Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารการเรียนการสอน ศาสนาสากล ม.6

เอกสารการเรียนการสอน ศาสนาสากล ม.6

Published by ราวีญา ซอมัด, 2021-12-29 04:27:29

Description: เอกสารการเรียนการสอน ศาสนาสากล ม.6

Search

Read the Text Version

คัมภีร์พระไตรปิฎกได้รับการจัดพิมพ์ครั้งแรกในประเทศไทยในสมัย พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั โดยจัดพิมพ์เป็นอักษรไทย ในการพิมพ์ครั้งนี้พิมพ์ ไม่ครบชุด โดยมีเพียง 39 เล่มเท่านั้นต่อมาได้มีการจัดพิมพ์จนครบชุด 45 เล่ม ในสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั โดยได้สง่ ไปเผยแผ่ยงั ประเทศต่างๆ ด้วย พระไตรปิฎกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ พระวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และ อภธิ รรมปิฎก โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ (1) พระวินัยปฎิ ก วินั ยปิ ฎก เป็ นเ รื่ อง ขอ งศี ลแ ล ะสิ กข าบ ทต่ าง ๆ ข อง บร รพ ชิ ต มีสาระสาคัญ คือ เป็นข้อห้ามและบทลงโทษ กล่าวคือ วินัยปิฎกแบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ มหาวิภังค์ ภิกขนุ ีวิภงั ค์ มหาวัคค์ จลุ ลวัคค์ และปรวิ าร (2) พระสุตตันตปิฎก สุตตันตปิฎกเป็นประมวลคาสอนท่ัวไปของพระพุทธเจ้าและพระสาว ก แบ่งออกเป็น 5 นกิ าย แตล่ ะนกิ ายมสี าระสาคญั ดังน้ี (2.1) ทีฆนิกาย เป็นพระสูตรขนาดยาว ประกอบด้วยพระธรรม เทศนา 34 เรอ่ื ง (2.2) มัชฌิมนิกาย เป็นพระสูตรขนาดกลาง ประกอบด้วยพระธรรม เทศนา 152 เร่ืองหรือ 153 สตู ร (2.3) สังยุตตนิกาย เป็นการประมวลธรรมตามหมวดหมู่ มสี าระสาคัญเปน็ เร่ืองปฏจิ จสมปุ บาท ขันธ์ อายตนะ และอริยสัจ เป็นต้น (2.4) อังคุตตรนิกาย เป็นประมวลธรรมตามจานวนข้อจากน้อยไป หามาก เช่น หมวดท่ีมีธรรม 1 ข้อ เรียกว่า เอกนิบาต หมวดที่มีหัวข้อธรรมมากท่ีสุด ประกอบดว้ ยธรรม 11 ขอ้ เรียกว่า เอกาทสกนิบาต เป็นตน้ (2.5) ขุททกนิกาย เป็นประมวลธรรมเบ็ดเตล็ด เช่น บทสวดระลึก ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งอันเป็นมงคล 38 ประการ การแผ่เมตตา การประพฤติ พรหมจรรย์ นิทานคตธิ รรมวา่ ด้วยการบาเพ็ญบารมใี นอดีตชาตขิ องพระพุทธเจ้า เป็นตน้ (3) พระอภธิ รรมปฎิ ก อภิธรรมปิฎกเป็นหมวดธรรมลึกซึ้ง ไม่มีท้องเรื่องประกอบเหมือน พระสุตตันตปิฎก กล่าวถึงความจริง 4 เรื่อง คือ จิต เจตสิกหรือคุณสมบัติของจิต รูป และ นิพพานหรือการหลดุ พ้นจากความทุกข์ เป็นต้น 2) คมั ภีร์อรรถกถา ฎีกา และอนฎุ กี า คัมภีร์อรรถกถา ได้แก่ คัมภรี ์ที่อธบิ ายเนื้อความในพระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่ แ ต่ ง ขึ้ น โ ด ย พ ร ะ ภิ ก ษุ ผู้ ท ร ง ค ว า ม รู้ ใ น ท า ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ห ลั ง ส มั ย พุ ท ธ ก า ล ที่ เ รี ย ก ว่ า พระอรรถกถาจารย์ ศาสนาขน้ั แนะนา | 77

คัมภีร์ในระดับรองลงไป ซึ่งเป็นการอธิบายเนื้อความของคัมภีร์อรรถกถาอีกที หนึง่ เรยี กว่า คมั ภีร์ฎีกา พระทเี่ ขียนหนงั สือฎีกาเหล่าน้ี เรยี กวา่ พระฏีกาจารย์ ส่วนคัมภีร์ในระดับสุดท้ายซ่ึงเป็นคัมภีร์ที่อธิบายเน้ือความในคัมภีร์ฎีกาอีกที หนึ่งเรยี กว่า อนุฎีกา พระทีเ่ ขียนหนังสอื ประเภทน้ี ก็เรียกว่า พระอนุฎีกาจารย์ อย่างไรก็ตาม ตามทัศนะของพุทธศาสนานิกายเถรวาท คัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่สาคัญที่สุด และเป็นหลักฐานในการตรวจสอบความถูกต้องของคาสอนในคัมภีร์ หรือหนังสือท่ีแต่งข้ึนมาในภายหลังว่าเป็นคาสอนในพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าเป็นไปตาม พระไตรปิฎกก็นบั ว่าถกู ตอ้ ง หากขดั แย้งก็ถอื ว่าคาสอนน้ันไมถ่ ูกต้อง จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า คัมภีร์ท่ีสาคัญของพุทธศาสนานิกายเถรวาทมี 4 ระดับ คือ พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ท่ีมีความสาคัญที่สุด คัมภีร์อรรถกถาเป็นคัมภีร์ท่ีอธิบาย เน้ือความนพระไตรปิฎก คัมภีร์ฎีกา เป็นคัมภีร์ที่อธิบายเนื้อความในคัมภีร์อรรถกถา และ คมั ภีร์อนฎุ ีกา เป็นคัมภีร์ที่อธิบายเน้ือความในคัมภีร์ฎีกาอีกที่หน่ึง คัมภีร์พระไตรปิฎกจัดเป็น คมั ภีร์ปฐมภูมิ สว่ นคมั ภรี ์อรรถกถา ฎีกาและอนุฎีกา จัดเป็นคัมภรี ์ทุติยภมู ิ 4.3.2 คมั ภีรข์ องพุทธศาสนามหายาน9 คัมภีร์ต่างๆของพทุ ธศาสนามหายานประพันธ์ข้ึนภายหลังพุทธกาล ส่วนใหญ่เป็น ภาษาสันสกฤต และนามาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาอื่นๆในเวลาต่อมา เช่น ภาษาจีน ภาษา ทิเบต ภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น เร่ืองราวทั้งหลายเก่ียวกับพุทธศาสนามหายานได้มาจากข้อมูลใน คัมภีรเ์ หล่าน้ีน้เี อง คมั ภีร์ของพทุ ธศาสนามหายานแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ระดับ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) พระสตู ร พระสูตรเป็นคัมภีร์ที่สาคัญและยอมรับกันมากที่สุด เป็นคัมภีร์ท่ีถือว่าเป็น พระดารัสของพระพุทธเจ้าโดยตรง ในตอนต้นของพระสูตรจึงมีการระบุถึงสถานที่ไม่ว่าจะเป็น โลกมนษุ ยห์ รือบนสวรรคซ์ ่ึงเชอื่ กันวา่ เป็นท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงพระสูตรนัน้ ๆ พระสูตรทเี่ ขียนขึ้นในสมัยหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานเกิน 500 ปี ล้วนเป็นเรื่อง ทแ่ี ตง่ ข้ึนด้วยความเลื่อมใสศรัทธา พระสูตรฝ่ายมหายานทน่ี กั วิชาการท่วั ไปถือว่าประณีตงดงาม ที่สุดทางวรรณกรรม คือ พระสัทธรรมปุณฑริกสูตร และพระสูตรที่มีคาสอนอันลึกซ้ึงท่ีสุดคือ ปรัชญาปารมิตาสูตร ประพันธ์ขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ถึงพุทธศตวรรษท่ี 13 พระสูตร ฝ่ายมหายานที่สาคัญ และถือว่าเป็นพระพุทธดารัสโดยตรง ตลอดจนเข้าใจว่าบันทึกข้ึนใน ครั้งแรกในอินเดีย และถ่ายทอดมาเป็นภาษาจีน มีอยู่ 5 เรื่อง เรียงลาดับตามพุทธประวัติ ฝา่ ยมหายาน คอื 9ภัทรพร สริ ิกาญจน และคณะ, ความรูพ้ น้ื ฐานทางศาสนา, หนา้ 47-48. 78 | พุทธศาสนา

(1) อวตังสกสูตร เป็นพระสูตรท่ีทรงเทศนาในระยะแรกหลังการตรัสรู้ กล่าวถึง สง่ิ ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าตรัสรู้ธรรมกายของพระพุทธเจ้า และจิตมนุษย์ที่มีธาตุพุทธสามารถตรัสรู้เป็น พระพุทธเจา้ ได้ เปน็ ตน้ (2) ไวปลุ ยสูตร เป็นพระสูตรท่อี ธิบายพุทธธรรมอย่างกว้างขวาง (3) ปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นพระสูตรที่อธิบายหลักการเร่ืองศูนยตา คือ ความวา่ งเปลา่ ไรแ้ กน่ สารในตวั เองของสรรพสง่ิ ในจกั รวาล (4) สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นพระสูตรที่สอนถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของพระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์กับพระพุทธเจ้าที่อยู่เหนือโลก ตลอดจนการบรรลุนิพพาน ของมนษุ ยด์ ว้ ยความช่วยเหลอื ของพระโพธสิ ัตว์ (5) มหาปรนิ ริ วาณสตู ร เป็นพระสูตรสุดท้ายท่ีพระพุทธเจ้าแสดงก่อนปรินิพพาน กล่าวถึงธรรมกายของพระพุทธเจ้าอันเป็นอมตะและความสามารถในการเข้าถึงพุทธภาวะหรือ ความเปน็ พระพทุ ธเจา้ ของมนุษย์ทุกคน 2) ศาสตร์ ศาสตร์เป็นงานเขียนของนักปราชญ์ผู้รู้ มีเน้ือหาอธิบายพระสูตร หรือเป็นคัมภีร์ ต่างหากโดยเฉพาะ โดยอาจเขียนขึ้นเองหรือมีผู้อื่นเขียนโดยใช้ช่ือของท่านก็ได้ นักปราชญ์ คนสาคญั ทเี่ รยี บเรียงศาสตรท์ งั้ หลายขึน้ ไดแ้ ก่ นาคารชุนและอารยเทพ (ประมาณ พ.ศ. 750) เป็นผู้ก่อตั้งนิกายมาธยมิกะ และอสังคะและวสุพันธุ (ประมาณ พ.ศ. 1000) ผู้ก่อต้ังนิกาย โยคาจาร เป็นต้น ศาสตร์สาคัญที่เป็นงานประพันธ์ของนาคารชุนได้แก่ มาธยมิกศาสตร์ ทวาทศ นิกายศาสตร์ และมหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ เป็นต้น อารยเทพได้ประพันธ์ศาสตร์ท่ีสาคัญ เชน่ ศตศาสตร์ วสุพนั ธุไดป้ ระพนั ธ์ศาสตร์ท่สี าคัญ เช่น ทศภูมิศาสตร์ และอสังคะได้ประพันธ์ ศาสตร์ที่สาคญั เช่น อภธิ รรมสังยกุ ตสงั คีตศิ าสตร์ เป็นต้น 3) ตนั ตระ ตันตระเป็นคัมภีร์ล้ีลับส่งทอดให้เฉพาะสาวกผู้ผ่านการเลือกสรรเพียงไม่กี่คน ผู้ส่งทอดหรือประสิทธิ์ประสาทตันตระให้คืออาจารย์หรือคุรุ บุคคลผู้ท่ีไม่ผ่านพิธีกรรมรับ สบื ทอดทเ่ี รยี กว่า อภเิ ษก จะไมม่ ีทางไดร้ ูต้ นั ตระ ทัง้ นีเ้ พ่ือไม่ใหค้ นนอกได้ล่วงร้เู นือ้ หาสาระของ ตันตระ ข้อความในตันตระจงึ ใช้ภาษาลับเฉพาะรู้กันเพียงคนวงในเท่านั้น ตันตระเป็นคัมภีร์ที่ประพันธ์ขึ้นประมาณต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา มีท้ังสิ้นประมาณนับพันๆเร่ือง คัมภีร์ตันตระแพร่หลายในนิกายวัชรยานหรือพุทธศาสนาใน ประเทศทิเบตเช่ือกันว่า ตันตระเป็นคัมภีร์หรือคาสอนจากพระพุทธเจ้าในตานานต่างๆ ซ่ึง ส่งทอดมาสู่คุรุเป็นรุ่นๆ สืบต่อกัน ความเช่ือและแนวปฏิบัติในตันตระมักเกี่ยวกับสิ่งล้ีลับ พธิ กี รรม อานาจญาณและอทิ ธฤิ ทธ์ิ เปน็ ต้น ศาสนาขัน้ แนะนา | 79

จากท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าคัมภีร์ท่ีสาคัญของพุทธศาสนามหายานแบ่ง ออกเป็น 3 ระดับตามความสาคัญของคัมภีร์ คือ สูตร ศาสตร์และตันตระ สรุปเป็นแผนภูมิ เพอ่ื ความเข้าใจง่ายดังนี้ พระวนิ ยั ปิฎก พระสตุ ตันตปฎิ ก พระอภธิ รรมปฎิ ก เถรวาท พระไตรปิฎก คัมภรี ์ พระสูตร มหายาน ศาสตร์ ตันตระ แผนภูมภิ าพท่ี 4-1 คัมภรี ใ์ นพุทธศาสนา 4.4 หลกั คาสอนสาคญั ลักษณะคาสอนทเี่ ป็นเอกลกั ษณ์สาคญั ท่ีสดุ ของพทุ ธศาสนา ก็คอื ความมีเหตุมีผล ของคาสอน คาสอนของพระพทุ ธศาสนาทุกคาสอนจึงเป็นเรื่องของความจริงแท้ในธรรมชาติซ่ึง ประกอบด้วยกระบวนการของเหตุและผลทั้งส้ิน แต่เน่ืองจากพระพุทธศาสนามีนิกายท่ีสาคัญ 2 นิกาย คือ พุทธศาสนานิกายเถรวาทและพุทธศาสนานิกายหมายาน ดังนั้น ในส่วนของ หลักคาสอนสาคัญของพทุ ธศาสนา ผูเ้ ขียนจะนาเสนอในรายละเอียดตามหลักคาสอนของนิกาย ท้ัง 2 น้นั ดงั ต่อไปน้ี 4.4.1 หลักคาสอนสาคญั ของพุทธศาสนาเถรวาท 1) ไตรลกั ษณ์ คาสอนเร่อื งไตรลกั ษณ์ หรอื สามญั ลักษณะ เป็นหลักคาสอนที่สาคัญเรื่องหนึ่งของ พระพุทธศาสนา เพราะแสดงถึงกฎธรรมชาติหรือสภาวะของส่ิงท้ังปวง ทั้งท่ีเป็นรูปธรรมและ นามธรรมต้องเป็นไปตามกฎไตรลกั ษณน์ ี้ ไตรลักษณ์เป็นกฎธรรมชาติที่เป็นธรรมธาตุ คือ ภาวะท่ีทรงตัวอยู่โดยธรรมดา เป็นธรรมฐิติ คือ ภาวะท่ีต้ังอยู่หรือยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็นธรรมนิยาม คือ 80 | พุทธศาสนา

กฎธรรมชาติ หรือกาหนดแห่งธรรมดาไม่เก่ียวกับผู้สร้างผู้บันดาล หรือการเกิดข้ึนของศาสนา หรือศาสดาใดๆ กฎธรรมชาติน้ีแสดงฐานะของพระพุทธเจ้าในความหมายของพุทธธรรมใน ฐานะเปน็ ผ้คู น้ พบกฎเหลา่ น้แี ล้วนามาเปดิ เผยชี้แจงแก่ชาวโลก ดังพระพทุ ธพจน์ทีแ่ สดงไวว้ า่ “ตถาคต (พระพทุ ธเจา้ ) ทั้งหลายจะอบุ ัตหิ รอื ไมก่ ต็ าม ธาตุ (หลัก) นั้นก็ยังคงมี อยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง….สังขารท้ังปวง เป็นทุกข์…..ธรรม ทั้งปวง เป็นอนัตตา…..ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ต้ังเป็น หลัก เปิดเผยแจกแจง ทาให้เข้าใจง่ายว่า “สังขารทั้งปวงไม่เท่ียง…สังขารท้ังปวงเป็นทุกข์….. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา…”10 ตามพทุ ธพจนน์ ้ี เราสามารถเข้าใจในความหมายได้ 2 ลกั ษณะคือ 1) สังขารไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ หมายเอาสังขตธรรม คือส่ิงท่ีปัจจัยปรุงแต่งและ เปน็ ไปตามเหตุปัจจัยทกุ อย่างทงั้ ทางวัตถุและทางจิตใจ ท้ังทางรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็น โลกยิ ะและโลกตุ ตระ ทง้ั ที่ดแี ละชั่วและที่เป็นกลางทง้ั หมด ยกเว้นพระนิพพาน 2) ธรรมท้ังปวงเปน็ อนัตตา นัน้ หมายเอาอสงั ขตธรรมคือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุง คอื พระนิพพานเท่านน้ั ดังน้นั ประโยคท่วี ่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาน้ันมีความหมายครอบคลุม ทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม จึงสรุปได้ว่าสังขารท้ังปวงท่ีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเปน็ อนัตตา สว่ นนิพพาน เปน็ อนัตตาอย่างเดยี ว11 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)12 ได้แสดงความหมายของหลักไตรลักษณ์ ไวว้ า่ (1) อนิจจตา (Impermanence) ได้แก่ ความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ ความไม่ยั่งยืน ภาวะทีเ่ กดิ แลว้ เสื่อมและสลายไป (2) ทุกขตา (Stress and Conflict) ได้แก่ ความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วย การเกิดข้ึนและสลายตัว ภาวะท่ีกดดัน ฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยท่ีปรุงแต่งให้มี สภาพเป็นอย่างนั้นเปล่ียนแปลงไปจะทาให้คงอยู่ในสภาพน้ันไม่ได้ ภาวะท่ีไม่สมบูรณ์มี ความบกพร่องอยู่ในตัว ไม่ให้ความสมอยากแท้จริง หรือความพึงพอใจเต็มท่ีแก่ผู้อยากด้วย ตณั หา และก่อให้เกิดทุกข์แก่ผเู้ ขา้ ไปอยากเขา้ ไปยดึ ด้วยตัณหาอุปาทาน (3) อนัตตตา (Soullessness) ได้แก่ ความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ความไม่มีตวั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของมนั ส่ิงทั้งหลายหากจะกล่าวว่ามีก็ต้องมีอยู่ในรูปของกระแสท่ีประกอบด้วยปัจจัยท่ี ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ อันสัมพันธ์เน่ืองอาศัยกัน ที่ประกอบด้วยปัจจัย เกิดดับสืบต่อกันไป 10องฺ.ตกิ . 20/576/368. 11ว.ิ ปริวาร. 8 /257/ 288. 12พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม, พิมพค์ รั้งที่ 9 (กรุงเทพฯ : มหาจฬุ า ลงกรณราชวทิ ยาลัย, 2543), หน้า 68-69. ศาสนาขนั้ แนะนา | 81

อยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย จงึ เป็นภาวะท่ีไม่เท่ียง เม่ือต้องเกิดดับลงไม่คงที่ และเป็นไปด้วยเหตุ ปัจจัยท่อี าศยั ก็ยอ่ มมีความบีบคั้น กดดัน ขดั แย้ง และแสดงถึงความบกพร่องไม่สมบูรณ์อยู่ใน ตวั และเมื่อทุกส่วนเป็นไปในรูปกระแสที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลาขึ้นต่อเหตุปัจจัยเช่นนี้ ก็ย่อมไม่ เปน็ ตัวของตัว มตี ัวตนแท้จรงิ ไม่ได้ ดังนั้น เมื่อบุคคลเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลกันของสรรพส่ิง ย่อมมองเห็นว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นไตรลักษณ์ท้ังส้ิน กล่าวคือ มีลักษณะธรรมดาสามัญ 3 ประการ อันได้แก่ ไมเ่ ท่ยี งแทแ้ นน่ อน (อนิจจงั ) ไมค่ งสภาพ ไม่คงทนตอ่ การถูกบีบค้ัน (ทุกขัง) และไม่มีตัวตน ให้ยึดถือได้ (อนัตตา) ในส่ิงมีลักษณะเช่นนี้ เราก็ย่อมหมดความอยาก หมดความต้องการ ครอบครองหรือยึดมั่นถือมั่นต่อไป จิตใจย่อมเป็นอิสระ เข้าถึงความจริง และบรรลุ ความพ้นทกุ ข์ได้ 2) กฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรมนับเป็นคาสอนที่เป็นสัจธรรมอีกประเภทหนึ่งที่มีความสาคัญมาก เพราะหากไม่มีคาสอนเรื่องกฎแห่งกรรม หลักคาสอนท่ีเป็นจริยธรรมหรือหลักปฏิบัติต่างๆ จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย เพราะกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องของการทาดี การทาช่ัว และผลของการ กระทาทัง้ สองนน้ั ผูเ้ ขียนจะนาเสนอในประเด็น ดังต่อไปน้ี 2.1) ความหมายของกรรม ความหมายของ กรรม มีพระพุทธพจน์รับรองไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรา (พระพุทธเจา้ ) กล่าวว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม เม่ือมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมทากรรมโดย ทางกาย ทางวาจา และทางใจ”13 พระธรรมปฎิ ก (ป. อ.ปยุตโฺ ต)14 ไดใ้ ห้ความหมายไว้ในลักษณะเดียวกันว่า กรรม แปลตามศัพท์ว่า การงานหรือการกระทา แต่ในทางธรรมต้องจากัดความจาเพราะลงไปว่า หมายถึงการกระทาท่ีประกอบด้วยเจตนา หรือการกระทาที่ทาด้วยความจงใจ ถ้าเป็นการ กระทาท่ีไม่มีเจตนา กไ็ มเ่ รียกวา่ เป็นกรรมในความหมายทางธรรม สรุปได้ว่า กรรมในความหมายทางธรรม คือ การกระทาท่ีมีเจตนาหรือมี ความจงใจ ถ้าทาด้วยไม่มีเจตนาไม่เรียกว่า กรรม ส่ิงที่บ่งบอกความเป็นกรรม ก็คือ เจตนา ซึ่งได้แก่ ความจงใจที่จะกระทากรรม เจตนาจึงเป็นตัวนา บ่งช้ีและกาหนดทิศทางแห่ง การกระทาทั้งหมดของมนษุ ย์ 2.2) ประเภทของกรรม 13องฺ.ฉกฺก. 22 /63 /474. 14พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์, (กรงุ เทพฯ : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, 2543), หน้า 4. 82 | พทุ ธศาสนา

ประเภทของกรรมมีคาอธิบายไว้ท้ังในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาซึ่งเป็น อรรถาธิบายของพระไตรปิฎก ดังตอ่ ไปน้ี 2.2.1) ประเภทของกรรมในพระไตรปิฎก ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ได้แบ่งกรรมออกเป็นประเภทต่างๆ หลายลักษณะ คอื จาแนกกรรมตามสาเหตุท่ที าให้เกดิ จาแนกกรรมตามพฤติกรรมที่แสดงออก จาแนกกรรม ตามความสมั พันธ์กบั การใหผ้ ล มรี ายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี 2.2.1.1) ประเภทของกรรมตามสาเหตุทที่ าให้เกดิ กรรมทจ่ี าแนกตามสาเหตุที่ทาใหเ้ กดิ กรรมแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื (1) อกุศลกรรม ไดแ้ ก่ กรรมทเ่ี ปน็ อกศุ ล หรือ การกระทาไม่ดี เป็นกรรมชั่ว เกิดจากสาเหตุฝ่ายช่ัวหรือเรียกว่า อกุศลมูล ได้แก่ ความอยากได้ (โลภะ) ความไม่พอใจ (โทสะ) และความหลงไม่รูค้ วามจริง (โมหะ) (2) กุศลกรรม ได้แก่ กรรมท่ีเป็นกุศล หรือ การกระทาที่ดี เกิดจากสาเหตุ ฝ่ายดีหรือเรียกว่า กุศลมูล ได้แก่ ความไม่อยากได้ (อโลภะ) ความไม่ประทุษร้าย (อโทสะ) และความรคู้ วามจรงิ (อโมหะ)15 2.2.1.2) ประเภทของกรรมตามพฤติกรรมทีแ่ สดงออก กรรมท่ีแบ่งตามพฤติกรรมท่ีแสดงออก มี 3 ประเภท คือ การทากรรมด้วย กาย (กายกรรม) การทากรรมดว้ ยวาจา (วจกี รรม) และการทากรรม (มโนกรรม) (1) กายกรรม ไดแ้ ก่ การกระทาท่แี สดงออกทางกาย (2) วจกี รรม ได้แก่ การกระทาทแี่ สดงออกทางวาจา (3) มโนกรรม ไดแ้ ก่ การกระทาด้วยความคดิ หรือด้วยใจ16 พุทธศาสนาถือว่า มโนกรรมสาคัญท่ีสุด เพราะใจเป็นเคร่ืองกาหนดคาพูด และการกระทา คนเราเม่ือพูดดี ทาดี ก็เพราะคิดดี เมื่อพูดช่ัว ทาช่ัว ก็เพราะคิดช่ัว ความคิด และจิตใจจึงเป็นต้นเค้า หรือมูลเหตุของกรรมในวิธีอ่ืนๆ ดังพุทธพจน์รับรองว่า “ธรรม ทง้ั หลายมีใจเปน็ หวั หน้า มีใจเปน็ เจา้ นาย สาเร็จดว้ ยใจ ถา้ บคุ คลมใี จประทษุ ร้ายเสียแล้ว จะพูด กต็ าม จะทากต็ าม ความชั่วย่อมติดตามเขาไป เหมือนล้อหมุนตามโคที่ลากเกวียน..... ถ้าคนมี จิตใจผ่องใสแล้ว จะพูดก็ตาม จะทาก็ตาม ความดีย่อมติดตามมา เหมือนดังเงาที่ติด ตามตวั ”17 15พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หนา้ 60. 16เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ 84. 17ข.ุ ธ. 25/1/34. ศาสนาขนั้ แนะนา | 83

2.2.1.3) ประเภทของกรรมแบ่งตามความสมั พันธก์ บั การให้ผล กรรมทแ่ี บง่ ตามความสมั พนั ธก์ บั การใหผ้ ล มี 4 ประการ คือ (1) กรรมดา มีวิบากดา หมายถึง การกระทาทางกาย วาจา และทางใจ เช่นการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จและการด่ืมสุราและเมรัย เป็นตน้ มีวบิ ากดา หมายถงึ ส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิ (2) กรรมขาว มวี ิบากขาว หมายถึง การกระทาทางกาย วาจา และทาง ใจ เชน่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไมล่ กั ทรพั ย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม การไม่พูดเท็จและการไม่ ด่มื สุราและเมรยั เปน็ ตน้ มวี บิ ากขาว หมายถึง สง่ ผลให้ไปเกดิ ในสคุ ตภิ ูมิ (3) กรรมทั้งดาทั้งขาว มีวิบากท้ังดาทั้งขาว หมายถึง การกระทาทางกาย ทางวาจา และทางใจที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เช่น การฆ่าสัตว์ การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การเว้นจากการลักทรัพย์ เป็นต้น กรรมท่ีดีและไม่ดีน้ี จะมีผลทั้งดี และไม่ดี ปะปนกันไป (4) กรรมไมด่ าไมข่ าว มีวิบากไม่ดาไม่ขาว หมายถึง การกระทาทางกาย ทางวาจาและทางใจ ท่ีไม่ก่อให้เกิดบุญและบาป เป็นกรรมท่ีอยู่เหนือการให้ผลเช่นเดียวกับ กรรมท้ัง 3 ข้อแรกนั้น หรือกรรมที่เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ปราศจากเจตนา เช่น การกระทา ของพระอรหันต์ เป็นการกระทาที่ไม่ส่งผล ดังน้ันวิบากที่ได้จึงเรียกว่าไม่ขาว ไม่ดา ซึ่งก็ หมายถงึ ภาวะที่ดบั กิเลสไม่เหลือ หรือหมดจดจากกิเลสนัน้ เอง18 2.2.2) ประเภทของกรรมในคัมภีร์อรรถกถา คัมภีร์ระดับอรรถกถาที่อธิบายความเน้ือหาของพระไตรปิฎก ยังมีการแบ่ง ประเภทของกรรมไว้อีกมากมาย ซ่ึงเป็นท่ีนิยมถือตามกันมาและเป็นท่ีรู้จักในยุคหลังๆ เช่น การแบ่งประเภทของกรรมเป็นกรรม 12 หรือกรรม 4 จานวน 3 หมวด ตามการอธิบายความ ในคมั ภรี ว์ ิสทุ ธมิ คั ค์ และคมั ภีรอ์ ภิธมั มตั ถสงั คหะ ดังต่อไปนี้ 2.2.2.1) กรรมจาแนกตามหน้าท่ี กรรมที่จาแนกตามหน้าที่ มจี านวน 4 ประการ คอื (1) ชนกกรรม คือ กรรมทม่ี ีหนา้ ทน่ี าไปเกดิ ทั้งในภพภมู ิท่ดี แี ละไม่ดี (2) อุปถัมภกกรรม คือ กรรมท่ีมีหน้าท่ีช่วยอุดหนุนการให้ผลของ ชนกกรรมที่นาไปเกิดแล้ว ในทางดีและทางชั่ว กล่าวคือ ในทางดีก็ส่งผลให้กุศลกรรมส่งเสริม ใหด้ ียิง่ ขึ้น ในทางชวั่ ก็สง่ เสริมให้อกุศลกรรมส่งผลเลวรา้ ยมากขึ้น (3) อุปปีฬกกรรม คือ กรรมท่ีมีหน้าท่ีเบียดเบียนการให้ผลของชนกกรรม ทั้งทีน่ าไปเกดิ ฝ่ายดีและนาไปเกิดในฝ่ายช่ัว เช่น อุปปีฬกกรรมฝ่ายดีเบียดเบียนการให้ผลของ ชนกกรรมฝ่ายชั่ว ตัวอย่างเช่น การไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์ มีโรค เบียดเบียน มีความเป็นอยู่ลาบากมาก แต่มีคนนาไปเลี้ยงดู ความเป็นอยู่ก็ดีข้ึน โรคภัยที่ 18ที.ปา. 11 /312/ 269. 84 | พทุ ธศาสนา

เบยี ดเบยี นอยกู่ ห็ ายไป มีความสขุ สบายขึน้ ที่เปน็ อยา่ งนี้ เพราะอานาจแหง่ อุปปฬี กกรรมฝ่ายดี เบยี ดเบยี นชนกกรรมฝา่ ยช่ัว นอกจากน้ีตัวอย่างของอุปปีฬกกรรมฝ่ายชั่วเบียดเบียนการให้ผล ของชนกกรรมฝ่ายดี ตวั อย่างเช่น การเกดิ มาเปน็ มนุษย์ มรี า่ งกายแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัย เบียดเบยี น แตก่ ระทาความชัว่ ทจุ รติ มกี ารด่ืมสุรา การฆา่ สัตว์ ฉอ้ โกง อยู่เสมอ ต่อมาภายหลัง มีโรคภัยเบียดเบียน หรือมีสติฟ่ันเฟือน หรือเกิดความวิบัติ เสียหายในลาภยศ บริวาร การงาน อาชีพฝืดเคือง มีแต่เร่ือง ทาให้เกิดเดือดร้อนใจต่างๆ เหล่าน้ี เพราะอานาจ อปุ ปฬี กกรรม ฝา่ ยช่ัวท่ีตนไดเ้ คยกระทาให้เข้าเบยี ดเบยี นการให้ผลของชนกกรรมฝ่ายดี (4) อุปฆาตกกรรม คือ กรรมที่มีหน้าที่ตัดรอนการให้ผลของกรรมอื่นให้ สิ้นลงไป เป็นการตัดให้ขาดสะบ้ันไปเลย ซ่ึงต่างจากอุปปีฬกกรรม ท่ีทาหน้าท่ีเพียง เบียดเบียนกรรมเท่าน้ัน ส่วนอุปฆาตกกรรมนี้ เป็นกรรมชนิดที่ตัดกรรมอ่ืนๆ อย่างเด็ดขาด เมอื่ ตัดกรรมใดแล้ว กรรมนนั้ ก็ไมส่ ามารถสง่ ผลให้เกิดขน้ึ ไดเ้ ลยตลอดไป ตัวอย่างเช่น พระองคุลีมาล ก่อนจะสาเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้เคยฆ่ามนุษย์ไว้ มากมาย ย่อมเป็นชนกกรรมฝ่ายอกุศลที่จะนาให้เกิดในนรกแน่นอน แต่เมื่อได้บรรลุเป็น พระอรหันต์แล้ว ด้วยอานาจแห่งความเป็นอรหันต์ซึ่งเป็นกุศลกรรมท่ีสูงส่ง จึงเป็น อุปฆาตกกรรมฝ่ายกุศลเข้าไปตัดรอนการให้ผลของชนกกรรมฝ่ายอกุศล ทาให้ท่านไม่ต้องไป เกิดในนรก ลักษณะเช่นนคี้ อื อุปฆาตกรรมฝ่ายดเี ข้าไปตดั รอนการใหผ้ ลของอกศุ ลกรรม อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น พระเทวทัตได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้ฌานอภิญญา ต่อมาได้ทากรรมท่ีหนักยิ่ง (อนันตริยกรรม) คือ การทาร้ายพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตห้อ (โลหิตุปบาท) และทาให้คณะสงฆ์แตกแยกกัน (สังฆเภท) ครั้นเมื่อตายลง พระเทวทัตต้องไป เกิดในอเวจีมหานรกเสวยทุกข์สิ้นกาลนาน เพราะอุปฆาตกรรมฝ่ายช่ัวเข้าไปตัดรอนการให้ ผลของชนกกรรมฝ่ายดีคือการได้ฌาน ทาให้ไม่มีโอกาสไปเกิดในพรหมโลก เป็นต้น ลักษณะ เช่นนเ้ี ปน็ การที่อุปฆาตกกรรมฝา่ ยชั่วเข้าไปตดั รอนชนกกรรมฝ่ายดี เป็นต้น ส่วนในกรณีอุปฆาตกกรรมฝ่ายช่ัวเข้าไปตัดรอนชนกกรรมฝ่ายช่ัวและรูปนามที่ เป็นผลของกรรมชั่ว เช่น การเกิดเป็นสุนัขซ่ึงเป็นผลของกรรมช่ัวแล้วยังมาถูกรถทับตายอีก การถกู รถทบั ตายก็เป็นอกศุ ลกรรมทตี่ ามมาทนั โดยทาหน้าที่เป็นอุปฆาตกกรรม ทาให้รูปนาม ขาดสะบ้นั ไปเลย คือ ไมส่ ามารถรบั ผลกรรมไดอ้ กี ต่อไป 2.2.2.2) กรรมจาแนกตามลาดบั การให้ผล กรรมจาแนกตามลาดับการให้ผล มจี านวน 4 ประการ คอื (1) ครุกรรม คือ กรรมท่ีหนัก เป็นกรรมที่มีกาลังแรงมาก ต้องให้ผลก่อน กรรมอื่นๆ ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดี ก็มีผลมาก ให้คุณมาก ถ้าเป็นกรรมฝ่ายช่ัวก็มีโทษหนักมาก จนกระท่ังกรรมอ่ืนๆ ไม่สามารถขัดขวาง หรือยับยั้งการให้ผลของกรรมชนิดนี้ได้ ครุกรรม จึงตอ้ งใหผ้ ลก่อนกรรมอน่ื ๆ และให้ผลในชาตทิ ีส่ องอยา่ งแนน่ อน (2) อาสันนกรรม คือ กรรมท่ีได้กระทาในเวลาใกล้จะตาย กระช้ันชิดกับ เวลาตาย ถา้ ในเวลาใกล้จะตายได้กระทาสิ่งท่ีดีหรือช่ัว หรือแม้แต่ระลึกสิ่งที่ดีหรือช่ัว เรียกว่า ศาสนาขัน้ แนะนา | 85

เป็นอาสันนกรรม มีอานาจส่งให้ได้รับผลกรรมได้ทั้งนั้น แต่กรรมชนิดนี้จะให้ผล ก็ต่อเมื่อไม่มีครุกรรม กล่าวคือ บุคคลใดไม่เคยได้กระทาครุกรรม มีแต่อาสันนกรรมนี้ อาสนั นกรรมก็ใหผ้ ลกอ่ นกรรมอืน่ ๆ (3) อาจิณณกรรม คือ กรรมท่ีกระทาเป็นประจา เป็นการสั่งสมไว้บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือช่ัว ถ้าทาบ่อยๆ เป็นประจา ก็จัดเป็นอาจิณณกรรมทั้งนั้น อาจิณณกรรมน้ี ตามปกติก็ให้ผลในเม่ือไปเกิดแล้วเท่าน้ัน ยกเว้นแต่เมื่อบุคคลผู้ใกล้จะตาย ไมเ่ คยได้กระทาครุกรรม และไม่มีอาสันกรรมแล้ว อาจิณณกรรมน้ีจึงจะส่งให้ได้รับผลในชาติ ท่ี 2 ตามกรรมท่ีไดก้ ระทา (4) กตตั ตากรรม คอื กรรมสกั แต่ว่าทา หรอื กรรมท่ที าดว้ ยเจตนาอ่อน หรือ มิใช่เจตนาอย่างน้ันๆ หรือกรรมท่ีไม่ใช่กรรมท้ัง 3 ชนิดข้างต้นน้ัน เมื่อไม่มีครุกรรม อาสันนกรรม หรืออาจิณณกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง กตัตตากรรมน้ีจึงให้ผล ตัวอย่าง เช่น นักกีฬาพุ่งแหลมคนหนึ่ง ได้พุ่งแหลมไปตามปกติของเขา แต่บังเอิญแหลมนั้นไปถูกคนๆ หนงึ่ เขา้ กรรมของเขาจัดเป็นกตัตตากรรม เพราะไม่ได้เจตนาจะพงุ่ ใหถ้ ูกคนแตอ่ ยา่ งใด 2.2.2.3) กรรมจาแนกตามกาหนดเวลาในการใหผ้ ล กรรมจาแนกตามกาหนดเวลาในการให้ผล มีจานวน 4 ประการ คอื (1) ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม คือ กรรมท่ีให้ผลในชาติปัจจุบัน เช่น การตั้งใจ เรียนจนสาเร็จและไดร้ ับปริญญา เป็นตน้ (2) อุปปัชชเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า หรือชาติถัดจาก ปัจจุบันชาตินี้ท่นี ับเป็นชาตทิ ห่ี น่ึง (3) อปราปรยิ เวทนียกรรม คือ กรรมทใี่ หผ้ ลในชาตทิ ่ี 3 เปน็ ตน้ ไป (4) อโหสิกรรม คือ กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล ไม่ให้ผล เลิกให้ผล กล่าวคือ เป็นกรรมที่ไม่สามารถจะให้ผลได้ เช่น การฆ่าคนของพระองคุลิมาลท่ีไม่มีโอกาส ให้ผลเพราะท่านได้สาเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว กรรมชั่วคือการฆ่าคนของท่านจึงมีฐานะเป็น อโหสกิ รรม จากท่ีกล่าวมาท้ังหมด สรุปได้ว่า กรรมสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ในการแบ่ง แต่อย่างไรก็ตาม เจตนาถือว่าเป็นส่ิงสาคัญท่ีสุด เพราะ เจตนาเป็นตวั บ่งชี้ และกาหนดพฤตกิ รรมหรอื การกระทาทัง้ หมดของมนุษย์ เปน็ ตวั การในการ ริเร่ิม ปรุงแต่ง สร้างสรรค์การกระทาทุกอย่าง จึงเป็นแก่นแท้ของกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมทากรรมทง้ั ดีและชั่วทัง้ ทางกาย วาจา และใจ 86 | พุทธศาสนา

2.3) การให้ผลของกรรม ในเรื่องการให้ผลของกรรมนี้ พระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุ มีกรรมเป็นท่ีพ่ึงอาศัย และ กรรมจาแนกให้สัตว์เลวและดีต่างกัน19 นอกจากนั้น พระองค์ยังได้ตรัสผลร้ายและผลดีต่างๆ อนั เนอื่ งมาจากกรรมคือการกระทาของสตั ว์โดยเน้นถงึ ผลท่ีจะประสบในชีวิตข้างหน้า ท่ีเกิดจาก การกระทาในปจั จบุ นั ที่ปฏิบัตอิ ยา่ งเปน็ ประจา คือ (1) มีอายนุ ้อย เพราะฆ่าสัตว์ มีอายุยืน เพราะไมฆ่ ่าสัตว์ (2) มโี รคมาก เพราะเบยี ดเบียนสตั ว์ มีโรคนอ้ ยเพราะไมเ่ บียดเบยี นสัตว์ (3) มีผิวพรรณทราม เพราะข้โี กรธ มผี ิวพรรณดี เพราะไม่ขี้โกรธ (4) มศี กั ด์นิ ้อยเพราะมักริษยา มีศักดมิ์ าก เพราะไมม่ กั รษิ ยา (5) มโี ภคทรพั ยน์ อ้ ยเพราะไม่ใหท้ าน มีโภคทรพั ย์มาก เพราะใหท้ าน (6) เกิดในตระกลู ตา่ เพราะกระด้างถือตัว ไม่อ่อนน้อม เกิดในตระกูลสูง เพราะไม่กระดา้ งถือตัวแต่รจู้ ักอ่อนนอ้ ม (7) มีปัญญาทรามเพราะไม่เข้าไปหาสมณพราหมณ์ ไต่ถามเร่ืองกุศล อกศุ ล เป็นต้น มีปญั ญาดี เพราะเขา้ ไปหาสมณพราหมณ์ ไตถ่ ามเรื่องกศุ ล อกุศล เปน็ ต้น20 2.4) คาอธิบายเรือ่ ง ทาดีไดด้ มี ีท่ไี หน ทาชว่ั ไดด้ มี ีถมไป มีบางคนเข้าใจเรื่องของกรรมไม่ตรงตามความเป็นจริงหรือมองไม่ตลอดสาย จนทาให้เกิดความเข้าใจผิด แล้วก็นาไปสอนกันผิดๆสืบไป เช่นว่า ทาดีได้ดีมีที่ไหน ทาชั่วได้ดี มีถมไป พระพุทธองค์จึงตรัสไว้เพ่ือเป็นแนวทางในเร่ืองการจาแนกกรรมเร่ืองใหญ่ โดยแสดง ถึงบุคคล 4 ประเภท คือ (1) ทาชั่วแล้วไปเกิดในอบาย ทคุ ติ วินิบาต นรก (2) ทาช่ัวแลว้ ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ (3) ทาดแี ลว้ ไปเกิดในสคุ ตโิ ลกสวรรค์ (4) ทาดแี ลว้ ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก21 ขอ้ ความดงั กล่าวมีคาอธิบายว่า กรรมทุกอย่างส่งผลทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าจะส่งผลใน เวลาไหน ส่วนในเร่ืองการให้ผลของกรรมนั้นจะดูเฉพาะในปัจจุบันยังไม่ได้ ต้องดูลักษณะ ขา้ มภพข้ามชาติหรอื โดยจะมองเปรียบเทียบในปัจจุบันก็ได้ เช่นจะต้องพิจารณาว่าในขณะก่อน ตายน้ัน เขาเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ เช่นในตลอดชีวิตเขาอาจจะทาดีมาโดยตลอด ก่อนตายเขากลับนึกถึงสิ่งท่ีไม่ดีเพียงน้อยนิดท่ีเคยทามา มิจฉาทิฏฐิข้อนี้อาจจะส่งผลให้เขาไป 19ม.อุปริ. 14 /289/ 375. 20ม.อปุ ริ. 14 /290-296/ 376-382. 21ม.อุปริ. 14 /300-303/ 386-394. ศาสนาขน้ั แนะนา | 87

เกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต หรือนรก ก็ได้ ในเร่ืองเช่นน้ีพระพุทธองค์เคยตรัสกะพระอานนท์ เหมือนกนั วา่ การแสดงธรรมแก่บุคคลท่ัวไปควรแสดงธรรมตามหลักของเหตุและผลอย่าแสดง ธรรมแต่ในแงเ่ ดยี วเพราะจะทาใหค้ นเข้าใจผิดในเร่ืองของกรรมได้ 3) อริยสัจ 4 อริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมสาคัญที่ครอบคลุมคาสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนา อริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมจาเป็นทั้งสาหรับบรรพชิตและคฤหัสถ์ พระพุทธเจ้าจึงทรงย้าให้ภิกษุ สอนใหช้ าวบา้ นรูแ้ ละเขา้ ใจอรยิ สจั 4 เพราะเป็นความจริงท่ีเป็นประโยชน์ หรือเป็นความจริงที่ นามาใชใ้ ห้เกิดประโยชนแ์ ก่ชีวติ ได้ อรยิ สัจ แปลวา่ ความจริงอันประเสรฐิ ความจริงของพระอริยะ ความจริงท่ีทาให้ ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ22 ท่ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และนามาสั่งสอนเพื่อให้คนท่ัวไปพ้นจาก ความทกุ ข์ มี 4 ประการ คือ 3.1) ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ได้แก่ ปัญหาต่างๆของมนุษย์ หาก พิจารณาในเชิงลึก ก็หมายถึง สภาพที่สรรพส่ิงตกอยู่ภายใต้กฎธรรมดาแห่งความไม่เท่ียงแท้ ไมท่ นอยู่ในสภาพเดมิ และไมม่ ตี วั ตนนั้นเอง ซ่ึงบีบคนั้ กดดัน ขดั แยง้ ขัดขอ้ ง มีความบกพร่อง ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง กล่าวตามพุทธพจน์ก็คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความประสบกับส่ิงไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากส่ิงเป็นท่ีรัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ส่ิงน้ัน เปน็ ทุกข์ โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์5 เป็นทุกข2์ 3 3.2) สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์ สาเหตุทาให้เกิดความทุกข์ ได้แก่ ตัณหา (ความทะยานอยาก) มี 3 ประเภทคือ กามตัณหา (ความอยากในสิ่งที่น่าเพลิดเพลินหรือ น่าพอใจทางประสาทสัมผัส) ภวตัณหา (ความอยากเป็นน่ันเป็นน่ี อยากเป็นสิ่งใดก็ตาม ตลอดไป) และวิภวตัณหา (ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็นส่ิงใดก็ตาม)24 กามตัณหาน้ันจะ ครอบคลุมท้งั กเิ ลสกามและวตั ถกุ าม ดงั พุทธพจน์บทหนึ่งกล่าวว่า วัตถขุ า้ งนอกอนั งดงาม ไม่ใช่ กามมันก็อยู่ตามธรรมชาติของมันแต่ความนึกคิดรุ่มร้อนภายในจิตเป็นตัวการสาคัญทาให้คน เกิดทุกข์25 และเมื่อใดก็ตามที่เราไม่นึกถึงกาม เราก็ไม่เกิดความพอใจในกาม กิเลสกามก็ไม่ สามารถทาร้ายเราได้ ดังตอนพระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ทรงทักมารว่า ดูก่อนกาม เราได้เห็น รากฐานของทา่ นแล้วว่าท่านย่อมเกิดเพราะความดาริ เราจกั ไม่ดาริถึงท่านอีก เมอ่ื เปน็ เช่นน้ีท่าน จักไมม่ ี26 22พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ 155. 23วินย. 4 /14 /21. 24วนิ ย. 4 /14 /22. 25ส.ส. 15 /34/ 38. 26ข.ุ นิ. 29 /1/ 2. 88 | พทุ ธศาสนา

3.3) นโิ รธ คือ ความดบั ทุกข์ ไดแ้ ก่ ภาวะทต่ี ณั หาดบั ไม่เหลอื ด้วยมรรคคือ วิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน27 เม่ือกาจัดอวิชชาความไม่รู้ กาจัดตัณหาได้ หมดส้ินแล้ว ไม่ถูกตัณหาย้อมใจหรือฉุดรากไป ไม่ถูกบีบค้ันด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย ความเบือ่ หนา่ ย หรือความคบั ขอ้ งตดิ ขดั อย่างใดๆ หลุดพน้ เปน็ อิสระ ประสบความสุขที่บริสุทธ์ิ ทเี่ รยี กวา่ นพิ พานน่ันเอง 3.4) มรรค คือ ปฏิปทาท่ีนาไปสู่ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึง ความดับทุกข์28 เป็นวิธีการดับทุกข์ เป็นข้อปฏิบัติท่ีนาบุคคลไปสู่ความพ้นทุกข์หรือพระ นิพพาน วธิ ีการดงั กลา่ วนต้ี อ้ งปฏิบัติ ไม่ตรงึ เกนิ ไปไม่หย่อนเกินไป กล่าวคือ ไม่เป็นการทรมาน ตนให้เป็นการลาบาก และไม่ปล่อยตนตามอานาจกิเลส เป็นวิธีการท่ีมีความเหมาะสมดี เป็น ทางสายกลาง จงึ เรยี กวา่ มัชฌมิ าปฏปิ ทา ผ้ทู ม่ี คี วามเพียรพยายามและตัง้ ใจจริง สามารถปฏิบัติ ได้ตามทุกคน มรรคน้ันมีชื่อเต็มว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ แปลว่า ทางมีองค์แปดประการอัน ประเสรฐิ องค์ประกอบ 8 ประการของมรรคนัน้ มีดังน้ี (1) สัมมาทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นถูกต้องหรือความเห็นชอบมีหลาย ลกั ษณะ ประการแรกไดแ้ ก่ ความรู้ความเขา้ ใจในเรือ่ งทกุ ข์ เหตุให้เกิดทกุ ข์ ความดับทุกข์และ วิธีการดับทุกข์ ประการท่ีสองได้แก่ ความรู้ความเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ท้ังหลายเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา ไม่มีความแน่นอน และยึดถือจริงจังไม่ได้ ประการท่ีสาม รู้จักผิดชอบช่ัวดีเพ่ือ ละช่ัวทาดีได้ ประการที่ ส่ี รู้จักเหตุรู้จักผล รู้ว่า ทุกส่ิงมีสาเหตุ เมื่อแก้ไขเหตุได้ก็ย่อมกาหนด ผลได้ เปน็ ต้น (2) สัมมาสงั กปั ปะ หมายถึง ดาริชอบ มีความนึกคิดท่ีจะออกจากความ เพลิดเพลินทางประสาทสัมผัส ไม่หมกมุ่นพัวพันติดข้องในส่ิง สนองความอยากต่างๆ (เนกขัมมสังกัปป์) ไม่มีความคิดเคียดแค้น พยาบาท หรือเพ่งมองในแง่ร้าย มีความเมตตา กรุณาและมีความปรารถนาดีต่อสิ่งมีชีวิตท่ัวไป (อพยาบาทสังกัปป์) มีความปรารถนาดี ต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข และไม่มีความคิดท่ีจะเบียดเบียน คิดทาร้าย หรือทาลายผู้อ่ืน (อวหิ งิ สาสงั กัปป)์ มีความคดิ ท่จี ะชว่ ยเหลือผ้อู ื่นให้พน้ จากความทุกข์ สมั มาทฏิ ฐิและสัมมาสงั กปั ปะจดั เปน็ คณุ ธรรมฝ่ายปัญญา ส่งเสริมให้เกิดการมอง โลก ชวี ิตและปรากฏการณ์ตา่ งๆ ตามความเปน็ จรงิ (3) สัมมาวาจา หมายถึง เจรจาชอบ ได้แก่ การงดเว้นจากการพูดเท็จ พดู ส่อเสียด พูดวาจาหยาบคาย และการพดู เพอ้ เจ้อ (4) สัมมากัมมันตะ หมายถึง กระทาชอบ ได้แก่ การงดเว้นจากการ ทาลายชีวิต การลกั ขโมย และการประพฤตผิ ิดในกามท้งั หลาย 27วนิ ย. 4 /14 /21. 28พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา้ 155. ศาสนาข้ันแนะนา | 89

(5) สัมมาอาชีวะ หมายถึง เล้ียงชีพชอบ ได้แก่ การประกอบอาชีพท่ี ถูกต้องเหมาะสม ประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืนให้เดือดร้อน พุทธศาสนาจึงสอนให้ หลีกเลี่ยงการประกอบอาชีพบางอย่าง คือ การค้าขายมนุษย์ เช่น ค้าทาส ค้าโสเภณี เป็นต้น การค้าขายอาวธุ และเคร่ืองประหาร การค้าขายสัตว์ให้เขาฆ่า การคา้ ขายสุราและส่งิ เสพติด และ การค้าขายยาพิษ สารพิษ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงความขยันหม่ันเพียรในการประกอบ อาชพี สุจรติ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ เป็นคุณธรรมในด้านศีล ผู้ทถี่ งึ พร้อมย่อมเป็นผทู้ รงศลี (6) สัมมาวายามะ หมายถึง ความเพียรพยายามชอบ ได้แก่ ความ พยายามระวังไม่ให้ความชั่วเกิดข้ึนกับตน พยายามกาจัดความช่ัวที่เกิดแล้ว พยายามสร้าง ความดีใหเ้ กดิ ข้ึนกบั ตน และพยายามรักษาความดใี ห้มน่ั คง (7) สมั มาสติ หมายถงึ ระลึกชอบ ได้แก่ การระมัดระวงั จิตใจให้รู้เท่าทัน ความชั่ว และให้ตื่นตัวในการทาความดี โดยการต้ังสติ 4 ประการ (สติปัฏฐาน) คือ พิจารณา ให้เห็นสภาพร่างกายตามความเป็นจริง ว่าไม่ย่ังยืน ต้องเปลี่ยนแปลง พิจารณาความรู้สึกของ ตนตามที่เป็นจริง ว่ากาลังรู้สึกอย่างไร พิจารณาจิตของตนตามความเป็นจริง ว่าในขณะนั้นมี สภาพเป็นอย่างไร และพิจารณาปรากฏการณ์ท้ังหลายตามความเป็นจริงว่าเกิดข้ึน ดาเนินอยู่ และเส่อื มไปอยา่ งไร (8) สัมมาสมาธิ หมายถึง ตั้งใจชอบ ได้แก่ การสารวมจิตใจให้แน่วแน่ จิตเป็นภาวะตั้งมั่น แน่วแน่ต่อสิ่งที่กาหนด ไม่ฟุ้งซ่านหรือกระสับกระส่าย สงบเยือกเย็น ไมว่ ติ กกังวล จติ ทีม่ สี มาธิย่อมมีประโยชน์ตอ่ บุคคลมากมาย ทาการงานไดม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เป็นคุณธรรมด้านสมาธิ มรรค 8 จงึ ประกอบด้วยศลี สมาธิ ปญั ญา ตามหลักไตรสิกขาอันเป็นแนวปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นจาก ทกุ ข์หรอื นพิ พาน อริยสัจเป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ เป็นกระบวนการของเหตุและผล มีความสาคญั ดงั ขอ้ ความท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก ดังต่อไปน้ี “คร้ังหน่ึงพระสารีบุตรกล่าวกะภิกษุท้ังหลายว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย รอยเท้า ของสัตว์ทั้งหลายที่เที่ยวไปบนแผ่นดิน รอยเท้าช้างเป็นรอยเท้าท่ีใหญ่ที่สุด กุศลธรรมท้ังหมด ยอ่ มสงเคราะห์เข้าในอริยสัจ 4”29 “ภิกษุท้ังหลาย เพราะไม่เห็นอริยสัจ 4 ตามเป็นจริง เราและพวกเธอจึงได้ ท่องเที่ยวไปในชาติน้ันๆส้ินกาลนาน เราเห็นอริยสัจ 4 เหล่านั้นแล้ว เราถอนตัณหาอันจะ นาไปส่ภู พเสยี ได้แล้ว มูลเหตุแห่งทกุ ขเ์ ราตัดได้ขาดแล้ว บดั นภ้ี พใหมไ่ มม่ ี”30 29ม.มู. 12 /300/ 333. 30ที.ม. 10 /155/ 107. 90 | พทุ ธศาสนา

หลักอริยสัจ 4 น้ี นอกจากจะเป็นคาสอนท่ีครอบคลุมหลักธรรมทั้งหมด ทงั้ ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั แิ ล้ว ยังมคี ุณค่าอีกหลายประการ สามารถสรุปไดด้ งั นี้ 1) เป็นวิธีการแห่งปัญญา ซ่ึงดาเนินการแก้ไขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล เป็นระบบ วิธีแบบอย่างซ่ึงวิธีการแก้ไขปัญหาใดๆก็ตามที่จะมีคุณค่าและสมเหตุสมผลจะต้อง ดาเนนิ ไปตามแนวเดียวกันเช่นน้ี 2) เปน็ การแกป้ ญั หาและจัดการกับชีวิตของตนด้วยปัญญาของมนุษย์เองโดยการ นาเอาหลักความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องอ้างอานาจดลบันดาลของ ตวั การพเิ ศษเหนอื ธรรมชาตหิ รอื สิง่ ศักด์สิ ิทธ์ิต่างๆ 3) เป็นความจริงท่ีเก่ียวกับชีวิตของทุกคน แม้ว่าชีวิตของเขาจะเก่ียวข้องกับสิ่ง ภายนอกมากมายเพียงใดก็ตาม เขาจะต้องเก่ียวข้องและใช้ประโยชน์จากหลักความจริงน้ี ตลอดไป 4) เปน็ หลักความจรงิ กลางๆทตี่ ดิ เนือ่ งอยูก่ บั ชวี ิต ไมว่ า่ มนุษย์จะสร้างสรรค์ศิลปะ วทิ ยาการใดๆข้นึ มาเพื่อแกป้ ญั หาและพัฒนาความเป็นอยู่ของตนเพียงใดก็ตาม หลักความจริง ทเี่ รียกว่าอริยสัจ ก็จะคงยืนยงและใช้ประโยชน์โดยตลอดทุกกาล31 4) นิพพาน ตามทัศนะของพุทธศาสนาพุทธเถรวาท เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ได้แก่ ความหลุดพ้นหรือนิพพาน เป็นเร่ืองท่ีมนุษย์จะปฏิบัติตามมรรค และตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เม่ือปฏิบัติแล้วจะบรรลุความรู้แจ้ง และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ความหลุดพ้นของนิกายเถรวาทเป็นประสบการณ์ส่วนตัวมีเป้าหมายคือความเป็นพระอรหันต์ โดยเหตุที่พุทธศาสนานิกายเถรวาทเน้นความหลุดพ้นส่วนตัวก่อนการเข้าช่วยเหลือผู้อ่ืนให้ บรรลุความหลุดพ้นน้ัน จึงเน้นการปฏิบัติเพ่ือความบริสุทธ์ิของตนเอง 3 ประการ คือ ละความชวั่ ทงั้ ปวง ทาความดี ทาจิตใจให้บริสุทธ์ผิ อ่ งใส นอกจากน้นั ชาวพุทธเถรวาทโดยท่ัวไปมักเข้าใจว่า ความหลุดพ้นหรือนิพพานนั้น แตกต่างจากสังสารวัฏโดยส้ินเชิง ในระดับโลกิยะมีการจาแนกความดีและความชั่วออกจากกัน อย่างชัดเจน เพ่ือให้ผู้ปฏิบัติธรรมละความชั่วและทาความดีจนกว่าจะบรรลุนิพพาน นิพพาน ในทัศนะของเถรวาทคือความดับทุกข์ โดยดับกิเลสตัณหาและมลทินต่างๆ ทางจิตใจได้อย่าง ส้ินเชิง เป็นสภาพที่อยู่เหนือความสุขและความทุกข์อันไม่อาจบรรยายได้ด้วยแน่ชัดด้วยภาษา ผู้ทต่ี อ้ งการที่จะบรรลนุ ิพพานต้องลงมือปฏิบตั ใิ หป้ ระสบดว้ ยตนเอง 31พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม, หน้า 920. ศาสนาขั้นแนะนา | 91

นิพพานมี 2 ลักษณะคือ สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานท่ียังมีขันธ์ 5 เหลืออยู่ ผู้ท่ีบรรลุนิพพานในลักษณะนี้เป็นผู้ดับกิเลสได้แล้วและหลุดพ้นจากทุกข์แล้วแต่ยังมี ขันธ์ 5 อยู่คือยังมีชีวิตอยู่ สามารถดาเนินชีวิตอยู่ได้ต่อไปในโลก แต่ไม่กระทบกระเทือนต่อ ความผนั ผวนของโลก ไมท่ กุ ข์ใจและไม่หวั่นไหวจากความทุกข์ทางกาย และอนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานท่ีไม่มีขันธ์ 5 เหลืออยู่ เป็นการบรรลุนิพพานและส้ินชีวิต ท้ังร่างกายและจิต ดบั สนิท ไมเ่ วียนวา่ ยตายเกิดในความทุกข์ในภพชาติอกี ตอ่ ไป 4.4.2 หลกั คาสอนสาคญั ของพุทธศาสนามหายาน พุทธศาสนามหายานยังคงมีคาสอนท่ีเป็นแก่นเช่นเดียวกับพุทธศาสนาเถรวาท กล่าวคือ การยอมรับพระนิพพานว่า เป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนา อริยสัจยังคงเป็นทฤษฎี คาสอนทสี่ าคัญ แต่ในวธิ กี ารทจี่ ะเข้าถึงอุดมการณ์สูงสุดนั้น แตกต่างจากนิกายเถรวาท คาสอน สาคญั ทเี่ ป็นจดุ เด่นของพทุ ธศาสนานิกายมหายาน มดี งั ต่อไปนี้ 1) หลักคาสอนเรื่องพระโพธสิ ัตว์ พระโพธิสัตว์ หมายถึง ความปรารถนาท่ีจะบรรลุพุทธภูมิ เป็นพระพุทธเจ้า มหายานมีความเขา้ ใจวา่ ชาวพทุ ธมหายานควรถอื เป็นแบบอย่างของวิถีทางดาเนินชีวิตที่ตนเอง จะดาเนินชวี ติ เป็นโพธิสตั วเ์ ชน่ เดียวกนั กับพระพุทธเจ้าในอดตี เพอื่ ให้บรรลุถงึ พทุ ธภูมใิ นทส่ี ดุ พระโพธิสัตว์มีความหมาย 3 ประการ คือบุคคลผู้กาลังจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคต หรือบุคคลผู้มุ่งมั่นที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และในความหมายสุดท้ายคือ บคุ คลผู้มีแก่นแท้ของการตรัสรู้หรือโพธิ แต่ความหมายท่ีเข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ คอื บคุ คลผู้บาเพญ็ บารมตี ่างๆเพื่อทจ่ี ะตรสั รู้เป็นพระพุทธเจา้ ในอนาคต32 ประเภทของพระโพธิสัตว์นั้นมีหลายแนวความคิดตามแต่ละยุคสมัย โดยใน ยุคต้นๆ ก็แบ่งออกตามระยะเวลาในการบาเพ็ญบารมีซ่ึงแยกเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีอานาจมาก เพราะบาเพ็ญบ ารมีมานานและพระโพธิสัตว์ที่กาลังเริ่มต้นบาเพ็ญบารมี ต่อมาก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามสถานภาพของชาวบ้านและนักบวช จึงแยกเป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นชาวบ้านหรือ บุคคลท่ีไม่ได้ออกบวชเรียกว่า คฤหัสถ์โพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์ท่ีออกบวชหรือบรรพชิต โพธิสัตว์ นอกจากนี้ยังแบ่งออกเป็นพระโพธิสัตว์ในฐานะบุคลาธิษฐานของคุณธรรมต่างๆ ทาให้พระโพธิสัตว์มีฐานะเป็นเทพเจ้าองค์สาคัญต่างๆที่คอยช่วยเหลือมวลมนุษย์ เป็น พระโพธิสัตว์ท่ีติดต่อกับโลกมนุษย์ทาให้มีพระโพธิสัตว์ประเภทนี้จานวนมากมาย เช่น พระอวโลกเิ ตศวรโพธิสตั ว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เปน็ ต้น 32ประพจน์ อัศววิรุฬการ, โพธิสัตวจรรยา : มรรคาเพื่อประชาชน (กรุงเทพฯ : สานักพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2546), หนา้ 47. 92 | พทุ ธศาสนา

การเกิดขึ้นของโพธิจิตหรือการมุ่งที่จะเป็นพระพุทธเจ้า การต้ังปณิธาน และการ ได้รบั พยากรณ์ เปน็ องค์ประกอบสาคญั ขนั้ แรกของการเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ เพราะองค์ประกอบทั้ง 3 นั้น จะดาเนินไปตลอดช่วงท่ีบุคคลน้ันยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ดังน้ัน การตั้งจิตหรือ ความมุ่งหมายที่จะบรรลุโพธิญาณ การต้งั ปณธิ าน การประกาศความปรารถนาหรือความต้ังใจที่ จะช่วยเหลือผู้อื่น และการได้รับพยากรณ์หรือคารับรองจากพระพุทธเจ้าในขณะบาเพ็ญบารมี จึงเป็นขน้ั ตอนสาคญั ท่ีเกดิ ข้ึนกบั พระโพธิสตั ว์ทุกๆ ชาติ33 2) แนวคดิ เรื่องตรีกาย แนวคิดเร่ืองตรีกายถือว่าเป็นหลักคาสอนร่วมกันของทุกๆนิกายที่สังกัดอยู่ใน พุทธศาสนามหายาน พระสูตรของนิกายต่างๆในสังกัดนิกายมหายานมักแสดงไว้เสมอว่า พระพทุ ธเจ้ามี 3 กาย ดงั ต่อไปน้ี34 คือ 1) ธรรมกาย หมายถึง สภาวะอันเป็นอมตะ ไม่มีรูปร่าง ไม่อาจรับรู้ได้ด้วย ประสาทสัมผัส ไม่มีเบื้องต้นและท่ีสุด ท้ังไม่มีจุดกาเนิดและผู้สร้าง ดารงอยู่ได้ด้วยตนเอง แม้ จกั รวาลจะวา่ งเปล่าปราศจากทุกสิ่ง แต่ธรรมกายจะยังคงดารงอยู่โดยไม่มีที่สิ้นสุด พุทธศาสนา ฝ่ายมหายานมีความเชื่อว่า พระธรรมกายน้ีเอง ท่ีแสดงตนออกมาในรูปของสัมโภคกาย บนภาคพ้ืนสวรรค์และจากสัมโภคกายนี้กจ็ ะแสดงตนออกมาในรปู นิรมาณกาย ทาหน้าท่ีสั่งสอน สรรพสตั วใ์ นโลกมนุษย์ 2) สัมโภคกาย หมายถงึ กายทแ่ี ท้จรงิ หรือกายทิพยข์ องพระพุทธเจ้า กายน้ีจะไม่ มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะอันเป็นทิพย์อยู่ชั่วนิรันดร เป็นกายที่พระพุทธเจ้าใช้เสวยสุขอยู่ใน สวรรคท์ เ่ี รียกวา่ สุขาวดพี ุทธเกษตร พุทธศาสนามหายานมีทัศนะว่า สัมโภคกายสามารถที่จะแสดงตนให้ปรากฏแก่ พระโพธิสัตว์ได้ สามารถที่จะรับทราบคาสวดสรรเสริญและอ้อนวอนจากผู้ที่เลื่อมใสได้ สัมโภคกายน้ีเองที่เนรมิตตนลงมาเป็นนิรมาณกาย คือ พระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ เพ่ือสั่งสอน สัตว์โลก เพราะฉะน้ัน แม้ในบัดนี้พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่ีเคยอุบัติข้ึนในโลกมนุษย์ก็ยังสถิตอยู่ ในสภาวะแห่งสัมโภคกายน้ีมิได้แตกดับสูญส้ินไปเลย และพระโพธิสัตว์ท้ังหลายก็ยังสามารถ เหน็ และรบั คาสอนจากพระพทุ ธเจ้าเหลา่ น้ไี ด้ 3) นิรมาณกาย หมายถึง กายของพระพุทธเจ้าท่ียังตกอยู่ในสภาวะของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย เหมือนมนุษย์ธรรมดาท่ัวไป พุทธศาสนานิกายมหายานมีความเชื่อว่า นิรมาณกายน้ีแท้จริงแล้วเป็นการเนรมิตมาจากสัมโภคกาย เพ่ือเป็นอุบายในการสั่งสอน 33เร่อื งเดียวกัน, หนา้ 50. 34เสถยี ร โพธินันทะ, ปรชั ญามหายาน (กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์บรรณาคาร, 2522), หนา้ 15-17. ศาสนาข้ันแนะนา | 93

สัตว์โลก เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายจะได้ไม่ตกอยู่ในความประมาท และเร่งปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งสู่ ความพ้นทกุ ขโ์ ดยเรว็ กายท้ัง 3 น้ีมคี วามเปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกันทั้งสิน้ แตกต่างกนั เพยี งสภาวะแห่งการ แสดงออกเท่าน้ัน กล่าวคือ นิรมาณกายเป็นกายที่เนรมิตมาจากสัมโภคกาย ส่วนสัมโภคกายก็ เป็นกายที่เนรมิตมาจากธรรมกายซึ่งเป็นส่ิงสูงสุด แต่ไม่มีรูปร่าง อยู่เหนือการอธิบายใดๆ มี ฐานะเปน็ บอ่ เกดิ ของกายท้งั 2 ขา้ งตน้ จากท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ตามคาสอนของพุทธศาสนามหายานเชื่อว่า พระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่อย่างเป็นนิรันดร แม้พระองค์จะปรินิพพานไปแล้วก็ตาม แต่พระองค์ ทรงมอี ย่ใู นฐานะสมั โภคกายซึง่ ก็เปน็ ภาคที่เป็นเทพของธรรมกายน่ันเอง ดังนั้น ส่ิงที่มีอยู่จริงๆ ในฐานะสงิ่ สงู สุดในทศั นะของพุทธศาสนามหายานก็ คือ ธรรมกาย 3) แนวคิดเรื่องตรียาน หลักการพื้นฐานที่สาคัญอีกอย่างหน่ึงของพุทธศาสนามหายาน คือ หลักตรียาน ซึ่งเปน็ หลักท่ีแสดงถงึ วิธกี ารบรรลถุ ึงความหลดุ พ้นหรือนิพพานตามทัศนะของพระพุทธศาสนา วา่ มีระดับแตกตา่ งกนั คาวา่ ยาน หมายถึง พาหนะท่ีนาไปสู่ทหี่ มาย ในท่ีนี้หมายถงึ หนทาง หรือวิธีการท่ี นาไปสู่ความหลุดพ้นหรือนิพพาน ตามหลักคาสอนของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ยานหรือ วธิ กี ารท่ีจะนาไปสู่ความหลุดพน้ มี 3 ประการ เรยี กว่า ตรียาน ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) สาวกยาน หมายถึง วิธีการหรือหนทางของพระสาวกท่ีหวังเพียงบรรลุเป็น พระอรหันต์ซึ่งเป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส เพื่อข้ามพ้นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเท่าน้ัน ไม่ได้หวังเป็นพระพุทธเจ้า นิกายมหายานมีทัศนะว่า สาวกยานเป็นการหลุดพ้นเฉพาะตน เท่าน้ัน สามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ยังตกอยู่ในความทุกข์ได้น้อย และต้องอาศัยคาสั่งสอน จากพระพุทธเจ้าจึงจะหลุดพ้นได้ ไม่สามารถหลุดพ้นได้ด้วยความสามารถของตนเอง จึงไม่ใช่ หนทางหรือวิธกี ารท่ียิ่งใหญ่ (2) ปัจเจกยาน หมายถึง วิธีการหรือ หนทางของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้สามารถบรรลุความหลุดพ้นได้ด้วยตนเอง แต่เม่ือหลุดพ้นแล้ว ก็ไม่ยินดีที่จะส่ังสอนผู้อ่ืน ในบางคัมภีร์กล่าวว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่อาจแสดงธรรมส่ังสอนผู้อ่ืนให้รู้แจ้งเห็นจริงตาม ตนเองได้ เพราะมิได้ส่ังสมความปรารถนาท่ีจะช่วยเหลือสรรพสัตว์อื่นๆ ผู้เขียนเห็นว่าข้อน้ี อาจเปน็ ได้เพราะบุคคลบางคนมคี วามเฉลียวฉลาดในวิชาการความรู้ แต่ไม่สามารถอธิบายหรือ สอนผู้อื่นใหร้ ู้อย่างท่ีตนเองรู้ได้ (3) โพธิสัตวยาน หมายถึง วิธีการหรือหนทางของพระโพธิสัตว์ผู้มีจิตใจ ประกอบด้วยมหากรุณาที่ย่ิงใหญ่ในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ มุ่งม่ันท่ีจะบาเพ็ญบารมีเพื่อ ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ซ่ึงเป็นภาวะท่ีสูงส่งกว่าการเป็นพระอรหันต์ ไม่ปรารถนา 94 | พุทธศาสนา

ความเป็นพระอรหันต์และพระปัจเจกพุทธเจ้า ดังน้ัน โพธิสัตวยานจึงเป็นการสร้างบารมี เพอ่ื ท่ีจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตโดยการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากความทกุ ข์35 พุทธศาสนามหายานมีทัศนะว่า วิธีการปฏิบัติของฝ่ายเถรวาทน้ันยังเป็นเร่ือง เฉพาะตน ไมย่ ่งิ ใหญ่ เพราะมงุ่ การหลุดพน้ จากกิเลสเฉพาะกลุ่มตนเองเทา่ นนั้ หรือเปน็ วธิ ีการที่ เรียกว่า สาวกยาน ซึ่งผู้หลุดพ้นจะเป็นพระอรหันต์ท่ีมีปัญญาและประกอบความเพียรมาแล้ว อย่างเคร่งครัดเท่านั้น ไม่เหมือนฝ่ายมหายานท่ีมุ่งช่วยมหาชนให้หลุดพ้น เป็นเหมือนพาหนะ ใหญ่ที่สามารถรับคนทุกคน ไม่แบ่งแยก ไม่ปฏิเสธผู้ใด ดังนั้น เป็นยานสูงสุดเพราะสามารถ ชว่ ยเหลอื สรรพสัตวไ์ ปได้มากทสี่ ุดน่นั เอง 4) แนวคิดเรอ่ื งหลักจตุรมหาปณธิ าน มหาปณิธาน หมายถึง ความมุ่งม่ัน หรือเป้าหมายที่ย่ิงใหญ่ ในขณะท่ีพุทธศาสนา เถรวาทมีจุดมุ่งหมายเพ่ือการสิ้นกิเลสทั้งมวลเป็นการเฉพาะของแต่ละบุคคล แต่พุทธศาสนา มหายานเนน้ การประกาศปณิธานหรือเปา้ หมายสงู สุดของบุคคลผู้นับถือพุทธศาสนามหายานไว้ 4 ประการ ดังต่อไปน้ี (1) จักช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ เพราะ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมุ่งให้พิจารณาพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อ สรรพสัตว์ การบาเพ็ญพุทธกิจตลอดพระชนม์ชีพ แสดงให้ประจักษ์ชัดถึงโพธิจิตท่ีย่ิงใหญ่ (จิตที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า) เพ่ือทาประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง และความกรุณาท่ี ทรงมีตอ่ สรรพสตั ว์ ทาให้พระโพธสิ ตั ว์ท้งั หลายแสวงหาและค้นพบพระธรรม (2) จักตดั มวลกิเลสทัง้ หลายใหถ้ ึงทสี่ ดุ การจะช่วยเหลือโดยการทาประโยชน์แก่ สรรพสัตว์ได้น้นั พระโพธสิ ัตว์จะต้องบาเพ็ญและพากเพียรในการดับกิเลส เนื่องจากแม้มีเพียง โพธิจิต แต่หากไม่ขัดเกลาและทาลายรากเหง้าของกิเลสทั้งหลายแล้ว ก็ยากท่ีความกรุณาของ พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์จะแผ่ไปสู่สัตว์โลกท้ังหลายได้ กล่าวคือ ไม่สามารถช่วยเหลือ สรรพสัตวไ์ ด้ตราบเทา่ ทีต่ นเองยังไม่สน้ิ กเิ ลส (3) จักศึกษาพุทธธรรมให้จบส้ิน หมายถึง ศึกษาเล่าเรียนจนรู้แจ้งเห็นจริง ทั้งหมดเพราะพระธรรมเป็นวิธีการหรืออุบายในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ของพระพุทธเจ้าและ พระโพธิสัตว์ เน่ืองจากสรรพสัตว์ประกอบด้วยกิเลส การกาจัดกิเลสต้องอาศัยเคร่ืองมือที่จะ ขจัดให้หมดส้ินไป พระพุทธธรรมเท่าน้ันที่เป็นเหมือนอาวุธช้ันยอดซึ่งสามารถตัดกิเลสทั้งปวง ให้หมดสน้ิ ไปได้ 35อภชิ ัย โพธิประสิทธิศาสตร์, พุทธศาสนามหายาน (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏ ราชวทิ ยาลยั , 2539), หนา้ 254. ศาสนาขั้นแนะนา | 95

(4) จักบรรลุพุทธภาวะอันประเสริฐยิ่ง เพราะพุทธภาวะ กล่าวคือความเป็น พระพุทธเจ้า คือ เป้าหมายสูงสุดของการเข้าสู่พุทธภูมิอันสมบูรณ์ เป็นความประเสริฐสูงสุดที่ มนุษย์พึงพยายามพากเพียรบากบ่ันให้ถึงพร้อมด้วยพุทธภาวะ เป็นอิสระจากความไม่รู้ (อวชิ ชา) ท่คี รอบงาใหม้ ืดมน ดงั น้ัน การประพฤติปฏบิ ัตเิ ร่มิ ตั้งแตก่ ารตั้งโพธิจติ จนถงึ การเข้าสู่ พุทธภาวะน้ัน เป็นการดาเนินไปตามวิธีที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ดาเนินมาแล้วตั้งแต่ในอดีต และจักยงั ดาเนินตอ่ ไปในอนาคต36 5) แนวคดิ เรอ่ื งพระพุทธเจ้า พุทธศาสนามหายานได้กาหนดจานวนพระพุทธเจ้าไว้มากมาย ต่างรวมเรียก พระพุทธเจ้าท้ังหลายเป็นอย่างเดียวกันว่า ตถาคต ประทับอยู่ ณ ดินแดนแห่งเดียวกัน คือ พุทธเกษตร อันเป็นสถานท่ีมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองและมีแต่ความสุขทุกอย่าง โดยแบ่ง พระพทุ ธเจ้าออกเปน็ 3 ประเภท คอื (1) พระอาทพิ ทุ ธเจ้า พระอาทิพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติข้ึนมาพร้อมกับโลกองค์แรกและประจา อยชู่ ว่ั นิรันดร เปน็ พระพุทธเจา้ ทีเ่ กิดขึ้นมาเองก่อนสิง่ ใดท้งั หมด ซง่ึ ไม่สามารถระบุเบ้ืองต้นและ เบื้องปลายได้ เป็นผู้ให้กาเนิดพระมานุษิพุทธเจ้าและธยานีพุทธเจ้า รวมทั้งพระโพธิสัตว์ ท้ังหลาย และให้กาเนดิ สรรพส่งิ ตา่ งๆ ทั้งมวลทีม่ อี ยใู่ นสกลจักรวาลน้ี หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่ง ว่า ทุกส่ิงทุกอย่างในจักรวาลนี้ ล้วนถือกาเนิดมาจากองค์พระอาทิพุทธเจ้าน้ีทั้งส้ิน พระอรรถกถาจารย์ได้สร้างพระอาทิพุทธเจ้าน้ีขึ้นมาเพ่ือให้แบ่งภาคลงมาปรากฏเป็น พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นแนวคิดที่ต่อสู้กับพระพรหมของศาสนาพราหมณ์ แนวคิดน้ีเร่ิมปรากฏการนับถือเป็นคร้ังแรกในประเทศเนปาล คือ นิกายท่ีเรียกว่า ไอศวาริก นิกาย นอกจากนีก้ ย็ งั ไมแ่ พรห่ ลายนกั แต่ในนิกายตันตระหรอื ลัทธลิ ามะ เรียกพระอาทิพุทธเจ้า น้ีว่า พระธรรมกายสมันตภัทร โดยมีพระธรรมที่ทรงแสดงคู่เคียงกันเรียกว่า อาทิธรรม หรือ อธปิ รชั ญา37 (2) พระธยานพิ ทุ ธเจ้า พระธยานิพุทธเจ้านี้เป็นอวตารของพระอาทิพุทธเจ้า หรือเกิดขึ้นมาจากอานาจ แหง่ ฌานของพระอาทพิ ทุ ธะเพ่อื ปกครองดินแดนที่มีอยู่มากมายเหมอื นทรายในแม่น้าที่เรียกว่า พุทธเกษตร ในแต่ละพุทธเกษตรจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยทาหน้าท่ีโปรดเวไนยสัตว์อยู่ 36ส. ศิวรักษ์, ความเข้าใจเร่ืองมหายาน (กรุงเทพฯ : ศูนย์ไทยธิเบต, 2542), หน้า 4-5. 37คณะสงฆ์จีนนกิ าย, พุทธศาสนามหายาน (กรุงเทพฯ : มูลนิธิสังฆประชานุเคราะห์, 2531), หน้า 394. 96 | พทุ ธศาสนา

หนง่ึ พระองค์และสภาวะของแต่ละพทุ ธเกษตรอาจจะมีความแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม ของการโปรดสตั วใ์ นพทุ ธเกษตรน้ันๆ ตามทัศนะของพุทธศาสนามหายาน พระธยานิพุทธเจ้ามีจานวน 5 พระองค์ คือ พระไวโรจนพุทธเจ้า พระอักโษภยพุทธเจ้า พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า พระอมิตาภพุทธเจ้า และ พระอโมฆสิทธ3ิ 8 พระธยานิพุทธเจ้ากม็ ีอานาจฌานเช่นเดียวกับพระอาทิพุทธเจ้า สามารถทาให้เกิด พระธยานิโพธิสัตว์ได้ 5 องค์ เช่นเดียวกัน ได้แก่ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระวัชรปาณี โพธสิ ตั ว์ พระรตั นปาณีโพธิสตั ว์ พระอวโลกิเตศวรโพธสิ ัตว์ และพระวศิ วปาณีโพธิสัตว์39 (3) พระมานษุ พิ ุทธเจา้ พระมานุษิพุทธเจ้า เป็นผู้ถือกาเนิดมาจากพระอาทิพุทธเจ้า โดยแสดงตนออกมา ในรูปของมนุษย์ธรรมดาและอุบัติขึ้นมาในโลกมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อเป็นอุบายแห่งการสอน สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้เร่งปฏิบัติธรรมด้วยความไม่ประมาท พระมานุษิพุทธเจ้ามี จานวน 5 พระองค์ คือพระทีปังกรพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า พระเมตไตรยพทุ ธเจ้า และพระไภสัชชคุรุพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์น้ีได้รับการนับถือมาก ในประเทศจีนและญ่ีปุ่น โดยมีความเช่ือว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นนายแพทย์ท่ีรักษาโรคและ ประทานยาแก่สรรพสัตว์เพ่ือให้หายจากโรค สรรพสัตว์ที่ศรัทธาในพระองค์เพียงแค่สัมผัส พระพทุ ธรปู ของพระพุทธเจา้ องคน์ เ้ี ท่านั้นก็สามารถหายจากโรคตา่ งๆ ได้ 6) แนวคดิ เรอื่ งพุทธเกษตร พุทธศาสนาเถรวาทเช่ือว่า ในจักรวาลหน่ึงๆ จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติข้ึน มากกว่าหน่ึงพระองค์ในเวลาเดียวกันไม่ได้ แต่มหายานเชื่อต่างไปจากนี้ว่า ในจักรวาลอัน เว้ิงว้างนี้ สามารถแบ่งเน้ือที่ออกเป็นส่วนย่อยลงไปอีกนับจานวนไม่ถ้วน อาณาเขตย่อยๆ ของ จักรวาลแต่ละอาณาเขตเรียกว่าพุทธเกษตร (Pure Land) ในหน่ึงพุทธเกษตรจะมีพระสัมมา สัมพุทธเจ้าประทับอยู่หน่ึงพระองค์ ดังน้ัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความเช่ือของมหายาน จึงสามารถอุบัติข้ึนเพื่อทาหน้าท่ีโปรดเวไนยสัตว์ในแต่ละจักรวาลทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างมากมายมหาศาลนบั ประมาณมิไดด้ จุ เมลด็ ทรายในแม่นา้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในแต่ละพุทธเกษตร ไม่ว่าจะอยู่ในภาค สัมโภคกาย หรือนิรมาณกาย ท้ังหมดล้วนบังเกิดข้ึนออกมาจากธรรมกายอันเดียวกัน พระสัมม าสัมพุทธ เจ้าในแ ต่ละพุทธ เกษตร อาจมีลัก ษณะแล ะ คุณสมบัติ ที่แตกต่า งกันตา ม ความเหมาะสมในการโปรดสัตว์ในพุทธเกษตรนั้นๆ แต่เป็นเพียงความแตกต่างภายนอก 38สมุ าลี มหณรงค์ชัย, พุทธศาสนามหายาน (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ศยาม, 2546), หนา้ 394. 39คณะสงฆจ์ ีนนกิ าย, พุทธศาสนามหายาน, หน้า 396. ศาสนาขน้ั แนะนา | 97

เท่าน้ัน โดยเนื้อแท้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้วนมาจากธรรมกายเดียวกัน เปรียบเหมือนน้าแม้ จะอยู่คนละสถานที่ก็ล้วนเป็นน้า ท่มี ีเนอ้ื แท้เปน็ ชนดิ เดียวกนั พทุ ธเกษตรแต่ละแหง่ จะแตกต่างกันออกไปตามบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประจาพุทธเกษตรน้นั ๆ ในสมยั ท่เี ป็นพระโพธสิ ตั ว์ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าพระองค์ใดได้บาเพ็ญ บารมีไว้มาก อานาจพระบารมีน้ันจะส่งผลให้พุทธเกษตรของพระองค์รุ่งเรืองมากกว่า พุทธเกษตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บาเพ็ญบารมีมาน้อยกว่า พุทธเกษตรท่ีเช่ือกันว่าเป็น พุทธเกษตรท่ีรุ่งเรืองท่ีสุด และเป็นท่ีนิยมมากท่ีสุดในบรรดาพุทธเกษตรท้ังหมด ก็คือสุขาวดี พทุ ธเกษตรอนั เปน็ ทีอ่ ยู่ของพระอมิตาภพทุ ธเจา้ ตามทศั นะของพุทธศาสนามหายาน สุขาวดีพุทธเกษตรยังไม่ใช่นิพพาน แตกต่าง จากพุทธเกษตรที่เราอาศัยอยู่น้ี เพราะเป็นสถานท่ีน่าร่ืนรมย์อย่างยิ่ง ไม่มีแม้แต่อบายภูมิ จงึ สมบูรณ์ด้วยส่ิงอานวยความสขุ นานาประการ อายุของผู้ที่เกิดในดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ กย็ าวนานมาก ฉะนัน้ จงึ คลา้ ยกับว่าเปน็ สถานท่อี ยู่อนั ถาวรไป แนวคิดเร่อื งพุทธเกษตรน้ี เช่ือว่ามาจากทัศนะของฝ่ายมหายานที่มองว่า นิพพาน มิใช่สิ่งท่ีคนเราจะบรรลุได้ง่ายๆ เป็นส่ิงที่อยู่ไกลเกินกว่าคนธรรมดาท่ัวไปจะเอื้อมถึง ซ่ึงการท่ี จะบรรลุนิพพานได้นั้นจะต้องปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอย่างเคร่งครัดและต้องใช้เวลาใน การปฏิบัตินานนาน จึงได้ถูกปรับให้กลายมาเป็นส่ิงที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการทาบุญ ความ ศรัทธาเช่ือมั่นในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพุทธเกษตรนั้นๆ อันจะส่งผลให้ไปเกิดในดินแดน แห่งหนึ่ง เรียกวา่ พุทธเกษตร ซ่ึงมีเงื่อนไขเอ้ืออานวยแก่การเข้าถึงนิพพานต่อไปโดยไม่ยากนัก โดยเฉพาะผู้ท่ีไปเกดิ ในสุขาวดีพทุ ธเกษตร กย็ อ่ มจะมโี อกาสเข้าถึงนิพพานได้ง่ายกว่าผู้ท่ีเกิดใน พุทธเกษตรอ่ืน ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าถึงนิพพานได้ภายในชาติน้ัน ส่วนผู้ที่เกิดในสุขาวดี พุทธเกษตรแล้ว ทุกคนย่อมเป็นผู้เท่ียงแท้ต่อนิพพาน คือจะต้องเข้าถึงนิพพานภายในชาตินั้น ทกุ คน จากท่กี ลา่ วมาขา้ งต้น สรปุ เปน็ แผนภูมิ เพ่อื ความเขา้ ใจงา่ ยดังนี้ หลักคาสอน เถรวาท หลักไตรลักษณ์ พระโพธสิ ัตว์ มหายาน กฎแห่งกรรม ตรกี าย อริยสัจ 4 นิพพาน o ตรียาน จตุรมหาปณธิ าน พระพุทธเจา้ พทุ ธเกษตร แผนภมู ภิ าพท่ี 4-2 หลกั คาสอนทีส่ าคญั ของพทุ ธศาสนา 98 | พทุ ธศาสนา

4.5 นิกายในศาสนา หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เกิดความวุ่นวายขึ้นในหมู่พระสงฆ์โดย หลกั ใหญ่มีสาเหตมุ าจากความคดิ เห็นท่ีแตกต่างกันในเรื่องพระธรรมวินัย โดยเฉพาะข้อปฏิบัติ ของพระภิกษจุ นทาใหเ้ กิดการสังคายนาขึน้ หลายคร้ัง โดยเฉพาะการสังคายนาคร้ังท่ี 2 หลังจาก ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ 100 ปี ซึ่งเป็นผลให้ภิกษุสงฆ์แตกแยกกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือฝ่ายเถรวาท หมายถึงพวกท่ีถือตามความคิดเห็นหรือมติของพระเถระคือ ผู้สังคายนาครั้งแรก กลุ่มที่สองคือ พวกมหาสังฆิกะ แปลว่าพวกมาก ต่อมากลุ่มน้ีได้มีการ พัฒนามาไปตามลาดับของเวลาจนกระทั่งกลายมาเป็นพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ดังนั้น ในปจั จุบนั พุทธศาสนาจึงมีนกิ ายทีส่ าคญั 2 นิกาย ดังต่อไปนี้ 4.5.1 พทุ ธศาสนาเถรวาท คาว่า เถรวาท แปลตามตัวว่า วาทะของพระเถระ เป็นพุทธศาสนาแบบด้ังเดิม เครง่ ครัดในพระธรรมวนิ ัย พยายามรกั ษาแนวความเชือ่ และการประพฤติปฏิบัติตามท่ีพระเถระ รุ่นแรกๆ ในพุทธกาล เช่น พระมหากัสสปะ พระอุบาลี และพระอานนท์ เป็นต้น ได้ทาการ สงั คายนาไว้ นิกายเถรวาทนีเ้ รียกอกี อยา่ งหนึง่ วา่ ทกั ษณิ นิกาย (นิกายฝา่ ยใต้) เพราะภายหลังที่ มนี กิ ายมหายานเกิดขนึ้ แล้ว นกิ ายเถรวาทได้ปกั หลกั อยทู่ ่ีภาคใตข้ องอินเดีย นิกายเถรวาทถือคาสอนหลังทางพระพุทธศาสนาคือการพึ่งตนเอง และ การพยายามปฏิบัติตนเพ่ือความหลุดพ้นด้วยตนเอง เนื่องจากเห็นว่าความหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นเรื่องเฉพาะตวั ถ้าไม่พยายามแก้ไขปญั หาข้อคับข้องด้วยตนเองแล้วย่อมไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ ได้ ฝ่ายมหายานเข้าใจว่าฝ่ายเถรวาทเป็นพวกเห็นแก่ตัว คิดจะพ้นทุกข์ตามลาพัง ไม่คิดช่วย ผู้อน่ื ให้พ้นทุกข์พรอ้ มกนั ไปดว้ ย จงึ เรียกฝา่ ยเถรวาทว่า หนี ยาน แปลว่า ยานอันคับแคบ เพราะ ไม่สามารถบรรทุกผู้โดยสารเป็นจานวนมากให้ข้ามห้องทุกข์ไปได้พร้อมๆกัน ทีเดียว อย่างไร ก็ตาม ในการประชุมขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกครั้งท่ี 1 ในประเทศศรีลังกา ที่ประชมุ ไดม้ ีมติให้ยกเลิกการใช้คาว่า หีนยานเพราะเป็นคาแสดงการดูหมิ่นดูแคลน และให้ใช้ คาวา่ เถรวาทเป็นชื่อนิกาย ในปัจจุบัน ประเทศท่ีนับถือศาสนานิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจาชาติมีเพียง 3 ประเทศ คอื ประเทศไทย ประเทศพม่า และประเทศศรีลงั กา 4.5.2 พทุ ธศาสนามหายาน คาว่า มหายาน แปลตามตัวว่า “ยานใหญ่” หรือ “ยานอันกว้างขวาง” เพราะ สามารถบรรทุกคนเป็นจานวนมากข้ามความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่นิพพานได้ใน คราวเดียว นิกายน้ีเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า อุตตรนิกาย (นิกายฝ่ายเหนือ) เพราะมีฐานอยู่ทาง ภาคเหนอื ของอนิ เดยี นอกจากน้ันอาจเรียกได้อีกอย่างหน่ึงว่า อาจริยวาท แปลตามตัวว่า วาทะ หรือคากล่าวของอาจารย์ เพราะยอมรับวาทะหรือคาสอนของบรรดาอาจารย์รุ่นหลังๆ ซึ่งมิได้ อยใู่ นยคุ เดยี วกนั กับพระพุทธเจ้า ศาสนาขั้นแนะนา | 99

หลักคาสอนของนิกายมหายานได้เริ่มเผยแผ่ออกไปประมาณพุทธศตวรรษท่ี 6 ในครงั้ นนั้ อศั วโฆษไดร้ จนาคัมภรี ม์ หายานเล่มแรกขึ้นคือ มหายานศรัทธาโธตปาทศาสตร์ และ มีผู้แปลเป็นภาษาจีนเม่ือพุทธศตวรรษท่ี 11 พุทธศาสนานิกายมหายานได้เผยแผ่ไปถึงจีน ทิเบต เกาหลี และญปี่ ุ่น และแตกสาขาออกเปน็ นกิ ายย่อยมากมาย เช่น นิกายเซนในญ่ีปุ่น และ นกิ ายวชั รยานในทิเบต เปน็ ตน้ จากทก่ี ลา่ วมาข้างตน้ สรปุ เปน็ แผนภูมิ เพ่อื ความเข้าใจงา่ ยดังน้ี เถรวาท อนุรักษน์ ยิ ม นกิ าย มหายาน หวั สมัยใหม่ แผนภมู ภิ าพที่ 4-3 นกิ ายในพทุ ธศาสนา 4.6 พธิ กี รรมสาคัญ พิธีกรรมหรือศาสนพิธีนับเป็นองค์ประกอบหนึ่งของพุทธศาสนา ผู้เขียนจะขอ นาเสนอเป็น 2 ประเภทตามนิกายสาคัญของพุทธศาสนา กล่าวคือ พุทธศาสนานิกายเถรวาท และพุทธศาสนามหายาน ดังต่อไปน้ี 4.6.1 พธิ กี รรมของพุทธศาสนาเถรวาท พิธีกรรมของพุทธศาสนาเถรวาทแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ พิธีกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับ วนิ ัยของพระสงฆ์ ซง่ึ เกิดข้ึนจากขอ้ บญั ญัตทิ างพระวินัยท่ีพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้น เช่น การถวาย ผ้าอาบน้าฝน การถวายผ้าจานาพรรษา การทอดกฐินและผา้ ป่า การบรรพชา อุปสมบท เป็นต้น และพิธีกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับวินัยของพระสงฆ์ แต่นาพระพุทธศาสนาเข้าไปเก่ียวข้อง เช่น การทาบุญเล้ียงอาหารในโอกาสต่างๆ ส่วนใหญ่เกิดจากความเชื่อในหลักธรรมคาสอนของ พระพทุ ธศาสนา แลว้ นามาแปลงเปน็ ข้อปฏิบัติในศาสนพธิ ี40 เมื่อกล่าวโดยรายละเอียด พิธีกรรมในพุทธศาสนาเถรวาท ซ่ึงเป็นท่ีนิยมและ รับรองปฏิบัติสืบๆมาจนเป็นประเพณีมีมากมาย แต่เม่ือแยกเป็นหมวดแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังตอ่ ไปน้ี คอื 1) หมวดกุศลพธิ ี วา่ ด้วยการบาเพ็ญกุศล เป็นเร่อื งพธิ ีกรรมตา่ งๆ อันเก่ียวด้วย การอบรมความดีงามทางพระพุทธศาสนาเฉพาะตัวบุคคล คือ เร่ืองสร้างความดีแก่ตนทาง 40กรมการศาสนา, ศาสนพิธี (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา, 2531), หน้า 2. 100 | พทุ ธศาสนา

พระพุทธศาสนาตามพิธีนั่นเอง พิธีในประเภทน้ีมีมากด้วยกัน เม่ือจัดเข้าเป็นหมวดเดียวกัน จึงให้ชื่อหมวดว่าหมวดกุศลพิธี แต่กุศลพิธีเฉพาะท่ีพุทธบริษัทพึงปฏิบัติในเบื้องต้นทั่วไปมี 3 ประเภท คือ พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ พิธีรักษาอุโบสถศีล และพิธีเวียนเทียนในวันสาคัญ ทางศาสนา ไดแ้ ก่ วันมาฆบชู า วนั วิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชาและวันอัฐมบี ชู า 2) หมวดบุญพิธี ว่าด้วยพิธีทาบุญ เป็นพิธีทาบุญที่เนื่องกับประเพณีใน ครอบครัว ประกอบด้วยพิธีดังต่อไปน้ี คือ การทาบุญเลี้ยงพระซึ่งนิยมทาทั้งในงานบุญมงคล เช่น การแต่งงาน งานฉลองบวชใหม่ งานทาบุญต่ออายุ งานทาบุญเอาฤกษ์ชัยมงคล และการ ทาบญุ งานอวมงคล เช่น การทาบญุ หนา้ ศพ การทาบุญอัฐิ การสวดพระอภิธรรม เปน็ ตน้ 3) หมวดทานพิธี วา่ ดว้ ยพิธีถวายทาน เป็นพธิ ที ่ีเกยี่ วข้องกบั การถวายสิ่งของแก่ พระสงฆ์ เช่น การถวายสังฆทาน การถวายสลากภัต การตักบาตรข้าวสาร การตักบาตรน้าผ้ึง การถวายเสนาสนะต่างๆ การถวายผ้าอาบน้าฝน การทอดผ้าป่า การถวายดอกไม้ธูปเทียน เปน็ ต้น 4) หมวดปกิณกะ ว่าด้วยพิธีเบ็ดเตล็ด เป็นพิธีที่เกี่ยวกับข้อปฏิบัติทั่วไปซ่ึงไม่ เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมท้ัง 3 ข้างต้น เช่น วิธีการถวายความเคารพพระ วิธีการประเคนของพระ วิธีทาหนังสืออาราธนาและทาใบปวารณาถวายจตุปัจจัย วิธีอาราธนาศีล วิธีอาราธนาพระปริตร และอาราธนาธรรม วธิ กี รวดน้า เปน็ ตน้ กล่าวโดยสรุปไดว้ ่า พทุ ธศาสนพธิ เี ปน็ เรอื่ งทใี่ ห้ความรู้เก่ียวกับพิธีหรือแบบอย่าง ท่ีพึงปฏิบัติในทางพระศาสนา เก่ียวกับการอบรมความดีงามเฉพาะตัวบุคคล พิธีทาบุญเนื่อง ด้วยประเพณีในครอบครัว พิธีถวายทานแด่พระสงฆ์ ข้อปฏิบัติในการประกอบพุทธศาสนพิธี และพิธีเบ็ดเตล็ดบางประการ พระราชพิธี พระราชกุศล และรัฐพิธี ที่ชาวพุทธทั้งบรรพชิตและ คฤหัสถ์ ควรจะได้ศึกษาให้รู้และเข้าใจเพ่ือปฏิบัติให้ถูกต้อง อันเป็นการส่งเ สริมให้ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวจนถึงอนุชน คนรุน่ หลงั ตอ่ ไป 4.6.2 พิธกี รรมของพทุ ธศาสนามหายาน พิธีกรรมของพุทธศาสนามหายานในบทน้ี จะกล่าวเฉพาะพิธีกรรมของ พุทธศาสนามหายานที่ยอมรับนับถือกันในประเทศไทย 2 นิกาย ได้แก่ จีนนิกาย และอนัม นิกาย ซึ่งมีพิธีกรรมปฏิบัติเป็นการเฉพาะตนตามหลักศรัทธา และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของ สังคม แต่นอกจากจะมีพิธีกรรมที่เป็นไปตามหลักคาสอนแล้ว เม่ือเข้ามาในประเทศไทยก็ได้ อนุวัติข้อวัตรปฏิบัติบางส่วนให้สอดคล้องกับวิถีปฏิบัติของชาวไทยท่ียึดแบบอย่างฝ่ายเ ถรวาท พิธกี รรมสาคัญของพุทธศาสนามหายาน มีดังนี้ ศาสนาขั้นแนะนา | 101

1) พธิ ตี รษุ จนี ตรุษจนี น้นั เปน็ เทศกาลที่กาหนดวันส้ินสุดปีเก่า และเร่ิมต้นปีใหม่ตามปีจันทรคติ ของชาวจีน ซึ่งจะอยู่ระหว่างประมาณเดือนมกราคมกับเดือนกุมภาพันธ์ ตรุษจีนน้ันมิได้เป็น พธิ กี รรมทางพุทธศาสนาโดยตรง แต่สืบเนอื่ งมาจากลทั ธิเตา๋ และขงจ้ือ ในเทศกาลตรุษจีนนี้ ลูกหลานจะพากนั ไปคารวะผูอ้ าวุโสในตระกูลเพื่อขอพร และ ผู้ใหญ่หรือนายจ้างก็จะแจกเงินแก่ลูกหลานหรือลูกจ้าง เรียกว่า เงินแตะเอีย (หมายความว่า ถ่วงไว้ที่เอว กล่าวคือ รับเงินโบราณมีรูตรงกลาง แล้วร้อยเชือกไว้ท่ีเอว) หรืออั่งเปา (แปลว่า ห่อแดง ซึ่งนิยมใช้มากในปัจจุบัน) ผู้ประกอบธุรกิจก็อาจถือโอกาสหยุดกิจการเพ่ือตนเองและ ครอบครัว รวมทง้ั ลกู จ้างได้หยุดพักผ่อน หลงั จากท่ีไดต้ รากตรากบั ภารกจิ มาตลอดท้ังปี เพ่ือจะ ได้มีพลงั กายและพลังความคิดไว้ดาเนินธุรกจิ ในปีใหม่ 2) พิธกี นิ เจ กินเจเป็นพิธีปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะสาหรับชาวญวนและจีน รวมถึง ชาวไทยเช้ือสายจีนและญวนด้วย และปัจจุบันนี้ ก็มีชาวไทยจานวนมากท่ีนิยมกินเจในเทศกาล กินเจด้วยเช่นกัน โดยเทศกาลกินเจเร่ิมตั้งแต่วันข้ึน 1 ค่า เดือน 9 ถึง 9 ค่า เดือน 9 ตาม ปฏิทินจีน จุดมุ่งหมายของพิธีกินเจคือ เพื่อบูชาพุทธเจ้า 7 องค์ และพระโพธิสัตว์อีก 2 องค์ ซ่ึงผู้ท่ีสมาทานกินเจจะพากันสละโลกียวัตร บาเพ็ญศีล ถือตบะข้อมังสวิรัติ บริโภคแต่ผักและ ผลไม้ ไม่กระทากิจอนั เป็นการเบยี ดเบยี นกอ่ ความเดอื นรอ้ นแก่สัตว์ทั้งมวล ได้ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อ ชาระกาย วาจา และใจหมดจด นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ มุ่งปฏิบัติ ธรรมในวัดหรอื โรงพิธกี รรม โดยการจัดดอกไม้ธูปเทียน ไปจุดบูชาเทพเจ้าท้ัง 9 องค์ และต้อง จดั หาเคร่อื งกระดาษทาเป็นรูปเครือ่ งทรง เส้อื ผ้า หมวก รองเทา้ กระดาษเงิน และกระดาษทอง ไปน้อมถวายเปน็ สักการะเพอ่ื ขอพรให้ประทานความสมบรู ณพ์ ูนสขุ ให้ 3) พธิ ที ้ิงกระจาดแจกไทยทาน พิธีทิ้งกระจาดแจกไทยทาน (ซิโกวโพ่วโต่ว) เป็นพิธีโปรดวิญญาณผู้ที่ล่วงลับไป แลว้ พิธีน้ีจะเริม่ พธิ ีจากพระสงฆ์สวดอญั เชญิ พระรตั นตรัยเป็นประธาน พระภิกษุผู้เป็นประธาน สงฆ์เป็นผู้ประกอบพิธี เรียกว่า พระวัชรธราจารย์ (เส่ียงซือ) เป็นตัวแทนของพระโพธิสัตว์ ประกอบพิธีโปรดสรรพสัตว์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ ชาระมณฑลพิธีให้บริสุทธ์ิด้วยพลัง แหง่ พระสทั ธรรม ในระหว่างการประกอบพิธี พระวชั รธราจารยจ์ ะใช้กระด่ิงวัชระ (วัชรมัณฎา) วัชราวุธและวัชรคฑา (รูปวัชระเป็นตัวแทนของธรรมซึ่งเปรียบประดุจอาวุธของพระโพธิสัตว์ท่ี ใช้ในการปราบมาร คือ กิเลสท้ังหลายให้หมดสิ้นไปจากเหล่าสัตว์โลก) จากน้ัน จึงถวายรูป มณฑลบูชาเพือ่ เป็นตัวแทนโลกธาตุแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทรงโปรดสรรพสัตว์ และ ประกอบพธิ ีถวายเครอื่ งพทุ ธบชู าทั้ง 6 ได้แก่ ดอกไม้ เครื่องหอม ตะเกียง น้าหอม ผลไม้ และ ดนตรีแดพ่ ระรัตนตรยั และอัญเชิญพระบารมแี ห่งอดีตพระพทุ ธเจ้าทงั้ 7 พระองค์ 102 | พทุ ธศาสนา

เมื่อสวดสาธยายอัญเชิญพระบารมีพระพุทธเจ้า 7 พระองค์แล้วประกอบ มุทรา คือ การทามือเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ การเพ่งจิตไปยัง สัตว์ในไตรภูมิแห่งสัตว์โลกท้ังหลายที่ทนทุกข์ทรมานให้ยึดถือพระสัทธรรมเป็นดุจมหาธรรม นาวาช่วยขนสรรพสัตวใ์ หพ้ น้ จากทกุ ขเวทนา ในตอนสุดท้าย พระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์ส่งวิญญาณของเหล่าสรรพสัตว์ไป ยังแดนสุขาวดี และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้บาเพ็ญทานและผู้เข้าร่วมในพิธีทุกท่าน ให้ได้รับ อานสิ งสผ์ ลบญุ ผลทานจากการประกอบพิธีโยคะกรรมเปรตพลีน้โี ดยท่ัวกัน41 4) พิธกี งเต็ก การประกอบพิธกี งเตก็ ในปัจจุบนั น้ยี ังคงยดึ ถอื กระทากนั ในหมูช่ าวไทยเชื้อสายจีน อย่โู ดยมกี ารจัดทากนั ในศาลาสวดศพในวัดตา่ งๆ หรอื สถานท่ีท่จี ัดเตรยี มไว้ ซ่ึงจะต้องมีบริเวณ ในการทาพิธีที่กว้างขวาง ซึ่งในปัจจุบันนี้ การประกอบพิธีกงเต็กนั้น แบ่งได้ 2 แบบตาม ช่วงเวลาของระยะเวลาการประกอบพิธี คือ งานเช้าเป็นการจัดทาพิธีกงเต็ก ในช่วงเช้าถึงเที่ยง ประมาณ 09.00 น. – 12.00 น. และงานบ่ายเป็นการจัดทาพิธีกงเต็ก ในช่วงบ่ายถึงค่า ประมาณ 14.00 น. – 22.00 น. ในปัจจุบันนี้ ขั้นตอนหรือลาดับขั้นของการทาพิธีบางพิธีได้มีการเปลี่ยนแปลงไป กับลาดบั ขน้ั ตอนการประกอบพธิ กี งเตก็ ในอดีต เนอ่ื งจากบางพิธีมีการเพ่ิมเข้ามา และมีบางพิธี ไมม่ ีการประกอบแลว้ ในปัจจบุ นั จากท่ีกล่าวมาข้างตน้ สรุปเปน็ แผนภูมิ เพอื่ ความเข้าใจงา่ ยดังน้ี 41ธีรยุทธ สุนทรา, พุทธศาสนามหายานในประเทศไทย จีนนิกายและอนัมนิกาย, (กรงุ เทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2540), หนา้ 78. ศาสนาขัน้ แนะนา | 103

พธิ กี รรม เถรวาท กศุ ลพธิ ี ตรุษจีน มหายาน บุญพธิ ี ทานพิธี o ปกิณณกพิธี กินเจ ทิง้ กระจาด แจกไทยทาน กงเต็ก แผนภูมภิ าพที่ 4-4 พธิ ีกรรมของพทุ ธศาสนา 4.7 สญั ลักษณข์ องศาสนา สัญลักษณ์ของพุทธศาสนามีหลายประการ แต่มีสัญลักษณ์ท่ีเป็นท่ีรู้กันโดยทั่วไป มีดังตอ่ ไปน้ี 1) พระพทุ ธรปู พุทธศาสนิกชนนิยมสร้างพระพุทธรูปขึ้นในอิริยาบถต่างๆ ไว้เป็นเคร่ืองเคารพ สักการบูชาแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหมือนเคร่ืองเตือนสติให้ผู้พบเห็นน้อม ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระกรณุ าธิคุณของพระพุทธองค์ พระพุทธรูปมีหลายอิริยาบถท่ีเรียกว่า ปาง เช่น พระพุทธรูป ปางไสยาสน์ ปางประทานพร ปางหา้ มญาติ ปางมารวิชัย เป็นต้น นอกจากพระพุทธรูปแบบ ยัง มีคตินิยมทาพระบูชาองค์เล็กๆที่เรียกว่า พระเครื่อง ไว้สาหรับห้อยคอ หรือเก็บไว้บูชาในบ้าน อีกดว้ ย แหล่งท่มี า : ภาพสญั ลักษณ์ http://www.gotoknow.org/blog/vatin-history/339740 104 | พทุ ธศาสนา

2) ธรรมจักร ธรรมจกั ร หมายถึง วงล้อแห่งพระธรรม เป็นเหมือนสัญลักษณ์ท่ีแสดงหลักธรรม สาคัญของพุทธศาสนา กล่าวคือ มรรค 8 ซึ่งปรากฏอยู่ในหลักคาสอนเร่ืองอริยสัจข้อท่ี 4 ซึ่ง เป็นหลักธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และแสดงเป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก หรือ เป็นการแสดงถึงการประกาศหลักธรรมของพระพุทธเจ้าท่ีเปรียบเหมือนการหมุนล้อของธรรม ให้เป็นไปเพ่ือประโยชน์สุขของมหาชน จึงนิยมใช้ธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์ ซ่ึงมีจานวน 8 กา (ซลี่ ้อ) ธรรมจักรนไ้ี ด้รบั การรับรองให้เปน็ สญั ลกั ษณข์ องพระพทุ ธศาสนาในระดบั ชาติ แหล่งท่ีมา : ภาพสญั ลักษณ์ http://religious-studies-mbu.blogspot.com/ 3) ต้นโพธิ์ หรอื ใบโพธิ์ ต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับนั่งระหว่างท่ีทรงบาเพ็ญ เพียร และได้ตรัสรู้ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เพราะคาว่า โพธิ น้ัน แปลว่า การรู้แจ้ง การตื่นจากความลุ่มหลงเพราะอานาจกิเลส ดังนั้น จึงใช้เป็น สัญลกั ษณ์ของการเป็นศาสนาแหง่ ปัญญาของพระพทุ ธศาสนา แหล่งท่มี า : ภาพสัญลักษณ์ http://www.pitaktham.com ศาสนาข้นั แนะนา | 105

4) รอยพระพทุ ธบาท ในสมัยท่ียังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป ชาวพุทธนิยมสร้างรอยพระพุทธบาทซ่ึง แทนองคพ์ ระสมั มาสมั พุทธเจา้ อันเป็นสญั ลกั ษณท์ ห่ี มายถึงรอ่ งรอยแห่งความดีที่พระพุทธองค์ ทรงประทับไวเ้ ปน็ แบบอยา่ ง แหล่งท่มี า : ภาพสญั ลกั ษณ์ http://www.heritage.thaigov.net/religion 5) ธงฉัพพรรณรังสี ธงฉัพพรรณรังสี นับเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหน่ึงของพระพุทธศาสนา ธงน้ีมี 6 สี เรียกว่า ธงฉัพพรรณรังสี ที่ใช้กันอยู่ในประเทศศรีลังกาได้รับการให้ใช้เป็นธงแห่ง พระพุทธศาสนาระดับชาติ แต่ในประเทศไทย นิยมใช้ธงธรรมจักรพื้นสีเหลืองและมี ตราธรรมจักรอยตู่ รงกลางมากกวา่ แหลง่ ทมี่ า : ภาพสญั ลักษณ์ http://www.volunteerspirit.org/buddhajayanti 4.8 ฐานะปจั จุบนั ของศาสนา ปัจจุบันพุทธศาสนา ได้เจริญอยู่ในประเทศแถบเอเชีย เช่น ประเทศไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า เป็นต้น จนได้นามว่าประทีปแห่งทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศ ไทยได้ช่ือวา่ เป็นศนู ย์กลางของศาสนาพุทธ เพราะพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าประเทศอ่ืนๆ ชาวไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นพุทธศาสนิกชน จนพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติไทย แม้จะมไิ ดต้ ราไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม แม้กระท่ังองค์พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรง เป็นพุทธศาสนิกชนท้งั พฤตนิ ัยและนิตนิ ัย 106 | พุทธศาสนา

ประเทศไทยยังได้รับเลือกให้เป็นท่ีตั้งถาวรขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่ง โลกอีกด้วย แต่ละปีจะมีชาวต่างประเทศจานวนไม่น้อยเข้ามาบรรพชาอุปสมบทอยู่เสมอ จึงมี พระภิกษุ สามเณรชาวต่างชาติเป็นจานวนมากในประเทศไทย เช่น วัดป่านานาชาติ จังหวัด อบุ ลราชธานี เปน็ ตน้ และบรรดาท่านเหลา่ นน้ั บางรปู ก็ได้เดินทางกลับไปเผยแผ่พุทธศาสนาใน ประเทศของตน กลายเป็นกาลังสาคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธเป็นอย่างดี จึงทาให้ศาสนา พทุ ธขยายไปสู่ประเทศต่างๆ ท่นี บั ถอื ศาสนาอน่ื ทงั้ ในเอเชีย ยโุ รป อเมรกิ าและออสเตรเลยี ประเทศทั่วโลกท่ีพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าไปถึง มีการจัดต้ังสมาคมพุทธศาสนา การจัดตั้งสานักสงฆ์และวัด เพ่ือเป็นศูนย์กลางการศึกษาและปฏิบัติธรรมตลอดท้ังการเผยแผ่ พทุ ธศาสนาจงึ ทาให้มีองค์กรทางพุทธศาสนาในประเทศตา่ งๆ ท่ัวโลก นอกจากน้ี ประเทศทเี่ คยนับถือพุทธศาสนามาก่อน เช่น ประเทศจีน เป็นต้น เมื่อ ระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลาย ก็ได้หันมานับถือศาสนาพุทธอีก ทาให้มีจานวนพุทธศาสนิกชน ทั่วโลกเพ่ิมมากข้ึนเร่ือยๆ อีกท้ังองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกก็คอยเป็นศูนย์กลางจัด ให้ชาวพุทธท่ัวโลกมาประชุม ทาให้ทราบความเป็นไปของพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ หากมี อุปสรรคอันใดก็ช่วยกันแก้ไข ท้ังคอยประสานความแตกต่างระหว่างนิกายต่างๆ จึงทาให้ พทุ ธศาสนามีเอกภาพ และเป็นนิมิตหมายที่สาคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนาให้แพร่หลายย่ิงๆ ขนึ้ ไป ศาสนาขัน้ แนะนา | 107

แบบฝึกหดั ประจาบทท่ี 4 ตอนท่ี 1 จงทาเครอื่ งหมายกากบาท (X) ลงหน้าข้อที่ถกู ต้องทส่ี ดุ 1. คัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาทคือข้อใด? ก. สัทธรรมปุณฑริกสูตร ข. พระไตรปิฎก ค. พระสูตรดอกบัวขาว ง. ถูกทกุ ขอ้ 2. คัมภีรพ์ ทุ ธศาสนาเถรวาทไดร้ ับการจดั พมิ พ์ครง้ั แรกในประเทศไทยสมยั รชั กาลท่เี ท่าไร? ก. รัชกาลที่ 3 ข. รัชกาลที่ 4 ค. รัชกาลที่ 5 ง. รัชกาลที่ 6 3. การแบง่ คัมภรี พ์ ุทธศาสนามหายานจดั แบ่งออกเปน็ ก่ีระดบั ? ก. 2 ระดบั ข. 3 ระดับ ค. 4 ระดับ ง. 5 ระดบั 4. การทาสังคายนาพระไตรปฎิ กที่ยอมรบั กนั เฉพาะในนกิ ายเถรวาทมีท้งั หมดก่คี รั้ง? ก. 6 ครั้ง ข. 7 คร้ัง ค. 8 ครั้ง ง. 9 คร้ัง 5. พระวินัยปิฎกแบง่ ออกเป็นกสี่ ่วน? ข. 3 ส่วน ก. 2 ส่วน ง. 5 ส่วน ค. 4 ส่วน 6. พระไตรปิฎกทวี่ ่าดว้ ยเรื่องการประมวลคาสอนท่วั ไปของพระพุทธเจ้าและพระสาวกจัดอย่ใู น หมวดใด? ก. พระวนิ ัยปฎิ ก ข. พระสุตตนั ตปฎิ ก ค. พระอภิธรรมปฎิ ก ง. ถูกทุกข้อ 7. พระสตู รใดในพทุ ธศาสนามหายานที่อธิบายหลักการเรื่องศูนยตา? ก. อวตังสกสูตร ข. ไวปลุ ยสตู ร ค. ปรชั ญาปารมติ าสูตร ง. สทั ธรรมปณุ ฑรกิ สูตร 108 | พุทธศาสนา

8. พระสตู รทส่ี อนถงึ ความเปน็ อนั หนึง่ อนั เดียวกันของพระพทุ ธเจ้าคือพระสตู รใด? ก. อวตงั สกสูตร ข. ไวปลุ ยสูตร ค. ปรัชญาปารมติ าสูตร ง. สัทธรรมปณุ ฑรกิ สูตร 9. หลักคาสอนทีว่ ่า สังขารไมเ่ ที่ยงและเป็นทกุ ข์จัดอยูใ่ นคาสอนเรื่องใดของพทุ ธศาสนา? เถรวาท? ก. อรยิ สัจ 4 ข. ไตรลักษณ์ ค. เบญจศลี ง. กรรม 10. ลกั ษณะคาสอนทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์สาคัญท่ีสุดของพทุ ธศาสนาคือขอ้ ใด? ก. การเข้าถงึ พระเจ้า ข. การหลดุ พน้ ค. ความมเี หตมุ ผี ล ง. ไมม่ ขี อ้ ถูก 11. พทุ ธศาสนาถือวา่ กรรมใดเป็นจุดเร่มิ ตน้ ของพฤตกิ รรมมนษุ ย์? ก. กายกรรม ข. วจกี รรม ค. มโนกรรม ง. ถูกทกุ ข้อ 12. ขอ้ ใดคอื ประเภทของกรรมจาแนกตามหน้าท่ี? ก. กรรมดา ข. กรรมขาว ค. ครกุ รรม ง. ชนกกรรม 13. การกระทาทางกาย ทางวาจาและทางใจ ท่ไี ม่กอ่ ให้เกดิ บญุ และบาปเรยี กวา่ อะไร? ก. กรรมดา ข. กรรมขาว ค. กรรมทงั้ ดาทง้ั ขาว ง. กรรมไมด่ าไมข่ าว 14. ความหมายของอรยิ สจั 4 คอื ข้อใด? ก. ความจรงิ อนั ประเสรฐิ ข. ความจริงในธรรมชาติ ค. ความจริงของสรรพสง่ิ ง. ความเป็นเหตุและปัจจัยของธรรมชาติ 15. ในอรยิ สัจ 4 สภาวะหรอื สภาพทที่ นได้ยากคอื ขอ้ ใด? ก. สมุทัย ข. ทกุ ข์ ค. มรรค ง. นโิ รธ ศาสนาขน้ั แนะนา | 109

16. นิพพานในพทุ ธศาสนาเถรวาทมีกลี่ กั ษณะ? ก. 1 ลกั ษณะ ข. 3 ลักษณะ ค. 4 ลกั ษณะ ง. 2 ลกั ษณะ 17. ขอ้ ใดคือหลกั คาสอนท่สี าคัญของพุทธศาสนามหายาน? ก. พระโพธิสตั ว์ ข. พรหมนั ค. ตรเี อกานุภาพ ง. อาณาจกั รพระเจา้ 18. แนวคดิ เรือ่ งตรีกายของพทุ ธศาสนามหายาน พระพุทธเจ้ามีก่ีกาย? ก. 1 กาย ข. 2 กาย ค. 3 กาย ง. 4 กาย 19. ข้อใดคือสญั ลักษณ์ของพทุ ธศาสนา? ก. ธงฉพั พรรณรงั สี ข. รอยพระพุทธบาท ค. ต้นโพธ์ิหรอื ใบโพธิ์ ง. ถูกทกุ ขอ้ 20. ปัจจบุ นั ประเทศใดท่ไี ดข้ น้ึ ชื่อว่าเปน็ ศนู ย์กลางของพุทธศาสนา? ก. ประเทศเวยี ดนาม ข. ประเทศศรลี งั กา ค. ประเทศไทย ง. ประเทศลาว ตอนท่ี 2 จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. จงอธบิ าย เรอ่ื งไตรลักษณ์ ของพทุ ธศาสนาเถรวาทมาพอเข้าใจ? 2. ให้นักศึกษาอธบิ ายหลักคาสอนของพทุ ธศาสนามหายานมา 1 เรื่องพอเข้าใจ? 3. นักศกึ ษาสามารถนาหลักธรรมในพุทธศาสนาไปประยกุ ต์ใชก้ บั ชีวิตอย่างไรบ้าง? จงยกตวั อยา่ งมาประกอบ 110 | พุทธศาสนา

บทที่ 5 ศาสนาซกิ ข์ ขอบเขตเน้อื หา 5.1 ความเป็นมา 5.2 ศาสดา 5.3 คัมภีร์ในศาสนา 5.4 หลักคาสอนสาคัญ 5.5 นิกายในศาสนา 5.6 พิธีกรรมสาคัญ 5.7 สัญลกั ษณข์ องศาสนา 5.8 ฐานะปจั จบุ ันของศาสนา แนวคดิ 1. พัฒนาการของศาสนาซิกขจ์ นกระท่ังถึงปจั จุบนั นี้มี 2 ทัศนะ คือ นกั การศาสนา สมัยก่อนเห็นว่า ศาสนาซิกข์เกิดจากความพยายามของคุรุนานักที่พยายามพัฒนาศาสนาที่รวม จิตวิญญาณของศาสนาฮินดูและอิสลามเข้ามาไว้ด้วยกัน ส่วนนักการศาสนาซิกข์ในปัจจุบันเห็น ว่า ศาสนาซกิ ขม์ ีประวตั ิศาสตรข์ องตนเองโดยเฉพาะ ไม่ใช่ศาสนาที่รวมเอาหลักการของศาสนา ฮนิ ดแู ละอิสลามเขา้ มาไวด้ ว้ ยกนั แต่เป็นการเปดิ เผยข้นึ ใหม่ของศาสดาคุรนุ านกั 2. ศาสนาผู้ก่อตั้งศาสนาซิกข์ คือ คุรุนานัก และมีศาสดาสืบทอดมาอีกจานวน 10 ท่าน 3. คัมภรี ์สาคัญของศาสนาซิกข์ เรียกว่า คัมภีร์ครันถะ สาหิบ แปลว่า พระคัมภีร์ มีจานวน 2 ฉบบั คือ อาทคิ รนั ถ์ โดยศาสดาองค์ท่ี 5 คือ คุรุอรชุน ได้จัดทาขึ้น และทสมครันถ์ โดยศาสดาองค์ที่ 10 คือ ครุ ุโควินทสิงห์ เปน็ ผจู้ ัดทา 4. หลักคาสอนสาคัญของศาสนาซิกข์ ประกอบด้วยพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด หลักคาสอนเรื่องโลกและมนุษย์ ความหลุดพ้นของมนุษย์ ศีล 5 ประการ คาสอนเกี่ยวกับชีวิต และสงั คม 5. นิกายสาคัญของศาสนาซิกข์มี 3 นิกาย คือ 1) นิกายอุทสิส เป็นนิกายสาหรับ พวกนักบวชชาวซิกข์ นิกายนี้มักปฏิบัติตามกฎหรือข้อปฏิบัติในรูปแบบการบาเพ็ญพรตของ ศาสนาฮินดู พุทธศาสนาและเชน ไม่แต่งงาน 2) นิกายสหัชธรีหรือนานักปันถิ นิกายน้ีจะเป็น พวกอนุรักษ์นิยม นับถือคุรุนานัก เน้นหนักไปในทางการดารงชีวิตแบบเรียบง่าย และ

3) นกิ ายขาลสา หรือ สิงห์ นิกายน้ีนับถือเน้นหนักตามคาสอนของศาสดาคุรุโควินทสิงห์ ผู้ชาย จะมีลักษณะของนักรบเพื่อปกป้องชาวซิกข์ ผู้ที่นับถือนิกายนี้จะไว้ผมตลอดทั้งหนวดเครายาว โดยไม่ตัดหรือโกนตลอดชีวิต 6. พิธีกรรมของศาสนาซิกข์ ได้แก่ พิธีปาหุล พิธีรับน้าอมฤต ประเพณีการเล่น ดนตรสี วรรค์ ประเพณกี ารโพกศรี ษะ และประเพณคี รวั ทาน 7. สัญลักษณ์ของศาสนาซิกข์ท่ีนับว่าสาคัญ คือ กาน้าและดาบ ซึ่งหมายถึง การรับใช้และกาลัง สัญลักษณ์ที่สอง คือ อักษร ก ทั้ง 5 และสัญลักษณ์รูปดาบไขว้ และมีดาบ 2 คม หรอื พระขรรค์อย่ตู รงกลาง แลว้ มวี งกลมทับพระขรรคน์ นั้ อีกต่อหนง่ึ 8. ฐานะปัจจบุ นั ของศาสนาซกิ ข์ มชี าวซกิ ข์กระจดั กระจายอยใู่ นประเทศตา่ งๆเช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ อินเดีย วัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ เมื่อได้ศกึ ษาเนอ้ื หาในบทนแ้ี ล้ว ผูศ้ ึกษาสามารถ 1. อธบิ ายความเป็นมาของศาสนาซิกขไ์ ด้ 2. อธบิ ายคัมภีรส์ าคัญของศาสนาซิกข์ได้ 3. อธิบายหลักคาสอนสาคัญของศาสนาซิกขไ์ ด้ 4. อธบิ ายนกิ ายสาคญั ของศาสนาซิกขไ์ ด้ 5. อธบิ ายพธิ กี รรมสาคัญของศาสนาซกิ ขไ์ ด้ 6. อธบิ ายสัญลักษณข์ องศาสนาซิกข์ได้ 7. อธิบายฐานะปัจจุบนั ของศาสนาซิกขไ์ ด้ กจิ กรรมการเรยี น 1. การบรรยาย 2. การอภปิ รายกลุ่มยอ่ ย 3. การบนั ทกึ การเรยี นรู้ในแฟม้ สะสมผลงาน ส่อื การสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ใบสรปุ การเรียนรู้ประจาบทท่ี 5 3. แฟ้มสะสมผลงาน 4. สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิคทกุ ประเภท 112 | ศาสนาซิกข์

การประเมนิ ผล 1. ประเมินจากการร่วมทากจิ กรรมกลุม่ 2. ประเมินจากการสรปุ การอภิปราย 3. ประเมนิ จากใบสรปุ การเรียนรแู้ ละแฟม้ สะสมผลงาน ศาสนาขั้นแนะนา | 113

5.1 ความเป็นมา ประมาณ 2000 ปี หลังจากที่ศาสนาเชนประดิษฐานต้ังม่ันในประเทศอินเดียและ อยู่ในยุคที่ประเทศอินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โมกุลซ่ึงเป็นมุสลิม คุรุนานักก็ได้ ตั้งศาสนาซิกข์ข้ึน โดยท่านไม่ยอมรับพระเจ้าท่ีมีจานวนมากมายและระบบวรรณะตามทัศนะ ของศาสนาฮินดู การให้ความสาคัญอย่างย่ิงต่อส่ิงมีชีวิตตามทัศนะของศาสนาเชน และ การปฏิเสธโลกตามทัศนะของพุทธศาสนา รวมท้ังปฏิเสธหลักคาสอนของศาสนาอิสลาม การรับผิดชอบต่อการกล้าปฏิเสธหลักคาสอนต่างๆของคุรุนานักน้ียังเป็นข้อท่ียังสับสนอยู่ว่า ทา่ นได้รบั การโต้ตอบจากศาสนาทีท่ ่านไปขัดแย้งอย่างไรบ้าง แต่ความสาเร็จในการประดิษฐาน ศาสนาซิกข์ทาให้สร้างศัตรูมากมาย โดยเฉพาะจากผู้นาของราชวงศ์โมกุล ซ่ึงก็ได้มีการโจมตี สาวกของครุ ุนานัก1 คาว่า ซิกข์ เป็นภาษาปัญจาบี ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า ศิษยะ และตรงกับภาษา บาลวี า่ สิกขะ แปลวา่ ศษิ ย์ หรอื ผู้ศกึ ษาเล่าเรียน ดังน้ัน ชาวซิกข์จึงมีฐานะเป็นศิษย์ของคุรุหรือ ศาสดาของศาสนาซิกข์ทกุ องค์ ความคิดเห็นเรื่องพัฒนาของศาสนาซิกข์จนกระท่ังถึงปัจจุบันน้ีมี 2 ทัศนะ คือ ทัศนะของนักการศาสนาสมัยก่อนเห็นว่า ศาสนาซิกข์เกิดจากความพยายามของคุรุนานักท่ี พยายามพัฒนาศาสนาท่ีรวมจิตวิญญาณของศาสนาฮินดูและอิสลามเข้ามาไว้ด้วยกัน ดังนั้น ศาสนาซิกข์จึงเป็นศาสนาที่ประนีประนอมศาสนาต่างๆ ในอินเดีย โดยเฉพาะศาสนาฮินดูกับ ศาสนาอสิ ลาม เพ่ือสรา้ งความเปน็ เอกภาพหรอื ความเป็นอันเดียวกัน อันจะนามาซึ่งสันติภาพที่ แท้จริง ส่วนนักการศาสนาซิกข์ในปัจจุบันเห็นว่า ศาสนาซิกข์มีประวัติศาสตร์ของตนเอง โดยเฉพาะ ศาสนาซิกข์ไม่ใช่ศาสนาท่ีรวมเอาหลักการของศาสนาฮินดูและอิสลามเข้ามาไว้ ด้วยกัน แต่เป็นการเปิดเผยขึ้นใหม่ของคุรุนานักต่างหาก ดังน้ัน ศาสนาซิกข์จึงเป็นศาสนาที่ พระเจา้ เปดิ เผยต่อศาสดาครุ ุนานกั 5.2 ศาสดา 5.2.1 ศาสดาผู้ก่อตง้ั ศาสนาผู้ก่อต้ังศาสนาซิกข์ คือ คุรุนานัก เกิดเมื่อวันท่ี 15 เมษายน ค.ศ. 1469 ณ หมู่บ้านตัลวันทิ ปัจจุบันเรียกว่า \"นังกานา สาหิพ\" ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เมืองละฮอร์ ริมฝั่งแม่นา้ ราวี ประเทศปากีสถาน 1Warren Matthews, World Religions (USA : Wadsworth Cengage Learning, 2010), p. 156. 114 | ศาสนาซิกข์

ตระกูลของท่านนับถือศาสนาฮินดู เป็นชนชั้นวรรณะพราหมณ์ บิดาชื่อกุล หรือ เมห์ตากัลยาดาส เป็นข้าราชการช้ันผู้น้อยเงินเดือนต่า คอยรับใช้ผู้ว่าราชการเมือง มารดาของ ทา่ นชื่อตริปตะ เป็นผเู้ ครง่ ครดั ในศาสนามาก ตามประวัติกล่าววา่ นานกั เป็นคนมีสติปัญญา และช่างคิดอ่านต้ังแต่อยู่ในวัยเยาว์ ไดศ้ ึกษาศาสนาฮินดู มีความร้แู ตกฉานในคมั ภีรพ์ ระเวท ต่อมาอกี 2 ปี ได้ศึกษาภาษาเปอร์เซีย (อิหร่าน) เพื่อเรียนรู้ลัทธิคาสอนของโซโรอัสเตอร์ผู้เป็นศาสดาของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ทาให้ นานักสามารถแสดงวาทะโต้ตอบหลักศาสนากับคณาจารย์ผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนชาว ซิกข์มีความเชื่อกันในตอนหลังว่า ท่านคุรุนานักศาสดาของตนสามารถสั่งสอนคนได้ตั้งแต่ อายุ 9 ขวบ เมื่ออายุ 14 ปี ได้สมรสกับนางสุลขนี เม่ือแต่งงานแล้วประมาณ 10 ปี มีบุตร 2 คน คือ ศรีจันท และ ลักษมิทาส ปรากฏว่าชีวิตสมรสช่วงหลังๆ หาความสุขได้ยาก เพราะ นานักและภรรยามีนิสัยและรสนิยมคนละแบบ นานักชอบความสงบมีอัธยาศัยโน้มน้อมไป ในทางศาสนา มีใจเมตตากรุณาโอบอ้อมอารี แต่ภรรยาชอบสนุกสนาน ในที่สุดจึงตัดสินใจหนี ภรรยาและลกู ออกไปหาความสงบทางใจในป่า เมอ่ื อายุ 36 ปี ข้อความในคัมภีร์ครันถะได้กล่าวเอาไว้ว่า เมื่อนานักเข้าไปอยู่ในป่าเพ่ือหา ความสงบทางจิตไดไ้ ม่นาน วนั หนึง่ เมือ่ ได้อาบนา้ ชาระรา่ งกายใหส้ ะอาด จิตใจปลอดโปร่งดีแล้ว ได้นงั่ สมาธิทาจิตให้สงบ ขณะนัน้ ทา่ นไดป้ ระสบการณ์ทางจิตว่า พระเจ้าได้ประทานน้าทิพย์ถ้วย หนึ่งให้นานักด่ืม และได้ทรงรับสั่งกับนานักว่า \"เราจะอยู่กับเจ้า เราจะทาให้เจ้ามีความสุขสงบ และจะทาทุกคนที่นับถือเราในเจ้ามีความสุขไปด้วย เจ้าจงออกจากที่แห่งน้ีไป จงไปข้างหน้า นึกถงึ เรา ส่ังสอนคนทั้งหลายเช่นเดียวกับที่เจ้ากระทาอยู่ จงทาโลกให้สะอาด ระลึกถึงการท่อง บ่นนามของเราไวเ้ ปน็ นติ ย์ จงเป็นผู้มีเมตตา เป็นผู้สะอาดบูชาและกระทาใจให้เป็นสมาธิต่อไป เจา้ จงเป็นครุ ุของคนทั้งหลาย\" นานักได้รับประสบการณ์ทางจิตดังกล่าว ก็เกิดโสมนัสเอิบอ่ิมใจ อย่างยิ่ง ได้ดื่มด่าช่ืนชมกับประสบการณ์นั้น โดยอยู่ในป่าต่ออีก 3 วัน แล้วจึงได้เดินทางกลับ ไปสหู่ มูบ่ า้ นเดมิ ของตน เมื่อเดินทางถึงบ้านแล้วนานักก็ได้ครองเครื่องแบบเป็นนักพรตต้ังตัวเป็นครู เท่ียวสั่งสอนคน ตั้งตัวเป็นแพทย์พยาบาลคน และเที่ยวแนะนาให้คนทั้งหลายมีศีลธรรม มีความจงรกั ภกั ดีต่อพระเจา้ พระองคเ์ ดียว คุรุนานักปฏิบัติตนเป็นทั้งมุสลิมและฮินดูในขณะเดียวกัน เช่น การแต่งตัวออก สั่งสอนคนโดยคุรุนานักจะสวมเส้ือสีหมากสุกอันเป็นสีแสดงถึงอิสรภาพ แขวนลูกประคาที่ทา ด้วยกระดูกไว้ท่ีคอ และเจิมหน้าด้วยหญ้าฝร่ันตามความเช่ือของศาสนาฮินดู แต่ขณะเดียวกัน สวมหมวกตามแบบมุสลิม เพ่ือแสดงถึงความเป็นกลาง เป็นตัวอย่างให้ศาสนิกของทั้งสอง ศาสนา ไม่ให้ยึดเอาศาสนาใดศาสนาหนึ่งเพียงอย่างเดียวอันเป็นเหตุให้เกิดความรังเกียจ เคียดแค้นท้ังสองฝ่าย เพราะในขณะนั้นชาวมุสลิมและฮินดูกาลังวิวาทกันด้วยเร่ืองเช้ือชาติ ศาสนาขนั้ แนะนา | 115

และศาสนา ในฐานะทต่ี นเปน็ ฮินดู ครุ นุ านกั จึงพยายามสอนให้พวกมสุ ลมิ เลื่อมใสในโอวาทของ ตนใหม้ ากท่ีสุด ครุ ุนานกั ไดศ้ ษิ ย์มุสลิมสาคญั คนหนึ่งชอ่ื มารทาน ซ่ึงเคยเป็นนักดนตรี ศิษย์ผู้น้ีใช้ ศลิ ปะดนตรเี ป็นกาลงั หลกั ในการสง่ั สอน ครุ นุ านกั กบั ศษิ ย์ผู้น้ไี ด้ออกเดนิ ทางไปตามเมืองต่างๆ ในชมพูทวีปภาคเหนือ อันเป็นศูนย์กลางของศาสนาฮินดู จนขึ้นไปถึงแคว้นแคชเมียร์ใน ปัจจุบัน ใช้เวลาในการส่ังสอนคนตามเมืองต่างๆ 12 ปี มีผู้เล่ือมใสนับถือเป็นอันมาก นอกจากน้ียังได้เดินทางออกส่ังสอนคนในท่ีต่างๆ เช่น ภาคใต้ของประเทศอินเดียจนถึง แคว้นมัทราชอันเป็นศูนย์กลางของศาสนาเชน ข้ามไปถึงเกาะลังกา และนครเมกกะ ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย อันเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม โดยใช้หลักการสามัคคี เสมอภาค ศรัทธา และความรกั ของทา่ นเอง แม้ว่าครุ นุ านกั จะนุ่งห่มแบบนักพรต แต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนักบวช เพราะศาสนา ซิกขไ์ มม่ ีนักบวช ท่านยังคงอยู่กับบุตรภรรยาตามเดิม เม่ืออายุได้ 71 ปี คุรุนานักรู้อวสานแห่ง ชีวิตของตนจึงได้มอบหมายให้แก่สาวกคนสาคัญช่ือ ลาหินา (บางแห่งเรียกว่า ไภลาห์นา) เพอื่ ให้เป็นศาสดาสืบทอดตาแหน่งแทน เป็นศาสดาองค์ท่ี 2 มีช่อื ว่า ครุ ุองั คัต2 5.2.2 ลาดับศาสดาผู้สบื ทอด เม่ือสิ้นศาสดาคุรุนานักแล้ว ศาสนาซิกข์มีการสืบทอดตาแหน่งศาสดาจานวน 9 องค์ด้วยกันเม่ือนับรวมกับศาสดาคุรุนานักด้วย ศาสนาซิกข์จึงมีศาสดาจานวน 10 องค์ ดังต่อไปน้ี 1) ศาสดาคุรุนานกั 2) ศาสดาครุ อุ งั คัต 3) ศาสดาคุรุอมรทาส 4) ศาสดาคุรรุ ามทาส 5) ศาสดาครุ อุ รชนุ 6) ศาสดาคุรหุ ริโควินท์ 7) ศาสดาครุ ุหรไิ ร 8) ศาสดาคุรหุ รกิ ษิ นั 9) ศาสดาครุ ุเทคพาหาทรู ะ 10)ศาสดาคุรุโควินทสิงห์ เป็นศาสดาองค์สุดทา้ ย ตอ่ จากศาสดาองค์ท่ี 10 แลว้ ก็ไมไ่ ดม้ ีการแต่งต้งั ใครเป็นศาสดาสืบทอดตอ่ มาอกี โดยได้ถือเอาคมั ภรี ์ (ครนั ถะ) เป็นศาสดาแทนสบื ต่อมาแทนจนกระทั่งปัจจบุ นั นี้ 2Ibid., p. 158-159. 116 | ศาสนาซิกข์

5.3 คัมภรี ใ์ นศาสนา คัมภีร์สาคัญของศาสนาซิกข์ เรียกว่า คัมภีร์ครันถะ สาหิบ แปลว่า พระคัมภีร์ เพราะคาว่า ครันถะ ตรงกับภาษาบาลีว่า คันถะ แปลว่า คัมภีร์ ส่วนคาว่า สาหิบ แปลว่า พระ แบ่งออกเป็น 2 สว่ น คอื 5.3.1 คมั ภรี ์อาทิครันถ์ อาทิครันถ์ แปลว่า พระคัมภีร์แรก โดยศาสดาองค์ท่ี 5 คือ คุรุอรชุน ได้จัดทาขึ้น เม่ือ ค.ศ. 1604 เป็นคัมภีร์ท่ีรวบรวมคาสอนของศาสดาองค์ก่อนๆ ตั้งแต่ศาสดาคุรุนานัก จนถงึ ตัวทา่ นเอง คมั ภีร์น้ีมสี ่วนประกอบสาคญั 3 ส่วน คอื 1) ส่วนที่หน่ึง เรียกว่า ชัปจิ (Japji) เป็นคาสอนของศาสดาคุรุนานัก อันแสดงถึงหลักศรัทธาและโครงสร้างหลักของศาสนาซิกข์ ส่วนน้ี จะมีลักษณะเป็นบทกวี ซึ่งแตกต่างจากส่วนอ่ืนๆของคัมภีร์ครันถ์ซึ่งจะเป็นบทสวดท่ีไม่มีทานอง บทสวดที่เพิ่มเข้าใน ในสว่ นนมี้ จี านวน 14 บท 2) สว่ นท่สี องเรียกวา่ รคั (Rags) เปน็ ส่วนทีย่ าวที่สดุ มีจานวน 39 รัค แต่ละรัคก็ จะแบ่งออกไปตามความแตกต่างของเสียงหนักเสียงเบาของบทสวด ส่วนต่างๆเหล่านี้ก็จะถูก แบ่งออกไปอีกโดยคุรุท่ีเป็นผู้เขียนซึ่งรูปแบบเนื้อหาก็เป็นไปตามยุคสมัยของคุรุน้ันๆ แต่ใน ตอนท้ายของแต่ละบทสวด คุรุแต่ละคนจะเรียกตนเองว่า นานัก แต่คุรุท่ีเป็นผู้เขียนในส่วนน้ัน แตล่ ะคนจะถกู กาหนดโดยเขียนเลขประจาตัวไว้โดยใช้คาว่า มหละ (Mahala) เช่นคาว่า มหละ 1 หมายถึง ศาสดาคุรุนานัก มหละ 2 หมายถึง ศาสดาคุรุอังคัต จนถึง มหละ 5 ท่ีหมายถึง ศาสดาครุ อุ รชนุ เป็นต้น 3) ส่วนท่ีสาม จะเป็นสว่ นท่ีเก็บรวบรวมมาจากหนงั สอื เลม่ เล็กๆ จานวน 26 เล่ม ซึ่งก็มีกล่าวโดยรายละเอียดในส่วนที่เรียกว่า รัค แล้ว เป็นส่วนท่ีมีการรวบรวมคาสอนของ นักปราชญ์ในศาสนาฮนิ ดแู ละนกั ปราชญ์ในศาสนาอสิ ลามเข้ามาไวใ้ นคัมภีร์เล่มนีด้ ว้ ย 5.3.2 คัมภีร์ทสมครันถ์ ทสมครันถ์ แปลว่า พระคัมภีร์ที่ 10 ลักษณะโดยส่วนใหญ่จะเป็นความเรียงแบบ ร้อยแก้วซ่ึงไม่ค่อยจะปรากฏในคัมภีร์อาทิครันถ์ ศาสดาองค์ท่ี 10 คือ คุรุโควินทสิงห์ เป็นผ้จู ัดทาข้นึ โดยการรวบรวมคาสอนของศาสดาองค์ก่อนๆบางองค์ แต่ส่วนใหญ่เป็นคาสอน ของตัวทา่ นเอง คัมภีร์อาทิครันถ์ส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาปัญจาบี ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาษา ฮนิ ดีและภาษาต่างๆทางภาคเหนอื ของประเทศอินเดีย นอกจากน้ียังใช้ภาษาสาธุกรี (ภาษาของ นักบวช) ซึ่งใช้โดยนักการศาสนาท่ีเป็นกวีในตอนเหนือของอินเดียระหว่างศตวรรษท่ี 15-16 ศาสนาขั้นแนะนา | 117

ภาษาเหลา่ นี้มีความสบั สนมากจนต้องมีการฝึกผู้อ่านคัมภีร์ท่ีเรียกว่า ครันถี (granthis) แต่โดย สว่ นใหญ่ชาวซกิ ขก์ ็สามารถเขา้ ใจพระคมั ภีรไ์ ดด้ พี อท่ีจะอา่ นพระคมั ภีร์ด้วยตนเองได้3 นอกจากน้ี ชาวซิกข์มีความเชื่อว่า คัมภีร์ครันถ์เป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์เปรียบเหมือน พระเจ้า จึงเฝ้าปฏิบัติดูแลเป็นอย่างดี เช่นหุ้มห่อพระคัมภีร์ด้วยผ้าราคาแพง ประดิษฐานบน แท่นภายใต้ฉัตรและภายในม่านที่ปักด้วยเกล็ดเพชร เม่ือถึงเวลาเย็น เจ้าหน้าที่จะอัญเชิญ พระคัมภีร์เข้าไปประดิษฐานไว้บนตั่งทองในห้องพิเศษ ครั้งถึงเวลาเช้า ก็อัญเชิญออกมา ประดิษฐานไว้ในม่านตามเดิม คอยดูแลไม่ให้คนมาจับต้องและไม่ให้ฝุ่นละอองมาเกาะ เพราะถือวา่ เปน็ ตัวแทนของพระเจา้ จากทีก่ ล่าวมาขา้ งต้น สรุปเป็นแผนภมู ิ เพอื่ ความเข้าใจง่ายดงั น้ี คัมภรี ์ อาทิครนั ถ์ ทสมครนั ถ์ ศาสดาองคท์ ี่ 5 ครุ อุ รชุนจัดทาข้ึน ศาสดาองคท์ ี่ 10 คุรุโควินทสงิ ห์จดั ทาขน้ึ แผนภมู ภิ าพท่ี 5.1 คัมภีรท์ สี่ าคญั ในศาสนาซกิ ซ์ 5.4 หลักคาสอนสาคญั ศาสนาซิกข์มีหลักคาสอนท่ีเป็นทั้งทัศนะที่เก่ียวกับมุมมองที่มีต่อโลกและหลัก ปฏบิ ัติท่ีสาคัญ ดังจะนาเสนอรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 5.4.1 พระเจ้าเป็นสิ่งสงู สุด ศาสดาคุรุนานักเน้นย้าว่า พระเจ้าเป็นส่ิงสูงสุด ทรงอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ เป็นความจริงแท้สูงสุด มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใจพระเจ้าได้โดยการมีประสบการณ์ตรงต่อ พระเจ้าที่อยู่ในหัวใจหรือจิตวิญญาณของมนุษย์ แม้พระเจ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ในฐานะ หัวใจหรือจิตวิญญาณของแต่ละบุคคลก็ตาม แต่พระองค์ก็ไร้ขอบเขตอยู่เหนือกาลเวลาและ สถานที่ พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์และเข้าใกล้มนุษย์โดยพระวจนะของพระองค์ โดยพระวจนะ นัน้ มนุษยจ์ ึงสามารถรจู้ ักและเข้าไปสู่พระองคไ์ ด้ 3Robert E.Van Voorst, Anthology of Word Scriptures (Canada : Wadsworth Thomson Learning, 2002), p.121-122. 118 | ศาสนาซิกข์

พระเจา้ มลี ักษณะเป็นท้ังไม่มตี ัวตนและมีตัวตน (ธรรมาธษิ ฐานและบุคลาธิษฐาน) ในฐานะเป็นส่ิงที่ไม่มีรูปร่าง พระเจ้าอยู่เหนือการเข้าถึงได้ แต่เม่ือเกี่ยวข้องกับการสร้างโลก พระองค์ก็มีตัวตน แม้พระองค์ไม่มีรูปร่างแต่มนุษย์ก็สามารถเคารพบูชาพระองค์ได้ในฐานะ เป็นพระเจ้า เพราะรปู แบบทกุ อยา่ งนนั้ มาจากแหลง่ กาเนดิ ที่ไม่มีรปู รา่ งน่ันคือพระเจ้า พระเจ้าท่ี ไมม่ ีรูปรา่ งจึงถูกเรียกวา่ นาม หรือชอื่ ท่ดี ีเย่ียม และได้สร้างสรรพส่งิ ในโลกข้ึนมา 5.4.2 โลกและมนษุ ย์ ตามทรรศนะของศาสนาซิกข์ โดยลักษณะที่แท้จริงแล้ว โลกและมนุษย์ไม่ใช่สิ่งท่ี ตรงกนั ข้ามจากพระเจา้ พระเจ้าสิงสถติ อยทู่ กุ หนแห่งในโลกแต่ก็อยู่เหนือโลก แม้พระเจ้าจะอยู่ ในจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ก็อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ โลกเป็นได้ทั้งส่ิงที่ดีหรือชั่วก็ได้ ตามจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคน บุคคลผู้มุ่งสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าก็จะพบว่าโลก คือสถานท่ีท่ีสวยงามเป็นพยานที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในขณะท่ีบุคคลผู้รักแต่ ตนเองก็จะพบว่าโลกคือศัตรู จิตวิญญาณของมนุษย์มีศักยภาพพอที่มีความสงบเป็นหน่ึง เดยี วกบั พระเจ้า แตม่ นุษย์ส่วนใหญ่กม็ กั จะปรารถนาสมบตั ิภายนอกมากกว่าพระเจ้า 5.4.3 ความหลดุ พ้นของมนุษย์ การกระทาส่งผลต่อชีวิตของมวลมนุษย์ แต่พระเจ้าสามารถให้อภัยแก่บุคคลผู้มี บาปหนาได้ เมื่อบุคคลหันหน้าเข้ามาหาพระเจ้า พระองค์ก็จะอภัยให้แก่บุคคลนั้น บุคคลท่ี ไมไ่ ด้รบั การชว่ ยเหลอื จะไม่สามารถหลดุ พ้นจากความทุกข์ได้ การเห็นแลการฟังคุรุสอนก็ยังไม่ เพียงพอ บุคคลจะต้องพยายามเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าภายในจิตใจของเขาเอง การหลุดพ้น จึงจะเป็นไปได้โดยการล้างบาป คือ การนับถือศาสนาซิกข์นั่นเอง จิตวิญญาณของมนุษย์ สามารถเลือกที่จะรักตนเองมากกว่าพระเจ้าก็ได้ แต่การเห็นแก่ตนเองเป็นหลักจิตวิญญาณจะ เหนิ หา่ งจากพระเจา้ จะทาใหต้ กอยู่ภายใต้ความชั่ว ความไม่มีศีลธรรมและปฏิเสธการช่วยเหลือ ผู้อื่น การหันหน้าหนีพระเจ้าและผู้อ่ืน จิตวิญญาณยิ่งเหินห่างจากพระเจ้ามากยิ่งข้ึน แต่หาก หันหน้าเข้าหาพระเจ้าและแสวงหาการมีประสบการณ์เก่ียวกับพระองค์ในจิตวิญญาณของตน มนุษย์ก็จะค้นพบว่าพระเจ้าจะทาให้เขาเป็นผู้ปรากฏในฐานะเป็นคุรุ พระองค์จะแผ่ซ่าน ความสว่างซึ่งนาบุคคลไปสู่ความหลุดพ้นได้ เป้าหมายสูงสุดของศาสนาซิกข์ก็คือการเป็น หน่งึ เดยี วกับพระเจ้า ซง่ึ จะทาใหม้ นุษย์พบสันตภิ าพ และความสุขที่เป็นนริ ันดร4 4Warren Matthews, World Religions, p. 163. ศาสนาข้ันแนะนา | 119

5.4.4 ศลี 5 ประการ คุรุโควินทสิงห์ต้ังกฎข้อปฏิบัติสาหรับกุล่มนักรบชาวซิกข์ ซึ่งข้ึนต้นด้วยอักษร ก. 5 ประการ คอื 1) เกศ คือ การไว้ผม หนวด และเครา จะโกนไม่ได้ โดยเฉพาะผมเพื่อใช้เป็น เกราะกันศีรษะ ใหม้ องดนู า่ เกรงขาม และเพ่อื ทาลายขวัญขา้ ศึก 2) กังฆา คือ ต้องมีหวีเสียบหรือปักไว้ที่ผมเสมอ ขาดไม่ได้เพราะเป็นของคู่กัน กบั ผม 3) กรา คือ จะต้องมีมีดพกประจาตัว (บางทีใช้กาไลเหล็กสวมข้อมือ) เพ่ือเป็น ขอ้ เตือนใจทหารชาวซิกข์วา่ เหลก็ เปน็ โลหะท่ีมคี า่ ท้งั ทางการคา้ และอาวธุ 4) กิรปาน คือ จะตอ้ งมีดาบประจาตวั สาหรบั นักรบ 5) กฉา คือ จะต้องมีกางเกงขาส้ันโดยนุ่งไว้ข้างในประจา เพราะกางเกงขายาว ไมเ่ หมาะในการรบ จงึ ต้องใชก้ างเกงขาส้ันแทน5 การท่ีคุรุโควินทสิงห์ได้บัญญัติศีลท้ัง 5 ข้อน้ีข้ึนมาสาเหตุมาจากการทาสงคราม เช่น การสวมกาไลเหล็กหรือมีดพกประจาตัว ก็ให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันหรือจะต้องมีอาวุธไว้ เพอ่ื ปอ้ งกนั ตนเอง และเปน็ เครอ่ื งเตอื นใจให้เขม้ แข็งเหมือนเหล็ก เป็นตน้ 5.4.5 คาสอนเกี่ยวกบั ชวี ติ และสังคม ศาสนาซิกข์ ส่งเสริมให้ศาสนิกมีความกล้าหาญอย่างมีเหตุผลไม่กลัวความช่ัวร้าย ใดๆสอนให้เชื่อในชัยชนะของธรรมต่ออธรรม ให้ทาตามหน้าท่ีรับผิดชอบโดยปราศจาก ความหวาดกลัวหรอื หวงั ส่งิ ใดเปน็ เครอื่ งตอบแทน ศาสนาซิกข์เน้นความเป็นเอกภาพและเอกลักษณ์ของบุคคล ต้องการให้มี ความก้าวหน้าโดยวิธีการแห่งความรู้จักตนเองและควบคุมตนเอง โดยปฏิบัติวินัยทางกาย คือ ช่วยเหลือผู้อ่ืนทางกายและวาจา วินัยทางศีลธรรม คือ การเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมและวินัยทาง จิตใจ คือ เชื่อในพระเจา้ เพียงพระองคเ์ ดยี ว ศาสนาซิกข์คัดค้านการกดข่ีทางการเมือง และอยุติธรรม ภาระหน้าที่ของคนคือ หันมาสู่พระเจ้า ละเลิกพิธีกรรมและประเพณีต่างๆย้าการมอบกายถวายชีวิตต่อพระเจ้าโดยจา พระคุณและนามของพระเจา้ ศาสนาซิกข์เช่ือว่าโลกนี้มีความหวัง แม้บุคคลที่ทาผิดไปแล้วแก้ไขเสียใหม่ก็จะ เป็นคนดีได้ แต่การจะทาเช่นนี้ได้จะต้องดาเนินตามคาสอนของพระเจ้าด้วยพระมหากรุณา พระองค์จะทรงชว่ ยเหลือ แมบ้ างครั้งพระองค์จะทดสอบคนดดี ้วยความช่วั และความเศรา้ กต็ าม 5Lewis M. Hopfe, Mark R.Woodward, Religions of the World (New Jersey : Upper Saddle river, 2007), p.154. 120 | ศาสนาซกิ ข์

ศาสนาซิกข์สอนให้ดารงชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่โลก ให้ยึดม่ันในหน้าท่ีการงาน เคารพในคาสอนของคุรุนานักและพระเจ้าซ่ึงจะทาให้รู้แจ้งสัจธรรมได้ จะต้องมีความรู้สึกอยู่ ตลอดเวลาว่าพระเจ้าอยู่กับเรา พระองค์จะนาเราไปสู่จุดหมายปลายทาง ชาวซิกข์จะสวด ออ้ นวอนพระเจ้าดว้ ยจิตบรสิ ทุ ธม์ิ ไิ ดม้ งุ่ หวังว่าจะประทานรางวลั หรือส่ิงตอบแทนใดๆ ศาสนาซิกขส์ นับสนนุ ชวี ติ ฆราวาสอย่างเดยี ว ทุกๆ คนควรเสียสละเพื่อความเจริญ ของสงั คม ทุกคนควรทางานหาเล้ียงชพี โดยไม่ตกเปน็ ภาระของสังคม จะต้องทาตนเป็นตัวอย่าง ที่ดีของผู้อื่น ดังนั้น จึงย้าให้เห็นข้อผูกพันที่มีต่อสังคม หาลู่ทางเพื่อยกฐานะของสังคมให้ดีขึ้น และมีความยตุ ธิ รรมในทุกกรณี ศาสนาซิกขย์ อมรับว่า สตรมี ฐี านะเทา่ เทียมกบั บุรษุ ใหส้ ิทธทิ างศาสนา สตรีทุกคน มสี ว่ นร่วมในพธิ กี รรมทางศาสนาและถอื วา่ เปน็ สติของบรุ ุษ6 จากท่กี ลา่ วมาข้างต้น สรปุ เปน็ แผนภมู ิ เพอื่ ความเข้าใจงา่ ยดังนี้ คาสอนเกีย่ วกบั พระเจ้าเปน็ สง่ิ โลกและมนษุ ย์ ชวี ติ และสงั คม สงู สุด หลกั คาสอน ศลี 5 ประการ ความหลุดพ้น ของมนษุ ย์ แผนภมู ภิ าพที่ 5-2 หลักคาสอนสาคัญในศาสนาซิกข์ 5.5 นิกายในศาสนา ศาสนกิ ชนชาวซกิ ขส์ ่วนใหญน่ ้ันอาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย แม้จะมีชุมชนชาวซิกข์ อยใู่ นสว่ นตา่ งๆของโลกกต็ าม นิกายของศาสนาซิกข์แบ่งออกเป็น 3 นิกาย บางนิกายยึดถือเอา คาสอนของศาสดาคุรุนานักเป็นคาสอนหลัก บางนิกายยึดคัมภีร์ครันถ์ในฐานะคัมภีร์ศักด์ิสิทธิ์ บางนิกายก็ยึดถือเอาศาสดาท้ัง 10 ในฐานะผู้จุดประกายแห่งความศรัทธา ดังมีรายละเอียด ตอ่ ไปนี้ 6จินดา จันทร์แก้ว, ศาสนาปัจจุบัน, พิมพ์คร้ังท่ี 2 (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลยั , 2532), หนา้ 85-86. ศาสนาข้นั แนะนา | 121

5.5.1 นิกายอทุ สิส (Udasis) นิกายนี้โดยพ้ืนฐานเป็นนิกายสาหรับพวกนักบวช ชาวซิกข์นิกายนี้มักปฏิบัติตาม กฎหรือขอ้ ปฏิบตั ิในรูปแบบการบาเพญ็ พรตของศาสนาฮนิ ดู พทุ ธศาสนาและเชน พวกเขาจะไม่ แต่งงาน และแต่งกายสีเหลือเหมือนจีวรของนักบวชในพุทธศาสนา หรือบางพวกก็เปลือยกาย เหมือนนักบวชในศาสนาเชน โดยมีภาชนะสาหรับออกขออาหารเท่าน้ันเป็นสมบัติติดตัว นิกายอุทสิสนี้จะไม่เหมือนชาวซิกข์นิกายอ่ืนๆ เพราะพวกเขามักจะโกนศีรษะและหนวด และนิยมเดนิ ทางออกเผยแพรศ่ าสนาไปตามท่ตี า่ งๆ 5.5.2 นิกายสหชั ธรีหรอื นานักปันถิ นกิ ายนี้จะเป็นพวกอนุรักษ์นิยม นับถือคุรุนานัก เน้นหนักไปในทางการดารงชีวิต แบบเรียบงา่ ย ดาเนนิ รอยตามหลกั คาสอนของศาสดาครุ ุนานกั ไม่นยิ มการใหช้ าวซิกข์มีลักษณะ เป็นนักต่อสู้หรอื เปน็ นักรบ นกิ ายนนี้ ยิ มโกนหนวดเครา 5.5.3 นกิ ายขาลสา หรอื สงิ ห์ นิกายน้ีนับถือเน้นหนักตามคาสอนของศาสดาคุรุโควินทสิงห์ ผู้ชายจะมีลักษณะ ของนักรบเพ่ือปกป้องชาวซิกข์ ผู้ที่นับถือนิกายน้ีจะไว้ผมตลอดท้ังหนวดเครายาว โดยไม่ตัด หรือโกนตลอดชีวิต7 จากทก่ี ลา่ วมาข้างต้น สรุปเป็นแผนภมู ิ เพอื่ ความเขา้ ใจงา่ ยดังนี้ นิกาย อทุ สสิ สหัชธรีหรอื อนานักปนั ถิ ขาลสา/สิงห์ (นกิ ายนักบวช) (ยึดถอื ครุ ุนานกั ) (ยึดถอื ครุ ุโควินทสิงห์) แผนภมู ภิ าพท่ี 5-3 นกิ ายสาคัญในศาสนาซิกข์ 7Lewis M. Hopfe, Mark R.Woodward, Religions of the World, p.155-156. 122 | ศาสนาซกิ ข์

5.6 พธิ กี รรมและประเพณีสาคญั พิธีกรรมสาคัญ ทชี่ าวซิกขท์ ุกคนควรประพฤตปิ ฏิบัติ มีดงั น้ี คือ 5.6.1 พิธีปาหุล ได้แก่ พิธีล้างบาป เม่ือเสร็จพิธีแล้วก็จะรับเอา \"ก\" ท้ัง 5 ประการ ดงั น้ี 1) เกศ ได้แก่ การไมต่ ดั ผม 2) กงั ฆา ไดแ้ ก่ หวขี นาดเลก็ 3) กฉา ไดแ้ ก่ กางเกงขาสน้ั 4) กรา ได้แก่ กาไลมอื ทาด้วยเหล็ก 5) กิรปาน ได้แก่ ดาบ ผู้ท่ีทาพิธีล้างบาปแล้วจะได้นามว่า \"สิงห์\" ต่อท้ายช่ือเหมือนกันหมดทุกคน เพราะถอื วา่ ได้ผา่ นความเปน็ สมบัติของพระเจา้ เองแล้ว เรียกว่า ขาลสา แหง่ วาหคิ ุรุ 5.6.2 พธิ ีรับน้าอมฤต (Baptism) ชาวซกิ ขจ์ ะต้องเขา้ พธิ รี บั น้าอมฤตเพ่ือแสดงความเป็นซิกข์ท่ีดี และเป็นการรับคน เข้าในศาสนา พิธีนี้ได้เร่ิมเกิดข้ึนอย่างเป็นระบบในสมัยของศาสดาคุรุโควินทสิงห์ โดยมีบุคคล ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า เป็นบุคคลที่ได้รับการเลือกแล้วว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูง รู้เรื่องราวใน ศาสนาเป็นอย่างดี เรียกว่า ปัญจปิยะ จานวน 5 คน เป็นผู้ทาพิธีกรรม โดยน่ังเรียงเป็นแถว หันหน้าไปทางคุรุศาสดา (ในสมัยที่ยังมีศาสดาอยู่) แต่ปัจจุบัน บุคคลผู้ทาพิธีกรรมต้อง นง่ั หนั หนา้ ไปทางพระคัมภีรค์ รนั ถ์สาหิบ บุคคลซึ่งเป็นผู้ทาพิธีกรรมทั้ง 5 คนน้ันต้องน่ังเหมือนกัน โดยนั่งทับขาขวาแต่ ขาซ้ายยกชันขึ้นมาตั้งฉากกับพ้ืนต่อหน้าแท่นหินท่ีมีขันใบใหญ่ที่ใส่น้าแล้วหยดน้าตาลลงไป ภายในขันมพี ระขรรคซ์ ึ่งเปน็ มดี 2 คม ท้ังพระขรรค์และขนั น้าทที่ าพธิ ีน้ีจะตอ้ งทาด้วยเหล็กกล้า อย่างดี จากน้ันให้ใช้พระขรรค์คนน้าในขัน ในขณะที่กาลังคนน้าน้ันจะมีการสวดมนต์ 5 บท ผลัดกันสวดคนละ 1 บท หลังจากสวดมนต์จบแล้ว ท่านทั้ง 5 จะนาน้าน้ันมาให้ผู้เข้าพิธีรับน้าอมฤตดื่ม ซึ่งผู้เข้าพิธีเหล่าน้ีต้องน่ังด้านหลังของท่านทั้ง 5 และหันหน้าไปทางพระคัมภีร์ครันถ์สาหิบ หลังจากท่ีดื่มน้าแล้วในบางแห่งผู้เข้ารับพิธีจะต้องพูดว่า \"คัลซาเป็นพระเจ้า ชัยชนะเป็นของ พระองค์\" (คลั ซาในท่ีน้ี หมายถงึ ชาวซกิ ข์ ซงึ่ นิยมใชแ้ ทนกนั เสมอ) 5.6.3 ประเพณีการเลน่ ดนตรีสวรรค์ (Kirtan) ประเพณีน้ีเป็นแบบอย่างหนึ่งของการแสดงออกซ่ึงความเคารพในพระผู้เป็นเจ้า ชาวซิกข์นิยมสวดมนต์พร้อมกับมีดนตรีบรรเลงประกอบ และถือกันว่าเป็นดนตรีสวรรค์ท่ีจะ ช่วยให้ผู้สวดได้มีจิตแนบแน่นกับพระผู้เป็นเจ้าได้รวดเร็วและดีขึ้น เครื่องดนตรีท่ีใช้บรรเลงมี ลกั ษณะเหมือนหบี ส่เี หลี่ยม ซ่ึงอาจเรยี กว่า \"หบี เพลง\" ศาสนาขน้ั แนะนา | 123

5.6.4 ประเพณกี ารโพกศีรษะ (Turban หรอื Dastar) ชาวซิกขม์ ลี ักษณะการแต่งกายแตกต่างจากชนกลมุ่ อนื่ ในอินเดีย ดูจากการโพกผ้า บนศรี ษะ ซ่ึงเปน็ ส่วนประกอบสาคญั ในการแต่งกายได้กอ่ กาเนดิ มาโดยศาสดาครุ ุนานกั ผ้าโพกศรีษะเป็นสัญลักษณ์อย่างหน่ึงของนักบุญและนักปราชญ์ทั้งหลาย ผ้าโพก ศรีษะเรียกว่า ดัสตาร์ (Dastar)ในภาษาปัญจาบี โดยทั่วไปจะมีความยาว 4.5 เมตร หรือ 5 หลา มีความกว้างประมาณ 1.25 เมตร ผ้าท่ีใช้นิยมผ้าฝ้ายเนื้อบาง แต่บางคนอาจจะใช้ ผ้าฝ้ายเนื้อหนาก็ได้ หรืออาจจะใช้ความยาวถึง 7 เมตร นอกจากน้ียังมีผ้าโพกศีรษะขนาดสั้น เรียกว่า ดัสตาร่า (Dastara) มีความยาวประมาณ 1.5-2 เมตร ใช้โพกศีรษะอยู่ใต้ผ้าท่ีโพกไว้ ภายนอกอีกช้ันหน่ึง ส่วนสีนั้นไม่มีการจากัด ข้ึนอยู่กับความนิยม แต่ชาวซิกข์ในเมืองไทย สว่ นมากนิยมสีขาว และสีฟ้าสดทีเ่ รยี กว่า ฟ้าอมนา้ เงนิ ในหมชู่ าวซกิ ข์ การโพกผ้าไม่ไดม้ ีความหมายเป็นเพียงแคป่ ระเพณีในการแต่งกาย เท่าน้ัน แต่เป็นสัญลักษณ์ท่ีแสดงถึงความสืบเนื่องทางศาสนา เช่น ถ้าผู้นาของครอบครัว เสียชวี ติ บตุ รคนโตจะได้รับการโพกศรี ษะต่อหน้าชุมชนน้ันๆ เพ่ือประกาศว่าเขาจะได้เป็นผู้สืบ ทอดแทนบิดาตอ่ ไป พิธีโพกศีรษะเริ่มเป็นคร้ังแรกเมื่อเด็กโตเป็นหนุ่ม และผ้าโพกศีรษะนี้จะถูกถอด ออกต่อเม่ือเป็นการลงโทษหรือเป็นการลบหลู่เกียรติ ฉะนั้น เมื่อผู้ใดปัดผ้าโพกศีรษะผู้อื่น ออก ผู้นั้นจะถูกลงโทษไม่ให้เข้าร่วมในพิธีต่างๆ จนกว่าจะขอขมาโทษ และรับโทษตามท่ีได้ บัญญัติไว้ ชาวซิกข์จะต่อสู้เพ่ือสิทธิในการโพกศีรษะในประเทศต่างๆ การต่อสู้คร้ังแรกเกิดข้ึน ในอังกฤษ ดังนั้น การโพกศีรษะจึงหมายถึงวิถีชีวิตและจิตใจของชาวซิกข์ท่ีมีต่อศาสนา อยา่ งม่ันคง 5.6.5 ประเพณีครวั ทาน (Free Kitchen) ป ร ะ เ พ ณี นี้ เ ป็ น ส่ ว น ห น่ึ ง ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ท า ง ศ า ส น า ที่ ช า ว ซิ ก ข์ เ รี ย ก ว่ า ปั น กั ต (Pangat) หรือ ลังการ์ (Langar) ซ่ึงหมายถึง ครัวทานหรือครัวสาธารณะท่ีเปิดให้คนทั่วไปได้ รับประทานอาหารร่วมกันไม่ว่าจะมีวรรณะใด เพศใด หรือชาติใดก็ตาม ทุกคนย่อมได้รับ การปฏิบตั ทิ เี่ หมอื นและเทา่ เทียมกนั ประเพณีทางศาสนานี้เร่ิมมาตั้งแต่สมัยของคุรุนานักท่ีเป็น ปฐมศาสนา และทาสืบต่อกันมาในสมัยของศาสดาคุรุอังคัต ศาสดาคุรุอมรทาสจนกระท่ังถึง ปัจจุบันน้ี การรับประทานอาหารในโรงครัวสาธารณะนี้ถือว่าเป็นการสร้างความเป็นอันหน่ึง เดียวกันซ่ึงเป็นหลักสาคัญในศาสนา บุคคลท่ีเข้ามาในโรงครัวน้ีจะต้องนั่งบนพ้ืนท่ีจัดไว้เรียง เป็นแถวในระดับเสมอกนั ไม่มีเจ้าไม่มนี าย ไม่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา ผู้ศรัทธาใน ศาสนาซิกข์จะช่วยกันทาอาหารและบริการรับใช้ผู้มารับประทานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน 124 | ศาสนาซกิ ข์

โรงครัวนชี้ าวซกิ ข์จะช่วยกันนาอาหารมาใหห้ รืออาจให้เป็นเงนิ ทอง เพ่อื จดั ซ้อื อาหารต่างๆ ให้มี อย่เู สมอมิไดข้ าด8 จากทกี่ ลา่ วมาขา้ งต้น สรปุ เปน็ แผนภมู ิ เพ่ือความเขา้ ใจง่ายดังน้ี พธิ ีปาหุล พธิ รี ับนา้ อมฤต พิธีกรรม ประเพณกี ารเล่นดนตรีสู่สวรรค์ ประเพณกี ารโพกศีรษะ ประเพณคี รวั ทาน แผนภมู ภิ าพที่ 5-4 พธกี รรมของศาสนาซกิ ข์ 5.7 สญั ลกั ษณข์ องศาสนา สัญลกั ษณข์ องศาสนาซกิ ข์ท่ีสาคญั มี 3 ประการ คอื 1) สัญลักษณ์ กานา้ และดาบ ซง่ึ หมายถงึ การรับใชแ้ ละกาลงั 2) สัญลักษณ์ อักษร \"ก\" ทงั้ 5 3) สัญลกั ษณ์ รปู ดาบไขว้ และมีดาบ 2 คม หรือพระขรรค์อยู่ ตรงกลาง แล้วมีวงกลมทับพระขรรค์น้ันอีกต่อหน่ึง วงกลมนน้ั มไิ ด้ทาเป็นรูปจกั ร แตท่ าเป็นเสน้ กลมธรรมดา แหลง่ ทม่ี า : ภาพสัญลกั ษณ์ www.thaisikh.org 8ธรรมกาย, ศาสนศึกษา (ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย, 2550), หนา้ 188-190. ศาสนาข้ันแนะนา | 125

5.8 ฐานะปัจจุบนั ของศาสนา ชาวซิกข์เป็นบุคคลที่กล้าหาญและทรหดอดทน ดังน้ัน รัฐปัญจาบจึงเป็นรัฐที่ ประชาชนมคี วามอดุ มสมบูรณ์มากกวา่ ท่อี ่ืน แต่เนือ่ งจากศาสนาซิกข์เกิดข้ึนเพื่อจะเช่ือมสะพาน ระหว่างศาสนฮินดูกับมุสลิม คนที่มานับถือส่วนมากมาจากศาสนาฮินดูและนาเอาลักษณะการ ปฏิบัติทางศาสนาและสังคมแบบฮินดูมาด้วย ศาสนาซิกข์จึงเผชิญปัญหาการดารงเอกลักษณ์ ของตนไว้ คนหนุ่มเป็นจานวนมากเลิกปฏบิ ัตธิ รรมเนยี ม (ขาลสา) ของการไว้ผมและหนวด แต่ ก็มีบางพวกที่ยังคงไว้ผมและหนวด จึงทาให้ยากที่จะแสดงความแตกต่างระหว่างชาวซิกข์กับ ฮินดู นอกจากน้ี ยังมีบทบาทของนักการเมืองท่ีมีช่ือว่ากลุ่มอกาลี (Akali) ได้เรียกร้อง รัฐบาลกลางให้มีรัฐของชาวซิกข์ข้ึนโดยเฉพาะเพราะจะช่วยให้พ้นจากอิทธิพลของศาสนาฮินดู และเยาวชนจะหันมาปฏิบัติตามธรรมเนียมดั้งเดิมของศาสนาซิกข์ยิ่งข้ึน ดังน้ัน ตอนน้ีจึงมี แนวโน้มอยู่ 2 แนวทางด้วยกัน คือ (1) ความพยายามที่จะรักษาเอกลักษณ์ของศาสนาซิกข์ไว้ และ (2) ความพยายามที่จะใหค้ าสอนและการปฏบิ ัติในศาสนาซิกข์มาใกล้เคียงกับคาสอนและ การปฏิบัติในศาสนาฮินดูปัจจุบัน ไม่อาจจะสรุปได้ว่า แนวโน้มแรกหรือหลังจะกาหนดอนาคต ของศาสนาซิกข9์ ปจั จุบนั ศูนย์กลางศาสนาซิกข์อยู่ที่เมืองอมฤตสรา แคว้นปัญจาบ ประเทศอินเดีย ซง่ึ มีสุวรรณวหิ ารสถานทศ่ี ักด์ิสิทธิข์ องชาวซกิ ข์อยทู่ ีน่ ั่น 9จินดา จนั ทร์แกว้ , ศาสนาปจั จบุ นั , หน้า 89-90. 126 | ศาสนาซกิ ข์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook