1
2
3
4
เทคโนโลยีและนวัตกรรมในปัจจุปันท่ีเป็นดิจิทัลเข้ามามีบทบาทใน ด้านต่าง ๆ ของชีวิตประจาวันมากขึ้น รวมท้ังในด้านการศึกษา ยกตัวอย่าง เช่น โทรศัพท์มอื ถือ แทบ็ เลต็ คอมพวิ เตอร์ ดงั น้ันการนาเทคโนโลยี และ นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษาความรู้ท่ีให้ความสะดวกสบาย และ เขา้ ถงึ ได้ง่าย ทาใหผ้ คู้ นเกิดการอยากเรียนรมู้ ากขนึ้ ผู้ เ ขี ย น จึ ง น า เ ท ค โ น โ ล ยี ม า ป ร ะ ยุ ก ต์ ส ร้ า ง ห นั ง สื อ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ (E-Book) เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอนเพ่ือเป็นเครื่องมือในการ ประกอบการสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพ และเกิดประโยชนต์ อ่ ผเู้ รียนในการใชง้ าน หนังสือเล่มนี้จะอธิบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมสาหรับครู ประกอบด้วยเน้ือหาเก่ียวกับแนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวัตกรรม การศึกษา เทคโนโลยีและสารสนเทศสาหรับครู แหล่งการเรียนรู้ และเครือขา่ ยการเรียนรู้ การออกแบบนวตั กรรมสาหรับครู เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ดั ง ก ล่ า ว จ ะ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ ส า ห รั บ ผู้ เ รี ย น เ พ่ื อ ใ ช้ ในการเรยี นรู้ศกึ ษาและนาพฒั นาความรูเ้ ชิงลึกต่อไป 5
คำนำ 10 บทที่ 1 แนวคดิ ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวตั กรรมกำรศึกษำ 12 12 เทคโนโลยที างการศกึ ษา 13 ความหมาย เทคโนโลยี 14 ความหมาย เทคโนโลยที างการศกึ ษา 14 15 แนวคดิ และทฤษฎีทางการศึกษา 15 แนวคดิ ทางวิทยาศาสตร์กายภาพ 15 แนวคิดทางพฤติกรรมศาสตร์ 17 17 นวตั กรรมทางการศึกษา ความหมายของนวัตกรรม 21 ความหมายของนวัตกรรมทางการศึกษา 22 ประเภทนวตั กรรมการศกึ ษา 23 23 บทท่ี 2 เทคโนโลยแี ละสำรสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีและสารสนเทศสาหรบั ครู การสอนใช้คอมพวิ เตอร์ชว่ ย 6
ส่อื ประสม 23 การประชุมทางไกลโดยวีดิทศั น์ 23 หอ้ งสมุดอิเล็กทรอนกิ ส์ 23 ระบบสารสนเทศ 23 ระบบฐานขอ้ มลู 24 ระบบขา่ ยงาน 24 ระบบมลั ตมิ เี ดีย 24 บทที่ 3 แหลง่ กำรเรยี นรแู้ ละเครอื ขำ่ ยกำรเรียนรู้ 26 ความหมายของแหลง่ เรียนรู้ 28 แหล่งเรียนรูท้ ่ีสาคัญ 28 ประเภทของแหล่งเรียนรู้ 28 ความหมายของเครือข่ายการเรียนรู้ 30 ความหมายของเครือขา่ ยการเรยี นร้สู ว่ นบุคคล 31 ประเภทเครอื ข่ายการเรยี นรู้ 32 บทที่ 4 กำรออกแบบนวัตกรรม 35 แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้เพือ่ การออกแบบนวตั กรรม 36 หลักการและทฤษฎี ทางจติ วิทยาการศึกษา 36 ทฤษฎจี ากกล่มุ พฤตกิ รรมนิยม 36 7
ทฤษฎีการวางเงือ่ นไข 36 ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไข/ทฤษฎีการเสรมิ แรง 37 หลกั การและทฤษฎี เกี่ยวกบั เทคโนโลยที างการศกึ ษา ในแงข่ องการเรยี นรู้ 38 ทฤษฎีการรับรู้ 39 แนวคิด และกระบวนการออกแบบนวัตกรรมการศกึ ษา 41 การออกแบบ รายละเอียดนวัตกรรม 44 การออกแบบ เครื่องมอื ศึกษาคณุ ภาพ และประสทิ ธิภาพนวตั กรรม 46 การออกแบบ การศกึ ษาคุณภาพ และประสิทธภิ าพนวตั กรรม 47 การออกแบบ เครื่องมือวัด ประเมินผลการใช้นวตั กรรม 48 การออกแบบ การนานวตั กรรมไปใช้ 49 การออกแบบ การวัด ประเมินผลการใชน้ วตั กรรม 50 การออกแบบ การเผยแพรน่ วัตกรรม 51 บรรณำนกุ รรม 8
9
10
11
บทท่ี 1แนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวตั กรรมกำรศกึ ษำ ควำมหมำยของเทคโนโลยี \"เทคโนโลยี\" หมายถึง การนาแนวคิด หลักการ เทคนิควิธีการ กระบวนการ ตลอดจนผลิตผลทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในระบบงานต่างๆ เพ่ือปรับปรุง ระบบงานน้ันๆ ให้ดีขึ้น และมีประสทิ ธิภาพยิง่ ขึน้ จะเหน็ ได้วา่ ในปจั จุบนั ในวงการตา่ งๆ เช่น เกษตร แพทย์ อุตสาหกรรม ธุรกิจ ทหาร ต่างก็นาเทคโนโลยีมาใช้ เพ่ือก่อให้เกิด ประโยชนต์ ่อสาขาวิชาชพี ชองตนอย่างเต็มท่ี grnjvเออ้ื อานวยในดา้ นตา่ งๆ ดงั น.้ี 1. ดา้ นประสิทธิภาพ (Efficiency) เทคโนโลยีจะช่วยให้การทางานน้ันสามารถ บรรลผุ ลตามเปา้ หมายไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและรวดเรว็ 2. ด้านประลิทธิผล (Effectiveness) เทคโนโลยีจะชว่ ยให้การปฏิบัติงานนน้ั ได้ ผลผลิตออกมาอยา่ งเต็มท่ี 3. ประหยัด (Economy) เทคโนโลยีจะช่วยให้ประหยัดท้ัง เวลา ทรัพยากร และก่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุด ทาให้ราคาของ ผลติ ผลนั้นราคาถกู ลง 4. ป ล อ ด ภั ย ( Safety) เป็นระบบการทางานที่ข้านายให้ เกิดความปลอดภยั เพ่มิ ขนึ้ รูปที่ 1 http://www.thaihealth.or.th/data/content/2016/ 09/32732/cms/thaihealth_c_adefjkosux37.jpg 12 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมสำหรบั ครู
ในปัจจุบนั ไดม้ ีการนาเทคโนโลยีมาใชใ้ นการพฒั นาด้านต่างๆ ในหลายวงการ เช่น นามาใช้ในการพัฒนางานการผลิตเคร่ืองมือ และวิธีการต่างๆในทางการแพทย์ เรียกว่า เทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Technology) เช่น การผ่าตัดด้วยแสง เลเซอร์ ควำมหมำยของเทคโนโลยที ำงกำรศกึ ษำ คาร์เตอร์ วี กูด (Carter V.Good, 1973) ได้กล่าวว่า \"เทคโนโลยีการศึกษา\" หมายถงึ การนาหลักการทางวิทยาศาสตรม์ าประยกุ ต์ใช้เพ่ือการออกแบบ และส่งเสริม ระบบการเรียนการสอน โดยเน้นท่ีวัตถุประสงค์ทางการศึกษา ท่ีสามารถวัดได้อย่าง ถูกต้องแน่นอน มีการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนมากกว่าที่จะยึดเน้ือหาวิชา มี การใช้การศึกษาเชิงปฏิบัติ โดยผ่านการวิเคราะห์และการใช้เคร่ืองมือโสตทัศนุปกรณ์ รวมถงึ เทคนคิ การสอนทไ่ี ชอปุ กรณต์ ่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ส่ือการสอนต่างๆ ใน ลักษณะของสอ่ื ประสม และการศึกษาด้วยตนเอง ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2526) ได้ให้นิยามไว้ว่า “เทคโนโลยกี ารศึกษา” เปน็ ระบบ การประยุกต์ผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ วัสดุ และผลิตกรรมทาง วศิ วกรรมศาสตร์ ไดแ้ ก่ อุปกรณโ์ ดยยึดหลักการทางพฤติกรรมศาสตร์ ไดแ้ ก่ วิธีการ มา ช่วยในการเพิมประสิทธิภาพทางการศึกษา ทั้งด้านการบริหาร หรืออีกนัยหน่ึง เทค โนโลย่ีการศึกษาเป็นระบบการนาวัสดุอุปกรณ์ และวิธีการมาใช้ในการปรับปรุง ประสิทธภิ าพการศกึ ษาให้สูงข้ึน กิดานันท์ มลิทอง (2543) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาว่าเป็น การประยกุ ต์เอาเทคนิค วิธกี าร แนวความคิด วัสดุอปุ กรณ์ และสิ่งตา่ งๆ อันสบื เนอื งมา จากเทคโนโลยีมาใชใ้ นวงการศึกษา จากความหมายต่าง ๆ ท่ีกล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีการศึกษาเป็นการ ประยุกต์เอาเทคนิค วิธีการ แนวความคิด วัสดุ อุปกรณ์ และส่ิงต่างๆ อันสืบ เนอื่ งมาจากเทคโนโลยีมาใช้ในวงการศกึ ษา เทคโนโลยเี หล่าน้นี ถึงแมใ้ นบางคร้ังจะเป็น การคิดค้นข้ึนเพ่ือใช้ในวงการอ่ืนๆ กต็ ามแต่สามารถนามาใช้ในวงการศึกษาได้เช่นกัน บทที่ 1 แนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวัตกรรมกำรศึกษำ 13
ดังเช่นคอมพิวเตอร์ชงประดิษฐ์ขึ้นมาเพ่ือใช้ในการคิดคานวณและในวงการธุรกิจก็ยัง สามารถนามาใชใ้ นการบรหิ ารสถาบนั การศึกษาและช่วยในการเรยี นการสอนได้ รูปท่ี 2 http://static.wixstatic.com/media/4cd200_7f6c1076c8 ae471da0ba93d652765c26.jpg แนวคดิ และทฤษฎที ำงกำรศกึ ษำ แนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีการศึกษา แบ่งได้ 2 แนวคิด ดังนี้ (ชัยยงค์ พรหม วงศ์, 2534) 1. แนวคิดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science Concept) เป็น ระบบการนาผลิตผลทางวทิ ยาศาสตร์และวิศวกรรมมาใช้ทางการศกึ ษา ในรปู ของวัสดุ ท่เี ปน็ สิน้ เปลือง (Software) และอุปกรณ์ซึ่งเป็นสิ่งท่ีคงทนถาวร (Hardware) แนวคิด น้ีได้พัฒนาจาก \"โสตทัศนศึกษา\" (Audiovisual Education) ดังน้ันเทคโนโลยี 14 เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมสำหรบั ครู
การศึกษาตามแนวคิดนี้ จึงให้ความสาคัญต่อ \"วัสดและอุปกรณ์\" แต่ไม่รวมวิธีการเข้า ไปด้วย 2.แนวคิดทางพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) เป็นระบบการ ประยกุ ต์หลกั การทางจติ วทิ ยา สงั คมวิทยา และมานุษยวิทยา มาใชค้ วบคกู่ บั ผลิตกรรม ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อช่วยให้ผู้เรียเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนรู้ให้มี ประสทิ ธภิ าพยิ่งข้ึน โดยเน้น \"วิธีการจดั ระบบ\" (Systems Approach) ทมี่ ีการกาหนด ขนี้ ตอนที่ชดั เจน เช่น 2.1 วิเคราะหเ์ น้อื หา วเิ คราะห์ผเู้ รยี นในแงข่ องความสนใจ ความพรอ้ ม จุดเด่น จดุ ดอ้ ย เพ่ือจัดหลกั สตู รใหเ้ หมาะสมกับนักเรยี นแต่ละคน 2.2 วิธีการทคี่ รูใช้ รวมท้งั วสั ดอุ ุปกรณ์ 2.3 กาหนดแนวทางการประเมินผล เปน็ ต้น เทคโนโลยีการศกึ ษาตามแนวพฤติกรรมศาสตร์เป็นท่ียอมรบั กนั มาก เพรไม่ได้ เน้นแต่สื่อสิ่งของ แต่เน้นส่ือประเภทวิธีการ \"วิธีการที่ดี\" จาเป็นต้องมีการกาหนด ขัน้ ตอนทีเ่ หมาะสม “ข้ันตอน” จึงเป็นหวั ใจของการดไเนนิ งานดา้ นเทคโนโลยี การกาหนดขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพต้องอิงระบบที่เรียกว่า \"วิธีการจัดระบบ\" (Systems Approach) โดยมขี ้อมลู ปอ้ นเข้า (in put) กระบวนการ (process) ผลลัพธ์ (output) และผลย้อนกลบั (feedback) ควำมหมำยของนวตั กรรม กิดานันท์ มลทอง (2536, 201) กล่าวว่า นวัตกรรม หมายถึง ส่ิงประดิษฐ์ที่ คดิ ค้นขึ้นมาใหม่ ปฏิบัติการใหม่ ๆ หรือสิ่งใดก็ตามทีพ่ ัฒนาให้ดีขึน้ กว่าของเดิมที่มีอยู่ เมื่อนามาใช้ในการทางานแล้วสามารถช่วยให้การทางานนั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้ง ประหยดั เวลาและแรงงานด้วย นวตั กรรมและเทคโนโลยีจงึ เป็นสิ่งทค่ี วบคกู่ ันอยู่เสมอ บทที่ 1 แนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวตั กรรมกำรศึกษำ 15
รูปที่ 3 มอร์ตัน (Morton อ้างใน https://3.bp.blogspot.com/- บุญเกื้อ ควรหาเวช, 2530) กล่าว 4Djb7954L_Y/VrsRZSAI2dI/AAAAAAAAAGw/yX ว่า นวัตกรรม หมายถึง การทาให้ kOpTbSpx0/s1600/Complex-information- ใหม่ขึ้นอีกครั้ง เป็นการปรับปรุง technology-e1381602357858.jpg ของเก่าและพัฒนาศักยภาพของ บุคลากร ตลอดจนหน่วยงานหรือ องค์การน้ัน ๆ นวตั กรรมไม่ใช่การ ขจัดหรือล้มล้างส่ิงเก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงเสริมแต่งและ พัฒนาเพอ่ื ความอยู่รอดของระบบ จากความดังกล่าวสรุปได้ว่า นวัตกรรมเป็นแนวความคิด การกระทา หรือ ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ๆ ซ่ึงพัฒนาจากของเดิมทีมีอยู่ หรือเป็นการค้นพบขึ้นใหม่โดยไม่ได้ ปรับปรุงจากส่ิงท่ีมีอยู่ ในการพัฒนาหรือการสร้างนวัตกรรมนั้นได้กระทาอย่างเป็น ระบบ มีการทดลองและปรับปรุงจนกระท่ังมีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ เม่ือ นาไปใช้ในสถานการณ์จริงสามารถช่วยให้การดาเนินงานมีประสิท ธิภาพและ ประสิทธิผล รูปท่ี 4 https://oi- net.eu/images/Screen_Shot_2016-12- 07_at_3.00.47_PM.png 16 เทคโนโลยีและนวตั กรรมสำหรบั ครู
ควำมหมำยของนวตั กรรมทำงกำรศึกษำ สื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ความเป็นจริงเสมือน ปัญญาประดิษฐ์ ส่ือ ประสม เว็บเพือ่ การศึกษา เปน็ ต้น นับว่าเปน็ นวัตกรรมที่มีการประดิษฐ์คิดค้นข้ึนใหม่ หรือได้มีการพัฒนาปรับปรุงจากของเดมิ ให้มีสมรรถนะในการใช้งานได้มปี ระสิทธิภาพ และประสิทธผิ ลดยี ง่ิ ขึ้น นวัตกรรมเหล่าน้ีสามารถนามาใชใ้ นวงการศกึ ษาได้เปน็ อย่างดี และเรียกวา่ \"นวตั กรรมการศึกษา\"เพราะเมื่อนา้ มาใชแ้ ล้วสามารถช่วยให้การเรียนการ สอนเกิดประโยชนแ์ ก่ผู้เรยี นอย่างสงู มากกว่าของเดมิ ทเ่ี คยใชอ้ ยู่ นวัตกรรม การศกึ ษาที ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายรูปแบบในลักษณะของสื่ อขนาดเล็กและการ ผสมผสานเทคโนโลยีรูปแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น การใช้คล่ืนไมโครเวฟ เคเบิลทีวี การส่งสัญญาณผา่ นดาวเทียม การใช้คอมพิวเตอร์ในการบริหารและการเรียนการสอน รูปแบบต่างๆ รวมถึงเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ในขา่ ยงานบริเวณเฉพาะที่ (LAN) การนาน ใยนาแสงและระบบโครงข่ายบริการส่ือสารร่วมระบบดิจิทัล (ISDN) เพ่ือช่วยในการ สื่อสารเพ่อื ใหก้ ารเรียนการสอนเปน็ ไปไดอ้ ย่างสะดวกรวดเร็ว ประเภทนวตั กรรมกำรศกึ ษำ ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา มี 5 ประเภทได้แก่ 1.นวตั กรรมดา้ นสื่อสารการสอน เชน่ - บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน - หนงั สอื อิเลค็ ทรอนิค - บทเรียนCD/VCD - คมู่ อื การทางานกลุม่ 2.นวัตกรรมดา้ นวธิ ีการจดั การเรยี นการสอน เช่น - การสอนแบบร่วมมือ - การสอนแบบอภิปราย บทที่ 1 แนวคดิ ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวัตกรรมกำรศึกษำ 17
- วธิ สี อนแบบบทบาทสมมุติ - การสอนด้วยรูปแบบการเรยี นเปน็ คู่ 3.นวตั กรรมดา้ นหลกั สูตร เช่น - หลักสตู รสาระเพมิ่ เตมิ - หลกั สูตรท้องถิน่ - หลกั สูตรการฝกึ อบรม - หลักสูตรกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน 4.นวัตกรรมดา้ นการวัดและการประเมนิ ผล เชน่ - การสร้างแบบวดั ต่างๆ - การสร้างเครอื่ งมือ - การประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์ แนวทางในการสรา้ งแบบวัดผลและประเมินผลเช่น - การสรา้ งแบบวดั แววครู - การพฒั นาคลังข้อสอบ - การสรา้ งแบบวัดความมีวินยั ในตนเอง 5.นวตั กรรมดา้ นการบริหารจดั การ เช่น - การบรหิ ารเชิงระบบ - การบริหารเชงิ กลยทุ ธ์ - การบรหิ ารเชิงบูรณาการ 18 เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมสำหรบั ครู
บทท่ี 1 แนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวตั กรรมกำรศึกษำ 19
20
21
บทที่ 2 เทคโนโลยแี ละสำรสนเทศ เทคโนโลยสี ำรสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หรือท่ีเรียกกันสั้นๆ ว่า \"ไอที\" เป็นเทคโนโลยีทร่ี วมระบบคอมพวิ เตอร์เข้ากับระบบโทรคมนาคมการสอ่ื สาร ความเร็วสูงเพือ่ เชือ่ มโยงข้อมูล โดยทเี่ ทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยในการประมวลผล ข้อมลู จัดเก็บและบันทึกสารสนเทศ และส่งข้อมูลหรือผลลัพธ์ที่ประมวลได้ไปยังผใู้ ช้ท่ี อยู่ห่างไกลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยผ่านทางเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศท่เี ห็นไดเ้ ดน่ ชัดในปัจจุบัน คือ อนิ เทอรเ์ น็ตและทางสารสนเทศ รูปท่ี 5 https://sites.google.com/site/computertesttong/_/rsrc/1479285260613/home/thekh noloyi-sarsnthes-sahrab-khru/services_bannerjk.png 22 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมสำหรับครู
เทคโนโลยีและสำรสนเทศสำหรับครู การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (คอมพิวเตอร์ช่วยสอน) เป็นการใช้โปรแกรม บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ในการเรียนรู้เเละการฝกึ อบรม ส่ือประสม เป็นการใช้ระบบสื่อประสมในลักษณะตัวอักษรภาพกราฟิก ภาพเคลอ่ื นไหว และเสยี ง ในการเรยี นการสอนและการฝกึ อบรม การประชุมทางไกลโดยวีดิทัศน์ เพ่อื เชื่อมโยงการเรยี นการสอนระหวา่ งผู้สอน และผเู้ รียนระหวา่ งสถาบนั การศึกษาให้ไดเ้ รยี นรพู้ รอ้ มกนั ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ เพ่ืออานวยความสะดวกแก่ผู้สอนและผู้เรียนในการ สบื ค้นระยะไกล และเชื่อมต่อการสอื่ สารระหว่างบุคคลที่อยู่นอกระบบการศึกษาภาค ปกตหิ รือที่อยู่ในระบบการศึกษาทางไกล ระบบสารสนเทศ เป็นการรับ ประมวลผล และจัดการข้อมูลภายใน สถาบันการศึกษา เช่น การตรวจขอ้ สอบและคานวณผลสอบ การลงทะเบียนนกศกึ ษา จดั ระบบบญั ชพี สั ดุ จดั ระบบบุคลากร จดั ทาทรานสครปิ ต์ จัดทาสถิติตา่ งๆ ของสถาบัน การให้บริการหอ้ งสมดุ ฯลฯ บทที่ 2 เทคโนโลยแี ละสำรสนเทศ รูปท่ี 6 บทท่ี 2 เทคโนโลยแี ละสำรสนเทศ 23
ระบบฐานข้อมูล เป็นระบบจัดการและเก็บรักษาฐานข้อมูลต่างๆ เช่น ฐานขอ้ มูลนักศึกษา ฐานขอ้ มูลอาจารย์ ฐานข้อมลู วัสดุอปุ กรณก์ ารศึกษา ฯลฯ ระบบข่ายงาน โดยการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตท้ังภายในและภายนอกสถาบัน เพ่ือการเรียนการสอนและการสอื่ สาร ระบบมัลติมีเดีย เป็นเทคโนโลยีท่ีผสมผสานภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และ ขอ้ ความเข้าด้วยกันโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการแสดงผล นาไปประยุกต์ใช้ใน การสอน เช่น คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) กิจกรรมเพื่อการศกึ ษาท่ใี ชเ้ ทคโนโลยีเข้ามา ช่วย ในปัจจุบันนี้ได้แก่ วิทยุกระจายเสียงเพ่ือการศึกษา วิทยุโรงเรียน โทรทัศน์เพ่ือ การศึกษา การสอนทางไกลผ่านดาวเทียม ระบบประชุมทางไกล ระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ เช่น เครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต ในบทความผู้เขยี นได้กล่าวถึงความสาคัญของ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาท่ีมีในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และประวัติการนาเทคโนโลยีมาใชใ้ นการศึกษาของไทยไวด้ ว้ ย รปู ท่ี 7 https://silabus.org/wp-content/uploads/2016/10/macam- macam-media-pembelajaran.jpg 24 เทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรบั ครู
บทท่ี 2 เทคโนโลยีและสำรสนเทศ 25
26
27
บทท่ี 3แหลง่ กำรเรยี นร้แู ละเครอื ขำ่ ยกำรเรียนรู้ ควำมหมำยของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ที่ สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตาม อธั ยาศัย อยา่ งกวา้ งขวางและต่อเนือ่ ง เพ่ือเสริมสร้างให้ผูเ้ รยี นเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแหง่ การเรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรูท้ ีส่ ำคญั 1. แหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย 2. แหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวติ 3. แหลง่ ปลูกฝงั นสิ ัยรกั การอา่ น การศึกษาคน้ ควา้ แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง 4. แหลง่ สร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบตั ิ 5. แหล่งสรา้ งเสรมิ ความรู้ ความคิด วทิ ยาการและประสบการณ์ ประเภทของแหล่งเรียนรู้ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้สามารถแบง่ ได้หลากหลาย ตามลักษณะการแบง่ ของ แต่ละบุคคล ซึ่งมีรายละเอียดของผู้ให้ความหมายของประเภทแหล่งเรียนรู้ดังต่อไปน้ี สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2546 : 8-9) ได้จาแนกประเภท ของแหลง่ การเรียนรไู้ ว้ 2 แบบ 28 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมสำหรับครู
1. จดั ตามลักษณะของแหลง่ การเรยี นรู้ 1.1 แหล่งการเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นแหล่งการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนจะหา ความรู้ได้จากส่ิงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่น แม่น้า ภูเขา ป่าไม้ ลาธาร กรวด หิน ทราย ชายทะเล เป็นต้น 1.2 แหล่งการเรียนร้ทู ี่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสืบทอดศิลปวฒั นธรรม ตลอดจน เทคโนโลยีทางการศึกษาท่ีอานวยความสะดวกแก่มนุษย์เช่น โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุดประชาชน สถาบันการศึกษา สวนสาธารณะ ตลาด บา้ นเรือน ทีอ่ ยู่อาศยั สถาน ประกอบการ เปน็ ตน้ 1.3 บุคคล เป็นแหล่ง ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ ถ่ า ย ท อ ด ค ว า ม รู้ ความสามารถ คุณธรรม จรยิ ธรรม การสืบสานวัฒนธรรม และภูมิ ปัญญาท้องถิ่น ท้ังด้านประกอบ รูปท่ี 8 อาชีพ ตลอดจนนักคิด นกั ประดษิ ฐ์ https://mpics.mgronline.com/pics/Images/558 และผู้มีความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ 000003769501.JPEG 2. จัดตามแหลง่ ท่ตี ง้ั ของแหลง่ การเรียนรู้ 2.1 แหลง่ การเรียนรใู้ นโรงเรยี น เดิมมีแหล่งการเรยี นรูห้ ลัก คือ ครู อาจารย์ ต่อมามีการพัฒนาเป็นห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้อง บทที่ 3 แหล่งกำรเรียนรูแ้ ละเครือขำ่ ยกำรเรยี นรู้ 29
รูปที่ 9 จริ ย ธ ร ร ม ห้ อ ง ศิ ล ป ะ https://stic.mfu.ac.th/fileadmin/sticfiles/7 ตลอดจนอาคารสถานท่ี แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ใ น 473004469089.jpg โรงเรียน เช่น ห้องอาหาร สนาม ห้องน้า สวนดอกไม้ สวนสมุนไพร แหล่งน้าใน โรงเรียน เป็นต้น 2.2 แหลง่ การเรยี นรู้ในท้องถ่นิ ครอบคลุมท้ังดา้ นสถานทแ่ี ละบุคคล ซึ่งอาจอยู่ ในท้องถ่ินใกล้เคียงโรงเรียน ท้องถ่ินท่ีโรงเรียนพาผู้เรียนไปเรียนรู้ เช่น แม่น้า ภูเขา ชายทะเล สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ทุ่งนา สวนผัก สวนผลไม้ วัด ตลาด ร้านอาหาร ห้องสมุดประชาชน สถานีตารวจ สถานีอนามัย ดนตรีพื้นบ้าน การละเล่นพื้นเมือง แหล่งทอผา้ เทคโนโลยชี าวบ้าน เทคโนโลยใี นชวี ิตประจาวัน แหล่งขอ้ มลู ข่าวสารต่าง ๆ ควำมหมำยของเครอื ขำ่ ยกำรเรยี นรู้ เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรู้ท่ีมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเป็น ระบบที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยุกต์ความรู้ใหม่ๆ เพ่ือ วัตถปุ ระสงค์ทางวิชาชพี หรอื ทางสงั คม 30 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมสำหรบั ครู
ควำมหมำยของเครือขำ่ ยกำรเรียนรสู้ ่วนบคุ คล PLN (Personal Learning Network) เครือข่ายการเรียนรู้ส่วนบุคคล การ เรยี นร้สู ่วนบคุ คลเปน็ หน่ึงในรากฐานของสถาบันการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงองคก์ ร ที่ประสบความสาเร็จ เครือข่ายการเรียนรู้ส่วนบุคคล (PLN) ไม่เพียงแต่สนับสนุนการ พัฒนาวิชาชีพของตัวเอง แต่ยังสามารถเป็นวิธีท่ีมีประสิทธิภาพในการกระจาย นวัตกรรมภายในสถาบันการศึกษาของพวกเขา เรียนรู้ที่จะเช่ือมต่อกับชุมชนของมือ อาชีพใจเหมือนให้มีส่วนร่วมมีการสนทนาและทาให้การร้องขอในช่วงเวลาของความ จาเป็น เคร่ืองมือฟรีที่มีประสิทธิภาพและส่ือสังคมเช่น Google +, Twitter, และ Facebook ใหเ้ ป็นไปได้สาหรบั คุณและเพือ่ นร่วมงานของคุณ หากมองในองคร์ วมแลว้ นน้ั เครือข่ายการเรียนรสู้ ่วนบุคคล ก็คอื การนาเอาเนอ้ื หา สาระ ข้อมูล จากส่วนต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายอนิ เตอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในระบบการศึกษา ซ่ึงมีทง้ั สอื่ สังคมออนไลน์ (Social Network และ Social Media) เคร่ืองมือค้นคว้าข้อมูล (Search Engines) บันทึกส่วนตัว (Blog) หรือ แมก้ ระทั่งสงั คมการเรียนรู้ (Community Learning) รูปท่ี 10 http://nicfair.co.uk/site/wp- content/uploads/2016/03/PLNvisual.png บทท่ี 3 แหล่งกำรเรียนรแู้ ละเครอื ขำ่ ยกำรเรยี นรู้ 31
ประเภทเครอื ข่ำยกำรเรยี นรู้ 1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ ซ่ึงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะภายใต้ โครงสรา้ งของเครือข่ายการเรยี นรู้ 1.1 เครือข่ายการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นเอกัตบุคคลเป็นหลัก มีลักษณะของการ ประสานสัมพันธ์การดาเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เก่ียวข้อง เพ่ือขยายการ ให้บริการทางการศึกษาในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตาม อธั ยาศยั ไปยังผูท้ ่ีต้องการ อย่างกว้างขวาง และสนองตอบปัญหาความต้องการของแต่ ละบุคคล ตลอดจนจิตใตส้ านึกในการมสี ่วนร่วมพฒั นา 1.2 เครือข่ายการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นชมุ ชนเปน็ หลัก เป็นการกระตุ้นให้สมาชิก ใช้ศักยภาพของตนเองเพื่อแก้ไขปัญหาชุมชน เพิ่มขีดความสามารถของชุมชนในการ พึ่งพาตนเอง บนพ้ืนฐานของการเข้าใจสภาพปัญหา เง่ือนไข ข้อจากัด และความ ต้องการของตน 2. แบ่งตามโครงสร้างเครือขา่ ยการเรียนรู้ ซึ่งพิจารณาถึงโครงสร้างเครือข่าย การเรียนรู้อาศยั ความร่วมมอื ระหวา่ งบุคคล องคก์ ร และเทคโนโลยกี ารสือ่ สารเช่อื มโยง กันเปน็ เครือข่ายการเรยี นรู้ สามารถจาแนกออกได้เปน็ 4 ประเภท ดงั น้ี 2.1 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างกระจายศูนย์ มีศูนย์กลางทาหน้าที่ ประสานงาน แต่ภารกิจในการเรียนการสอนจะกระจายความรับผิดชอบให้สมาชิก เครือข่ายซ่ึงต่างกม็ ีความสัมพันธ์เท่าเทียมกนั รูปแบบนอ้ี าจเรียกว่าการกระจายความ รับผิดชอบ (Distributed Network) ซึ่งพบได้ในเครือข่ายการพัฒนาชนบท และการ เรยี นรูจ้ ากแหล่งวทิ ยาการชุมชน โดยอาศยั สือ่ บุคคลเป็นหลัก 2.2 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างรวมศูนย์ มีองค์กรกลางเป็นท้ังศูนย์ ประสานงาน และเป็นแม่ข่ายรวบรวมอานาจการจัดการความรู้ไว้ในศูนย์กลาง การ ลงทุนดา้ นเทคโนโลยีและกาลังคนอยู่ที่แม่ข่าย ส่วนลูกข่ายหรือสมาชิกเป็นเพียงผู้ร่วม ใช้บริการจากศนู ยก์ ลาง 32 เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมสำหรับครู
2.3 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างลาดับข้ัน (Hierarchical Network) มี ลกั ษณะเชน่ เดียวกับแผนภมู ิองค์กร การติดตอ่ ส่อื สารขอ้ มูลต้องผา่ นตามลาดบั ข้ันตอน มาก นิยมใช้การบริหาร จัดการองคก์ รตา่ งๆ ซงึ่ เหมาะแกก่ ารควบคมุ ดแู ลระบบงาน 2.4 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างแบบผสม คือมีทั้งแบบรวมศูนย์และ กระจายศูนย์ ซ่ึงพบมากในการจัดการศึกษานอกระบบโรงเรียน เน่ืองจากการเรียนรู้ มิได้อาศัยสื่อใดส่ือหน่ึงเป็นหลัก หากแต่มีการผสมผสานสื่อบุคคล และเทคโนโลยีจึง จาเปน็ ต้องจดั ระบบเครอื ขา่ ยแบบผสม เพอื่ สนองความต้องการไดอ้ ย่างกวา้ งขวางและ ตรง 3. แบ่งตามหน่วยสังคม ได้แบ่ง การเครือข่ายการเรียนรู้ออกเป็น 4 ระดับ คือ เครือข่ายการเรียนรู้ระดับ บุคคล เครือข่ายการเรียนรู้ระดับกลุ่ม เครือข่ายการเรียนรู้ระดับชุมชน และ เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ระดับสถาบัน 4. แบ่งตามระดับการปกครอง และลักษณะของงาน ซ่ึง ประเวศ วะสี (2538) ได้แบ่งประเภทของเครือข่ายการ เ รี ย น รู้ อ อ ก เ ป็ น 13 ป ร ะ เ ภ ท คื อ รูปท่ี 11 เ ค รื อ ข่ า ย ชุ ม ช น เ ค รื อ ข่ า ย นั ก พั ฒ น า https://nina6472.files.wordpress.co เครือข่ายระดับจังหวัด เครือข่ายภาครัฐ m/2017/10/100learn02.jpg?w=140 เครือข่ายวิ ชาชีพ เครือข่ายธุ ร กิ จ 0&h=9999 เครือข่ายส่ือสารมวลชน เครือข่ายนักฝึกอบรม เครือข่ายการประมวลและสังเคราะห์ องค์ความรู้ระดับชาติ เครือข่ายภาคสาธารณะ เครือข่ายวิชาการ เครือข่ายนโยบาย องคก์ รของรฐั และเครือขา่ ยผทู้ รงคณุ วุฒิ บทที่ 3 แหล่งกำรเรยี นรู้และเครือขำ่ ยกำรเรยี นรู้ 33
34
35
บทท่ี 4 กำรออกแบบนวัตกรรม แนวคดิ ทฤษฎีกำรเรียนรู้เพ่อื กำรออกแบบนวัตกรรม 1.หลักกำรและทฤษฎี ทำงจติ วทิ ยำกำรศกึ ษำ ทฤษฎจี ำกกลุม่ พฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism) นักจิตวิทยาการศึกษากลุ่มน้ี เช่น chafe Watson Pavlov, Thorndike, Skinner ซ่ึงทฤษฎีของนักจิตวิทยากลุ่มนี้มีหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเน่ือง (Connectionism Theory) ทฤษฎกี ารเสรมิ แรง (Stimulus-Response Theory) ทฤษฎกี ำรวำงเงอื่ นไข (Conditioning Theory) เจา้ ของทฤษฎีนค้ี ือ พอฟลอบ (Pavlov) กล่าว ไวว้ ่า ปฏกิ ิรยิ าตอบสนองอยา่ ง ใดอย่างหนึ่งของรา่ งกายของคนไม่ไดม้ าจากส่ิงเรา้ อยา่ ง ใดอยา่ งหนึ่งแตเ่ พียงอยา่ งเดียว สิง่ เร้าน้นั กอ็ าจจะทาให้เกดิ การตอบสนองเช่นน้ันได้ ถ้าหากมีการวางเง่ือนไขท่ีถูกต้อง เหมาะสม ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง (Connectionism Theory) เจ้าของทฤษฎีนี้ คอื ธอรน์ ไดค์ (Thorndike) ซ่งึ กล่าวไว้ว่า สิ่งเร้าหนึ่ง ๆ ย่อมทาให้เกดิ การตอบสนอง หลาย ๆ อย่าง จนพบส่ิงทต่ี อบสนองท่ีดที ่ีสดุ เขาได้คน้ พบกฎการเรยี นร้ทู ี่สาคญั คอื 1. กฎแห่งการผล (Law of Effect) 2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) 3. กฎแหง่ ความพรอ้ ม (Law of Readiness) แนวคิดของธอร์นไดค์ นักการศึกษาและจิตวิทยาชาวเยอรมัน ผู้ให้กาเนินทฤษฎีแห่ง การเรียนรู้ ได้เสนอหลักการ ภารกิจของการสอนของครูไว้ 2 ประการ และเสนอ หลักการเบ้ืองตน้ เกย่ี วกบั เทคโนโลยที างการศึกษาไว้ 5 ประการ 36 เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมสำหรบั ครู
ภารกจิ ของการสอนของครู 2 ประการ คือ 1. ควรจัดเร่ืองหรือสิ่งท่ีจะสอนต่าง ๆ ที่ควรจะไปด้วยกัน ให้ได้ดาเนินไป ดว้ ยกนั 2. ควรให้รางวัลการสัมพันธ์เช่ือมโยงท่ีเหมาะสม และไม่ควรให้ความ สะดวกใด ๆ ถา้ ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์เชอ่ื มโยงทเ่ี หมาะสมขน้ึ มาได้ หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษาและการสอน 5 ประการ คือ 1. การกระทากจิ กรรมต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง (Self – Activity) 2. การทาให้เกดิ ความสนใจดว้ ยการจูงใจ (Interest Motivation) 3. ก าร เตรียมสภาพ ที่เหมาะ สมทาง จิตภาพ ( Preparation and Mentalset) 4. คานึงถึงเรื่องเอกตั บุคคล (Individualization) 5. คานึงถงึ เรอื่ งการถ่ายทอดทางสังคม (Socialization) ทฤษฎีกำรวำงเงื่อนไข/ทฤษฎีกำรเสริมแรง (S-R Theory หรือ Operant Conditioning) เจ้าของทฤษฎีนี้คือ สกินเนอร์ (Skinner) กล่าว ว่า ปฏิกิริยาตอบสนองหน่ึง อาจไม่ใช่เน่ืองมาจากสิ่งเร้าส่ิงเดียว สิ่งเร้าน้ันๆ ก็คงจะทาให้เกิดการตอบสนอง เชน่ เดยี วกนั ได้ ถ้าได้มกี ารวางเงื่อนไขทถ่ี ูกตอ้ ง แนวคิดของสกินเนอร์ นามาใช้ในการสอนแบบสาเร็จรูป หรือการสอนแบบ โปรแกรม (Program Inattention) สกินเนอร์เป็นผู้คิดบทเรียนโปรแกรมเป็นคนแรก การนาทฤษฎีการเรยี นรขู้ องกลมุ่ พฤตกิ รรมมาใชก้ ับเทคโนโลยีการศึกษานีจ้ ะ ใช้ในการ ออกแบบการเรียนการสอนให้เขา้ กับลักษณะดงั ต่อไปนี้คอื บทท่ี 4 กำรออกแบบนวตั กรรม 37
1. การเรยี นรู้เปน็ ขนั้ เปน็ ตอน (Step by Step) 2. การมีส่วนร่วมในการเรยี นรูข้ องผูเ้ รยี น (Interaction) 3. การไดท้ ราบผลในการเรยี นรทู้ ันที (Feedback) 4. การได้รับการเสรมิ แรง (Reinforcement) 2. หลกั กำรและทฤษฎี เกี่ยวกบั เทคโนโลยที ำงกำรศึกษำในแง่ของกำรเรียนรู้ คารเ์ พนเตอร์ และเดล(C.R. Carpenter and Edgar Dale) ได้ประมวลหลกั การ และทฤษฏีเทคโนโลยีทางการศึกษาในลักษณะของการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ 10 ประการ คือ 1.หลักการจูงใจ ส่ือเทคโนโลยีทางการศึกษาจะมีพลังจูงใจท่ีสาคัญในกิจกรรม การเรียนการสอน เพราะเป็นส่ิงท่ีสามารถผลักดันจูงใจ มีอิทธิพลต่อพลังความสนใจ ความตอ้ งการ ของผู้เรียน 2.การพัฒนามโนทัศน์ (Concept) ส่วนบุคคล ช่วยส่งเสริมความ คิด ความ เขา้ ใจแกผ่ เู้ รียนแต่ละคน การผลิตและการใช้วสั ดุการเรียนการสอน ควรจะต้องสัมพนั ธ์ กับความสามารถของผสู้ อนและผู้เรยี น ตลอดถงึ จดุ มุ่งหมายของการเรียน 3.กระบวนการเลือกและการสอนด้วยส่ือเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างการ ปฏิบตั เิ กี่ยวกบั ส่อื จะเป็นแบบลกู โซ่ในกระบวนการเรยี นการสอน 4.การจัดระเบียบประสบการณ์เทคโนโลยีทางการศกึ ษา ผู้เรียนจะเรียนได้ดจี าก ส่ือ เทคโนโลยที ี่จดั ระเบยี บเป็นระบบ และมคี วามหมายตามความสามารถของเขา 5.การมีส่วนรวมและการปฏิบัติ ผู้เรียนต้องการมีส่วนร่วม และการปฏิบัติด้วย ตนเองมากท่ี สุด 6.การฝึกซ้าและการเปลี่ยนแปลงส่ิงเร้าบ่อยๆ ส่ือที่สามารถส่งเสริมการฝึกซ้า และมีการ เปลยี่ นแปลงส่ิงเร้าอยู่เสมอ จะชว่ ยส่งเสริมความเข้าใจ เพิม่ ความคงทนใน การจา 38 เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมสำหรับครู
39
แนวคิดของรศ.ดร.สาโรช โศภี ได้กล่าวเก่ยี วกับทฤษฎีการรับรู้ว่าการรบั รู้เป็น ผลเนื่องมาจากการท่มี นษุ ยใ์ ช้อวัยวะรับสมั ผสั (Sensory motor) ซึ่งเรียกว่า เครื่องรับ (Sensory) ท้ัง 5 ชนิด คือ ตา หู จมูก ล้ิน และผิวหนัง การรับรู้จะเกิดข้ึนมากน้อย เพียงใด ขึ้นอยู่กับส่ิงที่มีอิทธิพล หรือปัจจัยในการรับรู้ ได้แก่ ลักษณะของผู้รับรู้ ลักษณะของส่งิ เร้า แนวคิดของ ฉลองชัย สุรวัฒนบรู ณ์ และ วไลพร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม กล่าวว่า การที่จะเกิดการเรียนรู้ได้น้ันจะต้องอาศัยการรับร้ทู เ่ี กดิ จากการเปลย่ี น แปลง พฤติกรรมอันเป็นผลมาจากการได้รบั ประสบการณ์ การรับรูม้ ขี บวนการท่ีทาให้เกิดการ รับรู้ โดยการนาความรู้เข้าสู่สมองด้วยอวัยวะสัมผัส และเก็บรวบรวมจดจาไว้สาหรับ เป็นส่วนประกอบสาคัญท่ีทาให้เกิดมโนภาพและ ทัศนคติ ดังน้ันการมีสิ่งเร้าท่ีดีและมี องค์ประกอบของการรับรู้ที่สมบูรณ์ถกู ตอ้ ง ก็จะทาใหเ้ กดิ การเรียนรู้ที่ดดี ้วยซึ่งการรบั รู้ เป็นส่วนสาคญั ยิ่งต่อการรบั รู้ แนวคิดของ Fleming ให้ข้อเสนอแนะว่ากระบวนการรับรู้ยังสามารถใช้ ประโยชน์ในการเรียนการสอนดว้ ย มเี หตุผลหลายประการทนี่ ักออกแบบเพ่อื การเรียน การสอนจาตอ้ ง รแู้ ละนาหลกั การของการรบั รูไ้ ปประยุกต์ใช้กล่าวคอื 1. โดยทัว่ ไปแลว้ สิง่ ตา่ ง ๆ เชน่ วตั ถุ บุคคล เหตกุ ารณ์ หรือสิ่งทีม่ ีความสมั พันธ์ กนั ถูกรบั รูด้ กี ว่า มันกย็ อ่ มถกู จดจาไดด้ กี วา่ เช่นกัน 2. ในการเรียนการสอนจาเป็นต้องหลีกเล่ียงการรับรู้ท่ีผิดพลาด เพราะถ้า ผู้เรียนรู้ข้อความหรือเนื้อหาผิดพลาด เขาก็จะเข้าใจผิดหรืออาจเรียนรู้บางส่ิงที่ ผิดพลาดหรอื ไม่ตรงกับความเป็น จรงิ 3. เมื่อมีความต้องการส่ือในการเรียนการสอนเพ่ือใช้แทนความเป็นจริงเป็น เร่ืองสาคัญ ท่ีจะต้องรู้ว่าทาอย่างไร จึงจะนาเสนอความเป็นจริงน้ันได้อย่างเพียง พอที่จะให้เกดิ การรบั รู้ตามความ มงุ่ หมาย 40 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมสำหรบั ครู
41
A – Analyze กำรวเิ ครำะห์ -วิเคราะห์ระบบ (องค์กร สถาบัน กระบวนวิชา ฯลฯ) เพ่ือทาความเข้าใจอย่าง ชดั เจน -รวมรวมภารกจิ หรือกจิ กรรมต่าง ๆ ทีส่ มั พันธ์กบั การเรยี นหรือการปฏบิ ตั ิงาน -เลือกกจิ กรรมทต่ี ้องการสอนหรอื ฝึกอบรม (need analysis) -กาหนดเกณฑม์ าตรฐานของระดบั ทักษะหรือความรู้ทตี อ้ งการ -เลือกสถานการณ์ของกิจกรรมการเรียน / ฝึกอบรม เช่น ห้องเรียน แบบฝึก บทเรียนด้วยตนเอง ฯลฯ -ประมาณการคา่ ใช้จ่ายในการสอน /ฝึกอบรม D – Design กำรออกแบบ -กาหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนสาหรับกิจกรรมแต่ละกจิ การท้งั วัตถุประสงค์ ยอ่ ยและวัตถปุ ระสงคส์ ดุ ท้าย -ระบลุ าดับข้นั ตอนของการเรยี นทจ่ี ะนาไปสู่การบรรลวุ ัตถุประสงค์ -พัฒนาแบบทดสอบพฤติกรรมที่จะใช้ในการพิสูจน์ได้ว่า ผู้เรียนบรรลุ วัตถุประสงคแ์ ล้ว -กาหนดรายการพฤติกรรมก่อนการเรียนท่ีผู้เรียนจะต้องมีพื้นฐานมาก่อนการ เรียนเนือ้ หาใหม่ -จดั ลาดบั และโครงสร้างของวัตถปุ ระสงคต์ ามหลกั การของการเรยี นรู้ D – Develop พัฒนำบทเรียน -กาหนดรายการของกิจกรรมการเรียนทจี่ ะช่วยให้ผเู้ รียนสามารถเรียนรู้เน้ือหา น้ันๆ 42 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมสำหรบั ครู
-เลือกวิธกี ารนาส่งเนือ้ หาสาระ เชน่ เอกสาร เทป วดี ทิ ศั น์ ฯลฯ -ตรวจสอบดูสอ่ื / วัสดุการสอนทีม่ ีอยู่เพือ่ จะได้ไมต่ ้องเสยี เวลาและคา่ ใช้จ่ายใน การพฒั นาข้ึนใหม่ -พัฒนาบทเรยี นที่เป็น courseware ใหเ้ หมาะสมกับกระบวนวิชา -ทาบทเรียนให้มีประสิทธิภาพจนกว่าจะมั่นใจได้ว่า เป็นบทเรียนที่สามารถนา ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายของกระบวนวชิ าน้นั ๆ ได้ I – Implement นำไปปฏติ กิ ำร -สรา้ งแผนงานจัดการสาหรบั การจัดการเรยี นการสอน -จดั การเรียนการสอน E – Evaluate ประเมนิ ผล -ทบทวนและประเมนิ ผลทกุ ๆ ข้ันตอน ADDIE เพื่อให้มนั ใจว่า การปฏิบตั ิการใน แต่ละขั้นตอนเปน็ ไปตามแผนงานท่กี าหนดไว้ -ทาการประเมินผลจากภายนอก เช่น สงั เกตดูวา่ ผ้เู รยี นสามารถที่จะปฏิบัติตาม กจิ กรรมการเรยี นทก่ี าหนดไว้ได้ -ปรับปรงุ ระบบการสอนใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมากขึน้ บทที่ 4 กำรออกแบบนวตั กรรม 43
รูปที่ 13 https://www.tonybates.ca/2014/09/09/is-the-addie-model-appropriate-for- teaching-in-a-digital-age/ กำรออกแบบ รำยละเอยี ดนวตั กรรม ในการออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ประเภทสื่อการสอนผู้ออกแบบต้องคานึงถึง ดังนี้คือ 1.วัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ 2.ลกั ษณะผู้เรียน ความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ระดบั ชัน้ ความรู้ ทกั ษะ 3.พน้ื ฐาน และประสบการณข์ องผู้เรยี น 4.รปู แบบการเรยี นการสอน และการเรยี นรู้ 44 เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมสำหรบั ครู
5.ธรรมชาติเนื้อหาสาระการเรียนรู้ และวิธกี ารนาเสนอที่เหมาะสมสภาพการ เรียน 6.ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น วสั ดุอปุ กรณ์ ครุภัณฑ์ งบประมาณ ราคานวัตกรรมท่ี เหมาะสม โครงสร้างของการออกแบบนวัตกรรม ดงั นี้คอื 1. ชื่อนวัตกรรม ผู้พัฒนาควรต้ังชื่อนวัตกรรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และเขา้ ใจงา่ ย 2. วัตถุประสงค์ของนวัตกรรม การกาหนดวัตถุประสงค์ของนวัตกรรมให้ ชัดเจนส่งผลให้ การพฒั นานวตั กรรมนั้น รวดเรว็ และมีประสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขนึ้ 3. ทฤษฎี หลักการ ในการออกแบบนวัตกรรม ผู้พัฒนาต้องพิจารณาทฤษฎี การเรียนรู้เพ่ือให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ซึ่งทฤษฎีการเรยี นรู้ถือเป็นสิ่งสาคัญท่ีจะ ใช้ในการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา 4. ส่วนประกอบของนวัตกรรม ในการออกแบบนวัตกรรมผู้พัฒนาต้อง พิจารณาสว่ นประกอบของนวตั กรรม วา่ มอี ะไรบ้าง 5. การนานวัตกรรมไปใช้และประเมินผล เป็นส่วนที่แสดงความสาเร็จของ นวัตกรรม ประกอบด้วย วธิ ีวดั ผล เครอ่ื งมือท่ีใช้วัดผล และวิธีการประเมินผลประเภท ของนวัตกรรมการเรียนการสอน เมื่อการเรียนการสอนมีลักษณะเป็นระบบ ประกอบด้วยตวั ป้อน (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output) การนา นวัตกรรมมาใช้จัดการเรียนการสอนจึงมีจุดหมายที่จะปรับปรุงหรือเพ่ิมประสิทธิภาพ ใหก้ บั ระบบการเรียนการสอน บทท่ี 4 กำรออกแบบนวตั กรรม 45
หลกั การออกแบบสอื่ เพอ่ื การเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 9 ขั้นตอน ดงั นี้ ขน้ั ตอนท1ี่ เร้าความสนใจ (Gain Attention) ข้ันตอนท2่ี บอกวตั ถุประสงค์ (Specify Objectives) ขั้นตอนท่ี 3 ทวนความรเู้ ดิม (Activate Prior Knowledge) ขัน้ ตอนท่4ี การเสนอเนอ้ื หา (Present New Information) ข้ันตอนท่ี 5 ชีแ้ นวทางการเรยี นรู้ (Guide Learning) ข้นั ตอนที่6 กระต้นุ การตอบสนอง (Elicit Responses) ข้นั ตอนที่ 7 ใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับ (Provide Feedback) ขัน้ ตอนที8่ ทดสอบความรู้ (Access Performance) ขน้ั ตอนท่ี9 การจาและนาไปใช้ (Promote Retention and Transfer) ดังนั้นในการออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ผู้ออกแบบต้องคานึงถึงหลักการ ขา้ งต้น เพ่อื ให้นวัตกรรมน้นั สามารถนามาใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์หลัก คือเพอื่ ช่วย แก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึนในการเรียนการสอน และเพ่ิมความสามารถในการเรียนรู้ของ ผ้เู รียน ใหม้ ปี ระสอทธิภาพมากยิ่งข้นึ กำรออกแบบ เคร่อื งมือศึกษำคณุ ภำพ และประสทิ ธภิ ำพนวัตกรรม ขน้ั ตอนในการจัดทาเครื่องมือประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของนวัตกรรม มี ดงั นี้ 1. ศึกษาวัตถุประสงคข์ องนวัตกรรมการเรยี นการสอนท่สี ร้างขึน้ 2. กาหนดเคร่อื งมือที่ต้องใชป้ ระกอบการประเมินคณุ ภาพและประสิทธิภาพ 3. ศกึ ษาแนวทางการสร้างเคร่อื งมือ 46 เทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรบั ครู
4. ออกแบบและสร้างเคร่อื งมือ 5. ตรวจสอบและผ่านการกลัน่ กรองของผ้เู ชยี่ วชาญ 6. ศกึ ษาคุณภาพและประสทิ ธภิ าพของเครอ่ื งมอื 7. จดั ทาเปน็ เคร่อื งมือฉบบั จริง กำรออกแบบ กำรศึกษำคณุ ภำพ และประสิทธภิ ำพนวัตกรรม ข้นั การศึกษาคณุ ภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอนดาเนนิ การ ดงั น้ี 1. กลั่นกรองเบื้องต้นโดยให้ผู้เรียนและครูผู้สอนกลุ่มสาระน้ันอ่านเพ่ือ ตรวจสอบขอ้ บกพร่อง และปรบั ปรุงแก้ไขใหเ้ หมาะสม 2. นานวตั กรรมการเรยี นการสอนท่ปี รบั ปรุงแกไ้ ขเรียบร้อยแล้วใหผ้ ู้เชย่ี วชาญ จานวน 3-5 คน ประเมินเพื่อตรวจสอบคุณภาพ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุง นวัตกรรม 3. วิเคราะห์ผลการประเมินของผู้เช่ียวชาญเพื่อดูว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับใด และปรบั ปรงุ ข้อบกพร่องตามขอ้ เสนอแนะ 4. จดั ทาเป็นนวัตกรรมการเรยี นการสอนที่พรอ้ มสาหรบั นาไปทดลองใช้ การศกึ ษาประสิทธภิ าพของนวตั กรรมการเรยี นการสอนดาเนนิ การ ดงั น้ี 1. นานวัตกรรมการเรียนการสอนท่ีผ่านการตรวจสอบและประเมินคุณภาพ ของผู้เชยี่ วชาญแล้ว ไปทดลองใชก้ ับผู้เรยี นที่มคี ณุ สมบัติเชน่ เดยี วกบั กลุ่มเป้าหมายของ การแก้ปัญหาหรือพัฒนา ตามรปู แบบและวิธกี ารท่กี าหนด 2. นาผลการทดลองมาคานวณหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการ สอนโดยใช้สตู ร E1/E2 บทที่ 4 กำรออกแบบนวัตกรรม 47
กำรออกแบบ เครือ่ งมือวัด ประเมนิ ผลกำรใชน้ วัตกรรม การประเมินนวัตกรรมการศึกษา เป็นกระบวนการในการตรวจสอบหรือพิจารณา ตัดสินคุณลักษณะของนวัตกรรมการศึกษา เพื่อกาหนดคุณค่า คุณภาพ ความถูกต้อง ความเหมาะสม โดยใช้เกณฑ์การประเมินเป็นหลัก เพ่ือการพัฒนาและแก้ไขปรับปรุง ลักษณะการประเมินเป็นหลัก เพ่ือการพัฒนาและแก้ไขปรับปรุงลักษณะการประเมิน นวัตกรรมการจดั การเรยี นรู้แบง่ เป็น 2 ลักษณะ คอื 1. การประเมินตนเองเป็นการประเมินระดับโรงเรียนท่ีผู้คิดค้นพัฒนา นวัตกรรมทั้งที่เป็นรายบุคคล หรือคณะบุคคล ดาเนินการประเมินโดยการตรวจสอบ กระบวนการพัฒนาและความก้าวหน้าในการพัฒนานวัตกรรมของตนจากเกณฑ์การ ประเมินท่ีกาหนดเพื่อนาผลไปใช้ในการปรับปรังพัฒนาการดาเนินงานให้บรรลุ วตั ถุประสงคแ์ ละเปา้ หมายของการพฒั นานวตั กรรม 2. การประเมินโดยคณะบุคคล เป็นการประเมินเพ่ือพิจารณาคุรณภาพ นวัตกรรม ซึ่งผู้ประเมินควรประกอบด้วย ผู้คิดค้นพัฒนานวัตกรรม ครู ผู้บริหาร โรงเรียน ศึกษานเิ ทศก์ หรืออาจมผี ้เู ชย่ี วชาญ ตามลักษณะ หรอื ประเภทของนวัตกรรม ร่วมประเมินตามเกณฑท์ ีก่ าหนด องคป์ ระกอบของการประเมินนวัตกรรม ประกอบดว้ ย 3 ดา้ น 13 ตัวบง่ ชี้ คอื 1. องค์ประกอบด้านความเปน็ นวตั กรรม มี 2 ตวั บ่งชี้ คอื 1.1 ความเป็นนวตั กรรม 1.2 ที่มาของนวัตกรรม 2. องค์ประกอบด้านกระบวนการพัฒนานวัตกรรมมี 6 ตัวบ่งช้ี คอื 2.1 วัตถุประสงคแ์ ละเป้าหมายของการพฒั นานวัตกรรม 2.2 หลกั การแนวคิดทฤษฎีทใี่ ชใ้ นการพฒั นานวัตกรรม 2.3 การออกแบบวัตกรรม 48 เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมสำหรบั ครู
2.4 การะบวนการพัฒนานวตั กรรม 2.5 การมีสว่ นรว่ มในการพัฒนานวตั กรรม 2.6 ความสาเรจ็ ของการพัฒนานวตั กรรม 3. คุณคา่ ของนวัตกรรม มี 6 ตวั บ่งชี้ คือ 3.1 การแก้ปญั หาหรือพฒั นาคณุ ภาพผู้เรยี น 3.2 การใชท้ รพั ยากรในการพฒั นานวัตกรรม 3.3 การเรยี นร้รู ่วมกนั 3.4 การส่งเสริมใหเ้ กิดกระบวนการแสวงหาความรู้ 3.5 การยอมรบั 3.6 การนาไปใช้ กำรออกแบบ กำรนำนวัตกรรมไปใช้ การ น าน วั ตกร ร มการ เรียน รู้ไปใช้ปร ะ โ ยชน์ ( Implication of Learning Innovation) นวัตกรรมการเรียนรู้ ( learning innovation ) สามารถนามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในวงการศึกษา สรุปได้ ดงั นี้ 1. เพอื่ นานวัตกรรมมาใชแ้ ก้ปญั หาในเร่อื งการเรียนการสอน เชน่ 1.1 ปัญหาเร่ืองวิธีการสอน ปัญหาท่ีมักพบอยู่เสมอ คือ ผู้สอนส่วนใหญ่ ยังคงยึดรูปแบบการสอนแบบบรรยาย โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนใน รูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธกี ารแบบนเ้ี ป็นการสอนทีข่ าดประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล ในบั้นปลาย เพราะนอกจากจะทาให้นักเรียนเกิดความเบ่ือหน่ายขาดความสนใจแล้ว ยงั เป็นการปิดกั้นความคดิ และสตปิ ัญญาของผู้เรียนใหอ้ ยูใ่ นขอบเขตจากดั อกี ด้วย บทที่ 4 กำรออกแบบนวัตกรรม 49
1.2 ปัญหาด้านเนื้อหาวิชาบางวิชาเน้ือหามากและบางวิชามีเนื้อหาเป็น นามธรรมยากแกก่ ารเขา้ ใจ จึงจาเป็นจะต้องนาเทคนิคการสอนและสื่อมาชว่ ย 1.3 ปัญหาด้านการวัดและประเมินผล เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่า ครูผู้สอนนาไปใชใ้ นการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึนหรือใช้ ผลการประเมนิ เปน็ ข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนการสอนได้ 1.4 ปญั หาเร่ืองอปุ กรณ์การสอน บางเนื้อหามีส่ือการสอนเป็นจานวนน้อย ไม่เพียงพอต่อการนาไปใช้เพ่อื ทาให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาไดง้ า่ ย ข้ึนจึงจาเปน็ ต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนคิ วิธีการสอน และผลิตส่ือการสอนใหม่ ๆ เพื่อนามาใชท้ าใหก้ ารเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้ 2. เพ่ือนานวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน การสร้างองค์ความรู้ ใหม่ใหม้ ีประสทิ ธิภาพยิ่งข้ึนและเป็นประโยชนต์ ่อการศึกษาโดยการนาสง่ิ ประดิษฐ์หรือ แนวความคิดใหม่ ๆ ในการเรียนการสอนน้ันเผยแพร่ไปสคู่ รู - อาจารย์ทา่ นอื่นๆ หรือ เพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่งให้กับครู - อาจารย์ท่ีสอนในวิชาเดียวกันได้นา แนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสือ่ การสอนใหม่ ๆ เพ่ือนามาใช้ในการพัฒนาการ เรียนการสอนต่อไป 3. การนานวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานทางวิชาการ นวัตกรรมการเรียนรู้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการปรับปรุงและพัฒนางานหรือการจัดการเรยี นการ สอนแลว้ ยังเป็นประโยชน์ ต่อการพฒั นาวิชาชพี อกี ดว้ ย โดยผู้สร้างนวัตกรรมสามารถ นาผลจากการนานวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานวิชาการเพ่ือขอเลื่อนวิทยฐานะ หรือปรับ ตาแหนง่ ให้สงู ขึน้ ได้ กำรออกแบบ กำรวัด ประเมินผลกำรใช้นวัตกรรม ประเมนิ ผล ซง่ึ ควรมีหลักการพิจารณา 4 ประการ ดงั นี้ มีประสิทธิภาพ (Efficiency) หลังใช้นวัตกรรมการเรียนรู้แล้ว ผู้เรียนมีพฤติกรรม เทคโนโลยแี ละนวกตั ากรรเรรมยี สนำรหตู้ รรงับตคารมู เปา้ หมายทีห่ ลกั สูตรกาหนดไว้อยา่ งชดั เจน 50 เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมสำหรบั ครู
Search