธรรมเก่า ความรักเป็นเรื่องของความผูกพันระหว่างพระเจ้ากับ ชนชาติอิสราเอลโดยที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ความรักแก่ชนชาติอิสราเอลก่อน จากน้ัน ชาวอิสราเอลจึงสนองตอบความรักของพระเจ้าโดยการศรัทธาต่อพระเจ้าและปฏิบัติตาม แนวทางท่พี ระเจ้าทรงวางไว้ ส่วนในพระคริสต์ธรรมใหม่ คาสอนเรื่องหลักความรักนั้นกาหนดให้พระเยซูเป็น สัญลักษณ์ของความรักสูงสุดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ เห็นได้จากการท่ีพระเยซูทรงยอม สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อให้ผมู้ ีศรัทธาในพระองคจ์ ะได้พ้นจากความผิดบาป โดยพระเยซู ทรงสอนให้มนษุ ย์เผอื่ แผค่ วามรักไปรอบด้าน ไม่เลือกท่ีรักผลักท่ีชัง หลักคาสอนสาคัญนม้ี ีอยู่ ในบทเทศนาบนภูเขาแสดงถึงความรักระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ซ่ึงแสดงออกได้โดยความเมตตา กรุณาและความเสียสละ ส่วนความรักท่ีมนุษย์มีต่อพระเจ้าแสดงออกโดยความศรัทธาที่มีต่อ พระเจ้า เช่น ศรัทธาว่าพระเจ้าคือพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว ศรัทธาว่า พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ศรัทธาว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ศรัทธาว่า พระเยซเู ปน็ พระผชู้ ่วยใหร้ อด และศรัทธาในอาณาจกั รของพระเจ้าทีก่ าลังจะมาถึง17 16 เสรี พงศ์พิศ, ศาสนาคริสต,์ หนา้ 247-248. 17 ภัทรพร สิริกาญจน, ความรู้พื้นฐานทางศาสนา, พิมพ์คร้ังที่ 4 (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2546), หน้า 70-71. 246 | ศาสนาคริสต์
11.4.3 อาณาจักรของพระเจา้ อาณาจักรของพระเจา้ หมายถึง หลกั การดาเนนิ ชีวิตที่แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ และ ช่วยยกระดับจิตของผู้ท่ียอมรับคาสอนและปฏิบัติตามให้สูงขึ้น คาสอนของพระเยซูทรงเนน้ ให้ มนุษย์มุ่งหวังชีวติ ท่ีดีกว่า คือ ชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้าหรือแผ่นดินสวรรค์ โดยอาณาจักร ของพระเจ้ามีความหมาย 2 ประการ คอื (1) อาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้ หมายถึง อาณาจักรของพระเจ้าท่ี มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ในชีวิตน้ี เป็นรากฐานสาหรับอาณาจักรของพระเจ้าในโลกหน้าซึ่ง เรียกว่า แผ่นดินสวรรค์ การที่มนุษย์จะเข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้ได้นั้น จะต้อง ดาเนินชีวิตใหถ้ ูกต้องเหมาะสมตามหลักคาสอนท่พี ระเยซูทรงแสดงไว้ โดยมีความรักในพระเจ้า อยา่ งสดุ จิตสุดใจ และ รักเพ่ือนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ต้องรู้จักสละทรัพย์สมบัติภายนอกและ มีความมานะพากเพียร เพราะอาณาจักรแห่งพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางวิญญาณ ผู้ที่ยังไม่ สามารถสละสมบัตทิ างโลกไดย้ ่อมไมอ่ าจเขา้ ถึงอาณาจกั รของพระเจา้ ได้ (2) อาณาจักรของพระเจ้าในโลกหน้า หมายถึง การเข้าถึงชีวิตนิรันดร หลังจากตายแล้วโดยพระเจ้าจะเปน็ ผทู้ รงตัดสิน ผู้ใดปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองคอ์ ย่าง ครบถ้วน และเชื่อในพระองค์ จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ หรืออาณาจักรของพระเจ้า จะมีชีวิต นิรันดร ไม่มีความทุกข์ใดๆ ตลอดไป ส่วนผู้ฝ่าฝืนบัญญัติจะถูกตัดสินให้ลงนรก ได้รับ ความทกุ ขอ์ ย่างสาหสั จากไฟเผาผลาญ18 11.4.4 พระเจ้าทรงเป็นความจรงิ สูงสุด ศาสนาคริสต์และศาสนายิวมีความเชื่ออย่างเดียวกันว่า พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ เป็นผู้ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ในจักรวาล ไม่มีผู้ใดจะยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ มีคาสอนมากมายที่ พรรณนาลักษณะของพระเจ้าไว้ในฐานะทรงเป็นความจริงสูงสุดเพียงหน่ึงเดียวเท่านั้น ทรงมี คุณลกั ษณะพเิ ศษต่างๆ ดังต่อไปนี้ (1) ทรงเป็นจติ บรสิ ุทธ์ ไมม่ รี ูปรา่ ง (2) ทรงมอี ยูน่ ริ นั ดร ไมม่ ีการเกดิ ไมม่ กี ารตาย (3) ทรงสถิตอยู่ทกุ หนทกุ แห่ง (4) ทรงรอบรู้ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง (5) ทรงมีพลงั อานาจทกุ อยา่ ง (6) ทรงมีอยตู่ ลอดกาล ไม่มเี บอ้ื งต้น ไม่มที ่ีสดุ (7) ทรงบรสิ ุทธท์ิ ุกประการ ไม่มีบาปเลย 18 เสถียร พันธรงั สี , ศาสนาเปรยี บเทยี บ, หน้า 398. ศาสนาขัน้ แนะนา | 247
(8) ทรงมี 3 ภาค เรียกว่า ตรีเอกานุภาพ คือ พระบิดา พระบุตร และ พระจติ หรอื พระวญิ ญาณบรสิ ุทธ์ิ19 ลักษณะพิเศษของพระเจ้าต่างๆท่ีกล่าวมาแล้วในข้างต้น เป็นลักษณะเดียวกันกับ ศาสนาท่ีมีพระเจ้าสูงสุดทุกศาสนา เช่น พระเจ้าในศาสนาอิสลาม และศาสนาซิกข์ เป็นต้น อาจจะตา่ งกนั ตรงช่ือเรยี กพระเจ้าสงู สดุ เท่าน้ัน แต่คณุ ลักษณะพเิ ศษไม่แตกตา่ งกัน 11.4.5 คาเทศนาบนภูเขา คาสอนของพระเยซูท่ีเทศนาบนภูเขา (Sermon on the Mount) นน้ั เปน็ คาสอนท่ี มีระบบมากที่สุด เป็นหลักจริยธรรมท่ีพระเยซูทรงวางไวแ้ กม่ นุษย์ได้ปฏิบัติเพ่ือความสุข เป็น หลักคาสอนท่ีสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางในการดาเนินชีวิตของชาวคริสต์ มีรายละเอียดโดยย่อ ดังตอ่ ไปนี้ (1) การเปน็ ผูม้ ีสขุ คาสอนในตอนน้ี (มทั ธวิ บทท่ี 4 ข้อ 3-12) กล่าวถึงลักษณะของบุคคลผ้จู ะมี ความสุข 8 ประการ โดยแสดงไว้ว่า บุคคลใดก็ตามมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ บุคคลท่ีรู้สึกว่า ตนเองยังมีความบกพร่องและยังไม่ดีพอ เป็นคนมีความโศกเศร้า เป็นคนจิตอ่อนโยน เป็นคน รกั ความชอบธรรม เป็นคนจิตใจกรณุ า เป็นคนจิตใจบริสทุ ธิ์ เปน็ คนสร้างสันติภาพ และเปน็ คน ที่ถูกกล่ันแกล้งข่มเหงเพราะเหตุแห่งความชอบธรรม บุคคลเหล่านี้เรียกได้ว่า ผู้เป็นสุข เนอ่ื งจากไดย้ ึดพระคริสตธรรมเปน็ หลักในการดาเนินชวี ิต (2) การเป็นเกลอื ของโลก คาสอนนี้มุ่งให้มนุษย์ดารงรักษาความดีงามเหมือนเกลือรักษาความเค็ม เพราะถ้ามนุษย์ท้ิงความดีงามไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากเกลือที่หมดรสเค็ม ไม่มีประโยชนแ์ ละไม่มี คณุ ค่าใดๆ (มทั ธวิ บทท่ี 5 ขอ้ 13) (3) บคุ คลผ้เู ป็นความสว่างของโลก คาสอนนี้เป็นการให้กาลังใจแก่ผู้ทาความดี และปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ อย่างม่ันคง ความดีท่ีทาไว้นั้นจะมีผลต่อโลกและผู้อื่น ทาให้ผู้ที่เห็นความดีนั้นสรรเสริญ พระผเู้ ป็นเจา้ ผเู้ ปน็ บิดา เปรยี บเหมอื นกับเม่ือลูกดี บดิ ายอ่ มได้รบั การยกย่องเพราะความดีของ ลกู นนั้ (มทั ธิวตอนที่ 5 ข้อ 14-16) 19 มหาวทิ ยาลยั ธรรมกาย แคลิฟอรเ์ นยี , DF 404 ศาสนศกึ ษา, หนา้ 356-357. 248 | ศาสนาคริสต์
(4) การไม่ไดบ้ ญั ญัติพระธรรมบญั ญัตใิ หม่ คาสอนตอนนี้ พระเยซูตอ้ งการชี้แจงใหบ้ ุคคลทง้ั หลาย (ชาวยวิ ) ในขณะน้ัน เข้าใจว่า การเผยแพร่ศาสนาของพระองค์ไม่ได้เป็นไปเพื่อการล้มล้างหรือยกเลิกพระบัญญัติ เดิมที่ชาวยิวได้นับถือสืบกันมา แต่เป็นการปฏิรูปคาสอนเดิมให้มีความเข้มข้นและสมบูรณ์ ย่งิ ข้นึ (มัทธิวบทท่ี 5 ขอ้ 17) (5) การหา้ มไมใ่ ห้มคี วามโกรธ คาสอนตอนนี้ พระเยซูไดอ้ ธบิ ายขอ้ หา้ มในพระบัญญตั ิเดมิ ที่ว่า อย่าฆ่าคน ให้ ลึกซงึ้ ยงิ่ ขึน้ โดยสอนใหร้ ะวังอารมณ์โกรธทีจ่ ะเกดิ ขน้ึ ในจติ ใจ การฆา่ คนอนื่ จะไม่เกดิ ขึ้น ถ้าไม่มี ความโกรธมากระตุ้น บุคคลจึงต้องระวังไม่ให้เกดิ ความโกรธข้ึน เพราะเมื่อบุคคลมีความโกรธ เกิดขน้ึ ย่อมสามารถจะทารา้ ยหรือฆ่าผ้อู ืน่ ได้ (มทั ธวิ บทที่ 5 ขอ้ 21-26) (6) การห้ามล่วงประเวณี คาสอนตอนนี้ สอนให้งดเว้นแม้กระมั่งการล่วงประเวณีด้วยใจ (การคิดท่ีจะ ล่วงประเวณี) ไม่ใช่งดเว้นเพียงการล่วงประเวณีทางกายและทางวาจาเท่าน้ัน การสูญเสียทาง กายทีเ่ กดิ ขน้ึ กไ็ ม่รุนแรงเท่ากับการสูญเสียทางจิตวญิ ญาณ ดังนน้ั ถา้ ร่างกายของเราส่วนใดส่วน หน่งึ ทาผดิ ทาช่ัว เราควรทาลายร่างกายส่วนนั้นท้ิงเสีย เพราะถงึ จะเสียอวัยวะอย่างใดอย่างหน่ึง ก็ดกี ว่าตัวเราจะต้องลงนรก (มทั ธิวบทท่ี 5 ขอ้ 27-30) (7) การหา้ มหย่าร้าง คาสอนตอนนี้ พระเยซูห้ามไม่ให้คนที่แต่งงานกันหย่าร้างกัน เพราะแต่เดิม น้ันมีการอนุญาตให้บุคคลหย่าร้างกันได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ทาหนังสือหย่ากันก็เป็นการ เพียงพอแล้วนั้น เปรียบเหมือนการเปิดโอกาสให้คนไม่เกรงกลัวต่อบาป การแต่งงานก็จะ เกิดข้ึนเพราะความพอใจ แต่ขาดความรับผิดชอบและการหย่าร้างก็จะมีมากขึ้น (มัทธิวบทท่ี 5 ขอ้ 31-32) (8) การหา้ มสาบาน คาสอนตอนน้ี พระเยซูห้ามไม่ให้บุคคลทาการสาบาน เพราะต้องการสอนให้ บุคคลยึดม่ันในสัจจะและความจริงใจอย่างม่ันคง โดยไม่จาเป็นต้องไปอ้างส่ิงศักดิ์สิทธิ์หรือส่ิง อืน่ ๆ เพื่อเป็นหลักประกันคาพูดของตนเอง คนที่มีจิตใจม่ันคงในคาสอนของศาสนาย่อมไม่ กล่าวคาเท็จ และมีความเช่ือมั่นในตนเองท่ีจะพูด คิด และกระทาทุกอย่างด้วยความซ่ือสัตย์ ม่นั คง (มัทธวิ บทท่ี 5 ขอ้ 33-37) ศาสนาขัน้ แนะนา | 249
(9) การไมโ่ ต้ตอบผูป้ ระทษุ รา้ ย คาสอนตอนน้ี พระเยซูไม่ต้องการให้เป็นคนมีจิตใจอาฆาตแค้น อย่าต่อสู้คน ช่ัว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของเรา ก็ให้หันแก้มซ้ายให้เขาตบด้วย เพราะหากบุคคลยังมีความ อาฆาตแคน้ กไ็ ม่สามารถรักผู้อ่นื และทาดีต่อผอู้ ่ืนได้ หรือแม้แต่ความศรัทธาท่ีมีต่อพระเจ้าก็ไม่ บรสิ ทุ ธิ์ เพราะจิตใจยงั อาฆาตแค้นอยกู่ ็ไมส่ ามารถรกั ใครไดจ้ ริงๆ (มัทธวิ บทที่ 5 ขอ้ 38-39) (10) การรกั ศัตรู คาสอนตอนน้ี พระเยซเู นน้ ให้บคุ คลมีความรักความเมตตาต่อผู้อนื่ แม้ผนู้ ั้น จะเป็นศัตรูกต็ าม (มทั ธิวบทท่ี 5 ข้อ 43-44) (11) การทาความดี คาสอนตอนนี้ พระเยซูต้องการให้บุคคลทาดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ให้ ทาความดีเพ่ือหวังผลตอบแทน เพราะไม่ใช่ความดีที่แท้จริง เน้นให้เป็นผ้ใู ห้มากกว่าเป็นผู้รับ (มทั ธิวบทท่ี 6 ข้อ 1-4) (12) การสั่งสมทรัพยส์ มบัติในสวรรค์ คาสอนตอนนี้ สอนไม่ให้ส่ังสมทรัพย์สมบัติภายนอกกาย แต่ความส่ังสม ความดซี ่ึงจะทาให้ได้ทรพั ยส์ มบตั ใิ นสวรรค์ (มัทธวิ บทท่ี 6 ขอ้ 19-21) (13) การไม่กลา่ วโทษผู้อน่ื คาสอนตอนน้ี สอนไม่ให้กล่าวโทษบุคคลอื่น เรากล่าวโทษผู้อื่นอย่างไร และ เราก็จะถูกกลา่ วโทษเชน่ นน้ั บา้ ง คนส่วนมากไม่ชอบมองดูความผิดของตนเอง มักจะมองวา่ เปน็ ความผิดของบุคคลอื่น จงึ มองไมเ่ ห็นความผิดพลาดของตนเอง (มทั ธบิ ทที่ 7 ขอ้ 1-6) (14) อยากได้ก็ตอ้ งขอ อยากพบกต็ อ้ งหา (ขอ หา เคาะ) คาสอนน้ี สอนว่า พระเจ้าย่อมมีน้าพระทัยเมตตาแก่ผู้ทุกข์ยากท่ีร้องขอ ความช่วยเหลือ พระเจ้าไม่ทอดท้ิงแต่จะประทานสิ่งท่ีดีให้แก่พวกเขา พระองค์ดีต่อพวกเขา อย่างไร พวกเขาก็ควรที่จะดาเนนิ ตามรอยพระองค์ ด้วยการปฏิบัติต่อผู้อ่นื อย่างที่เขาปรารถนา จะให้ผู้อื่นปฏิบัติเช่นน้ันต่อพวกเขา (มัทธิวบทท่ี 7 ข้อ 7-12) เช่นคากล่าวในข้อที่ 8 ว่า \"เพราะวา่ ทุกคนท่ีขอกไ็ ด้ ทุกคนที่แสวงหากพ็ บ ทกุ คนทเ่ี คาะกจ็ ะเปิดให้เขา\"20 จากทก่ี ล่าวมาข้างตน้ สรุปเป็นแผนภูมิ เพื่อความเขา้ ใจงา่ ยดงั นี้ 20 เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ 357-365. 250 | ศาสนาคริสต์
หลักคาสอน หลกั ตรเี อกานภุ าพ อาณาจักรของพระเจา้ หลักความรกั พระเจา้ ทรงเปน็ ความจรงิ สงู สดุ สงู สุด คาเทศนาบนภเู ขา แผนภมู ิภาพท่ี 11-2 หลกั คาสอนในศาสนาคริสต์ 11.5 นิกายในศาสนา ความแตกแยกของคริสตศาสนาได้ค่อยๆ เริ่มข้ึนต้ังแต่คริสต์ศตวรรษท่ี 4-5 เพราะเหตผุ ลทางการเมอื ง สังคม และวัฒนธรรม ในยุคน้ันจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชได้ ทรงย้ายราชธานีไปอยู่ในภาคตะวันออกของอาณาจักร ทรงต้ังชื่อราชธานีน้ีว่า คอนสแตน ดิโนเปิล หรือ กรุงโรมตะวันออก อาณาจักรโรมันจึงแบ่งการปกครองออกเป็น 2 เขต คือ (1) โรมันตะวันตกซึ่งมีศูนย์กลางที่กรุงโรม และ (2) โรมันตะวันออกซึ่งมีศูนย์กลางที่ กรุงคอนสแตนดิโนเปิล ทั้ง 2 เขตต่างก็มีความสาคัญมากเท่ากัน จึงมีความเป็นตัวของตัวเอง ในทางความคิด ประเพณี และวัฒนธรรม โดยโรมันตะวันตกใช้ภาษาละติน ส่วนโรมัน ตะวันออกใช้ภาษากรีก ดังนั้น จึงเกิดการการแข่งขันกันทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม ทาให้มี ผลกระทบต่อศาสนจกั รด้วย21 เมื่ออาณาจักรโรมันตะวันตกได้เร่ิมสลายตัวลงไปในคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 น้ัน อาณาจักรโรมนั ตะวันออกซง่ึ เรยี กว่า ไบแซนไทน์ หรอื ไบแซนทนี กไ็ ด้เขม้ แข็งและเป็นอสิ ระใน ทุกด้าน และเร่ิมแยกอานาจการปกครองของสมเด็จพระสันตะปาปาซ่ึงเป็นประมุขสูงสุดของท้ัง 2 ฝ่าย จนกระทั่งการแตกแยกออกเป็น 2 นิกายใหญ่คร้ังแรกคือ นิกายโรมันคาทอลิกฝ่าย ตะวันตกมีศูนย์กลางท่ีกรุงโรม และนิกายออร์ธอดอกซ์ฝ่ายตะวันออก มีศูนย์กลางที่ 21 เสถยี ร พันธรังสี , ศาสนาเปรียบเทยี บ, หน้า 370. ศาสนาขั้นแนะนา | 251
กรุงคอนสแตนติโนเปลิ และในเวลาต่อมามีการแตกแยกเปน็ นิกายต่างๆ ของคริสตศาสนาคร้ัง สาคญั ครัง้ ท่ี 2 ทาใหค้ ริสตศาสนาเกดิ มีนิกายทสี่ าคญั 3 นกิ าย ดังตอ่ ไปน2ี้ 2 คือ 11.5.1 นิกายโรมนั คาทอลกิ คาวา่ \"คาทอลกิ \" แปลว่า \"สากล\" นกิ ายน้ีมีความเช่ือดั้งเดิมวา่ คริสตศาสนาเปน็ ศาสนาสากล เพราะผู้นับถือนิกายน้ีมีความเชื่อ ปฏิบัติตามคาสอนและประเพณีด้ังเดิม คริสตศาสนาโดยเคร่งครัด ไม่นิยมเปลี่ยนแปลงคาสอนที่มีมาตั้งแต่ด้ังเดิม หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นพวกอนรุ ักษ์นิยมก็ได้ นิกายถอื ว่า สมเดจ็ พระสนั ตะปาปาเปน็ ประมขุ ปกครองชาวคาทอลิกท่ัวโลก โดยมี ศูนย์กลางการปกครองท่ีนครรัฐวาติกันซึ่งเป็นรัฐอิสระต้ังอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศ สาธารณรฐั อติ าลี สมเดจ็ พระสันตะปาปาทรงบริหารงานโดยแบ่งหนว่ ยงานเป็นกระทรวงเหมอื น รัฐทั่วไป และปฏิบัติหน้าท่ีเฉพาะในกิจการเกี่ยวกับคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิกทั่วโลก โดยกระทรวงเหล่าน้ัน มีกระทรวงการปกครอง กระทรวงเผยแผ่ กระทรวงอบรมนักบวช กระทรวงคาสอน และกระทรวงอ่นื ๆ23 11.5.2 นกิ ายออรธ์ อดอกซ์ นิกายนี้แยกออกจากนิกายโรมันคาทอลิกด้วยเหตุผลทางการเมืองและวัฒนธรรม พระสงั ฆราชเป็นประมขุ สงู สดุ ของศาสนจกั ร ประจาอยู่ท่ีกรุงคอนสแตนติโนเปิล ส่วนหลักธรรม ที่สาคัญของนิกายนี้แทบไม่แตกต่างจากนกิ ายโรมันคาทอลิก แต่นิกายน้ีไม่ยอมรับอานาจของ สมเด็จพระสันตะปาปาท่ีนครรัฐวาติกัน แต่ละประเทศมีประมุขทางศาสนาของตน รูปแบบ พิธีกรรม ภาษา การปกครอง และระเบียบท่ีเกี่ยวกับนักบวช เปล่ียนแปลงไป เช่น นักบวชมี สทิ ธิแ์ ตง่ งานได้ เป็นตน้ ปัจจุบนั ผู้นบั ถือนิกายออรธ์ อดอกซม์ ีอย่ใู นกล่มุ ประเทศยโุ รปตะวนั ออก เชน่ กรีซ บัลแกเรยี โรมาเนีย แอลเบเนยี สหภาพโซเวยี ต และแอฟริกาเหนือในประเทศเอธโิ อเปีย นกิ ายออร์ธอดอกซ์ มหี ลักความเชื่อและหลกั คาสอน สรุปโดยย่อ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ยอมรับศีลศกั ดิ์สทิ ธท์ิ ้ัง 7 ประเภท 2) การรับศีลล้างบาป (Baptism) ให้ใช้วิธีจุ่มลงไปในน้า และมักกระทาขณะที่ ผรู้ ับศลี ยังเป็นทารก 3) เดก็ ทารกมักถกู นาไปรว่ มพิธศี ลี มหาสนทิ (Communion) 4) พิธกี รรมสาคญั ในโบสถ์ใชภ้ าษาทอ้ งถนิ่ 22 มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอรเ์ นีย, DF 404 ศาสนศึกษา, หน้า 334. 23 ภทั รพร สิรกิ าญจน, ความรู้พนื้ ฐานทางศาสนา, หนา้ 75. 252 | ศาสนาคริสต์
5) การเคารพบูชารูปเคารพของพระเยซู แม่พระและนักบุญต่างๆ มีอยู่อย่าง แพร่หลาย โดยทารูปเคารพบนแผ่นไม้หรือกระเบื้องขัดที่มีลักษณะแบนไว้สักกระบูชา ท้ังใน บ้านและในโบสถ์ เรียกว่า รูปไอคอน (Icon) 6) นักบวชตามโบสถ์ประจาท้องถิ่นแต่งงานมีครอบครัวได้ แต่บาทหลวง แตง่ งานไม่ได้ 7) มคี วามเช่ือว่าพระเยซู เปน็ พระเจ้าในรา่ งกาย 8) ไมย่ อมรบั อานาจสงู สดุ ของพระสันตะปาปาทกี่ รุงโรม24 11.5.3 นิกายโปรเตสแตนต์ นิกายโปรเตสแตนต์เกดิ ข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2063 โดย มาร์ติน ลูเธอร์ ชาวเยอรมัน ซึ่ง ไม่ยอมรับพฤติกรรมของผ้นู าทางศาสนาของนกิ ายโรมันคาทอลิก โดยเฉพาะการท่ีพระสังฆราช โลภเห็นแก่เงิน จนถึงมีการเปล่ียนแปลงพิธีล้างบาปด้วยการเอาเงินไปให้แก่วัดแทนการ สารภาพ จึงคัดค้านแล้วตั้งนิกายข้ึนใหม่ เพราะการกล้าคัดค้านข้อปฏิบัติของสมเด็จ พระสันตะปาปาทกี่ รงุ โรม จงึ ทาให้นกิ ายมีชอ่ื เรียกว่า \"โปรแตสแตนต\"์ แปลวา่ \"นิกายคัดคา้ น\" นิกายโปรแตสแตนต์แพร่หลายอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือและบางส่วนของทวีป ยุโรป เช่นเยอรมนี อังกฤษ และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เปน็ ต้น มีหลักความเชื่อและหลัก คาสอนโดยสงั เขป คอื 1) มีความเชอ่ื ในเรอ่ื งตรีเอกานภุ าพ 2) เช่ือว่าพระเยซูทรงมีธรรมชาติ 2 ประการ คือ เป็นท้ังพระเจ้าและมนุษย์ ในขณะเดยี วกัน 3) เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีบาปกาเนิด (Original sin) อันนาไปสู่ความพินาศ ทาใหม้ นษุ ย์ตกต่าและเหนิ ห่างจากพระเจา้ 4) เช่ือว่าบาปกาเนิดและความผดิ บาปต่างๆในภายหลังและลบล้างได้โดยการไถ่ บาปของพระเยซู 5) เชื่อว่าพระเยซทู รงคนื พระชนม์และเสด็จกลบั สู่สวรรค์ 6) ไม่ยกย่องแม่พระมารีย์และนักบุญต่างๆที่ว่ามีความสาคัญเทียบเท่าพระเยซู ไมม่ กี ารสักการะบชู าแม่พระและนกั บุญ 7) ปฏิเสธอานาจสทิ ธขิ์ าดของศาสนาจักรที่กรุงโรมในการตคี วามพระคัมภรี ์ 8) ปฏเิ สธอานาจการปกครองของศาสนจกั รทีก่ รงุ โรม 24 เรื่องเดยี วกัน, หน้า 77. ศาสนาข้นั แนะนา | 253
9) ถอื วา่ พระบัญญัติของพระเจา้ เทา่ น้ันทีม่ ีอานาจบังคับสงู สุด แม้คนแต่ละคนจะ เข้าใจพระคัมภีร์แตกต่างกัน แต่ก็มีความศรัทธาต่อคาสอนพ้ืนฐานของศาสนาคริสต์ เช่นเดียวกัน 10) ในด้านเกี่ยวกับพิธีกรรม นิกายโปรเตสแตนต์ให้ความสาคัญต่อศีล ลา้ งบาป (Baptism) และศลี มหาสนิท (Mass) มากกว่าพธิ กี รรมอ่ืนๆ25 นอกจากนกิ ายใหญ่ 3 นิกายน้ันแล้ว ยังมีนกิ ายอน่ื ๆ ท่ีคริสตศาสนิกชนนบั ถือกัน อยู่ท่ัวโลกในปัจจุบันน้ี นิกายเหล่าน้ีจะไม่ขอกล่าวโดยรายละเอียด ประมาณ 16 นิกาย ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) นิกายเอปิสโคปลั (Church of England) เปน็ นิกายของประเทศองั กฤษ 2) นิกายคาทอลกิ ฝร่งั เศส เรียกว่า คณะเยซูอติ (Jesuit) 3) นิกายเควกเกอร์ (Ouaker) 4) นกิ ายดอี สิ ม์ (Deism) 5) นกิ ายมอร์มอน (Mormonism) 6) นกิ ายคริสเตยี นไซแอนส์ (Christian Science) 7) นกิ ายยนู ิเตเรยี น (Unitarianism) 8) นกิ ายพยานพระเยโฮวาห์ (Jehovah’s Witnesses) 9) นิกายเซเวนต์ตี้เดย์ แอดเวนทสิ ต์ (Seventy-day Adventists) 10)นิกายอัสสัมชญั (Assumption) 11)นิกายเซนตค์ าเบรยี ล (Gabriel) 12)นิกายแบปทิสต์ (Baptist) แบ่งแยกออกเป็นแบปทิสต์ย่อยๆ อีกกว่า 10 นกิ าย 13)นิกายคาลวนิ 14)นิกายเพรสไบทเี รยี น (Presbyterian) 15)นิกายเมธอดิสต์ (Methodist) 16)นิกายฟรานซิสกนั ส์ (Franciscans)26 จากท่กี ล่าวมาข้างตน้ สรุปเปน็ แผนภมู ิ เพอื่ ความเข้าใจงา่ ยดงั น้ี 25 เรื่องเดียวกนั , หนา้ 78. 26 อา่ นรายละเอยี ดของนิกายเหล่านี้ไดจ้ าก เสถียร พันธรังสี , ศาสนาเปรียบเทียบ, พมิ พค์ รง้ั ท่ี 8 (กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พส์ ุขภาพใจ, 2542), หน้า 404-416. 254 | ศาสนาครสิ ต์
นิกาย นกิ ายโรมนั คาทอลิก นิกายออรธ์ อดอกซ์ นิกายโปรเตสแตนท์ แผนภมู ิภาพท่ี 11-3 นกิ ายในศาสนาครสิ ต์ 11.6 พธิ กี รรมสาคัญ พิธีกรรมสาคัญของศาสนาคริสต์ เรียกว่า พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ (Sacraments) 7 ประการ คือ 11.6.1 ศลี ล้างบาป หรอื ศีลจุ่ม (Baptism) คริสตศาสนิกชนทุกคนต้องผ่านพิธีศีลล้างบาปเสียก่อนจึงจะเป็นชาวคริสต์ท่ี สมบูรณ์ แต่นิกายโปรเตสแตนต์เรียกพิธีกรรมนี้ว่า ศีลจุ่ม การรับศีลล้างบาปปรับได้คร้ังเดียว เท่าน้ันแลว้ ไมต่ ้องรับอกี จนตลอดชวี ติ แมจ้ ะเปล่ยี นไปนบั ถอื ศาสนาอ่นื แล้ว ในภายหลังกลับมา นับถือศาสนาคริสต์อีกก็ไม่ต้องรับศีลล้างบาป การเรียกพิธีกรรมน้ีว่า ศีลล้างบาป เพราะ คริสตศาสนามีความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีบาปติดตัวมาต้ังแต่เกิด ท่ีเรียกว่าบาปกาเนิด ตามพระคมั ภีรเ์ ก่าแสดงไวว้ ่า บาปนีต้ ิดมาจากบรรพบรุ ษุ ได้แก่มนษุ ย์คูแ่ รกคอื อาดัมและอีฟ การล้างบาปทาได้โดยเอาน้ารดท่ีหน้าผาก จะให้ผู้ใดเป็นผู้ล้างบาปให้ก็ได้ไม่ จาเป็นต้องเป็นชาวคริสต์ด้วยกัน เม่ือเอาน้าเทรดหน้าผากให้กล่าวว่า \"ฉันล้างท่านในนามของ พระบิดา พระบุตร และพระจิต\" นอกจากน้ันเป็นพิธีประกอบอาจทาหรือไม่ทาก็ได้ เช่น การสวดมนต์ รบั ศลี และอดอาหาร เป็นตน้ 11.6.2 ศลี กาลัง (Confirmation) พิธีกรรมน้ีเป็นพิธีท่ีแสดงถงึ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ผู้ให้ศีลกาลัง โดยปกตติ อ้ งมตี าแหน่งเปน็ พระสังฆราช และผู้รับศีลต้องอยู่ในวัยที่รู้เหตุผลแล้ว กล่าวคือ อายุ ระหวา่ ง 9-14 ปี ในการทาพิธี พระสังฆราชจะเอามือท้ังสองวางท่ีศีรษะของผู้รับศีล แล้วเจิม หน้าผากด้วยนา้ มันมะกอกเปน็ รูปกางเขนและประกาศวา่ ผู้รับศีลนัน้ ได้รับความรอดพ้นในนาม ของพระบดิ า พระบตุ ร และพระจิต ศาสนาข้ันแนะนา | 255
11.6.3 ศลี มหาสนิท (Holy Communion) นิกายโรมันคาทอลิกเรียกพิธีกรรมน้ีว่า ศีลมหาสนิท ส่วนนิกายโปรเตสแตนต์ เรียกพิธีกรรมน้ีว่า มิซซา (Missa) เป็นพิธีกรรมเพื่อน้อมจิตระลึกถึงการส้ินพระชนม์บนไม้ กางเขนของพระเยซู บุคคลที่สมควรได้รับศีลน้ี ต้องเป็นผู้ที่เชื่อหรือยอมรับว่า พระเยซูทรง ส้ินพระชนม์บนไม้กางเขนแทนเขา และแสดงว่าเป็นการร่วมกับฝ่ายจิตและวิญญาณระหว่าง พระเยซูกบั ชาวคริสต์ เป็นการยอมรับว่าพระเยซูมาสถติ อยู่ในร่างกายตน กอ่ นเข้าพิธีต้องมีการ เตรียมจิตใจใหม้ ีความซือ่ ตรง แตง่ กายสุภาพ และต้องอดอาหารเพื่อรับศีล ก่อนรับศีลต้องสวด มนต์ภาวนาโดยสวดบทแสดงความเชื่อ และแสดงความวางใจในศีล บทแสดงความทุกข์ของ บาป และความรกั ตอ่ พระองค์ ตลอดจนแสดงความปรารถนาดีท่ีจะรับศลี พระผู้ทาพิธีจะแจกขนมปังและเหล้าองุ่น ซ่ึงมีความหมายถึงเน้ือและเลือดของ พระเยซู ปจั จุบันแจกแต่ขนมปงั เพราะมีผเู้ ข้าร่วมพิธีเป็นจานวนมาก ส่วนนิกายโรมันคาทอลิก ถือวา่ ขนมปังและเหล้าองุ่นเปน็ เนื้อและเลือดของพระเยซูจริงๆ ส่วนนกิ ายโปรเตสแตนต์ถือว่า พระเยซเู สด็จมาประทบั ท่ามกลางพธิ แี ละขนมปังก็คือขนมปัง ไมใ่ ชเ่ นือ้ ของพระเยซู 11.6.4 ศลี แกบ้ าปหรอื อภยั บาป (Confession) ชาวคริสต์เชื่อว่า พิธีกรรมน้ีเป็นการสานึกว่าตนได้ทาบาปลงไป จะต้องไปหา บาทหลวง เพื่อสารภาพถึงการทาความผิดนน้ั และขออภัยโทษจากพระเจ้า บาทหลวงในฐานะ ผู้แทนของพระเจ้าจะเป็นผู้ยกบาปน้ันให้ แต่การท่ีจะได้รับอภัยโทษจากพระเจ้าได้ ก็ต่อเม่ือมี ความสานึกผิดอย่างจริงใจ ส่วนโทษของบาปหรือบาปกรรมท่ีติดตัวไป หาได้หมดสิ้นไปไม่ จนกวา่ จะใชก้ รรมให้หมดส้ินดว้ ยการทาความดี 11.6.5 ศีลเจมิ ผู้ปว่ ย (Holy Unction) พิธีกรรมนี้เป็นพิธีที่ทาเพ่ือให้กาลังใจแก่ผู้ป่วย ศีลนี้จะรักษาโรคทางกายให้ บรรเทาเบาบางหรือให้หายได้ หากพระเจ้าทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่วิญญาณของผู้รับ ศีลน้นั ในการทาพิธีนัน้ พระผู้ทาพิธีจะให้ศีลด้วยการเจิมนา้ มันศักด์ิสิทธิ์ตามร่างกายของผู้ป่วย เช่น ท่ีตา หู จมูก ปาก มือ และเท้าของผู้ป่วย พร้อมทั้งสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าโปรดอภัย บาปอนั ไดก้ ระทาลงไปแลว้ แม้ด้วยอวัยวะดังกลา่ ว 11.6.6 ศีลบวชเป็นบาทหลวง (Ordination) พิธีกรรมน้ีเป็นพิธีที่เจ้าอาวาสในวัดทาให้แก่ผู้เข้าพิธีบวชเพ่ือจะเป็นพระ หรือ บาทหลวงในศาสนาครสิ ต์ และมอบอานาจท่ีจะทาหนา้ ท่ีสงฆ์ต่อไป การเปน็ บาทหลวงในศาสนา คริสต์ถือเป็นกิจอันย่ิงใหญ่และเป็นเกียรติอันสูงส่ง เพราะบาทหลวงจะบาเพ็ญกรณียกิจแทน พระเยซเู พ่อื เป็นสริ มิ งคลของพระเจา้ และเพือ่ ความรอดของวิญญาณ 256 | ศาสนาครสิ ต์
11.6.7 ศีลสมรส (Matrimony) พิธีนี้เป็นพิธีกรรมท่ีแสดงถึงการรวมชายหญิงคู่หนึ่งต่อพระพักตร์พระเจ้าเพ่ือจะ ได้สร้างครอบครัวชาวคริสต์ที่สมบูรณ์ต่อไป สามีภรรยาจะอยู่ร่วมกันได้ต้องมีความรักและ ซื่อสตั ย์ต่อกนั ยอมรับลกู ทกุ ๆ คนที่พระเจา้ ประทานมาให้ พิธีแต่งงานต้องทาตอ่ หนา้ บาทหลวง เจ้าอาวาสหรือผู้แทน และต่อหนา้ พยานอีกสองคน ซ่ึงพิธีจะทาในโรงสวด โดยคูบ่ ่าวสาวหมอบ ลงหนา้ แท่นบูชารับพรจากพระผู้ทาพิธี เป็นการประกาศความรักและความซ่ือสัตย์ระหว่างตน ให้พระเจ้าทรงทราบ27 ศีลทั้ง 7 ประการนี้ ถือปฏิบัติกันทั้งนิกายโรมันคาทอลิก และนิกายออร์ธอดอกซ์ ส่วนนิกายโปรเตสแตนท์นบั ถอื เฉพาะศีลลา้ งบาป และศลี มหาสนทิ เทา่ น้นั 28 11.6.8 พธิ กี รรมอน่ื ๆ นอกจากพิธีกรรมต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ชาวคริสต์ยังทาพิธีกรรมอีกมากมาย ดังต่อไปนี้ (1) การไปโบสถ์ในวันพระ โดยชาวคริสต์ในสมัยแรกๆ จะถือวนั เสาร์เป็น วนั พระ และวันเริ่มต้นของสัปดาห์เหมือนอย่างศาสนายิว เพ่ิงมาเปล่ียนเป็นวนั อาทิตย์ในสมัย ของเซนต์ปอล และถือกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อถงึ วันอาทิตย์ ชาวคริสต์จะไปโบสถ์เพื่อ ปฏิบตั ิศาสนกิจเปน็ การพฒั นาจิตใจ (2) การเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส ชาวคริสต์จะเฉลิมฉลองร่ืนเริงเปน็ การใหญ่ เพราะถือว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเยซู กล่าวคือ นิกายโรมันคาทอลิกและนิกาย โปรเตสแตนต์ถือว่าวันท่ี 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเยซู แต่นิกาย ออรธ์ อดอกซ์ตะวนั ออกถอื วา่ วันเกิดของพระเยซตู กอย่ใู นเดอื นมกราคม (3) เทศกาลแอดเวนต์ (Advent) กอ่ นถึงวันคริสต์มาส 4 สัปดาห์ ชาวคริสต์ จะพากนั อา่ นคมั ภีรพ์ นั ธสญั ญาเดิม เพอ่ื เตรยี มตัวต้อนรับวันครสิ ต์มาส (4) การเฉลิมฉลองวนั อปี ิฟ่านี (Epiphany) หลังจากวันคริสต์มาสผ่านพ้นไป แล้ว 12 วัน ชาวคริสต์จะเฉลิมฉลองเพ่ือระลึกถึงวันท่ีมีนักปราชญ์ตะวันออกมาเยือนพระเยซู ตอนเกดิ ใหม่ (5) การเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ชาวคริสต์จะเฉลิมฉลองเพราะมี ความเช่ือว่า เป็นวันกลับฟื้นคืนชีพของพระเยซู กล่าวคือ ชาวคริสต์เช่ือว่าพระเยซูถูกตรึง ไม้กางเขนส้ินชพี ในเย็นวันศกุ ร์ ครนั้ รุ่งเช้าวนั อาทติ ย์ พระเยซู กฟ็ ้ืนคืนชีพสู่สวรรค์ 27เสรี พงศพ์ ศิ , ศาสนาคริสต,์ หน้า 277-298. 28 ภทั รพร สริ กิ าญจน, ความรพู้ ้ืนฐานทางศาสนา, หนา้ 78. ศาสนาข้นั แนะนา | 257
(6) การเฉลิมฉลองวันเพนตีโคสต์ (Pentecost) หลังจากวันอีสเตอร์ไปอีก 50 เป็นวันที่ชาวคริสต์เฉลิมฉลองถึงวันที่โมเสสได้รับพระบัญญตั ิ 10 ประการ จากพระเจ้าบน ยอดเขาซไี นย์ เป็นตน้ 29 จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ สรปุ เปน็ แผนภมู ิ เพ่อื ความเขา้ ใจง่ายดงั นี้ พธิ กี รรม ศลี ลา้ งบาป/ศลี จุ่ม ศีลเจิมผปู้ ่วย ศีลกาลงั ศลี บวชเป็นบาทหลวง ศีลมหาสนทิ ศีลสมรส ศีลแก้บาป/ศีล พธิ ีกรรมอ่นื ๆ อภัยบาป แผนภูมิภาพท่ี 11-4 พิธกี รรมในศาสนาคริสต์ 29 มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลฟิ อร์เนีย, DF 404 ศาสนศกึ ษา, หนา้ 371. 258 | ศาสนาคริสต์
11.7 สัญลกั ษณข์ องศาสนา ในคริสตศาสนาทุกนิกายใช้ เครอ่ื งหมายเหมอื นกันคอื ไม้กางเขน เพราะ พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเช่นน้ัน คริสตศาสนาจึงถือว่า ไม้กางเขนเป็น สัญลักษณ์แห่งการเสียสละท่ียิ่งใหญข่ องพระ เจ้า อันแสดงถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อ มนษุ ย์ แหล่งท่ีมา : ภาพสญั ลักษณ์ http://religious-studies-mbu.blogspot.com/ 11.8 ฐานะปัจจุบันของศาสนา ศาสนาคริสต์ในปัจจุบันมีผู้นับถือมากท่ีสุดในโลก มีคริสตศาสนิกชนกระจายไป ทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ท้ังนี้ก็เพราะศาสนาคริสต์ มีวธิ กี ารเผยแพร่ดี พร่งั พรอ้ มด้วยบคุ ลากร ทุนทรัพย์ และอานาจ ศาสนาคริสต์ได้ช่ือว่าศาสนาแห่งความรัก พระเยซูเน้นถึงความรักว่าสาคัญ ท่ีสุด มีความรักอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว รักพระเจ้า รักเพื่อนมนุษย์ รักเพื่อนบ้าน รักครอบครัว แล้วจะได้ความรักตอบแทนซ่ึงมีค่ากว่าสมบัติใด ๆ ให้รักโลก ทาตนเปน็ คนของ โลก และก็ด้วยอทิ ธิพลคาสอนดังกล่าวจึงมีหมอสอนศาสนาคริสต์ออกไปเผยแผศ่ าสนาท่ัวโลก ท้ังช่วยจัดตั้งโรงเรียนและโรงพยาบาลควบคู่ไปด้วย เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพราะดาเนินรอยตาม พระเยซูซ่ึงเปน็ ทง้ั หมอกายหมอใจ ช่วยเหลือคนเจบ็ ป่วยทั้งโรคกายโรคใจ ดังน้นั การช่วยเหลือ กนั ในรูปแบบต่างๆ จึงมีอยู่ทั่วไปในหมู่ชาวคริสต์ สะท้อนถงึ อิทธิพลของศาสนาคริสต์ดังกล่าว มาแลว้ แตภ่ ายในศาสนาครสิ ต์เองกลบั แตกแยกกันแบ่งเป็นนิกายใหญ่น้อยมากมาย และ แต่ละนิกายต่างก็ยึดม่ันในปรัชญาของตนไม่ปรองดองเข้าหากัน ท้ังยังไม่มีองค์การใดที่คอย ประสานรอยร้าวได้ ดังนัน้ ศาสนาคริสต์ถึงแม้จะเปน็ ศาสนาใหญ่ แต่ก็อยู่ในฐานะที่รวมกันได้ แคเ่ พยี งหลวมๆ หรอื รปู ลกั ษณ์ภายนอกเท่าน้นั ตลอดทั้งความเจริญก้าวหนา้ ทางวทิ ยาการและ เทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน กม็ ีการขัดแย้งกบั คาสอนในศาสนาคริสต์ จึงทาให้ชาวคริสต์รุ่นใหม่ ไมส่ นใจศาสนาถึงกับประกาศตวั ไม่มศี าสนาและหนั ไปนบั ถอื ศาสนาอนื่ ก็มมี ากขน้ึ ตามลาดบั 30 30 เรอื่ งเดียวกนั , หน้า 372. ศาสนาข้นั แนะนา | 259
แบบฝกึ หัดประจาบทที่ 11 ตอนท่ี 1 ให้นกั ศกึ ษาทาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงหน้าขอ้ ที่ถูกต้องท่สี ุด 1. คาวา่ คริสต์ มีความหมายตรงกันกบั ข้อใด? ข. เมสสอิ าห์ ก. พระเยซู ง. พระเจา้ ค. พระบตุ ร 2. ขอ้ ใดคือสาเหตุความเจรญิ กา้ วหนา้ ของศาสนาคริสต์? ก. คาสอนลึกซ้งึ ข. ความศรัทธา ค. การเผยแพรศ่ าสนาของพระเยซู ง. การเผยแพรข่ องพระสาวก 3. ศาสนาคริสต์ร่งุ เรืองทีส่ ดุ ในยคุ กษัตยิ ์องคใ์ ด? ข. เซนตป์ อล ก. พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ง. พระเจ้าคอนสแตนตนิ ค. พระเจ้าหลุยที่ 14 4. ขอ้ ใดเป็นสาเหตทุ าให้มาร์ติน ลูเธอร์ หมดความอดทน แยกตัวออกไปจากศาสนจักรแล้วตั้ง นกิ ายใหม่? ก. การมอี านาจของโป๊ป ข. การตีความคมั ภรี ข์ องโป๊ป ค. การลา้ งบาปด้วยการเสยี เงนิ ง. ความเบอ่ื หน่ายตอ่ สานักวาตกิ ัน 5. นิกายออรธ์ อดอกซ์ ฝา่ ยตะวันออก มีศนู ย์กลางอยู่ทเ่ี มืองใด? ก. โรม ข. สานักวาตกิ นั ค.คอนสแตนติโนเบลิ ง. มลิ าน 6. นกิ ายใดมีแนวความคดิ เช่นเดยี วกบั พทุ ธศาสนานิกายเถรวาท? ก. โรมันคาทอลิก ข. ออร์ธอดอกซ์ ค.โปรเตสแตนต์ ง. เถรวาทาคาทอลกิ 7. คาว่า โปรเตสแตนต์ มคี าแปลว่าอย่างไร? ข. แตกแยก ก. สากล ง. หวน่ั ไหว ค. คดั ค้าน 260 | ศาสนาครสิ ต์
8. หนงั สอื ช่ือ อพยพ อยู่ในคมั ภรี ต์ อนใด เลม่ ใด? ก. เพนทาทกุ พระคมั ภรี เ์ กา่ ข. ฮาจิโอกราฟา พระคัมภรี เ์ ก่า ค. ศาสดาพยากรณ์ พระคัมภีรเ์ ก่า ง. พระวรสาร พระคมั ภีรใ์ หม่ 9. คาวา่ The Gospels คือชือ่ ของพระคมั ภรี ใ์ ด? ข. พระวรสาร ก. หนังสอื กิจการของอคั รทตู ง. จดหมายของบรรดาสาวก ค.หนังสือวิวรณ์ 10. ข้อใดคือหลกั ศรัทธาของศาสนาคริสต์? ข. ศรทั ธาในวนั สรา้ งโลก ก. ศรัทธาในพระยโฮวาห์ ง. ขอ้ ก และ ค ถกู ค. ศรัทธาในความรกั ของพระเจ้า 11. ขอ้ ใดคอื หลกั ปฏิบัติเพื่อเขา้ ถงึ อาณาจักรของพระเจา้ ในโลกน้ี? ก. ศรทั ธาในพระเยซคู รสิ ต์ ข. รักเพื่อนมนุษยเ์ หมอื นรักตนเอง ค. รกั พระเจา้ อยา่ งสุดจิตสดุ ใจ ง. ข้อ ข และ ค ถูกต้อง 12. พธิ ีกรรมในข้อใดทกี่ ระทาเพยี งครั้งเดยี วในชีวติ แลว้ ไม่ตอ้ งทาอีก? ก. ศีลมหาสนทิ ข. ศีลลา้ งบาป ค. ศลี กาลัง ง. ศีลแกบ้ าป 13. พิธีกรรมใดท่แี สดงถงึ สัมพนั ธภาพระหว่างพระเจ้ากบั มนษุ ย์? ก. ศีลล้างบาป ข. ศีลมหาสนทิ ค. ศีลกาลัง ง. ศีลแกบ้ าป 14. พิธีมซิ ซา ตามความเชื่อของนิกายโปเตสแตนต์ เรยี กว่า พิธกี รรมอะไรใน นกิ ายโรมนั คาทอลิก? ก. ศีลมหาสนิท ข. ศลี ล้างบาปโรมนั ค. ศีลแกบ้ าป ง. ศีลกาลงั 15. พิธีกรรมในขอ้ ใดทเ่ี ปน็ การระลกึ ถงึ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู? ก. ศลี มหาสนทิ ข. ศลี ล้างบาป ค. ศีลกาลงั ง. ศลี แกบ้ าป ศาสนาข้นั แนะนา | 261
16. พลังอานาจทพี่ ระเจา้ แสดงเพือ่ ดลบันดาลใหม้ นษุ ย์กลบั ใจมาปฏบิ ัตติ ามแนวทางของ พระเจ้าเรียกวา่ อะไร? ก. พลังความรัก ข. พระวิญญาณบริสทุ ธิ์ ค. พระจติ ง. ขอ้ ข และ ค ถกู 17. การเจมิ หน้าผากด้วยนา้ มันมะกอกเปน็ รูปไม้กางเขน อยู่ในพิธกี รรมอะไร? ก. ศีลมหาสนทิ ข. ศลี ล้างบาป ค. ศีลแกบ้ าป ง. ศีลกาลัง 18. สาวกคนใดทท่ี รยศต่อพระเยซู? ข. มทั ธาย ก. ซมี อน ง. ยูดาห์ อสิ การดิ โอด ค. ยาโกโบ 19. ขอ้ ใดคอื ข้อขดั แยง้ ระหวา่ งคาสอนของโมเสสและพระเยซู? ก. วันสะบาโต ข. พระเจา้ ค. ความรกั ง. บัญญตั ิ 10 ประการ 20. นกั บญุ ท่านใดได้รับการแต่งต้ังจากพระเยซูใหเ้ ปน็ หัวหนา้ ตอ่ จากพระองค์? ก. เปาโล ข. บักโจ ค. มารโิ อ ง. เปโตร ตอนที่ 2 จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์เก่าและพระคัมภีร์ใหม่ มาพอ เข้าใจ? 2. จงยกตัวอย่างหลักคาสอนของศาสนาคริสต์มา 3 ข้อ และนักศึกษาเห็นด้วยกับ หลักคาสอนข้อใดมากทส่ี ุด เพราะเหตใุ ด? 3. จงอธิบายความแตกต่างของนิกายโรมันคาทอลิก นิกายออร์ธอดอกซ์และนิกาย โปรเตสแตนต?์ 262 | ศาสนาครสิ ต์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131